Professional Documents
Culture Documents
176 เนื้อหาบทความ 394 1 10 20180910
176 เนื้อหาบทความ 394 1 10 20180910
ด้านการจัดการ ในอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย
The Motivations and Attitudes of Thai Tourists towards The Environmental
and Management of Phimai Historical Park
นายธรา สุขคีรี และรองศาสตราจารย์ ดร. เลิศพร ภาระสกุล
หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการจัดการการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
บทคัดย่อ
การวิจยั ในครัง้ นีม้ วี ตั ถุประสงค์ 5 ประการ คือ 1) เพือ่ ศึกษาแรงจูงใจในด้านต่างๆ ของนักท่องเทีย่ ว
ชาวไทยในการเดินทางมาท่องเที่ยวในอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย 2) เพื่อศึกษาทัศนคติของนักท่องเที่ยว
ชาวไทยที่มีต่อคุณลักษณะด้านสภาพแวดล้อมและการจัดการการท่องเที่ยวในอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย
อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางด้านประชากรศาสตร์ของ
นักท่องเที่ยวชาวไทยกับทัศนคติต่อคุณลักษณะด้านสภาพแวดล้อมและการจัดการการท่องเที่ยวในอุทยาน
ประวั ติ ศ าสตร์ พิ ม าย 4) เพื่ อ ศึ ก ษาความแตกต่ า งของแรงจู ง ใจในการเดิ น ทางมาท่ อ งเที่ ย วในอุ ท ยาน
ประวัติศาสตร์พิมายกับปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ของนักท่องเที่ยวชาวไทย 5) เพื่อศึกษาอิทธิพลระหว่าง
แรงจูงใจในแต่ละด้านกับทัศนคติต่อคุณลักษณะด้านสภาพแวดล้อมและการจัดการการท่องเที่ยวในอุทยาน
ประวัตศิ าสตร์พมิ าย อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา โดยกลุม่ ตัวอย่างทีใ่ ช้ในการวิจยั ในครัง้ นี้ คือ นักท่องเทีย่ ว
สภาพแวดล้อมและการจัดการการท่องเที่ยวในอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย ปัจจัยทางด้านประชากรศาสตร์
ที่แตกต่างกันทำให้เกิดแรงจูงใจในด้านการเรียนรู้ทางวัฒนธรรมแตกต่างกัน ได้แก่ อายุ อาชีพ สถานภาพ
และรายได้ปัจจัยทางด้านประชากรศาสตร์ที่แตกต่างกันทำให้เกิดแรงจูงใจในด้านเกียรติภูมิแตกต่างกัน
ได้แก่ อายุ และภูมิลำเนา ปัจจัยทางด้านประชากรศาสตร์ที่แตกต่างกันทำให้เกิดแรงจูงใจในด้านการพักผ่อน
แตกต่างกัน ได้แก่ อาชีพ แรงจูงใจในด้านการเรียนรู้ทางวัฒนธรรมมีอิทธิพลต่อทัศนคติมากที่สุด (β 0.321)
รองลงมาคือ แรงจูงใจในด้านการพักผ่อน (β 0.170) และแรงจูงใจในด้านเกียรติภูมิ (β 0.029)
Abstract
The objectives of this research are to study : 1) the motivations of domestic
tourists visiting Phimai Historical Park. 2) the attitudes towards the environment and
management of Phimai Historical Park. 3) the relationship between the demographical
characteristics and attitudes towards the environment and management of Phimai
Historical Park. 4) the differences in the motivations for visiting Phimai Historical Park of the
differential demographical characteristics. 5) the influences of the motivations on the
attitudes of the thai domestic tourists towards the environmental attributes and tourism
management. The samples for this research were domestic tourists visiting Phimai
Historical Park. They were chosen at random, and 400 copies of questionnaires were
selected and analyzed. The tools used in this research were questionnaires. Descriptive
statistics were analyzed using frequency, percentage, mean and standard deviation.
Inferentail statistics were analyzed using factor analysis, t-test, F-test, chi-square and
multiple regression analysis.
The results of the analysis revealed that most of the respondents were single
female, between 15-25 years old with education lower than a bachelor’s degree. Most of
them had an incomes between 5,000-10,000 bath/month. Most of the respondents were
from northeast of Thailand. The motivation of domestic tourists consisted of 3 factors :
motivation to study culture, motivation for prestige and motivation for relaxation. Most of
them had very good attitudes towards the environment and management. Toursists’
gender had no relationship with the attitudes towards the environment and management.
Demographical characteristics that were significant to differences in the motivation to
มุ่งประเด็นการศึกษาในเรื่องการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งได้จำกัดพื้นที่ไปยังอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย
อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่สำคัญและมีชื่อเสียงของจังหวัด
นครราชสีมา ซึ่งตัวปราสาทหินพิมายนั้นมีความสำคัญยิ่งในด้านความเป็นเอกลักษณ์ทางด้านสถาปัตยกรรม
เรื่องราวของความเป็นอยู่และรวมไปถึงวิวัฒนาการการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างของผู้คนในสมัยก่อน นอกจาก
ตัวปราสาทหินพิมายที่เป็นสิ่งที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวชาวไทยได้เดินทางมาท่องเที่ยวแล้ว สภาพแวดล้อมโดย
รอบที่มีความอุดมสมบูรณ์มีความร่มรื่นและรวมไปถึงระบบการจัดการการท่องเที่ยวในอุทยานประวัติศาสตร์
พิมายก็ถือได้ว่าเป็นองค์ประกอบหลักที่มีความสำคัญเช่นเดียวกัน ในการดึงดูดให้นักท่องเที่ยวชาวไทย
ทำการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวในอุทยานประวัติศาสตร์พิมายว่า
ชาวไทยนั้นมีแรงจูงใจในการท่องเที่ยวด้านใด โดยการจำแนกตามแรงจูงใจในการเดินทางมาท่องเที่ยว
นอกจากนี้แล้วผู้วิจัยยังต้องการศึกษาทัศนคติของนักท่องเที่ยวชาวไทยต่อด้านสภาพแวดล้อมและด้าน
มาท่องเที่ยว และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจในแต่ละด้านกับทัศนคติที่มีต่อด้านสภาพแวดล้อมและ
ด้านการจัดการ เพื่อให้งานวิจัยชิ้นนี้เป็นข้อมูลพื้นฐานกับทางสำนักศิลปากรที่ 12 จังหวัดนครราชสีมาและ
อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย รวมไปถึงหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องเพื่อให้ได้ทราบถึงข้อมูลดังกล่าว เพื่อให้
การรักษามาตรฐานด้านสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้
วัตถุประสงค์
1. เพื่อศึกษาแรงจูงใจในด้านต่างๆ ของนักท่องเที่ยวชาวไทยในการเดินทางมาท่องเที่ยวในอุทยาน
ประวัติศาสตร์พิมาย
2. เพื่ อ ศึ ก ษาทั ศ นคติ ข องนั ก ท่ อ งเที่ ย วชาวไทยที่ มี ต่ อ คุ ณ ลั ก ษณะด้ า นสภาพแวดล้ อ มและ
การจัดการการท่องเที่ยวในอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย
2. นักท่องเที่ยวที่มีปัจจัยทางด้านประชากรศาสตร์ต่างกันมีแรงจูงใจในการเดินทางมาท่องเที่ยว
อุทยานประวัติศาสตร์พิมายไม่แตกต่างกัน
3. แรงจูงใจทีแ่ ตกต่างกันไม่มอี ทิ ธิพลต่อทัศนคติดา้ นสภาพแวดล้อมและด้านการจัดการการท่องเทีย่ ว
ในอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย
ในอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย
ขอบเขตการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้ได้กำหนดขอบเขตของการวิจัยไว้ ดังนี้
1. ขอบเขตด้านพื้นที่
การวิจัยในครั้งนี้จะทำการศึกษาในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย อำเภอพิมาย จังหวัด
นครราชสีมา
2. ขอบเขตด้านประชากร
ประชากรที่ทำการศึกษาในครั้งนี้ คือ นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวอุทยาน
ประวัติศาสตร์พิมาย อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป โดยจะทำการเก็บ
แบบสอบถามช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวทั้งหมด จำนวน 400 คน
3. ขอบเขตด้านเนื้อหา
การวิจัยในครั้งนี้จะทำการศึกษาวิจัยเนื้อหาโดยมุ่งไปที่การศึกษาแรงจูงใจในแต่ละด้านของ
นักท่องเที่ยวชาวไทยโดยใช้แรงจูงใจในการเดินทางมาท่องเที่ยวเป็นตัวกำหนด ทัศนคติของนักท่องเที่ยว
ชาวไทยต่อด้านสภาพแวดล้อมและด้านการจัดการ ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางด้านประชากรศาสตร์กับ
ทัศนคติต่อด้านสภาพแวดล้อมและการจัดการ ความแตกต่างของแรงจูงใจกับปัจจัยด้านประชากรศาสตร์
และอิทธิพลระหว่างแรงจูงใจในแต่ละด้านกับทัศนคติด้านสภาพแวดล้อมและด้านการจัดการ
5 ตอน ดังนี้
ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพ อาชีพ ระดับการศึกษา
รายได้ต่อเดือนและภูมิลำเนา จำนวน 7 ข้อคำถาม
ตอนที่ 2 แรงจูงใจในการเดินทางมาท่องเที่ยวในอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย โดยมีลักษณะแบบ
ประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ ซึ่ง 5 หมายถึง สำคัญมากที่สุด และ 1 หมายถึง สำคัญน้อยที่สุด
จำนวน 12 ข้อคำถาม
ตอนที่ 3 ระดับทัศนคติต่อคุณลักษณะด้านสภาพแวดล้อมและการจัดการการท่องเที่ยวในอุทยาน
ประวัติศาสตร์ พิมาย โดยมีลักษณะแบบประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ ซึ่ง 5 หมายถึง เห็นด้วย
(χ
= 2.58)
2. ผลการสำรวจทัศนคติต่อด้านสภาพแวดล้อมและด้านการจัดการในภาพรวม พบว่า มีทัศนคติที่
ดีมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า นักท่องเที่ยวที่มีทัศนคติอยู่ในระดับดีมากที่สุดต่อด้านโบราณ
สถาน/โบราณวัตถุ ด้านทรัพยากรบุคคล ด้านประชาสัมพันธ์และด้านราคา ในขณะที่นักท่องเที่ยวที่มี
ทัศนคติอยู่ในระดับดีต่อด้านสิ่งอำนวยความสะดวก
3. ผลการสำรวจความคิดเห็นต่อการปรับปรุงการจัดการในอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย พบว่า
เส้นทางการเดินชมสำหรับนักท่องเที่ยว การจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวแต่ละรอบเพื่อความเป็นระเบียบและ
การนำเทปบันทึกเสียง/เครื่องเล่นซีดีแบบพกพาแนะนำตัวปราสาทให้นักท่องเที่ยวยืม ในขณะที่การเพิ่ม
ค่าเข้าชมเป็นรายบุคคล นักท่องเที่ยวมีความเห็นที่ไม่เห็นด้วย
4. ผลการวิเคราะห์ปัจจัย (Factor analysis) การจำแนกแรงจูงใจออกเป็นด้านต่างๆ สามารถ
จำแนกออกได้เป็น 3 ด้าน ดังนี้
1) แรงจูงใจในด้านการเรียนรู้ทางวัฒนธรรม มีองค์ประกอบที่เป็นแรงจูงใจ ได้แก่ แรงจูงใจเพื่อ
การศึกษาค้นคว้าทางด้านวัฒนธรรมและโบราณคดี (factor loading = 0.809) แรงจูงใจเพื่อศึกษาโบราณ
วัตถุในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (factor loading = 0.757) แรงจูงใจเพื่อเยี่ยมชมสถาปัตยกรรมของ
ปราสาทหินพิมาย (factor loading = 0.731) แรงจูงใจชมสถานที่ที่มีชื่อเสียง (factor loading = 0.588)
และแรงจูงใจท่องเที่ยวในสถานที่แปลกใหม่ (factor loading = 0.569)
ต่ำกว่าปริญญาตรี
นักท่องเที่ยวอาชีพผู้บริหารมีแรงจูงใจสูงกว่าผู้ไม่ได้ประกอบอาชีพ, พนักงาน, เกษตรกร
วิชาชีพชั้นสูง และพนักงานใช้ฝีมือ/กึ่งฝีมือ
สูงกว่าสถานภาพโสดและสมรส
นักท่องเที่ยวรายได้ 15,001-20,000 บาท มีแรงจูงใจสูงกว่ารายได้ 20,000 บาทขึ้นไป,
10,001-15,000 บาท และ 5,000-10,000 บาท
นักท่องเที่ยวภูมิลำเนา กทม. มีแรงจูงใจสูงกว่าภาคเหนือ, ภาคกลางและภาคใต้ และ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
6. ผลการสำรวจข้อเสนอแนะด้านสภาพแวดล้อมและด้านการจัดการในอุทยานประวัติศาสตร์
พิมายพบประเด็นดังนี้ 1) ที่จอดรถของทางอุทยานไม่เพียงพอ 2) อยากให้มีร่มไว้บริการนักท่องเที่ยว 3) ควร
มีการประชาสัมพันธ์ผ่านเสียงตามสาย 4) ควรมีป้ายบอกข้อมูลแต่ละจุดให้ชัดเจนยิ่งขึ้น 5) ควรมีแผ่นพับที่
เป็นข้อมูลของอุทยานประวัติศาสตร์พิมายฉบับภาษาไทยและ 6) ควรมีช่องทางไว้สำหรับผู้พิการ
7. ผลการแสดงระดับทัศนคติของนักท่องเที่ยวต่อคุณลักษณะด้านสภาพแวดล้อมและการจัดการ
การท่องเที่ยวในอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย เพื่อให้สะดวกแก่การวิเคราะห์ผู้วิจัยจึงได้จัดกลุ่มทัศนคติให้
เหลือ 2 กลุ่ม คือ นักท่องเที่ยวที่มีค่าเฉลี่ยระหว่าง 3.25 ถึง 4.19 หมายถึง นักท่องเที่ยวที่มีทัศนคติอยู่ใน
ระดับดีปานกลางและค่าเฉลี่ยระหว่าง 4.20 ถึง 5.00 หมายถึง นักท่องเที่ยวที่มีทัศนคติอยู่ในระดับดีมาก
พบว่า นักท่องเที่ยวที่มีทัศนคติในระดับดีปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 45.25 ในขณะที่นักท่องเที่ยวที่มีทัศนคติ
ดีมาก คิดเป็นร้อยละ 54.75 ปี
มีแรงจูงใจในด้านการเรียนรู้ทางวัฒนธรรมแตกต่างกัน
2) แรงจูงใจในด้านเกียรติภูมิ พบว่า ปัจจัยทางด้านประชากรศาสตร์ที่แตกต่างกัน ได้แก่ อายุ
ไม่เพียงพอทำให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาด้วยรถส่วนตัวต้องนำไปจอดบริเวณด้านข้างขอบถนนชิดกับ
แรงจูงใจในด้านการพักผ่อน ซึง่ ได้สอดคล้องกับ ชวัลนุช อุทยาน (2552) ทีก่ ล่าวว่า จุดมุง่ หมายในการเดินทาง
ท่ อ งเที่ ย วมี 8 ประการ คื อ เพื่ อ พั ก ผ่ อ น เพื่ อ วั ฒ นธรรมและศาสนา เพื่ อ การศึ ก ษา เพื่ อ บั น เทิ ง
แยกกันอยู่ และสมรส
นักท่องเที่ยวรายได้ 20,000 บาทขึ้นไป มีแรงจูงใจสูงกว่านักท่องเที่ยวรายได้ 5,000-10,000
บาท 15,001-20,000 บาท และ 10,001-15,000 บาท
นักท่องเทีย่ วภูมลิ ำเนา กทม. มีแรงจูงใจสูงกว่าภูมลิ ำเนาภาคกลาง, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ,
46-55 ปี
นักท่องเที่ยวระดับการศึกษาปริญญาตรี มีแรงจูงใจสูงกว่าระดับสูงกว่าปริญญาตรี และ
ต่ำกว่าปริญญาตรี
นักท่องเที่ยวอาชีพผู้บริหาร มีแรงจูงใจสูงกว่าผู้ไม่ได้ประกอบอาชีพ, พนักงาน, เกษตรกร,
วิชาชีพชั้นสูง และพนักงานใช้ฝีมือ/กึ่งฝีมือ
นักท่องเที่ยวสถานภาพอย่าร้าง/หม้าย/แยกกันอยู่ มีแรงจูงใจสูงกว่าสถานภาพโสด และ
สมรส
นักท่องเที่ยวรายได้ 20,000 บาทขึ้นไป มีแรงจูงใจสูงกว่ารายได้ 5,000-10,000 บาท,
15,001-20,000 บาท และ 10,001-15,000 บาท
นักท่องเที่ยวภูมิลำเนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ มีแรงจูงใจสูงกว่าภาคเหนือ,
ภาคกลาง และ กทม. ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีแรงจูงใจซ่อนเร้นของ Crompton (1979) ที่กล่าวว่า แรงจูงใจ
ซ่อนเร้นมี 7 ประเภทดังนี้ หลีกหนีความจำเจ ประเมินตนเอง พักผ่อน ต้องการเกียรติภูมิ ต้องการกลับไปสู่
สภาพดั้งเดิม กระชับความสัมพันธ์และเสริมสร้างทางสังคม
- แรงจูงใจในด้านการพักผ่อน พบว่า
นักท่องเที่ยวเพศชายมีแรงจูงใจสูงกว่าเพศหญิง
นักท่องเที่ยวอายุ 36-45 ปี มีแรงจูงใจสูงกว่าอายุ 56 ปีขึ้นไป, 26-35 ปี, 15-25 ปี และ
46-55 ปี
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ซึ่ ง ผลการวิ เ คราะห์ ใ นข้ า งต้ น สอดคล้ อ งกั บ งานวิ จั ย ของ ฉั น ทั ช วรรณถนอม (2549)
ได้ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจให้นักท่องเที่ยวชาวไทยเลือกเดินทางมาท่องเที่ยวภายในประเทศ
ผลการศึกษา พบว่า นักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางมาท่องเที่ยวเพื่อมาพักผ่อนเป็นเหตุผลสำคัญที่สุดและ
เห็นว่าประเทศไทยมีจุดเด่นและแหล่งท่องเที่ยวมีความหลากหลาย
6) ข้อเสนอแนะต่อด้านสภาพแวดล้อมและด้านการจัดการ โดยนักท่องเที่ยวได้ให้ข้อเสนอแนะ
ในประเด็ น ต่ า งๆ ดั ง นี้ อยากให้ มี บ ริ เ วณที่ จ อดรถเพิ่ ม มากขึ้ น อยากให้ มี ร่ ม ไว้ ค อยบริ ก าร ควรมี
การประชาสัมพันธ์ผ่านเสียงตามสายควรมีป้ายบอกข้อมูลในแต่ละจุดให้ชัดเจนและควรมีทางเดินสำหรับ
ผู้พิการ
7) ทัศนคติของนักท่องเทีย่ วต่อด้านสภาพแวดล้อมและด้านการจัดการภาพรวม พบว่า นักท่องเทีย่ ว
เรื่องราวประวัติศาสตร์ และจะมีแรงจูงใจที่สูงกว่านักท่องเที่ยวที่มีอาชีพที่สังคมให้การยอมรับลงมา
ด้านสถานภาพ นักท่องเที่ยวสถานภาพโสดมีแรงจูงใจสูงสุด เนื่องจากเป้นกลุ่มนักท่องเที่ยว
ที่เป็นนักเรียน/นักศึกษา ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ยังไม่มีครอบครัวทั้งสิ้น
ด้านรายได้ นักท่องเทีย่ วรายได้สงู และนักท่องเทีย่ วรายได้นอ้ ยมีแรงจูงใจสูงกว่านักท่องเทีย่ ว
มีเงินเพียงพอที่จะทำการใช้จ่ายในด้านการท่องเที่ยว แต่ในขณะที่นักท่องเที่ยวรายได้น้อยส่วนใหญ่จะอยู่ใน
กลุ่มนักเรียน/นักศึกษา จะมีความสนใจที่จะศึกษาหาความรู้เพื่อการศึกษา
- นักท่องเที่ยวที่มีแรงจูงใจในด้านเกียรติภูมิ พบว่า อายุและภูมิลำเนาที่แตกต่างกันมีแรงจูงใจ
แตกต่างกัน สามารถอภิปรายได้ดังนี้
ด้านอายุ นักท่องเที่ยวที่มีอายุมากมีแรงจูงใจสูงสุด อาจจะเป็นเพราะนักท่องเที่ยวที่มีอายุ
มากจะเป็นผู้ว่างงาน ทำให้มีเวลาหากิจกรรมทำในยามว่าง แต่จะสังเกตเห็นได้ว่านักท่องเที่ยวอายุน้อยจะมี
แรงจูงใจสูงกว่านักท่องเที่ยวอายุวัยกลางคน แต่มีแรงจูงใจน้อยกว่ากลุ่มวัยที่เป็นผู้ใหญ่ อาจเป็นเพราะวัยนี้
เป็นวัยที่อยากเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เพื่อหลีกหนีความจำเจ
ด้านภูมิลำเนา นักท่องเที่ยวภูมิลำเนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้มีแรงจูงใจสูงสุด
ในส่วนของภูมลิ ำเนาทีม่ าจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือนัน้ นักท่องเทีย่ วสามารถเดินทางได้สะดวก ส่วนภาคใต้
นั้นจะต้องเดินทางมาด้วยเหตุผลที่สำคัญและมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน แต่ในขณะเดียวกันภูมิลำเนาภาคกลาง
จะมีแรงจูงใจสูงกว่านักท่องเที่ยวที่มีภูมิลำเนากรุงเทพมหานครแต่ยังน้อยกว่าภาคเหนือ อาจจะเป็นเพราะ
นักท่องเที่ยวที่อยู่กรุงเทพมหานครนั้นจะไม่ค่อยให้ความสนใจในการเดินทางมาท่องเที่ยวเท่าที่ควร เนือ่ งจาก
สถานทีท่ อ่ งเทีย่ วทีอ่ ยูโ่ ดยรอบกรุงเทพมหานครอาจจะมีความน่าสนใจและการเดินทางทีส่ ะดวกกว่า
- นักท่องเที่ยวที่มีแรงจูงใจในด้านเพื่อการพักผ่อน พบว่า อาชีพที่แตกต่างกันมีแรงจูงใจ
ที่เดินทางมาท่องเที่ยวในอุทยานประวัติศาสตร์พิมายส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวที่มีแรงจูงใจในด้าน
โดยนักท่องเที่ยวที่มีแรงจูงใจทั้ง 2 ด้านนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องได้รับความรู้จากแหล่งท่องเที่ยวมากเท่าที่ควร
อาจจะเพียงแค่เดินทางมาท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อนเท่านั้น
ข้อเสนอแนะ
ข้อเสนอแนะที่ได้จากการวิจัย
1. จากการสำรวจ พบว่า แรงจูงใจของนักท่องเที่ยวที่มากที่สุด คือ ด้านชมสถานที่ที่มีชื่อเสียง
เยี่ยมชมสถาปัตยกรรม และชมความสวยงามของปราสาทหินพิมาย ดังนั้นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น
หน่วยงานในท้องถิ่น เช่น หน่วยงานการประชาสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยว หน่วยงานขององค์กรปกครอง
ร่วมกันและตระหนักในคุณค่าของทรัพยากรหลักในด้านการท่องเที่ยวแห่งนี้ และให้การประชาสัมพันธ์
มากยิ่งขึ้น
2. จากการศึกษาอิทธิพลของแรงจูงใจแต่ละด้านกับทัศนคติด้านการจัดการการท่องเที่ยว พบว่า
แรงจูงใจในด้านการเรียนรู้ทางวัฒนธรรมมีอิทธิพลมากที่สุด รองลงมา คือ แรงจูงใจในด้านการพักผ่อน และ
แรงจูงใจในด้านเกียรติภูมิ อาจเป็นเพราะนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวที่มี
แรงจูงใจด้านเรียนรู้วัฒนธรรม ต้องการศึกษาหาความรู้ เรื่องราวความเป็นมา และรวมไปถึงการศึกษาถึง
วัฒนธรรมของผู้คนในสมัยก่อน ซึ่งจะแตกต่างกับนักท่องเที่ยวที่มีแรงจูงใจอีกทั้ง 2 ประเภท ที่มีต้นทุนด้าน
ความสนใจน้อยกว่า ดังนั้นสิ่งที่จะทำให้แรงจูงใจทั้ง 2 นั้นมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นมา ผู้ที่มีส่วนที่เกี่ยวข้องควรหัน
กลับไปมองนักท่องเที่ยวทั้ง 2 กลุ่มนี้ ต้องหากิจกรรมการท่องเที่ยวอื่นๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักท่องเที่ยว
ได้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อนให้มากยิ่งขึ้น
ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยครั้งต่อไป
1. การศึกษาในเนื้อหาเดียวกันแต่กลุ่มตัวอย่างเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เพื่อการเปรียบเทียบ
ระหว่างนักท่องเที่ยวชาวไทยกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติว่ามีแรงจูงใจและทัศนคติด้านสภาพแวดล้อมและ
ด้านการจัดการเป็นอย่างไร และเพื่อให้การศึกษานั้นมีเนื้อหาที่ครอบคลุมกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งหมด
2. การศึกษาด้านความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยว เนื่องจากมีการคาดว่าในอนาคตจะมี
จำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมทั้งยังศึกษาในเรื่องของผลกระทบจาก
การท่องเที่ยว เพื่อการประเมินและทำการป้องกันไม่ให้สถานที่ท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากการท่องเที่ยว
มากจนเกินไปจนเกิดความเสื่อมโทรม
ในรุ่นหลังที่เดินทางมาท่องเที่ยว
เอกสารอ้างอิง
กฤษณะ เดชาสุรักษ์ชน. (2552). พฤติกรรมและทัศนคติของนักท่องเที่ยวอิสระชาวต่างชาติที่มีต่อ
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์บริหารธุรกิจ
มหาบัณฑิต สาขาวิชาการตลาด คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
ฉันทัช วรรณถนอม. (2549). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจให้นักท่องเที่ยวชาวไทยเลือกเดินทาง
ท่องเทีย่ วภายในประเทศ. วิทยานิพนธ์ศลิ ปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการอุตสาหกรรม