You are on page 1of 7

อานาปานสติสูตร

คาสวดแปล บทอานาปานสติ ที่ สมบูรณ์แบบ


(หันทะ มะยัง อานาปานะสติปาฐัง ภะณามะ เส)

อานาปานะสะติ ภิกขะเว ภาวิตา พะหุลีกะตา


- ดูก่อนภิกษุทงั้ หลาย อานาปานสติอนั บุคคลเจริญ ทาให้มากแล้ว
มะหัปผะลา โหติ มะหานิ สงั สา
- ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิ สงส์ใหญ่
อานาปานะสะติ ภิกขะเว ภาวิตา พะหุลีกะตา
- ดูก่อนภิกษุทงั้ หลาย อานาปานสติอนั บุคคลเจริญ ทาให้มากแล้ว
จัตตาโร สะติปัฏฐาเน ปะริปเู รนติ
- ย่อมทาสติปัฏฐานทัง้ สี่ ให้บริบรู ณ์
จัตตาโร สะติปัฎฐานา ภาวิตา พะหุลีกะตา
- สติปัฏฐานทัง้ สี่ อันบุคคลเจริญทาให้มากแล้ว
สัตตะ โพชฌังเค ปะริปเู รนติ
- ย่อมทาโพชณงค์ทงั้ เจ็ดให้บริบรู ณ์
สัตตะโพชฌังคา ภาวิตา พะหุลีกะตา
- โพชฌงค์ทง้ั เจ็ดอันบุคคลเจริญทาให้มากแล้ว
วิชชาวิมุตติง ปะริปเู รนติ
- ย่อมทาวิชชาและวิมตุ ิให้บริบรู ณ์
-1-
กะถัง ภาวิตา จะ ภิกขะเว อานาปานะสะติ, กะถัง พะหุหลีกะตา
- ดูก่อนภิกษุทงั้ หลาย ก็อานาปานสติ, อันบุคคลเจริญให้มากแล้ว เป็ นอย่างไรเล่า
มะหัปผะลา โหติ มะหานิ สงั ลา
- จึงมีผลใหญ่ มีอานิ สงส์ใหญ่

อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ


- ดูก่อนภิกษุทงั้ หลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
อะรัญญะคะโต วา
- ไปแล้วสูป่ ่ าก็ตาม
รุกขะมูละ คะโต วา
- ไปแล้วสูโ่ คนไม้ก็ตาม
สุญญาคาระคะโต วา
- ไปแล้วสูเ่ รือนว่างก็ตาม

นิ สีทะติ ปั ลลังกัง อาภุชิตวา


- นั่งคูข้ าเข้ามาโดยรอบแล้ว
อุชุง กายัง ปะณิธายะ, ปะริมุขงั สะติง อุปัฏฐะเปตวา
- ตัง้ กายตรง ดารงสติมนั่
โส สะโต วะ อัสสะสะติ, สะโต ปั สสะสะติ
- เป็ นผู้ มีสติอยู่ นั้นเทียว หายใจออก, มีสติอยู่ หายใจเข้า
-2-
(๑) ทีฆงั วา อัสสะสันโต, ทีฆงั อัสสะสามีติ ปะชานาติ
- เมื่ อหายใจออกยาว, ก็รสู้ ึกตัวทัว่ ถึงว่า เราหายใจออกยาว ดังนี้
ทีฆงั วา ปั สสะสันโต, ทีฆงั ปั สสะสามีติ ปะชานาติ
- เมื่ อหายใจเข้ายาว, ก็รสู้ ึกตัวทัว่ ถึงว่า เราหายใจเข้ายาว ดังนี้
(๒) รัสสัง วา อัสสะสันโต, รัสสัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ
- เมื่ อหายใจออกสัน้ , ก็รสู้ ึกตัวทัว่ ถึงว่า เราหายใจออกสัน้ ดังนี้
รัสสัง วา ปั สสะสันโต, รัสสัง ปั สสะสามีติ ปะชานาติ
- เมื่ อหายใจเข้าสัน้ , ก็รสู้ ึกตัวทัว่ ถึงว่า เราหายใจเข้าสัน้ ดังนี้
(๓) สัพพะกายะปะฏิสงั เวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
- ย่อมทาในบทศึกษาว่า เราเป็ นผูร้ พู้ ร้อมเฉพาะซึ่ งกายทัง้ ปวง จักหายใจออก ดังนี้
สัพพะกายะปะฏิสงั เวที ปั สสะสิสสามีติ สิกขะติฯ
- ย่อมทาในบทศึ กษาว่า เราเป็ นผูร้ พู้ ร้อมเฉพาะซึ่ งกายทัง้ ปวง จักหายใจเข้า ดังนี้
(๔) ปั สสัมภะยัง กายะสังขารัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
- ย่อมทาในบทศึกษาว่า เราเป็ นผูท้ ากายสังขารให้รางับอยู่ จักหายใจออก ดังนี้
ปั สสัมภะยัง กายะสังขารัง ปั สสะสิสสามีติ สิกขะติฯ
- ย่อมทาในบทศึกษาว่า เราเป็ นผูท้ ากายสังขารให้รางับอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้
[จบ จะตุกกะที่หนึ่ ง]

-3-
(๕) ปี ติปะฏิสงั เวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
- ย่อมทาในบทศึกษาว่า เราเป็ นผูร้ พู้ ร้อมเฉพาะซึ่ งปี ติ จักหายใจออก ดังนี้
ปี ติปะฏิสงั เวที ปั สสะสิสสามีติ สิกขะติฯ
- ย่อมทาในบทศึกษาว่า เราเป็ นผูร้ พู้ ร้อมเฉพาะซึ่ งปี ติ จักหายใจเข้า ดังนี้
(๖) สุขะปะฏิสงั เวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
- ย่อมทาในบทศึกษาว่า เราเป็ นผูร้ พู้ ร้อมเฉพาะซึ่ งสุข จักหายใจออก ดังนี้
สุขะปะฏิสงั เวที ปั สสะสิสสามีติ สิกขะติฯ
- ย่อมทาในบทศึกษาว่า เราเป็ นผูร้ พู้ ร้อมเฉพาะซึ่ งสุข จักหายใจเข้า ดังนี้
(๗) จิตตะสังขาระปะฏิสงั เวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
- ย่อมทาในบทศึกษาว่า เราเป็ นผูร้ พู้ ร้อมเฉพาะซึ่ งจิตตสังขาร จักหายใจออก ดังนี้
จิตตะสังขาระปะฏิสงั เวที ปั สสะสิสสามีติ สิกขะติฯ
- ย่อมทาในบทศึกษาว่า เราเป็ นผูร้ พู้ ร้อมเฉพาะซึ่ งจิตตสังขาร จักหายใจเข้า ดังนี้
(๘) ปั สสัมภะยัง จิตตะสังขารัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
- ย่อมทาในบทศึกษาว่า เราเป็ นผูท้ าจิตตสังขารให้รางับอยู่ จักหายใจออก ดังนี้
ปั สสัมภะยัง จิตตะสังขารัง ปั สสะสิสสามีติ สิกขะติ
- ย่อมทาในบทศึกษาว่า เราเป็ นผูท้ าจิตตสังขารให้รางับอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้
[จบ จะตุกกะที่สอง]

-4-
(๙) จิตตะปะฏิสงั เวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
- ย่อมทาในบทศึกษาว่า เราเป็ นผูร้ พู้ ร้อมเฉพาะซึ่ งจิต จักหายใจออก ดังนี้
จิตตะปะฏิสงั เวที ปั สสะสิสสามีติ สิกขะติฯ
- ย่อมทาในบทศึกษาว่า เราเป็ นผูร้ พู้ ร้อมเฉพาะซึ่ งจิต จักหายใจเข้า ดังนี้
(๑๐) อะภิปปะโมทะยัง จิตตัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
ิ่ ่ จักหายใจออก ดังนี้
- ย่อมทาในบทศึกษาว่า เราเป็ นผูท้ าจิตให้ปราโมทย์ยงอยู
อะภิปปะโมทะยัง จิตตัง ปั สสะสิสสามีติ สิกขะติฯ
ิ่ ่ จักหายใจเข้าดังนี้
- ย่อมทาในบทศึกษาว่า เราเป็ นผูท้ าจิตให้ปราโมทย์ยงอยู
(๑๑) สะมาทะหัง จิตตัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
- ย่อมทาในบทศึกษาว่า เราเป็ นผูท้ าจิตให้ตงั้ มัน่ อยู่ จักหายใจออก ดังนี้
สะมาทะหัง จิตตัง ปั สสะสิสสามีติ สิกขะติฯ
- ย่อมทาในบทศึกษาว่า เราเป็ นผูท้ าจิตให้ตงั้ มัน่ อยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้
(๑๒) วิโมจะยัง จิตตัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
- ย่อมทาในบทศึกษาว่า เราเป็ นผูท้ าจิตให้ปล่อยอยู่ จักหายใจออก ดังนี้
วิโมจะยัง จิตตัง ปั สสะสิสสามีติ สิกขะติฯ
- ย่อมทาในบทศึกษาว่า เราเป็ นผูท้ าจิตให้ปล่อยอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้
[จบ จะตุกกะที่สาม]

-5-
(๑๓) อะนิ จจานุ ปัสสี อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
- ย่อมทาในบทศึกษาว่า เราเป็ นผูต้ ามเห็นซึ่ งความไม่เที่ ยงอยูเ่ ป็ นประจา จักหายใจออก ดังนี้
อะนิ จจานุ ปัสสี ปั สสะสิสสามีติ สิกขะติฯ
- ย่อมทาในบทศึกษาว่า เราเป็ นผูต้ ามเห็นซึ่ งความไม่เที่ ยงอยูเ่ ป็ นประจา จักหายใจเข้า ดังนี้
(๑๔) วิราคานุ ปัสสี อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
- ย่อมทาในบทศึกษาว่า เราเป็ นผูต้ ามเห็นซึ่ งความจางคลายอยูเ่ ป็ นประจา จักหายใจออก ดังนี้
วิราคานุ ปัสสี ปั สสะสิสสามีติ สิกขะติฯ
- ย่อมทาในบทศึกษาว่า เราเป็ นผูต้ ามเห็นซึ่ งความจางคลายอยูเ่ ป็ นประจา จักหายใจเข้า ดังนี้
(๑๕) นิ โรธานุ ปัสสี อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
- ย่อมทาในบทศึกษาว่า เราเป็ นผูต้ ามเห็นซึ่ งความดับไม่เหลืออยูเ่ ป็ นประจา จักหายใจออก ดังนี้
นิ โรธานุ ปัสสี ปั สสะสิสสามีติ สิกขะติฯ
- ย่อมทาในบทศึกษาว่า เราเป็ นผูต้ ามเห็นซึ่ งความดับไม่เหลืออยูเ่ ป็ นประจา จักหายใจเข้า ดังนี้
(๑๖) ปะฏินิสสัคคานุ ปัสสี อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
- ย่อมทาในบทศึกษาว่า เราเป็ นผูต้ ามเห็นซึ่ งความสลัดคืนอยูเ่ ป็ นประจา จักหายใจออกดังนี้
ปะฏินัสสัคคานุ ปัสสี ปั สสะสิสสามีติ สิกขะติฯ
- ย่อมทาในบทศึกษาว่า เราเป็ นผูต้ ามเห็นซึ่ งความสลัดคืนอยูเ่ ป็ นประจา จักหายใจเข้า ดังนี้
[จบ จะตุกกะที่สี่]

-6-
เอวัง ภาวิตาโข ภิกขะเว อานาปานะสะติ , เอวัง พะหุลีกะตา
- ดูก่อนภิกษุทงั้ หลาย อานาปานสติอนั บุคคลเจริญแล้ว ทาให้มากแล้ว อย่างนี้ แล
มะหัปผะลา โหติ มะหานิ สงั สา
- ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิ สงส์ใหญ่
อิติฯ
- ด้วยประการฉะนี้ แล

-7-

You might also like