You are on page 1of 81

ญาณสัมปนโนบูชา

ผูแตง ทานอาจารยพระมหาบัว ญาณสัมปนโน


สารบัญ หนา

๑. เชื่อพระพุทธเจาเถิด ๒
๒. อยางมองขามใจ ๑๓
๓. ตามดูวิถีจิต ๒๐
๔. ฝากมรดก ๔๐
๕. การฟนฟูชาติ ๖๓



เทศนอบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม กรุงเทพมหานคร
เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๗
เชื่อพระพุทธเจาเถิด
กลัวถาไปสวรรคคนมาก เมืองสวรรคจะเต็ม เมืองสวรรคไมเต็ม พรหมโลกไม
เต็ม นิพพานไมเต็ม แมที่สุดนรกก็ไมเต็ม มีเทาไรรับไดหมดแตแนนเทานั้น นรกนี้ไมเต็ม
แตแนน คือแนนอัดดวยกรรมของสัตว นรกไมเปนทุกขแตสัตวเปนทุกข แนนอัดกันหมด
เพราะคนชอบทําความชั่วมากกวาความดีแลวก็ไปนรกมากกวา อัดแนน ความทุกข
ทรมานแสนสาหัสไมมีอะไรเกินนรก พระพุทธเจาทรงเมตตาเต็มพระทัย ฉุดลากขึ้นมา
ยังบืน ( บืน = เสือกไป,คืบไปดวยความลําบากยากแคน )ลงไปอยู พวกเราอยาพา
กันบืนลงไปนะ ใหบืนขึ้น - บืนขึ้นไดเปนสุข บืนลงเปนทุกขอยาบืนลง สิ่งไหนชั่วทาน
สอนแลวอยาทํา
ไมมีใครตาดีหูเร็วยิ่งกวาพระพุทธเจา เพราะนั้นเปนตาทิพยดวย หูทิพยดวย ตา
ทิพยสวางจาไมเหมือนตาภายนอก มีกระดาษใบเดียวแผนเดียวมาปดบังไมเห็นแลวตา
นอก แตตาในปดเทาไรไมอยูทะลุหมดเลย พระพุทธเจาสอนโลกดวยความทะลุทุกอยาง
จึงเรียกวาโลกวิทู รูแจงโลก รูแจงหมดทั้งโลกนอกโลกในตลอดทั่วถึง เวลานี้กิเลสมันปด
นะ กิเลสมันปดมันบัง อันไหนที่จะเปนความดีมันจะเปลี่ยนใหเปนชั่ว อะไรไมดีมันจะ
ยกยอวาดีทั้งนั้น ๆ สัตวโลกเราก็โงดวยเชื่อมันงายนิดเดียว เชื่อพระพุทธเจาเชื่อยาก
เพราะฉะนั้นคนจึงไปทางดีมีความสุขนอย นอยมากทีเดียว
เราโงตองเชื่อทานผูฉลาดคือจอมปราชญ พระพุทธเจาจอมปราชญทุก ๆ
พระองคสอนแบบเดียวกันหมด เพราะทุกสิ่งทุกอยางมีแบบเดียวกันอยางเดียวกันมา
ดั้งเดิม พอตรัสรูปงขึ้นมาก็จามองเห็นหมด ก็นําสิ่งที่ดีที่ชั่วซึ่งทรงเห็นแลวมาสอนโลกให
รู เพราะพวกเราไมรูเดินงุมงามตวมเตี้ยม ตาก็หลับหูก็ปด ตาบอดหูหนวกดวย โดนอัน
นั้นชนอันนี้ไปเรื่อย สวนมากชนแตความทุกขความทรมาน จึงใหทําความดี อยาง
หนังสือที่แจกนี้เอาไปอาน อานหนังสือดวยอานตัวเองดวยเทียบกัน อันไหนไมดีทาน
สอนวายังไงนั้นละถูกตอง เราปฏิบัติตามนั้นเลย แกไขดัดแปลงตนเองไปดวย

ฝาฝนซิความชั่วมันมีกําลังมากมันฉุดลากเราไปไดอยางงายดาย แตจะไปความ
ดีนี้ไปยาก ไปทางชั่วนี้ไหลลงเลยนะใหพากันระมัดระวังใหมาก เวลานี้ของปลอมกําลัง
กลายเปนของจริงขึ้นมามากเขา ๆ โดยลําดับ ของจริงกิเลสกลบไว ทั้งใหเปนของปลอม
ไมใหเห็นเปนของจริงดวย ถาเห็นกิเลสก็เปาพรูดเดียวใหเปนของปลอม ไอเราก็เชื่อมัน
งายดวย เชื่อเร็วเสียดวย ของจริงมันไมใหเห็น เห็นมันก็ปดเอาไวเสีย เอาของปลอม
ขึ้นมาหลอกโลก เพราะฉะนั้นโลกถึงมีแตความทุกขความลําบากมาก
วันนี้วันศุกร สุโข ปุtฺญสฺส อุจฺจโย การสั่งสมขึ้นซึ่งบุญนํามาซึ่งความสุข นี่
เปนพุทธภาษิตเปนพระวาจาของพระพุทธเจา ทานสอนพุทธบริษัทของทาน
พระพุทธเจาทานรักพุทธบริษัททานรักมากจริง ๆ นะ ศาสนาที่ยังเหลืออยูทุกวันนี้ก็
เหลือเพื่อพุทธบริษัท คือภิกษุ แตกอนมีภิกษุณี ทานวาภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกไดแก
ผูชาย อุบาสิกาไดแกฝายหญิง นี้เรียกวาพุทธบริษัทคือลูกเตาเหลากอของพระพุทธเจา
ทานทรงพระเมตตาสงสารมากมาย พระโอวาทที่ประทานไวนี้ก็เพื่อลูกของทานนั้น
แหละ
เราเปนลูกของทานจงเปนลูกที่ดีใหเชื่อครูเชื่อพอของเราไดแกพระพุทธเจา พอ
ของเราเปนผูสิ้นกิเลส เปนผูเลิศประเสริฐในโลกทั้งสามนี้ไมมีใครเสมอเหมือนแลว จึง
เรียกวาศาสดาเอกคือไมมีใครเสมอ มีหนึ่งไมมีสองเขามาเปนเครื่องทาบหรือเปนเครื่อง
เทียบเคียงเปนคูแขงขันไดเลย ทานประทานพระโอวาทไวนี้ เพราะเปนความหวงใยโลก
ไดแกโลกนอกจากพุทธบริษัทนี้แลว ยังพวกเทวบุตรเทวดาอินทรพรหม
ในสามแดนโลกธาตุนี้อยูในขายแหงความเมตตาของพระพุทธเจาทั้งนั้น ทาน
ทรงแนะนําสั่งสอนทุกวิถีทางที่จะเปนไปไดในเวลายังทรงพระชนมอยู เวลาสิ้นพระชนม
ไปแลวก็ประกาศธรรมสอนเอาไว ดังที่เราทั้งหลายไดกราบไหวบูชาและไดดําเนินตาม
ทาน เปนเยี่ยงอยางอันดีแกตัวของเราดวย และแกกุลบุตรสุดทายภายหลังจะไดถือเปน
คติตัวอยางอันดีงามดวยในทางที่ดี
ตะกี้นี้ไดยกขึ้นวา สุโข ปุtฺญสฺส อุจฺจโย การสั่งสมขึ้นซึ่งบุญยอมนํามาซึ่ง
ความสุข การสั่งสมบุญก็คือการทําความดีนั้นแหละ การทําความดีคือการสั่งสมบุญสั่ง
สมกุศลขึ้น เพราะฉะนั้นชาวพุทธเราเวลาวางจึงมีการไปวัดไปวา ทําบุญใหทานใน
สถานที่ตาง ๆ เพื่อหัวใจ ใจนี้สําคัญมากยิ่งกวารางกาย รางกายมีอายุ เรียกวาอายุขัย
ของแตละราย ๆ เทานั้น หมดปญหานี้แลวสวนผสมไดแกธาตุ ๔ ดิน น้ํา ลม ไฟ ที่เรา

เรียกวาคนวาสัตวนี้ก็สลายตัวลงไปสูธาตุเดิมของเขา ธาตุเดิมคือธาตุดิน ธาตุน้ํา ธาตุ
ลม ธาตุไฟ นี่คือธาตุตาง ๆ เขามาเปนสวนผสมมีจิตเปนผูเขาครองในธาตุอันนี้ ก็
กลายเปนสัตวเปนบุคคลขึ้นมา เวลาหมดสภาพความเปนอยูไมสามารถที่จะทรงตัวอยู
ไดแลวก็สลายตัวลงไป โลกเรียกวาตาย
รางกายนี้เมื่อสลายลงไปแลวก็ไมตาย ตายจากคําวาเปนสัตวเปนบุคคล จากคํา
วาเกิดเปนสัตวเปนบุคคลเทานั้น สวนธาตุเดิมนี้ไมตาย ดินสลายลงไปเปนดินตามเดิม
เปนน้ํา เปนลม เปนไฟ ตามเดิม ใจก็ออกเสาะแสวงหาที่พึ่ง ถาใจไดสรางคุณงามความ
ดีเอาไวก็ไมตองแสวงหา เพราะไดสรางไวเรียบรอยแลว ผูที่ไมไดสราง สัตวที่ไมไดสราง
ถึงจะเสาะแสวงเทาไรก็ไมมีโอกาสจะไดพบไดเห็นสิ่งที่สมหวังดังใจหมาย
เพราะฉะนั้นเราทั้งหลายในเมื่อมีชีวิตอยูใหพยายามขวนขวายใหเสมอกันกับ
สวนรางกาย อยางนอยเสมอกัน มากกวานั้นใหทางจิตใจมากกวาหนักแนนกวา เพราะ
ใจนี้ยังจะดําเนินหรือหมุนเวียนไปตามวัฏจักรคือความหมุนไปตลอดอนันตกาล เพราะ
ใจไมเคยตาย พระพุทธเจาพระอรหันตทานรูชัดในเรื่องความเกิดความตายของสัตว ใน
องคอริยสัจเปนเครื่องประกาศสอนความรูทุกอยางอยูในนั้นหมด พระพุทธเจาทรงทราบ
สัตววาการตายของสัตวการเกิดของสัตวนี้เปนภาระอันหนักมาก แตคําวาความสูญของ
สัตวนี้ไมเคยมี เพราะสัตวไมเคยสูญ ตายแลวไมเคยสูญไมเคยมีแมรายเดียว มีแตตาย
แลวก็เกิด ๆ ทั้งสัตวทั้งบุคคลภพตาง ๆ ภูมิตาง ๆ เปนภูมิที่เกิดที่ตายของสัตวโลก
ดวยกันทั้งนั้น
ไมมีภูมิใดจะคงเสนคงวาอยูไดนอกจากนิพพาน นิพพานทานไมเรียกวาภูมิเสีย
ทานเรียกวานิพพานคือดับรอบหมดเลย ในบรรดาสิ่งที่เปนสมมุติอันจะพาใหหมุนเกิด
แกเจ็บตายตอไปนั้นไมมีแลวในจิตของทานผูถึงนิพพานแลว ไดแกจิตพระพุทธเจา จิต
พระอรหันตทาน ทานเหลานี้เปนไปจากความดีทั้งนั้น ความดีเปนแมพิมพ ความดีเปน
พืชอันสําคัญที่จะสรางคนใหดีจนกระทั่งถึงขั้นดีเลิศ ดังพระพุทธเจาและพระสาวกทาน
ลวนแลวแตเลิศไปจากความดีคือการสรางบุญสรางกุศล เพราะจิตใจเปนของไมตาย
แตตองหมุนตองเวียนเพราะมีเชื้ออยูภายในนั้น
เชื้ออันนี้เราจะเรียนสักเทาไรเราก็ไมมีความหมายเพียงการเรียนเทานั้น เราจะ
เรียนถึงนิพพานก็ไปตั้งเวทีรบกับนิพพานอยูนั้นแล รบยังไง ก็สงสัยวานิพพานมีหรือไมมี
นานั่นซิ นี่อยางนอยนะ มากกวานั้นก็วานิพพานไมมี ทั้ง ๆ ที่เรียนจบถึงนิพพานก็ไป

สงสัยในนิพพานจนไดลําพังความจดจําจากการเลาเรียน เรียนถึงบาปสงสัยบาป เรียน
ไปถึงบุญสงสัยบุญ เรียนเรื่องนรกสงสัยนรก เรียนเรื่องสวรรคสงสัยสวรรค เรียนไปถึง
ไหนสงสัยไปถึงนั้น นี่คือความจํา สรางความกังวลวุนวาย สรางความไมแนใจใหเจาของ
อยูตลอดเวลา
เรียนมากเรียนนอยไมสําคัญ เรื่องความสงสัยนี้จะติดตามไปเหมือนไฟไดเชื้อ
เพราะฉะนั้นจึงตองมีภาคปฏิบัติไดแกการทําจริง เชนเดียวกับแปลนบานเรา เราทํา
แปลนเสร็จเรียบรอยแลว ถาเราไมสรางเปนบานเปนเรือนจะเก็บไวในหองเต็มหอง ก็มี
แตหองแปลนแบบแปลนแผนผังเทานั้น ไมสําเร็จเปนตึกรามบานชองใหเลย ตอเมื่อเรา
ไดนําแปลนนั้นมากางออกแลวปฏิบัติตามแปลนที่บอกไวนั้น ก็จะกลายเปนบานเปน
เรือนตึกรามบานชอง กี่หองกี่หับตามแปลนที่บอกไวแลวนั้นทุกประการอันนั้นฉันใด ใน
ธรรมะของพระพุทธเจานี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ตองมีภาคปฏิบัติไปดวยจึงจะเกิดผล
ทานสอนไววาปริยัติ ไดแกการศึกษาเลาเรียนใหรูจักเข็มทิศทางเดินแลวปฏิบัติ
ไดแกปฏิบัติดําเนินตาม เชนเดียวกับเขาสรางบานสรางเรือนตามแปลนที่เรียนมาแลว
นั้นแล ปฏิเวธสําเร็จเปนบานเปนเรือนขึ้นมา นี่ก็สําเร็จเปนมรรคเปนผลเปนสวรรคเปน
นิพพานขึ้นมาภายในจิตใจของผูปฏิบัติ เพราะฉะนั้นธรรมะนี้จึงตองไปพิสูจนกัน
ทางดานปฏิบัติ แตเพียงเรียนเฉย ๆ ไมวาใครทั้งนั้น จะเรียนจบพระไตรปฎกก็ตาม
ความสงสัยจะเต็มอยูในพระไตรปฎก แลวยอนเขามาก็มาเต็มอยูในหัวใจของผูเรียนนั้น
แลไมไดสําเร็จประโยชนอะไรถาไมปฏิบัติ
เมื่อไดปฏิบัติแลวทานสอนวาสมาธิเปนยังไง และวิธีการทําสมาธิเปนยังไง เชน
ทานสอนวาใหภาวนา คือจิตใจของเรามันสายแสเรรอนหาที่เกาะที่ยึดอยูตลอดเวลาทั้ง
หญิงทั้งชายไมเลือกไมเวน จะเรียนมากเรียนนอยก็ตาม ความคิดความปรุงสายแสนี้มี
เหมือนกันหมด ทีนี้เราตองการความจริง เชนทานวาสมาธิคือความสงบใจ ความสงบใจ
กับความสุขของใจเปนอันเดียวกันอยูดวยกัน ถาจิตสงบใจก็เปนสุข
แลวสมาธิเปนยังไง ทานสอนวิธีการทําสมาธิวาใหเจริญภาวนา ทําใจใหอยูกับ
ธรรมบทเดียวบทใดบทหนึ่งก็ได เราจะกําหนดคําบริกรรมวาพุทโธก็ได ธัมโมก็ได สังโฆ
ก็ได หรืออัฏฐิ ๆ แปลวากระดูก ในตัวของเรานี้เปนกองกระดูกปาชาผีดิบ บริกรรมยังไงก็
ไดไมผิด ขอใหจิตของเราอยูกับคําบริกรรมอยาสายแสเรรอนไปที่อื่น แลวจิตกับธรรมจะ

ประสานกันเขา ๆ แลวจะเปนพลังขึ้นมาภายในจิตใจ เมื่อเปนพลังขึ้นมาแลวความรูนั้น
จะเดน เดนขึ้นภายในใจในรางกายของเรานี้แหละในทามกลางหัวอก พูดกันอยางนี้เลย
ผูปฏิบัติเทานั้นที่จะทราบที่อยูของจิตอยูที่ตรงไหน อยูในทามกลางหัวอกนี้
เพราะความรูเดน - เดนอยูที่นี่ ความสวางไสวสวางอยูที่นี่ ความเปนสมาธิคือความแนน
หนามั่นคงของใจ เปนความสุขของใจ ก็อยูในทามกลางหัวอก ไมอยูบนสมอง บนสมอง
นั้นเปนสถานที่ทํางานของความจํา เราเรียนมากเรียนนอยจะไปทํางานอยูที่สมอง
จนกระทั่งสมองทื่อ เมื่อเรียนมาก ๆ จํามาก ๆ เขาไป แตทางภาคปฏิบัตินี้ปฏิบัติมาก
เทาไรยิ่งจะมาปรากฏเดนในทามกลางหัวอกนี้แหละ ความสงบก็สงบเขาที่นี่ ความ
ฟุงซานวุนวายก็ฟุงซานวุนวายออกจากที่นี่ เวลาความสวางไสวเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นใน
ทามกลางหัวอก ความสุขเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นในที่นี่
คําวาสมาธิที่เราเคยเรียนเคยจําในตํารับตํารา ซึ่งทานชี้บอกเขามาในหัวใจเรานี้
เราไดปรากฏแลวในภาคปฏิบัติของเรา วาใจเปนความสงบแนวแนอยูภายในตัวเอง
เปนความสุขอันรื่นเริงบันเทิงผิดกับความสุขทั้งหลายที่เราเคยผานมาเปนไหน ๆ ออ นี่
สมาธิเปนอยางนี้ นี่เรียกวาสําเร็จเปนแปลนบานขึ้นมาแลว เปนหลังหนึ่งแลวหรือเปน
ชั้นหนึ่งแลว พอทําจิตใหสงบเปนสมาธิ คําวาสมาธิมีหลายขั้นหลายตอน เราเจริญมาก
เทาไรจิตยิ่งมีความสงบเย็นเขาไป ๆ ละเอียดลออเขาไปเรื่อย ๆ ก็เทากับเราปลูกบาน
เปนสองชั้นสามชั้นขึ้นไปแลว
จากสมาธิแลวกาวขึ้นสูปญญา ปญญาเปนยังไงทานสอนไวในตํารับตําราวา
ปญญา ๆ คือความคลองแคลววองไวของความคิดความอาน ความเฉลียวฉลาดรวดเร็ว
ทั้งทางโลกและทางธรรมทานเรียกปญญา แตเปนโลกิยปญญา โลกุตรปญญาตางกัน
เทานั้น โลกิยปญญาดังที่โลกทั้งหลายเขาใชกัน ใชละเอียดลออขนาดไหนก็ไดทางโลก
แตอยูในวิสัยของโลกเทานั้นไมนอกเหนือจากโลกนี้ไปได สวนปญญาที่วาโลกุตรปญญา
นั้น ปญญานี้เปนปญญาที่ทําจิตใจใหเหนือโลกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีความสวาง
กระจางแจงเห็นตามหลักความจริงในธาตุในขันธในสัตวในบุคคล ตลอดถึงนรกสวรรค
พรหมโลกนิพพานกระจางแจงขึ้นภายในจิตใจนี้แล
พระพุทธเจาทานสอนโลกทานสอนดวยความรูจริง ๆ แตเราไมไดปฏิบัติ เรา
เรียนเฉย ๆ ไมปฏิบัติก็ไมรูความจริง แลวก็ตําหนิติเตียนหรือลบลางธรรมนั้นวาไมมี วา
ธรรมนี้เปนโมฆะ หรือผูปฏิบัติธรรมผูทําภาวนาเปนการงมงาย เปนบุคคลงมงายไปเสีย

ทั้ง ๆ ที่เจาของงมงายเสียจนกระทั่งหมดราคาแลวยังเหลือแตลมหายใจฝอด ๆ ก็ยังไมรู
เนื้อรูตัว ในขอนี้ขอใหพี่นองทั้งหลายจําเอาไว ถาอยากรูของจริงความจริงก็จงปฏิบัติเอง
อยางมเงาดวยความจําอยูเฉย ๆ
สมัยนี้สมัยคนฉลาดมีมากมาตําหนิติเตียนธรรมของจอมปราชญ วาเปนธรรม
งมงาย เปนบุคคลงมงาย บุคคลใดเขามาหาศีลหาธรรมมาปฏิบัติคุณงามความดี
ทั้งหลาย หาวาพวกนี้งมงาย ๆ เจาของยังเหลือแตลมหายใจฝอด ๆ ไมรูเนื้อรูตัว
เพราะฉะนั้นเราจงแยกในหัวใจของเราวาเวลานี้เราเปนคนประเภทไหน เราเปนคน
ประเภทเขาวัดเขาวางมงาย หรือเปนประเภททันสมัยนั้นเปนของดีใหเราคิดดู ถาจิตของ
เราไปทางชั่วชาลามกนั้นวาเปนของทันสมัย เปนจรวดดาวเทียมไปแลว ใหพึงทราบวานี่
เรายังเหลือแตลมหายใจนะเวลานี้ จะแกยังไงใหรีบแก ใหแกเขามาสูอรรถสูธรรมนี้จะไม
เปนของงมงายตามหลักความจริงตามหลักธรรมชาติที่จอมปราชญสอนไว
นี่พูดถึงเรื่องการภาวนา ทานรูจริง ๆ ทานเห็นจริง ๆ ธรรมะนี้ออกมาจากทานผูรู
จริงเห็นจริงไมไดมาสอนแบบงมงาย พอพุทธบริษัทของเราจะเปนผูงมงายเมื่อปฏิบัติ
ตามคําสอนของพระพุทธเจานี้แลวก็ใหรูในวงศาสนาพุทธเรานี้เถอะ
คําวานรกเปนยังไง เมื่อเราไมเห็นก็เหมือนไมมีนรก เหมือนอยางเรือนจําเวลานี้
เราอยูที่นี่ไมเห็นเรือนจํา ประหนึ่งเรือนจํานั้นไมมี ไมมีในหัวใจเราทั้ง ๆ ที่ความจริงนั้น
เรือนจํามีอยู ทีนี้เวลากาวไปเจอเรือนจําแลวเปนยังไง ออ เรือนจําเปนอยางนี้ นี่แหละ
พระจิตของพระพุทธเจา และญาณหยั่งทราบของพระอรหันตทานเปนบางทานบางองค
ไมไดหมายถึงทั่วไป รับทราบสิ่งเหลานี้ก็เหมือนกันอยางนั้น ออ นรกที่คาดคะเนกัน
อยางนั้นอยางนี้นี้ไมมีความหมายเลย ความหมายจริง ๆ แลวดังที่รูที่เห็นอยูเวลานี้ คาด
ไมถูก เปนผูรูเทานั้นรูเองเห็นเองเปน สนฺทิฏฐิโก ปรากฏขึ้นแลวในหัวใจนี้
คําวานรกก็จะสด ๆ รอน ๆ เพราะเจาของเจออยูเห็นอยูดูอยูเวลานี้ แลวนรกจะ
หายไปไหน จะถูกลบลางไปไหนเมื่อรูอยูเห็นอยู ใครจะวานรกนี้ไมมีสามแดนโลกธาตุก็
ตาม เราผูดูนรกเราผูรูนรกเราผูเห็นนรกนี้ยอมเชื่อเราอยางเต็มหัวใจยิ่งกวาจะเชื่อใครใน
โลกนี้ นั้นแหละพระพุทธเจาของเราเปนพระพุทธเจาเพียงพระองคเดียว จึงไมยอมเชื่อ
ใครทั้งนั้น เพราะเหลานั้นเปนเรื่องงมงายทั้งหมด พูดกันสุมสี่สุมหา แตพระองคไมได
เปนความรูสุมสี่สุมหา ทรงรูแจงเห็นจริงประจักษภายในพระจิตของพระองคจริง ๆ แลว
จึงนํามาประกาศสอนโลก ทั้งฝายคุณทั้งฝายโทษเปนความจริงเสมอกันหมด

นี่ผูภาวนา เราพูดถึงเรื่องผูภาวนา เมื่อภาวนาแจมแจงขึ้นไปถึงขั้นปญญา
ยอมจะสวางกระจางแจง ไมมีประมาณคําวาปญญา ละเอียดลออมากที่สุด เปนกับผูใด
ผูนั้นก็รูตัวเอง เพียงคาดคะเนนั้นคาดไมถูกเดาไมถูก ออกจากปญญาแลวก็เปนการฆา
กิเลสไปพรอม ๆ กัน กิเลสเปนเครื่องปดบังความจริงทั้งหลาย เชน นรกมีกิเลสบอกวาไม
มี บาปมีกิเลสบอกวาไมมี บุญมีกิเลสบอกวาไมมี กิเลสโกหกไปเรื่อย ๆ กิเลสไมมีอยาง
อื่นเปนงานทํา มีแตงานโกหกหลอกลวงโลกเทานั้นเปนงานของกิเลส ทั่วโลกดินแดนนี้มี
แตกิเลสเปนผูครอบงําไวหมด เพราะฉะนั้นจิตใจของเราจึงงมงาย เพราะกิเลส
หลอกลวงใหงมงายจึงตองงมงาย
ทีนี้เวลาภาวนาเขาไปบาปมีก็รูวาบาปมี เห็นบาป นรกมีรูวานรกมี บุญมีรูวามี
กิเลสมีมากมีนอยรูไปโดยลําดับ ตั้งแตยังไมภาวนาก็รูแลววากิเลสคือความโลภ ความ
โกรธ ความหลงนี้เปนกิเลส ดังพระพุทธเจาของเราทานทรงชําระเรื่อยไปจนกระทั่งสิ้น
กิเลสถึงแดนนิพพาน หมดกิเลสแลวไมมีอะไรเหลือ แลวก็ไมมีอะไรโกหกอีกตอไป สวาง
กระจางแจงเปนโลกวิทู ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรทานแสดงไววา ญาณํ อุทปาทิ พระ
ญาณหยั่งทราบอันแหลมคมไดเกิดขึ้นแลวในพระพุทธเจา ปtฺญา อุทปาทิ ปญญาก็
เกิดขึ้นแลว วิชฺชา อุทปาทิ วิชชาสามวิชชาแปดเกิดขึ้นแลว อาโลโก อุทปาทิ ความ
สวางกระจางแจงทั้งกลางวันกลางคืน ไดเกิดขึ้นแลวภายในพระทัยของพระพุทธเจา
ญาณหยั่งทราบของเราวาการเกิดตายของเราไมมีอีกแลว ความหลุดพนของเราไมมีการ
กําเริบแลวนี้ไดเกิดขึ้นแลวแกเราตถาคต
เพราะฉะนั้นเบญจวัคคียทั้งหา มีอัญญาโกณฑัญญะเปนตน จึงไดแสดงอุทาน
ออกมาวา ยงฺกิtฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่งใดก็ตามเมื่อเกิดแลวดับ
ทั้งนั้น คือเกิดแลวตองตาย ปรากฏขึ้นมาแลวตองสลายไปทั้งนั้น นี่เปนญาณหยั่งทราบ
ภายในจิตใจอันลึกซึ้งของพระอัญญาโกณฑัญญะที่รูตามเห็นตามพระพุทธเจา นี่คือ
จิตตภาวนา สามารถทําจิตใจใหขยายเปนวงกวางขวางออกไปมากมายไมเหมือน
ความรูทางโลก
ความรูทางโลกนี่เปนสิ่งที่ผลิตขึ้นจากกิเลส กิเลสเปนเจาของกิเลสเปนเจา
อํานาจ กิเลสเปนผูบงการทุกสิ่งทุกอยาง โลกเราจะเรียนวิชาความรูแขนงใดมาก็ตาม
วิชาเหลานั้นเปนบริษัทบริวารเปนเครื่องมือของกิเลส ที่จะบงการใหนําไปใชในทางนั้น ๆ
ทั้งนั้น สวนความรูของพระพุทธเจานอกสมมุติ เพราะฉะนั้นความรูของพระพุทธเจา

สาวกอรหันตทาน กับความรูของสามัญชนทั่ว ๆ ไปที่เรียนรูมามากนอยนั้นจึงเทียบกัน
ไมไดเลย เพราะความรูอันหนึ่งอยูในเรือนจํา อยูในกรอบของเรือนจําคือสถานที่คุมขัง
ของกิเลส
วัฏจักรนี้เปนเหมือนเรือนจําครอบสัตวโลกทั้งหลายไวในนี้ ความรูก็ใหอยูใน
กรอบอันนี้ ออกจากกรอบนี้ไมไดเพราะเปนโลกิยวิชา เปนวิชาความรูอยูในกรอบแหงวัฏ
จักรวัฏวนซึ่งเทากับความรูอยูในเรือนจํา สวนวิชาของพระพุทธเจาวิชาของพระอรหันต
ทานเปนโลกุตรวิชา เปนวิชาที่เหนือจากเรือนจํา นอกจากเรือนจําไปแลว สามารถมอง
ทะลุปรุโปรงทั้งภายในเรือนจําทั้งภายนอกเรือนจํา เวิ้งวางกวางขวางไมมีประมาณก็คือ
ความรูของทานผูสิ้นกิเลส จะอยูเฉย ๆ ก็สิ้นกิเลส หลับตื่นลืมตาก็สิ้นกิเลส จะพูด
หรือไมพูดก็สิ้นกิเลส มีชีวิตอยูก็สิ้นกิเลส นิพพานไปแลวสละธาตุขันธซึ่งเปนความ
รับผิดชอบมาตั้งแตวันเกิดก็สิ้นกิเลสตลอดเวลา ทานจึงเรียกวานิพพานเที่ยง
คือ จิตนั้นเมื่อไมมีกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อันเปนเรื่องของสมมุติเขาไป
เกี่ยวของแลวก็เที่ยงเทานั้นเอง พระนิพพานจึงไมใช อตฺตา จึงไมใช อนตฺตา ไมใชอะไร
ทั้งนั้น เพราะ อตฺตา ก็เปนสมมุติประเภทหนึ่ง อนตฺตา ก็เปนสมมุติประเภทหนึ่ง ผู
พิจารณาเพื่อถึงพระนิพพานตองพิจารณา อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อันเปนทางเดินกาว
เขาถึงนิพพานแลวหมดปญหาตลอดอนันตกาล นั่นคือเมืองพอ
ไมมีอะไรที่จะพอยิ่งกวาคําวานิพพาน เลิศเขาไปใสก็ไมติด ต่ําชาเลวทรามเขา
ไปติดไปทาบก็ไมติด เหลานี้เปนสมมุติทั้งนั้น ที่พอเหมาะพอดีก็คือคําวาพอ ๆ ใคร
ปรากฏเขาแลวพอ ทุกคนพอ เมื่อเปนเชนนั้นทําไมจะไมเห็นโทษของความโลภ ความ
โลภก็เปนของไมพอ ความโกรธเปนของไมดี ราคะตัณหาเปนสิ่งที่ไมดีมาพอกพูนจิตใจ
ใหกระดิกพลิกแพลงใหเดือดรอนใหวุนวายกลิ้งไปกลิ้งมาอยูตลอดเวลาเพราะสิ่งเหลานี้
เมื่อหมดสิ่งเหลานี้แลวพอ ไมหมุนไมกลิ้งไมพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงไปไหน จึงเรียกวิ
วัฏฏะ คือไมหมุนอีกแลว นี่อํานาจของการภาวนา ที่สอนเมื่อสักครูนี้เพื่อใหจิตของเราได
ยึดเปนแนวทาง
หลักใจเปนของสําคัญ รางกายของเราก็ใหเสาะแสวงหาตามมีตามเกิด ที่ควรจะ
ไดมาหลอเลี้ยงรางกาย เพราะเราอยูกับโลก รางกายนี้มีความบกพรองตองการสิ่ง
เยียวยาอยูตลอดเวลา เราตองหามาเยียวยารักษา ก็ใหทราบวานี้เปนสวนรางกาย ใจ
นั้นเปนของสําคัญมีความขาดตกบกพรองตลอดเวลา เรียกรองหาความชวยเหลือจาก
๑๐
เจาของ เจาของคือใคร สติกับปญญา ถาเราไมฉลาดก็รักษาใจไมได ใหใจไปทําความ
ชั่วชาเสียหายตาง ๆ แลวขนเอาทุกขมาบีบบังคับมาเผาลนจิตใจใหเดือดรอนมากขึ้นนั้น
แล
ถาใจมีความเฉลียวฉลาด สติตั้งลงไปตรงไหนจะเปนธรรมขึ้นมา ปญญาพินิจ
พิจารณาใครครวญแลวเลือกเฟนแตสิ่งที่ควรทํา สิ่งใดไมควรทําจะเปนโทษเปนภัยแก
ตัวเองใหละเวนสิ่งนั้นเสีย นั้นทานเรียกวาปญญาเปนเจาของของใจ ใจเรียกรองหา
ความชวยเหลือจากเจาของอยู ดังที่เรามาปฏิบัติศีลธรรมเวลานี้ มาทําบุญใหทานมาก
นอยตามกําลังความสามารถของเรา นี้แลเรียกวามาชวยจิตใจ
จิตใจเราเรียกรองหาความชวยเหลือ อยางอื่นไมเอา ตนไมภูเขาสมบัติเงินทอง
ขาวของอะไรไมเอาทั้งนั้น เอาแตบุญ ที่ซึมซาบไดมีแตบุญกับบาปเทานั้น บาปทําลงไป
แลวยังไงก็ติดตาม บุญทําลงไปแลวยังไงก็หนุนเจาของ เพราะฉะนั้นทานจึงใหเลือก
เฟน คัดบาปออก เสาะแสวงหาคุณงามความดีคือบุญ ดวยความชวยเหลือใจจาก
อํานาจของสติปญญา เราจะเปนผูสงางาม
ใจจึงเปนของสําคัญมาก ขอใหพี่นองทั้งหลายไดมองดูใจ วันหนึ่ง ๆ อยามองแต
ความเพลิดเพลินรื่นเริงบันเทิงตาง ๆ ซึ่งเปนเรื่องของรางกายและเปนเรื่องของจิตใจที่จะ
ผูกมัดเราใหจมอยูในวัฏฏะอีกเปนเวลานานแสนนาน ถาเราไมมีธรรมเปนเครื่องระลึก
ภายในจิตใจของเราอยูตลอดเวลา หรือเปนเวลาใดก็ไดในวันหนึ่ง ๆ อยาใหขาดธรรม
ความตายเปนของสําคัญมาก พอเจริญมรณัสสติขึ้นมานี้ จะโลภมากขนาดไหน
ก็ตามคนเรา จะโกรธจะเคียดแคนกอกรรมกอเวรใหใครมากนอยเพียงไรก็ตาม พอระลึก
ถึงความตายนี้เขากับเรามีความเสมอภาคกัน ไมมีใครยิ่งหยอนกวาใคร เราไปทําลาย
เขามาแลวเราโกรธใหเขาแลว เขาก็ตองตายเราก็ตองตาย พอระลึกถึงความตายนี้
เหมือนกับเหยียบเบรกหามลอเอาไว รถมันก็ไมวิ่งลงเหวลงบอลงคลองไปเสียอยาง
งายดายเราก็ปลอดภัย อันนี้เมื่อระลึกถึงความตายไดบางคนเรายอมรูดีรูชั่ว รูหนักรูเบา
รูบุญรูบาป แลวยอมคัดเลือกเอาไดและทําแตสิ่งที่ดีงาม
นี่ละวันนี้แสดงธรรมใหพี่นองทั้งหลายเห็นความสําคัญของใจ ใจเปนของสําคัญ
มาก เพราะฉะนั้นจึงใหคูเคียงกันไปในการดําเนินการครองชีพของเรา แลวสวนที่ควรจะ
ใหหนักก็คือเรื่องของใจอยาปลอยอยาวาง ไปทําการทํางานการทํามาหาเลี้ยงชีพ
ประเภทใดก็ตาม ใหระลึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ ระลึกถึงอรรถถึงธรรมใหระลึกเสมอ ให
๑๑
สรางความดีไปในตัวนั้นแหละ เราทํางานอะไรเราก็สรางความดีได ตั้งแตเราทํางาน
อยางอื่นอยางใดอยูเรายังสรางความชั่วได โลภยังโลภไดโกรธไดเคียดแคนได รักไดชัง
ได อันนี้ระลึกถึงธรรมทําไมระลึกไมไดหัวใจดวงเดียวกัน เมื่อเราระลึกไดเราก็ระลึกอยู
เสมออยาปลอยอยาวางอยาลดอยาละอยาลืม
เวลาจนตรอกมีนะคนเราทั้งสัตวทั้งบุคคล แตสัตวเขาไมรูภาษีภาษาอะไรก็ไม
จําเปนตองพูดถึงเขา สวนใจของมนุษยเรานี้เฉพาะอยางยิ่งชาวพุทธเรารูเรื่องราวไดดี
จึงควรระลึกถึงตัวเสมอวันหนึ่ง ๆ ใหระลึกถึงความดีงาม ระลึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ
ภายในใจ เรื่องความชั่วชาลามกทั้งหลายจะเกิดนอยมาก ไมไดเกิดมากเหมือนเรา
ปลอยใหเปนไปตามยถากรรมแหละ อันนี้เปนของสําคัญ
ใหเสาะแสวงหาคุณงามความดีเขาสูใจ ที่เรียกรองหาความชวยเหลือจาก
เจาของอยูตลอดเวลานี้เรื่อย ๆ ไป อยาปลอยอยาวางอยาลดอยาละ นี้คือสมบัติของ
พระพุทธเจาที่ประทานใหพวกเราทั้งหลาย ทานสอนไววา ใหมีกินมีทาน ใหไดกินดวย
ไดทานดวย นี่เหมาะสมกับชาวพุทธผูรูบุญรูบาป นี่เปนคําสอนของจอมปราชญ
ทั้งหลายทานแสดงไววา ใหมีทั้งกินทั้งทาน อยามีแตกินเฉย ๆ ใชเฉย ๆ ทิ้งไปเฉย ๆ ไม
เกิดประโยชน ใหมีการใหทานเสียสละ จะสละดวยวิธีการใดก็ตาม สละเพื่อหมูใด
ชุมนุมชนหรือบุคคลใดก็ตาม เปนประโยชนทั้งนั้น ๆ เปนความดีเปนบุญเปนกุศลขึ้นมา
แกเรา แลวเวลาจนตรอกจนมุมเราไมตองถามหา ความดีเหลานี้จะมาเอง เทียบปบ
เขาในตัวเอง ๆ เพราะเราสรางอยูที่ใจ ความดีเหลานี้จะเขาถึงใจปบ ๆ ๆ เลยทีเดียวไม
ไปที่อื่น ไมตองวิ่งเตนขวนขวายหาที่ใดแหละ ขอใหสรางเถอะ
เชื่อพระพุทธเจาเถิด ใครลมจมก็ใหเห็นเสียทีในโลกนี้ไมเคยปรากฏวาผูเชื่อ
พระพุทธเจาถึงความลมจมฉิบหายปนปไมเคยมี มีแตคนที่ดื้อดึงฝาฝนพระพุทธเจานั่น
แหละมักจะลมจมกันมากมายกายกอง เราอยาใหลมจม มันไมลมจมแบบหนึ่งมันลม
จมแบบหนึ่งจนไดนะ ใหระวังมันจะลมจมแบบไหน ความคิดความอานมันจะพาเราไป
ลมไปจมที่ไหน ถามันเพลิดมันเพลินลืมเนื้อลืมตัวนั่นละมันจะพาไปจมในนรก ใหพลิก
แพลงเปลี่ยนแปลงจิตใจของเราไปในทางที่ดีเสมอ เรียกวารถมีทั้งเบรกมีทั้งพวงมาลัย
หมุนไปตามหนาที่การงานที่ชอบธรรม เรียกวาพวงมาลัย เบรกหามลออันไหนมันชั่วให
หามลอ อันไหนดี..เรง เหยียบคันเรงลงไป ความดีของเราทําลงไปจะไมเสียทาเสียทีที่
เกิดมาเปนมนุษยพบพระพุทธศาสนา
๑๒
วันนี้ไดแสดงธรรมใหทานทั้งหลายฟงพอเปนขอคิดอานไตรตรอง ขอใหนําไปฝง
ไวภายในจิตใจตลอดเวลา แลวจะเปนสิริมงคลแกตนทั้งยืนทั้งเดินทั้งนั่งทั้งนอนตลอด
อิริยาบถตาง ๆ และขอความสวัสดีจงมีแกพี่นองทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ
ตอไปนี้ใหพร

๑๓
เทศนอบรมฆราวาส ณ วัดปาบานตาด
เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๗(เชา)
อยามองขามใจ

คนเต็มแผนดินหาความสุขนิดหนึ่งเทากําปนนี้มาอวดกันมันก็ไมมี มันมีแตกอง
ทุกขเต็มโลกเต็มสงสาร ยังไมรูเนื้อรูตัวอยูเหรอเราอยากถามวาอยางนั้น เรื่องความดิ้น
รนความกระวนกระวาย ความโลภเกินเหตุเกินผลเกินเนื้อเกินตัวมันทําลายตัวเองนั่น
แหละไมทําลายใคร เมื่อไมสมหวังมันก็เปนทุกข มิหนําซ้ําความหวังนั้นเลยพาใหลมจม
ก็มีมาก หวังวาจะร่ําจะรวยสุดทายกลายเปนความลมจมไปเสียก็มีเสียมากมาย นี่
แหละเราเชื่อกิเลสเราเชื่อเกินไป พออยูพอกินพอเปนพอไปก็ไมทุกขมากคนเรานะ อันนี้
ความโลภมันเหลือตัวลนหัวใจ ไดเทานี้แลวอยากไดเทานั้น อยากไดเทานี้ ปรารถนา
มากเขา ๆ ก็กลายเปนปรารถนาลามกไป อันนี้ก็พาเจาของใหลมจมและทําคนอื่นให
กระทบกระเทือนไปดวยมีมากมายเวลานี้
คนมากทุกขมากเพราะเรื่องมันมีมาก ใหพี่นองทั้งหลายคิดไวดวย แลวเรื่องเครือ
ญาติของเอดสนี้กําลังรุกรานนะเวลานี้เขาเมืองไทยเรา เครือญาติของเอดสคืออะไร คือ
กามกิเลสมันแตกแขนงออกไปเปนเอดสมาตามประเภทตาง ๆ พูดไมจบนะที่มันไหลเขา
มาทําลาย ไมไดเขามาสงเสริมนะ นี่ก็กิเลสเปนผูหลอกลวงเขามา ความรื่นเริงบันเทิง
แหละเปนตัวเชื่อมหรือเปนสื่อนํามาตมตุนพวกเราแหลกหมดนะเวลานี้
ในบานในเรือนก็ใหพากันระมัดระวังใหมาก ประกาศอยูเสมอ สิ่งใดจะเปนความ
เสียหายแกเด็กอยาเอาเขามาในบานเปนอันขาด นี่เคยประกาศสอนมานานแลว สิ่ง
เหลานี้จะทําเด็กใหเสีย เด็กเสียแลวก็เทากับประเทศชาติบานเมืองเสียนั่นเอง เพราะ
เด็กตอไปจะเปนผูใหญของชาติบานเมือง จะมีแตคนเหลวแหลกแหวกแนวไปหมด
ปกครองบานเมืองใหเปนหลักเปนเกณฑไดอยางไร ปกครองไมไดนะ ก็เพราะผูใหญนั่น
แหละพาทําเด็กใหเสีย ความรื่นเริงบันเทิง ความสนุกสนาน ความคึกความคะนองนั่น
แหละ มันไปกวานเอาสิ่งนั้นสิ่งนี้มา
๑๔
ของประเภทเหลานี้เปนประเภทของสัตวเดรัจฉาน เขาไมมีศาสนาเขาทําตาม
เรื่องของเขา หายางอายไมได เราเปนผูมีศาสนามีคุณสมบัติประจํามนุษย ไปควาเอาสิ่ง
เหลานี้มาเผาเจาของมันก็รายแรงยิ่งกวาเขาเสียอีกซิ เขายังไดเงิน ไอเราไมมีแหละไดมี
แตเสียเงิน เสียใจ เสียคนไปอีกมากมายกายกองเวลานี้เปนอยางนั้น ขอใหพี่นอง
ทั้งหลายคิดใหดี
เทวทัตมันมีอยูทุกบานทุกเรือนนะเวลานี้ เทวทัตเครื่องทําลายมันมีอยูทุกแหง
แหละ ไปบานไหนเห็นตั้งดารดาษอยู เสาเทวทัตนั่นแหละเต็ม.ไปที่ไหนก็ดี มองไปแลว
สะดุดหัวใจ เหมือนหัวใจจะขาดจะลอยนั่นแหละ มองไปไหนมันทนไมไดที่จะไมใหคิด
มองเห็นพับมันจะคิดทันที ๆ เรื่องไดเรื่องเสีย สวนมากมันมีแตเรื่องเสีย ๆ นั่นซีคนมันถึง
ไดเสีย เรื่องพาใหเสียมีหมดทุกแหงทุกหน นี่ความเพลิดเพลินลืมเนื้อลืมตัว ไมคิดอาน
ไตรตรองถึงความไดความเสียมันเสียไดอยางนี้
เด็กเล็กหัวเทากําปนนี้ก็เอาเครื่องลอ เอาความเสียเด็กมาแลว ๆ สุดทายอยูที่
ไหนมีแตเด็กโกโรโกโสหาสาระไมได ก็เพราะเอาสิ่งทําลายมาทําลายตลอดเวลา จะหา
สารคุณมาจากที่ไหนไมมีแหละ ถาไมปฏิบัติตามจะฉิบหายจริง ๆ นะเมืองไทยเรา จะไม
มีคนดีเหลืออยูในโลกนี้แหละ จะมีแตคนประเภทนี้แหละ ประเภทเศษมนุษย มีแตราง
มนุษยเศษมนุษยเฉย ๆ ตัวมนุษยจริง ๆ ที่มีคุณสมบัติประจําตัวพอเปนมนุษยบางกับ
โลกเขาจะไมมีนะเวลานี้ ก็เพราะความฟุงเฟอเหอคะนองนั่นแหละเปนเครื่องหลอกลวง
มันหลอกไปอยางนั้น หลอกไปอยางนี้ เราก็โดดตามมัน ๆ กาวขางหลังมา ๆ มีแตความ
ทุกขตามหลังมา ๆ เราไมรู เวลานี้มากมายกายกอง
อะไร ๆ ก็ทําเพื่อเสียไปทั้งนั้นนี่นะ มันไมเพื่อไดนี่นะ ไปเรียนวิชาอะไรมาก็เพื่อ
ทําลาย ๆ เสียมากตอมาก เพราะจิตตัวทําลาย กิเลสตัวทําลายมันอยูในจิต เอาอะไรมา
ก็ความับ ๆ มาเปนเครื่องมือถลุงเราเสียแหลก ๆ ไมรูเนื้อรูตัวเลยจะทํายังไง นี่หลวงพอก็
เทศนประจําทุกวัน ออกชองไหนก็มีแตชองที่โลกพินาศฉิบหายนั่นแหละ ไมพูดก็อยู
ไมไดเพราะสิ่งเหลานี้เปนสิ่งทําลายตองไดพูดเสมอ ทานทั้งหลายจะพิจารณาก็ใหพา
กันพิจารณานะ
ตามบานตามเรือนเด็กอบรมใหดี อยาหางพอหางแมจนเกินไป ปลอยไปเขาโรง
๑๕
ร่ําโรงเรียนถึงเวลากลับมาก็ควรไดมีเวลาอบรมเด็กบาง พอแมก็ทําตัวใหเปนคนดีเปน
คติแกเด็ก เด็กก็จะมีความอบอุน เด็กมีกี่คนหัวใจอยูกับพอกับแม ถาพอแมซึ่งเปน
จุดสําคัญนั้นราวรานกันหรือทะเลาะกัน พอกับแมทะเลาะกัน เด็กนี้ราวรานไปหมดใน
หัวใจของเด็ก นอนไมเปนหลับเปนตื่นละเมอเพอฝน ตื่นขึ้นมาก็โศกเศราเหงาหงอย ไป
โรงร่ําโรงเรียนไมรูภาษีภาษา ไมทราบวาครูสอนวายังไงเพราะเอาเรื่องของทางบานมา
คิด เรื่องของพอของแมทะเลาะกันนั่นแหละมาคิด เด็กเลยเสียไปหมด เรียนหนังสือก็
ไมไดเรื่อง สุดทายก็หาทางออก หาทางออกก็หาทางอบายมุขอบายภูมิ สุดทายก็เปน
เครื่องสังหารตนหมด นั่นทางออกของเด็กเลยเปนอยางนั้นไปเสีย
ทางออกของเด็กคือความลมจม คิดสนุกสนานกับเพื่อนกับฝูง เขามีอะไรก็เลน
กับเขา กินกับเขาไป สุดทายก็กินยาเสพติดเฮโรอีนเขาไปแลวตายเลย ๆ พวกนี้ถาลงได
ติดใครเขาไปแลวหมดราค่ําราคาหมดความเปนมนุษยละนะ ฉิบหายวางปวงไปหมดให
พากันระมัดระวังใหมาก เวลานี้กําลังเกลื่อนอยูเต็มโลกเต็มสงสาร ความเห็นแกเงิน
ไมไดเห็นแกมนุษยละซิที่ทําความเสียหายเวลานี้ ความเห็นแกเงินก็คือกิเลสนั่นแหละ
มันโลภ ขอใหไดเงินเปนพอ จะเอาอะไรไปก็ตามขอใหไดเงินมาเปนพอ ๆ ความเห็นแก
เงินนี่แหละมันทําลายชาติบานเมืองเวลานี้ เราอยาเห็นวาอะไรทําลาย
สิ่งเหลานี้คนหามา คนไมหามามันเกิดขึ้นไมไดแหละ คนผลิตขึ้นมา คนทําขึ้น
มาแลวก็คนมาขายทําลายกัน เงินไดมาก็ไมเห็นมีประโยชนอะไร เมื่อมนุษยเสีย
หมดแลวเกิดประโยชนอะไร เงินก็มนุษยผลิตขึ้นมาแลวก็มาสังหารมนุษย เปนเจา
อํานาจบีบบังคับมนุษยใหจนกระทั่งถึงเสียคนได เพราะความโลภ ความเห็นแกเงิน ไม
เห็นแกศีลแกธรรม ไมเห็นแกสารคุณของมนุษย เลยเสียไปหมด เราคิดใหมากนะเรื่อง
เหลานี้ หลวงตาบัวตายแลวไมคอยมีใครเทศนนะ พระทานไมคอยเทศนแหละทาน
เกรงใจญาติโยม ทานเกรงใจทาน กิเลสอยูกับหัวใจทานอยูกับหัวใจญาติโยม
กิเลสอยูตรงไหนเกรงใจตรงนั้น ไมคอยจะอาจเอื้อมแหละ ถาธรรมอยูตรงไหน
ละเขาปง ๆ เลย ความจริงอยูตรงไหนนั้นแหละธรรมอยูตรงนั้น เขาตรงนั้นทําลายตรง
นั้น สิ่งชั่วชาลามกจะพังไป ๆ ตรงนั้นแหละ นี่ก็พูดใหเห็นจุดบกพรอง เห็นจุดเสียหาย
ของตัวเองทุกคน ๆ ใหนําไปพินิจพิจารณา หลวงตาบัวไมไดเทศนเพื่อตําหนิติเตียนทาน
ทั้งหลายเพื่อทําลายใหทานทั้งหลายลมจม แตเทศนเพื่อปลดเพื่อเปลื้องสิ่งไมดีทั้งหลาย
๑๖
ใหพากันระมัดระวัง ปลดเปลื้องออกจากตัวแลวจะเปนคนดีมีสงาราศีขึ้นมาภายในตัว
และบานเมืองของเราตางหาก ขอใหทานทั้งหลายคิดเอา
คนคิดแบบสุกเอาเผากิน พูดอะไรขึ้นมาถาไดยินเสียงดังขึ้นบางก็วาทานดุเสีย
เลยเปนเครื่องมือของกิเลสไปเสีย เลยไมไดเรื่องไดราว มาวัดก็ไมเกิดประโยชน อยูใน
บานก็มีแตโทษ มาวัดก็ไมเกิดประโยชนเปนโทษอีกดวย มีเยอะนะ ใหพากันจดกันจํา
วันนี้ก็ทานเจาคุณธรรมบัณฑิต เจาคณะภาคทานจะพาเจาคณะจังหวัด เจา
คณะอําเภอตาง ๆ ในเขตจังหวัดอุดรธานีมาพรอมกับประชาชน ตอนบายโมงวันนี้เต็ม
หมด นี่ทานก็วาพาญาติโยมมาคารวะ มาฟงเทศนฟงธรรมนั่นแหละ หลวงตาบัวเลยจะ
ตายเรื่องเทศน เทศนทุกที ใครมาหาก็ตองไดเทศน เหนื่อยเทาไรก็ไมไดหยุดแหละ วันนี้
แนนแหละตั้งแตบายโมง เริ่มกันบายโมง ทุกปเปนอยางนั้น ทานถือเอาวันแรม ๘ ค่ํา
เดือน ๘ ของทุกปเปนประจํา พาญาติโยมมาทุกป เราก็ไดใหการอบรมตามกําลัง
ความสามารถที่จะเปนไปไดทุกป ๆ ไมเคยขาด ใหการอบรมเรื่อยมาอยางนี้แหละ
เพราะเห็นแกหัวใจคน
หัวใจนี้สําคัญมากที่สุด เวลานี้โลกมองขามหัวใจเสียมากที่สุดอีกเหมือนกัน
ไมไดเห็นหัวใจเปนของสําคัญยิ่งกวาความดีดความดิ้นตามอํานาจของกิเลสตัณหานั้น
เลย เรื่องอํานาจของกิเลสตัณหานี้โดงดัง โห กระเทือนไปหมดโลกธาตุนั่นแหละ เดน
กวาเพื่อนก็คือเรื่องกิเลสตัณหา มันเดนเอามาก คนดีดดิ้นกับมันจนจะเปนจะตายไมรู
เนื้อรูตัวเลย สวนหัวใจจะเปนยังไง เสียหายยังไงไมคํานึงแลว จึงวามองขามหัวใจ
คนเราถามองเห็นใจเปนของสําคัญแลวความดีจะมีขึ้นเรื่อย ๆ ความชั่วจะละไป
โดยลําดับลําดา แตนี้ไมมองเห็นหัวใจ มองเห็นแตความดีดความดิ้นความ
ทะเยอทะยานนะซิ มันถึงพาคนใหเสีย ถาไมเอาจริงไมไดนะ ไมดีนะ เราจะปลอยตาม
บุญตามกรรมนี้ก็จมไป ๆ ทั้งนั้นแหละ คนเกิดมาทั้งชาติหาความดีติดตัวไมมีนี้มัน
เกินไปนะมนุษยเรา
ใจเปนของสําคัญ ไมมีตายใจดวงนี้ รูอยูตลอดธรรมชาตินี้ เรียกวารูคือผูรู แตไม
รูดีรูชั่วถาไมมีสติเขาไปกํากับ แตรูเฉย ๆ เปนความรูกลาง ๆ สวนความรูอันนี้ไมใช
ความรูพระอรหันตนะซี เปนความรูของกิเลสแทรกเขาไปอยูในนั้น เพราะฉะนั้นมันจึง
๑๗
เซอ ๆ ซา ๆ เราเห็นไหมตามหนทางไฟเขียวไฟแดงสามแยกสี่แยก ถาไอผีบานั่นมันไป
นั่งอยูตรงไหนแลวรถนี่วิ่งขวักไขว มันจะชนกันละซี นั่งจัดนั้นจัดนี้อยูในสี่แยก เดินไป
ตามถนนหนทางก็เหมือนกัน เดินไปไหนรถหลีกเปนแถวเลย
นี่คือมีแตความรู ไมมีสติไมมีปญญารับผิดชอบวาผิดถูกดีชั่วประการใด มันไป
ตามภาษีภาษาแหงความรู ความรูนั้นมีความผิดคือกิเลสมันแทรกอยูในนั้น จึงเปนไป
ตามนั้น เซอ ๆ ซา ๆ ไป นี่คนมีแตความรูไมมีสติเปนเครื่องรับรอง ไมมีสติเปนเจาของ
ไมมีปญญาเปนเครื่องไตรตรองแลวเปนอยางนั้นแหละ เปนคนที่นาทุเรศมาก
เดินไปตามถนนหนทางตางคนตางก็ไดเห็นแลวไมใชหรือคนบา นั่นคือคนไมมี
สติไมใชคนไมมีจิต จิตมีอยูมันรู แตไมรูดีรูชั่วรูผิดรูถูก กิเลสตัณหาสั่งยังไงใหทํายังไงมัน
ก็ทํา สั่งใหทําอะไรก็ทํา ดูซิหาบกระปองแตกกระดาษขาดอะไรพะรุงพะรัง ไปวางไวสี่
แยก จัดนั้นจัดนี้อยูนั่น รถวิ่งมาขวักไขวจะชนหัวมันดวย จะชนกันดวย หลีกกันเปนแถว
เราก็ไปเห็นดวยตาของเราจึงไดนํามาพูด วานี่ ออ ถามีแตความรูเปนอยางนี้เอง
พอเห็นปบมันก็วิ่งถึงกัน นี่มีแตความรูไมมีคุณคาราคาอะไรเลย สติปญญาไมมี ไมมี
เจาของ คนไมมีเจาของ สัตวไมมีเจาของเปนอยางนี้ เหมือนกันกับจิตไมมีเจาของเปน
อยางนี้แหละ เปนคนบา ถาขาดสติไปก็เปนบอ เรามีสติธรรมดานี้เปนคนธรรมดา สติ
ธรรมดา ถาขาดอันนี้ลงไปแลวก็เปนบอ ขาดจากบอลงไปแลวก็เปนบาดังที่เห็นนั่น
แหละ
จึงตองอบรมสติใหดีขึ้นไปเรียกวาสติธรรมปญญาธรรม นั่นมีความเฉียบแหลม
ขึ้นไปเรื่อย ๆ มีความฉลาดแหลมคมไปเรื่อย ๆ สติธรรม ปญญาธรรมนี้ทําจิตใหบริสุทธิ์
ใหผองใส มองดูเห็นขางนอกขางใน เห็นกระจางไปเรื่อย สติปญญานี้ออกกาวเดินมาก
เทาไร ยิ่งเห็นไกลไปเรื่อย ๆ กวางไปเรื่อย ลึกไปเรื่อย ละเอียดลออไปเรื่อย สติธรรม
ปญญาธรรมออกเปนอยางนั้น
ถาสติปญญาธรรมดาก็รูเห็นธรรมดา อยางเรา ๆ ทาน ๆ รู ๆ เห็น ๆ กันอยูนี้
แหละ นี่เรียกวาสติปญญาธรรมดาที่มีประจําขันธ ถาสติธรรมปญญาธรรมแลวตางกัน
มีความละเอียดลออเทาไรยิ่งทําคนนั้นใหมีความเฉลียวฉลาดเฉียบแหลมวองไวทุก
อยางภายในภายนอก เรื่องความปลดตัวเองออกจากทุกขนี้เร็ว นั่นทานเรียกวาสติธรรม
๑๘
ปญญาธรรม
เราใหพยายามอบรมตัวของเราไมงั้นจะเสียนะ คนเราเสียไดงาย ๆ นะแตดีนั้นดี
ไดยาก เพราะกิเลสมันขวาง ถาจะทําดีกิเลสขวาง ถาจะทําชั่วกิเลสเปดทาง
เพราะฉะนั้นการทําชั่วจึงทําไดงาย การทําดีจึงทําไดยาก ใหพากันระมัดระวังตรงนี้
ตรงไหนมันยากละเอา ตรงนั้นกิเลสขวางละนั่น เราอยากทําคุณงามความดีนี้ยากนะ
กิเลสมันขวางแลวไมใหทํา เพราะกิเลสนี้เปนเจาอํานาจครอบหัวใจของสัตวโลกใน
โลกธาตุนี้ ไมใหออกจากเงื้อมมือของมันไปไดเลย
ในโลกธาตุนี้เรียกวาเรือนจําของวัฏจักร ครอบสัตวไวนี้ใหอยูในนี้ ไมวาสัตว
ประเภทใดแมทาวมหาพรหมก็พนไมได ตองอยูในกรอบของเรือนจํานี้ทั้งนั้นแหละ
ความรูก็อยูในกรอบของมัน ไมใหนอกเหนือไปจากกรอบของมันได ทุกสิ่งทุกอยางจะ
เรียนรูขนาดไหนก็เถอะ ก็เปนความรูของนักโทษในเรือนจําวัฏจักรนั้นแหละ มันตางกัน
อยางนั้นถาเทียบกับความรูของพระพุทธเจาของพระอรหันตทานแลวผิดกันอยางนั้น
แหละ ความรูของพระพุทธเจาเหนือมันหมดฟงซิ
ความรูทานเหนือโลกธาตุ คืออยูเหนือโลกธาตุนี้หมด ความรูพระพุทธเจาความรู
พระอรหันตทาน จิตของทานก็เหนือ ความรูของทานก็เหนือ ทุกสิ่งทุกอยางเหนือหมด
ทานจึงสนุกมองดูพวกเราที่อยูในเรือนจําแหงวัฏจักรไดเหมือนนักโทษในเรือนจํานั้น
แหละ ทานดูเหมือนกันไมผิดอะไร นอกจากทานไมพูดทานไมแสดงไวเฉย ๆ ใน
ตํารับตํารามี แตทานพูดเปนกลาง ๆ ไว เพราะวาโลกมีจํานวนมาก แลวแตใครจะแยก
จะแยะไปใชในทางใดใหเปนคติแกตัวเองก็นําไปใช ๆ
นี่พวกเรายังดีอยูเหรอ พวกเราเปนนักโทษในเรือนจําแหงวัฏจักร ใหพากัน
อุตสาหพยายามทําความดี ความดีนี้แหละจะเปนเครื่องนําทาง จะเปนธรรมชาติพาเดิน
คือเครื่องพาเดินออกจากวัฏจักร คือเรือนจําของวัฏจักรนี้ ถาไมมีความดีไมมีทางออกได
เลย ตายกี่กัปกี่กัลปก็เกิดอยูในวงนี้ ๆ แมมหานรกอเวจีก็อยูในเขตของวัฏจักรไมออก
จากนี้ไปได
ผูทําความดีเทานั้นที่จะพนจากนี้ไปได ทําไปเรื่อย ๆ จะมีชองออก มีทางออก
เรื่อย ๆ แลวก็หลุดพนไปได ทีนี้สนุกมองดูเรื่องความเปนมาของตัวเอง เคยเปนมาแต
๑๙
กอนเปนยังไง ก็เหมือนกับโลกทั้งหลายเปนกัน เมื่อเหนือนี้แลวเปนยังไงก็ไดดูละที่นี่
เรื่องของเรายุติลงแลว ขาดสะบั้นไปแลวเรื่องวัฏจักรวัฏวน อยูในวัฏจักรอันนี้ไมมีอีก
แลวในหัวใจนี้ สนุกมองดูโลก
นั่นละพระพุทธเจาทานสอนโลก ทานสอนดวยความเมตตาสงสารลวน ๆ ใหเรา
ทั้งหลายตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เอาความดีนั้นแหละเปนเครื่องพึ่งพิงอิงอาศัย เปนเครื่อง
ฝากเปนฝากตายได ถาไมมีความดีแลวไมมีทางออกนะ ติดคุกในวัฏจักร วัฏจักรมีกี่
ประเภทเรื่องกองทุกข นับไมถวนเลย นับตั้งแตมหันตทุกขขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเปน
ทุกขธรรมดา
เอาตอไปนี้ใหไหวพระ
๒๐

เทศนอบรมพระและฆราวาส ณ เขื่อนสิริกิติ์ จ.ว.อุตรดิตถ
เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๒
ตามดูวิถีจิต
วันนี้ก็ไมมีอะไรฝากพี่นองลูกหลานทั้งหลายแหละ เพราะเทศนมาตลอดแลวก็
เหนื่อย ไมเหมือนตอนยังหนุม ทุกวันนี้ธาตุขันธออนลงทุกวัน ๆ เทศนาวาการแตละครั้ง
ๆ นี้รูสึกเหนื่อย แตกอนไมไดคํานึงถึงธาตุถึงขันธเพราะธาตุขันธดี เรียกวาเครื่องมือดี
เหมือนกับวาทางดี รถดี คนขับดี วิ่งเรียบไปเลย นี่ธาตุขันธดี จิตใจดี ธรรมะดี การเทศน
ก็คลองตัว
ธรรมะในครั้งพุทธกาลนั้นเปนธรรมะออกมาจากดวงพระทัย หรือดวงใจของ
พระพุทธเจาและสาวกทั้งหลายจริง ๆ ไมใชออกมาจากความจํา ดังที่เรานํามาเทศนาวา
การทุกวันนี้ เปนธรรมะที่ออกมาจากความจําซึ่งเรียนมาจากคัมภีรตาง ๆ จดจํามาได
แลวก็นําความจดจํานั้นมาบอกกลาวแนะนําสั่งสอนกันไป ทั้ง ๆ ที่ตนก็ยังไมทราบในสิ่ง
ที่จํามาไดนั้น เพราะฉะนั้นการแสดงธรรมถึงผิด ๆ พลาด ๆ ไมเหมือนครั้งพุทธกาล และ
พระสาวกตลอดพระพุทธเจายังทรงพระชนมอยูและพระสาวกทั้งหลายแสดง นั่นทาน
ถอดออกมาจากหัวใจจริง ๆ
คําวาธรรม ไมวาธรรมขั้นใดภูมิใด ทานทรงไวเรียบรอยแลวในหัวใจของทาน
ไมใชเปนความจํา คือเปนความจริงที่อยูกับใจทานแลว การแสดงออกจึงไมมีแงสงสัย
ถูกตองโดยลําดับลําดาในธรรมทุกขั้นทุกภูมิ จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพน แสดงดวย
ความถูกตองแมนยําจากหัวใจที่ทานทรงความจริงไวจริง ๆ นี่ทานเรียกวาธรรมของจริง
รูจริง ๆ เห็นจริง ๆ ทรงไวจริง ๆ เทศนออกมาจึงเปนความจริงลวน ๆ ผูฟงในครั้ง
พุทธกาลปรากฏตามตําราวา สําเร็จมรรคผลนิพพานเปนจํานวนมาก ๆ เพราะผูทาน
แสดงนั้นเปนผูสําเร็จมาเรียบรอยแลวมาแสดง พรอมกับขั้นภูมิแหงอุปนิสัยของสัตวโลก
ในครั้งนั้นกับสมัยทุกวันนี้มีแปลกตางกันอยูเปนธรรมดา
ดังที่ทานยกไวเปนคนประเภทที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่ ครั้งพุทธกาลสวนมาก
ผูสําเร็จมรรคผลนิพพานในขณะที่ฟงนั้น มักเปนประเภทที่หนึ่ง ประเภทที่รอที่จะหลุด
พนอยูแลว เรียกวาอุปนิสัยปจจัยไดสรางมาเต็มสติกําลังความสามารถ เรียกวาประเภท
๒๑
ที่หนึ่ง คอยที่จะหลุดพนอยูแลว กําลังเสาะแสวงหาทางออกจากวัฏจักร คือแหลงแหง
ความเกิดแกเจ็บตายของสัตวโลก ผูมีอุปนิสัยนั้นแมจะอยูในแหลงนั้นก็ตาม แตเปนผูที่
อยูปากคอกที่จะออกจากแหลงนั้นเปนลําดับลําดามา พอไดยินไดฟงธรรมของ
พระพุทธเจาก็สําเร็จมรรคผลนิพพานขึ้นมาเปนลําดับ
ทานเทศนาวาการแตละครั้งนี้ในตําราบอกไว ไมวามนุษย เทวดา อินทร พรหม
สําเร็จมรรคผลนิพพานกันมากมาย ๆ เพราะผูมีอุปนิสัยสามารถประเภทดอกบัวพนน้ํา
แลว คอยที่จะแยมบาน พอถูกแสงพระอาทิตย ไดแกธรรมที่แสดงออกจากพระพุทธเจา
ก็แยมบาน คือไดตรัสรูเปนลําดับลําดาไปเลย นี่เรียกวาประเภทดอกบัวพนน้ําแลว
จากนั้นก็ถัดลงไป ดอกบัวใตน้ํา ก็จะโผลในวันใดวันหนึ่ง ดอกบัวอยูกลางน้ํา
แลวก็ดอกบัวคอยที่จะฉิบหายบรรลัยอยู ทั้ง ๆ ที่ยังไมโผลขึ้นมาเปนดอกบัว ก็คอยจะ
พังอยูในเหงาบัวนั้นแลว ประเภทนี้เรียกวาหมดสาระไมเกิดประโยชนอะไร มี ๔
ประเภทอยางนี้
พวกเรานี้เปนประเภทที่สามกับที่สี่แยงกัน แยงขึ้นสวรรคก็แยง แยงลงนรกก็แยง
ในใจเราคนเดียวนั้นแหละ พอจะเริ่มทําบุญใหทาน ความตระหนี่คือขั้นปทปรมะมันจะ
แยงลงมา มันไมอยากใหทาน เสียดาย เงินบาทหนึ่งสองบาทกําไวไมวาง ถาพอเรื่อง
หลอกลวงเรื่องของกิเลสมาแสดงอาการเพียงเล็กนอย แบมือทันที มีบาทหนึ่งอยากให
สองบาท มีสามบาทอยากใหสี่บาท อยากใหหมดกระเปาเลยถาเปนกิเลสเอื้อมมือมา นี่
เรียกวาปทปรมะมันเอาไปกินหมด มีหนึ่งบาทสองบาทมันอยากใหสามบาทสี่บาท ถา
เปนเรื่องของสวรรคความดีงามแบมือมาขอ อยากจะเอาไปทําบุญใหทานนี้มันกํามับ ๆ
ไมยอมแบมือ มันเสียดาย มันแยงกันอยูอยางนี้
ฝายปทปรมะมักจะไดเปรียบเสมอมา ฝายเนยยะหนึ่งบาทอยางมากก็ได ๒๕
สตางคหรือไดสิบสตางค นี่เรียกวาขั้นปทปรมะกับขั้นเนยยะ เนยยะคือที่จะกาวไปสู
สวรรคสูงขึ้นเปนลําดับ ขั้นปทปรมะนี้เปนขั้นความตระหนี่ถี่เหนียวมันคอยดึงลงมา จะ
พาลงไปจมในนรก ทีนี้ถาเปนสตางคที่มันจะลากลงไปทางนรกอยางนี้ เราแบมือรับมัน
เลย ๆ มันถึงเอาไปกินตลอด ถาจะเจริญเมตตาภาวนาบาง ความงวงเหงาหาวนอนมัน
ก็แทรกเขามา ถานั่งคุยกันเพลินเปนบาอยูนั้น ไมมีเวล่ําเวลานาฬิกานาทีไมมี แตพอจะ
หันหนาเขาไหวพระ ความงวงเหงาหาวนอนก็มา ความขี้เกียจขี้ครานออนแอก็มา ทุกสิ่ง
๒๒
ทุกอยางรุมเขามาหาเราคนเดียวนี้ นี่เรียกวาขั้นเนยยะ คือไปทางที่ดี กับขั้นปทปรมะ
กับการลงเสื่อลงหมอนนี้เร็ว
เพราะฉะนั้นจึงตองไดแนะนําสั่งสอนดุดาวากลาวกันเสมอ ฉุดลากกันออกจาก
พวกปทปรมะ พวกเสื่อพวกหมอนพวกนอนไมตื่น ใหฟนตัวตื่นขึ้นมาบางเพื่อบําเพ็ญ
ประโยชน จิตใจของเรามันมีหลายขั้น ขั้นเสื่อขั้นหมอนนี้เปนพื้นฐานของมันอยูแลว ขั้น
ที่จะปลุกใหตื่นขึ้นมาประกอบทําหนาที่การงานนี้ เปนขั้นที่ปลุกยากตื่นยาก ตื่นแลวไม
อยากลุก ลุกแลวก็ไมอยากจะกาวออกเดิน ถาจะกาวออกเดินมือก็ควาใสหมอนมัดติด
คอไปดวย เพื่อความสะดวกในการนอนจม นี่ละกิเลสเวลามันยังหนายังแนน ยังไม
เขาใจอรรถธรรมบุญบาปประการใด มันเดินตามพื้นฐานของกิเลสซึ่งเปนนิสัยมาดั้งเดิม
ไปในทางต่ําทรามเสมอ
จึงตองมีอรรถมีธรรมเปนเครื่องแนะนําพร่ําสอน ฉุดลาก ปลุกใหตื่นอยูเรื่อย ๆ
ดวยเหตุนี้ธรรมจึงเปนของจําเปนสําหรับสัตวโลก ธรรมเปนเครื่องปลุกสัตวโลกใหตื่น
จากหลับจากนอน คือความนอนใจนอนจมใหตื่นเนื้อตื่นตัว เสาะแสวงหาคุณงามความ
ดีเขาสูใจ ดวยการบําเพ็ญความดีและพยายามละความชั่วไปเรื่อย ๆ นี่คือธรรมทานฉุด
ลากไปอยางนี้เสมอ
ในบุคคลคนเดียวนั้นแล คําที่วาธรรม ๔ ประเภทหรือบุคคล ๔ ประเภท นี้มีอยู
สมบูรณในตัวของเราแตละคน ๆ ถาแปลจากบาลีแลวก็วา ประเภทที่หนึ่งคือ
อุคฆฏิตัญ.ู เปนผูที่จะตรัสรูธรรมอยางรวดเร็ว ประเภทที่สองรองกันลงมา มีชากวากัน
บาง ประเภทที่สามตองสูกันสุดฟดสุดเหวี่ยงกับฝายต่ําทั้งหลาย ตองตะเกียกตะกาย
ตองฝาฝน ไมฝาฝนไมได ทางต่ําฉุดลากลงไปอยูเรื่อย ๆ ทางสูงก็กาวจะไมออกและกาว
ไมออก นี่เปนขั้นที่สาม
ขั้นที่สี่เรียกวาไมกาวเลย บุญก็ไมเชื่อวามี บาปก็ไมเชื่อวามี นรกทานแสดงไวใน
ธรรมทั้งหลายซึ่งมีอยูโดยสมบูรณมากี่กัปกี่กัลป มันก็ไมยอมรับวามี เรียกวานรกก็ไมมี
สวรรคไมมี พรหมโลกไมมี นิพพานไมมี ไมสนใจสรางผลประโยชน ไมสนใจละโทษที่
เปนภัยแกตัวเอง สนใจแตสิ่งที่จะเปนฟนเปนไฟเผาไหมตอจิตใจ มีความดูดดื่ม มีความ
อยาก มีความหิวโหย ไมมีความอิ่มพอในการสรางความชั่วใสตัวเอง โดยไมคํานึงถึงบุญ
ถึงบาปถึงนรกสวรรคอะไรทั้งนั้น นี่ประเภทที่สี่เปนประเภทที่นอนจมตลอดไป และจม
อยูในความเกิดแกเจ็บตายนี้ไมมีประมาณ
๒๓
เพราะปรกติจิตดวงนี้ก็เคยเกิดเคยตายมาแลวจนหาตนไมได และจะหาปลายไม
ปรากฏ ก็ยิ่งสั่งสมอยูในเรื่องการที่จะสมัครเกิดแกเจ็บตาย แบกความทุกขความทรมาน
ไปไมมีสิ้นสุด ดวยความสมัครใจอยูตลอดไป ประเภทที่สี่นี้เรียกวาเกิดมาถาเปนมนุษย
ก็สักแตวารางมนุษย แตจิตใจไมเหมือนมนุษย จิตใจนั้นต่ําทรามมาก ไมสนใจกับ
สารประโยชน แตสนใจกับสิ่งที่เปนฟนเปนไฟเผาไหมตนเองเปนประจําในจิตใจ ไมมี
ความอิ่มพอในทางต่ําทรามทั้งหลาย นี่เรียกวาประเภทที่สี่ ประเภทหมดคุณคาหมด
ราคา
ถาเปนคนไขก็ไมมีหวัง แมเขาไปในโรงพยาบาล แทนที่จะเขาไปหาหมอหายา
เพื่อเยียวยารักษาโรคที่เปนอยูนั้นใหเบาบางและหายไป ก็ไมยอมสนใจ กาวเขาไปสู
หองไอซียูอยางเดียวเทานั้น รอลมหายใจที่จะขาดลงในเวลานั้นไมมีทางอื่น จิตใจ
ประเภทนี้สั่งสมตั้งแตความชั่วชาลามก โดยไมคํานึงถึงบุญถึงบาปอะไรเลย เพราะหลัก
ธรรมชาตินั้นบาปมีบุญมีมาตั้งแตกาลไหน ๆ แตจิตใจไมเคยสนใจวา บาปคือความชั่ว
บุญคือความดี ประการใดเลย สนใจแตความอยากความทะเยอทะยาน เสาะแสวงหา
แตสิ่งที่เปนความชั่วชาลามกโดยถายเดียวเทานั้น เมื่อตายแลวก็จม
จมลงไปแทนที่จะฉิบหายหายกังวล ดังที่โลกทั้งหลายเขาใจกันวา เมื่อไดรับ
ความทุกขมาก ๆ อยางนี้อยูไปทําไมตายเสียดีกวา จึงคิดวาการตายไปนั้นดีกวาการมี
ชีวิตอยูซึ่งกําลังเสวยทุกขอยูเวลานี้ จึงแนใจอยางเดียววาตายแลวจะหายทุกข ทั้ง ๆ ที่
ใจดวงนี้ไมเคยตาย เปลี่ยนสภาพนี้ออกไปเรียกวาตาย จิตออกจากรางนี้แลวก็แบกกอง
ทุกขที่ตนสั่งสมอยูนั้นติดแนบไปกับใจ แลวไปเกิดในภพหนา ก็ไปเสวยทุกขที่ตนสรางไว
แลวและติดอยูกับใจของตนนั้นแล เพราะบาปไมสูญ มันติดอยูกับใจ
ใจเปนของไมสูญมาดั้งเดิม ใจเปนของไมตายมาแตกาลไหน ๆ ที่วาตายแลวสูญ
นั้นเปนเรื่องของกิเลสหลอกลวงตมตุนโดยถายเดียวเทานั้น หลักความจริงที่เปนอยูใน
สัตวทั้งหลายนั้นคือใจ ที่รางกายซึ่งใจเขาไปอาศัยรางตาง ๆ ภพตาง ๆ นั้น ใจนี้ไมตาย
เปลี่ยนภพไปเรื่อยๆ รางนี้แตกที่เรียกวาตาย เขาไปสูรางนั้นๆ ที่เรียกวาเกิดตายๆ อยาง
นี้เรื่อยมาจนปจจุบันนี้ ถาไมมีธรรมคือคุณงามความดีเขาเคลือบแฝงจิตใจแลว ใจนี้จะ
หาทางออกไมไดตลอดไป และไมหาทางออกเลย มีแตทางหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงเกิด
แกเจ็บตาย เกิดเปนสัตวก็ไมทราบสัตวกี่ประเภท ที่จิตดวงนี้จะตองหลวมตัวไปเกิดไป
เสวยตามกรรมของตน
๒๔
สัตวโลกนี้มีจํานวนมากพรรณนาไมจบ เกิดเปนประเภทตาง ๆ ขึ้นมาในจิตดวง
เดียวนั้นแหละ แตเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติเปลี่ยนกําเนิด เปลี่ยนชั้นเปลี่ยนภูมิไปตาม
อํานาจแหงวิบากกรรมดีชั่วของตน ใจดวงนี้ไมมีอะไรที่จะแกที่จะถอดจะถอนใหหลุดให
พนไปได มีธรรมคือความดีงามสําหรับผูบําเพ็ญแลวเทานั้น ที่จะฉุดลากออกไปได และ
พอมีเขตมีแดน ถาเดินทางก็เทากับวาไดเทานั้นกิโลไดเทานี้กิโลเปนลําดับไป เมื่อเดินไม
หยุดก็ถึงจุดหมายปลายทางไดไมสงสัย นี่เรียกวาการกาวเดิน ไดแกการบําเพ็ญคุณงาม
ความดีทั้งหลาย
ถาไมสนใจกาวเดินก็เหมือนอยูกับที่ ทางจะกี่กิโล จุดที่หมายที่ตรงไหนบางไม
คํานึง ก็ตองจมอยูในที่อยู อยูคือวาอยูในวัฏจักรในวัฏทุกข เสวยทุกขไปเรื่อย ๆ อยางนี้
ทานเรียกวาไมมีตนไมมีปลาย เราเกิดมาตั้งแตเมื่อไรก็ไมทราบ และเมื่อไรถึงจะหลุดพน
จากความเกิดความตาย ซึ่งเราแบกเราหามอยูเวลานี้ เราก็ทราบไมได ทานเรียกวาวัฏ
จักรวัฏวน วนไปเวียนมา ของเกาของใหม ในจิตดวงนั้นแหละที่จะตองไปเกิดไปตาย
บางทีมาซ้ําซากในความเปนมนุษย ซ้ําซากในความเปนเปรตเปนผีเปนสัตวนรกอเวจี
ซ้ําซากไดเพราะกรรมพาใหเปนไป เพราะทําแลวทําเลา
เหมือนเขาติดคุกติดตะราง ครั้นออกมาแลวก็ไปขโมยอีก ก็ไปติดคุกอีก ติดคุกกี่
ครั้งกี่หน ออกมาแลวก็ไมเข็ดหลาบ สําหรับนิสัยสันดานของคนชั่วชาลามก ออกไปก็ไป
ทําความชั่วชาลามกอีก แลวก็มาติดคุกอีก ๆ นี่เรื่องของจิตที่ไปสรางความชั่วชาลามกก็
แบบเดียวกัน เพราะฉะนั้นจิตดวงนี้จึงเกิดของเกาไดซ้ํา ๆ ซาก ๆ ไมมีวาเกาวาใหม วา
เปนของเดนที่เคยเกิดมาแลวไมมี เพราะการทําทําซ้ํา ๆ ซาก ๆ ในกรรมประเภทเกา
เวลาเสวยก็ตองเสวยประเภทเกา เหมือนพวกผูรายชายโจรไปฉกไปลักไปปลนสะดมเขา
ดวยกรรมประเภทเกาเหลานั้น ก็มาติดคุกติดตะรางอันเกานั้นอีก นี่วิถีทางเดินของจิต
คําวาจิตที่วาเปนของไมตายนี้ ไมมีใครที่จะสามารถคนควาตามรองรอยใหทัน
ตัวของมันได นอกจากพุทธศาสนาคือธรรมของพระพุทธเจาทุก ๆ พระองคนี้เทานั้น
ธรรมนี้เครื่องตามรองรอยดูวิถีจิตแหงความเกิดตายของตนที่เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ ที่
เรียกวาเกิดตาย ๆ มาแลว ตองนําธรรมเขาไปพิสูจนกัน เชน อยางทานสอนเรื่องภาวนา
เรื่องภาวนานี้เปนทางตรงแนวที่จะพิสูจนติดตาม หรือแกะรอยแหงความเกิดแกเจ็บตาย
ของจิตดวงนี้ ที่เปนมาตั้งแตกาลไหน ๆ แลวปจจุบันนี้กําลังตามรอยดวยความดี มีจิตต
ภาวนา
๒๕
เบื้องตนก็ไมรูหนารูหลัง ความรูนี้ซานไปหมดทั้งตัว จับไมไดวาความรูนี้คืออะไร
ใจคืออะไร คือมันรูไปหมดทั้งตัว ก็ตองเหมาเอาทั้งตัวนี้วาเปนเราเปนของเรา นี่เวลาจิต
ยังไมรวมตัวเปนอยางนี้ดวยกัน จึงไมทราบวาอะไรคือกาย อะไรคือจิต เมื่อไดบําเพ็ญ
เขาไปถึงขั้นที่จะควรไดรองรอยก็ไดแกจิตตภาวนา เมื่อเราภาวนาลงไปหลายครั้งหลาย
หน ดวยใชคําบริกรรมเปนเครื่องกํากับ เปนเครื่องยึด เปนเครื่องเกาะของจิตในเวลา
ภาวนา ดวยความมีสติ เชน เราระลึกพุทโธก็ดี ธัมโมก็ดี สังโฆก็ดี จิตใหรูอยูกับคํา
บริกรรมคําใดคําหนึ่งที่ตนชอบใจนี้เทานั้น ดวยความมีสติกํากับอยูตลอดเวลาขณะที่
ภาวนา
จิตเมื่อไดรับการรักษาจากสติควบคุม ไมใหกิเลสความฟุงเฟอ ความดีดดิ้น
ความคิดสายแสไปที่นั่นที่นี่มาฉุดลากเอาไปเสีย เพราะสติกํากับรักษาเอาไว จิตก็ตอง
หยั่งเขาสูความสงบ ความวุนวายทั้งหลายเหลานั้นซึ่งเปนทางของกิเลส เปนงานของ
กิเลส ก็ระงับลงไป ๆ งานของธรรมคือคําบริกรรมพุทโธ ๆ กับสตินี้คอยเดนขึ้น ๆ ภายใน
ใจ ใจยอมเขาสูความสงบได พอใจสงบแลวเราจะเห็นจุดเดนของความรูนี้อยูในตัวของ
เรา นี่ละเราจะเริ่มรูเรื่องของจิตของกายไดจากการภาวนา เริ่มตนตั้งแตจิตสงบนี้ขึ้นไป
เราจะเริ่มจับเงื่อนแหงความรูนี้ไดวานี้คือใจ นั่นคือรางกายสวนตาง ๆ นี่เรียกวาเราเริ่ม
แกะรอยวิถีทางเดินของจิตที่พาใหเกิดแกเจ็บตาย เริ่มจะแกะรอยจับรองรอยของมันได
แลวก็ตามความสงบนี้ดวยจิตตภาวนาเรื่อยไป จิตนี้จะคอยสงบเขาไปดวยคํา
บริกรรม คือเบื้องตนเราตองฝกดวยการบริกรรมภาวนา ใหมีคําบริกรรมบทใดบทหนึ่ง
เชน พุทโธ ธัมโม หรือสังโฆ เปนตน กํากับใจ ไมอยางนั้นใจจะหาที่ยึดที่เกาะไมได ตอง
นําคําบริกรรมเขามา ใหความรูคือใจนี้ไดมีที่เกาะกับคําบริกรรมนั้นดวยความมีสติ จิต
จะคอยสงบเย็นเขามา ๆ อารมณตาง ๆ ที่เคยสายแสนั้นจะสงบตัวเขามา จิตเขาพักตัว
อยูในความสงบไมเกี่ยวของกับสิ่งใด เหลือแตความรูกับคําบริกรรม
เมื่อละเอียดเขาไปคําบริกรรมนั้นก็จางไป ๆ ความรูก็ยิ่งเดนขึ้น ๆ สุดทายคํา
บริกรรมกับความรูก็มากลมกลืนเปนอันเดียวกัน จะนึกคําบริกรรมก็ได ไมนึกคําบริกรรม
ก็รูอยูอยางนั้น แลวละเอียดยิ่งกวานั้น คําวาพุทโธ ธัมโม สังโฆ บทใดก็ตามที่เรากําลัง
บริกรรมอยูนั้น กลมกลืนเปนอันหนึ่งอันเดียวกันกับจิตดวงนี้ คือรูอยางเดียว นึกคํา
บริกรรมไมออกเลย นึกพุทโธก็ไมปรากฏ นึกธัมโมหรือสังโฆตามความถนัดของเราที่
นํามาบริกรรมก็ไมปรากฏ นี่เรียกวาจิตสงบตัวเต็มสวนของมันในขั้นนี้
๒๖
แลวอยูกับความรูที่เดน ๆ อยูนั้นดวยความมีสติกํากับอยูนั้นในเวลาที่สงบนั้น
จิตก็ทรงตัวอยูดวยความละเอียดลออสุขุม มีความสุขความเย็นใจ ปลื้มปติภายใน
ตัวเอง นี่เรียกวาจิตสงบ เริ่มเปนสารคุณขึ้นมา เริ่มเห็นจิตของตนวาเปนสิ่งที่มีสาระขึ้น
มาแลวในเวลานั้น นี่ละการตามรองรอยแหงความเกิดตายของจิต เปนมาจากอะไร
เมื่อไรเราไมตองไปคํานึง ใหถือหลักปจจุบันคือตัวรูนี้ซึ่งกําลังวุนวายอยู ใหรวมกระแส
เขามาสูความสงบเย็น จากนั้นความสงบนี้ก็จะสงบละเอียดเขาไป ๆ แนนหนามั่นคงตอ
ตัวเองเขาไปเรื่อย ๆ แลวก็ยิ่งเดน
ความรูนี้ยิ่งเดนในทามกลางหัวอกเรานี้แหละ เพราะความรูแทอยูทามกลางใน
รางกายนี้ เรียกวาอยูหัวอก เดนอยูนี้ ไมขึ้นทางสมองดังที่เราเคยเขาใจกันวา สมองเปน
จิตบาง หรือวาจิตไปเปนสมองเสียบาง สมองทํางานก็เรียกวาจิตทํางานเสียบาง ความ
จริงสมองนั้นเปนสถานที่ทํางานแหงความจดจําทั้งหลาย เมื่อจิตสงบลงไปแลวเราจะ
ปรากฏที่ทามกลางอกเทานั้นไมขึ้นสมอง เปนความจริงโดยแทอยูที่ทามกลางอก รูก็รูอยู
ที่นั่น ความรูเดนก็เดนอยูที่นั่น ความสวางไสวของใจก็สวางอยูในทามกลางอกนั้น ไมได
ไปสวางไสวอยูบนสมองบนศีรษะแตประการใด นี่คือหลักความจริงที่พิสูจนจิตใจของ
ตน
จากนั้นจิตมีความละเอียดลออมากนอยเพียงไร ก็จะละเอียดลอออยูภายใน
ทามกลางอก จิตจะรวมก็ตามไมรวมก็ตาม หลักของจิตเปนฐานแหงความรูอยางเดนชัด
อยูทามกลางหัวอกอยางเดียว นี่คือจิต หลักความจริงจะรูไดชัดวาสมองเปนสถานที่
ทํางานแหงความจดความจําเทานั้น ไมไดเปนที่ทํางานแหงจิตตภาวนาเพื่อละเพื่อถอน
กิเลส ที่ทํางานเพื่อการละการถอนกิเลสอยูที่คําบริกรรม เบื้องตนนี้อยูที่จิต ไมไดไปอยูที่
สมอง จิตละเอียดเขาไป ๆ เทาไร จนกระทั่งมีความสวางไสวขึ้นก็สวางอยูภายใน
ทามกลางอกเรานี้แล
จิตเวลาสวางสวางจริง ๆ ไมมีอะไรสวางเสมอจิตภายในหัวอกนี้เลย รางกายของ
เรานี้หยาบ เปนเนื้อเปนหนังดังที่เห็นอยูนี้แหละ แตพอจิตละเอียดเขาไป สวางไสวเขา
มาก ๆ จิตนี้จะเปนเหมือนไสตะเกียงเจาพายุ อยูในทามกลางแหงแกวครอบของ
ตะเกียงเจาพายุนั้น แลวจะสองความสวางออกมาจากแกวครอบไปไดทุกแหงทุกหน
รอบตัวของไสตะเกียงนั้น นี้จิตก็มีความสวางไสวอยูภายในใจ รางกายเลยกลายเปน
แกวครอบจิตดวงนี้ซึ่งกําลังใสสวางไปเสีย
๒๗
รางกายนี้แมตาเนื้อเราจะเห็นวาเปนรางกาย แตตาใจนั้นจะแทงทะลุเปนความ
สวางไสวไปหมด นี่ละจิตคอยเปลี่ยนตัวไปอยางนี้เมื่อไดรับการอบรม สวางไสว
จนกระทั่งตัวเองก็อัศจรรยตัวเองเพราะไมเคยเปน และเปนมาเปนลําดับลําดา เปลี่ยน
จากความหยาบเขาสูความละเอียด ความรูก็ละเอียด ความสวางไสวก็ละเอียด
ความสุขก็ละเอียดสุขุมไปเรื่อย ๆ จากใจดวงเดียวนี้ นี่เรียกวาตามรองรอยของจิต ให
เห็นวาภพชาติที่แทจริง หรือวาพิสูจนวาจิตนี้ตายแลวสูญหรือไมสูญ จะพิสูจนไดดวย
ทางธรรมะคือจิตตภาวนาอยางเดียว
ความรูวิชาใดก็ตามที่เราเรียนอยูในแหลงแหงไตรภพนี้ เราจะไปเรียนในประเทศ
ใด แหงหนตําบลใดก็ตาม ความรูนั้นเปนความรูในวัฏจักร ไมใชความรูที่จะออกนอกวัฏ
จักร มีความรูแหงธรรมอยางเดียว ที่ฝกฝนอบรมจิตโดยเฉพาะ แลวก็คอยเปนตัวเปนตน
ขึ้นมาภายในความรูของตน เปนความสวางไสวแพรวพราวขึ้นมา ยิ่งนําปญญา ปญญา
นี้เปนความรอบตัว ออกจากสมาธิคือความสงบเย็นนี้แล เปนความเคลื่อนไหวไปดวย
ความรอบคอบขอบชิด พินิจพิจารณาอะไรรูเห็นตามเปนจริง
ดูสภาวธรรมทั้งหลายที่เราถือวาเปนเรา เชน รางกายทุกสวน ใจยอมยึดวาเปน
ตัวของตัวโดยหลักธรรมชาติ แตปญญาแทรกเขาไปพิจารณาเขาไปแลว จะแยกแยะ
สวนตาง ๆ ออกใหเห็นตามเปนจริงของมัน สุดทายธาตุในรางกายของเรานี้มีอยู ๔ ธาตุ
ดวยกัน คือ ธาตุดิน ไดแก เนื้อ หนัง เอ็น กระดูก เหลานี้เรียกวาธาตุดิน ธาตุลม เชน ลม
หายใจ เปนตน ธาตุไฟ เชน ไฟใหความอบอุนในรางกาย อากาศธาตุมันก็มีอยูภายในนี้
ดิน น้ํา ลม ไฟ จิตก็แยกออก ๆ เปนสวนตาง ๆ ขึ้นมา ไมใชรางกายเสียแลว ไมใชเรา
เสียแลว เปลี่ยนจากเรา เปลี่ยนจากของเรา ไปเปนสวนตาง ๆ ของธาตุ
จิตก็แยกออก ๆ ถอนความยึดมั่นถือมั่นในธาตุทั้งสี่ ที่เราถือวาเปนเรานี้ออกเปน
ลําดับ กลายเปนนั้นคือธาตุดิน นี้คือธาตุลม นั้นคือธาตุน้ํา นี้คือธาตุไฟ แยกออก ๆ
ความยึดมั่นถือมั่นวาธาตุเหลานั้นเปนเราก็ถอนตัวเขามา คําวาเราเลยไมมีในธาตุ ๔
ดิน น้ํา ลม ไฟ คอยปลอยความยึดมั่นถือมั่นของจิต ที่ไปกวาดไปตอนเอาธาตุทั้งหลาย
มาเปนตัวของเรานี้ ออกจากจิตโดยลําดับลําดา จนกระทั่งถึงถอนอุปาทานความยึดมั่น
ถือมั่นนี้ออกไปได
เหลือแตความรูกับนามธรรมที่เปน เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ความจําได
หมายรู ความคิดความปรุงตาง ๆ พิจารณาอาการเหลานี้เขาไปอีก เชนเดียวกับเรา
๒๘
พิจารณารางกายใหเปนธาตุตาง ๆ อันนี้ก็เปนแตเพียงอาการของจิต อาการของจิตไมใช
จิต แลวก็แยกตัวออกเปนชั้น ๆ จิตยิ่งมีความสวางกระจางแจง คลองแคลววองไวดวย
การพิจารณาแกไขถอดถอนตนเอง จนกระทั่งรูแจงแทงทะลุไปหมดในสิ่งที่เคยยึดมั่นถือ
มั่น ปลอยวางไปโดยสิ้นเชิงไมมีสิ่งใดเหลือเลย เมื่อปลอยวางสมมุติทั้งหลายเหลานี้
ภายในรางกาย ก็เทากับปลอยวางสภาวธรรมทั้งหลายซึ่งมีอยูทั่วโลกดินแดน อันเปน
ลักษณะเหมือนกันนี้โดยสิ้นเชิง จิตก็หลุดออกจากนั้น
เวลาจิตที่หลุดออกจากนี้แลว ยิ่งเปนจิตที่อัศจรรยเกินโลกเกินสงสาร เกินสมมุติ
โดยประการทั้งปวง จิตที่หลุดพนแลวนี้แลเรียกวา เราตามรองรอยแหงความเกิดตาย
ของตนมากี่ภพกี่ชาติกี่กัปกี่กัลป ไดมาทันกันในจุดที่กิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจ นี่ละ
รองรอยของวัฏจักร คือกิเลสประเภทตาง ๆ ที่หุมหออยูภายในจิตใจนี้ เมื่อชําระลงไปถึง
จุดสุดทาย กิเลสที่ละเอียดสุดยอดครองหัวใจนั้น ก็ไดขาดสะบั้นลงไป เรียกวาตามรอย
แหงวัฏจักรคือความเกิดตายของจิต ภพชาติของจิตที่ไปเกิดไปตายนี้ ไดสิ้นสุดลงไปแลว
ในขณะที่จิตสลัดตัวออกจากสิ่งเหลานี้ นี่เรียกวาตามรอยของจิตทันแลวในขณะนั้น
ทางธรรมทานเรียกวาตรัสรูธรรมหรือบรรลุธรรม นั่นคือการตามรองรอยแหง
ความเกิดตายของจิตในตัวของเรานี้ทันแลว และสังหารสิ่งที่พาใหเกิดใหตายซึ่งติดแนบ
อยูกับใจ ใหขาดสะบั้นลงไปจากใจ ภพชาติที่เคยเกิดเคยตาย ก็ขาดสะบั้นลงไปกับ
ธรรมชาติที่เกาะอยูในจิตของเราโดยสิ้นเชิง
ทีนี้จิตดวงนี้เมื่อหลุดพนออกไปแลวก็ไมสูญ คือไมสูญมาตั้งแตตนจนถึงจุด
สุดทายที่ตามตัวของจิตตามรองรอยของจิตทัน กลายเปนจิตที่บริสุทธิ์ขึ้นมาก็ไมสูญ จิต
ที่บริสุทธิ์นี้แลยิ่งชัดเจนวาเปนจิตที่เที่ยงตรง ที่ทานใหนามวานิพพานเที่ยง เที่ยงที่จิต
บริสุทธิ์เต็มสวนแลว ไมมีกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เขาไปครอบไดเลย เปนจิตที่เที่ยง
ไมใชจิตที่สูญ นี่ละพระพุทธเจาตรัสรูแตละพระองค พระสาวกทั้งหลายตรัสรูแตละองค
ๆ ถึงธรรมประเภทที่วา อมตธรรม อมตจิต คือจิตไมตาย ธรรมไมตาย กลายเปนธรรม
ธาตุครอบโลกธาตุ ที่ทานแสดงวาธรรมมีอยู ๆ คือธรรมธาตุนี้แล มีครอบโลกธาตุตลอด
มากี่กัปกี่กัลป
นี่ละถึงขั้นตามรองรอยของจิตทัน มาทันจุดนี้แลวก็ตัดสินกันไดอยางชัดเจนไม
สงสัย และไมตองไปถามใครวา จิตนี้ตายแลวสูญหรือไมสูญ เห็นประจักษทั้ง ๆ ที่ยังไม
ตาย เห็นในขณะที่ตรัสรูหรือบรรลุธรรมถึงจุดสุดยอดนี้ เห็นชัดวาจิตนี้คือดวงอมตจิต
๒๙
ดวงอมตธรรม ไมมีคําวาสิ้นวาสูญไปไหนได นี่ละหลักวิชาของพระพุทธเจา ทานสอนให
ตามรองรอยแหงความเกิดตายของตนมากี่ภพกี่ชาติ ดวยการสรางคุณงามความดี
การใหทานก็เปนธรรมเขาซักฟอกจิต การรักษาศีล การเจริญเมตตาภาวนา ก็
เปนธรรมเขาไปซักฟอกจิตใหสงางามผองใสขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพน
เรียกวาเราสรางบารมีดวยความดีทั้งหลาย จนถึงขั้นเต็มภูมิของเราแลวหลุดพนไปได
ดวยกันทุกคน
เมื่อถึงขั้นนี้แลวไมมีคําวาหญิงวาชาย นักบวชและฆราวาส เพราะจิตนี้ไมมีเพศ
จิตนี้ไมมีวัย สวนเพศนั้นเปนที่อาศัยของจิต เชน เพศหญิง เพศชาย สัตวตัวผูตัวเมีย นี่
เปนสิ่งที่จิตเขาไปอาศัย เมื่อเปนจิตลวน ๆ แลวก็ไมมีเพศ ถึงขั้นหลุดพนไดดวยกัน นี่ละ
พุทธศาสนาของเรา จึงเปนศาสนาที่เลิศเลอ ไมมีสิ่งใดหรือศาสนาใดเทียบหรือเสมอ
เหมือนไดเลย เปนศาสนาที่ตรงแนวตอความพนทุกข หรือเรียกวาตรงแนวตอหลักความ
จริงเปนลําดับไป จนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทางคือความพนทุกข ออกจาก
พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจาทุก ๆ พระองค
พระพุทธเจาทุก ๆ พระองคตรัสรูแบบเดียวกันนี้ รูแบบเดียวกัน เห็นอยาง
เดียวกัน ไมมีคําวาสองเปนคูแขงเปนคูเทียบเคียงกันเลย เพราะฉะนั้นพระพุทธเจา
ทั้งหลายก็ดี พระสาวกทั้งหลายก็ดี เมื่อไดตรัสรูธรรมถึงขั้นนี้แลว จึงไมมีคําวาสงสัยและ
ถามกัน รายใดหรือองคใดรูขึ้นมาก็รูอยางเดียวกัน เห็นอยางเดียวกัน หายสงสัยอยาง
เดียวกันหมด นี่ละที่วาธรรมเลิศ ๆ เลิศอยางนี้
เราไดนับถือไดปฏิบัติตามเคารพบูชาอยูทุกวันนี้ เรียกวาเรามีวาสนาบารมี ผูไม
มีวาสนาบารมี แมจะเกิดในทามกลางแหงพระพุทธศาสนานี้ เขาก็ไมสนใจ เขาไมพอใจ
ไมเชื่อไมเคารพนับถือ ทําไปตามยถากรรมของเขา ซึ่งเปนการสมัครแบกกองทุกขไมมี
ประมาณกี่กัปกี่กัลปเปนลําดับไปอยางนั้น แตผูมีคุณงามความดีนี้ หากวาเปนสายทาง
ความดีนั้นแลพาใหยนสายทางเขามา ตั้งแตยืดยาวที่สุด แลวหดยนเขามา ๆ สั้นเขามา
ๆ จนถึงจุดสุดทายก็เรียกวาตามรองรอยของจิตทัน บรรลุธรรมปงขึ้น นั่นเรียกวาภพชาติ
ความเกิดแกเจ็บตายไดขาดสะบั้นลงไปตาม ๆ กัน
ตั้งแตบัดนั้นแลวจิตดวงนี้ไมเขาสูปฏิสนธิวิญญาณในกําเนิดใดอีกตอไป นี่
เรียกวาเรียนวิชาจิตวิชาธรรมจบ จบที่วัฏจิตขาดสะบั้นลงไปจากใจ เปนวิวัฏจิตวิวัฏ
ธรรมขึ้นมาภายในใจ
๓๐
พวกเราทั้งหลายที่เปนชาวพุทธ ไดเกาะธรรมอันถูกตองแมนยําเปนสาระของจิต
บําเพ็ญคุณงามความดีเพื่อจิตดวงนี้ไปเปนลําดับ จิตดวงนี้จะไมแหวกแนวไปลงนรก
เสียอยางเดียว จะมีคุณงามความดีเปนเครื่องฉุดลากขึ้นมา หนุนขึ้นมา ๆ ภพชาติก็เปน
ภพชาติที่ดี พลังของจิต พลังของวาสนาบารมีก็มีหนาแนนขึ้นมา ๆ ดวยการสรางคุณ
งามความดีเขาสูใจ จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพน เพราะอํานาจแหงคุณงามความดีนี้
ทั้งนั้น อยางอื่นใดไมมีความสามารถ ที่จะฉุดจะลากจิตนี้ใหหลุดพนจากกองทุกข
เพราะความเกิดแกเจ็บตายในภพกําเนิดตาง ๆ นี้ได นอกจากคุณงามความดีนี้เทานั้น
เพราะฉะนั้นจงพากันตั้งอกตั้งใจฝาฝนกิเลสตัวปทปรมะ ตัวไมเอาไหนขึ้นมา ให
เปนสาระแกจิตใจของตนดวยการฝาฝนมัน บําเพ็ญคุณงามความดีตลอดไป ตองไดสู
ตองไดรบ ประเภทของกิเลสนี้มีหนาแนนหนักเบาตางกัน เวลาชําระเขาไปเราถึงรูวา
คลื่นของกิเลสมีคลื่นหนักคลื่นเบา คลื่นใหญคลื่นเล็ก ผานไปดวยการรบการตอสู การ
แยงชิงอํานาจระหวางฝายดีกับฝายชั่ว แยงชิงกันไปดวยความฝาฝน
ทุกขยอมรับ ทุกขเพื่อการบําเพ็ญความดีนี้เปนความทุกขเพื่อความสุข แตทุกข
ดวยการทําความชั่วชาลามกนั้น ทุกขเพื่อเพิ่มพูนความทุกข ใหเปนมหันตทุกขขึ้นเปน
ลําดับ มีความตางกันอยางนี้ เรื่องความทุกขนั้นทําชั่วก็เปนทุกข ทําดีก็เปนทุกข แต
ขอใหทุกขในการฝาฝนกิเลสดวยการสรางความดีของเรา นี้เปนสิริมงคลแกเรา จนกวา
วากิเลสสิ้นสุดลงเมื่อไร การฝาฝนกิเลสใหเกิดเปนทุกข ๆ นั้นไมมีเลย
ดังพระพุทธเจาและพระอรหันตทาน ทานผานขาศึกศัตรูคูตอสูคือกิเลสนี้ไปได
ทานจึงไมมีอะไรมาเปนอุปสรรคกีดขวาง หรือเปนทุกขมากนอยภายในจิตใจ ในภาษา
ธรรมทานเรียกวา วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ การ
บําเพ็ญพรหมจรรยของเราไดอยูจบแลว สิ้นสุดแลว งานในการบําเพ็ญดวยการตอสูกับ
กิเลสกองทุกขทั้งหลาย ไดสิ้นสุดลงไปแลวขณะที่จิตหลุดพน งานที่ควรทําอยางยิ่งคือ
การบําเพ็ญความดีมาโดยลําดับนี้ เราไดบําเพ็ญมาโดยลําดับเรียบรอยแลว จนถึงขั้น
สมบูรณเต็มที่ งานอื่นใดที่จะทําใหยิ่งกวานี้ไปอีกไมมีแลว เพราะรูรอบขอบชิดตลอด
ทั่วถึงแลว
นี่เรียกวางานของศาสนามาจบที่กิเลสซึ่งเปนตัวกอกวนยุงเหยิง ใหสรางงาน
สรางการตลอดเวลานี้ ไดสิ้นสุดลงไป งานของเราในการตอสูกับกิเลสนี้จึงสิ้นสุดลงไป
ในขณะเดียวกัน เรียกวางานเสร็จสิ้นลงไปแลว สวนงานที่เปนประจําธาตุขันธนั้นก็ยอม
๓๑
มีเปนธรรมดา จนกวาวาธาตุขันธนี้จะสลายลงไป เพราะฉะนั้นการกินอยูปูวายการ
ขวนขวายมาเพื่อธาตุเพื่อขันธนี้ จึงตองทําอยูเปนธรรมดาเหมือนคนทั่ว ๆ ไป แตงาน
ของจิตที่ชําระกิเลสตัวเปนขาศึกตอใจนั้น ไมมีตั้งแตขณะจิตที่หลุดพนแลว
งานบําเพ็ญทางศาสนานี้มีทางสุดสิ้นไปได งานที่ตะเกียกตะกายไปตามกิเลส
ดวยอํานาจแหงความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา นี้ไมมีสิ้นสุด ยิ่งเสริมมันเทาไรความ
โลภก็ยิ่งมาก พอกพูนขึ้นเต็มหัวใจ ระบาดสาดกระจายออกไป ไดเทาไรไมพอ ๆ เอาเงิน
ทองกองเทาภูเขา ๆ มาพอกพูนมันก็ยังไมพอ ตองการมากกวานี้ ๆ มีแตความอยาก
ความทะเยอทะยาน ไดสิ่งที่ตองการมามากนอยเพียงไร ก็เทากับไดเชื้อไฟมาเสริมไฟ
ใหโลภ ใหดีดใหดิ้น ใหเกิดความทุกขมากขึ้นโดยลําดับ ไมมีทางสิ้นสุดยุติคืองานของ
กิเลสในใจของสัตว
ความโกรธความแคน เมื่อไมสมหวังก็เปนฟนเปนไฟเผาไหมขึ้นมาที่ใจเรา ราคะ
ตัณหาตัวพาดีดพาดิ้นใหทะเยอทะยาน เพื่อใหโลภมากนี้ก็เกิดขึ้นจากตัวนี้เปนสําคัญ
เปนฟนเปนไฟ ทานจึงสอนใหระงับดับมัน ดับมันลงไดดวยธรรม อยางอื่นดับไมลงสงบ
ไมได ตองเอาธรรมเขามาระงับดับมัน ถาควรจะดับไดก็เอาใหสิ้นซากไปเลย ความทุกข
จะสิ้นเสร็จลงไปพรอมกับกิเลส ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา นี้ขาดสะบั้นลงจาก
ใจ ใจเปนอันวาสิ้นสุดแลวจากความทุกขทั้งหลาย นี่เปนขั้น ๆ อยางนี้ ใหพากันตั้งใจ
ประพฤติปฏิบัติ
อยาปลอยไปตามบุญตามกรรมดังที่กิเลสหลอกลวงเรา เลื่อนลอยมาจนกระทั่ง
บัดนี้ เชนเวลานี้เราก็รูวาเราเกิด และรูวาเราเกิดเปนมนุษยเปนหญิงเปนชาย แตเรามา
จากภพใดชาติใด มองดูรองรอยของเราที่มาเกิดเปนมนุษยนี้ มาจากภพใดชาติใดเราก็
ไมรู ทั้ง ๆ ที่ทางเดินมาก็มีอยูอยางนั้น แตเรามองดูทางเดินมาของเราก็ไมเห็นไมรูเสีย
เรามาตามรองตามรอยตามสายทางแหงความเกิด มาจากภพนั้นภพนี้ เปนหลัก
ธรรมชาติเปนความจริงตายตัว แตเราก็ไมรูเสีย ปจจุบันนี้จะไปที่ไหนเราก็งงงันอั้นตู
ตัดสินใจไมไดเพราะอยูกับความหลงภายในใจ ปจจุบันนี้ก็ไมทราบวาตายแลวจะไปเกิด
ที่ไหน มิหนําซ้ําก็เหมาลงสูความวาตายแลวสูญ ยิ่งเปนคนหมดคุณคาหมดราคาทั้งมี
ชีวิตอยูตอไปอีก
เพราะฉะนั้นทานจึงสอนใหอบรมจิตใจ จะเปนเครื่องสองแสงสวาง ทั้งรองรอย
แหงความเปนมาของเราจากภพกอน ๆ โนนกี่กัปกี่กัลป ทั้งปจจุบันนี้ก็มีความสวางไสว
๓๒
ดวยศีลดวยธรรมคุณงามความดีของเรา เวลาตายไปขางหนาเรียกวาอนาคต ก็เมื่อ
ปจจุบันหายสงสัยอยูแลวจะไปสงสัยที่ไหน ปจจุบันมีที่พึ่งที่เกาะอยางเต็มหัวใจแลว เรา
ก็ไมสงสัยในภพตอไปวาจะไปเกิดเปนอะไร หากเปนความแนวแน เปนความภาคภูมิใจ
อยูดวยความดีของตนวา แนนอนที่จะไปเกิดในภพที่ดีคติที่เหมาะสมเปนลําดับลําดา
จากนั้นก็แนนอนลงไปสุดยอดคือวา จะไมตองมาเกิดมาตายอีกแลว ประจักษในจิตใจ
นี่ละธรรมะของพระพุทธเจา เครื่องซักฟอกจิตใจมีธรรมเทานั้น นอกนั้นไมมี
กิเลสนี้จะหลุดลอยไป เบาบางไป จนกระทั่งขาดสะบั้นลงไปหมด จากอํานาจแหงความ
ดีที่เราบําเพ็ญอยูนี้เทานั้น นอกนั้นไมมี เราจึงอยาไปไขวควาวา อันนั้นจะดี อันนี้จะดี
อันนั้นจะเปนสุข อันนี้จะเปนสุข เปนความไขวควาลม ๆ แลง ๆ หาความจริงไมได
นอกจากการบําเพ็ญคุณงามความดีเขาสูตัว แลวจะเปนที่แนนอนประจักษใจ
การบําเพ็ญภาวนานี้ประจักษ จนกระทั่งถึงประจักษอยางสุดยอดเลย ตัดสินใจ
ตัวเองไดโดยไมตองไปถามผูใด นี่ละทานเรียกวา สนฺทิฏฐิโก คือรูในตัวเอง เห็นใน
ตัวเองโดยไมตองไปถามใคร นี่เรียกวาธรรมขั้นสุดยอด จิตก็สุดยอดแลว หมดทางเดิน
ตอไปอีกแลว คือเดินตอไปก็เดินเพื่อจะเกิดจะตายเพื่อแบกหามกองทุกขนั้นแล เมื่อเชื้อ
แหงความเกิดตายไดสิ้นซากลงไปแลว การกาวเดินของจิตเพื่อวัฏวนทั้งหลายก็ไมมี
กลายเปนวิวัฏจิต ไมตองหมุนเกิดแกเจ็บตายอีกแลว นั่น ใหพากันตั้งอกตั้งใจ
สําหรับพระเราก็ใหหนักแนนในการภาวนา อยาขี้เกียจขี้ครานทอแทออนแอ
อุตสาหพยายาม ภาวนาเปนมหาสมบัติอยางยิ่งภายในใจของพระ งานของพระที่เปน
พื้นฐานจริง ๆ ก็คือการเจริญเมตตาภาวนา ศีลสังวร รักษาศีลของตนใหมีความบริสุทธิ์
บริบูรณ เราจะมีความอบอุนในใจของเรา วาเรามีศีลสมบัติเปนเครื่องประดับตัว สมาธิ
ความสงบใจก็อบรมใหมีขึ้นดังที่กลาวมาสักครูนี้ นี่เรียกวางานของพระ สมบัติของพระ
ก็จะกลายเปนศีลสมบัติ สมาธิสมบัติ ปญญาสมบัติ วิมุตติสมบัติ หรือเรียกวานิพพาน
สมบัติ จะอยูในเงื้อมมือของพระเราซึ่งเปนผูมีการงานนอย มีเฉพาะงานบําเพ็ญซักฟอก
จิตใจนี้เทานั้น ใหพากันตั้งอกตั้งใจบําเพ็ญ เราจะไดมีความอบอุนในเพศของเรา เย็นใจ
อยูในตัวของเราเอง
วันนี้เทศนเพียงเทานี้เห็นวาสมควรแกเวลา ขอความสวัสดีจงมีแกพี่นอง
ลูกหลานทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ
พูดทายเทศน
๓๓
นั่นรูปหลวงตาติดมาดวย นี่หลวงตามาทาทายหลวงตา แตรูปนี้ยิ้มนะ ทําไมเขา
ไมเอารูปขึงขังตึงตังติดมาบาง ทําไมเอารูปยิ้ม ๆ มา เวลาขึงขังตึงตังของหลวงตามีอยู
มากไมเห็นเอาออกมาแสดง เห็นเอามาแตยิ้ม ๆ หึย เอามาประดับราน ของจริงจริง ๆ
ไมเห็นเอามา ขึงขังตึงตังดังที่เขาเลานิทาน นาฟงอยูนะ เอามาเปนขอเปรียบเทียบนี้
เคยเลาใหฟงแลว ผูที่ยังไมเคยไดยินก็มี มันขลัง ๆ อยูนะ ขบขันดี
นิทานพอตากับลูกเขยลูกสาว อันนั้นไมเห็นมาแสดง เอาแตยิ้ม ๆ มาแสดง
นิทานอันขึงขังตึงตังนั้นไมเห็นมาแสดง นิทานมีวา พอตาไปเผาไร คือเขาไปเผาไรแลว
เขาไปเก็บเศษไมที่เผายังไมหมด มากองรวมกันแลวเขาก็ไปเผาซ้ําอีก เพื่อใหเตียนแลว
ก็ควรแกการเพาะปลูกตาง ๆ พอตื่นเชาพอตาก็ออกจากบานไปเผาเศษไมในไรแตเชา
เลย ไปตั้งแตเชาเผาเศษไมตลอดมา พอสายมาก็หิวขาวละซี หิวขาวอยากกินขาว
มองดูลูกที่จะมาสงอาหารให มองเทาไรก็ไมเห็น มองเทาไรก็เงียบ ทองก็ยิ่งหิวยิ่ง
โหยเปนทุกขมาก เพิ่มความหงุดหงิดความโกรธขึ้น โกรธเคียดใหลูกสาวลูกเขย เพราะ
เขาจะไปสงขาวตามหลัง สายก็ยังไมเห็นไป จนกระทั่งถึงตะวันเที่ยงโนนนะ ตั้งแตเชามา
แบกความหิวโหยมาตั้งแตเชาจนกระทั่งถึงเที่ยง อัดอั้นตันใจ ความทุกขความทรมาน
ความหิวความโหยก็มาพรอมกัน ความโกรธความแคนโมโหโทโสก็มาพรอมกัน ตะวัน
เที่ยงถึงเห็นลูกสาวกับลูกเขยหาบอาหารไป
พอไปถึงแลว ทางนี้มันเคียดมันแคนเต็มหัวอกแลว จะพูดอะไรก็จะเลยเถิดเลย
แดน คืออันนี้มันเคียดมันแคนเต็มกําลัง ถาจะใหพูดตามอารมณที่เคียดแคนนี้ ลูกเขย
กับลูกสาวก็จะเปนฟนถูกเผาไหมไปดวยความโมโหนั่นแหละ เลยสกัดกั้นเอาไว พอเขา
ไปถึงแลวจะวาอะไรมันก็จะเลยเถิดไปเสีย พอเขาไปถึงแลว ก็ขึงขังตึงตัง หนาแดงตาดํา
ดวยความโมโห ขูออกมาวา สูนี่
เขาใจไหมคําวาสู คือคนหนึ่งเขาเรียกวามึง ถาสองคนขึ้นไปสามคนขึ้นไปเปน
พหูพจน หลายคนแลวเขาเรียกวาสู สูจะไปไหน หมายถึงสองคนขึ้นไปแลว ถาวามึงจะ
ไปไหนคือคนเดียว ถาวาสูนี่เรียกวาสองสามคนขึ้นไปแลว นี่ก็มีลูกเขยกับลูกสาวไปหา
จะพูดอะไรก็จะเลยเถิดเลยแดน ก็มีแต สูนี่ ๆ จะวาอะไรก็วาไมออกคือมันโมโหมาก ได
แตคําวาสูนี่ ๆ
๓๔
นี่เราเห็นแตรูปยิ้มแยมมา รูปสูนี่ไมเห็นมา เวลาสูนี่มีมากกวาการยิ้มแยมไมเห็น
เอามา ตอไปนี้ก็จะใหศีลใหพร มีแตสูนี่เลยลืมใหศีลใหพร พากันเขาใจแลวเหรอนิทานสู
นี่ ประกอบกันกับยิ้ม ใหมีทาทางสูนี่ดวยซิ
อยางที่เทศนเมื่อวานนี้ก็มีขบขันอยูหนอยนะ ที่พะเยา เทศนขอสุราขบขันดีไมใช
เหรอ คือยกภาพพจนขึ้นมาเฉย ๆ เทศนไปเฉย ๆ ไมยกขอเปรียบเทียบภาพพจนขึ้นมา
มันก็ไมกระจางแจง เพื่อใหเห็นโทษของมัน สุราโทษของมันเปนยังไง ๆ วาดภาพขึ้นมา
ใหเห็น ยกตัวอยางขึ้น ใหเอารถบรรทุกใสเหลามาเปนถัง ๆ นี่เรียกวาภาพพจน มันก็
เหมือนกับรถบรรทุกมาขนสุราออกมาเปนถัง ๆ ยกใหทางนั้นหนึ่งถังสองถังสามถังทั่ว
บริเวณที่ชุมนุมกัน ทางนี้ก็ยกขึ้นมาหาทางพระ หลวงตาบัวเปนผูรับเหมา ทางนั้นก็กิน
กันเต็มเหนี่ยว ทางนี้ก็กินกันเต็มเหนี่ยว
ทีนี้ตางคนตางออกลวดลาย ลวดลายของสุรามันออกแบบไหนที่นี่ ออกทุกแบบ
ทุกฉบับ ฆากันตีกันทุกอยางขึ้นหมด สุดทายลมระเนระนาด มีแตเปนบาเมาสุรา ขี้แตก
กระจัดกระจายไมคํานึงกัน ขางบนนี้ก็เหมือนกัน พระอยูขางบนนี้ทะเลาะกันซัดกันลม
ระนาว มีแตพวกบาเหลาลมระนาว ขี้ทะลัก ทั้งขี้โยมทั้งขี้พระ ไมทราบวาขี้ใครตอขี้ใคร
เต็มที่ชุมนุมนั้น นี่ละเรียกยกภาพพจนขึ้นมาใหรูวาโทษของสุราเปนยังไง แลวใครอยาก
เปนอยางนี้ไหม ถาไมอยากเปนอยากิน ยกภาพพจนขึ้นมาใหเห็น ถาอยากเปน เอากิน
มันก็เปนอยางวาจริง ๆ ผิดไปไหน ถาไมกินมันก็ไมเปน พูดก็พูดเฉย ๆ โทษของมันเปน
ถึงขนาดนั้นไมใชเรื่องเล็กนอย
จากนั้นก็ยกอีตาคนหนึ่งขึ้นมาสาธก อีตาคนนั้นแกเปนบาสุรา ไปในงานไหนอี
ตาคนนี้แกจะเปนหัวโจก ไปงานไหนแกไปฟดสุรากอนเขาแหละ พอคนมารวมกันแกเมา
แอแลว เมาเต็มเหนี่ยวแลว เมากอนเพื่อน ไปกินกอนเพื่อนละอีตาคนนี้ ชื่อแกเราก็จําได
แตเราไมอยากพูด พูดเรื่องของแกเฉย ๆ ก็พอแลว พอกินอิ่มแลวเมานี้ออแอ ๆ เมาหนัก
ๆ ลุกไมขึ้น ขนาดนั้นนะ แกไปไหนเปนอยางนั้น แตมีดีอยางหนึ่งแกไมเคยชวนใคร
ทะเลาะนะ เมาขนาดไหนก็ไมเคยทะเลาะกับใคร มีผิดอยูนิดหนึ่ง
พวกเราทะเลาะกันฆากัน ขี้ทะลัก อีตาคนนั้นแกเมาแลวไมทะเลาะกับใคร เวลา
แกเมามาก ๆ แลวออแอ ๆ ไปไมได จนกระทั่งลุกไมขึ้น ลุกขึ้นลมเลย นอน ทีนี้นอนก็หลับ
ไป ขี้ทะลักแกก็หลับสบาย ขี้ราด นอนเกลือกขี้เจาของ เห็นตอหนาตอตานี่ เอามาพูด
แบบเห็นตอตา ก็เราไปเจอเอง คือมันมีชองวางอยูนี้ คนมาก ๆ แนน มีชองวางอยูเปน
๓๕
วงกลม แกนอนอยูนั้น แลวขี้ทะลัก นอนเกลือกขี้เจาของอยูนั้นคนเดียว หลับครอก ๆ อยู
นั้น ใครไป ก็ที่วาง ๆ ทําไมไมเห็นใครไปนั่ง พวกนั้นเขาไมรูเรื่อง ไอที่วาง ๆ ทําไมไมเห็น
ไปนั่งกัน
นี่พอของใคร(เขาหยอกกัน) พอใครนอนอยูนี่ เขาถาม พอใครมานอนอยูที่นี่ ดูซิ
ขยับเขาไป อึ๊ย คนนั้นยังหลับครอก ๆ อยูขี้เต็มแถวนั้น คนก็แตกฮือ เราไปเห็น แกหลับ
สบาย นั่นเห็นไหมผลของมัน คนแตกฮือ มีนั้นละเปนวงไมมีคน มีวงกวางอยูวงเดียว วง
กวางคือวงขี้แตก ใครก็ไมเขาไป เราเห็นเลยไดอันนั้นมาสาธก เวลาเทศนก็เอานี้มาสาธก
เปนพยาน เพราะเราไปเห็นดวยตาของเราเอง ขบขันดี มีงานอะไรแกตองไปกอนแหละ
มีงานที่ไหนแกตองเปนผูรับเหมา รับเหมาอันนี้แหละ ไปไมไดงานอะไรแหละ กินแลวเมา
ก็เอา โห เปนคอสุราจริง ๆ นะ จอมจริง ๆ ไมมีใครสู เรื่องเมาสุราไมมีใครสู เกงมาก
ทีเดียว
สําหรับหลวงพอเองเคยเมาสุราหนหนึ่ง แตไมไดเมาดวยความสมัครใจ นี่ก็ได
เอามาพูดใหฟงเหมือนกันเปนคติ คือมันเปนกับเจาของก็เอามาพูดได ไปเที่ยว เปน
ฆราวาส ตอนเปนหนุมอยูนั้นละ เพื่อนเขากินเลี้ยงกันเขาก็มาชวนเราไปกินเลี้ยง เราก็ไม
รูวาเขามีเหลากี่ไหอยูนั้น เหลานอยเมื่อไร พอไปถึงเขาก็รุมมาเลย คนนั้นแกวหนึ่ง คนนี้
สองแกวรุมเขามา บังคับใหเรากินเหลา เราก็ไมเคยกิน โอย กินไมไดแหละเราปวดหัว
โอย นี่ยาแกปวดหัว คนนั้นจับคนนี้คลึง คนนั้นกรอกคนนี้กรอก กรอกไปกรอกมาก็รอง
เพลงขึ้นในเวลานั้นเลย เราไมลืมนะ รองเพลงขึ้นเลย ปกติไมไดรองเพลง
เวลาเหลาเขาปากหมดยางอายนะ โฮ คนเมาเหลานี่มันหมดยางอาย อยากคิด
อยากโมอยากคุยยางอายไมมี หมดยางอาย เลยรองเพลงใหเขาฟงในเวลาเมาเต็มที่
แลว สุดทายนอนหลับกับบานเพื่อน มาบานเจาของไมได บานเจาของคือวาบานเสี่ยว
เปนเสี่ยวกัน พอตื่นนอนขึ้นที่ไหนไดมันแจงแลว ตะวันโผลขึ้นโนน โอย อายเขา หายเมา
แลวอายเขา บานหลังนั้นไมเคยไปเหยียบอีกเลยนะ โนนเวลามันเมาเหลามันไมไดเห็น
อาย มันรองเพลงอยูบานเขาสบายเลย เอาจนกระทั่งตื่นขึ้นมา หายเมาแลวไปบานเขา
อีกไมได
เขามองเห็นเขาหัวเราะนี่นะ เราก็มีแตอายทาเดียว ไมไปบานเขาเลย นี่ละไดจับ
เอามาพิจารณา โห คนเมาเหลานี่ไมมียางอายนะ อยากโมอยากคุย อยากขับอยากลํา
ทําเพลง คิดวาสนุกสนาน เปนบาไมมียางอาย แตพอหายเมาแลวเขาไปเหยียบบานนั้น
๓๖
ไมไดเลย อายเขา เรื่องสุราเปนอยางนั้น หนเดียวเทานั้นแหละ นี่เลาใหฟงที่เราเคยตั้งแต
เปนฆราวาสมาแตกอน เราไมเคยกินสุราสุแรอะไร ไปเมาทีเดียว
สุรานี่รสมันอะไรก็ไมรูนะ ทําไมใครจึงชอบนักละ ทุกรสอยูนั้นหมด ไมทราบวา
ขมวาเปนอะไรตออะไรอยูในนั้นหมดสุรานี่นะ เวลาเมาแลวตัวเบานะ เดินเบาหวิว ๆ เบา
ลมนะไมใชเบาธรรมดา พอลุกขึ้นลมเลย หากตัวเบานะ ลักษณะมันรูวาตัวนี้เบา แต
แทนที่เบาจะเดินไปสบาย เบาก็เบาเพื่อลม สุดทายลุกไมขึ้น จึงไดเห็นชัด พอหายเมา
แลวปวดศีรษะ ตื่นเชามาปวดหัว ทําใหปวดศีรษะดวย นั่นละที่พอไดมาเลาที่เราเคยเมา
หนหนึ่งตั้งแตเปนฆราวาส
โอย รองเพลงเกงนะ ไปที่ไหนผูสาวเขาหลอก พวกสาว ๆ เขาหลอกใหรองเพลง
ใหเขาฟง ตองไดรองเพลงใหเขาฟงตั้งแตเปนหนุม นี่เราพูดเปนกันเองในวงพวกบา
ดวยกัน เราเปนกองหัวหนาบา พอเขาไดยินวันเมาสุราแลว ไปที่ไหนสาวเขามาลอเรื่อย
แหละใหรองเพลงใหเขาฟง ไปที่ไหนใหรองเพลงเรื่อยแหละ
อายุ ๒๐ ๒๑ ปยังไมเต็มอยู ๓ เดือน คือเราเกิดเดือนสิงหาฯ เราบวชเดือน
พฤษภาฯ อายุได ๒๐ ปกับ ๙ เดือนก็บวช จนกระทั่งปานนี้ นี่ก็ได ๖๕ ปเต็มแลวที่บวช
มานี้ บวชวันที่ ๑๒ พฤษภาฯ นี่ก็ถึงวันที่ ๒๗ แลว เปน ๖๕ ปกับ ๑ เดือนแลว วันที่ ๑๒
พฤษภาฯ เต็ม ๖๕ ป มิถุนาฯ วันที่ ๑๒ ก็เปน ๑ เดือน เหลานี้ยังไมเกิดตอนเราบวช นาน
หรือไมนาน แตอายุการบวชของเราเหมือนไมนานนะ บวชมาถึง ๖๕ ปนี้เหมือนไมนาน
วันเวลาลวงไป ๆ เล็กนอย ๆ วันหนึ่ง ๆ หมดไป ๆ
อันนี้ก็อาจจะเปนเพราะวาสนาชวยก็ได เวลาเรียนหนังสือจิตก็ผูกพันอยูกับการ
เรียน ไมยุงกับอะไรเสีย พอออกปฏิบัติขึ้นฟดกับกิเลสยิ่งแลวเลย หมุนติ้วตลอด จิตก็
ไมไดออกไปทางโลกทางสงสารเสีย จนกระทั่งหมูเพื่อนเกาะพรึบมาเรื่อยจนกระทั่งบัดนี้
ก็แบกพวกหมูเพื่อนลูกศิษยลูกหาเสีย ก็แบกมาตลอด เดี๋ยวนี้นั่งอยูบนธรรมาสนก็ยัง
แบกอยูนี้จะวาไง งานมันยุงตลอด จนเจาของจะเดินกาวขาไมออกแลว ตั้งแตบวชยัง
หนุมฟอจนปานนี้ ๖๕ ปแลว โห นานอยูนะ
ภาคเหนือภูเขามาก นาที่พระกรรมฐานจะมาอยูทางนี้มาก แตเดี๋ยวนี้ก็ยังมาก
อยูนะพระกรรมฐาน คือแตกอนที่วาพระกรรมฐานไมคอยมากก็คือวา ครูบาอาจารยที่
เปนรมโพธิ์รมไทรอยูที่ไหน ก็เปนแมเหล็กเครื่องดึงดูดลูกศิษยลูกหา แตกอนที่หลวงปู
มั่นทานอยูเชียงใหม อันนั้นทานไมเอาใครนี่นะ ทานอยูในปาในเขากับพวกขมุ มูเซอร
๓๗
ทานไปอยูเฉพาะทาน ๆ เวลาทานไปสกลนครนี้ก็ไดโอกาส พระเณรก็รุมกัน ทานก็หลบก็
หลีกของทานอยูในปาในเขา อยางอยูหนองผือถาไปทางลัด คือขึ้นเขาลงไป ๕๐๐ เสน
ถาไปทางออมภูเขาก็ ๖๐๐ เสน แตกอนไมมีรถ ใครจึงไมไปหาทานไดงาย ๆ ครั้นตอมา
รถรามันก็มี การไปมาหาสูกันก็ไมยากลําบากอะไร ไปเมื่อไรก็ได แตกอนไมมี
เที่ยวกรรมฐานมีแตบุกปาไปทั้งหมด ดงก็เปนดงธรรมชาติรอยเปอรเซ็นต ไมมีวา
นั่นเปนที่นานี้เปนที่สวนของใคร มีแตดงแตปาเต็มไปหมด และคนก็มีจํานวนนอยดวย
ปาเขาลําเนาไพรก็ไมถูกทําลาย การคาการขายแทบจะเรียกวาไมมีก็ได เพราะการไปมา
ไมสะดวก ใครจะเอาของไปคาไปขายกันที่ไหน ใครอยูที่ไหน ๆ บานใดเขาก็หากินรอบ
บานเขาก็พอแลว การซื้อการขายกันไมมี มีแตดงแตปาไปตลอด เรื่องรถเรื่องราอยาไป
ถามไมมีเลย ไปไหนก็เดินดวยเทา ๆ
เราเดินทางจาก อ.ศรีสงครามมาอุดรฯ นี้ตั้ง ๖ คืน สะพายบาตรเดินบุกปา ตาม
ทางคน ๆ ไป เราจําไดเราเดินทางมีแตเดินดวยเทาลวน ๆ ตั้งแต อ.ศรีสงครามจนกระทั่ง
ถึงบานตาด เดินทางตั้ง ๖ คืน พอฉันเสร็จแลวก็ออกเดิน ออกเดินเรื่อย ๆ ทีนี้เวลาเรานั่ง
รถไปหมูบานที่เรามาตั้ง ๖ คืนนี่ ตอนทางรถสะดวกแลว ออกจากวัดเรานี้เราไป
โรงพยาบาลศรีสงคราม ไปถึงหมูบานนี้มัน ๒ ชั่วโมงไมครึ่งดวยนะ ไมถึง ๒ ชั่วโมงครึ่ง
กับเราเดินตั้ง ๖ คืน รถวิ่งนั้นไมถึง ๒ ชั่วโมงครึ่งขาดอยูบางเล็กนอย แตอยางมากก็ใน
ราว ๒ ชั่วโมงครึ่ง มันกินกันขนาดนั้นแหละ
เดินทั้งวัน ๆ มันไมมีทางแตกอน ทางไปตามหมูบาน ทีนี้เวลารถมามันเปนทาง
อยางที่เรามานี่แหละ ลาดยางบึ่งเดียวนี่ถึงไหนแลว ถึงไหน ๆ ครูเดียว ๆ ทีนี้ไปหมูบานนี้
ที่เราออกจากนั้นเดินทางมาถึงบานตาดนี้ ๖ คืนเต็ม ๆ เดินเต็มเหนี่ยว ๆ ทีนี้เวลาไปดวย
รถเพียง ๒ ชั่วโมงกวา ระยะเวลามันตางกัน
เปนยังไงละพระ ฟงเทศนวันนี้เขาใจหรือเปลา คือเราเทศนแบบสรุปนะ เทศนยอ
ๆ ตามรอยจิต คือจิตดวงนี้มันพาเกิดแกเจ็บตายนี้มากี่กัปกี่กัลป มันเดินของมันมาอยาง
นี้ละ ออกจากภพนี้ไปเกิดภพนั้น ตายจากนั้นไปเกิดนี้ อยูอยางนี้มากี่กัปกี่กัลปไมเห็น
รองรอยตัวเอง วาเกิดมาจากอะไรที่ไหน ทั้ง ๆ ที่ทางเดินมันก็มาตามวานี่ ออกจากนี้ไป
เกิดนั้น ๆ เปนทางไปเรื่อย ๆ แตเราก็ไมรูวาเราเคยเกิดมานานเทาไร เวลาเรียนตามหลัก
ธรรมชาตินี้แลวมันถึงไดรูชัด มันเกิดมากี่กัปกี่กัลปมันรูหมด เวลาตามรองรอยของมันไป
จนถึงตัวของมัน
๓๘
ตัวที่มันพาเกิดพาตายอยูกับอะไร ตามเขาไป ๆ ซักฟอกไป ๆ เรื่อย ๆ เขาไป
ละเอียดเขาไป ๆ จนกระทั่งไปถึงตัวจิตจริง ๆ กับเชื้อของมันที่ติดเปนอันเดียวกันเลย นั่น
ละเชื้อที่พาใหเกิดใหตายมันติดอยูกับจิต ฝงลึก พอไปถึงอันนี้ก็เหมือนกับวา หนามยอก
หัวใจ ถอนหนามยอกจากหัวใจนี้ คือเชื้อของมันที่มันยอกอยูหัวใจ มันฝงพาใหเกิดที่นั่น
ที่นี่ พอถอนอันนี้ออกปง เชื้อมันขาดสะบั้นลงไปแลวมันก็ไมไปอีกแลว มันก็เห็นชัด ๆ ไม
ตองไปถามใคร ใครรูเขาไปแบบเดียวกันหมด ไมตองไปถามกัน มันประจักษขนาดนั้น
ละ
พอถอนเชื้อซึ่งเปนเหมือนกับหนาม หัวหนามยอกเทา อันนี้เรียกวาหัวหนามของ
กิเลสมันยอกหัวใจ พอถอนอันนั้นออกผึงเทานั้น เชื้อมันขาดแลวมันจะไปเกิดที่ไหน
ขางหนาขางหลังขาดไปหมดเลยไมมีเงื่อนตอ ขางหนาจะไปเกิดที่ไหนอีกก็บอกชัด ๆ วา
ขาดสะบั้นไปแลว ขางหลังมามันก็แลวมาแลว ผานมาแลวมาถึงตัวมัน ตัวมันก็ถูก
ทําลายนี้อีกปบ ขาดไปหมดเลย ก็ไมเกิดอีก
นั่นละที่พระพุทธเจาทานตามทันมันตรงนั้นละ วันตรัสรูวันเดือนหกเพ็ญ คือตาม
รอยวัฏจิตวัฏจักรทันวันนั้น เชน พระอรหันตองคไหนตรัสรูหรือบรรลุธรรมอยูในสถานที่
ใด สถานที่นั่นคือสถานที่ทานตามรอยของภพชาติทานทัน สังหารกัน อันนี้เปนสิ่งที่
ลึกลับมากที่สุด สัตวโลกไมสนใจจะตามรอยเลย ไมรู นี่ที่พระพุทธเจาทรงทอพระทัย ไม
ทราบจะสอนยังไง ๆ พอพูดถึงเรื่องธรรมชาติที่ทานรูเลยแดนสมมุติไปแลวนั้น ยิ่งพูด
ไมไดเลย ก็ยิ่งทําใหทอพระทัยหนักเขา
การตามอันนี้ก็ทอพระทัย ผลแหงการตามอันนี้สิ้นสุดลงไปแลว ที่เจอขึ้นมานั้น
ยิ่งทอพระทัยใหญเลย ประหนึ่งวาจะไมมีใครสามารถ ทั่วโลกธาตุนี้ประหนึ่งวาจะไมมี
ใครรูไดอยางนี้ มันเลยความรูความสามารถของสัตวโลกโดยประการทั้งปวงที่จะไปรู
อยางนั้นได ทานถึงทอพระทัย คือมันหนาขนาดนั้น
พวกสัตวโลกเรานี้ กิเลสมันก็แหลมคมมาก มันก็เอายาพิษเคลือบน้ําตาล ๆ ไว
ทุกแงทุกมุม สัตวจึงไมเห็นโทษเพราะอาศัยน้ําตาลเคลือบไว ใหหวานลิ้นนิดหนึ่งก็เอา
ทุกขจําเปนก็ตองแบก เพราะน้ําตาลที่เคลือบนั้นลอไปใหไปแบกทุกข ถามีแตทุกขจริง ๆ
ใครก็ไมไปแบก ถามีน้ําตาลลอไวมันก็เขาไปโดนทุกขเสีย น้ําตาลที่เคลือบไวใหหวานลิ้น
ชั่วขณะนั้นหายไปแลว มีแตกองทุกขที่แบก แบกเรื่อย อันไหนก็มีน้ําตาลเคลือบไว ๆ ทุก
อยาง ใหพอใจในสิ่งนั้น ใหพอใจในสิ่งนี้ สวนทุกขที่จะเกิดขึ้นจากความพอใจสัตวโลก
๓๙
มองไมเห็น เคลือบน้ําตาลเปนเครื่องลอใหดูดดื่มในสิ่งนั้น ใหดูดดื่มในสิ่งนี้ พอไปถึงตัว
นั้นแลว น้ําตาลที่เคลือบนี้หายไปแลวแบกกองทุกข ๆ มันละเอียดลออมาก
เอา พากันกลับเสีย มันตั้ง ๔ ทุมแลว จะเอายันสวางเทียวหรือนี่ ไป ๆ พากันเลิก
เสีย ๔ ทุมแลว พากันกลับเสียพระลูกพระหลาน ใหพากันตั้งใจภาวนานะ ไปไดละ

************
๔๐

เทศนอบรมพระและฆราวาส ณ วัดแพรธรรมาราม จ.ว.แพร
เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๒
ฝากมรดก
การเทศนฝายกรรมฐานเราไมไดเหมือนฝายปริยัติ ปริยัติผมก็เคยเรียนมา เทศน
ทางปริยัติก็เคยเทศนมาแลว เทศนทางปริยัตินี้ก็เหมือนที่เรียนมา เรียนไปถึงไหนสงสัย
ไปถึงนั้น นี้เอาความจริงออกมาจากตัวของเราเองซึ่งเปนผูเรียนผานมาแลว จึงไดมา
แนะนําบรรดาลูกศิษยลูกหา พระลูกพระหลานทั้งหลายใหทราบวา ความจริงกับ
ความจํานั้นตางกันมากทีเดียว ความจําคือเราศึกษาเลาเรียนมามากนอยเพียงไร เราก็
จําไดแตชื่อแตนามของสิ่งเหลานั้น แตเรายังไมเคยเห็นสิ่งที่กลาวชื่อกลาวนามถึงนั้น
เชน สมาธิ ปญญา เปนตน เรียนไปมากนอยเพียงไร ตั้งแตพื้น ๆ จนถึงพระนิพพาน
ความสงสัยก็คืบคลานไปตาม ๆ กันไมลดละ
เริ่มตนตั้งแตเรียนบาปสงสัยบาป เรียนบุญสงสัยบุญไปเรื่อย ๆ นะ ความสงสัยนี้
จะติดแนบไปโดยหลักธรรมชาติของมัน มันหากเปนไปในใจของเราที่เรียนจําไดนั้น
แหละ ความสงสัยก็แทรกไปดวย ๆ ตั้งแตเรียนบาป ทานพูดวาบาป คือ ความเศราหมอง
เปนโทษเปนภัย เราก็ทราบ แตสถานที่เกิดของบาปเปนอยางไรนั่นซีหลักใหญ คําวา
บาปนี้ออกมาแลวนั่น ฐานที่เกิดของบาปคืออะไรเราไมรู บุญนี่ออกมาเปนคําวาบุญแลว
สถานที่เกิดของบุญนั้นเปนอยางไร เพียงความจําของเรานี้จับไมไดเลย
ฐานที่เกิดของบาปของบุญนั้น เพียงความจําจับไมได ตองเปนความจริงจับ รูขึ้น
จากจิตใจจริง ๆ นับตั้งแตบาป บุญ นรก สวรรค พรหมโลก นิพพาน สัตวประเภทตาง ๆ
เต็มทั่วไตรโลกธาตุไมไดมีบกบาง ไมมีสิ่งใดที่จะมากกวาจิตวิญญาณของสัตวโลกที่เต็ม
โลกธาตุนี้ เราจะยอมรับแตสิ่งที่เราไดเห็นไดยินเทานั้น สิ่งที่เราไมไดเห็นไมไดยิน แม
ตําราทานจะบอกไวอยางไรก็ตามดังที่กลาวนี้ ตั้งแตบาป บุญ นรก สวรรค พรหมโลก
นิพพาน เปรตผีตาง ๆ ความจําจําไดเทานั้น แตที่จะยอมรับตามความจําได ตามสิ่งที่
พระพุทธเจาทรงแสดงบอกนั้น เราไมเห็นเราไมรู ความจอมปลอมคือความสงสัยจึงคืบ
คลานไปไดอยางสบาย ๆ สงสัยไปหมด
๔๑
เรียนไปถึงไหนสงสัยไปหมด ไมมีที่วาประจักษใจจากการเรียนที่จําไดมามาก
นอย แมที่สุดเรียนถึงพระนิพพานก็ไปตั้งแงสงสัย วาดภาพพระนิพพานวาเปนยังไงตอ
ยังไงบาง มีจริงหรือไมมีจริง นี่ละความสงสัยมันแทรกเขาไป ๆ เพราะฉะนั้นการเรียนมา
มากนอยเราจึงกลาพูดไดเต็มปากของเรา เพราะเราเรียนมาแลวเหมือนกัน หากเรา
ไมไดเรียนก็เหมือนวาดนเดาเกาหมัด หาเรื่องโกหกมดเท็จมาพูดได แตนี้เราเรียน
มาแลวผานมาแลว เรื่องความจริงที่พระพุทธเจาทรงรูทรงเห็น และแสดงออกมาจาก
หลักความจริงนั้นมากนอยเพียงไร ความจํานั้นจําได แตความสงสัยจะคืบคลานไปหมด
หาหลักหาเกณฑที่เชื่อถือไดจากความจํานั้นไมได นี่ละเรื่องความจําเปนอยางนี้
ไมวาผูหญิง ผูชาย นักบวช ฆราวาส เรียน เรียนธรรม จําไดเหมือนกัน แตความ
สงสัยก็เปนไปแบบเดียวกัน จะเรียนจบพระไตรปฎกก็จําไดตามที่เรียนไปนั้น แตที่
พระไตรปฎกบอกตามความจริงของพระพุทธเจาที่ทรงรูทรงเห็นจริง ๆ นั้นใจไมยอมรับ
เพราะใจไมเห็น มีแตความสงสัยสนเทห ดีไมดีลบวาสิ่งเหลานี้ไมมีไปเสียอีก กิเลสมัน
ถอยเมื่อไร นี่ละการเรียน
การเรียนนั้นเปนแบบแปลนแผนผังของดานปฏิบัติ ที่จะปลูกใหเปนตนเปนลํา
เปนศีล เปนสมาธิ เปนปญญา เปนวิมุตติหลุดพนขึ้นมา ออกจากแปลนที่เรียนแลว
ทั้งนั้น แตแปลนทําอะไรไมได เหมือนเรามีแปลนบานแปลนเรือน จะมีมากขนาดไหนจน
เต็มหองเต็มหับ ก็ไมเปนตึกรามบานชอง ก็ตองเปนแปลนอยูโดยตรง นี่เรียนมามาก
นอยเพียงไรมันไมเปนมรรคเปนผล มันเปนแปลนแหงศาสนธรรม เปนตําราที่ชี้บอก
แนวทางไวเทานั้น เพราะฉะนั้นผูเรียนมาจึงไดแตแบบแปลนแผนผัง ไมมีภาคปฏิบัติก็
ไมเกิดประโยชนอะไร
ทานจึงสอนไวตามหลักความจริงวา ศาสนาที่เต็มเม็ดเต็มหนวยจริง ๆ ตอง
พรอมดวยปริยัติ คือการศึกษาเลาเรียนมา จดจํามาไดในความจริงทั้งหลายที่
พระพุทธเจาทรงสั่งสอนไว เชน บาป บุญ นรก สวรรค เปนตน นี่คือความจริงที่ทรงรูทรง
เห็นแลวนํามาสอน เราก็จําชื่อความจริงนี้ไวเทานั้น แตเราไมเคยเห็นความจริงเหลานี้
ผานหัวใจของเรา พอที่จะเชื่อถือและตายใจไดเลย นี่ละเพียงความจําจึงละกิเลสตัวใด
ไมได เร ๆ รวน ๆ นี่เรียกวาแปลนของศาสนา แปลนของศีล สมาธิ ปญญา วิมุตติหลุด
พน แปลนของสิ่งตาง ๆ พวกเปรตพวกผี เทวบุตรเทวดา สวรรคชั้นนั้น ๆ
๔๒
นี้มีแตแปลนไมไดเห็นตัวจริงนั้นเลย มันเปนแปลน ก็ทานบอกตามความจริงที่
ทานรูทานเห็นแลว แลวจดจารึกออกมาเปนตํารา เราก็เรียนแตชื่อของสิ่งเหลานั้น ไม
เคยเห็นสิ่งเหลานั้นเลย จึงหาความตายใจไมได ทานจึงสอนไวใหเต็มเม็ดเต็มหนวย
คุณคาของศาสนาจะเต็มสัดเต็มสวนตองออกเปนภาคปฏิบัติ เชน แปลนบานของเรา
เราทําไวมากนอยเทาไรก็เปนแปลนอยูมากนอยเพียงนั้น ถาไมหยิบยกออกมาปลูกสราง
ตามขนาดแหงแปลนนั้น ๆ แลว บานจะไมปรากฏขึ้นเลย จะมีแตแปลนเทานั้น
เพราะฉะนั้นจึงตองนําแปลนออกมากาง แลวปลูกบานปลูกเรือนตึกรามบานชองตาม
แบบแปลนชนิดตาง ๆ นั้นแลว ก็จะปรากฏเปนตึกรามบานชองขึ้นมา นี่เรียกวาปฏิบัติ
คือนําแปลนนั้นออกมาปลูกบาน ที่เรียกวาปฏิบัติ
ปฏิเวธ คือความรูแจง ก็คือรูประจักษตั้งแตเริ่มแรกลงมือทํางานปลูกบานปลูก
เรือน ขุดรากขุดฐานเทเสาเทปูน เราก็เห็นดวยตาของเรา วาเวลานี้กําลังเทรากเทฐานเท
อิฐเทปูนขึ้นไปเปนลําดับเห็นประจักษ นี่เรียกวาปฏิเวธ คือรูตามลําดับแหงงานที่เราทํา
ไดมากนอยเปนลําดับลําดาไป จนกระทั่งถึงงานเสร็จสิ้น เปนบานโดยสมบูรณ นั้น
เรียกวาปฏิเวธ รูชัดแลววาบานหลังนี้สมบูรณแบบแลว ภาคปฏิบัติก็เหมือนกันเชนนั้น
เรียนจําไดมาแลวเปนแบบแปลนแผนผังแหงศีล แหงสมาธิ แหงปญญา แหงวิมุตติหลุด
พน ตลอดถึงบาป บุญ นรก สวรรค พรหมโลก นิพพาน เปรตผี สัตวประเภทตาง ๆ นี้คือ
ความจริง แลวเราปฏิบัติตัวของเรา
เบื้องตนเราก็ไมไดคิดมากมายอะไรไปถึงวงกวางดังที่วา นรก สวรรค พรหมโลก
นิพพาน เปรตผีตาง ๆ อันนั้นเปนกิ่งกานแตกออกไปจากความรูที่เปนรากฐานของเรา ที่
จะพึงรูไดดวยภาคปฏิบัติ เริ่มตนพระไตรปฎกมี ๓ ปฎก ปฎกแปลวาภาชนะ ไตรแปลวา
สาม ภาชนะ ๓ ประเภท ไดแก พระสุตตันตปฎก นี่ก็เรียกวาภาชนะสําหรับรับรองพระ
สูตร พระวินัยปฎกก็คือภาชนะสําหรับรับรองพระวินัยปฎก พระอภิธรรมปฎกก็คือ
ภาชนะรับรองพระอภิธรรมปฎกนี้ เรียกวาพระไตรปฎก ๓ ประการ
เราเริ่มตั้งใจปฏิบัติตั้งแตวันเราบวชมา อุปชฌายสอนอยางไร ตั้งแต เกสา โลมา
นขา ทันตา ตโจ นี่เปนหลักวิชาที่สําคัญมาก หรือเปนอาวุธที่สําคัญมาก ที่จะ
ประหัตประหารกิเลสประเภทตาง ๆ มีสวนหยาบเปนสําคัญ จากนั้นทานก็ใหศีล
เรียบรอยโดยสมบูรณ ศีลของพระมีเทาไร ทานบอกไววา ๒๒๗ ขอ คือขอหามทั้งนั้น
อยาขามเกินศีลขอหามนั้น ๆ นี้ทานบัญญัติไวเปนหลักใหญมี ๒๒๗ ขอ อนุบัญญัติทรง
๔๓
บัญญัติเพิ่มขึ้นทีหลังตามความผิดพลาดของพระนั้น นับจํานวนไมได เหลานั้นไม
เรียกวาศีล แตเปนขอหามเหมือนกัน
ทานเรียกวาศีลเฉพาะขอหามใน ๒๒๗ ประการ ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓
อนิยต ๒ นิสสัคคียปาจิตตีย ๓๐ ปาจิตตีย ๙๒ ปาฏิเทสนียะ ๔ เสขิยะ ๗๕ อธิกรณ
สมถะ นั้นเพิ่มเขาไปอีก ๗ เรียกวารวมแลวเปนศีล ๒๒๗ ประการ นี้คือขอหามทั้งนั้น
อยาลวงเกินฝาฝน อยาทําลายขอหามเหลานี้ เราก็ปฏิบัติตามขอบัญญัติหามเอาไวนั้น
ไมฝาฝน เรียกวาเราปฏิบัติดวยความสํารวมระวัง ไมฝาฝนลวงเกินศีลเหลานี้ ก็เรียกวา
ภาคปฏิบัติ นี่เรานํามาปฏิบัติจากพระวินัยปฎก
การนํามาปฏิบัติผลเกิดขึ้นใหเปนความอบอุน แนใจตัวเองวาศีลเราบริสุทธิ์ ไม
ระแคะระคายระแวงแคลงใจวา เราทําศีลขอใดใหขาดตกบกพรองไป ดวยเจตนาอัน
ลามกของเราไมมี นี่เรียกวาภาคปฏิบัติในศีลของเรา สมบูรณแลวเราก็มีความอบอุน
จิตใจไมกระวนกระวายเพราะความสงสัยในศีลของตนวาไมบริสุทธิ์ ใจอบอุนแลวทีนี้พา
ดําเนินทางดานสมาธิ จิตไมเปนกังวลกับศีล
ทางดานสมาธินี้เปนฝายธรรมลวน ๆ แลวที่นี่ จิตของเรามีความสายแสวุนวาย
กับอารมณตาง ๆ นับประมาณไมได บรรจุอยูที่จิตนี้ทั้งหมด เรียกวาอารมณแหงกิเลส
แทบทั้งนั้น อารมณแหงธรรมแทบไมปรากฏในขั้นเริ่มแรก เราก็ปฏิบัติภาคสมาธิของเรา
ดวยจิตตภาวนา สํารวมระวังจิตโดยทางสติเปนสําคัญ สติติดแนบอยูกับใจ มันจะคิดจะ
ปรุงจะแตงเรื่องใด ซึ่งสวนมากมักเปนกิเลสเสียทั้งนั้น เราสํารวมระวังจิตไมใหคิดไปใน
แงที่เปนกิเลส ใหคิดไปในแงแหงธรรมอยางเดียว
จิตถาไมมีเครื่องกํากับรักษาก็เปนสมาธิไดยาก เพราะจับจุดของความรูไมได จิต
ก็ไมเปนสมาธิขึ้นมา จึงตองมีบทคําบริกรรม นี่ละพื้นฐานแหงผูปฏิบัติทางดานสมาธิ
ทางดานศีลก็ปฏิบัติมาแลวดวยความสํารวมระวังในศีลของตน ภาคสมาธิก็สํารวมระวัง
จิต ละเอียดเขาไปกวาสํารวมระวังศีลอีก ไมใหคิดสายแสไปถึงอารมณที่เปนภัยตอ
จิตใจ ทานเรียกวากิเลส ๆ นี่ละเปนภัยตอจิตใจ จิตคิดไปเรื่องใดสวนมากมีแตอารมณ
เปนขาศึกของใจ จึงตองไดใชวิธีปฏิบัติตอจิตนี้ดวยการอบรมภาวนา มีสติเปนเครื่อง
กํากับรักษา อยาใหจิตคิดไปในแงตาง ๆ เพียงเทานี้ยังไมพอ เอางานที่เปนหลักของจิต
เขามาบังคับจิตไวดวยบทบริกรรมภาวนา เชน พุทโธ ๆ เปนตน ตามแตผูถูกจริตนิสัยกับ
ธรรมบทใด ใหนําธรรมบทนั้นเขามากํากับกับจิตดวยความมีสติ
๔๔
สติเปนของสําคัญมากในทางความเพียร ถาขาดสติวรรคใดตอนใด เรียกวาขาด
ความเพียรแลว เดินจงกรมอยูก็ไมมีความหมาย นั่งสมาธิอยูก็ไมมีความหมาย อิริยาบถ
ตาง ๆ ถาขาดสติแลวเรียกวาขาดความเพียรในการชําระกิเลส หรือในการทําจิตของตน
ใหสงบ จึงตองบังคับดวยคําบริกรรม คือนําคําบริกรรมมากํากับกับจิต นี่สําหรับผูที่จะ
ตั้งรากฐานใหจิตไดหลักไดเกณฑ ตองมีคําบริกรรมมาเปนที่ยึดของจิต เอาสติย้ําเขาไป
บังคับใหคําบริกรรมกับจิตเปนอันเดียวกัน ๆ รูอยูดวยสติ ๆ ไมยอมปลอยจิตใหคิดไปกับ
อารมณใด ใหคิดอยูกับอารมณแหงธรรมคือคําบริกรรมคําเดียวเทานั้น ประหนึ่งวาโลก
สงสารกวางแคบนี้ไมมี มีแตความรูกับคําบริกรรม มีสติกํากับอยูเทานั้น เรียกวาเจริญ
ภาวนาเพื่อทําจิตใหสงบ
ทําอยูจนกวาจิตจะสงบ ไมลดละปลอยวาง ไมถือวามากไปนอยไป สติติดเปน
พื้นฐานสําหรับผูที่จะชําระจิตใจของตน ตั้งแตพื้น ๆ จนกระทั่งถึงที่สุดแหงธรรม ไดแก
ความบริสุทธิ์เต็มสวน ตองมีรากฐานเปนที่จับอยางนี้ เราจะเพียงนึกเฉย ๆ ทําความรูตัว
เฉย ๆ นั้นไมได จิตเล็ดลอดออกไปสูอารมณที่เปนภัยไดงายมากไมมีความรูสึก จึงตอง
นําคําบริกรรม ผูที่จะใหแนที่สุดใหยึดหลักใหเปนที่แนใจวา นี้คือผูรู นี้คือจิตนั้น ตอง
บังคับใหจิตอยูกับคําบริกรรมดวยความมีสติ
ไมนานนักเมื่อจิตไดรับความเหลียวแล ระมัดระวังรักษาอยูดวยการภาวนาอยาง
นี้แลว จิตนั้นจะหยั่งเขาสูความละเอียดลออเปนลําดับ พุทโธกับจิตจะกลมกลืนเปนอัน
เดียวกัน เมื่อละเอียดเขาไปจริง ๆ แลว คําบริกรรมนั้นไมปรากฏเลย เหลือแตความรูที่
ละเอียดออนอยูภายใน เมื่อเปนอยางนั้นแลวทําใหสงสัยไดวา เมื่อจิตเราอยูกับคํา
บริกรรม แตเวลานี้คําบริกรรมไมปรากฏ นึกเปนคําบริกรรมเทาไรเหมือนแตกอนก็ไม
ปรากฏแลว เหลือแตความรูอยางเดียวนี้จะทําอยางไร
ใหเอาสตินี้จับกับความรูนั้นไว คําบริกรรมที่หลุดลอยไปแลวโดยหลักธรรมชาติ
ของมัน เพราะจิตละเอียด จิตปลอยวางคําบริกรรม หรือคําบริกรรมนั้นกลายมาเปนอัน
เดียวกันแลวกับจิต ใหเรายึดความรูนี้ไวดวยสติของเรา นี่เรียกวาสติ ๆ จะไมยอมปลอย
วางเลย ยึดตลอด ติดแนบกันไปตลอด จนกระทั่งไดจังหวะแลว จิตที่ละเอียดนึกคํา
บริกรรมไมไดนั้นจะคอยขยายตัวออกมา พอขยายตัวออกมา ซึ่งควรจะบริกรรมพุ
ทโธอยางเดิมไดแลว เราก็นําพุทโธนี้ติดแนบเขาไปไวอยางนี้เปนประจํา นี่เรียกวาเปนผู
อบรมจิตที่จะใหไดรากฐานจากจิตจริง ๆ คือความสงบใจไดแนนอนไมเปนอยางอื่น
๔๕
เราเคยดําเนินมาแลว จึงนําขอเหลานี้มาแสดงใหพระลูกพระหลานทั้งหลายฟง
เปนเครื่องยืนยันวาแมนยํา เพราะเราเคยทํามาแลว เปนเรื่องที่กําหนดเอาความรูไวเฉย
ๆ วาตัวมีสติ ๆ นั้น สติปลอยไปเมื่อไร เผลอไปเมื่อไร เราไมมีทางทราบไดเลย แลวจิตก็
เผลอไผลสงไปอารมณตาง ๆ หาความสงบเลยไมได จึงตองผูกมัดจิตดวยคําบริกรรม
อยางแนนหนามั่นคงอยางนี้ จิตผูนั้นจะกาวเขาสูความสงบแนนอนไมเปนอยางอื่น
ขอใหเปนดังที่กลาวนี้เถอะ
สติเปนพื้นฐานสําคัญ ตองตั้งหนาตั้งตาตั้งสติสตังไวจริง ๆ อยาเห็นสิ่งอื่นใด
สําคัญยิ่งกวาการตั้งสติ เพื่อรักษาจิตของตนอยูนั้นตลอดเวลา ยืนเดินนั่งนอนเวนแต
หลับ สติกับจิตจะติดแนบตลอด เมื่อเปนอยางนี้จิตจะคอยมีความสงบเย็นเขาไป ๆ แลว
ก็จับจุดของจิตไดวานี้คือผูรู นี้คือจิตไดชัดเจน ในขณะที่จิตสงบแลวไมมีอารมณเขามา
เจือปน นี่ละเรียกวาตั้งรากฐานของจิต เพื่อผลเบื้องตนไดแกสมาธิ ใหเปนสมบัติของผู
บําเพ็ญ ตองตั้งดวยวิธีนี้ เมื่อจิตสงบหลายครั้งหลายหน จะเปนการสั่งสมกําลังแหง
ความแนนหนามั่นคงของจิตมากขึ้น ๆ จากนั้นจิตก็เปนสมาธิ
คือความสงบไมเรียกสมาธิ สงบหลายครั้งหลายหน ผลที่เกิดขึ้นจากความสงบนี้
ก็เสริมกําลังขึ้นมา จนกลายเปนจิตที่แนนหนามั่นคง นั่นเรียกวาจิตเปนสมาธิ เราจะคิด
อานไตรตรองไปเรื่องราวอื่นใดก็ตาม แตยอนกลับมาดูฐานของจิตคือความแนนหนา
มั่นคงนี้ จะเดนอยูตลอดเวลา ไมเพียงแตวาเขาสมาธิแลวจิตสงบ ความรูอันเปนฐาน
สําคัญนี้จะคอยปรากฏขึ้นอยางนั้นไมใช ฐานนี้เปนฐานที่ปรากฏรับรองอยูแลว เมื่อถึง
ขั้นนี้แลวเรียกวาจิตเปนสมาธิ
การใชปญญาพิจารณา ขอใหทุก ๆ ทานไดหนักเรื่องกายคตาสติใหมาก กายค
ตาสตินี้เปนรวงรังแหงกิเลสตัณหาทุกประเภท หลักใหญก็คือสวนหยาบของกิเลสทุก
ประเภท จะมารวมอยูที่รางกายนี้ เวลาพิจารณาทางดานปญญา คือจิตสงบ
พอประมาณไมหิวโหยในอารมณแลว เราพาพิจารณาในเวลาใดก็ได ไมใชวาตองใหจิต
สงบเต็มที่แลวคอยพิจารณาทางดานปญญา เราพิจารณาไดตามขั้นภูมิแหงสมาธิที่อิ่ม
อารมณไมเถลไถล นําจิตที่ไมเถลไถลนี้ออกทํางานทางดานปญญา
ยกเอาผม ขน เล็บ ฟน หนัง นี้ขึ้นมาเปนสนามรบ เปนการพิจารณาคลี่คลาย
ดวยความมีสติ เชนเดียวกันกับภาคสมาธิคลี่คลายดู เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เปน
เรื่องเล็กนอยเมื่อไร เปนเรื่องใหญโตมากครอบโลกธาตุ ซึ่งติดกันทั้งนั้น ติดภูเขาภูเรา
๔๖
ภูเขาทั้งลูกไมไดหนักอึ้งยิ่งกวาภูเรา คือรางกายของเราของเขานี้เลย จึงตองพิจารณา
อันนี้
ผมเปนอยางไร ที่พระพุทธเจาทรงสอนวา เกสา แปลวา ผม ที่เกิดที่อยูของมัน
เกิดในสถานที่เชนไร อยูสถานที่เชนไร หยั่งลงไปถึงที่เกิดที่อยูของผมนี้ ตัวผมเองเปน
อยางไร มีความสะอาดสะอานสวยงามที่ตรงไหน เพียงเปนเสน ๆ เทานั้น และฐานที่เกิด
ของมันที่อยูของมันเกิดที่ตรงไหน เกิดขึ้นจากสถานที่สกปรกโสโครก คือหนังนั้นก็เปน
ตัวสกปรก ผม ขน เกิดขึ้นจากที่เดียวกันเหลานี้ พิจารณาใหรูที่เกิดที่อยูของมัน ตามแต
ความถนัดของเรา จะหนักพิจารณาในอาการใดในบรรดากรรมฐาน ๕ นี้ แตสุดทายก็ไป
รวมกันที่ ตโจ ผม ขน เล็บ เล็บเปนยังไง เล็บเขาเล็บเรา เล็บสัตวเล็บบุคคล สวยงามที่
ตรงไหน ดูก็รูกัน ทําไมไปเสกสรรปนยอเอาวาสิ่งเหลานี้สวยงามเอานักหนา นารักใคร
ชอบใจ
มันนารักที่ตรงไหน นาชอบใจที่ตรงไหน ประสาผมกับขน หมามันก็มีผมมีขน
เหมือนกันก็ไมเห็นมันประเสริฐเลิศเลอ ทําไมผมของเรานี้จึงประเสริฐเลิศเลอ อะไร ๆ สู
ไมได เอาแยก ปญญาเขาไปสูความจริง พิจารณาใหเห็นความจริงในสิ่งเหลานี้
จนกระทั่งถึงหนัง คนเรามันหลงหนังเทานั้นเอง ถลกหนังออกแลวหลงกันที่ไหน รูปหญิง
รูปชาย รูปสัตว รูปบุคคลมีความหมายที่ไหน หนังเทานั้นครอบเอาไวใหหลง ตาบอดหู
หนวกกันก็เพราะหนังครอบเอาไว กลายเปนของสวยของงามของมีคุณคาราคาไปหมด
จากความเสกสรรปนยอที่กิเลสหลอกลวง
เราเอาปญญาหยั่งเขาไป เพียงผิวหนังเทานั้น ถลกหนังออกแลวเปนอยางไร คน
ทั้งคนนาดูไหม นารักใครชอบใจที่ตรงไหน ดูใหดีดวยปญญา ดวยสติควบคุมงานของ
ตนทางดานปญญาอยาปลอยวาง เอาจริงเอาจังกับการพิจารณา อยาทําสักแตวาทํา
เถลไถลแลวก็ใหกิเลสลากเอาไปหาทวีป ตกนรกหมกไหมทั้งวันทั้งคืนไมมีวันอิ่มพอ ให
บังคับ ไมอยางนั้นไมเรียกวารบกัน รบกับกิเลส กิเลสมันฉุดออกไปเราฉุดเขามา ใหดู
ความจริงที่มีอยูในตัวของเรานี้
เอา พิจารณาเขาไป ลึกกวาหนังเปนยังไง ดูเขาไปขางในจนกระทั่งตับ ไต ไสพุง
อาหารเกา อาหารใหม หมดทั้งรางนี้มีจุดไหนที่วาสวยวางามนารักใครชอบใจ เอา
คนหาตามหลักความจริง อยาปลอยใหกิเลสมาหลอกลวงไปเสียทั้งหมด สกปรกขนาด
ไหนก็บอกวาสวยวางาม กิเลสหลอกยังไงก็ตื่นไปตามมัน นี่คือเรื่องของกิเลส ตอง
๔๗
หลอกลวงเสมอไป หาความจริงมายืนยันไมได ตองเอาสติปญญาเขาพินิจพิจารณา
แลวยืนยันกันไดเลยตามหลักความจริงนั้น แลวถอนอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นเหลานี้
ไดดวยอํานาจของปญญา
นี่ละ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ จนกระทั่งอาการ ๓๒ มันคลังแหงความ
สกปรกโสมม คือถังขยะ เอาหนังหอถังขยะเอาไว ขางในสกปรกโสมมเต็มไปหมดทั้งเขา
ทั้งเราไมมีใครยิ่งหยอนกวาใคร เมื่อปญญาไดหยั่งทราบลงไปตามที่เราไดพิจารณา
อยางไรแลว อุปาทานความยึดมั่นถือมั่นนั้นจะถอนตัวออกมาเองโดยหลักธรรมชาติของ
มัน ตามที่เราไดรูไดเห็นความจริงมากนอย ถอนเขามา ๆ
รางกายเปนของสําคัญมาก จะพิจารณารางกายภายนอกก็ได รางกายภายใน
ตัวของเราเองก็ได เชน ทานสอนใหไปเยี่ยมปาชา นั่นคือใหไปพิจารณาดูศพภายนอก
ศพภายในคือศพของเรานี้เรียกวาศพคนเปน นั่นเปนศพคนตายก็เปนหลักธรรมชาติ
เหมือนกัน แปลกแตอันหนึ่งตายแลว อันหนึ่งยังมีชีวิตอยู แตความสกปรกนั้นเหมือนกัน
ไมมีใครยิ่งหยอนกวาใคร ดูปาชา ไปเยี่ยมปาชา พิจารณา
พิจารณาอะไรก็ตาม เพื่อจะแกไขถอดถอนความรักใครชอบใจ ความกําหนัด
ยินดีออก ดวยความรูความเห็นตามเปนจริงนี้แลวจิตจะถอนตัวเขามา รูรอบขอบชิดโดย
ประการทั้งปวงแลวในสวนรางกายนี้จะถอนทันทีเลย อุปาทานไมมีตัวใดเหลืออยู นี่
เรียกวาถอนรากเหงาเคามูลของกิเลสตัณหาตัวสําคัญ ราคะตัณหาอยูที่ตรงนี้ อยูที่
รางกายของหญิงของชายของเขาของเรานี้ โดยถือวาเปนของสวยของงาม จึงดีดจึงดิ้น
หากันตลอดเวลา สัตวโลกดีดดิ้นอยูดวยอํานาจแหงราคะตัณหาลากจูงไปตลอดมา
และสรางความทุกขความทรมาน ความกดหนวงถวงใจอยูตลอด เพราะอํานาจแหง
ราคะตัณหาหลงเขาหลงเรานี้แล
เมื่อพิจารณาอันนี้จนรอบแลว จิตถอนปงขึ้นมาจากธรรมชาตินี้แลว ก็เปนอันวา
ถอนราคะตัณหาขึ้นพรอมกัน ภูเขาภูเราคือรางกายนี้ถอนขึ้นมาพรอมกันหมดเลย นี่
ขาศึกใหญสําหรับนักบวชของเราอยูจุดนี้ ใหพากันเนนหนักความเพียรในจุดนี้ใหมาก
ขาศึกคือกามกิเลสราคะตัณหานี้เปนตัวออกสนาม เปนตัวออกแนวหนา เปนขาศึกอัน
ใหญหลวง ผาดโผนโจนทะยานมากเรื่องอํานาจของกามราคะ สติปญญาฟาดฟนหั่น
แหลกกันจนฟาดินถลมเหมือนกัน เพราะมันรุนแรงมาก เมื่อสติปญญาเรามีกําลัง
พอแลว ความฟาดฟนหั่นแหลกกันก็มีน้ําหนักเทากัน ถาไมอยางนั้นก็ไมทันกัน
๔๘
เพราะฉะนั้นสติปญญาขั้นกามราคะนี้ จึงเปนสติปญญาที่ผาดโผนโจนทะยาน
มากทีเดียว หากเปนอยูกับผูพินิจพิจารณาผูภาวนาเสียเอง โดยไมตองไปถามใคร
เหลานี้เราจะไปหาตามพระไตรปฎกไมเห็น แตตองหาตามความจริงที่มีอยูกับเรานี้ นี้คือ
ความจริง ใหพระไตรปฎกทานจดจารึกไปทุกแงทุกมุมไมได แตความจริงนี้มีอยูทุกแงทุก
มุม รูเห็นได ยึดได เวลาพิจารณารอบแลว เชน กามราคะนี้ พิจารณารางกายจนไมมี
อะไรเหลือ จิตถอยเขามาเห็นโทษแหงความสําคัญมั่นหมายของตน เขามาสูจุดเดียว
คือใจนี้เทานั้นเปนผูไปวาดภาพตาง ๆ หลอกตัวเอง ภาพเหลานั้นถูกใจนี้กลืนเขามาหา
ตัวเอง
รวมแลวก็เปนเรื่องของใจตัวเอง เปนผูหลอกลวงวาดภาพตาง ๆ ใหเราเองเปนผู
หลงเปนผูยึด เมื่อภาพอันนั้นซึ่งเปนกระแสของจิตไดยนเขามาสูจิตแลว เราก็ทราบได
ชัดวา จะเปนของสวยของงามไมสวยไมงามก็ตาม เปนภาพออกไปจากจิตไปหลอกลวง
ตัวเอง แลวก็กลืนกันเขามา ๆ สูจิต เปนเรื่องของจิตเสียเองเปนผูวาดภาพหลอกลวง
ตนเอง มันก็ปลอยวางขางนอกหมด
จากนั้นก็ย้ําพิจารณาภาพที่ตนพิจารณาที่เคยติดภายนอก ปลอยจากภายนอก
แลวยังมาติดอยูภายใน วาดภาพนั้นเปนการฝกซอมจิตใจใหละเอียดลออเขาไป ภาพนี้
จะคอยจางไป ๆ ปรากฏขึ้นดับไป ๆ ไมนาน ๆ ตอไปก็เปนสายฟาแลบ ปรากฏแพล็บขึ้น
เปนภาพจากหัวใจแลวดับไป ๆ ยิ่งเห็นชัดวาภาพเหลานี้เปนจิตเทานั้นเปนผูปรุงแตง
หลอกลวงตัวเอง อยางอื่นไมมีอะไรหลอก มีจิตนี้เทานั้น
พิจารณาลงไป ย้ําลงไป ฝกซอมภาพอันนี้ภายในใจนี้ลงไป ภาพนี้จะคอยแปร
สภาพไป ๆ กลายเปนความวางเปลาไปหมด ทั่วแดนโลกธาตุนี้วางเปลาไปหมดไมมี
อะไร ตนไม ภูเขา มีก็จริง แตใจนี้วางทะลุไปหมดเลย ที่นี่นิมิตที่ปรากฏเปนภาพภายใน
ใจก็สิ้นสุดลงไป กลายเปนจิตวางขึ้นมา เพราะไมมีนิมิตเปนเครื่องเลนเหมือนแตกอน
แตเราก็ตั้งภาพอันนี้แหละขึ้นมาเรื่อย ๆ เปนการฝกซอม ฝกซอมเขาไป มันก็เขาไปถึง
หลักใหญคืออวิชชา
รูปผานพนไปแลวดวยความรูแจงเห็นจริง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้ก็
เปนเงาของจิต เกิดขึ้นดับไป ๆ เชนเดียวกันกับภาพที่เราปรุงขึ้นภายในใจ เกี่ยวกับเรื่อง
อสุภะอสุภัง มันมีความเกิดขึ้นดับไปเชนเดียวกัน เพียงเงาของจิตไมใชตัวจิต มันก็รูเทา
เห็นชัดเปนลําดับลําดาไป จนกระทั่งเขาถึงรังใหญคืออวิชชา นั่นละที่นี่ นั่นละการตาม
๔๙
ตอนจิต อวิชชาคือตนลําของตนไม เมื่อมีตนแลวกิ่งกานสาขาดอกใบตาง ๆ ยอมแผ
กระจายออกไปจากลําตนนั้นจนหาประมาณไมได นี่จิตอวิชชานี้ก็แผกระจายออกไป
ทางตาก็อยากเห็น ทางหูก็อยากฟง ไปทางรูป ทางเสียง ทางกลิ่น ทางรส ตา หู จมูก ลิ้น
กาย นี้ก็ถูกจิตอวิชชานี้ผลักไสออกไปใหอยากดูอยากรูอยากเห็น อยากทุกอยาง ๆ ไมมี
ประมาณ
สรุปความลงแลวก็มาลงที่รางกายที่เปนภูเขาภูเรานี้แล ดวยความรอบคอบของ
ปญญา ความอยากในสิ่งทั้งหลาย อยากรูอยากเห็นอยากไดยินไดฟงตาง ๆ มันก็ดับไป
พรอมกับรางกายของเราที่เปนสําคัญ ไดถอนตัวออกแลวจากอุปาทานดับลงไปนั้นแล
จิตของเราก็ไมยึดไมถือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็เพียงแตทางเดินของจิตอวิชชาไมใชกิเลส
ตาไมใชกิเลส หู จมูก ลิ้น กาย ไมใชกิเลส รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสตาง ๆ ไมใช
กิเลส เปนกิเลสอยางเดียวที่ออกจากจิตอวิชชา เปนผูไปปรุงไปแตงไปสําคัญมั่นหมาย
ใหยึดใหถือสิ่งเหลานั้นวาเปนเราเปนของเรา สิ่งเหลานั้นวาเปนของสวยของงามนารัก
ใครชอบใจ ออกจากจิตดวงนี้
ทีนี้เวลาไลตะลอมเขามา ๆ มันก็หดยนเขามา ๆ ทางกายก็ปลอย รูเทาทันแลว
กายก็ปลอย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งมีอยูทางรางกายและจิตใจก็รูเทาเขา
มาเปนลําดับแลวปลอยวางเขามาเปนชั้น ๆ หดยนเขาไปถึงกษัตริยวัฏจักร คือ อวิชฺ
ชาปจฺจยา สงฺขารา นี้แลเรือนรังแหงความเกิดแกเจ็บตายของสัตวโลกไมมีประมาณ
เลย เคยเกิดเคยตายมากี่กัปกี่กัลป คือเชื้ออันนี้พาใหเกิดตลอดมา พาใหตายตลอดมา
แตจิตจริง ๆ แลวไมมีคําวาเกิดวาตาย เปนแตเพียงวาอวิชชา เชื้อแหงภพแหงชาติมันฝง
จิต จึงพาใหจิตไปถือกําเนิดเกิดที่นั่นเกิดที่นี่ วาเกิดตาย ๆ จากจิตที่อวิชชาแทรกนี้แลตัว
จิตจริง ๆ ไมตาย เมื่อเวลาพิจารณาเขาไปถึงตัวอวิชชาแลวก็พังกันที่ตรงนั้น
อวิชชาจริง ๆ ไมใชเรื่องเล็กนอย เปนเรื่องที่แปลกประหลาดอัศจรรยมาก นา
ตื่นเตน นาติดนายึด ไมมีอะไรจะออยอิ่งยิ่งกวาอวิชชา นี้แลวัฏจิตจอมสมุทัยคือกิเลส
ประเภทตาง ๆ มารวมตัวอยูที่จอมสมุทัย คือวัฏจิตโดยเฉพาะ เมื่อสติปญญาไดหยั่งเขา
ไปถึงตรงนี้แลว จะทําลายกันที่จุดนี้ ที่เปนของแปลกประหลาดอัศจรรย เปนเครื่อง
หลอกลวงไดอยางสุดเขตแหงสมมุติ ไดแกอวิชชา ตัวนี้ละเอียดลออมากที่สุด
ผูพิจารณาทั้งหลายเมื่อยังไมเคยมีครูมีอาจารยแนะนําสั่งสอน พอเขาไปถึงจุดนี้
แลวจะลืมจะหลงจะติดกันทุกราย ๆ เพราะเปนธรรมชาติที่เลิศเลอในขั้นสมมุติ เลิศเลอ
๕๐
ในขั้นกิเลสจอมสมุทัยหลอกวาระสุดทายนี้คืออวิชชา เปนธรรมชาติที่ละเอียดออนสุขุม
คัมภีรภาพ มีความสวางไสว เปนความอัศจรรยของจิต ออยอิ่งติดพัน คําวาสิ่งเหลานี้
เปนโทษไมเคยคิดเลย จะเห็นแตวาเปนคุณลวน ๆ ถืออวิชชานี้เปนตนเปนของตน รัก
สงวนอยูในนั้นโดยไมรูตัว
เบื้องตนก็ไดวาดภาพอวิชชาที่ยังไมเขาถึงจริง ๆ เราวาดภาพอวิชชานี้เปน
เหมือนเสือโครงเสือดาวเหมือนยักษเหมือนผี แตเวลาเราปฏิบัติภาคความจริงรูไปเห็น
ไปละเขาไปจริง ๆ จนถึงตัวอวิชชาจริง ๆ แลว อวิชชากลับกลายเปนเทวบุตรเทวดา
อินทรพรหมขึ้นมา เปนของอัศจรรยประหนึ่งวาลนโลกลนสงสารขึ้นมา เพราะฉะนั้นจึง
สามารถกลอมมหาสติมหาปญญาใหติดได ขั้นมหาสติมหาปญญาเกรียงไกรที่สุด
คลองแคลววองไวที่สุด นี้เรียกวาจอมของมรรค คือมหาสติมหาปญญา จอมของสมุทัย
ไดแกอวิชชา ทีนี้เมื่อเขาถึงกัน มหาสติมหาปญญายังหลงกลอุบายของจอมสมุทัยคือ
อวิชชานั้นไดอีกโดยไมรูเนื้อรูตัว ติด ถาไมมีใครแนะนําสั่งสอนไวกอน ไปถึงนี้ติดทุกคน
แตคําวามหาสติมหาปญญาติดนั้น ไมเหมือนสติปญญาทั้งหลายติด ไมเหมือน
จิตทั้งหลายทั่ว ๆ ไปติด ติดก็จริงแตความพินิจพิจารณาความเคลื่อนไหวแหงอวิชชานั้น
ไมลดละ หากเปนเองโดยหลักธรรมชาติของจิตซึ่งอยูในขั้นนี้ไมนอนใจ สุดทายก็จับจุด
ของอวิชชาไดวาเปนภัย เมื่อเห็นวาสิ่งนี้เปนภัยแลว สิ่งนี้ยอมเปนเปาหมายตอการ
พิจารณา ตอการรบราฆาฟนกัน นั่นแหละอวิชชาพังตรงนั้น
เมื่อมหาสติมหาปญญาจับพิรุธไดแลว พิจารณานั้นเปนเปาหมายแหงสนามรบ
ฟาดขนาดขาดสะบั้นลงไปแลว คําที่วาอวิชชาเลิศเลอขนาดไหน ๆ มีความออยอิ่งถึงกับ
มหาสติมหาปญญาติดนั้นพังทลายลงไป ทีนี้สิ่งที่ไมเคยคาดเคยหมายคืออะไรไมตอง
บอก เปดขึ้นเอง นี่คือธรรมอัศจรรย ยอนกลับมาดูอวิชชาที่วาเปนของเลิศเลอทั้งหลาย
ในขั้นสมมุตินี้ ไดเห็นประจักษวาเหมือนกับกองขี้ควายกองหนึ่งเทานั้น กองขี้ควายกอง
หนึ่งมีคุณคามีราคามีสาระอะไรฉันใด อวิชชาก็เปนฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อจิตไดหลุดพน
จากนี้ขึ้นไปสูแดนวิมุตติแลว จะเห็นสิ่งเหลานี้เปนเหมือนกองขี้ควายทั้งหมด แลวนั้นแล
เปนแดนหลุดพนแลวในหัวใจของผูปฏิบัติ
รูตรงไหนจริงตรงนั้นเรียกวาภาคปฏิบัติ เริ่มตนตั้งแตสมาธิ เปนสมาธิขั้นใดภูมิ
ใด ประจักษในตัวเอง ๆ นี้เรียกวารูจริง ไมใชรูดวยความจํา รูดวยความจริงเห็นประจักษ
๕๑
ปญญาประเภทใดฆากิเลสชนิดใดขาดไป ๆ เห็นประจักษกับตัวเอง จนกระทั่งปญญา
สุดทาย
การอธิบายปญญานี้ผมไมอธิบายพิสดารมากนักนะ ถาพูดตามดานทาง
ภาคปฏิบัตินี้ โอย กวางขวางลึกซึ้งมาก นํามาอธิบายเทาที่ควรแกเวล่ําเวลาและกําลัง
ของผูฟงเทานั้น จึงตองอธิบายยนเขามา นี้อธิบายแบบยนยอนะ แตภาคปฏิบัติของ
ตัวเองที่เคยดําเนินมานั้น ทองฟามหาสมุทรยังแคบไป เรื่องของสติปญญาออกรูออก
เห็นกระจางแจงไปหมดเลย เราไมจําเปนตองนําสิ่งเหลานั้นมาพูด นํามาพูดเทาที่
จําเปนแกการละการถอดถอนกิเลสของผูปฏิบัติเทานั้นก็เห็นวาพอ
จึงนําธรรมประเภทที่พอเหมาะสมนี้มาชี้แจงใหทานทั้งหลายไดทราบวา การ
ปฏิบัติคือทําสมาธิอบรมสมาธิรักษาสํารวมระวังศีลนี้เรียกวาภาคปฏิบัติ การเจริญ
อบรมจิตตภาวนาขึ้นไปเปนขั้น ๆ ตั้งแตสมาธิถึงขั้นปญญาโดยลําดับนี้เรียกวา
ภาคปฏิบัติ ผลปรากฏขึ้นกับตัวเองโดยลําดับลําดา เปนผลเกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติลวน
ๆ ไมตองไปถามใคร ไมสงสัยที่นี่ ความจําสงสัยตลอด ความจริงรูไปไหนหายสงสัยไป
ตลอดไมตองถามใคร ๆ จนกระทั่งถึงวาระสุดทาย จิตหลุดพนกระเด็นออกจาก อวิชฺ
ชาปจฺจยา อวิชชาขาดสะบั้นลงไป จิตหลุดพนจากนั้นแลวแสดงความอัศจรรยประหนึ่ง
วาโลกธาตุหวั่นไหว ในขณะที่จิตนี้กระเด็นออกจากอวิชชาที่ขาดสะบั้นลงไปนั้น
ดังที่ทานแสดงไวในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ที่พระองคทรงแสดงแกเบญจวัคคีย
ทั้งหานั้น เราตัวเทาหนูนี้ก็เปนสักขีพยานไดอยางเต็มตัวของเรา ทานแสดงวา อยtฺจ
ทสสหสฺสี โลกธาตุ,สงฺกมฺป สมฺปกมฺป สมฺปเวธิ, อปฺปมาโณ จ โอฬาโร โอภาโส
โลเก ปาตุรโหสิ สิบแดนโลกธาตุ ทสสหสฺสี โลกธาตุ สะเทือนสะทานหวั่นไหวไปตาม
ๆ กันหมดเลย ในขณะที่พระพุทธเจาตรัสรู อานุภาพแหงธรรม แสงสวางแหงธรรม ที่
ปรากฏขึ้นในขณะตรัสรูนั้น อานุภาพแหงเทวบุตรเทวดาอินทรพรหมที่ไหน สูไมไดเลย นี่
แสดงยอ ๆ ใหฟง
จิตนี้เวลาไดผานขึ้นจากหลมลึกคือวัฏจักร ซึ่งกดบังคับจิตใจใหเปนปาชาอยู
ในวัฏจักรมานี้ เราเพียงคนเดียวเทานั้นก็นับไมไดแลววา กี่ภพกี่ชาติกี่กัปกี่กัลป มีแต
เรื่องเกิดเรื่องตายมาตลอด สับปนระคนกันมา เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ เปลี่ยนเปนสัตว
เปนบุคคล สัตวประเภทตาง ๆ หาประมาณไมได พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงไปดวยอํานาจ
แหงกรรมไปตลอดมา จิตดวงนี้หมุนอยูกับเรือนจําคือวัฏจักรนี้มากี่กัปกี่กัลป เมื่อไดขาด
๕๒
สะบั้นหรือพนจากนี้ไปแลว จึงเปนเหมือนกับฟาดินถลมเลย แลวประกาศตนในเวลานั้น
ดวย โดยไมตองทูลถามพระพุทธเจา
ดังที่พระพุทธเจาทรงแสดงไวแกเบญจวัคคียทั้งหาวา ญาณtฺจ ปน เม ทสฺสนํ
อุทปาทิ ความรูความเห็นอันเลิศเลอไดเกิดขึ้นแลวแกเรา อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ความ
หลุดพนของเราไมมีการกําเริบอีกแลว อยมนฺติมา ชาติ ชาตินี้เปนชาติสุดทายของเรา
นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ตั้งแตบัดนี้ตอไปเราจะไมกลับมาเกิดอีกแลว นี่พระพุทธเจาก็ไม
ทรงถามใคร ตรัสรูปงขึ้นมาธรรม ๔ บท ๔ บาทนี้ประกาศกังวานขึ้นดวย สนฺทิฏฐิโก คือ
รูเองเห็นเองทันที นี่เมื่อประกาศขึ้นภายในใจของผูปฏิบัติซึ่งเปนธรรมอันเดียวกันแลวก็
ไมตองถามใคร รูขึ้นพรอมกันหมดในเวลานั้นเลย แมพระพุทธเจาประทับอยูขางหนาก็
ไมทูลถามพระองค เพราะรูอยางเดียวกัน เห็นอยางเดียวกัน ไมมีอะไรผิดแปลกตางกัน
เพราะไมเปนสองพอจะมาเทียบเคียง มีอันเดียวเทานั้น เปนอยางเดียวกันเทานั้น ไม
เปนอยางอื่น
นี่ละเมื่อไดปรากฏขึ้นภายในจิตเต็มดวงแลว พอทุกอยาง สวางกระจางแจงเกิน
คาดเกินหมาย ที่เราจะคาดจะคิดวารูแจงหรือกวางแคบขนาดไหน ไมมีอะไรที่จะ
กวางขวางยิ่งกวาจิตที่รูที่เห็น ที่ความสวางของจิตที่ครอบแดนโลกธาตุนี้ แมน้ํา
มหาสมุทรทะเลจะวากวางแสนกวางก็มีฝงมีฝามีลึกมีตื้นวัดกันได ลึกขนาดไหนวัดกัน
ได กวางแคบขนาดไหนวัดกันได ความรูที่สิ้นจากกิเลสที่เคยครอบใหมืดมิดปดตามาแต
กอนนั้น เมื่อกิเลสไดขาดสะบั้นลงไปจากใจแลว ความสวางกระจางแจงของจิตดวงนี้
ทองฟามหาสมุทรสุดสมมุติไมมีอะไรเทียบธรรมชาตินี้ไดเลย รูขนาดไหนเห็นขนาดไหน
นี้คือความจริง
พระไตรปฎกไมสามารถที่จะไปจดจารึกเอามาได จะจดไดเพียงเล็ก ๆ นอย ๆ
ดังที่หลวงปูมั่นทานแสดงเอาไววา ธรรมที่มาในคัมภีรนั้นเทียบกับน้ําในตุมในไหเทานั้น
แตธรรมที่เปนความจริงไมมาในคัมภีรนั้นเทากับทองฟามหาสมุทร ฟงซิ ทานไมรูทาน
เอาอะไรมาพูด ทานรูทานเห็นทานเปนในหัวใจของทานเรียบรอยแลว นี่ก็ไมตองถาม
ทานเหมือนกัน เมื่อมันปรากฏขึ้นเปนหลักความจริงลวน ๆ ดวย สนฺทิฏฐิโก สุดยอด
แลวก็ไมตองถามใคร คือรูประจักษตัวเอง กวางแคบขนาดไหนก็รูจําเพาะตัวเอง จะไป
คาดไปหมายไปบอกใคร เอาใครมาเปนสักขีพยาน ไมสนใจที่จะเอาใครมาเปนพยาน
เพราะความรูนี้พรอมทุกอยางแลวเต็มทุกอยางแลวในหัวใจ พอแลว
๕๓
นี่ภาคปฏิบัติผลปรากฏมาอยางนี้ เหมือนเขาปลูกบานปลูกเรือน ตั้งแตเริ่มตน
ขุดรากขุดฐานเทดินเทคานขึ้นไปจนกระทั่งถึงบานสมบูรณพูนผลทุกอยางแลว เขาก็
ทราบชัดเจนวาบานนี้สําเร็จเรียบรอยแลว ทีนี้ทางภาคปฏิบัติของเราก็เหมือนกัน ตั้งแต
เริ่มตนจิตที่วุนวายสายแส และเริ่มตนตั้งแตศีลบริสุทธิ์ เราก็แนในหัวใจของเราวาศีล
บริสุทธิ์ อบอุนเต็มตัวแลว เปนศีลสมบัติ ทีนี้กาวเขาสูสมาธิสมบัติเปนขั้น ๆ ตอน ๆ จน
มีความสามารถแกกลา ขยายออกทางดานปญญา ปญญาก็ประจักษเปนลําดับลําดา
ปญญาประเภทไหนฆากิเลสชนิดใด ๆ รูตามลําดับลําดา ฆากิเลสเปนลําดับ
จนกาวเขาสูสติปญญาอัตโนมัติ ฆากิเลสไปโดยลําดับโดยอัตโนมัติของตน ๆ ไม
ตองบีบบังคับทางความพากความเพียร ตองรั้งเอาไว เพราะสติปญญาขั้นนี้เรียกวา
ความเพียรกลา หมุนตัวไปเองในการฆากิเลสโดยอัตโนมัติ เชนเดียวกับกิเลสที่มันสราง
เนื้อสรางหนังสรางตัวของมันบนหัวใจของสัตวโลกโดยอัตโนมัติของมัน มันคิดแงใดมุม
ใดเปนกิเลสทั้งนั้น ทีนี้เวลาสติปญญากาวขึ้นสูความเปนอัตโนมัติของตนแลว ก็ทํา
หนาที่เหมือนกันกับกิเลสสรางตัวเองโดยอัตโนมัติ นี่ก็สรางคือแกกิเลสถอนกิเลสเปน
อัตโนมัติ ๆ โดยไมตองบีบบังคับ ดีไมดีตองรั้งเอาไวเพราะจะเลยเถิด
เนื่องจากจิตมันรีบมันดวนมันเรงในความพากความเพียร ที่จะฟาดฟนกิเลสให
ขาดสะบั้นลงตอหนาตอตา จึงตองไดพัก คําวาพัก พักในเรือนสมาธิ เพราะสติปญญา
ขั้นนี้แกกลาสามารถ หมุนตัวเปนธรรมจักรในการฆากิเลสตลอดไป เราตองไดรั้งเอาไว
คือรั้งเขามาสูสมาธิเพื่อพักเครื่อง การเดินเครื่องไดแกสติปญญาออกทํางาน การพัก
เครื่องไดแกหามสติปญญาไมใหออกทํางาน ใหอยูในความสงบสุขของสมาธิ เมื่อพัก
เครื่องไดกําลังแลวถอนออกไปก็กาวเขาสูปญญาตามเดิมเปนอัตโนมัติ ๆ สังหารกิเลส
ทีนี้กิเลสประเภทตาง ๆ ก็กลายเปนเชื้อไฟไปแลว ไฟไดแกตปธรรม คือ
สติปญญาอัตโนมัติ กาวเขามหาสติมหาปญญานี้เปนไฟ กิเลสประเภทตาง ๆ เปนเชื้อ
ไฟ กิเลสมีมากนอยเพียงไร ไฟไดแกสติปญญาศรัทธาความเพียรนี้จะเผาไหมไปเรื่อย ๆ
โดยอัตโนมัติ ไมตองบีบไมตองบังคับ นี่เรียกวาธรรมมีกําลัง ทํางานแกกิเลสโดย
อัตโนมัติ เหมือนกับกิเลสเวลามีกําลัง สรางเนื้อสรางหนังของตัวบนหัวใจของสัตวโลก
โดยอัตโนมัติเหมือนกัน เมื่อธรรมมีกําลังแลวก็เปนอัตโนมัติในการสังหารกิเลส
จนกระทั่งกิเลสหมดเชื้อ ไมมีอะไรที่จะใหแผดใหเผาอีกตอไปแลว นั้นเรียกวาวิมุตติ จะ
เผาอะไรอีกกิเลสก็หมดไปแลว ไฟก็ระงับดับลงไปเอง
๕๔
มหาสติมหาปญญาก็เปนสมมุติ สังหารกิเลสซึ่งเปนจอมสมุทัย ดวยมหาสติมหา
ปญญาซึ่งเปนจอมของมรรค เมื่อกิเลสสมุทัยไดขาดสะบั้นลงไปแลว มหาสติมหา
ปญญาซึ่งเปนเครื่องสังหารเรียกวาเครื่องมือ ก็ระงับดับกันเอง สิ่งที่นอกเหนือไปจากนั้น
คือวิมุตติหลุดพน พนที่ตรงนี้ พนที่ทามกลางแหงอริยสัจ ทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค นี่
เรียกวาอริยสัจ ๔ หลุดพนระหวางกลางของอริยสัจ ทุกข สมุทัย เปนสอง นั้นเปนฝาย
ผูกมัด นิโรธ มรรค เปนฝายแกฝายถอดฝายถอนฝายดับกิเลส เปนฝายมรรค เมื่อ
ธรรมชาติทั้งสองนี้ไดสังหารกันขาดสะบั้นลงไปแลว จิตก็หลุดออกจากนี้อุบัติขึ้นมาเปน
ผูบริสุทธิ์พุทโธ เรียกวาตรัสรู เรียกวาบรรลุธรรมถึงขั้นสุดยอด นี่คือผลแหงการปฏิบัติ
ธรรม
พระพุทธเจาพระสาวกทานปฏิบัติอยางนี้ตลอดมา ขอใหเราทั้งหลายถือเอาเปน
คติเยี่ยงอยาง อยาเอาโลกเอาสงสารเอากิเลสตัณหามาทําลายมรรคผลนิพพานวาหมด
เขตหมดสมัย ศาสนธรรมเปนธรรมที่ครึที่ลาสมัยแลว มรรคผลนิพพานไมมี นี้ลวนแลว
ตั้งแตกิเลสหลอกลวงสัตวโลกใหลุมหลงงมงายแลววิ่งตามกิเลส กิเลสมันจะสิ้นสุดกาล
สุดสมัยครึลาสมัยไปที่ไหนไมไดคํานึง แตมันหาเรื่องวาธรรมนี้หมดยุคหมดสมัยแลว
แตกิเลสมันสรางตัวของมันมากี่กัปกี่กัลปแลว ไมเห็นไดยินวากิเลสนี้ครึนี้
ลาสมัย ปลอยวางสัตวโลก ไมบีบบังคับสัตวโลกตอไปแลว สัตวโลกไดอยูสบายเปน
อิสระ กิเลสไมเห็นบอก วามันครึมันลาสมัยไรคุณคาทุกอยางแลว ในการบีบบี้สีไฟสัตว
โลก มันไมเห็นบอก แตเวลาเรามาบําเพ็ญคุณงามความดี ทําไมมันมาหาเรื่องวาศาสนา
เปนของครึของลาสมัย ก็ศาสนาเปนเครื่องปราบกิเลส จะครึไปไหน ลาสมัยไปไหน
กิเลสตัวไหนเกงใหมาวางั้นเลย เอา ฟาดลงดวยขอปฏิบัติอยาลดละความเพียร
พุทธศาสนาเราคือตลาดแหงมรรคผลนิพพาน คงเสนคงวาหนาแนนไปโดย
ลําดับ ไมมีคําวาครึวาลาสมัย นอกจากกิเลสมันหลอกลวงผูปฏิบัติของเรานี้ใหเอนเอียง
ไปตามมัน หลงกลมายาของมัน เลยกลายเปนบริษัทบริวารของมันใหจูงจมูกไปเสีย
ระวังนะกิเลสมันจูงจมูกไดงายนะ ผูปฏิบัติเราอยาตื่นโลกตื่นสงสาร มันมีแตเกิดกับตาย
เทานั้นมากี่กัปกี่กัลป ตื่นไปหาอะไร
ธรรมเปนเครื่องตื่นจากความหลับ ไดแกความลุมหลงคือกิเลส ถอนตัวออกเปน
ความหลุดพนจากกิเลส มีอยูในหัวใจของทุกคน ตามพระโอวาทที่ทรงสั่งสอน วาง
แปลนถูกตองแมนยําแลว ใหดําเนินตามแบบแปลนแผนผังนี้ เราจะไดเห็นมรรคผล
๕๕
นิพพานประจักษใจของเรา ๆ ไมตองถามใคร สวากขาตธรรมนี้ตรัสไวชอบแลว
พระพุทธเจานิพพานไปแลวแปลนนี้ก็ถูกตองโดยสมบูรณ เหมือนผูทําแปลนเขาตายไป
แลว นําแปลนที่เขาทําไวแลวมาปลูกบานสรางเรือน ก็ถูกตองโดยสมบูรณเชนเดียวกัน
พระพุทธเจานิพพานไปแลว แปลนคือศาสนธรรมนี้ถูกตองแลว ดวยสวากขาต
ธรรมที่ตรัสไวชอบแลวนี้ ใหนํามาปฏิบัติเดินตามแปลนแหงสวากขาตธรรมนี้ อยาปลอย
วาง อยาลดละ เราจะถึงจุดหมายปลายทางโดยไมตองสงสัย เริ่มตั้งแตศีล สมาธิ
ปญญา ขึ้นไปถึงวิมุตติหลุดพน ไมนอกเหนือจากพระโอวาทนี้ไปไดเลย เราอยาเอาสิ่ง
ใดมาเปนศาสดาแทนพระพุทธเจา ใหเอาศาสดาองคเอกคือสวากขาตธรรมนี้ นําเขามา
ยึดมาเกาะภายในจิตใจ เราจะไดเห็นความแปลกประหลาดอัศจรรยขึ้นภายในจิตใจโดย
ไมตองไปถามใคร จะกระจางแจงขึ้นที่นี่เลยถาเราปฏิบัติ อยาไปสนใจกับสิ่งใด
ไอโลกสกปรก พูดออกมาปากไหน เปนแตปากอมขี้ทั้งนั้น มากระทบหูใครแลว
ลางทั้งวันก็ไมสะอาด เพราะปากอมขี้มันสกปรก พนเขามาดวยลมปากที่อมขี้นั้น
กระทบกับหูใดแลวลางทั้งวันไมสะอาด ใหระวังปากสกปรก ใหฟงเสียงปาก
พระพุทธเจาที่เปนปากสวากขาตธรรม ตรัสไวชอบทุกอยางแลว นี้คือปากสะอาด ปฏิบัติ
ตามนี้เราจะชะลางสิ่งสกปรกไดเปนลําดับลําดาไป
วันนี้พูดธรรมะก็เห็นวาสมควรแกเวลา ขอความสวัสดีจงมีแกทานผูปฏิบัติ
ทั้งหลาย และคณะศรัทธาทั้งหลาย และจงตั้งหนาตั้งตาปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน ที่
รอเราอยูแลวทุกคน บรรดาผูปฏิบัติเพื่อกําจัดกิเลส จะไดเห็นธรรมที่จุใจปรากฏขึ้นที่ใจ
ของเรา ขอความสวัสดีจงมีแกทานทั้งหลายโดยทั่วกัน
เอาละพอ
พูดทายเทศน
เปนยังไงละฟงไดชัดไหมวันนี้ ผมเปดแนวทางของผูปฏิบัติใหฟงเทาที่จําเปน
ไมไดพูดตามความรูความเห็นความเปนของใจจริง ๆ นะ เราไมไดอวด ที่นํามาสอนโลก
นี้เราสอนเฉพาะโลกที่ควรจะยึดไดปฏิบัติไดเทานั้น สิ่งที่สุดวิสัยของโลกมีเทาไรเต็มหัว
อกพูดออกมาหาประโยชนอะไร ไมเกิดประโยชน รูเหมือนไมรู เห็นเหมือนไมเห็น จะนํา
ออกมาเทาที่ควรแกสัตวโลกจะไดรับไปเปนประโยชนแกตนเทานั้น เพราะฉะนั้นธรรมจึง
อยูในวงของสัตวโลกจะรับได นอกจากนั้นมีก็เหมือนไมมี พูดก็ปา ๆ เถื่อน ๆ สําหรับหู
๕๖
ปาหูเถื่อนไมเกิดประโยชนจึงไมไดพูด เรื่องความรูความเห็นความแปลกประหลาด
อัศจรรยในหัวใจนี้พูดไมไดเลยนะ
ฟงแตวาครอบโลกธาตุเปนไร โลกธาตุกวางแคบขนาดไหน ธรรมในหัวใจที่
กระจางออกไปนี้ครอบโลกธาตุนั่น แตธรรมไมไดหิวไดโหย ไมอยากโออยากอวด มี
เหมือนไมมี แลวแตผูที่มาเกี่ยวของจะไดรับประโยชนมากนอยเพียงไร ธรรมก็ออก
ตอนรับกันขนาดนั้น ๆ หากไมมีเสียจริง ๆ ก็แสดงหาอะไร ถาควรที่จะแสดงใหเต็มเม็ด
เต็มหนวยออกเอง ธรรมนี้ออกเอง ๆ ถาไมควรแสดงแสดงหาอะไร นี่พูดจริง ๆ พูดดวย
ความกลาหาญชาญชัย ไมไดพูดแบบลูบ ๆ คลํา ๆ เหมือนดังที่เรียนมานะ เราจึงไดพูด
ใหฟง เวลาเรียนมันสงสัยอยางนั้น ทีนี้เวลาปฏิบัติมันเห็นจัง ๆ ในหัวใจแลวจะไปถาม
ใคร
พระพุทธเจารูทุกสิ่งทุกอยางถามใครเมื่อไร นี้ของจริงอันเดียวกัน ใครรูใครเห็น
เขาไปแลวจะไปถามใครที่ไหน บาป บุญ นรก สวรรค อยางที่วานี้ จริงมากี่กัปกี่กัลป แต
พวกตาบอดบอดมากี่กัปกี่กัลป มันก็ไมเห็นมากี่กัปกี่กัลปอยางนี้ ดีไมดีใหกิเลสลาก
จมูกไปอีกวา สิ่งเหลานี้ไมมี นั่นเห็นไหม อันไหนที่มี คือความอยากความทะเยอทะยาน
นั่นมี นั่นทางเดินของกิเลสตมตุนสัตว ความกลาหาญชาญชัยตอการทําบาปทํากรรม นี่
คือทางเดินที่กิเลสเปดโลงให กลาหาญอะไรมันก็เจออันนั้น กลาหาญชาญชัยในการทํา
บาป แตเวลาไปเจอนรกเขาแลว สายเสียแลว ไมทราบความกลาความกลัว เลยเปน
นักโทษนรกในเรือนจํานรกเสีย
ใหพากันตั้งใจนะพระเรา วันนี้ผมตั้งใจสงเคราะหพระโดยเฉพาะ หาโอกาสไม
คอยไดนะ วันนี้จึงเปดใหพระทั้งหลายเราฟง นี่ละใหเอาจริงเอาจังนะ ตลาดแหงมรรค
ผลนิพพานคือศาสนธรรม เรียกวาคงเสนคงวาหนาแนนตลอดมา ขอใหภาคปฏิบัติของ
เราเอาใหจริง ถาไมจริงเหลาะแหละไมเปนทาทั้งนั้นแหละ
ธรรมอยางนี้ผมก็ไมคอยไดเทศน เพราะไมใชกาลสถานที่เวล่ําเวลาที่ควรจะ
เทศนก็ไมเทศน วันนี้มีแตพระปฏิบัติลวน ๆ ใหเปนคติเครื่องเตือนใจ ผมก็อบรมแนะนํา
สั่งสอน เพราะผมก็แกแลว ตอไปก็ปลอยธาตุขันธเทานั้น การสอนโลกนี่ผมสอนมานาน
ถาพูดถึงเรื่องการสอนโลกมานี้ ผมเริ่มสอนมาตั้งแตป ๒๔๙๓ นานไหม ๒๔๙๓ มาถึง
วันนี้กี่ป ถึง ๔๘-๔๙ ปแลวมัง นี่ละที่สอนโลกเรื่อยมา แตสอนอยูใตดิน คือไมมีเครื่อง
๕๗
ประกาศวิทยุ ทีวี เหมือนอยางทุกวันนี้ เทศนทั่วประเทศไทย จบลงแลวก็แลวไปเลย ไม
มีเครื่องกระจายเสียง ไมมีทีวี ไมมีวิทยุ ออกอยางทุกวันนี้
นี่ละเราเทศนสอนโลกมาได ๔๙ ปนี้แลว ดวยความไมสงสัยในธรรมทั้งหลาย
ของเรา เทศนเต็มเม็ดเต็มหนวย ออกทางเทปก็มีตั้งแต ๕๐๕-๕๐๖ มาเริ่มมีเทป กอน
หนานั้นไมมี หลังจากนั้นก็มีหนังสือที่ถอดจากเทปไปพิมพ ๆ หนังสือของเราจึงมีมาก
แจกทั่วประเทศไทย เทปก็มีมากมาโดยลําดับลําดา แจกทั่วประเทศไทยเหมือนกัน แต
ที่มามากที่สุดก็คือคราวนี้ คราวนําชาติบานเมืองของเรานี้ ขึ้นเวทีบั้นแกเทศน
ตลอดเวลา คนเลยไดเห็นไดยิน ออกทั้งทีวีทั้งวิทยุทั้งหนังสือพิมพกระจายไปหมด
ประหนึ่งวาหลวงตาบัวเพิ่งมาดังป ๒๕๔๑-๔๒ ความจริงมันดังอยูใตดินมานานแลว ไม
มาดังเหนือดินอยางสองปนี้นะ มันดังอยูใตดินกระหึ่ม ๆ อยูนั่น เพิ่งมาดังบนดินป ๔๑-
๔๒ พวกนี้เพิ่งเปนบากันวาหลวงตาบัวเทศนอยางนั้นอยางนี้
ถาพูดถึงวาเปนบา เราเปนบาอยูใตดินมานานแลว พวกฟงอยูใตดินก็เปนบามา
ดวยกันนานแลว หากวาจะเปนคนดีก็เปนป ๔๑-๔๒ ถาเปนบาขั้นที่สองก็วาบาขั้นนี้บา
เหนือดิน กระเทือนไปหมดถึงเมืองนอกเมืองนา เราแกมากแลวก็เลยเทศนฝากมรดกไว
ใหพระลูกพระหลาน มันจะไมมีอะไรติดเนื้อติดตัว จึงเทศนไวเสีย
ที่นี่เหมาะสมดี ที่ทําอยางนี้เห็นดวยแลวนะ ผมมาดูกุฏิที่พักภาวนาเหมาะสม
มาก วัดปาบานตาดก็เหมือนกัน จนกระทั่งทุกวันนี้ เต็มอยูในปามีแตอยางเดียวกัน
กระตอบเล็ก ๆ แตกอนมุงดวยหญาอยางเดียวกันนี้ ทีนี้เวลาหนาแลงไฟปาละซิมันไหม
มา ลมพัดเขามาเลยมาไหมกุฏิพระที่มุงหญาแตกอน เลยตองเปลี่ยนใหมที่นี่ เอาให
ทันสมัยเลยเชียวนะ ฟาดกระเบื้องแตก ๆ ขึ้นมุงแทนที่เลย สังกะสีก็สังกะสีทิ้งแลวเอา
ไปมุง ไมไดเอาสังกะสีใหม ๆ ไปมุงแหละ เอาสังกะสีเกา ๆ ลากไปมุง กระเบื้องเกา ๆ
แตกบางอะไรบางเอาไปมุง ขางฝานี้แอม(กั้น)ดวยผาจีวรขาด คือจีวรใชไมไดแลวก็เอา
มาแอมกุฏิทั่วไปหมดในวัด ไมไดมีหรู ๆ หรา ๆ
การปลูกสรางนี้ โถ ถาเราอนุญาตนี้วัดไหนจะไปหรูหรายิ่งกวาวัดปาบานตาด
เพราะใครก็จะสราง ใครก็มีศรัทธา ๆ ทุกชั้นของคน แตเราไมใหสราง อะไรขัดตอธรรม
แลวธรรมเปนเลิศเลอที่สุด ตองยกใหธรรมทั้งหมด สิ่งเหลานี้เปนเครื่องบูชาไปเทานั้น
ธรรมเปนหลักใหญ เพราะฉะนั้นเราจึงตองคงเสนคงวาหนาแนนเอาไว หลักประเพณี
๕๘
ของพระพุทธเจาที่พาดําเนินมายังไง เชน อยูตามกระตอบ ตามรมไมชายเขา ในปา ใน
ถ้ํา เงื้อมผา อยางกระตอบ ๆ อยางนี้เหมาะ ไมหรูหราฟูฟา
เดี๋ยวนี้กิเลสมันตีตลาดมากแลวนะ จนมองหาวัดซึ่งเปนที่สถิตที่อยูของธรรมจะ
ไมมีแลวนะเวลานี้ ไปที่ไหนมีแตหรู ๆ หรา ๆ ฟูฟามองหาธรรมไมมี เห็นแตสวมแตถาน
ของกิเลสเต็มวัดเต็มวาเต็มพระเต็มเณร แตเจาของนั้นโออา กิเลสมันสรางสวมสราง
ถานครอบหัวโลน ๆ เจาของยังโออา กุฏินี้สวยงาม ศาลานี้สวยงาม โบสถนั้นสวยงาม ที่
พักที่อาศัยทั้งขัดทั้งถูเลื่อมพั่บ ๆ เดินไปจนจะลมหงายหมาลงยังวาสวยงามอีกนะ เรา
ไมอยากวาหงายคน วาหงายหมาดีกวา ใหเหมาะกันกับกิเลสประเภทนี้เหยียบหัวคน
เมื่อเชานี้เราก็เดินเขาไปศาลาหลังนั้น กาวเขาไปนี้ไปเหยียบนั้นลื่นเกือบลม
เกือบหงายหมาแนะหลวงตา พอลื่นปบเลยถอยกรูดทันที ยังไมลม เราเกือบลมกับศาลา
หลังนี้ เลยออกมา ไปกุฏิหลังไหนไมเหยียบเลย ตองไดระวังทั้งนั้นนะ กุฏิหลังเราอยูนี้ก็
เหมือนกัน เราวาจะขี้ราดนั้นเสียกอน กอนที่เราจะไปไมทราบมันจะปวดขี้หรือไมปวดก็
ไมรู ถาปวดแลวฟาดใสนั้นแลวใหอีตา…นี่เช็ดลางคนเดียว พระเณรไมใหมาเกี่ยวนะ ให
เช็ดลางคนเดียวมันเกงนักวางั้นเลย
ศรัทธาญาติโยมเราอยาถือเปนประมาณมากยิ่งกวาธรรม ซึ่งเปนพื้นฐานสําคัญ
ของโลก ใหพากันจําเอาไวนะ อันไหนที่ควรใหสรางใหสราง อันไหนไมควรอยาใหสราง
ธรรมะเปนรากฐานสําคัญครอบโลกธาตุ กุฏิกับสิ่งกอสรางแตละอยาง ๆ เปนเครื่องบูชา
ธรรมทั้งนั้น อันไหนที่ขัดตอธรรมแลวอยาใหทํา อะไรก็ขัดศรัทธาไมได ๆ โอย ตายเลย
นะอยางนั้น นี่เรียกวากิเลสจูงจมูกแลว ทําตกแตงหรูหราฟูฟามีลายขอกลายคราม
ตนไมปลูกประดับกุฏิมันดูไดเมื่อไรพระกรรมฐานนะ ศรัทธาก็ศรัทธาซิเรื่องของเขา เรื่อง
ของเราผูรับผิดชอบในหลักใหญคือธรรมคือศาสนาคือวัดวามีอยูกับเรา ไมไดมีอยูกับ
ประชาชนญาติโยม
เราตองเขมงวดกวดขันสิ่งเหลานี้ ถาอยากใหศาสนายังพอไดกราบไหวกันอยูนะ
หรือจะกราบไหวอิฐปูนหินทรายเหรอ ที่ไหนมันก็มีอดอยากอะไรของเหลานี้ อันนี้เปน
เครื่องอาศัยเพียงเทานั้น อยาถือเปนเรื่องใหญเรื่องโต นี้สอนพระลูกพระหลานอยาพา
กันเปนบากับวัตถุนะ ไมมีอะไรเลิศเลอยิ่งกวาธรรม นี้เปดอกนะ จึงกลาพูดละซิวา ที่ลื่น
ๆ ที่สุดสวยงามที่สุด จนกระทั่งเลื่อมพั่บ ๆ กาวเดินไปแลวมันลื่น นี้คือความสกปรกอัน
๕๙
สุดยอดของกิเลสในสายตาของธรรม ฟงซินะ ธรรมเลิศเลอขนาดไหน จึงมาดูความ
สะอาดของกิเลสที่เปนบากันทั้งโลกนี้ วาเปนเหมือนสวมเหมือนถานในสายตาของธรรม
นี่เราพูดจริง ๆ พูดอยางเปดอก มันเห็นอยูอยางนั้นจะวายังไง ที่เลิศเลอมันเห็น
อยูที่หัวใจนี่ กับมาดูสวมดูถานนี้มันเขากันไดเมื่อไร ในวงพวกของเราที่สอนก็สอน ควร
พูดใหฟงเราก็พูดใหฟง เปนอยางนั้นนี่เรารู แตกอนเราไมเคยรูไมเคยเห็น เขาวาสวย
ยังไงก็อยากสวยอยางนั้น ดีที่เขาไมไดเขาหองดัดผมเหมือนพวกบานี่นะ ไดมาบวช
เสียกอน ไมงั้นอาจจะไดเขาไปดัดผมกับเขาอยากจะใหสวย พวกบามันเปนอยางนั้นซี
มันเห็นจริง ๆ นี่
นี่ละธรรมพระพุทธเจาที่ทรงทอพระทัย คือมาพูดอะไร ๆ โลกนี้โลกกิเลสโลกตา
บอดมันไมยอมฟงไมยอมดูไมยอมเห็น แลวจะสอนยังไง ทอพระทัย จึงวามันยังพอมีอยู
บางผูที่จะมองเห็นตามทางพระพุทธเจายิบ ๆ แย็บ ๆ จึงทรงสั่งสอนโลกเรื่อยมา เพียง
เราตัวเทาหนูนี้มันเปนนะ เปนจริง ๆ อาจหาญชาญชัย ในสามแดนโลกธาตุนี้เราไมเคย
หวั่นกับอะไร เพราะเปนโลกแหงสวมถานของกิเลสทั้งนั้น ธรรมเหนือนั้นทั้งหมดแลวจะ
ไปกลากับสวมกับถานอะไร ไปกลัวกับสวมกับถานอะไร ธรรมเลิศกวาแลวนี่จะวาไง จะ
เอาอะไรมาเปนคูแขงธรรม ถึงกลาพูดละซิ
การแนะนําสั่งสอนโลกนี้ก็เหมือนกันเราพูดจริง ๆ ถาจะใหสอนเต็มเม็ดเต็ม
หนวยแหงความรูนี้ ทองฟามหาสมุทรวางั้นเลย ไมมีคําวาอัดวาอั้นวาจะเทศนไมไดสอน
ไมได ขอแตผูมาเกี่ยวของหนักเบามากนอยเพียงไรควรจะสงเคราะห จะออกทางนั้น ๆ
ถาไมสมควรแลวก็ปดตาย เขาลิ้นชักก็ไมผิด พูดไปหาอะไร ถาสมควรจะออกตอนรับกัน
แลวก็ออกทันที ๆ เอาถึงฟาดินถลมก็ออกทันที ธรรมเต็มหัวใจแลวอัดอั้นที่ไหน วาจะพูด
ไมไดเทศนไมไดสอนไมไดนี่นะ
ฟงใหดีนะ นี่ละผลของธรรมที่ปรากฏอยูกับใจ ประกาศลั่นออกมาไดอยางไม
สะทกสะทาน พูดอยางนี้ กิเลสตัวไหนวางั้นเลยนะ มันจะมากลาหาญพูดวาเราโอเรา
อวดถามันไมอยากปากแตก ธรรมะฟาดมันปากแตกเลย เวลาธรรมะมีอํานาจฟาดปาก
กิเลสแตกไดจริง ๆ ทีนี้เวลาหมอบใหมันฟาดเราขี้แตก เวลากิเลสฟาดเราขี้แตก ครั้น
เวลาเรามีอํานาจจะฟาดกิเลสใหมันหงายหมาไปไมไดเหรอ นั่นละจึงวาธรรมของจริง
อาจหาญชาญชัยเหนือโลกทุกอยาง ทําไมจะมาสอนโลกกิเลสโลกสวมโลกถานนี้ไมได
ธรรมเลิศเลอขนาดนั้นแลว กลัวกลากันหาอะไร
๖๐
เวลามันรูมันรูจริง ๆ มันเหมือนหูหนวกตาบอด เพราะรูเทาไรก็ไมมีใครเห็นดวย
บางทีเราจึงพูดออกมานะ มีแตเราดูหัวใจของโลก เราพูดอยูกับบรรดาลูกศิษยลูกหา มี
แตเราดูหัวใจของโลก อยากใหหัวใจของโลกมาดูหัวใจเราบางเปนยังไง เราพูดแลวนะ ก็
มันเปนอยางนั้นจริง ๆ มันจาอยูตลอดเวลา กิเลสลี้ลับขนาดไหนมันเห็นหมด อยามาวา
วัตถุวัตแถะเหลานี้อยามาพูดนะ กิเลสละเอียดขนาดไหนมันเห็นหมด ธรรมะเปนเครื่อง
แกกิเลสไมไดแกสิ่งเหลานี้นะ แกกิเลสตางหาก กิเลสอยูตรงไหนเห็นหมดไมงั้นฆามัน
ไมได เอาจนเกลี้ยงไมมีเหลือ เมื่อมันโลงหมดในหัวใจไมมีอะไรเหลือแลว กิเลสแสดงอยู
ที่ไหนก็เห็นหมดละซี
ใหพากันตั้งใจนะพระลูกพระหลาน อยานอนใจนะ เอาใหจริงใหจัง มรรคผล
นิพพานคอยอยูชั่วเอื้อมของผูปฏิบัติ ไมไดหางไกลจากตัวของเรา คือองคอริยสัจที่แสดง
แลวตะกี้นี้ กายคตาสติเปนสําคัญมาก ที่จะรื้อภูเขาภูเราตรงนี้สําคัญมาก เอาใหหนัก
ถาตรงนี้แตกแลวโลงไปหมดเลย ไมมีอะไรมากดถวงลวงใจ มีแตตัวนี้ตัวสําคัญมาก
ที่เรามาทําประโยชนใหโลกนี้ก็เพราะความเมตตาลนหัวใจนั้นเองไมใชอะไร
สําหรับเรามันพอทุกอยางแลว ไมมีอะไรบกพรองในหัวใจนี้เลย ครอบโลกธาตุวางั้นเลย
เรามาทําดวยความเมตตาลวน ๆ สละเพื่อชาติบานเมืองของเรา ก็รูสึกวาชะตาของชาติ
ไทยเรานี้แปลกอยูนะ นาคิดอยูมาก คือตอนนั้นโรคทองเรานี้ไมมีหวังแลว มันดิ่งเขาไป
ถึง ๘๐% แลว มีแตจะตายทาเดียว ลงจากกุฏิก็โซซัดโซเซไปเพียงศาลา ออกจากศาลา
ก็โซซัดโซเซมากุฏิ นอกนั้นไมดูอะไรทั้งหมด คอยแตวันจะตาย
อยู ๆ ก็มีหมอเทวดามา หมอ..เปนหมอจีน คนไขของเขาก็มาเลาใหฟงถึงเรื่อง
โรคของเขาเปนยังไง ๆ เขาก็เลาเรื่องโรคของเขาใหฟง จนกระทั่งเขารักษาหายจากหมอ
คนนี้ แลวโรคของเขากับโรคของเรานั้นไมผิดกันแมกระเบียดเดียว เราจึงปลงใจ เอา
รักษาวางั้นเลย ทั้ง ๆ ที่เตรียมพรอมถาเครื่องบินก็เตรียมจะลงสนามแลว ยังเชิดหัวขึ้น
อีก ก็บอกกับเขาเลยวาเอารักษา อันนี้เปนครั้งสุดทายของเรา เราบอกตรง ๆ ถาหายก็
หายจากหมอคนนี้ ถาหมดจากหมอคนนี้แลวเราตัดหมดทั้งหยูกทั้งยาทั้งหมอทั้งอะไร
เราจะทําหนาที่ตายอยางเดียวเทานั้น
โรคนี้รูสึกวาตรงกันกับโรคของเขาที่หาย เอารักษา จึงตัดสินใจแลวใหรักษา พอ
ใหรักษาก็ โห แปลกประหลาดอัศจรรยมาก โรคที่เปนมานี้โรคทองนี้เริ่มแสดงมาตั้งแต
พรรษา ๑๐ จนกระทั่ง ๕๔๐-๔๑ ที่มาถูกกับยาหมอนี้นานไหม ถึงขนาดที่วามันถึงขั้น
๖๑
แลวมันจะตาย แลวก็มาฟนไดอยางปาฏิหาริย จนเราเองไมเชื่อหมอ เพราะโรคอันนี้
ไมไดนึกเลยวามันจะหาย แตแลวก็ฟนขึ้นมาเปนลําดับลําดา ไมมีปฏิกิริยาอะไรเลยจน
เราไมเชื่อเรา แตมันก็ใหเห็นชัด ๆ วามันหายขึ้นเปนลําดับ
ก็ยังไมเชื่อตัวเองเพราะมันเปนมานาน จึงตองถามหมอวานี้มันจะหายจริง ๆ
เหรอ หายจริง ๆ เขาวางั้น ก็มันเปนมาหลายสิบปแลวทําไมอยู ๆ ก็จะมาหายเอาอยาง
ปาฏิหาริยอยางนี้ เพราะเหตุไรเอาวามา เขาบอกวาโรคชนิดนี้เขาเคยรักษาหายมาเปน
รอย ๆ คนแลว เราก็เลยชะงัก เอ โรคเรานี้จะเปนโรคเทวทัตมาจากไหน เขาหายกันทั้ง
โลก เราจะไปจมคนเดียวแหวกแนวไปอยางนี้มันมีเหตุผลอะไร เลยออนลงนะ แลวยังฟง
และสังเกตดูดวย มันก็หายของมันไปเรื่อย ๆ ไมมีปฏิกิริยาเลยตั้งแตวันโรคกับยาถูกกัน
มา หายเลย จนกระทั่งปจจุบันนี้ เรียกวาหายเต็มเม็ดเต็มหนวยแลว ถายก็เปนปกติ
นั่นละพอมันฟนขึ้นมาเราก็ขึ้นเวทีเลย เพราะความหวงใยชาติไทยของเรา เรา
หวงอยางเต็มหัวอก แตเราก็สุดวิสัยที่จะรอไมไดแลว ทีนี้หมอมากระตุกเชิดกลับคืนจึง
ขึ้นเวทีเอาเลย เพราะฉะนั้นเวลาไปที่ไหน เขาจึงเห็นภาพในทีวีวาผอมโซ ๆ ไมผอมโซ
ยังไงคนรอดตายมาขึ้นเวที เดี๋ยวนี้คอยดีขึ้น ๆ จึงไดชวยโลกมา โอย เปนเรื่องแปลก
ประหลาดอัศจรรยอยูนะ ดวงชะตาของชาติไทยเรารูสึกเปนของที่แปลกอยูมากนะ เรา
ไมนึกเลย ตายดวยความหวงใยชาติไทยของเรา ซึ่งคอนขางจะลมจมอยูแลว อยู ๆ ก็มา
ฟนขึ้นมา จึงไดชวยเต็มเหนี่ยวนี้แหละ
แลวทุกสิ่งทุกอยางรูสึกวาเห็นผลมาโดยลําดับนะ ตั้งแตเราเริ่มชวยชาติมานี้ ถึง
ผลรายไดจะไมมากก็ตาม แตผลทางดานจิตใจไดมาก การชวยเหลือนี้ก็ดังที่เคยทราบ
แลวที่เขาประกาศใหทราบวา ทองคําเขาเทาไรดอลลารเขาเทาไร…คลังหลวง เวลานี้
เงินสดมี ๘๖๐ ลานเปนอยางนอย เราเปนผูถือบัญชีเอง ทั้ง ๆ ที่เราไมเคยไปแตะตอง
เงินแหละ แตเราจับหนังสือนี้ยืนยันไว เปนผูถือบัญชีแตผูเดียว เปนผูสั่งเก็บสั่งจายแตผู
เดียว
นี่ผลก็ไมคอยไดมาก แตทางดานจิตใจรูสึกวาจะไดมากทั่วประเทศไทยของเรา
จากการแนะนําสั่งสอนของเราทุกแหงทุกหน สอนทางดานจิตใจมากไมเคยลดละเลย
ไปเทศนที่ไหนตองเนนหนักทางดานจิตใจ เพราะชาวไทยชาวพุทธเรานี้เหลวไหลมากนะ
ทางดานจิตใจ เราก็พูดอยางไมออมปากเลยวา ชาวพุทธของเราเวลานี้กําลังเหลวไหล
ทางดานธรรมะกับจิตใจมากทีเดียว เปนบาแตกับทางดานวัตถุ ทะเยอทะยานกันจนจะ
๖๒
ลมจะจมแลวยังไมรูเนื้อรูตัว หลักใจไมมีเลย ลมเหลว จึงสอนเนนหนักทางนี้ เหลานี้เขา
ก็ออกทางวิทยุทั่วประเทศมานานแลวแหละ ทางทีวีเขาก็ออก ทางวิทยุเขาก็ออก เอา
ธรรมเทศนาของเราออกทั่วประเทศไทยประจําตลอดมานะเวลานี้ ก็รูสึกวาไดผลดี
นี่ละผลสวนใหญคือทางดานจิตใจ จะสามารถอุมชาติไทยของเราไดดวยอํานาจ
แหงใจกับธรรมเขาหนุนกันแลวจะยกได ดวยความรูจักประมาณ ไมฟุงเฟอเหอเหิม รู
เนื้อรูตัว มีเหตุมีผลมีกฎมีเกณฑ แลวก็อุมชาติของเราได เราก็เห็นวาไดผลพอใจมาเปน
ลําดับ ถาพูดถึงเรื่องสมบัติเงินทองเกี่ยวของกับเมืองนอกเมืองนา แตกอนเขาบีบบังคับ
เรามาก เวลานี้ก็รูสึกวาคลี่คลาย เขาลดหยอนผอนผันลงมาก เนื่องจากเขามีหวังที่จะ
ไดรับผลประโยชนจากการชวยชาติของเรานี้เอง ภายนอกรูสึกคลี่คลายลงเยอะ นี่เราก็
เห็นผลทางดานจิตใจของพี่นองชาวไทยเรานี้สําคัญมาก สมกับเราเนนหนักมากเพราะ
เราเปนหวงมากจริง ๆ
ใหพากันตั้งใจนะ จับใหดีจําใหดี อยาเหลาะ ๆ แหละ ๆ มองดูสภาพที่ไหน ๆ ก็มี
สภาพของผูชําระกิเลสอยู ถาไปที่ไหนเห็นแตสวมแตถานครอบหัวพระหัวเณรเราไม
อยากเขาไปเหยียบวัดอยางนั้น กลัวสวมถานจะมาครอบหัวเราอีก หรือมันครอบแลวเรา
ก็ไมรู มาโมเฉย ๆ มันครอบอยูแลวก็ไมรู
เอาเทานั้นละพอ
๖๓

เทศนอบรมฆราวาส ณ โรงเรียนการปาไมแพร จ.แพร
เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๒
การฟนฟูชาติ
วันนี้หลวงตารูสึกวา มีความซาบซึ้งกับพี่นองจังหวัดแพรของเราเปนอยางมาก
และรวมแลวจังหวัดตาง ๆ ใกลเคียงก็มารวมกันดวยในวันนี้ พอกาวเขามาในบริเวณนี้
เห็นประชาชนแนนไปหมด เรียกวาผิดคาดผิดหมายที่คิดไววา จังหวัดแพรของเราคงจะ
ไมมีมากนักเพราะเปนจังหวัดยอม ๆ ไมใชเปนจังหวัดใหญโตมากนัก แตเวลากาวเขา
มาถึงแลว กลายเปนคนใหญโตมากกวาจังหวัด จังหวัดแพรสูประชาชนเมืองแพรไมได
เพราะประชาชนมากกวาจังหวัด เต็มไปหมดในบริเวณเหลานี้ จึงอดมีความภาคภูมิใจ
และซาบซึ้งกับพี่นองทั้งหลายเปนอยางมากไมได
สมเจตนาที่หลวงตาไดพยายามแหวกวายมา ทั้ง ๆ ที่สังขารรางกายก็ไมอํานวย
ทุพพลภาพคือแกลงทุกวัน ๆ ก็ไดอุตสาหพยายามมาชวยพี่นองทั้งหลายดวยความ
เมตตาแหงชาติไทยของเรา มาคราวนี้ก็ไปหลายจังหวัด ออกเดินทางมาตั้งแตวันที่ ๑๕
เดือนนี้ วันนี้เปนวันที่ ๓๐ ก็เรียกวาได ๑๕ วัน เพื่อบิณฑบาตขอรองจากพี่นองทั้งหลาย
ดวยสมบัติที่จะชวยชาติอันเปนที่รักของชาวไทยเรา โดยบิณฑบาตทองคํา ดอลลาร เงิน
สด นี้สําหรับรวบรวมเขาซอมแซมในจุดที่บกพรอง คือคลังหลวงของเราเวลานี้รูสึกวามี
ความบกพรอง ตองการสมบัติเหลานี้ไปอุดหนุนเปนอยางมาก
อันดับตอไปเราก็ตักเตือนกันเกี่ยวกับชาติบานเมืองของเรา ซึ่งทุกคนเปนผูรัก
ชาติ และตองมีความรักสงวนเขมงวดกวดขัน ในการที่จะปรับปรุงชาติบานเมืองของเรา
ที่บกพรองหรือเอนเอียงอยูเวลานี้ ใหเขาสูภาวะที่แนนหนามั่นคงขึ้นเปนลําดับ วันนี้ก็
ไดมาบิณฑบาตและชี้แจงธรรมใหพี่นองทั้งหลายไดทราบทั่วกัน ในขั้นเริ่มแรกหลวงตา
ไดอุตสาหพยายามชวยชาติมาดวยความตะเกียกตะกาย ตั้งแต ๒๕๔๑ เรื่อยมาเปน
เวลาหนึ่งปกวาแลว สังขารรางกายก็ออนลงทุกวัน ๆ
สําหรับจิตใจและธรรมนั้นไมมีวัย คงเสนคงวา แตสังขารรางกายซึ่งเปน
เครื่องมือสําหรับใชในการแสดงออกนั้น รูสึกวาออนลงทุกวัน ๆ แมเชนนั้นก็ไมละความ
๖๔
อุตสาหพยายาม ดวยเห็นแกชาติไทยของเรา จึงไดอุตสาหตลอดมาจนบัดนี้ ที่ไหน ๆ ก็
อุตสาหไป ไปแลวก็ตองแนะนําสั่งสอนตักเตือนในจุดที่บกพรอง เพื่อพี่นองชาวไทย
ทั้งหลายจะไดตื่นเนื้อตื่นตัว แลวตางคนตางปรับปรุงตัวเองใหเขาสูระดับพอสมควรที่จะ
ทรงตัวได
ทุกคน ๆ ขอพี่นองทั้งหลายไดยึดถือศาสนธรรม คือศาสนาเปนทางดําเนิน เปน
เข็มทิศทางเดิน เปนจุดหมายปลายทางของเรา เพราะศาสนาพุทธของเรานี้ เปนศาสนา
ที่พรอมแลวดวยความถูกตองดีงามทุกประเภท ไมวาจะทางดานวัตถุ การเคลื่อนไหวไป
มาทางการกระทําของเรา ไมวาทางดานจิตใจเกี่ยวกับศีลธรรม ธรรมะพรอมแลวที่จะ
ตักเตือนพวกชาวพุทธทั้งหลายเรา ใหพยายามอุตสาหดําเนินตามนั้น แลวบานเมือง
ของเราก็จะคอยเจริญรุงเรืองไปเปนลําดับลําดา เวลานี้ก็รูสึกวาคอยกระเตื้องขึ้นเปน
ลําดับ จากผลที่พี่นองชาวไทยทั้งหลายมีความรักชาติ อุตสาหพยายามขวนขวาย
ชวยเหลือเปนลําดับลําดามา และการปรับปรุงตัวเองใหเขาสูภาวะอันคับขันนี้ ให
คลี่คลายออกไปดวยการปฏิบัติตัว
คือการอยู เราก็พยายามปรับปรุงการอยูของเรา อยาใหฟุงเฟอเหอเหิมเปน
ความคึกความคะนอง เปนความผาดโผนโจนทะยาน ซึ่งเปนเรื่องจะทําชาติไทยของเรา
ใหลมจมไปดวยกัน เพราะความผาดโผนโจนทะยาน ดวยอํานาจแหงความโลภ ความ
อยากไดไมมีประมาณนี้ เปนสิ่งที่ทําลายทั้งผูที่โลภและผูเกี่ยวของเปนลําดับ จึงตองได
พยายามระมัดระวัง
การอยูการกิน ใหตางคนตางสงวน การกินใหกินพอดิบพอดี ใหรูจักประมาณใน
การอยูการกินของเรา อยาฟุงเฟอเหอเหิมดังที่เห็น ๆ รู ๆ กัน อยางนั้นเปนความเคยชิน
แหงนิสัย เราอยานํามาใชในภาวะคับขันแหงชาติไทยของเราเวลานี้ การใชการสอยทุก
อยาง ขอใหพี่นองทั้งหลายไดรูจักประมาณในการใชสอย ไมวาสวนใด คําวาเครื่องใช
สอยนั้นมีมาก นับแตรถราลงไปจนกระทั่งถึงฟนถึงไฟที่เราจะนํามาใชในครอบครัวของ
เรา ใหตางคนตางประหยัดมัธยัสถ
ทั่วประเทศไทยของเรานี้ตางคนตางประหยัด ในการอยูการกินการใชการสอย
ทั่วหนากันแลว จะทุนรายจายเขามาเปนลําดับ เงินวันหนึ่ง ๆ ไดรับจากการทุนรายจาย
นี้จะเปนเงินจํานวนหลายลาน นี่คือความถูกตองดีงามตามสายทางแหงธรรมของ
พระพุทธเจา ที่ทรงแสดงไวในหัวขอธรรมยอ ๆ วา
๖๕
อุฏฐานสัมปทา ใหมีความขยันหมั่นเพียรในกิจการงานที่ชอบ เวนงานที่ผิด ให
พยายามละเวนทั่วหนากัน ใหพยายามอุตสาหขวนขวายในกิจการงานที่ชอบ อยาขี้
เกียจขี้ครานออนแอ
อารักขสัมปทา เมื่อเราเสาะแสวงหามาไดมากนอย ใหพยายามเก็บรักษา
แบงสันปนสวน ที่จะนําออกใชมากนอยเพียงไร กับกิจการงานใดบาง แลวแบงไว
สําหรับกินของเราสําหรับใชของเรา สําหรับการเจ็บไขไดปวยทุกอยางเปนความจําเปน
ใหแยกแยะสมบัติที่ไดมานั้นใหเปนสัดเปนสวน ดวยความมีเหตุมีผล อยาไดใชแบบ
สุรุยสุราย
สมชีวิตา การเลี้ยงชีพไปวันหนึ่ง ๆ นั้น ใหพอเหมาะพอดีกับครอบครัวสังคม
ของเรา อยาใหฟุงเฟอเหอเหิมจนเปนความสุรุยสุรายลืมเนื้อลืมตัว นี่คือหลักธรรมของ
พระพุทธเจานํามาสั่งสอนพวกชาวพุทธเรา
สมานัตตตา ความไมเยอหยิ่งจองหองตอเพื่อนมนุษยดวยกัน และ กัลยาณ
มิตตตา การคบคาสมาคมกับเพื่อนฝูงไมวาหญิงวาชาย ใหมีการระมัดระวัง การคบคา
สมาคมนี้เปนสําคัญมากทําคนใหลมจมไดมากมาย เพราะคบไมเลือกหนา คนดีก็มี คน
ชั่วก็มี กอนที่จะคบคาสมาคม ใหใชความพินิจพิจารณาโดยทางจิตวิทยาเทาที่ควรกอน
แลวคอยคบคาสมาคมกันไป เราจะไมไดประสบหรือไมไดเจอสิ่งที่เลวราย คือคนพาลที่
จะทําความเสียหายแกเราถึงขั้นลมจมก็มีได
ในธรรม ๔ ขอนี้มีไวสําหรับชาวพุทธเรา ขอใหพี่นองทั้งหลายไดปฏิบัติตามในขอ
นี้
วันนี้พูดถึงเรื่องการปรับปรุงตัวของเราแตละราย ๆ เพื่อชาติบานเมืองของเราจะ
ไดกระเตื้องขึ้นมา ในหนาที่การงานถาหากวาเราไดเคยทําความไมดีไมงาม ตอกิจการ
งานสวนยอยจนกระทั่งถึงสวนใหญ นับตั้งแตรายบุคคลไป เราเคยทําความชั่วชา
เสียหายตอตนเองและสวนรวมมากนอยเพียงไร เปนกิริยาแหงการกระทําที่สกปรก
โสมม ก็ใหรีบแกไขเสียตั้งแตบัดนี้ตอไป สวนที่สูญที่หายไปแลวก็เปนอันวาหายไปสูญ
ไป เพราะความประพฤติไมดีนั้น เราปรับปรุงแกไขตัวของเราใหม ตลอดวงราชการงาน
เมืองซึ่งเปนจุดใหญมากแหงประเทศไทยของเรา เรียกวาจุดราชการนั้นคืองานของ
แผนดินไทยทั้งชาติ อยูในวงราชการทั้งนั้น
๖๖
ในวงราชการแตละแผนก ๆ แตละแหง ๆ และผูที่ทําหนาที่ในงานของตน ๆ ก็
ขอใหมีความรับผิดชอบ เพื่องานจะไดเปนประโยชนแกสวนรวม สมกับพี่นองชาวไทย
ทั้งหลายเขาไววางใจตองานทางราชการของเรา อันนี้เปนสิ่งสําคัญมากที่ทางราชการ
ของเรา จะไดปรับปรุงแกไขใหดีขึ้นเปนลําดับอยาไดนอนใจ นี่คือการปรับปรุง หากวา
เราจะเคยมีความบกพรองในหนาที่การงานมาประการใดบาง สวนที่บกพรอง ความ
บกพรองนั้นทําใหเกิดความเสียหายแกสวนรวม ก็เปนอันวาผานไปเรียบรอยแลว จะ
ทวงคืนมาก็ไมได เสียก็เสียไปแลว สวนที่ยังไมเสียคือตัวของเรา ซึ่งเปนผูกําลัง
ดําเนินงานอยูเวลานี้
เราเคยดําเนินงานหรือปฏิบัติงานตอหนาที่ของเรา ผิดพลาดประการใด ขอใหรีบ
แกไขดัดแปลงการงานของเราที่ผิดพลาดนั้น ใหเขาสูความสะอาดเปดเผย แลวงานนั้น
ๆ ที่ตางคนตางปรับปรุงแกไข ก็จะมีพลังหนุนเขามาสูชาติไทยของเรา เรียกวาอุมชาติ
ไทยหนุนชาติไทยของเราจากวงราชการตาง ๆ ซึ่งเปนหลักใหญของชาติ นี่เปนสิ่งจําเปน
มากที่พี่นองชาวไทยทั้งหลายเราจะคิดจะอานจะปรับปรุงแกไข อันนี้ใหญโตมาก
วงราชการงานเมืองนี้เปนวงใหญ เปนหัวใจแหงชาติไทยของเรา หากเคยทํา
ความผิดพลาดประการใดมา ดวยความประพฤติไมผองใส เปนความสกปรกโสมมซึ่ง
เปนโทษตอชาติของเรามาแลว ก็ขอใหพยายามรีบแกไขเสียตั้งแตบัดนี้ เอาตัวของเรา
แตละคน ๆ วงราชการแตละหนวย ๆ มาเปนจุดวินิจฉัยพิจารณาในการกระทําของเรา
งานการตาง ๆ จะเปนไปเพื่อความราบรื่นดีงาม ประชาชนก็จะไววางใจและอบอุนตอ
เราที่ทํางานเพื่อชาติบานเมือง
สมกับที่เราถาหากจะพูดเปนภาษาอยางตรงไปตรงมาก็คือ วงราชการทุกหนวย
ทุกประเภท ไดรับความเลี้ยงดูไปจากพี่นองชาวไทยทั้งชาติ เปนผูเลี้ยงดูตลอดมา ใคร
กาวเขาไปสูในวงราชการแลว ก็ตองไดรับการรับเลี้ยงดวยเงินเดือนสมกับฐานะ ตาม
ความรูวิชาหรือหนาที่การงานของตนโดยทั่วกัน เมื่อเปนเชนนั้นจะเรียกวา วงราชการ
ของเราเปนลูกของประชาชนทั้งชาติก็ไมผิด เพราะเขาเปนผูเลี้ยงดูเรามาตลอด และเขา
มอบความไววางใจในหนาที่การงานที่จะดําเนินเพื่อชาติโดยตลอดนั้น ดวยความไวใจ
กับวงราชการทุก ๆ หนวย จึงขอใหปฏิบัติหนาที่การงานนี้ใหเปนไปตามจุดมุงหมายแหง
ประชาชน ที่เขามอบความไววางใจใหเรา
๖๗
อยาทะนงวาเราเปนขาราชการ เราเปนเจาเปนนาย เรามียศถาบรรดาศักดิ์ อัน
นั้นตั้งกันไวตามความดีความชอบของผูควรจะไดรับ แตตั้งแบบสักแตวาตั้งนั้นก็มี แลว
ก็นําอํานาจนํายศถาบรรดาศักดิ์มากดขี่ขมเหงมาเบง มาอวดศักดาตอประชาชนที่เขา
เลี้ยงดู อยางนี้เปนความหยาบทรามมาก ไมสมศักดิ์ศรีกับวงราชการและผูทํางานเพื่อ
แผนดินแตละราย ๆ และแตละหนวย ๆ เลย เราตองตั้งหนาตั้งตาทําหนาที่ใหชาติ
บานเมืองของเรา สมกับเขามอบความไววางใจให ตลอดตั้งยศถาบรรดาศักดิ์หนาที่
ตําแหนงสูง ๆ ใหเรา
เรามีตําแหนงสูงเทาใด มียศถาบรรดาศักดิ์สูงเทาใด ยิ่งควรจะเปนเครื่องสะดุด
ใจเรา เตือนตัวเราอยูเสมออยาไดนอนใจ เขาตั้งนั้นตั้งเพื่อสงเสริมดวยความไววางใจ
ของเขา เขาตั้งสูงเทาไรก็เรียกวาเขาหนุนเพื่อการทํางานของเรา ใหเปนไปเพื่อประโยชน
แกชาติบานเมืองของเราหนาแนนขึ้นทุกวัน ๆ นี่คือความมุงหมายแหงประชาชนทั่ว
ประเทศไทยที่เขาเลี้ยงดูวงราชการเรื่อยมา เขามีความมุงหมายอยางนี้
เราผูรับมอบทุกสิ่งทุกอยางนับแตเงินเดือนขึ้นไปตั้งแตต่ํา ๆ จนกระทั่งถึงสูงสุดนี้
เรารับมาดวยความภาคภูมิใจ จะทําหนาที่การงานใหสมศักดิ์ศรีในตัวของเรา ที่ไดรับ
ความไววางใจจากพี่นองทั้งหลาย ดวยความสุจริตในการประกอบหนาที่การงานตาง ๆ
นี่ก็คือการหนุนชาติของเราประเภทหนึ่ง อุมชาติบานเมืองของเราประเภทหนึ่ง
วงราชการเปนสําคัญมากที่จะโอบจะอุมชาติบานเมืองของเราได วงนี้เปนวง
ใหญโตเปนวงใหญหลวง ที่จะกูชาติของเราขึ้นมาไดดวยความบริสุทธิ์ยุติธรรมของ
ราชการหนวยตาง ๆ ทําดวยความแจงขาวดาวกระจาง ไมมีมลทินมัวหมองโดยความ
ทุจริตสกปรก อันเปนการทําลายชาติ สมบัติของชาติใหสูญหายไป มีแตการสงเสริมเก็บ
หอมรอมริบ ประหยัดมัธยัสถในหนาที่การงานทุกแงทุกแขนง
เครื่องใชไมสอยของหนวยราชการตาง ๆ ตลอดถึงไฟฟาที่เราใชอยูในวงงาน
เครื่องใชสอยซึ่งเปนของกลางเปนสมบัติของชาติ เมื่อเราเขาไปเกี่ยวของเปน
ผูรับผิดชอบแลว เราก็ตองรับผิดชอบในสิ่งเหลานี้ไปดวยกัน จึงเรียกวาเปนผูตั้งหนาตั้ง
ตาทําหนาที่การงานดวยความสุจริต เปนที่ตายใจไววางใจของพี่นองชาวไทยได และ
เปนผูมีกําลังดวยความบริสุทธิ์ยุติธรรมนี้ อุมชาติบานเมืองของเราไดโดยไมตองสงสัย
เพราะจุดนี้คือหัวใจของประชาชน กําลังก็อยูในจุดนี้ ทั้งทางความเจริญ ทั้งทาง
ความเสื่อม ที่ถูกตองดีงามตามความมุงหมายของประชาชนทั้งชาตินั้น วงราชการตาง
๖๘
ๆ ไดรับหนาที่การงานจากการแตงตั้งขึ้นมา และมีเงินเดือนของพี่นองชาวไทยมาเลี้ยงดู
เปนพื้นฐาน ตั้งหนาตั้งตาปฏิบัติหนาที่การงานดวยความสุจริตยุติธรรม งานของเราจะ
กาวเดิน งานราชการนี้แลจะกาวเดินอยางเดนชัดยิ่งกวางานใด ๆ
เชนอยางงานที่หลวงตาบัวเปนผูนําของพี่นองทั้งหลาย โดยนําศาสนามาเปน
ผูนํานี้ เปนเพียงขี้ปะติ๋วเทานั้น ไมใชเปนงานใหญงานโตเหมือนงานราชการ ซึ่งตางฝาย
ตางหนวยไดอุตสาหพยายามทําดวยจิตบริสุทธิ์ยุติธรรม การงานสะอาด เพื่อเกื้อเพื่อ
หนุนชาติของเราทุกแหงทุกหนทั่วประเทศไทยนี้แลว งานนี้จะเดนมากและเจริญรุงเรือง
ขึ้นไปโดยลําดับมากยิ่งกวางานอื่นใด เชนอยางงานหลวงตาบัวที่มานําพี่นองทั้งหลายนี้
เปนงานขอบิณฑบาตเชื้อเชิญพี่นองทั้งหลายใหชวยชาติ เปนเพียงแขนงหนึ่งเทานั้น
งานใหญโตที่สุดจึงอยูในวงราชการงานเมืองของเรา
จึงขอใหทุก ๆ ทานที่เปนเจาหนาที่ในราชการทุกหนวย ๆ ถือเปนภาระสําคัญที่
เราจะตองรับผิดชอบในหนาที่การงานและศักดิ์ศรีของเราตอไป ชาติบานเมืองก็จะแนน
หนามั่นคงเจริญรุงเรืองขึ้นอยางรวดเร็ว ยิ่งกวาที่หลวงตาบัวทําอยูเวลานี้เปนไหน ๆ
เหตุที่ทางศาสนาจะมาเกี่ยวของในชาติไทยของเรา ดังที่หลวงตาบัวนํามา
ประกาศสอนพี่นองทั้งหลายเวลานี้ ก็เพราะชาติไทยของเราเปนชาติแหงชาวพุทธ
พระพุทธศาสนาเปนพอเปนแมเปนรมโพธิ์รมไทรของพวกเรา เรากราบไหวบูชายึดถือ
เปนขวัญตาขวัญใจ ฝากชีวิตชีวาไวนี้หมด เมื่อเปนอยางนั้นศาสนากับทางบานเมืองจึง
แยกกันไมได ถาหากมีแตทางบานเมืองอยางเดียวมาชวยชาติบานเมือง ก็เทากับชาติ
ของเรามีเพียงแขนเดียว
บานเมืองของเราคนมีจํานวน ๖๒ ลาน แลวเพียงแขนเดียวจะยกอุมชาติ
บานเมืองของเราขึ้นนั้น รูสึกจะหนักมากทีเดียว จึงตองอาศัยศาสนาอันเปนแขนอีกขาง
หนึ่ง เรียกวามีแขนซายแขนขวาสมบูรณแบบแลวในการที่จะอุมชูชาติไทยของเรา
ศาสนาจึงไดมาเกี่ยวของกับพี่นองทั้งหลาย โดยขอบิณฑบาตทางดานวัตถุ เชน ทองคํา
ดอลลาร เงินสด จากนั้นก็สั่งสอนทางดานจิตใจกับธรรมใหมีความกลมกลืน ใหยึดมั่น
ถือมั่นในหลักธรรม เปนเครื่องดําเนินชีวิตจิตใจหนาที่การงานทุกประเภท จะแยกจะ
แตกจะพรากกันไปไมได
ไมวางานใดก็ตาม เชน อยางวงราชการงานเมือง ถามีแตเรื่องของโลกลวน ๆ
เขาไปทํางานแลว โลกมันมีกิเลสอยูภายในนั้น ยอมลืมเนื้อลืมตัวทําความชั่วชาลามก
๖๙
ดวยอาศัยอํานาจหนาที่ของตนลงไปทําใหเสียหายได แตถามีธรรมในใจแลวประดับผูที่
ไปทําหนาที่การงานวงราชการ เปนเจาเปนนาย มีศีลมีธรรมประจําตัวแลว เปนความ
รูสึกตัวตลอดเวลา ไมหลงตัวเอง หนาที่การงานก็สะอาดสะอาน ตัวเองก็ไวใจตัวเองได
ประชาชนก็ไววางใจได งานการตาง ๆ ที่ดําเนินไปมากนอยก็เปนผลเปนประโยชนมาก
ยิ่งกวาจะเสียหาย นี่คือศีลธรรมประจําชาติไทยซึ่งเปนลูกชาวพุทธ
ยิ่งเปนผูใหญเทาไรก็ใหเปนผูหนักแนนในดานศีลดานธรรม จะเปนที่เคารพ
เลื่อมใส เปนที่รมเย็นของผูนอย แมในวงราชการหนวยตาง ๆ ก็เชนเดียวกัน หัวหนาใน
ราชการหนวยนั้น ๆ เปนผูมีศีลธรรม พรอมกับขาราชการทั้งหลายตางคนตางมีศีลธรรม
ประจําตัวแลว งานนั้นจะเปนงานที่รมเย็นเปนสุข ประหนึ่งวาพอกับลูกทํางานอยู
ดวยกัน ในวงงานนั้นบรรดาบริษัทบริวารเหมือนกับลูก ๆ หลาน ๆ ของตน ทําไดดวย
ความไววางใจตอกัน เพราะมีธรรม ยอมมีความสุจริตและรมเย็น ไมมีความระแคะ
ระคายตอกัน
นี่ละธรรมเขาที่ไหนงานจะสะอาดสะอาน ยิ่งงานวงราชการดวยแลว จึงไมควร
อยางยิ่งที่จะพรากจากพุทธศาสนาหรือธรรม ตองเขาไปประดับประดาแทรกอยูในวง
งานนั้นเสมอ ถามีแตโลกมีแตหนาที่การงานอยางเดียว ไมมีธรรมเขาแทรกนั้น มันรอย
สันพันคม มันพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงไปได จนกระทั่งทําชาติบานเมืองใหลมจมก็ได
เพราะอํานาจหนาที่นั้นมีความลึกลับอยูกับความสกปรกแฝงอยูแทรกอยู ๆ โดยอาศัย
หนาที่การงานอํานาจนั้นทําอยางเปดเผย แตความลึกลับซึ่งเปนเรื่องของกิเลสไมมีธรรม
เขากําจัดภายในนั้นเลยแลว มันจะสรางแตความสกปรกโสมมขึ้นมาภายในหนาที่การ
งานนั้น ๆ
หนวยไหน ๆ ก็ไมมีธรรมในใจมีแตความสกปรกโสมมเต็มหนวยงานตาง ๆ แลว
งานนั้นก็เปนฟนเปนไฟสามารถเผาไหมชาติไทยของเราได เพราะความไมมีธรรม ดวย
เหตุนี้เราจึงควรมีธรรม ไมวาประชาชนทั่ว ๆ ไป ยิ่งวงราชการดวยแลวควรจะเนนหนัก
ในทางดานธรรมะประจําตัว เพื่อดําเนินงานไปดวยความบริสุทธิ์ยุติธรรมขาวสะอาด ให
ประชาชนเขาไดเคารพนับถือไววางใจตลอดไป นี่ธรรมเปนความจําเปนอยางนี้ จึงได
นํามาชี้แจงใหพี่นองทั้งหลายไดทราบ
เวลานี้ชาติไทยของเราเอนเอียงคอนขางจะลมจมได เพราะอะไร ก็เพราะชาติ
ไทยของเราเอง จะไปตําหนิใครไมไดวาทําความลมจม คือชาติไทยของเราเองเปนผูทํา
๗๐
ความลมจมแกชาติของตน โดยความรูเทาไมถึงการณ ตามนิสัยสุรุยสุราย และตาม
นิสัยสกปรกโสมมในที่ตาง ๆ ตลอดวงราชการงานเมือง ทําไปดวยความสกปรก ซึ่งเปน
ฟนเปนไฟเผาไหมชาติบานเมืองของตนไปในทํานองเดียวกัน ชาติของเราก็ตองเอนเอียง
ไปไดลมจมไปได เมื่อตางคนตางปรับเนื้อปรับตัว นําธรรมเขาไปเปนเครื่องสนับสนุน
แลว จะแกไขเหตุการณตาง ๆ ไปไดดวยความปลอดภัยและแนนหนามั่นคงขึ้นเปน
ลําดับ เพราะอํานาจแหงศาสนธรรมเขาครองใจ จึงขอใหพี่นองทั้งหลายไดนําธรรมนี้เขา
สูใจเสมอ
วงราชการนั้นแหละเปนวงที่สําคัญมาก ซึ่งควรจะนําธรรมะเขาไปเปนจิตเปนใจ
เปนแกนอันสําคัญอยูในหัวใจของเรา เคลื่อนไหวออกไปในทางหนาที่การงานตาง ๆ
เพื่อชาติบานเมืองของเรา ก็จะเคลื่อนไหวออกไปดวยความสะอาดสะอาน มีผลเปนที่
พอใจเปนลําดับลําดา นี่ละศาสนา ผูใกลชิดติดพันศาสนาที่สุด ถาพูดใหถูกตองตาม
หลักแหงชาวพุทธของเราแลว ในวงราชการตาง ๆ ตองเปนผูนําในทางศาสนา เปนแกน
เปนแกนของศาสนา เปนแกนเปนแกนแหงการแสดงออก หนาที่การงานตาง ๆ ใหมี
ศาสนาเปนธรรมเคลือบแฝงอยูเสมอ ทุกอยางจะมีความแนนหนามั่นคงมากขึ้น นี่คือ
การชวยชาติของเราดวยการปรับปรุงตัวของเราแตละคน ๆ ตลอดวงราชการงานเมือง
ตาง ๆ ใหชวยกันปรับปรุงตัวเอง แลวชาติไทยของเราจะมีความเจริญรุงเรืองขึ้นเปน
ลําดับ
ศาสนามีความจําเปนอยางนี้ จึงไดนํามาชี้แจงใหพี่นองทั้งหลายทราบ ไมใช
ศาสนาเปนเหมือนตุกตาเครื่องเลนของเด็ก ยิ่งมีความรูสูงที่ไปเรียนที่ไหน ๆ มามากมาย
แลวก็มาเบงมาอวดรูอวดฉลาด ความรูความฉลาดเต็มไปดวยความสกปรกโสมม แลว
เหยียบย่ําทําลายศาสนาหาวาศาสนานี้เปนตุกตา เปนเครื่องเลนของเด็ก เปนธรรมที่ครึ
ที่ลาสมัย ไมทันสมัยเหมือนความรูที่ตนเรียนมาดวยความทะนงจากที่ตาง ๆ แลวก็เอา
ความทะนงนั้นมาสรางความสกปรกโสมมแกบานแกเมืองของเรา นี้ใชไมไดเลย ใหพา
กันจดจําขอนี้เอาไว
ความรูที่เรียนมานั้น เปนความรูที่เปนไปดวยอํานาจของกิเลสติดแนบไป
ตลอดเวลา โดยไมมีเจตนาก็ตาม ที่แสดงออกเหลานั้นมีกิเลสแฝงเขาไป เรียนไดมาแลว
แทนที่จะมาทําประโยชนแกชาติบานเมืองตามหลักวิชาที่เรียนมา กลับกลายเปนนํา
หลักวิชาที่เรียนมานั้นไปใชในทางทุจริตไดมากยิ่งกวาคนสามัญธรรมดา ตาสีตาสาอยู
๗๑
ตามทองไรทองนาเขาไมไดทําความเสียหายมากยิ่งกวาผูที่เรียนมาก ๆ แลวมาลืมเนื้อ
ลืมตัวมาทะนงตัว นําหลักวิชาไปทําในทางเสียหายมากตอมาก นี่ไมถูกจุดมุงหมายของ
หลักวิชาที่เรียนมา ควรนํามาปฏิบัติตอชาติบานเมืองของเรา
ใครไดวิชาแขนงใดมาก็มาทําประโยชนแกชาติบานเมืองของเรา ไมใชไดมาแลว
เอามาเบงมาอวดศักดิ์ศรีดีงามของตน ทั้ง ๆ ที่ความดีไมมีเทาริ้นเทายุงเลย ก็มาอวดมา
เบงกัน ชาติไทยของเราจะจมไดดวยเหตุผลอยางนี้ จึงขอใหนําหลักวิชามีธรรมะแทรก
เขามาเปนคูเคียง เรียกวารักษาความปลอดภัย นําธรรมเขามาประจําใจแลว นําหลัก
วิชาที่เรียนมานี้ ไปปฏิบัติตอหนาที่การงานตามหลักวิชาของตน ดวยความสุจริต
ยุติธรรม นี้แลเปนผลประจักษในชาติไทยของเราจากผูมีธรรมในใจ
ผูมีธรรมในใจไปที่ไหนรมเย็น เปนที่ไววางใจได ยิ่งเปนวงราชการมีธรรมในใจ
เปนผูใหญเทาไรยิ่งถือธรรมเขมงวดกวดขันเหมือนสมภารวัด สมภารวัดตองเปนผูมี
ความเขมงวดกวดขันหนาที่การงานความประพฤติศีลธรรมทุกอยาง ผูนอย เชน พระ
เณรภายในวัดก็มีความเคารพยําเกรงไปเองและเชื่อถือ วงราชการก็เหมือนกัน ผูใหญ
เทาไรมีธรรมในใจแลวยิ่งเปนที่เคารพเลื่อมใส เปนที่กราบไหวบูชา รมเย็นเปนสุขตอพี่
นองชาวไทยของเราทั่วหนากัน นี่ศาสนาแทรกเขาตรงไหนทําคนใหมีคุณคาขึ้นมาโดย
ลําดับ
วันนี้ไดอธิบายถึงเรื่องการฟนฟูชาติไทยของเราดวยวิธีการที่กลาวนี้ โดยนํา
ศาสนาเปนหลักเปนแกนในหนาที่การงานจึงจะเหมาะสม เราอยาหางเหินจากศีลจาก
ธรรม อยาเห็นวาธรรมเปนของครึเปนของลาสมัย วิชาที่เราเรียนมาและความประพฤติ
ของเราที่เปนไปดวยความคึกคะนอง ทําความเสียหายแกตนและสวนรวมอยูเวลานี้ ถือ
วาเปนของทันสมัย ความทันสมัยประเภทนี้ เปนความทันสมัยเพื่อทําลายชาติบานเมือง
ของเรา หาคุณคาไมได จึงตองนําธรรมเขามาประกอบในงานและวิชาเหลานี้ เพื่อการ
ดําเนินหนาที่การงานเปนผลขึ้นมาเปนลําดับ เพราะฉะนั้นทางราชการนี้จึงเปน
จุดสําคัญ
การกลาวทั้งนี้นําศาสนามาประกาศใหพี่นองทั้งหลายทราบ หลวงตาบัวไมมี
อํานาจราชศักดิ์วาสนาแตอยางใด แตอาศัยธรรม คําวาธรรมนั้นหมายถึงโลกุตรธรรม
แปลวา ธรรมเหนือโลก เหนือตลอดเวลา เหนือทุกขั้นทุกภูมิของโลก จะเปนโลกไหนก็
ตามธรรมเหนือทั้งนั้น นําธรรมที่เหนือกวาโลกนั้นแลมาสั่งสอนพี่นองทั้งหลาย เพราะ
๗๒
ธรรมเหนือโลกเปนธรรมอัศจรรย โลกเปนโลกไมไดอัศจรรยอะไร เต็มไปดวยความโลภ
ความโกรธ ราคะตัณหาเต็มเนื้อเต็มตัว ฉุดลากคนที่หลงตามมันใหเสียผูเสียคน ไม
กําหนดชาติขั้นวรรณะใด วิชาความรูสูงต่ําไมกําหนด กิเลสครอบครองถืออํานาจเอาไป
เปนเครื่องมือไดอยางคลองตัวเหมือนกันหมด ถาไมมีธรรมเขากํากับแลวจะไมเกิด
ประโยชนอะไร
เพราะฉะนั้นจึงตองนําธรรมมาสั่งสอนพี่นองทั้งหลาย อยาลืมเนื้อลืมตัว ใหมี
ธรรมติดตัวเสมอ ธรรมคือความล้ําเลิศประเสริฐสุดภายในตัวของเรา การแสดงออกทุก
อยางถามีธรรมในใจแลวจะงามตา ฟงแลวเพราะหู ไมไดเปนเหมือนกิเลส ธรรมจึงเปน
ความจําเปนอยางยิ่งที่เราชาวพุทธทั้งหลายจะนํามาปฏิบัติ เฉพาะวงราชการงานเมือง
นั้นแหละ ควรจะนําธรรมเขามาใกลชิดติดพันเปนหลักใจ แลวจะเปนหลักของชาติ
บานเมืองสมวาเราเปนชาวพุทธ อยาเพียงแตถือวาชาวพุทธ ๆ ลม ๆ แลง ๆ ใชไมไดเลย
ตางคนตางประกาศตนวาเปนลูกชาวพุทธ ถือพุทธศาสนา แตความประพฤติ
หนาที่การงานนั้นเขากันกับศาสนาไมไดเลย มีแตความสกปรกโสมม ความเลวรายตาง
ๆ ซึ่งเปนการทําลายตนและสวนรวมไปเปนลําดับ นี่เพราะถือแตปากถือแตคําพูด ไม
เอาความจริงความจังเขาไปใส เราตองปฏิบัติหนาที่การงานของเรา ดวยความเปนผูมี
ศีลมีธรรมทุกคน บานเมืองของเราจะเจริญรุงเรือง นี่ละศาสนามานํานําอยางนี้ สอนพี่
นองทั้งหลายใหทราบเรื่องราวผิดถูกดีชั่วประการใด ขอไดนําธรรมซึ่งเปนความถูกตองดี
งามนี้ไปปฏิบัติตอตนเองและหนาที่การงาน
คูครองผัวเมียใหมีธรรมไปปฏิบัติ ถาไมมีธรรมไปปฏิบัติแลว แมแตผัวเมียก็
ทะเลาะกันไดวันยังค่ํา เราอยาวาเปนผัวเปนเมียของคนผูใหญผูนอย กิเลสตัวนี้มัน
เหนือทุกอยาง มันจับหัวชนกันใหทะเลาะกันได ผัวเมียลงรอยกันไมไดก็เพราะกิเลสตัว
คึกตัวคะนอง ตัวราคะตัณหานี้สําคัญมากทีเดียว คําวาราคะตัณหานี้มีอยูกับทุกคนไม
วาหญิงวาชาย แมแตสัตวเดรัจฉานเขาก็มี แตสัตวเดรัจฉานเขาไมมีธรรม ตามภาษี
ภาษาของเขา ไมมีใครถือสีถือสา
แตมนุษยเรานี้เฉพาะอยางยิ่งเปนชาวพุทธ ไมมีศีลมีธรรมติดเนื้อติดตัวเลย
ปลอยใหเพนพานเต็มตลาดลาดเล มีแตเรื่องกิเลสตัณหามีราคะตัณหาเปนสําคัญ ยิ่ง
ตางคนตางบํารุงบําเรอ ตางคนตางอุดหนุน ตางคนตางชมเชย ถาเปนราคะตัณหาแลว
๗๓
เปนบากันทั้งบานทั้งเมืองไมรูเนื้อรูตัว สุนัขเดือน ๙ เดือน ๑๒ ซึ่งเปนเวลาเขาคึกเขา
คะนอง สูมนุษยเราอันหาเวล่ําเวลานี้ไมได คึกคะนองตลอดเวลา
มีเมียแลวก็คึก มีผัวแลวก็คึกก็คะนอง เห็นหญิงหนึ่งผานมาตรงหนานี้ เมียจะ
หมดความหมายไปทันที แลวผูหญิงมองเห็นผูชายผานมาขางหนา ผัวจะหมด
ความหมายไปทันที มันคืบคลานไปหาหญิงกาฝากชายกาฝาก ชายเปนพิษหญิงเปนภัย
นั้นทันที ๆ นี้เปนนิสัยของกามกิเลสไมมีคําวาเพียงพอ ไดเทาไรไมเพียงพอ แลวก็สราง
ความยุงเหยิงวุนวาย สุดทายก็ไปติดพันกับผูหญิงกับผูชายที่ลับที่แจงเขามา เอาไฟมา
เผาครอบครัวของตน
ครอบครัวคือใคร คือผูชายก็เอาผูหญิงมาเผาเมียตนเองนั้นแหละ ผูหญิงก็ไปหา
ผูชายลึก ๆ ลับ ๆ มาเผาผัวตนเอง เอาไฟเผาหัวอกใหเปนฟนเปนไฟ พวกนี้พวกสราง
บาปสรางกรรมหนามากนะ สรางกรรมดวยการเอาฟนเอาไฟมาเผาไหมกัน ระหวางผัว
เมียซึ่งมีความจงรักภักดีความซื่อสัตยสุจริตตอกันนี้ใหแตกกระจายไปได ถากามกิเลส
มันลนฝงเมื่อไรแลว ผัวเมียอยูกันไมสนิท แตกกระจัดกระจายกันไดโดยไมตองสงสัย จึง
ตองมีธรรมเขากํากับ
นี่ละที่วาธรรม ๆ คือให อัปปจฉตา ใหมีผัวเดียวเมียเดียว นี้ธรรมทานยอมรับ
ธรรมทานสั่งสอนใหมีอยางนี้ สังคมผูดีก็ยอมรับ ใหปฏิบัติกันอยางนี้ อยามีแบบ
มหิจฉตา มีเทาไรไมพอ มีกี่รอยกี่พันผัวไมพอ มีกี่รอยกี่พันเมียไมพอ นี่เรียกวาความ
ปรารถนานรกอเวจีเผาบานเผาเมือง ลองตางฝายตางไมเชื่อพระพุทธเจาแลว ไปปฏิบัติ
ตามความคึกความคะนองของตนดูซี เมืองไทยของเรานี้จะจมไปไดอยางงายดาย
เพราะไฟกองนี้รุนแรงมากเผาไดหมด เพราะตางคนตางมีตางคนตางกอขึ้น ตางคนตาง
เผากัน โลกนี้แตกไดทันที
ทานจึงสอนใหมีธรรมเปนน้ําดับไฟ บังคับกํากับไวเสมอ อัปปจฉตา ใหมีเมีย
เดียวมีผัวเดียว อยาเปนน้ําลนฝง นี่จะเปนความสุขความสงบเย็นใจที่สุด จะเปนความ
อบอุน ฝากเปนฝากตายกันไดระหวางสามีภรรยา จะไมมีระแคะระคายสรางฟนสรางไฟ
เผากัน เพราะธรรมขอนี้บังคับไวใหอยูในความพอดี เรามีธรรมอยางนี้แลว ผัวก็สบาย
เมียก็สบาย ตางคนตางไววางใจกันได ฝากเปนฝากตายกันได ไมมีความระแคะระคาย
เพียงศีลขอเดียวนี้เทานั้น ก็ทําความอบอุนแกครอบครัวเหยาเรือนชาวพุทธเราครอบ
ประเทศไทยของเราได ตางคนตางมีผัวเดียวเมียเดียวเทานั้น อยาฟุงเฟอเหอเหิม
๗๔
อยาไปแยงวิชาหมามาใช หมาเขาไมมีกําหนดกฎเกณฑ มีผัวมีเมียกี่ตัวก็ได
อยางมากเขาก็ไลกัดไลฉีกกันไปเทานั้น แตมนุษยเรานี้มันรุนแรงเพราะฉลาด มันฆากัน
พินาศฉิบหายได ลองปลอยใหเมืองไทยของเรานี้เรียนวิชาหมา แซงวิชาหมาดวยอํานาจ
แหงราคะตัณหานี้ดูซิ เมืองไทยของเราจะแตกกระจัดกระจายไปหมด หมาจนหาที่พึ่ง
ไมได เจาของจมทะเลหมดเพราะเรียนวิชาหมาสูงยิ่งกวาหมาไปอีกมาใช เลยตกทะเล
กันหมดเพราะไฟกามมันเผา ดวยความไมมีธรรมในใจ
ทีนี้ตรงกันขามตางคนตางมีธรรมในใจแลว รูของเขาของเรา รูลูกเขาลูกเรา ผัว
เขาเมียเรา มีขอบมีเขตมีฝงมีฝา มีพอมีแม มีพี่มีนอง ตางคนตางรักษาในขอบเขตของ
ตนดวยความมีธรรมดวยกันแลว มองดูแลวงามตา นี่ละคนมีธรรมประพฤติตัวอยางนี้ก็
งามตางามใจ อยางอื่นเรานําธรรมมาปฏิบัติก็งามตางามใจเชนเดียวกัน ดังที่กลาว
มาแลวนี้ ธรรมจึงเปนความจําเปนมากที่ชาวพุทธของเราจะนําไปปฏิบัติ อยาเห็นวาเปน
ของครึของลาสมัย ดวยอํานาจของกิเลสมันเหยียบย่ําทําลาย
เวลานี้กิเลสความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี ราคะตัณหาก็ดี กําลังสั่งสมกําลังและ
กําลังฟนฟูตัวเอง ยกยองตัวเองขึ้นมาเผาหัวใจมนุษย ใหมนุษยตื่นเตนหลงกลตามมัน
เห็นวามันเปนของวิเศษเลิศเลอ ธรรมเลยกลายเปนขี้หมูราขี้หมาแหงไปแลว ปลอยให
อันนี้ออกทํางานเพนพานเต็มบานเต็มเมือง เพราะฉะนั้นโลกจึงมีแตความรุมรอนหา
ความสงบรมเย็นไมมี เพราะไมมีน้ําดับไฟคือธรรมในใจ ถามีน้ําดับไฟคือธรรมในใจแลว
ตองสงบรมเย็นทั่วหนากัน ขอใหพี่นองทั้งหลายไดยึดหลักธรรมนี้ไวเปนหลักใจ
เฉพาะอยางยิ่งที่เราจะปฏิบัติใหเปนฝงเปนฝาเปนหลักเปนเกณฑประจํา สมกับ
เราเปนลูกชาวพุทธจริง ๆ แลว ขอใหนึกพุทโธ ธัมโม สังโฆ ฝากเปนฝากตายกับธรรม
เหลานี้ การประพฤติหนาที่การงานตาง ๆ ขอใหคํานึงถึงความผิดถูกชั่วดี โดยถือ
พระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ เปนเครื่องรับรองความบริสุทธิ์ของเรา เราจะชุมเย็น
เปนสุขภายในใจ
ภายนอกเราก็ไดอาศัย เชน ตึกรามบานชองหรือบานเรือนเราก็มี เงินทองขาว
ของมากนอยเราก็มี สมบัติบริวารตาง ๆ เราก็มี นั้นเปนเครื่องอาศัยที่อยูรวมกันในเวลา
มีชีวิตอยู พอสิ้นชีวิตไปแลวสิ่งเหลานี้ก็เปนโมฆะไปหมด พังไปพรอมกับรางกายของเรา
หมดความหมาย คือตายไป แตสวนคุณธรรมไดแกความดีที่เราสั่งสมอบรมฝงใจของเรา
เปนลําดับ นับแตพุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ ฝงไวในใจเปนลําดับ ตายแลวธรรมเหลานี้
๗๕
แลจะเปนเครื่องยึดเหนี่ยว เปนเครื่องเกาะที่พึ่งอาศัยของใจ และไปทางที่ดีเสมอ นี่
เรียกวาเรามีหลักใจสมกับนามวาเราเปนชาวพุทธ ขออยาปลอยวางธรรมเหลานี้ ให
ระลึกอยูในตัวเสมอ
สติธรรมมีความระลึกรูตัวอยูเสมอ อยาลืมตัวงาย ๆ ปญญาพินิจพิจารณาความ
เคลื่อนไหวไปมา และการกระทําของเราผิดถูกดีชั่วประการใด ใหมีสติระลึกรูและพินิจ
พิจารณา อยาปลอยตามความอยากความทะเยอทะยานซึ่งหาสติไมไดเลย มีแตความ
เหลวแหลกแหวกแนวไปถายเดียว คนไมมีธรรมเปนหลักใจเปนอยางนั้น เราขอใหมี
ธรรมเปนหลักใจยึดไวเปนหลักเปนฐาน พุทโธ ธัมโม สังโฆ นี้คือหลักอันเลิศเลอของใจ
ธรรมทั้งหมดรวมลงอยูกับคําวาพุทโธ ธัมโม สังโฆ ใหยึดนี้เปนหลักเอาไวภายใน
ใจของเรา เราจะมีที่พึ่งมีที่เกาะมีที่อาศัยพึ่งเปนพึ่งตายได เวลาตายไปแลวเรามีธรรม
เปนเครื่องยึด ธรรมจะพาไปสูสถานที่ดีคติที่เหมาะสมเปนลําดับลําดาไป จะไมตาย
เปลา ตายไมมีหลักมีเกณฑเรียกวาตายเปลา เปนโมฆบุรุษโมฆสตรี เราอยาใหเปน
อยางนั้น ใหมีหลักมีเกณฑในอรรถในธรรม เอาธรรมมาเปนหลักเปนเกณฑยึดไวกับ
จิตใจของเรา
การใหทานเปนพื้นฐานแหงชาวพุทธเรา นี่ก็เคยเปนมาประจํานิสัยของชาวพุทธ
เราอยูแลวทั่วประเทศไทย จึงไมมีที่ตองติอันใดสําหรับการเสียสละการใหทาน มีเปน
ประจําและมีอยูทุกภาคในเมืองไทยของเรา แตศีลนี้รูสึกจะไมคอยมี ไมทราบวาศีลเปน
ยังไง แตเวลาทําบุญใหทานแลวเอะอะก็ มยํ ภนฺเต มยํ ภนฺเต ขอศีล ๆ รับไปแลวก็ไม
รักษา เลยกลายเปนรักษาสูญไปไมไดรักษาศีล เพราะฉะนั้นไปในที่ตาง ๆ เวลาเขามา
อาราธนาขอศีล มยํ ภนฺเต เราจึงไมคอยใหศีลเขา เตือนแลวก็ผานไปเลยไมให เพราะ
รับไปแลวก็มีแตลมปากไมสนใจปฏิบัติตัวเอง ศีลเหมือนเปนของไมจําเปนยิ่งกวาความ
หลวมตัว ความไมมีหลักใจเห็นเปนของสําคัญยิ่งกวาหลักใจคือศีลธรรมไปเสีย เวลานี้
เรียกวาชาวพุทธเราขาดหลักใจมาก ควรใหมีศีลประจําตัวบาง
เฉพาะอยางยิ่งศีลที่มีเรื่องเกี่ยวของกับเราตลอดเวลา คละเคลากันอยูเสมอมา
นั้น คือศีลขอที่สาม กาเมสุ มิจฉาจาร ใหมีหลักมีเกณฑมีขอบังคับบีบมันไวเสมออยา
ใหเปนน้ําลนฝง ไปหาสิ่งไมดีคือยาพิษ เอามาเผาบานเผาเรือนเผาผัวเผาเมีย เผาลูก
เผาหลานใหแตกกระจัดกระจายเปนไฟไปดวยกัน อยางนี้ไมสมควร ตองนําศีลขอนี้มา
บังคับเอาไวใหดี นี่เราไมไดมากขอใหไดศีลขอนี้
๗๖
ศีลขอนี้รุนแรงมาก ผาดโผนโจนทะยานมาก คือศีลขอที่สามไดแกราคะตัณหา
ไมมีฝงมีแดนถาไมมีธรรมเขาไปบังคับเอาไว มันจะตองเตลิดเปดเปงตลอดเวลา มัน
ไมไดเกี่ยวกับวาชั้นนั้นวรรณะนี้ ความรูสูงต่ําประการใด ธรรมชาตินี้เขาไดหมด ผูหญิง
มองเห็นผูชายพันกันแลว ๆ ภายในใจ ผูชายมองเห็นผูหญิงซึมซาบเขาถึงกันแลวภายใน
ใจ ไมไดกลัวกัน หญิงไมไดกลัวชาย ชายไมไดกลัวหญิง เพราะมีธรรมอันกลาหาญ
ดูดดื่มภายในใจดวยกันทั้งสองคน แลวจะไปกลัวกันหาอะไร
ผูหญิงก็ไมกลัวผูชาย ผูชายไมกลัวผูหญิง เพราะเปนเครื่องสัมผัสสัมพันธกัน
เหมือนกับไฟตัวผูตัวเมียมันดูดดื่มกันไดอยางงายดาย โดยไมตองคํานึงถึงชาติชั้น
วรรณะฐานะสูงต่ําประการใด จึงตองเอาศีลเขาไปบังคับเอาไว ฐานะสูงต่ําประการใดไม
สําคัญ สําคัญใหอยูในขอบเขตแหงศีลขอนี้ เมื่อศีลขอนี้เขาประสานในจิตใจของทุกคน
ๆ แลวโลกเราก็มีความสงบรมเย็นมากโดยทั่วกัน ไมไดมากขอใหไดศีลขอที่สามนี้ ขอที่สี่
ที่หาเราก็ไมไดกลาวถึงมากมายก็พอจะทราบกันบางแลว
จากนั้นเปนขั้นที่สามเปนขั้นสําคัญ ขั้นที่จําเปนที่สุดคือหลักใจ ขอใหมีจิตต
ภาวนาภายในใจของเรา เราเคยไหวพระไหมเราเปนลูกชาวพุทธ มิหนําซ้ําอยางวง
ราชการงานเมืองตั้งแตกอน มีแตลูกศิษยพระทั้งนั้น ออกจากวัดไปเรียนหนังสือเปนลูก
ศิษยพระ ๆ ครั้นเวลาไปเรียนหนังสือมาแลว อิติปโส ภควา นี้มันขี้เกียจนะลูกศิษยพระ
ไปอยูในวงราชการงานเมืองตาง ๆ ก็ขี้เกียจ นี่ตองมี จะไมมียังไง พระเปนพอเปนแม ทั้ง
พอแมของเด็ก ทั้งเด็กฝากไวเปนลูกของพระทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเด็กครั้งกอน ๆ แมทุก
วันนี้ก็ยังเต็มวัดเต็มวา มีแตลูกศิษยพระทั้งนั้นไปเรียนหนังสือ ครั้นเรียนมาแลวไมได
เห็นคุณของวัดของวาของพระเจาพระสงฆ ของครูของอาจารย ยิ่งกวาความลืมเนื้อลืม
ตัวทะเยอทะยาน เยอหยิ่งจองหอง ไมมีธรรมติดตัวเลย นี่เสียตรงนี้สมัยปจจุบันเรา
เรียนมากก็ไปเรียนเรื่องสกปรก เปนเรื่องของกิเลสไปหมด ไมมีธรรมเขาชะเขา
ลางสมชื่อสมนามวาเราเปนลูกศิษยพระ วงราชการตาง ๆ นับไดแนนอนเลยวา
สวนมากมีแตลูกศิษยพระทั้งนั้นไปเปนเจาเปนนายอยูในโรงในศาล จนกระทั่งถึง
นายกฯ ก็มีเปนลูกของพระ นายกมันยกไหเหลาไปอยางนั้นซีไมไดยกศีลยกธรรม มันยก
เหลายกยศถาบรรดาศักดิ์ชื่อเสียงเรืองนามตาง ๆ วาเปนของดิบของดี เลยลืมศีลธรรม
ลืมวาเปนลูกพระไปเสียมันถึงไดเลอะ ๆ เทอะ ๆ เวลานี้ เรียนมากเทาไรหาสาระไมได
เพราะไมมีธรรมเขากํากับ เราจึงตองใหตั้งใจปฏิบัติหนาที่การงานทุกอยาง ดวยความมี
๗๗
ศีลธรรมเขาเกี่ยวเนื่องหรือบังคับบัญชาอยูเสมอ นี่สมชื่อวาเราเปนชาวพุทธ เราเปนลูก
พระในวัดในวา
จากนั้นอยาไดลืมพุทโธ ธัมโม สังโฆ เวลาจะหลับจะนอน เวลานั้นไมมีงานอื่นใด
เขามายุงเหยิง เปนเวลาจะนอนถายเดียว ใหเราถือโอกาสเวลานั้นไหวพระก็ใหจบ อรหํ
สมฺมาสมฺพุทฺโธ สฺวากฺขาโต สุปฏิปนฺโน ไหวใหจบ จบเสร็จเรียบรอยใหภาวนา เอา
พุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ ในธรรมบทใดก็ตามที่เหมาะสมกับจิตใจของเรา เราถนัดใน
ธรรมบทใดแลวนําธรรมบทนั้นมาบริกรรม เราจะนั่งพับเพียบก็ได นั่งขัดสมาธิก็ได จะนั่ง
ที่ไหนก็ได
แตวานั่งเกาอี้นั้นเราไมคอยสนิทใจ พวกนี้พวกลืมตัว ครั้นนั่งเกาอี้แลวเถอมอง
ไปทางอื่นเสีย ลืมเนื้อลืมตัวพุทโธจึงหายเงียบ เราจึงไมสอนวาใหนั่งเกาอี้ภาวนาก็ได
แตใครจะนั่งเราก็ไมวา ถาจะดื้อก็ดื้อไปอยางนั้นเพราะมันเคยดื้อแลวมนุษยเรา ใหนั่ง
พับเพียบก็ได นั่งขัดสมาธิก็ได เวลาเรานอนก็ใหนึกพุทโธ ๆ อยูกับใจ เวลานั่งก็ใหนึกพุท
โธ หรือธัมโม หรือสังโฆ อยูที่ใจ มีสติกํากับไวเสมออยาลืมตัวในเวลานั้น เชน นึกพุทโธ
ๆ ก็ใหมีแตคําวาพุทโธคําเดียวกับสติที่รูกันอยูกับคําบริกรรมเทานั้น ประหนึ่งวาโลก
สงสารนี้ไมมี มีแตพุทโธหรือธัมโมภายในใจดวยสตินี้เทานั้น นี่ใหนั่งภาวนา เรียกวา
สรางหลักใจใหตัวของเราสมเราเปนชาวพุทธ
เราขาดที่พึ่งมากที่สุดนะ ชาวพุทธของเรารูสึกวาหาหลักเกณฑทางดานจิตใจ
ไมไดเลย มีแตควาน้ําเหลว ๆ อันนั้นก็ดี อันนี้ก็ดี เวลานี้คนเราไปดีอยูกับสิ่งภายนอกนะ
ไมไดมาดีอยูกับตัวเอง อันนั้นดี เงินก็ดีทองก็ดี ขาวของตาง ๆ ดี ยศถาบรรดาศักดิ์ดี ตั้ง
ชื่อตั้งเสียงกันก็ตั้งฟากจรวดดาวเทียมแตคนเลวยิ่งกวาหมา นี่ไมสนใจจะมาแกไขตัวซึ่ง
เลวภายในใจของเรานี้ แลวก็ไปเอาดีจากภายนอก จากชื่อจากเสียง เปนนั้นเปนนี้ ดีอยู
กับนอก ๆ ตัวเราเลวขนาดไหนไมดู เพราะฉะนั้นความรอนจึงไมปราศจากใจ จากคนเรา
ที่ไมสรางตัวใหดีในกิจที่ควรสราง คือสรางใจใหดี
ใหมีพุทโธ ๆ อยูภายในตัว จิตใจจะสงบเย็น เวลาเรานั่งภาวนาดวยความมีสติ นี่
เรียกวาสรางหลักฐานใหใจ เพราะใจนี้ไมเคยตายมาแตกัปใดกาลใดก็ตาม เกิดภพนี้ไป
ภพนั้น จากภพนั้นไปภพนี้ตลอดมาอยางนี้กี่กัปกี่กัลป ในบุคคลและสัตวแตละราย ๆ
การเกิดตายสับสนปนเปมากที่สุด ไมมีใครแขงกันได คือเรื่องการเกิดตายของสัตวโลก
เนื่องจากใจไมเคยตาย ทั้ง ๆ ที่กิเลสมันหลอกวาตายแลวสูญ ๆ นั้นคือความหลอกลวง
๗๘
ของกิเลส เฉพาะอยางยิ่งชาวพุทธเราลืมเนื้อลืมตัว เลยกลาหาญตอการทําบาป ไม
สนใจตอการทําบุญใหทาน เพราะเห็นวาตายแลวสูญ ๆ ยิ่งเหมาแตความชั่วชาลามก
เต็มหัวใจ เวลาตายแลวไปลงนรก สูญหรือไมสูญนรกนั่นนะ จะเกงกวาพระพุทธเจาหรือ
พระพุทธเจาทุก ๆ พระองคสอนเปนเสียงเดียวกันหมดวา บาปมี บุญมี นรกมี
สวรรคมี พรหมโลกมี นิพพานมี เทวบุตรเทวดา อินทร พรหม มี เปรตผีประเภทตาง ๆ
นับประมาณไมไดเลยมีเต็มโลกธาตุ นี่คือพระพุทธเจาทุก ๆ พระองคสอนไวทั้งนั้น
เฉพาะอยางยิ่งพระพุทธเจาองคปจจุบันของเรา ก็ทรงชี้แจงแสดงไวหมดทุกอยางวามี ๆ
ทั้งนั้น เพราะทานทรงรูทรงเห็นทุกอยางแลว นําสิ่งที่มีมาสอนพวกเรา
แตพวกเราชาวพุทธก็เลยกลายเปนชาวผีไปตามกิเลสเสีย ลบลางวาบาปไมมี
บุญไมมี นรกไมมีสวรรคไมมี ตลอดนิพพานไมมี สัตว เทวบุตรเทวดา อินทร พรหม
ทั้งหลายไมมี ๆ มีแตเราตัวกําลังโลภ ตัวกําลังโกรธ ตัวกําลังทวมทนอยูดวยราคะตัณหา
ตัวเปนไฟเผาตัว ๆ อยูในหัวใจ มีเทานี้เวลานี้
ดูเอาซิในหัวใจของใครมีไหมสิ่งเหลานี้ วาบาป บุญ นรก สวรรคไมมี แลวไฟเผา
หัวใจเราอยูเวลานี้มีไหม เราอยาเอาชั้นวรรณะฐานะสูงต่ําความรูวิชาใด ๆ มารับรองมา
ยืนยัน ไมไดผลทั้งนั้น ตองเอาสติปญญาหยั่งเขาดูมัน มันรอนไหม มันทุกขไหม เมื่อเปน
เชนนั้นจึงตองภาวนา เอาสติปญญาหยั่งเขาสูจุดที่เปนไฟคือใจดวงนี้ ใหไฟดับลงไป
ดวยพุทโธ ดวยธัมโม ดวยสังโฆ แลวจิตจะสงบเย็นลงไปเห็นประจักษ นี่ละความสุขที่
เราหาทั่วดินแดน เวลารวมแลวจะมาอยูที่จุดเปนความสงบเพราะการภาวนา ไมได
ความสุขจากสิ่งนั้นสิ่งนี้ที่ควาน้ําเหลวกันทั่วดินแดนนะ แตจะไดความสุขความสงบเย็น
ใจ ไดหลักไดเกณฑจากการภาวนา
เมื่อจิตสงบแลวจะเย็น ปลอยวางหมด โลกธาตุนี้เหมือนไมมี เหลือแตความรู
เดนอยูดวงเดียวและอัศจรรยลนพน แปลกประหลาดสุดยอดคือใจที่สงบตัวเขามา
ปลอยวางเรื่องสิ่งสกปรกโลกามิสทั้งหลายนั้นออกไดเปนลําดับเขาสูความสงบ เพราะ
อํานาจแหง พุทโธ ดึงดูดเขามา เพราะอํานาจแหงพุทโธบังคับจิตดวงนี้ ไมใหไปสายแส
กับฟนกับไฟสิ่งสกปรกทั้งหลายเหลานั้น ใหอยูกับพุทโธ ๆ คําเดียวนี้ ใจจะมีความสงบ
เย็น นี่ละศาสนาทานสอนอยางนี้
แตเราไมไดสนใจกับพุทธนั่นซิ มีแตลมปาก เอาพุทธเขามาสูหัวใจเราจริง ๆ ดู
เปนยังไง พระพุทธเจาโกหกโลกจริง ๆ เหรอ พอจิตสงบเย็นเขาไปแลวจะสองแสงสวาง
๗๙
กระจางออกไปโดยลําดับ เพราะอํานาจแหงความสงบมีกําลังขึ้นโดยลําดับ จากนั้นก็
กระจายออกทางดานปญญาซานไปหมด ๆ ความสุขความแปลกประหลาดอัศจรรย จะ
ปรากฏขึ้นที่จิตนี้โดยลําดับลําดา ๆ มันจะปลอยวางความยุงเหยิงวุนวายลม ๆ แลง ๆ
นั้นออกเปนลําดับ ๆ แลวจิตจะสงางามขึ้นภายในหัวใจของเรา
นี่เรียกวาศาสนาเจริญ เจริญที่หัวใจของชาวพุทธเรา ความรมเย็นเปนสุขจะ
เจริญขึ้นที่หัวใจของชาวพุทธเรา ความเดือดรอนวุนวายที่เคยเผาหัวใจมามากนอยนั้น
จะจางหายไป ๆ แมจะอยูกระตอบดวยความจนจนก็ตาม แตหัวใจไมจนดวยธรรม มีที่
พึ่งมีหลักเกณฑแลว เปนเศรษฐีไมเปนเศรษฐีก็ตามขอใหมีธรรมในใจ จะเปนความสงา
งามชนะสิ่งภายนอกทั้งหมด ที่เราสําคัญมั่นหมายวาสิ่งนั้นดีสิ่งนี้ดี จะไมมีอะไรดียิ่งกวา
ใจที่สงบเย็นดวยธรรมนี้เลย ขอใหพี่นองทั้งหลายยึดหลักใจนี้ไวใหมากนะ
เวลานี้ชาวพุทธเรารูสึกวาเหลวไหลมากในทางดานจิตใจ ธรรมกับใจไมคอยมี มี
แตไขวควาลม ๆ แลง ๆ เวลาผลไดมานี้ไปหาความสุขตั้งแตตื่นนอน กลับมาถึงบานได
แตความทุกขความทรมานความหมดหวังมาเต็มหัวใจ เผาจนกระทั่งหลับ บางรายนอน
ไมหลับก็มี ทั้ง ๆ ที่ไปหาความสุขแตไดมาแตความทุกข เพราะหาตามอํานาจของกิเลส
ไมไดหาตามอํานาจของธรรม ถาหาตามอํานาจของธรรมแลวเราจะเย็นดังที่วานี้ นี่
พื้นฐานแหงเรือนใจ พื้นฐานแหงหลักใจอยูที่นี่
ยิ่งเราสรางขึ้นมากเทาไร ๆ เชนอยางทานนักภาวนากรรมฐาน ทานภาวนาชําระ
จิตใจของทาน ชําระสิ่งมัวหมองมืดตื้อคือกิเลสที่กอฟนกอไฟภายในใจนี้ออกเปนลําดับ
ๆ จิตของทานมีความสวางกระจางแจงเปนลําดับ อยูที่ไหนทานสบาย สุดทายฟาดกิเลส
แหลกแตกกระจายออกไปจากหัวใจ ครองบรมสุขวิมุตติหลุดพนขึ้นที่ใจแลว นั้นแลคือผู
เลิศเลอ นั้นแลคือผูถือศาสนาไดผลประจักษใจ ไมตองไปถามใครเลย นี้คือหลักใจ
สมกับนามวาใจไมตาย เมื่อไดรับการเหลียวแลการรักษาดวยดี ดวยจิตตภาวนา
และคุณงามความดีประเภทตาง ๆ รวมตัวเขาแลว จะเปนเครื่องสนับสนุนจิตใจของเรา
ใหมีหลักมีเกณฑ จนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทางถึงความพนทุกขได เพราะการอบรม
จิตใจใหมีหลักมีเกณฑ จึงขอใหพี่นองทั้งหลายไดนําธรรมะนี้ไปปฏิบัติ
ไดเทศนใหฟงทั้งดานวัตถุ การชวยชาติบานเมือง ทั้งดานธรรมะเขาสูจิตใจ อัน
เปนรากฐานสําคัญที่จะอุมชาติบานเมืองของเราได ดวยความมีกําลังใจโดยธรรม ธรรม
มีกําลังภายในใจแลวสามารถที่จะยกบานเมืองของเราได การประหยัดการมัธยัสถทุก
๘๐
สิ่งทุกอยาง เมื่อธรรมเขาถึงใจแลวเราทําไดอยางงายดาย ปรับปรุงแกไขตัวเองไดอยาง
งายดาย ถาไมมีธรรมแลวสอนก็เปนลมปากไปอยางนั้นแหละ ผูฟงก็ฟงลม ๆ แลง ๆ ไม
เกิดประโยชนอะไร สุดทายบานเมืองของเราก็เปนมาอยางที่เปนมานี้แล จะหาดีกวานี้
ขึ้นไมไดถาธรรมไมถึงใจพวกเรา พอรูเนื้อรูตัวแลวแกไขตัวเองทันที ปรับปรุงทุกสิ่งทุก
อยาง บานเมืองของเราจะเจริญรุงเรืองขึ้นเปนลําดับ
นี่ไดแสดงใหพี่นองทั้งหลายฟงทั้งสองประเภท คือวัตถุที่จะชวยหนุนชาติของเรา
ในทางปลายเหตุ และธรรมเขาสูใจเพื่อเปนกําลังใจ รูจักวิธีปฏิบัติหลบหลีกปลีกความ
ไมดีทั้งหลาย นําแตความดีเขาสูใจ แลวปฏิบัติหนาที่การงานดวยความถูกตองดีงาม
การอยูการกินการใชการสอยรูจักประมาณเองคนเราเมื่อมีธรรมในใจแลว จากนั้นก็เปน
การบํารุงชาติไทยของเราโดยตรง นี้คือการบํารุงอุมชูชาติไทยของเราโดยทางตรงไมใช
ทางออม โดยตนเหตุไมใชปลายเหตุ ใหพี่นองทั้งหลายไดพากันตั้งใจปฏิบัติ ปรับปรุง
แกไขตนเองเพื่อชาติบานเมืองของเราดวย ปรับปรุงตัวเองเพื่อจิตใจของเราจะมีหลักยึด
มีพุทโธ ธัมโม มีธรรมเปนหลักยึดของใจดวย จะสมชื่อสมนามวาเราเปนชาวพุทธ แลว
เราก็ชุมเย็น
วันนี้ไดมาแสดงธรรมแกพี่นองทั้งหลายดวยความหวงใย จึงไดอุตสาหพยายาม
ตะเกียกตะกายมาอยางนั้น เทศนก็หลงหนาหลงหลังเวลานี้ไมเหมือนแตกอน หากจะ
ขาดถอยขาดความเนื้ออรรถเนื้อธรรมประการใดก็ขออภัยดวย เพราะความจํานี้หลงลืม
มากไมเหมือนแตกอน เทศนไปหลงลืมไป ๆ และวกหนาเวียนหลังอยูอยางนี้แหละ
เพราะคนแกขึ้นเทศน นี่อายุก็ได ๘๕ ปกับ ๑๐ เดือนนี้แลว เราเห็นที่ไหนมาขึ้น
ธรรมาสนรองโกก ๆ ทั้ง ๆ ที่อายุ ๘๕ ป ๑๐ เดือน องคไหนทานไมไดมา ก็มีหลวงตาบัว
องคเดียวเทานี้แหละมารองโกก ๆ อยูนี้นะ ก็เพราะความหวงใยชาติไทยของเรานั่นเอง
โดยลําพังเราแลวเราไมมีอะไร เราสบายทุกอยาง แตเพราะความเปนหวงชาติ
ไทยของเรา จึงไดตะเกียกตะกายมาอยางนี้ จึงขอใหพี่นองทั้งหลายไดเห็นใจ และตั้ง
หนาตั้งตารูโทษของเรา ที่บกพรองตรงไหนแลวแกไขดัดแปลงตนเอง ตั้งแตสวนยอยถึง
สวนใหญใหตางคนตางปรับปรุงแกไข ดวยน้ําใจของเราที่มีธรรมในใจ แลวบานเมือง
ของเราและตัวของเราเอง ก็จะมีความเจริญรุงเรืองไปโดยลําดับ
การแสดงธรรมก็เห็นวาสมควรแกเวลา ขอความสวัสดีจงมีแกบรรดาพี่นอง
ทั้งหลายโดยทั่วกัน โดยมีทานผูวาราชการจังหวัดและทางฝายตํารวจ รองผูวาราชการ
๘๑
จังหวัด จนกระทั่งถึงเจาหนาที่ หนวยงานตาง ๆ พรอมกับประชาชนทั้งหลายที่มีความ
รักชาติ และตางคนตางเสียสละพรอมหนาพรอมตากันไดมารวมกันในสถานที่นี่ เปนผล
แหงการบริจาคเพื่อชาติไทยของเรา ก็เห็นวาสมควรแกเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก
บรรดาพี่นองทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ

***********

You might also like