Professional Documents
Culture Documents
6 7
รวมกั น ก็ ท ำให้ บ ริ ษั ท ก้ า วหน้ า ที นี้ เรา ก่อนทีจ่ ะให้ทา่ นไปปฏิบตั ิ ผมจะอ่าน
อยากไปถึ ง ฝั่ ง โน้ น คื อ พระนิ พ พาน
พระสูตรหนึ่งให้ฟัง มีพระไตรปิฎกอยู่แถว
ถึงความอิสระหลุดพ้นนี้ ก็มี ๓๗ ตัวแปร นี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องหาเรื่องมาพูด
๓๗ สภาวะ ๓๗ อย่ า ง ซึ่ ง ล้ ว นเป็ น หยิบหนังสือมาอ่านเลย
ธรรมะฝ่ายสังขาร เราจึงต้องปรุง ต้องฝึก ในมั ช ฌิ ม นิ ก าย อุ ป ริ ปั ณ ณาสก์
ต้องทำเหตุ ทำปัจจัยให้มีขึ้น
ค ณ ก โ ม ค คั ล ล า น สู ต ร บ า ลี ข้ อ ๗ ๔
ถ้ า พู ด ก า ร ป ฏิ บั ติ ไ ป ต า ม ล ำ ดั บ เป็ น ต้ น ไป มี พู ด ถึ ง การฝึ ก ให้ มี ส มาธิ
สมาธิ จ ะอยู่ ก ลาง ๆ อยู่ ใ นช่ ว งระหว่ า ง เป็นการฝึกไปตามลำดับ ทีละสะเต็บ ๆ ไป
ศี ล กั บ ปั ญ ญา มี ศี ล เป็ น พื้ น ฐาน สมาธิจะอยู่กลาง ๆ
นอกจากศีลแล้ว ก็มีการฝึกจิตให้มีความ ข้อ ๗๔ ข้าพเจ้าได้สดับมา
พร้อม แล้วจึงจะได้สมาธิ แล้วจึงอาศัย อย่างนี้
สมาธิทำให้เกิดปัญญาต่อไป
8 9
สมั ย หนึ่ ง พระผู้ มี พ ระภาค บันไดชัน้ ล่างย่อมปรากฏ แม้พราหมณ์
ประทับอยู่ ณ ปราสาทของมิคารมาตา เหล่ า นี้ ก็ มีก ารศึ ก ษาโดยลำดั บ มี
ในบุพพาราม เขตกรุงสาวัตถี ครั้ง การกระทำโดยลำดั บ มี ก ารปฏิ บั ติ
นั้ น แล คณกโมคคั ล ลานพราหมณ์ โดยลำดั บ ย่ อ มปรากฏด้ ว ยการ
10 11
ได้ศิษย์แล้ว เบื้องต้นให้เขานับอย่าง ข้ อ ๗๕ พระผู้ มี พ ระภาค
นี้ว่า “หนึ่ง หมวดหนึ่ง สอง หมวด ตรัสว่า พราหมณ์ เราสามารถเพื่อ
สอง สาม หมวดสาม สี่ หมวดสี่ จะบัญญัติการศึกษาโดยลำดับ การ
ห้ า หมวดห้ า หก หมวดหก เจ็ ด กระทำโดยลำดั บ การปฏิ บั ติ โ ดย
หมวดเจ็ ด แปด หมวดแปด เก้ า ลำดับ ในธรรมวินัยนี้ได้
หมวดเก้า สิบ หมวดสิบ” ย่อมให้
เปรียบเหมือนคนฝึกม้าผูช้ ำนาญ
นั บไปถึ ง จำนวนร้ อ ย ให้ นั บไปเกิ น
ได้ม้าอาชาไนยตัวงามแล้ว เบื้องต้น
จำนวนร้อย แม้ฉันใด
ทีเดียว ย่อมฝึกให้คุ้นกับการบังคับใน
ข้าแต่พระโคดมผูเ้ จริญ พระองค์ บังเหียน ต่อมาจึงฝึกให้คุ้นยิ่งขึ้นไป
สามารถเพื่อจะบัญญัติการศึกษาโดย แม้ฉันใด ตถาคตก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ลำดั บ การกระทำโดยลำดั บ การ ได้บุรุษที่ควรฝึกแล้ว เบื้องต้นทีเดียว
ปฏิ บั ติ โ ดยลำดั บ ในพระธรรมวิ นั ย
ย่อมแนะนำอย่างนี้ว่า “มาเถิด ภิกษุ
แม้นี้ ฉันนั้นบ้างไหม
เธอจงเป็ น ผู้ มี ศี ล สำรวมด้ ว ยการ
12 13
สังวรในปาติโมกข์ เพียบพร้อมด้วย คื อ เธอเห็ น รู ป ทางตาแล้ ว
อาจาระและโคจรอยู่ จงเป็นผู้มีปกติ อย่ารวบถือ อย่าแยกถือ จงปฏิบัติ
เห็นภัยในโทษแม้เล็กน้อย สมาทาน เพื่ อ สำรวมจั ก ขุ น ทรี ย์ (อิ น ทรี ย์ คื อ
ศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลายเถิด”
จักขุ) ซึ่งเมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็น
เหตุให้ถูกบาปอกุศลธรรมคืออภิชฌา
พราหมณ์ ในกาลใด ภิ ก ษุ
(ความเพ่งเล็งอยากได้สงิ่ ของของเขา)
เป็นผู้มีศีล สำรวมด้วยการสังวรใน
และโทมนัส (ความทุกข์ใจ) ครอบงำ
ปาติโมกข์ เพียบพร้อมด้วยอาจาระ
ได้ เธอจงรั ก ษาจั ก ขุ น ทรี ย์ จงถึ ง
และโคจร เป็นผู้เห็นภัยในโทษแม้เล็ก
ความสำรวมในจักขุนทรีย์
น้ อ ย สมาทานศึ ก ษาในสิ ก ขาบท
14 15
เธอถูกต้องโผฏฐัพพะทางกาย ภิกษุ เธอจงเป็นผู้รู้ประมาณในการ
แล้ว ...
บริโภคอาหาร คือ เธอพึงพิจารณา
เธอรูแ้ จ้งธรรมารมณ์ทางใจแล้ว โดยแยบคายแล้ ว ฉั น อาหาร ไม่ ใ ช่
อย่ารวบถือ อย่าแยกถือ จงปฏิบัติ เพื่อเล่น ไม่ใช่เพื่อมัวเมา ไม่ใช่เพื่อ
เพื่ อ สำรวมมนิ น ทรี ย์ (อิ น ทรี ย์ คื อ ประดั บ ไม่ ใ ช่ เ พื่ อ ตกแต่ ง แต่ ฉั น
มโน) ซึ่งเมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็น อาหารเพียงเพื่อความดำรงอยู่ได้แห่ง
เหตุให้ถูกบาปอกุศลธรรมคืออภิชฌา กายนี้ เพื่อให้กายนี้เป็นไปได้ เพื่อ
และโทมนัสครอบงำได้ เธอจงรักษา กำจัดความเบียดเบียน เพือ่ อนุเคราะห์
มนินทรีย์ จงถึงความสำรวมในมนินทรีย์
พรหมจรรย์ ด้วยคิดเห็นว่า เราจัก
กำจัดเวทนาเก่า และจักไม่ให้เวทนา
พราหมณ์ ในกาลใด ภิ ก ษุ ใหม่เกิดขึ้น ความดำเนินไปแห่งกาย
เป็ น ผู้ คุ้ ม ครองทวารในอิ น ทรี ย์ ทั้ ง ความไม่ มี โ ทษ และการอยู่ ผ าสุ ข
หลายแล้ว ในกาลนั้น ตถาคตย่อม จักมีแก่เรา”
แนะนำเธอให้ ยิ่ ง ขึ้ นไปว่ า “มาเถิ ด
16 17
พราหมณ์ ในกาลใด ภิ ก ษุ ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า มีสติสัมปชัญญะ
เป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภคอาหาร กำหนดใจพร้ อ มจะลุ ก ขึ้ น ตลอด
ในกาลนั้น ตถาคตย่อมแนะนำเธอให้ มัชฌิมยามแห่งราตรี จงลุกขึ้นชำระ
ยิ่งขึ้นไปว่า “มาเถิด ภิกษุ เธอจง จิตให้บริสุทธิ์จากธรรมทั้งหลายที่เป็น
เป็นผู้ประกอบความเพียรเครื่องตื่น เครือ่ งขัดขวาง ด้วยการจงกรม ด้วย
อย่างต่อเนื่อง คือ เธอจงชำระจิตให้ การนั่งตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรี”
บริ สุ ท ธิ์ จ ากธรรมทั้ ง หลายที่ เ ป็ น พราหมณ์ ในกาลใด ภิ ก ษุ
เครื่ อ งขั ด ขวาง ด้ ว ยการจงกรม เป็นผู้ประกอบความเพียรเครื่องตื่น
ด้วยการนั่งตลอดวัน จงชำระจิตให้ อย่ า งต่ อ เนื่ อ ง ในกาลนั้ น ตถาคต
บริ สุ ท ธิ์ จ ากธรรมทั้ ง หลายที่ เ ป็ น ย่อมแนะนำเธอให้ยิ่งขึ้นไปว่า “มา
เครื่ อ งขั ด ขวาง ด้ ว ยการจงกรม เถิด ภิกษุ เธอจงเป็นผู้ประกอบด้วย
ด้วยการนัง่ ตลอดปฐมยามแห่งราตรี สติสัมปชัญญะ คือ ทำความรู้สึกตัว
นอนดุ จ ราชสี ห์ โ ดยข้ า งเบื้ อ งขวา ในการก้าวไป การถอยกลับ การแลดู
18 19
การเหลียวดู การคูเ้ ข้า การเหยียดออก นั้นพักอยู่ ณ เสนาสนะอันเงียบสงัด
การครองสั ง ฆาฏิ บาตรและจี ว ร คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ
การฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง ภิกษุ
การถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ การเดิน นั้นกลับจากบิณฑบาต ภายหลังฉัน
การยืน การนั่ง การนอน การตื่น ภั ต ตาหารเสร็ จ แล้ ว นั่ ง ขั ด สมาธิ
20 21
คือพยาบาท ละถีนมิทธะ (ความหดหู่ ข้ อ ๗๖ ภิ ก ษุ นั้ น ละนิ ว รณ์
และเซื่ อ งซึ ม ) ปราศจากถี น มิ ท ธะ ๕ นี้ ที่ทำให้จิตเศร้าหมอง บั่นทอน
กำหนดแสงสว่าง มีสติสัมปชัญญะ กำลังปัญญา สงัดจากกามและอกุศล
อยู่ ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากถีนมิทธะ ธรรมทั้งหลายแล้ว เข้าปฐมฌานที่มี
ละอุ ท ธั จ จกุ ก กุ จ จะ (ความฟุ้ ง ซ่ า น วิตก วิจ าร ปีติแ ละสุข อัน เกิดจาก
และรำคาญใจ) เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน มี วิเวกอยู่ เพราะวิตกวิจารสงบระงับไป
จิ ต สงบภายใน ชำระจิ ตให้ บ ริ สุ ท ธิ์ เข้าทุติยฌาน ... อยู่ เพราะปีติจาง
จากอุ ท ธั จ จกุ ก กุ จ จะ ละวิ จิ กิ จ ฉา คลายไป มีอเุ บกขา มีสติสมั ปชัญญะ
(ความลังเลสงสัย) ข้ามพ้นวิจิกิจฉา เสวยสุขด้วยนามกาย เข้าตติยฌาน
ได้แล้ว ไม่มีความสงสัยในกุศลธรรม ... อยู่ เพราะละสุขและทุกข์ได้ เพราะ
ทั้ ง หลายอยู่ จึ ง ชำระจิ ตให้ บ ริ สุ ท ธิ์ โสมนั ส และโทมนั ส ดั บไปก่ อ น เข้ า
จากวิจิกิจฉาได้”
จตุตถฌาน ... อยู่
22 23
ในพระสู ต รนี้ พราหมณ์ ม าถาม เรือ่ ย แล้วค่อยนับจำนวนเพิม่ ขึน้ ไปเรือ่ ย ๆ
อย่างปราสาทวิหารบุพพารามหลังนี้ ก็มี ทีนี้ เลยถามพระพุทธเจ้าว่า ในธรรมวินัย
การทำไปตามลำดับ ตามสเต็บ เหมือน ของพระพุ ท ธเจ้ า นี่ มี ก ารปฏิ บั ติ ไ ปตาม
กั บ เป็ น ขั้ น บั น ได ที่ ม องเห็ น ชั ด ๆ คื อ
ลำดับ มีการศึกษาไปตามลำดับ ยังไงบ้าง
มี ตั้ ง แต่ ชั้ น ล่ า งไปเรื่ อ ย ๆ ไล่ เ ป็ น ชั้ น ๆ พอบัญญัติบอกได้ไหม พระพุทธเจ้าก็บอก
ขึ้นไป หรือแม้พวกพราหมณ์ก็มีการศึกษา ว่า บัญญัติได้ โดยพระองค์อุปมาเหมือน
ไปตามลำดับ มีการเรียนหนังสือไปตาม กับว่า คนฝึกม้าผู้ชำนาญ ได้ม้าอาชาไนย
ลำดับ พวกที่เป็นนักรบ พวกทหารนี่ ก็มี ตัวงามมาแล้ว เบื้องต้นทีเดียว ก็ฝึกให้
การศึกษาเรียนรู้ไปตามลำดับ เช่น การ คุ้นกับการบังคับ คุ้นกับใช้บังเหียนเสีย
ใช้อาวุธต่าง ๆ ก็มีการฝึกไปตามลำดับ ก่อน แล้วต่อมาจึงฝึกเรื่องอื่น ๆ ต่อไป
แม้แต่ตวั เขาเอง ซึง่ เป็นครูสอนคณิตศาสตร์ อย่างเราเป็นคนปฏิบัติธรรมนี่ ต้อง
เป็ น นั ก คำนวณนี่ น ะ เขาก็ ส อนลู ก ศิ ษ ย์ คุ้นกับการฝึก ถ้าไม่คุ้นกับการฝึก มันก็จะ
เหมือนกัน ให้นับ หนึ่ง สอง สาม ไป ฝึกขั้นต่อไปไม่ได้ ต้องคุ้น เห็นว่า การ
24 25
ฝึกนีเ้ ป็นเรือ่ งดี เป็นเรือ่ งทีจ่ ะทำให้เราดีขนึ้ กั บ การบั ง คั บ เสี ย ก่ อ น มี ก ารสนตะพาย
ได้ตื่นนอนเช้า ๆ ดีไหม ดี เป็นเครื่องฝึก บังเหียน การวางที่นั่งลงบนหลัง อะไร
ได้ ท ำอะไรที่ เ ราไม่ อ ยากทำ ก็ ดี เป็ น ต่าง ๆ ให้มนั คุน้ พอคุน้ แล้วค่อยฝึกให้ยงิ่ ๆ
เครื่ อ งฝึ ก ได้ ม าสวดมนต์ แหกขี้ ต ามา ขึ้ น ไป พวกเราก็ เ หมื อ นกั น ต้ อ งคุ้ น
สวดตั้งแต่เช้า ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยได้สวด นี้ก็ สำหรับการฝึก จะทานอาหาร ก็ต้องทำ
เป็นเครื่องฝึก ทำให้จิตมันชินกับการฝึก ใหม่ ทำให้มันช้าลงกว่าเดิม ต้องนั่งรอ
ถ้าจิตมันไม่ชนิ มันจะชอบทำตามใจตัวเอง แล้วก็มีสวดโน่นสวดนี่ สวดไปเรื่อย บาง
ทำตามใจอยาก แบบนั้น ไม่ได้ฝึก ถ้าจะ คนอาจจะบอกว่า สวดทำไม สวดไม่สวด
ฝึ ก นี่ มั น ไม่ ไ ด้ ท ำตามใจอยากแล้ ว นะ ก็กินลงท้องเหมือนกันแหละ แต่เราทำให้
ต้องทำให้คุ้นก่อน
จิ ต คุ้ น กั บ การฝึ ก ไม่ ใ ช่ บ อกว่ า ฝึ ก สติ
ที่ไหนก็ได้ ดูทีวีก็ได้ คุยก็ได้ เวลาไหน
เจ้าม้านี่ มันยังไม่เคยฝึก มันจะชอบ
เที่ ย ววิ่ ง เล่ น อะไรตามใจมั น ที นี้ ต้ อ ง ก็ได้ อย่างนี้ มันไม่คุ้น ต้องทำให้มันคุ้น
ต้องหัดกันกิเลส หัดไม่ดูข่าว ไม่ดูละคร
ทำให้ม้าพร้อมสำหรับการฝึก คือ ให้คุ้น
26 27
ไม่ดหู นังสือพิมพ์ หัดไม่คยุ ให้มนั คุน้ การฝึก มันคุน้ กับการถูกบังคับนี่ มันก็จะสงบ เห็น
ไม่ทำอะไรตามใจอยาก คุ้นกับการบังคับ เป็นเครือ่ งฝึกตัวเอง ถ้าไม่คนุ้ มันก็จะเครียด
แล้วค่อยฝึกให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ถ้าไม่คุ้นแล้ว บังคับอะไรนิดอะไรหน่อย ให้มาเดินจงกรม
จะฝึกไม่ได้ผล พระองค์อุปมาเหมือนกับ กลับไปกลับมา มันก็จะเครียด ให้มานั่ง
การฝึกม้า
เฉย ๆ หนึ่ ง ชั่ ว โมง มั น จะทนไม่ ไ หว
32 33
เกิดขึ้น ก็อย่าไปสนใจ อย่าให้มันลากตา จริง ๆ คือสติ แต่ถ้าสติเราอ่อน ไม่มีสติ
ไปหาของสวย ๆ งาม ๆ สำรวมตา รับรู้ ใจมันจะไม่อยู่ พอใจมันไม่อยู่ ตามันจะ
ก็ทำท่าไม่รู้ไปก่อน ถ้าจำเป็นจริง ๆ ค่อย ลอกแลกไปดู นั่ น ดู นี่ ถ้ า ต้ อ งการจะใช้
ว่ากัน ถ้าไม่จำเป็นก็อยู่กับตัวเอง เราฝึก อินทรีย์ให้ได้ผลดี ก็หลังจากเรามีสมาธิ
ของเราไปก่ อ น หูก็อย่าเที่ยวไปฟังเรื่อง มีปัญญาแล้ว ใช้อินทรีย์ ตาก็ใช้แล้วเกิด
โน้ น เรื่ อ งนี้ ต้ อ งสำรวมระวั ง ทางตา
ประโยชน์ มองเห็ น แล้ ว เกิ ด ประโยชน์
หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ขั้ น ต้ น ๆ ถ้ า ได้ยินเสียงแล้วเกิดประโยชน์ แต่ตอนต้นนี้
สติ สั ม ปชั ญ ญะอ่ อ น ต้ อ งอาศั ย การหลบ อย่ า เพิ่ ง สำรวมไว้ ก่ อ น เก็ บ ตาไว้ ก่ อ น
เลี่ ย งอารมณ์ อัน นี้ เป็ น การฝึก ถ้ าคนมี นั่ ง ก้ ม หน้ า หู ก็ ท ำท่ า ไม่ ไ ด้ ยิ น ไว้ ก่ อ น
สำรวม ๆ ไว้
ยั ง ไม่ มี ปั ญ ญา ถ้ า คนมี ส มาธิ มี ปั ญ ญา
36 37
เขาใช้อนิ ทรียม์ นั เกิดประโยชน์ ไร้ความทุกข์ ก็ได้ มีสติ ฝึกยังไงก็ได้ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ
แต่คนไม่ได้ฝึก ไม่มีสมาธินี่ มันรัก มันชัง ยังไงก็ได้สำหรับคนมีสมาธิมีปัญญา แต่
หลงตัดสินไปตามใจตัวเอง อันนี้ดี อันนี้ เรายังไม่มี ใจยังไม่อยู่กับตัวเลย พอยังไม่
ไม่ดี กิเลสก็เข้าตลอด จึงต้องอาศัยการ อยู่ กั บ ตั ว ไปคุ ย มั น แตกกระจายหมด
สำรวมระวั ง คุ้ ม ครองทวารในอิ น ทรี ย์
พอแตกกระจายหมด จับมาให้รวมอย่างเดิม
ทั้งหลาย
มันก็ไม่รวมแล้ว มันฟุ้งไปทั่ว
ตัวคุ้มครองจริง ๆ คือ สติ สติเป็น ต้องฝึกให้จิตมันรวมจนเคยชิน มัน
ตัวคุ้มครองจิต ถ้ามันอ่อนอยู่ ทำยังไง เคยชิ น ที่ จ ะมาอยู่ กั บ ตั ว เอง นี้ เ รี ย กว่ า มี
ป้องกันตัวเอง โดยการงดเว้นจากอารมณ์ สมาธิ มีหลัก ถ้ามีหลักอย่างนีแ้ ล้ว ไปรับรู้
ที่จะทำให้เกิดกิเลส ทำให้ฟุ้งซ่าน ทำให้ เรื่องอะไร รับรู้เสร็จ ก็ปล่อย แล้วกลับ
เรื่ อ งมาก เดิ น จงกรมไปมา จิ ต เกื อ บ มาที่ตัวเองได้ เหมือนคนไปทำงาน ทำ
จะเข้ า ที่ ไปคุ ย เรื่ อ งน้ ำ ท่ ว ม อย่ า งนี้ เสร็ จ แล้ ว ก็ ก ลั บ บ้ า น รู้ เ สร็ จ แล้ ว ปล่ อ ย
กระจายนะ อย่าไปทำ ไม่ใช่วา่ ปฏิบตั ยิ งั ไง กลับมาอยู่กับตัวเอง ใจไม่กระเจิงไป แต่
38 39
เราทั่วไป ไปรับรู้เรื่องโน้นเรื่องนี้ กลับมา ดังนัน้ ท่านทัง้ หลายต้องทำให้ถงึ จุด
ทีต่ วั เองไม่ได้ ใจมันกระเจิง นีค้ อื ไม่มสี มาธิ จึงจะได้ผล ท่านทั้งหลายคงผ่านการฝึก
คนไม่ มี ส มาธิ ต้ อ งอาศั ย สำรวมเอา มาพอสมควรแล้ว บางท่านก็ฝกึ มานานแล้ว
ถ้ า ไม่ ส ำรวมปฏิ บั ติ ไ ม่ ไ ด้ ผ ลนะ บางคน แต่ไม่ค่อยได้ผล ก็เพราะว่าทำไม่ถึงจุดมัน
ปฏิ บั ติ ม านานแล้ ว ปฏิ บั ติ ไ ปปฏิ บั ติ ม า
และไม่ ส ำรวมระวั ง พอไม่ ส ำรวม ใจก็
ได้ อ าทิ ต ย์ ส องอาทิ ต ย์ เกื อ บเข้ า ที่ แ ล้ ว แตกเหมือนเดิม พอแตก ก็ต้องมาฝึกใหม่
ฝึ ก ใหม่ ก็ เ กื อ บจะรวมใหม่ ก็ ไ ปแตกใหม่
อดไม่ไหว ใจจะขาดแล้วไปคุยกับเพือ่ นหน่อย
พูดไปตามกิเลส บอกว่าฝึกสติที่ไหนก็ได้
เรื่ อ งโน้ น เรื่ อ งนี้ ใจกระเจิ ง ไปหมดเลย
เจริ ญ ปั ญ ญาที่ ไ หนก็ ไ ด้ พอมั น เสื่ อ มไป
เป็นเดือนยังไม่ลงเลย ทำเหมือนกันแต่ยัง
ไม่ถึงจุด จิตไม่เป็นสมาธิ ก็แตกไปเรื่อย ก็ว่า ไม่เที่ยง อย่างนี้ เลยไม่ค่อยได้อะไร
แล้วก็ขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างนี้ ถ้าทำจนถึง ต่อมา ขั้นที่สาม ในกาลใด ภิกษุเป็นผู้
จิตเป็นสมาธิแล้ว จิตควรต่อการใช้งาน คุม้ ครองทวารในอินทรียท์ งั้ หลายแล้ว ในกาลนัน้
ไปรูเ้ รือ่ งนัน้ เรือ่ งนี้ ก็ทำให้เกิดปัญญาได้ ตถาคตย่อมแนะนำเธอให้ยิ่งขึ้นไปว่า “มาเถิด
40 41
ภิ ก ษุ เธอจงเป็ น ผู้ รู้ ป ระมาณในการบริ โ ภค รู้จักพอดี รู้จักประมาณ รู้จักความ
อาหาร คือ เธอพึงพิจารณาโดยแยบคายแล้ว เหมาะสม พอเหมาะกั บ ตั ว เอง เป็ น
ฉันอาหาร ...”
ลักษณะของการมีปัญญา ให้การกระทำ
ในการใช้สอยปัจจัยต่าง ๆ ต้องเป็น นั้นอยู่ภายใต้อำนาจของปัญญา ทำด้วย
ผู้ มี ปั ญ ญา รู้ จั ก ประมาณ รู้ จั ก พอดี ความรู้ ถ้าทำแบบไม่รู้ ทำเพลิน ๆ ไป
รูจ้ กั เพียงพอ การบริโภคอาหาร การนุง่ ห่ม เราไม่ได้ตั้งหลักไว้ก่อน ไปหาอาหารกิน
เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค อุปกรณ์ เป็นไง แตกหมดแล้ว หายหมด สติหาย
เครื่องใช้ต่าง ๆ ต้องรู้จักพอดี ถ้ามันไม่ หมด ต้องตั้งหลักก่อน ทุกคนมีกิเลสไม่ว่า
พอดี จะกินเวลาในการปฏิบัติไป หากเลย กัน แต่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุม จะกิน
พอดีไป ใจจะฟุง้ ซ่านเยอะมาก รับประทาน อาหาร นุ่งห่มเสื้อผ้า นอน พูดคุย หรือ
อาหาร ต้องมีปญ ั ญารูจ้ กั ประมาณ อย่าไป จะทำอะไรต่าง ๆ ต้องอยู่ภายใต้อำนาจ
กินตามอยาก อย่าไปกินตามอำเภอใจ
ของปั ญ ญา ปั ญ ญารู้ จั ก ประมาณ รู้ จั ก
พอดี รู้จักเพียงพอ รู้จักตั้งหลัก ตั้งหลัก
42 43
ของตัวเอง ไม่อย่างนั้น การปฏิบัติก็จะไม่ ถ้าเราจะปฏิบัติแบบกิเลสลด ทำลาย
ได้ผล
กิ เ ลสให้ ห มดไปได้ แบบที่ พ ระพุ ท ธเจ้ า
ตอนนี้พูดถึงขั้นที่สามแล้ว บางคน แสดงไว้ ต้ อ งมี ห ลั ก การที่ ถู ก มี เ ทคนิ ค
46 47
อย่างนี้แหละ จะบอกว่า คนอื่นเขาทำแค่ นัน้ มาเดินจงกรมมานัง่ สมาธิ อันไหนอีกละ
นิดหน่อย เขาบรรลุไปแล้ว จะเอาอย่างเขา ไปหาเองนะ หาเวลามาทำให้มันต่อเนื่อง
ถ้ า ได้ อ ย่ า งเขามั น ก็ ดี แต่ ถ้ า มั น ไม่ ไ ด้ นี้เป็นวิธีชำระจิต อย่างที่พระพุทธองค์ว่า
ต้องมาทำอย่างนี้
“เธอจงชำระจิตให้บริสุทธิ์จากธรรมทั้งหลายที่
เป็นเครือ่ งขัดขวาง ด้วยการจงกรม ด้วยการนัง่
ขั้นที่สี่ จงเป็นผู้ประกอบความเพียร
ตลอดวัน”
เครื่องตื่นอย่างต่อเนื่อง ฝึกโดยการเดิน
จงกรม ด้ ว ยการนั่ ง พวกท่ า นมาที่ นี่
คอร์สนีจ้ ะให้ทำตลอดวัน ให้ทำทีว่ า่ นี้
จะให้ทำต่อเนื่อง คล้ายกับว่า เราหาเวลา จงกรมและนั่ง ทำตลอดวัน กลางคืนช่วง
ได้แล้ว ก็มาเข้าคอร์สทำแบบนี้ ถามว่า ปฐมยาม ก็ทำต่อ มัชฌิมยาม ให้นอน
เรากลับไปบ้าน ต้องหาเวลาอย่างนี้ไหม ตั้งใจจะลุกขึ้นด้วยละ ไม่หาความสุขจาก
ต้องหาเหมือนกัน อะไรที่ไม่จำเป็นก็งดไป การนอน ปั จ ฉิ ม ยามก็ ลุ ก ขึ้ น มาทำต่ อ
ที วี จ ำเป็ น ต้ อ งดู ไ หม เราก็ ใ ช้ ปั ญ ญา ทำต่อเนื่องอย่างนี้
พิจารณาดู อันไหนไม่จำเป็น ก็งด เอาเวลา
48 49
ขั้นที่ห้า ทำอย่างไร พระองค์ตรัส การถอยกลับ ในการแลดู ในการเหลียวดู
ว่า ในกาลใด ภิกษุเป็นผู้ประกอบความเพียร จนถึง การนอน การตื่น การพูด การนิ่ง
เครื่ อ งตื่ น อย่ า งต่ อ เนื่ อ ง ในกาลนั้ น ตถาคต ต้องมีปัญญารู้ว่าทำไปทำไม มีประโยชน์
ย่อมแนะนำเธอให้ยิ่งขึ้นไปว่า “มาเถิด ภิกษุ หรือไม่มปี ระโยชน์ ควรทำ หรือไม่ควรทำ
เธอจงเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ คือ และรู้ ถึ ง ความไม่ มี ตั ว ตน กายเป็ น ผู้ ท ำ
ทำความรู้ สึ ก ตั วในการก้ า วไป การถอยกลั บ อย่างนั้น ๆ จิตเป็นผู้รู้ ซึ่งจะมีอย่างนี้ได้
การแลดู การเหลียวดู การคูเ้ ข้า การเหยียดออก ต้ อ งมี ล ำดั บ ในการปฏิ บั ติ ม าตามลำดั บ
การครองสั ง ฆาฏิ บาตรและจี ว ร การฉั น
ท่ า นทั้ ง หลายฟั ง แล้ ว คงพอเข้ า ใจอยู่
การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม การถ่ายอุจจาระ เพียงแต่จะทำได้มากได้นอ้ ย อันนีก้ ไ็ ม่วา่ กัน
ปัสสาวะ การเดิน การยืน การนั่ง การนอน อย่ า งน้ อ ยก็ ไ ด้ รู้ เ ทคนิ ค ที่ ถู ก ต้ อ งตาม
พู ด มาถึ ง ตรงนี้ คื อ เน้ น กล่ า วถึ ง ถ้ า ใครทำได้ อ ย่ า งนี้ ไม่ ต้ อ งห่ ว ง เดี๋ ย ว
สมาธิ ซึ่งเป็นตัวทำจิตให้สะอาด ผ่องใส ชำระจิ ต ให้ บ ริ สุ ท ธิ์ ห มดจด ทำสมถะ
หมดจดจากอุ ป กิ เ ลส มี ก ำลั ง อ่ อ นโยน วิปัสสนาก็ประสบความสำเร็จได้ บางท่าน
เหมาะต่อการทำงาน ก่อนจะเกิดสมาธิ มาทำสมถะวิปสั สนานานแล้ว ทำกรรมฐาน
ต้องมีสติสัมปชัญญะ มีความรู้สึกตัวใน
โน้นกรรมฐานนี้ ไม่ได้ผล เพราะว่า ไม่มี
ทุกอิริยาบถ ก่อนจะมีสติสัมปชัญญะ ต้อง สติสัมปชัญญะในทุกอิริยาบถนี่แหละ
52 53
ถ้าเราทำได้อย่างนี้ ใช้ชีวิตอย่างมี ไม่คอ่ ยมีสติสมั ปชัญญะ เดินไปเดินมา ง่วง
สติ สั ม ปชั ญ ญะ มี ค วามรู้ ตั ว อยู่ เ สมอ ทำอย่างไรจะหายง่วง อย่างนี้ยังทำไม่ได้
ต่ อ ไป ก็ ใ ห้ ท ำกรรมฐานเพื่ อ ชำระจิ ต ให้ เราฝึกสติเสียก่อน ฝึกสติให้มาก ๆ
หมดนิวรณ์ สมาธิเกิด ก็เจริญปัญญาต่อไป พระสูตรนี้ ผมอ่านมาถึงจุดที่เอาไป
ก็จะได้บรรลุธรรมไปตามลำดับของปัญญา ทำสมาธิ ซึ่งการปฏิบัติไปตามลำดับจนถึง
พระพุทธองค์ตรัสว่า ในกาลใด ภิกษุเป็นผู้ สมาธิ มีอยู่ ๕ ขั้น คือ ขั้นที่ ๑ มีศีล
ประกอบด้วยสติสมั ปชัญญะ ในกาลนัน้ ตถาคต สำรวมด้วยการสังวรในปาติโมกข์ ขั้นที่
ย่อมแนะนำเธอให้ยิ่งขึ้นไปว่า “มาเถิด ภิกษุ ๒ คุ้ ม ครองทวารในอิ น ทรี ย์ ทั้ ง หลาย
เธอจงพักอยู่ ณ เสนาสนะอันเงียบสงัด”
มี อิ น ทรี ย สั ง วร อย่ า ไปเที่ ย วดู เที่ ย วฟั ง
ให้ไปอยู่คนเดียว ชำระจิตให้หมดจด เที่ ย วดมกลิ่ น เที่ ย วลิ้ ม รส เที่ ย วสั ม ผั ส
จากนิวรณ์ ทำให้จติ หมดนิวรณ์ ทำได้ไหม เที่ยวรับรู้เรื่องต่าง ๆ อย่างขาดสติ ให้
ทำได้ เพราะว่าพืน้ ฐานทีด่ ี มีสติสมั ปชัญญะ สำรวมระวังไว้ ขั้นที่ ๓ ให้มีปัญญารู้จัก
ส่วนพวกเรา หากยังไม่มี ต้องฝึก หากยัง ประมาณในการบริโภคอาหาร รวมทั้ง
54 55
ในการใช้ ส อยปั จ จั ย ต่ า ง ๆ ให้ ตั้ ง หลั ก เหนื่อยเหลือเกิน ขาลากแล้ว ได้เวลาเอน
ก่อนจะไปทำอะไร ปัญญาเราน้อยต้องตั้ง หลังแล้ว มีความสุขเหลือเกิน อย่างนี้ไม่
หลั ก ก่ อ น ถ้ า ไม่ ตั้ ง หลั ก เดี๋ ย วกิ เ ลสเข้ า ได้เรื่องนะ ต้องตื่นเสมอ ตั้งใจว่า ตอนตี
ปัญญาหายหมด หายใจเข้าลึก ๆ หายใจ ระฆั ง จะลุ ก ขึ้ น นอนเป็ น การพั ก ผ่ อ น
ออกยาว ๆ ก่อน ตั้งหลักก่อน แล้วค่อย บริหารร่างกาย ขั้นที่ ๕ เป็นผู้ประกอบ
พิ จ ารณาทำโน่ น ทำนี่ ขั้ น ที่ ๔ เป็ น ผู้ ด้ ว ยสติ สั ม ปชั ญ ญะ มี ค วามรู้ สึ ก ตั ว ใน
ต้ อ งทนเดิ น ทั้ ง ๆ ที่ ง่ ว งนอนนี่ แ หละ พื้ น ฐานเหมื อ นกั น อยากได้ อ ภิ ญ ญาก็ มี
นั่งทั้ง ๆ ง่วงนอนนี้แหละ ฟุ้งซ่านก็ทน เทคนิควิธี ทำเอา อยากได้ขนาดไหนไม่
ทำไป ขี้เกียจก็ทำไป หดหู่ท้อแท้ก็ทำไป ว่ า กั น จะเจริ ญ ปั ญ ญาก็ อ าศั ย สมาธิ นี้
ลังเลสงสัยก็ทำไป บริหารกันไป ถ้าสงสัย เหมื อ นกั น การทำสมาธิ ภ าวนามี ๔
มาก ทนไม่ไหว ถามคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง อย่าง คือ ทำเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบัน
ต้องอาศัยความอดทน ทำไป เพราะมัน อย่างหนึ่ง ทำเพื่อได้ญาณทัสสนะ ได้
ยั ง ชำระไม่ ไ ด้ จะชำระได้ ก็ ต่ อ เมื่ อ มี อภิ ญ ญา ความรู้ ที่ พิ เ ศษเหนื อ คนอื่ น
58 59
อย่ า งหนึ่ ง ทำเพื่ อ ให้ มี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะ ตอนต้ น เน้ น ฝึ ก ให้ มี ส ติ มี ค วามสำรวม
เพิ่มขึ้น อย่างหนึ่ง ทำเพื่อให้ถึงความ ระวัง มีความยับยั้ง ผมอ่านให้ฟัง ท่าน
สิน้ อาสวะ หมดกิเลส หมดทุกข์ อย่างหนึง่ คงพอจะมองออก ก่ อ นที่ จ ะถึ ง ขั้ น การ
ก็สามารถทำได้ทั้งนั้น โดยอาศัยตัวกลาง ชำระจิตให้มีสมาธิ ตั้งมั่น แล้วทำให้เกิด
อันเดียวกัน คือ สมาธิ
ปัญญา ก่อนหน้าการทำสมาธิ คือ การมี
สติ สั ม ปชั ญ ญะ มี ค วามรู้ สึ ก ตั ว ในทุ ก
นี้ก็ยกพระสูตร ชื่อคณกโมคคัลลาน
กิจกรรม
สู ต ร จากมั ช ฌิ ม นิ ก าย อุ ป ริ ปั ณ ณาสก์
มาพู ด ให้ ท่ า นฟั ง เพื่ อ แสดงให้ เ ห็ น ว่ า ในโอกาสต่อไป ก็จะให้ทา่ นทัง้ หลาย
สมาธิมันอยู่กลาง ๆ และเป็นตัวกลางที่ ไปปฏิบัติกัน ที่ปฏิบัติก็มีหลายที่ ท่านที่
สำคัญในการทำให้ทา่ นประสบความสำเร็จ เคยมาแล้ ว ก็ ค งรู้ ถ้ า ท่ า นยั ง ไม่ เ คยมา
ในเรื่องต่าง ๆ แต่ต้องทำตามลำดับตาม อาจจะเดินข้างบนศาลานี้ หรือ ข้างล่าง
ขั้ น ตอน ขั้ น ต้ น ยั ง ไม่ ต้ อ งเน้ น ที่ ส มาธิ หรือ ที่สวนไทร ก็เดินได้ ที่สวนไทรนั้น
ยั ง ไม่ ต้ อ งเน้ น สงบ สมาธิ อ ยู่ ก ลาง ๆ มีลจู่ งกรมให้เดิน ยกสูงขึน้ มาเป็นลูจ่ งกรม
60 61
ถ้ า ใครไม่ รู้ ก็ เ ดิ น ตามคนอื่ น ไป มี ร่ ม ไม้
การเดิ น กลั บ ไปกลั บ มา จะมี ที่ ใ ห้
มีเก้าอี้ มีลู่จงกรมให้เดิน ทำความเพียร หยุด เดินจงกรมจะดีอย่างหนึ่ง คือ มีให้
ชำระจิตให้หมดจด ประกอบความเพียรให้ หยุดยืน เป็นการเสริมการมีสติ คนที่ไม่
ต่อเนือ่ ง ด้วยการเดินจงกรมและนัง่ ตลอดวัน ค่ อ ยมี ส ติ ถ้ า ทำกิ จ กรรมเดี ย วนาน ๆ
62 63
หากจิตมันคิด มันนึกก็ให้รู้ รูแ้ ล้วก็ปล่อยไป ขวา มือจะอยู่ตรงไหนก็ได้ กุมไว้ข้างหน้า
หายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ สอง ก็ได้ ไขว้ไว้ข้างหลังก็ได้ กอดอกก็ได้
สามครั้ ง ทำความรู้ ตั ว บี บ นวดตั ว เอง ให้ทำด้วยความรู้ อย่าทำตามความ
กำมือเข้า แบมือออก กระดุกกระดิก รูต้ วั เคยชิน การทำตามความเคยชินมันจะหลง
ยื น แล้ ว ทำความรู้ ตั ว ไม่ ต้ อ งรี บ ตอนนี้เรามาฝึกให้มันคุ้นกับการถูกบังคับ
อะไร แล้วก็กลับตัว กายมันกลับ ค่อย ๆ แต่มันบังคับไม่ได้หรอก เราทำให้มันคุ้น
กลับ ให้จิตมารู้อยู่ที่ตัว สติเป็นตัวระลึก ให้เห็นว่า ระเบียบวินัยเป็นเรื่องฝึกตัวเอง
นึกได้ นึกถึงตัว ดึงจิตกลับมาที่ตัว ฝึกให้ ถ้าพวกไม่พร้อม จะเห็นว่า ระเบียบวินัยนี้
มีสติมาก ๆ ให้เจริญ ทำให้มาก ๆ เมื่อ น่าเบื่อหน่าย เหนื่อยเหลือเกิน ต้องเอา
มีสติ มีอยู่กับตัว ก็จะได้ใช้ ถ้าไม่มีก็ไม่ มือมาอยู่ข้างหน้า เหนื่อย ตอนนี้เรามา
ได้ใช้ ให้ทำเยอะ ๆ ไว้ ยืนแล้วก็ทำความ หัดให้มันคุ้น อะไรที่ทำตามความเคยชิน
รู้ ตั ว หั น กลั บ ก็ รู้ ตั ว กายกำลั ง หั น กลั บ ทำเพื่อความสนุกสนาน ทำแบบหลง ๆ
ยืนแล้วก็เดินเหมือนเดิม ซ้าย ขวา ซ้าย เราเลิก เรามาหัด ถ้าจะแกว่งมือ ก็ให้
64 65
แกว่งด้วยความรู้ตัว มีความรู้ตัวว่า กาย ไม่เป็นไร ไม่นงิ่ ไม่เป็นไร ไม่เน้นความนิง่
กำลั ง ทำอย่ า งนี้ ผลั ด เปลี่ ย นอิ ริ ย าบถ เน้นการรู้ เน้นการมีสติ
มันเหนือ่ ย มันเจ็บตรงนี้ เลยต้องทำแบบนี้ อย่างทีไ่ ด้อปุ มาให้ฟงั กายนีเ้ ป็นหลัก
ให้รู้
จิ ต เป็ น ตั ว รู้ มั น ก็ รู้ ข องมั น ไปเรื่ อ ย รู้
สำหรับคนฝึกใหม่ ๆ ควรจะเดินกับ อารมณ์นั้นอารมณ์นั้น รู้เรื่องนั้นเรื่องนี้
ยืนเยอะ ๆ ทำความรู้สึกตัว จะง่วงนอน เปลี่ยนอารมณ์ กระโดดไปโน่นไปนี่ ตัวที่
จะฟุ้งซ่าน จะคิดมาก จะงง สงสัย ทำไม่ ทำให้จิตมารู้อยู่ที่ตัวเอง คือสติ สติเป็น
ค่ อ ยเป็ น ก็ ไ ม่ เ ป็ น ไร ขอให้ ท ำ ไม่ ต้ อ ง เหมือนเชือกผูกจิตไว้กับตัว เราต้องการ
เครียด ทำไปเรื่อย รู้สึกตัวไป กายเดิน ตั ว นี้ ง่ ว งนอนก็ รู้ ว่ า ง่ ว งนอน ง่ ว งนอน
เท้าก้าว ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา จิตคิดให้รู้ เป็นอันหนึ่ง จิตเป็นตัวรู้ สติเป็นตัวระลึก
ว่าคิด แล้วก็กลับมาที่การเดิน ง่วงนอน ดึงให้จิตมารู้ความง่วงนอน เราต้องการ
ให้รู้ เบื่อ ให้รู้ ขี้เกียจ ให้รู้ แล้วปล่อย ตัวนี้ ตัวที่เป็นประดุจเชือกดึง เราไม่ได้
มันไป กลับมารู้ที่กายกำลังเดิน ไม่สงบ ต้องการง่วงนอน ต้องการมีสติ ก็เลยมาฝึก
66 67
รู้อยู่ที่ตัวบ่อย ๆ ก็แสดงว่า มีสติบ่อย ๆ นั่งให้มีความรู้ตัว อย่านั่งเอาสบาย โดย
จึงเรียกว่าฝึกสติ ให้สติมนั เจริญ เกิดบ่อย ๆ ส่วนใหญ่ พวกเราจ้องหาแต่ความสบาย
มี บ่ อ ย ๆ ไม่ ใ ช่ ต ลอดหรอก แต่ ใ ห้ มั น เดินแล้ว มันเหนื่อย เราก็จ้องจะนั่งให้มัน
เจริญขึ้น หมายความว่า ให้มันหนักแน่น สบาย นั่ ง ให้ มั น สงบ จะได้ พั ก ผ่ อ น ไม่
มั่นคงกว่าเดิม มีกำลังกว่าเดิม และให้มัน ต้องรับรู้อะไร เบลอ ๆ ไป เป็นอย่างนี้
บ่อย ๆ ให้มันเยอะ ๆ แทนที่จะไปเที่ยว ซะส่วนมาก
รู้เรื่องอื่น ก็มาเที่ยวรู้อยู่ในขอบเขตของ ให้ มี ค วามรู้ ตั ว ดี ๆ นั่ ง ก็ ใ ห้ รู้ ตั ว
70 71
รู้อยู่ที่ตัวเสมอ ๆ ถ้าหลงแล้วก็ไม่ว่ากัน ลมหายใจออก หรือ ดูท้องพอง ท้องยุบ
นึกได้ก็ทำใหม่
เป็ น ต้ น ให้ จิ ต มั น แนบแน่ น เป็ น สมาธิ
ในคอร์ ส ของผมก็ ไ ม่ มี วิ ธี อ ะไรมาก
ตั้งมั่น เหมาะควรต่อการใช้งาน แล้วมา
มีเพียงเท่านี้แหละ ส่วนรายละเอียดปลีก เจริ ญ วิ ปั ส สนา มองดู ก ายและใจตั ว เอง
ย่อยของแต่ละคน ถ้าท่านไหน ทำไม่ได้ ให้ เ ห็ น ทุ ก สภาวะล้ ว นไม่ เ ที่ ย ง ล้ ว นเป็ น
ก็ ม าถาม ท่ า นไหน ที่ทำกรรมฐานแล้ว ทุกข์ ล้วนไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน คือ ทำสมถะ
ได้ ผ ล คื อ มี ส ติ ต่ อ เนื่ อ ง มี ส ติ รู้ ตั ว ใน
และวิปัสสนา
ทุกอิริยาบถ เดิน ยืน นั่ง นอน จิตคิด ในขั้ น ต้ น เราฝึ ก ให้ จิ ต มี ค วาม
นึ ก ไป ปรุ ง แต่ ง ต่ า ง ๆ รู้ เ ท่ า ทั น อั น นี้ พร้อมสำหรับการใช้งานเสียก่อน จิตมี
ไม่มีปัญหา ท่านก็ทำตามสบาย ถ้าท่านมี ความพร้อม บาลีท่านว่า กมฺมนีโย เป็น
สติต่อเนื่อง อยู่กับตัวเองได้แล้ว ก็ไปหาที่ จิตอ่อนโยน นิ่มนวล ควรต่อการใช้งาน
อั น เงี ย บสงั ด แล้ ว ชำระจิ ต ให้ ห มดจาก ได้ ม าโดยการมี ส ติ สั ม ปชั ญ ญะ จะมี
นิวรณ์ ด้วยการทำกรรมฐาน ดูลมหายใจเข้า สติสัมปชัญญะโดยการทำชาคริยานุโยคะ
72 73
ทำความเพี ย รเครื่ อ งตื่ น อย่ า งต่ อ เนื่ อ ง
บางคนทำแบบเข้มงวดเกินไป ตื่นมากจน
นอนไม่ ห ลั บ ก็ มี แต่ ไ ม่ เ ป็ น ไร ตื่ น ดี ก ว่ า
หลั บ ค่ อ ย ๆ ฝึ ก ไปให้ มั น เหมาะสม
ตื่นกลางวัน กลางคืนหลับช่วงมัชฌิมยาม
แล้วตืน่ อีกทีชว่ งปัจฉิมยาม ไม่ใช่กลางคืนตืน่
แต่กลางวันหลับ อย่างนีก้ ไ็ ม่ไหว ต้องปรับ
เอาเอง บางทีเราทำยังไม่สมดุล มีอะไร
เกิน ๆ ไปบ้าง ไม่เป็นไร ค่อยดู คอย
สังเกต ค่อย ๆ ปรับไป เดี๋ยวก็ลงตัว
การบรรยายในตอนเช้ า คงพอ
สมควรแก่ เ วลาเท่านี้นะครับ อนุโมทนา
ทุกท่าน
74
รายชื่อผู้ร่วมบริจาค
๑๐. ดร.นวลศิริ เปาโรหิตย์ ๑,๐๐๐
ที่ ชื่อ - นามสกุล จำนวนเงิน
๑๑. คุณนันท์นภัส นัทชาทรัพย์มณี ๕,๐๐๐
๑. ไม่ออกนาม ๕๐๐
คุณจักกฤษณ์ คุณประภาภรณ์
๒. ผู้ร่วมฟังธรรมบ้านจิตสบาย ๕,๘๕๐
คุณชมพูนุท โรจนศิริรัตน์
๑๙ ก.พ. ๕๕
และครอบครัว ญาติมิตร
๓. ผู้เข้าปฏิบัติธรรมยุวพุทธิกสมาคมฯ ๑๔,๔๔๐
๑๒. คุณมณีโชค ตติยไตรรงค์ ๕๐๐
๑๖-๒๐ ก.พ. ๕๕
๑๓. คุณสุกัญญา แสนใจวุฒิ ๒,๐๐๐
๔. คุณนงนภัส อัคคพงศ์พันธ์ ๑๐๐
๑๔. ทพญ.สุกัญญา สวี่ ๑,๐๐๐
๕. ผู้ร่วมฟังธรรมสมาคม ๙,๘๔๐
๑๕. เงินบริจาคจากฐณิชาฌ์รีสอร์ท ๒,๕๖๐
ราชกรีฑาสโมสร ๒๘ ก.พ. ๕๕
๒๖ ก.พ. ๕๕
๖. ผู้ฟังธรรมชมรมคนรู้ใจ ๒๘ ก.พ. ๕๕ ๕,๓๓๐
๑๖. คุณนงนภัส อัคคพงศ์พันธ์ ๘๐๐
๗. คุณศศินาฏ แสงแก้ว ๕๐๐
๑๗. คุณอรรัตน์ เชียรจรัสวงศ์ ๒๐๐
๘. คุณวิไลวรรณ อัศวชัย ๓๙๐
๑๘. ไม่ออกนาม ๑,๐๐๐
คุณสาวบุษบา แต้เจริญ
๑๙. คุณสุภาพ ทิพยทัศน์ ๕,๐๐๐
คุณวสันต์ แต้เจริญ
๒๐. คุณศศินาฏ แสงแก้ว ๑,๕๐๐
๙. รศ.ดร.สุวัฒนา ๑,๐๐๐
๒๑. คุณรุ่งทิวา ประเทศา ๑,๐๐๐
รศ.สุชาวดี เอี่ยมองพรรณ
๒๒. คุณวิไลวรรณ อัศวชัย ๕๐๐
คุณสาวบุษบา คุณวสันต์ แต้เจริญ
๒๓. เงินบริจาคจากฐณิชาฌ์รีสอร์ท ๑,๑๑๐
๓๖. พนักงาน บริษัท เอไอเอ ๘,๘๗๐
๔ มี.ค. ๕๕
๔ เม.ย. ๕๕
๒๔. ไม่ออกนาม ๘,๐๐๐
๓๗. คุณช่อพิภพ โอสถานุเคราะห์ ๓๐,๐๐๐
๒๕. คุณวันชืน่ คุณจินตนา ธรรมไพโรจน์ ๑,๐๐๐
๓๘. ผู้ฟังธรรมบ้านจิตสบาย ๔,๕๑๐
๒๖. คุณจุธาทิพย์ ๑,๐๐๐
๒๙ เม.ย. ๕๕
๒๗. ไม่ออกนาม ๑,๑๒๐
๓๙. ไม่ออกนาม ๒,๐๐๐
๒๘. คุณจีระภา เข็มทอง ๒,๐๐๐
๔๐. คุณสมบูรณ์ คุณศศิธร คุณปริญญ์ ๔,๐๐๐
๒๙. ไม่ออกนาม ๕๐๐
คุณปราชญ์ ศรีบุศกรณ์
๓๐. ไม่ออกนาม ๒๐๐
๔๑. ทพ.ไพทูรย์ จินดาโรจนกุล ๒๐,๐๐๐
๓๑. ครอบครัวพุทธวิบุลย์ ๕๐๐
๑๖๘,๓๐๕
๓๒. ผู้ฟังธรรมบ้านจิตสบาย ๕,๒๙๕
๒๕ มี.ค. ๕๕
๓๓. คุณรัชนีวรรณ อุทัยศรี ๕,๐๐๐
๓๔. ผู้เข้าปฏิบัติธรรมมูลนิธิมายาโคตมี ๑๐,๑๒๐
๒๖-๒๘ มี.ค. ๕๕
๓๕. ผู้ฟังธรรมชมรมคนรู้ใจ ๓,๐๗๐
๒๗ มี.ค. ๕๕
ประวัติ
อาจารย์สุภีร์ ทุมทอง
วันเดือนปีเกิด
- ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๑๕
- บ้านหนองฮะ ต. หนองฮะ อ. สำโรงทาบ จ. สุรินทร์
การศึกษา
- เปรียญธรรม ๔ ประโยค
- ประกาศนียบัตรบาลีใหญ่ วัดท่ามะโอ จ. ลำปาง
- ปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
- ปริญญาโท พุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาพระพุทธศาสนา
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
งานปัจจุบัน (พ.ศ. ๒๕๕๕)
- วิปัสสนาจารย์ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยฯ
- อาจารย์สอนพิเศษวิชาพระอภิธรรมปิฎก และวิชาปรมัตถธรรม
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส จ. นครปฐม
- บรรยายธรรมะตามสถานที่ต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และ
ต่างจังหวัด
- เผยแผ่ธรรมะทางเว็บไซด์ www.ajsupee.com