Professional Documents
Culture Documents
Respiratory Syst
Respiratory Syst
บทที่ 4
ระบบหายใจ
Respiratory system
ระบบหายใจมีหน้าที่ คือ
- น า ก๊ า ซ อ อ ก ซิ เ จ น เ ข้ า สู่ ร่ า ง ก า ย
และขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทีไ่ ด้จากขบวนการเมตาโบลิซึมออกจากร่างก
าย
- ค ว บ คุ ม ป ริ ม า ณ ก๊ า ซ อ อ ก ซิ เ จ น
และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดให้อยูใ่ นระดับทีเ่ หมาะสมต่อการมีชีวต ิ อ
ยูข
่ องสัตว์
-
ช่วยกาจัดสิ่งแปลกปลอมทีป ่ ะปนมากับอากาศซึ่งสัตว์หายใจเข้ามาในร่างกาย
เนื่ อ งจากที่ ผ นัง ของถุ ง ลมปอดมี เซลล์ แ มทโครฟาท (macrophage cell)
และยังสามารถผลิตแอนติบอดี้ (antibodies) ทีท ่ าหน้าทีต
่ อ
่ ต้านเชื้อโรคได้
82
โดยทั่วไปในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกล่องเสียงจะประกอบด้วยกระดูกอ่อน 4 ชิ้น
คือ กระดูก อ่อ นเอพิก ล็ อ ตทิส (epiglottis cartilage) กระดูก อ่อ นไทรอยด์
(thyroid cartilage) ก ร ะ ดู ก อ่ อ น แ อ ริ ทิ น อ ย ด์ (arytenoid cartilage)
และกระดูกอ่อนไครคอยด์ (cricoids cartilage) เป็ นต้น
- ห ล อ ด ล ม (trachea)
เ ป็ น ส่ ว น ข อ ง ท่ อ ท า ง เ ดิ น ห า ย ใ จ ที่ ต่ อ ม า จ า ก ก ล่ อ ง เ สี ย ง
ประกอบด้ ว ยกระดู ก อ่ อ นที่ มี ล ก ั ษณะเป็ นวง (cartilage ring or trachea
ring) เ ป็ น ก ร ะ ดู ก อ่ อ น พ ว ก ไ ฮ ย า ลิ น (hyaline cartilage)
มีสีขาวมาเรียงต่อกัน ด้านบนของวงแหวนจะไม่เชือ ่ มติดต่อกัน จนครบวงรอบ
ห รื อ เ ป็ น ว ง แ ห ว น แ บ บ รู ป ตั ว ซี (c-shape)
หลอดลมจะมีลกั ษณะเป็ นท่อตรงทอดยาวไปถึงส่วนทีโ่ ค้งของหลอดเลือดแดงใ
หญ่ (arch of aorta) จากนั้ น จะแตกแขนงออก เป็ น ขั้ว ปอด (bronchi)
ด้ า น ซ้ า ย แ ล ะ ด้ า น ข ว า ซึ่ ง จ ะ อ ยู่ ด้ า น น อ ก ข อ ง เ นื้ อ เ ยื่ อ ป อ ด
ผนัง ชั้น นอกของกระดู ก อ่ อ นจะเป็ นชั้น เยื่ อ เมื อ ก (serous membrane)
ที่ มี เ นื้ อ เ ยื่ อ เ กี่ ย ว พั น ที่ เ ห นี ย ว ม า ก
ชัน้ กลางของหลอดลมซึ่งเป็ นกระดูกอ่อนพวกไฮยาลิน (hyaline cartilage)
จะเป็ นรู ป วงแหวน และชั้น ในเป็ นชั้น เยื่ อ เมื อ กที่ มี เซลล์ ที่ มี ข น (ciliated
columnar epithelium) เรี ย งตัว กัน อ ยู่ เช่ น เดี ย วกับ เซ ลล์ ใน ช่ อ งจมู ก
ชัน
้ เยือ
่ เมือกจะช่วยดักจับเซลล์ทีห ่ ลุดลอกออกมาและเข้าไปในท่อทางเดินหายใ
จ และต่อ มในชั้น เยื่อ เมื อ กจะท าหน้ า ที่ข บ ั สารเมื อ กออกมาเมื่อ เกิ ด การไอ
ส่วนเซลล์ขนทาหน้าทีด ่ กั จับสิง่ ทีเ่ ข้าไปในกล่องเสียง
หลอดอาหารบรรจุอยู่ เนื้อเยือ
่ ปอดจึงเป็ นส่วนของถุงลมทีม
่ ารวมตัวกัน
มีลกั ษณะคล้ายกับฟองน้า และมีความยืดหยุน ่ มาก
โครงสร้างภายนอกของปอด
เนื้อเยือ
่ ปอดของสัตว์เลี้ยงสามารถแบ่งออกเป็ นกลีบๆ (lobe)
ได้ไม่สมบูรณ์ โดยใช้รอ่ งลึก ในสัตว์แต่ละชนิดจะมีจานวนกลีบไม่เท่ากัน
โดยทั่วไปปอดข้างซ้ายจะมี 2 กลีบ คือ กลีบหน้า (cranial lobe)
และกลีบหลัง (caudal lobe)
ในสัตว์บางชนิดกลีบหน้าอาจแบ่งออกเป็ นกลีบส่วนหน้า (cranial)
และกลีบส่วนท้าย (caudal) ส่วนปอดข้างขวามี 4 กลีบ กลีบหน้า (cranial
lobe) กลีบหลัง (caudal lobe) กลีบกลาง (middle lobe) และกลีบเสริม
(accessory lobe) เช่น ในโค สุกร แพะและแกะ ปอดข้างขวาจะมี 4 กลีบ
และปอดข้างซ้ายมี 3 กลีบ ดังตารางที่ 4.1
ตารางที่ 4.1 แสดงจานวนกลีบของปอดในสัตว์เลี้ยง
ชนิดขอ ปอดข้างซ้าย ปอดข้างขวา
งสัตว์
โค มีกลีบหน้าและกลีบหลัง มีกลีบหน้า กลีบหลัง
แพะและ โดยกลีบหน้าแยกเป็ นกลีบส่วนห กลีบกลางและกลีบเสริม
แกะ น้าและกลีบส่วนท้าย
สุกร มีกลีบหน้าและกลีบหลัง มีกลีบหน้า กลีบหลัง
โดยกลีบหน้าแยกเป็ นกลีบส่วนห กลีบกลางและกลีบเสริม
น้าและกลีบส่วนท้าย โดยกลีบหน้าแบ่งย่อยเป็ นกลีบส่วน
หน้าและกลีบส่วนท้าย
ม้า มีกลีบหน้าและกลีบหลัง มีกลีบหน้า กลีบหลัง และกลีบเสริม
ทีม
่ า : Constantinescu et al. (2004)
89
- ก า ร ห า ย ใ จ เ ข้ า อ อ ก ( breathing) ห ม า ย ถึ ง
การหายใจเพือ ่ นาอากาศทีม ่ ีกา๊ ซออกซิเจนจากภายนอกเข้าสูป ่ อดโดยการหายใ
จ เ ข้ า
และการนาอากาศทีม ่ ีกา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากปอดโดยการหายใจออ
ก
- ก า ร ห า ย ใ จ โ ด ย ป อ ด (external respiration) ห ม า ย ถึ ง
การแลกเปลีย่ นก๊าซออกซิเจนกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทีม ่ ากับเลือดที่ บริเว
ณ ถุ ง ล ม ป อ ด โ ด ย เ ลื อ ด จ ะ รั บ ก๊ า ซ อ อ ก ซิ เ จ น เ ข้ า ไ ป
แ ล ะ ป ล่ อ ย ก๊ า ซ ค า ร์ บ อ น ไ ด อ อ ก ไ ซ ด์ อ อ ก ม า
90
หรือการแลกเปลีย่ นก๊าซระหว่างก๊าซออกซิเจนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่
ละลายในน้าเลือด
- ก า ร ห า ย ใ จ ใ น ร่ า ง ก า ย (internal respiration)
หมายถึงการแลกเปลีย่ นก๊าซออกซิเจนจากเลือดกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่
ผ ลิ ต ขึ้ น จ า ก เ ซ ล ล์
้ ระหว่างก๊าซออกซิเจนในน้าเลือดกับ ก๊าซคาร์บอนไดอ
เป็ นขบวนการทีเ่ กิดขึน
อกไซด์ในเซลล์
- ก า ร ห า ย ใ จ ภ า ย ใ น ร ะ ดั บ เ ซ ล ล์ (cellular respiration)
เป็ นขบวนการใช้กา๊ ซออกซิเจนทีเ่ กิดขึน้ ภายในไมโตคอนเดรียในขบวนการเม
ตาโบลิซมึ ของเซลล์ เพือ ่ ให้ได้พลังงานในรูปของ ATP
การหายใจในสภาพปกติจะเป็ นแบบอัตโนมัติเช่นเดียวกับการเต้นของหัวใจ
ก า ร ห า ย ใ จ ใ น ส ภ า พ ป ก ติ แ ต่ ล ะ ค รั้ ง
จะมี ป ริ ม าณ อ าก าศ ที่ ห าย ใจเข้ า เท่ ากับ ป ริ ม าณ อ าก าศ ที่ ห าย ใจอ อ ก
ในการหายใจแบบปกติ แ ต่ ล ะครั้ง จะประกอบด้ ว ย กลไกการหายใจเข้ า
(inspiration) 1 ค รั้ ง แ ล ะ ก ล ไ ก ก า ร ห า ย ใ จ อ อ ก (expiration) 1 ค รั้ ง
91
แ ละก ล้ า ม เนื้ อ ระห ว่ า งช่ อ งก ระดู ก ซี่ โค รงด้ า น น อ ก เกิ ด ก ารค ลาย ตัว
แต่ในกรณีทไี่ ม่ปกติจะต้องมีการหายใจออกทีเ่ ร็ว และลึกกว่าปกติ
shift) ไ ฮ โ ด ร เ จ น อิ อ อ น (H+)
้ ในเซลล์เม็ดเลือดแดงจะเป็ นตัวเร่งการปลดปล่อยก๊าซออกซิเจนจากอ
ทีเ่ กิดขึน
อ ก ซิ เ ฮ โ ม โ ก ล บิ น ( HbO2) โ ด ย ไ ฮ โ ด ร เ จ น อิ อ อ น (H+)
จ ะ เ ข้ า ไ ป ร ว ม ตั ว กั บ เ ฮ โ ม โ ก ล บิ น (reduced hemoglobin)
ที่ ไ ด้ เ กิ ด จ า ก ก า ร ป ล ด ป ล่ อ ย ก๊ า ซ อ อ ก ซิ เ จ น ( O2) อ อ ก แ ล้ ว
เกิ ด เ ป็ น ก ร ด เฮ โ ม โ ก ล บิ น เ นื่ อ ง จ า ก มี ฤ ท ธิ ์ เป็ น ก ร ด น้ อ ย ก ว่ า
ป ร า ก ฎ ก า ร ณ์ นี้ เ รี ย ก ว่ า โ ฮ ล ดิ้ ง เ อ ฟ แ ฟ ค ( holdane effect)
ซึ่ ง ห ม า ย ถึ ง ป ร า ก ฏ ก า ร ณ์ ที่ เ ลื อ ด ใ ห้ อ อ ก ซิ เ จ น ( O2)
แก่เนื้อเยือ ่ มากเท่าใดก็สามารถรับ (CO2) ได้มากขึน ้ เท่านัน ้
เนื่ อ งจากอากาศที่ เ ข้ า มาอยู่ ใ นถุ ง ลมจะอยู่ ใ กล้ ชิ ด กับ เส้ น เลื อ ดฝอยมาก
จึงเกิดการแลกเปลีย่ นก๊าซกันได้จากบริเวณทีม ่ ีความเข้มข้นก๊าซสูงกว่าไปยังบ
ริเวณทีม ่ ีความเข้มข้นต่ากว่า โดยขบวนการแพร่ในรูปของของเหลว (liquid
phase diffusion)
การแพร่ของก๊าซทีเ่ กิดขึน ้ เกิดจากความแตกต่างระหว่างความดันของก๊าซในเ
ลื อ ด แ ล ะ ค ว า ม ดั น ข อ ง ก๊ า ซ ใ น ถุ ง ล ม (alveolar air)
โดยก๊าซทีม ่ ีความเข้มข้นสูงจะแพร่ไปยังก๊าซทีม ่ ีความเข้มข้นต่ากว่าจนกระทั่ง
ค ว า ม ดั น เท่ า กั น ห รื อ เกิ ด ค ว า ม ส ม ดุ ล ข อ ง ค ว า ม ดั น ทั้ ง ส อ ง ฝ่ า ย
สาหรับอากาศในถุงลมจะมีความดันของก๊าซออกซิเจนสูง (มีกา๊ ซออกซิเจนสูง
ป ร ะ ม า ณ 21%) แ ล ะ ค ว า ม ดั น ข อ ง ก๊ า ซ ค า ร์ บ อ น ไ ด อ อ ก ไ ซ ด์ ต่ า
( มี ก๊ า ซ ค า ร์ บ อ น ไ ด อ อ ก ไ ซ ด์ ป ร ะ ม า ณ 0.03%)
ดังนัน ้ ก๊าซออกซิเจนจึงแพร่ออกจากถุงลมเข้าไปสู่เส้นเลือดดาฝอยทีล่ อ ้ มรอบถุ
ง ล ม ป อ ด ( pulmonary capillary)
ส่วนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะแพร่จากเลือดดาทีม ่ ีความดันสูงกว่าเข้าสูถ่ ุงลม
ป อ ด แ ท น
โดยการแพร่ของอากาศในถุงลมนัน ้ ก๊าซออกซิเจนจะแพร่ได้เร็วกว่าก๊าซคาร์บ
อ น ไ ด อ อ ก ไ ซ ด์
ในร่างกายของสัตว์เลี้ยงการแลกเปลีย่ นก๊าซทีเ่ กิดจากการหายใจจะเป็ นไปตาม
ก ฎ ข อ ง ด า ล ตั น (Dalton’s law)
ที่ ก ล่ า ว ว่ า ใ น ก๊ า ซ ผ ส ม ที่ ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย ก๊ า ซ ห ล า ย ช นิ ด ร ว ม กั น
ก๊าซแต่ละชนิด จะทาให้เกิดความดัน ของก๊าซแต่ละชนิ ด (partial pressure
or tension) ค ว า ม ดั น ข อ ง ก๊ า ซ แ ต่ ล ะ ช นิ ด จ ะ ม า ก ห รื อ น้ อ ย
จะขึ้ น กับ ความเข้ ม ข้ น ของก๊ า ซนั้น ๆในก๊ า ซผสมโดยไม่ ขึ้ น กับ ก๊ า ซอื่น เลย
95
และความดันรวมของก๊าซผสมจะเท่ากับผลรวมของความดันของก๊าซแต่ละชนิ
ด (partial pressure) ของก๊าซแต่ละชนิดทีร่ วมกันเป็ นก๊าซผสม
ด้ ว ยเหตุ ที่ ค วามดัน ของก๊ า ซแต่ ล ะชนิ ดในเลื อ ดแดง เลื อ ดด า
แ ล ะ ใ น ถุ ง ล ม มี ค ว า ม แ ต ก ต่ า ง กั น
โ ด ย ก๊ า ซ อ อ ก ซิ เ จ น ใ น ถุ ง ล ม มี ค ว า ม ดั น สู ง ก ว่ า ใ น เ ลื อ ด ด า
แ ละก๊ า ซ ค าร์ บ อ น ได อ อ ก ไซ ด์ ใน เลื อ ด ด ามี ค วาม ดัน สู งก ว่ า ใน ถุ งลม
จึ ง เกิ ด การแลกเปลี่ ย นก๊ า ซกัน ขึ้ น ระหว่ า งก๊ า ซในถุ ง ลมและในเลื อ ดด า
การปลดปล่อ ยก๊า ซออกซิเจนที่เกาะมากับ เฮโมโกลบิน จะเกิด ได้เร็ วหรือ ช้ า
ขึ้ น กั บ ป ริ ม า ณ ก๊ า ซ ค า ร์ บ อ น ไ ด อ อ ก ไ ซ ด์ ที่ เ กิ ด ขึ้ น ใ น เ ซ ล ล์
ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทีส ้ ในเลือดจะมีผลให้เลือดมีคา่ ความเป็ น
่ ูงขึน
ก ร ด สู ง ห รื อ pH สู ง
ซึ่งจะมี ส่วนในการกระตุ้นให้เฮโมโกลบินปลดปล่อยก๊าซออกซิเจนได้เร็ วขึ้น
นอกจากนี้ ความร้อนทีเ่ กิดขึน ้ จากปฏิกริ ยิ าทางเคมีในร่างกายก็มีสว่ นในการเร่
ง ก า ร ป ล ด ป ล่ อ ย อ อ ก ซิ เ จ น จ า ก เ ฮ โ ม โ ก ล บิ น ด้ ว ย
ค่าของอัตราส่วนระหว่างปริมาตรของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่หายใจออก
กั บ ป ริ ม า ต ร ข อ ง ก๊ า ซ อ อ ก ซิ เ จ น ที่ ห า ย ใ จ เ ข้ า
เพื่ อ น าไปใช้ ใ นขบวนการเมตาโบลิ ซึ ม จะเรี ย กว่ า ค่ า RQ (respiratory
quotient) ซึง่ คานวณได้จากสูตร
- ก าร ค ว บ คุ ม ที่ ศู น ย์ ก ล าง ก าร ห าย ใ จ แ ม ด ดู ล่ า ร์ (medullar
respiratory center) ประกอบด้ว ยศู น ย์ ก ลางการหายใจเข้า (inspiratory
center) แ ล ะ ศู น ย์ ก ล า ง ห า ย ใ จ อ อ ก (expiratory center)
ทั้ ง ส อ ง ศู น ย์ นี้ จ ะ ท า ง า น ส ลั บ กั น ไ ป ใ น ลั ก ษ ณ ะ ยั บ ยั้ ง กั น
เมือ่ ศูนย์กลางการหายใจเข้าทางานจะยับยัง้ ไม่ให้ศูนย์ กลางการหายใจออกทาง
า น ไ ด้ (ส่ ว น ใ ห ญ่ จ ะ ไ ม่ ท า ง า น )
จึ ง ท า ใ ห้ มี ก า ร ห า ย ใ จ เ ข้ า แ ล ะ ห า ย ใ จ อ อ ก ส ลั บ กั น ไ ป
ศูน ย์ ก ลางการหายใจทั้งสองมี เซลล์ ป ระสาท 2 ประเภท คื อ ดีอ าร์ จี (dorsal
respiratory group, DRG) แ ล ะ วี อ า ร์ จี (ventral respiratory group,
VRG) ส่ ว นดี อ าร์ จี (DRG) จะเป็ นศู น ย์ ก ลางการหายใจเข้า (inspiratory
center) ส่ ว น วี อ าร์ จี (VRG) จะเป็ น ศู น ย์ ก ารห าย ใจอ อก (expiratory
center) ส่ ว น ข อ ง ศู น ย์ ก ล า ง (center)
เป็ น ส่ ว น ที่ เกิ ด จ าก ก าร ร ว ม ก ลุ่ ม กั น ข อ งเซ ล ล์ ป ร ะส าท ห ล าย ๆ เซ ล ล์
ศู น ย์ ก ลางแต่ ล ะศู น ย์ จ ะท าหน้ าที่ ร บ ั กระแสประสาท (nerve impulse)
จากตัวรับ ความรูส ้ ึก (receptor) ซึ่งเป็ นส่วนของเซลล์ ป ระสาทรับ ความรูส ้ ึก
(sensory nerve) เ มื่ อ มี สิ่ ง ก ร ะ ตุ้ น ที่ ป ล า ย ป ร ะ ส า ท (dendrite)
ข อ ง เ ซ ล ล์ ป ร ะ ส า ท รั บ ค ว า ม รู ้ สึ ก
97
ก็จะมีการส่งกระแสประสาทผ่านมาทางเส้นประสาทแอฟเฟอร์เรน (afferent
nerve) ของประสาทรับ ความรู ้สึ ก เพื่ อ ส่ ง กระแสประสาทไปที่ ศู น ย์ ก ลาง
ศูนย์กลางเมือ่ รับกระแสประสาทจะออกคาสั่งแล้วส่งมาตามเส้นประสาทสั่งการ
(motor nerve) ผ่ า น เส้ น ป ร ะ ส า ท เอ ฟ เฟ อ ร์ เร น (efferent nerve)
โดยระบบประสาทสั่งการ (motor nerve) มี 2 ตัวได้แก่เส้นประสาทตัวทีห ่ นึ่ง
(first neuron or preganglionic nerve) ซึ่งจะมีการไซแนปส์ (synapes)
กับ ป ระส าท สั่งก ารตัว ที่ ส อ ง (secondary neuron or postganglionic
nerve) ซึ่ ง จะเป็ นตัว ออกค าสั่ง และส่ ง ค าสั่ง ไปที่ อ วัย วะเป้ าหมาย (target
organ) เช่ น ส่ ว น ข อ ง ก ล้ า ม เนื้ อ ล า ย ที่ ซี่ โ ค ร ง (intercostal muscle)
แ ล ะ ก ล้ า ม เ นื้ อ ก ร ะ บั ง ล ม (diaphragm)
ขบวนการตัง้ แต่มีการกระตุน ้ จากสิง่ เร้าภายนอกทีป ่ ลายประสาทรับความรูส้ ึกจ
นกระทั่งมีการตอบสนองของกล้ามเนื้อโดยการสั่งการจากสมองเรียกว่า reflex
arc
สาหรับกลไกในการหายใจเข้าจะเกิดขึน ้ เมือ
่ มีสงิ่ กระตุน
้ ทีป
่ ระสาทรับความรูส ้ ึ
ก (sensory nerve)
ซึ่ ง จะส่ ง กระแสประสาทไปกระตุ้ น ศู น ย์ ก ลางการหายใจเข้า (inspiratory
center) ที่ ศู น ย์ ก ล า ง ก า ร ห า ย ใ จ เ ข้ า จ ะ มี ค า สั่ ง ส่ ง ม า ที่ ป อ ด
โด ย จ ะ ไ ป ก ร ะ ตุ้ น ก าร ท างาน ข อ งถุ งล ม ป อ ด ให้ ถุ งล ม มี ก าร ยื ด อ อ ก
พร้อ มท าให้ก ล้ามเนื้ อ ที่ซี่โครงส่วนอินเทอร์ เนิ ลอิน เทอร์ค อสทอล (internal
intercostal muscle) ยืดตัว และกล้ามเนื้อทีก ่ ระบังลม (ray muscle fiber)
เ กิ ด ก า ร ห ย่ อ น ตั ว ล ง ม า
ดังนัน ้ เวลาทีเ่ กิดการหายใจเข้ากระบังลมจึงยืดตัวลงมาทางด้านล่างของช่องท้อ
ง
ขณะเดียวกันช่องระหว่างกระดูกซีโ่ ครงจะขยายออกไปทางด้านบนจนถึงซีโ่ คร
ง ซี่ แ ร ก จ ะ เห็ น ไ ด้ ว่ า เว ล า ห า ย ใ จ เข้ า จ ะ มี ค ว า ม ย า ว ล า ตั ว ม า ก ขึ้ น
และมีการขยายหน้าอกไปข้างหน้าตามการขยายตัวของกระบังลม
เมื่อกระแสประสาทที่กระตุ้นการหายใจเข้าหยุดลง ศูนย์หายใจออก
(expiratory center)
จ ะ เ ริ่ ม ท า ง า น โ ด ย จ ะ ส่ ง ค า สั่ ง ผ่ า น ก ร ะ แ ส ป ร ะ ส า ท (impulse)
ไป ที่ ก ล้ า ม เนื้ อ เอ็ ก เท อ ร์ เนิ ลอิ น เท อ ร์ ค อ ส ท อ ล (external intercostal
muscle) ท า ใ ห้ เ กิ ด ก า ร ยื ด ตั ว
และสั่งให้สว่ นกล้ามเนื้ ออินเทอร์เนิลอินเทอร์คอสทอล (internal intercostal
muscle) ที่ บ ริ เ ว ณ ซี่ โ ค ร งแ ล ะ ก ล้ า ม เนื้ อ ที่ ก ร ะ บั ง ล ม เกิ ด ก าร ห ด ตั ว
รวมทัง้ กล้ามเนื้อเรียบรอบๆถุงลมและท่อทางเดนหายใจเกิดการหดตัวเพือ ่ ขับก๊
าซออกจากร่างกายผ่านทางลมหายใจออก
- การควบคุ ม การหายใจที่ ศู น ย์ ห ายใจที่ ส มองส่ ว นพอนส์ (pons
respiratory center)
98
ทีส
่ มองส่วนพอนส์มีกลุ่มเซลล์ประสาททีเ่ กีย่ วข้องกับการควบคุมการหายใจ 2
ก ลุ่ ม ไ ด้ แ ก่ อั พ นู เ อ ส ติ ด เ ซ็ น เ ต อ ร์ ( apneustic center) แ ล ะ
พ นู โ ม เ ท็ ก ซิ ก เ ซ็ น เ ต อ ร์ (pneumotaxic center)
ก า ร ท า ง า น ข อ ง อั พ นู เ อ ส ติ ด เ ซ็ น เ ต อ ร์ ( apneustic center)
จะเกีย่ วกับการหายใจเข้าโดยจะทางานผ่านส่วนศูนย์ กลางการหายใจเข้าทีส ่ มอ
ง ส่ ว น แ ม ด ดู ล่ า ร์ (medullar respiratory center)
พบว่าถ้ามีการกระตุน ้ ด้วยไฟฟ้ าที่อพ ั นู เอสติดเซ็นเตอร์ (apneustic center)
จะเกิด ภาวะการหายใจเข้าตลอดเวลา ภาวะนี้ เรีย กว่า อัพ นู ลซี ส (apneusis)
โ ด ย อั พ นู เ อ ส ติ ด เ ซ็ น เ ต อ ร์ ( apneustic center)
จะมี ก ารส่ ง กระแสประสาทมากระตุ้ น หรื อ สั่ง การสมองส่ ว นแมดดู ล่ า ร์
(medullar respiratory center) ท างาน ส่ ว น พ นู โม เท็ ก ซิ ก เซ็ น เต อ ร์
(pneumotaxic center)
เ ป็ น ศู น ย์ ห า ย ใ จ ที่ เ กี่ ย ว ข้ อ ง กั บ ก า ร ค ว บ คุ ม ก า ร ห า ย ใ จ เ ข้ า
โ ด ย ไ ม่ ใ ห้ มี ก า ร ห า ย ใ จ ใ ห้ อ า ก า ศ เ ข้ า ที่ ป อ ด ม า ก เ กิ น ไ ป
โ ด ย พ นู โ ม เ ท็ ก ซิ ก เ ซ็ น เ ต อ ร์ (pneumotaxic center)
จะส่งกระแสประสาทไปทีส ่ มองส่วนแมดดูลา่ ร์สว่ นทีเ่ กีย่ วข้อกับการหายใจออก
(medullar exspiratory center) แ ละพ นู เอสติ ด เซ็ น เตอร์ (apneustic
center) ท าให้ ศู น ย์ ก ลางการหายใจออก (exspiratory center) ท างาน
และยับยัง้ การทางานของอัพนูเอสติดเซ็นเตอร์ (apneustic center)
ข .ก า ร ค ว บ คุ ม ก า ร ห า ย ใ จ ท า ง เ ค มี
ในการหายใจนอกจากจะต้องมีการนาก๊าซออกซิเจนเข้าในร่างกายให้เพียงพอ
ต่ อ ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร เ ม ต า โ บ ลิ ซึ ม ข อ ง เ ซ ล ล์ แ ล้ ว
ยังต้องขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกายให้ได้ในปริมาณใกล้เคียงกั
น กั บ ป ริ ม า ณ ที่ เ ซ ล ล์ ผ ลิ ต อ อ ก ม า ด้ ว ย
ดัง นั้ น ใน ก ารห ายใจจึ ง มี ก ารเป ลี่ ย น แป ลงต่ า งๆ เกิ ด ขึ้ น ใน เลื อ ด เช่ น
ก า ร เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ป ริ ม า ณ ข อ ง ก๊ า ซ อ อ ก ซิ เ จ น
ก า ร เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ป ริ ม า ณ ข อ ง ก๊ า ซ ค า ร์ บ อ น ไ ด อ อ ก ไ ซ ด์
รวมทัง้ ปริม าณไฮโดรเจนอิออน (H+) หรือการเปลี่ยนแปลงค่า pH ในเลือ ด
ก า ร เป ลี่ ย น แ ป ล ง ดั ง ก ล่ า ว จ ะ มี ผ ล ใ ห้ ตั ว รั บ ก า ร ห า ย ใ จ ท า ง เค มี
(chemorecepstor or respiratory chemoreceptor)
ส่งสัญญาณไปทีศ ่ ูนย์กลางการหายใจปรับเปลีย่ นกลไกการหายใจจากภาวะทีผ ่ ิ
ด ป ก ติ ใ ห้ ก ลั บ สู่ ภ า ว ะ ส ม ดุ ล
ในการหายใจปกติน้น ั ปริมาณของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในเลือ ด
จะมีบทบาทมากทีส ่ ุดในการควบคุมการหายใจ
ในร่างกายจะมีตวั รับรูก
้ ารเปลีย่ นแปลงของก๊าซคาร์บอนไดออกไ
ซด์อยู่ 2 กลุม่ ได้แก่
- ตัว รับ การหายใจทางเคมี ที่ร ะบบประสาทส่ว นกลาง (central
chemoreceptor)
99
3. ระบบหายใจของสัตว์ปีก
3.1 ท่อทางเดินหายใจ
1) รู จ มู ก (nostril)
สั ต ว์ ปี ก แ ต่ ล ะ ช นิ ด จ ะ มี รู จ มู ก ที่ มี รู ป ร่ า ง ต่ า ง ๆ กั น ไ ป
ป ก ติ จ ะพ บ รู จ มู ก อยู่ ที่ ฐ าน ข องจงอย ป าก รู จ มู ก อาจถู ก ป ก ปิ ด ด้ ว ยข น
ห รื อ อ า จ ปิ ด ส นิ ท ด้ ว ย ฝ า ปิ ด (keratinized) อ ยู่ ที่ ข อ บ ด้ า น บ น
พบได้ในไก่และไก่งวง
2) ช่ อ ง จ มู ก ห รื อ โ พ ร ง จ มู ก (nasal cavity)
เป็ น ช่ อ ง ว่ า ง อ ยู่ ที ใ ต้ ผิ ว ห นั ง บ ริ เว ณ ด้ า น ข้ า ง ข อ ง ข า ก ร ร ไ ก ร บ น
ใช้เป็ นทางผ่านของอากาศเข้าออกจากร่างกายผ่านจากรูจมูกไปทางเพดานปา
กบน แล้วต่อไปยังหลอดลม ปอด และถุงลม
3) ก ล่ อ ง เ สี ย ง (larynx)
ใ น สั ต ว์ ปี ก ก ล่ อ ง เ สี ย ง จ ะ ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย ก ร ะ ดู ก อ่ อ น 4 ชิ้ น คื อ
กระดูกอ่อนแอริทน ิ อยด์ (arytenoid cartilage) 2 ชิน ้ กระดูกอ่อนไครคอยด์
(cricoid cartilage) และกระดูกอ่อนโปรไครคอยด์ (procricoid cartilage)
แ ต่ ไ ม่ มี ก ร ะ ดู ก อ่ อ น เ อ พิ ก ล็ อ ต ทิ ส (epiglottis cartilage)
ก ร ะ ดู ก อ่ อ น ไ ท ร อ ย ด์ (thyroid cartilage)
ก ล่ อ ง เสี ย ง มี ห น้ า ที่ ป้ อ ง กั น ไ ม่ ใ ห้ มี อ า ห า ร เข้ า ไ ป ใ น ร ะ บ บ ห า ย ใ จ
โ ด ย ใ ช้ ก ร ะ ดู ก อ่ อ น โ ก ล ที ส (glottis)
นอกจากนี้ยงั ทาหน้าทีเ่ กีย่ วกับการกลืนอาหาร
4) ห ล อ ด ล ม (trachea)
มีลกั ษณะเป็ นท่อยาวตามความยาวของลาคอเกิดจากการเรียงต่อกันของกระดู
ก อ่ อ น รู ป ว ง แ ห ว น (tracheal ring)
ที่มี ค วามแข็ งมากกว่า ในสัต ว์ เลี้ ย งลูก ด้วยนม เนื่ อ งจากเป็ นกระดู ก ที่เต็ ม วง
ไ ม่ เห มื อ น กั บ สั ต ว์ เลี้ ย ง ลู ก ด้ ว ย น ม ที่ มี รู ป ร่ า ง เป็ น ตั ว ซี (c shape)
สั ต ว์ ปี ก จ ะ มี ช่ อ ง ว่ า ง ใ น ห ล อ ด ล ม ที่ ก ว้ า ง ก ว่ า สั ต ว์ เลี้ ย ง ลู ก ด้ ว ย น ม
จึงหายใจช้ากว่าแต่มีปริมาตรอากาศทีไ่ หลเข้าในร่างกายมากกว่า
5) ห ล อ ด เ สี ย ง (syrinx)
คื อ ส่ ว น ป ล า ย ข อ ง ห ล อ ด ล ม ที่ แ ย ก อ อ ก เป็ น 2 ข้ า ง ซ้ า ย แ ล ะ ข ว า
ประกอบด้ ว ยกระดู ก อ่ อ นที่ มี ค วามแข็ ง เนื่ อ งจากมี ก ารสะสมแคลเซี ย ม
(ossified cartilage) หน้ า ที่ข องหลอดเสี ย งคือ การท าให้เกิด เสี ย ง (voice)
ซึ่ ง เกิ ด จากการสั่น สะเทื อ นของทิ ม พานี ฟอร์ ม เมมเบรน (tympaniform
membrane)
6) ขัว้ ปอด (bronchi or bronchus) คือ บริเวณทีห ่ ลอดเสียง
(syrinx) ของสัตว์ปีกแยกออกเป็ น 2 ทาง เพือ ่ แยกเข้าไปยังเนื้อปอดทัง้ 2 ข้าง
7) ป อ ด (lung) พ บ อ ยู่ ที่ ด้ า น บ น ข อ ง ตั บ
เนื้ อปอดไม่สามารถแบ่งออกเป็ นกลีบๆ (lobe) ได้เหมือนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
โ ด ย ทั่ ว ไ ป ป อ ด แ ต่ ล ะ ข้ า ง จ ะ มี ข น า ด เ ล็ ก แ ล ะ ค่ อ น ข้ า ง แ บ น
102
ป อ ด ข อ ง สั ต ว์ ปี ก จ ะ มี ค ว า ม ยื ด ห ยุ่ น ไ ด้ น้ อ ย ก ว่ า
เ นื่ อ ง จ า ก เ นื้ อ ป อ ด ฝั ง อ ยู่ ใ น ช่ อ ง ซี่ โ ค ร ง
แ ล ะ มี ป ริ ม า ต ร น้ อ ย ก ว่ า ป อ ด ใ น สั ต ว์ เ ลี้ ย ง ลู ก ด้ ว ย น ม
ในเนื้อปอดจะมีระบบท่อขนาดต่างๆเชือ ่ มต่อกันอยูภ
่ ายในและมีทอ ่ ทีเ่ ชือ
่ มต่อกั
บ ถุ ง ล ม ก า ร แ ล ก เป ลี่ ย น ก๊ า ซ อ อ ก ซิ เจ น จ า ก อ า ก า ศ ที่ ห า ย ใ จ เข้ า
และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทม ้ ทีเ่ นื้อเยือ
ี่ ากับเลือดจะเกิดขึน ่ ปอดเช่นเดียวกัน
8) ถุ งลม (air sac) ใน สัต ว์ ปี ก เช่ น ไก่ จ ะมี ถุ งลม 8-9 ถุ ง
ท าหน้ า ที่เ ก็ บ อากาศที่ห ายใจเข้า มาและช่ ว ยในการไล่อ ากาศออกจากปอด
นอกจากนี้ยงั เกีย่ วข้องกับการทาให้รา่ งกายเย็นลงในขณะทีเ่ กิดการบินหรือออ
ก ก า ลัง โด ย ก า ร ร ะ เห ย น้ า ใน ร่ า ง ก าย ผ่ าน อ อ ก ท า งก า ร ห า ย ใจ อ อ ก
ใ น สั ต ว์ ปี ก ที่ ห า กิ น ใ น น้ า ถุ ง ล ม จ ะ ช่ ว ย ใ น ก า ร ล อ ย ตั ว ใ น น้ า
โดยจะท าหน้ าที่ เ หมื อ นทุ่ น ถุ ง ลมที่ แ ทรกเข้ า ไปใน กระดู ก ปี กส่ ว นต้ น
(humerus) จะมีขนาดใหญ่และช่วยในการบินด้วย ถุงลมทีส ่ าคัญได้แก่
ถุงลมทีบ
่ ริเวณช่องท้อง (abdominal air sac) จานวน 2 ถุง
ถุงลมทีบ ่ ริเวณช่องอกส่วนหน้า (cranial thoracic sac) จานวน
2 ถุง
ถุงลมทีบ ่ ริเวณช่องอกส่วนท้าย (caudal thoracic sac) จานวน
2 ถุง
ถุงลมทีบ่ ริเวณคอ (cervical sac) จานวน 2 ถุง
ถุงลมทีบ ่ ริเวณไหปลาร้า (intercervical sac) จานวน 1 ถุง
103