You are on page 1of 36

ไฮไลท์

ของแนวทางการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (CPR)
และการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลอดเลือดในภาวะฉุกเฉิน (ECC)
ของ American Heart Association (AHA) ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558
สารบัญ
บทน�ำ . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 1
ประเด็นด้านจริยธรรม. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 3
ระบบการดูแลและการปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 3
การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานในผู้ใหญ่และคุณภาพในการนวดหัวใจ
ผายปอดกู้ชีพ: การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพโดยผู้ช่วยเหลือทั่วไป . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 5
การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานในผู้ใหญ่และคุณภาพในการนวดหัวใจ
ผายปอดกู้ชีพ: ผู้ให้บริการด้านสุขภาพ การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 8
เทคนิคทางเลือกและอุปกรณ์ช่วยเหลือส�ำหรับการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ. . . . . . . 11
การช่วยชีวิตขั้นสูงส�ำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจหลอดเลือดในผู้ใหญ่ . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 13
การดูแลหลังภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 15
ภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 16
การกู้ชีพในสถานการณ์พิเศษ. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 18
การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานในเด็กและคุณภาพในการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ . . . . . . . 20
การช่วยชีวิตขั้นสูงในเด็ก . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 23
การกู้ชีพในทารกแรกเกิด . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 25
การให้ความรู้ . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 27
การปฐมพยาบาล. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 29
เอกสารอ้างอิง . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 32

กิตติกรรมประกาศ
American Heart Association ขอขอบคุณบุคคลดังต่อไปนี้ที่ให้การสนับสนุนในการพัฒนาเอกสารนี้: Mary Fran Hazinski, RN, MSN; Michael
Shuster, MD; Michael W. Donnino, MD; Andrew H. Travers, MD, MSc; Ricardo A. Samson, MD; Steven M. Schexnayder, MD; Elizabeth
H. Sinz, MD; Jeff A. Woodin, NREMT-P; Dianne L. Atkins, MD; Farhan Bhanji, MD; Steven C. Brooks, MHSc, MD; Clifton W. Callaway,
MD, PhD; Allan R. de Caen, MD; Monica E. Kleinman, MD; Steven L. Kronick, MD, MS; Eric J. Lavonas, MD; Mark S. Link, MD;
Mary E. Mancini, RN, PhD; Laurie J. Morrison, MD, MSc; Robert W. Neumar, MD, PhD; Robert E. O’Connor, MD, MPH; Eunice M.
Singletary, MD; Myra H. Wyckoff, MD; and the AHA Guidelines Highlights Project Team.
© 2558 American Heart Association
ใน ฉันทามตินานาชาติด้านวิทยาศาสตร์การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (CPR)
บทน�ำ และการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลอดเลือดในภาวะฉุกเฉิน (ECC) พร้อมกับ
ค�ำแนะน�ำการรักษา พ.ศ. 2558 (COSTAR) ซึ่งได้รับการตีพิมพ์พร้อมกัน
เอกสาร “ไฮไลท์ของแนวทาง” ฉบับนี้ได้สรุปประเด็นส�ำคัญและการเปลี่ยนแปลง ในวารสาร Circulation2 และ Resuscitation3
ใน แนวทางการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (CPR) และการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจ
หลอดเลือดในภาวะฉุกเฉิน (ECC) ของ American Heart Association (AHA) แนวทางการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (CPR) และการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจ
ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558 ซึ่งพัฒนาขึ้นมาส�ำหรับผู้ด�ำเนินการกู้ชีพและส�ำหรับครู หลอดเลือดในภาวะฉุกเฉิน (ECC) ของ AHA ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558 อิงกับ
ของ AHA เพื่อมุ่งเน้นวิทยาศาสตร์การกู้ชีพและค�ำแนะน�ำตามแนวทางที่ส�ำคัญที่ กระบวนการประเมินหลักฐานระหว่างประเทศที่ผู้ทบทวนหลักฐาน 250 คน
สุดหรือข้อโต้แย้ง หรือสิ่งที่อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการปฏิบัติการกู้ชีพ จาก 39 ประเทศมีส่วนร่วม กระบวนการในการทบทวนอย่างเป็นระบบ ส�ำหรับ
หรือการฝึกอบรมการกู้ชีพ นอกจากนี้ ยังระบุถึงเหตุผลส�ำหรับค�ำแนะน�ำด้วย คณะกรรมการประสานงานระหว่างประเทศด้านการกู้ชีพ (ILCOR) พ.ศ. 2558
เนื่องจากเอกสารฉบับนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้เป็นบทสรุป จึงไม่ได้อ้างอิง แตกต่างอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับกระบวนการที่ใช้ใน พ.ศ. 2553 ส�ำหรับ
การวิจัยสนับสนุนที่ตีพิมพ์และไม่ได้แสดงประเภทของค�ำแนะน�ำหรือระดับของ กระบวนการในการทบทวนอย่างเป็นระบบ พ.ศ. 2558 นั้น คณะท�ำงาน
หลักฐาน ส�ำหรับข้อมูลโดยละเอียดและเอกสารอ้างอิง ขอเชิญชวนให้ผู้อ่าน เฉพาะกิจของ ILCOR ได้จัดล�ำดับความส�ำคัญของหัวข้อในการทบทวน โดย
อ่าน แนวทางการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (CPR) และการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจ เลือกหัวข้อที่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์หรือข้อโต้แย้งใหม่เพียงพอที่จะกระตุ้น
หลอดเลือดในภาวะฉุกเฉิน (ECC) ของ AHA ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558 รวม ให้ท�ำการทบทวนอย่างเป็นระบบ ผลของการจัดล�ำดับความส�ำคัญนี้ ท�ำให้มี
ถึง บทสรุปส�ำหรับผู้บริหาร1 ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Circulation ในเดือน การทบทวนที่ด�ำเนินการเสร็จสิ้นใน พ.ศ. 2558 (166 รายการ) น้อยกว่าใน
ตุลาคม 2558 ตลอดจนถึงดูบทสรุปโดยละเอียดเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การกู้ชีพ พ.ศ. 2553 (274 รายการ)

ภาพที่ 1
ระบบการจ�ำแนกประเภทใหม่ของ AHA ส�ำหรับประเภทของค�ำแนะน�ำและระดับของหลักฐาน*

ระดับ (ความแข็งแรง) ของคำาแนะนำา ระดับ (คุณภาพ) ของหลักฐาน‡


ระดับ I (ชัดเจน) ประโยชน์ >>> ความเสี่ยง ระดับ A
วลีที่แนะนำ�สำ�หรับก�รเขียนคำ�แนะนำ�:  หลักฐ�นคุณภ�พ-สูง‡ จ�กม�กกว่� 1 ก�รวิจัยแบบสุ่มมีกลุ่มควบคุม
 ขอแนะนำ�  ก�รวิเคร�ะห์อภิม�นของก�รวิจัยแบบสุ่มมีกลุ่มควบคุมที่มีคุณภ�พ-สูง
 มีข้อบ่งใช้/มีประโยชน์/มีประสิทธิภ�พ/มีผลดี  หนึ่ง หรือม�กกว่�ของก�รวิจัยแบบสุ่มมีกลุ่มควบคุมซึ่งยืนยันโดยก�รศึกษ�
 ควรจะดำ�เนินก�ร/ให้/อื่นๆ ที่ได้รับก�รลงทะเบียนที่มีคุณภ�พ-สูง
 วลีเปรียบเทียบประสิทธิผล†:
 ก�รรักษ�/แนวท�ง ก นั้นเป็นที่แนะนำ�/มีข้อบ่งชี้ม�กกว่� ก�รรักษ� ข
ระดับ B-R (แบบสุ่ม)
 ก�รรักษ� ก ควรจะถูกเลือกม�กกว่� ก�รรักษ� ข  หลักฐ�นคุณภ�พ-ป�นกล�ง‡ จ�ก 1 หรือม�กกว่�ของก�รวิจัยแบบสุ่ม
มีกลุ่มควบคุม
ระดับ IIa (ปานกลาง) ประโยชน์ >> ความเสี่ยง  ก�รวิเคร�ะห์อภิม�นของก�รวิจัยแบบสุ่มมีกลุ่มควบคุมที่มีคุณภ�พ-ป�นกล�ง
วลีที่แนะนำ�สำ�หรับก�รเขียนคำ�แนะนำ�:
 มีเหตุผล
ระดับ B-NR (แบบไม่มีการสุ่ม)
 น่�จะมีประโยชน์/มีประสิทธิภ�พ/มีผลดี  หลักฐ�นคุณภ�พ-ป�นกล�ง‡ จ�ก 1 หรือม�กกว่�ของก�รวิจัยแบบไม่มี
 วลีเปรียบเทียบประสิทธิผล†: ก�รสุ่มที่มีก�รออกแบบที่ดีและก�รดำ�เนินก�รที่ดี, ก�รศึกษ�แบบสังเกต,
 ก�รรักษ�/แนวท�ง ก นั้นอ�จจะเป็นที่แนะนำ�/มีข้อบ่งชี้ม�กกว่� หรือก�รศึกษ�ที่ได้รับก�รลงทะเบียน
ก�รรักษ� ข  ก�รวิเคร�ะห์อภิม�นของก�รศึกษ�เหล่�นั้น
 มีเหตุผลที่จะเลือกก�รรักษ� ก ม�กกว่� ก�รรักษ� ข

ระดับ C-LD (ข้อมูลที่มีอย่างจำากัด)


ระดับ IIb (อ่อน) ประโยชน์ ≥ ความเสี่ยง
 ก�รศึกษ�แบบสังเกตแบบสุ่มหรือแบบไม่มีก�รสุ่ม หรือ ก�รศึกษ�ที่ได้รับ
วลีที่แนะนำ�สำ�หรับก�รเขียนคำ�แนะนำ�: ก�รลงทะเบียนที่มีข้อจำ�กัดในก�รออกแบบหรือก�รดำ�เนินก�ร
 อ�จ/อ�จจะมีเหตุผล
 ก�รวิเคร�ะห์อภิม�นของก�รศึกษ�เหล่�นั้น
 อ�จ/อ�จพิจ�รณ�
 ก�รศึกษ�ท�งสรีรวิทย�หรือกลไกในมนุษย์
 ประโยชน์/ประสิทธิผล ยังไม่เป็นที่ทร�บ/ไม่ชัดเจน/ไม่แน่นอน หรือ
ยังไม่เป็นที่ยอมรับ ระดับ C-EO (ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ)
ระดับ III: ไม่มีประโยชน์ (ปานกลาง) ประโยชน์ = ความเสี่ยง ฉันท�มติของคว�มเห็นของผู้เชี่ยวช�ญโดยอิงจ�กประสบก�รณ์ท�งคลินิก
(โดยทั่วไป, ใช้ระดับของหลักฐาน A หรือ B เท่านั้น)
วลีที่แนะนำ�สำ�หรับก�รเขียนคำ�แนะนำ�: ระดับคว�มแข็งแรงของคำ�แนะนำ�และระดับของหลักฐ�นจะถูกกำ�หนดโดยอิสระจ�กกัน (ระดับคว�ม
แข็งแรงของคำ�แนะนำ�ใดๆ อ�จถูกจับคู่กับระดับของหลักฐ�นใดๆ)
 ไม่แนะนำ�
คำ�แนะนำ�ซึ่งมีระดับของหลักฐ�น C ไม่ได้หม�ยคว�มว่�คำ�แนะนำ�นั้นจะไม่หนักแน่น หล�ยคำ�ถ�ม
 ไม่มีข้อบ่งใช้/มีประโยชน์/มีประสิทธิภ�พ/มีผลดี
ท�งคลินิกที่สำ�คัญที่ได้กล่�วถึงในแนวท�งก�รปฏิบัติไม่เหม�ะสมกับก�รวิจัยท�งคลินิก อ�จจะมี
 ไม่ควรจะดำ�เนินก�ร/ให้/อื่นๆ คว�มเห็นเป็นเอกฉันท์ท�งคลินิกที่ชัดเจนม�กว่�ก�รทดสอบหรือก�รรักษ�นั้นๆเป็นประโยชน์หรือ
มีประสิทธิภ�พแม้ว่�จะไม่มีผลก�รวิจัยแบบสุ่มมีกลุ่มควบคุม
ระดับ III: เป็นอันตราย (ชัดเจน) ความเสี่ยง > ประโยชน์ * ผลลัพธ์หรือผลจ�กก�รให้ก�รรักษ�ควรจะชัดเจน (เป็นผลก�รรักษ�ที่ดีขึ้นหรือคว�มถูกต้องของ
ก�รวินิจฉัยเพิ่มขึ้นหรือข้อมูลเพื่อก�รพย�กรณ์โรคที่เพิ่มขึ้น)
วลีที่แนะนำ�สำ�หรับก�รเขียนคำ�แนะนำ�: † คำ�แนะนำ�สำ�หรับก�รเปรียบเทียบประสิทธิผล (ระดับคว�มแข็งแรงของคำ�แนะนำ� I และ IIa; ระดับ
 มีโอก�สทำ�ให้เกิดอันตร�ยได้ ของหลักฐ�น A และ B เท่�นั้น), ก�รศึกษ�ที่สนับสนุนก�รใช้คำ�กริย�เพื่อใช้เปรียบเทียบควรจะ
 ทำ�ให้เกิดอันตร�ย เกี่ยวข้องกับก�รเปรียบเทียบโดยตรงของก�รรักษ�หรือก�รประเมินแผนก�รรักษ�
 เกี่ยวข้องกับก�รเพิ่มขึ้นของอัตร�ก�รเจ็บป่วย/อัตร�ก�รต�ย ‡ วิธีก�รประเมินคุณภ�พมีก�รพัฒน�ขึ้น, รวมทั้งก�รประยุกต์ใช้เครื่องมือก�รให้คะแนนหลักฐ�นที่มี
ม�ตรฐ�น, มีก�รใช้กันอย่�งแพร่หล�ย และโดยเฉพ�ะอย่�งยิ่งตรวจสอบแล้ว; และก�รผนวกเข้�กัน
 ไม่ควรจะดำ�เนินก�ร/ให้/อื่นๆ
ของคณะกรรมก�รทบทวนหลักฐ�นสำ�หรับก�รทบทวนเอกส�รอย่�งเป็นระบบ
EO หม�ยถึง คว�มเห็นของผู้เชี่ยวช�ญ; LD หม�ยถึง ข้อมูลที่มีอย่�งจำ�กัด; NR หม�ยถึง แบบไม่มีก�รสุ่ม;
R หม�ยถึง แบบสุ่ม

ไฮไลท์ของแนวทางการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (CPR) และการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลอดเลือดในภาวะฉุกเฉิน (ECC) ของ AHA ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558 1


เมื่อเลือกหัวข้อได้แล้ว มีกระบวนการที่ส�ำคัญเพิ่มเติม 2 ข้อในกระบวนการ ภาพที่ 2
ทบทวนใน พ.ศ. 2558 ประการแรกคือผู้ทบทวนใช้การจัดระดับ
การประเมินค�ำแนะน�ำ การพัฒนา และการประเมินผล (GRADE: การกระจายตัวของประเภทของประเภทของค�ำแนะน�ำ
www.gradeworkinggroup.org) ซึ่งเป็นระบบการทบทวนหลักฐานที่มีการจัด และระดับของหลักฐานคิดเป็นร้อยละจากค�ำแนะน�ำ
โครงสร้างอย่างดีและสามารถท�ำซ�้ำได้เพื่อปรับปรุงความสอดคล้องและคุณภาพ ทั้งหมด 315 ค�ำแนะน�ำ จาก แนวทางของ AHA
ของการทบทวนอย่างเป็นระบบใน พ.ศ. 2558 ประการที่สอง ผู้ทบทวนจาก ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558
ทั่วโลกสามารถท�ำงานร่วมกันในการทบทวนอย่างเป็นระบบได้จริง โดยใช้
แพลตฟอร์มบนเว็บ AHA ที่สร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์นี้ชื่อว่า ระบบประเมินผล
และทบทวนหลักฐานอย่างเป็นระบบ (SEERS) ซึ่งได้รับการออกแบบมา ประเภทของค�ำแนะน�ำ พ.ศ. 2558
เพื่อรองรับขั้นตอนจ�ำนวนมากในกระบวนการประเมินผล มีการใช้เว็บไซต์ ระดับ III: ไม่มี ระดับ III: เป็นอันตราย
ประโยชน์ 5%
SEERS ในการเผยแพร่ร่างเอกสาร ฉันทามตินานาชาติด้านวิทยาศาสตร์การ 2%
นวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (CPR) และการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลอดเลือดใน
ภาวะฉุกเฉิน (ECC) พร้อมกับค�ำแนะน�ำการรักษา พ.ศ. 2558 (COSTAR) ระดับ I:
25%
ของ ILCOR ต่อสาธารณะ และใช้เพื่อรับฟังข้อคิดเห็นจากสาธารณะด้วยเช่นกัน
หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ SEERS และดูรายการการทบทวน
ระดับ IIb:
อย่างเป็นระบบทั้งหมดที่ด�ำเนินการโดย ILCOR โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ 45%
ระดับ IIa:
www.ilcor.org/seers 23%

แนวทางการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (CPR) และการดูแลผู้ป่วยโรค


หัวใจหลอดเลือดในภาวะฉุกเฉิน (ECC) ของ AHA ฉบับปรับปรุง
พ.ศ. 2558 แตกต่างไปจากแนวทางการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (CPR)
และการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลอดเลือดในภาวะฉุกเฉิน (ECC) ของ
AHA ฉบับก่อนหน้านี้อย่างมาก คณะกรรมการการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจ ระดับของหลักฐาน
ระดับของหลักฐาน A
หลอดเลือดในภาวะฉุกเฉิน (ECC Committee) เห็นว่าฉบับ พ.ศ. 2558 นี้ 1%
เป็นการปรับปรุงที่ด�ำเนินการเฉพาะหัวข้อที่ด�ำเนินการในการทบทวนหลักฐาน ระดับของหลักฐาน
ระดับของ
ของ ILCOR พ.ศ. 2558 หรือหัวข้อที่ได้รับการร้องขอจากเครือข่ายการฝึกอบรม หลักฐาน C- B-การศึกษา
ความเห็นของ แบบสุ่ม
การตัดสินใจนี้ท�ำให้มั่นใจว่าเรามีมาตรฐานในการประเมินหลักฐานเพียงหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญ 15% ระดับของ
23% หลักฐาน B-
เดียวเท่านั้น และนั่นคือกระบวนการที่สร้างขึ้นโดย ILCOR ดังนั้น แนวทาง การศึกษาที่
ไม่มีการสุ่ม 15%
การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (CPR) และการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลอดเลือดใน
ภาวะฉุกเฉิน (ECC) ของ AHA ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558 จึงไม่ใช่การแก้ไข ระดับของหลักฐาน
C-ข้อมูลที่มีอย่างจ�ำกัด
แนวทางการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (CPR) และการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจ 46%
หลอดเลือดในภาวะฉุกเฉิน (ECC) ของ AHA ฉบับ พ.ศ. 2553 อย่างครอบคลุม
เอกสารฉบับสมบูรณ์มีอยู่ในระบบออนไลน์ที่เว็บไซต์ ECCguidelines.heart.org
เอกสาร ฉันทามตินานาชาติด้านวิทยาศาสตร์การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ ร้อยละจากค�ำแนะน�ำทั้งหมด 315 ค�ำแนะน�ำ
(CPR) และการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลอดเลือดในภาวะฉุกเฉิน (ECC) พร้อม
กับค�ำแนะน�ำการรักษา พ.ศ. 2558 (COSTAR) เริ่มกระบวนการทบทวน
วิทยาศาสตร์การกู้ชีพที่มีความต่อเนื่อง โดยจะมีการปรับปรุงหัวข้อที่ได้รับ หลอดเลือดในภาวะฉุกเฉิน (ECC) ของ AHA ต่อรายงานฉบับนี5้ ว่าจ�ำเป็น
การทบทวนใน พ.ศ. 2558 ตามที่จ�ำเป็น ตลอดจนถึงมีการเพิ่มหัวข้อใหม่ ต้องด�ำเนินการอีกมากเพื่อพัฒนาวิทยาศาสตร์และแนวทางปฏิบัติด้านการกู้ชีพ
ผู้อ่านจะต้องการติดตามเว็บไซด์ SEERS เพื่อให้ได้รับข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับ ให้ก้าวหน้าต่อไป ต้องมีความพยายามร่วมกันเพื่อจัดหาเงินทุนส�ำหรับการวิจัย
วิทยาศาสตร์การกู้ชีพและการประเมินผลของ ILCOR ในวิทยาศาสตร์ การกู้ชีพในภาวะหัวใจหยุดท�ำงานเหมือนกับที่เคยขับเคลื่อนการวิจัยโรคมะเร็ง
การกู้ชีพดังกล่าว เมื่อมีหลักฐานเพียงพอที่ระบุถึงความจ�ำเป็นในการ และโรคหลอดเลือดสมองในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา เมื่อพิจารณาค�ำแนะน�ำ
เปลี่ยนแนวทางการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (CPR) และการดูแลผู้ป่วยโรค ในแนวทางฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558 (ภาพที่ 2) พบว่ามีช่องว่างในวิทยาศาสตร์
หัวใจหลอดเลือดในภาวะฉุกเฉิน (ECC) ของ AHA จะมีการด�ำเนินการ อย่างชัดเจน โดยรวมแล้ว ระดับของหลักฐานและประเภทของค�ำแนะน�ำใน
เปลี่ยนแปลงดังกล่าวและสื่อสารไปยังแพทย์และเครือข่ายการฝึกอบรม การกู้ชีพมีค่าต�่ำ เพียง 1% ของค�ำแนะน�ำทั้งหมดใน พ.ศ. 2558 (3 จาก 315)
โดยยึดตามระดับสูงสุดของหลักฐาน (LOE A) และเพียง 25% ของค�ำแนะน�ำ
แนวทางฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558 ใช้ค�ำจ�ำกัดความประเภทค�ำแนะน�ำและระดับ (78 จาก 315) ซึ่งจัดเป็นประเภทที่ 1 (แนะน�ำอย่างยิ่ง) ค�ำแนะน�ำในแนวทาง
ของหลักฐานเวอร์ชั่นล่าสุดของ AHA (ภาพที่ 1) ผู้อ่านจะสังเกตได้ว่าเวอร์ชั่นนี้มี ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558 ส่วนใหญ่ (69%) ได้รับการสนับสนุนโดยระดับต�่ำสุด
ค�ำแนะน�ำประเภทที่ 3 ที่ปรับปรุงคือ ไม่มีประโยชน์ ใช้ไม่บ่อยนักเมื่อหลักฐาน ของหลักฐาน (LOE C-LD หรือ C-EO) และเกือบครึ่ง (144 จาก 315, 45%)
บ่งชี้ว่ากลยุทธ์ที่สาธิตโดยการศึกษาที่มีคุณภาพปานกลางหรือสูง (ระดับของ จัดเป็นประเภท IIb (แนะน�ำอย่างไม่หนักแน่น)
หลักฐาน [LOE] A หรือ B ตามล�ำดับ) ไม่ดีไปกว่ากลุ่มควบคุม มีการปรับปรุง
ระดับของหลักฐาน ปัจจุบันระดับของหลักฐาน B แบ่งเป็นระดับของหลักฐาน ผู้เข้าร่วมยึดถือข้อก�ำหนดในการเปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อนของ AHA อย่าง
B-R (การศึกษาแบบสุ่ม) และระดับของหลักฐาน B-NR (การศึกษาที่ไม่ใช่ เคร่งครัดตลอดกระบวนการประเมินผลหลักฐานของคณะกรรมการประสานงาน
แบบสุ่ม) ปัจจุบันระดับของหลักฐาน C แบ่งเป็นระดับของหลักฐาน C-LD ระหว่างประเทศด้านการกู้ชีพ และการพัฒนาแนวทางฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558
(ข้อมูลจ�ำกัด) และ C-EO (ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ) เจ้าหน้าที่ AHA ได้ประมวลผลการเปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อนมากกว่า 1000
รายการ และประธานของกลุ่มที่เขียนแนวทางทั้งหมดและสมาชิกของกลุ่มที่
ดังที่ได้สรุปความไว้ในรายงานของสถาบันทางการแพทย์ที่ตีพิมพ์ล่าสุด4 เขียนแนวทางอย่างน้อย 50% ถูกก�ำหนดว่าจะต้องไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน
และการตอบสนองจากการส�ำรวจความคิดเห็นด้านการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจ ที่เกี่ยวข้อง

2 American Heart Association


ภาวะโคม่าหลังภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน และข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับประโยชน์ของการ
ประเด็นด้านจริยธรรม ทดสอบและการศึกษาเฉพาะจะเป็นข้อมูลในการตัดสินใจเกี่ยวกับเป้าหมายของ
การดูแลและการรักษาที่จ�ำกัด
ขณะที่แนวทางการปฏิบัติการกู้ชีพมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การพิจารณา
เป็นที่รับรู้อย่างชัดเจนว่า ถึงแม้เด็กและวัยรุ่นจะไม่สามารถท�ำการตัดสินใจที่
ด้านจริยธรรมก็จ�ำเป็นต้องมีการพัฒนาเช่นกัน การจัดการการตัดสินใจ
ผูกพันทางกฎหมายได้ แต่เด็กและวัยรุ่นก็ควรจะได้รับการแบ่งบันข้อมูลเท่าที่
หลายอย่างเกี่ยวกับการกู้ชีพเป็นความท้าทายในหลายมุมมอง แต่ไม่มีอะไร
ท้าทายไปกว่าเมื่อผู้ให้บริการด้านสุขภาพ (HCP) ด�ำเนินการกับการตัดสิน เป็นไปได้ โดยใช้ภาษาและข้อมูลที่เหมาะสมส�ำหรับระดับพัฒนาการของผู้ป่วย
ใจด้านจริยธรรมเพื่อให้หรือหยุดการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดฉุกเฉิน แต่ละคน นอกจากนี้ ได้มีการเปลี่ยนวลี ข้อจ�ำกัดในการดูแล เป็น ข้อจ�ำกัดใน
การรักษา และมีการเพิ่มการจัดเตรียมแบบฟอร์มค�ำสั่งแพทย์ส�ำหรับการรักษา
ประเด็นด้านจริยธรรมเกี่ยวกับว่าจะเริ่มการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพหรือไม่ หรือ ชีวิตไว้ (POLST) ซึ่งเป็นวิธีการใหม่ในการระบุบุคคลที่มีข้อจ�ำกัดที่เฉพาะเจาะจง
จะหยุดเมื่อใด มีความซับซ้อนและอาจแตกต่างไปตามสถานการณ์ (ภายในหรือ ในการรักษาในช่วงสุดท้ายของชีวิตตามกฎหมายทั้งในและนอกสถานพยาบาล
ภายนอกโรงพยาบาล) ผู้ด�ำเนินการ (พื้นฐานหรือขั้นสูง) และกลุ่มผู้ป่วย (ทารก แม้มีข้อมูลใหม่ว่าความส�ำเร็จในการปลูกถ่ายไตและตับจากผู้บริจาคที่เป็นผู้ใหญ่
แรกเกิด เด็ก ผู้ใหญ่) ถึงแม้ว่าหลักการด้านจริยธรรมจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่เกี่ยวข้องกับการที่ผู้บริจาคได้รับการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพหรือไม่ แต่การ
ตั้งแต่มีการเผยแพร่แนวทางฉบับ พ.ศ. 2553 แต่มีการปรับปรุงข้อมูลที่ บริจาคอวัยวะหลังจากการกู้ชีพยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน มุมมองเกี่ยวกับข้อกังวล
รายงานการหารือด้านจริยธรรมหลายครั้งตลอดกระบวนการทบทวนหลักฐาน ด้านจริยธรรมหลายข้อที่ยังเป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันเกี่ยวกับการบริจาคอวัยวะใน
กระบวนการทบทวนหลักฐานของ ILCOR พ.ศ. 2558 และผลของแนวทาง สถานการณ์ฉุกเฉินสรุปอยู่ใน “ส่วนที่ 3: ประเด็นด้านจริยธรรม” ของแนวทาง
ฉบับปรับปรุงของ AHA ระบุถึงการปรับปรุงทางวิทยาศาสตร์หลายประการ
ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558
ซึ่งมีผลโดยนัยต่อการตัดสินใจด้านจริยธรรมส�ำหรับผู้ป่วยที่ใกล้ภาวะหัวใจ
หยุดท�ำงาน (periarrest) ภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน (arrest) และหลังภาวะหัวใจ
หยุดท�ำงาน (post arrest) ระบบการดูแลและการปรับปรุงคุณภาพ
ค�ำแนะน�ำที่ปรับปรุงและค�ำแนะน�ำใหม่ที่ส�ำคัญ อย่างต่อเนื่อง
ซึ่งอาจให้ข้อมูลในการตัดสินใจ ด้านจริยธรรม แนวทางฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558 น�ำเสนอมุมมองใหม่ด้านระบบการดูแลที่
• การท�ำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพภายนอกร่างกาย (ECPR) ท�ำให้ภาวะหัวใจหยุดท�ำงานที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล (IHCAs) ต่างกับภาวะหัวใจ
ส�ำหรับภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน หยุดท�ำงานที่เกิดขึ้นนอกโรงพยาบาล (OHCAs) ให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ไฮไลท์
ส�ำคัญ ได้แก่
• ปัจจัยช่วยพยากรณ์โรคภายในภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน
(Intra-arrest prognostic factors) • การแบ่งประเภทระบบการดูแลแบบสากล
• การทบทวนหลักฐานเกี่ยวกับคะแนนการพยากรณ์โรคในทารก • การแบ่งแยกแผนภาพเหตุการณ์ต่อเนื่องส�ำหรับผู้ใหญ่โดย AHA
ที่คลอดก่อนก�ำหนด ของการรอดชีวิตเป็น 2 เหตุการณ์ต่อเนื่อง เหตุการณ์ต่อเนื่อง
หนึ่งส�ำหรับระบบการดูแลภายในโรงพยาบาล และอีกเหตุการณ์
• การพยากรณ์โรคในเด็กและผู้ใหญ่หลังจากภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน ต่อเนื่องหนึ่งส�ำหรับระบบการดูแลภายนอกโรงพยาบาล
• การท�ำงานของอวัยวะที่ปลูกถ่ายที่ฟื้นตัวหลังจากภาวะหัวใจหยุด • การทบทวนหลักฐานที่ดีที่สุดว่ามีการทบทวนระบบการดูแลภาวะ
ท�ำงาน หัวใจหยุดท�ำงานเหล่านี้อย่างไร โดยเน้นที่ภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน
กลยุทธ์ในการกู้ชีพแบบใหม่ เช่น การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพภายนอกร่างกาย ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายชนิด ST-segment elevation (STEMI)
(ECPR) ท�ำให้การตัดสินใจหยุดมาตรการกู้ชีพซับซ้อนมากขึ้น (ดูหัวข้อ การช่วย และโรคหลอดเลือดสมอง
ให้ฟื้นคืนชีพจากโรคหัวใจ
หลอดเลือดขั้นสูงในผู้ใหญ่ ใน ภาพที่ 3
เอกสารนี้) การท�ำความเข้าใจ
การใช้อย่างเหมาะสม สิ่งที่ การจัดหมวดหมู่ของระบบการดูแล: SPSO
เกี่ยวข้อง และผลประโยชน์ที่
เป็นไปได้ที่เกี่ยวกับการรักษา โครงสร้าง กระบวนการ ระบบ ผลลัพธ์
แบบใหม่นั้นจะส่งผลกระทบ
ต่อการตัดสินใจ มีข้อมูลใหม่ ความพึงพอใจ
เกี่ยวกับการพยากรณ์โรคใน บุคลากร เกณฑ์วิธี แผนงาน
การให้ความรู้ นโยบาย องค์กร
ทารกแรกเกิด เด็ก และผู้ใหญ่ อุปกรณ์ ขั้นตอน วัฒนธรรม
ที่มีภาวะหัวใจหยุดท�ำงานและ
หลังจากภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน ผู้ป่วย
(ดูหัวข้อการช่วยให้ฟื้นคืนชีพ โครงสร้าง กระบวนการ ระบบ
ผลลัพธ์
จากโรคหัวใจหลอดเลือดขั้น
สูงในผู้ใหญ่ และการดูแลหลัง
ภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน) การใช้ คุณภาพ ความปลอดภัย
การจัดการให้ได้ตามอุณหภูมิ
เป้าหมาย (TTM) ที่เพิ่มขึ้น
ท�ำให้เกิดความท้าทายใหม่ๆ
ในการท�ำนายผลลัพธ์ทาง การปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
ประสาทวิทยาในผู้ป่วยที่อยู่ใน บูรณาการ ความร่วมมือ การวัดผล เกณฑ์มาตรฐาน การแสดงความคิดเห็น

ไฮไลท์ของแนวทางการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (CPR) และการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลอดเลือดในภาวะฉุกเฉิน (ECC) ของ AHA ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558 3


องค์ประกอบของระบบการดูแล หัวใจหยุดท�ำงานจะพึ่งพาความช่วยเหลือของชุมชน ผู้ช่วยเหลือทั่วไปต้องรับรู้ว่า
เป็นภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน ขอความช่วยเหลือ และเริ่มการนวดหัวใจผายปอด
2558 (ใหม่): มีการแสดงองค์ประกอบสากลของระบบการดูแลให้กับผู้มี กู้ชีพ และท�ำการกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้า (เช่น การกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าที่
ส่วนเกี่ยวข้องโดยให้กรอบโครงร่วมเพื่อประกอบกันเป็นระบบการกู้ชีพที่สมบูรณ์ สามารถเข้าถึงได้ในที่สาธารณะ (PAD)) จนกระทั่งทีมผู้ให้บริการด้านการบริการ
(ภาพที่ 3) ทางการแพทย์ฉุกเฉิน (EMS) ที่เป็นมืออาชีพเข้ามารับผิดชอบ และส่งผู้ป่วยไปยัง
เหตุผล: การให้บริการทางสาธารณสุขต้องมีโครงสร้าง (เช่น คน เครื่องมือ แผนกฉุกเฉิน และหรือ ห้องปฏิบัติการสวนหัวใจ และที่สุดแล้วผู้ป่วยจะถูกส่งต่อ
การศึกษา) และกระบวนการ (เช่น นโยบาย เกณฑ์วิธี ขั้นตอน) ซึ่งเมื่อครบถ้วน ไปยังหน่วยดูแลผู้ป่วยวิกฤตเพื่อการดูแลอย่างต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้าม ผู้ป่วย
สมบูรณ์แล้วจะท�ำให้เกิดระบบ (เช่น โครงการ หน่วยงาน วัฒนธรรม) ซึ่งน�ำไป ซึ่งเกิดภาวะหัวใจหยุดท�ำงานที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลจะพึ่งพิงระบบการเฝ้าระวัง
สู่ผลลัพธ์ที่เหมาะสม (เช่น การรอดชีวิตและความปลอดภัยของผู้ป่วย คุณภาพ ที่เหมาะสม (เช่น การตอบสนองอย่างรวดเร็ว หรือ ระบบการเตือนล่วงหน้า)
ความพึงพอใจ) ระบบการดูแลที่มีประสิทธิภาพประกอบไปด้วยองค์ประกอบ เพื่อป้องกันภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน หากมีภาวะหัวใจหยุดท�ำงานเกิดขึ้น ผู้ป่วยจะ
ทั้งหมดเหล่านี้ ได้แก่ โครงสร้าง กระบวนการ ระบบ และผลลัพธ์ต่อผู้ป่วย พึ่งพิงการท�ำงานร่วมกันอย่างราบรื่นระหว่างแผนกและบริการต่างๆ ของสถาบัน
ในกรอบโครงการปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง และพึ่งพิงทีมผู้ให้บริการมืออาชีพจากหลากหลายสาขาวิชา ได้แก่ แพทย์
พยาบาล นักบ�ำบัดระบบหายใจ และอื่นๆ
เหตุการณ์ต่อเนื่องของการรอดชีวิต
2558 (ใหม่): มีค�ำแนะน�ำให้แยกเหตุการณ์ต่อเนื่องของการรอดชีวิต (ภาพ
การใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อเรียกตัวผู้ช่วยเหลือ
ที่ 4) ที่ระบุวิธีการดูแลที่ต่างกันส�ำหรับผู้ป่วยที่เกิดภาวะหัวใจหยุดท�ำงานภายใน 2558 (ใหม่): อาจมีเหตุผลที่ชุมชนจะน�ำเทคโนโลยีสื่อสังคมออนไลน์
โรงพยาบาลกับที่เกิดในสถานการณ์ภายนอกโรงพบาบาล มาใช้เรียกตัวผู้ช่วยเหลือซึ่งอยู่ในสถานที่ใกล้เคียงกับผู้ป่วยที่สงสัยว่าเกิดภาวะ
หัวใจหยุดท�ำงาน และยินดีและสามารถ ท�ำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพได้
เหตุผล: การดูแลผู้ป่วยหลังภาวะหัวใจหยุดท�ำงานทุกคนไม่ว่าจะเกิดภาวะ
หัวใจหยุดท�ำงานที่ใด ต่างมารวมกันอยู่ที่โรงพยาบาล ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการดูแล เหตุผล: มีหลักฐานจ�ำนวนจ�ำกัดที่สนับสนุนการใช้สื่อสังคมออนไลน์โดยมีผู้รับ
ผู้ป่วยหลังภาวะหัวใจหยุดท�ำงานจะด�ำเนินการโดยหน่วยดูแลผู้ป่วยหนัก เรื่องแจ้งไปยังผู้ช่วยเหลือที่มีศักยภาพต่อภาวะหัวใจหยุดท�ำงานซึ่งอยู่ใกล้เคียง
องค์ประกอบของโครงสร้างและกระบวนการที่จ�ำเป็นก่อนที่จะมาจบลงที่ และการกระตุ้นให้สื่อสังคมออนไลน์ไม่ได้แสดงว่ามีการรอดชีวิตดีขึ้นจากภาวะ
โรงพยาบาลนั้นมีความแตกต่างกันมากระหว่าง 2 สถานการณ์ ผู้ป่วยที่มีภาวะ หัวใจหยุดท�ำงาน อย่างไรก็ตาม การศึกษาล่าสุดในประเทศสวีเดนพบว่ามีการ

ภาพที่ 4
เหตุการณ์ต่อเนื่องของการรอดชีวิตส�ำหรับภาวะหัวใจหยุดท�ำงานที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล (IHCA)
และภาวะหัวใจหยุดท�ำงานนอกโรงพยาบาล (OHCA)

ภาวะหัวใจหยุดทำงานที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล

การเฝาระวังและ การรับรูและ การนวดหัวใจผายปอด การกระตุนหัวใจ การชวยชีวิตขั้นสูง


การปองกัน การแจงระบบตอบรับ กูชีพที่มีคุณภาพสูง ดวยไฟฟาอยางรวดเร็ว และการดูแลภายหลัง
ฉุกเฉิน อยางทันที ภาวะหัวใจหยุดทำงาน

หอง หนวยดูแล
ผูใหบริการดานสุขภาพขั้นพื้นฐาน ทีมกูชีพฉุกเฉิน ปฏิบัติการ
สวนหัวใจ ผูปวยหนัก

ภาวะหัวใจหยุดทำงานที่เกิดขึ้นนอกโรงพยาบาล

การรับรูและ การนวดหัวใจผายปอด การกระตุนหัวใจ บริการการแพทย การชวยชีวิตขั้นสูง


การแจงระบบตอบรับ กูชีพที่มีคุณภาพสูง ดวยไฟฟาอยางรวดเร็ว ฉุกเฉินขั้นพื้นฐาน และการดูแลภายหลัง
ฉุกเฉิน อยางทันที และขั้นสูง ภาวะหัวใจหยุดทำงาน

การบริการ แผนก หอง หนวย


ผูชวยเหลือที่เปนบุคคลทั่วไป ทางการแพทย ปฏิบัติการ ดูแล
ฉุกเฉิน ฉุกเฉิน สวนหัวใจ ผูปวยหนัก

4 American Heart Association


เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยส�ำคัญของอัตราการเริ่มนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพโดยผู้ประสบ ผู้ป่วยต่อปีที่เพียงพอ และข้อตกลงในการปรับปรุงสมรรถนะอย่างต่อเนื่อง
เหตุ เมื่อมีการใช้ระบบรับแจ้งเรื่องทางโทรศัพท์เคลื่อนที6่ จากอันตรายใน ซึ่งรวมถึงการวัดผล เกณฑ์มาตรฐาน และทั้งการแสดงความคิดเห็นและการ
ระดับต�่ำและประโยชน์ที่เป็นไปได้ ตลอดจนถึงอุปกรณ์ดิจิตอลที่พบได้ทั่วไป เปลี่ยนแปลงกระบวนการ โดยหวังว่าระบบการดูแลระหว่างการกู้ชีพจะ
เทศบาลเมืองต่างๆ ควรพิจารณาในการน�ำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ในระบบการ ประสบความส�ำเร็จในการเพิ่มอัตราการรอดชีวิตซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากการ
ดูแลภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน ก�ำหนดระบบการดูแลอื่นๆ เช่น การบาดเจ็บ

การกู้ชีพเป็นทีม: ระบบสัญญาณเตือนล่วงหน้า
ทีมดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน และระบบทีมแพทย์ฉุกเฉิน การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานและ
2558 (ปรับปรุง): ส�ำหรับผู้ป่วยผู้ใหญ่ ระบบทีมดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน (RRT) การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพในผู้ใหญ่
หรือ ระบบทีมแพทย์ฉุกเฉิน (MET) สามารถมีประสิทธิภาพในการลดอุบัติการณ์ คุณภาพ: การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ
ของภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหอผู้ป่วยทั่วไป สถานพยาบาล
ซึ่งให้การดูแลเด็กที่มีการเจ็บป่วยที่มีความเสี่ยงสูงในแผนกผู้ป่วยในทั่วไป ควร
โดยผู้ช่วยเหลือทั่วไป
พิจารณาจัดตั้งระบบทีมแพทย์ฉุกเฉิน/ทีมดูแลผู้ป่วยเด็กฉุกเฉิน อาจพิจารณาใช้
ระบบสัญญาณเตือนล่วงหน้าส�ำหรับผู้ใหญ่และเด็ก สรุปย่อประเด็นและการเปลี่ยนแปลงที่ส�ำคัญ
2553 (เดิม): แม้มีหลักฐานที่ขัดแย้งกันอยู่ แต่ฉันทามติของผู้เชี่ยวชาญ ประเด็นและการเปลี่ยนแปลงที่ส�ำคัญตามค�ำแนะน�ำในแนวทางฉบับปรับปรุง
แนะน�ำให้มีการบ่งชี้ผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อภาวะหัวใจหยุดท�ำงานอย่างเป็นระบบ การ พ.ศ. 2558 ส�ำหรับการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพในผู้ใหญ่โดยผู้ช่วยเหลือทั่วไป
ตอบสนองที่มีการจัดการอย่างดีส�ำหรับผู้ป่วยดังกล่าว และการประเมินผลลัพธ์ มีดังต่อไปนี้
เพื่อสนับสนุนการปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง • ไม่มีการเปลี่ยนแปลงการเชื่อมโยงที่ส�ำคัญในแผนภาพเหตุการณ์ต่อเนื่อง
เหตุผล: มีการจัดตั้ง RRT หรือ MET ขึ้นเพื่อให้การรักษาระยะเริ่มแรก ส�ำหรับผู้ใหญ่ของการรอดชีวิตภายนอกโรงพยาบาลไปจาก พ.ศ. 2553
โดยยังคงเน้นที่ขั้นตอนวิธีการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (BLS) ในผู้ใหญ่
แก่ผู้ป่วยที่มีอาการทางคลินิกแย่ลงโดยมีเป้าหมายเพื่อป้องกันภาวะหัวใจ
หยุดท�ำงานที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล ทีมประกอบไปด้วยการรวมกันของแพทย์ • มีการเปลี่ยนแปลงขั้นตอนวิธีการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานในผู้ใหญ่เพื่อสะท้อน
พยาบาล และนักบ�ำบัดระบบหายใจ ตามปกติ ทีมเหล่านี้จะถูกเรียกตัวมาที่ข้าง ข้อเท็จจริงว่าผู้ช่วยเหลือสามารถกระตุ้นให้มีการตอบรับฉุกเฉินได้ (ได้แก่
เตียงผู้ป่วยเมื่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลพบว่าผู้ป่วยมีอาการแย่ลงอย่างเฉียบพลัน โดยการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่) โดยไม่ต้องออกห่างจากข้างกายผู้ป่วย
โดยทั่วไป ทีมจะน�ำอุปกรณ์ตรวจสอบฉุกเฉินและอุปกรณ์กู้ชีพและยามาด้วย • มีค�ำแนะน�ำว่าชุมชนซึ่งมีผู้ที่เสี่ยงต่อภาวะหัวใจหยุดท�ำงานให้น�ำโครงการ
ถึงแม้ว่าหลักฐานยังมีการพัฒนาต่อไป แต่พบว่าแนวคิดให้ทีมฝีกอบรมในท่าทาง การกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าที่สามารถเข้าถึงได้ในที่สาธารณะ (PAD) มาใช้
การกู้ชีพที่ซับซ้อนมีประสิทธิภาพตามเป้าหมายที่ก�ำหนด ปฏิบัติ
• มีการปรับปรุงค�ำแนะน�ำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อส่งเสริมการรับรู้ถึง
การปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่องส�ำหรับ การไม่ตอบสนองได้ในทันที การกระตุ้นระบบตอบรับฉุกเฉิน และการ
โครงการกู้ชีพ เริ่มต้นการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ ถ้าผู้ช่วยเหลือทั่วไปพบว่าผู้ป่วย
ไม่ตอบสนองคือไม่หายใจหรือหายใจไม่เป็นปกติ (เช่น หายใจล�ำบาก)
2558 (การยืนยันของปี 2553): ควรก�ำหนดให้มีการประเมินระบบ
การกู้ชีพอย่างต่อเนื่องและการปรับปรุงระบบการดูแล • เพิ่มการเน้นย�้ำเกี่ยวกับการบ่งชี้ภาวะหัวใจหยุดท�ำงานที่อาจเกิดขึ้นได้
รวดเร็วโดยผู้รับเรื่องที่ให้การสอนวิธีการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพให้กับผู้โทร
เหตุผล: มีหลักฐานแสดงถึงความแตกต่างระหว่างภูมิภาคที่ส�ำคัญใน ได้ในทันที (ได้แก่ การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพตามค�ำบอกของผู้รับเรื่อง
เหตุการณ์ที่รายงานและผลลัพธ์ของภาวะหัวใจหยุดท�ำงานในสหรัฐฯ ความแตก (dispatch-guided CPR))
ต่างนี้แสดงถึงความจ�ำเป็นของชุมชนและระบบในการระบุการเกิดภาวะหัวใจหยุด
• ยืนยันล�ำดับขั้นตอนที่แนะน�ำส�ำหรับผู้ช่วยเหลือคนเดียว โดยผู้ช่วยเหลือ
ท�ำงานที่ได้รับการรักษาอย่างแม่นย�ำ และการบันทึกผลลัพธ์ มีแนวโน้มส�ำหรับ คนเดียวเริ่มกดที่หน้าอกก่อนการช่วยหายใจ (การกดหน้าอก (C) -
โอกาสในการปรับปรุงอัตราการรอดชีวิตในหลายชุมชน การเปิดทางเดินหายใจ (A) - การช่วยหายใจ (B) แทนที่จะเป็น การเปิด
โครงการกู้ชีพที่ด�ำเนินการในชุมชนและโครงการกู้ชีพที่ด�ำเนินการใน ทางเดินหายใจ (A) - การช่วยหายใจ (B) - การเพิ่มการไหลเวียนเลือด
โรงพยาบาลควรตรวจสอบภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน ระดับการดูแลระหว่างการกู้ชีพ (C)) เพื่อไม่ให้การกดหน้าอกครั้งแรกช้าออกไป ผู้ช่วยเหลือคนเดียว
ที่ด�ำเนินการ และผลลัพธ์อย่างเป็นระบบ การปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ควรเริ่มท�ำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพด้วยการกดหน้าอก 30 ครั้ง
รวมถึงการประเมินและการแสดงความคิดเห็นอย่างเป็นระบบ การวัดผลหรือ ตามด้วยการช่วยหายใจ 2 ครั้ง
เกณฑ์มาตรฐาน และการวิเคราะห์ จ�ำเป็นต้องมีความพยายามอย่างต่อเนื่อง • มีการเน้นย�้ำถึงลักษณะของการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพที่มีคุณภาพสูง
เพื่อท�ำให้การดูแลระหว่างการกู้ชีพมีความเหมาะสม เพื่อลดช่องว่างระหว่าง โดยการกดหน้าอกในอัตราและความลึกเพียงพอ การให้หน้าอกขยายกลับ
การปฏิบัติการกู้ชีพตามหลักการและตามความเป็นจริง ได้เต็มที่หลังจากการกดแต่ละครั้ง การลดการเว้นระยะในการกดหน้าอก
และการหลีกเลี่ยง การระบายลมมากเกินไป
การแบ่งการดูแลตามภูมิภาค • อัตราการกดหน้าอกที่แนะน�ำคือ 100 ถึง 120 ครั้งต่อนาที (เปลี่ยนแปลง
2558 (การยืนยันของปี 2553): อาจพิจารณาวิธีการแบ่งตามภูมิภาค จากอย่างน้อย 100 ครั้งต่อนาที)
ส�ำหรับการกู้ชีพภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน รวมถึงการใช้ศูนย์นวดหัวใจกู้ชีพ • ค�ำแนะน�ำที่ชัดเจนส�ำหรับความลึกในการกดหน้าอก ส�ำหรับผู้ใหญ่คือ
เหตุผล: ศูนย์นวดหัวใจกู้ชีพ คือ โรงพยาบาลที่ท�ำการดูแลตามหลักฐาน อย่างน้อย 2 นิ้ว (5 ซม.) แต่ไม่เกิน 2.4 นิ้ว (6 ซม.)
เชิงประจักษ์ในการกู้ชีพและการดูแลหลังภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน ได้แก่ ความ • อาจพิจารณาการให้ยานาโลโซนโดยผู้ประสบเหตุเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
สามารถที่จะท�ำหัตถการรักษาโรคหลอดเลือดโคโรนารีย์ผ่านสายสวน (PCI) ซึ่งสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับยากลุ่มสารสกัดจากฝิ่นที่เป็นอันตรายต่อชีวิต
ในเวลา 24 ชม. และ 7 วัน การจัดการให้ได้ตามอุณหภูมิเป้าหมายที่มีปริมาณ (suspected life-threatening opioid-associated emergencies)

ไฮไลท์ของแนวทางการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (CPR) และการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลอดเลือดในภาวะฉุกเฉิน (ECC) ของ AHA ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558 5


มีการออกแบบการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เพื่อท�ำให้การฝึกอบรมผู้ช่วยเหลือทั่วไป ซึ่งเกิดขึ้นในที่อยู่อาศัยส่วนบุคคลมีความเป็นไปได้ที่จะได้รับการกดหน้าอกน้อย
ท�ำได้ง่ายและเพื่อเน้นความจ�ำเป็นของการกดหน้าอกในช่วงแรกที่ผู้ป่วยที่เกิด กว่าผู้ป่วยที่เกิดภาวะหัวใจหยุดท�ำงานในสถานที่สาธารณะ การให้ค�ำแนะน�ำ
ภาวะหัวใจหยุดท�ำงานกะทันหัน มีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง ตามเวลาจริงโดยผู้รับเรื่องฉุกเฉินอาจช่วยผู้ช่วยเหลือในบ้านที่มีศักยภาพให้เริ่ม
เหล่านี้แสดงไว้ด้านล่าง ปฏิบัติการได้ โครงการฝึกอบรมการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพส�ำหรับภาวะหัวใจ
หยุดท�ำงานของชุมชนที่เข้มแข็ง รวมกับเกณฑ์วิธีก่อนเจ้าหน้าที่จะไปถึงอาจให้
ในหัวข้อต่อไปนี้ จะแสดงเครื่องหมายดอกจัน (*) ไว้ที่การเปลี่ยนแปลง ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
หรือประเด็นส�ำคัญ ซึ่งเหมือนกันทั้งในผู้ช่วยเหลือทั่วไปและบุคลากรทาง
การแพทย์ การบ่งชี้อาการหายใจเฮือกโดยผู้รับเรื่อง
บางครั้งผู้ป่วยภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน จะแสดงอาการคล้ายอาการชักหรืออาการ
โครงการเครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจาก หายใจเฮือกซึ่งอาจท�ำให้ผู้ช่วยเหลือสับสน ผู้รับเรื่องควรได้รับการฝึกอบรมเป็น
ภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติส�ำหรับผู้ช่วยเหลือ พิเศษในการระบุอาการเหล่านี้ของภาวะหัวใจหยุดท�ำงานเพื่อให้สามารถรับรู้ได้
ทั่วไปในชุมชน ทันทีและท�ำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพตามค�ำบอกของผู้รับเรื่องทันที
2558 (ปรับปรุง): ผู้รับเรื่องควรสอบถามเกี่ยวกับอาการขาดการตอบสนอง
2558 (ปรับปรุง): มีค�ำแนะน�ำให้ด�ำเนินโครงการการกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้า
ของผู้ป่วยและคุณภาพของการหายใจ (ปกติหรือไม่ปกติ) เพื่อช่วยให้ผู้ประสบเหตุ
ที่สามารถเข้าถึงได้ในที่สาธารณะส�ำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจหยุดท�ำงานในสถาน
รับรู้ถึงภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน ถ้าผู้ป่วยไม่ตอบสนองร่วมกับไม่หายใจหรือหายใจ
ที่สาธารณะซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่จะพบภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน (เช่น สนามบิน
ผิดปกติ ผู้ช่วยเหลือและผู้รับเรื่องควรสันนิษฐานว่าผู้ป่วยเกิดภาวะหัวใจหยุด
กาสิโน สถานที่ออกก�ำลังกาย)
ท�ำงาน ควรมีการฝึกอบรมผู้รับเรื่องให้สามารถบ่งชี้อาการขาดการตอบสนองร่วม
2553 (เดิม): มีค�ำแนะน�ำให้ผู้ตอบสนองคนแรกในเหตุการณ์ความปลอดภัย กับอาการหายใจเฮือกและผิดปกติทั้งในด้านอาการแสดงทางคลินิกและลักษณะ
สาธารณะใช้การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพและการใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจด้วย ทั่วไป
ไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติ (AED) เพื่อเพิ่มอัตราการรอดชีวิต 2553 (เดิม): เพื่อช่วยให้ผู้ประสบเหตุรับรู้ภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน ผู้รับเรื่อง
เมื่อเกิดภาวะหัวใจหยุดท�ำงานกะทันหันนอกโรงพยาบาล แนวทาง พ.ศ. 2553
ควรสอบถามเกี่ยวกับการตอบสนองของผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่ว่าผู้ป่วยหายใจอยู่หรือ
แนะน�ำให้จัดตั้งโครงการเครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกาย
ไม่ และการหายใจปกติหรือไม่ โดยพยายามแยกผู้ป่วยที่มีอาการหายใจเฮือก
แบบอัตโนมัติในสถานที่สาธารณะซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่จะพบภาวะหัวใจหยุด
(เช่น ผู้ที่จ�ำเป็นต้องได้รับการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ) จากผู้ป่วยที่หายใจปกติ
ท�ำงาน (เช่น สนามบิน บ่อนการพนัน สถานที่ออกก�ำลังกาย)
และไม่จ�ำเป็นต้องได้รับการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ
เหตุผล: มีหลักฐานที่ชัดเจนและสอดคล้องว่าการรอดชีวิตเพิ่มขึ้นจากภาวะ
เหตุผล: การเปลี่ยนแปลงที่ต่างไปจากแนวทาง พ.ศ. 2553 โดยเน้นบทบาท
หัวใจหยุดท�ำงานเมื่อผู้ประสบเหตุท�ำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพและใช้เครื่อง
ที่ผู้รับเรื่องฉุกเฉินสามารถให้ความช่วยเหลือผู้ช่วยเหลือทั่วไปให้รับรู้ว่าไม่หายใจ
กระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติอย่างรวดเร็ว ดังนั้น
หรือหายใจผิดปกติ
การเข้าถึงเครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าได้อย่างทันท่วงทีจึงเป็นองค์ประกอบ
ส�ำคัญในระบบการดูแล การน�ำโครงการการกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าที่สามารถ ควรมีการฝึกอบรมผู้รับเรื่องเป็นพิเศษให้สามารถช่วยผู้ประสบเหตุรับรู้ว่าอาการ
เข้าถึงได้ในที่สาธารณะมาปฏิบัติจ�ำเป็นต้องมีองค์ประกอบส�ำคัญ 4 ข้อ ได้แก่ หายใจเฮือกเป็นอาการแสดงของภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน ผู้รับเรื่องควรตระหนัก
(1) การตอบสนองตามแบบแผนและได้รับการฝึกฝน ซึ่งตามหลักการจะรวมถึง ว่าอาการชักทั่วไปในเวลาสั้นๆ อาจเป็นอาการเริ่มแรกของภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน
การบ่งชี้ต�ำแหน่งและบริเวณใกล้เคียงที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน โดยสรุป นอกจากการกระตุ้นของผู้ตอบสนองฉุกเฉินแบบมืออาชีพแล้ว ผู้รับเรื่อง
การติดตั้งเครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติใน ควรถามค�ำถามที่ตรงไปตรงมาว่าผู้ป่วยมีการตอบสนองหรือไม่ และการหายใจ
บริเวณเหล่านั้นและท�ำให้มั่นใจว่าผู้ประสบเหตุรับรู้ต�ำแหน่งที่ตั้งของเครื่องกระตุ้น ปกติหรือผิดปกติหรือไม่ เพื่อที่จะบ่งชี้ได้ว่าผู้ป่วยเกิดภาวะหัวใจหยุดท�ำงานและ
หัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติ และโดยปกติแล้วได้รับการ สามารถท�ำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพตามค�ำบอกของผู้รับเรื่องได้
ดูแลโดยบุคลากรทางการแพทย์ (2) การฝึกอบรมการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ
และการใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติให้ เน้นย�้ำการกดหน้าอก*
กับผู้ช่วยเหลือที่คาดไว้ (3) การเชื่อมโยงอย่างสมบูรณ์กับระบบการบริการทาง
2558 (ปรับปรุง): ผู้ช่วยเหลือทั่วไปที่ไม่เคยรับการฝึกอบรมมาก่อนควร
การแพทย์ฉุกเฉินของท้องถิ่น และ (4) โครงการปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
ท�ำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพด้วยการกดหน้าอกอย่างเดียว (ใช้มืออย่างเดียว)
การเข้าถึงระบบการดูแลส�ำหรับภาวะหัวใจหยุดท�ำงานอาจรวมถึงนโยบาย ให้แก่ผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มีภาวะหัวใจหยุดท�ำงานโดยท�ำตามค�ำบอกของผู้รับเรื่องหรือ
สาธารณะซึ่งสนับสนุนการแจ้งต�ำแหน่งที่ตั้งของเครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้า ไม่ก็ได้ ผู้ช่วยเหลือควรท�ำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพด้วยการกดหน้าอกอย่าง
จากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติสาธารณะต่อจุดเข้าถึงบริการสาธารณะ เดียวจนกว่าเครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติหรือ
(PSAP หรือ จุดเข้าถึงบริการสาธารณะ มาแทนที่ ศูนย์ส่งเจ้าหน้าที่ให้บริการ ผู้ช่วยเหลือที่ได้รับการฝึกอบรมเพิ่มเติมมาถึง อย่างน้อยที่สุดผู้ช่วยเหลือทั่วไป
ทางการแพทย์ฉุกเฉิน (EMS dispatch center) ซึ่งสื่อความหมายไม่ตรงนัก) ทั้งหมดควรท�ำการกดหน้าอกให้ผู้ป่วยที่เกิดภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน นอกจากนี้
นโยบายดังกล่าวจะท�ำให้จุดเข้าถึงบริการสาธารณะน�ำทางผู้ประสบเหตุไปยัง ถ้าผู้ช่วยเหลือทั่วไปที่ได้รับการฝึกอบรมสามารถให้การช่วยหายใจ ผู้ช่วยเหลือ
เครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติที่อยู่ใกล้เคียง นั้นควรท�ำการช่วยหายใจเพิ่มในอัตราส่วนการกดหน้าอก 30 ครั้งต่อการช่วย
และช่วยในการใช้งานเมื่อมีภาวะหัวใจหยุดท�ำงานเกิดขึ้น เทศบาลเมืองหลาย หายใจ 2 ครั้ง ผู้ช่วยเหลือควรท�ำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพอย่างต่อเนื่องจน
แห่ง ตลอดจนถึงรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ ออกกฎหมายให้มีการติดตั้งเครื่อง กระทั่งเครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติมาถึงและ
กระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติในอาคารของเทศบาล พร้อมใช้งาน ผู้ให้บริการทางการแพทย์ฉุกเฉินเข้ามาดูแลผู้ป่วยแทน หรือผู้ป่วย
เมือง สถานที่สาธารณะขนาดใหญ่ สนามบิน กาสิโน และโรงเรียน 20% ของ เริ่มขยับตัว
ภาวะหัวใจหยุดท�ำงานซึ่งเกิดในที่สาธารณะ โครงการในชุมชนเหลานี้เป็น
สัญลักษณ์ของการเชื่อมโยงที่ส�ำคัญในแผนภาพเหตุการณ์ต่อเนื่องของการรอด 2553 (เดิม): ถ้าผู้ประสบเหตุไม่เคยรับการฝึกอบรมการนวดหัวใจผายปอด
ชีวิต (Chain of Survival) ระหว่างการรับรู้และการกระตุ้นของจุดเข้าถึงบริการ กู้ชีพมาก่อน ผู้ประสบเหตุควรท�ำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพด้วยการกดหน้าอก
สาธารณะ ข้อมูลเหล่านี้มีรายละเอียดระบุไว้ใน “ส่วนที่ 4: ระบบการดูแลและ อย่างเดียวส�ำหรับผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่ซึ่งล้มพับกะทันหัน โดยเน้นให้ “กดแรง
การปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง” ในแนวทางฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558 และเร็ว” ตรงกลางหน้าอก หรือท�ำตามค�ำสั่งของผู้รับเรื่องบริการทางการแพทย์
ฉุกเฉิน ผู้ช่วยเหลือควรท�ำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพด้วยการกดหน้าอกอย่าง
ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะแนะน�ำหรือต่อต้านการเตรียมเครื่องกระตุ้นหัวใจด้วย เดียวจนกว่าเครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติ
ไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติไว้ในบ้าน ผู้ป่วยภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน มาถึงและพร้อมใช้งานหรือผู้ให้บริการทางการแพทย์ฉุกเฉินเข้ามาดูแลผู้ป่วย

6 American Heart Association


แทน อย่างน้อยที่สุดผู้ช่วยเหลือทั่วไปที่ได้รับการฝึกอบรมทั้งหมดควรท�ำการกด จ�ำนวนครั้งที่แท้จริงของการกดหน้าอกต่อนาทีจากอัตราการกดหน้าอกและ
หน้าอกให้ผู้ป่วยที่เกิดภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน นอกจากนี้ ถ้าผู้ช่วยเหลือทั่วไปที่ จ�ำนวนครั้งและระยะเวลาของการเว้นระยะของการกดหน้าอก (เช่น เพื่อเปิด
ได้รับการฝึกอบรมสามารถให้การช่วยหายใจ ควรท�ำการกดหน้าอกและการช่วย ทางเดินหายใจให้การช่วยหายใจ ให้วิเคราะห์เครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้า
หายใจในอัตราส่วนการกดหน้าอก 30 ครั้งต่อการช่วยหายใจ 2 ครั้ง ผู้ช่วยเหลือ จากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติ) ในการศึกษาส่วนใหญ่ จ�ำนวนครั้งการกด
ควรท�ำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพอย่างต่อเนื่องจนกว่าเครื่องกระตุ้นหัวใจด้วย หน้าอกที่เพิ่มขึ้นสัมพันธ์กับอัตราการรอดชีวิตที่สูงขึ้น และจ�ำนวนครั้งการกด
ไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติมาถึงและพร้อมใช้งานหรือผู้ให้บริการ หน้าอกที่น้อยลงสัมพันธ์กับอัตราการรอดชีวิตที่ต�่ำลง การท�ำการกดหน้าอกที่
ทางการแพทย์ฉุกเฉินเข้ามาดูแล ผู้ป่วยแทน เหมาะสมจ�ำเป็นต้องเน้นย�้ำไม่ใช่แค่อัตราการกดหน้าอกที่เหมาะสมเท่านั้น แต่
เหตุผล: การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพด้วยการกดหน้าอกอย่างเดียวเป็นวิธีที่ง่าย ยังรวมถึงการลดการเว้นระยะการกด ส�ำหรับองค์ประกอบส�ำคัญของการนวด
ส�ำหรับผู้ช่วยเหลือที่ไม่ได้รับการฝึกอบรม ยิ่งไปกว่านั้น อัตราการรอดชีวิตจาก หัวใจผายปอดกู้ชีพนี้ อัตราการกดหน้าอกที่ไม่เหมาะสมหรือการเว้นระยะการกด
ภาวะหัวใจหยุดเต้นในผู้ใหญ่ที่มีสาเหตุจากหัวใจนั้นยังคล้ายกับการนวดหัวใจ บ่อยๆ (หรือทั้งสองอย่าง) จะลดจ�ำนวนการกดหน้าอกโดยรวมที่ท�ำได้ต่อนาที สิ่ง
ผายปอดกู้ชีพด้วยการกดหน้าอกอย่างเดียว หรือการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพด้วย ใหม่ในแนวทางฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558 คือขีดจ�ำกัดสูงสุดของอัตราการกดที่
การกดหน้าอกที่มีทั้งการกดหน้าอกและการช่วยหายใจ เมื่อด�ำเนินการก่อนที่ แนะน�ำและความลึกในการกดหน้าอก โดยอิงกับข้อมูลเบื้องต้นที่บ่งชี้ว่าอัตราการ
บริการทางการแพทย์ฉุกเฉินจะมาถึง อย่างไรก็ตาม ส�ำหรับผู้ช่วยเหลือที่ได้รับ กดหน้าอกและความลึกในการกดที่มากเกินไปจะท�ำให้เกิดผลที่ไม่พึงประสงค์
การฝึกอบรมให้สามารถท�ำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพได้ ยังมีค�ำแนะน�ำให้ การเพิ่มขีดจ�ำกัดสูงสุดของอัตราการกดหน้าอกตามการวิเคราะห์ของการศึกษา
ผู้ช่วยเหลือท�ำทั้งการกดหน้าอก และการช่วยหายใจ ขนาดใหญ่ที่ได้รับการลงทะเบียนที่สัมพันธ์กับอัตราการกดหน้าอกที่เร็วอย่าง
มาก (มากกว่า 140 ครั้งต่อนาที) ร่วมกับความลึกในการกดหน้าอกที่ไม่เหมาะ
อัตราการกดหน้าอก* สม กล่องข้อความที่ 1 ใช้การเทียบเคียงกับการเดินทางทางรถยนต์เพื่ออธิบาย
ผลของอัตราการกดหน้าอกและการเว้นระยะการกดต่อจ�ำนวนการกดหน้าอกรวม
2558 (ปรับปรุง): ในผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่เกิดภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน ผู้ช่วยเหลือ
ที่ท�ำได้ในระหว่างการกู้ชีพ
ควรท�ำการกดหน้าอกที่อัตรา 100 ถึง 120 ครั้งต่อนาที
2553 (เดิม): ผู้ช่วยเหลือทั่วไปและบุคลากรทางการแพทย์ควรท�ำการกด ความลึกในการกดหน้าอก*
หน้าอกที่อัตราอย่างน้อย 100 ครั้ง/นาที
2558 (ปรับปรุง): ในระหว่างการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพด้วยมือ ผู้ช่วยเหลือ
เหตุผล: จ�ำนวนครั้งของการกดหน้าอกต่อนาทีระหว่างการนวดหัวใจผายปอด ควรท�ำการกดหน้าอกให้ลึกอย่างน้อย 2 นิ้ว (5 ซม.) ส�ำหรับผู้ใหญ่ทั่วไป โดย
กู้ชีพเป็นปัจจัยส�ำคัญของการกลับมาของการไหลเวียนโลหิตที่เกิดขึ้นเอง หลีกเลี่ยงการกดหน้าอกลึกเกินไป (มากกว่า 2.4 นิ้ว [6 ซม.])
(ROSC) และการรอดชีวิตที่การท�ำงานของระบบประสาทยังดีอยู่ พิจารณา
2553 (เดิม): กระดูกสันอกของผู้ใหญ่ควรกดลงอย่างน้อย 2 นิ้ว (5 ซม.)
กล่องข้อความที่ 1 เหตุผล: โดยพื้นฐานนั้นการกดช่วยให้เลือดไหลเวียนโดยการเพิ่มความดันใน
ทรวงอกและการบีบอัดหัวใจโดยตรง ซึ่งส่งผลท�ำให้มีการไหลเวียนเลือดที่จ�ำเป็น
จ�ำนวนครั้งของการกด และส่งออกซิเจนไปยังหัวใจและสมอง ผู้ช่วยเหลือมักกดหน้าอกไม่ลึกพอแม้มีค�ำ
ที่ได้รับผลกระทบจากอัตรา แนะน�ำให้ “กดให้แรง” ในขณะที่ระดับความลึกในการกดที่แนะน�ำคืออย่างน้อย
การกดและการเว้นระยะ 2 นิ้ว (5 ซม.) แนวทางปรับปรุง พ.ศ. 2558 ได้รวบรวมหลักฐานใหม่เกี่ยวกับ
ความเป็นไปได้ส�ำหรับขีดจ�ำกัดสูงสุดของความลึกในการกด (มากกว่า 2.4 นิ้ว
จ�ำนวนครัง้ ของการกดทัง้ หมดระหว่างการกูช้ พี เป็นปัจจัยส�ำคัญของการรอดชีวติ [6 ซม.]) ซึ่งอยู่นอกเหนือโอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน อาจยากที่จะพิจารณา
จากภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน ความลึกในการกดโดยไม่ใช้อุปกรณ์แสดงผลการปฏิบัติ และการก�ำหนดขีดจ�ำกัด
สูงสุดของความลึกในการกดอาจเป็นสิ่งที่ท้าทาย สิ่งส�ำคัญส�ำหรับผู้ช่วยเหลือคือ
• จำ� นวนครัง้ ของการกดทีไ่ ด้รบั ผลกระทบจาก อัตรา การกด (ความถีข่ องการ
กดหน้าอกต่อนาที) และ สัดส่วน ของการกด (สัดส่วนของเวลาการนวดหัวใจ การรับรู้ค�ำแนะน�ำเกี่ยวกับขีดจ�ำกัดสูงสุดของความลึกในการกด โดยอ้างอิงจาก
ผายปอดกูช้ พี ทัง้ หมดในระหว่างทีด่ ำ� เนินการกด) การเพิม่ ขึน้ ของอัตราและ การศึกษาขนาดเล็ก 1 ฉบับที่รายงานความสัมพันธ์ระหว่างความลึกในการกดที่
สัดส่วนของการกด จะเพิม่ จ�ำนวนครัง้ ของการกดโดยรวมทีท่ ำ� ได้ สามารถเพิม่ มากเกินไปและการบาดเจ็บที่ไม่เป็นอันตรายคุกคามต่อชีวิต จากการสังเกตผ่าน
สัดส่วนของการกดได้โดยการลดจ�ำนวนและระยะเวลาของการเว้นระยะใดๆ อุปกรณ์แสดงผลการปฏิบัติการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพนั้น แสดงให้เห็นว่าการ
ของการกดนัน้ กดมักตื้นเกินไป บ่อยกว่าการกดที่ลึกเกินไป
• ซงึ่ มีความคล้ายคลึงกันกับการเดินทางโดยรถยนต์ เมือ่ เดินทางโดยรถยนต์
จ�ำนวนไมล์ของการเดินทางในหนึง่ วันจะไม่ได้รบั ผลกระทบเพียงแต่จาก
ความเร็วเท่านัน้ (อัตราของการเดินทาง) แต่ยงั รวมถึงจ�ำนวนและระยะเวลา
ยานาโลโซนในผู้ประสบเหตุในเหตุฉุกเฉิน
ของการหยุดรถด้วย (การเว้นระยะของการเดินทาง) การเดินทาง 60 ไมล์ตอ่ ที่เป็นอันตรายคุกคามต่อชีวิตซึ่งเกี่ยวข้องกับ
ชัว่ โมง (mph) โดยไม่มกี ารหยุดเลย หมายความว่าระยะทางของการเดินทาง
เกิดขึน้ จริงเท่ากับ 60 ไมล์ตอ่ ชัว่ โมง การเดินทาง 60 ไมล์ตอ่ ชัว่ โมง โดยหยุด
สารสกัดจากฝิ่น*
เป็นเวลา 10 นาที หมายความว่าระยะทางของการเดินทางเกิดขึน้ จริงเท่ากับ 2558 (ใหม่): ส�ำหรับผู้ป่วยที่รู้หรือสงสัยว่าติดสารสกัดจากฝิ่น ซึ่งไม่มีที่ไม่
50 ไมล์ในชัว่ โมงนัน้ ยิง่ มีความถีแ่ ละระยะเวลาของการหยุดรถมากขึน้ เท่าไร ตอบสนองร่วมกับไม่มีการหายใจปกติ แต่มีชีพจร ผู้ช่วยเหลือทั่วไปที่ได้รับการ
จ�ำนวนไมล์ทเี่ ดินทางได้จริงจะยิง่ ลดลงเท่านัน้
ฝึกอบรมอย่างเหมาะสมและผู้ให้การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน ควรให้ยานาโลโซนใน
• ในระหว่างการนวดหัวใจผายปอดกูช้ พี ผูช้ ว่ ยเหลือควรด�ำเนินการกดอย่างมี กล้ามเนื้อ (IM) หรือในช่องจมูก (IN) นอกเหนือไปจากการให้การช่วยชีวิตขั้น
ประสิทธิภาพด้วยความลึกและอัตราเร็วทีเ่ หมาะสม (100 ถึง 120 ครัง้ /นาที) พื้นฐาน อาจพิจารณาการให้การศึกษาเพื่อตอบสนองกรณีการได้รับสารสกัด
ในขณะทีล่ ดจ�ำนวนและระยะเวลาของการเว้นระยะในการกดหน้าอกให้นอ้ ย จากฝิ่นเกินขนาด ที่มีหรือไม่มียานาโลโซนแจกจ่ายให้กับคนที่มีความเสี่ยงใน
ทีส่ ดุ องค์ประกอบเพิม่ เติมของการนวดหัวใจผายปอดกูช้ พี ทีม่ คี ณ
ุ ภาพสูง รวม
ถึงการให้หน้าอกขยายตัวได้เต็มทีห่ ลังจากการกดแต่ละครัง้ และการหลีกเลีย่ ง สารสกัดจากฝิ่นเกินขนาดในสถานการณ์ใดๆ ประเด็นนี้ยังถูกกล่าวถึงในส่วน
การช่วยหายใจมากเกินไป การกู้ชีพกรณีพิเศษ

ไฮไลท์ของแนวทางการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (CPR) และการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลอดเลือดในภาวะฉุกเฉิน (ECC) ของ AHA ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558 7


เหตุผล: มีข้อมูลทางระบาดวิทยาที่ส�ำคัญแสดงให้เห็นถึงภาระหนักของโรค • เกณฑ์ส�ำหรับการลดการเว้นระยะ ได้รับการท�ำให้ชัดเจนด้วยเป้าหมาย
จากการใช้สารสกัดจากฝิ่นเกินขนาดที่เป็นอันตรายถึงชีวิต รวมถึงความส�ำเร็จ ของสัดส่วนของการกดหน้าอกให้สูงที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ โดยมีเป้าหมาย
บางกรณีที่มีการบันทึกในกลยุทธ์ระดับชาติที่มีการก�ำหนดเป้าหมายส�ำหรับการ อย่างน้อย 60%
ให้ยานาโลโซนในผู้ประสบเหตุแก่ผู้ที่มีความเสี่ยง ในปี ค.ศ. 2014, เครื่องฉีดยา • ส�ำหรับระบบการบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินที่ได้น�ำการรวมกลุ่มของการ
นาโลโซนอัตโนมัติได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ส�ำหรับ ดูแล ซึ่งประกอบด้วยการใช้การกดหน้าอกอย่างต่อเนื่อง การใช้เทคนิคการ
การใช้งานโดยผู้ช่วยเหลือทั่วไปและผู้ให้บริการด้านสุขภาพ7 เครือข่ายการฝึก ช่วยหายใจแบบรับมาซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการรวมกลุ่มการดูแล
อบรมการกู้ชีพได้ขอข้อมูลวิธีที่ดีที่สุดที่จะรวมอุปกรณ์ดังกล่าวเข้ามาในแนวทาง ส�ำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน
การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานของผู้ใหญ่และการฝึกอบรม ค�ำแนะน�ำนี้รวมการรักษา
ที่ได้รับการอนุมัติใหม่ไว้ด้วย • ส�ำหรับผู้ป่วยที่ก�ำลังได้รับการท�ำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพและอุปกรณ์
ช่วยหายใจเข้าที่แล้ว อัตราการช่วยหายใจง่ายๆ ที่แนะน�ำคือ หายใจ 1 ครั้ง
ทุก 6 วินาที (10 ครั้งต่อนาที)
การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานส�ำหรับผู้ใหญ่และ
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เพื่อท�ำให้การฝึกอบรมผู้ให้บริการด้านสุขภาพท�ำได้ง่าย
คุณภาพการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ: และเพื่อเน้นต่อไปถึงความจ�ำเป็นของการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพให้รวดเร็วและ
ผู้ให้บริการด้านสุขภาพ การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน มีคุณภาพสูงส�ำหรับผู้ป่วยที่เกิดภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน มีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ดังต่อไปนี้
สรุปย่อประเด็นและการเปลี่ยนแปลงที่ส�ำคัญ ในหัวข้อต่อไปนี้ส�ำหรับผู้ให้บริการด้านสุขภาพ เครื่องหมายดอกจัน (*)
จะแสดงว่าเหมือนกันทั้งส�ำหรับผู้ให้บริการด้านสุขภาพและผู้ช่วยเหลือทั่วไป
ประเด็นและการเปลี่ยนแปลงที่ส�ำคัญตามค�ำแนะน�ำในแนวทางฉบับปรับปรุง
พ.ศ. 2558 ส�ำหรับผู้ให้บริการด้านสุขภาพ มีดังต่อไปนี้:
• ค�ำแนะน�ำเหล่านี้ท�ำให้มีความยืดหยุ่นส�ำหรับการเปิดการท�ำงานระบบ การรับรู้อย่างทันทีทันใดและการเปิดใช้งานของ
ตอบรับฉุกเฉินเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางคลินิกของผู้ให้บริการ ระบบตอบรับฉุกเฉิน
ด้านสุขภาพ 2558 (ปรับปรุง): ผู้ให้บริการด้านสุขภาพต้องเรียกขอความช่วยเหลือที่อยู่
• ผู้ช่วยเหลือที่ผ่านการฝึกอบรมจะถูกแนะน�ำให้ท�ำขั้นตอนบางขั้นตอนไป บริเวณใกล้เคียงเมื่อพบว่าผู้ป่วยไม่ตอบสนอง แต่ในทางปฏิบัติจริงผู้ให้บริการ
พร้อมๆ กัน (เช่น การตรวจสอบการหายใจและการเต้นของชีพจรในเวลา ด้านสุขภาพควรท�ำการประเมินการหายใจและชีพจรพร้อมกันๆ ต่อไป ก่อนที่
เดียวกัน) ระหว่างพยายามลดเวลาในการกดหน้าอกครั้งแรกลง จะเปิดใช้งานระบบตอบรับฉุกเฉินอย่างเต็มที่ (หรือร้องขอการสนับสนุน)
• ทีมผู้ช่วยเหลือที่สมบูรณ์ที่ผ่านการฝึกอบรมอย่างดีอาจใช้แนวทางควบคุม 2553 (เดิม): ผู้ให้บริการด้านสุขภาพควรตรวจสอบหาการตอบสนองในขณะ
สั่งการ ซึ่งหลายๆ ขั้นตอนส�ำเร็จและมีการประเมินไปพร้อมกัน มากกว่าวิธี ที่สังเกตผู้ป่วยเพื่อตรวจสอบหาการไม่หายใจหรือหายใจไม่ปกติ
แบบต่อเนื่องโดยผู้ช่วยเหลือแต่ละคน (เช่น ผู้ช่วยเหลือคนหนึ่งเปิดใช้งาน
ระบบตอบรับฉุกเฉินในขณะที่อีกคนเริ่มต้นการกดหน้าอก คนที่สามถ้าไม่ เหตุผล: จุดประสงค์ของการเปลี่ยนแปลงค�ำแนะน�ำคือเพื่อลดความล่าช้าและ
ท�ำการผายปอดก็จัดหาอุปกรณ์ถุงหน้ากากส�ำหรับช่วยการหายใจ และคน เพื่อส่งเสริมการประเมินและการตอบสนองพร้อมๆ กันให้มีความรวดเร็วและ
ที่สี่ท�ำการจัดหาและตั้งค่าเครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้า) มีประสิทธิภาพ มากกว่าที่จะท�ำแบบช้า เป็นระเบียบแบบแผน การท�ำเป็น
• มีการเน้นย�้ำเพิ่มขึ้นในการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพที่มีคุณภาพสูงโดยใช้ ขั้นตอนๆ ไป
เป้าหมายที่มีประสิทธิภาพ (การกดในอัตราและความลึกเพียงพอ การ
ปล่อยให้ผนังหน้าอกขยายกลับได้เต็มที่ระหว่างการกดแต่ละครั้ง การลด
เน้นย�้ำการกดหน้าอก*
การเว้นระยะในการกดหน้าอก และการหลีกเลี่ยงการช่วยหายใจมากเกิน 2558 (ปรับปรุง): มีเหตุผลให้ผู้ให้บริการด้านสุขภาพท�ำการกดหน้าอกและ
ไป) ดูตารางที่ 1 การช่วยหายใจให้กับผู้ป่วยผู้ใหญ่ทุกรายที่มีภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน ไม่ว่าสาเหตุ
จะเกิดจากโรคหัวใจหรือไม่ก็ตาม นอกจากนี้ในทางปฏิบัติผู้ให้บริการด้านสุขภาพ
• อัตราการกด มีการแก้ไขเป็น 100 ถึง 120 ครั้งต่อนาที นั้นสามารถที่จะปรับล�ำดับของการช่วยเหลือให้ตรงกับสาเหตุที่เป็นไปได้มาก
• ความลึกในการกด ส�ำหรับผู้ใหญ่มีการแก้ไขเป็นอย่างน้อย 2 นิ้ว ที่สุดของการที่หัวใจหยุดท�ำงาน
(5 ซม.) แต่ไม่ควรเกิน 2.4 นิ้ว (6 ซม.)
2553 (เดิม): มีเหตุผลให้ผู้ช่วยเหลือในการบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินและ
• เพื่อให้ผนังหน้าอกขยายกลับได้เต็มที่หลังการกดแต่ละครั้ง ผู้ช่วยเหลือ ผู้ช่วยเหลือระดับวิชาชีพในโรงพยาบาลที่จะท�ำการกดหน้าอกและช่วยการหายใจ
ต้องหลีกเลี่ยงการพิงบนหน้าอกระหว่างการกด ให้กับผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน

ตารางที่ 1 สิ่งที่ควรท�ำและไม่ควรท�ำในการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานส�ำหรับการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพที่มีคุณภาพสูงในผู้ใหญ่

ผู้ช่วยเหลือควร ผู้ช่วยเหลือ ไม่ควร


ด�ำเนินการกดหน้าอกที่อัตราเร็ว 100-120 ครั้ง/นาที กดที่อัตราเร็วที่ช้ากว่า 100 ครั้ง/นาที หรือเร็วกว่า 120 ครั้ง/นาที
กดที่ความลึกอย่างน้อยที่สุด 2 นิ้ว (5 เซนติเมตร) กดที่ความลึกน้อยกว่า 2 นิ้ว (5 เซนติเมตร)
หรือมากกว่า 2.4 นิ้ว (6 เซนติเมตร)
ปล่อยให้หน้าอกขยายกลับได้เต็มที่หลังจากการกดแต่ละครั้ง พิงบนหน้าอกระหว่างการกด
เว้นระยะในการกดให้น้อยที่สุด เว้นระยะการกดเป็นเวลามากกว่า 10 วินาที
ช่วยหายใจอย่างเพียงพอ (ผายปอด 2 ครั้งหลังการกด 30 ครั้ง การผายปอด ช่วยหายใจมากเกินไป
แต่ละครั้งมากกว่า 1 วินาทีและสามารถทำ�ให้หน้าอกยกตัวขึ้นได้ในแต่ละครั้ง) (เช่น การผายปอดบ่อยครั้งเกินไปหรือการผายปอดด้วยแรงที่มากเกินไป)

8 American Heart Association


เหตุผล: การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพด้วยการกดหน้าอกอย่างเดียว เป็นวิธี อัตราการกดหน้าอก: 100 ถึง 120 ครั้ง/นาที*
ที่แนะน�ำส�ำหรับผู้ช่วยเหลือที่ไม่ได้รับการฝึกอบรมที่จะกระท�ำเพราะว่ามันง่าย
ส�ำหรับเจ้าหน้าที่ที่จะให้ค�ำแนะน�ำทางโทรศัพท์ เป็นที่คาดหวังว่าผู้ให้บริการ 2558 (ปรับปรุง): ในผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่เกิดภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน ผู้ช่วยเหลือ
ด้านสุขภาพนั้นจะได้รับการฝึกฝนในการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ และสามารถ ควรท�ำการกดหน้าอกที่อัตรา 100 ถึง 120 ครั้งต่อนาที
กระท�ำได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งการกดและการช่วยหายใจ อย่างไรก็ตามล�ำดับ
ความส�ำคัญส�ำหรับผู้ให้บริการด้านสุขภาพยังคงเป็นการเปิดใช้งานระบบตอบรับ 2553 (เดิม): ผู้ช่วยเหลือทั่วไปและบุคลากรทางการแพทย์ควรท�ำการกด
ฉุกเฉินและท�ำการกดหน้าอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าท�ำเพียงคนเดียว อาจมี หน้าอกที่อัตราอย่างน้อย 100 ครั้ง/นาที
บางสถานการณ์ที่มีเหตุผลอันสมควรให้เปลี่ยนแปลงล�ำดับขั้นตอน เช่น เหตุผล: อัตราการกดขั้นต�่ำที่แนะน�ำยังคงอยู่ที่ 100 ครั้ง/นาที ขีดจ�ำกัดสูงสุด
ความพร้อมของเครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติ ของอัตราที่ 120 ครั้งต่อนาทีได้รับการเพิ่มเข้ามาเพราะมีการศึกษาขนาดใหญ่
ว่าผู้ให้บริการด้านสุขภาพสามารถหามาและใช้งานได้อย่างรวดเร็วเพียงใด
ที่ได้รับการลงทะเบียน 1 การศึกษาชี้ให้เห็นว่าในขณะที่เพิ่มอัตราการกดขึ้น
ให้มากกว่า 120 ครั้ง/นาที ความลึกในการกดนั้นลดลงในลักษณะที่แปรตาม
ช็อคก่อน เทียบกับ การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ ปริมาณ ยกตัวอย่างเช่น สัดส่วนของการกดที่ความลึกไม่เพียงพอมีประมาณ
ก่อน 35% ส�ำหรับอัตราการกดที่ 100 ถึง 119 ครั้ง/นาที แต่ระดับความลึกไม่เพียงพอ
2558 (ปรับปรุง): ส�ำหรับภาวะหัวใจหยุดท�ำงานในผู้ใหญ่ที่มีผู้พบเห็น เพิ่มขึ้นเป็น 50% ของการกดเมื่ออัตราการกด เป็น 120 ถึง 139 ครั้ง/นาที
เหตุการณ์ โดยที่มีเครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบ และความลึกไม่เพียงพอเท่ากับ 70% ของการกดเมื่ออัตราการกดมากกว่า
อัตโนมัติที่พร้อมใช้งานโดยทันที มีเหตุผลที่จะใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้า 140 ครั้ง/นาที
นั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ส�ำหรับผู้ใหญ่ที่ภาวะหัวใจหยุดท�ำงานที่ไม่ได้
รับการเฝ้าระวัง หรือส�ำหรับผู้ที่ไม่มีเครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอก ความลึกในการกดหน้าอก*
ร่างกายแบบอัตโนมัติที่พร้อมใช้งานโดยทันที มีเหตุผลที่จะเริ่มต้นการนวดหัวใจ
2558 (ปรับปรุง): ในระหว่างการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพด้วยมือ ผู้ช่วยเหลือ
ผายปอดกู้ชีพในระหว่างที่จัดหาอุปกรณ์กระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้า และท�ำการ
กระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าถ้ามีข้อบ่งใช้ ให้พยายามต่อไปจนไปจนกว่าอุปกรณ์นั้น ควรท�ำการกดหน้าอกให้ลึกอย่างน้อย 2 นิ้ว (5 ซม.) ส�ำหรับผู้ใหญ่ทั่วไป โดย
จะพร้อมส�ำหรับการใช้งาน หลีกเลี่ยงการกดหน้าอกลึกเกินไป (มากกว่า 2.4 นิ้ว [6 ซม.])
2553 (เดิม): เมื่อผู้ช่วยเหลือพบเห็นภาวะหัวใจหยุดท�ำงานที่เกิดขึ้นนอก 2553 (เดิม): กระดูกสันอกของผู้ใหญ่ควรกดลงอย่างน้อย 2 นิ้ว (5 ซม.)
โรงพยาบาลและมีเครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบ เหตุผล: ความลึกในการกดประมาณ 5 ซม. มีความเกี่ยวข้องกับความเป็น
อัตโนมัติที่พร้อมใช้งานโดยทันที ณ ที่นั้น ผู้ช่วยเหลือควรจะเริ่มต้นการนวด ไปได้ที่มากขึ้นของผลลัพธ์ที่ดีเมื่อเทียบกับการกดที่ตื้นกว่า ในขณะที่มีหลักฐาน
หัวใจผายปอดกู้ชีพด้วยการกดหน้าอกและใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจาก น้อยว่ามีขีดจ�ำกัดสูงสุดซึ่งเกินกว่าการกดที่อาจลึกเกินไปหรือไม่ เมื่อเร็วๆ นี้มี
ภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ผู้ให้บริการด้านสุขภาพ การศึกษาขนาดเล็กมากแสดงให้เห็นโอกาสเกิดการบาดเจ็บ (ที่ไม่เป็นอันตราย
ที่รักษาภาวะหัวใจหยุดท�ำงานในโรงพยาบาลและสถานที่อื่นๆ ที่มีเครื่องกระตุ้น คุกคามต่อชีวิต) จากความลึกในการกดหน้าอกที่มากเกินไป (มากกว่า 2.4 นิ้ว
หัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติหรือเครื่องกระตุ้นหัวใจด้วย
[6 ซม.]) อาจยากที่จะพิจารณาความลึกในการกดโดยไม่ใช้อุปกรณ์แสดงผลการ
ไฟฟ้า ณ ที่นั้น ควรท�ำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพโดยทันทีและควรใช้เครื่อง
ปฏิบัติ และการก�ำหนดขีดจ�ำกัดสูงสุดของความลึกในการกดอาจเป็นสิ่งที่ท้าทาย
กระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติ/เครื่องกระตุ้นหัวใจ
ด้วยไฟฟ้าให้เร็วที่สุดเมื่อเครื่องพร้อมใช้งาน ค�ำแนะน�ำเหล่านี้ได้รับการออกแบบ สิ่งส�ำคัญส�ำหรับผู้ช่วยเหลือคือรู้ว่าความลึกในการกดหน้าอกนั้น มักพบว่าตื้นไป
มาเพื่อสนับสนุนการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพให้รวดเร็วและท�ำการกระตุ้นหัวใจ บ่อยกว่าลึกเกินไป
ด้วยไฟฟ้าให้รวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีเครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจาก
ภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติ/เครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าที่พร้อมใช้งานใน การขยายกลับของหน้าอก*
ช่วงเวลาการเริ่มของภาวะหัวใจหยุดท�ำงานกะทันหัน เมื่อการเกิดภาวะหัวใจ 2558 (ปรับปรุง): มีเหตุผลให้ผู้ช่วยเหลือต้องหลีกเลี่ยงการพิงบนหน้าอก
หยุดท�ำงานไม่ถูกพบเห็นโดยเจ้าหน้าที่บริการทางการแพทย์ฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่ ระหว่างการกด เพื่อปล่อยให้มีการขยายกลับของผนังหน้าอกอย่างเต็มที่ในผู้ใหญ่
บริการทางการแพทย์ฉุกเฉินอาจเริ่มต้นการท�ำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ
ที่มีภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน
ในขณะที่ท�ำการตรวจสอบจังหวะชีพจรจากเครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจาก
ภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติหรือเครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (อีซีจี) และ 2553 (เดิม): ผู้ช่วยเหลือควรปล่อยให้มีการขยายกลับของหน้าอกจนสมบรูณ์
เตรียมความพร้อมส�ำหรับการกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้า ในกรณีดังกล่าวควร หลังการกดแต่ละครั้ง เพื่อปล่อยให้หัวใจได้เติมเลือดได้เต็มที่ก่อนการกดครั้ง
พิจารณาการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพเป็นเวลา 1½ถึง 3 นาที ก่อนที่จะพยายาม ต่อไป
ท�ำการกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้า เมื่อใดก็ตามที่มีผู้ช่วยเหลือ 2 คนหรือมากกว่าอยู่
ควรท�ำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพระหว่างที่จัดหาเครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้า เหตุผล: การขยายกลับของผนังหน้าอกอย่างเต็มที่จะเกิดขึ้นเมื่อกระดูกสัน
อกกลับไปยังท่าตามธรรมชาติหรือท่าสมดุลในระหว่างระยะคลายแรงกดอัดของ
ส�ำหรับภาวะหัวใจหยุดท�ำงานกะทันหันที่เกิดในโรงพยาบาลนั้น มีหลักฐานไม่ การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ การขยายกลับของผนังหน้าอกสร้างความดันเชิงลบ
เพียงพอที่จะสนับสนุนหรือยืนยันเพื่อหักล้างการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพก่อน สัมพัทธ์ในทรวงอก ที่เสริมการไหลกลับในหลอดเลือดด�ำและการไหลเวียนเลือด
การกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้า อย่างไรก็ตามในผู้ป่วยที่ได้รับการเฝ้าระวัง เวลา ระหว่างหัวใจและปอด การพิงบนผนังหน้าอกระหว่างการกดนั้นขัดขวางการขยาย
ตั้งแต่การเกิดภาวะหัวใจห้องล่างเต้นแผ่วระรัวจนถึงการท�ำการช็อคควรจะต�่ำกว่า กลับของผนังหน้าอกอย่างสมบูรณ์ การขยายกลับที่ไม่สมบูรณ์นั้นเพิ่มความดัน
3 นาที และควรจะท�ำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพในขณะที่เครื่องกระตุ้นหัวใจ ในทรวงอก และลดการไหลกลับในหลอดเลือดด�ำ ความดันในการแพร่กระจาย
ด้วยไฟฟ้า พร้อมใช้งานแล้ว ไปยังหลอดเลือดหัวใจ และการไหลเวียนเลือดไปกล้ามเนื้อหัวใจ สามารถมีผล
เหตุผล: ในขณะที่การศึกษาจ�ำนวนมากได้ตั้งค�ำถามถึงประโยชน์จากการ ต่อผลลัพธ์การกู้ชีพได้
ก�ำหนดระยะเวลาของการกดหน้าอกก่อนการช็อค (โดยทั่วไป 1½ ถึง 3 นาที)
เทียบกับการช็อคทันทีที่เครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบ การลดการเว้นระยะในการกดหน้าอก*
อัตโนมัติพร้อมใช้งาน ซึ่งไม่พบความแตกต่างในผลลัพธ์ ควรท�ำการนวดหัวใจ
ผายปอดกู้ชีพในขณะที่แผ่นส�ำหรับเครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าถูกติด และ 2558 (การยืนยันของปี 2553): ผู้ช่วยเหลือควรพยายามที่จะลดความถี่
จนกระทั่งเครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติพร้อม และระยะเวลาของการเว้นระยะการกด เพื่อเพิ่มจ�ำนวนสูงสุดของการกดที่ท�ำได้
ที่จะวิเคราะห์จังหวะชีพจร ต่อนาที

ไฮไลท์ของแนวทางการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (CPR) และการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลอดเลือดในภาวะฉุกเฉิน (ECC) ของ AHA ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558 9


ตารางที่ 2 บทสรุปขององค์ประกอบของการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพที่มีคุณภาพสูงส�ำหรับผู้ให้การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน

เด็ก ทารก
องค์ประกอบ ผู้ใหญ่และวัยรุ่น (อายุน้อยกว่า 1 ปี
(อายุ 1 ปีถึงวัยเริ่มหนุ่มสาว) ยกเว้น ทารกแรกเกิด)
ความปลอดภัยของ ให้แน่ใจว่าสภาพแวดล้อมปลอดภัยส�ำหรับผู้ช่วยเหลือและผู้ป่วย
สถานที่เกิดเหตุ
การรับรู้ถึงภาวะ ตรวจสอบการตอบสนอง
หัวใจหยุดท�ำงาน ไม่หายใจหรือมีเพียงการหายใจเฮือก (เช่น ไม่มีการหายใจตามปกติ)
ไม่รู้สึกถึงชีพจรที่แน่นอนภายใน 10 วินาที
(สามารถด�ำเนินการตรวจสอบการหายใจและชีพจรที่เกิดขึ้นพร้อมกันในเวลาน้อยกว่า 10 วินาที)
การแจ้งระบบ หากท่านอยู่เพียงล�ำพังและไม่มีโทรศัพท์มือ พบเห็นการล้มลง
ตอบรับฉุกเฉิน ถือ ให้ปล่อยผู้ป่วยไว้เพื่อท�ำการแจ้งระบบ ปฏิบัติตามขั้นตอนส�ำหรับผู้ใหญ่และวัยรุ่นด้านซ้าย
ตอบรับฉุกเฉินและน�ำเครื่องกระตุ้นหัวใจ
ไม่พบเห็นการล้มลง
ด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติ
ท�ำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ 2 นาที
มาไว้ ก่อนเริ่มการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ
ปล่อยผู้ป่วยไว้เพื่อท�ำการแจ้งระบบตอบรับฉุกเฉิน และน�ำเครื่องกระตุ้นหัวใจ
หรืออีกทางหนึ่ง ส่งบุคคลอื่นไปและ
ด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติมาไว้
เริ่มการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพในทันที โดย
ใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอก กลับไปยังเด็กหรือทารก และเริ่มการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ โดยใช้เครื่อง
ร่างกายแบบอัตโนมัติทันทีเมื่อได้เครื่องมา กระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติทันทีเมื่อได้เครื่องมา
อัตราส่วนการกด ผู้ช่วยเหลือ 1 หรือ 2 คน ผู้ช่วยเหลือ 1 คน
ต่อการช่วยหายใจ 30:2 30:2
ที่ปราศจากอุปกรณ์ ผู้ช่วยเหลือ 2 คนหรือมากกว่า
ช่วยหายใจ 15:2
อัตราส่วนการกด การกดอย่างต่อเนื่องที่อัตราเร็ว 100-120 ครั้ง/นาที
ต่อการช่วยหายใจ ผายปอด 1 ครั้ง ทุก 6 วินาที (10 ครั้ง/นาที)
ที่ใช้อุปกรณ์
ช่วยหายใจ
อัตราการกด 100-120 ครั้ง/นาที
ความลึกในการกด อย่างน้อย 2 นิ้ว (5 เซนติเมตร)* อย่างน้อยหนึ่งในสามของ อย่างน้อยหนึ่งในสามของ
เส้นผ่านศูนย์กลางจากด้านหน้า เส้นผ่านศูนย์กลางจากด้านหน้า
ไปหลังของหน้าอก ไปหลังของหน้าอก
ประมาณ 2 นิ้ว (5 เซนติเมตร) ประมาณ 1½ นิ้ว (4 เซนติเมตร)
การวางมือ วาง 2 มือลงบนครึ่งล่างของกระดูกหน้าอก วางมือทั้ง 2 มือ หรือมือ 1 ข้าง ผู้ช่วยเหลือ 1 คน
(sternum) (เป็นทางเลือกส�ำหรับเด็กเล็กมาก) วาง 2 นิ้วลงตรงกลางหน้าอก
ลงบนครึ่งล่างของกระดูกหน้าอก ให้ต�่ำกว่าเส้นหัวนมเล็กน้อย
(sternum) ผู้ช่วยเหลือ 2 คนหรือมากกว่า
วางนิ้วหัวแม่มือ 2 นิ้ว-โอบมือลง
ตรงกลางหน้าอกให้ต�่ำกว่าเส้นหัวนม
เล็กน้อย
การขยายกลับ ปล่อยให้หน้าอกขยายกลับได้เต็มที่หลังการกดแต่ละครั้ง ห้ามพิงบนหน้าอกหลังการกดแต่ละครั้ง
ของหน้าอก
การเว้นระยะ จำ�กัดการเว้นระยะในการกดหน้าอกให้น้อยกว่า 10 วินาที
ให้น้อยที่สุด

*ความลึกในการกดไม่ควรเกิน 2.4 นิ้ว (6 เซนติเมตร)

10 American Heart Association


2558 (ใหม่): ส�ำหรับผู้ใหญ่ที่มีภาวะหัวใจหยุดท�ำงานซึ่งได้รับการนวดหัวใจ ในสภาวะแรงดันเป็นบวกส�ำหรับผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มีภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน ในทุกๆ
ผายปอดกู้ชีพโดยไม่ใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจ อาจจะเหมาะสมที่จะท�ำการนวดหัวใจ ระบบการบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินเหล่านี้ ผู้ให้บริการด้านสุขภาพได้รับการ
ผายปอดกู้ชีพโดยมีเป้าหมายสัดส่วนของการกดหน้าอกที่สูงที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ฝึกอบรมเพิ่มเติมโดยเน้นข้อก�ำหนดให้การกดหน้าอกมีคุณภาพสูง สามการ
โดยมีเป้าหมายอย่างน้อย 60% ศึกษาในระบบที่ให้ล�ำดับตามความส�ำคัญ การตอบสนองแบบหลายล�ำดับขั้น
เหตุผล: การเว้นระยะในการกดหน้าอกอาจกระท�ำโดยตั้งใจโดยเป็นส่วนหนึ่ง ทั้งในชุมชนเมืองและชนบท และให้แผนการดูแลแบบรวมกลุ่มที่รวมถึง 3 รอบ
ของการดูแลที่ต้องการ (เช่น การวิเคราะห์จังหวะชีพจรและการหายใจ) หรือโดย ของ การพ่นออกซิเจนแบบรับมา การใส่อุปกรณ์เสริมทางเดินหายใจ และการ
ไม่ได้ตั้งใจ (เช่น มีสิ่งที่ท�ำให้ผู้ช่วยเหลือเสียสมาธิ) สัดส่วนของการกดหน้าอก กดต่อเนื่อง 200 ครั้งร่วมกับการแทรกด้วยการช็อค นั้นแสดงถึงการดีขึ้นใน
คือการวัดสัดส่วนของเวลากู้ชีวิตรวมกับเวลาที่ท�ำการกด การเพิ่มขึ้นของสัดส่วน ผลลัพธ์ทางประสาทวิทยาที่ต้องการส�ำหรับผู้ป่วยหัวใจหยุดท�ำงานที่มีผู้พบเห็น
ของการกดหน้าอกสามารถท�ำได้โดยการลดการหยุดในการกดหน้าอก เป้าหมาย เหตุการณ์หรือจังหวะที่สามารถกระตุ้นด้วยไฟฟ้าได้
ที่เหมาะสมที่สุดส�ำหรับสัดส่วนของการกดหน้าอกนั้นยังไม่ได้รับการก�ำหนด
การเพิ่มเป้าหมายของสัดส่วนของการกดมีจุดมุ่งหมายที่จะจ�ำกัดการเว้นระยะ การช่วยหายใจระหว่างการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ
การกด และเพื่อเพิ่มการแพร่กระจายไปยังหลอดเลือดหัวใจและการไหลเวียน ร่วมกับอุปกรณ์ช่วยหายใจ
เลือดระหว่างการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ
2558 (ปรับปรุง): อาจมีเหตุผลส�ำหรับผู้ให้บริการด้านสุขภาพที่จะท�ำการ
การเปรียบเทียบองค์ประกอบส�ำคัญของการ ช่วยหายใจ 1 ครั้งทุก 6 วินาที (10 การหายใจต่อนาที) ในขณะที่ท�ำการกด
ช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานในผู้ใหญ่ เด็ก และทารก หน้าอกอย่างต่อเนื่อง (เช่น ในระหว่างการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพร่วมกับ
อุปกรณ์ช่วยหายใจ)
ตารางที่ 2 แสดงองค์ประกอบส�ำคัญของการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานในผู้ใหญ่ เด็ก
และทารก (ไม่รวมการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพส�ำหรับทารกแรกเกิด) พ.ศ. 2558 2553 (เดิม): เมื่ออุปกรณ์ช่วยหายใจ (เช่น ท่อช่วยหายใจ ท่อช่วยหายใจ
ที่มีสองท่อประกอบกัน หรือหน้ากากครอบกล่องเสียง) อยู่ประจ�ำต�ำแหน่งใน
การแสดงผลการปฏิบัติของการกดหน้าอก การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพโดยคน 2 คน ให้ช่วยการหายใจ 1 ครั้งทุก 6 ถึง
2558 (ปรับปรุง): อาจจะมีเหตุผลที่จะใช้อุปกรณ์แสดงผลการปฏิบัติโดยภาพ 8 วินาที โดยไม่ต้องพยายามที่จะท�ำให้การหายใจและการกดเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน
(จะท�ำให้มีการช่วยหายใจ 8 ถึง 10 ครั้งต่อนาที)
และเสียงระหว่างการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพเพื่อการปรับให้เหมาะสมที่สุดตาม
เวลาจริงของประสิทธิภาพการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ เหตุผล: อัตราเดียวง่ายๆ นี้ส�ำหรับผู้ใหญ่ เด็ก และทารก แทนที่จะเป็นช่วง
2553 (เดิม): อุปกรณ์ใหม่ที่สั่งการและแสดงผลการปฏิบัติการนวดหัวใจ ของการหายใจต่อนาที น่าจะง่ายกว่าส�ำหรับการเรียนรู้ จดจ�ำ และน�ำไปใช้
ผายปอดกู้ชีพนั้นอาจเป็นประโยชน์ส�ำหรับการฝึกอบรมผู้ช่วยเหลือ และเป็น การกู้ชีพเป็นทีม: หลักการพื้นฐาน
ส่วนหนึ่งของกลยุทธ์โดยรวมในการปรับปรุงคุณภาพของการนวดหัวใจผายปอด
กู้ชีพในการกู้ชีพที่เกิดขึ้นจริง การฝึกอบรมส�ำหรับการผนวกรวมที่ซับซ้อนของ 2558 (ใหม่): ส�ำหรับผู้ให้บริการด้านสุขภาพ แนวทางปรับปรุง พ.ศ. 2558
ทักษะที่จ�ำเป็นในการกดหน้าอกอย่างเหมาะสม ควรเน้นการสาธิตให้เห็นถึง ท�ำให้มีความยืดหยุ่นในการเปิดใช้งานระบบตอบรับฉุกเฉิน และการจัดการใน
ความเชี่ยวชาญ ภายหลังเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางคลินิกของผู้ให้บริการด้านสุขภาพ
เหตุผล: เทคโนโลยีท�ำให้สามารถมีการแสดงผลตามเวลาจริง การบันทึก (ภาพที่ 5)
และแสดงผลการปฏิบัติถึงคุณภาพการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ รวมทั้งตัวแปร เหตุผล: แต่เดิมขั้นตอนในขั้นตอนวิธีการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานได้รับการ
ทางสรีรวิทยาของผู้ป่วยและตัววัดประสิทธิภาพของผู้ช่วยเหลือ ข้อมูลที่ส�ำคัญ น�ำเสนอเป็นล�ำดับขั้นเพื่อที่จะช่วยให้ผู้ช่วยเหลือคนเดียวสามารถจัดล�ำดับ
เหล่านี้สามารถน�ำมาใช้ในเวลาจริงในระหว่างการกู้ชีพ ส�ำหรับการซักถามหลัง ความส�ำคัญของสิ่งที่ต้องท�ำได้ อย่างไรก็ตามมีปัจจัยหลายประการในการกู้ชีพ
การกู้ชีพ และส�ำหรับแผนการปรับปรุงคุณภาพทั้งระบบ การรักษาการมีสมาธิ
ใดๆ (เช่น ประเภทของการที่หัวใจหยุดท�ำงาน สถานที่ ว่ามีผู้ให้บริการด้าน
อยู่ระหว่างการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพกับลักษณะของอัตราการกดและความลึก
ในการกดและการขยายกลับของหน้าอกในขณะที่พยายามลดการเว้นระยะ สุขภาพที่ได้รับการฝึกฝนในบริเวณใกล้เคียงหรือไม่ ว่าผู้ช่วยเหลือจะต้องทิ้งผู้ป่วย
เป็นความท้าทายที่ซับซ้อนแม้กระทั่งส�ำหรับผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการฝึกอบรมมา ไว้เพื่อเปิดใช้งานระบบตอบรับฉุกเฉินหรือไม่) ซึ่งอาจท�ำให้ต้องปรับเปลี่ยนล�ำดับ
อย่างสูง มีบางหลักฐานแสดงว่าการใช้งานอุปกรณ์แสดงผลการปฏิบัติของการ การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน ขั้นตอนวิธีการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานส�ำหรับผู้ให้บริการ
นวดหัวใจผายปอดกู้ชีพอาจจะมีประสิทธิภาพในการปรับเปลี่ยนอัตราการกด ด้านสุขภาพที่ได้รับการปรับปรุง มีจุดมุ่งหมายในการสื่อสารว่าเมื่อใดและที่ใด
หน้าอกที่เร็วเกินไป และมีหลักฐานต่างหากว่าอุปกรณ์แสดงผลการปฏิบัติของ ที่ความยืดหยุ่นในล�ำดับขั้นนั้นมีความเหมาะสม
การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพช่วยลดแรงพิงระหว่างการกดหน้าอก อย่างไรก็ตาม
การศึกษาจนถึงปัจจุบันไม่ได้แสดงให้เห็นถึงการท�ำให้ดีขึ้นอย่างมีนัยส�ำคัญ
ในผลลัพธ์ทางประสาทวิทยาที่ต้องการ หรือการมีชีวิตอยู่จนถึงการออกจาก เทคนิคทางเลือก และ
โรงพยาบาลโดยการใช้อุปกรณ์แสดงผลการปฏิบัติการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ อุปกรณ์ช่วยเหลือส�ำหรับ
ในช่วงเหตุภาวะหัวใจหยุดท�ำงานที่เกิดขึ้นจริง การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ
การชะลอการระบายอากาศ สรุปย่อประเด็นและการเปลี่ยนแปลงที่ส�ำคัญ
2558 (ใหม่): ส�ำหรับภาวะหัวใจหยุดท�ำงานที่มีผู้พบเห็นเหตุการณ์และ
การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพแบบดั้งเดิมประกอบด้วยการกดหน้าอกด้วยมือสลับ
มีจังหวะที่สามารถกระตุ้นด้วยไฟฟ้าได้ อาจมีเหตุผลส�ำหรับระบบการบริการ
ทางการแพทย์ฉุกเฉินที่ให้ล�ำดับตามความส�ำคัญ การตอบสนองแบบหลายล�ำดับ กับการช่วยหายใจนั้นไม่มีประสิทธิภาพโดยแน่นอน หากค�ำนึงถึงการสร้าง
ขั้น ที่จะชะลอการระบายอากาศในสภาวะแรงดันเป็นบวก (PPV) โดยใช้แผนการ ปริมาตรเลือดส่งออกจากหัวใจอย่างมีนัยส�ำคัญ ความหลากหลายของทางเลือก
ที่ท�ำได้ถึง 3 รอบในการกดต่อเนื่อง 200 ครั้งร่วมกับการพ่นออกซิเจนแบบรับมา และสิ่งที่เสริมในการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพแบบดั้งเดิมนั้นได้รับการพัฒนา
และอุปกรณ์เสริมทางเดินหายใจ โดยมีจุดประสงค์ในการเพิ่มปริมาตรเลือดส่งออกจากหัวใจระหว่างการกู้ชีพจาก
ภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน ตั้งแต่แนวทาง พ.ศ. 2553 ได้ถูกตีพิมพ์ มีการวิจัยทาง
เหตุผล: หลายๆ ระบบการบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินได้ทดลองแผนการ
คลินิกหลายการวิจัยได้ให้ข้อมูลใหม่เกี่ยวกับประสิทธิภาพของทางเลือกเหล่านี้
ในการกดหน้าอกอย่างต่อเนื่องในช่วงแรก ร่วมกับการชะลอการระบายอากาศ

ไฮไลท์ของแนวทางการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (CPR) และการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลอดเลือดในภาวะฉุกเฉิน (ECC) ของ AHA ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558 11


ภาพที่ 5
ขั้นตอนวิธีการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานส�ำหรับภาวะหัวใจหยุดท�ำงานในผู้ใหญ่
การช่
โดยผู ้ให้วบยชีริวกิตารด้
ขั้นพื ้นฐานส�
านสุ ขภาพ าหรัฉบั
บผูบ้ใปรั
ห้บบริกปรุ
ารด้ านสุขภาพ
ง พ.ศ. 2558
ขั้นตอนวิธีการส�าหรับภาวะหัวใจหยุดท�างานในผู้ใหญ่—ปรับปรุงปี ค.ศ. 2015

ตรวจสอบดูความปลอดภัยของสถานที่เกิดเหตุ

ผู้ป่วยไม่ตอบสนอง
ตะโกนเพื่อขอความช่วยเหลือที่อยู่บริเวณใกล้เคียง
แจ้งระบบตอบรับฉุกเฉินผ่านทางโทรศัพท์มือถือ
(ถ้าเหมาะสม)
จัดหาเครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอก
ร่างกายแบบอัตโนมัติและอุปกรณ์ฉุกเฉิน
(หรือส่งคนอื่นไปกระท�าแทน) ให้ท�าการผายปอด: ผายปอด 1 ครั้ง
ทุก 5-6 วินาที หรือ ผายปอดประมาณ
10-12 ครั้งต่อนาที
การหายใจปกติ ไม่มีการหายใจ • แจ้งระบบตอบรับฉุกเฉิน (ถ้ายังไม่ได้
มีชีพจร มองหาการไม่หายใจ หรือ ตามปกติ มีชีพจร กระท�า) หลังจาก 2 นาที
เฝ้าระวังจนกระทั่ง มีเพียงการหายใจเฮือก และ • ให้ท�าการผายปอดต่อไป; ตรวจสอบ
หน่วยกู้ภัยฉุกเฉินมาถึง ตรวจชีพจร (ท�าไปพร้อมๆ กัน) การเต้นของชีพจรทุก 2 นาที ถ้าไม่พบ
พบชีพจร อย่างแน่นอน รู้สึกได้ ชีพจร ให้เริ่มท�าการนวดหัวใจผายปอด
ภายใน 10 วินาทีหรือไม่ กู้ชีพ (ไปยังกรอบ “การนวดหัวใจ
ผายปอดกู้ชีพ”)
• ถ้าเป็นไปได้ว่าอาจเกิดจากสารสกัดจาก
ไม่หายใจ หรือ ฝิ่น ให้ยานาโลโซนถ้ามีพร้อมใช้งาน
มีเพียงการหายใจเฮือก ตามข้อก�าหนด
ไม่มีชีพจร

โดยขณะนี้ในทุกสถานการณ์ ระบบตอบรับฉุกเฉินหรือ
ระบบส�ารองจะได้รับแจ้งเหตุแล้ว และได้รับเครื่องกระตุ้น
หัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติและ
การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ อุปกรณ์ฉุกเฉินแล้ว หรือคนอื่นก�าลังไปน�าอุปกรณ์เหล่านั้นมา
เริ่มต้นรอบของกด 30 ครั้งและผายปอด 2 ครั้ง
ใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกาย
แบบอัตโนมัติทันทีเมื่อได้รับมา

เครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกาย
แบบอัตโนมัติมาถึง

ตรวจจังหวะชีพจร
จังหวะชีพจรที่สามารถกระตุ้น
ได้ ด้วยไฟฟ้าได้หรือไม่ ไม่ได้
สามารถกระตุ้นด้วยไฟฟ้าได้ ไม่สามารถกระตุ้นด้วยไฟฟ้าได้

ช็อค 1 ครั้ง ท�าการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพต่อทันที ท�าการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพต่อทันทีเป็นเวลา


เป็นเวลาประมาณ 2 นาที (จนกระทั่งเครื่องกระตุ้น ประมาณ 2 นาที (จนกระทั่งเครื่องกระตุ้นหัวใจ
หัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติ ด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติ
แจ้งว่าพร้อมที่จะให้ตรวจสอบจังหวะชีพจร) แจ้งว่าพร้อมที่จะให้ตรวจสอบจังหวะชีพจร)
ท�าต่อไปจนกว่าผู้ให้การช่วยชีวิตขั้นสูงมาดูแลต่อ ท�าต่อไปจนกว่าผู้ให้การช่วยชีวิตขั้นสูงมาดูแลต่อ
หรือผู้ป่วยเริ่มเคลื่อนไหว หรือผู้ป่วยเริ่มเคลื่อนไหว

12 American Heart Association


เมื่อเทียบกับการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพแบบดั้งเดิม หลายๆ วิธีการและอุปกรณ์ การรักษาภาวะหัวใจหยุดท�ำงานในผู้ใหญ่ (เช่น ในระหว่างขั้นตอนการตรวจ
เหล่านี้ต้องใช้เครื่องมือและการฝึกอบรมแบบพิเศษ เมื่อผู้ช่วยเหลือหรือระบบ วินิจฉัย และการให้การรักษาแบบรุกล�้ำ) ที่ท�ำให้การกู้ชีพด้วยมือท�ำได้ยาก
การดูแลสุขภาพพิจารณาที่จะน�ำมาใช้ ควรจะต้องทราบว่าวิธีการและอุปกรณ์ การใช้ถุงลมพันหน้าอกอาจถูกพิจารณาน�ำมาใช้โดยบุคลากรที่ได้รับการฝึกฝน
บางอย่างนี้ได้รับการทดลองเฉพาะในกลุ่มย่อยที่มีความเจาะจงสูงของผู้ป่วยที่มี อย่างเหมาะสมในสถานการณ์จ�ำเพาะส�ำหรับการรักษาภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน
ภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน
เหตุผล: การวิจัยแบบสุ่มมีกลุ่มควบคุมขนาดใหญ่สามการวิจัยได้ท�ำการ
• การใช้งานเป็นประจ�ำของอุปกรณ์ที่มีความต้านทานต�่ำสุดมาเสริมในการ เปรียบเทียบอุปกรณ์กดหน้าอกด้วยกลไกและพบว่า ไม่เห็นผลที่ดีขึ้นส�ำหรับ
นวดหัวใจผายปอดกู้ชีพแบบดั้งเดิมนั้นไม่ได้รับการแนะน�ำ
ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจหยุดท�ำงานที่เกิดขึ้นนอกโรงพยาบาลเมื่อเทียบกับการกด
• การวิจัยแบบสุ่มมีกลุ่มควบคุมเมื่อเร็วๆ นี้แสดงให้เห็นว่าการใช้งานของ หน้าอกด้วยมือ ด้วยเหตุผลนี้เองการกดหน้าอกด้วยมือยังคงเป็นมาตรฐาน
อุปกรณ์ที่มีความต้านทานต�่ำสุดร่วมกับการใช้งานเครื่องกดหน้าอกใน การรักษา
การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ มีความเกี่ยวข้องกับการเพิ่มของโอกาสที่
ระบบประสาทไม่เสียหายในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจหยุดท�ำงานที่เกิดขึ้นนอก เทคนิคภายนอกร่างกาย และอุปกรณ์หมุนเวียน
โรงพยาบาล
เลือดแบบรุกล�้ำ
• การใช้งานเป็นประจ�ำของอุปกรณ์กดหน้าอกด้วยกลไกนั้นไม่ได้รับการ
แนะน�ำ แต่บางสถานการณ์พิเศษพบว่าเทคโนโลยีนี้อาจมีประโยชน์ 2558 (ปรับปรุง): การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพภายนอกร่างกายอาจถูก
พิจารณาเป็นทางเลือกนอกจากการท�ำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพแบบดั้งเดิม
• การใช้การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพภายนอกร่างกายอาจถูกเลือกพิจารณา ส�ำหรับผู้ป่วยบางรายที่มีภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน และส�ำหรับผู้ป่วยที่คาดว่าสาเหตุ
ส�ำหรับผู้ป่วยในบางสถานการณ์ ถ้าคาดว่าภาวะหัวใจหยุดท�ำงานนั้นเกิด ของภาวะหัวใจหยุดเต้นนั้นน่าจะเกิดจากสาเหตุที่แก้ไขได้
จากสาเหตุที่แก้ไขได้
2553 (เดิม): ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะแนะน�ำให้ใช้การนวดหัวใจผายปอดกู้
อุปกรณ์ที่มีความต้านทานต�่ำสุด ชีพภายนอกร่างกายเป็นประจ�ำส�ำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน
2558 (ปรับปรุง): การใช้งานเป็นประจ�ำของอุปกรณ์ที่มีความต้านทานต�่ำ อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ที่การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพภายนอกร่างกาย มี
ความพร้อมใช้งาน อาจพิจารณาใช้เมื่อช่วงขาดการไหลเวียนเลือดสั้นและสาเหตุ
สุดมาเสริมระหว่างการนวดหัวใจผายปอดกูช้ พี แบบดัง้ เดิมนัน้ ไม่ได้รบั การแนะน�ำ
ที่ท�ำให้เกิดภาวะหัวใจหยุดท�ำงานนั้นเป็นสาเหตุที่แก้ไขได้ (เช่น ภาวะอุณหภูมิ
การใช้อุปกรณ์ที่มีความต้านทานต�่ำสุดร่วมกับการใช้งานเครื่องกดหน้าอกใน
ร่างกายต�่ำโดยไม่ตั้งใจ การได้รับพิษจากยา) หรือน�ำไปใช้กับการปลูกถ่ายหัวใจ
การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ อาจเป็นทางเลือกที่มีเหตุผลนอกจากการนวดหัวใจ
(เช่น กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ) หรือการผ่าตัดหลอดเลือด (เช่น ภาวะกล้ามเนื้อ
ผายปอดกู้ชีพแบบดั้งเดิมในบางสถานการณ์ที่มีอุปกรณ์อยู่พร้อมและบุคลากร
หัวใจตายเฉียบพลัน)
ได้รับการฝึกฝนอย่างเหมาะสม
เหตุผล: ศัพท์ การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพภายนอกร่างกาย ใช้เพื่ออธิบายการ
2553 (เดิม): การใช้อุปกรณ์ที่มีความต้านทานต�่ำสุดอาจถูกเลือกพิจารณา
ริเริ่มของวิธีการหมุนเวียนภายนอกร่างกายและการให้ออกซิเจน ในระหว่างการ
โดยบุคลากรที่ได้รับการฝึกฝน โดยใช้เป็นตัวเสริมการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ กู้ชีพของผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพภายนอก
ในผู้ใหญ่ที่มีภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน ร่างกาย รวมถึงการสอดท่อเข้าในร่างกายฉุกเฉินไปยังหลอดเลือดด�ำและแดง
เหตุผล: การวิจัยแบบสุ่มมีกลุ่มควบคุมสองการวิจัยได้ให้ข้อมูลใหม่เกี่ยวกับ ขนาดใหญ่ (เช่น หลอดเลือดใหญ่ที่โคนขา) เป้าหมายของการนวดหัวใจผายปอด
การใช้งานของอุปกรณ์ที่มีความต้านทานต�่ำสุดในภาวะหัวใจหยุดท�ำงานที่เกิด กู้ชีพภายนอกร่างกายคือการประคับประคองผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน
ขึ้นนอกโรงพยาบาล การวิจัยแบบสุ่มมีกลุ่มควบคุมขนาดใหญ่หนึ่งการวิจัยไม่ ขณะที่อาการที่แก้ไขได้ก�ำลังได้รับการรักษา การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ
สามารถที่จะแสดงให้เห็นว่ามีการท�ำให้ดีขึ้นใดๆ จากการใช้อุปกรณ์ที่มีความ ภายนอกร่างกายเป็นขั้นตอนที่ซับซ้อนที่ต้องใช้ทีมงานที่ผ่านการฝึกอบรมสูง
ต้านทานต�่ำสุด (เมื่อเทียบกับอุปกรณ์เทียม) ในการเสริมการนวดหัวใจผายปอด อุปกรณ์พิเศษ และการสนับสนุนจากสหสาขาวิชาภายในระบบการดูแลสุขภาพ
กู้ชีพแบบดั้งเดิม อีกการวิจัยทางคลินิกแสดงให้เห็นถึงประโยชน์จากการใช้ ของที่แห่งนั้น ไม่มีการวิจัยทางคลินิกได้กระท�ำในการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ
งานเครื่องกดหน้าอกในการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพร่วมกับอุปกรณ์ที่มีความ ภายนอกร่างกาย และชุดการวิจัยที่ตีพิมพ์แล้วที่มีอยู่ได้มีการใช้เกณฑ์การคัดเข้า
ต้านทานต�่ำสุด เมื่อเปรียบเทียบกับการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพแบบดั้งเดิมและ และเกณฑ์การคัดออกอย่างเข้มงวดรวมในการคัดเลือกผู้ป่วยส�ำหรับการนวด
ไม่มีอุปกรณ์ที่มีความต้านทานต�่ำสุด อย่างไรก็ตาม ช่วงความเชื่อมั่นรอบๆ จุด หัวใจผายปอดกู้ชีพภายนอกร่างกาย แม้ว่าเกณฑ์การคัดเข้าเหล่านี้จะมีความ
ผลลัพธ์หลักมีการประมาณที่กว้างมาก และมีความเสี่ยงสูงของการมีอคติบนหลัก หลากหลายสูงมาก โดยส่วนใหญ่ครอบคลุมเฉพาะผู้ป่วยอายุ 18 ถึง 75 ปี โดยที่
ของการเพิ่มการรักษา (กลุ่มที่ได้รับเครื่องกดหน้าอกในการนวดหัวใจผายปอดกู้ จ�ำกัดโรคที่มีร่วมด้วย โดยมีภาวะหัวใจหยุดท�ำงานที่มีสาเหตุเกี่ยวข้องจากหัวใจ
ชีพร่วมกับอุปกรณ์ที่มีความต้านทานต�่ำสุดยังมีการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพโดยใช้ หลังจากการท�ำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพแบบดั้งเดิมมามากกว่า 10 นาทีโดย
อุปกรณ์แสดงผลการปฏิบัติของการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ ในขณะที่กลุ่มควบคุม ไม่มีการกลับมาของการไหลเวียนโลหิตที่เกิดขึ้นเอง (ROSC) เกณฑ์การคัดเข้า
ไม่ได้ใช้อุปกรณ์แสดงผลการปฏิบัติดังกล่าว) เหล่านี้ควรได้รับการพิจารณาโดยผู้ให้บริการด้านสุขภาพในการเลือกผู้ที่มีความ
เหมาะสมส�ำหรับการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพภายนอกร่างกาย
อุปกรณ์กดหน้าอกด้วยกลไก
2558 (ปรับปรุง): หลักฐานที่มีไม่แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของการใช้ การช่วยชีวิตขั้นสูงส�ำหรับผู้ป่วย
อุปกรณ์กดหน้าอกด้วยกลไกสูบลม เมื่อเทียบกับการกดหน้าอกด้วยมือในผู้ป่วย
ที่มีภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน การกดหน้าอกด้วยมือยังคงเป็นมาตรฐานการรักษา โรคหัวใจหลอดเลือดในผู้ใหญ่
ส�ำหรับการรักษาภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์ดังกล่าวอาจจะ
เป็นทางเลือกที่เหมาะสมทดแทนการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพแบบดั้งเดิม ใน สรุปย่อประเด็นและการเปลี่ยนแปลงที่ส�ำคัญ
บางสถานการณ์ซึ่งการท�ำการกดหน้าอกด้วยมือที่มีคุณภาพสูงเป็นเรื่องยากหรือ
อันตรายส�ำหรับผู้ให้บริการด้านสุขภาพ (เช่น ผู้ช่วยเหลือมีจ�ำกัด การนวดหัวใจ ประเด็นและการเปลี่ยนแปลงที่ส�ำคัญตามค�ำแนะน�ำในแนวทางฉบับปรับปรุง
ผายปอดกู้ชีพเป็นเวลานาน การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพในภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน พ.ศ. 2558 ส�ำหรับการช่วยชีวิตขั้นสูงส�ำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ มีดังต่อไปนี้:
จากภาวะอุณหภูมิต�่ำ การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพในรถพยาบาลที่เคลื่อนที่ • การใช้ร่วมกันของวาโซเพรสซินและยาอีพิเนฟรินไม่ได้ให้ประโยชน์เหนือ
การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพในห้องที่ท�ำการบันทึกภาพหลอดเลือด การนวด กว่า เมื่อเทียบกับการใช้ยาอีพิเนฟรินขนาดมาตรฐานในภาวะหัวใจหยุด
หัวใจผายปอดกู้ชีพในระหว่างการเตรียมการส�ำหรับการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ ท�ำงาน นอกจากนี้วาโซเพรสซินไม่ได้ให้ประโยชน์เหนือกว่าเมื่อเทียบกับ
ภายนอกร่างกาย) การใช้ยาอีพิเนฟรินเพียงอย่างเดียว ดังนั้นเพื่อลดความซับซ้อนของขั้นตอน
2553 (เดิม): อุปกรณ์กดหน้าอกด้วยกลไกสูบลมอาจถูกพิจารณาน�ำมาใช้ วิธี วาโซเพรสซินได้ถูกตัดออกจากขั้นตอนวิธีของภาวะหัวใจหยุดท�ำงานใน
งานโดยบุคลากรที่ได้รับการฝึกฝนอย่างเหมาะสม ในสถานการณ์จ�ำเพาะส�ำหรับ ผู้ใหญ่–ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558

ไฮไลท์ของแนวทางการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (CPR) และการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลอดเลือดในภาวะฉุกเฉิน (ECC) ของ AHA ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558 13


• การวัดความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในลมหายใจที่ขณะหายใจ
ออกสุด (ETCO2) ในผู้ป่วยที่ใส่ท่อช่วยหายใจหลังท�ำการนวดหัวใจ
การวัดความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ผายปอดกู้ชีพเป็นเวลานาน 20 นาที มีความเกี่ยวข้องกับความเป็นไปได้ที่ ในลมหายใจที่ขณะหายใจออกสุด (ETCO2)
ต�่ำมากของการกู้ชีพ ในขณะที่ไม่ควรน�ำค่านี้มาใช้ในการตัดสินใจเพียงค่า ส�ำหรับการท�ำนายการกู้ชีพที่ล้มเหลว
เดียว ผู้ให้บริการด้านสุขภาพอาจจะพิจารณาว่าหากการวัดความเข้มข้นของ
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในลมหายใจที่ขณะหายใจออกสุด (ETCO2) มีค่า 2558 (ใหม่): ในผู้ป่วยที่ใส่ท่อช่วยหายใจ การล้มเหลวที่จะบรรลุเป้าหมาย
ที่ต�่ำหลังท�ำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพเป็นเวลานาน 20 นาที ร่วมกับ การวัดความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในลมหายใจที่ขณะหายใจออกสุด
ปัจจัยอื่นๆ เพื่อที่จะช่วยตัดสินใจว่าเมื่อใดที่ควรจะยุติการช่วยชีวิต (ETCO2) ให้มากกว่า 10 มม. ปรอท โดยการตรวจสอบก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ในระบบทางเดินหายใจในรูปแบบคลื่นหลังจาก 20 นาทีของการนวดหัวใจ
• สเตียรอยด์อาจให้ประโยชน์บางอย่างเมื่อใช้ร่วมกับวาโซเพรสซินและยา ผายปอดกู้ชีพ อาจถือได้ว่าเป็นส่วนประกอบหนึ่งของวิธีการหลายรูปแบบในการ
อีพิเนฟรินในการรักษาภาวะหัวใจหยุดท�ำงานที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล ใน
ขณะที่การใช้เป็นประจ�ำนั้นไม่ได้รับการแนะน�ำ โดยอยู่ระหว่างด�ำเนินการ ตัดสินใจว่าเมื่อใดที่ควรจะยุติความพยายามในการกู้ชีพ แต่ไม่ควรน�ำมาใช้เพียง
ศึกษาติดตามผล อาจมีเหตุผลส�ำหรับผู้ให้บริการด้านสุขภาพที่จะใช้ยานี้ ค่าเดียว
ร่วมกันในภาวะหัวใจหยุดท�ำงานที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล เหตุผล: การล้มเหลวที่จะการบรรลุเป้าหมายการวัดความเข้มข้นของก๊าซ
• เมื่อด�ำเนินการอย่างรวดเร็ว การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพภายนอกร่างกาย คาร์บอนไดออกไซด์ในลมหายใจที่ขณะหายใจออกสุด (ETCO2) ให้ได้ 10 มม.
อาจยึดการมีชีวิต เพราะวิธีนี้อาจจะให้เวลาในการรักษาอาการที่น่าจะแก้ไข ปรอท โดยการตรวจสอบก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระบบทางเดินหายใจใน
ได้ หรือท�ำการปลูกถ่ายหัวใจ ส�ำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถกู้ชีพโดยการนวด รูปแบบคลื่นหลังจาก 20 นาทีของการกู้ชีพ มีความเกี่ยวข้องกับโอกาสที่ต�่ำ
หัวใจผายปอดกู้ชีพแบบดั้งเดิม เป็นอย่างมากของการกลับมาของการไหลเวียนโลหิตที่เกิดขึ้นเอง (ROSC)
• ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจหยุดท�ำงานและจังหวะที่ไม่สามารถกระตุ้นด้วย และการรอดชีวิต อย่างไรก็ตามการศึกษาจนถึงปัจจุบันมีข้อจ�ำกัด โดยการที่การ
ไฟฟ้าได้ และผู้ป่วยอื่นๆ ที่ได้รับยาอีพิเนฟริน แนะน�ำให้ยาอีพิเนฟริน ศึกษาเหล่านั้นมีตัวแปรกวนที่อาจเกิดขึ้นได้และมีจ�ำนวนของผู้ป่วยที่ค่อนข้าง
ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก น้อย จึงไม่เป็นที่แนะน�ำที่จะอ้างอิงแต่เฉพาะการวัดความเข้มข้นของก๊าซ
คาร์บอนไดออกไซด์ในลมหายใจที่ขณะหายใจออกสุด (ETCO2) ในการตัดสินใจ
• การศึกษาเกี่ยวกับการใช้ยาลิโดเคนหลังการกลับมาของการไหลเวียนโลหิต ว่าเมื่อใดที่ควรจะยุติความพยายามในการกู้ชีพ
ที่เกิดขึ้นเอง (ROSC) นั้นมีความขัดแย้ง และไม่แนะน�ำให้ใช้ยาลิโดเคน
เป็นประจ�ำ แต่การเริ่มใช้หรือการใช้ต่อไปของยาลิโดเคนอาจถูกพิจารณา
โดยทันทีหลังจากการกลับมาของการไหลเวียนโลหิตที่เกิดขึ้นเอง (ROSC) การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพภายนอกร่างกาย
ในภาวะหัวใจหยุดท�ำงานจากภาวะหัวใจห้องล่างเต้นแผ่วระรัว/ภาวะหัวใจ 2558 (ใหม่): อาจจะพิจารณาท�ำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพภายนอก
ห้องล่างเต้นเร็วที่ไม่มีชีพจร (pVT) ร่างกาย (ECPR) ให้กับผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจหยุดท�ำงานบางรายที่ไม่ตอบสนอง
• การศึกษาแบบสังเกตหนึ่งการศึกษาพบว่า เบต้า-ปิดกั้นตัวรับ การใช้ยา ต่อการท�ำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพแบบธรรมดาในสถานที่ที่สามารถท�ำได้
นี้หลังภาวะหัวใจหยุดท�ำงานอาจเกี่ยวข้องกับผลลัพธ์ที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับ อย่างรวดเร็ว
เบต้า-ปิดกั้นตัวรับ ไม่ได้ถูกใช้ แม้ว่าการศึกษาแบบสังเกตไม่ถือเป็นหลัก
ฐานที่แข็งแรงพอที่จะแนะน�ำให้ใช้เป็นประจ�ำ การเริ่มใช้หรือการใช้ต่อไป เหตุผล: ถึงแม้ว่ายังไม่มีการวิจัยคุณภาพสูงเปรียบเทียบการนวดหัวใจผายปอด
ของ เบต้า-ปิดกั้นตัวรับ โดยการรับประทานหรือทางหลอดเลือดด�ำ (IV) กู้ชีพภายนอกร่างกายกับการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพแบบธรรมดาก็ตาม มีการ
อาจถูกพิจารณาในช่วงต้นหลังจากการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจาก วิจัยคุณภาพต�่ำจ�ำนวนหนึ่งที่บอกว่าการรอดชีวิตพร้อมกับมีผลลัพธ์ทางประสาท
ภาวะหัวใจหยุดท�ำงานที่มีภาวะหัวใจห้องล่างเต้นแผ่วระรัว/ภาวะหัวใจห้อง วิทยาที่ดีในประชากรผู้ป่วยบางกลุ่ม เนื่องจากการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ
ล่างเต้นเร็วที่ไม่มีชีพจร ภายนอกร่างกายต้องใช้ทรัพยากรอย่างมากและมีค่าใช้จ่ายสูง ควรจะพิจารณาท�ำ
เฉพาะเมื่อผู้ป่วยมีความเป็นไปได้สูงอย่างมีเหตุผลว่าจะเป็นประโยชน์ ในกรณีที่
ยาหดหลอดเลือดส�ำหรับการกู้ชีพ: วาโซเพรสซิน ผู้ป่วยมีความเจ็บป่วยที่กลับคืนสภาวะปกติได้ หรือเพื่อช่วยประคับประคองผู้ป่วย
2558 (ปรับปรุง): การใช้ร่วมกันของวาโซเพรสซินและยาอีพิเนฟรินไม่ได้ให้ ขณะที่ก�ำลังรอการเปลี่ยนถ่ายหัวใจ
ประโยชน์ที่เหนือกว่าในการใช้ทดแทน ยาอีพิเนฟรินขนาดมาตรฐานในภาวะ
หัวใจหยุดท�ำงาน การรักษาด้วยยาหลังภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน:
2553 (เดิม): หนึ่งเข็มของวาโซเพรสซิน 40 หน่วยทางหลอดเลือดด�ำ/ ยาลิโดเคน
ในกระดูก อาจใช้แทนทั้งเข็มแรกหรือเข็มที่สองของยาอีพิเนฟรินในการรักษา 2558 (ใหม่): มีหลักฐานไม่เพียงพอทีจ่ ะสนับสนุนการใช้ยาลิโดเคนเป็นประจ�ำ
ภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน หลังภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน อย่างไรก็ตาม อาจพิจารณาให้เริ่มใช้ยาลิโดเคน
เหตุผล: ทั้งยาอีพิเนฟรินและวาโซเพรสซินที่ถูกให้ระหว่างภาวะหัวใจหยุด หรือใช้ต่อไปโดยทันทีหลังจากการกลับมาของการไหลเวียนโลหิตที่เกิดขึ้นเอง
ท�ำงานได้แสดงให้เห็นว่าเพิ่มการกลับมาของการไหลเวียนโลหิตที่เกิดขึ้นเอง (ROSC) ในภาวะหัวใจหยุดท�ำงานเนื่องจากภาวะหัวใจห้องล่างเต้นแผ่วระรัว
(ROSC) การพิจารณาหลักฐานที่มีแสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพของยาทั้ง 2 ตัว (VF)/ภาวะหัวใจห้องล่างเต้นเร็วที่ไม่มีชีพจร (pVT)
นั้นใกล้เคียงกันและไม่พบว่ามีประโยชน์ที่แสดงให้เห็นจากการให้ทั้งยา เหตุผล: ขณะที่การวิจัยก่อนหน้านี้ได้แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างการให้ยา
อีพิเนฟรินและวาโซเพรสซิน เมื่อเทียบกับการให้ยาอีพิเนฟรินเพียงตัวเดียว ลิโดเคนหลังภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย และมีอัตราการตายเพิ่มขึ้น การวิจัยล่าสุด
เพื่อให้มีความชัดเจน วาโซเพรสซินถูกตัดออกจากขั้นตอนวิธีของภาวะหัวใจหยุด
ท�ำงานในผู้ใหญ่ เกี่ยวกับยาลิโดเคนในผู้รอดชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดท�ำงานแสดงว่าอุบัติการณ์
ของภาวะหัวใจห้องล่างเต้นแผ่วระรัว/ภาวะหัวใจห้องล่างเต้นเร็วที่ไม่มีชีพจรลดลง
ยาหดหลอดเลือดส�ำหรับการกู้ชีพ: ยาอีพิเนฟริน แต่ไม่บ่งชึ้ถึงทั้งประโยชน์หรืออันตรายในระยะยาว
2558 (ใหม่): อาจมีเหตุผลในการให้ยาอีพิเนฟรินให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ การรักษาด้วยยาหลังภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน:
หลังจากที่เริ่มมีภาวะหัวใจหยุดท�ำงานเนื่องจากจังหวะที่ไม่สามารถกระตุ้นด้วย
ไฟฟ้าได้ในช่วงแรก ยากลุ่มปิดกั้นเบต้า (ß-Blockers)
เหตุผล: การศึกษาเชิงสังเกตขนาดใหญ่มากของภาวะหัวใจหยุดท�ำงานร่วมกับ 2558 (ใหม่): มีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนการใช้ยากลุ่มปิดกั้นเบต้า
จังหวะที่ไม่สามารถกระตุ้นด้วยไฟฟ้า ได้ท�ำการเปรียบเทียบการให้ยาอีพิเนฟริน เป็นประจ�ำหลังภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน อย่างไรก็ตาม อาจพิจารณาให้เริ่มใช้ยา
โดยให้ที่ 1 ถึง 3 นาที เทียบกับการให้ยาอีพิเนฟรินที่ 3 ช่วงเวลาต่อมา (4 ถึง 6, กลุ่มปิดกั้นเบต้าชนิดรับประทานหรือชนิดฉีดเข้าเส้นเลือดด�ำหรือใช้ต่อไปใน
7 ถึง 9 และมากกว่า 9 นาที) การศึกษาพบความสัมพันธ์ระหว่างการให้ยาอีพิเนฟริน ช่วงต้นหลังจากการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพราะภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน
ในช่วงต้นและการเพิ่มการกลับมาของการไหลเวียนโลหิตที่เกิดขึ้นเอง (ROSC) เนื่องจากภาวะหัวใจหยุดท�ำงานจากภาวะหัวใจห้องล่างเต้นแผ่วระรัว (VF)/
การมีชีวิตอยู่จนถึงการออกจากโรงพยาบาล และการที่ระบบประสาทไม่เสียหาย ภาวะหัวใจห้องล่างเต้นเร็วที่ไม่มีชีพจร (pVT)

14 American Heart Association


เหตุผล: ในการศึกษาเชิงสังเกตของผู้ป่วยที่มีการกลับมาของการไหลเวียน เหตุผล: การศึกษาเชิงสังเกตหลายการวิจัยพบความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่าง
โลหิตที่เกิดขึ้นเอง (ROSC) หลังจากภาวะหัวใจหยุดท�ำงานจากภาวะหัวใจห้อง การท�ำให้มีเลือดมาเลี้ยงเส้นเลือดโคโรนารีย์ใหม่ในทันทีและทั้งผลลัพธ์ด้านการ
ล่างเต้นแผ่วระรัว (VF)/ภาวะหัวใจห้องล่างเต้นเร็วที่ไม่มีชีพจร (pVT) พบว่า รอดชีวิตและผลลัพธ์ด้านการท�ำงานตามต้องการ ในกรณีที่ไม่พบภาวะหัวใจหยุด
การให้ยากลุ่มปิดกั้นเบต้าสัมพันธ์กับอัตราการรอดชีวิตที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ท�ำงาน แนวทางได้มีค�ำแนะน�ำในการรักษาฉุกเฉินส�ำหรับ STEMI และการ
ข้อค้นพบนี้เป็นเพียงความสัมพันธ์ และการใช้ยากลุ่มปิดกั้นเบต้าเป็นประจ�ำ รักษาฉุกเฉินส�ำหรับภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันที่ไม่มี ST elevation ร่วมกับ
หลังจากภาวะหัวใจหยุดท�ำงานอาจเกิดอันตรายเนื่องจากยากลุ่มปิดกั้นเบต้า สัญญาณชีพหรือคลื่นไฟฟ้าไม่คงที่เรียบร้อยแล้ว การรักษาฉุกเฉินส�ำหรับผู้ป่วย
อาจท�ำให้เกิดสัญญาณชีพไม่คงที่ (hemodynamic instability) ที่มีอาการแย่ลง หลังภาวะหัวใจหยุดท�ำงานควรปฏิบัติตามแนวทางเดียวกัน เนื่องจากผลลัพธ์ของ
ภาวะโคม่าอาจดีขึ้นด้วยการรักษาภาวะหัวใจไม่คงที่ และยังไม่สามารถท�ำการ
ภาวะหัวใจล้มเหลวที่มีอาการรุนแรงขึ้น และท�ำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ พยากรณ์โรคของภาวะโคม่าได้ในช่วงสองสามชั่วโมงแรกหลังภาวะหัวใจหยุด
ชนิดที่ช้าลง (bradyarrhythmia) ดังนั้น ผู้ด�ำเนินการควรประเมินผู้ป่วยแต่ละราย ท�ำงาน
ถึงความเหมาะสมในการใช้ยากลุ่มปิดกั้นเบต้า
การจัดการให้ได้ตามอุณหภูมิเป้าหมาย
การดูแลหลังภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน 2558 (ปรับปรุง): ผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มีภาวะโคม่า (ได้แก่ การขาดการตอบสนอง
ส�ำคัญต่อค�ำสั่งทางวาจา) ทั้งหมดร่วมกับการกลับมาของการไหลเวียนโลหิตที่
เกิดขึ้นเอง (ROSC) หลังภาวะหัวใจหยุดท�ำงานควรได้รับการจัดการให้ได้ตาม
สรุปย่อประเด็นและการเปลี่ยนแปลงที่ส�ำคัญ อุณหภูมิเป้าหมาย โดยเลือกและบันทึกอุณหภูมิเป้าหมายระหว่าง 32°C และ
ประเด็นและการเปลี่ยนแปลงที่ส�ำคัญตามค�ำแนะน�ำในแนวทางฉบับปรับปรุง 36°C ไว้ จากนั้นรักษาให้คงที่เป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
พ.ศ. 2558 ส�ำหรับการดูแลหลังภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน มีดังต่อไปนี้ 2553 (เดิม): ผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มีภาวะโคม่า (ได้แก่การขาดการตอบสนอง
• แนะน�ำให้ท�ำการฉีดสีหลอดเลือดหัวใจฉุกเฉินในผู้ป่วยทุกคนที่มี ST ส�ำคัญต่อค�ำสั่งทางวาจา) ร่วมกับการกลับมาของการไหลเวียนโลหิตที่เกิดขึ้น
elevation และผู้ป่วยที่มีสัญญาณชีพหรือคลื่นไฟฟ้าไม่คงที่ที่มี ST เอง (ROSC) หลังภาวะหัวใจหยุดท�ำงานจากภาวะหัวใจห้องล่างเต้นแผ่วระรัว
elevation ซึ่งสงสัยว่ามีรอยโรคที่หัวใจหลอดเลือด ที่เกิดภายนอกโรงพยาบาล ควรได้รับการปรับอุณหภูมิให้เย็นลงถึง 32°C ถึง
34°C เป็นเวลา 12-24 ชั่วโมง อาจพิจารณาใช้วิธีเหนี่ยวน�ำให้เกิดภาวะอุณหภูมิ
• มีการปรับปรุงค�ำแนะน�ำเกี่ยวกับการจัดการให้ได้ตามอุณหภูมิเป้าหมาย ร่างกายต�่ำกว่าปกติส�ำหรับผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มีภาวะโคม่าร่วมกับการกลับมาของการ
ตามหลักฐานใหม่ที่พบว่าอาจมีช่วงอุณหภูมิหนึ่งซึ่งยอมรับได้ที่จะเป็น ไหลเวียนโลหิตที่เกิดขึ้นเอง (ROSC) หลังภาวะหัวใจหยุดท�ำงานที่เกิดขึ้นใน
เป้าหมายในช่วงหลังภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน โรงพยาบาลของจังหวะหัวใจเริ่มต้นใดๆ หรือหลังภาวะหัวใจหยุดท�ำงานที่เกิดขึ้น
• หลังการจัดการให้ได้ตามอุณหภูมิเป้าหมายเสร็จสิ้น อาจจะมีไข้ ขณะที่มี นอกโรงพยาบาลร่วมกับจังหวะหัวใจเริ่มต้นของคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่ไม่มีชีพจรหรือ
ข้อมูลจากการศึกษาเชิงสังเกตที่ขัดแย้งเกี่ยวกับอันตรายหรือการเกิดไข้หลัง ภาวะหัวใจหยุดเต้น (asystole)
การจัดการให้ได้ตามอุณหภูมิเป้าหมาย มีการพิจารณาว่าการป้องกันไข้นั้น เหตุผล: การศึกษาระยะแรกของการจัดการให้ได้ตามอุณหภูมิเป้าหมาย
เหมาะสม ดังนั้นจึงมีความสมเหตุสมผลที่จะด�ำเนินการต่อไป เป็นการศึกษาในช่วงอุณหภูมิระหว่าง 32°C และ 34°C เปรียบเทียบกับการ
• มีค�ำแนะน�ำให้บ่งชี้และรักษาภาวะความดันโลหิตต�่ำในช่วงหลังภาวะหัวใจ จัดการให้ได้ตามอุณหภูมิเป้าหมายที่ไม่ก�ำหนดอุณหภูมิ และพบว่าผลลัพธ์ทาง
หยุดท�ำงานทันที ประสาทวิทยาดีขึ้นในกลุ่มที่ใช้วิธีเหนี่ยวน�ำให้เกิดภาวะอุณหภูมิร่างกายต�่ำกว่า
ปกติ การวิจัยคุณภาพสูงในปัจจุบันเปรียบเทียบการจัดการอุณหภูมิที่ 36°C
• ขณะนี้ มีค�ำแนะน�ำให้มีการพยากรณ์โรคภายในไม่เกิน 72 ชั่วโมงหลัง และ 33°C และพบว่าผลลัพธ์ของทั้งสองกลุ่มไม่ต่างกัน เมื่อพิจารณาร่วมกัน
จากเสร็จสิ้นการจัดการให้ได้ตามอุณหภูมิเป้าหมาย ส�ำหรับผู้ป่วยที่ไม่ได้ การศึกษาระยะแรกบ่งชี้ว่าการจัดการให้ได้ตามอุณหภูมิเป้าหมายมีประโยชน์
ท�ำการจัดการให้ได้ตามอุณหภูมิเป้าหมาย ไม่แนะน�ำให้มีการพยากรณ์โรค ดังนั้น ยังคงมีค�ำแนะน�ำให้เลือกอุณหภูมิเป้าหมายหนึ่งค่าและให้ท�ำการจัดการ
ในช่วงก่อน 72 ชั่วโมงหลังการกลับมาของการไหลเวียนโลหิตที่เกิดขึ้นเอง ให้ได้ตามอุณหภูมิเป้าหมาย ถ้าอุณหภูมิ 33°C ไม่ดีไปกว่า 36°C แพทย์สามารถ
(ROSC) เลือกอุณหภูมิเป้าหมายในช่วงที่กว้างขึ้น อาจพิจารณาอุณหภูมิที่เลือกตามความ
• ผู้ป่วยทุกคนที่มีอาการลุกลามจนเกิดภาวะสมองตายหรือระบบไหลเวียน พอใจของแพทย์หรือตามปัจจัยทางคลินิก
โลหิตล้มเหลวหลังจากภาวะหัวใจหยุดท�ำงานควรพิจารณาเรื่องการเป็น
ผู้บริจาคอวัยวะ การจัดการให้ได้ตามอุณหภูมิต่อเนื่องหลังจาก
24 ชั่วโมง
การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ 2558 (ใหม่): การป้องกันการเกิดไข้อย่างจริงจังในผู้ป่วยที่มีภาวะโคม่าหลัง
2558 (ปรับปรุง): ควรท�ำการฉีดสีหลอดเลือดหัวใจอย่างฉุกเฉิน (แทนที่จะ การจัดการให้ได้ตามอุณหภูมิเป้าหมายเป็นสิ่งที่เหมาะสม
ท�ำในภายหลังการเข้าพักในโรงพยาบาลหรือไม่ท�ำ) ส�ำหรับผู้ป่วยภาวะหัวใจหยุด เหตุผล: แม้ว่าการวิจัยจะให้ผลที่ขัดแย้งกัน แต่ในการศึกษาเชิงสังเกตบางการ
ท�ำงานที่เกิดขึ้นนอกโรงพยาบาลซึ่งพบสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจที่สงสัยและ วิจัยบ่งชี้ว่า การเกิดไข้หลังจากการกลับมาให้ความอบอุ่นหลังการจัดการให้ได้
มี ST elevation จากการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (อีซีจี) การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ ตามอุณหภูมิเป้าหมายสัมพันธ์กับการบาดเจ็บทางประสาทวิทยาที่แย่ลง มีการ
ฉุกเฉินเป็นวิธีที่มีความสมเหตุสมผลส�ำหรับผู้ป่วยผู้ใหญ่บางราย (เช่น มีสัญญาณ แนะน�ำให้ป้องกันการเกิดไข้ เนื่องจากการป้องกันการเกิดไข้หลังการจัดการให้ได้
ชีพหรือคลื่นไฟฟ้าไม่คงที่) ซึ่งอยู่ในภาวะโคม่าหลังภาวะหัวใจหยุดท�ำงานที่เกิด ตามอุณหภูมิเป้าหมายนั้นไม่รุนแรงและการเกิดไข้อาจจะสัมพันธ์กับอันตรายได้
ขึ้นนอกโรงพยาบาลที่สงสัยว่ามีจุดก�ำเนิดจากหัวใจ แต่ไม่พบ ST elevation
ในการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (อีซีจี) การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจเป็นวิธีที่มีความ การท�ำให้เย็นลงนอกโรงพยาบาล
สมเหตุสมผลในผู้ป่วยหลังภาวะหัวใจหยุดท�ำงานซึ่งมีข้อบ่งชี้ให้ท�ำการฉีดสี
2558 (ใหม่): ไม่แนะน�ำการท�ำให้ผู้ป่วยเย็นลงก่อนมาถึงโรงพยาบาลด้วย
หลอดเลือดหัวใจ ไม่ว่าผู้ป่วยจะอยู่ในภาวะโคม่าหรือว่าตื่นอยู่
การให้สารละลายที่เย็นทางหลอดเลือดด�ำอย่างรวดเร็วเป็นประจ�ำหลังการกลับ
2553 (เดิม): อาจมีความสมเหตุสมผลที่จะสันนิษฐานว่าหัตถการรักษาโรค มาของการไหลเวียนโลหิตที่เกิดขึ้นเอง (ROSC)
หลอดเลือดโคโรนารีย์ผ่านสายสวนเป็นล�ำดับแรก (PPCI) หลังจากการกลับมา เหตุผล: ก่อน พ.ศ. 2553 ไม่เคยมีการประเมินผู้ป่วยที่ได้รับการท�ำให้เย็นลง
ของการไหลเวียนโลหิตที่เกิดขึ้นเอง (ROSC) ในผู้ป่วยที่มีหัวใจหยุดท�ำงานมี ก่อนมาถึงโรงพยาบาลอย่างละเอียด มีการสันนิษฐานว่าการเริ่มต้นการท�ำให้เย็น
สาเหตุของการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด แม้ว่าจะไม่แน่ชัดว่ามีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจ ลงโดยเร็วอาจช่วยเพิ่มประโยชน์ และการเริ่มต้นตั้งแต่ก่อนมาถึงโรงพยาบาลอาจ
ตายชนิด ST-segment elevation (STEMI) ควรเริ่มให้การรักษาที่เหมาะสม ช่วยอ�ำนวยความสะดวกและท�ำให้การท�ำให้เย็นลงในโรงพยาบาลเป็นไปอย่างต่อ
ส�ำหรับภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (ACS) หรือ STEMI ได้แก่ หัตถการ เนื่อง ปัจจุบัน การวิจัยคุณภาพสูงที่เผยแพร่แสดงให้เห็นว่าการท�ำให้เย็นลงก่อน
รักษาโรคหลอดเลือดโคโรนารีย์ผ่านสายสวน (PCI) หรือ การให้ยาละลาย มาถึงโรงพยาบาลไม่มีประโยชน์ และบ่งชี้ถึงอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นเมื่อ
ลิ่มเลือด ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะโคม่าก็ตาม ใช้สารละลายที่เย็นให้ทางหลอดเลือดด�ำในการท�ำให้เย็นลงก่อนถึงโรงพยาบาล

ไฮไลท์ของแนวทางการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (CPR) และการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลอดเลือดในภาวะฉุกเฉิน (ECC) ของ AHA ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558 15


เป้าหมายด้านพลศาสตร์การไหลเวียนเลือด 2553 (เดิม): ขณะที่มีการระบุเวลาที่จะใช้ประโยชน์จากการทดสอบเฉพาะ
ไว้แล้ว ยังไม่มีค�ำแนะน�ำในภาพรวมเกี่ยวกับเวลาในการพยากรณ์โรค
ภายหลังการกู้ชีพ เหตุผล: ทั้งผลทางคลินิก แบบสรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ แบบภาพ และสารบ่งชี้
2558 (ใหม่): อาจเหมาะสมที่จะหลีกเลี่ยงและรักษาภาวะความดันโลหิตต�่ำ ทางเลือดต่างมีประโยชน์ในการพยากรณ์ผลลัพธ์ทางประสาทวิทยาในผู้ป่วยที่
ทันที (ความดันโลหิตช่วงหัวใจบีบตัวน้อยกว่า 90 มิลลิเมตรปรอท ความดัน มีภาวะโคม่า แต่ผลการทดสอบ และสารบ่งชี้แต่ละอย่างอาจถูกรบกวนจากการ
หลอดเลือดแดงเฉลี่ยต�่ำกว่า 65 มิลลิเมตรปรอท) ระหว่างการดูแลหลังภาวะ สลบและการปิดกั้นระบบประสาทและกล้ามเนื้อในรูปแบบต่างๆ กัน นอกจากนี้
หัวใจหยุดท�ำงาน สมองในภาวะโคม่าอาจจะไวต่อยา และยาอาจจะใช้เวลาในการเมแทบอไลท์
เหตุผล: การศึกษาในผู้ป่วยหลังภาวะหัวใจหยุดท�ำงานพบว่าความดันโลหิต นานขึ้นหลังภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน
ช่วงหัวใจบีบตัวน้อยกว่า 90 มิลลิเมตรปรอท หรือความดันหลอดเลือดแดงเฉลี่ย ไม่มีผลตรวจทางกายภาพหรือการทดสอบใดที่สามารถท�ำนายการฟื้นตัวทาง
ต�่ำกว่า 65 มิลลิเมตรปรอทสัมพันธ์กับอัตราการตายที่สูงขึ้นและการฟื้นตัวของ ประสาทวิทยาหลังจากภาวะหัวใจหยุดท�ำงานได้อย่างแม่นย�ำ 100% เป็นไปได้
การท�ำงานที่ลดลง ในขณะที่ความดันหลอดเลือดแดงช่วงหัวใจบีบตัวมากกว่า มากที่สุดที่การใช้แบบของการทดสอบและการตรวจประเมินหลายแบบร่วมกัน
100 มิลลิเมตรปรอทสัมพันธ์กับการฟื้นตัวที่ดีขึ้น ถึงแม้ว่าความดันที่สูงขึ้น เพื่อพยากรณ์ผลลัพธ์หลังจากผลของภาวะอุณหภูมิร่างกายต�่ำกว่าปกติและยา
จะดีกว่า ยังไม่สามารถก�ำหนดค่าเป้าหมายความดันช่วงหัวใจบีบตัวหรือ ที่ได้รับการอนุญาตให้ใช้รักษาจะท�ำให้การพยากรณ์ผลลัพธ์เป็นไปได้ถูกต้อง
ความดันหลอดเลือดแดงเฉลี่ยเฉพาะได้ เนื่องจากโดยทั่วไปการวิจัยทางคลินิก (กล่องข้อความที่ 2)
เป็นการศึกษากลุ่มของการรักษาหลายชนิด รวมถึงการควบคุมด้านพลศาสตร์
การไหลเวียนเลือด และเนื่องจากความดันโลหิตเริ่มต้นแตกต่างกันระหว่างผู้ป่วย การบริจาคอวัยวะ
แต่ละราย ท�ำให้ผู้ป่วยต่างกันมีความต้องการการรักษาปริมาณการสูบฉีดโลหิต
ไปเลี้ยงอวัยวะที่เหมาะสมต่างกัน 2558 (ปรับปรุง): อาจประมินว่าผู้ป่วยทุกคนที่ได้รับการกู้ชีพหลังจากภาวะ
หัวใจหยุดท�ำงาน แต่ต่อมามีอาการลุกลามจนเสียชีวิตหรือเกิดภาวะสมองตาย
การพยากรณ์โรคหลังจากภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน มีโอกาสเป็นผู้บริจาคอวัยวะ อาจพิจารณาว่าผู้ป่วยที่ไม่มีการกลับมาของการ
ไหลเวียนโลหิตที่เกิดขึ้นเอง (ROSC) และผู้ที่ในทางตรงข้ามได้เลิกการกู้ชีพ
2558 (ใหม่): เวลาเร็วที่สุดที่จะพยากรณ์โรคของผลลัพธ์ทางประสาทวิทยา ไปว่ามีโอกาสเป็นผู้บริจาคไตหรือตับในสภาวะที่มีโปรแกรมฟื้นฟูอวัยวะอย่าง
ที่แย่โดยใช้การตรวจประเมินทางคลินิกในผู้ป่วยที่ไม่รับการรักษาด้วยการจัดการ รวดเร็ว
ให้ได้ตามอุณหภูมิเป้าหมาย คือ 72 ชั่วโมงหลังภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน แต่เวลา
ดังกล่าวอาจจะยาวนานขึ้นอีกหลังภาวะหัวใจหยุดท�ำงานได้หากผลของการสลบ 2553 (เดิม): อาจพิจารณาผู้ใหญ่ทุกคนที่มีอาการลุกลามจนเกิดภาวะสมอง
และอัมพาตที่คงค้างอยู่อาจรบกวนการตรวจประเมินทางคลินิก ตายหลังการกู้ชีพจากภาวะหัวใจหยุดท�ำงานส�ำหรับการบริจาคอวัยวะ
2558 (ปรับปรุง): ในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยการจัดการให้ได้ตาม เหตุผล: ไม่พบความแตกต่างในการท�ำงานของอวัยวะในระยะยาวหรือทันที
อุณหภูมิเป้าหมายซึ่งการสลบและภาวะอัมพาตอาจรบกวนการตรวจประเมิน จากผู้บริจาคซึ่งอยู่ในภาวะสมองตายหลังภาวะหัวใจหยุดท�ำงานเมื่อเปรียบเทียบ
ทางคลินิก พยากรณ์ผลลัพธ์ควรจะรอจนถึง 72 ชั่วโมงหลังจากกลับสู่อุณหภูมิ กับผู้บริจาคซึ่งอยู่ในภาวะสมองตายจากสาเหตุอื่น อวัยวะที่ปลูกถ่ายจากผู้บริจาค
ปกติของร่างกายก่อนจึงจะเหมาะสม เหล่านี้มีอัตราความส�ำเร็จเทียบเท่ากับอวัยวะที่ฟื้นตัวจากผู้บริจาคเหมือนกันที่
อยู่ในภาวะอื่นๆ
กล่องข้อความที่ 2

ผลทางคลินิกที่เป็นประโยชน์ ภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
ที่เกี่ยวข้องกับ แนวทางฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558 แสดงการเปลี่ยนแปลงภายในของเขตของ
ผลลัพธ์ทางประสาทวิทยาที่ไม่ดี* แนวทางของ AHA ส�ำหรับการประเมินและการจัดการภาวะหัวใจขาดเลือด
เฉียบพลัน เริ่มจากการปรับปรุงนี้ จะจ�ำกัดค�ำแนะน�ำไว้ในส่วนของการดูแลช่วง
ก่อนมาถึงโรงพยาบาลและช่วงแผนกฉุกเฉิน ได้มีการกล่าวถึงการดูแลภายใน
• ไม่มีรีเฟล็กซ์ม่านตาต่อแสงที่ 72 ชั่วโมงหรือมากกว่าหลังเกิดภาวะหัวใจ โรงพยาบาลไว้ในแนวทางในการจัดการภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตามที่ตีพิมพ์ร่วมกัน
หยุดท�ำงาน ระหว่าง AHA และ มูลนิธิวิทยาลัยแพทย์โรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา
• มีภาวะกล้ามเนื้อกระตุกรัว (ซึ่งแตกต่างจากการกระตุกของแขนขา
(myoclonic jerks)) ในระหว่าง 72 ชั่วโมงหลังการเกิดภาวะหัวใจหยุด
ท�ำงาน
สรุปย่อประเด็นและการเปลี่ยนแปลงที่ส�ำคัญ
• ไม่มีการรับรู้ทางร่างกายที่ต�ำแหน่ง N20 จากการกระตุ้นด้วยคลื่นไฟฟ้า ประเด็นหลักพร้อมด้วยการเปลี่ยนแปลงส�ำคัญตามค�ำแนะน�ำในแนวทางฉบับ
ชั้นนอกที่ 24 ถึง 72 ชั่วโมงหลังการเกิดภาวะหัวใจหยุดท�ำงานหรือหลังจาก ปรับปรุง พ.ศ. 2558 ส�ำหรับผู้ให้บริการด้านสุขภาพ มีดังต่อไปนี้
การให้ความร้อนอีกครั้ง • การจัดหาและการแปลผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (อีซีจี) ก่อนมา
• มีการลดลงของอัตราส่วนสีเทา-สีขาวจากการถ่ายภาพรังสีส่วนตัดโดยใช้ โรงพยาบาล
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ได้ภายใน 2 ชั่วโมงหลังการเกิดภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน • เลือกวิธีการท�ำให้เลือดกลับมาไหลเวียนใหม่เมื่อมีการให้ยาละลายลิ่มเลือด
• มีการแพร่กระจายที่ถูกจ�ำกัดในบริเวณกว้างจากการถ่ายภาพรังสีโดยใช้ ก่อนมาโรงพยาบาล
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของสมองที่ 2 ถึง 6 วันหลังการเกิดภาวะหัวใจหยุด • เลือกวิธีการท�ำให้เลือดกลับมาไหลเวียนใหม่ในโรงพยาบาลที่ไม่สามารถ
ท�ำงาน ท�ำหัตถการรักษาโรคหลอดเลือดโคโรนารีย์ผ่านสายสวนได้
• มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับตลอดเวลาของภาพคลื่นไฟฟ้าสมอง (อีอีจี) ต่อ
• โทรโปนินใช้บ่งชี้ว่าสามารถจ�ำหน่ายผู้ป่วยนั้นออกจากแผนกฉุกเฉินได้
สิ่งกระตุ้นจากภายนอกที่ 72 ชั่วโมงหลังการเกิดภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน
อย่างปลอดภัย
• มีอาการลมชักตลอดเวลาหรือมีอาการชักโดยไม่รู้สึกตัวซึ่งรักษาได้ยากจาก
ภาพคลื่นไฟฟ้าสมอง (อีอีจี) หลังจากที่ให้ความอบอุ่น • การรักษาที่อาจจะมีหรือไม่มีประโยชน์ถ้าให้ก่อนที่จะมาถึงโรงพยาบาล
การขาดหายไปของการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ ท่าทางที่เกิดจากกล้ามเนื้อเหยียดตึง หรือ
กล้ามเนื้อกระตุก ไม่ควรถูกน�ำมาใช้ในการท�ำนายผลลัพธ์เพียงอย่างเดียว การจัดหาและการแปลผลการตรวจคลื่นไฟฟ้า
*ภาวะช็อค อุณหภูมิ ความผิดปกติของเมแทบอลิซึม ภาวะก่อนให้ยาระงับประสาทหรือยาที่ระงับ
ความรู้สึกที่จุดเชื่อมต่อระหว่างเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ และปัจจัยทางคลินิกอื่น ควรถูกน�ำมา
หัวใจ (อีซีจี) ก่อนมาโรงพยาบาล
พิจารณาอย่างรอบคอบ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อผลการทดสอบหรือการแปลผล 2558 (ใหม่): ควรมีการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบ 12 ลีด ก่อนมา
ของการทดสอบบางอย่าง
โรงพยาบาลให้กับผู้ป่วยที่อาจมีภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน

16 American Heart Association


2558 (ใหม่): ผู้ที่ไม่ใช่แพทย์แต่ได้รับการฝึกอบรมอาจแปลผลการตรวจคลื่น ไม่เกิน 24 ชั่วโมง แทนที่จะเคลื่อนย้ายผู้ป่วยหลังให้ยาละลายลิ่มเลือดเฉพาะราย
ไฟฟ้าหัวใจ (อีซีจี) เพื่อพิจารณาว่ากราฟแสดงหลักฐานว่าเกิด STEMI หรือไม่ ที่ต้องรับการฉีดสีเข้าหลอดเลือดตามแนวทางส�ำหรับภาวะขาดเลือดเท่านั้น
2558 (ปรับปรุง): อาจใช้การแปลผลคลื่นไฟฟ้าหัวใจด้วยคอมพิวเตอร์ร่วม 2553 (เดิม): การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงซึ่งได้รับการท�ำให้เลือด
กับการแปลผลโดยแพทย์หรือผู้ด�ำเนินการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (อีซีจี) ที่ได้รับ กลับมาไหลเวียนใหม่เบื้องต้นโดยการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือด มีความ
การฝึกอบรมการตรวจหา STEMI เหมาะสม
2558 (ปรับปรุง): ส�ำหรับผู้ป่วยที่ตรวจพบ STEMI ในการตรวจคลื่นไฟฟ้า เหตุผล: การให้ยาละลายลิ่มเลือดเป็นการดูแลมาตรฐานส�ำหรับ STEMI
หัวใจ (อีซีจี) ก่อนมาโรงพยาบาลทั้งหมด ควรมีการแจ้งล่วงหน้าก่อนมาถึง มานานกว่า 30 ปี ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ความพร้อมในการท�ำหัตถการรักษา
โรงพยาบาลที่จะรับผู้ป่วย และ/หรือการกระตุ้นให้เตรียมห้องปฏิบัติการตรวจ โรคหลอดเลือดโคโรนารีย์ผ่านสายสวนเป็นล�ำดับแรก (PPCI)มีเพิ่มมากขึ้นใน
สวนหัวใจและหลอดเลือดก่อนมาโรงพยาบาล ส่วนใหญ่ของทวีปอเมริกาเหนือ อีกทั้ง พบว่าหัตถการรักษาโรคหลอดเลือด
โคโรนารีย์ผ่านสายสวนเป็นล�ำดับแรกโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ในเวลาที่
2553 (เดิม): ถ้าผู้ด�ำเนินการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจไม่ได้รับการฝึกอบรมให้ เหมาะสมให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นปานกลางเมื่อเทียบกับการให้ยาละลายลิ่มเลือด
แปลผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบ 12 ลีด มีค�ำแนะน�ำให้ส่งต่อการตรวจคลื่น อย่างไรก็ตาม เมื่อหัตถการรักษาโรคหลอดเลือดโคโรนารีย์ผ่านสายสวน
ไฟฟ้าหัวใจ (อีซีจี) หรือรายงานผ่านคอมพิวเตอร์ไปยังโรงพยาบาลที่รับผู้ป่วย เป็นล�ำดับแรกล่าช้าออกไป การให้ยาละลายลิ่มเลือดทันทีอาจจะให้ผลดีกว่า
ประโยชน์เพิ่มเติมของหัตถการรักษาโรคหลอดเลือดโคโรนารีย์ผ่านสายสวนได้
2553 (เดิม): ส�ำหรับผู้ป่วยที่ตรวจพบ STEMI ควรมีการแจ้งล่วงหน้าไปยัง ทั้งนี้ขึ้นกับระยะเวลาของการล่าช้าที่เกิดขึ้น เมื่อเปรียบเทียบการเคลื่อนย้าย
โรงพยาบาลที่จะรับผู้ป่วย ผู้ป่วยโดยตรงไปยังโรงพยาบาลที่สามารถท�ำหัตถการรักษาโรคหลอดเลือด
เหตุผล: การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบ 12 ลีดมีราคาไม่สูง ท�ำการตรวจได้ โคโรนารีย์ผ่านสายสวนกับการให้ยาละลายลิ่มเลือดก่อนมาโรงพยาบาลพบว่า
อัตราการตายไม่ต่างกัน แต่การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเพื่อหัตถการรักษาโรคหลอด
ง่าย และสามารถให้หลักฐานว่ามี ST elevation เฉียบพลันได้อย่างรวดเร็ว เลือดโคโรนารีย์ผ่านสายสวนเป็นล�ำดับแรกท�ำให้อุบัติการณ์ของภาวะเลือดออก
ความกังวลเรื่องการแปลผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจโดยผู้แปลที่ไม่ใช่แพทย์ ในกะโหลกศีรษะลดลงเล็กน้อย การค้นหาหลักฐานใหม่ท�ำให้สามารถแบ่งขั้น
อาจน�ำไปสู่การวินิจฉัยเกินความจริงซึงจะท�ำให้เกิดการใช้ทรัพยากรมากเกินไป ของค�ำแนะน�ำในการรักษตามช่วงเวลาจาก ตอนเริ่มอาการ และเมื่อคาดว่า
หรืออีกอย่างหนึ่งคือการวินิจฉัยน้อยกว่าความเป็นจริงซึ่งอาจส่งผลให้การรักษา หัตถการรักษาโรคหลอดเลือดโคโรนารีย์ผ่านสายสวนจะล่าช้า อีกทั้งท�ำให้มี
ล่าช้าออกไป ท�ำให้การขยายโปรแกรมการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจไปยังการบริการ ค�ำแนะน�ำส�ำหรับแพทย์ในโรงพยาบาลที่ไม่สามารถท�ำหัตถการรักษาโรคหลอด
ทางการแพทย์ฉุกเฉินถูกระงับไป ความกังวลแบบเดียวกันเกิดขึ้นกับการแปลผล เลือดโคโรนารีย์ผ่านสายสวนโดยเฉพาะ หัตถการรักษาโรคหลอดเลือดโคโรนารีย์
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (อีซีจี) ด้วยคอมพิวเตอร์ การทบทวนงานวิจัยครั้งหนึ่ง ผ่านสายสวนทันทีหลังจากการรักษาด้วยการให้ยาละลายลิ่มเลือดไม่ท�ำให้เกิด
แสดงให้เห็นว่าเมื่อไม่มีการให้ยาละลายลิ่มเลือดในช่วงก่อนมาถึงโรงพยาบาล ประโยชน์เพิ่มเติม แต่การฉ๊ดสีเข้าหลอดเลือดแบบประจ�ำภายใน 24 ชั่วโมง
การแจ้งโรงพยาบาลล่วงหน้าว่าจะมีผู้ป่วยที่มี ST elevation หรือการกระตุ้นให้ หลังการให้ยาละลายลิ่มเลือดช่วยลดอุบัติการณ์ของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดซ�้ำ
เตรียมห้องปฏิบัติการตรวจสวนหัวใจและหลอดเลือดก่อนมาโรงพยาบาลนั้นช่วย
ลดเวลาในการท�ำให้เลือดกลับมาไหลเวียนใหม่และลดอัตราการเจ็บป่วยและ โทรโปนินใช้บ่งชี้ว่าสามารถจ�ำหน่ายผู้ป่วยนั้น
อัตราการตายด้วย เนื่องจากอาจต้องใช้เวลาในการพัฒนาทักษะของผู้ด�ำเนินการ ออกจากแผนกฉุกเฉินได้อย่างปลอดภัย
ที่ไม่มีประสบการณ์ในการแปลผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบ 12 ลีด สามารถ
2558 (ใหม่): ไม่ควรใช้การตรวจวัดโทรโปนินที่มีความไวสูง T และ I ที่เวลา
คาดหวังได้ว่าการแปลผลด้วยคอมพิวเตอร์จะเพิ่มความถูกต้องของการแปลผล
0 และ 2 ชั่วโมง (โดยไม่ได้ท�ำการแบ่งชั้นตามความเสี่ยงทางคลินิก) เพื่อตัด
เมื่อใช้ร่วมกับการแปลผลโดยผู้ที่ไม่ใช่แพทย์แต่ได้รับการฝึกฝน การวินิจฉัยว่าเป็นภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันออกไป แต่อาจใช้การตรวจ
วัดโทรโปนินที่มีความไวสูง I ซึ่งน้อยกว่า 99 เปอร์เซ็นต์ไทล์ ที่เวลา 0 และ
การท�ำให้เลือดกลับมาไหลเวียนใหม่ 2 ชั่วโมง ร่วมกับการแบ่งชั้นที่ความเสี่ยงต�่ำ (คะแนนการสลายลิ่มเลือดใน
2558 (ใหม่): เมื่อมีการให้ยาละลายลิ่มเลือดก่อนมาโรงพยาบาลโดยเป็น ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย [TIMI] มีค่า 0 หรือ 1 หรือความเสี่ยงต�่ำตามกฎของ
ส่วนหนึ่งของระบบการดูแล STEMI และมีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโดยตรงไปยัง แวนคูเวอร์) เพื่อท�ำนายโอกาสเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ของหัวใจที่ส�ำคัญ
ศูนย์หัตถการรักษาโรคหลอดเลือดโคโรนารีย์ผ่านสายสวน อาจจะชอบมากกว่าที่ (MACE) ในเวลา 30 วัน ว่าน้อยกว่า 1% อาจใช้การตรวจวัดโทรโปนิน I หรือ
จะมีการคัดแยกผู้ป่วยก่อนมาโรงพยาบาลและส่งผู้ป่วยไปยังศูนย์หัตถการรักษา โทรโปนิน T เป็นลบ ที่เวลา 0 และระหว่าง 3-6 ชั่วโมง ร่วมกับการแบ่งชั้น
โรคหลอดเลือดโคโรนารีย์ผ่านสายสวนโดยตรงเนื่องจากส่งผลให้มีอุบัติการณ์ ที่ความเสี่ยงต�่ำมาก (คะแนน TIMI เท่ากับ 0 คะแนนความเสี่ยงต�่ำตามกฎ
ภาวะเลือดออกในกะโหลกศีรษะลดลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานที่ แวนคูเวอร์ คะแนนการเจ็บหน้าอกทวีปอเมริกาเหนือ เป็น 0 และอายุน้อยกว่า
แสดงประโยชน์ต่ออัตราการตายของการรักษาหนึ่งดีกว่าอีกการรักษาหนึ่ง 50 ปี หรือคะแนนหัวใจมีความเสี่ยงต�่ำ) เพื่อท�ำนายโอกาสเกิดเหตุการณ์
ไม่พึงประสงค์ของหัวใจที่ส�ำคัญ (MACE) ในเวลา 30 วัน ว่าน้อยกว่า 1%
2558 (ใหม่): ในผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มี STEMI ในแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลที่
2553 (เดิม): ถ้าตัวบ่งชี้ทางชีวภาพให้ผลลบในช่วงแรกภายใน 6 ชั่วโมง
ไม่สามารถท�ำหัตถการรักษาโรคหลอดเลือดโคโรนารีย์ผ่านสายสวนได้ แนะน�ำ
ให้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่ไม่ได้มีการให้ยาละลายลิ่มเลือดโดยเร็วที่สุด จากสถานที่ นับจากตอนเริ่มอาการ มีค�ำแนะน�ำว่าควรตรวจวัดตัวบ่งชี้ทางชีวภาพอีกครั้ง
แรกไปจนถึงศูนย์หัตถการรักษาโรคหลอดเลือดโคโรนารีย์ผ่านสายสวน แทนที่ ในช่วงระหว่าง 6-12 ชั่วโมงหลังจากตอนเริ่มอาการ
จะการให้ยาละลายลิ่มเลือดทันทีในช่วงแรกที่โรงพยาบาลโดยจะเคลื่อนย้ายผู้ป่วย เหตุผล: การพึ่งพาผลการทดสอบโทรโปนินที่เป็นลบไม่ว่าอย่างเดียวหรือ
เพื่อไปรับหัตถการรักษาโรคหลอดเลือดโคโรนารีย์ผ่านสายสวนส�ำหรับภาวะ ร่วมกับการประเมินความเสี่ยงที่ไม่มีแบบแผน ส่งผลให้เกิดอัตราของเหตุการณ์
ขาดเลือด ไม่พึงประสงค์ของหัวใจที่ส�ำคัญในเวลา 30 วันที่สูงเกินจะยอมรับได้ อย่างไร
2558 (ใหม่): เมื่อไม่สามารถเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่มี STEMI ไปยังโรงพยาบาล ก็ตาม การท�ำนายซึ่งยึดถือผลการทดสอบโทรโปนินเป็นลบร่วมกับการประเมิน
ที่สามารถท�ำหัตถการรักษาโรคหลอดเลือดโคโรนารีย์ผ่านสายสวนในเวลาที่ ความเสี่ยงที่มีแบบแผน จะมีความเสี่ยงในการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ของ
เหมาะสมได้ อาจยอมรับการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือดร่วมกับการเคลื่อนย้าย หัวใจที่ส�ำคัญ (MACE) ในเวลา 30 วัน น้อยกว่า 1%
ผู้ป่วยไปรับการตรวจเอกซเรย์หลอดเลือดเป็นประจ�ำ (ดูด้านล่าง) เพื่อเป็นทาง
เลือกรองจากการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปรับหัตถการรักษาโรคหลอดเลือดโคโรนารีย์ การรักษาอื่นๆ
ผ่านสายสวน เมื่อการให้ยาตัวหนึ่งสามารถลดอัตราการเจ็บป่วยและอัตราการตายได้ การให้
2558 (ใหม่): เมื่อให้การรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือดกับผู้ป่วยที่มี STEMI ยานั้นก่อนมาถึงโรงพยาบาลเทียบกับการให้ยาที่โรงพยาบาล จะช่วยให้ยาได้
ในโรงพยาบาลที่ไม่สามารถท�ำหัตถการรักษาโรคหลอดเลือดโคโรนารีย์ผ่าน เริ่มท�ำงานเร็วขึ้นและอาจช่วยลดอัตราการเจ็บป่วยและอัตราการตายให้ลงไปอีก
สายสวน อาจจะเป็นการเหมาะสมที่จะเคลื่อนย้ายผู้ป่วยหลังให้ยาละลายลิ่มเลือด อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาในการตอบสนองและการเดินทางของการบริการทางการ
ทุกรายไปรับการฉีดสีเข้าหลอดเลือดแบบประจ�ำก่อนในช่วง 3-6 ชั่วโมงแรกและ แพทย์ฉุกเฉินในเมืองสั้น อาจมีโอกาสที่ยาจะให้ผลที่มีประโยชน์ไม่มากนัก

ไฮไลท์ของแนวทางการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (CPR) และการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลอดเลือดในภาวะฉุกเฉิน (ECC) ของ AHA ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558 17


นอกจากนี้ การให้ยาเพิ่มขึ้นจะเพิ่มความซับซ้อนของการดูแลก่อนมาถึง ความรู้เรื่องการได้รับสารสกัดจากฝิ่นเกินขนาด
โรงพยาบาล ซึ่งในทางกลับกันอาจท�ำให้เกิดผลเสียได้
และการฝึกอบรมและการกระจายยานาโลโซน
• มีค�ำแนะน�ำให้ใช้การยับยั้งอะดีโนซีนไดฟอสเฟตส�ำหรับผู้ป่วยใน
โรงพยาบาลที่ต้องสงสัย STEMI มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว การให้ยาที่ยับยั้ง 2558 (ใหม่): มีความสมเหตุสมผลที่จะให้การศึกษาเพื่อตอบสนองการได้รับ
อะดีโนซีนไดฟอสเฟตในช่วงก่อนมาถึงโรงพยาบาลไม่ท�ำให้เกิดประโยชน์ สารสารสกัดจากฝิ่นเกินขนาดเพียงอย่างเดียวหรือร่วมกับการฝึกอบรมและ
หรืออันตรายเพิ่มเติมเมื่อเทียบกับการรอเพื่อให้ยานี้ที่โรงพยาบาล การกระจายยานาโลโซนให้กับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการได้รับสารสกัดจากฝิ่นเกิน
ขนาด (หรือผู้ที่พักอาศัยอยู่กับผู้ที่มีความเสี่ยง หรือผู้ที่ติดต่อกับผู้ที่มีความเสี่ยง
• พบว่าการให้เฮพารินโมเลกุลใหญ่ (UFH) กับผู้ป่วยที่มีภาวะ STEMI ใน
เป็นประจ�ำ) มีความสมเหตุสมผลที่ให้การฝึกอบรมนี้เน้นที่การช่วยเหลือเบื้องต้น
ช่วงก่อนมาโรงพยาบาล ไม่ได้ท�ำให้เกิดประโยชน์เพิ่มเติมจากการให้ใน
และการให้ค�ำแนะน�ำในการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานส�ำหรับผู้ที่ไม่ใช่บุคลากรทาง
โรงพยาบาล ในระบบที่มีการให้เฮพารินโมเลกุลใหญ่ก่อนมาถึงโรง
การแพทย์แทนที่จะเป็นการฝึกปฏิบัติขั้นสูงส�ำหรับบุคลากรทางการแพทย์
พยาบาลแล้ว มีความสมเหตุสมผลที่จะให้ใช้ต่อไป หากยังไม่ได้ใช้เฮพาริน
โมเลกุลใหญ่ในช่วงก่อนมาถึงโรงพยาบาล มีความเหมาะสมที่จะรอเพื่อให้
เฮพารินโมเลกุลใหญ่เมื่อมาถึงโรงพยาบาล การรักษาการได้รับสารสกัดจากฝิ่นเกินขนาด
• ก่อนค�ำแนะน�ำ พ.ศ. 2553 มีการให้ออกซิเจนเป็นประจ�ำกับคนไข้ทุกราย 2558 (ใหม่): การให้ยานาโลโซนทางกล้ามเนื้อหรือทางช่องจมูกตาม
ที่สงสัยภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันโดยไม่ได้ค�ำนึงถึงความอิ่มตัวของ ประสบการณ์แก่ผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองที่เป็นไปได้ว่าอยูในภาวะฉุกเฉินที่เป็น
ออกซิเจนหรือภาวะของการหายใจ ใน พ.ศ. 2553 พบหลักฐานอ่อนที่ อันตรายต่อชีวิตซึ่งสัมพันธ์กับสารสกัดจากฝิ่นอาจมีความสมเหตุสมผลโดย
แสดงถึงความไม่มีประโยชน์และอันตรายที่อาจเกิดขึ้นท�ำให้มีค�ำแนะน�ำ เสริมกับการช่วยเหลือเบื้องต้นตามมาตรฐานและกระบวนการช่วยชีวิตขั้นพื้น
ว่าไม่มีความจ�ำเป็นต้องให้ออกซิเจนเสริมในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจขาดเลือด ฐานโดยผู้ที่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์ ส�ำหรับผู้ป่วยรายที่ทราบมาก่อนหรือ
เฉียบพลันซึ่งมีความอิ่มตัวของออกซิเจน 94% ขึ้นไป (คือไม่มีภาวะการ สงสัยว่าได้รับสารสกัดจากฝิ่นเกินขนาด ซึ่งยังมีชีพจร แต่การหายใจไม่เป็นปกติ
ขาดออกซิเจนในเลือด) และไม่มีอาการหายใจล�ำบาก หลักฐานเพิ่มเติมที่ หรือ กระหืดกระหอบ (ได้แก่ ภาวะหยุดหายใจ) นอกเหนือจากการให้การรักษา
แสดงว่าการให้ออกซิเจนเสริมแบบประจ�ำอาจเป็นอันตรายมาจากการวิจัย มาตรฐานแล้ว ยังมีความสมเหตุสมผลที่ผู้ช่วยเหลือที่ได้รับการฝึกฝนอย่าง
ทางคลินิกที่มีกลุ่มควบคุมแบบสุ่มในหลายสถาบันวิจัยซึ่งตีพิมพ์ตั้งแต่การ เหมาะสมจะให้ยานาโลโซนทางกล้ามเนื้อหรือทางช่องจมูกกับผู้ป่วยที่อยูใน
ทบทวนงานวิจัยอย่างเป็นระบบ พ.ศ. 25588 สนับสนุนค�ำแนะน�ำว่าไม่ต้อง ภาวะฉุกเฉินซึ่งสัมพันธ์กับสารสกัดจากฝิ่น (ภาพที่ 6) ผู้ตอบสนองไม่ควรท�ำให้
ให้ออกซิเจนในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันซึ่งมีความอิ่มตัวของ การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ขั้นสูงกว่านี้ต้องล่าช้าออกไปในขณะที่รอการ
ออกซิเจนปกติ (คือผู้ที่ไม่มีภาวะขาดออกซิเจนในเลือด) ตอบสนองของผู้ป่วยต่อยานาโลโซนหรือการรักษาอื่นๆ
• การให้เฮพารินโมเลกุลใหญ่หรือ bivalirudin ในผู้ป่วย STEMI ก่อนมาถึง การให้ยานาโลโซนทางกล้ามเนื้อหรือทางช่องจมูกตามประสบการณ์แก่ผู้ป่วย
โรงพยาบาลมีความสมเหตุสมผล ที่ไม่ตอบสนองที่เป็นไปได้ว่าอยูในภาวะกู้ชีพฉุกเฉินซึ่งสัมพันธ์กับสารสกัดจาก
• ส�ำหรับผู้ป่วยที่สงสัยว่าเป็น STEMI ซึ่งได้รับการเคลื่อนย้ายมาเพื่อ ฝิ่นอาจมีความสมเหตุสมผลโดยเสริมกับการช่วยเหลือเบื้องต้นตามมาตรฐานและ
หัตถการรักษาโรคหลอดเลือดโคโรนารีย์ผ่านสายสวนเป็นล�ำดับแรก มี กระบวนการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานโดยผู้ที่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์ กระบวนการ
ความสมเหตุสมผลที่จะได้รับยา enoxaparin เป็นตัวเลือกนอกเหนือไปจาก กู้ชีพมาตรฐาน ได้แก่ การกระตุ้นการบริการทางการแพทย์ฉุกเฉิน ไม่ควรท�ำให้
เฮพารินโมเลกุลใหญ่ การให้ยานาโลโซนล่าช้าออกไป

ภาวะหัวใจหยุดท�ำงานในผู้ป่วยที่ทราบมาก่อน
การกู้ชีพในสถานการณ์พิเศษ หรือสงสัยว่าได้รับสารสกัดจากฝิ่นเกินขนาด
2558 (ใหม่): ผู้ป่วยที่คล�ำชีพจรไม่ได้อาจจะอยู่ในภาวะหัวใจหยุดท�ำงานหรือ
สรุปย่อประเด็นและการเปลี่ยนแปลงที่ส�ำคัญ อาจจะมีชีพจรอ่อนหรือช้าจนคล�ำไม่ได้ ควรรักษาผู้ป่วยเหล่านี้เหมือนกับผู้ป่วย
• ประสบการณ์จากการรักษาผู้ป่วยที่ทราบมาก่อนหรือสงสัยว่าได้รับสาร ที่มีภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน ควรให้ความส�ำคัญกับมาตรการกู้ชีพมาตรฐานก่อน
สกัดจากฝิ่นเกินขนาด แสดงให้เห็นว่าสามารถให้ยานาโลโซนได้โดยมี การให้ยานาโลโซน โดยเน้นการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพคุณภาพสูง (การกด
ความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการช่วยเหลือเบื้องต้นและการช่วยชีวิต หน้าอกและการระบายอากาศ) อาจมีความสมเหตุสมผลที่จะให้ยานาโลโซน
ขั้นพื้นฐาน ด้วยเหตุนี้เอง จึงมีค�ำแนะน�ำการให้ยานาโลโซนโดยผู้ช่วยเหลือ ทางกล้ามเนื้อหรือทางช่องจมูกโดยยึดตามความเป็นไปได้ว่าผู้ป่วยอยู่ในภาวะ
ทั่วไปและบุคลากรทางการแพทย์พร้อมทั้งมีการฝึกอบรมอย่างง่ายอีกด้วย หยุดหายใจ ไม่ใช่ภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน ผู้ตอบสนองไม่ควรท�ำให้การเข้าถึง
นอกจากนี้ ยังมีการจัดท�ำขั้นตอนใหม่ในการจัดการผู้ป่วยที่สงสัยว่าได้รับ บริการทางการแพทย์ขั้นสูงกว่านี้ต้องล่าช้าออกไปในขณะที่รอการตอบสนอง
สารสกัดจากฝิ่นเกินขนาด ของผู้ป่วยต่อยานาโลโซนหรือการรักษาอื่นๆ
• อาจพิจารณาให้สารละลายอิมัลชันของไขมันส�ำหรับหยดเข้าทางหลอด เหตุผล: ก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีค�ำแนะน�ำในการให้ยานาโลโซนส�ำหรับผู้ท�ำ
เลือดด�ำ (ILE) เพื่อรักษาการเกิดพิษทั่วร่างกายจากยาชาเฉพาะที่ (local การปฐมพยาบาล ผู้ที่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์ หรือผู้ที่ให้การช่วยชีวิต
anesthetic systemic toxicity) นอกจากนี้ ยังมีค�ำแนะน�ำใหม่ที่สนับสนุน ขั้นพื้นฐานมาก่อน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อุปกรณ์การให้ยานาโลโซนส�ำหรับให้
บทบาทที่เป็นไปได้ของสารละลายอิมัลชันของไขมันส�ำหรับหยดเข้าทาง ผู้ช่วยเหลือทั่วไปใช้งานได้รับการอนุมัติและมีใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว
หลอดเลือดด�ำในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจหยุดท�ำงานและใช้มาตรการกู้ชีพ และศูนย์ควบคุมโรค (Centers for Disease Control) ยังเน้นความส�ำคัญของ
ตามมาตรฐานไม่ได้ผล อันเนื่องมาจากการเกิดพิษจากยาอื่นนอกเหนือ การด�ำเนินโครงการให้ยานาโลโซนโดยผู้ช่วยชีวิตทั่วไปที่ประสบความส�ำเร็จ9
จากการเกิดพิษทั่วร่างกายจากยาชาเฉพาะที่ แม้ว่าจะไม่ได้หวังว่ายานาโลโซนจะเป็นประโยชน์ต่อภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน
• ความส�ำคัญของการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพที่คุณภาพสูงระหว่างภาวะหัวใจ ไม่ว่าจะเกิดจากการได้รับสารสกัดจากฝิ่นเกินขนาดหรือไม่ก็ตาม มีความ
หยุดท�ำงานส่งผลให้มีการประเมินค�ำแนะน�ำเกี่ยวกับการบรรเทาการกด ตระหนักว่าอาจจะยากที่จะแยกภาวะหัวใจหยุดท�ำงานออกจากภาวะหายใจ
รูรั่วที่หลอดเลือดแดงเอออร์ตาระหว่างภาวะหัวใจหยุดท�ำงานในรายที่ ล�ำบากรุนแรง (severe respiratory depression) ในผู้ป่วยที่ได้รับสารสกัด
ตั้งครรภ์ใหม่ การประเมินใหม่ท�ำให้ได้ค�ำแนะน�ำที่ละเอียดขึ้นเกี่ยวกับวิธี จากฝิ่นเกินขนาด แม้ว่าไม่มีหลักฐานว่าการให้ยานาโลโซนจะช่วยผู้ป่วยที่มี
การส�ำหรับการเคลื่อนตัวของมดลูก ภาวะหัวใจหยุดท�ำงานได้ การจัดหายานาโลโซนอาจช่วยผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนอง
ที่มีภาวะหายใจล�ำบากรุนแรงซึ่งพบแต่ภาวะหัวใจหยุดท�ำงานเท่านั้น (หมายถึง
ยากที่จะตัดสินว่ามีชีพจรอยู่หรือไม่)

18 American Heart Association


ภาพที่ 6
ขั้นตอนวิธีการสำ�หรับเหตุฉุกเฉินคุกคามถึงชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสารสกัดจากฝิ่น (ผู้ใหญ่)—ฉบับใหม่ พ.ศ. 2558
ขั้นตอนส�ำหรับเหตุฉุกเฉินคุกคำมถึงชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสำรสกัดจำกฝิ่น (ผู้ใหญ่)

ประเมินและเริ่มปฏิบัติกำร
ตรวจหำกำรไม่ตอบสนอง และร้องเพื่อขอควำมช่วยเหลือที่อยู่
บริเวณใกล้เคียง ส่งคนอื่นไปโทรแจ้ง 9-1-1 และจัดหำ
เครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้ำจำกภำยนอกร่ำงกำย
แบบอัตโนมัติและยำนำโลโซน
สังเกตหำ กำรหำยใจเทียบกับกำรไม่หำยใจ
หรือมีเพียงกำรหำยใจเฮือก

เริ่มกำรนวดหัวใจผำยปอดกู้ชีพ
หำกผู้ป่วยไม่ตอบสนอง ร่วมกับไม่มีกำรหำยใจ หรือมีเพียง
หำยใจเฮือก ให้เริ่มต้นกำรท�ำกำรนวดหัวใจผำยปอดกู้ชีพ*
ถ้ำอยู่คนเดียว ท�ำกำรนวดหัวใจผำยปอดกู้ชีพเป็นเวลำ
ประมำณ 2 นำทีก่อนที่จะออกไปโทรศัพท์แจ้ง 9-1-1
และจัดหำยำนำโลโซน และเครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้ำ
จำกภำยนอกร่ำงกำยแบบอัตโนมัติ

ให้ยำนำโลโซน
ให้ยำนำโลโซนทันทีเมื่อได้รับมำ
2 มก. ทำงจมูก หรือ 0.4 มก. ทำงกล้ำมเนื้อ
อำจให้ซ�้ำได้หลังครบ 4 นำที

บุคคลนั้นมีกำรตอบสนอง กระตุ้นและประเมินซ�้ำ
หรือไม่ มี ท�ำกำรตรวจสอบกำรตอบสนองและกำรหำยใจต่อไป
ณ เวลำใดๆ บุคคลนั้นมีกำรเคลื่อนไหว จนกว่ำควำมช่วยเหลือขั้นสูงมำถึง ถ้ำบุคคลนั้นหยุด
อย่ำงตั้งใจ หำยใจเป็นปกติ ครำง กำรตอบสนอง ให้เริ่มท�ำกำรนวดหัวใจผำยปอดกู้ชีพ
หรือมีกำรตอบสนองอื่นหรือไม่ และให้ยำนำโลโซนซ�้ำ

ไม่มี

ท�ำกำรนวดหัวใจผำยปอดกู้ชีพ และใช้เครื่อง
กระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้ำจำกภำยนอกร่ำงกำย
แบบอัตโนมัติต่อไปทันทีเมื่อได้รับมำ
ท�ำต่อไปจนกระทั่งบุคคลนั้นมีกำรตอบสนอง
หรือจนกว่ำควำมช่วยเหลือขั้นสูงมำถึง

*เทคนิคกำรนวดหัวใจผำยปอดกู้ชีพ ขึ้นอยู่กับระดับกำรฝึกฝนของผู้ช่วยเหลือ

สารละลายอิมัลชันของไขมันส�ำหรับหยดเข้าทาง เหตุผล: ตั้งแต่ พ.ศ. 2553 มีการศึกษาในสัตว์และ รายงานผู้ป่วยที่ได้


พิจารณาการใช้สารละลายอิมัลชันของไขมันส�ำหรับหยดเข้าทางหลอดเลือดด�ำ
หลอดเลือดด�ำ ในผู้ป่วยที่มีการเกิดพิษจากยาซึ่งไม่ใช่ผลจากการหยดยาชาเฉพาะที่เข้า
2558 (ปรับปรุง): อาจมีความสมเหตุสมผลที่จะให้สารละลายอิมัลชันของ หลอดเลือด ถึงแม้ว่าผลของการศึกษาและรายงานเหล่านี้มีความหลากหลาย
ไขมันส�ำหรับหยดเข้าทางหลอดเลือดด�ำร่วมกับการดูแลการกู้ชีพมาตรฐานแก่ อาจมีผลทางคลินิกที่ดีขึ้นหลังการให้สารละลายอิมัลชันของไขมันส�ำหรับหยด
ผู้ป่วยที่มีอาการบอกเหตุการเกิดพิษทางระบบประสาทหรือภาวะหัวใจหยุด เข้าทางหลอดเลือดด�ำ เนื่องจากการพยากรณ์โรคของผู้ป่วยที่ใช้มาตรการกู้ชีพ
ท�ำงานเนื่องจากการเกิดพิษจากยาชาเฉพาะที่ อาจมีความสมเหตุสมผลที่จะให้ ตามมาตรฐานไม่ได้ผลมีภาวะที่แย่มาก อาจมีความสมเหตุสมผลที่จะให้สาร
สารละลายอิมัลชันของไขมันส�ำหรับหยดเข้าทางหลอดเลือดกับผู้ป่วยที่มีการ ละลายอิมัลชันของไขมันส�ำหรับหยดเข้าทางหลอดเลือดด�ำตามประสบการณ์
เกิดพิษจากยาอื่นๆ ซึ่งใช้มาตรการกู้ชีพตามมาตรฐานไม่ได้ผล แม้ว่าหลักฐานจะอ่อนมากและขัดแย้งกัน
2553 (เดิม): อาจมีความสมเหตุสมผลที่จะพิจารณาให้สารละลายอิมัลชัน
ของไขมันส�ำหรับหยดเข้าทางหลอดเลือดด�ำส�ำหรับการเกิดพิษจากยาชาเฉพาะที่

ไฮไลท์ของแนวทางการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (CPR) และการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลอดเลือดในภาวะฉุกเฉิน (ECC) ของ AHA ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558 19


ภาวะหัวใจหยุดท�ำงานในหญิงตั้งครรภ์:
การท�ำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานในเด็กและ
คุณภาพการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ
2558 (ปรับปรุง): สิ่งส�ำคัญอันดับแรกส�ำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะหัวใจ
หยุดท�ำงานคือการท�ำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพคุณภาพสูงและการบรรเทา
การกดรูรั่วที่หลอดเลือดแดงเอออร์ ถ้าความสูงของยอดมดลูกอยู่ที่ระดับสะดือ
สรุปย่อประเด็นและการเปลี่ยนแปลงที่ส�ำคัญ
การใช้มือโกยให้การเคลื่อนตัวของมดลูกไปทางซ้ายจะมีประโยชน์ช่วยบรรเทา การเปลี่ยนแปลงการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานในเด็กคล้ายกับการเปลี่ยนแปลงการ
การกดรูรั่วที่หลอดเลือดแดงเอออร์ตาระหว่างการกดหน้าอกได้ ช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานในผู้ใหญ่ มีการทบทวนหัวข้อ ดังต่อไปนี้
2553 (เดิม): มีความสมเหตุสมผลที่จะใช้มือโกยให้การเคลื่อนตัวของมดลูก • การย�้ำล�ำดับการกดหน้าอก (C) การเปิดทางเดินหายใจ (A) - การช่วย
ไปทางซ้ายในท่านอนหงายก่อนเพื่อบรรเทาการกดรูรั่วที่หลอดเลือดแดง หายใจ (B) เป็นล�ำดับที่ต้องการส�ำหรับการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพส�ำหรับ
เอออร์ตาระหว่างการกดหน้าอกและท�ำให้การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพมีคุณภาพ เด็ก
ที่เหมาะสม ถ้าเทคนิคนี้ไม่ประสบความส�ำเร็จ และมีลิ่มที่เหมาะสมพร้อมใช้งาน • ขั้นตอนวิธีใหม่ส�ำหรับการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพส�ำหรับเด็กโดยผู้ให้
อยู่ ผู้ด�ำเนินการกู้ชีพจึงอาจะพิจารณาจัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านอนเอียงข้างซ้าย บริการด้านสุขภาพเมื่อมีผู้ช่วยเหลือ 1 คนและผู้ช่วยเหลือหลายคน
27° ถึง 30° โดยใช้ลิ่มที่แข็งรองรับส่วนกระดูกเชิงกรานและทรวงอก
• การก�ำหนดขีดจ�ำกัดสูงสุดส�ำหรับความลึกในการกดหน้าอกในวัยรุ่นที่
เหตุผล: การตระหนักถึงความส�ำคัญอย่างยิ่งของ การนวดหัวใจผายปอด 6 ซม.
กู้ชีพคุณภาพสูงและความมีลักษณะขัดกันของท่านอนเอียงข้างกับการนวดหัวใจ • และใช้อัตราการกดหน้าอกในการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานเท่ากับอัตราในผู้ใหญ่
ผายปอดกู้ชีพคุณภาพสูงท�ำให้มีการตัดค�ำแนะน�ำในการนอนตะแคงเอียงตัวออก ที่แนะน�ำคือ 100 ถึง 120 ครั้ง/นาที
และเน้นให้ค�ำแนะน�ำในการท�ำให้การเคลื่อนตัวของมดลูกไปด้านข้างแทน
• การย�้ำอย่างชัดเจนว่าการกดและการช่วยหายใจจ�ำเป็นส�ำหรับการช่วยชีวิต
ขั้นพื้นฐานส�ำหรับเด็ก
ภาวะหัวใจหยุดท�ำงานในหญิงตั้งครรภ์:
การผ่าท้องคลอดบุตรฉุกเฉิน ล�ำดับการกดหน้าอก (C) - การเปิดทางเดิน
2558 (ปรับปรุง): ในบางสถานการณ์ดังเช่นเกิดการบาดเจ็บเกี่ยวกับแม่ที่ หายใจ (A) - การช่วยหายใจ (B)
ไม่สามารถรอดชีวิตได้ (nonsurvivable maternal trauma)หรือการไม่มีชีพจร
ของแม่เป็นเวลานาน (prolonged maternal pulselessness) ซึ่งความพยายาม 2558 (ปรับปรุง): แม้ปริมาณและคุณภาพของข้อมูลสนับสนุนมีจ�ำกัด
ในการกู้ชีพแม่ไร้ประโยชน์แน่นอน จึงไม่มีเหตุผลที่จะเลื่อนเวลาในการผ่าท้อง แต่อาจควรคงล�ำดับจากแนวทาง พ.ศ. 2553 โดยการเริ่มการนวดหัวใจผายปอด
คลอดบุตรกรณีที่มารดาก�ำลังจะเสียชีวิต (PMCD) ออกไป ถ้าแม่ไม่มีการกลับ กู้ชีพด้วยการกดหน้าอก (C) - การเปิดทางเดินหายใจ (A) - การช่วยหายใจ
มาของการไหลเวียนโลหิตที่เกิดขึ้นเอง (ROSC) ควรพิจารณาการผ่าท้องคลอด (B) แทนที่จะเป็นการเปิดทางเดินหายใจ (A) - การช่วยหายใจ (B) - การกด
บุตรกรณีที่มารดาก�ำลังจะเสียชีวิตภายในเวลา 4 นาทีหลังจากเริ่มเกิดภาวะหัวใจ หน้าอก (C) เนื่องจากยังมีช่องว่างด้านความรู้ จึงจ�ำเป็นต้องท�ำการวิจัยที่
หยุดท�ำงานหรือความพยายามในการกู้ชีพ (ส�ำหรับภาวะหัวใจหยุดท�ำงานที่ไม่มี เฉพาะเจาะจงเพื่อตรวจสอบล�ำดับที่ดีที่สุดส�ำหรับการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพใน
พยานเห็นเหตุการณ์) การตัดสินใจทางคลินิกเพื่อท�ำการผ่าท้องคลอดบุตรกรณี เด็กต่อไป
ที่มารดาก�ำลังจะเสียชีวิต และระยะเวลาของภาวะหัวใจหยุดท�ำงานของแม่มีความ 2553 (เดิม): เริ่มการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพส�ำหรับทารกและเด็กด้วยการ
ซับซ้อนเนื่องจากความหลากหลายในระดับ ของการฝึกฝนแพทย์และทีม ปัจจัย กดหน้าอกแทนการช่วยหายใจ (การกดหน้าอก (C) - การเปิดทางเดินหายใจ
ของผู้ป่วย (เช่น สาเหตุของภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน อายุครรภ์ของทารก) และ (A) - การช่วยหายใจ (B) แทนที่จะเป็นการเปิดทางเดินหายใจ (A) - การช่วย
ทรัพยากรของระบบ หายใจ (B) - การกดหน้าอก (C)) การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพควรเริ่มต้นด้วย
2553 (เดิม): ถ้าไม่มีการกลับมาของการไหลเวียนโลหิตที่เกิดขึ้นเอง การกด 30 ครั้ง (โดยผู้ช่วยเหลือคนเดียว) หรือการกด 15 ครั้ง (ส�ำหรับการกู้ชีพ
(ROSC) อาจพิจารณาการผ่าท้องคลอดบุตรฉุกเฉินภายในเวลา 4 นาทีหลังจาก ทารกและเด็กโดยผู้ให้บริการด้านสุขภาพ 2 คน) แทนการช่วยหายใจ 2 ครั้ง
เริ่มเกิดภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน เหตุผล: เนื่องจากไม่มีข้อมูลใหม่ ดังนั้น ล�ำดับใน พ.ศ. 2553 จึงไม่มีการ
เหตุผล: การผ่าท้องคลอดบุตรกรณีที่มารดาก�ำลังจะเสียชีวิตท�ำให้มีโอกาส เปลี่ยนแปลง ความต่อเนื่องในล�ำดับการกด ทางเดินหายใจ และการหายใจ
แยกทารกในครรภ์ที่ยังมีชีวิตมากู้ชีพได้ และบรรเทาการกดรูรั่วที่หลอดเลือดแดง ส�ำหรับการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพในผู้ป่วยทุกวัย อาจเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดส�ำหรับ
เอออร์ตาได้มากที่สุด ซึ่งอาจท�ำให้ผลลัพธ์ในการกู้ชีพแม่ดีขึ้น สถานการณ์และ การจดจ�ำและด�ำเนินการของผู้ช่วยเหลือที่ดูแลผู้ป่วยทุกวัย การคงล�ำดับเดิม
เงื่อนไขทางคลินิกของภาวะหัวใจหยุดท�ำงานควรบ่งบอกถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับ ส�ำหรับผู้ใหญ่และเด็กน�ำเสนอความต่อเนื่อง ในการสอน
เวลาของการผ่าท้องคลอดบุตรฉุกเฉิน
ขั้นตอนวิธีใหม่ส�ำหรับการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ
โดยผู้ให้บริการด้านสุขภาพเมื่อมีผู้ช่วยเหลือ 1 คน
และผู้ช่วยเหลือหลายคน
ขั้นตอนวิธีใหม่ส�ำหรับการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพในเด็กโดยผู้ให้บริการด้าน
สุขภาพเมื่อมีผู้ช่วยเหลือ 1 คนและผู้ช่วยเหลือหลายคน ถูกแยกจากกัน (ภาพ
ที่ 7 และ 8) เพื่อให้ค�ำแนะน�ำอย่างดียิ่งขึ้นแก่ผู้ช่วยเหลือตลอดระยะเริ่มต้นใน
การกู้ชีพในยุคสมัยที่โทรศัพท์มือถือที่มีล�ำโพงเป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไป อุปกรณ์
เหล่านี้สามารถช่วยให้ผู้ช่วยเหลือคนเดียวเริ่มปฏิบัติการการตอบรับฉุกเฉินขณะ
เริ่มการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ โดยผู้ช่วยเหลือสามารถสนทนากับผู้รับเรื่อง
อย่างต่อเนื่องระหว่างการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ ขั้นตอนวิธีเหล่านี้ยังคงเน้นย�้ำ
ล�ำดับความส�ำคัญสูงสุดส�ำหรับการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพคุณภาพสูง และใน
กรณีการล้มกะทันหันที่มีผู้พบเห็นเหตุการณ์ เพื่อรับเครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้า
จากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวมี
แนวโน้มเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจ

20 American Heart Association


ภาพที่ 7
ขั้นตอนวิธีการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานโดยผู้ให้บริการด้านสุขภาพ
ส�ำหรับภาวะหัวใจหยุดท�ำงานในเด็กเมื่อมีผู้ช่วยเหลือคนเดียว
การช่วยชีวิตขัฉบั
้นพืบ้นปรั บปรุ
ฐานส� ง พ.ศ.
าหรั บผู้ให้2558
บริการด้านสุขภาพ
ขั้นตอนวิธีส�าหรับภาวะหัวใจหยุดท�างานส�าหรับเด็ก เมื่อมีผู้ช่วยเหลือคนเดียว—ปรับปรุงปี ค.ศ. 2015

ตรวจสอบดูความปลอดภัยของสถานที่เกิดเหตุ

ผู้ป่วยไม่ตอบสนอง
ตะโกนเพื่อขอความช่วยเหลือที่อยู่บริเวณใกล้เคียง
แจ้งระบบตอบรับฉุกเฉินผ่านทางโทรศัพท์มือถือ
(ถ้าเหมาะสม) ให้ท�าการผายปอด: ผายปอด 1 ครั้ง
ทุก 3-5 วินาที หรือ ผายปอดประมาณ
12-20 ครั้งต่อนาที
การหายใจปกติ มองหาการไม่หายใจ หรือ ไม่มีการหายใจ • ท�าการกด ถ้าชีพจรยังคง ≤60 ครั้ง
แจ้งระบบตอบรับฉุกเฉิน มีชีพจร ตามปกติ มีชีพจร ต่อนาที ร่วมกับอาการของระบบ
(ถ้ายังไม่ได้กระท�า) มีเพียงการหายใจเฮือก และ
ตรวจชีพจร ไหลเวียนที่ไม่ดี
กลับไปหาผู้ป่วยและเฝ้าระวัง (ท�าไปพร้อมๆ กัน) • แจ้งระบบตอบรับฉุกเฉิน (ถ้ายังไม่ได้
จนกระทั่งหน่วยกู้ภัยฉุกเฉิน พบชีพจร อย่างแน่นอน รู้สึกได้ กระท�า) หลังจาก 2 นาที
มาถึง ภายใน 10 วินาทีหรือไม่ • ให้ท�าการผายปอดต่อไป; ตรวจสอบ
การเต้นของชีพจรทุก 2 นาที ถ้าไม่พบ
ชีพจร ให้เริ่มท�าการนวดหัวใจผายปอด
ไม่หายใจ หรือมีเพียง กู้ชีพ (ไปยังกรอบ “การนวดหัวใจ
การหายใจเฮือก ผายปอดกู้ชีพ”)
ไม่มีชีพจร
แจ้งระบบตอบรับฉุกเฉิน (ถ้ายังไม่ได้
พบเห็นการ ใช่ กระท�า) และจัดหาเครื่องกระตุ้นหัวใจด้วย
การล้มลงอย่างฉับพลัน ไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติ/
เครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้า
ไม่ใช่
การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ
ผู้ช่วยเหลือ 1 คน: เริ่มต้นรอบของการกด 30 ครั้งและ
ผายปอด 2 ครั้ง
(ใช้อัตราส่วน 15:2 ถ้าผู้ช่วยเหลือคนที่สองมาถึง)
ใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกาย
แบบอัตโนมัติทันทีเมื่อได้รับมา

หลังจากผ่านไปประมาณ 2 นาที ถ้ายังอยู่คนเดียว


แจ้งระบบตอบรับฉุกเฉิน และจัดหาเครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้า
จากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติ (ถ้ายังไม่ได้กระท�า)

เครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอก
ร่างกายแบบอัตโนมัติท�าการวิเคราะห์จังหวะชีพจร
ได้ จังหวะชีพจรที่สามารถกระตุ้นด้วยไฟฟ้าได้หรือไม่ ไม่ได้
สามารถกระตุ้นด้วยไฟฟ้าได้ ไม่สามารถกระตุ้นด้วยไฟฟ้าได้

ช็อค 1 ครั้ง ท�าการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพต่อทันทีเป็น ท�าการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพต่อทันทีเป็นเวลา


เวลาประมาณ 2 นาที (จนกระทั่งเครื่องกระตุ้นหัวใจด้วย ประมาณ 2 นาที (จนกระทั่งเครื่องกระตุ้นหัวใจ
ไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติ แจ้งว่าพร้อมที่ ด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติ
จะให้ตรวจสอบจังหวะชีพจร) แจ้งว่าพร้อมที่จะให้ตรวจสอบจังหวะชีพจร)
ท�าต่อไปจนกว่าผู้ให้การช่วยชีวิตขั้นสูงมาดูแลต่อ ท�าต่อไปจนกว่าผู้ให้การช่วยชีวิตขั้นสูงมาดูแลต่อ
หรือผู้ป่วยเริ่มเคลื่อนไหว หรือผู้ป่วยเริ่มเคลื่อนไหว

ไฮไลท์ของแนวทางการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (CPR) และการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลอดเลือดในภาวะฉุกเฉิน (ECC) ของ AHA ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558 21


ความลึกในการกดหน้าอก ซึ่งเท่ากับประมาณ 1.5 นิ้ว (ประมาณ 4 ซม.) ในทารกส่วนใหญ่ ถึงประมาณ
2 นิ้ว (ประมาณ 5 ซม.) ในเด็กส่วนใหญ่
2558 (ปรับปรุง): ผู้ช่วยเหลือควรท�ำการกดหน้าอกที่มีการกดที่อย่างน้อย
เหตุผล: การศึกษาจากกลุ่มผู้ใหญ่ฉบับหนึ่งบ่งชี้อันตรายจากการกดหน้าอกลึก
หนึ่งในสามของเส้นผ่านศูนย์กลางจากด้านหน้าไปหลังของหน้าอกผู้ป่วยเด็ก
(ทารก [อายุต�่ำกว่า 1 ปี] จนถึงเด็กวัยเริ่มหนุ่มสาว) ซึ่งเท่ากับประมาณ 1.5 นิ้ว กว่า 2.4 นิ้ว (6 ซม.) ซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในค�ำแนะน�ำการช่วยชีวิต
(4 ซม.) ในทารก ถึง 2 นิ้ว (5 ซม.) ในเด็ก เมื่อเด็กเข้าสู่วัยเริ่มหนุ่มสาว ขั้นพื้นฐานในผู้ใหญ่ เพื่อรวมขีดจ�ำกัดสูงสุดส�ำหรับความลึกในการกดหน้าอก
(เช่น วัยรุ่น) ให้ใช้ความลึกในการกดหน้าอกส�ำหรับผู้ใหญ่ที่แนะน�ำคืออย่างน้อย โดยผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์ยอมรับค�ำแนะน�ำนี้ส�ำหรับวัยรุ่นซึ่งโตกว่า
2 นิ้ว (5 ซม.) แต่ไม่เกิน 2.4 นิ้ว (6 ซม.) วัยเริ่มหนุ่มสาว นอกจากนั้นการศึกษาด้านกุมารเวชศาสตร์ฉบับหนึ่งยังสังเกต
เห็น อัตราการรอดชีวิตในช่วง 24 ชั่วโมงที่ดีขึ้น เมื่อความลึกในการกดมากกว่า
2553 (เดิม): เพื่อให้ได้แรงกดที่มีประสิทธิภาพ ผู้ช่วยเหลือควรกดที่ 2 นิ้ว (51 มม.) อย่างไรก็ตาม การพิจารณาความลึกในการกดจากข้างเตียงท�ำได้
อย่างน้อยหนึ่งในสามของเส้นผ่านศูนย์กลางจากด้านหน้าไปหลังของหน้าอก ยาก และการใช้อุปกรณ์แสดงผลการปฏิบัติอาจเป็นประโยชน์ หากมีอุปกรณ์นั้น
ภาพที่ 8
การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานและการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพในผู้ใหญ่
คุณภาพ: การขั้นตอนวิธีการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานโดยผู้ให้บริการด้านสุขภาพ
การช่วยชี
ส�ำหรับภาวะหั วิตขัด้นท�พืำ้นงานในเด็
ใจหยุ ฐานส�าหรักบเมืผู่อ้ให้มีบผริู้ชก่วารด้ านสุอมากกว่
ยเหลื ขภาพ า 2 คน
ขั้นตอนวิธีสฉบั
�าหรับบปรั ภาวะหั ว ใจหยุ
บปรุง พ.ศ. 2558 ด ท� า งานส� า หรั บ เด็ก
เมื่อมีผู้ช่วยเหลือ 2 คนหรือมากกว่า—ปรับปรุงปี ค.ศ. 2015

ตรวจสอบดูความปลอดภัยของสถานที่เกิดเหตุ

ผู้ป่วยไม่ตอบสนอง
ตะโกนเพื่อขอความช่วยเหลือที่อยู่บริเวณใกล้เคียง
ผู้ช่วยเหลือคนที่หนึ่งอยู่กับผู้ป่วย
ผู้ช่วยเหลือคนที่สองแจ้งระบบตอบรับฉุกเฉิน
และจัดหาเครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอก
ร่างกายแบบอัตโนมัติและอุปกรณ์ฉุกเฉิน
ให้ท�าการผายปอด: ผายปอด 1 ครั้ง
ทุก 3-5 วินาที หรือ ผายปอดประมาณ
12-20 ครั้งต่อนาที
การหายใจปกติ ไม่มีการหายใจ • ท�าการกด ถ้าชีพจรยังคง ≤60 ครั้ง
มีชีพจร มองหาการไม่หายใจ หรือ ตามปกติ มีชีพจร ต่อนาที ร่วมกับอาการของระบบ
เฝ้าระวังจนกระทั่ง มีเพียงการหายใจเฮือก และ ไหลเวียนที่ไม่ดี
หน่วยกู้ภัยฉุกเฉินมาถึง ตรวจชีพจร (ท�าไปพร้อมๆ กัน) • แจ้งระบบตอบรับฉุกเฉิน (ถ้ายังไม่ได้
พบชีพจร อย่างแน่นอน รู้สึกได้ กระท�า) หลังจาก 2 นาที
ภายใน 10 วินาทีหรือไม่ • ให้ท�าการผายปอดต่อไป ตรวจสอบ
การเต้นของชีพจรทุก 2 นาที ถ้าไม่พบ
ไม่หายใจ หรือ ชีพจร ให้เริ่มท�าการนวดหัวใจผายปอด
มีเพียงการหายใจเฮือก กู้ชีพ (ไปยังกรอบ “การนวดหัวใจ
ไม่มีชีพจร ผายปอดกู้ชีพ”)

การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ
ผู้ช่วยเหลือคนที่หนึ่งเริ่มท�าการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ
ในอัตราส่วน 30:2 (การกด ต่อ การผายปอด)
เมื่อผู้ช่วยเหลือคนที่สองกลับมาแล้ว ให้เริ่มใช้อัตราส่วน 15:2
(การกด ต่อ การผายปอด)
ใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกาย
แบบอัตโนมัติทันทีเมื่อได้รับมา

เครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกาย
แบบอัตโนมัติท�าการวิเคราะห์จังหวะชีพจร
จังหวะชีพจรที่สามารถกระตุ้นด้วยไฟฟ้าได้หรือไม่
ได้ ไม่ได้
สามารถกระตุ้นด้วยไฟฟ้าได้ ไม่สามารถกระตุ้นด้วยไฟฟ้าได้

ช็อค 1 ครั้ง ท�าการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพต่อ ท�าการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพต่อทันทีเป็นเวลา


ทันทีเป็นเวลาประมาณ 2 นาที (จนกระทั่ง ประมาณ 2 นาที (จนกระทั่งเครื่องกระตุ้นหัวใจ
เครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกาย ด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติ
แบบอัตโนมัติ แจ้งว่าพร้อมที่จะให้ตรวจสอบ แจ้งว่าพร้อมที่จะให้ตรวจสอบจังหวะชีพจร)
จังหวะชีพจร) ท�าต่อไปจนกว่าผู้ให้การช่วยชีวิตขั้นสูงมาดูแลต่อ
ท�าต่อไปจนกว่าผู้ให้การช่วยชีวิตขั้นสูงมาดูแลต่อ หรือผู้ป่วยเริ่มเคลื่อนไหว
หรือผู้ป่วยเริ่มเคลื่อนไหว

22 American Heart Association


อัตราการกดหน้าอก ฉุกเฉินเป็นประจ�ำในผู้ป่วยที่ไม่ใช่ทารกแรกเกิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อ
ป้องกันภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน นอกจากนี้ยังมี
2558 (ปรับปรุง): เพื่อให้การฝึกอบรมการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพง่ายดาย ข้อมูลที่บ่งชี้ว่า ไม่มีการก�ำหนดปริมาณยาขั้นต�่ำในการให้ยาอะโทรพิน
ที่สุด เนื่องจากไม่มีหลักฐานทางกุมารเวชศาสตร์เพียงพอ จึงควรใช้อัตราการกด ส�ำหรับข้อบ่งชี้นี้
หน้าอกส�ำหรับผู้ใหญ่ที่แนะน�ำที่ 100 ถึง 120 ครั้ง/นาที ส�ำหรับทารกและเด็ก • หากมีการวัดความดันโลหิตหลอดเลือดหัวใจแบบรุกล�้ำอยู่แล้ว อาจใช้วิธีนี้
2553 (เดิม): “กดเร็ว”: กดที่อัตราความเร็วอย่างน้อย 100 ครั้งต่อนาที เพื่อปรับการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพเพื่อให้ความดันโลหิตของเด็กที่มีภาวะ
หัวใจหยุดท�ำงานอยู่ที่เป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง
เหตุผล: การศึกษาในกลุ่มผู้ใหญ่ที่ได้รับการลงทะเบียนแสดงให้เห็นความลึก
• ยาอะมิโอดาโรน หรือ ยาลิโดเคนเป็นยารักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ในการกดหน้าอกที่ไม่เหมาะสมที่มีอัตราความเร็วในการกดสูงเกินไป เพื่อ ส�ำหรับภาวะหัวใจห้องล่างเต้นผิดปกติที่ไม่ตอบสนองต่อการช็อคด้วยไฟฟ้า
เพิ่มความสอดคล้องและการคงไว้ เนื่องจากไม่มีข้อมูลด้านกุมารเวชศาสตร์ และภาวะหัวใจห้องล่างเต้นเร็วที่ไม่มีชีพจรในเด็ก
ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์จึงยอมรับค�ำแนะน�ำเดียวกันส�ำหรับอัตราการ
กดที่ก�ำหนดส�ำหรับการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานในผู้ใหญ่ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมจาก • ยาอีพิเนฟรินยังคงได้รับการแนะน�ำเป็นยาหดหลอดเลือดส�ำหรับภาวะ
หัวข้อคุณภาพการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานและการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพในผู้ใหญ่ หัวใจหยุดท�ำงานในเด็ก
ในเอกสารนี้ • ส�ำหรับผู้ป่วยเด็กที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคหัวใจและภาวะหัวใจหยุด
ท�ำงานที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลในสถานการณ์ที่มีเกณฑ์วิธีการแลกเปลี่ยน
การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพด้วยการกดหน้าอก ออกซิเจนผ่านแผ่นเยื่อภายนอกร่างกายอยู่ อาจพิจารณาการนวดหัวใจ
ผายปอดกู้ชีพภายนอกร่างกาย
อย่างเดียว
• ควรป้องกันการเป็นไข้ขณะดูแลเด็กที่มีภาวะโคม่าที่มีการกลับมาของการ
2558 (ปรับปรุง): ควรท�ำการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพแบบดั้งเดิม (การ ไหลเวียนโลหิตที่เกิดขึ้นเอง (ROSC) หลังจากภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน
ช่วยหายใจและการกดหน้าอก) ให้แก่ทารกและเด็กที่มีภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน การทดลองแบบสุ่มขนาดใหญ่เกี่ยวกับการบ�ำบัดโรคโดยให้ภาวะอุณหภูมิ
ลักษณะของการขาดอากาศในภาวะหัวใจหยุดท�ำงานในเด็กส่วนใหญ่ท�ำให้ ร่างกายต�่ำกว่าปกติส�ำหรับเด็กที่มีภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน ไม่แสดงผลลัพธ์
การช่วยหายใจเป็นส่วนหนึ่งที่จ�ำเป็นในการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพอย่างมี ที่แตกต่างไม่ว่าในการบ�ำบัดโรคโดยให้ภาวะอุณหภูมิร่างกายต�่ำกว่าปกติ
ประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพด้วยการกด ระยะปานกลาง (รักษาอุณหภูมิที่ 32°C ถึง 34°C) หรือการรักษาอุณหภูมิ
หน้าอกอย่างเดียวมีประสิทธิภาพในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน ดังนั้น ปกติของร่างกายอย่างเคร่งครัด (รักษาอุณหภูมิที่ 36°C ถึง 37.5°C)
หากผู้ช่วยเหลือไม่เต็มใจหรือไม่สามารถผายปอดได้ เราขอแนะน�ำให้ผู้ช่วยเหลือ • ตัวแปรทางคลินิกในระหว่างและภายหลังภาวะหัวใจหยุดท�ำงานได้รับ
นวดหัวใจผายปอดกู้ชีพด้วยการกดหน้าอกอย่างเดียวส�ำหรับทารกและเด็กที่มี การตรวจสอบเพื่อค้นหาตัวแปรที่มีความส�ำคัญในการพยากรณ์โรค ไม่มี
ภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน ตัวแปรตัวหนึ่งตัวใดถูกระบุ ว่ามีความน่าเชื่อถือเพียงพอในการพยากรณ์
2553 (เดิม): การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพอย่างเหมาะสมในทารกและเด็ก ผลลัพธ์ ดังนั้น ผู้ดูแลจึงควรพิจารณาปัจจัยหลายข้อในการพยายาม
ครอบคลุมทั้งการกดหน้าอกและการช่วยหายใจ แต่การกดหน้าอกอย่างเดียว พยากรณ์ผลลัพธ์ระหว่างภาวะหัวใจหยุดท�ำงานและในสถานการณ์ภายหลัง
การกลับมาของการไหลเวียนโลหิตที่เกิดขึ้นเอง (ROSC)
เป็นวิธีที่ดีกว่าในกรณีที่ไม่ได้นวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ
• ภายหลังการกลับมาของการไหลเวียนโลหิตที่เกิดขึ้นเอง (ROSC) ควรให้
เหตุผล: การศึกษาขนาดใหญ่ที่ได้รับการลงทะเบียนแสดงให้เห็นผลลัพธ์ที่ สารละลายและสารกระตุ้นหลอดเลือดเพื่อรักษาความดันโลหิตช่วงหัวใจ
เลวร้ายลงส�ำหรับภาวะหัวใจหยุดท�ำงานที่เชื่อว่ามีการขาดอากาศในเด็ก (ซึ่งส่วน บีบตัวให้สูงกว่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ห้าส�ำหรับอายุ
ใหญ่มีภาวะหัวใจหยุดท�ำงานในเด็กนอกโรงพยาบาล) ที่ได้รับการรักษาด้วยการ
นวดหัวใจผายปอดกู้ชีพด้วยการกดหน้าอกอย่างเดียว ในการศึกษา 2 ฉบับ • ภายหลังการกลับมาของการไหลเวียนโลหิตที่เกิดขึ้นเอง (ROSC)
ควรก�ำหนดเป้าหมายระดับออกซิเจนในเลือดปกติ เมื่อมีอุปกรณ์ที่จ�ำเป็น
ในกรณีที่ไม่มีการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพแบบดั้งเดิม (การกดหน้าอกและการ
ควรหยุดการให้ออกซิเจนที่เป้าหมายความอิ่มตัวของออกซิเจนใน
ช่วยหายใจ) ให้แก่ผู้ที่มีภาวะหัวใจหยุดท�ำงานที่เชื่อว่าขาดอากาศ พบว่าผลลัพธ์ ฮีโมโกลบินที่ 94% ถึง 99% ควรป้องกันภาวะเลือดขาดออกซิเจนอย่าง
ไม่ต่างจากผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพในผู้ประสบเหตุ กรณี เคร่งครัด และควรวัดความเข้มข้นของออกซิเจนเพื่อหาค่าที่เหมาะสม
ที่เชื่อว่ามีสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจ พบผลลัพธ์คล้ายกันไม่ว่าจะท�ำการนวด ส�ำหรับสภาวะของผู้ป่วยที่เฉพาะเจาะจง เช่นเดียวกัน ภายหลังการกลับมา
หัวใจผายปอดกู้ชีพแบบดั้งเดิมหรือนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพด้วยการกดหน้าอก ของการไหลเวียนโลหิตที่เกิดขึ้นเอง (ROSC) ควรก�ำหนดเป้าหมาย
อย่างเดียวก็ตาม ค่าความดันบางส่วนของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในหลอดเลือดแดง
(Paco2) ในระดับที่เหมาะสมส�ำหรับสภาวะของผู้ป่วยแต่ละคน ควร
การช่วยชีวิตขั้นสูงในเด็ก ป้องกันภาวะการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดหรือการลดลงของ
คาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดอย่างรุนแรง
สรุปย่อประเด็นและการเปลี่ยนแปลงที่ส�ำคัญ ค�ำแนะน�ำส�ำหรับการกู้ชีพด้วยการให้สารละลาย
ประเด็นส�ำคัญหลายข้อในการทบทวนงานวิจัยเกี่ยวกับการช่วยชีวิตขั้นสูงในเด็ก 2558 (ใหม่): การให้ของเหลวที่มีความดันออสโมซิสเท่ากันทางหลอดเลือด
ส่งผลให้มีการขัดเกลาค�ำแนะน�ำที่มีอยู่มากกว่าการให้ค�ำแนะน�ำใหม่ๆ มีการ ด�ำอย่างรวดเร็วและแต่เนิ่นๆ ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นหลักส�ำคัญ
จัดหาข้อมูลใหม่หรือข้อมูลปรับปรุงใหม่เกี่ยวกับการกู้ชีพด้วยการให้สารละลาย ในการรักษาภาวะช็อคเหตุพิษติดเชื้อ เมื่อไม่นานมานี้การทดลองแบบสุ่มที่มี
ทางหลอดเลือดดําในภาวะไข้ การใช้ยาอะโทรพินก่อนการสอดท่อเข้าทาง การควบคุมขนาดใหญ่เกี่ยวกับการกู้ชีพด้วยการให้สารละลายในเด็กที่มีภาวะไข้
หลอดลม การใช้ยาอะมิโอดาโรนและยาลิโดเคนในภาวะหัวใจห้องล่างเต้นผิด รุนแรงในสถานการณ์ที่มีทรัพยากรจ�ำกัด พบผลลัพธ์เลวร้ายที่เชื่อมโยงกับการให้
ปกติที่ไม่ตอบสนองต่อการช็อคด้วยไฟฟ้า/ภาวะหัวใจห้องล่างเต้นเร็วที่ไม่มีชีพจร ยาปริมาณมากครั้งเดียวหมดทางหลอดเลือดด�ำ ส�ำหรับเด็กที่มีอาการช็อค ควร
การจัดการให้ได้ตามอุณหภูมิเป้าหมายหลังการกู้ชีพจากภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน ให้ยาในปริมาณ 20 มก./กก. ครั้งเดียวหมดทางหลอดเลือดด�ำ อย่างไรก็ตาม
ในทารกและเด็ก และการจัดการความดันโลหิตหลังภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน ส�ำหรับเด็กที่มีอาการไข้รุนแรงในสถานการณ์ที่สามารถเข้าถึงทรัพยากรการดูแล
• ในสถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจง ขณะรักษาผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะไข้ การใช้ ผู้ป่วยวิกฤตจ�ำกัด (เช่น เครื่องช่วยหายใจและระบบสนับสนุนเพื่อเพิ่มการบีบตัว
ไอโซโทนิกคริสตัลลอยด์ปริมาณจ�ำกัดน�ำไปสู่อัตราการรอดชีวิตที่เพิ่มขึ้น ของกล้ามเนื้อหัวใจ) การให้ยาปริมาณมากครั้งเดียวหมดทางหลอดเลือดด�ำควร
ซึ่งตรงข้ามกับความคิดทั่วไปที่ว่าการกู้ชีพด้วยการใช้สารปริมาณมากเป็น ด�ำเนินการด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง เนื่องจากอาจเป็นอันตรายได้ เน้นย�้ำ
ประจ�ำเป็นประโยชน์ การรักษาเฉพาะบุคคลและการประเมินทางคลินิกซ�้ำบ่อยครั้ง
• การใช้ยาอะโทรพินเป็นการให้ยาน�ำส�ำหรับการสอดท่อเข้าทางหลอดลม

ไฮไลท์ของแนวทางการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (CPR) และการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลอดเลือดในภาวะฉุกเฉิน (ECC) ของ AHA ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558 23


เหตุผล: ค�ำแนะน�ำนี้ยังคงเน้นย�้ำการให้ยาทางหลอดเลือดด�ำส�ำหรับเด็กที่มี อะมิดาโรน อย่างไรก็ตาม การใช้ยาลิโดเคนหรืออะมิดาโรนไม่เชื่อมโยงกับ
ภาวะช็อคเหตุพิษติดเชื้อ นอกจากนั้นค�ำแนะน�ำยังเน้นย�้ำแผนการรักษาเฉพาะ อัตราการรอดชีวิตที่เพิ่มขึ้นหลังออกจากโรงพยาบาล
บุคคลส�ำหรับผู้ป่วยแต่ละคน โดยอิงกับการประเมินทางคลินิกบ่อยครั้งก่อน
ระหว่าง และหลังการรักษาด้วยการให้ยาทางหลอดเลือดด�ำ และเชื่อว่ามีวิธีการ ยาหดหลอดเลือดส�ำหรับการกู้ชีพ
รักษาอื่นๆ ส�ำหรับผู้ป่วยวิกฤต ในบางสถานการณ์ที่มีทรัพยากรจ�ำกัด การให้ยา
2558 (ปรับปรุง): ควรให้ยาอีพิเนฟรินระหว่างภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน
ปริมาณมากเกินไปครั้งเดียวหมดทางหลอดเลือดด�ำแก่เด็กที่มีอาการไข้ อาจน�ำ
ไปสู่ภาวะแทรกซ้อน ซึ่งอาจไม่มีอุปกรณ์และความช�ำนาญที่เหมาะสมเพื่อจัดการ 2553 (เดิม): ควรให้ยาอีพิเนฟรินส�ำหรับภาวะหัวใจหยุดท�ำงานที่ไม่มีชีพจร
กับสถานการณ์นั้นอย่างมีประสิทธิภาพ
เหตุผล: ค�ำแนะน�ำเกี่ยวกับการให้ยาอีพิเนฟรินระหว่างภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน
ยาอะโทรพินส�ำหรับการใส่ท่อช่วยหายใจ ถูกลดระดับลงเล็กน้อยในประเภทของค�ำแนะน�ำ เนื่องจากไม่มีการศึกษาใน
เด็กที่มีคุณภาพสูงที่แสดงประสิทธิภาพของยาหดหลอดเลือดในภาวะหัวใจหยุด
2558 (ปรับปรุง): ไม่มีหลักฐานสนับสนุนการใช้ยาอะโทรพินเป็นการให้ยา ท�ำงาน นอกจากนั้นการศึกษาเชิงสังเกตการณ์ในเด็กสองฉบับยังปราศจาก
น�ำเป็นประจ�ำ เพื่อป้องกันภาวะหัวใจเต้นช้าในการใส่ท่อหายใจฉุกเฉินในเด็ก ข้อสรุป และการศึกษาแบบสุ่มนอกโรงพยาบาลในผู้ใหญ่พบว่ายาอีพิเนฟริน
โดยอาจพิจารณาใช้วิธีนี้ในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่เด็กจะมีภาวะหัวใจ เชื่อมโยงกับการกลับมาของการไหลเวียนโลหิตที่เกิดขึ้นเอง (ROSC) และ
เต้นช้า นอกจากนั้นยังไม่มีหลักฐานสนับสนุนการใช้ยาอะโทรพินปริมาณต�่ำเมื่อ อัตราการรอดชีวิตที่ดีขึ้นในขณะพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ไม่ใช่หลังออกจาก
ใช้เป็นการให้ยาน�ำส�ำหรับการใส่ท่อหายใจฉุกเฉิน โรงพยาบาล
2553 (เดิม): แนะน�ำให้ให้ยาอะโทรพินทางหลอดเลือดด�ำในปริมาณต�่ำสุด
คือ 0.1 มก. เนื่องจากมีรายงานว่าเกิดผลตรงข้ามกับภาวะหัวใจเต้นช้าในทารก การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพภายนอกร่างกาย
ที่เล็กมากที่ได้รับยาอะโทรพินปริมาณต�่ำ เปรียบเทียบกับการกู้ชีพมาตรฐาน
เหตุผล: หลักฐานที่พบเมื่อไม่นานมานี้เป็นหลักฐานที่ขัดแย้งเช่นเดียวกับ 2558 (ปรับปรุง): อาจพิจารณาการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพภายนอกร่างกาย
ข้อสงสัยที่ว่ายาอะโทรพินป้องกันภาวะหัวใจเต้นช้าหรือภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ส�ำหรับเด็กที่มีภาวะโรคหัวใจอยู่เดิมและมีภาวะหัวใจหยุดท�ำงานที่เกิดขึ้นใน
อื่นๆ ระหว่างการใส่ท่อหายใจฉุกเฉินในเด็กหรือไม่ อย่างไรก็ตาม การศึกษา โรงพยาบาล หากมีเกณฑ์วิธี ความช�ำนาญ และอุปกรณ์ที่เหมาะสม
ล่าสุดเหล่านี้ใช้ยาอะโทรพินปริมาณต�่ำกว่า 0.1 มก. โดยไม่เพิ่มแนวโน้มภาวะ 2553 (เดิม): พิจารณาการเริ่มการช่วยชีวิตโดยอุปกรณ์จากภายนอกร่างกาย
หัวใจเต้นผิดจังหวะ
แต่เนิ่นๆ ส�ำหรับภาวะหัวใจหยุดท�ำงานที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่มีการตรวจ
ตราดูแลอย่างสูง เช่น ในหน่วยดูแลผู้ป่วยหนัก ที่มีเกณฑ์วิธีทางคลินิก รวมทั้ง
การตรวจสอบพลศาสตร์การไหลเวียนเลือด มีความช�ำนาญ และอุปกรณ์ในการเริ่มวิธีนี้อย่างรวดเร็ว ควรพิจารณาการ
แบบรุกล�้ำ ระหว่างการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ ช่วยชีวิตโดยอุปกรณ์จากภายนอกร่างกายส�ำหรับเด็กที่มีภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน
2558 (ปรับปรุง): หากมีการตรวจสอบพลศาสตร์การไหลเวียนเลือดแบบ และไม่ตอบสนองต่อความพยายามในการกู้ชีพมาตรฐาน และมีภาวะหัวใจ
หยุดท�ำงานที่เกิดจากสาเหตุที่แก้ไขได้
รุกล�้ำขณะที่เกิดภาวะหัวใจหยุดท�ำงานในเด็ก อาจสมควรใช้วิธีนี้เป็นแนวทาง
ตรวจสอบคุณภาพในการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ เหตุผล: ไม่มีการพิจารณาภาวะหัวใจหยุดท�ำงานในเด็ก ส�ำหรับภาวะหัวใจ
2553 (เดิม): หากผู้ป่วยมีสายสวนเลือดเสียบค้างอยู่ อาจใช้รูปแบบคลื่น หยุดท�ำงานที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลในเด็ก ไม่มีความแตกต่างในอัตราการรอด
ชีวิตโดยรวมเมื่อเปรียบเทียบกับการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพภายนอกร่างกายที่
เป็นการให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อประเมินต�ำแหน่งมือและความลึกในการกด
ไม่มีการแลกเปลี่ยนออกซิเจนผ่านแผ่นเยื่อภายนอกร่างกาย การทบทวนการลง
หน้าอก ขณะนี้ยังไม่มีการศึกษาการกดเป้าหมายความดันโลหิตช่วงหัวใจบีบตัวที่
ทะเบียนการศึกษาย้อนหลังฉบับหนึ่งแสดงให้เห็นว่าการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ
เฉพาะเจาะจงในมนุษย์ แต่อาจได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในสัตว์
ภายนอกร่างกายส�ำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าผู้ป่วยที่ไม่เป็นโรคหัวใจ
เหตุผล: การทดลองแบบสุ่มที่มีการควบคุมในสัตว์สองครั้งพบการกลับมา
ของการไหลเวียนโลหิตที่เกิดขึ้นเอง (ROSC) และอัตราการรอดชีวิตจนจบการ การจัดการให้ได้ตามอุณหภูมิเป้าหมาย
ทดลองที่ดีขึ้นเมื่อมีการปรับเทคนิคการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพโดยอิงกับการ
2558 (ปรับปรุง): ส�ำหรับเด็กที่มีภาวะโคม่าในช่วงหลายวันแรกหลังจาก
ตรวจสอบพลศาสตร์การไหลเวียนเลือดแบบรุกล�้ำ อย่างไรก็ดี ยังไม่มีการศึกษา
วิธีนี้ในมนุษย์ ภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน (ในโรงพยาบาลหรือนอกโรงพยาบาล) ควรตรวจวัด
อุณหภูมิอย่างต่อเนื่อง และควรโหมรักษาอาการไข้
ยารักษาการเต้นผิดจังหวะของหัวใจส�ำหรับ ส�ำหรับเด็กที่มีภาวะโคม่าที่ได้รับการกู้ชีพจากภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน ผู้ดูแล
ภาวะหัวใจห้องล่างเต้นผิดปกติที่ไม่ตอบสนอง ควรรักษาอุณหภูมิปกติของร่างกาย (36°C ถึง 37.5°C) นาน 5 วัน หรือภาวะ
อุณหภูมิร่างกายต�่ำกว่าปกติขั้นต้นต่อเนื่อง (32°C ถึง 34°C) นาน 2 วัน
ต่อการช็อคด้วยไฟฟ้าหรือภาวะหัวใจห้องล่าง ตามด้วยอุณหภูมิปกติของร่างกายอีก 3 วัน
เต้นเร็วผิดปกติที่ไม่มีชีพจร ส�ำหรับเด็กที่ยังคงมีภาวะโคม่าหลังจากภาวะหัวใจหยุดท�ำงานที่เกิดขึ้นใน
2558 (ปรับปรุง): ยาอะมิโอดาโรนหรือยาลิโดเคนได้รับการยอมรับเท่าๆ โรงพยาบาล มีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนให้รักษาภาวะอุณหภูมิร่างกาย
กันส�ำหรับการรักษาภาวะหัวใจห้องล่างเต้นผิดปกติที่ไม่ตอบสนองต่อการช็อค ต�่ำกว่าปกติมากกว่าอุณหภูมิร่างกายปกติ
ด้วยไฟฟ้าหรือภาวะหัวใจห้องล่างเต้นเร็วที่ไม่มีชีพจรในเด็ก 2553 (เดิม): อาจพิจารณาการบ�ำบัดโรคโดยให้ภาวะอุณหภูมิร่างกายต�่ำกว่า
2553 (เดิม): แนะน�ำให้ใช้ยาอะมิโอดาโรนส�ำหรับการรักษาภาวะหัวใจ ปกติ (32°C ถึง 34°C) ส�ำหรับเด็กที่ยังคงมีภาวะโคม่าหลังจากได้รับการกู้ชีพ
ห้องล่างเต้นผิดปกติที่ไม่ตอบสนองต่อการช็อคด้วยไฟฟ้าหรือภาวะหัวใจห้องล่าง จากภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน วัยรุ่นควรได้รับการกู้ชีพจากภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน
เต้นเร็วที่ไม่มีชีพจร โดยสามารถให้ยาลิโดเคนแทน หากไม่มียาอะมิโอดาโรน เนื่องจากหัวใจห้องล่างเต้นแผ่วระรัวนอกโรงพยาบาลที่มีผู้พบเห็นเหตุการณ์
เหตุผล: การลงทะเบียนของหลายสถาบันที่มีการศึกษาย้อนหลังเมื่อเร็วๆ นี้ เหตุผล: การศึกษามุ่งหวังของศูนย์หลายแห่งเกี่ยวกับผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะหัวใจ
เกี่ยวกับภาวะหัวใจหยุดท�ำงานในเด็กที่เข้ารับการรักษาในแผนกผู้ป่วยในแสดง หยุดท�ำงานโดยการสุ่มตัวอย่างเพื่อให้ได้รับการบ�ำบัดโรคโดยให้ภาวะอุณหภูมิ
ให้เห็นว่ายาลิโดเคนเชื่อมโยงกับอัตราการกลับมาของการไหลเวียนโลหิตที่เกิด ร่างกายต�่ำกว่าปกติ (32°C ถึง 34°C) หรืออุณหภูมิร่างกายปกติ (36°C ถึง
37.5°C) ไม่แสดงความแตกต่างในผลลัพธ์ด้านการท�ำงานที่อายุ 1 ปีระหว่าง
ขึ้นเอง (ROSC) และอัตราการรอดชีวิตใน 24 ชั่วโมงที่ดีขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับ
2 กลุ่ม การศึกษาฉบับนี้และการศึกษาเชิงสังเกตการณ์อื่นๆ ไม่แสดงภาวะ

24 American Heart Association


แทรกซ้อนเพิ่มเติมในกลุ่มที่รักษาโดยการบ�ำบัดโรคโดยให้ภาวะอุณหภูมิร่างกาย ที่ได้รับการส่งตัวออกจากหน่วยดูแลผู้ป่วยหนัก เมื่อเปรียบเทียบกับภาวะความ
ต�่ำกว่าปกติ ขณะนี้ผลลัพธ์ยังอยู่ระหว่างการด�ำเนินการจากการทดลองแบบ เป็นกรดในเลือดผิดปกติ (ค่าความดันบางส่วนของก๊าซออกซิเจนในหลอดเลือด
สุ่มขนาดใหญ่ที่มีการควบคุมในศูนย์ต่างๆ เกี่ยวกับการบ�ำบัดโรคโดยให้ภาวะ แดง (PaO2) สูงกว่า 300 มิลลิเมตรปรอท) การศึกษาในผู้ใหญ่และสัตว์แสดง
อุณหภูมิร่างกายต�่ำกว่าปกติส�ำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะโคม่าภายหลังการกลับมาของ อัตราการตายเพิ่มขึ้นที่เชื่อมโยงกับภาวะความเป็นกรดในเลือดผิดปกติ เช่น
การไหลเวียนโลหิตที่เกิดขึ้นเอง (ROSC) ตามด้วยภาวะหัวใจหยุดท�ำงานที่เกิด เดียวกัน การศึกษาในผู้ใหญ่ภายหลังการกลับมาของการไหลเวียนโลหิตที่เกิด
ขึ้นในโรงพยาบาลในเด็ก (ดู เว็บไซต์เกี่ยวกับการบ�ำบัดโรคโดยให้ภาวะอุณหภูมิ ขึ้นเอง (ROSC) แสดงผลลัพธ์ต่อผู้ป่วยที่เลวร้ายลงซึ่งเชื่อมโยงกับการลดลงของ
ร่างกายต�่ำกว่าปกติภายหลังภาวะหัวใจหยุดท�ำงานในเด็ก: www.THAPCA.org) คาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด
ปัจจัยช่วยพยากรณ์โรคภายในภาวะหัวใจหยุด
ท�ำงานและหลังภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน การกู้ชีพในทารกแรกเกิด
2558 (ปรับปรุง): มีปัจจัยหลายข้อที่ควรพิจารณาขณะพยายามพยากรณ์ สรุปย่อประเด็นและการเปลี่ยนแปลงที่ส�ำคัญ
ผลลัพธ์ของภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน มีปัจจัยหลายข้อที่มีบทบาทส�ำคัญในการ
ตัดสินใจคงหรือยุติความพยายามในการกู้ชีพระหว่างภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน ภาวะหัวใจหยุดท�ำงานในทารกแรกเกิดเกิดจากการขาดอากาศเป็นหลัก ดังนั้น
และในการประเมินศักยภาพการฟื้นตัวหลังภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน การเริ่มการช่วยหายใจจึงยังคงเป็นจุดมุ่งเน้นในการเริ่มการกู้ชีพ ต่อไปนี้คือหัวข้อ
เกี่ยวกับทารกแรกเกิดที่ส�ำคัญใน พ.ศ. 2558:
2553 (เดิม): แพทย์ควรพิจารณาตัวแปรหลายอย่างส�ำหรับผลลัพธ์การ
พยากรณ์โรค และใช้วิจารณญาณในการตรวจสอบความพยายามอย่างเหมาะสม • ล�ำดับค�ำถามในการประเมิน 3 ข้อเปลี่ยนเป็น (1) ระยะเวลาการอยู่ใน
เหตุผล: ไม่พบตัวแปรในภาวะหัวใจหยุดท�ำงานหรือหลังภาวะหัวใจหยุด ครรภ์ตามก�ำหนดหรือไม่ (2) ความตึงตัวของกล้ามเนื้อดีหรือไม่ และ
(3) หายใจหรือร้องไห้หรือไม่
ท�ำงาน ที่ท�ำนายผลลัพธ์พึงประสงค์หรือผลลัพธ์ที่ไม่ดีที่เชื่อถือได้
• นาทีทอง (60 วินาที) หมายถึงการด�ำเนินการขั้นตอนแรก การประเมิน
สารละลายและสารเพิ่มการบีบตัวของกล้ามเนื้อ ผล และการเริ่มการช่วยหายใจ (หากจ�ำเป็น) ยังคงใช้อยู่เพื่อเน้นย�้ำความ
ส�ำคัญในการหลีกเลี่ยงความล่าช้าโดยไม่จ�ำเป็นในการเริ่มการช่วยหายใจ
หัวใจหลังภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน ขั้นตอนส�ำคัญส�ำหรับความส�ำเร็จในการกู้ชีพทารกแรกเกิดที่ไม่ตอบสนอง
2558 (ใหม่): ภายหลังการกลับมาของการไหลเวียนโลหิตที่เกิดขึ้นเอง ขั้นตอนแรก
(ROSC) ควรให้สารเพิ่มการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจและยาหดหลอดเลือด • มีค�ำแนะน�ำใหม่ว่าควรชะลอการตัดสายสะดือนานกว่า 30 วินาทีส�ำหรับทั้ง
เพื่อรักษาความดันโลหิตช่วงหัวใจบีบตัวให้สูงกว่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ห้าส�ำหรับอายุ ทารกที่คลอดตามก�ำหนดและทารกที่คลอดก่อนก�ำหนดที่ไม่ต้องกู้ชีพขณะ
ควรใช้การวัดความดันภายในหลอดเลือดแดงเพื่อวัดความดันโลหิตอย่างต่อเนื่อง เกิด แต่มีหลักฐานไม่เพียงพอในการแนะน�ำแนวทางในการตัดสายสะดือ
รวมทั้งเพื่อระบุและรักษาภาวะความดันโลหิตต�่ำ ส�ำหรับทารกที่ต้องกู้ชีพขณะเกิด และข้อเสนอแนะที่ไม่เห็นด้วยกับการตัด
เหตุผล: ไม่มีการระบุการศึกษาที่ประเมินสารกระตุ้นหลอดเลือดที่เฉพาะ สายสะดือจนสุด (นอกสถานการณ์การวิจัย) ส�ำหรับทารกที่คลอดเมื่ออยู่ใน
เจาะจงในผู้ป่วยเด็กภายหลังการกลับมาของการไหลเวียนโลหิตที่เกิดขึ้นเอง ครรภ์ไม่ถึง 29 สัปดาห์ จนกว่าจะได้รับรู้ข้อดีและภาวะแทรกซ้อนมากขึ้น
(ROSC) การศึกษาเชิงสังเกตการณ์เมื่อเร็วๆ นี้พบว่าเด็กที่มีภาวะความดันต�่ำ • ควรบันทึกอุณหภูมิเพื่อใช้เป็นปัจจัยท�ำนายผลลัพธ์และตัวระบุที่มีคุณภาพ
ภายหลังการกลับมาของการไหลเวียนโลหิตที่เกิดขึ้นเอง (ROSC) มีอัตราการ • ควรรักษาอุณหภูมิของทารกแรกเกิดที่ไม่มีการขาดอากาศที่ระหว่าง
รอดชีวิตต�่ำลงหลังออกจากโรงพยาบาล และผลลัพธ์ทางประสาทวิทยาที่แย่ลง 36.5°C และ 37.5°C หลังคลอดจนถึงการรับเข้ารักษาและเมื่ออาการคงที่
ค่าความดันบางส่วนของก๊าซออกซิเจนใน • อาจควรใช้กลยุทธ์ต่างๆ (เครื่องให้ความอบอุ่นโดยการแผ่รังสี พลาสติก
แรปพร้อมสวมหมวก เบาะให้ความร้อน ก๊าซให้ความร้อนแบบควบคุม
หลอดเลือดแดง (Pao2) และค่าความดันบางส่วน ความชื้น และการเพิ่มอุณหภูมิห้องพร้อมสวมหมวกและเบาะให้ความร้อน)
ของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในหลอดเลือดแดง เพื่อป้องกันภาวะอุณหภูมิร่างกายต�่ำกว่าปกติในทารกที่คลอดก่อนก�ำหนด
(Paco2) หลังภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน ควรป้องกันภาวะอุณหภูมิร่างกายสูงกว่าปกติ (อุณหภูมิสูงกว่า 38°C)
เนื่องจากอาจท�ำให้เกิดความเสี่ยงที่เชื่อมโยงกัน
2558 (ปรับปรุง): ภายหลังการกลับมาของการไหลเวียนโลหิตที่เกิดขึ้นเอง
• ในสถานการณ์ที่มีทรัพยากรจ�ำกัด มาตรการแบบง่ายเพื่อป้องกันภาวะ
(ROSC) ในเด็ก ผู้ช่วยเหลืออาจควรวัดความเข้มข้นของออกซิเจนที่ให้ผู้ป่วย อุณหภูมิร่างกายต�่ำกว่าปกติในช่วงชั่วโมงแรกๆ หลังคลอด (ใช้พลาสติก
เพื่อให้ถึงระดับออกซิเจนในเลือดปกติ(ความอิ่มตัวของออกซิเจนในฮีโมโกลบิน แรป การสัมผัสระหว่างผิวหนัง และแม้กระทั่งการวางทารกหลังท�ำให้
ที่ 94% ขึ้นไป) เมื่อมีอุปกรณ์ที่จ�ำเป็น ควรหยุดการให้ออกซิเจนที่เป้าหมาย ตัวแห้งโดยให้ส่วนเท้าถึงล�ำคออยู่ในกระเป๋าพลาสติกส�ำหรับใส่อาหาร
ความอิ่มตัวของออกซิเจนในฮีโมโกลบินที่ช่วงระหว่าง 94% ถึง 99% ควรก�ำหนด ที่สะอาด) อาจลดอัตราการตายได้
เป้าหมายในการป้องกันภาวะเลือดขาดออกซิเจนอย่างเคร่งครัดขณะรักษาระดับ
ออกซิเจนในเลือดปกติ เช่นเดียวกัน กลยุทธ์ในการช่วยหายใจภายหลังการก • หากทารกเกิดในน�้ำคร�่ำที่มีสารสีเขียวเข้มมีโคเนียมจากอุจจาระ และมี
ลับมาของการไหลเวียนโลหิตที่เกิดขึ้นเอง (ROSC) ควรก�ำหนดเป้าหมายค่า ความตึงของกล้ามเนื้อไม่ดีและพยายามหายใจอย่างไม่เหมาะสม ควรน�ำ
ความดันบางส่วนของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในหลอดเลือดแดง (PaCO2) ที่ ทารกไว้ในเครื่องให้ความอบอุ่นโดยการแผ่รังสี และควรเริ่มการระบาย
เหมาะสมส�ำหรับผู้ป่วยแต่ละคน พร้อมไปกับการป้องกันภาวะการคั่งของ อากาศในสภาวะแรงดันเป็นบวก หากจ�ำเป็น ไม่แนะน�ำการสอดท่อเพื่อ
คาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดหรือการลดลงของคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด ดูดเสมหะผ่านทางหลอดลมเป็นประจ�ำอีกต่อไป เนื่องจากไม่มีหลักฐาน
อย่างรุนแรง เพียงพอที่จะด�ำเนินการตามค�ำแนะน�ำนี้ต่อ ควรเริ่มการรักษาอย่างเหมาะ
สมเพื่อสนับสนุนการช่วยหายใจและการแลกเปลี่ยนออกซิเจนตามที่ระบุ
2553 (เดิม): หลังจากการหมุนเวียนกลับสู่ภาวะปกติ หากมีอุปกรณ์ที่ ส�ำหรับทารกแต่ละคน ซึ่งอาจรวมถึงการสอดท่อและการดูดเสมหะ หาก
เหมาะสม อาจควรเลิกอัตราส่วนของออกซิเจนในก๊าซที่หายใจเพื่อรักษาความ ทางเดินหายใจถูกปิดกั้น
อิ่มตัวของออกซิเจนในฮีโมโกลบินที่ 94% ขึ้นไป ไม่มีค�ำแนะน�ำเกี่ยวกับค่า
ความดันบางส่วนของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในหลอดเลือดแดง (PaCO2) • การประเมินอัตราการเต้นของหัวใจยังคงมีความส�ำคัญระหว่างนาทีแรก
ของการกู้ชีพ และอาจควรใช้การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบ 3 ลีด เนื่องจาก
เหตุผล: การศึกษาเชิงสังเกตการณ์ขนาดใหญ่เกี่ยวกับภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน ผู้ด�ำเนินการอาจไม่ได้ประเมินอัตราการเต้นของหัวใจอย่างถูกต้องโดยการ
ที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลและภาวะหัวใจหยุดท�ำงานพบว่าระดับออกซิเจนในเลือด ฟังตรวจหรือการคล�ำตรวจ และการวัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด
ปกติ (ก�ำหนดค่าความดันบางส่วนของก๊าซออกซิเจนในหลอดเลือดแดง (PaO2) จากชีพจรอาจประเมินอัตราการเต้นของหัวใจต�่ำเกินไป การใช้การตรวจ
ที่ 60 ถึง 300 มิลลิเมตรปรอท) เชื่อมโยงกับอัตราการรอดชีวิตที่เพิ่มขึ้นในเด็ก คลื่นไฟฟ้าหัวใจไม่สามารถทดแทนความจ�ำเป็นในการใช้การวัดความ

ไฮไลท์ของแนวทางการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (CPR) และการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลอดเลือดในภาวะฉุกเฉิน (ECC) ของ AHA ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558 25


อิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดจากชีพจรเพื่อประเมินการแลกเปลี่ยนออกซิเจน เหตุผล: ส�ำหรับทารกที่ไม่ต้องกู้ชีพขณะเกิด การชะลอการตัดสายสะดือ
ของทารกแรกเกิด เชื่อมโยงกับการลดลงของภาวะเลือดออกในโพรงสมอง ความดันและปริมาณ
• การกู้ชีพ ทารกที่คลอดก่อนก�ำหนด ที่อยู่ในครรภ์ไม่ถึง 35 สัปดาห์ โลหิตเพิ่มขึ้น ความจ�ำเป็นในการถ่ายเลือดหลังคลอดลดลง และโอกาสเกิด
ควรเริ่มจากการให้ออกซิเจนความเข้มข้นต�่ำ (21% ถึง 30%) และควรวัด ภาวะลําไส้เน่าอักเสบในทารกที่คลอดก่อนก�ำหนดลดลง ผลลบอย่างเดียวที่พบ
ความเข้มข้นของออกซิเจนเพื่อให้ได้ค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนที่มือขวา คือระดับบิลิรูบินเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งเชื่อมโยงกับความจ�ำเป็นในการบ�ำบัดด้วย
ใกล้เคียงกับค่าพิสัยที่วัดจากทารกแรกเกิดที่คลอดครบก�ำหนดสุขภาพปกติ แสงเพิ่มขึ้น
• ไม่มีข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับความปลอดภัยและวิธีการใช้การเป่าลมเข้าปอด
ต่อเนื่องเกิน 5 วินาทีเพื่อให้ทารกแรกเกิดปรับตัว การดูดเสมหะทารกที่ไม่หายใจผ่านน�้ำคร�่ำที่มี
• อาจพิจารณาหน้ากากครอบกล่องเสียงเป็นทางเลือกนอกจากการสอด สารสีเขียวเข้มมีโคเนียมจากอุจจาระ
ท่อเข้าทางหลอดลม หากการช่วยหายใจผ่านทางหน้ากากไม่ส�ำเร็จ และ 2558 (ปรับปรุง): หากทารกที่เกิดในน�้ำคร�่ำที่มีสารสีเขียวเข้มมีโคเนียมจาก
แนะน�ำหน้ากากครอบกล่องเสียงระหว่างการกู้ชีพทารกแรกเกิดที่อยู่ใน อุจจาระ และมีความตึงของกล้ามเนื้อไม่ดีและพยายามหายใจอย่างไม่เหมาะสม
ครรภ์ 34 สัปดาห์ขึ้นไปหากการสอดท่อเข้าทางหลอดลมไม่ส�ำเร็จหรือ ขั้นตอนแรกในการกู้ชีพควรด�ำเนินการโดยที่ทารกอยู่ในเครื่องให้ความอบอุ่น
ไม่สามารถท�ำได้ โดยการแผ่รังสี ควรเริ่มการระบายอากาศในสภาวะแรงดันเป็นบวก หากทารก
• ทารกที่คลอดก่อนก�ำหนดที่สามารถหายใจเองได้และมีอาการหายใจ ไม่หายใจหรืออัตราการเต้นของหัวใจต�่ำกว่า 100 ครั้ง/นาที หลังจากด�ำเนินการ
ล�ำบาก อาจได้รับการสนับสนุนด้วยเครื่องอัดอากาศแรงดันบวกชนิดต่อ ขั้นตอนแรกเสร็จสิ้นแล้ว ไม่แนะน�ำการสอดท่อเพื่อดูดเสมหะผ่านทางหลอดลม
เนื่องมากกว่าการสอดท่อเพื่อใช้การระบายอากาศในสภาวะแรงดันเป็นบวก เป็นประจ�ำในสถานการณ์นี้ เนื่องจากไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะแนะน�ำแนวทาง
• ค�ำแนะน�ำเกี่ยวกับเทคนิคการกดหน้าอก (โอบมือลงด้วยนิ้วหัวแม่มือ 2 การปฏิบัตินี้ต่อไป อย่างไรก็ตาม ทีมที่รวมถึงผู้ที่มีทักษะในการสอดท่อหายใจ
นิ้ว) และอัตราส่วนการกดต่อการช่วยหายใจ (3:1 หมายถึงการกด 90 ครั้ง ทารกแรกเกิดควรอยู่ในห้องคลอดด้วย
และการหายใจเข้า-ออก 30 ครั้งต่อนาที) ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ตาม 2553 (เดิม): ไม่มีหลักฐานเพียงพอในการแนะน�ำการเปลี่ยนแปลงแนวทาง
ค�ำแนะน�ำ พ.ศ. 2553 ผู้ช่วยเหลืออาจพิจารณาการใช้อัตราส่วนที่สูงขึ้น ปฏิบัติปัจจุบันในการดูดเสมหะทางท่อช่วยหายใจในทารกที่ไม่หายใจและมี
(เช่น 15:2) หากเชื่อว่าภาวะหัวใจหยุดท�ำงานมีสาเหตุมาจากหัวใจ น�้ำคร�่ำที่มีสารสีเขียวเข้มมีโคเนียมจากอุจจาระ
• แม้ไม่มีการศึกษาทางคลินิกเกี่ยวกับการใช้ออกซิเจนระหว่างการนวดหัวใจ
ผายปอดกู้ชีพ ทว่า กลุ่มที่เขียนแนวทางเกี่ยวกับทารกแรกเกิดยังคงให้การ เหตุผล: การทบทวนหลักฐานบ่งชี้ว่าการกู้ชีพควรปฏิบัติตามหลักการเดียวกัน
รับรองการใช้ออกซิเจน 100% เมื่อใดก็ตามที่ท�ำการกดหน้าอก ควรหยุด ส�ำหรับทารกที่มีน�้ำคร�่ำที่มีสารสีเขียวเข้มมีโคเนียมจากอุจจาระกับทารกที่มี
ความเข้มข้นของออกซิเจนทันทีที่อัตราการเต้นของหัวใจกลับสู่ระดับปกติ น�้ำคร�่ำใส กล่าวคือหากความตึงของกล้ามเนื้อไม่ดีและมีความพยายามหายใจ
อย่างไม่เหมาะสม ขั้นตอนแรกของการกู้ชีพ (การให้ความอบอุ่นและการรักษา
• ไม่มีการทบทวนค�ำแนะน�ำเกี่ยวกับการใช้ยาอีพิเนฟรินระหว่างการนวด อุณหภูมิ การจัดท่าทารก การดูดเสมหะออกจากทางเดินหายใจหากจ�ำเป็น
หัวใจผายปอดกู้ชีพและการจัดการด้านปริมาณใน พ.ศ. 2558 ดังนั้น ค�ำ การท�ำให้ตัวแห้ง และการกระตุ้นทารก) ควรด�ำเนินการภายใต้เครื่องให้ความ
แนะน�ำใน พ.ศ. 2553 จึงยังคงมีผลบังคับใช้
อบอุ่นบนเตียง ควรเริ่มการระบายอากาศในสภาวะแรงดันเป็นบวก หากทารก
• ไม่มีการทบทวนการบ�ำบัดโรคโดยให้ภาวะอุณหภูมิร่างกายต�่ำกว่าปกติ ไม่หายใจหรืออัตราการเต้นของหัวใจต�่ำกว่า 100 ครั้ง/นาที หลังจากด�ำเนินการ
แบบเหนี่ยวน�ำในสถานที่ที่มีทรัพยากรครบถ้วน ส�ำหรับทารกแรกเกิดที่อยู่ ขั้นตอนแรกเสร็จสิ้นแล้ว ผู้เชี่ยวชาญให้ความส�ำคัญกับการหลีกเลี่ยงอันตราย
ในครรภ์นานกว่า 36 สัปดาห์และมีภาวะสมองขาดเลือดขั้นปานกลางถึง (เช่น การชะลอการใช้หน้ากากส�ำหรับช่วยการหายใจขนาดใหญ่ แนวโน้ม
รุนแรงใน พ.ศ. 2558 ดังนั้น ค�ำแนะน�ำใน พ.ศ. 2553 จึงยังคงมีผล อันตรายจากกระบวนการ) มากกว่าประโยชน์ที่ไม่เป็นที่รับรู้ของการรักษาด้วย
บังคับใช้ การสอดท่อเข้าทางหลอดลมและการดูดเสมหะเป็นประจ�ำ ควรเริ่มการรักษา
• ในสถานการณ์ที่มีทรัพยากรจ�ำกัด ควรพิจารณาการใช้การบ�ำบัดโรคโดย อย่างเหมาะสมเพื่อสนับสนุนการช่วยหายใจและการแลกเปลี่ยนออกซิเจน
ให้ภาวะอุณหภูมิร่างกายต�่ำกว่าปกติภายใต้เกณฑ์วิธีที่ก�ำหนดชัดเจน ตามที่ระบุส�ำหรับทารกแต่ละคน ซึ่งอาจรวมถึงการสอดท่อและการดูดเสมหะ
ซึ่งเหมือนกับเกณฑ์วิธีที่ใช้ในการทดลองทางคลินิกและในสถานที่ที่มี หากทางเดินหายใจถูกปิดกั้น
ศักยภาพในการบริบาลแบบสหสาขาวิชาและการติดตามผล
• โดยทั่วไปนั้น ไม่มีการเผยแพร่ข้อมูลใหม่เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลง การประเมินอัตราการเต้นของหัวใจ:
ค�ำแนะน�ำใน พ.ศ. 2553 เกี่ยวกับการระงับหรือการยุติการกู้ชีพ คะแนน การใช้การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบ 3 ลีด
การประเมินสภาพทารกแรกเกิด (คะแนนแอปการ์) ที่ 0 ที่ 10 นาที เป็น
ปัจจัยท�ำนายอัตราการตายและอัตราการเกิดโรคที่ชัดเจนในทารกที่คลอด 2558 (ปรับปรุง): ระหว่างการกู้ชีพทารกที่คลอดตามก�ำหนดและทารกที่
ก่อนก�ำหนดในระยะท้ายและทารกที่คลอดก่อนก�ำหนด แต่การตัดสินใจ คลอดก่อนก�ำหนด การใช้การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบ 3 ลีดเพื่อการวัดอัตรา
คงหรือยุติความพยายามในการกู้ชีพต้องขึ้นอยู่กับทารกแต่ละคน การเต้นของหัวใจของทารกอย่างแม่นย�ำอาจเป็นประโยชน์ การใช้การตรวจ
• แนะน�ำว่าควรท�ำการฝึกอบรมงานการกู้ชีพทารกแรกเกิดบ่อยครั้งกว่า คลื่นไฟฟ้าหัวใจไม่สามารถทดแทนความจ�ำเป็นในการใช้การวัดความอิ่มตัว
ทุก 2 ปีเช่นในปัจจุบัน ของออกซิเจนในเลือดจากชีพจรเพื่อประเมินการแลกเปลี่ยนออกซิเจนของทารก
แรกเกิด
การจัดการสายสะดือ: การชะลอการตัดสายสะดือ 2553 (เดิม): แม้ไม่มีการระบุถึงการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจใน พ.ศ. 2553 แต่
2558 (ปรับปรุง): แนะน�ำให้ชะลอการตัดสายสะดือนานกว่า 30 วินาที มีการกล่าวถึงประเด็นวิธีการประเมินอัตราการเต้นของหัวใจ: การประเมินอัตรา
ส�ำหรับทั้งทารกที่คลอดตามก�ำหนดและทารกที่คลอดก่อนก�ำหนดที่ไม่ต้องกู้ชีพ การเต้นของหัวใจควรด�ำเนินการโดยการฟังเสียงชีพจรบริเวณหน้าหัวใจเป็นระยะ
ขณะเกิด ไม่มีหลักฐานเพียงพอในการแนะน�ำแนวทางการตัดสายสะดือส�ำหรับ เมื่อตรวจพบชีพจร การคล�ำตรวจชีพจรบริเวณสายสะดืออาจให้การประเมินชีพจร
ทารกที่ต้องกู้ชีพขณะเกิด อย่างรวดเร็วและแม่นย�ำกว่าการคล�ำตรวจบริเวณอื่นๆ เครื่องวัดความอิ่มตัว
ของออกซิเจนในเลือดจากชีพจรอาจให้การประเมินชีพจรอย่างต่อเนื่องโดย
2553 (เดิม): มีหลักฐานเพิ่มขึ้นที่บ่งชี้ประโยชน์ในการชะลอการตัดสายสะดือ ไม่ขัดจังหวะการตรวจวัดอื่นๆ ระหว่างการกู้ชีพ แต่อุปกรณ์นี้อาจใช้เวลา 1 ถึง
อย่างน้อย 1 นาทีในทารกที่คลอดตามก�ำหนดและทารกที่คลอดก่อนก�ำหนดที่ไม่ 2 นาทีในการใช้งาน และอาจไม่ท�ำงานระหว่างปริมาตรเลือดส่งออกจากหัว
ต้องกู้ชีพขณะเกิด ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะสนับสนุนหรือคัดค้านค�ำแนะน�ำใน หรือระบบไหลเวียนอยู่ในสภาวะที่ไม่ดีอย่างมาก
การชะลอการตัดสายสะดือส�ำหรับทารกที่ต้องกู้ชีพขณะเกิด

26 American Heart Association


เหตุผล: การประเมินอัตราการเต้นของหัวใจทางคลินิกในห้องคลอดพบว่า
ทั้งไม่น่าเชื่อถือและไม่แม่นย�ำ ขณะที่การประเมินอัตราการเต้นของหัวใจต�่ำเกิน การให้ความรู้
ไปอาจน�ำไปสู่การกู้ชีพโดยไม่จ�ำเป็น ในทางกลับกัน การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
แม้วิทยาการในการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจหยุดท�ำงานมีความก้าวหน้าอย่าง
พบว่าแสดงอัตราการเต้นของหัวใจที่แม่นย�ำและเร็วกว่าการวัดความอิ่มตัวของ
มาก แต่ยังมีความแปรปรวนอย่างส�ำคัญในอัตราการรอดชีวิตที่ไม่สามารถ
ออกซิเจนในเลือดจากชีพจร การวัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดจากชีพจร พิจารณาจากลักษณะเฉพาะของผู้ป่วยเท่านั้น เพื่อให้มีแนวโน้มสูงสุดที่ผู้ที่มีภาวะ
มักแสดงอัตราลดลงในช่วง 2 นาทีแรกหลังคลอด โดยมักแสดงที่ระดับที่บ่งชี้ หัวใจหยุดท�ำงานจะได้รับการดูแลโดยอิงหลักฐานเชิงประจักษ์อย่างมีคุณภาพ
ความจ�ำเป็นในการรักษา ที่สุด การให้ความรู้เกี่ยวกับการกู้ชีพต้องใช้หลักการการให้ความรู้ที่ชัดเจนซึ่งได้
รับการสนับสนุนจากการวิจัยทางการศึกษา เชิงประจักษ์เพื่อแปลงความรู้ทาง
การให้ออกซิเจนส�ำหรับทารกที่คลอดก่อนก�ำหนด วิทยาศาสตร์เป็นแนวทางปฏิบัติ แม้แนวทางการให้ความรู้ของ AHA พ.ศ. 2553
ครอบคลุมการด�ำเนินการและทีมงานในค�ำแนะน�ำ แต่ส�ำหรับแนวทางการให้
2558 (ปรับปรุง): การกู้ชีพทารกที่คลอดก่อนก�ำหนดที่อยู่ในครรภ์ไม่ถึง
ความรู้ของ AHA พ.ศ. 2558 นั้น มุ่งเน้นในด้านการให้ความรู้อย่างเคร่งครัด
35 สัปดาห์ ควรเริ่มจากการให้ออกซิเจนความเข้มข้นต�่ำ (21% ถึง 30%) และ โดยรวมการด�ำเนินการและทีมงานไว้ในส่วนอื่นๆ ของแนวทางฉบับปรับปรุง
ควรวัดความเข้มข้นของออกซิเจนเพื่อให้ได้ค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนที่มือขวา พ.ศ. 2558
ใกล้เคียงกับค่าพิสัยควอไทล์ที่วัดจากทารกแรกเกิดคลอดครบก�ำหนดสุขภาพ
ปกติภายหลังการคลอดทางช่องคลอดที่ระดับน�้ำทะเล ไม่แนะน�ำให้เริ่มการกู้ชีพ สรุปย่อประเด็นและการเปลี่ยนแปลงที่ส�ำคัญ
ทารกที่คลอดก่อนก�ำหนดด้วยออกซิเจนความเข้มข้นสูง (65% ขึ้นไป) ค�ำแนะน�ำ
นี้สะท้อนความพอใจในการไม่ให้ออกซิเจนเพิ่มแก่ทารกที่คลอดก่อนก�ำหนดโดย ค�ำแนะน�ำส�ำคัญและประเด็นเน้นย�้ำรวมถึงสิ่งต่อไปนี้
ไม่มีข้อมูลที่แสดงถึงประโยชน์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วส�ำหรับผลลัพธ์ที่ส�ำคัญ • แนะน�ำให้ใช้อุปกรณ์แสดงผลการปฏิบัติการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ เพื่อ
ช่วยในการเรียนรู้ทักษะด้านไซโคมอเตอร์ของการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ
2553 (เดิม): โดยควรเริ่มการกู้ชีพด้วยอากาศ (ที่มีออกซิเจนเข้มข้น 21%
ควรใช้อุปกรณ์แสดงผลการปฏิบัติที่ถูกต้องเกี่ยวกับประสิทธิภาพมากกว่า
ที่ระดับน�้ำทะเล) อาจใช้หน้ากากออกซิเจนและการวัดความเข้มข้นเพื่อให้ได้ค่า อุปกรณ์ที่ให้การแจ้งเตือนเท่านั้น (เช่น เมโทรนอม)
ความอิ่มตัวของออกซิเจนที่มือขวาใกล้เคียงกับค่าพิสัยควอไทล์ที่วัดจากทารก
แรกเกิดคลอดครบก�ำหนดสุขภาพปกติภายหลังการคลอดทางช่องคลอดที่ระดับ • สนับสนุนให้ใช้หุ่นที่มีความถูกต้องสูงส�ำหรับโครงการที่มีโครงสร้างพื้นฐาน
บุคลากรที่ได้รับการฝึกอบรม และทรัพยากรในการด�ำเนินการโครงการ
น�้ำทะเล ข้อมูลส่วนใหญ่ได้มาจากทารกคลอดครบก�ำหนด ไม่ใช่ระหว่างการกู้ชีพ หุ่นมาตรฐานยังคงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมส�ำหรับองค์กรที่ไม่มี
โดยมีการศึกษาครั้งเดียวจากทารกที่คลอดก่อนก�ำหนดระหว่างการกู้ชีพ ศักยภาพนี้
เหตุผล: ข้อมูลที่มีอยู่ขณะนี้มาจากการวิเคราะห์อภิมานจากการศึกษาแบบสุ่ม • สามารถเรียนรู้ทักษะการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานได้อย่างง่ายดายผ่านการเรียน
7 ฉบับ ที่แสดงให้เห็นว่าการกู้ชีพทารกแรกเกิดคลอดก่อนก�ำหนดด้วยการให้ รู้ด้วยตนเอง (บนวิดีโอหรือคอมพิวเตอร์) พร้อมแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง
ออกซิเจนความเข้มข้นสูง (65% ขึ้นไป) ไม่ได้ช่วยในการมีชีวิตรอดเมื่อออก โดยตรงเช่นเดียวกับหลักสูตรที่มีครูเป็นผู้น�ำทั่วไป
จากโรงพยาบาล ป้องกันโรคปอดเรื้อรัง ภาวะเลือดออกในโพรงสมอง หรือ • แม้การอบรมก่อนการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพไม่ใช่สิ่งส�ำคัญส�ำหรับผู้
โรคจอประสาทตาผิดปกติในทารกที่คลอดก่อนก�ำหนด เมื่อเทียบกับการให้ ช่วยเหลือที่มีศักยภาพในการเริ่มการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ แต่การฝึก
ออกซิเจนความเข้มข้นต�่ำ (21% ถึง 30%) อบรมจะช่วยในการเรียนรู้ทักษะและพัฒนาความเชื่อมั่นในการนวดหัวใจ
ผายปอดกู้ชีพ เมื่อพบผู้ที่มีภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน
การบ�ำบัดโรคโดยให้ภาวะอุณหภูมิร่างกายต�่ำกว่า • เพื่อลดระยะเวลาในการกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าส�ำหรับผู้ที่มีภาวะหัวใจ
ปกติหลังการกู้ชีพ: สถานการณ์ที่มีทรัพยากรจ�ำกัด หยุดท�ำงาน การใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบ
อัตโนมัติไม่ควรจ�ำกัดเฉพาะผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมเท่านั้น (แม้ยังคงแนะน�ำ
2558 (ปรับปรุง): ขอแนะน�ำว่าอาจพิจารณาและเสนอการใช้การบ�ำบัดโรค ให้มีการฝึกอบรมก็ตาม)
โดยให้ภาวะอุณหภูมิร่างกายต�่ำกว่าปกติในสถานการณ์ที่มีทรัพยากรจ�ำกัด • ควรพิจารณาการรวมการเรียนรู้ด้วยตนเองและหลักสูตรที่มีครูเป็นผู้น�ำกับ
(เช่น ขาดบุคลากรหรืออุปกรณ์ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เป็นต้น) ภายใต้เกณฑ์วิธี การฝึกอบรมที่เกี่ยวข้องโดยตรงเป็นทางเลือกนอกจากหลักสูตรโดยมีครู
ที่ก�ำหนดชัดเจนซึ่งเหมือนกับเกณฑ์วิธีที่ใช้ในการทดลองรักษาที่มีการเผยแพร่ เป็นผู้น�ำแบบดั้งเดิมส�ำหรับผู้ที่ไม่เคยรับการฝึกอบรมมาก่อน
และในสถานที่ที่มีศักยภาพในการบริบาลแบบสหสาขาวิชาและการติดตามผล • การเตรียมการก่อนเริ่มหลักสูตรที่ครอบคลุมการทบทวนข้อมูลเนื้อหาอย่าง
ระยะยาว เหมาะสม การทดสอบออนไลน์/ก่อนเริ่มหลักสูตร และ/หรือการฝึกทักษะ
2553 (เดิม): นอกจากนี้ยังแนะน�ำให้เสนอการบ�ำบัดโรคโดยให้ภาวะ ทางเทคนิคที่เกี่ยวข้อง อาจเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้จากหลักสูตรการ
อุณหภูมิร่างกายต�่ำกว่าปกติ แก่ทารกที่คลอดเมื่ออายุครรภ์ 36 สัปดาห์ขึ้นไป ช่วยชีวิตขั้นสูงในผู้ใหญ่และเด็ก
โดยมีภาวะสมองขาดเลือดขั้นรุนแรง ควรใช้การบ�ำบัดโรคโดยให้ภาวะอุณหภูมิ • ให้ความส�ำคัญกับความยืดหยุ่นของทีมในการกู้ชีพ การฝึกอบรมที่เน้นหลัก
ร่างกายต�่ำกว่าปกติภายใต้เกณฑ์วิธีที่ก�ำหนดชัดเจนซึ่งเหมือนกับเกณฑ์วิธีที่ใช้ การความเป็นผู้น�ำ และการท�ำงานร่วมกันเป็นทีมควรรวมไว้ในหลักสูตร
ในการทดลองรักษาที่มีการเผยแพร่ และในสถานที่ที่มีศักยภาพในการบริบาล การช่วยชีวิตขั้นสูง
แบบสหสาขาวิชาและการติดตามผลระยะยาว • ชุมชนอาจพิจารณาการฝึกผู้ประสบเหตุในการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ
ด้วยการกดหน้าอกอย่างเดียวส�ำหรับภาวะหัวใจหยุดท�ำงานในผู้ใหญ่ เพื่อ
เหตุผล: แม้ค�ำแนะน�ำในการบ�ำบัดโรคโดยให้ภาวะอุณหภูมิร่างกายต�่ำกว่า
เป็นทางเลือกนอกจากการฝึกการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ แบบดั้งเดิม
ปกติส�ำหรับภาวะสมองขาดเลือดขั้นปานกลางถึงรุนแรงในสถานการณ์ที่มี
• ไม่ควรก�ำหนดรอบการฝึกใหม่ทุกสองปี การฝึกอบรมทักษะการช่วยชีวิต
ทรัพยากรณ์ครบถ้วนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ยังมีค�ำแนะน�ำเพิ่มเพื่อน�ำทาง
พื้นฐานและขั้นสูงบ่อยครั้งขึ้นอาจเป็นประโยชน์ส�ำหรับผู้ให้บริการด้าน
ในการใช้วิธีนี้ในสถานการณ์ที่ทรัพยากรอาจจ�ำกัดตัวเลือกส�ำหรับการรักษา สุขภาพที่มีแนวโน้มพบผู้ที่มีภาวะหัวใจหยุดท�ำงาน
บางอย่าง
กลุ่มที่เขียนแนวทางการให้ความรู้ในการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลอดเลือดใน
ภาวะฉุกเฉินของ AHA พ.ศ. 2558 เห็นพ้องในแนวคิดหลักหลายข้อเพื่อแนะน�ำ
การพัฒนาหลักสูตรและเนื้อหาในหลักสูตร (ตาราง 3)

ไฮไลท์ของแนวทางการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (CPR) และการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลอดเลือดในภาวะฉุกเฉิน (ECC) ของ AHA ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558 27


ตารางที่ 3 แนวคิดหลักของการให้ความรู้ด้านการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลอดเลือดในภาวะฉุกเฉินของ AHA

การท�ำให้เข้าใจง่าย ควรท�ำเนื้อหาหลักสูตรให้ง่ายต่อการเข้าใจทั้งในด้านการน�ำเสนอและความกว้างของเนื้อหา เพื่อสนับสนุนให้บรรลุวัตถุประสงค์ของ


หลักสูตร10,11
ความสอดคล้องกัน ควรน�ำเสนอเนื้อหาหลักสูตรและการสาธิตทักษะในลักษณะที่สอดคล้องกัน การสอนโดยใช้วิดีโอเป็นสื่อร่วมกับการปฏิบัติเป็นวิธีที่ให้
ความส�ำคัญเป็นล�ำดับแรกส�ำหรับการฝึกอบรมทักษะพิสัย (psychomotor) เนื่องจากจะช่วยลดความผันแปรของผู้สอนที่อาจเบี่ยงเบน
ไปจากแผนของหลักสูตรที่มุ่งหมายไว้ 11-14
เนื้อหา ควรประยุกต์ใช้หลักการเรียนรู้ของผู้ใหญ่15 กับหลักสูตรการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลอดเลือดในภาวะฉุกเฉินทั้งหมด รวมทั้งเน้นย�้ำการ
สร้างสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการฝึกอบรมที่สามารถน�ำไปปรับใช้กับผู้เรียนได้ในสถานการณ์จริง เช่น การให้ผู้เรียนในโรงพยาบาลฝึก
การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพบนเตียงแทนบนพื้น
การฝึกปฏิบัติโดยการ การฝึกปฏิบัติโดยการมีส่วนร่วมโดยตรงที่แท้จริงเป็นสิ่งจ�ำเป็น เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในด้านทักษะพิสัย (psychomotor) และทักษะ
มีส่วนร่วมโดยตรง ที่ไม่ใช่ทางเทคนิค/ทักษะความเป็นผู้น�ำ11,12,16-18
การปฏิบัติเพื่อ ผู้เรียนควรมีโอกาสในการฝึกปฏิบัติซ�้ำในส่วนของทักษะที่ส�ำคัญร่วมไปกับการประเมินที่เข้มงวดและการให้ข้อมูลย้อนกลับในสถานการณ์
ความช�ำนาญ ที่มีการควบคุม19-22 การปฏิบัติอย่างรอบคอบนี้ควรเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจน23-25 และไม่เสียเวลาเกินควร เพื่อ
สนับสนุนการพัฒนาของนักเรียนให้เป็นผู้มีความช�ำนาญ26-30
การสอบถาม การก�ำหนดให้มีการให้ข้อมูลย้อนกลับและ/หรือการสอบถามอย่างละเอียดถือเป็นองค์ประกอบส�ำคัญของการเรียนจากประสบการณ์ 31
อย่างละเอียด การให้ข้อมูลย้อนกลับและการสอบถามอย่างละเอียดหลังการปฏิบัติทักษะและการจ�ำลองสถานการณ์จะช่วยให้ผู้เรียน (และกลุ่มของ
ผู้เรียน) มีโอกาสสะท้อนผลงานของตัวเองและเพื่อให้ได้รับข้อมูลย้อนกลับว่าจะปรับปรุงผลงานของตัวเองอย่างไรในอนาคต32
การประเมิน การประเมินการเรียนรู้ของหลักสูตรการกู้ชีพมีไว้เพื่อให้มั่นใจถึงความสามารถที่สัมฤทธิ์ผลและจัดเตรียมไว้เป็นเกณฑ์มาตรฐานส�ำหรับ
นักเรียนที่พยายามเพื่อบรรลุเกณฑ์เหล่านี้ นอกจากนี้ การประเมินยังเป็นพื้นฐานส�ำหรับการให้ข้อมูลย้อนกลับแก่นักเรียน (การประเมิน
ส�ำหรับการเรียนรู้) แผนการประเมินควรเป้นการประเมินความสามารถและส่งเสริมการเรียนรู้ วัตถุประสงค์การเรียนรู้ 33 ต้องชัดเจน
สามารถวัดได้ และท�ำหน้าที่เป็นหลักพื้นฐานของการประเมิน
หลักสูตร/โปรแกรม สิ่งนี้เป็นองค์ประกอบส�ำคัญของการให้ความรู้ด้านการผายปอดกู้ชีพและการประเมินหลักสูตรการกู้ชีพ รวมถึงผู้เรียน ผู้สอนรายบุคคล
การประเมิน หลักสูตร และการด�ำเนินโครงการ34 องค์ที่ให้การฝึกอบรมควรใช้ข้อมูลนี้เพื่อขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
ตัวอักษรย่อ: AHA, American Heart Association

อุปกรณ์แสดงผลการปฏิบัติในการนวดหัวใจ จริงมากขึ้น ตลอดจนถึงต้นทุนและทรัพยากรที่เกี่ยวข้องที่เพิ่มขึ้น การทบทวน


งานวิจัยที่มีการเผยแพร่ใหม่สนับสนุนการใช้หุ่นที่มีความถูกต้องสูง โดยเฉพาะ
ผายปอดกู้ชีพ อย่างยิ่งในโครงการที่มีทรัพยากร (เช่น ทรัพยากรมนุษย์และทรัพยากรการเงิน)
2558 (ปรับปรุง): การใช้อุปกรณ์แสดงผลการปฏิบัติอาจเพิ่มประสิทธิภาพ พร้อมอยู่แล้ว
การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพระหว่างการฝึกอบรม
2558 (ใหม่): หากไม่มีอุปกรณ์แสดงผลการปฏิบัติ อาจพิจารณาค�ำแนะน�ำ รูปแบบการเรียนรู้แบบผสมผสาน
ในรูปเสียง (เช่น เมโทรนอม ดนตรี) เพื่อปรับปรุงการปฏิบัติตามค�ำแนะน�ำ 2558 (ปรับปรุง): การเรียนรู้ด้วยตนเองเกี่ยวกับการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ
ส�ำหรับอัตราการกดหน้าอก ด้วยโมดูลบนวิดีโอและ/หรือคอมพิวเตอร์พร้อมการฝึกที่เกี่ยวข้องโดยตรง
2553 (เดิม): การใช้อุปกรณ์แสดงผลการปฏิบัติการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมแทนหลักสูตรที่มีครูเป็นผู้น�ำ
อาจมีประสิทธิภาพส�ำหรับการฝึกอบรม 2558 (ใหม่): อาจสมควรใช้วิธีการเรียนรู้ทางเลือกส�ำหรับการสอนการ
เหตุผล: หลักฐานใหม่บ่งชี้ความแตกต่างของประโยชน์จากอุปกรณ์แสดงผล ช่วยชีวิตพื้นฐานและขั้นสูงในสภาพแวดล้อมที่มีทรัพยากรจ�ำกัด
การปฏิบัติแบบต่างๆ ส�ำหรับการฝึกอบรม โดยจะให้ประโยชน์เหนือกว่าเล็กน้อย 2553 (เดิม): การเรียนรู้ด้วยวิดีโอแบบสั้นรวมกับการฝึกที่เกี่ยวข้องโดยตรง
ถ้าอุปกรณ์แสดงผลการปฏิบัติมีความครอบคลุมขึ้น ไปพร้อมกันเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพนอกจากหลักสูตรการช่วยชีวิตขั้น
พื้นฐานที่มีครูเป็นผู้น�ำ
ใช้หุ่นที่มีความถูกต้องสูง เหตุผล: ผลลัพธ์ที่ผู้เรียนได้รับส�ำคัญกว่ารูปแบบหลักสูตร การได้รับและการ
2558 (ปรับปรุง): การใช้หุ่นที่มีความถูกต้องสูงส�ำหรับการฝึกอบรมการ จดจ�ำความรู้และทักษะ และประสิทธิภาพในการรักษาและผลลัพธ์ที่ผู้ป่วยได้รับ
ช่วยชีวิตขั้นสูงอาจเป็นประโยชน์ในการปรับปรุงประสิทธิภาพของทักษะระหว่าง จะเป็นแนวทางส�ำหรับการให้ความรู้เกี่ยวกับการกู้ชีพ ขณะนี้มีหลักฐานใหม่ว่า
การสรุปหลักสูตร รูปแบบที่เฉพาะเจาะจง เช่น การเรียนรู้การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพด้วยตนเอง
โดยใช้โมดูลบนวิดีโอหรือคอมพิวเตอร์ อาจให้ผลลัพธ์เช่นเดียวกับหลักสูตรที่มี
2553 (เดิม): หุ่นที่เหมือนจริงอาจเป็นประโยชน์ส�ำหรับการผสมผสาน
ครูเป็นผู้น�ำ ความสามารถในการใช้รูปแบบหลักสูตรทางเลือกมีความส�ำคัญโดย
ความรู้ ทักษะ และพฤติกรรมเข้ากับการฝึกอบรมการช่วยชีวิตขั้นสูง
เฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีทรัพยากรจ�ำกัด ที่หลักสูตรที่มีครูเป็นผู้น�ำ
เหตุผล: ในการทบทวนหลักฐาน พ.ศ. 2553 พบว่ามีหลักฐานไม่เพียงพอ อาจมีข้อจ�ำกัดในด้านต้นทุน หลักสูตรแบบเรียนรู้ด้วยตนเองเสนอโอกาสในการ
ที่จะแนะน�ำการใช้หุ่นที่เหมือนจริงมากขึ้นเป็นประจ�ำ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ฝึกอบรมบุคคลจ�ำนวนมากในการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ ควบคู่ไปกับการลด
ของทักษะในการกู้ชีพในสถานการณ์จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องใช้ต้นทุน ต้นทุนและทรัพยากรที่จ�ำเป็นส�ำหรับการฝึกอบรม ซึ่งเป็นองค์ประกอบส�ำคัญ
และทรัพยากรเพิ่มขึ้น เมื่อพิจารณาทั้งประโยชน์ส�ำคัญในการมีหุ่นที่เหมือน ในการพิจารณาผู้ช่วยเหลือที่มีศักยภาพจ�ำนวนมากที่ควรได้รับการฝึกอบรม

28 American Heart Association


การฝึกอบรมแบบก�ำหนดเป้าหมาย จัดท�ำขึ้นหลังจากโครงการการให้ความรู้ทั่วรัฐส�ำหรับการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ
ด้วยการกดหน้าอกอย่างเดียวโดยผู้ประสบเหตุ แสดงให้เห็นว่ามีการนวดหัวใจ
2558 (ใหม่): การฝึกอบรมผู้ดูแลหลักและ/หรือสมาชิกครอบครัวของผู้ป่วย ผายปอดกู้ชีพทั้งแบบโดยรวมและด้วยการกดหน้าอกอย่างเดียวโดยผู้ประสบเหตุ
ที่มีความเสี่ยงสูงอาจเป็นสิ่งที่เหมาะสม แพร่หลายมากขึ้น
เหตุผล: การศึกษาแสดงให้เห็นอย่างต่อเนื่องว่าการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ
โดยสมาชิกครอบครัวและ/หรือผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจที่มีความเสี่ยงสูงที่ผ่านการ ระยะเวลาในการฝึกอบรมการช่วยชีวติ ขัน้ พืน้ ฐานซ�ำ้
ฝึกอบรม ได้คะแนนสูงกว่าเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ผ่านการฝึกอบรม 2558 (ปรับปรุง): เมื่อพิจารณาว่าทักษะการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานเสื่อมถอยลง
การขยายการฝึกอบรมส�ำหรับเครื่องกระตุ้นหัวใจ อย่างรวดเร็วภายหลังการฝึกอบรม ประกอบกับการปรับปรุงทักษะและความ
เชื่อมั่นที่สังเกตเห็นได้ในหมู่ผู้เรียนที่ฝึกอบรมบ่อยครั้งกว่า พบว่าผู้ที่มีแนวโน้ม
ด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติ พบกับผู้ที่มีภาวะหัวใจหยุดท�ำงานสมควรท�ำการฝึกอบรมการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน
2558 (ปรับปรุง): อาจพิจารณาการผสมผสานระหว่างการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซ�้ำบ่อยขึ้น
และการสอนโดยมีครูเป็นผู้น�ำพร้อมการฝึกอบรมที่เกี่ยวข้องโดยตรง เป็นทาง
เลือกนอกจากหลักสูตรที่มีครูเป็นผู้น�ำแบบดั้งเดิมส�ำหรับผู้ที่ไม่เคยรับการฝึก 2558 (ใหม่): เมื่อพิจารณาจากประโยชน์ในการให้ความรู้ของเซสชันการฝึก
อบรมมาก่อน หากไม่มีการฝึกอบรมที่มีครูเป็นผู้น�ำ อาจพิจารณาการฝึกอบรม อบรมซ�้ำสั้นๆ แต่บ่อยครั้ง ประกอบกับความเป็นไปได้ในการประหยัดต้นทุนจาก
ด้วยตนเองเพื่อให้ผู้ที่ไม่เคยรับการฝึกอบรมมาก่อนได้เรียนรู้ทักษะการใช้เครื่อง เวลาการฝึกอบรมที่ลดลงและการตัดบุคลากรออกจากสภาพแวดล้อมการรักษา
กระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติ พยาบาลส�ำหรับการฝึกอบรมทบทวนมาตรฐาน พบว่าผู้ที่มีแนวโน้มพบกับผู้ที่มี
2558 (ใหม่): อาจพิจารณาวิธีการเรียนรู้ด้วยตนเองเพื่อให้ผู้ประกอบวิชาชีพ ภาวะหัวใจหยุดท�ำงานสมควรท�ำการฝึกอบรมซ�้ำโดยใช้หุ่นบ่อยขึ้น อย่างไรก็ดี
ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะแนะน�ำระยะเวลาการฝึกอบรมที่เหมาะสม
ด้านการดูแลสุขภาพได้เรียนรู้ทักษะการใช้ เครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจาก
ภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติ 2553 (เดิม): ควรประเมินประสิทธิภาพของทักษะระหว่างระยะเวลา 2 ปี
2553 (เดิม): เนื่องจากแม้การเรียนรู้การใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจาก ของใบรับรองด้วยการเน้นย�้ำตามที่จ�ำเป็น
ภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติเพียงเล็กน้อย แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่ดีขึ้น เหตุผล: ขณะที่มีหลักฐานเพิ่มขึ้นที่ยังคงแสดงให้เห็นว่า การออกใบรับรอง
ในการดูแลผู้ที่มีภาวะหัวใจหยุดท�ำงานที่จ�ำลองขึ้น ดังนั้น จึงควรน�ำเสนอโอกาส ใหม่ในการช่วยชีวิตขั้นสูงทุก 2 ปีไม่เหมาะส�ำหรับคนส่วนใหญ่ ดังนั้น จึงไม่มี
ในการฝึกอบรมและให้การส่งเสริมผู้ช่วยเหลือทั่วไป การก�ำหนดระยะเวลาที่เหมาะสมส�ำหรับการฝึกอบรมซ�้ำแต่อย่างใด ปัจจัยที่
เหตุผล: สามารถใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบ ส่งผลต่อระยะเวลาที่เหมาะสมส�ำหรับการฝึกอบรมซ�้ำรวมถึงคุณภาพการฝึกอบรม
อัตโนมัติอย่างถูกต้องโดยไม่มีการฝึกอบรมมาก่อน: ภาครัฐไม่จ�ำเป็นต้องจัดการ ขั้นต้น ข้อเท็จจริงที่ว่าทักษะบางอย่างอาจมีแนวโน้มที่จะเสื่อมถอยมากกว่าทักษะ
ฝึกอบรมการใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายนอกร่างกายแบบอัตโนมัติ อื่นๆ และความถี่ในการใช้ทักษะนั้นๆ ในการฝึกทางคลินิก แม้มีข้อมูลจ�ำกัด
อย่างไรก็ตาม การฝึกอบรมแม้เพียงเล็กน้อยสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพ แต่มีการปรับปรุงทักษะและความเชื่อมั่นที่สังเกตเห็นได้ในหมู่ผู้เรียนที่ฝึกอบรม
ก�ำหนดเวลา และประสิทธิผลได้ ขณะที่การเรียนรู้ด้วยตนเองขยายโอกาสใน บ่อยกว่า นอกจากนี้การทบทวนบ่อยๆ ด้วยการจ�ำลองสถานการณ์โดยใช้หุ่น
การฝึกอบรมทั้งส�ำหรับผู้ที่ไม่เคยรับการฝึกอบรมมาก่อนและผู้ประกอบวิชาชีพ ยังอาจช่วยประหยัดต้นทุนจากการใช้เวลาในการฝึกซ�้ำโดยรวมลดลงเมื่อ
ด้านการดูแลสุขภาพ
เปรียบเทียบกับระยะเวลาในการฝึกซ�้ำมาตรฐาน
การท�ำงานเป็นทีมและความเป็นผู้น�ำ
2558 (ปรับปรุง): เมื่อพิจารณาความเสี่ยงที่มีเพียงเล็กน้อยมากที่จะเกิด
การปฐมพยาบาล
อันตรายและประโยชน์ส�ำคัญจากการฝึกอบรมเกี่ยวกับทีมและความเป็นผู้น�ำ แนวทางการปฐมพยาบาลของ AHA และสภากาชาดสหรัฐอเมริกาฉบับปรับปรุง
ควรรวมการฝึกอบรมเกี่ยวกับทีมและความเป็นผู้น�ำเป็นส่วนหนึ่งของการฝึก พ.ศ. 2558 ส�ำหรับการปฐมพยาบาล เน้นย�้ำเป้าหมายในการปฐมพยาบาลคือ
อบรมการช่วยชีวิตขั้นสูง การลดอัตราการเกิดโรคและอัตราการตายโดยการบรรเทาความทุกข์ทรมาน
2553 (เดิม): การฝึกอบรมทักษะการท�ำงานเป็นทีมและความเป็นผู้น�ำควร การป้องกันโรคภัยไข้เจ็บหรือการบาดเจ็บลุกลาม และการส่งเสริมการฟื้นตัว
รวมอยู่ในหลักสูตรการฝึกอบรมการช่วยชีวิตขั้นสูง ขอบเขตการปฐมพยาบาลได้ขยายออกไป และยังสามารถด�ำเนินการได้โดย
ทุกคน ในทุกสถานการณ์ ซึ่งรวมถึงการดูแลตนเอง
เหตุผล: การกู้ชีพเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน ซึ่งบ่อยครั้งเกี่ยวข้องกับการ
ร่วมมือกันของคนจ�ำนวนมาก ดังนั้น การท�ำงานเป็นทีมและความเป็นผู้น�ำจึง สรุปย่อประเด็นและการเปลี่ยนแปลงที่ส�ำคัญ
เป็นองค์ประกอบส�ำคัญในการกู้ชีพอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม แม้ปัจจัย
• การใช้ระบบการประเมินโรคหลอดเลือดสมองสามารถช่วยผู้ท�ำการ
เหล่านี้มีความส�ำคัญ แต่กลับมีหลักฐานเพียงจ�ำกัดที่แสดงให้เห็นว่าการฝึกอบรม
ปฐมพยาบาลด้วยการระบุสัญญาณหรืออาการของโรคหลอดเลือดสมอง
เกี่ยวกับการท�ำงานเป็นทีมและความเป็นผู้น�ำส่งผลต่อผลลัพธ์ส�ำหรับผู้ป่วย
• แม้นิยมใช้เม็ดกลูโคสในการรักษาภาวะน�้ำตาลในเลือดต�่ำเล็กน้อยที่แสดง
การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพด้วยการกดหน้าอก อาการ แต่อาจมีบางครั้งที่ไม่มีเม็ดกลูโคสที่พร้อมใช้ ในกรณีเหล่านี้ พบว่า
อย่างเดียว น�้ำตาลในรูปแบบอื่นๆ ที่พบในผลิตภัณฑ์โภชนาการทั่วไปเป็นทางเลือก
ที่ยอมรับได้นอกจากเม็ดกลูโคสส�ำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะน�้ำตาลใน
2558 (ใหม่): ชุมชนอาจพิจารณาการฝึกผู้ประสบเหตุในการนวดหัวใจ เลือดต�่ำเล็กน้อยที่แสดงอาการที่ยังมีสติและสามารถกลืนและปฏิบัติตาม
ผายปอดกู้ชีพ ด้วยการกดหน้าอกอย่างเดียวส�ำหรับภาวะหัวใจหยุดท�ำงานใน ค�ำสั่งได้
ผู้ใหญ่ เพื่อเป็นทางเลือกนอกจากการฝึกการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพแบบดั้งเดิม
• การที่ผู้ท�ำการปฐมพยาบาลสามารถปล่อยแผลเปิดที่หน้าอกทิ้งไว้ หาก
เหตุผล: การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพด้วยการกดหน้าอกอย่างเดียวท�ำได้
จ�ำเป็นต้องท�ำแผลหรือกดแผลโดยตรงเพื่อห้ามเลือด ควรใช้ความ
ง่ายดายกว่าการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพแบบดั้งเดิม (การกดหน้าอกพร้อมการ ระมัดระวังเพื่อให้แน่ใจว่าการท�ำแผลไม่กลายเป็นการปิดแผลแบบปิดสนิท
ช่วยหายใจ) ส�ำหรับผู้ให้บริการสุขภาพที่ไม่เคยรับการฝึกอบรมมาก่อน และยัง
โดยไม่ตั้งใจ
สามารถรับค�ำแนะน�ำจากผู้รับเรื่องระหว่างกรณีฉุกเฉิน การศึกษาหลายฉบับที่

ไฮไลท์ของแนวทางการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (CPR) และการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลอดเลือดในภาวะฉุกเฉิน (ECC) ของ AHA ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558 29


• ไม่มีระบบประเมินการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงขั้นเดียวที่จะช่วยให้ การรับรู้โรคหลอดเลือดสมอง
ผู้ท�ำการปฐมพยาบาลรับรู้ว่ามีการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง
2558 (ใหม่): แนะน�ำให้ผู้ท�ำการปฐมพยาบาลใช้ระบบการประเมินโรค
• เมื่อการปลูกฟันที่เคลื่อนจากเบ้าในต�ำแหน่งเดิมต้องล่าช้าออกไป การเก็บ
รักษาฟันชั่วคราวด้วยวิธีที่เหมาะสมอาจช่วยยืดอายุฟันได้ หลอดเลือดสมอง ระบบการประเมินโรคหลอดเลือดที่ครอบคลุมการวัดระดับ
น�้ำตาลในเลือดมีความอ่อนไหวเช่นเดียวกับระบบการประเมินที่ไม่ต้องใช้การวัด
• การให้ความรู้เกี่ยวกับการปฐมพยาบาลผ่านโครงการสาธารณสุข หัวข้อ ระดับน�้ำตาลในเลือด แต่มีความเฉพาะเจาะจงในการรับรู้โรคหลอดเลือดสมอง
หรือหลักสูตรที่มุ่งเน้น ส่งผลให้การออกใบอนุญาตสามารถเพิ่มอัตราการ สูงกว่า ระบบการประเมินโรคหลอดเลือดที่หน้า แขน การพูด เวลา (FAST)
รอดชีวิต ลดความรุนแรงของการบาดเจ็บและระยะเวลาในการพักรักษาตัว หรือ Cincinnati Prehospital Stroke Scale (CPSS) เป็นเครื่องมือที่ง่ายดาย
ในโรงพยาบาล และยังอาจรักษาอาการของผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเจ็บป่วย ที่สุดส�ำหรับผู้ท�ำการปฐมพยาบาล ในสภาวะที่มีความอ่อนไหวสูงในการระบุ
• ขณะดูแลผู้ที่ไม่ตอบสนองแต่ยังหายใจได้ปกติ และไม่มีการบาดเจ็บรุนแรง โรคหลอดเลือดสมอง
เช่น ที่กระดูกสันหลังหรือเชิงกราน การวางผู้ป่วยในท่านอนตะแคงอาจช่วย เหตุผล: หลักฐานแสดงให้เห็นว่าการรับรู้ โรคหลอดเลือดสมองแต่เนิ่นๆ โดย
ปรับปรุงกลไกทางเดินหายใจ ไม่แนะน�ำท่าพักฟื้นในท่านอนตะแคงหลัง
การใช้ระบบการประเมินโรคหลอดเลือดสมองช่วยลดระยะเวลาระหว่างการจู่โจม
ตรงยกแขนสูง (HAINES) ที่ปรับปรุงอีกต่อไป
ของโรคหลอดเลือดสมองและการเดินทางถึงโรงพยาบาลและการรักษาโดยมุ่งหวัง
• นอกจากนี้ยังคงไม่มีข้อบ่งชี้ส�ำหรับการให้ออกซิเจนเป็นประจ�ำโดยผู้ท�ำการ ให้หายจากโรค ในการศึกษาฉบับที่ 1 พบว่าผู้ที่ไม่เคยรับการฝึกอบรมมาก่อนที่
ปฐมพยาบาล ส�ำหรับผู้ท�ำการปฐมพยาบาลที่ผ่านการฝึกอบรมเฉพาะ ผ่านการฝึกอบรมระบบการประเมินโรคหลอดเลือดสมองมากกว่า 94% สามารถ
ทางในการใช้หน้ากากออกซิเจน การให้ออกซิเจนอาจเป็นประโยชน์ส�ำหรับ รับรู้สัญญาณและอาการของโรคหลอดเลือดสมอง และความสามารถนี้ยังคงอยู่
ผู้ที่บาดเจ็บจากการคลายแรงกด สถานการณ์อื่นๆ ที่อาจพิจารณาการให้ ภายหลังการฝึกอบรมนาน 3 เดือน35,36
ออกซิเจนรวมถึงการสงสัยว่าได้รับก๊าซพิษคาร์บอนมอนอกไซด์ และผู้ป่วย
โรคมะเร็งปอดที่มีอาการหายใจล�ำบากและภาวะเลือดขาดออกซิเจนร่วม ภาวะน�้ำตาลในเลือดต�่ำ
ด้วย
2558 (ใหม่): ส�ำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะน�้ำตาลในเลือดต�่ำเล็กน้อย
• ค�ำแนะน�ำยังคงระบุว่า ระหว่างรอการบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินมาถึง ที่แสดงอาการ ซึ่งสามารถปฏิบัติตามค�ำสั่งและกลืนได้อย่างปลอดภัย การให้
ผู้ท�ำการปฐมพยาบาลอาจสนับสนุนให้ผู้ที่มีอาการเจ็บหน้าอกเคี้ยวยา กลูโคสทางปากในรูปเม็ดกลูโคสช่วยบรรเทาอาการทางคลินิกอย่างรวดเร็วกว่า
แอสไพริน หากมีสัญญาณและอาการที่บ่งชี้ว่า บุคคลนั้นมีภาวะหัวใจวาย เมื่อเปรียบเทียบกับน�้ำตาลในรูปแบบอื่นๆ ที่พบในผลิตภัณฑ์โภชนาการทั่วไป
และไม่มีอาการแพ้ หรือมีโรคหรือสภาวะที่ห้ามใช้ยาแอสไพริน เช่น หากมี ควรใช้เม็ดกลูโคสในการรักษาภาวะน�้ำตาลในเลือดต�่ำในผู้ป่วยเหล่านี้
ตกเลือดเมื่อเร็วๆ นี้ อย่างไรก็ตาม ค�ำแนะน�ำที่ปรับปรุงนี้ตั้งข้อสังเกตว่า หากไม่มีเม็ดกลูโคส อาหารและของเหลวในรูปแบบที่มีการประเมินผลพิเศษ
หากผู้ที่มีอาการเจ็บหน้าอกที่ ไม่ บ่งชี้ว่ามีสาเหตุมาจากหัวใจ หรือหาก อื่นๆ ที่มีน�้ำตาล เช่น ซูโครส ฟรุกโตส และโอลิโกซัคคาไรด์ อาจเป็นทางเลือกที่
ผู้ท�ำการปฐมพยาบาลไม่แน่ใจเกี่ยวกับสาเหตุของอาการเจ็บหน้าอกหรือไม่ มีประสิทธิภาพส�ำหรับการรักษาภาวะน�้ำตาลในเลือดต�่ำเล็กน้อยที่แสดงอาการ
สะดวกใจในการให้ยาแอสไพริน ผู้ท�ำการปฐมพยาบาลไม่ควรสนับสนุนให้
บุคคลนั้นใช้ยาแอสไพริน เหตุผล: ภาวะน�้ำตาลในเลือดต�่ำคือภาวะที่ผู้ท�ำการปฐมพยาบาลพบได้ทั่วไป
• แนะน�ำให้ใช้ยาอีพิเนฟรินส�ำหรับอาการแพ้รุนแรงที่มีสภาวะอันตราย การรักษาภาวะน�้ำตาลในเลือดต�่ำเล็กน้อยที่แสดงอาการแต่เนิ่นๆ อาจป้องกัน
คุกคามต่อชีวิต และแนะน�ำให้ผู้ที่มีความเสี่ยงใช้อุปกรณ์ฉีดยาอีพิเนฟริน ไม่ให้อาการลุกลามรุนแรง ภาวะน�้ำตาลในเลือดต�่ำรุนแรงอาจส่งผลให้หมดสติ
อัตโนมัติปกติ ซึ่งบ่อยครั้งใช้แพ็คเกจที่มีขนาดบรรจุ 2 ชุด เมื่ออาการแพ้ หรือชัก และปกติแล้วจะต้องจัดการโดยการบริการทางการแพทย์ฉุกเฉิน
รุนแรงไม่สามารถรักษาด้วยยาอีพิเนฟรินชุดแรก และการบริการทางการ
แพทย์ฉุกเฉินจะมาถึงในเวลาเกิน 5 ถึง 10 นาที อาจพิจารณาการให้ยา การรักษาแผลเปิดที่หน้าอก
อีพิเนฟรินชุดที่สอง 2558 (ใหม่): ผู้ท�ำการปฐมพยาบาลส�ำหรับผู้ที่มีแผลเปิดที่หน้าอกอาจปล่อย
• วิธีการหลักในการห้ามเลือดคือการกดที่บาดแผลโดยตรงอย่างแรง ในกรณี แผลทิ้งไว้ หากจ�ำเป็นต้องท�ำแผลหรือกดที่บาดแผลโดยตรงเพื่อห้ามเลือด ควรใช้
ที่การกดที่บาดแผลโดยตรงไม่ได้ผลส�ำหรับภาวะเลือดออกรุนแรงที่มีสภาวะ ความระมัดระวังเพื่อให้แน่ใจว่า การท�ำแผลไม่กลายเป็นการปิดแผลโดยไม่ตั้งใจ
อันตรายคุกคามต่อชีวิต อาจพิจารณาการใช้ผ้าปิดแผลห้ามเลือดร่วมกับ เหตุผล: การใช้การปิดแผลหรืออุปกรณ์ปิดแผลแบบปิดสนิทที่ไม่เหมาะสม
การกดที่บาดแผลโดยตรง ทว่าต้องมีการฝึกอบรมการใช้และข้อบ่งชี้ในการ
ส�ำหรับแผลเปิดที่หน้าอกอาจน�ำไปสู่ภาวะปอดถูกกดทับที่เป็นสภาวะอันตราย
ใช้อย่างเหมาะสม
คุกคามต่อชีวิตโดยที่ไม่รู้ตัว ขณะนี้ ยังไม่มีการศึกษากับมนุษย์ที่มีการเปรียบ
• ไม่แนะน�ำให้ผู้ท�ำการปฐมพยาบาลใช้ปลอกคอ ส�ำหรับผู้บาดเจ็บที่มีเกณฑ์ เทียบการใช้การปิดแผลหรืออุปกรณ์ปิดแผลแบบปิดสนิทกับการปิดแผลหรือ
ความเสี่ยงสูงในการบาดเจ็บกระดูกสันหลัง วิธีที่เหมาะสมส�ำหรับผู้ท�ำการ อุปกรณ์ปิดแผลแบบปิดไม่สนิท และมีเพียงการศึกษากับสัตว์เท่านั้นที่แสดงให้
ปฐมพยาบาลในการช่วยป้องกันไม่ให้กระดูกสันหลังเคลื่อนนั้นจ�ำเป็นต้อง เห็นประโยชน์จากการใช้อุปกรณ์ปิดแผลแบบปิดไม่สนิท ผลของการขาดหลักฐาน
มีการศึกษาเพิ่มเติม แต่อาจรวมถึงการเตือนด้วยวาจาหรือการพยุงด้วย ส�ำหรับการใช้อุปกรณ์ปิดแผลแบบปิดสนิท และการพิจารณาความเสี่ยงของภาวะ
ตนเองระหว่างรอให้ผู้ดูแลขั้นสูงมาถึง ปอดถูกกดทับแบบไม่รู้ตัว จึงไม่แนะน�ำให้ผู้ท�ำการปฐมพยาบาล ให้แก่ผู้ที่มี
• ประเด็นต่างๆ ที่อยู่ในแนวทางฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558 ซึ่งไม่มีค�ำแนะน�ำ แผลเปิดที่หน้าอก ใช้การปิดแผลหรืออุปกรณ์ปิดแผลแบบปิดสนิท
ใหม่ๆ นับจาก พ.ศ. 2553 นั้น ครอบคลุมการใช้ยาขยายหลอดลมส�ำหรับ
ผู้ที่มีอาการหอบหืดและหายใจล�ำบาก การบาดเจ็บจากการสัมผัสสารพิษที่ การกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง
ตา การห้ามเลือด การใช้สายรัดห้ามเลือด การรักษาอาการกระดูกยาวหัก 2558 (ใหม่): HCP ควรประเมินผู้ที่บาดเจ็บที่ศีรษะที่ส่งผลให้ระดับการมีสติ
ที่สงสัย การท�ำให้แผลไหม้จากความร้อนเย็นลง การใช้ผ้าพันแผลไหม้
เปลี่ยนแปลง สัญญาณหรืออาการที่ลุกลามของการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง
และการจ�ำกัดการเคลื่อนไหวของกระดูกสันหลัง
หรือสาเหตุอื่นๆ ที่ผู้ท�ำการปฐมพยาบาลควรกังวล ควรประเมินผลโดยเร็วที่สุด
เท่าที่เป็นไปได้

30 American Heart Association


เหตุผล: ผู้ท�ำการปฐมพยาบาลมักพบผู้ที่บาดเจ็บศีรษะเล็กน้อยและอาจมี กระดูกสันหลัง สะโพก หรือกระดูกเชิงกรานที่สงสัย ทั้งนี้ ไม่แนะน�ำให้ใช้ท่า
การกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง (การบาดเจ็บที่สมองไม่รุนแรง) สัญญาณและ นอนตะแคงหลังตรงยกแขนสูงอีกต่อไป เนื่องจากมีหลักฐานเพียงเล็กน้อยและมี
อาการมากมายของการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงอาจท�ำให้การบาดเจ็บนี้ คุณภาพต�่ำมากที่สนับสนุนท่านี้
ถือเป็นความท้าทาย นอกจากนี้การกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงแบบไม่รู้ตัว
อาจส่งผลระยะยาวอย่างรุนแรง แม้ระบบการให้คะแนนการกระทบกระเทือน การใช้ออกซิเจนในการปฐมพยาบาล
อย่างรุนแรงแบบขั้นตอนเดียวอย่างง่ายที่ได้รับการตรวจยืนยันอาจช่วยให้ 2558 (ปรับปรุง): ไม่มีหลักฐานที่สนับสนุนการให้ออกซิเจนเป็นประจ�ำ
ผู้ท�ำการปฐมพยาบาลรับรู้ถึงการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง แต่ไม่มีการระบุ
โดยผู้ท�ำการปฐมพยาบาล การให้ออกซิเจนอาจเป็นประโยชน์ในบางสถานการณ์
ระบบประเมินใดๆ เครื่องมือประเมินการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจาก
เท่านั้น เช่น การบาดเจ็บจากการคลายแรงกด และขณะด�ำเนินการโดยผู้ท�ำการ
การเล่นกีฬาที่ผู้ประกอบวิชาชีพด้านการดูแลสุขภาพใช้ ที่ต้องมีการประเมิน
2 ขั้นตอน (ก่อนการแข่งขันและหลังการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง) ไม่เหมาะ ปฐมพยาบาลที่ผ่านการฝึกอบรมการใช้วิธีนี้
ที่จะใช้เป็นเครื่องมือประเมินการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงขั้นตอนเดียว 2553 (เดิม): ไม่มีหลักฐานสนับสนุนหรือคัดค้านการใช้ออกซิเจนเป็นประจ�ำ
ส�ำหรับผู้ท�ำการปฐมพยาบาล เป็นการตรวจวัดในการปฐมพยาบาลส�ำหรับผู้ป่วยที่หายใจล�ำบากหรือมีอาการ
เจ็บหน้าอก ออกซิเจนอาจเป็นประโยชน์ส�ำหรับการปฐมพยาบาลนักด�ำน�้ำที่บาด
ฟันเคลื่อนจากเบ้า เจ็บจากการคลายแรงกด
2558 (ปรับปรุง): ผู้ท�ำการปฐมพยาบาลอาจไม่สามารถปลูกฟันที่เคลื่อน เหตุผล: หลักฐานแสดงให้เห็นประโยชน์จากการใช้ออกซิเจนส�ำหรับโรคลด
จากเบ้าในต�ำแหน่งเดิม เนื่องจากไม่มีถุงมือแพทย์ ขาดการฝึกอบรมและทักษะ ความกดโดยผู้ท�ำการปฐมพยาบาลที่เข้าอบรมหลักสูตรการให้ออกซิเจนในการ
หรือกลัวท�ำให้ผู้รับการปฐมพยาบาลเจ็บปวด เมื่อไม่สามารถปลูกฟันในต�ำแหน่ง ปฐมพยาบาลส�ำหรับการด�ำน�้ำ นอกจากนั้นหลักฐานที่จ�ำกัดยังแสดงให้เห็น
เดิมได้ทันที อาจเป็นประโยชน์ในการเก็บรักษาฟันที่เคลื่อนจากเบ้าด้วยวิธีที่ ว่าการให้ออกซิเจนมีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการหายใจล�ำบากในผู้ป่วย
แสดงให้เห็นว่าสามารถยืดอายุเซลล์จากฟัน (เปรียบเทียบกับน�้ำลาย) วิธีที่แสดง โรคมะเร็งปอดระยะลุกลามที่มีอาการหายใจล�ำบากและภาวะเลือดขาดออกซิเจน
ให้เห็นประสิทธิภาพในการยืดอายุเซลล์ในฟันจาก 30 เป็น 120 นาทีรวมถึง ร่วมด้วย ซึ่งต่างจากกรณีผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะเลือดขาดออกซิเจน แม้ไม่มีการระบุ
สารละลายเกลือของแฮงค์ส�ำหรับคงความสมดุลของแรงดันออสโมติกและความ หลักฐานที่สนับสนุนการใช้ออกซิเจน แต่เมื่อผู้ป่วยได้รับคาร์บอนมอนอกไซด์
เป็นกรดด่างในเซลล์ (ประกอบด้วยแคลเซียม โปแตสเซียมคลอไรด์และฟอสเฟต
ยังหายใจได้เอง อาจควรให้ออกซิเจนระหว่างรอการรักษาพยาบาลขั้นสูง
แมกนีเซียมคลอไรด์และซัลเฟต โซเดียมคลอไรด์ โซเดียมไบคาร์บอเนต โซเดียม
ฟอสเฟตไดเบสิก และกลูโคส), พลอโพลิส, ไข่ขาว, น�้ำมะพร้าว, Ricetral หรือ
นมครบส่วน อาการเจ็บหน้าอก
2553 (เดิม): แช่ฟันในนม หรือน�้ำสะอาด หากไม่มีนม 2558 (ปรับปรุง): ระหว่างรอให้การบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินมาถึง
ผู้ท�ำการปฐมพยาบาลอาจสนับสนุนให้ผู้ที่มีอาการเจ็บหน้าอกเคี้ยวยาแอสไพริน
เหตุผล: ฟันเคลื่อนจากเบ้าอาจส่งผลให้สูญเสียฟันถาวร วงการทันตกรรมเห็น ในปริมาณส�ำหรับผู้ใหญ่ 1 ชุดหรือปริมาณต�่ำ 2 ชุด หากสัญญาณและอาการ
พ้องว่าการปลูกฟันที่เคลื่อนจากเบ้าในต�ำแหน่งเดิมเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการ บ่งชี้ว่าบุคคลนั้นมีอาการกล้ามเนื้อหัวใจตาย และหากบุคคลนั้นไม่มีอาการ
รักษาฟันให้อยู่รอด แต่นี่อาจไม่ใช่ตัวเลือก ในกรณีที่การปลูกฟันในต�ำแหน่ง แพ้หรือโรคหรือสภาวะอื่นๆ ที่ห้ามใช้ยาแอสไพริน หากบุคคลนั้นมีอาการเจ็บ
เดิมล่าช้า การเก็บรักษาฟันที่เคลื่อนจากเบ้าชั่วคราวด้วยวิธีที่เหมาะสมอาจเป็น หน้าอกที่ไม่บ่งชี้สาเหตุจากหัวใจ หรือหากผู้ท�ำการปฐมพยาบาลไม่แน่ใจใน
โอกาสที่ดีที่สุดในการรักษาฟันให้อยู่รอด สาเหตุของอาการเจ็บหน้าอก หรือไม่สะดวกใจในการให้ยาแอสไพริน ผู้ท�ำการ
ปฐมพยาบาลไม่ควรสนับสนุนให้บุคคลนั้นกินยาแอสไพริน และชะลอการตัดสิน
การให้ความรู้ในการปฐมพยาบาล ใจในการใช้ยาแอสไพรินให้เป็นหน้าที่ของผู้ด�ำเนินการการบริการทางการแพทย์
2558 (ใหม่): การให้ความรู้และการฝึกอบรมในการปฐมพยาบาลอาจเป็น ฉุกเฉิน
ประโยชน์ในการปรับปรุงอัตราการเกิดโรคและอัตราการตายจากการบาดเจ็บ 2553 (เดิม): ระหว่างรอให้การบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินมาถึง ผู้ท�ำการ
และการเจ็บป่วย และเราแนะน�ำว่าควรน�ำเสนอการให้ความรู้และการฝึกอบรม ปฐมพยาบาลอาจสนับสนุนให้ผู้ป่วยเคี้ยวและกลืนยาแอสไพรินในปริมาณ
อย่างกว้างขวาง ส�ำหรับผู้ใหญ่ 1 ชุด (ไม่เคลือบให้แตกตัวที่ล�ำไส้) หรือยาแอสไพริน “เด็ก”
เหตุผล: หลักฐานแสดงให้เห็นว่าการให้ความรู้ในการปฐมพยาบาลสามารถ ปริมาณต�่ำ 2 ชุด หากผู้ป่วยไม่มีอาการแพ้ยาแอสไพริน หรือโรคหรือสภาวะ
เพิ่มอัตราการมีชีวิตรอด ปรับปรุงการรับรู้การเจ็บป่วยเฉียบพลัน และช่วยรักษา อื่นๆ ที่ห้ามใช้ยาแอสไพริน เช่น หลักฐานในการเป็นโรคหลอดเลือดสมองหรือ
อาการ ตกเลือดเมื่อเร็วๆ นี้
เหตุผล: การใช้ยาแอสไพรินลดอัตราการตายจากอาการกล้ามเนื้อหัวใจ
การจัดท่าผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บ ตายได้อย่างมาก แต่ไม่มีหลักฐานสนับสนุนการใช้ยาแอสไพรินส�ำหรับอาการ
2558 (ปรับปรุง): ท่าพักฟื้นที่แนะน�ำเปลี่ยนจากท่านอนหงายเป็นตะแคง เจ็บหน้าอกที่ไม่พบต�ำแหน่ง นอกจากนี้ยังพบการลดอัตราการตายเมื่อใช้ยา
ข้างส�ำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง สะโพก หรือเชิงกรานที่สงสัย แอสไพริน “แต่เนิ่นๆ” (เช่น ในช่วงชั่วโมงแรกๆ หลังปรากฏอาการจากอาการ
มีหลักฐานเล็กน้อยที่บ่งชี้ว่าท่าพักฟื้นทางเลือกมีประโยชน์อย่างมากส�ำหรับผู้ที่ กล้ามเนื้อหัวใจตาย) เมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อใช้ยาแอสไพรินส�ำหรับอาการเจ็บ
ไม่ตอบสนองและหายใจเป็นปกติ หน้าอกจากอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน “ในภายหลัง” (เช่น หลังเดิน
ทางถึงโรงพยาบาล) อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนว่าผู้ท�ำการปฐมพยาบาล
2553 (เดิม): หากผู้ป่วยนอนคว�่ำและไม่ตอบสนอง พลิกตัวให้นอนหงาย สามารถรับรู้สัญญาณและอาการของอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายหรือไม่ และเป็น
หากผู้ป่วย หายใจล�ำบากเนื่องจากมีสารคัดหลั่งปริมาณมากหรืออาเจียน หรือ ไปได้หรือไม่ที่การใช้ยาแอสไพรินส�ำหรับอาการเจ็บหน้าอกที่ไม่ได้มีสาเหตุจาก
หากคุณอยู่คนเดียวและต้องทิ้งผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองไว้เพื่อไปขอความช่วยเหลือ หัวใจอาจท�ำให้เกิดอันตราย แม้ปริมาณการใช้และรูปแบบยาแอสไพรินที่ใช้
ให้วางผู้ป่วยในท่าพักฟื้นคือท่านอนตะแคงหลังตรงยกแขนสูงที่ปรับปรุง ส�ำหรับอาการเจ็บหน้าอกอาจไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างเฉพาะเจาะจงโดย
เหตุผล: รายงานการศึกษาหลายฉบับที่แสดงให้เห็นการปรับตัวบางอย่างของ ทีมเฉพาะกิจปฐมพยาบาลของ ILCOR พบว่าชีวประสิทธิผลของยาแอสไพริน
สิ่งบ่งชี้การหายใจ เมื่อผู้ป่วยอยู่ในท่าตะแคงเมื่อเปรียบเทียบกับท่านอนหงาย แบบเคลือบให้แตกตัวที่ล�ำไส้เหมือนกับแบบไม่เคลือบให้แตกตัวที่ล�ำไส้เมื่อเคี้ยว
น�ำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในการให้ค�ำแนะน�ำส�ำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีการบาดเจ็บที่ และกลืน36 ดังนั้น จึงไม่มีข้อจ�ำกัดในการใช้ยาแอสไพรินแบบไม่เคลือบให้แตกตัว
ที่ล�ำไส้อีกต่อไปตราบที่เคี้ยวแอสไพรินก่อนกลืน

ไฮไลท์ของแนวทางการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (CPR) และการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลอดเลือดในภาวะฉุกเฉิน (ECC) ของ AHA ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558 31


อาการแพ้รุนแรง เอกสารอ้างอิง
2558 (ปรับปรุง): เมื่อผู้ที่มีอาการแพ้รุนแรงไม่ตอบสนองต่อปริมาณยา
อีพิเนฟรินชุดแรก และการดูแลขั้นสูงจะมาถึงในเวลาเกิน 5 ถึง 10 นาที 1. Neumar RW, Shuster M, Callaway CW, et al. Part 1: executive
อาจพิจารณาการให้ยาอีพิเนฟรินซ�้ำ summary: 2558 American Heart Association Guidelines Update
2553 (เดิม): ในสถานการณ์ทไี่ ม่ปกติ เมือ่ ไม่มคี วามช่วยเหลือทางการแพทย์ for Cardiopulmonary Resuscitation and Emergency Cardiovascular
ขัน้ สูง อาจพิจารณาให้ยาอีพเิ นฟรินชุดทีส่ อง หากอาการแพ้รนุ แรงยังคงปรากฏอยู่ Care. Circulation 2558;132(18)(suppl 2). In press.
เหตุผล: แนวทาง พ.ศ. 2553 แนะน�ำว่าผู้ท�ำการปฐมพยาบาลช่วยเหลือ 2. Hazinski MF, Nolan JP, Aicken R, et al. Part 1: executive
ด้วยหรือให้ยาอีพิเนฟริน (ของผู้ป่วยเอง) แก่ผู้ที่มีอาการแพ้รุนแรง หลักฐาน summary: 2558 International Consensus on Cardiopulmonary
สนับสนุนความจ�ำเป็นในการให้ยาอีพิเนฟรินชุดที่สองส�ำหรับอาการแพ้รุนแรง Resuscitation and Emergency Cardiovascular Care Science With
เฉียบพลันแก่ผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อยาอีพิเนฟรินชุดแรก โดยการแก้ไขปรับปรุง Treatment Recommendations. Circulation 2558;132(16)(suppl 1).
แนวทางให้ความชัดเจนเกี่ยวกับกรอบเวลาในการพิจารณาให้ยาอีพิเนฟริน
ชุดที่สอง In press.
3. Nolan JP, Hazinski MF, Aicken R, et al. Part 1: executive
การท�ำแผลเพื่อห้ามเลือด summary: 2558 International Consensus on Cardiopulmonary
2558 (ปรับปรุง): ผู้ให้การปฐมพยาบาลอาจพิจารณาใช้การท�ำแผลเพื่อ Resuscitation and Emergency Cardiovascular Care Science With
ห้ามเลือด เมื่อวิธีการห้ามเลือดตามมาตรฐาน (การกดที่บาดแผลโดยตรงซึ่ง Treatment Recommendations. Resuscitation In press.
อาจใช้ผ้าก๊อซหรือไม่ใช้ก็ได้ หรือการพันแผลด้วยเสื้อผ้า) ไม่มีประสิทธิภาพ
ส�ำหรับภาวะเลือดออกที่รุนแรงหรือเป็นอันตรายถึงชีวิต 4. Institute of Medicine. Strategies to Improve Cardiac Arrest
Survival: A Time to Act Washington, DC: National Academies
2553 (เดิม): ณ เวลานี้ ไม่แนะน�ำให้ใช้ (สารช่วยห้ามเลือด) ที่ใช้เป็นปกติ
Press; 2558.
ในการปฐมพยาบาล เนื่องจากมีความแตกต่างกันในด้านประสิทธิภาพของสาร
แต่ละชนิดอย่างมีนัยส�ำคัญและมีแนวโน้มที่จะเกิดผลไม่พึงประสงค์จากสารเหล่า 5. Neumar RW, Eigel B, Callaway CW, et al. The American
นี้ ซึ่งรวมถึงการท�ำลายเนื้อเยื่อจากการเหนี่ยวน�ำให้เกิดภาวะก่อนเกิดก้อนเลือด Heart Association response to the 2558 Institute of Medicine
อุดตันหลอดเลือด (proembolic state) และการบาดเจ็บเนื่องมาจากความร้อน report on Strategies to Improve Cardiac Arrest Survival
ที่อาจเกิดขึ้น
[published online ahead of print June 30, 2558].
เหตุผล: การกดที่บาดแผลโดยตรงอย่างหนักแน่นยังคงถือเป็นวิธีพื้นฐาน Circulation. doi:10.1161/CIR.0000000000000233.
ส�ำหรับการห้ามเลือด เมื่อการกดบาดแผลโดยตรงไม่สามารถควบคุมภาวะ
เลือดออกที่รุนแรงหรือเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ผู้ให้การปฐมพยาบาลที่ได้รับ 6. Ringh M, Rosenqvist M, Hollenberg J, et al. Mobile-phone
การฝึกอบรมจ�ำเพาะในด้านข้อบ่งใช้และการใช้อาจพิจารณาการท�ำแผลเพื่อ dispatch of laypersons for CPR in out-of-hospital cardiac arrest.
ห้ามเลือด การท�ำแผลให้ชุ่มด้วยสารช่วยห้ามเลือดรุ่นใหม่ได้แสดงให้เห็นถึง N Engl J Med. 2558;372(24):2316-2325.
การเกิดภาวะแทรกซ้อนและผลไม่พึงประสงค์น้อยกว่าสารช่วยห้ามเลือดรุ่นเก่า
และยังมีประสิทธิภาพในการห้ามเลือดได้สูงสุดร้อยละ 90 ในอาสาสมัคร 7. FDA approves new hand-held auto-injector to reverse opioid
overdose [news release]. Silver Spring, MD: US Food and Drug
การจ�ำกัดการเคลื่อนไหวของกระดูกสันหลัง Administration; April 3, 2014. http://www.fda.gov/NewsEvents/
2558 (ปรับปรุง): เนื่องจากมีหลักฐานเพิ่มขึ้นที่แสดงให้เห็นถึงอันตรายและ Newsroom/PressAnnouncements/ucm391465.htm
ยังไม่มีหลักฐานที่ดีที่แสดงให้เห็นประโยชน์อย่างชัดเจน จึงไม่แนะน�ำให้ผู้ให้การ Accessed July 27, 2558.
ปฐมพยาบาลใส่ปลอกคอที่ด�ำเนินการอยู่เป็นประจ�ำ ผู้ให้การปฐมพยาบาลที่ 8. Stub D, Smith K, Bernard S, et al. Air versus oxygen in
สงสัยว่าอาจเกิดการบาดเจ็บของกระดูกสันหลัง ควรด�ำเนินการให้ผู้บาดเจ็บ
อยู่ในท่าเดิมให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ในขณะที่รอผู้ให้บริการทางการแพทย์ ST-segment-elevation myocardial infarction. Circulation
ฉุกเฉิน 2558;131(24):2143-2150.
2553 (เดิม): ผู้ให้การปฐมพยาบาลไม่ควรใช้อุปกรณ์จ�ำกัดการเคลื่อนไหว 9. Wheeler E, Jones TS, Gilbert MK, Davidson PJ. Opioid overdose
เนื่องจากประโยชน์ของอุปกรณ์เหล่านี้ในการปฐมพยาบาลยังไม่ได้รับการพิสูจน์ prevention programs providing naloxone to laypersons—
และอาจเป็นอันตรายได้ การคงสภาวะการจ�ำกัดการเคลื่อนไหวของกระดูกสัน United States, 2014. MMWR Morb Mortal Wkly
หลังโดยการท�ำให้ศีรษะมั่นคงด้วยมือ เพื่อให้ศีรษะ คอ และกระดูกสันหลังมีการ Rep. 2558;64(23):631-635.
เคลื่อนไหวน้อยที่สุด
เหตุผล: ในปี 2558 การทบทวนอย่างเป็นระบบของ ILCOR ในเรื่องของ 10. Nishiyama C, Iwami T, Murakami Y, et al. Effectiveness of
การใช้ปลอกคอเป็นส่วนประกอบหนึ่งในการจ�ำกัดการเคลื่อนไหวของกระดูกสัน simplified 15-min refresher BLS training program: a randomized
หลังส�ำหรับการบาดเจ็บที่รุนแรงทั่วร่างกาย ยังไม่พบหลักฐานแสดงให้เห็นถึง controlled trial. Resuscitation. 2558;90:56-60.
การบาดเจ็บของระบบประสาทที่ลดลงจากการใช้ปลอกคอ ในความเป็นจริงแล้ว
11. Lynch B, Einspruch EL, Nichol G, Becker LB, Aufderheide TP,
การศึกษาได้แสดงถึงผลไม่พึงประสงค์ที่เป็นไปได้และเกิดขึ้นจริง เช่น ความดัน
ในกะโหลกศีรษะเพิ่มขึ้น และภาวะที่เป็นอันตรายต่อทางเดินหายใจจากการใช้ Idris A. Effectiveness of a 30-min CPR self-instruction program
ปลอกคอ การใส่ปลอกคอในผู้ที่มีความเสี่ยงสูงด้วยเทคนิคที่เหมาะสมจ�ำเป็นต้อง for lay responders: a controlled randomized study.
มีการฝึกอบรมที่ส�ำคัญและการฝึกฝนเพื่อให้ด�ำเนินการได้อย่างถูกต้อง การใส่ Resuscitation. 2005;67(1):31-43.
ปลอกคอไม่ได้เป็นทักษะการปฐมพยาบาล การทบทวนแนวทางนี้ เพื่อสะท้อน
การเปลี่ยนแปลงของระดับค�ำแนะน�ำเป็นระดับ III: อันตรายจากผลไม่พึงประสงค์
ที่อาจเกิดขึ้น

32 American Heart Association


12. Einspruch EL, Lynch B, Aufderheide TP, Nichol G, Becker L. Retention 26. Bloom BS. Mastery Learning. New York, NY: Holt Rinehart &
of CPR skills learned in a traditional AHA Heartsaver course versus Winston; 1971.
30-min video self-training: a controlled randomized study. Resuscitation.
2007;74(3):476-486. 27. Ericsson K, Krampe RT, Tesch-Römer C. The role of deliberate
practice in the acquisition of expert performance. Psychol Rev.
13. Mancini ME, Cazzell M, Kardong-Edgren S, Cason CL. Improving 1993;100(3):363-406.
workplace safety training using a self-directed CPR-AED learning
program. AAOHN J. 2009;57(4):159-167. 28. McGaghie WC, Issenberg SB, Cohen ER, Barsuk JH, Wayne DB.
Medical education featuring mastery learning with deliberate practice
14. Roppolo LP, Heymann R, Pepe P, et al. A randomized controlled trial can lead to better health for individuals and populations. Acad Med.
comparing traditional training in cardiopulmonary resuscitation (CPR) to 2011;86(11):e8-e9.
self-directed CPR learning in first year medical students: the two-person
CPR study. Resuscitation. 2011;82(3):319-325. 29. McGaghie WC, Issenberg SB, Cohen ER, Barsuk JH, Wayne
DB. Does simulation-based medical education with deliberate
15. Knowles MS, Holton EF III, Swanson RA. The Adult Learner. Woburn, practice yield better results than traditional clinical education?
MA: Butterworth-Heinemann; 1998. A meta-analytic comparative review of the evidence. Acad Med.
2011;86(6):706-711.
16. Reder S, Cummings P, Quan L. Comparison of three instructional
methods for teaching cardiopulmonary resuscitation and use of an 30. Roppolo LP, Pepe PE, Campbell L, et al. Prospective, randomized
automatic external defibrillator to high school students. Resuscitation. trial of the effectiveness and retention of 30-min layperson
2006;69(3):443-453. training for cardiopulmonary resuscitation and automated
external defibrillators: the American Airlines Study. Resuscitation.
17. Nishiyama C, Iwami T, Kawamura T, et al. Effectiveness of simplified 2007;74(2):276-285.
chest compression-only CPR training program with or without
preparatory self-learning video: a randomized controlled trial. 31. Cheng A, Eppich W, Grant V, Sherbino J, Zendejas B, Cook DA.
Resuscitation. 2009;80(10):1164-1168. Debriefing for technology-enhanced simulation: a systematic review
and meta-analysis. Med Educ. 2014;48(7):657-666.
18. Monsieurs KG, Vogels C, Bossaert LL, et al. Learning effect of a novel
interactive basic life support CD: the JUST system. Resuscitation. 32. Cheng A, Rodgers DL, van der Jagt E, Eppich W, O’Donnell J.
2004;62(2):159-165. Evolution of the Pediatric Advanced Life Support course: enhanced
learning with a new debriefing tool and Web-based module for
19. Ericsson KA. Deliberate practice and the acquisition and maintenance Pediatric Advanced Life Support instructors. Pediatr Crit Care Med.
of expert performance in medicine and related domains. Acad Med. 2012;13(5):589-595.
2004;79(10)(suppl):S70-S81.
33. Mager RF. Preparing Instructional Objectives: A Critical Tool in the
20. Motola I, Devine LA, Chung HS, Sullivan JE, Issenberg SB. Simulation in Development of Effective Instruction. 3rd ed. Atlanta, GA: Center for
healthcare education: a best evidence practical guide. AMEE Guide No. Effective Performance; 1997.
82. Med Teach. 2013;35(10):e1511-e1530.
34. Kirkpatrick D, Kirkpatrick J. Implementing the Four Levels: A
21. Hunt EA, Duval-Arnould JM, Nelson-McMillan KL, et al. Pediatric Practical Guide for the Evaluation of Training Programs San
resident resuscitation skills improve after “rapid cycle deliberate practice” Francisco, CA: Berrett-Koehler; 2007.
training. Resuscitation. 2014;85(7):945-951.
35. Wall HK, Beagan BM, O’Neill J, Foell KM, Boddie-Willis CL.
22. Cook DA, Hamstra SJ, Brydges R, et al. Comparative effectiveness of Addressing stroke signs and symptoms through public education:
instructional design features in simulation-based education: systematic the Stroke Heroes Act FAST campaign. Prev Chronic Dis.
review and meta-analysis. Med Teach. 2013;35(1):e867-e898. 2008;5(2):A49.
23. Bloom B, Englehart M. Furst E, Hill W, Krathwohl D. Taxonomy of 36. Sai Y, Kusaka A, Imanishi K, et al. A randomized, quadruple
Educational Objectives: The Classification of Educational Goals. crossover single-blind study on immediate action of chewed and
Handbook I: Cognitive Domain. New York, NY: Longmans; 1956. unchewed low-dose acetylsalicylic acid tablets in healthy volunteers.
24. Dave RH. Developing and Writing Behavioral Objectives. Tuscon, AZ: J Pharma Sci. 2011;100(9):3884-3891.
Educational Innovators Press; 1970.
25. Krathwohl DR, Bloom BS. Taxonomy of Educational Objectives: The
Classification of Educational Goals. Handbook II: Affective Domain. New
York, NY: David McKay Co; 1964.

ไฮไลท์ของแนวทางการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (CPR) และการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจหลอดเลือดในภาวะฉุกเฉิน (ECC) ของ AHA ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2558 33


7272 Greenville Avenue
Dallas, Texas 75231-4596, USA
www.heart.org

ส�ำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักสูตร
และโปรแกรมการช่วยชีวิตของ
American Heart Association
โปรดติดต่อเราที่: www.international.heart.org
JN-0286  10/15

4 American Heart Association

You might also like