Professional Documents
Culture Documents
การปรับตัวและสุขภาพจิต
Nonglakshana waiprom
การปรับตัว
ความหมายของการปรับตัว
คุณภาพชีวต
ิ ทีด
่ ี
มาลม์ และจาไมสัน
• บุคคลจะปรับตัวได้ดีหรือไม่ขึ้นอยูก
่ ับการเรียนรู้ของ บุคคลโดยมีสภาพแวดล้อมและการเสริมแรงเป็น ตัวก าหนด บุคคลจะเรียนรู้วา่ พฤติกรรมใดท าแล้ว
ได้ผลดี (ได้รบ
ั รางวัล) บุคคลจะท าพฤติกรรมนั้นซ้ า อีกจนเกิดเป็นบุคลิกภาพและการปรับตัวของคน ๆ นั้น
สรุปการปรับตัว
• การทีบ
่ ุคคลสามารถสร้างหรือขัดเกลาพฤติกรรมให้เข้า กับแบบแผนของสังคมหรือสิง่ แวดล้อมทีเ่ ปลี่ยนแปลง ให้ สามารถบรรลุจุดมุ่งหมายทีต
่ ้องการ ท
าให้มีชีวิตที่เป็นสุข ทั้งกายและใจ ไม่เกิดผลเสียต่อตาเองและผู้อื่น
ความส าคัญของการปรับตัว
1. ช่วยบรรเทาความรู้สก
ึ คับข้องใจ ความขัดแย้ง ความกดดันและความเครียด
2. การรู้จักปรับตัวที่มีประสิทธิภาพจะช่วยลดปัญหา สุขภาพจิต
3. ช่วยให้มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี
4. ท าให้มีบุคลิกภาพที่ดี
สภาวะทีก
่ ่อให้เกิดการปรับตัว
1. สภาวะทางกายภาพ
2. สภาวะทางจิตวิทยา
เป็นการปรับตัวด้านจิตใจ (Adjustment)
ความคับข้องใจ (Frustration)
• สภาพอารมณ์หรือความรู้สก
ึ ที่ไม่พึงพอใจ ท าให้ไม่บรรลุ เป้าหมายทีต
่ ั้งไว้ เพราะบุคคลต้องพบกับอุปสรรค
• อุปสรรคอาจเกี่ยวข้องกับบุคคลโดยตรงหรือทางอ้อมก็ได้
• ความคับข้องใจจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่มา ผลักดันบุคคล
สาเหตุทท
ี่ าให้เกิดความคับข้องใจ
1. ตัวบุคคล
- ความบกพร่องทางกาย ทางสติปัญญา
- 2. สิ่งแวดล้อม
- ทางกายภาพและทางสังคม
ผลดีและผลเสียของความคับข้องใจ
• ผลดี
• ผลเสีย
ท าให้บุคคลเกิดอาการทางกายและทางจิตใจแปรปรวนไป
ความขัดแย้งในใจ (Conflict)
• แต่ถ้าบุคคลใดตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกอย่างไหนดีกว่ากัน แสดงว่าเขาเกิดสภาวะความขัดแย้งใจขึน
้ แล้ว
เลวิน (Lewin) แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ
1. ความขัดแย้งแบบรักทั้งคู่
(Approach-Approach Conflict)
อย่างนั้นพอๆ กัน
“รักพี่เสียดายน้อง
วันนี้อยากทานทั้งบะหมี่น้ าและข้าวมันไก่
แต่รต
ู้ ัวเองว่าสามารถทานได้เพียงอย่างเดียวเพราะเงินมีจ ากัด
2. ความขัดแย้งแบบเกลียดทัง้ คู่
(Avoidance-Avoidance Conflict)
จะท าวิจย
ั หรือสอบปากเปล่า
3. ความขัดแย้งแบบทั้งรักทัง้ เกลียด
(Approach-Avoidance Conflict)
อยากรับประทานพิซซ่าแต่กลัวอ้วน เป็นต้น
อยากเลี้ยงปลาแต่ก็ไม่อยากล้างตู้ปลา
4. ความขัดแย้งแบบทั้งชอบและไม่ชอบหลายอย่างปนกัน
“ท างานราชการ มีเกียรติและมั่นคงแต่รายได้ไม่สูงนัก
ความกดดัน (Pressure)
• สภาพการณ์ทบ
ี่ ังคับให้บุคคลจ าเป็นต้องกระท าสิ่งหนึ่งสิ่งใด ภายในเวลาจ ากัด
• มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมและการปรับตัวของบุคคล
นักศึกษาได้รับการคัดเลือกให้เข้าศึกษาต่อตามโควตานักกีฬา เมื่อ
เข้ามาศึกษาแล้วต้องตั้งใจเรียนให้ส าเร็จการศึกษาด้วย ใน ขณะเดียวกันต้องเป็นนักกีฬาที่ท าชื่อเสียงให้กบ
ั วิทยาลัยด้วย นักศึกษาจึงถูกกดดันทั้งจาก
สถานศึกษาและจากครอบครัวด้วย
สาเหตุของความกดดัน
2.1 การแข่งขัน
2.2 สภาพครอบครัว
ความเครียด (Stress)
• สภาวะการตอบสนองของบุคคลทั้งทางกายและจิตใจต่อสภาพที่เกิดขึน
้
• ยังไม่สามารถจัดการกับปัญหาเหล่านั้นได้
• ท าให้เกิดความตึงของร่างกายและจิตใจจนเกิดความเครียด
• ความเครียดนั้นเกิดขึ้นได้กบ
ั ทุกเพศ ทุกวัย ทุกสังคม โดยเฉพาสังคมใน เมืองใหญ่ๆ
องค์ประกอบของความเครียด
แบ่งเป็น 2 องค์ประกอบ
1. ด้านร่างกาย (Physiological Stress) เช่น เหงื่อแตก ปวดหัว วิงเวียน นอนมากไป หายใจติดขัด มือเท้าเย็น นอนไม่หลับ ปวดหลัง อาเจียน รับประทาน
ไม่ได้
ด้านอารมณ์ เช่น กลัว วิตกกังวล เศร้า โกรธ คับข้องใจ กัด ฟัน กัดเล็บ ดึงผม ไม่สนใจการแต่งกาย เปลี่ยนพฤติกรรมทางสังคมทันใด
สาเหตุทท
ี่ าให้เกิดความเครียด
สามารถแบ่งเป็น 3 ด้าน
ระดับของความเครียด
เทคนิคการจัดการความเครียด
3. การใช้จิตนาการ (Imagery)
4. การยืดกล้ามเนื้อ (Stretching)
6. ตั้งเป้าหมายใหม่ๆ ในชีวต
ิ
7. คิดเชิงบวกและการมองโลกในด้านดี
8. อย่าแก้ปัญหาด้วยแอลกอฮอลล์
9. พักผ่อนให้พอเพียงและเหมาะสม
10. หาเพือ
่ นแท้และปรึกษาผูเ้ ชี่ยวชาญ/ยอมรับตัวเอง
เมื่อมีความเครียดหรือมีปัญหาในชีวต
ิ มนุษย์จะเลือกวิธก
ี ารต่างๆ เพื่อ
กลวิธานในการป้องกันตนเอง
การปรับตัวของมนุษย์
แบ่งออกเป็น 2 ระดับ
1. การปรับตัวแบบรู้ตว
ั เป็นการปรับตัวโดยบุคคลพยายามแก้ปญ
ั หาที่สร้าง ความไม่สบายใจต่าง ๆ เพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้ด้วย ความสุข การแก้ปญ
ั หานัน
้
บุคคลอาจจะท าโดย
2. การปรับตัวแบบไม่รต
ู้ ัว
• เกิดขึ้นเองโดยที่บุคคลไม่รู้ตว
ั ว่าตนเองก าลังลดความทุกข์ใจ
• จึงหาทางออกด้วยวิธท
ี ี่เรียกว่า กลไกทางจิตหรือกลวิธีปอ
้ งกัน ทางจิตหรือกลวิธานป้องกันตนเอง (Defense Mechanism)
กลวิธานในการป้องกันตนเอง
1. แบบต่อสู้หรือเผชิญสถานการณ์
เขียนก าแพง
2. แบบหลีกเลี่ยงหรือหนีสถานการณ์
• การถอยหนี (Withdrawal)
• การเก็บกด (Repression)
• การถดถอย (Regression)
• การแยกตัวออกจากสังคม (Isolation)
3. แบบประนีประนอมสถานการณ์
• การแสดงความพิการทางกาย (Conversion)
• การกล่าวโทษบุคคลอื่นหรือสิ่งอื่น (Projection)
• การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง (Rationalization)
เหตุผลทีน
่ ามาใช้มักเป็นค่านิยมที่สังคมยอมรับ แบ่งออกเป็น 2 แบบ
• การลงโทษตนเอง (Introjection)
• การชอบอ้างว่าตนฉลาดรอบรู้ (Intellectualization
• การเลียนแบบ (Identification)
• การชดเชย (Substitution)
การทดแทน (Compensation)
• เป็นกลไกการแสวงหาสิ่งอื่นมาทดแทนสิ่งที่ตนชอบแต่ไม่ สามารถเป็นเจ้าของสิ่งนั้นได้
• เป็นการเปลี่ยนเป้าหมายไปจากเดิม
• โดยปกติสิ่งทีบ
่ ุคคลหามาทดแทนจะเป็นสิ่งทีบ
่ ุคคลนั้น ชอบ และมักจะมีลักษณะคล้ายกัน
การทดเทิด (Sublimation)
• เปลี่ยนความปรารถนาทีต
่ นชอบแต่สังคมไม่ยอมรับมา เป็นความปรารถนาทีต
่ นชอบและสังคมยอมรับ
• โดยยังอยู่บนพืน
้ ฐานเดิม
ข้อดี-ข้อเสีย ของการใช้กลวิธานป้องกันตนเอง
ข้อดี
– ผ่อนคลายสภาวะความทุกข์
– รู้สึกว่าตนเองยังมีศักดิ์ศรีและมีคุณค่า
– เสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพในทางสร้างสรรค์
ข้อเสีย
– ส่งผลเสียต่อบุคลิกภาพ
– ส่งผลต่อการท างานร่วมกับคนอื่น
สุขภาพจิต
( Mental Health)
สุขภาพจิตดีเปรียบได้กับต้นไม้
คนที่สข
ุ ภาพจิตดีจัดเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีค่าแก่สังคม
"วันสุขภาพจิตโลก"
ข่าวความขัดแย้งทางการเมือง"
"การรับน้องใหม่อย่างทารุณ" "เหตุการณ์ภาคใต้ทย
ี่ ังไม่สงบ" “ข่าวฆ่าตัวตาย.......มีให้เห็นทุกวัน ”
ความหมายของสุขภาพจิต
• องค์การอนามัยโลก (WHO)
ศ.ดร.ผ่องพรรณ เกิดพิทักษ์
ลักษณะของผู้ที่มีสข
ุ ภาพจิตไมดี
1. มีความผิดปกตดานพฤติกรรม เช่น ทะเลาะวิวาท เล่นการพนัน ติดยา
7. มีอาการทางประสาทและทางโรคจิต
ลักษณะของผู้ที่มีสข
ุ ภาพจิตดี
1. สามารถปรับตัวให้อยู่ในสังคมและวัฒนธรรมได้อย่างมีความสุข
2. รู้จักตอบสนองความต้องการที่จ าเป็นต่อชีวต
ิ และมีความห่วงใยผู้อื่น ตามสมควร
3. ไม่มองโลกในแง่ร้าย-ดีเกิน ไปจนท าให้ขาดความระวังภัย
5. สามารถท าร่วมงานกับผูอ
้ ื่นได้ รู้จักประนีประนอม
7. พอใจในเพศของตน ปฏิบต
ั ิทางเพศอันเหมาะสมแก่ตนและคูข
่ องตน
จ าแนกความผิดปกติของบุคลิกภาพ
• 1. ระบบ ICD (International Statistical Classification of Diseases and Related Health Problems) ของ WHO
• แบ่งความผิดปกติทั้งด้านกายภาพและจิตใจ
• 2. ระบบ DSM (Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders) สมาคมจิตเวชศาสตร์สหรัฐอเมริกาได้ก าหนดระบบ
• จ าแนกประเภทความผิดปกติทางจิตเท่านัน
้
การจ าแนกความผิดปกติดว
้ ยระบบ DSM-IV
1. จิตสรีระแปรปรวน(Psychophysiologic Disorders)
2. บุคลิกภาพผิดปกติ (Personality Disorders) 3.โรคประสาท (Neurotic Disorders) 4.โรคจิต (Psychosis)
1. จิตสรีระแปรปรวน
(Psychophysiologic Disorders)
2. บุคลิกภาพผิดปกติ
(Personality Disorder)
ตามลักษณะพฤติกรรม ดังนี้
• 1. กลุ่ม A : ความประหลาดหรือพฤติกรรมแปลกพิกล
(Odd or Eccentric Behavior)
1.1 บุคลิกภาพแบบหวาดระแวง
(Paranoid)
• มีความสงสัยแคลงใจอยู่เรื่อยๆ
• ไม่ไว้วางใจและอิจฉาคนอื่น
• มีความรู้สก
ึ ไวต่อการรับรู้มากเกินไปจนท าลายการ สร้างสัมพันธภาพ
• ไม่ค่อยแสดงออกทางอารมณ์
• หลีกเลี่ยงการคบหาสมาคมอย่างสนิทสนม
1.2 บุคลิกภาพแบบแยกตัวคล้ายจิตเภท
(Schizotypal)
• แยกตัวเด็ดขาดจากสังคม
• มีแนวโน้มที่จะยึดตนเองเป็นศูนย์กลางอย่างมาก
• ไม่ยอมรับความคิดเห็นบุคคลอื่น
1.3 บุคลิกภาพแบบแยกตัว
(Schizoid)
• มีลักษณะเย็นชาไร้อารมณ์ ไม่ยินดียินร้าย
• มักแยกตัวออกจากสังคม
• ไม่สามารถสร้างสัมพันธภาพที่ใกล้ชิดกับคนอืน
่
• ไม่มีอารมณ์ขัน
• แยกไม่ออกระหว่างความหวังดีกับการวิพากษ์วิจารณ์
(Dramatics/Emotional)
(Histrionic)
• การแสดงออกเหมือนเล่นละคร เพราะมีสีหน้าและท่าทางมากเกินไป
• มักต้องการให้ตนเองเป็นจุดสนใจของผู้อน
ื่
• ชอบท าเรือ
่ งเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
• ยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง
• ตามใจตนเองมากเกินไป
• มีแนวโน้มพึ่งพาคนอื่น ขาดทักษะในการสร้างสัมพันธภาพ
2.3 บุคลิกภาพแบบต่อต้านสังคม
(Antisocial)
• ไม่ค านึงถึงสิทธิและกฎเกณฑ์ทางสังคมหรือ ขนบธรรมเนียมประเพณีโดยไม่รู้สึกผิด
• มักจะเกิดช่วงก่อนวัยรุน
่ หงุดหงิด ก้าวร้าว
2.4 บุคลิกภาพแบบรักและหลง
(Narcissistic)
• รู้สึกว่าอยากโอ้อวดความส าคัญของตน
• ฝันเฟื่องกับความส าเร็จของตน
• ต้องการให้คนอื่นเอาใจเหมือนเด็ก
• ชอบถูกห้อมล้อม ไม่ค่อยสนใจผู้อื่น
• ไม่ค่อยเอื้ออาทรผู้อื่น มักจะหยิ่งยโส
• ถือตัวและขี้อิจฉา
ความกลัว (Anxiety/Fearful)
3.1 บุคลิกภาพแบบหลีกเลี่ยงสังคม (Avoidance)
• มีความรู้สก
ึ ว่าตนถูกกีดขวางจากสังคมหรือผูอ
้ ื่น
• ไม่ยอมรับตนเอง
3.2 บุคลิกภาพแบบพึ่งพาผู้อน
ื่
(Dependent)
• มีตัวตนในความคิดในทางทีไ
่ ม่ดี
• ขาดความมั่นใจ
• ยอมตามผู้อื่นเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความบาดหมาง
• ต้องการพึ่งพาผู้อื่นตลอดเวลา
• ไม่กล้าตัดสินใจ กลัวถูกทอดทิ้ง
(Obsessive-Compulsive)
• มักถูกครอบง าเกินไปจากกฎเกณฑ์ต้องการความสมบูรณ์แบบ
• เจ้าระเบียบ ไม่ค่อยมีความนุม
่ นวลอ่อนโยน
• หมกมุ่นกับรายละเอียด
• จ ากัดการแสดงออกตามสภาพอารมณ์ไม่ว่าจะเป็นความรัก
• ความอบอุน
่ หรือความรู้สก
ึ ผูอ
้ ื่น
ความวิปริตทางเพศและความเบี่ยงเบนทางเพศ
1. พฤติกรรมทางเพศที่ไม่สอดคล้องกับเพศของตน
1. "กะเทยแท้" บุคคลที่มีอวัยวะทั้งผูห
้ ญิงและผู้ชายอยู่ใน คนๆ เดียวกันหรือมีอวัยวะเพศแบบก่ ากึ่งบอกไม่ได้แน่ ว่าเป็นผู้หญิงหรือชาย มีทั้งอัณฑะและรังไข่อย่าง
ละครึ่ง
2. “กะเทยเทียม” บุคคลที่มอ
ี วัยวะเพศแบบครึ่งหญิงครึ่ง ชาย หรือบางอวัยวะเป็นหญิงบางอวัยวะเป็นชาย
ตัวอย่างกระเทยแท
(เป็ นคนไข้เดก
ทเจอต้ังแต่แรกเกด
ทพส
ูจน์โครโมโซมแล้ว
ข้น
ตอนพฒ
นาการของตวอ่อนในครรภ์ จะมีพฒ
นาการของ
อวย
วะส่วนน้
คลา
ยกน
ท้ง
อ่อนโต ข้น
ั
อวย
วะดง
กล่าว จึงจะเปลี่ยนรูปร่างไปเด่นชัดตามเพศของ
ตวเอ
http://www.2jfk.com/hermaphrodite.htm
ทวโลกเพียง 200 ราย
http://www.schau-thai.de/?p=1001
2. ลักเพศ (Transvestism)
• สาวประเภทสอง แต่งตัวหรือแสดงท่าทางเป็นเพศตรงข้ามตนเอง
• บางคนมีพฤติกรรมรักร่วมเพศ
• เช่น ชายทีแ
่ ต่งตัวเป็นหญิงหรือหญิงแต่งตัวเป็นชาย มีกิจกรรมทางเพศกับเพศ ตรงกันข้ามได้ตามปกติ แต่จะต้องอาศัยเครื่องแต่งกายของเพศตรงข้าม
กระตุ้น อารมณ์เพศ
• กะเทยโดยส่วนมากจะรักและชอบเพศเดียวกัน
• การแสดงความรักทางเพศระหว่างเพศเดียวกัน
• รักเพศเดียวกันถือเป็นรสนิยมทางเพศ
• ส าหรับเพศหญิงมีชื่อเฉพาะว่า Lesbian
• สาเหตุอาจเกิดจากการอบรมเลี้ยงดู
4. ปฏิเสธเพศ (Transsexualism)
• สาเหตุอาจเกิดจากความผิดปกติทางฮอร์โมนหรือโครโมโซม
• การอบรมเลี้ยงดูจากครอบครัว
• ประสบการณ์ในวัยเด็กที่ประสบกับความไม่ประทับใจเกีย
่ วกับเพศ ของตนอย่างรุนแรง
• กะเทยทีผ
่ ่าตัดแปลงเพศแล้ว เรียกว่า Transsexual
นายยลลดา เกริกกอง สวนยศ : นก-ยลลดา
นายกสมาคมสตรีขามเพศแห่งประเทศ
http://www.pilok4u.com/read.php?tid-1577.html
2. ความผิดปกติในการเลือกคู่เพื่อท ากิจกรรมทางเพศ
– เป็นเพศเดียวกันหรือเพศตรงข้ามกันก็ได้
• เป็นความผิดปกติที่คนอายุนอ
้ ยมีความสนใจทางเพศกับคนแก่
• เป็นพฤติกรรมที่มีความพึงพอใจในการร่วมเพศกับศพ
• ถือว่าเป็นความผิดปกติทางด้านจิตใจ
• พบในผู้ที่มีความผิดปกติทางด้านจิตใจและปัญญาอ่อน
• ภาวะของคนที่ได้รับความตืน
่ เต้นพอใจทางเพศจากการได้เปิด อวัยวะของคนในทีส
่ าธารณะ ส่วนใหญ่พบในผู้ชาย
• พบในชายประมาณ 5 % ในหญิง 2 %
• รายที่รุนแรงอาจฆ่าและหัน
่ ชิ่นส่วนต่างๆ ของร่างกาย “Lust Murder”
• เชื่อว่า พฤติกรรมนี้มาจากความกลัวถูกผู้หญิงทิ้งและไม่ยอมรับตน
• “ ไอ้โรคจิต” เพราะมีจิตใจผิดปกติมาก
(Masochism)
• พบได้บ่อยกว่าซาดิสก์
• การถูกจับมัด การใช้ไฟฟ้าจี้
• Voyeurism แอบดูคนอื่นเปลือยเท่านัน
้
โรคประสาท(Neurotic)
• บุคคลที่เผชิญปัญหาแล้วใช้กลไกป้องกันตัวมา แก้ปญ
ั หาจนเป็นนิสัยแต่ก็ยังกังวลใจอยู่
อาการที่ส าคัญ
• มีความวิตกกังวลใจและความกลัวเป็นพื้นฐาน
• ยังอยู่ในโลกแห่งความจริง
• หยั่งรู้สภาพจิตใจของตนเอง(รู้ว่าตนป่วย)
– โรคกังวลไปทัว
่ (Generalized Anxiety Disorders)
10 อันดับโรคเกี่ยวกับความกลัว
โรคกลัวความมืด
โรคกลัวทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับความตาย
โรคกลัวงู
โรคกลัวการบิน
โรคกลัวการพูดในที่สาธารณะ
โรคแมงมุม
โรคกลัวความสูง
โรคทีแ
่ คบ
โรคกลัวน้ า
โรคกลัวการถูกฝังทั้งเป็น
อ้างอิงจาก : http://www.toptenthailand.com/
– อาการทีแ
่ สดงออก เช่น ปวดหลัง ปวดขา เจ็บหน้าอก มึนงง มีปัญหาเกี่ยวกับ ประจ าเดือน สูญเสียความจ า หูหนวก ตาบอด พูดไม่มีเสียง เป็น
อัมพาต
• คอนเวอร์ชัน(Conversion Disorder)
–ปรากฏอาการทางด้านประสาทรับความรู้สึกซึ่งสาเหตุไม่ เกี่ยวข้องกับทางร่างกาย
– มีอาการซึมเศร้า และวิตกกังวลร่วมด้วย
– เปลี่ยนแพทย์รักษาบ่อยๆ
คิดว่าตนเองมีรูปร่างหรืออวัยวะผิดปกติ
– โรคนี้อาจพบได้ในผูป
้ ่วย Anorexia nervosa กังวลว่า ตนเองอ้วนเกินไปทั้งๆ ที่ผอมมาก
3. Dissociative Disorders
• เป็นความแปรปรวนทีเ่ กิดขึน
้ อย่างฉับพลัน เป็นระยะการเปลี่ยนแปลงเพียงชัว
่ คราวของ จิตส านึก ความจ า ความรู้สึก การเคลื่อนไหว รวมทั้งเอกลักษณ์
ของตนเอง
อาการที่พบ
เดินละเมอเวลานอนหลับ
(Somnam-bulism or Sleepwalking)
การเขียนสิ่งที่ไม่มีความหมาย
(Automatic Writing)
โรคจิต (Psychosis)
บุคคลที่เจ็บป่วยทางจิตอย่างรุนแรง ไม่สามารถเผชิญกับความจริงได้
ท าตัวเหินห่างจากสังคม
แยกตัวเองไปอยู่ในโลกแห่งความฝัน จัดเป็นพฤติกรรมอปกติชนิดรุนแรงที่สด
ุ เรียกว่า “วิกลจริตหรือคนบ้า “
• ไม่สามารถเผชิญกับความจริงได้, ท าตัวเหินห่างจากสังคม
• แยกตัวเองไปอยู่ในโลกแห่งความฝัน ไม่รู้ตว
ั ว่าป่วย
• ไม่สามารถดูแลและรับผิดชอบชีวิตของตนเองได้
• เหมือนคนครึ่งหลับครึ่งตื่น
สาเหตุทท
ี่ าให้คนเป็นโรคจิต
แบ่งเป็น 2 กรณี
1. สาเหตุทางกาย
– ผลการวิจัยพบว่า โรคจิตบางชนิดมีสาเหตุจากพันธุกรรม
2. สาเหตุทางใจ
• บางคนประสบปัญหาการด าเนินชีวต
ิ ในแต่ละวันด้านต่าง ๆ
• มีปัญหาในการสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลอืน
่ ๆ
• แยกตัวออกไปอยู่ในโลกของตนเอง มีปญ
ั หาทางอารมณ์
พบว่า
1. โรคจิตเภท (Schizophrenia)
– เป็นโรคจิตชนิดที่พบบ่อยทีส
่ ด
ุ พบว่าเริ่มมีอาการช่วงอายุก่อน 45 ปี
– มักจะมีอาการแตกแยกด้านความคิดและบุคลิกภาพ
– มีอารมณ์ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์
– อาการประสาทหลอน (Hallucinations)
ใส่เสื้อหนังในวันที่มีอากาศร้อน สะสมขยะ
DSM-IV
แบ่งโรคจิตเภท ตามลักษณะอาการได้ 3 กลุ่ม
1. แบบหวาดระแวง
(Paranoid Type)
• มีความหมกมุ่นอยูก
่ ับอาการหลงผิดหรือหูแว่วในเรือ
่ งการฆ่า
• เข้าใจว่ามีคนวางแผนฆ่าตามสถานที่ตา่ งๆ
• บางครั้งเกิดควบคู่กบ
ั การหลงผิด
• พบบ่อยทีส
่ ุด
2. แบบการพูดขาดช่วง
(Disorganized Type)
• เป็นความผิดปกติด้านค าพูด ไม่สม่ าเสมอ ท าให้ สื่อความหมายไม่ชัดเจน พูดค าซ้ าๆ เดิมท มี อาการเฉยเมยไม่เหมาะสม ส่วนมากพบว่ามีการ หัวเราะ
คิกคักโดยไม่มีเหตุผล ท าสีหน้าท่าทาง แปลกๆ
3. แบบท่าทางนิ่งคล้ายหุน
่
(Catatonic Schizophrenia)
• มีความผิดปกติด้านการเคลือ
่ นไหว
• น้อยไป มากไป
2. โรคอารมณ์แปรปรวน
• เป็นอาการที่พบมากกว่าจิตเภท
• มีความผิดปกติของอารมณ์เป็นอาการส าคัญโดยเฉพาะ
โรคอารมณ์แปรปรวน
1. โรคคลุ้มคลั่ง (Manic episode)
• มีอาการหลงผิด (delusion)
• มีอาการประสาทหลอน (hallucination)
อาการของโรค
• มีอารมณ์ครื้นเครงร่วมกับความรู้สก
ึ ว่ามีพลังงานมาก
• พูดมากและบางครั้งพูดเร็วจนไม่สามารถขัดจังหวะได้
• ความคิดโลดแล่น ควบคุมตัวเองไม่ได้
• ใช้จ่ายเงินมากผิดปกติ เชื่อมั่นในตัวเองมากเกินปกติ
• ไม่มีสมาธิ คิดฟุ้งซ่าน
• คิดโครงการมากมายใหญ่โต เพราะรู้สก
ึ ว่าตัวเองเก่ง
2. โรคซึมเศร้า
• ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง มีความรู้สก
ึ ผิด
3. โรคไบโพล่าร์
(Bipolar Depression)
• โรคอารมณ์ 2 ขั้ว
• เอะอะโวยวาย มีอารมณ์ครืน
้ เครง ฉุนเฉียวผิดปกติ คลั่งวุ่นวาย ซึ่งเป็นอาการตรงข้ามกับซึมเศร้า
• ในสหรัฐอเมริการมีผู้ปว
่ ยด้วยโรคนี้ประมาณ 2 ล้านคน
การบ าบัดรักษา
• โรคจิต โรคประสาทเพราะกรรมเวรหรือเป็นเรื่องของไสยศาสตร์
• การรักษาจึงต้องไล่ผีออกไป โดยใช้เวทมนต์คาถาทางไสยศาสตร์
• ศตวรรษที่ 18 วิทยาศาสตร์และการแพทย์เจริญขึ้น
• ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาวิธบ
ี าบัดรักษาผู้เจ็บป่วยทางจิตหลายวิธี
• การใช้ยา (Drug Therapy) เช่น ยากล่อมประสาท ยาลดความเศร้า ยานอนหลับ เช่น Librium, Valiam, Thorazine , Clozapine ซึ่งใช้รักษาโรคจิตเภท
เพราะจะช่วยลดความกระวนกระวายและหลงผิดและท าให้อาการดีขึนในเวลาอนส้น
ั
การช๊อตด้วยไฟฟ้ า/อินซูลิน ซ็อค (Electroconvulsive Therapy) กรณีที่ คนไข้มีอาการคล้ัมคลั่งหรือเศร้าซึมมาก ๆ แต่ใช้ในกรณีจ าเป็ นเท่าน้ัน ใช้ไฟฟ้ า
มาจะมีอาการดี
การผ่าตัด (Psychosurgery) สาเหตุของความผิดปกติเกิดจากสมองหรือ
• การเชือ
่ มโยงเสรี,
• การตีความฝัน,
• การวิเคราะห์ปมขัดแย้ง,
• Client-Centered Therapy,
• การสะกดจิต (Hypnosis)
3. การบ าบัดทางสังคมหรือพฤติกรรม
(Behavior Therapy)
• วิธีนี้จะไม่สนใจความรู้สึกหรืออารมณ์ที่อยู่ภายในตัวคนไข้
• สนใจพฤติกรรมทีส
่ ังเกตได้ จะเปลี่ยนพฤติกรรมทีเ่ ป็นปัญหา
• ใช้หลักการเรียนรูแ
้ ละการวางเงื่อนไขแบบต่าง ๆ
• เทคนิคของพฤติกรรมบ าบัดที่นิยมใช้กัน
บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับด้านสุขภาพจิต
• จิตแพทย์/นักจิตวิเคราะห์
• นักจิตวิทยาคลินิก/นักจิตวิทยาการให้ค าปรึกษา
• นักสังคมสงเคราะห์/พยาบาลทางจิตเวช
หน่วยงานบริการด้านสุขภาพจิต
1. สายด่วนสุขภาพจิต 1667,1323
2. เว็บไซต์ http://www.dmh.go.th/1667/
3. สถาบันธัญญารักษ์
4. สถานสงเคราะห์คนไข้โรคจิตทุเลาหญิงบ้านกึ่งวิถี
5. สถานสงเคราะห์คนไข้โรคจิตทุเลาชายบ้านกึ่งวิถี