Professional Documents
Culture Documents
เอกสารประกอบการสอน - pain - 2557 มีชื่ออาจารย์ผู้สอนครบ PDF
เอกสารประกอบการสอน - pain - 2557 มีชื่ออาจารย์ผู้สอนครบ PDF
แผนการสอน
รายวิชา วิสัญญีวิทยา รหัส ศรวส 501
เรื่อง Pain
ผู้เรียน นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 5 จานวน 244 คน
แบ่งการเรียนการสอนเป็นกลุ่มย่อย 24 กลุ่ม กลุ่มละ 10 - 11 คน
ผู้สอน รศ.พญ.วรรณา ศรีโรจนกุล ผศ.พญ.เพ็ญแข เกตุมาน
รศ.พญ.วิมลลักษณ์ สนั่นศิลป์ อ.พญ.ปราณี รัชตามุขยนันต์
อจ.นพ.ปราโมทย์ เอื้อโสภณ ผศ.พญ.สหัสา หมั่นดี
วันเวลา วันที่ 18 มี.ค., วันที่ 3 เม.ย.,วันที่ 22 เม.ย. และ วันที่ 7 พ.ค. 57 โดยอ.วรรณา
วันที่ 20 พ.ค., วันที่ 3 มิ.ย.,วันที่ 17 มิ.ย. และ วันที่ 1 ก.ค. 57 โดยอ.เพ็ญแข
วันที่ 17 ก.ค., วันที่ 5 ส.ค., วันที่ 19 ส.ค. และ วันที่ 2 ก.ย. 57 โดยอ.วิมลลักษณ์
วันที่ 29 ก.ย., วันที7่ ต.ค., วันที่ 21 ต.ค. และ วันที่ 4 พ.ย. 57 โดยอ.ปราโมทย์
วันที่ 18 พ.ย., วันที่ 2 ธ.ค., วันที่ 16 ธ.ค. และ วันที่ 30 ธ.ค. 57 โดยอ.สหัสา
วันที่ 13 ม.ค., วันที่ 27 ม.ค., วันที่ 10 ก.พ. และวันที่ 24 ก.พ. 57 โดยอ.ปราณี
เวลา 14.00 – 16.00 น.
(อาจมีการเปลี่ยนแปลงวันหรือเวลาในบางวัน)
สถานที่ ห้องเรียนนักศึกษาแพทย์ อาคารสยามินทร์ ชั้น 8
วัตถุประสงค์ เมื่อสิ้นสุดการสอน ผู้เรียนจะสามารถ
1. บอกความแตกต่างของความปวด ได้แก่ acute, chronic และ cancer pain; nociceptive และ
neuropathic pain
2. รู้จักแนวทางในการระงับปวดแต่ละชนิด
3. เลือกใช้วิธีระงับปวดหลังผ่าตัดได้
4. รู้จักศัพท์เกี่ยวกับความปวด
5. รู้จักยาแก้ปวดต่างๆ
เนื้อหาและวิธีการสอน
1. แจกแบบทดสอบการเรียนและเอกสารประกอบการสอนในวันเปิดเรียนสัปดาห์แรก
2. ให้นักศึกษาจัดกลุ่มทาแบบทดสอบและเตรียมการนาเสนอในวันที่ทาการเรียนการสอน
3. เริ่มบรรยายโดยกล่าวถึงจุดประสงค์ และคาจากัดความของ ‚Pain‛
4. กล่าวถึงชนิดและความแตกต่างของความปวด
5. การประเมินความปวด
6. ให้นักศึกษาทากิจกรรม 1 และอาจารย์สอนเสริม
7. ให้นักศึกษาแต่ละกลุ่มนาเสนอโจทย์ทั้ง 4 ข้อ
8. อาจารย์สอนเสริมสาระสาคัญของหลักการระงับปวดหลังผ่าตัดตามโจทย์ที่กาหนดไว้
a. Intraspinal opioids วิธีทา การสั่งการรักษาและการแก้ไขข้อแทรกซ้อน
b. การใช้ opioids and nonopioid drugs
c. การใช้ PCA
สื่อการสอน: Power point presentation; เอกสารคาสอน
การประเมินผล: ตอบแบบบันทึกประจาตัว; MEQ
2
Pain
Outline
1. Introduction and definition
2. Type of pain
3. Pain assessment
4. Tools for assessing pain
5. Approaches to post operative pain
5.1 Pharmacological approach: opioid, nonopioid
5.2 Intraspinal opioid
5.3 Patient-controlled analgesia (PCA)
5.4 Regional anesthesia
5.4.1 Local infiltration
5.4.2 Peripheral nerve block
6. Approaches to chronic pain
7. Approaches to cancer pain
8. Type of analgesics
………………………………………….
ศัพท์เกี่ยวกับความปวดที่ควรรู้
Allodynia: ความปวดที่เกิดขึ้นจากการกระตุ้นโดยสิ่งที่ไม่ทาให้เกิดความปวดในภาวะปกติ
Analgesia: ไม่มีความปวด เมื่อมีการกระตุ้นโดยสิ่งที่ทาให้เกิดความปวดในภาวะปกติ
Anesthesia dolorosa: มีความปวดเกิดขึ้นในบริเวณที่ได้รับการให้ยาระงับความรู้สึก
Causalgia: กลุ่มอาการของผู้ป่วยที่มีความปวดหลายรูปแบบเกิดขึ้นภายหลังจากการ
บาดเจ็บของเส้นประสาทหรือกลุ่มประสาท
Dysesthesia: ความรู้สึกที่ผิดปกติเกิดขึ้นได้เองหรือเกิดจากการกระตุ้น (an unpleasant
abnormal sensation, whether spontaneous or evoked)
Hyperalgesia: การตอบสนองที่เพิ่มขึ้นหรือรุนแรงกว่าปกติเมื่อได้รับการกระตุ้นในระดับปกติ
Hyperesthesia: ความรู้สึกที่ไวต่อการกระตุ้น (increased sensitivity to stimulation)
Hypoesthesia: ความรู้สึกที่เฉื่อยชาต่อการกระตุ้น (diminished sensitivity to stimulation)
Neuralgia: ความปวดที่กระจายตามเส้นประสาทหรือกลุ่มประสาท
Nociceptor: receptor ที่ตอบสนองต่อการกระตุ้นที่เจ็บปวด (noxious stimuli)
Paresthesia: an abnormal sensation, whether spontaneous or evoked
3
บทนา: นิยาม
ความปวด หรือ Pain คือ ประสบการณ์ที่ไม่สบายทั้งทางด้านความรู้สึกและอารมณ์ ซึ่งเกิด
ร่วมกับการทาลายหรือมีศักยภาพที่จะทาลายเนื้อเยื่อร่างกาย หรือถูกบรรยายประหนึ่งว่ามีการทาลาย
ของเนื้อเยื่อนั้น (สิระ บุณยะรัตเวช)
Pain is an unpleasant sensory or emotional experience associated with actual or
potential tissue damage or described in term of such damage. (IASP)
Type of pain
ความปวดที่เป็นสื่อนาผู้ป่วยมาพบแพทย์นั้นมีมากมายหลายรูปแบบ ในทางคลินิกแบ่งชนิด
ของความปวดตามกลไกการเกิด ระยะเวลาหรือเส้นประสาทที่นาความรู้สึกได้ดังนี้
แบ่งตามระยะเวลาที่เกิดได้เป็น
1. Acute pain มากกว่า ร้อยละ 80 ของความปวดทั้งหมดเป็นความปวดแบบเฉียบพลัน ซึ่ง
จะนาผู้ป่วยมาพบแพทย์ได้รวดเร็ว ระยะเวลาการดาเนินของโรคจึงไม่ค่อยเนิ่นนานเกิน 6 เดือน acute
pain ไม่ค่อยก่อให้เกิดปัญหาในทางการรักษามากนัก เนื่องจากการวินิจฉัยแยกโรคหรือหาสาเหตุของ
การเกิดโรคนั้นชัดเจนไม่ยุ่งยากสลับซับซ้อน อาจมีบ้างเป็นส่วนน้อยที่ให้การวินิจฉัยแยกจาก chronic
pain ได้ยาก
2. Chronic pain ความปวดแบบเรื้อรัง เป็นความปวดชนิดที่มีความสาคัญมากในทุก
ประเทศทั่วโลก ถึงแม้ว่าจะพบส่วนน้อยเพียงร้อยละ 15-20 ของความปวดทั้งหมดก็ตาม แต่ก็เป็นโรคที่
ก่อปัญหาอย่างมากมายทั้งกับแพทย์ผู้รักษา ตัวผู้ป่วยเอง ครอบครัว ตลอดจนสังคมที่อยู่รอบข้าง
เพราะความปวดเรื้อรังเหล่านี้กลายเป็นสาเหตุของการหยุดงาน ตกงาน การหย่อนหรือสูญเสีย
สมรรถภาพในการทางาน ทั้งนี้เนื่องจากความปวดของผู้ป่วยจะยังคงมีอยู่แม้ว่าการบาดเจ็บหรือการ
อักเสบที่เกิดขึ้นมาได้หายเป็นปกติแล้วก็ตามซึ่งทาให้ยากต่อการรักษา
3. Cancer pain หมายถึงความปวดที่เกิดจากโรคมะเร็ง ซึ่งมีหลายชนิดที่ก่อให้เกิด
ความปวดอย่างทรมานในระยะบั้นปลายของชีวิต เช่น มะเร็งตับ มะเร็งของกระดูก มะเร็งปากมดลูก
รวมถึงมะเร็งอีกหลายชนิดที่แพร่กระจายไปสู่กระดูกได้ สมัยก่อน cancer pain ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของ
chronic pain แต่เนื่องจากสาเหตุของการเกิดความปวดและพยาธิสภาพของร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป
จะต่างจาก chronic pain ชนิดอื่นๆ มาก ในปัจจุบันจึงแยก cancer pain ออกมาเป็นอีกชนิดหนึ่งซึ่งมี
วิธีการดูแลรักษาต่างกับ chronic pain ชัดเจน
แบ่งตามกลไกการเกิดความปวดได้เป็น
1. Nociceptive pain คือความปวดที่เกิดจากการบาดเจ็บโดยตรง เช่น มีดบาด หรือเกิดจาก
การทาลายของเนื้อเยื่อ เช่น การติดเชื้อ การเกิดมะเร็ง เป็นต้น กลไกการเกิดความปวดชนิดนี้ คือ มีการ
กระตุ้น nociceptor ตามอวัยวะรับความรู้สึกส่วนต่างๆ ของร่างกาย (รูปที่ 1) จึงเรียกความปวดชนิดนี้ว่า
nociceptive pain ซึ่งส่วนใหญ่เป็นความปวดชนิดเฉียบพลันที่นาผู้ป่วยมาพบแพทย์ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
จึงทาให้สามารถตรวจพบรอยโรคหรือการทาลายของเนื้อเยื่อนั้นได้
4
แบ่งตามลักษณะของเส้นประสาทที่นาความรู้สึกคือ
1. Autonomic pain คือ ความปวดของอวัยวะที่นาความรู้สึกโดยประสาทอัตโนมัติ ซึ่ง
ส่วนมากเป็น sympathetic fiber ได้แก่ acute visceral pain, labor pain และ acute medical
condition เช่น myocardial infarction เป็นต้น
2. Somatic pain คือ ความปวดของอวัยวะที่นาความรู้สึกโดยประสาท somatic nerve เช่น
posttraumatic pain, postoperative pain เป็นต้น
การแบ่งชนิดของความปวดตามเส้นประสาทที่นาความรู้สึกนีมี้ ประโยชน์ในการรักษาหรือ ระงับ
ความปวดโดยการฉีดยาชาเฉพาะที่แบบsympathetic block หรือ peripheral nerve block
5
ง่วงซึม
ผลข้างเคียง
‘Analgesic corridor’
MEAC
ปวด
0 4 8 12 16 20 24 ชั่วโมง
รูปที่ 3 Analgesic corridor และ Minimum effective analgesic concentration (MEAC)
ง่วงซึม
ผลข้างเคียง
‘Analgesic corridor’
ปวด
0 4 8 12 16 20 24ชั่วโมง
รูปที่ 4 การฉีดยา opioid เข้ากล้าม แบบ intermittent
ง่วงซึม
ผลข้างเคียง
‘Analgesic corridor’
ปวด
0 4 8 12 16 20 24 ชั่วโมง
รูปที่ 5 การฉีดยา opioids ทางหลอดเลือดดาแบบ intermittent
ง่วงซึม
ผลข้างเคียง
‘Analgesic corridor’
ปวด
0 4 8 12 16 20 24 ชั่วโมง
รูปที่ 6 การฉีดยา opioids ทางหลอดเลือดดาแบบต่อเนื่อง
( = ระดับยาที่เหมาะสม, = ระดับยาที่สูงเกินไป)
ง่วงซึม
ผลข้างเคียง
‘Analgesic corridor’
ปวด
0 4 8 12 16 20 24 ชั่วโมง
รูปที่ 7 แสดงระดับยาในเลือดเมื่อบริหารโดยวิธี Patient-controlled analgesia (PCA)
2. Anesthetic approach
2.1 Intraspinal opioid คือ การใส่ยากลุ่ม opioid เข้าไปใน intrathecal หรือ epidural space
ซึ่งพบว่า opioid สามารถเข้าไปออกฤทธิ์ยับยั้งการส่งผ่านของ pain impulse ที่ dorsal horn โดยไป
จับกับ receptor ใน dorsal horn ทาให้ใช้ยาขนาดน้อย สามารถออกฤทธิ์ระงับปวดได้ดีกว่าและ
นานกว่าการบริหารโดยวิธีอื่น
ข้อดี คือ ระงับปวดได้ดีมากเมื่อเลือกใช้อย่างเหมาะสม ได้ผลดีต่ออาการปวดขณะอยู่นิ่ง
มากกว่าเมื่อมีการขยับเคลื่อนไหวร่างกาย ข้อเสีย คือ มีความเสี่ยงต่อการกดการหายใจ
(เช่นเดียวกับการให้ opioids ทาง routes อื่นๆ) แต่อาจเกิดค่อนข้างช้า ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด
การใช้ infusion pump ก็ต้องมีเครื่องมือเพิ่มเติมและต้องมีการอบรมบุคลากร
ขนาดของยาที่ใช้ ระยะเวลาเริ่มออกฤทธิ์ และระยะเวลาการออกฤทธิ์จะแตกต่างกันตามชนิด
ของยาที่ใช้ และวิธีการบริหาร ดูตามตารางที่ 2 และข้อแตกต่างระหว่างการฉีด intraspinal opioid กับ
local anesthetic แสดงตามตารางที่ 3
History taking
Physical examination
Establishment of diagnosis
Planning of treatment
Follow up
Control of treatment
Planning of treatment
ในการรักษาผู้ป่วยปวดเรื้อรังนั้น แพทย์จะต้องให้เวลาและความอดทนกับผู้ป่วยมาก
พอสมควร เพื่อประโยชน์สูงสุดของการรักษา ดังนั้น จึงต้องมีแผนการรักษาอย่างชัดเจนซึ่งได้แก่
- การอธิบายชนิดของโรคให้ผู้ป่วยรับทราบอย่างถูกต้อง
- ให้ผู้ป่วยเข้าใจวิธีการรักษาและการประเมินผลทุกขั้นตอน
- ให้คาแนะนาการใช้ยาอย่างถูกต้อง
- ติดตามอาการและผลข้างเคียงของการรักษา
- ป้องกันการใช้ยาแก้ปวดอย่างผิดวิธี
15
2. Chronic Pain
2.1 Chronic pain from cancer progression พบได้เกือบร้อบละ 90 ของผู้ป่วยที่มีการ
ลุกลามหรือแพร่กระจายของโรค ความปวดจะเรื้อรังและรุนแรง เกิดความทุกข์ทรมานมาก มักพบ
ร่วมกับอาการซึมเศร้า ท้อแท้ สิ้นหวัง
2.2 Chronic pain associated with cancer therapy ที่เป็นปัญหามากๆ มักจะเป็น
neuropathic pain เช่น ภาวะ post-mastectomy pain, post-amputation pain, phantom limb
pain, post-thoracotomy pain, post-AP resection pain บุคลิกภาพและสุขภาพจิตของผู้ป่วยเป็น
ปัจจัยส่งเสริม ที่สาคัญของการ เกิดปัญหาเรื้อรัง หรือ เกิด การยอมรับ ที่นาไปสู่ความร่วมมือและการ
ควบคุมอาการปวดด้วยตนเอง วิธีการรักษา ให้รักษาที่สาเหตุร่วมกับการรักษา ตามอาการ ยาในกลุ่ม
anticonvulsants และ tricyclic antidepressants มีบทบาทมากสาหรับ neuropathic pain และควร
ช่วยเหลือให้ครอบครัวยอมรับและประคับประคองจิตใจของผู้ป่วยด้วย
2.3 Preexisting chronic pain and cancer related pain พบในผู้ป่วยที่มีปัญหาความปวด
เรื้อรังจากสาเหตุอื่นอยู่เดิม เช่น ปวดศีรษะเรื้อรัง ปวดหลัง หรือปวดประสาท trigeminal เป็นต้น
วิธีการรักษาและพยากรณ์โรค คล้ายกับผู้ป่วยในกลุ่ม 2.2
2.4 Drug addiction and cancer related pain พบในผู้ป่วยที่มีปัญหาติดยา การประเมิน
ต้องกระทาโดยผู้เชี่ยวชาญ ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับการรักษาจนเป็นปกติแล้ว ต้องให้การดูแลต่อด้วย
ความระมัดระวัง เพราะปัญหาความเครียด ความปวด ปัญหาจิตใจ เศรษฐกิจและสังคม อาจเป็น
สาเหตุให้กลับไปติดยาได้ใหม่
2.5 Dying patients with pain เป้าหมายการดูแลรักษาผู้ป่วยแตกต่างจากกลุ่มอื่นๆ
เนื่องจากสุขภาพร่างกายจะทรุดลงไปกว่าเดิม การควบคุม ความ ปวดอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็น
สิ่งจาเป็น opioids จึงมีบทบาทมาก การดูแลให้ผู้ป่วยได้รับความสุขสบายปราศจากความปวด
เพื่อให้จากไปอย่างสงบถือว่าสาคัญที่สุดในระยะนี้
16
ยาที่มีบทบาทในการระงับปวดจากมะเร็ง ได้แก่
1.1 Opioids ได้แก่ codeine, morphine, methadone, fentanyl, buprenorphine
1.2 ยาที่ใช้รักษา neuropathic pain ได้แก่ gabapentin, pregabalin, clonazepam, sodium
valproate, carbamazepine, phenytoin, amitriptyline, mexiletine, venlafaxine
1.3 Anti-inflammatory ได้แก่ NSAIDs, COX-2 inhibitors, steroid
1.4 Anxiolytics เช่น lorazepam, clonazepam
1.5 Antidepressants เช่น amitriptyline, nortriptyline, fluoxetine, sertaline เป็นต้น
1.6 ยาอื่น ๆ เช่น haloperidol เป็นต้น
17
แผนภูมิที่ 1 แสดงขั้นตอนการรักษาความปวดจากมะเร็ง
ประเมินความปวด
- ความรุนแรง
- ระยะเวลา
- สาเหตุ
ประเมินสภาพความแข็งแรงของผู้ป่วย
- อายุ
- โภชนาการ
- organic disease เช่น ความดันสูง, เบาหวาน, โรคตับ, โรคไต ฯลฯ
3-Step ladder
Step 1: Primary & Pharmacological treatment
Drug therapy
Opioids เช่น morphine, methadone, fentanyl, tramadol,
buprenorphine
Neuropathic medications เช่น gabapentin, pregabalin,
clonazepam, carbamazepine, phenytoin, sodium valproate,
amitriptyline, mexiletine, venlafaxine
Anti-inflammatory medications เช่น NSAIDs, coxibs, steroid
Antidepressants เช่น amitriptyline, nortriptyline, sertaline
ยาอื่น ๆ เช่น haloperidol
Step 2: Alternate Routes for opioid therapy
Systemic
Intravenous
Subcutaneous infusion
Transdermal
Step 3: Regional Nerve Block
Celiac plexus block
Splanchnic nerve block
Paravertebral nerve block
Stellate ganglion block
T1 sympathetic ganglion block
Lumbar sympathetic plexus block
18
การป้องกันอาการข้างเคียง
1. อาการท้องผูก เมื่อมีการสั่ง morphine ให้รับประทาน ควรสั่งยาระบายเพื่อป้ องกันอาการ
ท้องผูกร่วมด้วยเสมอ ขนาดและชนิดของยาระบายให้เลือกตามลักษณะการทางานของลาไส้ใหญ่ของ
ผู้ป่วย
2. คลื่นไส้อาเจียน อาการคลื่นไส้อาเจียนที่เกิดภายหลังรับประทาน morphine 5-10 นาที
มักเกิดจากส่วนผสมของยามากกว่าด้วยตัวยา morphine ถ้ายังมีอาการคลื่นไส้อาเจียนอยู่และคิดว่า
เกิดจาก morphine ควรให้ยา antiemetic บางแห่งนิยมสั่งยาต้านการอาเจียนแบบ p.r.n. เมื่อเริ่มให้
morphine และให้อย่างสม่าเสมอเมื่อพบว่าอาการอาเจียนเป็นปัญหาของผู้ป่วย การสั่งยาต้านการ
อาเจียนขึ้นกับสาเหตุ ถ้ามี persistent nausea มักมีกลไกจาก chemoreceptor trigger zone (CTZ)
บางรายเป็นเพราะ gastric stasis รายที่อาการอาเจียนเริ่มจากการเคลื่อนไหวศีรษะมักมีกลไกจาก
true vomiting center (TVC) แนะนาให้แก้ปัญหาตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้
1. Exclude early vomiting syndrome ซึ่งเกิดจาก additives
2. Exclude constipation
3. Exclude สาเหตุของคลื่นไส้อาเจียนอื่น ที่ไม่ใช่จากยา morphine
4. ลองให้ prochlorperazine ฉีด, เหน็บทางทวาร, หรือรับประทาน
5. ถ้าไม่ได้ผล จึงใช้ metoclopramide ฉีด หรือรับประทาน
6. ถ้าไม่ดีขึ้น อาจลองให้ prochlorperazine และ metoclopramide ร่วมกัน
7. ถ้ายังไม่ได้ผล ให้ ใช้ ondansetron 0.05 – 0.15 มก./กก. IV ฉีดช้าๆ ภายใน 2-5 นาที (ขนาด
บรรจุ 4, 8 มก./amp) หรือลองใช้ haloperidol (หรือ + phenergan) 1-2 มก. q 8-12 ชม.
8. ถ้าไม่ได้ผล อาจเปลี่ยนไปเป็นยา morphine continuous subcutaneous infusion
21
เหมาะสมประมาณ 50-75 มก. ต่อครั้ง ไม่ควรให้เกิน 400 มก.ต่อวัน ถ้าให้ tramadol ในขนาดสูงกว่า
ความปวดที่มีอยู่จะพบอาการคลื่นไส้เพิ่มขึ้นได้
การดูดซึม ยานี้ดูดซึมได้ถึง ร้อยละ 85 ในทางเดินอาหาร มี bioavailability 75% สามารถ
รับประทานร่วมกับอาหารได้ ยาขับถ่ายทางไต ร้อยละ 90 มีครึ่งชีวิตประมาณ 6.3 ชั่วโมง แต่ active
metabolite จะมีครึ่งชีวิตยาวกว่า 7.4 ชั่วโมง จึงควรบริหารยาไม่เร็วกว่าทุก 6 ชั่วโมง มีระยะเวลาเริ่ม
ออกฤทธิ์ค่อนข้างช้า จึงมีการนามาผสมกับ paracetamol ในส่วนผสม paracetamol 325 มก. +
tramadol 37.5 มก. เพื่อให้ได้ผลระงับปวดที่เร็วขึ้น จาก paracetamol และระยะเวลาการออกฤทธิ์
นานขึ้นจาก tramadol
1.1.2 Strong opioids ได้แก่ morphine, pethidine, fentanyl, และ methadone
1.2 Antagonist drug หมายถึงยาที่จับกับ opioid receptor ได้แต่ไม่กระตุ้นให้ receptor
นั้นตอบสนองต่อการกระตุ้นแต่อย่างไร และยังมีฤทธิ์ยับยั้งการกระตุ้นของ agonist drug ที่ , kappa
และ delta receptor ด้วย ยาในกลุ่มนี้ได้แก่ naloxone
1.3 Partial agonist drug หมายถึง ยาที่จับกับ opioid receptor ได้และกระตุ้นให้เกิด
การตอบสนองของ receptor นั้นน้อยกว่า agonist drug และยาบางชนิดอาจกระตุ้นให้เกิดผลแบบมี
เพดานจากัดด้วย เช่น buprenorphine
1.4 Agonist-antagonist drug หมายถึง ยาที่จับและกระตุ้น opioid receptor ชนิดหนึ่ง
แต่ขณะเดียวกันมีฤทธิ์ยับยั้งผลการกระตุ้นของยากลุ่ม agonist ที่ opioid receptor อีกชนิดหนึ่ง เช่น
nalbuphine, pentazocine
2. Nonopioid drug หรือ non-narcotic drugs คือยาแก้ปวดชนิดที่ไม่เสพติด ยาในกลุ่มนี้มี
คุณสมบัติเป็นยาลดไข้แก้ปวด หรือมีฤทธิ์ต้านการอักเสบจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า nonsteroid anti-
inflammatory drugs หรือ NSAIDs
NSAIDs เป็นยาที่ออกฤทธิ์ด้วยการยับยั้งการทางานของ cyclo-oxygenase enzyme COX-1
และ COX-2 โดย enzyme COX-1 มีอยู่ในร่างกายโดยมีหน้าที่ควบคุมดูแลการทางานปกติของ
ร่างกาย เปรียบเสมือนเป็นแม่บ้าน (housekeeper) ที่มีงานหลัก คือ ทาให้เกล็ดเลือดจับกลุ่มกัน เพื่อ
ป้องกันการมีเลือดออกผิดปกติ ควบคุมการขับน้าและโซเดียม ควบคุมการกรองของไต และเพิ่มการ
หลั่งเยื่อเมือกในกระเพาะอาหาร โดยผ่านทาง enzyme ต่างๆ ได้แก่ thromboxane A2,
prostaglandin E2 และ prostaglandin I2 ตามลาดับ ส่วน enzyme COX-2 จะมีการหลั่งออกมา เมื่อ
มีการอักเสบหรือ มีการทาลายของเนื้อเยื่อ (Inflammatory stimulation) เกิดขึ้น ซึ่ง จะพบได้สูงกว่า
ภาวะปกติ 10-80 เท่า COX-2 นี้ ถูกเรียกเป็น inducible COX เปลี่ยน arachidonic acid ให้เป็น
prostaglandin ซึ่งเป็น sensitizing substance ที่ทาให้เกิดความปวดเมื่อมี inflammation หรือ การ
ทาลายของเซลล์เกิดขึ้น
23
ผลข้างเคียงของยาแก้ปวดและการแก้ไข
ยากลุ่ม opioid มีผลข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่
1. อาการท้องผูก ในผู้ป่วยที่ได้รับยาแก้ปวดกลุ่ม opioid เป็นเวลานาน ควรจะได้รับการดูแล
เอาใจใส่ถามไถ่ถึงการทางานของระบบทางเดินอาหาร ควรแนะนาให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีกาก
ใย เช่น ผักผลไม้ อาหารที่มีส่วนผสมของข้าวสาลี ขนมปังข้าวสาลี ยาระบายอย่างอ่อนหรือยาที่ช่วยทา
ให้อุจจาระนุ่ม เช่น metamucil หรือ senokot ให้รับประทานก่อนนอน 1-2 เม็ดทุกวัน ในกรณีจาเป็น
อาจจะต้องพิจารณาให้ยาเหน็บหรือสวนอุจจาระถ้าผู้ป่วยมีอาการท้องผูกมาก
2. คลื่นไส้ พบได้ในระยะแรกที่ได้รับยา แต่จะหายไปหรือลดลงเมื่อรับประทานไปเป็นเวลา
มากกว่า 2-3 สัปดาห์ ยา ต้านการอาเจียน จึงเป็นสิ่งจาเป็นที่ต้องให้ควบคู่ไปกับการบริ หารยาแก้ปวด
ที่ใช้บ่อยคือ metoclopramide, scopolamine patch, droperidol และ ondansetron
3. ง่วงซึม อาการนี้คล้ายกับอาการคลื่นไส้ที่ พบในระยะแรกที่เริ่มรับประทานยา ถ้าได้เป็น
เวลานาน โดยขนาดยาไม่เพิ่มขึ้น อาการง่วงซึมจะลดลงเอง แต่อย่างไรก็ตาม ในการบริหารยา opioid
ควรดู sedation score เพื่อตรวจสอบระดับความรู้สึกตัวและการง่วงซึมของผู้ป่วยก่อนทุกครั้ง
4. การกดการหายใจ เนื่องจากยากลุ่ม opioid มีฤทธิ์กดศูนย์ควบคุมการหายใจ แต่ฤทธิ์นี้จะ
สัมพันธ์กับขนาดของยาที่ได้รับ ถ้าผู้ป่วยได้รับยาในขนาดปกติที่สามารถควบคุมอยู่ในระดับ
analgesic corridor ได้ จะไม่ปรากฏผลข้างเคียงนี้ ยกเว้นในผู้ป่วยเด็กและสูงอายุจะมีความต้องการ
ยาแก้ปวดกลุ่ม opioid น้อยกว่าคนหนุ่มสาว จึงต้องให้ในขนาดที่น้อยลง ถ้าพบอาการข้างเคียงนี้
ผู้ป่วยจะมีอัตราการหายใจช้าอาจจะลดลงถึง 8 ครั้งต่อนาที การแก้ไขสามารถกระทาโดยการฉีด
25
naloxone ไปแก้ฤทธิ์ได้ ขนาดที่ใช้คือ 1-4 มคก./กก. ซ้าได้ทุก 2-3 นาที และพิจารณา ให้ 3-5 มคก./
กก. continuous infusion จนกว่าจะหมดฤทธิ์กดการหายใจ
การประเมินการกดการหายใจ
เกณฑ์การประเมินการกดการหายใจ ใช้คะแนนความง่วงซึม (sedation score, SS) อัตรา
การหายใจ (respiratory rate, RR) และความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (oxygen saturation)
โดยทั่วไป จะถือว่าเกิดการกดการหายใจ ที่ RR น้อยกว่า 8 ครั้ง/นาที แต่อาจเกิดการกดการ
หายใจก่อนที่ RR จะน้อยกว่า 8 ครั้ง/นาทีก็ได้ จึงต้องพิจารณาที่คุณภาพการหายใจมากกว่าจานวน
ครั้งของการหายใจ ส่วนการวัด oxygen saturation เพื่อตรวจการกดการหายใจ ก็อาจพบว่าไม่ลดต่า
ถ้ามีการให้ออกซิเจนให้สูดดมอยู่ ทาให้ตรวจพบได้ช้าแม้เริ่มมีการกดการหายใจเกิดขึ้นแล้ว
เราจึงนิยมใช้คะแนนง่วงซึมเป็นตัวชี้วัดการกดการหายใจ ซึ่งมีความไวกว่าการลดลงของอัตรา
การหายใจ และการลดลงของ oxygen saturation ซึ่งจะเกิดขึ้นช้ากว่า โดยแบ่ง sedation score เป็น
0-3 และ S
Sedation score (0-3, S)
0 = ไม่ง่วงเลย อาจนอนหลับตา แต่รู้ตัว ตื่นอยู่ พูดคุยโต้ตอบได้อย่างรวดเร็ว
1 = ง่วงเล็กน้อย นอนหลับๆ ตื่นๆ ปลุกตื่นง่าย ตอบคาถามได้อย่างรวดเร็ว
2 = ง่วงพอควร อาจหลับอยู่ แต่ปลุกตื่นง่าย ตอบคาถามได้ช้าหรือไม่ช้าก็ได้ แต่
พูดคุยได้สักครู่ผู้ป่วยจะอยากหลับมากกว่าคุยด้วย หรือมีอาการสัปหงกให้เห็น
3 = ง่วงอย่างมาก ปลุกตื่นยากมากหรือไม่ตื่น ไม่โต้ตอบ
S = ผู้ป่วยกาลังหลับพักผ่อน สามารถปลุกตื่นได้ไม่ยาก ซึ่งแยกให้ได้จากการง่วงซึม
มาก (sedation score 3) โดยการหลับปกติ (sedation score S) จะตื่นได้ง่ายเมื่อมีสิ่งกระตุ้น เช่น
ผู้ป่วยมีการตอบสนอง เช่นหันมามองเมื่อถูกสัมผัสเบาๆ
เอกสารอ้างอิง
1. Beaulieu P, Lussier D, Porreca F, Dickenson AH, editors. Pharmacology of pain. Seattle:
IASP Press; 2010.
2. Buvanendran A, Kroin JS. Multimodal analgesia for controlling acute postoperative pain.
Current opinion in Anesthesiology 2009; 22: 588-593.
3. White PF, Kehlet H. Improving postoperative pain management. What are the unsolved
issues? Anesthesiology 2010;112:222-5.
4. Gehling M, Tyba M. Risk and side effects of intrathecal morphine combined with spinal
anesthesia. Anesthesia 2009;64:643-51.
5. Liu SS, Wu CL. Effect of postoperative analgesia on major postoperative complications: A
systematic update of the evidence. Anesth Analg 2007;104:689-702.
6. Macintyre P, Ready LB. Pharmacology of opioids. In: Macintyre P, Ready LB, editor.
Acute Pain Management. A practical guide. London: WB Saunders; 2001. p. 15-49.
7. Macintyre P, Ready LB. Routes of opioid administration. In: Macintyre P, Ready LB,
editor. Acute Pain Management. A practical Guide. London: WB Saunders; 2001. p. 61-
84.
8. Macintyre P, Ready LB. Epidural and intrathecal analgesia. In: Macintyre P, Ready LB,
editor. Acute Pain Management. A practical guide. London: WB Saunders; 2001. p. 118-
59.
9. Chrubasik J, Chrubasik S, Mather L, editors. Postoperative epidural opioids. Berlin:
Springer-Verlag; 1993.
10. Benzon HT, Raja SN, Rorsooh D, Mooly RE, Strichartz G, editors. Essential of pain
medicine and regional anesthesia. New York, Churchill Livingstone; 1999.
11. Abram SE, Haddox JD, editors. The pain clinic manual. 2nd ed. Philadelphia: Lippincott
Williams & Wilkins; 2000.
28