Professional Documents
Culture Documents
Full Text
Full Text
การควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านแบบไร้สายโดยใช้เอ็กบี
Electric Appliance Wireless Control using Xbee
ปริญญานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรเทคโนโลยีบัณฑิต
สาขาวิชาเทคโนโลยีวิศวกรรม แขนงวิชาเทคโนโลยีวิศวกรรมไฟฟ้า
คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
ปีการศึกษา 2558
กการควบคุมอุอปกรณ์ไฟฟ้ฟ้าภายในบ้านแบบไร้
น สายยโดยใช้เอ็กบี
Electric Appliance
A Wireless Control
C using Xbee
นายอาทิตย์
ต อ่อนสํ
น าลี รหหัส 552225010151
นายสันสกกฤต คันธี รหหัส 552225010157
นายจิรวัฒน์
ฒ พุทธิพัฒน์ รหหัส 552225010158
ปริญญาานิพนธ์นี้เป็นส่
น วนหนึ่งขอองการศึกษาาตามหลักสูตรเทคโนโลยี
ต ยีบัณฑิต
สาขขาวิชาเทคโนนโลยีวิศวกรรม แขนงวิชาเทคโนโลยี
ช ยีวิศวกรรมไฟฟฟ้า
คณ
ณะเทคโนโลลยีอุตสาหกรรรม มหาวิทยาลั
ย ยราชภัฏวไลยอลงก
ฏ รณ์ ในพระบบรมราชูปถัมภ์
ปีการศึกษา 25558
หัวข้อปริญญานิพนธ์ การควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านแบบไร้สายโดยใช้เอ็กบี
Electric Appliance Wireless Control using Xbee
อาจารย์ที่ปรึกษา …………………………………………………
(อาจารย์พีรวัฒน์ อาทิตย์ตั้ง)
ปริญญานิพนธ์ฉบับนี้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการ มีรายชื่อดังต่อไปนี้
………………………………………………… …………………………………………………
(ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุวิทย์ ฉุยฉาย) (อาจารย์วรพงษ์ ไพรินทร์)
………………………………………………… …………………………………………………
(อาจารย์องอาจ ทับบุรี) (อาจารย์กันยารัตน์ เอกเอี่ยม)
…………………………………………………
(อาจารย์บัญชา วัฒนะ)
บทคัดย่อ
โครงงานเทคโนโลยีวิศวกรรมนี้ นําเสนอการควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านระยะไกลด้วย
ระบบเครือข่ายไร้สาย Zigbee เพื่ออํานวยความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ลดการใช้สายไฟฟ้าและวัสดุ
อื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการเดินสาย การทํางานจะเริ่มจากมีการสั่งการที่หน้าจอทัชสกรีน (Touch
Screen) เพื่อให้อุปกรณ์ไฟฟ้าเปิด/ปิดและใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ dsPIC เบอร์ 30F4011 เป็นตัว
ประมวลผลและควบคุมการทํางานทั้งหมด มีการสื่อสารข้อมูล รับ-ส่งสัญญาณระหว่างอุปกรณ์ฝั่งแม่
ข่าย (Sever) และฝั่งลูกข่าย (Client) ผ่านโมดูลรับ-ส่งสัญญาณไร้สายXbee-Pro เพื่อไปทําการเปิด-
ปิดหลอดไฟฟ้า และแสดงสถานะการทํางาน ณ ปัจจุบัน ส่งกลับไปแสดงผลยังจอแอลซีดี (LCD) ผล
การทดสอบพบว่า สามารถควบคุมการเปิด-ปิดหลอดไฟฟ้าแบบไร้สายได้ไกลสูงสุดถึง 100 เมตร และ
มีการแสดงผลสถานะการทํางาน สอดคล้องกับที่ได้ทําการออกแบบไว้
ABSTRACT
This project of engineering technology is proposed the remote control of
household electric equipment with wireless network system, namely Zigbee. The
benefits for this project are to facilitate and gained more comfortable, reduce the
usage of electric cable and other materials related to wiring. The work will begin with
the command from touch screen to open/close the specified electric equipment.
The microcontroller dsPIC30F4011 using as the central processor unit and control all
of system. There is the data communication to receive-transmit signal between
server and client via Xbee-Pro module, for open/close the light bulb. And also
displays the real time operating status back to the LCD. The final result found that
the propose system able to control the household light bulb up to 100 meters and
can be displayed the operating status work fine as designed.
I
กิตติกรรมประกาศ
การดําเนินงานการควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านแบบไร้สายโดยใช้เอ็กบี ทางคณะผู้จัดทํา
ขอขอบพระคุณ อาจารย์พีรวัฒน์ อาทิตย์ตั้ง ที่ได้ช่วยให้คําแนะนําเกี่ยวกับการจัดทํารูปเล่มรายงาน
และโปรแกรมการทํางานต่างๆและการเขียนโปรแกรมและเป็นที่ปรึกษา คณะผู้จัดทําขอขอบพระคุณ
เพื่อนๆนักศึกษาทุกคน ที่ให้คําปรึกษาด้านชิ้นงาน การต่ออุปกรณ์ ให้ยืมเครื่องมือวัดทางไฟฟ้าต่างๆ
และช่วยในการอํานวยความสะดวกในการทําการทดลอง ในการสร้างการควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายใน
บ้านแบบไร้สายโดยใช้เอ็กบี นอกจากนี้ยังมีอาจารย์ประจําคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรมและเจ้าหน้าที่
ประจําคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรมที่ร่วมให้คําแนะนําปัญหาและสถานที่การจัดทําโครงงาน ทางคณะ
ผู้จัดทําโครงงานจึงขอขอบพระคุณมา ณ ที่นดี้ ้วย
คณะผู้จัดทําโครงงาน
II
สารบัญ
หน้า
บทคัดย่อ I
กิตติกรรมประกาศ II
สารบัญ III
สารบัญตาราง V
สารบัญภาพ VI
บทที่ 1 บทนํา 1
1.1 ความเป็นมาและความสําคัญของปัญหา 1
1.2 วัตถุประสงค์ 2
1.3 เป้าหมาย 2
1.4 ขอบเขตของโครงงาน 2
1.5 ขั้นตอนการดําเนินงาน 2
1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 2
1.7 งบประมาณในการทําโครงการ 3
บทที่ 2 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 4
2.1 ระบบเครือข่ายไร้สาย (Wireless LAN Technology) 4
2.2 รูปแบบการเชื่อมต่อของระบบเครือข่ายไร้สาย 5
2.3 มาตรฐานเครือข่ายไร้สาย 8
2.4 ระบบโปรโตคอล 10
2.5 เอ็กบี (Xbee) 14
2.6 ไมโครคอนโทรลเลอร์ 20
บทที่ 3 ขั้นตอนการดําเนินงาน
3.1 วงจรด้านแม่ข่าย (Server) 27
3.2 วงจรด้านลูกข่าย (Client) 55
3.3 การออกแบบระบบโปโตคอล 60
3.4 การออกแบบแผ่นปริ้นวงจร ประกอบแผ่นปริ้นวงจรและติดตั้งอุปกรณ์ 61
3.5 กล่องควบคุมการทํางาน 65
บทที่ 4 ผลการทดลอง
4.1 การทํางานของระบบชุดสาธิตการควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านแบบไร้สาย
โดยใช้เอ็กบี 67
4.2 ผลการทดลอง 69
4.3 อภิปรายผลผลการทดลอง 80
III
สารบัญ (ต่อ)
หน้า
4.4 กราฟแสดงการทํางานในการทดลอง 80
บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย
5.1 บทสรุป 82
5.2 ปัญหาที่เกิดขึ้น 82
5.3 แนวทางการพัฒนา 82
เอกสารอ้างอิง 83
ภาคผนวก ก วงจรทั้งหมดสําหรับการควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านแบบไร้สายโดยใช้เอ็กบี ก-1
ภาคผนวก ข โฟร์ชาร์ตโค้ดการทํางานของระบบชุดสาธิตการควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน
แบบไร้สายโดยใช้เอ็กบี ข-1
ประวัติผู้วิจัย ค-1
IV
สารบัญตาราง
หน้า
ตารางที่ 1.1 งบประมาณในการทําโครงการ 3
ตารางที่ 2.1 มาตรฐานเครือข่ายไร้สาย IEEE 9
ตารางที่ 2.2 ขาพอร์ตหลักๆของไมโครคอนโทรลเลอร์ PIC เบอร์ dsPIC30F4011 23
ตารางที่ 3.1 การจัดขาของโมดูล XBee-PRO และฟังก์ชั่นในการทํางาน 29
ตารางที่ 3.2 รายละเอียดพินสําหรับใช้ควบคุมจีแอลซีดี (Control GLCD) 45
ตารางที่ 3.3 รายละเอียดพินสําหรับใช้ควบคุมทัชสกรีน (Control Touch Screen) 46
ตารางที่ 3.4 การเลือกโหมดอินเทอร์เฟสแอลซีดี (Mode Interface LCD) จาก DIP SW.2 48
ตารางที่ 4.1 การทดลองชุดสาธิตการควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านแบบไร้สายโดยใช้เอ็กบี
แบบหาระยะทางสูงสุดที่สามารถควบคุมการเปิด-ปิดได้ 78
ตารางที่ 4.2 การทดลองชุดสาธิตการควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านแบบไร้สายโดยใช้เอ็กบี
แบบหาแอมแปร์สูงสุดที่สามารถควบคุมการเปิด-ปิดได้ 79
V
สารบัญภาพ
หน้า
รูปที่ 1.1 บล็อกไดอะแกรมชุดการพัฒนาการควบคุมเปิด-ปิดไฟฟ้าภายในบ้านแบบไร้สาย 1
รูปที่ 2.1 ระบบเครือข่ายไร้สาย (Wireless LAN Technology) 4
รูปที่ 2.2 รูปแบบการเชื่อมต่อระบบแลนไร้สายแบบเพียร์ทูเพียร์ (Peer-to-Peer) 5
รูปที่ 2.3 รูปแบบการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายไร้สายแบบไคลเอนท์/เซิร์ฟเวอร์ 6
รูปที่ 2.4 รูปแบบการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายไร้สายแบบแบบจุดเชื่อมต่อหลายจุด 6
รูปที่ 2.5 รูปแบบการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายไร้สายแบบแบบขยายจุด 7
รูปที่ 2.6 รูปแบบการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายไร้สายแบบแบบใช้เสาอากาศทิศทาง 7
รูปที่ 2.7 แบบอ้างอิง TCP/IP 12
รูปที่ 2.8 โปรโตคอลแสตคของ TCP/IP 12
รูปที่ 2.9 การห่อหุ้มข้อมูลตามลําดับโปรโตคอลแสตด 13
รูปที่ 2.10 เครือข่ายแบบเมช (Mesh) และสตาร์ (Star) 15
รูปที่ 2.11 เครือข่ายแบบคลัสเตอร์ทรี (Cluster Tree Network) 15
รูปที่ 2.12 โมดูล Xbee แบบชิป (Chip Antenna) 17
รูปที่ 2.13 โมดูล Xbee แบบเสาอากาศ (Wire Antenna) 17
รูปที่ 2.14 โมดูล Xbee แบบยูเอฟแอล (UFL Antenna) 18
รูปที่ 2.15 โมดูล Xbee แบบเอสเอ็มเอ (SMA Antenna) 18
รูปที่ 2.16 โหมดการทํางานของ Xbee 19
รูปที่ 2.17 โครงสร้างหลักของไมโครคอนโทรลเลอร์ 21
รูปที่ 2.18 ขาพอร์ตของไมโครคอนโทรลเลอร์ PIC เบอร์ dsPIC30F401 21
รูปที่ 3.1 แผนผังขั้นตอนการทํางาน 26
รูปที่ 3.2 บล็อกไดอะแกรมวงจรด้านแม่ข่าย (Server) 27
รูปที่ 3.3 วงจรแบ่งแรงดัน (Voltage Divider) สําหรับลดแรงดันไมโครคอนโทรลเลอร์ 5 V 30
รูปที่ 3.4 การเชื่อมต่อ Xbee แบบสตาร์ (Star) 30
รูปที่ 3.5 วงจรไฟฟ้าของชุดโมดูล Xbee 31
รูปที่ 3.6 รายละเอียดของบอร์ดชุดโมดูล Xbee 31
รูปที่ 3.7 รายละเอียดของบอร์ด ZX-XBeeU 32
รูปที่ 3.8 วงจรไฟฟ้าของบอร์ด ZX-XBeeU 33
รูปที่ 3.9 หน้าต่างกําหนดการเชื่อมต่อของโปรแกรม X-CTU 34
รูปที่ 3.10 หน้าต่างแจ้งผลการติดต่อของโมดูล XBee 35
รูปที่ 3.11 ค่าพารามิเตอร์ต่างๆ ของ XBee 35
รูปที่ 3.12 การตั้งค่าช่องสัญญาณและ PAN ID ของ Xbee เป็นแม่ข่าย 36
VI
สารบัญภาพ (ต่อ)
หน้า
รูปที่ 3.13 การตั้งค่า DH และ DL ของ Xbee เป็นแม่ข่าย 37
รูปที่ 3.14 การตั้งค่า MY Xbee เป็นแม่ขา่ ย 38
รูปที่ 3.15 อัพเดทเฟิร์มแวร์และเซตค่าพารามิเตอร์ของ Xbee เป็นแม่ข่ายเสร็จสมบูรณ์ 38
รูปที่ 3.16 การตั้งค่าช่องสัญญาณและ PAN ID ของ Xbee เป็นลูกข่าย 39
รูปที่ 3.17 การตั้งค่า DH และ DL Xbee เป็นลูกข่าย 40
รูปที่ 3.18 การตั้งค่า MY Xbee เป็นลูกข่าย 41
รูปที่ 3.19 อัพเดทเฟิร์มแวร์และเซตค่าพารามิเตอร์ของ Xbee เป็นลูกข่ายเสร็จสมบูรณ์ 41
รูปที่ 3.20 ลักษณะและโครงสร้างของบอร์ด ET-TFT240320TP-2.8 44
รูปที่ 3.21 ตําแหน่งขาสัญญาณที่เฮดเดอร์ (Header 1x20) มองจากด้านหน้า 44
รูปที่ 3.22 ตําแหน่งขาสัญญาณที่เฮดเดอร์ (Header 2x20) Parallel-Mode : 8 bit,16 bit 45
รูปที่ 3.23 การจัดเรียงบิตของคําสั่งที่รับเข้ามา 49
รูปที่ 3.24 การจัดเรียงดาต้า (Data) บิตสีขนาด 16 bit 65K Colors ที่รบั เข้ามา 49
รูปที่ 3.25 Timing Diagram การอ่าน-เขียนคําสั่งและข้อมูลไปยัง LCD ใน Parallel 16 bit 50
รูปที่ 3.26 วงจรการต่อในส่วนของทัชสกรีน (Touch Screen) เข้ากับ ADS7846 52
รูปที่ 3.27 การออกแบบหน้าจอทัชสกรีน (Touch Screen) และแอลซีดี (LCD) 53
รูปที่ 3.28 วงจร ET-TFT240320TP-2.8 54
รูปที่ 3.29 บล็อกไดอะแกรมวงจรด้านลูกข่าย (Client) 55
รูปที่ 3.30 ขั้วต่อสัญญาณ RS232 แบบ CPA-4PIN 56
รูปที่ 3.31 วงจรยูอาร์ท UART (RS232) 56
รูปที่ 3.32 เคเบิ้ล (Cable) ที่จะใช้ในการเชื่อมต่อ RS232 57
รูปที่ 3.33 วงจรและสัญญาณตามมาตรฐานของ ICD2 58
รูปที่ 3.34 ภาคจ่ายไฟและวงจรไฟฟ้าบอร์ดรีเลย์ (Relay) 1 ช่อง 59
รูปที่ 3.35 ลายปริ้นของบอร์ดชุดโมดูล Xbee ที่ไปกัดลายปริ้นแล้ว 61
รูปที่ 3.36 ติดตั้งอุปกรณ์จริงของบอร์ดชุดโมดูล Xbee 61
รูปที่ 3.37 ลายปริ้นของบอร์ด ZX-XBeeU ที่ไปกัดลายปริ้นแล้ว 62
รูปที่ 3.38 ติดตั้งอุปกรณ์จริงของบอร์ด ZX-XBeeU และทดสอบตั้งค่า Xbee 62
รูปที่ 3.39 ลายปริ้นของบอร์ดไมโครคอนโทรลเลอร์ 63
รูปที่ 3.40 ติดตั้งอุปกรณ์จริงของบอร์ดไมโครคอนโทรลเลอร์ และทําการทดสอบโปรแกรม 63
การทํางาน
รูปที่ 3.41 ติดตั้งอุปกรณ์จริงบนบอร์ดที่ต่อกับโหลดอุปกรณ์ไฟฟ้า 64
VII
สารบัญภาพ (ต่อ)
หน้า
VIII
บทที่ 1
บทนํา
1.1 ความเป็นมาและความสําคัญของปัญหา
ในปัจจุบันอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กได้มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วมาก โดยเฉพาะงาน
เทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายที่ใช้ในงานตรวจจับ ควบคุมหรือสั่งการทํางานเป็นต้น ล้วนมีการพัฒนาไป
มาก ขนาดอุปกรณ์เล็กลงและใช้พลังงานในการทํางานต่ํา และปัจจุบันผูค้ นส่วนใหญ่มกั จะดําเนินชีวิต
ด้วยความเร่งรีบ จึงไม่ค่อยมีเวลาที่จะทําอะไรมากนัก แต่ก็ยังต้องการความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต
ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการผลิตอุปกรณ์ต่างๆออกมามากมาย เพื่อมาใช้ในการควบคุมการเปิด-ปิดไฟฟ้าโดย
ผ่านทางอินเตอร์เน็ตหรือผ่านทางเทคโนโลยีสื่อสารไร้สายแบบต่างๆเช่น Bluetooth Infrared Wi-Fi
เป็นต้น เพื่อให้สามารถควบคุมได้จากระยะไกล ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้จะช่วยในเรื่องความสะดวกสบายได้
แต่อุปกรณ์เหล่านี้เมื่อมีการใช้งานผ่านเทคโนโลยีสื่อสารไร้สายแบบต่างๆดังกล่าว ยังมีการใช้พลังงาน
ที่สูง และหากต้องนําไปประยุกต์ใช้กับระบบต่างๆก็จะทําได้ยุ่งยากซับซ้อนมาก ทําให้มีราคาแพงตาม
ไปด้วย
ดังนั้นจึงเป็นแนวคิดในการใช้ Xbee และ ไมโครคอนโทรลเลอร์ มาควบคุมการเปิด-ปิดไฟฟ้า
โดยผ่านเครือข่ายไร้สาย เพื่อที่ให้สามารถควบคุมได้จากระยะไกล และหากผลการทดสอบนี้ประสบ
ผลสําเร็จก็จะสามารถอํานวยความสะดวกสบายให้กับมนุษย์มากขึ้น และสามารถนําไปประยุกต์ใช้กับ
ระบบไฟฟ้าต่างๆหรือระบบอื่นๆที่ใหญ่ขึ้น เพื่อที่จะอํานวยความสะดวกสบายให้กับคนมากที่สุด
Sever Client
2
1.7 งบประมาณในการทําโครงการ
ตารางที่ 1.1 งบประมาณในการทําโครงการ
ลําดับ รายการ จํานวน งบประมาณ
1 หน้าจอทัชสกรีน 1 1,000.00
2 รีเลย์ 2 400.00
3 ระบบสื่อสารไร้สาย (Xbee) 2 3,200.00
4 บอร์ดไมโครคอนโทรเลอร์ 2 1,400.00
5 หลอดไฟฟ้า 2 190.00
6 อื่นๆ 1 4,000.00
รวมทั้งสิ้น 10,330.00
3
บทที่ 2
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
2.1 ระบบเครือข่ายไร้สาย (Wireless LAN Technology)
2.2 รูปแบบการเชื่อมต่อของระบบเครือข่ายไร้สาย
ระบบเครือข่ายไร้สายเป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ที่ประกอบไปด้วยอุปกรณ์ไม่
มากนัก และมักจํากัดอยู่ในอาคารหลังเดียวหรืออาคารในละแวกเดียวกัน การใช้งานที่น่าสนใจทีส่ ดุ
ของเครือข่ายไร้สายก็คือ ความสะดวกสบายที่ไม่ต้องติดอยู่กับที่ ผูใ้ ช้สามารถเคลื่อนทีไ่ ปมาได้โดยที่ยัง
สื่อสารอยู่ในระบบเครือข่าย
2.2.1 เพียร์ทูเพียร์ (Peer-to-Peer)
5
รูปแบบการเชื่อมต่อระบบแลนไร้สายแบบ Peer to Peer จะเป็นลักษณะการเชื่อมต่อแบบ
โครงข่ายโดยตรงระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ จํานวน 2 เครื่องหรือมากกว่านั้น เป็นการใช้งานร่วมกัน
ของ wireless adapter cards โดยไม่ได้มีการเชื่อมต่อกับเครือข่ายแบบใช้สายเลย โดยที่เครือ่ ง
คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะมีความเท่าเทียมกัน สามารถทํางานของตนเองได้และขอใช้บริการเครื่อง
อื่นได้ เหมาะสําหรับการนํามาใช้งานเพื่อจุดประสงค์ในด้านความรวดเร็ว หรือติดตั้งได้โดยง่ายเมื่อไม่มี
โครงสร้างพื้นฐานที่จะรองรับ ยกตัวอย่างเช่น ในศูนย์ประชุม, หรือการประชุมที่จัดขึ้นนอกสถานที่
2.2.2 ไคลเอนท์/เซิร์ฟเวอร์ (Client/Server)
กรณีที่โครงสร้างของสถานที่ติดตั้งเครือข่ายแบบไร้สายมีปัญหา ผู้ออกแบบระบบอาจจะต้อง
ใช้ Extension Points ที่มีคณ ุ สมบัติเหมือนกับ Access Point แต่ไม่ต้องผูกติดไว้กับเครือข่ายไร้สาย
เป็นส่วนที่ใช้เพิ่มเติมในการรับส่งสัญญาณ
2.2.5 แบบใช้เสาอากาศทิศทาง (The Use of Directional Antennas)
ระบบแลนไร้สายแบบนี้เป็นแบบใช้เสาอากาศในการรับส่งสัญญาณ ระหว่างอาคารที่อยู่ห่าง
กัน โดยการติดตั้งเสาอากาศที่แต่ละอาคาร เพื่อส่งและรับสัญญาณระหว่างกัน
7
2.3 มาตรฐานเครือข่ายไร้สาย
2.3.1 มาตรฐานเครือข่ายไร้สาย IEEE 802.11 ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อปี
พ.ศ. 2540 โดยสถาบัน IEEE (The Institute of Electronics and Electrical Engineers) ซึ่งมี
ข้อกําหนดระบุไว้ว่า ผลิตภัณฑ์เครือข่ายไร้สายในส่วนของ PHY Layer นั้นมีความสามารถในการ
รับส่งข้อมูลที่ความเร็ว 1, 2, 5.5, 11 และ 54 เมกะบิตต่อวินาที โดยมีสื่อนําสัญญาณ 3 ประเภทให้
เลือกใช้งานอันได้แก่ คลื่นวิทยุย่านความถี่ 2.4 กิกะเฮิรตซ์, 2.5 กิกะเฮิรตซ์และคลื่นอินฟาเรด ส่วนใน
ระดับชั้น MAC Layer นั้นได้กําหนดกลไกของการทํางานแบบ CSMA/CA (Carrier Sense Multiple
Access/Collision Avoidance) ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับ CSMA/CD (Collision Detection) ของ
มาตรฐาน IEEE 802.3 Ethernet ซึ่งนิยมใช้งานบนระบบเครือข่ายแลนใช้สาย โดยมีกลไกในการ
เข้ารหัสข้อมูลก่อนแพร่กระจายสัญญาณไปบนอากาศ พร้อมกับมีการตรวจสอบผู้ใช้งาน
ในยุคเริ่มแรกนั้นให้ประสิทธิภาพการทํางานที่ค่อนข้างต่ํา ทั้งไม่มีการรับรองคุณภาพของการ
ให้บริการที่เรียกว่า QoS (Quality of Service) ซึ่งมีความสําคัญในสภาพแวดล้อมที่มีแอพพลิเคชัน
หลากหลายประเภทให้ใช้งาน นอกจากนั้นกลไกในเรื่องการรักษาความปลอดภัยที่นํามาใช้ก็ยังมีช่อง
โหว่จํานวนมาก IEEE จึงได้จัดตั้งคณะทํางานขึ้นมาหลายชุดด้วยกัน เพื่อจะทําการพัฒนาและปรับปรุง
มาตรฐานให้มศี ักยภาพเพิ่มสูงขึ้น
2.3.2 มาตรฐานเครือข่ายไร้สาย IEEE 802.11a เป็นมาตรฐานที่ได้รับการตีพิมพ์และเผยแพร่
เมื่อปี พ.ศ. 2542 โดยใช้เทคโนโลยี OFDM (Orthogonal Frequency Division Multiplexing) เพื่อ
พัฒนาให้ผลิตภัณฑ์ไร้สายมีความสามารถในการรับส่งข้อมูลด้วยอัตราความเร็วสูงสุด 54 เมกะบิตต่อ
วินาที โดยจะใช้คลื่นวิทยุทยี่ ่านความถี่ 5 กิกะเฮิรตซ์ ซึ่งเป็นย่านความถี่ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้งาน
โดยทั่วไปในประเทศไทย เนื่องจากต้องสงวนไว้สําหรับกิจการทางด้านดาวเทียม ข้อเสียของผลิตภัณฑ์
มาตรฐาน IEEE 802.11a ก็คือจะมีรัศมีการใช้งานในระยะสั้นและมีราคาแพง ดังนั้นผลิตภัณฑ์ไร้สาย
มาตรฐาน IEEE 802.11a จึงได้รับความนิยมน้อย
2.3.3 มาตรฐานเครือข่ายไร้สาย IEEE 802.11b เป็นมาตรฐานที่ถูกนํามาตีพิมพ์และเผยแพร่
ออกมาพร้อมกับมาตรฐาน IEEE 802.11a เมื่อปี พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นที่รู้จกั กันดีและได้รับความนิยมใน
การใช้งานกันอย่างแพร่หลายมากที่สุด ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาให้รองรับมาตรฐาน IEEE 802.11b ใช้
เทคโนโลยีที่เรียกว่า CCK (Complimentary Code Keying) ร่วมกับเทคโนโลยี DSSS (Direct
Sequence Spread Spectrum) เพื่อให้สามารถรับส่งข้อมูลได้ด้วยอัตราความเร็วสูงสุดที่ 11 เมกะ
บิตต่อวินาที โดยใช้คลื่นสัญญาณวิทยุย่านความถี่ 2.4 กิกะเฮิรตซ์ ซึ่งเป็นย่านความถี่ที่อนุญาตให้ใช้
งานในแบบสาธารณะทางด้านวิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรมและการแพทย์ โดยผลิตภัณฑ์ที่ใช้ความถี่
ย่านนี้มีชนิด ทั้งผลิตภัณฑ์ทรี่ องรับเทคโนโลยี Bluetooth, โทรศัพท์ไร้สายและเตาไมโครเวฟ จึงทําให้
การใช้งานนั้นมีปัญหาในเรื่องของสัญญาณรบกวนของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ มาตรฐาน IEEE 802.11b มี
ข้อดีก็คือ สนับสนุนการใช้งานเป็นบริเวณกว้างกว่ามาตรฐาน IEEE 802.11a ผลิตภัณฑ์มาตรฐาน IEEE
8
802.11b เป็นที่รู้จักในเครื่องหมายการค้า Wi-Fi ซึ่งถูกกําหนดขึ้นมาโดย WECA (Wireless Ethernet
Compatability Alliance) โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้รับเครื่องหมาย Wi-Fi ได้ผ่านการตรวจสอบและรับรอง
ว่าเป็นไปตามข้อกําหนดของมาตรฐาน IEEE 802.11b ซึ่งสามารถจะนํามาใช้งานร่วมกันกับผลิตภัณฑ์
ของผู้ผลิตรายอื่นๆ ได้
2.3.4 มาตรฐานเครือข่ายไร้สาย IEEE 802.11g เป็นมาตรฐานที่นิยมใช้งานกันมากในปัจจุบัน
และได้เข้ามาทดแทนผลิตภัณฑ์ที่รองรับมาตรฐาน IEEE 802.11b เนื่องจากสนับสนุนอัตราความเร็ว
ของการรับส่งข้อมูลในระดับ 54 เมกะบิตต่อวินาที โดยใช้เทคโนโลยี OFDM บนคลื่นสัญญาณวิทยุย่าน
ความถี่ 2.4 กิกะเฮิรตซ์ และให้รัศมีการทํางานที่มากกว่า IEEE 802.11a พร้อมความสามารถในการใช้
งานร่วมกันกับมาตรฐาน IEEE 802.11b ได้ (Backward-Compatible)
2.3.5 มาตรฐานเครือข่ายไร้สาย IEEE 802.11f มาตรฐานนี้เป็นที่รู้จักกันในนาม IAPP (Inter
Access Point Protocol) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ออกแบบมาสําหรับจัดการกับผู้ใช้งานที่เคลื่อนที่ข้ามเขต
การให้บริการของ Access Point ตัวหนึ่งไปยัง Access Point เพื่อให้บริการในแบบโรมมิงสัญญาณ
ระหว่างกัน
2.3.6 มาตรฐานเครือข่ายไร้สายIEEE 802.11h เป็นมาตรฐานที่ออกแบบมาสําหรับผลิตภัณฑ์
เครือข่ายไร้สายที่ใช้งานย่านความถี่ 5 กิกะเฮิรตซ์ เพื่อให้ทํางานได้ถูกต้องตามข้อกําหนดการใช้ความถี่
ของประเทศในทวีปยุโรป
9
2.4 ระบบโปรโตคอล
2.4.1 ความหมาย
การเชื่อมโยงเครือข่ายที่มีฮาร์ดแวร์ต่างกันจําเป็นต้องกําหนดข้อตกลงร่วม เรียกว่าโปรโตคอล
(protocol) ซึ่งการกําหนด Protocol มีไว้เพื่อให้คอมพิวเตอร์สื่อสารกันตามข้อกําหนด TCP/IP ( ทีซี
พี/ไอพี ) จัดเป็นโปรโตคอลหนึ่งที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาการเชื่อมโยงดังกล่าว
โปรโตคอลในความหมายของระบบเครือข่ายคือ ข้อกําหนดของการสื่อสารคอมพิวเตอร์หรือ
อุปกรณ์เครือข่าย จะมีซอฟต์แวร์ที่ปฏิบัติงานตามโปรโตคอลที่กําหนด พร้อมทั้งมีกรรมวิธีแก้ไขปัญหา
ที่เกิดขึ้น เช่น หากข้อมูลทีต่ ้องการขนถ่ายมีข้อผิดพลาด คอมพิวเตอร์จะดําเนินการตามแบบแผนใน
โปรโตคอลเช่น ส่งข้อมูลซ้ําใหม่
ในระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ อาจมีเส้นทางเชื่อมโยงระหว่างกันได้เป็นจํานวนมาก ข้อมูลที่
ส่งออกไปอาจไม่ได้ใช้เส้นทางเดียวกันตลอด ข้อมูลทีส่ ่งออกไปก่อนอาจไปถึงปลายทางช้ากว่า กรณีนี้
เครื่องปลายทางจําเป็นต้องจัดลําดับข้อมูลใหม่ กรณีที่คอมพิวเตอร์ต้นทางสามารถส่งข้อมูลได้เร็วเกิน
กว่าปลายทางจะรับได้ทันนั้น โปรโตคอลจะกําหนดกรรมวิธีควบคุมการลําเลียงข้อมูลระหว่างต้นทาง
และปลายทางให้สัมพันธ์กัน โดยข้อกําหนดตามโปรโตคอลที่กล่าวถึงนี้จะอธิบายโดยละเอียดในแต่ละ
หัวข้อต่อไป
2.4.2 ชนิด Protocol
Protocol ในโลกนี้มีมาก 500 Protocol และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง Protocol แต่ละ
ชนิดก็มีคุณสมบัติเด่น แตกต่างกันไปควรที่จะเลือกใช้ให้เหมาะสม Protocol ที่นิยมใช้ในระบบ
Network มีดังต่อไปนี้
1) โปรโตคอลทีซีพ/ี ไอพี (TCP/IP Protocol) เป็นโปรโตคอลที่นิยมใช้งานกันอย่าง
แพร่หลายในแทบทุกเครือข่ายไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายเฉพาะที่ (LAN) หรือเครือข่ายในตรงบริเวณกว้าง
(WAN) TCP/IP ( ทีซีพี/ไอพี ) โดยจะเชื่อมกลุ่มเครือข่ายย่อยเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่หรือ
อินเตอร์เน็ต (Internet) TCP/IP ผ่านการออกแบบให้เป็นอิสระจากชนิดคอมพิวเตอร์ ฮาร์ดแวร์ และ
ระบบปฏิบัติการ กลไกของโปรโตคอลมีความเชื่อถือได้สูงและทํางานได้ แม้ในบางภาวะที่การสื่อสารมี
ความผิดปกติ รวมทั้งสามารถเลือกเส้นทางส่งข้อมูลตามสภาพเครือข่ายได้ ในกรณีที่บางเส้นทางชํารุด
TCP/IP มีที่มาจากโปรโตคอลคือ ทีซีพี (TCP : Transmission Control Protoclo) และ ไอพี (IP :
Internet Protocol) IP ทําหน้าที่ในการกําหนดแอดเดรส จัดแบ่งขนาดข้อมูลให้พอเหมาะ และเลือก
เส้นทางส่งข้อมูล ส่วน TCP มีหน้าที่รับประกันความถูกต้องในการลําเลียงข้อมูล TCP และ IP ไม่ได้
เป็นเพียงสองโปรโตคอลที่มีอยู่เท่านั้น โดยที่ยังมีโปรโตคอลสนับสนุนอีกจํานวนมากจัดรวมกันเป็นชุด
โปรโตคอล ทีซพี ี/ไอพี (TCP/IP protocol suite)
2) ทีซพี ี/ไอพีและอินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตเป็นได้ทั้งเครือข่ายของคอมพิวเตอร์ และ
เครือข่ายของเครือข่าย เพราะอินเทอร์เน็ตในยุคปัจจุบันเป็นสังคมเครือข่ายขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วย
เครือข่ายย่อยจํานวนมากต่อเชื่อมกัน TCP/IP คอมพิวเตอร์ที่ในอินเทอร์เน็ตทุกเครื่องจึงใช้โปรโตคอล
10
TCP/IP เพื่อสื่อสารระหว่างกัน อินเทอร์เน็ตได้มีพัฒนาการมาจากอาร์พาเน็ต (ARP Anet) ซึ่งเป็น
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายใต้ความรับผิดชอบของอาร์พา (Advanced Research Projects Agency)
ในสังกัดกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกา อาร์พาเน็ตในขั้นต้นนี้จะเป็นเครือข่ายทดลองที่ตั้งขึ้นเพื่อ
สนับสนุนงานวิจัยด้านการทหาร อาร์พาซึ่งต่อมาก็ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นดาร์พา (Defense Advanced
Research Projects Agency) ต้องการที่จะพัฒนาเครือข่ายที่สามารถสื่อสารกันได้ แม้ว่าอุปกรณ์
เครือข่ายบางจุดจะหยุดทํางานหรือเส้นทางสื่อสารบางเส้นทางถูกตัดขาด ดาร์พาได้วางแผนการขยาย
เครือข่าย และได้เปิดการเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายกับเครือข่ายที่ต้องการโปรโตคอลที่ทํางานได้กับสาย
สื่อสารและฮาร์ดแวร์หลายรูปแบบ และสามารถรองรับ Host จํานวนมากได้ TCP/IP เป็นโปรโตคอล
ที่มีคุณสมบัติดังกล่าวครบถ้วน TCP/IP ยังไม่ได้เป็นชื่อที่ใช้อย่างเป็นทางการในช่วงเวลานั้น หากแต่
เรียกว่าคาห์น – เซอร์ฟ โปรโตคอล ตามชื่อผู้พัฒนาคือ โรเบิร์ต คาห์น (Robert Kahn) ซึ่งทํางานอยู่
ที่บริษัทบีบีเอ็น (BBN : Nolt Beranek and Newmann) และ วินตัน เซอร์ฟ (Vintom Cerf) แห่ง
สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด ดาร์พาได้ทําการว่าจ้างบีบีเอ็นพัฒนา TCP/IP ภายใต้ยูนิกซ์ของมหาวิทยาลัย
แคลิฟอร์เนียแห่งเบิร์คลีย์ และได้ให้ทุนเผยแพร่ระบบปฏิบัติการออกไปโดยไม่คิดมูลค่า ยูนิกซ์ที่ผนวก
TCP/IP และได้นํามาเผยแพร่ออกไปเมื่อปี พ.ศ. 2526 ได้ใช้ชื่อว่า 4.2BSD (4.2 Berkeley System
Distribution) และจากจุดนั้นเป็นต้นมาทีซีพ/ี ไอพีก็ได้แพร่หลายไปในมหาวิทยาลัยและหน่วยงานอื่น
และเป็นโปรโตคอลมาตรฐานซึ่งใช้เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ที่ทํางานภายใต้ยูนิกซ์ ซึ่งในปัจจุบันจะพบว่า
ระบบปฏิบัติการส่วนใหญ่ทั้งคอมพิวเตอร์ระดับใหญ่และไมโครคอมพิวเตอร์ จะเป็นการสนับสนุนการ
ทํางานตามข้อกําหนดของ TCP/IP เพื่อเชื่อมเข้าสู่อินเทอร์เน็ตได้โดยง่าย
3) แบบอ้างอิง TCP/IP ระบบการสื่อสารข้อมูลในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ประกอบไป
ด้วยทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อน การมองภาพของระบบโดยรวมทั้งหมดเป็นหน่วยใหญ่ย่อมยาก
ต่อการทําความเข้าใจ การจะใช้แบบอ้างอิงที่แบ่งระบบออกเป็นส่วนย่อยจะช่วยลดความซับซ้อน และ
สร้างความเข้าใจได้ง่ายกว่า เครือข่ายคอมพิวเตอร์มีแบบอ้างอิงที่ใช้เป็นมาตรฐานคือ แบบอ้างอิงโอ
เอสไอ (OSI : Open Systems Interconnection Reference Model) ในขณะส่วน TCP/IP เป็น
โปรโตคอลที่กําเนิดก่อน OSI และมีแบบอ้างอิงเฉพาะตามรูปที่ 2.7 TCP/IP มีระดับชั้นจากล่างขึ้นบน
และลักษณะสมบัติประจําชั้นต่างๆ ดังต่อไปนี้
- ฟิสิคัล คือชั้นของการกําหนดคุณสมบัติฮาร์ดแวร์เช่น คุณสมบัติทางกล (หัวต่อ
และชนิดสายสือ่ สาร) และคุณสมบัติทางไฟฟ้า (ลักษณะของสัญญาณและอัตราเร็ว) กล่าวโดยรวมแล้ว
ระดับชั้นฟิสิคัลกําหนดวิธีการถ่ายโอนข้อมูลในระดับบิต
- เดทาลิงค์ คือชั้นของซอฟต์แวร์ (ดีไวซ์ไดรเวอร์) และฮาร์ดแวร์ซึ่งทํางานด้านการ
เชื่อมโยงเข้ากับสายสื่อสาร ตัวอย่างมาตรฐานในระดับชั้นนี้ได้แก่ อินเทอร์เน็ตและโทเค็นริง เป็นต้น
- เน็ตเวอร์ค คือชั้นที่ทําหน้าที่ในการกําหนดการเลือกเส้นทาง เพื่อทําการส่งข้อมูล
ระหว่างสถานีต้นทางและสถานีปลายทางตัวอย่างโปรโตคอลในระดับชั้นนี้ได้แก่ IP
- ทรานสปอร์ต คือชั้นที่ทําหน้าที่จัดเตรียมการส่งข้อมูล ระหว่างสถานีต้นทางและ
ปลายทางโดยสถาปนาการเชื่อมต่อและรักษาสภาพการเชื่อมต่อ และได้ทําการยกเลิกการเชื่อมต่อเมื่อ
11
สิ้นสุดกระบวนการ และมีหน้าที่เพิ่มเติมในการรับประกันความถูกต้องของข้อมูลที่จะจัดส่ง TCP/IP มี
โปรโตคอลประจําชั้นนี้จํานวนสองโปรโตคอลคือ TCP และ UDP
- แอพลิเคชั้น ระดับชั้นนี้จะทําหน้าที่กําหนดในส่วนของการทํางานของโปรโตคอล
ประยุกต์ ตัวอย่างโปรโตคอลในระดับชั้นนี้ได้แก่ เอฟอีพี (FTP) เอสเอ็มทีพี (SMTP) หรือ เทลเน็ต
(TELNET) เป็นต้น
Applicat ion
Transport
TCP UDP
Net w ork
I CMP IP I GMP
Dat a Link
12
ระดับชั้นทรานสปอร์ต มีสองโปรโตคอลสําคัญ TCP และ UDP แอพลิเคชั้นจะ
เลือกใช้ TCP หรือ UDP ตามลักษณะงาน โปรโตคอลระดับล่างถัดจาก IP ได้แก่ โปรโตคอลระดับเด
ทาลิงค์ ซึ่งกําหนดการทํางานตามเทคโนโลยีเครือข่ายที่ใช้งานเช่นโปรโตคอล CSMA/CD ตามระบบ
มาตรฐาน Ethernet ที่ได้ใส่ระดับชั้นนี้มีโปรโตคอลในชุดของ TCP/IP โดยทําหน้าที่สนับสนุนการ
ทํางานอยู่สองโปรโตคอลคือ ARP และ RARP โดยทั้งสองโปรโตคอลทําหน้าที่แปลงค่าระหว่าง IP
Address กับ Hardware Address
5) การส่งถ่ายข้อมูลระหว่างชั้น โปรโตคอลที่ในแต่ละชั้นนั้นล้วนมีหน้าที่ๆเกี่ยวข้องใน
การส่งผ่านข้อมูลจากสถานีตน้ ทางไปยังสถานีปลายทาง ส่วนข้อมูลจะถูกส่งผ่านจากโปรโตคอลระดับ
บนสุดจากสถานีต้นทางไปยังระดับล่าง จนกระทั่งข้อมูลถูกแปลงให้อยู่ในรูปของสัญญาณไฟฟ้า แล้ว
จะเดินทางผ่านเครือข่ายไปยังสถานีปลายทาง โปรโตคอลระดับล่างสุดที่สถานีปลายทางจะทําการรับ
สัญญาณและส่งผ่านขึ้นไปยังโปรโตคอลระดับบนต่อไป เมื่อข้อมูลผ่านแต่ละระดับชั้น โปรโตคอลใน
ชั้นนั้นจะผนวกข่าวสารกํากับการทํางานประจําโปรโตคอลซึ่งเรียกว่า โปรโตคอลเฮดเดอร์ (protocol
header) เข้ากับข้อมูล เฮดเดอร์และตัวข้อมูลจากระดับบนจะถูกส่งผ่านไปยังระดับล่าง โปรโตคอล
ระดับล่างจะมองเฮดเดอร์หุ้มเป็นชั้นๆ กระบวนการนี้เรียกว่า การเอ็นแคปซูเลต ตัวอย่างในรูปที่ 2.9
แสดงการเอ็นแคปซูเลตแพ็กเก็ต TCP/IP ในส่วนอีเทอร์เน็ต เมื่อสถานีปลายทางได้รับแพ็กเก็ตก็จะ
ดําเนินการส่งไปตามลําดับชั้น โปรโตคอลประจําชั้นนี้จะถอดเฮดเดอร์ออกและส่งส่วนที่เหลือไปยังชั้น
ถัดไป เฮดเดอร์จะถูกถอดออกไปเหลือเฉพาะข้อมูลเมื่อถึงชั้นบนสุด กระบวนการนี้เรียกว่าดีแคบซูเลต
(decapsulation)
ข อ มู ล
15
2.5.4 โหนดระบบโครงข่ายไร้สายของเอ็กบี (Xbee Network Node)
จะประกอบไปด้วยโหนดหลักๆ อยู่ 3 โหนด โดยแต่ละโหนดจะมีหน้าที่ในการทํางานแตกต่าง
กันไปดังต่อไปนี้
1) โหนดแม่ข่าย (Coordinator) เป็นอุปกรณ์ประเภท FFD (Full Function Device)
มีหน้าที่สร้างการสื่อสารเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่าง End Device กับ Router หรือ Coordinator กับ
Coordinator หรือ Coordinator กับ Router โดยจะต้องกําหนด address ให้กับ device ที่อยู่ใน
วงเครือข่ายไม่ให้ซ้ํากัน และดูแลจัดการเรื่องการ Routing เส้นทาง และไม่สามารถ sleep และควร
จะเป็น Main Power
2) โหนดลูกข่าย (End Device) เป็นอุปกรณ์ประเภท FFD (Full Function Device)
หรือ RFD (Reduced Function Device) เมื่อเข้าร่วมเครือข่ายแล้วจะมีหน้าที่รับและส่งข้อมูล แต่ไม่
สามารถขยายสัญญาณไปให้ตัวอื่นๆได้อีก และจะไม่สามารถให้อุปกรณ์อื่นๆเข้าร่วมเครือข่ายได้ และ
สามารถเข้าสู่โหมด low power modes เพื่อประหยัดพลังงาน
3) โหนดกระจายสัญญาณ (Router) เป็นอุปกรณ์ประเภทแบบ FFD (Full Function
Device) เมื่อเข้าร่วมเครือข่ายแล้ว จะมีหน้าที่รับและส่งข้อมูลเหมือน End Device แต่สามารถที่จะ
กําหนดเส้นทางข้อมูลเพื่อกระจายสัญญาณต่อไปได้ และจะอนุญาตให้ Router และ End Device ตัว
อื่นๆเข้าร่วมเครือข่ายได้
2.5.5 คุณสมบัติโดยทั่วไปของเอ็กบี (Xbee)
1) Operating Frequency ISM Band 2.4 GHz (ISM Band หมายถึงย่านความถี่ที่
ใช้งาน เพื่อการวิจัยซึ่งจะอนุญาตให้ใช้กับอุตสาหกรรม (Industrial) วิทยาศาสตร์ (Scientifit) และ
ทางการแพทย์ (Medical)
2) จะมีสายอากาศให้เลือกใช้หลายแบบคือแบบ Chip Antenna, Whip Antenna,
U.FL connector และ SMA connector โดยแบบ U.FL connector และ SMA connector
สามารถใช้กับเสาอากาศย่าน 2.4 GHz ที่เป็น connector แบบ U.FL หรือ SMA ได้
3) Supply Voltage อยู่ที่ 2.8-3.4 โวลต์
4) ในโหมดประหยัดพลังงานใช้กระแสไฟฟ้า < 10 μA
5) อัตราถ่ายทอดข้อมูลผ่านคลื่นวิทยุ อยู่ที่ 250,000 บิตต่อวินาที
6) อัตราการถ่ายทอดข้อมูลอนุกรม (Baud rate) อยู่ระหว่าง 1,200-115,200 บิตต่อ
วินาที (เป็นส่วนที่ติดต่อสื่อสารกับไมโครคอนโทรลเลอร์)
7) เทคโนโลยีการกระจายคลื่นแบบ DSSS (Direct Sequence Spread Spectrum)
8) การกําหนด addressing มีลักษณะลําดับคือ กําหนด PAN ID สําหรับเครือข่าย
หนึ่งๆ กําหนด Channel และกําหนด address ของแต่ละตัว
2.5.6 แบบของสายอากาศ
1) แบบชิป (Chip Antenna) เหมาะกับการนําไปใช้งานในโครงงานที่ต้องการที่ขนาด
เล็ก เพราะการใช้สายอากาศแบบนี้ สายอากาศไม่เกะกะ นําไปใส่กล่องได้ แต่ได้เฉพาะกล่องพลาสติก
ไม่สามารถใช้กล่องเหล็กได้ เนื่องจากใส่กล่องเหล็กสัญญาณจะไม่สามารถส่งออกมานอกกล่องเหล็กได้
หากต้องการใช้กล่องเหล็กควรเลือกใช้สายอากาศที่ต่อออกมานอกกล่อง
16
รูปที่ 2.12 โมดูล Xbee แบบชิป (Chip Antenna)
17
รูปที่ 2.14 โมดูล Xbee แบบยูเอฟแอล (UFL Antenna)
18
2.5.8 การทํางานของเอ็กบี (Xbee)
1) โหมดไอดีแอลอี (Idle Mode) เป็นโหมดที่ไม่มกี ารรับ-ส่งข้อมูล และถือได้ว่าเป็น
โหมดกลางที่สามารถเปลี่ยนเป็นไปยังโหมดต่างๆได้
2) โหมดส่งข้อมูล (Transmit Mode) จะมีการส่งข้อมูลทั้งหมดได้ 2 วิธีคือ Direct
Transmission และ Indirect Transmission packet โดยที่แบบ Direct Transmission ข้อมูลจะ
ถูกส่งไปยัง Destination Address ทันที ส่วนแบบ Indirect Transmission packet ข้อมูลจะถูก
เก็บไว้จนกว่าจะถึงเวลาที่จะต้องส่งเท่านั้น และจะส่งไปยังที่ๆมีการตอบรับมา (Source Address =
Destination Address)
3) โหมดรับข้อมูล (Receive Mode) ข้อมูล RF จะถูกรับทางสายอากาศ
4) โหมดประหยัดพลังงาน (Sleep Mode) อยู่ในช่วงสถานะที่มีการใช้กําลังไฟฟ้าต่ํา
หรือไม่มีการใช้ การเข้าสู่โหมดนี้ค่าของตัวแปร SM ต้องไม่เป็น 0 และต้องเป็นไปตามเงื่อนไขต่อไปนี้
อย่างน้อยหนึ่งอย่างคือ มีการใช้งานที่ Sleep_RQ (pin 9) หรืออยู่ในโหมด Idle (ไม่มีการรับ-ส่ง
ข้อมูล) เป็นเวลานานมากกว่าที่กําหนดไว้ที่ตัวแปร ST (Time before Sleep)
5) โหมดลําดับข้อมูล (Command Mode) เป็นโหมดคําสั่งโดยจะใช้ลําดับเป็นสําคัญ
Transmit
Sleep Idle
Receive
Mode Mode
Mode
Command
19
2.6 ไมโครคอนโทรลเลอร์
ไมโครคอนโทรลเลอร์คืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทําหน้าที่เสมือนคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ที่ใช้
ควบคุมการทํางานของเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือระบบควบคุมทางอิเล็กทรอนิกส์ ให้มีความสามารถในการ
ทํางานมากขึ้น โดยเราสามารถจะทําการเปลี่ยนแปลงลําดับการทํางานด้วยการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไข
โปรแกรมภายในหน่วยความจํา ทําให้เราสามารถนําไมโครคอนโทรลเลอร์มาประยุกต์ใช้ในการควบคุม
การทํางานของอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ
2.6.1 โครงสร้างโดยทั่วไปของไมโครคอนโทรลเลอร์
โครงสร้างโดยทั่วไปของไมโครคอนโทรลเลอร์นั้น สามารถแบ่งออกมาได้เป็น 5 ส่วนใหญ่ๆ
ดังต่อไปนี้
1) หน่วยประมวลผลกลางหรือซีพียู (CPU : Central Processing Unit) คือส่วนที่ทํา
หน้าที่คํานวณทางคณิตศาสตร์ คือการตัดสินใจแบบมีเงื่อนไข (Logic) ซึ่งจะมีการทํางานที่ซับซ้อน
โดยลําดับในการทํางานของส่วนประมวลผลจะขึ้นอยู่กับการจัดลําดับคําสั่งในการทํางาน
(Programming Code) ซึ่งจะบรรจุอยู่ภายในของส่วนพื้นที่เก็บข้อมูล
2) หน่วยความจํา (Memory) สามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ หน่วยความจําที่มีไว้
สําหรับเก็บโปรแกรมหลัก (Program Memory) เปรียบเสมือนฮาร์ดดิสก์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้ง
โต๊ะ คือข้อมูลใดๆ ที่ถูกเก็บไว้ในนี้จะไม่สูญหายไปแม้ไม่มไี ฟเลี้ยง อีกส่วนหนึ่งคือหน่วยความจําข้อมูล
(Data Memory) ใช้เป็นเหมือนกกระดาษทดในการคํานวณของซีพียู และยังเป็นที่พักข้อมูลชั่วคราว
ขณะทํางาน แต่ถ้าหากไม่มไี ฟเลี้ยงข้อมูลก็จะหายไปคล้ายกับหน่วยความจําแรม (RAM) ในเครื่อง
คอมพิวเตอร์ทั่วๆไป แต่สําหรับไมโครคอนโทรลเลอร์สมัยใหม่แล้ว หน่วยความจําข้อมูลนี้จะมีทั้งที่เป็น
หน่วยความจําแรม ซึ่งข้อมูลจะหายไปเมื่อไม่มีไฟเลี้ยง และเป็นแบบอีอีพรอม (EEPROM : Erasable
Electrically Read-Only Memory) ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลได้แม้ไม่มไี ฟเลี้ยงก็ตาม
3) ส่วนติดต่อกับอุปกรณ์ภายนอกหรือพอร์ต (Port) มี 2 ลักษณะคือ พอร์ตอินพุต
(Input Port) และพอร์ตส่งสัญญาณหรือพอร์ตเอาต์พุต (Output Port) ส่วนนี้จะใช้ในการเชื่อมต่อ
กับอุปกรณ์ภายนอก ถือว่าเป็นส่วนที่สําคัญอย่างมาก ใช้ร่วมกันระหว่างพอร์ตอินพุต เพื่อรับสัญญาณ
อาจจะด้วยการกดสวิตช์ เพื่อนําไปประมวลผลและส่งไปพอร์ตเอาต์พุต เพื่อแสดงผลเช่น การติดสว่าง
ของหลอดไฟ เป็นต้น
4) ช่องทางเดินของสัญญาณหรือบัส (BUS) คือเส้นทางการแลกเปลี่ยนสัญญาณข้อมูล
ระหว่าง ซีพียู หน่วยความจําและพอร์ตต่างๆ เป็นลักษณะของสายสัญญาณจํานวนมากที่อยู่ภายในตัว
ไมโครคอนโทรลเลอร์ โดยแบ่งเป็นบัสข้อมูล (Data Bus),บัสแอดเดรส (Address Bus) และบัส
ควบคุม (Control Bus)
5) วงจรกําเนิดสัญญาณนาฬิกา เป็นส่วนประกอบที่สําคัญมากๆอีกส่วนหนึ่ง เนื่องจาก
การทํางานที่เกิดขึ้นในตัวไมโครคอนโทรลเลอร์ จะขึ้นอยูก่ ับการกําหนดจังหวะ หากสัญญาณนาฬิกามี
ความถี่สูง จังหวะการทํางานก็จะสามารถทําได้ถี่ขึ้น ส่งผลให้ไมโครคอนโทรลเลอร์ตัวนั้นมีความเร็วใน
การประมวลผลสูงตามไปด้วย
20
รูปที่ 2.17 โครงสร้างหลักของไมโครคอนโทรลเลอร์
22
ตารางที่ 2.2 ขาพอร์ตหลักๆของไมโครคอนโทรลเลอร์ PIC เบอร์ dsPIC30F4011
23
2.6.3 มาตรฐาน RS 232
เพื่อจะทําให้อุปกรณ์จากผู้ผลิตต่างกันสามารถทํางานร่วมกันได้ มาตรฐานหลายชนิดจึงได้รับ
การออกแบบขึ้นมา มาตรฐานที่ใช้กันอย่างกว้างข้างที่สุดในปัจจุบันคือมาตรฐาน RS 232 ซึ่งโดยปกติ
ไมโครคอมพิวเตอร์จะมีพอร์ตที่เป็นแบบอนุกรมอยู่ในตัวแล้ว และทําหน้าที่รับ - ส่งข้อมูลแบบอนุกรม
ตามจุดประสงค์ของมาตรฐาน RS 232 เพื่อที่จะสามารถเชื่อมต่อกันระหว่างอุปกรณ์รับ-ส่งปลายทาง
(Data Terminal Equipment) เช่น พอร์ตของคอมพิวเตอร์หลักหรืออุปกรณ์ปลายทางกับอุปกรณ์
RS 232 เป็นข้อกําหนดของการอินเตอร์เฟสมาตรฐาน และยังสามารถใช้เพื่อจุดประสงค์อื่นต่างกันไป
เช่นการสื่อสารแบบซิงโครนัส (Synchronous communication) และรูปแบบการสื่อสารที่ต้องการ
สัญญาณนาฬิกาและสัญญาณกําหนดจังหวะเพิ่มเติมขึ้นมา ในความเป็นจริงแล้วเรายังสามารถทําให้มี
การสนทนากันระหว่าง DTE และ DCE โดยการใช้สายสัญญาณเพียง 3 เส้นเท่านัน้ คือใช้สาย TD
และ RD และสายกราวด์เท่านั้น
RS232 คือ มาตรฐานการเชื่อมต่อข้อมูลแบบ Serial ใช้เพื่อเพิ่มระยะทางในการส่งข้อมูล
แบบ Serial ให้สามารถส่งได้ระยะทางที่มากขึ้น โดยมีการเปลี่ยนระดับแรงดัน ของ Logic (TTL) จาก
เดิมที่จะอยู่ในช่วง 0-5 V หรือ 0-3.3 V เป็นช่วง -15 ถึง 15 V ซึ่งถ้านํา RS232 ไปต่อตรงกับ Logic
(TTL) เลยจะเกิดความเสียหายกับอุปกรณ์ได้ เพราะฉะนั้นการที่ Logic (TTL) ต้องการติดต่อสื่อสาร
กับคอมพิวเตอร์ผ่านพอร์ตอนุกรมนั้น จะต้องมี IC เช่น MAX 232 ทําหน้าที่แปลงแรงดันที่เข้ามาจาก
Serial Port ตามมาตรฐาน RS 232 ให้เป็นระดับแรงดัน TTL หรือแปลงแรงดันที่เข้ามาจากระดับ
แรงดัน TTL ให้เป็นระดับแรงดัน Serial Port ตามมาตรฐาน RS 232 เพื่อให้สามารถติดต่อกับ
ไมโครคอนโทรลเลอร์ได้
24
25
บทที่ 3
ขั้นตอนการดําเนินงาน
การจัดทําชุดสาธิตการควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านแบบไร้สายโดยใช้เอ็กบี ให้บรรลุเสร็จ
สมบูรณ์ได้นั้น จําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการวางแผนการทํางานให้เป็นขั้นตอน เพื่อให้การดําเนินงาน
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตรงตามแผนที่กาํ หนด ซึ่งแผนผังขั้นตอนและวิธีการดําเนินงานแสดงดังรูป
ที่ 3.1 สามารถลําดับขั้นตอนได้ดังต่อไปนี้
หาข้อมูล
ไม่ผ่าน
พบ อ.ที่ปรึกษา ปรับปรุงแก้ไข
ออกแบบระบบโปรโตคอล และทดสอบ
ไม่ผ่าน
พบ อ.ที่ปรึกษา ปรับปรุงแก้ไข
25
A
พบ อ.ที่ปรึกษา ไม่ผ่าน
ปรับปรุงแก้ไข
ออกแบบวงจรไฟฟ้า ประกอบแผ่นปริ้นวงจรของชุด
ควบคุมการเปิด-ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านแบบไร้
สาย และทดสอบ
ทดสอบการทํางาน
ทั้งหมด
ปรับปรุงแก้ไข
ได้ชุดสาธิตการควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านแบบ
ไร้สายโดยใช้เอ็กบี
รูปที่ 3.1 แผนผังขั้นตอนการทํางาน
26
ในส่วนของโครงงานนี้จัดรูปแบบการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายไร้สายแบบ Client / Server
Sever
27
คุณสมบัติโดยทั่วไป
1. ความถี่ในการทํางาน : 2.4 GHz
2. สายอากาศ : มีสายอากาศแบบ Whip
3. ระยะทําการในร่ม : สูงสุด 300 ฟุตหรือประมาณ 100 เมตร
4. ระยะทําการกลางแจ้ง (แบบ line-of-sight) : สูงสุดถึง 1 ไมล์ หรือประมาณ 1,500
5. กําลังส่ง : 60mW (18dBm)
6. ความไวในการรับสัญญาณ : -100 dBm (1% packet error rate)
7. การทํางานของขาพอร์ต : สามารถกําหนดผ่านทางซอฟต์แวร์ X-CTU เพื่อให้ทํางานเป็น
อินพุตอะนาลอกสําหรับวงจรแปลงสัญญาณอะนาลอกเป็นดิจิตอล ความละเอียด 10 บิตและอินพุต
เอาต์พุตดิจติ อล
8. ขนาด : 0.96 x 1.297 นิ้ว หรือ 2.438 x 3.294 เซนติเมตร
9. ไฟเลี้ยง : 2.8 ถึง 3.4 V
10. กระแสไฟฟ้า : เมื่อส่งข้อมูล 215 mA, รับข้อมูล 55 mA, น้อยกว่า 10 uA ในโหมดลด
พลังงานที่ไฟเลี้ยง +3.3 V
11. อุณหภูมิใช้งาน : -40 ถึง 85 องศาเซลเซียส
คุณสมบัติด้านการสื่อสารข้อมูล
1. สามารถทํางานเป็นอุปกรณ์มาสเตอร์และสเลฟได้
2. อัตราถ่ายทอดข้อมูลผ่านคลื่นวิทยุ : 250,000 บิตต่อวินาที
3. อัตราการถ่ายทอดข้อมูลอนุกรม (บอดเรต) : 1,200 ถึ ง 115,200 บิตต่อวินาที
4. รูปแบบโครงข่ายข้อมูลที่รองรับ : แบบจุดต่อจุด (Point-to-point) , และแบบจุดต่อหลาย
จุด (Point-to-multipoint) และเข้ากันได้กับอุปกรณ์ ตามมาตรฐานรหัส 802.15.4
5. ทางเลือกแอดเดรส : PAN ID , ช่อง (Channel) และแอดเดรส (Addresses) สําหรับ
โหมดแอดเดรสสามารถกําหนดรหัสแอดเดรสได้มากถึง 65,000 รหัส
6. เทคโนโลยี ในการกระจายคลื่น : DSSS (Direct Sequence Spread Spectrum)
7. รองรับการทํางานทั้งแบบ API และ AT command สามารถกําหนดได้ผ่านทางซอฟต์แวร์
X-CTU
28
ตารางที่ 3.1 การจัดขาของโมดูล XBee-PRO และฟังก์ชั่นในการทํางาน
ขาที่ ชื่อขา/การทํางาน
1 VCC : ขาต่อไฟเลี้ยง +3.3V
2 DOUT : ขาเอาต์พุตส่งข้อมูลอนุกรม
3 DIN : ขาอินพุตรับข้อมูลอนุกรม
4 D08 : ขาเอาต์พุตดิจิตอลช่อง 8
5 RESET : ขารีเซตหลัก(แอกทีฟ "0")
6 PWM0/RSSI : ขาเอาต์พุต PWM ช่อง 0 และเป็นขาเอาต์พุตแสดงความแรงของการรับ
สัญญาณ
7 PWM1 : ขาเอาต์พุต PWM ช่อง 1
8 ไม่ได้ใช้งาน
9 DTR/SLEER_RQ/DI8 : ขาอินพุตรับสัญญาณให้หยุดทํางานเข้าสู่โหมดสลีป หรือเป็นขา
อินพุตดิจิตอลช่อง 8
10 GND : ขากราวด์
PWM0/RSSI : ขาเอาต์พุต PWM ช่อง 0 และเป็นขาเอาต์พุตแสดงความแรงของการรับ
สัญญาณ
11 AD4/DIO4 : ขาอินพุตอะนาลอก 4 หรือ ขาอินพุตเอาต์พุตดิจิตอล 4
12 CTS/DIO7 : ขาอินพุตรับสัญญาณแจ้งการส่งข้อมูลจากโฮลต์(Clear-To-Send) ใช้ในการ
ควบคุมจังหวะการรับส่งช้อมูล หรือเป็นขาอินพุตเอาต์พุตดิจิตอล 7
13 ON/SLEEP : ขาแสดงสถานะการทํางาน
"1" อยู่ในโหมดทํางานปกติ
"0" อยู่ในโหมดสลีป
14 VREF : ขาต่อแรงดันอ้างอิงสําหรับโมดูลแปลงสัญญาณอะนาลอกเป็นดิจิตอลภายใน Xbee-
Pro
15 Associated/AD5/DIO5 : ขาแสดงสถานะการเชื่อมต่อหรือขาอินพุตอะนาลอก 5 หรือขา
อินพุตเอาต์พุตดิจิตอล 5
16 RTS/AD6/DIO6 : ขาเอาต์พุตแจ้งความพร้อมในการส่งข้อมูล(Ready-To-Send) ใช้ควบคุม
จังหวะการรับส่งช้อมูล หรือเป็นขาอินพุตอะนาลอก 6 หรือเป็นขาอินพุตเอาต์พุตดิจิตอล 6
17 AD3/DIO3 : ขาอินพุตอะนาลอก 3 หรือ ขาอินพุตเอาต์พุตดิจิตอล 3
18 AD2/DIO2 : ขาอินพุตอะนาลอก 2 หรือ ขาอินพุตเอาต์พุตดิจิตอล 2
19 AD1/DIO1 : ขาอินพุตอะนาลอก 1 หรือ ขาอินพุตเอาต์พุตดิจิตอล 1
20 AD0/DIO0 : ขาอินพุตอะนาลอก 0 หรือ ขาอินพุตเอาต์พุตดิจิตอล 0
29
ทั้งหมดทํางานในระบบบัส 3V ดังนั้นหากตัองการนําไปเชื่อมต่อกับไมโครคอนโทรลเลอร์ หรืออุปกรณ์
ภายนอกที่ใช้ระบบบัส 5V จะต้องมีการลดแรงดันที่ขาพอร์ตลงด้วย ตัวอย่างวงจรเป็นดังนี้
Xbee ตัวที่ 1 ให้เป็น Coordinator โดยเลือก Function set เป็น XBEE 802.15.4 ทํางาน
ในรูปแบบ AT Command แล้วกําหนดค่าตามพารามิเตอร์นี้ PAN ID=0x5555, MY=0xAB10,
DH=0x0000, DL=0xAB11
Xbee ตัวที่ 2 ให้เป็น End Device โดยเลือก Function set เป็น XBEE 802.15.4 ทํางาน
ในรูปแบบ AT Command แล้วกําหนดค่าตามพารามิเตอร์นี้ PAN ID=0x5555, MY=0xAB11,
DH=0x0000, DL=0xAB10
30
3.1.2 การออกแบบวงจรไฟฟ้าของชุดโมดูล
31
ในรูปที่ 3.6 จะมีหลอดไฟ LED ที่ต่อกับชุดโมดูล Xbee เพื่อแสดงสถานะการทํางานต่างๆ
เช่น ไฟแสดงสถานะเปิด-ปิดการทํางาน ไฟแสดงการกระจายคลื่นและไฟแสดงความพร้อมในการ
รับส่งสัญญาณ และยังมีจุดต่อขาพอร์ต TxD และRxD สําหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอก โดยจัด
สัญญาณผ่านคอนเน็กเตอร์ JST แบบ 3 ขา และ IDC ทั้งแบบตัวผู้และตัวเมีย เพื่อต่อใช้งานกับ
ไมโครคอนโทรลเลอร์
3.1.3 การตั้งค่าการใช้งานของโมดูล Xbee
จะต้องใช้บอร์ด ZX-XBeeU และซอฟต์แวร์ X-CTU มาช่วยในการกําหนดค่าคอนฟิกูเรชั่น
หรือค่ากําหนดการทํางานทางฮาร์ดแวร์
บอร์ด ZX-XBeeU เป็นบอร์ดสําหรับติดตั้งโมดูล XBee-PRO เพื่อเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์
สํา หรับตั้งค่าพารามิเตอร์ต่างๆ ในรูปที่ 3.7 แสดงรายละเอียดของบอร์ด ZX-XBeeU และการติดตั้ง
โมดูล XBee-PRO ลงบนบอร์ด สําหรับวงจรของบอร์ด ZX-XBeeU แสดงในรูปที่ 3.8
32
รูปที่ 3.8 วงจรไฟฟ้าของบอร์ด ZX-XBeeU
33
4) ต่อสายเชื่อมต่อพอร์ต USB ระหว่างบอร์ด ZX-XBeeU กับพอร์ต USB ของ
คอมพิวเตอร์ โดยที่จะต้องติดตั้ง Driver USB to Serial สําหรับบอร์ด ZX-XBeeU ก่อน
5) จ่ายไฟให้แก่บอร์ด ซึ่งใช้ไฟเลี้ยง +5V จากพอร์ต USB ของคอมพิวเตอร์ LED ใน
ตําแหน่ง POWER และ ON ติด และ LED ในตําแหน่ง ASS. กะพริบ หากไม่เป็นไปตามนี้ให้รีบปิด
สวิตช์ ปลดไฟเลี้ยง แล้วตรวจสอบการติดตั้งโมดูล XBee-PRO ทันที รวมทั้งตรวจสอบไฟเลี้ยงที่ขา
Vcc ของ XBee-PRO ว่าต้องอยู่ในช่วง +2.8 ถึง +3.3V โดยในการตรวจสอบนั้นต้องถอดโมดูล
XBee-PRO ออกมาก่อน แล้ววัดแรงดันที่คอนเน็กเตอร์ตัวเมียที่ใช้สําหรับติดตั้งโมดูล XBee-PRO
6) เปิดโปรแกรม X-CTU โดยดับเบิลคลิกที่ไอคอนบน Desktop ของคอมพิวเตอร์
หรือคลิกที่ Start All Programs Digi-Maxstream X-CTU หน้าต่างกําหนดการ
เชื่อมต่อจะปรากฏขึ้นมาดังรูปที่ 3.9
6
7
34
8
9 9
35
10) หลังจากนั้นคลิกไปที่แท็ป Channel ใส่ค่า 11, PAN ID / Personal Area
Network ID ใส่ค่า 5555 ดังรูปที่ 3.12
10
10
36
11) หลังจากนั้นคลิกไปที่แท็ป DH (Destination Address High) ใส่ค่า 0 และ DL
(Destination Address Low) ใส่ค่า AB11 ดังรูปที่ 3.13
11
11
37
12) หลังจากนั้นคลิกไปที่แท็ป MY (16-bit Source Address) ใส่ค่า AB10 ดังรูปที่
3.14
12
13) เลือกรุ่น (Modem XBEE) ของ XBee เป็น XBP24 ที่ช่อง Function set
กําหนดให้ XBee PRO 802.15.4 โหมดการสื่อสารแบบ AT และเลือก Version เป็นรุ่น 10EC ดังรูป
ที่ 3.15 แล้วกดปุ่ม Write รอสักครู่ โปรแกรมจะอัพเดท Firmware และเซต Parameter ตามที่ได้
กําหนดก่อนหน้านี้
13
13
39
3) หลังจากนั้นคลิกไปที่แท็ป DH (Destination Address High) ใส่ค่า 0 และ DL
(Destination Address Low) ใส่ค่า AB10 ดังรูปที่ 3.17
40
4) หลังจากนั้นคลิกไปที่แท็ป MY (16-bit Source Address) ใส่ค่า AB11 ดังรูปที่
3.18
5) เลือกรุ่น (Modem XBEE) ของ XBee เป็น XBP24 ที่ช่อง Function set
กําหนดให้ XBee PRO 802.15.4 โหมดการสื่อสารแบบ AT และเลือก Version เป็นรุ่น 10EC ดังรูป
ที่ 3.19 แล้วกดปุ่ม Write รอสักครู่ โปรแกรมจะอัพเดท Firmware และเซต Parameter ตามที่ได้
กําหนดก่อนหน้านี้
42
สําหรับสั่ง Reset การทํางานของไมโครคอนโทรลเลอร์ต่ออยู่ที่ขา 1 มี Power AC/DC Input พร้อม
Regulate แบบ Switching เบอร์ LM2575 ขนาด 5V/1A ลดปัญหาความร้อนจากวงจร Regulate
และ LED แสดงสถานะแหล่งจ่าย Power และใช้ขาพอร์ต RB0- RB8 และขาพอร์ต RF0- RF6 ต่อใช้
งานกับบอร์ด ET-TFT240320TP-2.8 (บอร์ดหน้าจอทัชสกรีน)
สําหรับรายละเอียดวงจรไฟฟ้า วงจรภาคจ่ายไฟของบอร์ด การใช้งาน RS232 และการใช้งาน
ICD2 จะแสดงรายละเอียดในหัวข้อไมโครคอนโทรลเลอร์ด้าน Client เพราะเนื่องจากทั้งสองด้านใช้
ไมโครคอนโทรลเลอร์เบอร์เดียวกัน
3.1.5 หน้าจอทัชสกรีน
คุณสมบัติของบอร์ด ET-TFT240320TP-2.8
1) เป็นแบบ Display Module TFT LCD Color +Touch Screen ขนาด 240x320
Pixel
2) ขนาดของหน้าจอ TFT 2.8 ''
3) ใช้ Single Chip Driver เบอร์ HX8347-D
4) ความละเอียดของสีแสดงได้ 65536 เฉดสี (RGB =R:5bit , G:6bit , B:5bit)
5) เลือกการ Interface GLCD ผ่าน DIP SW2. (MODE) ได้ 2 Mode คือ Parallel
Mode 16-bit Interface และParallel Mode 8-bit Interface
6) ในส่วนของการควบคุม Touch Screen สามารถเลือก Interface ได้ 2 แบบด้วย
DIP SW1.TSC SEL คือการ Interface แบบ SPI โดยจะผ่านตัว Chip Touch Screen Controller
#ADS7846 (ADC มีความละเอียด 12 บิต) หรือ Interface โดยใช้ขา X-,X+,Y-Y+ ต่อเข้ากับขา ADC
ของ MCU โดยตรงก็ได้ (การเขียนโปรแกรมควบคุมจะยุ่งยาก)
7) ในการใช้งาน ถ้าไม่ต้องการใช้ Touch Screen สามารถ Control เฉพาะในส่วน
ของของตัว LCD อย่างเดียวก็ได้
8) จํานวน I/O ของ MCU สาหรับใช้ ควบคุมในส่วนของ GLCD และ Touch Screen
เมื่อใช้ใน Parallel Mode 16-bit Interface จะใช้ I/O ทั้งหมด 27 PIN แต่ถ้าใช้ใน Parallel Mode
8-bit Interface จะใช้ I/O ทั้งหมด 19 PIN
9) สามารถต่อ Interface ได้ทั้ง MCU ที่ใช้ไฟเลี้ยง 5V และ 3.3V
10) Connector สาหรับต่อใช้งานใน Parallel Mode 8 bit และ16 bit จะใช้ Pin
Header 2x20 ระยะ pitch 2.54 mm
11) ไฟเลี้ยงบอร์ด DC +5 V
43
3.1.6 ลักษณะและโครงสร้างของบอร์ด
ด้านหน้าบอร์ด ด้านหลังบอร์ด
รูปที่ 3.20 ลักษณะและโครงสร้างของบอร์ด ET-TFT240320TP-2.8
44
รูปที่ 3.22 ตําแหน่งขาสัญญาณที่เฮดเดอร์ (Header 2x20) Parallel-Mode : 8 bit,16 bit
45
ในตารางที่ 3.2 จะป็นรายละเอียด PIN สําหรับใช้ Control GLCD โดยที่ PIN 3-8 (ช่อง
ตาราง Header 2×20 Parallel Mode) จะเป็นส่วนที่ใช้สําหรับ Control GLCD ทัง้ หมด ส่วน PIN
9-24 (ช่องตาราง Header 2×20 Parallel Mode) จะเป็นส่วนที่ใช้สําหรับส่งผ่านข้อมูลหรือชี้
ตําแหน่งแอดเดรสของรีจิสเตอร์ส่วนของ GLCD และ PIN 1-2 (ช่องตาราง Header 2×20 Parallel
Mode) จะเป็นส่วนขาไฟเลี้ยงบอร์ดและขา Ground
46
ใน 3 พินนี้จะใช้เลือกไฟเลี้ยงให้กับตัว
Power ADS7846 โดยถ้าใช้กับ MCU 5V
35,36,37 1,2,3 VTSC,+5V,+3V TOUCH จะต้อง Jump ขา VTSC เข้ากับขา+
Screen 5V แต่ถ้าใช้กับ MCU 3.3V จะต้อง
Jump ขา VTSC เข้ากับขา +3V (37)
เป็นขา Vbat ของ ADS7846 ซึ่งจะไม่
38* - VBAT I
นํามาใช้ในส่วนของ Touch Screen
เป็นขา Vref ของ ADS7846 ซึ่งจะไม่
39* - VREF I/O
นํามาใช้ในส่วนของ Touch Screen
เป็นขา AUX input to ADC ของ
40* - AUX I
ADS7846 ซึ่งจะไม่นํามาใช้ในส่วนนี้
(*) = ขาที่ไม่ได้ถูกนํามาต่อใช้งาน
ในตารางที่ 3.3 จะป็นรายละเอียด PIN สําหรับใช้ Control Touch Screen โดยที่ PIN 25-
28 (ช่องตาราง Header 2×20 Parallel Mode) จะเป็นส่วนขา X-,X+,Y-Y+ ใช้สําหรับอ่านตําแหน่ง
Touch Screen โดยตรง ไม่ผ่าน Chip ADS7846 ส่วน PIN 29,30,34 (ช่องตาราง Header 2×20
Parallel Mode) จะเป็นส่วนที่ใช้สําหรับ Control Touch Screen ส่วน PIN 31-33 (ช่องตาราง
Header 2×20 Parallel Mode) จะเป็นส่วนที่ใช้สําหรับส่งผ่านข้อมูลหรือชี้ตําแหน่งแอดเดรสของ
รีจิสเตอร์ส่วนของ Touch Screen และ PIN 35,36,37 (ช่องตาราง Header 2×20 Parallel
Mode) จะเป็นส่วนขาไฟเลี้ยงให้กับตัว Chip ADS7846
3) DIP SW1. TSC SEL ด้านหลังบอร์ด : เป็น Dip SW.มีด้วยกัน 4 ตัว ซึ่งเมื่อต้องการ
ใช้งานในส่วนของ Touch Screen โดย Interface แบบ SPI ผ่าน Chip Touch Screen
Controller #ADS7846 ก็ให้เลื่อน Dip SW. ทั้ง4ไปที่ตําแหน่ง On (Default) ในกรณีที่ผใู้ ช้จะ
Interface โดยใช้ขา X-,X+,Y-Y+ ต่อเข้ากับขา ADC ของ MCU โดยตรง(ไม่ใช้งาน ADS7846) ก็ให้
เลื่อน DIP SW. ทั้ง 4 ลงมายังตําแหน่งตรงข้ามกับตําแหน่ง Default (Off)
4) DIP SW2.MODE ด้านหลังบอร์ด : เป็น Dip SW. มีด้วยกัน 4 ตัว โดยจะใช้งาน
เพียง 1 ตัว คือ S1 โดย Dip sw2. นี้จะมีไว้สาหรับให้ผู้ใช้เลือก Mode การ Interface ระหว่างบอร์ด
GLCD กับ MCU ที่นํามาต่อควบคุม โดยการเลือกโหมดจะเป็นไปตามตารางที่ 3.4
47
ตารางที่ 3.4 การเลือกโหมดอินเทอร์เฟสแอลซีดี (Mode Interface LCD) จาก DIP SW.2
DIP SW.2 MODE MODE
รูปการ Set SW.2
S1 S2 S3 S4 Interface
Parallel 8-bit
OFF X X X
Mode
Parallel 16-bit
ON X X X
Mode
X = เป็นอะไรก็ได้
ในตารางที่ 3.4 ถ้าต้องการ Parallel 8-bit Mode ให้เลื่อนตําแหน่ง DIP SW2 S1 มายัง
ตําแหน่ง OFF หรือถ้าต้องการ Parallel 16-bit Mode ให้เลื่อนตําแหน่ง DIP SW2 S1 มายัง
ตําแหน่ง On
การนําบอร์ด ET-TFT240320TP-2.8 ไปต่อใช้งานร่วมกับ MCU ต้องระวังในส่วนของขา
VTSC จะต้องเลือก Jump กับขาไฟ +5V หรือ +3V3 ให้ถูกต้องตรงกับระดับไฟเลี้ยงของ MCU ที่นา
มาต่อด้วย มิฉะนั้นอาจจะทาให้ MCU เสียหายได้ เช่น ถ้า MCU ทางานที่ระดับไฟเลี้ยง 5 V ก็จะต้อง
Jump ขา VTSC `เข้ากับขา +5V เป็นต้น
ในการต่อใช้งานนั้นผู้ใช้สามารถเลือกรูปแบบการต่อได้ 2 Mode Interface คือ Parallel
Interface 8-bit Mode และ Parallel Interface 16-bit Mode โดยการเลือกโหมด Interface
สามารถเลือกได้จาก DIP- SW2 ที่อยู่ด้านหลังบอร์ด โดยที่โครงงานนี้เลือกใช้ Interface แบบ
Parallel Interface 16-bit Mode สามารถสรุปการต่อใน Mode ได้ดังนี้
48
3.1.7 Interface Parallel 8-bit MODE
สําหรับในโหมดนี้ LCD จะมีการจัดเรียงในส่วนของคําสั่ง และ Data ภายในใหม่ การส่งคําสั่ง
หรือ data จะส่งครั้งละ 8 บิต (1Byte) ต่อสัญญาณ Write (WR) เพียง 1 ลูก ตาม Timing Diagram
รูปที่ 3.24 การจัดเรียงดาต้า (Data) บิตสีขนาด 16 bit 65K Colors ที่รบั เข้ามา
รูปที่ 3.25 Timing Diagram ในการ Read-Write คําสั่ง และ Data ไปยัง LCD ใน Parallel 16-bit
Mode
51
รูปที่ 3.26 วงจรการต่อในส่วนของทัชสกรีนเข้ากับ ADS7846
5 5 6 7
1) ส่วนแสดงโปรโตรคอลคําสั่งการทํางาน เป็นส่วนที่จะแสดงผลโปรโตรคอลคําสั่งการ
ทํางานจากแม่ข่ายส่งไปยังลูกข่าย
2) ส่วนแสดงโปรโตรคอลสถานะการทํางาน เป็นส่วนที่จะแสดงโปรโตคอลสถานะการ
ทํางานจากลูกข่ายส่งกลับไปยังแม่ข่าย
3) ส่วนแสดงจํานวนครั้งในการรับ-ส่งโปรโตคอล เป็นส่วนที่จะแสดงจํานวนครั้งในการ
รับ-ส่งโปรโตคอล
4) ส่วนแสดงตําแหน่งของปุ่ม เป็นส่วนที่จะแสดงว่าใช้ควบคุมหลอดไฟฟ้าหลอด 1,2
หรือทั้งหมด
5) ส่วนแสดงสถานะการทํางาน ณ ปัจจุบัน เป็นส่วนที่จะแสดงผลสถานะการทํางาน
ณ ปัจจุบันลูกข่ายส่งกลับไปยังแม่ข่าย
6) ปุ่ม ON หลอดไฟฟ้า เป็นส่วนไว้สําหรับ ON หลอดไฟฟ้า
7) ปุ่ม OFF หลอดไฟฟ้า เป็นส่วนไว้สําหรับ OFF หลอดไฟฟ้า
8) แสดงชื่อของโครงงาน
53
รูปที่ 3.28 วงจร ET-TFT240320TP-2.8
54
3.2 วงจรด้านลูกข่าย (Client)
Client
Xbee
EN
Power
Supply
55
3.2.1 ไมโครคอนโทรลเลอร์ด้าน Client
ในโครงงานนี้ใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ PIC รุ่น dsPIC30F4011 โดยใช้วงจรความถี่ Crystal
7.3728 MHz และสามารถใช้ PLL คูณความถี่เพื่อ Run ความถี่ 29.4912 MHz ได้ ใช้การโปรแกรม
แบบ ICD2 หรือ Pickit2 ซึง่ สามารถที่จะทําการดีบักผ่าน ICD2 หรือ Pickit2 ได้ มี Switch Reset
สําหรับสั่ง Reset การทํางานของไมโครคอนโทรลเลอร์ต่ออยู่ที่ขา 1 มี Power AC/DC Input พร้อม
Regulate แบบ Switching เบอร์ LM2575 ขนาด 5V/1A ลดปัญหาความร้อนจากวงจร Regulate
และ LED แสดงสถานะแหล่งจ่าย Power และใช้ขา RC13, RC14 เป็นขาเอาต์พุตดิจิตอลไปต่อกับขา
Common ของวงจรที่ต่อกับโหลดอุปกรณ์ไฟฟ้า เพื่อควบคุมการเปิด-ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้า
สําหรับวงจรภาคจ่ายไฟของบอร์ด จะใช้วงจร Bridge Rectifier ร่วมกับ Switching
Regulate ขนาด 5V/1A สามารถใช้งานได้ทั้งกับไฟ AC และ DC ขนาดตั้งแต่ 7V-20V ได้
พอร์ต RS232 เป็นสัญญาณ RS232 ซึง่ ผ่านวงจรแปลงระดับสัญญาณจาก MAX3232
เรียบร้อยแล้ว จะมีวงจร UART ใช้งานจํานวน 2 ช่อง โดยสัญญาณของ RS232 แต่ละช่องจะจัดขั้ว
เป็นแบบ CPA-4PIN (RS232) โดยจะมีขาให้ตอ่ ไปใช้งานคือ ขั้ว UART1 (+VDD,RX1.TX1,GND)
และขั้ว UART2 (+VDD,RX2.TX2,GND) ดังรูปที่ 3.30
56
ในรูปที่ 3.31 จะมีขาเป็น I/O จํานวน 4 ขา (RC13,RC14,RF4,RF5) และมี UART(RS232) 2
ช่อง ถ้าต้องการให้ MCU ทําหน้าที่เป็น I/O ให้เลือก Jumper ไปทาง I/O (ด้านซ้ายมือ) หรือถ้า
ต้องการให้ MCU ทําหน้าที่เป็น UART(RS232) ให้เลือก Jumper ไปทาง UART(RS232) (ด้าน
ขวามือ) เช่นถ้าต้องการให้ RC14 ทําหน้าที่เป็น I/O ให้เลือก Jumper ไปทาง RC14 (ด้านซ้ายมือ)
แต่ถ้าต้องการทําหน้าที่เป็น UART(RS232) ให้เลือก Jumper ไปทาง RX1 (ด้านขวามือ) โดยที่ RX1
นี้ จะไหลเข้า MAX232 เพื่อแปลงสัญญาณระดับแรงดัน TTL ให้เป็นสัญญาณระดับแรงดัน RS232
และออกมายังที่ตําแหน่ง RXD ของ UART1
57
รูปที่ 3.33 วงจรและสัญญาณตามมาตรฐานของ ICD2
58
รูปที่ 3.34 ภาคจ่ายไฟและวงจรไฟฟ้าบอร์ดรีเลย์ (Relay) 1 ช่อง
3.3 การออกแบบระบบโปรโตคอล
3.3.1 ระบบการดําเนินการ (Operation Control)
Master to Slave ; ON : X1NZ, X2NZ, X3NZ, X4NZ, X5NZ, X6NZ
Master to Slave ; OFF : X1FZ, X2FZ, X3FZ, X4FZ, X5FZ, X6FZ
Slave to Master ; ON : Y1NZ, Y2NZ, Y3NZ, Y4NZ, Y5NZ, Y6NZ
Slave to Master ; ON : Y1FZ, Y2FZ, Y3FZ, Y4FZ, Y5FZ, Y6FZ
3.3.2 Status Control
ถ้า ID = 0 จะเป็นการตรวจความพร้อมในการรับ-ส่งข้อมูล
ถ้าพร้อมในการรับ-ส่งข้อมูลจะมีการแสดงแบบนี้
Master to Slave : X0SZ
Slave to Master : X0GZ
ถ้าไม่พร้อมในการรับ-ส่งข้อมูลจะมีการแสดงแบบนี้
Master to Slave : X0SZ
Slave to Master : X0BZ
ถ้า ID > 0 จะเป็นการตรวจสอบสถานะของหลอดไฟฟ้า
สถานะของหลอดไฟฟ้าที่ติด
Master to Slave : XIDSZ
: YIDNZ
สถานะของหลอดไฟฟ้าที่ดับ
Master to Slave : XIDSZ
: YIDFZ
60
3.4 การออกแบบแผ่นปริน้ วงจร ประกอบแผ่นปริน้ วงจรและติดตั้งอุปกรณ์
3.4.1 วงจรบอร์ดชุดโมดูล Xbee
61
3.4.2 วงจรบอร์ด ZX-XBeeU
62
3.4.3 วงจรบอร์ดไมโครคอนโทรลเลอร์
63
3.4.4 บอร์ดที่ต่อกับโหลดอุปกรณ์ไฟฟ้า
64
3.5 กล่องควบคุมการทํางาน
กล่องควบคุมการทํางานของระบบการควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านแบบไร้สายโดยใช้เอ็ก
บี แบบออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่หนึ่งเป็นส่วนที่สั่งการทํางานและแสดงผลการทํางานทางหน้าจอ
ทัชสกรีน(ส่วนฝั่ง Sever) โดยส่งสัญญาณผ่าน Xbee ตัวหนึ่งไปยัง Xbee อีกตัวหนึ่ง และส่วนทีส่ อง
คือ ส่วนที่รับสัญญาณจาก Xbee ตัวแรกมาสั่งการทํางานของหลอดไฟฟ้า แล้วจะส่งสถานะของ
หลอดไฟฟ้ากลับไปให้ Xbee ตัวแรก(ส่วนฝั่ง Client)
บอร์ดหน้าจอทัชสกรีน
บอร์ด Xbee
บอร์ด
ไมโครคอน
โทรลเลอร์
65
จุดต่อไฟฟ้า จุดต่อ
หม้อ รีเลย์ ไฟฟ้า
220VAC แปลงไฟฟ้า 220VAC
Bridge Rectifier
บอร์ด
ไมโครคอน
โทรลเลอร์
66
67
บทที่ 4
ผลการทดลอง
4.1 การทํางาานของระบบบชุดสาธิตการรควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายยในบ้านแบบบไร้สายโดยใช้ช้เอ็กบี
การอออกแบบระบบบชุดสาธิตการควบคุมอุปกรณ์
ก ไฟฟ้าภายยในบ้านแบบไไร้สายโดยใช้เอ็
เ กบี
Supply
220_VAC
67
การทํางานส่วนเปิด - ปิดหลอดไฟฟ้า
4.1.1 การทํางานของส่วนฝั่ง Sever
1) กดเปิดหลอดไฟฟ้าหลอดที่ 1 และ 2 ทางหน้าจอทัชสกรีน
2) ข้อมูลการทํางานจะถูกส่งต่อไปที่ไมโครคอนโทรลเลอร์ฝั่ง Sever เพือ่ ประมวลผล
3) เมื่อประมวลผลถูกต้อง ไมโครคอนโทรลเลอร์ฝั่ง Sever จะสั่งการทํางานไปยังฝั่ง
Client ผ่าน Xbee ฝั่ง Sever
4) Xbee ฝั่ง Sever จะทําการรับข้อมูลการสั่งการทํางานมา แล้วจะส่งข้อมูลไป
ให้กับ Xbee ฝั่ง Client (ส่งข้อมูลการสั่งการทํางานแบบเครือข่ายไร้สาย)
4.1.2 การทํางานของส่วนฝั่ง Client
1) Xbee ฝั่ง Client จะทําการรับข้อมูลการสั่งการทํางานมา (รับข้อมูลการสั่งการ
ทํางานแบบเครือข่ายไร้สาย) แล้วส่งข้อมูลไปให้กับไมโครคอนโทรลเลอร์ฝั่ง Client เพื่อประมวลผล
2) เมื่อประมวลผลถูกต้อง ไมโครคอนโทรลเลอร์ฝั่ง Client จะสั่งการทํางานไปยัง
รีเลย์
3) รีเลย์จะทําการทริกหน้าสัมผัสตามคําสั่งการทํางาน เพื่อไปเปิด-ปิดหลอดไฟฟ้า
การทํางานส่วนแสดงสถานะหลอดไฟฟ้า
4.1.3 การทํางานของส่วนฝั่ง Client
1) เมื่อรีเลย์ทําการทริกหน้าสัมผัสตามคําสั่งการทํางาน เพื่อไปเปิด - ปิดหลอดไฟฟ้า
แล้ว ไมโครคอนโทรลเลอร์ฝั่ง Client จะประมวลผลสถานะการทํางานปัจจุบัน
2) เมื่อประมวลผลสถานะการทํางานปัจจุบันถูกต้องเสร็จแล้ว ไมโครคอนโทรลเลอร์
ฝั่ง Client ก็จะส่งข้อมูลสถานะการทํางานปัจจุบันกลับไปให้ไมโครคอนโทรลเลอร์ฝั่ง Sever ผ่าน
Xbee ฝั่ง Client
3) Xbee ฝั่ง Client จะทําการรับข้อมูลสถานะการทํางานปัจจุบันมา แล้วจะส่ง
ข้อมูลไปให้กับ Xbee ฝั่ง Sever (ส่งข้อมูลสถานะการทํางานปัจจุบันแบบเครือข่ายไร้สาย)
4.1.4 การทํางานของส่วนฝั่ง Sever
1) Xbee ฝั่ง Sever จะทําการรับข้อมูลสถานะการทํางานปัจจุบันมา (รับข้อมูล
สถานะการทํางานปัจจุบันแบบเครือข่ายไร้สาย) แล้วส่งข้อมูลไปให้กับไมโครคอนโทรลเลอร์ฝั่ง Sever
เพื่อประมวลผลสถานะการทํางานปัจจุบัน
2) เมื่อประมวลผลสถานะการทํางานปัจจุบันถูกต้องแล้ว ไมโครคอนโทรลเลอร์ฝั่ง
Sever จะสั่งการทํางานให้ไปแสดงผลทีห่ น้าจอทัชสกรีน
68
4.2 ผลการทดลอง
การทดสอบชุดสาธิตการควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านแบบไร้สายโดยใช้เอ็กบีนั้น เป็นการ
ทดสอบการควบคุมเปิด-ปิดไฟฟ้าภายในบ้านแบบไร้สายแบบมีอุปกรณ์ฝงั่ วงจรด้าน Server และฝัง่
วงจรด้าน Client อยู่ชั้นเดียวกัน และแบบมีอุปกรณ์ฝั่งวงจรด้าน Server และฝั่งวงจรด้าน Client อยู่
คนละชั้นกัน โดยระยะห่างระหว่างอุปกรณ์ฝั่งวงจรด้าน Server และฝั่งวงจรด้าน Client จะเริ่มต้นที่
5 เมตร แล้วค่อยเพิ่มระยะห่างไปเรื่อยๆจนกว่าจะไม่สามารถควบคุมเปิด-ปิดฟฟ้าภายในบ้านแบบไร้
สายได้ เพื่อทดสอบว่าสามารถควบคุมเปิด-ปิดไฟฟ้าภายในบ้านแบบไร้สายได้ไกลสุดที่ระยะทางเท่าไร
มีสิ่งกีดขวาง คือ การที่ไม่สามารถมองเห็นอุปกรณ์ฝั่งวงจรด้าน Client
ไม่มีสิ่งกีดขวาง คือ การทีส่ ามารถมองเห็นอุปกรณ์ฝั่งวงจรด้าน Client
การแสดงผลของหน้าจอทัชสกรีน (Touch Screen) และแอลซีดี (LCD) ในการทดลองจะ
เป็นดังรายละเอียดต่อไปนี้
1. กดเปิดหลอดไฟฟ้าหลอดที่ 1 ที่หน้าจอทัชสกรีน
69
2. แอลซีดีแสดงผลว่าหลอดไฟฟ้าหลอดที่ 1 ON
70
3. กดปิดหลอดไฟฟ้าหลอดที่ 1 ที่หน้าจอทัชสกรีน
4. แอลซีดีแสดงผลว่าหลอดไฟฟ้าหลอดที่ 1 OFF
71
รูปที่ 4.6 แอลซีดีแสดงผลว่าหลอดไฟฟ้าหลอดที่ 1 OFF (ต่อ)
5. กดเปิดหลอดไฟฟ้าหลอดที่ 2 ที่หน้าจอทัชสกรีน
72
6. แอลซีดีแสดงผลว่าหลอดไฟฟ้าหลอดที่ 2 ON
73
7. กดปิดหลอดไฟฟ้าหลอดที่ 2 ที่หน้าจอทัชสกรีน
8. แอลซีดีแสดงผลว่าหลอดไฟฟ้าหลอดที่ 2 OFF
74
รูปที่ 4.10 แอลซีดีแสดงผลว่าหลอดไฟฟ้าหลอดที่ 2 OFF (ต่อ)
9. กดเปิดหลอดไฟฟ้าทั้งหมดที่หน้าจอทัชสกรีน
75
10. แอลซีดแี สดงผลว่าหลอดไฟฟ้าทั้งหมด ON
10
10
10
76
11. กดปิดหลอดไฟฟ้าทั้งหมดที่หน้าจอทัชสกรีน
11
12
12
12
77
รูปที่ 4.14 แอลซีดีแสดงผลว่าหลอดไฟฟ้าทั้งหมด OFF (ต่อ)
78
ตารางที่ 4.2 การทดลองชุดสาธิตการควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านแบบไร้สายโดยใช้เอ็กบี แบบ
หาแอมแปร์สูงสุดที่สามารถควบคุมการเปิด-ปิดได้ (โดยที่ในโครงงานนี้หน้าสัมผัสของรีเลย์สามารถทน
กระแสไฟฟ้าได้สูงสุด 5 A)
ระยะทาง ชั้นเดียวกัน คนละชั้นกัน
(เมตร) มีสิ่งกีดขวาง ไม่มีสิ่งกีดขวาง มีสิ่งกีดขวาง
โหลด 0.8 A โหลด 2.2 A โหลด 0.8 A โหลด 2.2 A โหลด 0.8 A โหลด 2.2 A
5 ทํางาน ทํางาน ทํางาน ทํางาน ทํางาน ทํางาน
10 ทํางาน ทํางาน ทํางาน ทํางาน ทํางาน ทํางาน
15 ทํางาน ทํางาน ทํางาน ทํางาน ทํางาน ทํางาน
20 ทํางาน ทํางาน ทํางาน ทํางาน ทํางาน ทํางาน
25 ทํางาน ทํางาน ทํางาน ทํางาน ทํางาน ทํางาน
30 ทํางาน ทํางาน ทํางาน ทํางาน ทํางาน ทํางาน
40 ทํางาน ทํางาน ทํางาน ทํางาน ทํางาน ทํางาน
50 ทํางาน ทํางาน ทํางาน ทํางาน ทํางาน ทํางาน
60 ทํางาน ทํางาน ทํางาน ทํางาน ทํางาน ทํางาน
80 ไม่ทํางาน ไม่ทํางาน ทํางาน ทํางาน ไม่ทํางาน ไม่ทํางาน
100 ไม่ทํางาน ไม่ทํางาน ทํางาน ทํางาน ไม่ทํางาน ไม่ทํางาน
120 ไม่ทํางาน ไม่ทํางาน ไม่ทํางาน ไม่ทํางาน ไม่ทํางาน ไม่ทํางาน
การทดลองชุดสาธิตการควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านแบบไร้สายโดยใช้เอ็กบี สามารถจะ
ดูได้ในแผ่น CD ROM โครงงานชุดสาธิตการควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านแบบไร้สายโดยใช้เอ็กบี
ชื่อไฟล์ MISC/Video
79
4.3 อภิปรายยผลการทดลออง
จากตารางที่ 4.1 การควบคุมเปิปิด-ปิดไฟฟ้าภายในบ้
ภ านแบบบไร้สาย แบบหาระยะทางงไกลสุดที่
สามารถควบคคุมการเปิด-ปิปดได้สรุปได้ว่า ในระยะทางง 0-50 เมตร สามารถทํางานได้ดีแม้อยูในสภาวะ ่ใ
ที่มีสิ่งกีดขวาง และมีสญญาณขาดหาย
ั
ญ ยเมื่อระยะทาางในการส่งเพิพิม่ ขึ้น ในการควบคุมเปิด-ปิ
- ดไฟฟ้า
ภายในบ้านแบบไร้สายนี้ขึ้นอยู น ่กับสิ่งกรีดขวางและระ
ด ะยะทาง โดยทที่ถ้ามีสิ่งกีดขววางนั้นสามารรถควบคุม
เปิด-ปิดไฟฟ้าภายในบ้
า านแแบบไร้สายได้ระทางสู
ร งสุดที่ 60 เมตร แต่
แ ถ้าไม่มีสิ่งกีดขวางสามารรถควบคุม
เปิด-ปิดไฟฟ้าภายในบ้
า านแแบบไร้สายได้ระทางสู
ร งสุดที่ 100 เมตร
จากตารางที่ 4.2 การควบคุมเปิ เ ด-ปิดอุปกรรณ์ไฟฟ้าภายใในบ้านแบบไร้ร้สาย แบบหาาแอมแปร์
สูงสุดที่สามารรถควบคุมการรเปิด-ปิดได้สรุปได้ว่า เมื่อใช้ใ ในการควบคุมเปิด-ปิดโหหลดขนาดตั้งแต่ แ 0-3 A
สามารถทํางาานได้ดี และเววลาที่รีเลย์ตัดต่อวงจรที่หน้าสัมผัสจะเสียงดั ย งมากขึ้น เมื่อโหลดมีกระแสมาก
ร
ขึ้น แอมแปร์ร์สงู สุดที่สามารถควบคุมการเปิด-ปิดได้นัน้นั จะขึ้นอยู่กับหน้
บ าสัมผัสขอองรีเลย์ ว่าสาามารถทน
กระแสสูงสุดได้ ไ เท่าไร(ในโคครงงานนี้หน้าสั
า มผัสของรีเลย์
ล สามารถทนนกระแสไฟฟ้าาได้สูงสุด 5 A) โดยที่
สามารถไปคววบคุมเปิด-ปิดอุ ด ปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้
า านแแบบไร้สายได้้แอมแปร์สูงสุดที่ 4.8 A กาารทดสอบ
แบบนี้จะเปลีลีย่ นแค่โหลดอุอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ถูกนํามาใช้ในการควบคุมการเปิด-ปิดเทท่านั้น ส่วนดด้านที่เป็น
อุปกรณ์การรัรับ-ส่งข้อมูลแบบบเครือข่ายไไร้สายนั้นไม่ได้ดเปลี่ยนแปลงงเลย ส่งผลให้ห้ค่าระยะทางทที่สามารถ
ควบคุมเปิด-ปิปิดอุปกรณ์ไฟฟฟ้าภายในบ้านแบบไร้สายนนั้นจะไม่เปลี่ยนแปลง ย จะเเหมือนกับตารรางที่ 4.1
4.4 กราฟแสสดงการทํางานในการทดลลอง
ระยะททาง (เมตร)
1
120
1
100
80
60
40 หลอดไฟฟ้า 1
หลอดไฟฟ้า 2
20
รูปที่ 4.15
4 กราฟแสดงการรับ-ส่งสัญญาณทํางานในการทดลลอง
80
120
1
100
1
80
60
โหหลด 0.8 A
40 โหหลด 2.2 A
โหหลด 3.2 A
20
โหหลด 4.8 A
0
รูปที่ 4.16
4 กราฟแสสดงการรับ-ส่งสั
ง ญญาณทํางานในการทดลลองกับโหลดไไฟฟ้าหลายโหหลด
จากกราฟแสดงกาารทํางานในการทดลองทั้ง 2 รูปนั้นจะเเห็นได้ว่าระยะะทางที่สามารรถควบคุม
เปิด-ปิดอุปกรรณ์ไฟฟ้าภายใในบ้านแบบไรร้สายนั้นจะเทท่ากัน แม้ว่าโหลดที
โ ถ่ ูกนํามมาใช้ในการคววบคุมการ
เปิด-ปิดนั้นจะะไม่เท่ากันก็ตาม
ต โดยที่ถ้ามี
า สิ่งกีดขวางนนั้นสามารถคววบคุมเปิด-ปิดดไฟฟ้าภายในนบ้านแบบ
ไร้สายได้ระทางสูงสุดที่ 600 เมตร แต่ถ้าไม่มีสิ่งกีดขววางสามารถคววบคุมเปิด-ปิดดไฟฟ้าภายในนบ้านแบบ
ไร้สายได้ระทางสูงสุดที่ 1000 เมตร
81
82
บทที่ 5
บทสรุปและข้อเสนอแนะ
5.1 บทสรุป
การดําเนินงานของโครงการนี้ได้ทําการศึกษาออกแบบวงจรต่างๆ เพื่อที่ทําการสร้างชุดสาธิต
การควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านแบบไร้สายโดยใช้เอ็กบีขึ้นมา โดยทีใ่ นผลการทดสอบนั้นสามารถ
ควบคุมเปิด-ปิดไฟฟ้าภายในบ้านแบบไร้สายได้สูงสุด 100 เมตร เกินกว่าวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ 20 เมตร
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชุดสาธิตการควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านแบบไร้สายโดยใช้เอ็กบี สามารถจะทํา
การควบคุมเปิด-ปิดไฟฟ้าภายในบ้านแบบไร้สายได้ไกลมากกว่า 20 เมตร ทําให้ผลการดําเนินงานนี้
สามารถทําได้ตามขอบเขตและวัตถุประสงค์คือ อํานวยความสะดวกสบาย
จากการทดลองชุดสาธิตการควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านแบบไร้สายโดยใช้เอ็กบี การส่ง
สัญญาณแบบไร้สายสรุปได้ว่า ในระยะทาง 0-50 เมตร สามารถทํางานได้ดีแม้อยู่ในสภาวะที่มีสิ่งกีด
ขวาง และสภาพอากาศที่มีลมแรง และมีความสัญญาณขาดหายเมื่อระยะทางในการส่งเพิ่มขึ้น ในการ
ควบคุมเปิด-ปิดไฟฟ้าภายในบ้านแบบไร้สายนั้น ขึ้นอยู่กบั สิ่งกีดขวางและระยะทาง โดยที่ถ้ามีสิ่งกีด
ขวางสามารถควบคุมเปิด-ปิดไฟฟ้าภายในบ้านแบบไร้สายได้ระทางสูงสุดที่ 60 เมตร แต่ถ้าไม่มีสิ่งกีด
ขวางสามารถควบคุมเปิด-ปิดไฟฟ้าภายในบ้านแบบไร้สายได้ระทางสูงสุดที่ 100 เมตร
5.2 ปัญหาที่เกิดขึ้น
ในการทํางานของชุดสาธิตการควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านแบบไร้สายโดยใช้เอ็กบี มีสิ่ง
ที่เป็นปัญหาและพบเจอคือแหล่งจ่ายไฟฟ้าฝั่ง Sever หมดเร็วทําให้ต้องเสียเวลาชาร์จบ่อย และไม่มี
โหมดแสดงปริมาณแหล่งจ่ายไฟฟ้า ณ ปัจจุบัน
5.3 แนวทางการพัฒนา
1. หาแหล่งจ่ายไฟฝั่ง Sever ที่สามารถใช้งานได้นานกว่านี้ ไม่ต้องชาร์จบ่อย
2. เพิ่มโหมดแสดงปริมาณแหล่งจ่ายไฟฟ้า ณ ปัจจุบัน
82
เอกสารอ้างอิง
[1] เครือข่ายเซนเซอร์ไร้สาย (Wireless_Sensor_Network). (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก :
http://WWW.thaitelecomkm.org/TTE/topic/attach/
Wireless_Sensor_Network/index.php,พ.ศ. 2555. (วันที่สืบค้น : 18 พฤษภาคม 2558)
[2] ระบบมาตรฐานโปโตรคอล (Protocal Standard System). (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก :
http://WWW.sn.ac.th/kru/network/network02,พ.ศ. 2554. (วันที่สืบค้น : 6 กรกฎาคม
2558)
[3] เอกสารประกอบการใช้งาน XBee-Pro โมดูลสื่อสารข้อมูลไร้สาย 2.4 GHz. กรุงเทพ :
บริษัทอินโนเวตีเอ็กเพอริเมนต์จํากัด, 2554
[4] ณัฎฐพล วงสุนทรชัย,ชัยวัฒน์ ลิ้มพรจิตรวิไล. เรียนรู้และปฏิบัติการไมโครคอนโทรลเลอร์
dsPIC 30F4011. กรุงเทพ : เจริญรุ่งเรืองการพิมพ์ : 2554
[5] เอกสารประกอบการใช้งานไมโครคอนโทรลเลอร์ dsPIC 30F4011. กรุงเทพ : บริษัทอีทีที
จํากัด, 2554
83
ภาคผนวก ก
วงจรทั้งหมดสําหรับการควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านแบบไร้สายโดยใช้เอ็กบี
ก-1
ก-2
ก-3
ภาคผนวก ข
โฟร์ชาร์ตโค้ดการทํางานระบบชุดสาธิตการควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านแบบไร้สายโดยใช้เอ็กบี
ข-1
เริ่มต้นการทํางาน
รับค่าอินพุตจากการกดหน้าจอ
ทัชสกรีน (แกน X,Y)
คํานวณค่าแกน X,Y
ใช่
ส่งค่าเอาต์พุต X0NZ,X1NZ,X2NZ
ออกเอาต์พุต
C B A
ข-2
C
B
ใช่
ส่งค่าเอาต์พุต X0FZ,X1FZ,X2FZ A
ออกเอาต์พุต
แสดงผลเปิด-ปิด
หลอดไฟฟ้า
ไม่
ตรวจสอบสถานะ ตรวจสอบสถานะ
ไม่ ของหลอดไฟฟ้า ของหลอดไฟฟ้า
ใช่ ใช่
ส่งค่าเอาต์พุต Y0FZ,Y1FZ,Y2FZ ส่งค่าเอาต์พุต Y0NZ,Y1NZ,Y2NZ
ออกเอาต์พุต ออกเอาต์พุต
แสดงผลที่หน้าจอ LCD
จบการทํางาน
รูปที่ ข.1 โฟร์ชาร์ตโค้ดการทํางาน
ข-3
ข-4
ประวัตผู้ทําการวิจัย
นายอาทิตย์ อ่อนสําลี
เกิดเมื่อวันที่ 28 เดือน กันยายน พ.ศ. 2529
ภูมิลําเนา จ.ชัยนาท
ที่อยู่ปัจจุบัน 16/13211 ม.10 ต.คลองหลวง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120
ประวัติการศึกษา
2535-2542 ประถมศึกษาปีที่1-6 จากโรงเรียนวัดบานาใน
2542-2545 มัธยมศึกษาปีที่ 1-3 จากโรงเรียนพระขโนงพิทยาลัย
2545-2548 ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) จากวิทยาลัยเทคนิคชัยนาท
2549-2550 ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวส.) จากวิทยาลัยเทคนิคชัยนาท
2555-ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ในพระบรมราชูปถัมป์
ประวัตผู้ทําการวิจัย
นายสันสกฤต คันธี
เกิดเมื่อวันที่ 4 เดือน มีนาคม พ.ศ. 2530
ภูมิลําเนา จ.พังงา
ที่อยู่ปัจจุบัน 44/4 ม.5 ต.บางกรวย อ.บางกรวย จ.นนทบุรี 11130
ประวัติการศึกษา
2537 - 2543 ประถมศึกษาปีที่ 1-6 จากโรงเรียนเทศบาลบ้านย่านยาว
2543 - 2546 มัธยมศึกษาปีที่ 1-3จากโรงเรียนตะกั่วป่าคีรีเขต
2548 - 2551 ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) จากวิทยาลัยการอาชีพตะกั่วป่า
2551 - 2553 ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวส.) จากวิทยาลัยเทคนิคภูเก็ต
2553 - ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยราชภัฎวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
ประวัตผู้ทําการวิจัย
นายจิรวัฒน์ พุทธิพัฒน์
เกิดเมื่อวันที่ 30 เดือน กันยายน พ.ศ. 2522
ภูมิลําเนา จ.พระนครศีอยุธยา
ที่อยู่ปัจจุบัน 57/3 ม.2 ต. สามกอ อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา 13110
ประวัติการศึกษา
2530 - 2536 ประถมศึกษาปีที่ 1-6 จากโรงเรียนวัดสามกอ
2536 - 2539 ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) จากวิทยาลัยการอาชีพเสนา
2539 - 2541 ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวส.) จากวิทยาลัยเทคนิคพาณิชการอยุธยา
2555 - ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยราชภัฎวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์