Professional Documents
Culture Documents
คู่มือโปรแกรม Scan tool 3
คู่มือโปรแกรม Scan tool 3
สารบัญ
หน้า
บทที่ 1
การติดตั้งโปรแกรม Microsoft SQL Server 2005
ดับเบิ้ลคลิก
ดับเบิ้ลคลิก
ภาพที่ 1.3
คลิกเลือก
ภาพที่ 1.4
3
จากภาพที่ 1.5 รอ
โปรแกรมติดตั้งจน
เสร็จก่อนแล้วให้คลิก
ที่ปุ่ม Next ไปเรื่อยๆ
เมื่อคลิกที่ปุ่ม Next
แล้วจะมีแถบสีเขียว
วิ่งรอสักครู่จะปรากฏ
หน้าจอ ดังภาพที่
1.8
จากภาพที่ 1.9
เมื่อคลิกที่ปุ่ม คลิกเลือก
Next แล้ว
คลิกเลือก
จะปรากฎ
ให้เครื่องหมายถูกหายไป
หน้าต่าง
ดังภาพที่ 1.10
เมื่อทาการติดตั้งโปรแกรมฐานข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะต้องทาการแนบฐานข้อมูลของ
โปรแกรม Scan tool3 ซึ่งมีวิธีการดังนี้
1. Copy Databases ทั้ง 2 ตัว ที่อยู่ในแฟ้มข้อมูล Data (ในแผ่น CD)
เลือก Drive C: แฟ้มข้อมูล Program file หรือ Program file (x86) เลือกแฟ้มข้อมูล Microsoft
SQL Server เลือกแฟ้มข้อมูล MSSQL MSSQL Data แล้ววาง ไว้ใน
แฟ้มข้อมูลนี้
2. คลิกที่ Start คลิกเลือกโปรแกรม Microsoft SQL Server 2005 แล้วคลิกเลือก
ดังภาพที่ 1.22
ภาพที่ 1.22
จากนั้นจะปรากฏหน้าต่างของโปรแกรม SQL Server 2005 ขึ้นมา ให้คลิกปุ่ม Connect เพื่อเข้าสู่
โปรแกรม Microsoft SQL Server 2005 ดังภาพที่ 1.23
ภาพที่ 1.23
7
ภาพที่ 1.24
ภาพที่ 1.25
1. เลือก student_watch_db.mdf
ภาพที่ 1.26
การแนบฐานข้อมูลเป็นอันเสร็จเรียบร้อย
1. เลือก all programs แล้วคลิกเลือก Microsoft sql server 2005 ตามภาพที่ 1.27
ภาพที่ 1.27
2. เลือก configuration tools เลือก sql server surface area configuration ดังภาพที่ 1.28
ภาพที่ 1.28
10
ภาพที่ 1.29
ภาพที่ 1.30
11
บทที่ 2
โปรแกรม Scan tool 3
ภาพที่ 2.1
เป็นตัวที่ใช้ในการติดตั้ง
โปรแกรม Scan tool3
ภาพที่ 2.2
13
ใช้สาหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีระบบปฎิบัติการ 64 บิต
เพราะฉะนั้นจะต้องตรวจดูก่อนว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ที่จะทาการติดตั้งโปรแกรมนั้นใช้
ระบบปฏิบัติการ แบบ 32 บิต หรือ แบบ 64 บิต ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1. คลิกเมาส์ขวามือที่ไอคอน My computer บนหน้าจอ
2. เลือก Properties ดังภาพที่ 2.3
คลิกเลือก
ภาพที่ 1
ภาพที่ 2.3
ดูระบบปฏิบัติการ
ของเครื่องว่าใช้ 32 bit
หรือ 64 bit
ภาพที่ 2.4
14
เมื่อเรารู้แล้วว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราใช้ระบบปฎิบัติการแบบใด เราก็สามารถเลือกตัวติดตั้งที่
ตรงกับระบบปฎิบัติการของเครื่องคอมพิวเตอร์ได้เลยเพื่อทาการติดตั้งโปรแกรม Scan tool 3 โดยดับเบิ้ล
คลิกที่ หรือ (ขึ้นอยู่กับระบบปฏิบัติการของเครื่อง
คอมพิวเตอร์) ดังภาพที่ 2.5
ดับเบิ้ลคลิกเพื่อติดตั้ง
โปรแกรม(เลือกให้ตรง
กับระบบปฎิบัติการของ
เครื่องคอมพิวเตอร์
ภาพที่ 2.5
ภาพที่ 2.6 คลิก Next ภาพที่ 2.7 เลือก I Agree แล้วคลิก Next
15
ภาพที่ 2.8 คลิก Next ภาพที่ 2.9 เลือก Everyone คลิก Next
ภาพที่ 2.13
รอสักครู่จะมีหน้าต่างดังภาพที่ 2.14 ขึ้นมา
บทที่ 3
วิธีการใช้โปรแกรม
เมื่อได้ทาการลงระบบของโปรแกรมในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรียบร้อยแล้ว สามารถเข้าสู่โปรแกรม
ได้โดยดับเบิลคลิกเมาส์ไอคอนที่ชื่อ Scan tool 3 บนหน้าจอของเครื่องคอมพิวเตอร์ ดังภาพที่ 3.1
ภาพที่ 3.1
ภาพที่ 3.2
18
ภาพที่ 3.3
ซึ่งแต่ละเมนูจะมีเมนูย่อย และทาหน้าที่ดังนี้
1. เมนูฐานข้อมูล ใช้สาหรับการสร้างฐานข้อมูลเบื้องต้นให้กับโปรแกรม ซึ่งประกอบไป
ด้วยเมนูย่อย 2 เมนู ดังภาพที่ 3.4
ภาพที่ 3.4
1.1 ข้อมูลโรงเรียน ใช้สาหรับการบันทึกหรือลงทะเบียนรายละเอียดของโรงเรียน
เมื่อต้องการจะสร้างฐานข้อมูลโรงเรียนให้ท่านปฏิบัติดังนี้
เลือกเมนู ฐานข้อมูล จะปรากฏเมนูย่อยขึ้นมาแล้วเลือก เมนูข้อมูลโรงเรียน ดังภาพที่ 3.5
ภาพที่ 3.5
ภาพที่ 3.6
เมื่อปรากฏหน้าต่างของเมนูข้อมูลโรงเรียนขึ้นมาแล้ว ท่านสามารถสร้างฐานข้อมูลโรงเรียนของท่านได้เลย
โดยคลิกเลือก ปุ่ม เพิ่มใหม่ ดังรูปด้านบน เมื่อคลิกแล้วจะปรากฏหน้าต่างขึ้นมาเพื่อท่านใส่รายละเอียดของ
โรงเรียน ดังภาพที่ 3.7
ภาพที่ 3.7
ภาพที่ 3.8
ภาพที่ 3.9
หากต้องการจะเข้าไปแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อมูลของโรงเรียน ให้คลิกที่ปุ่ม แก้ไข ดังภาพที่ 3.10
หลังจากนั้นจะปรากฏหน้าต่างให้ใส่รายละเอียดของโรงเรียนขึ้นมาท่านสามารถเพิ่มเติมหรือแก้ไขข้อมูลได้
เลย
ภาพที่ 3.10
ภาพที่ 3.11
จากนั้นจะปรากฏหน้าต่างของส่วนข้อมูลนักเรียนขึ้นมา ดังภาพที่ 3.12
ภาพที่ 3.12
รูปที่ 3.13
ภาพที่ 3.14
เมื่อต้องการที่จะกรอกข้อมูลนักเรียนเป็นรายบุคคลลงในโปรแกรมให้ใช้เมาส์คลิกที่ช่องว่างสีขาว
แล้วพิมพ์ข้อมูลเข้าไปได้เลย เมื่อกรอกข้อมูลเสร็จแล้วให้ท่านคลิกที่ปุ่ม บันทึก เพื่อทาการบันทึกข้อมูล
เมื่อทาการบันทึกข้อมูลนักเรียนแล้ว จะปรากฏหน้าต่างดังภาพที่ 3.15
23
รูปที่ 3.15
ซึ่งจะปรากฏรายชื่อนักเรียนที่เราได้กรอกข้อมูลเรียบร้อยแล้ว
การเพิ่มข้อมูลนักเรียน
การแก้ไขข้อมูลนักเรียน
ถ้าหากท่านต้องการที่จะแก้ไขข้อมูลนักเรียนของท่าน มีขั้นตอนดังนี้
1. เข้าสู่เมนูข้อมูลนักเรียน แล้วคลิกปุ่ม แก้ไข หลังชื่อนักเรียนที่ต้องการแก้ไข ดังภาพที่
3.16
ภาพที่ 3.16
24
ภาพที่ 3.17
การลบข้อมูลนักเรียนรายบุคคล
ถ้าต้องการจะลบข้อมูลนักเรียนออกจากโปรแกรม มีขั้นตอนดังนี้
1. เข้าสู่เมนูข้อมูลนักเรียนและคลิกปุ่ม แก้ไข หลังชื่อนักเรียนที่ต้องการลบ ดังภาพที่ 3.18
รูปที่ 3.18
2. หน้าต่างข้อมูลนักเรียนจะปรากฏขึ้นมา ก็สามารถลบข้อมูลนักเรียนได้เลยโดยคลิกเลือกที่ปุ่ม ลบ
ดังรูปที่ 3.19
25
ภาพที่ 3.19
หลังจากนั้นจะปรากฏหน้าต่าง ดังนี้
ถ้าหากต้องการลบข้อมูล ถ้าหากไม่ต้องการลบข้อมูล
26
บทที่ 4
บันทึกข้อมูลการคัดกรอง
ภาพที่ 4.1
ส่วนสาหรับค้นหาข้อมูลนักเรียน
รายชื่อนักเรียน เมนูคัดกรองนักเรียน
รูปที่ 4.2
3. ส่วนเมนูคัดกรองนักเรียน ส่วนนี้จะเป็นส่วนของเมนูที่เราต้องการจะบันทึกข้อมูลการคัดกรองนักเรียน
เป็นรายบุคคล ซึ่งจะประกอบไปด้วย การคัดกรองนักเรียนในแต่ละด้าน , แบบประเมิน EQ , บันทึก
พฤติกรรม, แบบประเมิน SDQ ทั้ง 3 ฉบับ , บันทึกการเยี่ยมบ้าน, แบบประเมินภาวการณ์ซึมเศร้า, แบบวัด
ความเครียด, แบบประเมินทักษะการดารงชีวิต และแบบประเมินพหุปัญญา
1. แบบคัดกรองนักเรียนเป็นรายบุคคล
การคัดกรองนักเรียนเป็นรายบุคคล มีขั้นตอนดังนี้
ภาพที่ 4.3
ภาพที่ 4.4
28
ภาพที่ 4.5
ภาพที่ 4.6
ภาพที่ 4.7
1. การคัดกรองนักเรียนด้านความสามารถพิเศษ
คลิกเลือกปุ่ม 1. ความสามารถพิเศษ ที่อยู่ทางซ้ายมือ จากนั้นโปรแกรมจะแสดงรายละเอียดส่วน
ของการคัดกรองด้านความสามารถพิเศษขึ้นมา ดังภาพที่ 4.8
ภาพที่ 4.8
30
วิธีการบันทึกข้อมูล
วิธีการกรอกข้อมูล
บันทึกข้อมูลแบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ (EQ)
การบันทึกข้อมูลแบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) มีขั้นตอนดังนี้
1. เมื่อเข้าสู่เมนูบันทึกข้อมูลระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนแล้ว จะปรากฏหน้าต่าง ดังภาพที่ 4.19
ภาพที่ 4.19
2. ค้นหาข้อมูลนักเรียนที่ต้องการจะคัดกรอง แล้วคลิกเลือกปุ่ม ค้นหา ดังภาพที่ 4.20
ภาพที่ 4.20
เมื่อท่านคลิกที่ปุ่ม ค้นหา โปรแกรมจะแสดงรายชื่อนักเรียนที่ท่านค้นหา ดังภาพที่ 4.21
ภาพที่ 4.21
37
ภาพที่ 4.22
แบบบันทึกพฤติกรรมนักเรียน
คลิกเลือกปุ่ม พฤติกรรม ของนักเรียนที่ท่านจะบันทึก ดังภาพที่ 4.23
ภาพที่ 4.23
ภาพที่ 4.24
เมื่อโปรแกรมแสดงแบบบันทึกขึ้นมาแล้วท่านสามารถบันทึกพฤติกรรมนักเรียนได้โดยนาเมาส์ไป
คลิกที่ช่องว่างสีขาวแล้วพิมพ์ข้อมูลลงไปได้เลย เมื่อพิมพ์เสร็จแล้วให้คลิกปุ่ม บันทึก เพื่อบันทึกข้อมูล
ดังภาพที่ 4.25
39
ภาพที่ 4.25
40
แบบประเมิน SDQ
แบบประเมิน SDQ มี 3 ฉบับ คือ
1. ฉบับนักเรียนประเมินตนเอง
2. ฉบับครูประเมินนักเรียน
3. ฉบับผู้ปกครองประเมินนักเรียน
ซึ่งวิธีการบันทึกข้อมูลลงในโปรแกรมจะเหมือนกันทั้ง 3 ฉบับ ท่านต้องการจะบันทึกข้อมูล SDQ
ฉบับใดก็คลิกเลือก ดังภาพที่ 4.26
ภาพที่ 4.26
ภาพที่ 4.27
41
ภาพที่ 4.28
42
แบบบันทึกการเยี่ยมบ้าน
ภาพที่ 4.29
ภาพที่ 4.30
เมื่อโปรแกรมแสดงแบบฟอร์มการเยี่ยมบ้านเรียบร้อยแล้วก็สามารถบันทึกข้อมูลการเยี่ยมบ้านได้
โดยการใช้เมาส์คลิกเลือกที่เป็นวงกลมเล็กๆ สีขาวหน้าตัวเลือกต่างๆ เมื่อบันทึกข้อมูลครบทุกข้อแล้วให้คลิก
ที่ปุ่ม บันทึก เพื่อเป็นการบันทึกข้อมูล ดังภาพที่ 4.30
43
แบบวัดโรคซึมเศร้า
คลิกเลือกปุ่มแบบวัดโรคซึมเศร้า ดังภาพที่ 4.31
ภาพที่ 4.31
เมื่อคลิกปุ่มแบบวัดโรคซึมเศร้า โปรแกรมจะแสดงข้อคาถามของแบบวัดโรคซึมเศร้า ดังภาพที่ 4.32
ภาพที่ 4.32
เมื่อโปรแกรมแสดงข้อคาถามของแบบวัดโรคซึมเศร้าแล้ว หลังจากนั้นทาการบันทึกข้อมูลเข้าสู่
โปรแกรมโดยการใช้เมาส์คลิกที่ช่องคาตอบของข้อคาถามให้ครบทุกข้อถ้าข้อคาถามใดที่คลิกเลือกตอบแล้ว
44
ภาพที่ 4.33
เมื่อคลิกปุ่มแบบประเมินความเครียดโปรแกรมจะแสดงข้อคาถามของแบบประเมินความเครียดดังภาพที่ 4.34
ภาพที่ 4.34
เมื่อโปรแกรมแสดงข้อคาถามของแบบประเมินความเครียด หลังจากนั้นทาการบันทึกข้อมูลเข้าสู่
โปรแกรมโดยการใช้เมาส์คลิกที่ช่องคาตอบของข้อคาถามให้ครบทุกข้อถ้าข้อคาถามใดที่คลิกเลือกตอบแล้ว
45
ภาพที่ 4.35
จากภาพที่ 4.35 เลือกคลิกปุ่มแบบสารวจทักษะการดารงชีวิตหลังรายชื่อของนักเรียนที่ต้องการจะ
บันทึกข้อมูล หลังจากนั้นโปรแกรมจะแสดงรายละเอียดของแบบสารวจทักษะชีวิตขึ้นมา ดังภาพที่ 4.36
ภาพที่ 4.36
46
แบบประเมินพหุปัญญา
ภาพที่ 4.37
ภาพที่ 4.38
47
บทที่ 5
ส่งออกข้อมูล/สารองข้อมูล นาเข้าข้อมูล ลบข้อมูลแบบกลุ่ม
เลื่อนระดับชั้น และรายงาน
วิธีการส่งออกข้อมูล
1. เมื่อเข้าสู่โปรแกรมแล้วคลิกเลือกเมนู System คลิกเลือก เข้า/ส่งออกข้อมูล คลิกเลือก ส่งออก
ข้อมูล ดังภาพที่ 5.1
ภาพที่ 5.1
2. จากภาพที่ 5.1 เมื่อคลิกเลือกเมนู เมนูส่งออกข้อมูล จะปรากฎเมนูหน้าต่างขึ้นมา ดังภาพที่ 5.2
ภาพที่ 5.2
49
ภาพที่ 5.3
3. จากภาพที่ 5.3 เมื่อคลิกที่ปุ่มแล้วจะปรากฎหน้าจอดังภาพที่ 5.4
เลือกไดร์ที่ต้องการเก็บข้อมูล
ตั้งชื่อไฟล์ที่จะเก็บข้อมูล
ภาพที่ 5.4
50
ภาพที่ 5.5
4. เมื่อคลิกที่ปุ่มส่งออกโปรแกรมจะทาการส่งออกข้อมูลให้ เมื่อทาการส่งออกข้อมูลเสร็จแล้วจะมีข้อความ
ขึ้น ดังภาพที่ 5.6
ภาพที่ 5.6
แต่ถ้าหากข้อมูลในโปรแกรมไม่มีตามที่เราเลือกโปรแกรมจะบอกว่า
51
วิธีการนาเข้าข้อมูล
1. เมื่อเข้าสู่โปรแกรมแล้วคลิกเลือกเมนู System คลิกเลือก นาเข้า/ส่งออกข้อมูล คลิกเลือก นาเข้าข้อมูล
ดังภาพที่ 5.7
ภาพที่ 5.7
ภาพที่ 5.8
เลือกไฟล์ที่จะนาเข้า
ภาพที่ 5.9
52
ภาพที่ 5.10
4. เมื่อโปรแกรมนาข้อมูลเข้าเสร็จเรียบร้อยแล้วจะมีข้อความแจ้งว่า
วิธีการลบข้อมูลแบบกลุ่ม
ภาพที่ 5.11
53
จะปรากฎหน้าจอดังภาพที่ 5.12
คลิกเลือกเพื่อตั้งค่าการสารองข้อมูล (เหมือนการส่งออกข้อมูล)
ภาพที่ 5.12
ต้องการลบ ไม่ต้องการลบ
การลบข้อมูลแบบกลุ่มเป็นอันเสร็จเรียบร้อย
54
การเลื่อนระดับชั้น
ภาพที่ 5.13
2. เมื่อเลือก เมนูเลื่อนระดับชั้นทั้งหมด จะปรากฎหน้าจอดังภาพที่ 5.14
คลิกเลือกเพื่อตั้งค่าการสารองข้อมูล (เหมือนการส่งออกข้อมูล)
เลือกระดับชั้นสูงสุดของโรงเรียน
ภาพที่ 5.14
3. จากภาพที่ 5.14 เมื่อกาหนดค่าต่างๆ เรียบร้อยแล้วคลิกที่ ปุ่มเลื่อนชั้น โปรแกรมจะดาเนินการเลื่อนชั้น
ให้โดยอัตโนมัติเมื่อโปรแกรมดาเนินการเลื่อนชั้นเรียบร้อยแล้วจะมีข้อความแจ้งว่า
55
การสั่งพิมพ์รายงานข้อมูล
ภาพที่ 5.15
ภาพที่ 5.16
56
ภาพที่ 5.17
คลิกเพื่อสั่งพิมพ์
ภาพที่ 5.18
57
ถ้าหากต้องการจะสั่งพิมพ์ออกทางเครื่องพิมพ์ให้คลิกที่ปุ่ม เครื่องพิมพ์ก็จะดาเนินการพิมพ์ให้
เรียบร้อย สาหรับรายงานส่วนอื่นๆ ก็ดาเนินการเช่นเดียวกันต้องการจะดูหรือพิมพ์รายงานส่วนใดก็เลือกที่
เมนูนั้นโปรแกรมจะประมวลผลตามที่เราเลือก
ดับเบิ้ลคลิก
ภาพที่ 5.19
ภาพที่ 5.20
ภาพที่ 5.21
59
ใช้สาหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีระบบปฎิบัติการ 64 บิต
3. ดับเบิ้ลคลิกที่ หรือ
ภาพที่ 5.21
บทที่ 6
การคัดกรองนักเรียนเป็นรายบุคคล
การคัดกรองนักเรียน เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดที่ได้จากการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคลแล้วนา
ผลที่ได้มาจาแนกตามเกณฑ์การคัดกรอง
การคัดกรองนักเรียน จะแบ่งนักเรียนออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มปกติ กลุ่มเสี่ยง กลุ่มมีปัญหา
กลุ่มปกติ หมายถึง นักเรียนที่ไม่มีพฤติกรรมที่เป็นปัญหาและส่งผลกระทบต่อชีวิตประจาวัน
ของตนเองหรือสังคมส่วนรวมในด้านลบ
กลุ่มเสี่ยง หมายถึง นักเรียนที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนไปจากปกติ เช่น เก็บตัว แสดงออกเกินขอบเขต
การปรับตัวทางเพศไม่เหมาะสม ทดลองสิ่งเสพติด ผลการเรียนหรือพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปในทางลบ
กลุ่มมีปัญหา หมายถึง นักเรียนที่มีพฤติกรรมที่เป็นปัญหาชัดเจน มีผลกระทบต่อวิถีชีวิตประจาวัน
ของตนเองหรือต่อสังคมส่วนรวมในด้านลบ
แบบคัดกรองนักเรียนเป็นรายบุคคล
1. การคัดกรองนักเรียนด้านความสามารถพิเศษ
เด็กที่มีความสามารถพิเศษ หมายถึง เด็กที่แสดงออกซึ่งความสามารถอันโดดเด่นด้านใด ด้านหนึ่ง
หรือหลายด้าน ในด้านสติปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ การใช้ภาษา การเป็นผู้นา การสร้างงานทางด้าน
ทัศนศิลป์และศิลปะการแสดง ความสามารถทางดนตรี ความสามารถทางกีฬา และความสามารถทางวิชาการ
ในสาขาใดสาขาหนึ่ง หรือหลายสาขาอย่างเป็นที่ประจักษ์เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กที่มีอายุระดับเดียวกัน
สภาพแวดล้อมหรือประสบการณ์เดียวกัน
เด็กที่มีความสามารถพิเศษ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มย่อย ดังนี้
1. เด็กที่มีระดับสติปัญญาสูง คือ กลุ่มเด็กที่มี ระดับสติปัญญา (IQ) ตั้งแต่ 130 ขึ้นไป
2. เด็กที่มีความสามารถพิเศษเฉพาะด้านอาจไม่ใช่เด็กที่มีระดับสติปัญญาสูงแต่มีความสามารถ
พิเศษเฉพาะด้านที่โดดเด่นกว่าคนอื่นในวัยเดียวกัน อาจเป็นด้านคณิตศาสตร์ ตรรกศาสตร์
การใช้ภาษา ศิลปะ ดนตรี กีฬา การแสดง ฯลฯ
3. เด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์
ลักษณะของเด็กที่มีความสามารถพิเศษด้านต่าง ๆ มีดังนี้
1. ด้านสติปัญญา (การคิด) 2. ด้านความคิดสร้างสรรค์
3. ด้านคณิตศาสตร์ 4. ด้านวิทยาศาสตร์
5. ด้านภาษา 6. ด้านผู้นา
7. ด้านศิลปะ 8. ด้านดนตรี
9. ด้านกีฬา
61
32. เป็นคนมีอารมณ์ขัน
33. สามารถใช้สามัญสานึกประกอบการคิดหาคาตอบหรือแก้ปัญหาต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
34. สามารถผสมผสานความรู้ความคิด เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ มาแก้ปัญหาได้ดี
35. มีมาตรฐานสาหรับตัวเองสูง จึงไม่ค่อยพอใจกับผลงานของตัวเองง่ายนัก (นักเรียนชอบทางานให้ดี
ที่สุด และไม่ชอบที่จะเห็นผลงานแบบธรรมดาเหมือนกับที่คนอื่นเขาทา)
36. มักมีความรู้สึกรุนแรงเกี่ยวกับความถูก-ผิด , ดี-ชั่ว , ยุติธรรม- ไม่ยุติธรรม ฯลฯ
2. ด้านความคิดสร้างสรรค์
1. ไม่ยอมให้ความร่วมมือถ้าไม่เห็นด้วย
2. ไม่ร่วมกิจกรรมที่ไม่ชอบ
3. ชอบทางานคนเดียวเป็นเวลานาน ๆ
4. มีความสนใจอย่างกว้างขวางในเรื่องต่าง ๆ
5. ชอบซักถาม
6. ชอบพูดเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์หรือวิธีการคิดแบบใหม่ ๆ
7. เบื่อหน่ายกับความซ้าซาก จาเจ
8. กล้าทดลองทาเพื่อพิสูจน์ความคิดของตนเอง ถึงแม้จะไม่แน่ใจในผลที่เกิดขึ้น
9. มีอารมณ์ขันเป็นเนืองนิตย์
10. มีอารมณ์อ่อนไหวง่าย
11. ซาบซึ้งกับสุนทรียภาพ เช่น ซาบซึ้งในดนตรีและศิลปะต่างๆ เป็นต้น
12. ไม่หงุดหงิดกับความไร้ระเบียบหรือความยุ่งเหยิงที่คนอื่นทนไม่ได้
13. ไม่สนใจว่าตนเองจะแปลกกว่าคนอื่น
14. มีปฏิกิริยาโต้แย้งเมื่อไม่เห็นด้วย
15. ช่างจารายละเอียดสิ่งต่าง ๆ เป็นอย่างดี
16. ไม่ชอบการบังคับ กาหนดกฎเกณฑ์ ตีกรอบความคิดหรือให้ทาตามกติกาต่าง ๆ
17. ถ้าเป็นสิ่งที่ตนไม่สนใจหรือไม่เห็นด้วยจะหมดความสนใจง่าย ๆ
18. ชอบเหม่อลอย สร้างจินตนาการ
19. ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นได้ถ้าอธิบายเหตุผล
20. มีความคิดที่เป็นอิสระ ไม่ชอบทาตามคนอื่น
21. มีความคิดยืดหยุ่น คิดได้หลายทิศทาง เช่น สามารถคิดแก้ปัญหาเดียวกันได้หลายวิธี เป็นต้น
22. สามารถคิดหรือทางานได้หลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน
23. แสดงความคิดได้หลากหลายในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
24. ชอบสร้างแล้วรื้อ รื้อแล้วสร้างใหม่เพื่อความแปลกใหม่
25. ชอบมีคาถามแปลก ๆ ท้าทายให้คิด
26. ชอบคิดหรือริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ มากกว่าคนอื่น
27. ชอบเป็นคนแรกที่คิดหรือทาเรื่องใหม่ ๆ
63
28. มีความรู้สึกรุนแรงเกี่ยวกับอิสรภาพและความเป็นอิสระทางความคิด
29. ชอบหมกมุ่นกับความคิด
30. ในสายตาของคนทั่วไปดูว่าเป็นคน "แปลก" กว่าคนอื่น
31. เป็นคนไวต่อความคิดความรู้สึกของผู้อื่น
32. เห็นความเชื่อมโยงหรือความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่าง ๆ ที่คนทั่วไป มองไม่เห็น
33. มีความวิจิตรพิสดารในการทาสิ่งต่าง ๆ
34. ช่างสังเกต สามารถเห็นรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ที่ผู้อื่นไม่เห็น
35. สามารถผสมผสานความคิดหรือสิ่งที่แตกต่างเข้าด้วยกัน โดยไม่มีใครคิดและทามาก่อน
3. ด้านคณิตศาสตร์
1. ชอบอ่านประวัติและผลงานของนักคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเสียง
2. สนใจศึกษาเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตัวเลข เช่น ปฏิทิน เวลา แผนภูมิ เป็นต้น
3. รักและหลงใหลในตัวเลข เช่น เลือกข้าวของเครื่องใช้ที่มีตัวเลข เป็นส่วนประกอบ เป็นต้น
4. ชอบและคบหาพูดคุยกับคนที่มีความสนใจทางคณิตศาสตร์ (อาจเป็นคนวัยเดียวกันหรือต่างวัยก็ได้)
5. ชอบเล่นตัวต่อยาก ๆ หรือของเล่นที่เกี่ยวกับการสร้างรูปทรง
6. หมกมุ่น ครุ่นคิดและฝึกฝนโจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์อย่างต่อเนื่อง
7. เบื่อโจทย์เลขหรือบทเรียนที่ไม่ท้าทาย ซ้าซาก หรือง่ายเกินไป
8. มีวิธีแปลกใหม่ในการแก้ปัญหาโจทย์ทางคณิตศาสตร์เอง ไม่ชอบทาตามวิธีคนอื่นที่เคยทามา
9. ลัดขั้นตอนการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้อย่างถูกต้อง
10. คิดโจทย์ปัญหาได้อย่างพลิกแพลง ซับซ้อน และมองเห็นแง่มุมที่คนอื่นคิดไม่ถึง
11. เป็นคนมีจินตนาการดี สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้หลายมิติ
12. เป็นคนช่างคิด มีวิธีคิดที่ดี มีไหวพริบ
13. เข้าใจความหมายของจานวนและตัวเลขอย่างรวดเร็ว
14. มีเหตุผลเป็นหลักในการตัดสินใจ
15. ชอบตั้งคาถามที่เป็นเหตุต่อกัน เช่น ถ้า……แล้ว…….ดังนั้น…… เพราะว่า…… ถ้าไม่……แล้ว……
16. ชอบวิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์เรื่องต่าง ๆ อย่างมีเหตุผล
17. สนใจเรื่องนามธรรมที่เกี่ยวกับเวลา อากาศ และมิติของเวลา
18. มองเห็นความสัมพันธ์เชื่อมโยงโครงสร้างและความสมดุลของสิ่งต่าง ๆ
19. เรียนรู้เกี่ยวกับจานวน ตัวเลข และสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ได้อย่างรวดเร็ว
20. ชอบเรียนวิชาคณิตศาสตร์
21. ชอบชั่ง ตวง วัด นับ
22. ชอบจัดลาดับหมวดหมู่ สิ่งของ หรือวาดรูปในลักษณะที่เรียงจาก ขนาดใหญ่ไปหาเล็ก หรือเล็กไป
หาใหญ่
23. ได้คะแนนทดสอบทางคณิตศาสตร์สูง
24. สรุปความคิดในเชิงคณิตศาสตร์ได้อย่างรวดเร็ว
64
5. ด้านภาษา
1. พูดได้เร็วกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
2. ชอบท่องและจดจาศัพท์ บทนิพนธ์ โคลง กลอนต่าง ๆ
3. สนใจอ่านทุกอย่างที่ผ่านพบ เช่น ป้ายชื่อ หรือป้ายข้อความต่างๆ
4. มีความสนใจที่จะเขียนหนังสือก่อนเด็กวัยเดียวกัน
5. ชอบเล่านิทาน
6. ชอบอ่านหนังสือ
7. ชอบจดบันทึก
8. เข้าร่วมกิจกรรมทางภาษาทุกครั้งที่มีโอกาส
9. ชอบมีหนังสือติดตัว
10. ชอบเขียนเรื่อง แต่งเรื่องราวต่าง ๆ เช่น นิทาน โคลง กลอน สารคดี เป็นต้น
11. อ่านหนังสือได้เองก่อนเด็กวัยเดียวกัน
12. รู้และจาคาศัพท์ ชื่อของสิ่งต่าง ๆ บทประพันธ์ โคลง กลอน หรือ เรื่องราวต่าง ๆ ได้เร็วและมากกว่า
เด็กในวัยเดียวกัน
13. พูดหรือเขียนได้ดี รู้จักใช้คาที่เหมาะสมเรียบเรียงเป็นภาษาที่สละสลวย งดงาม
14. สามารถพูดหรือเขียนแสดงความคิด ความต้องการ หรือความรู้สึก ของตนเองให้ผู้อื่นเข้าใจได้ อย่าง
ชัดเจน
15. สามารถอธิบายหรือบรรยายความหมายของสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน โดยใช้ถ้อยคาที่รัดกุม และ
เหมาะสม
16. เข้าใจเรื่องที่อ่านหรือฟังได้อย่างรวดเร็วและแจ่มแจ้ง
17. สามารถเข้าใจความหมายลึกซึ้งที่แฝงอยู่ในเรื่องที่อ่านหรือฟังได้
18. รู้จักใช้คาเปรียบเทียบเพื่ออธิบายให้เข้าใจความหมายได้แจ่มชัด
19. มีความสามารถในการเล่าเรื่องได้อย่างสนุกสนาน ชวนติดตาม
66
21. สามารถควบคุมการดาเนินงานในกลุ่มให้บรรลุเป้าหมายได้
22. มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง ไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มเพื่อนหรืออยู่ในกลุ่ม ผู้ใหญ่
23. ปรับตัวต่อสถานการณ์ใหม่ได้ดี (มีความคิดและการกระทาที่ยืดหยุ่น ควบคุมอารมณ์และความรู้สึก
ได้ หนักแน่นไม่หวั่นไหวง่าย เช่น ไม่รู้สึกราคาญหรืออารมณ์เสียเมื่อมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจาก
กิจวัตร ประจาวัน)
24. มีความเข้าใจลึกซึ้งและว่องไวในเรื่องเหตุผลและผลที่เกี่ยวข้องกับ พฤติกรรมของคน
25. ชอบคบคิดปัญหายาก ๆ เกี่ยวกับสังคม (อาจเป็นสังคมในบ้าน โรงเรียน หรือชุมชนก็ได้)
26. ไม่ยอมจานนต่อปัญหาหรืออุปสรรคใด ๆ
27. รู้จักใช้หลักการหรือแนวคิดใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหา
28. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ทางการจัดระบบทางสังคม (เช่น เมื่อเห็น ความไม่ยุติธรรม อาจริเริ่ม นา
กลุ่มเพื่อหาทางแก้ไข โดยไม่ปล่อยให้ผ่านไป ฯลฯ)
29. แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี
30. กล้าเสี่ยง
31. สนุกกับงานที่ต้องตัดสินใจ
32. รู้จักใช้ข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ให้เป็นประโยชน์
33. รักความยุติธรรม
7. ด้านศิลปะ
1. ชอบหาเวลาว่างขีดเขียน วาดภาพ แกะสลักหรือทากิจกรรมเกี่ยวกับศิลปะ
2. สนใจเรื่องสี ความงดงามของภาพวาดหรืองานทางศิลปะ
3. ชอบและสนใจร่วมกิจกรรมทางศิลปะ
4. มีสมาธินานถ้าทางานศิลปะ
5. หมกมุ่นกับงานศิลปะอย่างจริงจังและมีความสุขที่ได้ทางานศิลปะ
6. สนใจงานทางศิลปะ
7. ชอบอ่านประวัติและผลงานของศิลปินที่มีชื่อเสียงแขนงต่าง ๆ
8. ชอบแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานศิลปะ
9. ชอบสะสมผลงานด้านศิลปะ
10. อยากจะประกอบอาชีพทางศิลปะ เช่น เป็นนักแสดง จิตรกร เป็นต้น
11. มีจินตนาการดี สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้หลายมิติ
12. มีประสาทสัมผัส มือ - ตา ดีเยี่ยมตั้งแต่เยาว์วัย
13. มีทักษะการวาดหรือขีดเขียนเส้นก้าวหน้ากว่าเพื่อน ๆ
14. มีความคิดและความรู้สึกที่เป็นอิสระ
15. มีความสามารถในการสร้างผลงานด้านศิลปะ (เช่น ภาพวาด งานปั้น งานแกะสลัก เป็นต้น) ได้อย่าง
สร้างสรรค์กว่าผู้อื่น
68
20. สามารถแยกแยะเพลงที่มีท่วงทานองคล้ายกันได้อย่างแม่นยา
21. สามารถบอกได้ว่าเพลงที่ได้ยินเล่นด้วยเครื่องดนตรีชนิดใด
22. มีความมั่นใจในการวิเคราะห์เพลงที่ฟังได้ว่าเพลงใด "ดี" หรือ "ไม่ดี"
23. รับรู้ความแตกต่างของเสียงดนตรีได้อย่างละเอียดทั้งระดับเสียง ความดัง และจังหวะ
24. สามารถสนองตอบต่อจังหวะดนตรีด้วยการเคลื่อนไหวร่างกาย
25. มีความเชื่อมั่นที่จะเล่นดนตรีหรือร้องเพลง
26. สามารถริเริ่มสร้างท่วงทานองได้
27. ปรับท่วงทานอง เนื้อร้องให้เป็นไปตามต้องการได้
28. ดัดแปลงวัสดุเหลือใช้ให้เป็นเครื่องดนตรีง่าย ๆ ได้
29. จาเนื้อเพลงได้แม่นยา
30. คิดริเริ่มแต่งเพลงใหม่ ๆ
31. รู้ว่าตนเองมีความสามารถทางดนตรีด้านใดเป็นพิเศษ
9. ด้านกีฬา
1. สนุกสนานกับการเคลื่อนไหว ออกกาลัง เช่น การวิ่ง การกระโดด การปีนป่าย ฯลฯ
2. สนใจอ่านและติดตามข่าวกีฬาหรือนักกีฬาที่ตนเองชอบ
3. กระตือรือร้นที่จะเข้าร่วมกิจกรรมกีฬา
4. ชอบใช้เวลาว่างในการเล่นกีฬา
5. เป็นผู้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง
6. มีสมาธิในการเล่นกีฬาได้ แม้จะมีเสียงรบกวน เช่น เสียงเชียร์หรือ เสียงโห่ฮาของผู้ชม
7. สนใจหาความรู้เรื่องการออกกาลังกาย
8. แสดงความสนใจที่จะมีอาชีพทางการกีฬา
9. มีความสามารถในการเล่นท่าพื้นฐานของกีฬาประเภทต่าง ๆ ได้
10. ชอบคิดวิธีใหม่ ๆ มาใช้กับการเล่นกีฬา
11. เรียนรู้การใช้เครื่องมือทางกีฬาได้เร็วกว่าเด็กวัยเดียวกัน
12. มีความสามารถในการควบคุมความสมดุลของร่างกายได้อย่างโดดเด่น เช่น กระโดดยองๆ ขาเดียว
เดินบนเส้นตรง
13. มีความสามารถในการกาหนดทิศทาง ระยะทาง และเวลาได้ดี
14. มีความอดทนในการซ้อมกีฬา
15. สามารถเล่นกีฬาประเภทใดประเภทหนึ่งได้เป็นอย่างดี
16. มีลักษณะการเล่นกีฬาที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
17. ชอบเล่นกีฬา
18. ชอบทางานหรือกิจกรรมที่ใช้การเคลื่อนไหวร่างกายมากกว่างาน หรือกิจกรรมที่ใช้ทักษะด้านอื่น ๆ
19. สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในการเล่นกีฬาได้เป็นอย่างดี
20. มีความเชื่อมั่นในตนเองเมื่อเล่นกีฬา
70
21. ได้รับเลือกเป็นตัวแทนแข่งขันกีฬา
22. มีลกั ษณะพิเศษทางร่างกายที่เป็นศักยภาพพื้นฐานทางกีฬาได้อย่างดี (เช่น มีกล้ามเนื้อแข็งแรง ช่วงขา
ที่ยาวเหมาะที่จะเป็นนักวิ่ง หรือ มีร่างกายยืดหยุ่นเหมาะสมที่จะเป็นนักยิมนาสติก เป็นต้น)
23. มีความสามารถที่จะควบคุมร่างกายให้เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว ว่องไว
24. มีความสามารถเรียนรู้และจดจาสิ่งต่างๆ ด้วยการเคลื่อนไหวร่างกาย ได้ดีกว่าการใช้วิธีอื่น
การค้นหาและการคัดเลือกเด็กที่มีความสามารถพิเศษ
ทางอารมณ์ สังคม
o ประวัติจากครอบครัวเกี่ยวกับพัฒนาการ พฤติกรรมในวัยเด็ก การแก้ปัญหา ประวัติการสังเกต
o ผลการเรียน ผลงานของเด็ก
o ผลแบบสารวจที่ใช้สารวจความสามารถเด็กหลาย ๆ ด้านแบบคร่าว ๆ
o ผลสารวจความสนใจ
o แบบทดสอบสติปัญญาแบบกลุ่ม
2. ขั้นเจาะลึก
เพื่อความถูกต้องแม่นยา โดยรวบรวมข้อมูลที่คัดแล้วมารวบรวม พร้อมทั้งทาการทดสอบเพิ่มเติม โดยใช้
1. ข้อมูลจากขั้นต้น
2. การสัมภาษณ์พ่อ แม่ ครู ตัวเด็ก
3. การทดสอบเฉพาะสาขา
4. การทดสอบด้วยแบบทดสอบสติปัญญาแบบเดี่ยว
5. การทดสอบความคิดสร้างสรรค์
3. ขั้นคัดเลือกขั้นสุดท้าย โดยใช้ข้อมูลทั้งหมดจากขั้นที่ 2 แล้วพิจารณาลดจานวนเหลือตามความ
เหมาะสม ที่สามารถจัดโปรแกรมให้เด็กได้ตามศักยภาพของผู้ดาเนินการ อาจเหลือประมาณ 1-5% ควรใช้
ผู้เชี่ยวชาญร่วมตัดสิน
แผนภูมิแสดงขั้นตอนในการสารวจหาเด็กที่มีความสามารถพิเศษ
แบบประเมินทางจิตวิทยา
2. แบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ ( EQ)
ความฉลาดทางอารมณ์ หมายถึง ความสามารถในการรู้จัก เข้าใจและควบคุมอารมณ์ของตนเองได้
สอดคล้องกับวัย มีการประพฤติ ปฏิบัติตนในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างเหมาะสมและมีความสุข ความฉลาด
ทางอารมณ์เป็นคุณลักษณะพื้นฐานสาคัญ ที่จะนาไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ ทั้งความคิด อารมณ์และพฤติกรรม
การประเมินความฉลาดทางอารมณ์เด็กจะช่วยให้ครูได้ ทราบถึงจุดดี จุดเด่นของลักษณะความฉลาด
ทางอารมณ์ ที่ควรส่งเสริมและจุดอ่อนที่ควรพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นต่อไป รวมทั้งสามารถใช้ในการติดตามเพื่อดู
พัฒนาการทางอารมณ์ว่ามีความก้าวหน้ามากน้อยเพียงใดเมื่ออายุ เพิ่มขึ้น
การประเมินความฉลาดทางอารมณ์เด็ก ประเมินคุณลักษณะ 3 ด้าน คือ
1. ด้านดี เป็นความพร้อมทางอารมณ์ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น โดยประเมินจากการควบคุมอารมณ์
การใส่ใจและเข้าใจอารมณ์ผู้อื่น และการยอมรับผิด
2. ด้านเก่ง คือความพร้อมที่จะพัฒนาตนไปสู่ความสาเร็จ โดยประเมินจากการมุ่งมั่นพยายาม
การปรับตัวต่อปัญหา และการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม
3. ด้านสุข คือความพร้อมทางอารมณ์ที่ทาให้เกิดความสุข โดยประเมินจากการมีความพอใจ
ในตนเอง การรู้จักปรับใจ และความรื่นเริงเบิกบาน ความฉลาดทางอารมณ์ ประเมินได้โดยการตอบข้อความ
ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความรู้สึกและพฤติกรรมของเด็กที่แสดงออกในลักษณะต่างๆ ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา
แม้ว่าบางประโยคอาจจะไม่ตรงกับที่เด็กเป็นอยู่ก็ตาม ขอให้ท่านเลือกคาตอบที่ใกล้เคียงกับที่เด็กเป็นอยู่จริง
มากที่สุด การตอบตามความเป็นจริงและตอบทุกข้อจะทาให้ท่านได้รู้จักเด็กและหาแนวทางในการพัฒนาเด็ก
ให้ดียิ่งขึ้นได้
3. แบบประเมินพหุปัญญา
ทฤษฎีพหุปัญญา ( Theory of Multiple Intelligences)
77
4. แบบสารวจทักษะการดารงชีวิต
ทักษะการดารงชีวิต ตามคาจากัดความของ World Health Organization (WHO) หมายถึง
ความสามารถในการปรับตัวและดารงพฤติกรรมเชิงบวก อันทาให้บุคคลนั้นสามารถรับมือกับหน้าที่และ
ความท้าทายในชีวิตประจาวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความสามารถและทักษะเหล่านี้มีมากมาย แล้วแต่ใคร
จะขยายความและจัดกลุ่มออกมาอย่างไร ในที่นี้ขออธิบาย Life Skills อย่างย่อโดยใช้หลัก 4H ดังนี้
1. Head คือ การเรียนรู้จักตนเอง และการบริหารจัดการตนเอง ซึ่งต้องอาศัยทักษะความคิดด้านต่างๆ
เช่น คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ แก้ไขปัญหา ตัดสินใจ ฯลฯ รู้จักการตั้งเป้าหมาย การวางแผน การริเริ่ม และ
การจัดการอุปสรรค
2. Heart คือ การเรียนรู้การดารงอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม ซึ่งต้องอาศัยทักษะเรื่องการสื่อสาร การมี
มนุษย์สัมพันธ์ การจัดการกับความขัดแย้ง การยอมรับความแตกต่างของผู้อื่น การเห็นใจผู้อื่น มีเมตตา
มีความยืดหยุ่น ฯลฯ
3. Hands คือ การเรียนรู้ที่จะให้หรือทาให้เกิดขึ้น ซึ่งต้องอาศัยทักษะเรื่อง การเป็นผู้นา การทางาน
เป็นทีม การต่อรอง การบริการ การมีความรับผิดชอบต่อสังคมและองค์กร ฯลฯ
4. Health คือ การเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างแข็งแรง ปราศจากโรคภัย ซึ่งต้องอาศัยเรื่อง การมีวินัย
ในการเลือกบริโภค การออกกาลังกาย การเคารพตนเอง การจัดการความเครียด ฯลฯ
การใช้แบบสารวจทักษะการดารงชีวิตนี้สามารถปรับประยุกต์ได้ตามวัตถุประสงค์การใช้งาน เช่น
1. ใช้เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า เพื่อตรวจสอบความถี่ของพฤติกรรม คุณภาพ
ของคุณลักษณะตามรายการต่างๆ
2. ใช้เป็นแบบสารวจเพื่อจัดอันดับความสาคัญและความจาเป็นเร่งด่วนของพฤติกรรม หรือ
คุณลักษณะทีค่ วรสร้างเสริม
5. แบบวัดภาวะโรคซึมเศร้า
ภาวะซึมเศร้า Deperssion หรือ ภาวะซึมเศร้า เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากภาวะจิตที่หม่นหมอง
เศร้าสร้อย หดหู่ มองโลกในแง่ร้าย แสดงออกได้ทั้งทางด้านอารมณ์ พฤติกรรมความคิด และร่างกาย
เป็นระยะเวลานานเกิน 2 สัปดาห์ขึ้นไป
อาการของผู้มีภาวะซึมเศร้า
1. การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เช่น นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร น้าหนักลด เคลื่อนไหวช้า เป็นต้น
2. การเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์และจิตใจ เช่น หดหู่ ไม่มีชีวิตชีวา สิ้นหวัง รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า
รู้สึกว่าตัวเองมีความผิด คิดช้า สมาธิเสีย มีความคิดอยากฆ่าตัวตาย หรืออาจมีประสาทหลอนร่วม
ด้วย
3. การเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม เช่น แยกตัว ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
การช่วยเหลือผู้มีภาวะซึมเศร้า
81
1. ด้านร่างกาย
1.1 ให้การช่วยเหลือในการจัดการกิจวัตรประจาวัน เช่น การดูแลตนเอง การรับประทานอาหารและ
ดื่มน้า
1.2 กระตุ้นให้เคลื่อนไหวหรือออกกาลังกายสม่าเสมอ
1.3 ดูแลเรื่องการนอนหลับพักผ่อน หรือให้ยานอนหลับตามแผนการรักษาของแพทย์
1.4 การประเมินท่าทีการฆ่าตัวตาย เพื่อป้องกันการทาร้ายตัวเอง
2. ด้านจิตใจและอารมณ์
2.1 เปิดโอกาสและส่งเสริมให้ผู้ที่มีภาวะซึมเศร้าได้พูดระบายความรู้สึก โดยรับฟังอย่างสงบและ
เป็นกาลังใจอย่างเหมาะสม
2.2 เคารพและให้เกียรติโดยการยอมรับในปัญหาและให้กาลังใจ เพื่อให้เกิดความรู้สึกมีคุณค่า
ในตนเอง
2.3 ให้แรงเสริมโดยการพูดชมเชยให้กาลังใจเมื่อผู้มีภาวะซึมเศร้าพูดถึงตัวเองในด้านดี
2.4 ในการพูดคุยเพื่อให้การช่วยเหลือ ผู้ช่วยเหลือต้องแสดงท่าทีเป็นมิตร ใจเย็น ไม่เร่งรีบที่จะให้มี
การตอบคาถาม ควรให้เวลากับผู้มีภาวะซึมเศร้าเพราะมักคิดและพูดช้า
2.5 หากมีอาการหลงผิดร่วมด้วย ผู้ช่วยเหลือควรระมัดระวังเรื่อพฤติกรรมทาร้ายตัวเอง
3. ด้านสังคม
3.1 กระตุ้นและเปิดโอกาสให้ผู้มีภาวะซึมเศร้าได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น โดยเริ่มจากสังคมเล็กๆ ก่อน
3.2 ส่งเสริมให้ผู้มีภาวะซึมเศร้าได้ลกเวลาหมกมุ่นกับตัวเอง ด้วยการจัดเวลาทากิจกรรมและกระตุ้น
ให้ทาตาม
3.3 ส่งเสริมทากิจกรรมด้านจิตวิญญาณ เช่น สวดมนต์หรือกิจกรรมทางศาสนา
3.4 ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาทักษะทางสังคม เช่น ความเป็นตัวของตัวเอง การสร้าง
สัมพันธภาพ
3.5 สนับสนุนให้บุคคลใกล้ชิด ครอบครัว เพื่อนสนิทประคับประคองให้ระยะแรกที่มีภาวะซึมเศร้า
6. แบบประเมินความเครียด
กรมสุขภาพจิต (2543). ความเครียด เป็นเรื่องของร่างกายและจิตใจ ที่เกิดการตื่นตัว เตรียมรับกับ
เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งเราคิดว่าไม่น่าพอใจ เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสเกินกาลังทรัพยากรที่เรามีอยู่
หรือเกินความสามารถของเราที่จะแก้ไขได้ ทาให้รู้สึกหนักใจ เป็นทุกข์ และพลอยทาให้เกิดอาการผิดปกติ
ทางร่างกายและพฤติกรรมตามไปด้วย ความเครียดนั้นเป็นเรื่องที่มีกันทุกคน จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาพ
ปัญหา การคิด และการประเมินสถานการณ์ของแต่ละคน ถ้าเราคิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ร้ายแรง เราก็จะรู้สึก
82
การจัดการกับความเครียด
แนวทางในการจัดการกับความเครียด มีดังนี้
1. หมั่นสังเกตความผิดปกติทางร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรมที่เกิดจากความเครียด ทั้งนี้อาจใช้
แบบประเมินและวิเคราะห์ความเครียดด้วยตนเองก็ได้
2. เมื่อรู้ตัวว่าเครียดจากปัญหาใด ให้พยายามแก้ปัญหานั้นให้ได้โดยเร็ว
3. เรียนรู้การปรับเปลี่ยนความคิดจากแง่ลบให้เป็นแง่บวก
4. ผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีที่คุ้นเคย
5. ใช้เทคนิคเฉพาะในการคลายเครียด
การสารวจความเครียดของตนเอง
ความเครียดจะส่งผลให้เกิดความผิดปกติทางร่างกาย จิตใจและพฤติกรรม ดังนี้
1. ความผิดปกติทางร่างกาย ได้แก่ ปวดศีรษะ ไมเกรน ท้องเสียหรือท้องผูก นอนไม่หลับหรือ
ง่วงเหงาหาวนอนตลอดเวลา ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เบื่ออาหารหรือกินมากกว่าปกติ ท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย
ประจาเดือนมาไม่ปกติ เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ มือเย็นเท้าเย็น เหงื่อออกตามมือตามเท้า ใจสั่น ถอนหายใจ
บ่อย ๆ ผิวหนังเป็นผื่นคัน เป็นหวัดบ่อย ๆ แพ้อากาศง่าย ฯลฯ
2. ความผิดปกติทางจิตใจ ได้แก่ ความวิตกกังวล คิดมาก คิดฟุ้งซ่าน หลงลืมง่าย ไม่มีสมาธิ หงุดหงิด
โกรธง่าย ใจน้อย เบื่อหน่าย ซึมเศร้า เหงา ว้าเหว่ สิ้นหวัง หมดความรู้สึกสนุกสนาน เป็นต้น
3. ความผิดปกติทางพฤติกรรม ได้แก่ สูบบุหรี่ ดื่มสุรามากขึ้น ใช้สารเสพติด ใช้ยานอนหลับ จู้จี้
ขี้บ่น ชวนทะเลาะ มีเรื่องขัดแย้งกับผู้อื่นบ่อย ๆ ดึงผม กัดเล็บ กัดฟัน ผุดลุกผุดนั่ง เงียบขรึม เก็บตัว เป็นต้น
83
ทั้งนี้ อาจสารวจความเครียดของคุณได้โดยการใช้แบบประเมินและวิเคราะห์ความเครียดด้วยตนเอง
ติดต่อสอบถามโปรแกรม
ข้อมูลคัดกรองในระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน Scan tool 3
ทาง email
bc_benyapa@hotmail.com
chai-rong@hotmail.com
เวปไชต์ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน
www.pc-education.com
ทางโทรศัพท์
089-0348678
084-3637733