Professional Documents
Culture Documents
net/publication/351625932
CITATIONS READS
0 49
2 authors, including:
Bannarak Khumraksa
Suratthani Rajabhat University
27 PUBLICATIONS 52 CITATIONS
SEE PROFILE
Some of the authors of this publication are also working on these related projects:
Effect of active learning instruction using research-based strategy to improve scientific process of science teacher’s students View project
1 View project
All content following this page was uploaded by Bannarak Khumraksa on 17 May 2021.
1หลักสูตรสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
1General Science Program, Faculty of Education, Suratthani Rajabhat University
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐานในรายวิช า
ไฟฟ้าและพลังงานสาหรับนักศึกษาครูวิทยาศาสตร์ และเพื่อศึกษาผลของการใช้กิจกรรมการเรียนรู้
โดยใช้วิจัยเป็นฐานที่มีต่อกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของนักศึกษาครูวิทยาศาสตร์ ใช้ระเบียบวิธี
วิจัยแบบผสมวิธี กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาครูวิทยาศาสตร์ ระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ จานวน
44 คน ที่ได้ มาโดยการสุ่ มแบบกลุ่ม ผลการวิจัยพบว่า กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐานที่
ออกแบบและสร้างขึ้นประกอบด้วย 6 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การสารวจและสังเกต 2) การตั้งคาถาม/
ระบุ ปั ญหา 3) การตั้งสมมติฐ านและออกแบบการทดลอง 4) การตรวจสอบสมมติฐ าน 5) การ
วิเคราะห์ข้อมูลและการสรุปผล 6) การนาเสนอผลการวิจัย ใช้เวลาสอน 12 สัปดาห์ ผลการประเมิน
ความเหมาะสมของกิจกรรมนี้ พบว่ามีระดับคุณภาพดีมาก (X̅ = 4.74, S.D. = 0.36) ผลการทดลอง
พบว่านักศึกษาเกิดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ได้ในระดับคุณภาพดีถึงดีมาก (X̅ =
2.9 – 3.3) และผลการวิ เ คราะห์ ข้ อ มู ล เชิ ง คุ ณ ภาพบ่ ง ชี้ ว่ า นั ก ศึ ก ษากลุ่ ม ตั ว อย่ า ง ได้ ฝึ ก ทั ก ษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะการสังเกต ทักษะการตั้งสมมติฐาน
ทักษะการจั ด กระทาและสื่ อความหมายข้อมูล และทักษะการตีความและลงข้อสรุป นอกจากนี้
นักศึกษายังมีความคิดเห็นในเชิงบวกต่อการทากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐานนี้อีกด้วย
คาสาคัญ: การเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐาน กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ นักศึกษาครูวิทยาศาสตร์
2 | วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีท…ี่ ฉบับที…่
Abstract
This research aim to design a research-based learning activities in electricity
and energy courses for science student teachers and to study the effects of using
research-based learning activities on science processes of science student teachers.
Mixed method research design was carried out. Research sample is the 44
undergraduate science student teacher from Faculty of Education, selected by cluster
sampling. The finding is that research-based learning activities which was designed and
constructed consist of 6 steps: 1) survey and observation 2) questioning/problem
definition 3) constructing hypotheses and experimental design 4) testing of hypothesis
5) data analysis and conclusion and 6) research presentation. This instructional
process was allowed for 12 weeks. The designed activity was approved suitability at
very good quality level (X̅ = 4.74, S.D. = 0.36). The result of intervention revealed that
students were able to learn through science processes at good to very good quality
(X̅ = 2.9 – 3.3). The qualitative analysis indicated that the students were enhanced to
practice science process skills in many aspects, especially observation skills,
constructing hypothesis skills, organizing data and communicating skill, and
interpreting data and conclusion skills. In addition, students also reflected the positive
opinions on this research-based learning activities.
Keywords: research-based learning, science process, science student teacher
บทนา
การจั ดการเรี ย นรู้ วิทยาศาสตร์ที่ป ระสบความส าเร็จนั้นคือการทาให้ ผู้เรียน “คิดแบบ
นั ก วิ ท ยาศาสตร์ ” (Think Like a Scientist) (Coil, Wenderoth, Cunningham, & Dirks, 2010)
ดังนั้นเป้าหมายที่สาคัญที่สุดในการสอนวิทยาศาสตร์ คือการพัฒนาผู้เรียนให้เข้าใจถึงธรรมชาติของ
วิทยาศาสตร์ (Nature of Science: NOS) ที่ผู้ เรียนจะต้องเข้าใจการอธิบายเกี่ยวกับความรู้ทาง
วิทยาศาสตร์ วิธีการที่นักวิทยาศาสตร์ได้มาซึ่งหาความรู้ การทางานหรือสังคมของนักวิทยาศาสตร์
รวมไปถึงคุณค่าของวิทยาศาสตร์ต่อสังคม (Faikhamta, 2016)
ความเข้าใจใน “กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ” (Science Process) เป็นส่วนหนึ่งของ
การเข้าใจธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ เพราะกระบวนทางวิทยาศาสตร์เป็นวิธีการที่นักวิทยาศาสตร์ใช้
ในการสืบเสาะแสวงหาความรู้ (Wilke & Straits, 2005; Wilson & Rigakos, 2016) ซึง่ กระบวนการ
ทางวิทยาศาสตร์จะประกอบด้วย 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ ระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์ หรือวิธีการทาง
วิทยาศาสตร์ (Scientific Method) และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Science Process
Journal of Education Naresuan University Vol… No…. | 3
Skills) (American Association for the Advancement of Science: AAAS, 1967) หากผู้เรียน
ได้รับการส่งเสริมให้เรียนรู้วิทยาศาสตร์โดยการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry)
ด้ว ยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จ ะสามารถช่ว ยฝึ กและพัฒ นาทัก ษะอื่น ๆ โดยเฉพาะทัก ษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให้แก่ผู้เรียนไปได้ในตัว และหากผู้สอนได้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ทาให้
ผู้เรียนได้ทากิจกรรมการสืบเสาะทางวิทยาศาสตร์ที่เกิดจากความสนใจของผู้เรียนเป็นรายบุคคลด้วย
แล้ว ก็จะทาให้การเรียนรู้นั้น น่าสนใจและมีความหมายต่อผู้เรียนมากขึ้นด้วย (Wilke & Straits,
2005)
ความพยายามในการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนากระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของผู้มีเรียนได้มี
การศึกษากันมาช้านาน (Bluhm, 1979) นักการศึกษาได้พยายามคิดค้นและออกแบบรูปแบบและ
วิธีการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ไปพร้อม ๆ กับการฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ซึ่งมีอยู่
หลายวิธี ได้แก่ การเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะ (Bybee et al., 2006) การเรียนรู้ผ่านการ
แสดงทางวิทยาศาสตร (Chanchaichana & Saeng-Xuto, 2018) การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน
(Koocharoenpisal, Butnian, Jaroensiri & Somjaroen, 2016) การเรียนรู้ โ ดยใช้ โ ครงงานเป็น
ฐาน (Bell, 2010) การเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา (Kijkuakul, 2015) และเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็น
ฐาน (Prasertsan, 2012) เป็นต้น จะเห็นได้ว่ารูปแบบการเรียนรู้ที่ได้ยกตัวอย่างมาข้างต้นนั้นล้วน
เป็นรูปแบบการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติทั้งสิ้น
การเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐาน (Research-based Learning: RBL) เป็นการจัดการเรียนรู้
เชิงรุก (Active Learning) แบบหนึ่งที่นาเอาความรู้จากงานวิจัยและผลการวิจัยมาใช้ในการสอน
หรือนาเอากระบวนการวิจัย มาเป็นพื้นฐานในการจัดการเรียนรู้ ให้แก่ผู้เรียน (Tomasik, Cottone,
Heethuis, & Mueller, 2013) การจัดการเรียนรู้แบบ RBL นี้ ผู้เรียนจะได้รับการฝึกฝนกระบวนการ
คิดและการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ (Chaidech, Chanunan, & Chaiyasit, 2017) ได้เรียนรู้ด้วย
การค้น คว้า ที่เ กิ ดจากประสบการณ์ ต รงทั้ ง ในและนอกห้ อ งเรี ยน (Tomasik et al., 2014) ผ่ าน
กระบวนการคิดในหลายรูปแบบ แล้วจึงสรุปมาเป็นองค์ความรู้ของตนเอง ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้
ด้วยตนเองจากประสบการณ์ในขณะที่ลงมือปฏิบัติ (Educative Experiences) และได้พัฒนาทักษะ
ต่ า ง ๆ (Dewey, 1897 อ้ า งถึ ง ใน Howes, 2008) ผู้ เ รี ย นจะถู ก ผลั ก ดั น ให้ เ กิ ด การใช้ ทั ก ษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์โดยอัตโนมัติ ควบคู่ไปกับการทากิจกรรมการเรียนรู้นั้น ขณะเดียวกัน
ผู้ เ รี ย นก็ จ ะได้ รั บ ความรู้ ใ นเนื้ อ หาวิช าจากความคิ ด รวบยอดที่ ผู้ เ รี ย นได้ วิ เ คราะห์ แ ละสรุ ป จาก
ประสบการณ์นั่นเอง (Prasertsan, 2012)
การจั ด การเรี ย นรู้ แ บบ RBL สามารถช่ ว ยพั ฒ นาทั ก ษะการออกแบบการทดลอง
(Experimental Designing Skill) และทักษะการแปลความหมายข้อมูล (Interpreting Data Skill)
(Winkelmann et al., 2015) และพัฒนาทักษะการอภิปรายอย่างมีวิจารณญาณ (Johnson et al.,
2010) อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมและพัฒนาความรู้ความสามารถในการทาวิจัย (Hsieh, Hsu & Huang,
4 | วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีท…ี่ ฉบับที…่
รูปที่ 1 กรอบแนวคิดของการวิจัย
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐานสาหรับรายวิชาไฟฟ้าและพลังงาน
ที่ใช้พัฒนากระบวนการทางวิทยาศาสตร์สาหรับนักศึกษาครูวิทยาศาสตร์
Journal of Education Naresuan University Vol… No…. | 5
2. เพื่อศึกษาผลของการสอนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยวิจัยเป็นฐานในการพัฒนา
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให้แก่นักศึกษาครูวิทยาศาสตร์
3. เพื่อศึกษาผลการสะท้อนความรู้สึกและความพึงพอใจของนักศึกษากลุ่มตัวอย่าง
หลังจากที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยวิจัยเป็นฐานรายวิชาไฟฟ้าและพลังงาน
วิธีดาเนินการวิจัย
1. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักศึกษาครูวิทยาศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 ของหลักสูตร
สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ภาคปกติ จานวน 44
คน ที่ถูกสุ่มมาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) จากนักศึกษาในหลักสูตรทั้งหมด 10
กลุ่มเรียน จานวนทั้งสิ้น 237 คน โดยใช้วิธีการจับฉลากกลุ่มเรียน นักศึกษาในกลุ่มนี้เป็นนักศึกษาที่
ไม่มีพื้นฐานการวิจัย หรือไม่เคยลงทะเบียนเรียนในรายวิชาที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยมาก่อน
2. รูปแบบการวิจัย
การวิ จั ย ครั้ ง นี้ เ ป็ น การวิ จั ย แบบผสมวิ ธี (Mixed Method Research) (Johnson,
Onwuegbuzie & Turner, 2007) โดยใช้ แ บบแผนการวิ จั ย แบบรองรั บ ภายใน (Embedded
Design) ที่มีการเก็บข้อมูลแบ่งเป็น 2 ระยะ (Sequential Design) และนาผลการวิจัยมาวิเคราะห์
และสรุปร่วมกัน (Schoonenboom & Johnson, 2017) ดังนี้
QAUN (QUAN + QUAL)
ระยะที่ 1 เป็นการศึกษาเชิงปริมาณ (QAUN) ของผลการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้
โดยใช้วิจัยเป็นฐาน
ระยะที่ 2 เป็นการศึกษาข้อมูลเชิง ปริมาณ (QAUN) และเชิงคุณภาพ (QAUL) ด้าน
พฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนที่แสดงออกถึง การเรียนรู้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์และทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงความพึงพอใจของผู้เรียน
3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
3.1 เครื่องมือที่ใช้เก็บ ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ 1) แบบประเมินคุณภาพแผนการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้แบบ RBL วิชาไฟฟ้าและพลังงาน ที่เป็นแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ และ 2)
แบบประเมินรายงานการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐาน ของนักศึกษากลุ่มตัว อย่าง ที่เป็นแบบมาตร
ประมาณค่า 4 ระดับ ค่าคะแนนต่าสุดเป็น 1 คะแนน และคะแนนสูงสุดเป็น 4 คะแนน
3.2 ข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้ตัวผู้วิจัยเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล (Kijkuakul,
2018)
4. วิธีการดาเนินงาน การเก็บรวบรวม และการวิเคราะห์ข้อมูล
6 | วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีท…ี่ ฉบับที…่
ตาราง 1 กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐานในรายวิชาไฟฟ้าและพลังงาน
สัปดาห์ ขั้นตอนของกิจกรรม กิจกรรมการเรียนรู้
การเรียนรูแ้ บบ RBL
1 ขั้นที่ 1 การสารวจ - แบ่งนักศึกษาออกเป็นกลุ่ม 7 กลุม่ กลุ่มละ 3-4 คน ตามหัวข้อ
และสังเกต ดังต่อไปนี้ 1) พลังงานนิวเคลียร์ 2) พลังงานลม 3) พลังงานชีวมวล
และเชื้อเพลิงชีวภาพ 4) พลังงานแสงอาทิตย์ 5) พลังงานความร้อน
ใต้พิภพ 6) พลังงานน้า และ 7) พลังงานมหาสมุทร
- นักศึกษาแต่ละกลุ่มสารวจพื้นที่ชมุ ชนในท้องถิ่น และสืบค้นหรือหา
ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับหัวข้อที่ได้รบั มอบหมาย เพื่อนาไปสู่การตั้ง
คาถามวิจัยสาหรับการเรียนรูโ้ ดยใช้วิจัยเป็นฐาน
2 ขั้นที่ 2 การตั้ง - นักศึกษาแต่ละกลุ่มสรุปประเด็นตัง้ คาถามวิจัย พร้อมทั้งตั้งชื่อหัวข้อ
คาถาม/ระบุปัญหา วิจัย
- นักศึกษาแต่ละกลุ่มนาเสนอหัวข้อวิจัย และคาถามการวิจัย
- ผู้สอนสะท้อนและให้ข้อแนะนาในการหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อนาไปใช้
สร้างกรอบแนวคิดในการตั้งสมมติฐานการวิจัย
3 ขั้นที่ 3 การตั้ง - นักศึกษากาหนดสมมติฐานและตัวแปรในการศึกษา/การทดลอง
สมมติฐานและ - นักศึกษานาเสนอสมมติฐานและตัวแปรในศึกษา และออกแบบ
ออกแบบการทดลอง วิธีการตรวจสอบสมมติฐาน
- ผู้สอนนาสู่การอภิปรายร่วมกันในชั้นเรียน และเพื่อน ๆ ในชั้นเรียน
ร่วมกันสะท้อนพร้อมทั้งให้ข้อเสนอแนะ
4-8 ขั้นที่ 4 การตรวจ - นักศึกษาลงมือสารวจ ทดลองและเก็บข้อมูลตามหัวข้อวิจัยของแต่
สอบสมมติฐาน ละกลุม่ อย่างอิสระ โดยมีอาจารย์ผู้สอนจะทาหน้าที่ให้คาปรึกษา
(Coaching) ให้กับนักศึกษาแต่ละกลุ่มตามวันและเวลาทีม่ ีการนัด
หมายล่วงหน้า หรือทางสื่อออนไลน์
9 ขั้นที่ 5 การวิเคราะห์ - นักศึกษานาผลการทดลองหรือผลการเก็บรวบรวมข้อมูลมา
ข้อมูลและการสรุปผล วิเคราะห์ และแปลความหมายข้อมูล พร้อมทั้งจัดกระทาข้อมูลเพื่อ
สื่อความหมายข้อมูล
- นักศึกษาสรุปผลการทดลอง/สรุปผลการวิจัย
10 ขั้นที่ 6 การนาเสนอ - นักศึกษาเตรียมข้อมูล/เขียนรายงานการวิจัย และเตรียมนาเสนอผล
ผลการวิจัย การศึกษาเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐาน
11 - 12 ขั้นที่ 6 การนาเสนอ - นักศึกษาทุกกลุ่มออกมานาเสนอผลการศึกษาเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็น
ผลการวิจัย (ต่อ) ฐาน กลุ่มละ 20-30 นาที
- ผู้สอนและเพื่อน ๆ ในชั้นเรียนร่วมกันซักถาม/อภิปรายโดยใช้เหตุ-
ผล ให้ข้อเสนอแนะอย่างสร้างสรรค์ ประมาณ 10 นาที
- นักศึกษาส่งรายงานการวิจัยในรูปแบบที่กาหนด
8 | วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีท…ี่ ฉบับที…่
2. ผลการประเมินกระบวนการทางวิทยาศาสตร์โดยการตรวจรายงานการเรียนรู้โดย
ใช้วิจัยเป็นฐาน
งานวิจั ย ในส่ ว นนี้ ผู้ วิจั ย มีจุ ดมุ่งหมายเพื่ อประเมิ นกระบวนการทางวิ ทยาศาสตร์ ข อง
นักศึกษากลุ่มตัวอย่างหลังจากที่นักศึกษากลุ่มตัวอย่างได้ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้แบบ RBL ของกลุ่ม
ตนเองเสร็ จ สิ้ น ลงไปแล้ ว ผู้ วิจั ย ทาการประเมินนักศึกษากลุ่ มตัว อย่างเป็นรายกลุ่ ม โดยใช้ แบบ
ประเมินรายงานการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐานที่ได้รับการตรวจสอบความสอดคล้องจากผู้เชี่ยวชาญ
มาแล้ว (IOC = 0.84) ซึ่งมีรายการในการประเมิน กระบวนการทางวิทยาศาสตร์จานวน 9 รายการ
ได้แก่ 1) การสารวจ/สังเกต 2) การตั้งคาถามหรือระบุปัญหา 3) การศึกษาค้นคว้าหาข้อมูล ทฤษฎี
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง หรือเอกสารอ้างอิง 4) การกาหนดสมมติฐาน 5) การวางแผน การออกแบบ
วิธีการหรือวิธีทดลอง 6) การดาเนินการทดลอง/ศึกษาพิสูจน์เพื่อหาคาตอบ 7) การวิเคราะห์ข้อมูล
การจัดกระทาข้อมูล และการอภิปรายผล 8) การสรุปผล และ 9) การเขียนเพื่อรายงาน สื่อสาร หรือ
นาเสนอผลการศึกษา ผลการวิเคราะห์ข้อมูลแสดงออกมาเป็นค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ดัง
แสดงในตาราง 2
ตาราง 2 ผลการประเมินกระบวนการทางวิทยาศาสตร์จากรายงานการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐาน
รายการประเมิน X̅ S.D.
1. การสารวจ/สังเกต 2.9 0.28
2. การตั้งคาถาม หรือระบุปัญหา 3.3 0.14
3. การศึกษา ค้นคว้าหาข้อมูล ทฤษฎี งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง หรือเอกสารอ้างอิง 3.1 0.18
4. การกาหนดสมมติฐาน 3.3 0.21
5. การวางแผน การออกแบบวิธีการหรือวิธีทดลอง 3.1 0.16
6. การดาเนินการทดลอง/ศึกษาพิสูจน์เพื่อหาคาตอบ 3.3 0.13
7. การวิเคราะห์ข้อมูล การจัดกระทาข้อมูล และการอภิปรายผล 3.1 0.18
8. การสรุปผล 3.3 0.21
9. การเขียนเพื่อรายงาน สื่อสาร หรือนาเสนอผลการศึกษา 3.2 0.20
คะแนนเฉลี่ยรวมทุกรายการ 3.2 0.11
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่นักศึกษาได้รับการฝึกและพัฒนาอย่างชัดเจนจาก
กิจ กรรมการเรี ย นรู้ โ ดยใช้วิจั ย เป็ น ฐานก็คือทักษะการทดลอง เนื่องจากการเรียนรู้ในลั กษณะนี้
นักศึกษาจะถูกฝึกให้ช่วยกันคิดอย่างเต็มที่ เพราะการศึกษาทดลองของแต่ละกลุ่มจะศึกษาแตกต่าง
กันไปตามปัญหาการวิจัยของแต่ละกลุ่มกาหนด จึงไม่มีการลอกเลียน หรือไม่มีใครคัดลอกจากกลุ่ม
อื่นได้ ในสภาวการณ์เช่นนี้ นักศึกษาจึงถูกผลักดันให้แสดงศักยภาพในการคิด การออกแบบ หา
วิธีการ เลื อกใช้เครื่ องมือ วัส ดุ อุป กรณ์ต่าง ๆ ด้ว ยตนเอง ซึ่งแตกต่างจากการเรียนในรายวิช า
ปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ ที่ ส่วนใหญ่มักจะมีคู่มือระบุอุปกรณ์ เครื่องมือ และลาดับวิธีการทดลอง
10 | วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีท…ี่ ฉบับที…่
ไว้อย่ างชัดเจนแล้ ว ผู้ เรี ย นเพีย งแต่ป ฏิบั ติ ต ามขั้น ตอนเหล่ า นั้น โดยใช้อุปกรณ์และเครื่ อ งมื อ ที่
กาหนดให้เท่านั้น ตัวอย่างการออกแบบการทดลองของนักศึกษาแสดงดังรูปที่ 2
(ก) (ข)
รูปที่ 2 ตัวอย่างการออกแบบการทดลอง (ก) แผนผังการจัดวางอุปกรณ์กลุ่ม R03 (ข) แบบร่างใบพัด
ที่ใช้ในการทดลองกลุ่ม R05
“...การทาโครงงานฐานวิจัยในครั้งนี้ทาให้เข้าใจรายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนการทาวิจัย
เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ได้รู้เทคนิคและแนวทางในการใช้เครื่องมือในการออกแบบวิจัย...”
(R011)
3. การสะท้อนได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ นักศึกษาได้แสดงข้อความการสะท้อนถึงสิ่งที่พวกเขา
ไม่เคยได้เจอหรือไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนในชีวิต แต่ได้รับประสบการณ์ ใหม่ ๆ เหล่านั้นจาก
กิจกรรมการเรียนรู้นี้ ตัวอย่างเช่น
“การทาวิจัยครั้งนี้เป็นการเรียนที่เปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้ในเรื่องที่สนใจ ได้ลงมือปฏิบัติจริง
และได้เรียนรู้ในสิ่งใหม่ ได้ทาวิจัยเป็นครั้งแรกในชีวิต และได้ลองใช้เครื่องทางวิทยาศาสตร์ที่
ไม่เคยรู้จักและไม่เคยได้ใช้มาก่อน...” (R01)
“โครงงานฐานวิจัยเป็นสิ่งที่แปลกใหม่สาหรับเรา การที่ได้ศึกษาทดลอง ลองผิดลองถูกทาให้
เราได้ความรู้ใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น...” (R05)
4. การสะท้ อ นถึ ง การได้ เ รี ย นรู้ จ ากการลงมื อ ปฏิ บั ติ ซึ่ ง เป็ น จุ ด มุ่ ง หมายส าคั ญ ของ
งานวิจัยนี้ เพื่อให้นักศึกษาได้ฝึกการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองผ่านการคิดและลงมือปฏิบัติด้วย
ตนเองจนค้นพบคาตอบและรู้แจ้งในสิ่งที่ศึกษา ตัวอย่างข้อความการสะท้อนของนักศึกษา เช่น
“...ได้ลองทดลองปฏิบัติจริง ด้วยตนเอง ทาให้เข้าใจเรื่องที่ศึกษาได้ดียิ่งขึ้น...” (R02)
“…ได้รับประสบการณ์ตรงจากการออกไปสารวจและเรียนรู้ด้วยตนเอง ถือเป็นการเรียนรู้ที่
คุ้มค่าและเป็นประโยชน์อย่างมาก” (R08)
5. การสะท้อนที่ได้แสดงถึงการได้คิดและการแก้ปัญหา นักศึกษาส่วนหนึ่งได้สะท้อนว่า
พวกเขาต้อ งคิด อยู่ ตลอดเวลา ในระหว่างที่ปฏิบั ติ กิจ กรรมการเรีย นรู้นี้ ทั้งยั งต้องหาวิธี ใ นการ
แก้ปัญหาที่เกิดขึ้น และปัญหาเฉพาะหน้าขณะที่ลงมือปฏิบัติหรือทาการทดลอง เช่น
“...จากการลงพื้นที่วิจัยครั้งนั้นทาให้ได้เรียนรู้ถึงข้อผิดพลาดและอุปสรรคของการทาวิจัย
และได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนต่างคณะ ซึ่งทาให้เกิดการคิดและการแก้ปัญหาได้ดี...”
(R01)
“...การได้ลงมือปฏิบัติก็ช่วยให้เราได้พัฒนาตนเองในเรื่องของทักษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์และช่วยฝึกการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างมีสติ มีเหตุมีผลที่รับมือกับมันได้...”
(R05)
12 | วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีท…ี่ ฉบับที…่
การอภิปรายผลการวิจัย
1. จากผลการวิจัยในการออกแบบและสร้างแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ RBL ใน
รายวิชาไฟฟ้าและพลังงานั้น แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมการเรียนรู้แบบ RBL ที่ผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้นมานี้มี
ความสอดคล้องกับกระบวนการวิจัย และมีความสอดคล้องกับกระบวนการเสาะแสวงหาความรู้ของ
นั ก วิ ท ยาศาสตร์ ห รื อ ที่ เ รี ย กว่ า “วิ ธี ก ารทางวิ ท ยาศาสตร์ ” (Wilke & Straits, 2005; Wilson &
Rigakos, 2016) โดยกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทั้ง 6 ขั้นตอนเอื้อให้ผู้เรียนได้สืบเสาะหา
ความรู้และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองผ่านกระบวนการวิจัยอย่างเต็มที่ ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้ด้วย
ตนเองจากประสบการณ์ในขณะที่ลงมือปฏิบัติ พร้อมกับได้พัฒนาทักษะต่าง ๆ ในระหว่างการเรียนรู้
นั้น (Dewey, 1897 อ้างถึงใน Howes, 2008)
2. ผลการทดลองใช้ กิจกรรมการเรียนรู้แบบ RBL ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นกับนักศึกษากลุ่ม
ตัวอย่าง บ่งชี้ว่ากิจกรรมดังกล่าวได้ ช่วยส่งเสริมกระบวนการแสวงหาความรู้ ด้วยการคิดอย่างเป็น
ระบบ (Chaidech et al., 2017) และในระหว่างกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นนั้นผู้เรียนจะถูกผลักดัน
Journal of Education Naresuan University Vol… No…. | 13
ข้อเสนอแนะจากการวิจัย
1) ข้อเสนอแนะในการนาผลการวิจัยไปใช้
ข้อจากัดในการดาเนินกิจกรรมการเรียนรู้ สาหรับการทาวิจัยครั้งนี้ คือ เมื่อนักศึกษาได้มี
การลงพื้นที่สารวจและสังเกต ณ พื้นที่หนึ่ง ๆ พร้อมทั้งได้ตั้งคาถามการวิจัยและได้วางแผนการ
ดาเนินงานวิจัยไปแล้ว แต่เมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่ง นักศึกษากลุ่มดังกล่าวกลับพบว่าไม่สามารถ
กลั บ ไปลงพื้ น ที่ ดั ง กล่ า วอี ก ครั้ ง เพื่ อ เก็ บ ข้ อ มู ล การวิจัย ได้ ท าให้ นั ก ศึ ก ษาต้ อ งเปลี่ ยนหั ว ข้อวิจัย
กะทันหันเมื่อใกล้จะสิ้นสุดแผนการทากิจกรรมในรายวิชา ส่งผลให้กระบวนการสืบค้นข้อมูลและการ
ค้นคว้าหาแนวคิดเพื่อตั้งเป็นสมมติฐานใหม่จึงไม่มีความรัดกุม รอบคอบเท่าที่ควร ดังนั้นการลด
ข้อจากัดที่อาจเกิดขึ้นดังกล่าว ผู้วิจัยขอเสนอว่าในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐานใน
ครั้งต่อไป ผู้สอนควรแทรกกิจกรรมการนาเสนอเค้าโครงการวิจัยเพิ่มเติมขึ้นมา เพื่อให้ผู้สอนและ
เพื่อนๆ ในชั้นเรียนได้ร่วมกันอภิปรายถึงความเป็นไปได้ในการนาไปปฏิบัติจริงและความเป็นไปได้
ของการจัดเตรียมวัสดุ อุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ ทั้งนี้เพื่อให้กลุ่มนักศึกษาเกิดความมั่นใจและยืนยัน
แนวทางการดาเนินงานที่จะลดโอกาสเกิดความล้มเหลวที่ทาให้ต้องเปลี่ยนแปลงหัวข้อ วิจัยใหม่กลาง
ครัน และผู้สอนควรกาหนดภาระงานและช่วงเวลาในการติดตามความก้าวหน้าของนักศึกษาเป็น
ระยะด้วย
Journal of Education Naresuan University Vol… No…. | 15
2) ข้อเสนอแนะในการทาวิจัยครั้งต่อไป
ในงานวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้กาหนดให้นักศึกษากลุ่มตัวอย่างทากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้
วิจัยเป็นฐานด้วยการทางานเป็นกลุ่ม เนื่องจากผู้วิจัยได้ยึดหลักการพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21
ด้วยการให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการทางานเป็นทีม (Collaborative Skill) และฝึกทักษะการสื่อสารใน
การทางานร่วมกับผู้อื่น (Communication Skill) ไปพร้อม ๆ กันด้วย ส่งผลให้การประเมินชิ้นงาน
รายงาน หรื อแม้แต่กระบวนการวิจั ย ต้องมีการประเมินแบบรายกลุ่ ม โดยยึดถือหลั กของความ
ไว้วางใจว่านักศึกษากลุ่มตัวอย่างที่เป็นสมาชิกภายในกลุ่มจะมีการแบ่งงานและช่วยเหลือกันทางาน
อย่ างเท่าเทีย มและทั่ว ถึง แม้ว่าในความเป็ นจริงแล้ ว สมาชิกบางคนภายในกลุ่มอาจจะไม่ได้ฝึก
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์บางประเด็นหรือบางขั้นตอน ดังนั้นในการวิจัยหรือศึกษาเพื่อต่อยอด
งานวิจัยนี้ต่อไปควรออกแบบวิธีวัดและประเมินผลนักศึกษากลุ่มตัวอย่างเป็นรายบุคคลร่วมกับการ
ประเมินเป็นกลุ่ม เพื่อให้ผลการวิจัยสะท้อนภาพที่ชัดแจ้งและสร้างองค์ความรู้ในเชิงลึกต่อไป
กิตติกรรมประกาศ
งานวิจัยนี้ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจาก งบประมาณเงินกองทุนวิจัยมหาวิทยาลัยราชภัฏ
สุราษฎร์ธานี ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2561
เอกสารอ้างอิง
ภาษาไทย
จุฑาทิพย์ อิทธิชินพัฒน์, เสนอ ภิรมย์จิตรผ่อง และณัฐกิตติ์ สวัสดิ์ไธสงค์. (2559). รูปแบบการ
จัดการเรียนการสอนโดยใช้การวิจัยเป็นฐานเพื่อพัฒนาทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลขการ
สื่อสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ. วารสาร
ชุมชนวิจัย, 10(3), 142-153.
ชาตรี ฝ่ายคาตา. (2559). ความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ของนักศึกษาครูวิทยา-
ศาสตร์ ในโครงการส่งเสริมการผลิตครูที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และ
คณิตศาสตร์ (สควค.). วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานี,
27(2), 21-37.
ธีรฎา ไชยเดช, สกนธ์ชัย ชะนูนันท์ และวิภารัตน์ เชื้อชวด ชัยสิทธิ์. (2560). การพัฒนาสมรรถนะ
การแก้ปัญหาแบบร่วมมือด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐานตามแนวคิดสะเต็มศึกษา
เรื่องเชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภัณฑ์. วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้, 8(1), 51-66.
16 | วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีท…ี่ ฉบับที…่
ภาษาอังกฤษ
American Association for the Advancement of Science (AAAS). (1967). Science – A
Process Approach. Washington, DC: AAAS.
Bell, S. (2010). Project-Based Learning for the 21st Century: Skills for the Future. The
Clearing House: A Journal of Educational Strategies, 83(2), 39-43.
Bluhm, W. J. (1979). The Effect of Science Process Skill Instruction on Preservice
Elementary Teachers' Knowledge of, Ability to Use, Ability to Sequence
Science Process Skills. Journal of Research in Science Teaching, 16(5), 427-
432.
Bybee, R. W., Taylor, J. A., Gardne, A., Scotter, P. V., Powell, J. C., Westbrook, A., &
et al. (2006). The BSCS 5E Instructional Model: Origin and Effectiveness.
Colorado Spring: BSCS.
Chaidech, T., Chanunan, S., & Chaiyasit, W. C. (2016). Development of Collaborative
Problem Solving Competency Using Research-Based Learning According to
STEM Education in Fossil Fuels and Products. Journal of Research Unit on
Science, Technology and Environment for Learning, 8(1), 51-66. (in Thai)
Journal of Education Naresuan University Vol… No…. | 17
Chamrat, S., Yutakom, N., & Chaiso, P. (2009). Grade 10 Science Students's
Understanding of the Nature of Science. KKU Research Journal, 14(4), 360-
374. (in Thai)
Chanchaichana, S., & Saeng-Xuto, V. (2018). Effect of Instruction with Science Shows
to Promote Science Process Skills of Prathom Suksa 6 Students. Journal of
Education Naresuan University, 20(4), 219-229. (in Thai)
Coil, D., Wenderoth, M. P., Cunningham, M., & Dirks, C. (2010). Teaching the Process
of Science: Faculty Perceptions and an Effective Methodology. CBE-life
Sciences Education, 9(4), 524-535.
Faikhamta, C. (2016). PSMT Pre-Service Science Teachers’ Understandings of Nature
of Science. Journal of Education, Prince of Songkla University, Pattani
Campus, 27(2), 21-37. (in Thai)
Hsieh, S. I., Hsu, L. L., & Huang, T. H. (2016). The Effect of Integrating Constructivist
and Evidence-Based Practice on Baccalaureate Nursing Student's Cognitive
Load and Learning Performance in a Research course. Nurse Education
Today, 42 (Supplement C), 1-8.
Howes, E. V. (2008). Educative Experiences and Early Childhood Science Education: A
Deweyan Perspective on Learning to Observe. Teaching and Teacher
Education, 24(3), 536-549.
Ittichinnapat, J. Piromjitpong, S. & Sawadthaisong, N. (2016). The Research-Based
Learning Model into Development Preferable Numerical Analysis Skills,
Communication and Information Technology Skills Faculty of Bachelor’s
Degree for Rajabhat Institute Instructors. NRRU Community Research
Journal, 10(3), 142-153.
Johnson, N., List-Ivankovic, J., Eboh, W. O., Ireland, J., Adams, D., Mowatt, E., &
Martindale, S. (2010). Research and Evidence Based Practice: Using a Blended
Approach to Teaching and Learning in Undergraduate Nurse Education. Nurse
Education in Practice, 10(1), 43-47.
Johnson, R. B., Onwuegbuzie, A. J., & Turner, L. A. (2007). Toward a Definition of
Mixed Methods Research. Journal of Mixed Methods Research, 1(2), 112-133.
Kijkuakul, S. (2015). STEM Education. Journal of Education Naresuan University,
17(2), 201-207. (in Thai)
18 | วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีท…ี่ ฉบับที…่