Professional Documents
Culture Documents
มายาคติที แพร หลายในสังคมไทย PDF
มายาคติที แพร หลายในสังคมไทย PDF
มายาคติทแี่ พร่หลายในสังคมไทย
สฤณี อาชวานันทกุล
เนื้อหาส่วนสำคัญในงานของวารอลชิ้นนี้ประมวลมาจากการสังเกตการณ์รัฐประหารและผลพวงของมันใน
ประเทศอียิปต์ ปี 2011 เมื่อเกิดปรากฏการณ์ “อาหรับ สปริง” ที่ประชาชนลุกฮือขึ้นโค่นล้มผู้นำเผด็จการ
นอกจากนี้วารอลยังอ้างถึงรัฐประหารในตุรกี ปี 1960 และรัฐประหารในโปรตุเกส ปี 1974 ว่าทั้งสามกรณีนี้
ล้วนแต่เข้าข่าย “รัฐประหารที่เป็นประชาธิปไตย” ในมุมมองของเขา
ลักษณะของ “รัฐประหารที่เป็นประชาธิปไตย” มีอะไรบ้าง? วารอลสรุปว่ามีอยู่ 7 ประการด้วยกัน เรียง
ตามลำดับความสำคัญได้ดังต่อไปนี้
ผลการเลือกตั้งซึ่งสองพรรคใหญ่มีคะแนนเสียงห่างกันมากขนาดนี้ชี้ว่า การซื้อเสียงมิใช่ประเด็นสำคัญที่ชี้ขาด
ผลการเลือกตั้ง เพราะพรรคการเมืองไม่มีแรงจูงใจใดๆ ที่จะทุ่มเงินซื้อเสียงเพื่อให้ตัวเองชนะคู่แข่งอย่างขาด
ลอยขนาดนี้ (ทุ่มให้ชนะเพียงเล็กน้อยก็พอแล้ว)
ส่วนนโยบายทวงคืนผืนป่าก็ถูกคัดค้านอย่างกว้างขวางจากชาวบ้านและองค์กรพัฒนาเอกชนหลายสิบแห่งที่
ทำงานกับชาวบ้าน ถึงแม้คนเมืองอาจไม่ได้ยินข่าวเท่ากับกระแสการคัดค้าน single gateway เพราะสื่อกระแส
หลักยังไม่ได้นำเสนอเรื่องนี้เท่าที่ควร
นักวิเคราะห์ด้านการทหารหลายฝ่ายมองว่า เศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นและการเพิ่มแสนยานุภาพทางทหารของจีน
ประกอบกับกรณีพิพาทเรื่องเขตแดนระหว่างจีนและญี่ปุ่น ส่งผลให้ชาติอาเซียนต่างเพิ่มการใช้จ่ายด้าน
การทหารมากขึ้นเพื่อถ่วงดุลอำนาจ อีกทั้งยังเป็นการปกป้องเส้นทางขนส่ง ท่าเรือ และเขตแดนทางทะเลซึ่ง
เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญทางเศรษฐกิจ
กฎหมายฉบับนี้กำหนดให้การดำเนินการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในส่วนที่เกี่ยวกับการพิจารณา
งบประมาณการทหาร และการแบ่งสรรงบประมาณของกระทรวงกลาโหม ต้องเป็นไปตามมติของสภากลาโหม
ซึ่งคณะผู้วิจัยฯ ตั้งข้อสังเกตว่า จำนวนสมาชิกของสภากลาโหมที่มีทั้งหมด 26 คน มีเพียง 2 คนมาจากฝ่าย
การเมือง คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธาน
และรองประธานสภากลาโหม ส่วนสมาชิกที่เหลือมาจากฝ่ายกองทัพ ซึ่งเป็นข้าราชการทหารทั้งหมด
เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่า ที่ผ่านมากระบวนการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ของกระทรวงกลาโหมและกองทัพมี
ปัญหาเรื่องความไม่โปร่งใสและความไม่ชอบมาพากลหลายโครงการ เช่น โครงการจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุ
ระเบิด GT200 (ซึ่งบริษัทผู้จัดจำหน่ายในอังกฤษถูกศาลตัดสินในปี 2556 ว่าจงใจจำหน่ายสินค้าปลอม),
โครงการจัดซื้อเรือเหาะ, โครงการจัดซื้อรถหุ้มเกราะยูเครน, โครงการจัดซื้อฝูงบินกริพเพน และโครงการซื้อ
เรือฟริเกต 2 ลำ มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท เป็นต้น
หลายคนบ่นว่าการปฏิรูปเกิดไม่ได้เพียงเพราะผู้มีอำนาจทางการเมืองไม่ทำในสิ่งที่ควรทำ หรือขัดขวางไม่ให้
“ผู้รู้” ได้ทำงาน ราวกับว่าทุกเรื่องเรารู้ๆ กันอยู่แล้วว่าต้องทำอะไรอย่างไร มีองค์ความรู้พร้อมมูลแล้ว รอเพียง
ผู้มีอำนาจมา “เปิดไฟเขียว” ให้ปฏิรูปเท่านั้น
ตัดอำนาจการตรวจสอบโดยศาลปกครองอย่างสิ้นเชิง
ยิ่งไปกว่านั้น หลายคนที่ถูกเจ้าหน้าที่ทหารจับกุมและควบคุมตัวหลายวันโดยอาศัยอนาจตามคำสั่งดังกล่าว ก็
มิได้ “กระทำความผิดซึ่งหน้า” ตามเงื่อนไขในคำสั่งแต่อย่างใด เพียงแต่โพสความคิดเห็นออนไลน์ก่อนหน้าจะ
โดนจับ อย่างเช่นกรณีของ วัฒนา เมืองสุข ซึ่งเพียงแต่แสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์ คสช. และไม่รับร่าง
รัฐธรรมนูญ บางกรณีจับคนไปดื้อๆ เช่น การคุมตัวแอดมินเพจ ‘เปิดประเด็น’ จากสุราษฎร์ธานีมาเข้าค่าย
ทหารแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เป็นเวลา 7 วัน จากนั้นทหารก็คืนคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือให้ แต่ไม่มีการ
แจ้งข้อหาใดๆ
สูญเสียอิสรภาพไป 7 วันโดยไม่รู้ว่าทำไม และอาจสูญเสียข้อมูลส่วนตัวมากมายเพราะคอมพิวเตอร์และ
โทรศัพท์มือถือถูกยึด แต่ไม่มีสิทธิ์ไปร้องเรียนกับใครได้เลย
3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี
กรณีกฎหมายประชามติ
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ทำให้ผู้เขียนสะท้อนใจว่า แม้แต่ศาลก็อาจตกอยู่ใต้มายาคติเกี่ยวกับ
กฎหมายเช่นกัน
ท่ามกลางกระแสเรียกร้องรอบใหม่ให้รัฐเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการกำกับสื่อออนไลน์ หลายคนอาจกำลัง
เข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับความหมายของ “เฮทสปีช” และบทบาทของกฎหมายในประเด็นนี้ ผู้เขียนจึงอยาก
เสริมเติมรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้แจ่มชัดยิ่งขึ้น โดยจะยกกรณีของยุโรปเป็นตัวอย่าง เนื่องจากมีบริบท
ทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจโดยเฉพาะด้านการเมือง และมีประวัติการรับมือกับประเด็นนี้มาอย่างโชกโชน
ประวัติศาสตร์สอนเราว่า ประเทศที่ใช้ระบอบคอมมิวนิสต์ทั่วโลกถึงกาลล่มสลายไม่ใช่เพราะทุกประเทศบัญญัติ
ให้การเผยแพร่หรือพูดคุยเกี่ยวกับระบอบนี้เป็นอาชญากรรม แต่ส่วนหนึ่งเพราะหลายประเทศยอมให้เกิด
“การปะทะทางความคิด” ที่เข้มข้น คนส่วนใหญ่มองเห็นว่าคอมมิวนิสต์ใช้การไม่ได้ อีกทั้งยังคุกคามสิทธิ
เสรีภาพ
ในยุคที่คนไทยแตกแยกแบ่งสีอย่างไม่เคยมีมาก่อน ฝ่ายหนึ่งเรียกร้องเสรีภาพและความยุติธรรมก่อนสิ่งใด
ขณะที่อีกฝ่ายเรียกร้องความรับผิดชอบและจริยธรรมก่อนสิ่งใดเช่นกัน
การเซ็นเซอร์มีหลากหลายรูปแบบนับจากอดีตจวบจนปัจจุบัน ในที่นี้จะพูดถึงเฉพาะการเซ็นเซอร์โดยรัฐเท่านั้น
ไม่ใช่การเลือกเซ็นเซอร์โดยปัจเจกเอง (เช่น พ่อแม่ซื้อโปรแกรมมาเซ็นเซอร์เน็ตบนคอมพิวเตอร์ที่บ้าน เพราะไม่
อยากให้ลูกเข้าเว็บโป๊) เพราะการเซ็นเซอร์โดยรัฐส่งผลต่อประชาชนทั้งชาติ และจะเน้นเฉพาะการเซ็นเซอร์
เนื้อหาในอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ในฐานะเวทีสื่อสารของประชาชนที่ทรงพลังสูงสุดในประวัติศาสตร์
ในเมื่อโครงสร้างสถาปัตยกรรมของอินเทอร์เน็ตถูกออกแบบมาให้ส่งข้อมูลอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
สูงสุด ระบบจึงมองการปิดกั้นต่างๆ ว่าเป็น “ปฏิปักษ์” ที่ต้องก้าวข้าม ด้วยเหตุนี้ การปิดกั้นไม่ว่าจะทำใน
รูปแบบใดก็ตามล้วนส่งผลให้ความเร็วของการเชื่อมต่อลดลงสำหรับผู้ใช้ ทุกราย ที่เป็นลูกค้าของผู้ให้บริการที่
ปิดกั้นอินเทอร์เน็ต มิใช่ช้าลงแต่เฉพาะสำหรับผู้ใช้เน็ตที่ประสงค์จะดูเนื้อหาที่ถูกปิดกั้นเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น
ราคาทางตรงและทางอ้อมเหล่านี้ ประกอบกับมาตรการติดตามสอดส่องอย่างเข้มข้นของรัฐซึ่งมักจะดำเนิน
ควบคู่ไปกับการปิดกั้นอินเทอร์เน็ต บั่นทอนแรงจูงใจของนักนวัตกรรม ผู้ประกอบการ และนักลงทุนในการ
ลงทุนใหม่ๆ มองว่า “ไม่คุ้ม” ที่จะลงทุนและพัฒนานวัตกรรม อีกทั้งยังทำให้ผู้ประกอบการและนักลงทุนต่าง
ด้าวไม่อยากเสี่ยงกับการเข้ามาลงทุนในประเทศที่รัฐปิดกั้นอย่างเข้มงวด หันไปมองหาทางเลือกใหม่ในประเทศ
อื่นที่มีเสรีภาพอินเทอร์เน็ตสูงกว่า
ยิ่งปิดกั้นอินเทอร์เน็ต โอกาสและคุณภาพของการอภิปรายสาธารณะยิ่งถดถอย
ความกังวลที่รัฐมีต่อประเด็นที่อ่อนไหวอย่างสถาบันกษัตริย์หรือการเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งนำไปสู่การปิด
กั้นแทนที่จะจัดการกับปัญหาอย่างตรงไปตรงมา รังแต่จะขัดขวางพัฒนาการของระบบภูมิคุ้มกันในสังคม การ
สรุปเอาเองว่าประชาชนจะถูก “หลอก” โดยข้อมูลเท็จหรือข้อมูลอื่นๆ จนรัฐต้องยื่นมือเข้ามาปิดกั้นไม่ให้เข้าถึง
เท่ากับการไม่เปิดโอกาสให้สังคมคิดได้ด้วยตัวเอง ซึ่งขัดกับมโนทัศน์เรื่องภูมิคุ้มกันในสังคมที่เชื่อว่า ในสังคม
หรือชุมชนหนึ่งๆมีความสามารถในการแก้ไขตนเองได้ (self-correct) ผ่านความพยายามร่วมกัน (collective
effort) ของสมาชิกในชุมชน หรือสังคมนั้นๆ
มองอีกด้านหนึ่ง สิ่งที่รัฐทำอาจไม่ใช่แค่การขัดขวางพัฒนาการเท่านั้น แต่ยังเป็นการพยายามทำลายระบบ
ภูมิคุ้มกันในสังคมที่ว่านี้ทางอ้อม การที่รัฐพร้อมตอบสนองต่อข้อร้องเรียนของผู้คนในประเด็นอ่อนไหว ในระยะ
ยาวจะทำให้สมาชิกในสังคมคุ้นเคยกับการร้องหาความรับผิดชอบจากรัฐบาลหรือผู้มีอำนาจ เมื่อไรก็ตามที่พวก
เขารู้สึกไม่สบายใจกับ “เนื้อหาไม่เหมาะสม” ต่างๆ
การปิดกั้นอินเทอร์เน็ตส่งผลให้ปัญหาที่แท้จริงซึ่งควรจะนำมาอภิปรายถกเถียงกัน มีแต่จะถูกกวาดเข้าใต้พรม
และปกปิดจากสายตา อีกทั้งยังมิได้เป็นหลักประกันใดๆ ว่าผู้กระทำผิด (ในกรณีที่ละเมิดกฎหมายอย่างชัดเจน)
จะถูกจับกุมตัว ผู้เชี่ยวชาญบางคนมองว่า การปิดกั้นนอกจากแสดงให้เห็นถึงการไม่เชื่อถือในวิจารณญาณของ
ประชาชนแล้ว ยังก่อให้เกิดการตั้งคำถามเกี่ยวกับเจตนารมณ์ที่แท้จริงของรัฐว่า ใช้มาตรการปิดกั้นอินเทอร์เน็ต
เพื่อคุ้มครองประชาชนหรือพัฒนาสังคม หรือเพื่อปกป้องอำนาจเก่าจากการถูกวิพากษ์วิจารณ์กันแน่
ราคาของการเซ็นเซอร์ไม่ใช่เรื่องนามธรรมหรืออยู่แต่ในทฤษฎีเท่านั้น แต่เป็นราคาจริงที่ผู้ใช้เน็ตและผู้ให้บริการ
ต้องจ่ายแพงขึ้นเรื่อยๆ
แต่ความนิยมของเวยโป๋จากการมอบเสรีภาพให้กับผู้ใช้ ก็ทำให้ถูกรัฐบาลจีนคุกคามและยกภาระในการ
เซ็นเซอร์มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2011 รัฐบาลสั่งให้ผู้ใช้ลงทะเบียนด้วยชื่อและนามสกุลจริงก่อนโพสบน
เวยโป๋ ต่อมาปี 2012 รัฐบาลออกกฎ “ห้าครั้งออก” – ระงับการเข้าถึงถ้าหากผู้ใช้คนไหนโพสเกี่ยวกับประเด็น
“อ่อนไหว” ทางการเมืองครบห้าครั้ง และในปี 2013 รัฐบาลจีนก็จับผู้ใช้เวยโป๋ที่ “เผยแพร่ข่าวลืออันเป็นเท็จ”
ออนไลน์อย่างจริงจัง
เหตุการณ์เหล่านี้ส่งผลให้ผู้ใช้เวยโป๋ลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดหลังจากที่รัฐบาลจีนออกกฎหมายใหม่ มี
บทลงโทษขั้นจำคุกสำหรับใครก็ตามที่โพสข้อความซึ่ง “ไม่ถูกต้องเที่ยงตรง” และถูกกระจาย (รีโพส) ต่อกัน
มากกว่า 500 ครั้ง จำนวนผู้ใช้เวยโป๋รายเดือนก็ลดลงอีก 28 ล้านคน ส่งผลให้วันนี้มีผู้ใช้รายเดือนเพียง 129
ล้านคนเท่านั้น ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของทวิตเตอร์
นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าความนิยมของวีแชท (WeChat) คู่แข่งของเวยโป๋ เป็นปัจจัยหนึ่งที่อธิบายว่าเหตุ
ใดเวยโป๋จึงได้รับความนิยมน้อยลง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามาตรการเซ็นเซอร์ต่างๆ ของภาครัฐส่งผลกระทบรุนแรง
ยิ่งกว่านั้นมาก
ไม่นับว่าการมองเห็นและยอมรับความหลากหลายทางความคิด เป็นปัจจัยที่ขาดไม่ได้ของการสร้างฉันทามติ
เพือ่ ขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะในสังคมสมัยใหม่
อีธานจบบทความชิ้นนี้ว่า สื่อมืออาชีพทั้งหลายจะต้องสร้างสื่อที่ช่วยให้เราได้พบกับข้อมูลที่เราต้องการจริงๆ
ในแง่ความสำคัญต่อชีวิตและสังคม ไม่ใช่แค่สื่อที่ช่วยให้เราพบกับข้อมูลที่เราคิดไปเองว่าต้องการ แต่อันที่จริง
อาจไม่ต้องการเลยก็ได้
หลายคนมีมายาคติเกี่ยวกับการพัฒนาว่า ประเทศไหนก็แล้วแต่สามารถพัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างเป็นเอกเทศกับ
ระบอบการเมือง คนที่เชื่อแบบนี้มักจะยก จีน กับ สิงคโปร์ ขึ้นมาเป็นตัวอย่างของสองประเทศที่พัฒนาได้อย่าง
ก้าวกระโดด ทั้งที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และดังนั้นจึงเชื่อว่าระบอบเผด็จการยุคนี้อย่าง คสช. จะทำให้ประเทศ
พัฒนาทางเศรษฐกิจได้
ผู้เขียนทั้งสองได้ข้อสรุปข้างต้นผ่านการศึกษาประวัติศาสตร์การพัฒนาของประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศ
เพื่อนบ้านหลายคู่ซึ่งมีลักษณะทางภูมิประเทศ ระดับทรัพยากร ฯลฯ คล้ายคลึงกัน แต่ระดับพัฒนาการทาง
เศรษฐกิจกลับแตกต่างกันสุดขั้ว เช่น เม็กซิโก/สหรัฐอมเริกา เกาหลีเหนือ/เกาหลีใต้ และ ซิมบับเว/บอทสวานา
พูดอีกอย่างคือ สถาบันทางเศรษฐกิจซึ่งโอบอุ้มคนทั้งสังคมจะยั่งยืนก็ต่อเมื่อมีสถาบันทางการเมืองซึ่งโอบอุ้มคน
ทั้งสังคม (inclusive political institutions) มารองรับสนับสนุน
ด้วยเหตุนี้ ชนชั้นนำดั้งเดิมจะสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจก็ต่อเมื่อพวกเขารู้สึกมั่นคงในอิทธิพลของตัวเอง
หรือไม่ก็รู้สึกว่าไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว (เพราะเห็นแววว่าประชาชนจะลุกฮือขึ้นประท้วง ฯลฯ)
นักเศรษฐศาสตร์ทั้งสองย้ำเตือนว่า การปฏิรูปเศรษฐกิจของจีนนั้นมิได้ถือกำเนิดในแผนอันชาญฉลาดจาก
มันสมองของผู้นำจีน ดังที่เรื่องเล่า “ทางการ” นำเสนอ หากแต่เกิดในความขัดแย้งทางการเมืองภายในพรรค
คอมมิวนิสต์เอง ระหว่าง เติ้งเสี้ยวผิง กับ “แก๊งสี่คน” และการปฏิรูปยุคแรกก็เกิดจากการที่พรรคคอมมิวนิสต์
พยายาม “ตามให้ทัน” สถานการณ์ในโลกจริง หลังจากที่การปฏิวัติวัฒนธรรมส่งผลให้เกิดสุญญากาศทาง
การเมืองและความสูญเสียใหญ่หลวง นานก่อนที่ เติ้งเสี่ยวผิง จะประกาศการปฏิรูป การทดลองโดยเอกชนและ
ประชาชนก็เกิดขึ้นแล้วในหลายพื้นที่ ชาวบ้านหลายหมู่บ้านยกเลิกคอมมูนและเริ่มใช้ระบบเช่าที่นา และชีวิตก็
ดีขึ้นอย่างชัดเจน เหตุการณ์เหล่านี้เท่ากับบังคับให้เติ้งกับชนชั้นนำคนอื่นๆ เริ่มผ่อนคลายกฎเกณฑ์ สนับสนุน
สถาบันทางเศรษฐกิจซึ่งโอบอุ้มคนทั้งสังคมมากขึ้น
11. มายาคติเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชน
จากการศึกษาแบบแผนการพัฒนาตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาของประเทศทั่วโลก อาเซโมกลูกับโรบิน
สันสรุปว่า ประเทศพัฒนาแล้วไม่ได้รวยเพราะ “ได้คนดี” แต่เป็นเพราะสามารถสร้าง “สถาบันทางเศรษฐกิจซึ่ง
โอบอุ้มคนทั้งสังคม” (inclusive) มากขึ้นเรื่อยๆ ขึ้นมาแทนที่สถาบันซึ่ง “ตักตวงทรัพยากร” (extractive)
ออกไปให้กับคนกลุ่มเดียว
การกีดกันประชาชนออกจากท้องถนน ขีดวงอภิปรายเรื่องการปฏิรูปประเทศให้อยู่ภายในการวิ่งล็อบบี้และการ
ทำหน้าที่ของ สปช. ทำให้ผู้เขียนนึกถึงแง่คิดที่ได้รับจากการไปดูงานของ เอ็กต้า ปาริฉัตร (Ekta Parishad,
http://www.ektaparishad.com/ ชื่อในภาษาฮินดีแปลว่า “สมัชชาสามัคคี”) องค์กรเคลื่อนไหวภาค
ประชาชนของอินเดียที่ทำงานมานานกว่า 25 ปี
เอ็กต้าทำงานร่วมกับองค์กรเครือข่ายกว่าหมื่นองค์กรทั่วประเทศและสมาชิกหลายพันคน กระจายตัวกันอยู่ใน
พื้นที่ 10 แคว้นทั่วอินเดีย เน้นการทำงานระดับรากหญ้า เริ่มต้นจากการส่งคนไปลงแรงปรับปรุงสาธารณูปโภค
ในหมู่บ้าน เช่น สร้างส้วม ขุดลอกคูคลอง ฯลฯ เพื่อชี้ให้ชาวบ้านเห็นว่า มีหลายสิ่งที่พวกเขาสามารถทำเองได้
เพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของตัวเอง
เนื่องจากคนจนและคนที่ถูกกดขี่เชิงโครงสร้างหรือสังคมไม่ยอมรับ เช่น กลุ่มชาติพันธุ์ คนชายขอบ ดาลิตหรือ
จัณฑาล มักจะรู้สึกสิ้นหวังท้อแท้ในชีวิตเพราะถูกสังคมรังเกียจ นักการเมืองก็ไม่เหลียวแล การทำให้พวกเขา
ตระหนักใน “ศักยภาพ” ของตนเอง เริ่มเกิดความเชื่อมั่นในตนเอง จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญยิ่ง
กระบวนการหลังจากนั้นคือให้ชาวบ้านร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาในชุมชน เชื่อมโยงปัญหาเข้ากับปัญหาระดับ
โครงสร้าง พัฒนาแกนนำจากการจัดค่ายเยาวชน จัดกิจกรรมการศึกษาต่างๆ และชี้ให้เห็นความสำคัญของการ
เรียกร้องสิทธิอันพึงมีของตน โดยยึดมั่นในหลักอหิงสาของมหาตมะคานธี
การกีดกันคนออกจากท้องถนนจึงไม่อาจช่วยให้สังคมเป็นประชาธิปไตยกว่าเดิมได้เลย.
13. ราคาของการทุจริตคอร์รัปชั่น
ด้านสิ่งแวดล้อม คอร์รัปชั่นผลักดันให้การทำลายสิ่งแวดล้อมและตักตวงทรัพยากรธรรมชาติดำเนินไปอย่างไม่
บันยะบันยัง โดยเฉพาะในเมื่อสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติไม่มีเสียงจะทวงสิทธิในการอยู่ร่วมโลกกับมนุษย์ ประเทศ
ไหนคอร์รัปชั่นอยู่ในระดับสูง ธรรมชาติของประเทศนั้นยิ่งถูกทำลาย เมื่อบริษัทจ่ายสินบนให้เจ้าหน้าที่รัฐเอาหู
ไปนาเอาตาไปไร่ ให้บริษัทได้ประกอบธุรกิจเหมืองแร่ ตัดไม้ทำลายป่า เกษตรกรรม ฯลฯ โดยไม่ต้องใส่ใจกับ
การทำตามกฏหมายและกฏระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม
เงินจำนวนนี้ไม่ใช่น้อยๆ เลยสำหรับประชากรในชุมชนที่ยากจนและอยู่กันอย่างแออัด
งานวิจัยเรื่องคอร์รัปชั่นกับความยากจนจำนวนมากยืนยันว่า คอร์รัปชั่นส่งผลกระทบมหาศาลต่อชีวิตของคนจน
ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2010 ครอบครัวยากจนในเม็กซิโกหมดเงินกว่าหนึ่งในห้าของรายได้ทุกเดือนไปกับการติด
สินบนเจ้าหน้าที่ ในปีเดียวกัน งานวิจัยอีกชิ้นรายงานว่าร้อยละ 44 ของพ่อแม่ยากจนในเจ็ดประเทศ ทวีป
แอฟริกา เคยจ่ายสินบนให้กับเจ้าหน้าที่โรงเรียนรัฐเพื่อส่งลูกเรียนหนังสือ ทั้งที่การเรียนฟรีเป็น สิทธิ ตาม
กฏหมาย
ผลลัพธ์นี้มีเหตุมีผลถ้าเรานึกถึงแรงจูงใจของคน ถ้าหากเจ้าหน้าที่คุมด่านที่อยู่ใกล้ปลายทางไม่รู้จักเจ้าหน้าที่คน
อื่นๆ เขาก็จะอยากไถ “แพง” กว่าเจ้าหน้าที่ประจำด่านที่อยู่ใกล้จุดตั้งต้น เพราะรู้ดีว่าถ้าคนขับรถบรรทุกไม่
ยอมจ่าย เขาก็จะต้องขับรถวกกลับไปทางเดิม แล้วก็จะถูกตำรวจด่านแรกๆ ไถอีกรอบ – เจ้าหน้าที่ด่าน
ปลายทางมีอำนาจต่อรองสูงมากเพราะมี “อำนาจผูกขาด” มากกว่าคนอื่น
ผลของงานวิจัยครั้งนี้สอดคล้องกับงานวิจัยอีกหลายชิ้นซึ่งระบุว่า การกระจายอำนาจไม่ช่วยลดระดับคอร์รัปชั่น
ในกรณีที่ “ผู้ติดตามตรวจสอบ” อย่างเช่นองค์กรปราบปรามคอร์รัปชั่นและสื่อมวลชนไม่ทำงาน หรือยังทำงาน
ได้ไม่ดีพอ การกระจายอำนาจจะช่วยลดคอร์รัปชั่นก็ต่อเมื่อสังคมมี “สภาพแวดล้อมข้อมูลข่าวสาร” ที่ดีพอแล้ว
เท่านั้น
1) ประชานิยมในรัสเซียและอเมริกา เป็นประชานิยมในความหมายดั้งเดิมที่เกิดขึ้นในรัสเซียและอเมริกาใน
ปลายศตวรรษที่ 19 โดยมีนัยว่าหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เห็นว่าประชาชนสำคัญที่สุด โดยทั้งใน
รัสเซียและสหรัฐอเมริกานั้นขบวนการประชานิยมที่ต้องการเปลี่ยนแปลงทางสังคมนั้นคือชาวนา ซึ่งเป็นชนส่วน
ใหญ่ของสังคม
3) ประชานิยมในประเทศตะวันตก คือการเมืองที่มีพรรคการเมืองบางพรรคได้รับความสนับสนุนจากสามัญชน
จากนโยบายที่เป็นที่ชื่นชอบหรือมีอุดมการณ์ตรงกัน
4) ประชานิยมในฐานะแนวทางการพัฒนา ใช้เรียกแนวคิดการพัฒนาที่เน้นภาคชนบท เน้นภาคเกษตร เน้นการ
พัฒนาไร่นาขนาดเล็ก ขนาดกลางของเกษตรกรอิสระหรือสหกรณ์ที่ชาวไร่ชาวนามารวมกัน เป็นทางเลือกของ
การพัฒนาที่ไม่เน้นการพัฒนาให้เป็นเมืองแบบตะวันตกนั่นเอง
5) ประชานิยมคือการให้ความสำคัญหรือให้คุณค่าแก่ประชาชน คือการเมืองที่ให้คุณค่าแก่ประชาชน
โดยเฉพาะประชาชนทั่วไปหรือชนชั้นล่าง การเมืองที่เห็นความสำคัญของประชาชนทั่วไปจึงเป็นประชานิยม
เสมอ
ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า การดำเนินนโยบายทางการเมืองของรัฐบาลทักษิณนั้นไม่อาจจัดเป็นประชานิยมใน
ความหมายใดได้เคร่งครัดนัก จึงต้องพิจารณาจากหลายความหมายประกอบกันแล้วแต่เงื่อนไขหรือลักษณะ
เน้นหนักของนโยบายแต่ละด้าน ...การให้ความสำคัญกับประชาชนทั่วไปของนโยบายน่าจะเป็นลักษณะสำคัญ
ที่ถูกมองว่าเป็นนโยบายประชานิยม
อุดมการณ์หรือจุดยืนของนักเศรษฐศาสตร์ก็มีส่วนสำคัญต่อการมองนโยบายประชานิยมเช่นกัน นัก
เศรษฐศาสตร์ยิ่ง “ขวา” บนไม้บรรทัดอุดมการณ์เท่าไร ยิ่งมีแนวโน้มจะตีขลุมเหมารวมนโยบายประชานิยมว่า
“เลว” ถ้าถึงขั้น “ขวาตกขอบ” ก็จะก่นด่าแม้แต่นโยบายสวัสดิการว่า เป็นประชานิยม (ในความหมายแง่ลบ
คือ ไม่คุ้มค่า บ่อนทำลายเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว)
เพราะนักเศรษฐศาสตร์ขวาตกขอบบูชากลไกตลาดว่าศักดิ์สิทธิ์และทำงานได้ดีกว่ารัฐในทุกกรณี เชื่อมั่นว่า
ประโยชน์ทางเศรษฐกิจจะ “ไหลริน” มาสู่คนส่วนใหญ่โดยอัตโนมัติ นโยบายอะไรก็ตามที่ส่งเสริมให้รัฐ
แทรกแซงกลไกตลาดจึงต้อง “แย่” แน่ๆ
ในเมื่อประชานิยมเป็นนโยบายที่ต้องใช้เงินงบประมาณ ลองมาดูความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ไทยกันบ้าง
เพราะพวก “ขวาตกขอบ” กับ “ซ้ายตกขอบ” (ผู้เขียนหวังว่า)น่าจะเป็นส่วนน้อยอยู่
มิติหลักๆ ที่นักเศรษฐศาสตร์มองในการประเมินนโยบายประชานิยมได้แก่
“ความเสียหาย” จากนโยบายประชานิยมก็มีหลายแบบ:
แล้วเรามีกลไกอะไรบ้าง (นอกเหนือจากการคาดหวังให้พรรคฝ่ายค้านทำหน้าที่อย่างเข้มข้นและตรงไปตรงมา)
ที่ไม่มองแคบ ไม่ลิดรอนสิทธิของพรรคการเมืองหรือดูแคลนความต้องการของประชาชน แต่จะช่วยป้องกัน
ความเสียหายขั้นมโหฬารจากนโยบายที่แย่จริงๆ ได้?
ผู้เขียนสรุปหลักการและเหตุผลจากเว็บดังกล่าวได้ดังนี้ –
สมาชิกรัฐสภาทั้งที่สังกัดพรรครัฐบาลหรือไม่สังกัดพรรครัฐบาลล้วนสามารถใช้ประโยชน์จากบทวิเคราะห์ของ
PBO ช่วยให้ทำหน้าที่ในรัฐสภาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ PBO ที่ประสบความสำเร็จทั่วโลกยัง
มีบทบาทสำคัญในการให้บริการภาคประชาชน เพราะภาคประชาชนสามารถใช้บทวิเคราะห์ที่เป็นกลาง
ทางการเมืองของ PBO ในการติดตามและตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร
แนวทางเหล่านี้ไม่จำกัดความคิดสร้างสรรค์ของรัฐบาล ไม่ลิดรอนสิทธิของนักการเมืองที่ได้อำนาจรัฐในการ
ดำเนินนโยบายประชานิยมเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน
ตัวอย่างบางมาตราในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายประชานิยม มีอาทิ
มาตรา 58 รัฐต้องรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัดเพื่อให้ฐานะทางการเงินการคลังของรัฐมีเสถียรภาพ
และมั่นคงอย่างยั่งยืนตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ
ในกรณีที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเห็นพ้องด้วยกับผลการตรวจสอบดังกล่าว ให้ปรึกษาหารือร่วมกับ
คณะกรรมการการเลือกตั้งและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หากที่ประชุมร่วมเห็น
พ้องกับผลการตรวจสอบนั้น ให้รวมกันมีหนังสือแจ้งสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
โดยไม่ชักช้า และให้เปิดเผยผลการตรวจสอบดังกล่าวต่อประชาชนเพื่อทราบด้วย
มาตราทั้งหมดนี้ฟังเผินๆ อาจดูดี แต่อย่างที่สุภาษิตฝรั่งว่า “ซาตานอยู่ในรายละเอียด”
นอกจากนี้ มาตรา 139 ยังระบุว่า ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณ ของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือ
ของคณะกรรมาธิการ “การเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใดๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทน
ราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการมีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย จะ
กระทำมิได้” โดยให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจรับเรื่องจาก ส.ส. หรือ ส.ว. หนึ่งในสิบ มาวินจิ ฉัยว่ามีการกระทำที่
ฝ่าฝืนข้อนี้หรือไม่ และกรณีที่ “คณะรัฐมนตรีเป็นผู้กระทำการหรืออนุมัติให้กระทำการ หรือรู้ว่ามีการกระทำ
ดังกล่าวแล้วแต่มิได้สั่งยับยั้ง ให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย”
ปลาย่อมมองไม่เห็นน้ำฉันใด นักธุรกิจย่อมมองไม่เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ตนมีส่วนก่อฉันนั้น
มายาคติเรื่องหนึ่งซึ่งดูจะฝังลึกมาก เมื่อดูจากแนวคิดที่จะปรับลดหรือยกเลิกสวัสดิการพื้นฐานในไทยซึ่งพัด
กระพือเป็นข่าวลือข่าวลวงอยู่เนืองๆ คือ ความเชื่อที่ว่า “ถ้ารัฐแจกเงินคนจน คนจนก็จะประพฤติตัวเหลวไหล
แบมือขอรัฐอยู่ร่ำไป”
ในรายงานฉบับนี้ แบนเนอร์จีกับเพื่อนร่วมงานประเมินผลกระทบจากโครงการแจกเงินคนจนโดยรัฐเจ็ด
โครงการทั่วโลก ในประเทศเม็กซิโก โมร็อกโก ฮอนดูรัส นิคารากัว ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย โดยใช้วิธีทดลอง
แบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม (randomized controlled trial ย่อว่า RCT) ได้ข้อสรุปว่า “ไม่พบหลักฐานที่เป็น
ระบบใดๆ ว่า โครงการแจกเงินเหล่านี้ลดแรงจูงใจของผู้รับที่จะหางานทำ”
“คนจน” จนเพราะอะไร?
หนังสือเรื่อง Poor Economics (เศรษฐศาสตร์ความจน) โดย อภิจิต แบนเนอร์จี (Abhijit Banerjee) กับ เอส
เธอร์ ดูฟโล (Esther Duflo) สองนักเศรษฐศาสตร์พัฒนาในดวงใจของผู้เขียน ทะลุทะลวงวาทกรรมและการ
เหมารวมของทั้งสองค่ายนี้ด้วยการยกบทวิเคราะห์ทางสถิติ และผลการทดลองสายเศรษฐศาสตร์เชิงประจักษ์
มากมายมาชี้ให้เห็นว่า คนจนคิดและรู้สึกอย่างไรจริงๆ และนโยบายแก้ปัญหาความยากจนที่ได้ผลจะต้องมี
ลักษณะอย่างไรบ้าง
ต่อให้เป็นเรื่องที่คนจนรู้ตัวว่าพวกเขาไม่รู้ ความไม่แน่นอนที่ตามมาก็อาจส่งผลกระทบเชิงลบสะสมในระยะยาว
มหาศาล ยกตัวอย่างเช่น ความไม่แน่ใจว่าการถ่อไปสถานีอนามัยเพื่อเอาลูกไปฉีดวัคซีน (ต้องเสียเวลาและ
ค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่สูงมากสำหรับคนจน มักหมายถึงการขาดรายได้ไปทั้งวัน) เป็นสิ่งที่ “ได้คุ้มเสีย” หรือ
เปล่า ประกอบกับธรรมชาติมนุษย์ทุกฐานะที่ชอบผัดวันประกันพรุ่ง ส่งผลให้เด็กในครอบครัวยากจนจำนวน
มากไม่ได้รับวัคซีน สุ่มเสี่ยงเป็นโรคที่ป้องกันได้
ข้อสอง คนจนต้องแบกรับความรับผิดชอบสำหรับหลายมิติในชีวิตมากเกินไป
ข้อสาม มีเหตุผลที่ตลาดบางตลาดยังไม่มีสำหรับคนจน
ข้อห้า ความคาดหวังเกี่ยวกับสิ่งที่คนทำได้และไม่ได้มักจะกลายเป็นคำพยากรณ์ที่กลายเป็นความจริงเพราะ
พยากรณ์แบบนั้น (self-fulfilling prophecy)
(ไม่ได้แปลว่าไม่มีคนที่นำเงินไปใช้ซื้อของเหล่านี้ แต่พวกเขาเป็นเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้น)
เราจะอธิบายผลการค้นพบในงานวิจัยชิ้นนี้ได้อย่างไร? ในฐานะที่ผู้เขียนเคยสัมภาษณ์สมาชิกและกรรมการ
กองทุนหมู่บ้านนับร้อยคนทั่วประเทศระหว่างทำงานวิจัย ผู้เขียนเห็นว่าผลการค้นพบของทาวน์เซนด์และทีมใน
รายงานข้างต้นนั้น เป็นข้อพิสูจน์ชั้นดีถึง “ความมีเหตุมีผล” ของชาวบ้าน ซึ่ง “ผู้เชี่ยวชาญ” หลายคนที่ทำงาน
ในหอคอยงาช้างมักจะมองไม่เห็น
ลองนึกภาพว่า ถ้าเราเป็นเกษตรกรธรรมดาๆ ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง กองทุนหมู่บ้านให้กู้เงินเพียง 20,000 บาทต่อ
ราย ระยะเวลา 1 ปี (อย่างน้อยก็ในระยะแรกซึ่งทาวน์เซนด์ศึกษา ไม่ใช่ในระยะหลังซึ่งมีการขยายโครงการและ
ยกสถานะหลายแห่งขึ้นเป็นสถาบันการเงินชุมชน มีสิทธิรับเงินฝากและปล่อยสินเชื่อในวงเงินมากกว่านี้ได้)
ด้วยเหตุนี้ การนำเงินกู้ 20,000 บาท ไปซ่อมบ้าน ซ่อมรถ ใช้จ่ายในกิจกรรมทางสังคม เช่น งานศพ หรือใช้จ่าย
ฉุกเฉิน ช่วยให้บริโภคได้อย่างสม่ำเสมอระหว่างที่ยังไม่มีรายได้จากการขายผลผลิตเข้ามา (ภาษาเศรษฐศาสตร์
เรียกว่า “การเกลี่ยการบริโภค” หรือ consumption smoothing) จึงเป็นการกระทำที่ “มีเหตุมีผล” ดีแล้ว
สอดคล้องกับข้อค้นพบของทาวน์เซนด์และทีม
ผลการทดลองเกมนี้นับครั้งไม่ถ้วนโดยนักเศรษฐศาสตร์และนักจิตวิทยาให้ผลไปในทิศทางเดียวกันตลอดมาว่า
ฝ่ายผู้เสนอส่วนใหญ่เลือกที่จะเสนอส่วนแบ่งที่ “เป็นธรรม” คือ 50-50 หรือใกล้เคียง แต่ที่น่าแปลกใจกว่าคือ
ฝ่ายผู้รับส่วนใหญ่ (หลายครั้งมากกว่าร้อยละ 80) เลือก “ปฏิเสธ” ข้อเสนอที่ตนได้เงินน้อยกว่าครึ่งหนึ่งมาก
เช่น 80-20 หรือ 90-10 ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า ถ้าปฏิเสธทั้งคู่จะไม่มีใครได้เงินเลยตามกติกาของเกม
ความเหลื่อมล้ำด้านสิทธิและโอกาสแทบไร้ซึ่งข้อถกเถียงเรื่องราคา ทว่าความเหลื่อมล้ำด้านเศรษฐกิจกลับเป็น
สิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ยังถกเถียงกันไม่สิ้นสุด
สวีเดนกับญี่ปุ่นมิใช่ประเทศที่ดีพร้อมสมบูรณ์แบบ แต่เมื่อชั่งน้ำหนักระหว่างราคาของความเหลื่อมล้ำระดับสูง
กับราคาของความเท่าเทียมกันระดับสูง แล้วหันกลับมามองดูรูปธรรมของความเหลื่อมล้ำด้านเศรษฐกิจ สิทธิ
และโอกาสในสังคมไทยทุกวันนี้ เราก็น่าจะตอบได้ไม่ยากนักว่า สังคมแบบไหนน่าอยู่กว่ากัน
มายาคติเกี่ยวกับศีลธรรมและความรับผิดชอบของธุรกิจ
19. ราคาของศีลธรรม
งานวิจัยของนักจิตวิทยาศีลธรรมอย่างเฮดท์ช่วยเผยความเร้นลับของศีลธรรมให้เราเห็นอีกหลายชั้น โดยเฉพาะ
ในระดับของการเมือง ซึ่งมีศีลธรรมเข้ามาข้องเกี่ยวอย่างหนีไม่พ้น เพราะถ้าหากศีลธรรมช่วยเราตอบคำถามว่า
“เราควรใช้ชีวิตอย่างไร” ในระดับปัจเจก การเมืองก็พยายามตอบคำถามเดียวกันในระดับที่ใหญ่กว่า คือสังคม
ทั้งสังคม
รากฐานของความแตกต่างระหว่างคนสองกลุ่มนี้มาจากไหนในวิวัฒนาการของมนุษย์? เฮดท์เสนอว่าปัจจัยทาง
ภูมิศาสตร์น่าจะมีส่วนสำคัญ จากการที่เขาสังเกตว่าชุมชนที่สมาชิกมีความใกล้ชิดกันสูง ทั้งกลุ่มมีเชื้อชาติและ
ชาติพันธุ์เดียวกัน มีแนวโน้มที่จะเป็นอนุรักษ์นิยมอย่างเข้มข้นที่สุด ในขณะที่คนในชุมชนชายฝั่งอย่างเมืองท่า
ซึ่งมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมสูงกว่า (มีคนอพยพจากต่างแดนขึ้นฝั่งมาอาศัยอยู่มากกว่า) มักจะเป็นเสรี
นิยมมากกว่า เพราะการต้องพบปะสังสันทน์ ค้าขายและอยู่ร่วมกับคนต่างวัฒนธรรม “จำเป็น” ต้องใช้แนวคิด
แบบเสรีนิยมมากกว่าอนุรักษ์นิยม ให้น้ำหนักกับความมีน้ำใจ (ต่อคนแปลกหน้า) และความเป็นธรรม (ระหว่าง
คนต่างกลุ่ม) มากกว่าความภักดี (ต่อกลุ่มของตัวเอง) และความบริสุทธิ์ (ของเชื้อชาติ/ชาติพันธุ์)
หลายสิ่งหลายอย่างในโลกนี้เรารู้ดีว่าไม่พึงปรารถนาและไม่น่าพิศมัย แต่ก็ไม่ใยดีกับการพยายามมองให้เห็น
“ราคา” ของมันอย่างถ่องแท้เพื่อลดต้นทุนที่ต้องจำใจจ่าย ซ้ำร้ายยังไม่ค่อยอยากยอมรับว่าเราเองก็เป็นส่วน
หนึ่งที่ตอกตรึงราคา โดยที่ภาระในการจ่ายตกเป็นของคนอื่น
ทีมวิจัยทำการทดลองแนวนี้อีกหลายครั้ง ครั้งหนึ่งพบว่าการตัดสินใจของนักศึกษาเกี่ยวกับบริษัทที่อยากทำงาน
ด้วยนั้นสอดคล้องกับคำบอกเล่าของเจ้าตัวในสามประเด็น นั่นคือ อัตราเงินเดือน สถานที่ และจำนวนวันลาพัก
ร้อน แต่สำหรับ “เพศของเจ้านาย” ซึ่งนักศึกษากล่าวปฏิเสธว่าไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ ผลการทดลองกลับชี้ว่าพวก
เขายินดีลดเงินเดือนตัวเองลงร้อยละ 22 แลกกับการได้เจ้านายเป็นผู้ชาย ไม่ว่านักศึกษาจะเป็นผู้ชายหรือ
ผู้หญิงก็ตาม
ในปี 1998 ฟลอริดากับเพื่อนร่วมงานคือ แกรี เกตส์ (Gary Gates) ร่วมกันพัฒนา “ดัชนีเกย์” (Gay Index)
ขึ้นมาศึกษาความเชื่อมโยงระหว่างประชากรเกย์กับเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา พวกเขาพบว่าเมืองที่มีประชากร
เกย์มากที่สุดนั้นมักจะเป็นเมืองที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงกว่าเมืองอื่นด้วย ในมุมมองของฟลอริดา นี่
เป็นข้อยืนยันว่าเศรษฐกิจเติบโตได้ดีที่สุดในเมืองที่ยอมรับความแตกต่าง หลากหลาย และเปิดรับความคิด
สร้างสรรค์รวมถึงขั้นแหกขนบทั้งหลาย
เกย์เป็นกลุ่มคนที่ตกเป็นเหยื่อของอคติและการเลือกปฏิบัติสูงเป็นอันดับต้นๆ และอาจกล่าวได้ว่าเป็นพรมแดน
ท้ายๆ ของการต่อสู้เพื่อความหลากหลายในสังคมปัจจุบัน (ซึ่งยอมรับสิทธิของสตรี ชนกลุ่มน้อย และคนต่างสี
ผิวไปค่อนข้างมากแล้วในครึ่งศตวรรษก่อนหน้า) ด้วยเหตุนี้ เมืองที่อ้าแขนต้อนรับชุมชนเกย์จึงน่าจะเป็นเมืองที่
ยินดีต้อนรับคนทุกประเภท
ในปี 2012 ฟลอริดาประดิษฐ์ “ดัชนีอคติโลก” (Global Prejudice Index ย่อว่า GPI) ขึน้ มาจากคำตอบของ
คำถาม 4 ข้อ จากแบบสำรวจของแกลลัพ (Gallup Poll) ซึ่งสำรวจความคิดเห็นคนทั่วโลก : เมืองของคุณเป็น
เมืองที่น่าอยู่หรือไม่สำหรับ 1) ชนกลุ่มน้อยทางศาสนา 2) ชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์และสีผิว 3) เกย์และเล
สเบี้ยน และ 4) แรงงานต่างด้าว
ในยุคที่เศรษฐกิจไทยต้องพึ่งพิงแรงงานต่างด้าวมากขึ้นเรื่อยๆ และเปิดประเทศเพื่อคบค้าสมาคมอย่างใกล้ชิด
มากขึ้นกับประเทศร่วม “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” ก็น่าคิดว่าคนไทยจะต้องจ่าย “ราคา” ของอคติทางใด
และเท่าไร – อคติที่เรายังมีต่อแรงงานต่างด้าวและประเทศเพื่อนบ้านซึ่งถูกฝังรากลึกมาเนิ่นนาน ผ่าน
แบบเรียนและกระแสคลั่งชาติซึ่งถูกโหมประโคมเป็นระยะๆ ตามแต่วาระการ “กู้ชาติ”.
21. มายาคติเกี่ยวกับซีเอสอาร์
เพราะสังคมสมัยใหม่หลายประเทศมองเห็นผลกระทบด้านลบที่เกิดจากการทำธุรกิจอย่างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และ
เรียกร้องให้ภาคธุรกิจมีบทบาทนำในการแก้ไขปัญหาด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ทั้งที่เกิดจากตัวเอง และเกิด
จากความไม่เอาไหนของภาครัฐ
บริษัทอาหารที่ต้องการพิสูจน์ว่ากำลังเดินบนถนนสู่ความยั่งยืน จะต้องประกาศแผนการจัดการห่วงโซ่อุปทานที่
ยั่งยืนที่มีเป้าหมายชัดเจน วางขั้นตอนตรวจสอบย้อนกลับ (traceability) เพื่อให้มั่นใจว่าวัตถุดิบไม่ได้มาจาก
การทำลายป่าสงวน การจับปลาเกินขนาด และมีมาตรการช่วยเหลือคู่ค้าและเกษตรกรให้เปลี่ยนผ่านไปสู่ความ
ยั่งยืนไปพร้อมกันกับบริษัท
สถาบันการเงินที่ต้องการพิสูจน์ว่ากำลังเดินบนถนนสู่ความยั่งยืน ก็จะต้องบูรณาการประเด็นผลกระทบด้านธรร
มาภิบาล สังคม และสิ่งแวดล้อม เข้าไปในกระบวนการประเมินความเสี่ยงของลูกหนี้ก่อนการอนุมัติสินเชื่อ
ธุรกิจ คุ้มครองผู้บริโภคให้ได้มาตรฐานสากล และหาวิธีสอดแทรกความรู้เรื่องทางการเงิน (financial literacy)
เข้าไปในการส่งมอบบริการทางการเงิน ไม่ใช่จัดกิจกรรมให้ความรู้เป็น “กิจกรรมซีเอสอาร์” นอกสาขา
ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ก็ล่อหลอกให้ลูกค้าเป็นหนี้มากเกินควร หรือซื้อผลิตภัณฑ์ที่ไม่อยากได้ต่อไป
ผู้เขียนเห็นว่าความเข้าใจผิดหรือมายาคติเกี่ยวกับซีเอสอาร์เช่นนี้ เป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปภาคธุรกิจให้มี
ความโปร่งใส เป็นธรรม สร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียมกว่าเดิม (กฎหมายแข่งขันทางการค้าปัจจุบันเป็นเพียง
“เสือกระดาษ” เท่านั้น) ตลอดจนยกระดับกลไกคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมให้ได้มาตรฐานสากล
ที่เป็นอุปสรรคเพราะมันเบี่ยงเบนความสนใจของคน ออกจากประเด็นสำคัญข้างต้นที่จำเป็นต้องปฏิรูป ไปชื่น
ชมเพียงกิจกรรมซีเอสอาร์ฉาบฉวยเท่านั้น
นอกจากมาตรการทำนองนี้จะไม่แตะปัญหาการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีการเกษตรเกินขนาดแต่อย่างใด ยังสุ่ม
เสี่ยงที่จะซ้ำเติมให้ปัญหารุนแรงกว่าเดิม เพราะสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรใช้สารเคมีมากขึ้น
(การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทุกวันนี้ส่งผลกระทบกว้างขวางรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนนักวิทยาศาสตร์ต่างลง
ความเห็นว่า เป็นไปไม่ได้ที่เราจะ “กำจัด” ปัญหานี้ มีแต่ต้อง “ปรับตัว” และหาทางบรรเทาผลกระทบ คำพูด
ทำนอง “สร้างโลกให้สดใส” จึงดูไร้ความหมาย เพราะเพียงกอบกู้ให้ดีดังเดิมก็ยากเหลือแสน)
ถ้ารัฐบาลอเมริกันบังคับให้อุตสาหกรรมถ่านหินบวกตัวเลขต้นทุนด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่ว่านี้เข้าไปใน
ราคาของถ่านหิน ราคาจะต้องสูงกว่าเดิมมากกว่าสองเท่า
ตัวเลขนี้ยังไม่นับผลกระทบจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศไปซ้ำเติมการเปลี่ยนแปลงสภาพ
ภูมิอากาศ อาทิ การเกิดภัยธรรมชาติอย่างภัยแล้ง อุทกภัย และพายุเฮอริเคนที่รุนแรงและถี่กว่าเดิม มีนัก
เศรษฐศาสตร์คำนวณว่าการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะต้องใช้เงินราว 250,000
ล้านเหรียญสหรัฐ ต่อระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น 1 เมตร
ราคาทางอ้อมที่เราต้องจ่ายให้กับอุตสาหกรรมพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลยังไม่หมดเท่านี้ ที่ผ่านมาคนไทยไม่
คุ้นกับการเชื่อมโยงต้นทุนของปฏิบัติการทางทหารเข้ากับการใช้พลังงาน เพราะอย่างน้อยพลังงานที่เราใช้ก็ไม่
ได้มาจากการไปรุกรานใคร (แต่นักการเมืองไทยจะติดสินบนรัฐบาลต่างด้าวหรือเปล่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง) แต่ใน
อเมริกา หน่วยวิจัยของสภาคองเกรสสหรัฐ (Congressional Research Service) คำนวณว่าต้นทุนทางการ
ทหารที่จำเป็นต่อการเปิดให้อเมริกา “เข้าถึง” แหล่งน้ำมันดิบ โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง และอารักขา
น้ำมันกลับมาใช้ในอเมริกานั้นมีมูลค่าสูงถึง 100,000 ล้านเหรียญต่อปี ตัวเลขนี้ยังไม่นับต้นทุนของการก่อ
สงครามแถบคาบสมุทรเปอร์เซียสองครั้ง ซึ่งใช้เงินนับล้านล้านเหรียญสหรัฐ
นักวิทยาศาสตร์บางคนมองว่า เราไม่จำเป็นต้องพยายามคิดคำนวณราคาทางอ้อมทั้งหมดนี้ให้เที่ยงตรงที่สุด
เท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะถ้าเราเปลี่ยนคำถามจาก “ราคาของเชื้อเพลิงฟอสซิลเท่ากับเท่าไร?” เป็น “ราคาของ
การสร้างโลกที่ยั่งยืนสำหรับลูกหลานของเราเท่ากับเท่าไร?” พ่อแม่ทุกคนก็อยากตอบว่า ราคาเท่าไรไม่สำคัญ
เพราะไม่ว่าแพงเท่าไรเราก็ต้องทำ ไม่มีทางเลือกอื่น
แรงจูงใจในตลาดจะได้เดินอย่างสอดรับกับสภาพความเป็นจริงของโลก