Professional Documents
Culture Documents
Chapter2 1423626718
Chapter2 1423626718
ทฤษฏีที่เกีย่ วข้ อง
2.1. สนามฟุตบอล
สนามแข่งขันคือ พื้นที่รูปสี่ เหลี่ ยมผืนผ้าที่ เป็ นดิ นและปูหน้าผิวดิ นด้วยหญ้า โดยมี ขนาดของ
สนามเป็ นไปตามข้อกาหนด
- เส้นข้างคือ เส้นที่เป็ นด้านยาวของสนามแข่งขันรู ปสี่ เหลี่ยมผืนผ้า
- เส้นประตูคือ เส้นที่เป็ นด้านสั้นของสนามแข่งขันรู ปสี่ เหลี่ยมผืนผ้า
- เส้นแบ่งแดนคือ เส้นที่ตดั ผ่านสนามแข่งขัน โดยบรรจบกับเส้นข้างทั้งสองด้านและเห็นอย่าง
ชัดเจนตรงกึ่งกลางของสนามแข่งขัน เส้นแบ่งแดนนี้ จะต้องทาจุดไว้ให้เห็นชัดเจนและต้องเขียนวงกลมที่
มีรัศมียาว 9.15 เมตร ล้อมรอบจุดกึ่งกลางสนามไว้
- เขตประตูคือ เส้นที่วดั จากเสาประตูออกไปข้างละ 5.50 เมตร และลากตั้งฉากกับเส้นประตูเข้า
ไปในสนามแข่ ง ขันเป็ นระยะ 5.50 เมตร แล้วเขี ย นเส้ นตรงเชื่ อมปลายเส้ นทั้ง สองโดยให้ข นานกับ
เส้นประตู
- เขตโทษคือ เส้นที่วดั จากเสาประตูออกไปข้างละ 16.50 เมตร และลากตั้งฉากกับเส้นประตูเข้า
ไปในสนามแข่งขันเป็ นระยะ 16.50 เมตร โดยที่เส้นทั้งสองนี้ จะอยูห่ ่างกัน 40.32 เมตร แล้วเขียนเส้นตรง
เชื่อมปลายเส้นทั้งสองโดยให้ขนานกับเส้นประตู
- จุดโทษคือ จุดที่ห่างจากจุดกึ่ งกลางระหว่างเสาประตูเป็ นระยะทาง 11 เมตร และทาส่ วนโค้ง
เขี ย นไว้ ด้ า นนอกเขตโทษ โดยมี รั ศ มี ห่ างจากจุ ด โทษแต่ ล ะด้ า นเป็ นระยะทาง 9.15 เมตร
- เขตมุมคือ ส่ วนของวงกลมรัศมี 1 เมตร ที่มีความยาวเส้นเท่ากับ 1/4 โดยเขียนไว้ที่แต่ละมุมของ
สนามแข่งขัน
2.1.1 ขนาดของสนาม
สนามจะต้องเป็ นรู ปสี่ เหลี่ยมผืนผ้า ที่มีความยาวอยูใ่ นช่วงระหว่าง 90 ถึง 120 เมตร
และมีความกว้างอยูใ่ นช่วงระหว่าง 45 ถึง 90 เมตร
2.1.2 การพ่นสี สนาม
สนามฟุตบอลมีการพ่นเส้นสนามโดยใช้ ปูนขาว หรื อสี พลาสติก
5
จากภาพ 2-5 เป็ นวงจรลิเนียร์ บริ ดจ์แอมป์ ซึ่ งจะประกอบไปด้วยทรานซิ สเตอร์ กาลัง 4 ตัวที่ทา
หน้าที่ขบั และควบคุ มทิศทางการหมุนของมอเตอร์ ถ้าหากกาหนดให้ทรานซิ สเตอร์ Q1 และ Q4 อยูใ่ น
สภาวะทางาน (Active) กระแสไฟฟ้ าจะไหลผ่านทรานซิ สเตอร์ จากซ้ายไปขวา โดยผ่านมอเตอร์ กระแส
ตรงทาให้มอเตอร์ หมุนไปทางขวา ในทานองเดี ยวกันถ้าหากเราทาให้ทรานซิ สเตอร์ Q2 และ Q3 อยูใน
8
ภาพ 2-8 NPN open collector, PNP open collector, Voltage output และ Line driver output
(ที่มา : Omron. On-line. 2014)
2.4.1 คุณสมบัติ
2.4.1.1 เป็ นไมโครคอนโทรลเลอร์ ขนาด 8 บิ ต ประสิ ทธิ ภาพสู งแต่ใช้พลังงานต่ า ใน
ตระกูล AVR
2.4.1.2 สถาปัตยกรรมแบบ RISC
ก. มี ชุ ด ค าสั่ ง 135 คาสั่ ง และส่ ว นใหญ่ ค าสั่ ง เหล่ า นี้ จะใช้เพี ย ง 1 สั ญญาณ
นาฬิกาในการประมวลผลคาสั่ง
ข. มีรีจิสเตอร์ สาหรับใช้งานทัว่ ไปขนาด 8 บิต จานวน 32 ตัว
ค. ทางานได้สูงสุ ดที่ 16 ล้านคาสั่งต่อวินาที (MIPS) เมื่อใช้สัญญาณนาฬิกา 16
เมกะเฮิร์ซ (MHz)
2.4.1.3 หน่วยความจา
ก. หน่ วยความจาแฟลชส าหรั บโปรแกรมขนาด 128 กิ โลไบต์ เขี ยน/ลบได้
10,000 ครั้ง
ข. หน่วยความจาแบบ EEPROM ขนาด 4 กิโลไบต์ เขียน/ลบได้ 100,000 ครั้ง
ค. หน่วยความจาแรมชนิดเอสแรม (SRAM) ขนาด 8 กิโลไบต์
ง. เก็บข้อมูลได้กว่า 20 ปี ที่อุณหภูมิ 85°C และกว่า 100 ปี ที่อุณหภูมิ 25°C
2.4.1.4 มีระบบโปรแกรมตัวเองอยูใ่ นตัวชิพ
2.4.1.5 สามารถทาการอ่านขณะเขียนได้จริ ง โดยสามารถล็อกการทางานได้เพื่อความ
ปลอดภัยของซอฟต์แวร์
2.4.1.6 มีการเชื่อมประสานกับ JTAG (IEEE std. 1149.1 compliant)
2.4.1.7 คุณสมบัติการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอก
ก. มีตวั ตั้งเวลาและตัวนับขนาด 8 บิต จานวน 2 ตัว ที่สามารถแยกโหมดการ
ทางานจากกันได้ 2 โหมดคือ Prescalar และ Compare
ข. มีตวั ตั้งเวลาและตัวนับขนาด 16 บิต จานวน 4 ตัว ที่แยกโหมดการทางานได้
3 โหมด คือ Prescaler,Compare- และ Capture
ค. มีตวั นับแบบเวลาจริ ง (Real Time Counter) ที่แยกวงจรกาหนดความถี่ได้
ง. มี PWM จานวน 12 ช่องสัญญาณที่สามารถกาหนดความละเอียดได้ 16 บิต
จ. มีตวั ปรับผลการเปรี ยบเทียบของเอาต์พุต
13
2.4.2.2 Port B (PB7..PB0) พอร์ ต B เป็ นไอ/โอพอร์ ตแบบทางาน 2 ทิศทาง ขนาด 8 บิต
ที่มีวงจรพูลอัพอยู่ภายใน (เลื อกได้เป็ นรายบิต) สามารถทางานเป็ นเอาต์พุตได้ท้ งั แบบซิ งค์และซอร์ ส
จุดเด่นของพอร์ ตนี้ก็คือ เป็ นพอร์ ตที่มีความสามารถในการขับกระแสได้ดีกว่าพอร์ ตอื่นๆ
2.4.2.3 Port C (PC7..PC0) พอร์ ต C เป็ นไอ/โอพอร์ ตแบบทางาน 2 ทิศทาง ขนาด 8 บิต
ที่มีวงจรพูลอัพอยูภ่ ายใน (เลือกได้เป็ นรายบิต) จึงสามารถทางานเป็ นเอาต์พุตได้ท้ งั แบบซิ งค์และซอร์ ส
2.4.2.4 Port D (PD7..PD0) พอร์ ต D เป็ นไอ/โอพอร์ตแบบทางาน 2 ทิศทาง ขนาด 8 บิต
ที่มีวงจรพูลอัพอยูภ่ ายใน (เลือกได้เป็ นรายบิต) จึงสามารถทางานเป็ นเอาต์พุตได้ท้ งั แบบซิ งค์และซอร์ ส
2.4.2.5 Port E (PE7..PE0) พอร์ ต E เป็ นไอ/โอพอร์ ตแบบทางาน 2 ทิศทาง ขนาด 8 บิต
ที่มีวงจรพูลอัพอยูภ่ ายใน (เลือกได้เป็ นรายบิต) จึงสามารถทางานเป็ นเอาต์พุตได้ท้ งั แบบซิงค์และซอร์ส
2.4.2.6 Port F (PF7..PF0) พอร์ ต F รองรับการนาเข้าเพื่อทาการแปลงสัญญาณอนาล็อก
มาเป็ นดิ จิท ลั พอร์ ต F เป็ นไอ/โอพอร์ ตแบบทางาน 2 ทิศทาง ขนาด 8 บิ ต ที่ มี วงจรพูลอัพอยู่ภายใน
(เลือกได้เป็ นรายบิต) จึงสามารถทางานเป็ นเอาต์พุตได้ท้ งั แบบซิ งค์และซอร์ ส พอร์ ต F รองรับหน้าที่การ
เชื่ อ มประสานกับ JTAG และถ้า มี ก ารเปิ ดการท างานการเชื่ อ มประสานกับ JTAG ตัวพูล อัพ ของขา
PF7(TDI), PF5(TMS), และ PF4(TCK) จะทางานจนกว่าจะเกิดการรี เซ็ต
2.4.2.7 Port G (PG5..PG0) พอร์ ต G เป็ นไอ/โอพอร์ตแบบทางาน 2 ทิศทาง ขนาด 8 บิต
ที่มีวงจรพูลอัพอยูภ่ ายใน (เลือกได้เป็ นรายบิต) จึงสามารถทางานเป็ นเอาต์พุตได้ท้ งั แบบซิ งค์และซอร์ ส
Port H (PH7..PH0) พอร์ต H เป็ นไอ/โอพอร์ตแบบทางาน 2 ทิศทาง ขนาด 8 บิต ที่มีวงจรพูลอัพอยูภ่ ายใน
(เลือกได้เป็ นรายบิต) จึงสามารถทางานเป็ นเอาต์พุตได้ท้ งั แบบซิ งค์และซอร์ ส
2.4.2.8 Port J (PJ7..PJ0) พอร์ ต J เป็ นไอ/โอพอร์ ตแบบทางาน 2 ทิศทาง ขนาด 8 บิต ที่
มีวงจรพูลอัพอยูภ่ ายใน (เลือกได้เป็ นรายบิต) จึงสามารถทางานเป็ นเอาต์พุตได้ท้ งั แบบซิ งค์และซอร์ส
2.4.2.9 Port K (PK7..PK0) พอร์ต K รองรับการนาข้าเพื่อทาการแปลงสัญญาณ อะ
นาล็อกมาเป็ นดิ จิทลั พอร์ ต K เป็ นไอ/โอพอร์ ตแบบทางาน 2 ทิศทาง ขนาด 8 บิ ต ที่ มีวงจรพูลอัพอยู่
ภายใน (เลือกได้เป็ นรายบิต) จึงสามารถทางานเป็ นเอาต์พุตได้ท้ งั แบบซิ งค์และซอร์ ส
2.4.2.10 Port L (PL7..PL0) พอร์ต L เป็ นไอ/โอพอร์ตแบบทางาน 2 ทิศทาง ขนาด 8 บิต
ที่มีวงจรพูลอัพอยูภ่ ายใน (เลือกได้เป็ นรายบิต) จึงสามารถทางานเป็ นเอาต์พุตได้ท้ งั แบบซิงค์และซอร์ส
16
2.4.6 ตัวชี้สแตก
สแตกถูกใช้งานสาหรับการเก็บข้อมูลชัว่ คราว เช่น ตัวแปรภายใน (local variables) เก็บตาแหน่ง
ของตาแหน่งถัดไปที่จะต้องกระทาก่อนมีการขัดจังหวะหรื อเรี ยกโปรแกรมย่อย และตัวชี้ ตาแหน่งสแตก
จะมีหน้าที่เก็บค่าตาแหน่งสู งสุ ดของสแตก (TOS: Top Of Stack) เอาไว้
ตัวชี้ สแตกจะชี้ ไปยังข้อมูลในหน่วยความจาแรมที่ถูกใช้เป็ นสแตกตามแต่ที่โปรแกรมย่อยหรื อ
โปรแกรมตอบสนองการขัดจังหวะกาหนดเอาไว้
ในชิพ AVR นั้นตัวชี้สแตกจะเป็ นเรจิสเตอร์ ขนาด 8 บิต จานวน 2 ตัว เรี ยกว่า SPH และ SPL (ดัง
ภาพ 2-17)
void loop()
{
if (digitalRead(buttonPin) == HIGH)
Serial.println('H');
else
Serial.println('L');
delay(1000);
}
2.5.1.2 ส่ วนของฟังก์ชนั่ loop()
หลังจากที่เขี ยนฟั งก์ชั่น setup() ที่กาหนดค่าเริ่ มต้นของโปรแกรมแล้ว ส่ วนถัดมาคื อ
ฟั ง ก์ชั่น loop()ซึ่ ง มี การท างานตรงตามชื่ อ คื อจะท างานตามฟั งก์ชั่นนี้ วนต่ อเนื่ องตลอดเวลา ภายใน
ฟั งก์ชนั่ นี้ จะมีโปรแกรมของผูใ้ ช้เพื่อรับค่าจากพอร์ ตประมวลแล้วสั่งเอาต์พุตออกขาต่างๆ เพื่อควบคุ ม
การทางานของบอร์ด
ตัวอย่างที่ 2-2
int buttonPin = 31;
// setup initializes serial and the button pin
void setup()
{
Serial.begin(9600);
pinMode(buttonPin, INPUT);
}
// loop checks the button pin each time,
// and will send serial if it is pressed
void loop()
{
if (digitalRead(buttonPin) == HIGH)
Serial.println('H');
22
else
Serial.println('L');
delay(1000);
}
2.5.2 ไลบรารี มาตรฐานของ Arduino
Arduino 1.0 ได้บ รรจุ ไ ฟล์ ไ ลบรารี ที่ ช่ ว ยให้ ก ารเขี ย นโปรแกรมภาษา C/C++ เพื่ อ ใช้ง าน
ไมโครคอนโทรล เล อร์ ท าได้ ง่ า ยขึ้ น รวมถึ งผู ้ เ ริ่ มต้ น ใหม่ ก็ ส ามารถเรี ยนรู ้ เพื่ อ ใช้ ง าน
ไมโครคอนโทรลเลอร์ ไ ด้โดยไม่ จาเป็ นต้อ งศึ ก ษาเพื่ อลงลึ ก ในรายละเอี ย ดของสถาปั ตยกรรมของ
ไมโครคอนโทรลเลอร์
2.3.2.1 ไฟล์ ไลบรารี ที่สาคัญและใช้งานประกอบด้วย
ก. EEPROM บรรจุฟังก์ชนั่ และคาสั่งสาหรับติดต่อกับหน่วยความจาข้อมูลอี อี
พรอมภายในตัวไมโครคอนโทรลเลอร์ เมื่อต้องการใช้งานต้ องผนวกไฟล์ไลบรารี ไว้ในตอนต้นของ
โปรแกรมด้วยคาสั่ง #include <EEPROM.h>
ข. LiquidCrystal บรรจุ ฟั ง ก์ชั่นและค าสั่ ง ส าหรั บติ ดต่ อกับโมดู ล LCD แบบ
อักขระเพื่อแสดงผลข้อความและตัวเลขรองรั บทั้งการติดต่อแบบ 4 บิตและ 8 บิ ต ใช้งานได้กบั โมดู ล
LCD 8, 16 และ 20 ตัวอักษร 1, 2 และ 4 บรรทัด เมื่อต้องการใช้งานต้องผนวกไฟล์ ไลบรารี ไว้ในตอนต้น
ของโปรแกรมด้วยคาสัง่ #include <LiquidCrystal.h>
ค. Servo บรรจุฟังก์ชนั่ และคาสั่งสาหรับขับเซอร์ โวมอเตอร์ ต้องทางานร่ วมกับ
เซอร์ โวมอเตอร์ และต้องใช้ ไฟเลี้ ย งแยกส าหรั บ เซอร์ โวมอเตอร์ เมื่ อต้องการใช้งานต้องผนวกไฟล์
ไลบรารี ไว้ในตอนต้นของโปรแกรมด้วยคาสั่ง #include <servo.h>
ง. SoftwareSerial บรรจุฟังก์ชนั่ และคาสั่งสาหรับใช้งานขาพอร์ ตของ Arduino
และ Unicon ในการสื่ อสารข้อมูลอนุ กรม ไลบรารี จะถูกนามาใช้งานเมื่อขาเชื่ อมต่อพอร์ ตอนุ กรมหลัก
(RxD และ TxD)ของทั้ง Arduino และ Unicon ถูกใช้งานไปแล้ว และมี ความต้องการติ ดต่ออุ ปกรณ์ ที่
ต้องใช้ก ารสื่ อสารข้อ มู ล อนุ ก รมการใช้ง านไลบรารี นี้ จ ะช่ ว ยให้ ผูใ้ ช้ง านสามารถใช้ข าพอร์ ต ของ
Arduino หรื อ Unicon ขาอื่นที่ว่างมาทาหน้าที่เป็ นขาพอร์ ตสาหรับสื่ อสารข้อมูลอนุ กรม เมื่อต้องการใช้
งานต้องผนวกไฟล์ไลบรารี ไว้ ในตอนต้นของโปรแกรมด้วยคาสัง่
23
2.6.1.3 มี ข้ ั ว ต่ อ LCD แบบ Header 2x7 รองรั บ การเชื่ อ มต่ อ กั บ LCD Character
(เชื่อมต่อแบบ 4 บิต)
2.6.1.4 มี ข้ ัว ต่ อ ใช้ ง าน RS232 ส าหรั บ ใช้ ง าน และ ET-DOWNLOAD ส าหรั บ
Download ผ่าน RS232
2.6.1.5 มี LED แสดงสถานะแหล่งจ่าย Power และ Self-Test สาหรับใช้ทดสอบการ
ทางานของบอร์ด
2.6.1.6 ใช้แหล่งจ่ายไฟขนาด +5VDC
2.6.1.7 ขนาด PCB Size เล็กเพียง 8 x 6 cm.
2.6.2 โครงสร้างไมโครคอนโทรลเลอร์ ET-BASE51 AC3 (AT89C51AC3)
หมายเลข 8 เป็ น Port-LCD ชนิด Character Type ใช้การเชื่อมต่อแบบ 4 บิต ผ่าน Port-P2
หมายเลข 9 เป็ น Port-P3 มีขนาด 6 บิต (P3.2-P3.7)
หมายเลข 10 เป้ น Port-P1 มีขนาด 8 บิต
หมายเลข 11 เป้ นตัวต้านทานสาหรับปรับค่าแรงดันอ้างอิงของ ADC (3V)
หมายเลข 12 คือ MCU เบอร์ AT89C51AC3 ซึ่งเป็ น MCU ตระกูล MCS51 จาก ATMEL
หมายเลข 13 คือ Oscillator Module ค่า 29.4912 MHz
หมายเลข 14 คือ ขั้วต่อ RS232 สาหรับใช้งานทัว่ ไป และ Download แบบ Manual
หมายเลข 15 คือ ขั้วต่อ ET-DOWNLOAD ใช้สาหรับ Download แบบ Auto
หมายเลข 16 เป็ น LED Self Test (P1.0) ใช้สาหรับทดสอบการทางานของบอร์ด
หมายเลข 17 เป็ น LED Power ใช้แสดงสถานะของแหล่งจ่ายไฟ +5VDC
2.7.1 สัดส่ วน
เทอมของสัดส่ วน (บางครั้งเรี ยก อัตราขยาย) จะเปลี่ ยนแปลงเป็ นสัดส่ วนของค่าความผิดพลาด
การตอบสนองของสัดส่ วนสามารถทาได้โดยการคู ณค่ าความผิดพลาดด้วยค่าคงที่ Kp, หรื อที่ เรี ยกว่า
อัตราขยายสัดส่ วน
เทอมของสัดส่ วนจะเป็ นไปตามสมการ
Pout = K p e(t)
2.7.3 อนุพนั ธ์
อัตราการเปลี่ยนแปลงของความผิดพลาดจากกระบวนการนั้นคานวณหาจากความชันของความ
ผิ ด พลาดทุ ก ๆเวลา (นั่ น คื อ เป็ นอนุ พ ัน ธ์ อ ัน ดับ หนึ่ งสั ม พัน ธ์ ก ับ เวลา) และคู ณ ด้ ว ยอัต ราขยาย
อนุพนั ธ์ K d ขนาดของผลของเทอมอนุพนั ธ์ (บางครั้งเรี ยก อัตรา) ขึ้นกับ อัตราขยายอนุพนั ธ์ K d
เทอมอนุพนั ธ์เป็ นไปตามสมการ
d
Dout = K d dt e(t)
เมื่อ
Dout : สัญญาณขาออกของเทอมอนุพนั ธ์
Kd : อัตราขยายอนุพนั ธ์, ตัวแปรปรับค่าได้
e : ความผิดพลาด = SP − PV
t : เวลา
เทอมอนุพนั ธ์จะชะลออัตราการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณขาออกของระบบควบคุมและด้วยผล
นี้ จะช่วยให้ระบบควบคุมเข้าสู่ จุดที่ตอ้ งการ ดังนั้นเทอมอนุ พนั ธ์จะใช้ในการลดขนาดของโอเวอร์ ชูตที่
เกิ ดจาเทอมปริ พ นั ธ์ และท าให้เสถี ย รภาพของการรวมกันของระบบควบคุ ม ดี ข้ ึ น แต่ อย่า งไรก็ ตาม
อนุ พ นั ธ์ ของสั ญญาณรบกวนที่ ถูก ขยายในระบบควบคุ ม จะไวมากต่อการรบกวนในเทอมของความ
ผิดพลาดและสามารถทาให้กระบวนการไม่เสถียรได้ถา้ สัญญาณรบกวนและอัตราขยายอนุ พนั ธ์มีขนาด
ใหญ่เพียงพอ
29
2.7.5 รหัสเทียม
รหัสเทียม (อังกฤษ: pseudocode) ของ ขั้นตอนวิธีระบบควบคุมพีไอดี โดยอยูบ่ นสมมุติฐานว่า
ตัวประมวลผลประมวลผลแบบขนานอย่างสมบรู ณ์แบบ เป็ นดังต่อไปนี้
wait(dt)
goto start
2.7.6 การปรับจูนด้วยมือ
ถ้าระบบยังคงทางาน ขั้นแรกให้ต้ งั ค่า K i และ K d เป็ นศูนย์ เพิ่มค่า K p จนกระทัง่ สัญญาณขาออก
เกิ ด การแกว่ ง (oscillate) แล้ว ตั้ง ค่ า K p ให้ เ หลื อ ครึ่ งหนึ่ งของค่ า ที่ ท าให้ เ กิ ด การแกว่ ง ส าหรั บ การ
ตอบสนองชนิด "quarter amplitude decay" แล้วเพิ่ม K i จนกระทัง่ ออฟเซตถูกต้องในเวลาที่พอเพียงของ
กระบวนการ แต่ถา้ K i มากไปจะทาให้ไม่เสถี ยร สุ ดท้ายถ้าต้องการ ให้เพิ่มค่า K d จนกระทัง่ ลูปอยู่ใน
ระดับที่ยอมรับได้ แต่ถา้ K d มากเกินไปจะเป็ นเหตุให้การตอบสนองและโอเวอร์ ชูตเกินยอมรับได้ ปกติ
การปรับจูน PID ถ้าเกิดโอเวอร์ ชูตเล็กน้อยจะช่วยให้เข้าสู่ จุดที่ตอ้ งการเร็ วขึ้น แต่ในบางระบบไม่สามารถ
ยอมให้เกิดโอเวอร์ ชูตได้ และถ้าค่า K p น้อยเกินไปก็จะทาให้เกิดการแกว่ง
Control Type 𝐾𝑝 𝐾𝑖 𝐾𝑑
P 50.0𝐾𝑢 - -
ชิ้ นสารเซรามิ คถู ก ยึดติ ดภายในตัวถัง อย่า งดี เพื่ อไม่ ใ ห้ก ารสั่ นขณะที่ ม นั ท างานอยู่ไ ด้รับ ผล
กระทบกระเทื อ นจากภายนอกตัวถัง มัก จะเป็ นรู ป ทรงกระบอกที่ มี เส้ นผ่า ศู นย์ก ลางและมี ค วามสู ง
ประมาณ 1 ถึง 2.5 ซม. ด้านหน้าทาเป็ นช่องเปิ ดมีตะแกรงติดอยูเ่ พื่อให้คลื่นอัลตร้าโซนิ คเข้ามาหรื อออก
จากช่ องเปิ ดได้โดยสะดวก ถ้าตัวถังทามาจากโลหะก็ควรต่อตัวถังลงกราวด์เพื่อทาหน้าที่ชีลด์ สาหรับ
บางยีห่ ้อเขาจะต่อขาหนึ่ งติดกับตัวถังมาให้เลย เมื่อพลิกดูขา 2 ขาที่โผล่ออกมาจากตัวถังจะเห็นมีขาหนึ่ง
ติดกับตัวถังเมื่อมีสัญญาณแรงดันมาตกคร่ อมขั้วทั้งสองของชิ้ นสารเซรามิคดังรู ป (ข) จะทาให้ชิ้นสาร
โก่งงอมากหรื อน้อยหรื อในทิศทางใดตามขนาดและทิศทางการเปลี่ยนแปลงขนาดของสัญญาณนั้น ๆ ทา
ให้เกิดการกดอัดอากาศโดยรอบเกิ ดเป็ นคลื่ นเสี ยงที่มีความถี่เดียวกับสัญญาณนั้นออกไป โดยทัว่ ๆ ไป
กาลังเอาท์พุทที่ ออกมาจะตกประมาณ 10% ของกาลังไฟฟ้ าที่ ป้อนเข้าไป แต่กาลังเอาท์พุท์จะสู งสุ ดที่
ค่าประมาณนี้ ต่อเมื่อความถี่ของสัญญาณตรงกับความถี่ เรโซแนนซ์ซ่ ึ งเป็ นความถี่ทางกลตามธรรมชาติ
ของชิ้ นสารเซรามิคนั้น ๆ ส่ วนที่ความถี่ อื่น ๆ กาลังเอาท์พุทจะลดลงกว่านี้ มากในทานองกลับกันเมื่อมี
คลื่นเสี ยงที่มีความถี่ตรงกับความถี่เรโซแนนซ์ของชิ้นสารเซรามิคเข้ามาจะทาให้ชิ้นสารโก่งงอไปมาและ
เกิดสัญญาณแรงดันซึ่ งมีขนาดเล็กขึ้นมาคร่ อมขั้วทั้งสองของตัวมันเองได้ คุณสมบัติโดยทัว่ ไปของอัลต
ร้าโซนิคทรานสดิวเซอร์ แบบเปี ยโซอิเลคตริ คก็คือมีค่าความต้านทานไฟตรงสู งมากอาจสู งถึง 100 MW
เรี ยกว่าถ้าเอามัลติมิเตอร์ ธรรมดามาตั้งสเกลวัดค่าความต้านทานสู ง ๆ เข็มจะไม่กระดิกเลย แต่ในขณะที่
มันทางานความต้านทานทางด้านไฟสลับจะลดลง
34
อัลตร้ า โซนิ คทรานสดิ วเซอร์ แบบเซรามิ ค ที่ มีจาหน่ ายกันจะมี ค่ าความถี่ เรโซแนนซ์ ใ ห้เลื อก
ตั้งแต่ 23 KHz ขึ้นไปจนถึง 40 KHz แต่ที่พบเห็นกันบ่อยก็มี 23 KHz, 25 KHz, และ 40 KHz โดยความถี่
40 KHz เป็ นรุ่ นที่นิยมใช้กนั มากที่สุดเพราะมีทิศทางดีกว่า
35
2.8.2 อัลตร้าโซนิคเซ็นเซอร์หน้าที่และการทางาน
รู ปแบบต่างๆของอัลตร้าโซนิ คเซ็นเซอร์ ประกอบด้วยตัวตรวจจับด้วยคลื่ นอัลตร้าโซนิ ค ชุ ดส่ งสัญญาณ
ชุดประมวลผล และชุดเอ้าท์พุท(Output)
สัญญาณลอจิก (Logic Signal) (เช่น สัญญาณลอจิก 8 big) ตลอดทั้ง ซี เรี ยลอินเตอร์ เฟส (Serial Interface)
(RS232) หรื อการเปรี ย บเที ย บกับ ค่ า อ้า งอิ ง ในรู ป ของสวิส ซ์ พ ลั ส์ ที่ เรี ย กว่า ไทม์เ ฟรม (Time Frame)
เนื่ องจากขบวนการดาเนิ นไปตามเวลาที่ คลื่ นสะท้อนเดิ นทาง ไม่ ใ ช่ เป็ นไปตามความเข้ม ของคลื่ น
สะท้อน จึงจัดได้ว่าอัลตร้ าโซนิ คเซ็นเซอร์ มีขอ้ ดี เหนื อกว่าเซ็ นเซอร์ แบบออปติคอล (Optical Sensor)
เวลาที่คลื่นสะท้อนการเดินทางจะ ทาให้ขบวนการดาเนินโดยไม่ข้ นั กับความเข้มของคลื่นสะท้อน ตราบ
เท่าที่วตั ถุยงั คงสะท้อนคลื่นที่สามารถตรวจจับได้ออกมา ดังนั้นคุณลักษณะการสวิทซ์ไม่เปลี่ ยนไป แม้
ในสภาวะที่การสะท้อนเป็ นไปอย่างไม่ดีคลื่นสะท้อนที่อ่อนจะมีผลต่อความถูกต้องในการตรวจจับวัตถุ
ซึ่ ง อาจท าให้ ไ ม่ ส ามารถท าการตรวจจับ วัตถุ ไ ด้เ ลยความเร็ ว ที่ เปลี่ ย นไปของคลื่ น พัล ส์ ข องเสี ย งมี
ผลกระทบต่อพิสัย การทางานของสวิทช์ (ระยะทาง) โดยตรงเซ็นเซอร์ ทางานด้วยวงจรเวลาที่คงที่ (เช่น t
= 20 ms) จะส่ งคลื่นเสี ยงออกมาอย่างสม่าเสมอ
คริ สตัล (Crystal) ซึ่ งอยู่ในวงจรออสซิ ลเลเตอร์ ชนิ ดผลิ ตความถี่ ดว้ ยผลึ กแร่ เมื่อได้สัญญาณ RF ออก
จากวงจรออสซิ ลเลเตอร์ จะต้องส่ งไปผสมกับสัญญาณควบคุ มโดยมี วงจรผสมกับสัญญาณเป็ นภาค
ผสมคลื่ น (Modulation) แล้วขยายสั ญญาณทั้งหมดให้มี ก าลัง แรงขึ้ นเพื่ อป้ อนเข้า สู่ ส ายอากาศแล้ว
ส่ งออกอากาศต่อไป
2.10.1.3 ภาคการผสมคลื่น (Modolation) สัญญาณควบคุ มไม่สามารถไปได้ไกลส่ วน
สัญ ญาณความถี่ วิท ยุ (RF : Audio frequency) สามารถเดิ น ทางไปได้ไ กลมากดัง นั้น ถ้า ต้อ งการให้
สัญญาณควบคุ มการเดิ นทางไปได้ไกลจะต้องมีการผสมคลื่ นพาหะ (Carrier) เป็ นตัวนาพาสัญญาณ
ควบคุมไปนั้นคือจะต้องมีการผสมคลื่น (Modulation) การผสมคลื่นเรี ยกว่าการมอดูเลชัน่ (Modolation)
ที่นิยมจะมีการผสมคลื่นอยู่ 2 แบบคือ
ก. การผสมคลื่ น ทางความสู ง คื อแอมปลิ จูดมอดดู เลชั่น (AM : Amplitude
Modulation)หมายถึ ง เมื่ อ น าความถี่ เ สี ย งมาผสมกับ ความถี่ วิ ท ยุ แ ล้ว ความแรงของความถี่ วิ ท ยุ จ ะ
เปลี่ยนแปลงตามความแรงของความถี่เสี ยงที่นาไปผสม
ข. การผสมคลื่ น ทางความถี่ คื อ ฟรี เควนซี ม อดู เ ลชั่ น (FM : Frequency
Modulation) หมายถึงเมื่อนาความถี่เสี ยง (AF) มาผสมกับความถี่วิทยุ (RF) ความถี่เสี ยงจะไปควบคุม
ให้ความถี่ของคลื่นวิทยุเปลี่ยนแปลงตามความถี่เสี ยง
2.10.2 หลักการทางานของเครื่ องรับ
ในภาพ 2-29 เมื่อสัญญาณวิทยุจากเครื่ องส่ งมาเข้าสายอากาศเครื่ องรับจะผ่านขั้นตอนต่างๆใน
เครื่ องรับโดยเริ่ มจากการขยายสัญญาณนั้นให้มีขนาดสู งขึ้นผสมกับความถี่ จากวงจรออสซิ ลเลเตอร์ ได้
เป็ นความถี่ IF ผ่านภาคขยาย IF ที่มีเซรามิกฟิ ลเตอร์ จนไปถึ งภาคดี เทกเตอร์ จากนั้นจึ งส่ งเข้าไอซี ที่ทา
หน้าที่เป็ นดีโค้ดเดอร์ (Decoder) ถอดรหัสสัญญาณเพื่อส่ งออกไปยังเซอร์ โวและมอเตอร์ ต่อไป
ผูท้ ี่ น าเสนอทฤษฎี เ กี่ ย วกับ แสงเลเซอร์ เ ป็ นคนแรกเมื่ อ ปี พ.ศ 2500คื อ นัก วิท ยาศาสตร์ ชาว
อเมริ กนั ชื่ อ ชาร์ ลส์ ทาวเนส และอาร์ เธอร์ สคาวโลว์แต่เครื่ องเลเซอร์ เครื่ องแรกเพิ่งจะเป็ นรู ปเป็ นร่ าง
ขึ้นมาเมื่อพ.ศ.2503โดยนักวิทยาศาสตร์ ชาวอเมริ กนั ชื่ อ ธี โอดอร์ ไมแมนเครื่ องเลเซอร์ เครื่ องแรกนั้นทา
ขึ้ นมาจากแท่ งทับทิ มสั งเคราะห์ เมื่ อฉายแสงธรรมดาที่ มีค วามเข้ม ข้นสู ง บนแท่ งนี้ จะได้แสงเลเซอร์
ออกมางานวิจยั ในระยะต่อมาทาให้นกั วิทยาศาสตร์ ทราบว่า สารอื่นๆที่ไม่ใช่แท่งทับทิมสามารถให้แสง
เลเซอร์ ได้ และการกระตุน้ ให้เกิ ดแสงเลเซอร์ สามารถทาได้ในรู ปแบบต่างๆ กันไม่ใช่ แค่การฉายแสง
ตลอดช่วงระยะเวลาที่ผา่ นมามีการสร้างเลเซอร์ ใหม่ๆ มากมายหลายแบบซึ้ งแต่ละชนิดจะให้แสงเลเซอร์
ที่แตกต่างกัน เหมาะสาหรับการประยุกต์ใช้กบั งานต่างชนิ ดในระยะเริ่ มแรกของการคิดค้นเครื่ องเลเซอร์
นักวิทยาศาสตร์ ตอ้ งพยายามคิดว่าจะเอาเครื่ องนี้ไปใช้ทางานอะไรดี ลาแสงเลเซอร์มีพลังงานมากพอที่จะ
หลอมโลหะได้ และสามารถโฟกัสลาแสงให้เหลื อเป็ นจุ ดเล็กมาก สาหรับการใช้งานที่ตอ้ งการความ
ละเอียดสู งปั จจุบนั เลเซอร์ ถูกนามาใช้งานมากมายหลายประเภทตั้งแต่เชื่อม ตัด แกะสลัก การผลิตรถยนต์
42
เฟื องตรงเป็ นเฟื องที่ มี โครงสร้ า งง่ า ยและไม่ สลับซับซ้อน โดยถ้าเฟื องตรงสองตัวขบกันเรา
เรี ย กว่า เฟื องพี เ นี ย น (Pinion Gears) โดยทัว่ ไปแล้วเฟื องตรงที่ ใ ช้ส่ ง ก าลัง แต่ ล ะคู่ น้ ันจะมี ข นาดของ
ฟันเฟื องหรื อโมดูล (Module, m) เท่า ๆ กัน หมุนด้วยความเร็ วเชิ งเส้นที่เท่ากันแต่การได้เปรี ยบเชิ งกลที่
เกิดขึ้นจะเกิดจากจานวนฟั นที่ต่างกัน (อัตราทด, Ratio) ของเฟื องแต่ละตัว เฟื องตรงส่ วนมากจะนามาใช้
ในระบบส่ งกาลัง (Transmission Component)
46
2.16 วงจรขับมอเตอร์
2.16.1 วงจรขับมอเตอร์ (ET-OPTO DC MOTOR DRIVER)
จาก ภาพ 2-38 วงจร ET-OPTO DC MOTOR DRIVER นั้นมี การทางานแยกเป็ นสองส่ วนคื อ
ส่ วนการท างานแบบควบคุ ม และควบคุ ม ด้วยมื อ การท างานแบบอัตมัติน้ ันจาท าได้โดยการเปลี่ ย น
จัมเปอร์ สวิตซ์ไปทาง คอนโทรล โดยวงจรจะมี ออบโต(Opto) เป็ นตัวแยกกราวดระหว่างแหล่งจ่ายสอง
2 ชุ ดเพื่อป้ อกกันความเสี ยหายของอุปกรณ์บนบอร์ ด สามารถควบคุมความเร็ ว ดีซี มอเตอร์ ( DC Motor)
ด้วยสัญญาณ PWM จากภายนอกบอร์ ดมาควบคุมความเร็ วแทนได้ ส่ วนการทางานแบบควบคุมด้วยมือ
นั้นควบคุ มได้จากสวิตซ์ ซ้ายและขวาที่ ต่อ อยู่บนบอร์ ด และสามารถต่อขัว่ สวิตซ์จากภายนอกเข้ามา
ควบคุมแทนสวิตซ์บนบอร์ดได้
2.16.2 ลักษณะของบอร์ดขับมอเตอร์ (ET-OPTO DC MOTOR DRIVER)
การควบคุมด้วยตัวควบคุมพีไอดีโดยการหาค่าอัตราขยายพีไอดีดว้ ยวิธีการหาค่าเหมาะที่สุดด้วยการ
เคลื่อนที่กลุ่มอนุ ภาคแบบผสมสามารถเลือกค่าอัตราขยายพีไอดีได้เหมาะสม และผลจากงานวิจยั นี้ยงั
สามารถประยุกต์ใช้วธิ ี HPSO ในการควบคุมระบบอื่นๆที่มีความซับซ้อนได้อย่างมีประสิ ทธิภาพ