Professional Documents
Culture Documents
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม
้ งลูกด ้วยน้ำนม
จากวิกพ
ิ เี ดีย สารานุกรมเสรี
ไปยังการนำทางไปยังการค ้นหา
สัตว์เลีย
้ งลูกด ้วยน้ำปนผันานม
ช่วงเวลาทีม ี วี ต
่ ช ิ อยู:่ ปลายยุคไทรแอสซิก - ปั จจุบน
ั 228–0Ma
PreЄЄOSDCPTJKPgN
้ ทางวิทยาศาสตร์e
การจำแนกชัน
อาณาจักร: สัตว์
ไฟลัม: สัตว์มแ
ี กนสันหลัง
้ ใหญ่:
ชัน เทเทรอโพดา
เคลด: แอมนิโอตา
เคลด: ซีแนปซิดา
เคลด: เมอเมเลียฟอร์มส
ิ
้ :
ชัน สัตว์เลีย
้ งลูกด ้วยน้ำนม
Linnaeus, 1758
้ ย่อย ชัน
ชัน ้ ฐาน และอันดับ
้ ย่อยยิโนเธอเรีย
ชัน
อันดับมอนอเทรมาทา
้ ย่อยเธอเรีย
ชัน
้ ฐานสัตว์มก
ชัน ี ระเป๋ าหน ้าท ้อง
อันดับใหญ่
แอเมอริเดลเฟี ย
อันดับ
ไดเดลฟิ มอร์เฟี ย
อันดับ
พอซิทเู บอร์คล
ู าทา
อันดับใหญ่
ออสทราไลเดลเฟี ย
อันดับ
ไมโครไบโอเธอเรีย
อันดับ
แดสยูโรมอร์เฟี ย
อันดับ
นอทอริกทีมอร์เฟี ย
อันดับ
พีรามีลม
ี อร์เฟี ย
อันดับ
ไดโพรโทดอนเทีย
้ ฐานพลาเซนทาเลีย
ชัน
ี าร์ธรา
อันดับใหญ่ซน
อันดับซิงกูลาทา
อันดับไพโลซา
อันดับใหญ่
แอโฟรอินเซกทิฟิเลีย
อันดับเทนเรค
ี ้าง
อันดับหนูผช
อันดับอาร์ดวาร์ก
อันดับใหญ่เพนุนกูลาตา
อันดับไฮแรกซ์
อันดับพะยูน
อันดับช ้าง
อันดับใหญ่
ยูอาร์คอนโทกลิเรส
อันดับกระแต
อันดับกระต่าย
อันดับสัตว์ฟันแทะ
อันดับบ่าง
อันดับวานร
อันดับใหญ่
ลอเรเซียเธอเรีย
อันดับ
ยูลพ
ิ อไทเฟลอ
อันดับค ้างคาว
อันดับสัตว์กบ
ี คู่
อันดับสัตว์กบ
ี คี่
อันดับลิน
่
อันดับสัตว์กน
ิ เนื้อ
สัตว์เลีย
้ งลูกด ้วยน้ำนม (อังกฤษ: Mammal; จากภาษาละติน mamma "หน ้าอก") เป็ นกลุม ่ ของสัตว์มก ี ระดูก
สันหลังทีป ่ ระกอบขึน ้ เป็ นชัน้ สัตว์เลีย
้ งลูกด ้วยน้ำนม (Mammalia[a]) สัตว์เลีย ้ งลูกด ้วยน้ำนมมีลักษณะเด่น
ได ้แก่ มีตอ่ มน้ำนมทีพ ่ บในเพศเมีย (หรือพบได ้ในเพศผู ้เป็ นบางครัง้ [1]) ทำหน ้าทีผ ่ ลิตน้ำนมสำหรับเลีย ้ งลูก
อ่อน[2] มีคอร์เทกซ์ใหม่ (บริเวณหนึง่ ของสมอง) มีขนสัตว์หรือเส ้นผม และมีกระดูกหูชน ั ้ กลางสามชิน ้
ลักษณะเด่นดังกล่าวจำแนกสัตว์เลีย ้ งลูกด ้วยน้ำนมออกจากสัตว์เลือ ้ ยคลานและสัตว์ปีก ซึง่ สัตว์ทงั ้ สามกลุม ่
นัน
้ เบนออกจากกันเมือ ่ 201–227 ล ้านปี กอ ่ น ในช่วงปลายยุคไทรแอสซิก สัตว์เลีย ้ งลูกด ้วยน้ำนมมีอยู่
ประมาณ 5,450 ชนิด อันดับทีใ่ หญ่ทส ี่ ด
ุ ได ้แก่ อันดับสัตว์ฟันแทะ, อันดับค ้างคาว และอันดับตุน ่ สามอันดับ
ขนาดรองลงมาได ้แก่ อันดับวานร (เอป, ลิง และอืน ่ ๆ), อันดับสัตว์กบี คู่ (วาฬ–โลมา และสัตว์กบ ี คูอ
่ ย่าง
ยีราฟ) และอันดับสัตว์กน ิ เนื้อ (แมว, หมา, แมวน้ำ และอืน ่ ๆ)
สัตว์เลีย
้ งลูกด ้วยน้ำนมเป็ นสัตว์เลือดอุน
่ เช่นเดียวกับสัตว์ปีก ลักษณะนีว้ วิ ัฒนาการอย่างเป็ นอิสระจากกัน
ระหว่างชัน ้ ทัง้ สอง และเป็ นตัวอย่างหนึง่ ของวิวัฒนาการเบนเข ้า สัตว์เลีย้ งลูกด ้วยน้ำนมสามารถดำรงชีวต ิ ได ้
ในทุกสภาพสิง่ แวดล ้อม[3]
ในทางแคลดิสติกส์ ซึง่ สะท ้อนให ้เห็นถึงประวัตวิ วิ ัฒนาการ สัตว์เลีย ้ งลูกด ้วยน้ำนมเป็ นสมาชิกเดียวทีย ่ ังมี
ชีวติ อยูข
่ องเคลดซีแนปซิดา เคลดนีแ ้ ละซอรอปซิดารวมกันเป็ นเคลดแอมนิโอตาทีใ่ หญ่กว่า บรรพบุรษ ุ ไซ
แนปซิดของสัตว์เลีย ้ งลูกด ้วยน้ำนมเป็ นเพลิโคซอร์จากเคลดสเฟนาโคดอนเทีย อันเป็ นกลุม ่ ทีร่ วมถึงไดมีเท
รอดอนทีไ่ ม่ใช่สต ั ว์เลีย้ งลูกด ้วยน้ำนม เมือ ้ สุดยุคคาร์บอนิเฟอรัสประมาณ 300 ล ้านปี กอ
่ สิน ่ น กลุม ่ นีเ้ บนออก
จากสายซอรอปซิดาทีนำ ่ ไปสูส ่ ต
ั ว์เลือ ้ ยคลานและสัตว์ปีกในปั จจุบน ั สายนีต ้ ามกลุม ่ สเตมสเฟนาโคดอนเทีย
ได ้แยกออกเป็ นกลุม ่ ทีห ่ ลากหลายของไซแนปสิดทีไ่ ม่เป็ นสัตว์เลีย ้ งลูกด ้วยน้ำนม (บางครัง้ อ ้างอิงอย่างผิด ๆ
ว่าเป็ นสัตว์เลือ ้ ยคลานคล ้ายสัตว์เลีย ้ งลูกด ้วยน้ำนม) ก่อนทีจ ่ ะเกิดสัตว์กลุม ่ เธอแรปซิดในยุคเพอร์เมียนตอน
ต ้น อันดับสัตว์เลีย ้ งลูกด ้วยน้ำนมในปั จจุบน ั กำเนิดขึน
้ ในยุคพาลีโอจีนและนีโอจีนแห่งมหายุคซีโนโซอิก หลัง
การสูญพันธุข ์ องไดโนเสาร์ทไี่ ม่ใช่สต ั ว์ปีก และกลายเป็ นกลุม ่ สัตว์บกทีค ่ รองพืน ้ ทีม
่ าตัง้ แต่ 66 ล ้านปี กอ ่ น
จนถึงปั จจุบน ั
สัตว์เลีย
้ งลูกด ้วยน้ำนมมีรป ู ร่างพืน้ ฐานเป็ นสัตว์สเี่ ท ้า (Quadruped) และสัตว์เลีย ้ งลูกด ้วยน้ำนมส่วนมากใช ้
ส่วนปลายทัง้ สีน ่ ใี้ นการเคลือ ่ นทีบ
่ นบก แต่ในสัตว์เลีย ้ งลูกด ้วยน้ำนมบางชนิด ส่วนปลายดังกล่าวปรับตัวใช ้ใน
ทะเล บนอากาศ บนต ้นไม ้ ใต ้ดิน หรือด ้วยสองขา สัตว์เลีย ้ งลูกด ้วยน้ำนมมีขนาดตัง้ แต่ค ้างคาวคุณกิตติขนาด
30–40 มิลลิเมตร (1.2–1.6 นิว้ ) จนถึงวาฬสีน้ำเงินขนาด 30 เมตร (98 ฟุต) ซึง่ อาจเป็ นสัตว์ทใี่ หญ่ทส ี่ ด
ุ ที่
เคยมีชวต ี ิ มา ช่วงชีวต ิ สูงสุดแตกต่างกันไปตัง้ แต่ 2 ปี ของหนูผจ ี นถึง 211 ปี ของวาฬหัวคันศร สัตว์เลีย ้ งลูก
ด ้วยน้ำนมทัง้ หมดในปั จจุบน ั ออกลูกเป็ นตัว ยกเว ้นโมโนทรีมห ้าชนิดทีอ ่ อกลูกเป็ นไข่ กลุม
่ สัตว์เลีย
้ งลูกด ้วย
น้ำนมทีม ่ ส ี ม
ี ปี ชส ์ ากทีส ุ คือ พลาเซนทาเรีย ซึง่ มีรกทีทำ
่ ด ่ หน ้าทีเ่ ลีย
้ งตัวอ่อนระหว่างทีอ่ ยูใ่ นครรภ์
1 วิวัฒนาการ
2 ลักษณะทั่วไป
3 การจัดหมวดหมูส ั ว์เลีย
่ ต ้ งลูกด ้วยน้ำนม
4 ลักษณะทางกายวิภาค
4.1 ผิวหนัง
4.2 ขน
4.3 ต่อม
4.4 เขา
5 อาหารและการล่าเหยือ
่
5.1 สัตว์เลีย
้ งลูกด ้วยน้ำนมทีก
่ น
ิ พืช
5.2 สัตว์เลีย
้ งลูกด ้วยน้ำนมทีก
่ น
ิ เนือ
้
5.3 สัตว์เลีย
้ งลูกด ้วยน้ำนมทีก
่ น
ิ แมลง
5.4 สัตว์เลีย
้ งลูกด ้วยน้ำนมทีเ่ คีย
้ วเอือ
้ ง
5.5 สัตว์เลีย
้ งลูกด ้วยน้ำนมทีก
่ น
ิ พืชและสัตว์
6 การควบคุมอุณหภูมภ
ิ ายในร่างกาย
6.2 การปรับตัวในสภาพอากาศหนาวเย็น
7 การจำศีล
8 การอพยพและย ้ายถิน
่ ฐาน
9 การสืบสายพันธุ์
10 ถิน
่ อาศัยและการครอบครองอาณาเขต
11 เชิงอรรถ
12 อ ้างอิง
วิวัฒนาการ
สัตว์เลีย
้ งลูกด ้วยน้ำนมในชัน ้ ย่อยโพรโทเธอเรีย มีความเป็ นไปได ้สูงในการทีจ ้ สายมาจากสัตว์เลีย
่ ะสืบเชือ ้ ง
ลูกด ้วยน้ำนมชนิดอืน ่ ๆ ซึง่ การแบ่งแยกเธอเรียและโพรโทเธอเรียออกจากกัน น่าจะมีมาตัง้ แต่ในยุคไทรแอส
ซิก โดยตามหลักฐานทางธรณีวท ิ ยา ทีน
่ ักธรณีวท
ิ ยาได ้ทำการศึกษาและค ้นคว ้า พบเพียงชิน ้ ส่วนกระดูกเล็ก
ๆ ในช่วงระหว่างยุคจูแรสซิกและยุคครีเทเชียสเท่านัน ้ สืบเนือ
่ งมาจากสัตว์เลีย
้ งลูกด ้วยน้ำนมทีม ี วี ต
่ ช ิ อาศัย
อยูใ่ นยุคนัน
้ มีขนาดและรูปร่างเล็ก ปราดเปรียวและว่องไว มีลักษณะคล ้ายคลึงกับกระรอก หรืออาจจะมีขนาด
เล็กกว่าเพียงเล็กน ้อย มีกระดูกทีเ่ ปราะบาง แตกหักได ้ง่าย ทำให ้เมือ ่ ตายไป โครงกระดูกกลายเป็ น
ซากดึกดำบรรพ์ได ้ยาก
เมือ
่ ไดโนเสาร์เริม่ สูญพันธุจ
์ ากเหตุการณ์อกุ กาบาตพุง่ ชนโลก ในขณะทีเ่ ริม่ มหายุคซีโนโซอิกนั น ้ สัตว์เลีย
้ ง
ลูกด ้วยน้ำนมเริม
่ เพิม่ จำนวนประชากร แพร่กระจายเผ่าพันธุอ ์ ย่างรวดเร็ว ซึง่ เป็ นการเริม
่ ยุคสมัยของสัตว์เลีย ้ ง
ลูกด ้วยน้ำนม เมือ ่ ประมาณ 70 ล ้านปี มาแล ้ว โดยอาจเป็ นผลกระทบมาจากสถานะของสัตว์เลือ ้ ยคลานใน
ระบบนิเวศ (ecological niche) ทีเ่ กิดช่องว่างลงเป็ นจำนวนมาก ส่งผลให ้สัตว์เลีย ้ งลูกด ้วยน้ำนมเข ้ามา
แทนที่ และอาจมีเหตุผลอืน ่ ๆ เข ้ามามีสว่ นเกีย
่ วข ้องด ้วย เช่น ความว่องไวและปราดเปรียวของสัตว์เลีย ้ งลูก
ด ้วยน้ำนม การทีส ่ ามารถปรับและรักษาอุณหภูมข ิ องร่างกายให ้คงที่ แม ้จะอยูใ่ นสภาวะอากาศแบบใดก็ตาม
การมีขนปกคลุมทั่วทัง้ ร่างกาย การมีสายรกทีเ่ ป็ นสายใยเชือ ่ มต่อระหว่างแม่และตัวอ่อน ตลอดไปจนถึงการ
เลีย้ งดูลก
ู เมือ
่ ถือกำเนิดออกมา
ลักษณะทั่วไป
ลิงเป็ นสัตว์เลีย
้ งลูกด ้วยน้ำนม ทีม
่ ข
ี นปกคลุมทั่วทัง้ ร่างกาย
วาฬเป็ นสัตว์เลีย
้ งลูกด ้วยน้ำนม ทีม
่ ก
ี ารวิวัฒนาการลดจำนวนขนและรยางค์
สัตว์เลีย
้ งลูกด ้วยน้ำนมมีเพศทีแ่ บ่งแยกชัดเจน ทำให ้สามารถรู ้ได ้ทันทีวา่ เป็ นเพศผู ้หรือเพศเมีย (dioeceous)
สืบพันธุโ์ ดยการปฏิสนธิภายในสัตว์เลีย ้ งลูกด ้วยน้ำนมเพศเมีย ตัวอ่อนภายในท ้องจะมีสายรกสำหรับยึดเกาะ
(placental attachment) และเจริญเติบโตอยูภ ่ ายในมดลูก มีเยือ ่ ห่อหุ ้มตัวอ่อน (fetal membrane) และมี
น้ำนมจากต่อมน้ำนม เพือ ่ สำหรับเลีย้ งดูลก
ู อ่อน ทัง้ นีม
้ ก
ี ารยกเว ้นในกรณีของสัตว์เลีย ้ งลูกด ้วยน้ำนมในอันดับ
โมโนทรีมาทา ทีเ่ ป็ นสัตว์เลีย
้ งลูกด ้วยน้ำนมชนิดเดียวเท่านัน ้ ทีอ
่ อกลูกเป็ นไข่กอ ่ นจะฟั กออกมาเป็ นตัวอ่อน
และเจริญเติบโตจนมีลักษณะคล ้ายคลึงกับตัวทีโ่ ตเต็มวัย
สัตว์เลีย้ งลูกด ้วยน้ำนมและนก เป็ นสัตว์ทม ี่ วี วิ ัฒนาการมาจากสัตว์เลือ ้ ยคลาน ทำให ้มีโครงสร ้างของร่างกาย
ทีม
่ ค
ี วามคล ้ายคลึงกันระหว่างสัตว์ทงั ้ 3 กลุม ่ แต่สำหรับสัตว์เลีย
้ งลูกด ้วยน้ำนม มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทีเ่ ด่น
ชัดทีส่ ด
ุ คือ "มีขนปกคลุมทั่วทัง้ ร่างกาย" แม ้ว่าในบางชนิดเช่นวาฬ จะลดจำนวนของขนลงไป หรือแม ้แต่
เกล็ดของสัตว์เลือ ้ ยคลานทีเ่ ป็ นต ้นกำเนิดของขน จะยังคงหลงเหลืออยูใ่ นสัตว์เลีย ้ งลูกด ้วยน้ำนมบางชนิด
เช่นเกล็ดบริเวณแผ่นหางของบีเวอร์และหนู เป็ นต ้น
แต่ปัจจัยสำคัญทีส ่ ด
ุ ทีทำ
่ ให ้สัตว์เลีย
้ งลูกด ้วยนมประสบความสำเร็จ จนมีววิ ัฒนาการถึงขีดสุดคือสมองในส่วน
นีโอซีรบี รัม ทีม
่ ค
ี วามเจริญเติบโตอย่างดีเยีย ่ ม ทำให ้มีความสามารถในการปรับตัว รวมถึงพฤติกรรมการกินอยู่
อาศัยและหลับนอน ตลอดจนการเรียนรู ้ ความอยากรู ้อยากเห็น และมีความฉลาดมากกว่าสัตว์เลือ ้ ยคลานมาก
ทำให ้ในยุคมีโซโนอิกเป็ นยุคทีส ั ว์เลีย
่ ต ้ งลูกด ้วยนมครองโลกเป็ นต ้นมา (อันดับสัตว์เลีย
้ งลูกด ้วยนม 3 อันดับ
ทีฉ
่ ลาดทีส ่ ด
ุ ในโลก 1. มนุษย์ 2. วานร 3. โลมา) แต่ยังไม่ครองโลกนานเท่าไรนั ก เนือ ่ งจากมนุษย์ถอ ื กำเนื
ดมาเมือ่ 1.8 ล ้านปี มานีเ่ อง
การจัดหมวดหมูส ั ว์เลีย
่ ต ้ งลูกด ้วยน้ำนม
การจัดหมวดหมูข ่ องสัตว์เลีย
้ งลูกด ้วยน้ำนม เป็ นการจำแนกสัตว์เลีย ้ งลูกด ้วยน้ำนมทีม ี วี ต
่ ช ิ อยู่ เป็ น 18 อันดับ
ซึง่ ไม่รวมเอากลุม่ ของสัตว์เลีย
้ งลูกด ้วยน้ำนมทีส่ ญ
ู พันธุไ์ ปแล ้ว 14 อันดับ มารวมอยูด่ ้วย และเป็ นการจัด
อันดับสัตว์เลีย
้ งลูกด ้วยน้ำนมตามแบบของ Hickman et al., 1982 ดังนี้[7]
อิคด
ิ นาสัตว์เลีย
้ งลูกด ้วยน้ำนมทีว่ างไข่
จิงโจ ้สัตว์เลีย
้ งลูกด ้วยน้ำนมทีม
่ ถ
ี งุ หน ้าท ้อง
โคอาลาสัตว์เลีย
้ งลูกด ้วยน้ำนมทีม
่ ถ
ี งุ หน ้าท ้อง
แรคคูนสัตว์เลีย
้ งลูกด ้วยน้ำนมทีม
่ ส
ี ายรก
วาฬสัตว์เลีย
้ งลูกด ้วยน้ำนมทีม
่ ส
ี ายรก
ั ว์เลีย
มานาทีสต ้ งลูกด ้วยน้ำนมทีม
่ ส
ี ายรก
ลิงกอริลลาสัตว์เลีย
้ งลูกด ้วยน้ำนมทีม
่ ส
ี ายรก
Order Monotremata
- ตัวตุน
่ ปากเป็ ด
- ตัวกินมดหนาม
Infraclass Marsupialia
- โอพอสซัม
- จิงโจ ้
- โคอาลา
Order Eulipotyphla
- หนูผ ี
- เม่นหนามสัน้
- ตัวตุน
่
Order Chiroptera
- ค ้างคาว
Order Dermoptera
- บ่าง
Order Tubulidentata
- อาร์ดวาร์ก
Order Rodentia
- กระรอก
- หนู
- กระจ ้อน
- บีเวอร์
- เม่นใหญ่
Order Pholidota
- ลิน
่
Order Lagomorpha
- กระต่าย
- กระต่ายป่ า
- พิคา
Order Xenarthra
- ตัวกินมดยักษ์
- สล็อท
- ตัวนิม
่
Order Carnivora
- สิงโต
- แรคคูน
- สกังค์
- วอลรัส
- แมวป่ า
- หมาป่ า
- แมวน้ำ
- สิงโตทะเล
- เพียงพอน
Order Proboscidea
- ช ้าง
Order Hyracoidea
- ไฮแรกซ์
Order Sirenia
- พะยูน
- มานาที
Order Perissodactyla
- ม ้า
- ม ้าลาย
- สมเสร็จ
- แรด
Order Artiodactyla
- อูฐ
- กวาง
- ยีราฟ
- ควาย
- แพะ
- แกะ
- วัว
- ฮิปโปโปเทมัส
- วาฬ
- โลมา
Order Scandentia
- กระแต
Order Primate
- ลิงลม
- ชะนี
- ลิงอุรังอุตงั
- ลิงกอริลลา
- ลิงชิมแพนซี
- มนุษย์
Mammalia
Marsupialia Macropodidæ
Placentalia
Atlantogenata
Boreoeutheria
Euarchontoglires
Laurasiatheria
Eulipotyphla Talpidae
Scrotifera
Chiroptera Desmodontinae
Euungulata
Pholidota Manidae
ลักษณะทางกายวิภาค
สัตว์เลีย
้ งลูกด ้วยน้ำนม เป็ นสัตว์เลือดอุน
่ ทีม
่ ล
ี ักษณะทางกายวิภาคแตกต่างกันตามแต่ละสปี ชส ี ์ มีขนาด
ร่างกายแตกต่างกันออกไป เช่นค ้างคาวกิตติ เป็ นสัตว์เลีย ้ งลูกด ้วยน้ำนมทีม่ ข
ี นาดเล็กทีส ่ ดุ ในปั จจุบน ั มีปีก
สำหรับบินในอากาศ น้ำหนักตัวน ้อยมากเฉลีย ่ ประมาณ 2 กรัม ความยาวของลำตัวประมาณ 29 - 38
มิลลิเมตร แตกต่างจากช ้างแอฟริกาซึง่ เป็ นสัตว์เลีย ้ งลูกด ้วยน้ำนมทีม ่ ข
ี นาดใหญ่ทส ี่ ดุ มีลักษณะทาง
กายวิภาคทีแ ่ ตกต่างจากค ้างคาว เช่นเดียวกับวาฬทีเ่ ป็ นสัตว์เลีย ้ งลูกด ้วยน้ำนมทีดำ
่ รงชีวต ิ อยูใ่ นน้ำ ทีม่ ข
ี นาด
ร่างกายใหญ่โต น้ำหนักตัวประมาณ 107,272 กิโลกรัม ความยาวของลำตัวประมาณ 32 เมตร โดยสัตว์เลีย ้ ง
ลูกด ้วยน้ำนมทุกชนิด ยังคงลักษณะเฉพาะตัว ทีส ่ ามารถอธิบายถึงพฤติกรรมการอยูอ ่ าศัยและสภาพแวดล ้อม
ได ้ โดยลักษณะทางโครงสร ้างทางกายภาพของสัตว์เลีย ้ งลูกด ้วยน้ำนม สามารถแบ่งออกได ้ดังนี้[8]
ผิวหนัง
สัตว์เลีย
้ งลูกด ้วยน้ำนม มีผวิ หนังและโครงสร ้างทีป ่ นจากเดิมมาก โดยเฉพาะผิวหนังจะเป็ นสิง่ ทีใ่ ช ้ใน
่ รับเปลีย
การจัดหมวดหมูข ่ องสัตว์เลีย้ งลูกด ้วยน้ำนม ผิวหนังจะเป็ นตัวกลางระหว่างตัวของสัตว์ในชนิดต่าง ๆ และ
สภาพสิง่ แวดล ้อม ทีจ ่ ะเป็ นตัวบ่งบอกศักยภาพของสัตว์ เช่น ผิวหนังของสัตว์เลีย ้ งลูกด ้วยน้ำนมทั่วไป จะมี
ลักษณะทีห ่ นากว่าสัตว์ไม่มก ี ระดูกสันหลังในกลุม่ อืน
่ ๆ เนือ่ งจากผิวหนังของสัตว์เลีย
้ งลูกด ้วยน้ำนม จะ
ประกอบไปด ้วยอิพเิ ดอร์มส ิ หรือหนังกำพร ้า และเดอร์มส ิ หรือหนังแท ้
ขน