Professional Documents
Culture Documents
หน่วย 1 วทอ
หน่วย 1 วทอ
ความสาคัญของวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีการอาหาร
1.1.1.1 สถานการณ์ด้านฐานทรัพยากร
1) การเปลีย่ นแปลงพืน้ ทีท่ าการเกษตรและการใช้ ประโยชน์ ทดี่ ิน
1.1) การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ทาการเกษตร ประเทศไทยมีเนื้อที่ท้ งั หมดประมาณ 320.7 ล้านไร่ ใน
ปี 2551 มีการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตร 112.6 ล้านไร่ ซึ่ งเนื้อที่ประมาณครึ่ งหนึ่ง (50.6 %) เป็ นที่ปลูกข้าว
12.1 % ปลูกยางพาราและ 37. 3 % ปลูกพืชอื่น ๆ
ในช่วงระยะเวลา 5 ปี จากปี 2546 ถึง 2551 เนื้อที่ปลูกข้าวลดลง 2.0 ล้านไร่ ( 3.3 %) ขณะที่เนื้อ
ที่ปลูกพื้นที่ปลูกยางพาราเพิ่มขึ้น ประมาณ 4.0 ล้านไร่ ( 41.3 %) ดังภาพที่ 2
จากการศึกษาความเชื่อมโยงระหว่างชนบทและเมืองด้านอุตสาหกรรมในพื้นที่ขยายตัวของ
กรุ งเทพมหานคร กรณี ศึกษาจังหวัดปทุมธานีซ่ ึ งเป็ นแหล่งปลูกข้าวที่สาคัญของประเทศ ในช่วงเวลาปี
2532-2550 พื้นที่ศึกษามีการเปลี่ยนแปลงของจานวนโรงงานเพิ่มขึ้น จาก 706 เป็ น 2,558โรงงาน โดย
เฉลี่ย 15.02 % ต่อปี ทาให้เกิดการลดลงของพื้นที่เกษตร และการเพิ่มขึ้นของการใช้ประโยชน์ที่ดิน
เพื่อกิจกรรมด้านอุตสาหกรรม โดยเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปี ละ 1.96 %
อีกทั้งมีการใช้ที่ดิน เพื่อกิจกรรมอื่น ๆ เช่น ในปี 2537 จากการสารวจของกรมพัฒนาที่ดินใน
พื้นที่อาเภอคลองหลวง ธัญบุรี และหนองเสื อ มีการนาพื้นที่เหมาะสมต่อการเกษตร และอยูใ่ นเขต
ชลประทานไปทาโครงการจัดสรรที่ดินบ้านจัดสรร รี สอร์ทและสนามกอล์ฟรวม 146 โครงการ และแม้
3
2) สั ดส่ วนผลผลิตพืชอาหารและพืชพลังงาน
จากความรุ นแรงของวิกฤตพลังงานและผลกระทบจากราคาน้ ามันในตลาดโลกที่ปรับตัวสู งขึ้น
ตั้งแต่ปี 2550 เป็ นต้นมา ทาให้ประเทศไทยหันมาให้ความสาคัญกับการส่ งเสริ มการผลิตและการใช้
พลังงานทดแทน โดยภาครัฐได้มีนโยบายส่ งเสริ มการพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพและชีวมวล เช่น เอทานอล
และไบโอดีเซล เป็ นต้น จากพืชอาหารที่สาคัญได้แก่ มันสาปะหลัง อ้อย และปาล์มน้ ามัน โดยเฉพาะ
มันสาปะหลัง ซึ่ งเป็ นพืชที่มีตน้ ทุนการผลิตเอทานอลต่ากว่าพืชชนิดอื่น ในปี 2552 ประเทศไทยมี
โรงงานที่ผลิตเอทานอลจานวน 5 โรง กาลังการผลิตรวม 0.83 ล้านลิตรต่อวัน โดยประเทศไทยเริ่ มมี
การใช้มนั สาปะหลังเพื่อผลิตเป็ นเอทานอลตั้งแต่ปี 2549 และมีแนวโน้มที่จะใช้เพิ่มขึ้น (ดังภาพที่ 1.6)
ส่ วนการผลิตไบโอดีเซลจากปาล์มน้ ามัน ในปี 2552 ประมาณ 23 % ของผลผลิตปาล์มน้ ามัน ถูก
นาไปใช้เพื่อผลิตเป็ นพลังงาน ที่เหลือเป็ นการใช้เพื่อบริ โภคส่ งออกและเก็บไว้เป็ นสต๊อก คิดเป็ น
สัดส่ วน 58 9 และ 10 % ตามลาดับ (ดังภาพที่ 1.7) และมีจานวนโรงงานที่ผลิตไบโอดีเซลจากน้ ามัน
ปาล์ม มีท้ งั สิ้ น 14 โรง มีกาลังการผลิต 4.5 ล้านลิตรต่อวัน แต่ผลิตได้จริ ง 1.5 ล้านลิตรต่อวัน แสดงให้
เห็นว่าอาจจะมีการนาที่ดินไปปลูกปาล์มน้ ามันมากขึ้นเพื่อป้ อนโรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิง่ ในกรณี ที่
ราคาน้ ามันสู งขึ้น ซึ่ งจะมีผลกระทบต่อด้านความมัน่ คงอาหาร
3) ความเสื่ อมโทรมของฐานทรัพยากรธรรมชาติ
การพัฒนาทางเศรษฐกิจหลายทศวรรษที่ผา่ นมา แม้ประเทศไทยจะมีการเจริ ญเติบโตทาง
เศรษฐกิจจนทาให้กลายเป็ นประเทศที่มีรายได้ระดับกลาง (Medium income country) แต่ตอ้ งแลกกับ
ความเสื่ อมโทรมของฐานทรัพยากรธรรมชาติในด้านต่าง ๆ ที่เคยมีอยูอ่ ย่างอุดมสมบูรณ์ โดยการใช้
อย่างไม่มีประสิ ทธิ ภาพ ขาดการบารุ งรักษาเพื่อความยัง่ ยืน และการบริ หารจัดการของรัฐที่ผา่ นมายัง
ไม่สามารถยับยั้งปั ญหาได้ ทาให้ทรัพยากรธรรมชาติเสื่ อมโทรม และกระทบต่อความสามารถในการ
แข่งขัน เนื่องจากต้องจ่ายต้นทุนสิ่ งแวดล้อมที่สูงขึ้น
3.1) ความเสื่ อมโทรมของทรัพยากรดิน ที่ผา่ นมามีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรดินอย่างไม่
เหมาะสม เช่น ขาดการดูแลความอุดมสมบูรณ์ในช่วงก่อน ระหว่าง และหลังการเพาะปลูกทาให้ดินขาด
ธาตุอาหาร ในบางพื้นที่มีปัญหาการชะล้างพังทลายหน้าดินที่อุดมสมบูรณ์จากการตัดไม้ทาลายป่ า
ประกอบกับบางพื้นที่มีปัญหาดินเค็ม ดินเปรี้ ยว โดยในปี 2551 ที่ดินของประเทศไทยมีปัญหาดังกล่าว
ถึงประมาณ 60 % ของพื้นที่ท้ งั หมด และมีแนวโน้มขยายตัวเพิม่ ขึ้นเกือบปี ละ 1 ล้านไร่ โดยเป็ นพื้นที่ที่
มีปัญหาการชะล้างพังทลายประมาณ 33 % ของประเทศ (ประมาณ 108.87 ล้านไร่ ) ซึ่ งสู งกว่าค่าเฉลี่ย
ของเอเชียและโลกที่มีสัดส่ วน 25 และ 23 % ตามลาดับ โดยพื้นที่ที่มีปัญหาการชะล้างพังทลายของดิน
มากที่สุดคือภาคเหนือ ซึ่ งในแต่ละปี เกิดภัยจากโคลนถล่มที่รุนแรงและมีขอบเขตกว้างขวางขึ้น
นอกจากนี้เป็ นดินขาดอินทรี ยว์ ตั ถุ 98.70 ล้านไร่ ดินที่มีปัญหาต่อการใช้ประโยชน์ทางการเกษตร
209.84 ล้านไร่ ส่ วนใหญ่อยูใ่ นภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉี ยงเหนือ ซึ่ งหากคิดเป็ นมูลค่าความ
8
1.1.1.2 สถานการณ์ด้านปัจจัยการผลิต
1) พันธุกรรมของพืชและสั ตว์ ในการผลิตอาหาร
ปัจจุบนั อาหารที่จาหน่ายในท้องตลาดมีความหลากหลายน้อยมาก เช่น พืชผักสาคัญของตลาด
ในประเทศมีเพียง 8 ชนิด ได้แก่ ผักบุง้ คะน้า กะหล่าปลี กะหล่าดอก ผักกาดขาว กวางตุง้ พริ กขี้หนู
และแตงกวา ซึ่ งแสดงถึงการละเลยพืชพื้นบ้านที่มีความสาคัญต่อวิถีชีวติ และโภชนาการ เช่นเดียวกัน
กับข้าวซึ่ งเป็ นอาหารหลักของคนไทย โดยกว่า 90 % ใช้พนั ธุ์ขา้ วประมาณ 10 สายพันธุ์ ในขณะที่มีสาย
พันธุ์พ้นื บ้านที่มีสารอาหารบางอย่างสู งและเหมาะสมต่อการปลูกในท้องถิ่นยังต้องการการอนุรักษ์และ
เผยแพร่ สาหรับสัตว์ที่บริ โภค เช่นไก่มีไม่กี่สายพันธุ์ จาเป็ นต้องมีการวิจยั ทรัพยากรพันธุ กรรมของไก่
พื้นบ้าน การวิจยั และพัฒนาและใช้ประโยชน์สายพันธุ์พืชและสัตว์โดยคานึงถึงความหลากหลาย มี
คุณค่าทางโภชนาการและเหมาะสมกับท้องถิ่น จะนาไปสู่ การอนุรักษ์ เศรษฐกิจของชุมชน และสุ ขภาพ
ของประชาชน นอกจากนี้จากการที่ประเทศไทยได้เข้าเป็ นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทาง
ชีวภาพในลาดับที่ 188 เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2547 จึงมีความจาเป็ นที่ประเทศไทยต้องสร้างความ
เข้มแข็งในการสร้างความรู้และทักษะในการดูแลผลประโยชน์ในเรื่ องพันธุกรรมของพืชและสัตว์ที่มี
ความหลากหลายของประเทศ
2) การพึง่ พาปุ๋ ยและสารเคมีการเกษตร
ประเทศไทยมีการปลูกพืชอย่างเข้มข้น ทาให้มีการใช้ปุ๋ยมากขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 321,700
ตัน ในปี 2525 เป็ น 4,117,752 ตัน ในปี 2552 คิดเป็ นมูลค่า 46,176 ล้านบาท ซึ่ งเกือบทั้งหมดนาเข้าจาก
ต่างประเทศ เช่นเดียวกับสารเคมีป้องกันกาจัดศัตรู พืชที่การนาเข้าในปี 2552 มีปริ มาณมากถึง 126,577
ตัน คิดเป็ นมูลค่า 16,168 ล้านบาท ซึ่ งต้นทุนดังกล่าวมีมูลค่าสู งมากกว่า 1/3 ของต้นทุนการปลูกพืช
ทั้งหมดของเกษตรกร นอกจากนี้ การใช้สารกาจัดศัตรู พืชที่ไม่ถูกต้องและเหมาะสมก่อให้เกิดปั ญหาการ
ได้รับสารพิษเข้าสู่ ร่างกายของเกษตรกรผูใ้ ช้ จากการสารวจในปี 2546 ในเกษตรกร 606 คน จาก 6
จังหวัด พบว่าเกษตรกรเกือบทั้งหมดเคยมีอาการเกิดพิษเนื่องจากสารเคมีที่ใช้ โดยเกษตรกร 56 % เคยมี
อาการระดับปานกลางและ 1 % เคยมีอาการระดับรุ นแรง และจากการตรวจเลือดเกษตรกร 187 ราย
พบว่า 11 % มีความเสี่ ยงในระดับอันตราย และยังมีสารพิษตกค้างในผลผลิตทางการเกษตรก่อให้เกิด
ปั ญหาต่อสุ ขภาพของผูบ้ ริ โภค และมีผลต่อความเชื่อมัน่ ของผูบ้ ริ โภคและการส่ งออกสิ นค้าอาหารของ
ประเทศไทย
3) อาหารสั ตว์
3.1) การนาเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ประเทศไทยมีศกั ยภาพการผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ได้เกือบ
ทุกชนิดยกเว้นถัว่ เหลือง กากถัว่ เหลือง ข้าวโพดและปลาป่ นคุณภาพสู ง ซึ่ งผลิตได้ไม่เพียงพอต่อความ
ต้องการในการใช้ภายในประเทศ จึงทาให้มีการนาเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์เป็ นจานวนมาก ดังภาพที่ 1.8
แสดงให้เห็นถึงปริ มาณผลผลิต ปริ มาณการใช้ และปริ มาณการนาเข้าวัตถุดิบที่เป็ นอาหารสัตว์ ในปี
10
2552 ที่เห็นชัด คือ มีการนาเข้าถัว่ เหลืองสู งถึง 1.5 ล้านตัน และกากถัว่ เหลืองประมาณ 2 ล้านตัน
ชี้ให้เห็นถึงความสาคัญของการกาหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ เกี่ยวกับการผลิตอาหารของคนและ
อาหารสัตว์ในแต่ละผลิตภัณฑ์อาหาร
3.2) การปนเปื้ อนวัตถุดิบอาหารสัตว์ เนื่องจากวัตถุดิบอาหารสัตว์ส่วนใหญ่เป็ นธัญพืช ดังนั้น
จึงมักพบการปนเปื้ อนของสารพิษจากรา เช่นแอฟลาทอกซิ นในกากถัว่ เหลืองและข้าวโพด ซึ่ งส่ งผลทา
ให้อาหารที่ผลิตจากสัตว์ดงั กล่าวเกิดความไม่ปลอดภัยต่อผูบ้ ริ โภค นอกจากนี้ยงั มีสารพิษจากราบาง
ชนิด เช่น Zearalenone ในกากถัว่ เหลือง ข้าวโพด และมันสาปะหลังที่ใช้เป็ นอาหารสัตว์ ที่ทาให้เกิด
ความเจ็บป่ วยและแท้งในสุ กร ในปี 2550 ตรวจพบ Zearalenone ในกากถัว่ เหลืองในระดับสู งถึง 2800
ppb. มีจานวน 10.8 % ของตัวอย่างทั้งหมดที่พบเกินค่าระดับความปลอดภัย อันก่อให้เกิดผลกระทบต่อ
สัตว์ ส่ งผลให้เกิดการสู ญเสี ยทางเศรษฐกิจต่อเกษตรกร ดังนั้นจึงต้องมีการดูแลวัตถุดิบอาหารสัตว์ต้ งั แต่
ก่อนปลูก ระหว่างปลูก ขนส่ ง การผลิต การบรรจุและการเก็บรักษาวัตถุดิบดังกล่าว
1.1.1.3 สถานการณ์ด้านแรงงานภาคเกษตร
1) ภาวะหนีส้ ิ น
จากข้อมูลสานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในปี 2552 ภาค
เกษตรต้องรองรับแรงงานจานวนมากโดยเฉพาะแรงงานการศึกษาต่า โดยที่มูลค่าการผลิตในภาคเกษตร
ต่า ดังนั้นคนจนส่ วนใหญ่จึงอยูใ่ นภาคเกษตร มากถึงประมาณ 2.8 ล้านคน หรื อคิดเป็ น 68.5 % ของคน
จนที่ประกอบอาชีพทั้งหมด (4.1 ล้านคน) ทั้งนี้ โดยมีเกษตรกรยากจนประมาณ 6.6 แสนคนที่ไม่มีที่ดิน
ทากินเป็ นของตนเองต้องเช่าที่ดินและต้องไปรับจ้างผูอ้ ื่น (ดังภาพที่ 1.9) นอกจากนี้ยงั มีปัญหาความ
เหลื่อมล้ าด้านรายได้ทาให้เกษตรกรเป็ นหนี้สิน ซึ่ งตามข้อมูลสานักงานสถิติแห่งชาติ เกษตรกรเกิน
ครึ่ งหนึ่งมีหนี้สินเพื่อการเกษตร ( 59.9 %) โดยมีจานวนเงินที่เป็ นหนี้เพื่อการเกษตร 364,575 ล้านบาท
โดย 63.5 % เป็ นหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เป็ นหนี้เงินนอกระบบ 7.4 %
กองทุนหมู่บา้ น 9.9 % ที่เหลือเป็ นหนี้จากแหล่งอื่นเช่น สถาบันการเงิน สหกรณ์กลุ่มเกษตรกร
หน่วยงานราชการอื่น ๆ เป็ นต้น โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉี ยงเหนือและภาคเหนือนั้นรุ นแรงกว่าใน
ภาคอื่น
2) โครงสร้ างแรงงานภาคเกษตร
ในช่วงระหว่างปี 2516-2520 มีสัดส่ วนของแรงงานในภาคเกษตร 15.3 ล้านคน หรื อ 67.03 %
ของจานวนแรงงานทั้งหมด แม้วา่ แรงงานทั้งหมดจะเพิ่มขึ้น แต่แรงงานในภาคเกษตรกลับถดถอยลง
เหลือ 42.15 % เฉลี่ยในช่วงปี 2546-2549 (ตารางที่ 1.1) โดยเฉพาะแรงงานในการผลิตข้าว การ
เคลื่อนย้ายแรงงานออกจากภาคการเกษตรดังกล่าว มีผลทาให้ขนาดของครัวเรื อนในภาคการเกษตร
ลดลงจากเฉลี่ย 4.75 คนต่อครัวเรื อนในปี 2542 เป็ น 3.95 คนต่อครัวเรื อนในปี 2550 และมีขนาดแรงงาน
ในครัวเรื อนลดลงจากเฉลี่ย 3.43 คนต่อครัวเรื อนเป็ น 2.75 คนต่อครัวเรื อน ในช่วงเวลาเดียวกัน ส่ วน
หนึ่งเป็ นผลจากการขยายตัวของการศึกษาทาให้บุตรหลานเกษตรกรได้มีโอกาสศึกษาต่อสู งขึ้น แล้ว
เคลื่อนย้ายไปทางานต่างถิ่น และรวมถึงกลุ่มคนหนุ่มสาวที่เคลื่อนย้ายไปหางานทานอกภาคการเกษตร
และไม่ได้หวนกลับมาทาอาชีพการเกษตรอีกเลย ส่ งผลให้อายุเฉลี่ยของเกษตรกรไทยมีแนวโน้มสู งขึ้น
ซึ่งจากการศึกษาในปี 2551-2552 ของสานักงานกองทุนสนับสนุนงานวิจยั ในโครงการวิจยั หนี้สินภาค
ครัวเรื อนของเกษตรกรในชนบทไทยและมูลนิธิชีววิถี อายุเฉลี่ยของเกษตรกร อยูใ่ นช่วง 45 - 51 ปี
ดังนั้นจึงมีการใช้เครื่ องจักรกลการเกษตรแทนแรงงานคนเพิ่มขึ้นทาให้ตน้ ทุนการผลิตที่เป็ นเงินสดเพิ่ม
มากขึ้น และทาให้ผลตอบแทนสุ ทธิที่เป็ นเงินสดของเกษตรกรลดลง ส่ งผลต่อความยากจนของ
เกษตรกรขนาดเล็ก หากการหารายได้นอกภาคการเกษตรมีจากัด ประเด็นดังกล่าวน่าจะส่ งผลกระทบ
ไปสู่ การสู ญเสี ยที่ดินของเกษตรกร รวมถึงการทิง้ ไร่ นาอพยพย้ายถิ่นไปสู่ การเป็ นกรรมกรในเมือง
ตามมา
ตารางที่ 1.1 จานวนแรงงานทั้งประเทศ แรงงานภาคเกษตร แรงงานในการผลิตข้าวและสัดส่ วน
เปรี ยบเทียบของแรงงาน ปี 2516-2549
แรงงาน แรงงานเกษตร แรงงานผลิตข้ าว
ช่ วงปี ทั้งหมด จานวน สั ดส่ วน จานวน สั ดส่ วน
(ล้านคน) (ล้านคน) (%) (ล้านคน) (%)
2516-2520 22.8 15.3 67.0 10.8 47.5
2531-2535 32.3 19.4 60.0 11.8 36.4
2546-2549 36.3 15.3 42.2 9.8 27.1
หมายเหตุ: แรงงานผลิตข้าวคานวณจากการใช้สัดส่ วนของครัวเรื อนที่ปลูกข้าวต่อครัวเรื อนเกษตร
ทั้งหมดแล้วคูณด้วยจานวนแรงงานเกษตร จากฐานข้อมูลของศูนย์สารสนเทศการเกษตร
สานักงานเศรษฐกิจการเกษตร
ทีม่ า: คณะกรรมการอาหารแห่งชาติ (2552)
13
1.1.1.4 การวางแผนการผลิตและตลาด
ปัญหาสาคัญของสิ นค้าเกษตร คือ ปริ มาณและราคาสิ นค้าเกษตรมีความผันผวนสู ง เนื่องจาก
ขาดการวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการทางการตลาด ขณะเดียวกันผลผลิตของ
เกษตรกรรายย่อยไม่มีคุณภาพและผลิตผลต่อไร่ ต่า ทาให้ไม่สามารถแข่งขันในเชิงการตลาดได้ แม้วา่
หน่วยงานรัฐจะได้ส่งเสริ มให้ฟาร์ มมีการใช้ GAP ในการผลิต แต่มีเพียงประมาณ 254,298 ราย ที่ได้รับ
การรับรอง เป็ นสัดส่ วนที่นอ้ ยเมื่อเปรี ยบเทียบกับจานวนทั้งหมด อีกทั้งระบบการกระจายสิ นค้า
(Logistic) ของประเทศไทยยังขาดการบริ หารจัดการอย่างเป็ นระบบ ซึ่ งมีผลต่อคุณภาพของสิ นค้าและ
ต้นทุนการดาเนินการ ขณะเดียวกันก็มีการรุ กคืบของสิ นค้านาเข้าจากการเปิ ดเขตการค้าเสรี โดยเฉพาะ
AFTA ซึ่งจาเป็ นที่ประเทศไทยจะต้องมียทุ ธศาสตร์ดา้ นการตลาดสิ นค้าเกษตรและจากการที่ประเทศ
พัฒนาแล้วส่ วนใหญ่มีแนวโน้มเป็ นสังคมผูส้ ู งอายุ ทาให้ผบู ้ ริ โภคมีแนวโน้มให้ความสาคัญกับ
ผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุ ขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดในกลุ่มประเทศที่มีกาลังซื้ อสู ง เช่น ญี่ปุ่นและ
สหภาพยุโรปและตลาดแถบตะวันออกกลาง และรัสเซีย ซึ่ งก็มีแนวโน้มนาเข้าสิ นค้าจากประเทศไทย
สู งขึ้น ดังนั้นผูป้ ระกอบการในอุตสาหกรรมอาหารจะต้องพัฒนาการผลิตเพื่อสร้างคุณค่าเพิ่มให้กบั
ผลิตภัณฑ์ เป็ นอาหารที่ดีต่อสุ ขภาพ ให้ความสะดวก มีคุณภาพสู งเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้
2) ภาวะขาดแคลนอาหารและโภชนาการ ภาวะขาดแคลนอาหารและโภชนาการของประชากร
บางพื้นที่ในประเทศ อาจสะท้อนถึงสถานการณ์การเข้าถึงอาหารของประชาชนในพื้นที่ได้ เช่น
2.1) การขาดโปรตีนและพลังงาน จากการกระจายเนื้อสัตว์ที่ยงั ไม่ทวั่ ถึงสาหรับกลุ่ม
ผูด้ อ้ ยโอกาส เช่นคนจนที่อาศัยอยูใ่ นพื้นที่ห่างไกล ข้อมูลในระบบเฝ้ าระวังทางโภชนาการของกรม
อนามัยระหว่างปี 2535-2548 พบว่าจานวนเด็กที่อยูใ่ นภาวะขาดสารโปรตีนและพลังงานในประเทศไทย
มีระดับทรงตัวอยูท่ ี่ประมาณ 10 % ระดับความรุ นแรงของปั ญหาในระดับภาคเปลี่ยนแปลงค่อนข้าง
ชัดเจน โดยภาคตะวันออกเฉี ยงเหนือเคยเป็ นพื้นที่ที่เคยมีอตั ราความชุกของภาวะทุพโภชนาการสู งที่สุด
มาโดยตลอด แต่ในการสารวจปี 2549 นี้ภาคใต้กลายเป็ นภาคที่มีภาวะทุพโภชนาการทั้งด้านขาดและ
เกินที่น่าเป็ นห่วง
2.2) การขาดไอโอดีน ซึ่ งส่ งผลต่อการพัฒนาการของสมองและระบบประสาท การ
ขาดสารไอโอดีนจะทาให้สติปัญญาของเด็กลดลง ในปี 2549-2551 จากรายงานผลการดาเนินงาน
โครงการควบคุมและป้ องกันโรคขาดสารไอโอดีน มีหญิงตั้งครรภ์ที่ขาดไอโอดีนในทุกระดับ (น้อยกว่า
10.0 ไมโครกรัม/เดซิลิตร) ถึง 56.8 % และแม้จะมีการส่ งเสริ มการใช้เกลือเสริ มไอโอดีนที่มีคุณภาพใน
ครัวเรื อนทัว่ ประเทศ แต่จากรายงาน ในปี 2550 มีความครอบคลุมเพียง 83.5 % ซึ่ งยังต่ากว่าเกณฑ์ที่
องค์การอนามัยโลกตั้งไว้ที่ 90 % ในขณะที่ประเทศในภูมิภาคอาเซียน เช่น เวียดนาม ลาว และกัมพูชา
ผ่านเกณฑ์ดงั กล่าว
18
1.1.2.2 สถานการณ์ด้านความปลอดภัยอาหารของประเทศ
ข้อมูลสถานการณ์ดา้ นความปลอดภัยอาหาร จากผลการดาเนินงานของสานักงานคณะ
กรรมการอาหารและยา ในปี 2552 ของความเสี่ ยงที่มีโอกาสเกิดมาก (Major risk) ตลอดทั้งห่วงโซ่การ
ผลิตโดยแบ่งตามกลุ่มผลิตภัณฑ์ มีดงั นี้
1) กลุ่มสั ตว์ บกและผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์หลักในกลุ่มนี้คือไก่และสุ กรเพราะเป็ นกลุ่มที่มี
ความสาคัญทางเศรษฐกิจ ซึ่ งสถานการณ์ความไม่ปลอดภัยที่พบ มีดงั นี้
1.1) ด้านเคมี เนื้อไก่และสุ กรจากฟาร์ มมักพบการตกค้างของยาปฏิชีวนะและสารเร่ ง
เนื้อแดง ซึ่ งเกิดจากวิธีการเลี้ยงในฟาร์ มที่ไม่ได้มาตรฐาน GAP โดยจากผลการเฝ้ าระวังของกองควบคุม
อาหาร สานักงานคณะกรรมการอาหารและยาตั้งแต่ปี 2550-2552 พบผลิตภัณฑ์เนื้อไก่และสุ กร 5.5 %
ของจานวนตัวอย่าง 400 ตัวอย่าง ปนเปื้ อนปฏิชีวนะเกินมาตรฐาน และพบเนื้อสุ กร 6 % ของจานวน
ตัวอย่างทั้งหมด 370 ตัวอย่าง มีสารเร่ งเนื้อแดงตกค้าง นอกจากนี้ยงั พบปั ญหาผลิตภัณฑ์แปรรู ปจาก
21
จาพวกปรอทและแคดเมียมในเห็ดหอมทั้งสดและแห้งอีกด้วย
2) สถานการณ์อาหารส่ งออก ความปลอดภัยอาหารนอกจากจะมีความสาคัญกับสุ ขภาพของ
ผูบ้ ริ โภคในประเทศแล้วยังเป็ นประเด็นสาคัญทางเศรษฐกิจของประเทศด้วย ซึ่ งในเวทีการค้าโลกนั้น
ความปลอดภัยอาหารยังคงเป็ นประเด็นที่อ่อนไหว เนื่องจากประเทศต่าง ๆ มักยกมาเป็ นมาตรการกีดกัน
และอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Measures and Non-Tariff Barriers) และเนื่องจาก
ประเทศไทยเป็ นประเทศผูส้ ่ งออกสิ นค้าอาหาร เมื่อผลิตภัณฑ์ถูกกักกันและส่ งคืน จะสร้างความเสี ยหาย
ต่ออุตสาหกรรมอาหารทั้งด้านชื่อเสี ยง และสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศด้วย ซึ่ง
อุตสาหกรรมส่ งออกอาหารของไทยยังคงประสบกับปั ญหาการถูกส่ งคืนสิ นค้ากลับอย่างต่อเนื่อง เช่น
เมื่อสหภาพยุโรปเริ่ มตรวจเข้มสารตกค้าง Nitrofuran ที่ใช้ในการเลี้ยงกุง้ ในปี 2545 ทาให้มูลค่าส่ งออก
กุง้ แช่เยือกแข็งลดลงประมาณ 37.14 % จากประมาณ 54 พันล้านบาทในปี 2544 เหลือ 34 พันล้านบาท
เป็ นต้น และเหตุการณ์ที่มีผลต่อการส่ งออกสิ นค้ากลุ่มสัตว์ปีก คือ การระบาดของไข้หวัดนก ในปี
2547 ทาให้มูลค่าส่ งออกไก่แช่เย็นลดลงอย่างมากถึง 92.96 % คือ จากประมาณ 24.8 พันล้านบาท ในปี
2547 เหลือเพียงประมาณ 1.7 พันล้านบาทในปี 2549 ในระหว่างปี 2552- 2553 พบว่าสถิติการกักกัน
สิ นค้าเพื่อตรวจสอบสิ่ งแปลกปลอม หรื อสารตกค้างจากประเทศไทยของสหรัฐอเมริ กาทั้งผลิตภัณฑ์
กุง้ ผลไม้ ผักและธัญพืช มีจานวนสู งถึง 387 รายการ แต่ผลจากการตรวจสอบส่ วนใหญ่ไม่พบ
ปั ญหาแต่เมื่อต้นปี 2553 ผลิตภัณฑ์กงุ้ ที่ส่งออกไปยังประเทศเกาหลีใต้ถูกตีกลับประเทศ เนื่องจากตรวจ
พบปริ มาณจุลินทรี ยก์ ลุ่ม Vibrio สู งเกินค่ามาตรฐานที่เกาหลีใต้กาหนดไว้ ซึ่งล้วนสร้างความ
เสี ยหายทางเศรษฐกิจเป็ นเงินจานวนหลายล้านบาท อย่างไรก็ตามในภาพรวมของสิ นค้าอาหารส่ งออก
ของประเทศไทยในปั จจุบนั กล่าวได้วา่ เป็ นที่ยอมรับในด้านคุณภาพ มาตรฐานความปลอดภัย และมีการ
ตรวจพบปัญหาคุณภาพมาตรฐานน้อยลงมาก
3) กฎกติกาการค้ าของโลก แม้วา่ กฎ/ระเบียบหรื อกติกาการค้าโลกจะช่วยให้ประเทศกาลัง
พัฒนาได้รับประโยชน์จากการค้าและทาให้เกิดการเจรจาการค้าที่เป็ นธรรม แต่หากไม่เตรี ยมพร้อมก็
อาจทาให้เสี ยเปรี ยบในการต่อรองและไม่สามารถรักษาผลประโยชน์ที่พึงได้รับไว้ได้ โดยจะส่ งผลลบ
ใน 3 ลักษณะสาคัญ คือ
3.1) การเป็ นอุปสรรคต่อการส่ งสิ นค้าจากประเทศกาลังพัฒนาเข้าไปจาหน่ายในตลาด
ประเทศพัฒนาแล้วโดยใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี เช่น มาตรการสิ่ งแวดล้อมสุ ขอนามัย
และสุ ขอนามัยพืช มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน เป็ นต้น
3.2) การขยายบทบาทของประเทศพัฒนาแล้วไปยังประเทศกาลังพัฒนา โดยเปิ ด
โอกาสให้นกั ลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนในสาขาต่าง ๆ มากขึ้น
3.3) การส่ งผลต่อนโยบายของรัฐ ภาคธุ รกิจ และวิถีชีวติ ของประชาชนที่ตอ้ งปรับตัว
ให้สอดคล้องกับพันธกรณี หรื อ กระแสค่านิยมใหม่ ๆ ของโลก ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงในกฎระเบียบที่
สาคัญที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ได้แก่
24
1.1.3.2 ข้ อมูลงานวิจัยและการประเมินความเสี่ ยง
การวิจยั ในห่วงโซ่อาหารโดยเฉพาะอย่างยิง่ ในเรื่ องของปั จจัยการผลิตซึ่ งได้กล่าวไปแล้ว ได้แก่
การจัดการดิน น้ า พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ โภชนาการพืชและสัตว์ การควบคุมป้ องกันโรค การปฏิบตั ิการ
ที่ดีตลอดห่วงโซ่อาหาร เป็ นต้น นาไปสู่ การปฏิบตั ิให้อาหารมีคุณภาพและความปลอดภัยตาม
มาตรฐานสากล ในส่ วนนี้จึงมุ่งเน้นให้มีการประเมินความเสี่ ยง เพื่อนาข้อมูลไปใช้ประกอบการ
ตัดสิ นใจ และบริ หารจัดการ ในการคุม้ ครองผูบ้ ริ โภค และส่ งเสริ มการค้า
1) งานวิจัย การศึกษาวิจยั พัฒนางานด้านอาหารยังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะการวิจยั ทางด้าน
เทคโนโลยี และนวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อนาไปสู่ การเพิม่ ผลผลิตอาหาร เช่น การวิจยั พันธุ์พืช และพันธุ์สัตว์
งานวิจยั เครื่ องจักรกลเพื่อการเกษตร การวิจยั เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในระดับต่าง ๆ เป็ นต้น ขาดข้อมูล
28