Professional Documents
Culture Documents
บทคัดย่อ
บทความนี้นี้มีวัตถุประสงค์เ พื่อศึกษาความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่
เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง อันส่งผลต่อการเมืองไทยในช่วงทศวรรษ 2490 และต้น
ทศวรรษ 2500 เพื่อแสดงให้เห็นว่า กลุ่มคนจานวนมากในสังคมไทยมีบทบาทสาคัญในการก่อ
รูปสังคมการเมืองไทยใน “ยุคพัฒนา”
การศึ ก ษาเน้ น มุ ม มองจากพื้ น ฐานของสั ง คม อั น ได้ แ ก่ ความเปลี่ ย นแปลงทาง
เศรษฐกิจ ซึ่ ง เมื่ อ เศรษฐกิจ เปลี่ ย นแปลง กลุ่ ม ทางสั ง คมก็ย่ อ มเปลี่ ย นแปลงไปด้ วย ความ
เปลี่ยนแปลงที่สาคัญได้แก่ การปรับตัวของนายทุนต่างๆ เพื่อตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลง
ทางเศรษฐกิจ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะกิจการที่ต้ องเกี่ ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจ สมัย ใหม่ เช่ น
1
อาจารย์ประจามหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ , นักศึกษาปริญญาเอก สาขาวิชาประวัติศาสตร์ ภาควิชามนุษยศาสตร์
คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
(Lecturer, Nakhon Sawan Rajabhat University and Ph.d. Student in History, History Division, Department of
Humanities, Faculty of Humanities, Chiang Mai University)
1
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
2
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
และสหรัฐอเมริกานั้นไม่เพียงพอที่จะเข้าใจความเปลี่ยนแปลงสาคัญที่เกิดขึ้นในยุคดังกล่าว
เพราะความเปลี่ยนแปลงของสังคมการเมืองย่อมเป็นผลผลิตของพัฒนาการทางประวัติศาสตร์
ที่มาจากพลังอันหลากหลายและซับซ้อนในยุคก่อนหน้าทั้งสิ้น
ABSTRACT
This article aims to study the socio-economic changes that have affected Thai
politics from after the Second World War up until the coup of field marshal Sarit Thanarat to
show that many groups in Thai society had an important role in the formation of Thai
political society in the “Development Era”.
The study emphasizes socially based perspectives especially economic changes as
when the economy changes social groups also change. The significant changes are the
adaptation of the capitalists to respond to the economic changes which were occurring
especially those enterprises related to the modern economic system such as the commercial
bank. Aside from more strongly accepting “Thainess”, Chinese Thai capitalists also
constructed wide networks of business people as well as adjusting administration of
organizations to modernize it. In addition, they (also) imported specialists to work for them.
Apart from this economic expansion caused the “middle class” to cluster. The “middle class”
were unsatisfied with state capitalism policies that had lost efficiency and were riddled with
3
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
corruption. Consequently in the late 1950s there was widespread movement opposing and
criticizing the government of Field Marshal Phibun Songkhram and calling for more liberal
economic policy to the extent that this had a role in causing the government of Field Marshal
Phibun Songkhram to lose political legitimacy.
These economic changes not only caused the “social sector” to have to adapt but
were also a force pushing the government to reorganize itself. This can be seen from the
movements of “Technocrats,” especially those in the ministry of finance and in the National
Bank, to try to create regulations for use of the government budget and to adjust financial
administration and treasury affairs to make them more “modern” and more correct according
to “academic theory”. This resulted many times in conflict with the political leader but the
endeavors achieved clear outcomes from 1955 and become an important force pushing for the
subsequent emergence of the “Development Era”.
It can be seen that explaining the economics and politics of Thailand in the era after
the Second World War using the “state capitalism” concept and explaining the “Development
Era” through reference to the role of Field Marshal Sarit and US policy is insufficient to
understand the important changes that occurred in this era. This is because socio-political
changes are a product of historical development which always results from multiple complex
forces in the previous eras.
4
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
ความนา
คงไม่ใครปฏิเสธว่า การเดินทางเข้าสู่ “ยุคพัฒนา” ในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
ตั้งแต่ประมาณต้นทศวรรษ 2500 เป็นต้นไปนั้น เป็นการเปลี่ยนผ่านจากยุคหนึ่งไปสู่อีกยุคหนึ่ง
ที่เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในทุกมิติของสังคมการเมืองไทยอย่างมหาศาล แต่ในทางตรงกัน
ข้าม ผลงานทางวิชาการที่ผ่านมากลับ ไม่สามารถสร้างคาอธิบายที่จะทาให้เราเข้าใจกระแส
ความเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างลึกซึ้ง เพราะผลงานส่วนใหญ่มักจะให้ความสาคัญกับแรงกดดัน
จากอิ ทธิ พลภายนอก (สหรัฐ อเมริ กาและธนาคารโลก) และการตั ดสิ นใจของ “ผู้ นา” ทาง
การเมืองซึ่งก็คือจอมพลสฤษดิ์ในการนามาซึ่ง “ยุคพัฒนา” มากเกินไป
แม้ว่าจะมี ผลงานทางวิชาการบางชิ้นที่พยายามอธิบายการเกิดขึ้นของ “ยุคพัฒนา”
อย่ างสลั บ ซั บ ซ้ อน โดยการเพิ่ม บทบาทให้ กับตั วแสดงใหม่ ๆ อาทิ เ ช่ น งานของ รั ง สรรค์
ธนะพรพันธุ์ ที่พยายามค้นหาความสัมพันธ์และพลังของกลุ่มต่างๆ ที่มีต่อการกาหนดนโยบาย
ทางเศรษฐกิจการเมือง ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ขุนนางนักวิชาการ ราษฎร สื่อมวลชล รวมทั้ง
กลุ่มผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่างๆ (รังสรรค์, 2532) ส่วนงานของอภิชาติ สถิตนิรามัย ได้ให้
ความส าคั ญ ไปที่ บ ทบาทของกลุ่ ม ขุ น นางนั ก วิ ช าการในการสร้ า งสรรค์ รั ฐ ทุ น นิ ย มสมั ย
พัฒนาขึ้น (อภิชาติ, 2551) และงานของภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์ ได้แสดงให้เห็นว่ายังมีตัว
ละครอีกหลายกลุ่ม ที่มีส่วนร่วมสร้างสรรค์ “ยุคพัฒ นา” ขึ้น ไม่ไ ด้มีเ พียงแค่ จอมพลสฤษดิ์
เทคโนแครต ธนาคารโลก และสหรัฐอเมริกาเพียงเท่านั้น (ภิญญพันธุ,์ 2552)
5
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเองก็ยังเห็นว่าคาอธิบายดังกล่าวยังไม่เพียงพอต่อการทาความ
เข้าใจช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านที่มีความสาคัญอย่างยิ่งนี้ ด้วยเหตุดังกล่าว ผู้เขียนจึงต้องการนาเสนอ
คาอธิบายใหม่ ด้วยการมองการเกิดขึ้นของ “ยุคพัฒนา” อย่างเป็นองค์รวม และมองว่า “ยุค
พัฒนา” นั้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากพัฒนาการความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมไทย
ตั้งแต่สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา โดยที่ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ก่อให้เกิด
พลังที่มีบทบาทสาคัญในการผลักดันให้เกิด “ยุคพัฒนา” ขึ้นอยู่ 3 ส่วนด้วยกัน อันได้แก่ พลัง
ทางเศรษฐกิจ พลังทางสังคม และพลังของกลุ่มขุนนางนักวิชาการ
ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
แม้ว่าระบบเศรษฐกิจในทศวรรษ 2490 จะถูกเรียกว่า “ทุนนิยมโดยรัฐ” แต่ว่าภายใต้
ระบบดังกล่าวนี้ก็ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงและจะมี “นัยสาคัญ” ต่อระบบ
เศรษฐกิจการเมืองไทยในเวลาต่อมา นั่นก็คือการขยายตัวของ “ทุนภายใน” ที่เติบโตขึ้นอย่าง
ต่อเนื่อง
การขยายตัวของ “ทุนภายใน” นั้น ได้เริ่มกระบวนการมาตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้ง
ที่ 2 เนื่องจากสงครามโลกครั้ง นี้ นามาซึ่งความเปลี่ ยนแปลงขนานใหญ่ นั่ นคือ ท าให้ทุ น
ภายในประเทศมีความเข้ มแข็ง มากขึ้ น และความสั มพันธ์ ระหว่ างนั กธุรกิจกับ รัฐบาลก็ไ ด้
เปลี่ยนแปลงไป การแผ่ขยายของธุรกิจฝรั่งหยุดชะงัก บ้างก็ต้องถอนตัวออกไป ทาให้เกิดสภาพ
“สุญญากาศทางเศรษฐกิจ” ขึ้น เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการในประเทศที่เพิ่งก่อ
ร่างสร้างตัว รวมทั้งพวกพ่อค้าข้าวหรือ “เจ้าสัว” ได้เข้าไปครอบครองกิจการธนาคารและการ
6
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
7
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
8
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
ที่ทาการรับเหมาก่อสร้างกับญี่ปุ่นจนกลายเป็นเจ้าของโรงแรมสวัสดิ์ไม้ไทยในอดีต ซึ่งปัจจุบัน
ได้ขยายกิจการและกลายเป็นที่ตั้ งของของโรงแรมไอราวัณในปัจจุบันนี้ นายเฮงหลิมและนาย
ชุ่นเส็ง (อโนดาต) ก็รับเหมาก่อสร้างกับญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน ตระกูลศิริวิริยะกุล สะสมทุนจากการ
ตั้งร้านขายของชาทั้งค้าปลีกและค้าส่ง เมื่อสบโอกาสจึงรับซื้อโรงงานน้าตาลที่กาลังขาดทุน
และเจ้าของคิดจะเลิกกิจการที่ตาบลท่ามะเกลือ แล้วตั้งเป็นบริษัท รวมผลอุตสาหกรรม จากัด
ต่อมาเมื่อได้กาไรจากอุตสาหกรรมน้าตาลกลายเป็นนายทุนอุตสาหกรรมและสามารถก้าวไปสู่
ทุนการเงินโดยได้ตั้ง บริษัทร่วมทุนและการเครดิตนครสวรรค์ จากัด ขึ้นมา เป็นต้น (สุภรณ์,
2527)
ในภาคเหนือ พ่อค้าชาวจีน ในจังหวัด ลาปางก็ร่ ารวยมาจากภาวะความขาดแคลน
สินค้าจาเป็นในระหว่างสงคราม เนื่องจากราคาสินค้าเพิ่มมากขึ้น อาทิ เกลือที่กรุงเทพฯ
กระสอบละประมาณ 20 บาทเศษ แต่ที่ลาปางขายราคาประมาณ 80-120 บาทเศษ หรือข้าวสาร
ซื้อมากระสอบละ 650 บาท ขายได้ราคา 1000-1200 บาท ส่วนสินค้าประเภทอุปโภคบริโภคที่
จาเป็นอื่น ๆ เช่น น้ามันก๊าด น้ามันเบนซิน น้าตาล ไม้ขีดไฟ ยารักษาโรค ฯลฯ ก็ขาดแคลนอย่าง
หนัก และมีพ่อค้าหลายคนที่ได้กาไรอย่างงามจากการนาสินค้าเหล่านี้มาขาย (ชัยวัฒน์, 2541)
ที่เชียงใหม่นอกจากการค้าขายสินค้าทั่วไปแล้ว พ่อค้าและผู้มีทุนบางกลุ่มได้กว้านซื้อ
สินค้าที่มีราคาถูกในช่วงสงครามเพื่อขายในราคาแพงเมื่อสงครามยุติลง เช่น นายริ้ว ศักดาทร
หันมาลงทุนผลิตสินค้าที่ขาดแคลนในช่วงสงคราม เช่น สบู่ เทียนไข และสินค้ารัฐนิยม เช่น
หมวก ร่ ม พร้ อ มกับ ได้ กว้ านซื้ อ หนั ง สั ต ว์ เช่ น หนั ง วั ว เก็บ สะสมไว้ เ ป็ นจ านวนมาก เมื่ อ
9
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
สงครามโลกสิ้นสุดลงนายริ้วขายหนังฟอกให้ตลาดฮ่องกงได้กาไรอย่างมาก ธุรกิจการค้าของ
ตระกูลศักดาทรจึงขยายตัว ส่วนตระกูลมินมานเหมินท์ก็เช่นเดียวกัน คือ ได้นาทุนที่มีอยู่และ
ไม่ได้หมุนเวียนไปซื้อไม้ซุงมาเก็บไว้ เพราะพ่อค้าไม่สามารถขนย้ายซุงและขายได้เนื่องจาก
รถยนต์ขนไม้และช้างลากซุงได้ถูกเกณฑ์ไปช่วยราชการสงคราม เมื่อสงครามสิ้นสุดลงตระกูล
นี้จึงขายไม้คืนให้แก่เจ้าของเดิมทากาไรเป็นอย่างมาก (ปลายอ้อ, 2529)
การขยายตัวทางเศรษฐกิจหลังสงคราม
สภาพเศรษฐกิจหลังสงครามก็ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ โดยการดาเนินนโยบายต่างๆ
ของรัฐบาลและการกระตุ้นโดยสงครามเกาหลี ทั้งนี้ก็เพราะภาวะสงครามเป็นสาเหตุสาคัญที่
ก่อให้เกิดความต้องการสินค้าออกต่างๆ อย่างกว้างขวาง นับตั้งแต่สินค้ายุทธปัจจัย เช่น ยางและ
ดีบุก ข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักอย่างหนึ่ง ตลอดจนผลิตผลเกษตรอื่นๆ ด้วย ทั้งหมดนี้ได้ก่อให้เกิด
ความเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจและการค้าต่างประเทศที่เรียกกันว่า “Korean Boom” (ธนาคาร
กรุงเทพฯ จากัด, 2524)
ด้วยสภาวการณ์เช่นนี้ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ทั้งมวลในภาคพื้นประเทศไทยเพิ่มขึ้นทุกปี
ในระยะหลังสงคราม ใน พ.ศ.2493 ผลิตภัณฑ์ทั้งมวลมีมูลค่าเท่ากับ 25,895.4 ล้านบาท หรือ
เป็นจานวนกว่า 25 เท่าของมูลค่าในปี พ.ศ.2482 ผลิตภัณฑ์สุทธิในราคาทุนในปี พ.ศ.2493 มี
มูลค่าเท่ากับ 23,377.1 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.51 ของปีก่อนและเพิ่มขึ้นกว่า 26
เท่าของมูลค่าในปี พ.ศ.2482 (หจช.น.มท.02014)
10
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
แม้ว่าสงครามเกาหลีจะสงบลงแล้ว แต่สภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยก็ยังขยายตัว
อยู่ อ ย่างต่อ เนื่อ ง ดั ง ปรากฏในรายงานเรื่ อง “การค้าและการชาระเงิ น กับ ต่ างประเทศของ
ประเทศไทย ปี 2494-2503” ที่จัดทาโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ได้รายงานให้เห็นถึงการ
ขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในทศวรรษ 2490 เป็นอย่างดี เพราะปรากฏว่าในระยะ
10 ปี ระหว่าง พ.ศ.2494-2503 อันเป็นระยะก่อนที่จะมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาตินั้น การค้า
กับต่างประเทศได้ขยายตัวขึ้นมาก สินค้าออกมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจาก 4,413 ล้านบาทในปี พ.ศ.2494
มาเป็น 8,614 ล้านบาทในปี พ.ศ.2503 หรือเพิ่มขึ้นในอัตราเฉลี่ยร้อยละ 8 ต่อปี โดยมีข้าว
ยางพารา ดีบุก และไม้สักเป็นสินค้าส่งออกที่สาคัญของประเทศไทย (หจช.กค.0301.5.2/3)
การขยายตัวทางเศรษฐกิจช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ส่งผลให้ธุรกิจต่างๆ ต้อง
ปรับรูปแบบ “การบริหารจัดการองค์กร” ที่แตกต่างออกไปจากเดิม ที่ส่วนใหญ่ใช้รูปแบบที่
เรียกกันว่า “การบริหารแบบธุรกิจตระกูล” คือการที่ใช้เครือญาติของตนไปทางานในตาแหน่ง
ต่างๆ ในกิจการของตระกูลและจะไม่เปิดโอกาสให้คนนอกที่มีความสามารถเข้ามามีบทบาท
มากนั ก ซึ่ ง การบริ ห ารจั ด การธุ ร กิ จ แบบตระกู ล นี้ เ หมาะสมกั บ กิ จ การเล็ ก ๆ ที่ ไ ม่ ค่ อ ย
สลับซับซ้อนเท่านั้น แต่ด้วยการขยายตัวอย่างรวดเร็วของระบบเศรษฐกิจทาให้กิจการต่างๆ
ขยายตัวออกไปมากขึ้น การบริหารจัดการกิจการก็จะต้องสลับซับซ้อนขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
โดยเฉพาะนายทุนชั้นแนวหน้าทั้งหลายที่จะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจที่จาเป็นต้องอาศั ย
ความรู้และความชานาญเป็นอย่างสูง
ด้วยเหตุนี้เราจึงเห็นความเปลี่ยนแปลงการบริหารจัดการกิจการของธุรกิจต่างๆ ใน
สมัยนี้ได้ค่อนข้างชัดเจน ซึ่งมีลักษณะลดรูปแบบการบริหารงานแบบตระกูลลง และเปลี่ยนมา
11
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
เปิดรับผู้ชานาญการเฉพาะด้านหรือผู้ที่มีความรู้ความสามารถสมัยใหม่มากขึ้น การที่นายบุญชู
โรจนเสถียรกล้าที่จะออกจากงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทยมาเปิดสานักตรวจสอบบัญชีอิสระ
และสามารถเลี้ยงตัวเองได้ ด้วยมีลูกค้ามาใช้บริการอย่างไม่ขาดสาย (นาวี, 2548) สะท้อนให้
ความต้องการ “นักบัญชีอาชีพ” ของบริษัทห้างร้านต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
การปฏิ รู ป องค์ ก รของธนาคารกรุ ง เทพเป็ น อี ก ตั ว อย่ า งที่ แ สดงให้ เ ห็ น ความ
เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในทศวรรษ 2490 ได้อย่างชัดเจน กล่าวคือ ธนาคารกรุงเทพต้องปรับ
รูปแบบการบริหารจัดการภายในให้ทะมัดทะแมงและทันสมัย รวมทั้งเปิดรับพนักงานที่มี
ความรู้และ “ความชานาญเฉพาะด้าน” จนทาให้กิจการขยายตัวก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วมากกว่า
ธนาคารอื่นๆ (ณัฏฐพงษ์, 2551) แต่นอกจากนั้น เรายังพบการปรับตัวของธุรกิจอื่นๆ ในช่วงนี้
อีก อาทิเช่น นายสมยศ กลิ่นสุคนธ์ ผู้จัดการโรงแรมรัตนโกสินทร์ ซึ่ง ในระยะที่เริ่มกิจการ
ใหม่ ๆ ฐานะทางการเงิ น ของโรงแรมไม่ ค่ อ ยมั่ น คงนั ก จึ ง ขอร้ อ งให้ น ายบุ ญ ชู เ ข้ าไปช่ ว ย
จัดระบบการบริหารงานและการเงินภายในเสียใหม่ และหลังจากที่นายบุญชูได้เข้าไปช่วยแก้ไข
สถานการณ์อยู่เพียงไม่กี่เดือน ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ตรวจการขององค์การโรงแรม หรือผู้
ตรวจสอบบัญชีโรงแรม ซึ่งก็ทาให้ฐานะทางการเงินของโรงแรมดีขึ้น
อี ก ตั ว อย่ า งหนึ่ ง ที่ เ ห็ น ได้ ชั ด ก็ คื อ การปรั บ ปรุ ง การบริ ห ารงานของบริ ษั ท ล่ าซ า
ประกันภัยและคลังสินค้าเมื่อนายบัญชา ล่าซา เข้ามารับผิดชอบเมื่อปี พ.ศ.2495 ในขณะนั้น
กิจการของบริษัทอยู่ในภาวะย่าแย่และกาลังจะตัดสินใจเลิกกิจการ แต่นายบัญชาสามารถเข้า
ปรับปรุงการบริหารจนบริษัทสามารถดาเนินงานต่อไปได้ ซึ่งนายบัญชาได้กล่าวถึงวิธีการ
แก้ไขปัญหาของบริษัทไว้ดังนี้คือ “ตอนนั้นมันมีปัญหา ล่่าซ่าประกันภัยทำไม่ถูกต้องตำมหลัก
12
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
13
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
14
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
ความเปลี่ยนแปลงทางสังคม: การก่อตัวและพลังของชนชั้นกลาง
ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ส่งผลให้เกิดการขยายตัว
ของ “ชนชั้นกลาง” ขึ้นอย่างกว้างขวางและเป็นกลุ่มก้อนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม “ชนชั้น
กลางในเมือง” คนกลุ่มนี้ได้กลายเป็นกลุ่มประชากรที่สาคัญของกรุงเทพฯ ตั้งแต่ทศวรรษ 2490
เป็นต้นมา จากการศึกษาของ วิลเลียม สกินเนอร์พบว่าในปี พ.ศ.2495 ทั้งชาวไทยและชาวจีนที่
ประกอบอาชีพที่มีสถานะสูงปานกลาง (ได้แก่ ข้าราชการชั้นผู้น้อย เจ้าของกิจการค้าเล็กๆและ
ผู้ จั ด การ ผู้ ป ระกอบอาชี พ เล็ กๆ ข้ าราชการธุ ร การ เสมี ย นธุ ร กิ จ การค้ า พนั กงานโรงงาน
อุตสาหกรรมตาแหน่งสูง) ในกรุงเทพฯ มีจานวนถึง 175,350 คน ส่วนผู้ที่ประกอบอาชีพสถานะ
ต่าปานกลาง (ได้แก่ พวกช่างต่างๆ คนขับรถโดยสาร กลุ่มผู้ชานาญงานเบ็ดเตล็ด และพนักงาน
ตามโรงแรมและร้านอาหาร) ก็มีอยู่มากถึง 75,380 คนด้วยกัน (สกินเนอร์, 2548)
ในรายงาน “สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทย ตั้งแต่สิ้นสงครามจนถึง พ.ศ.
2493” โดย สานั กเลขาธิ การสภาเศรษฐกิจแห่ งชาติ ได้ให้ข้ อมู ลไว้ ว่า ภายหลั งสงครามจ านวน
ร้านค้าได้เพิ่มมากขึ้นเป็นลาดับ ร้านค้าในเขตจังหวัดพระนคร ธนบุรี สมุทรสาครและสมุทรปราการ
ซึ่ ง ได้ จ ดทะเบี ย นต่ อ สานั กงานกลางทะเบี ย นพาณิ ชย์ มี จ านวนดั ง ต่ อ ไปนี้ (หจช., (2) สร.
0201.22.1)
พ.ศ.2489 จานวน 44,872 ร้าน
พ.ศ.2490 จานวน 50,344 ร้าน
พ.ศ.2491 จานวน 54,970 ร้าน
15
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
16
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
17
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
18
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
19
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
20
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
21
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
22
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
23
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
บทบาทของกลุ่มขุนนางนักวิชาการ
“ขุนนางนักวิชาการ” เป็นคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เคลื่อนไหวอย่างมีสีสันในยุคสมัยแห่ง
ความเปลี่ยนแปลงนี้ และมีบทบาทอันสาคัญอย่างยิ่งในการก่อร่างสร้างสรรค์ “รัฐทุนนิยม” ใน
สมัยทศวรรษ 2500 เป็นต้นไป
ย้อนกลับไปภายหลังที่สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง คนกลุ่มนี้เริ่มมีบทบาทมากขึ้น
ทั้งนี้เนื่องจากปัจจัย 2 ประการ คือ ประการที่หนึ่ง ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจภายหลังสงคราม
โดยเฉพาะปัญหาเงินเฟ้อและปัญหาความขาดแคลนเงินตราต่างประเทศได้ทาให้ฝ่ายการเมือง
จาเป็ นต้อ งดาเนินนโยบายทางการเงิ นและการคลัง ตามที่ขุนนางนั กวิชาการเสนอมาอย่าง
เข้มงวด ประการที่สอง ในช่วงหลังสงครามไปจนถึงปี พ.ศ.2495 เป็นอย่างน้อย ความขัดแย้ง
แย่งยิงอานาจทางการเมืองของประเทศไทยเป็นไปอย่างเข้มข้น การเมืองไทยอยู่ในสภาวะยุ่ง
เหยิง ไม่มีกลุ่มใดมีอานาจสูงสุดเด็ดขาด ดังนั้น ในช่วงก่อนปี พ.ศ.2495 ไม่ว่ากลุ่มการเมืองใด
ขึ้นมามีอานาจก็ไม่มีเวลาและพลังมากพอที่จะเข้าแทรกแซงในทางเศรษฐกิจ ในช่วงนี้นโยบาย
ต่างๆ ของขุนนางนักวิชาการจึงดาเนินไปอย่างได้ผลเต็มที่ สภาพการเงินการคลังของประเทศ
ได้รับการฟื้นฟูขึ้นอย่างรวดเร็ว
จุดเปลี่ยนสาคัญของประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ การเมือง และสังคมในช่วงทศวรรษ
2490 อยู่ในปี พ.ศ.2495 เมื่อคณะรัฐประหาร พ.ศ.2490 สามารถกาจัดศัตรูทางการเมืองได้อย่าง
เด็ดขาด และรวบอานาจทางการเมืองเข้ามาอยู่ในมือของกลุ่มตน ทันทีที่มีอานาจฝ่ายการเมือง
การเข้าแทรกแซงการกาหนดนโยบายเศรษฐกิจ สิ่งที่ส่งผลกระทบมากที่สุดก็คือการที่รัฐบาล
24
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
25
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
26
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
27
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
28
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
29
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
ตั้งขึ้นมาเพื่อเติมเต็มช่องว่างตรงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังกัดของสานักนายกรัฐมนตรีที่เกิด
หน่วยราชการขึ้นหลายหน่วยงาน
พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการสานักนายกรัฐมนตรี พ.ศ.2502 ซึ่งมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง
7 ครั้ง ก่อนที่จะมีการปรับปรุงครั้งใหญ่ในปี พ.ศ.2505 นั้น ก็ล้วนแล้วแต่เป็นการแก้ไขเพราะมี
การเพิ่มหรือลดจานวนหน่วยราชการในสานักนายกรัฐมนตรีทั้งสิ้น และที่ควรสังเกตก็คือ
นับตั้งแต่ พ.ศ.2502 ซึ่งมีหน่วยราชการในสังกัดสานักนายกรัฐมนตรีเพียง 15 หน่วยงาน ในปี
พ.ศ.2504 ได้มีหน่วยงานเพิ่มขึ้นถึง 23 หน่วยงาน ส่วนพ.ร.บ.จัดระเบียบราชการสานัก
นายกรัฐมนตรี พ.ศ.2505 นั้นก็มีการเพิ่มหน่วยงานขึ้นเป็น 24 หน่วยงาน (ชัยอนันต์, 2541)
นอกจากจะมีการเพิ่มหน่วยราชการขึ้นเป็นจานวนมากแล้ว สานักนายกรัฐมนตรียังเต็มไปด้วย
หน่วยงานที่มีบทบาทสาคัญต่อการตัดสินใจและดาเนินนโยบายทางเศรษฐกิจและการพัฒนา
ประเทศ อาทิเช่น สานักงบประมาณ กรมประมวลราชการแผ่นดิน กรมตรวจราชการแผ่นดิน
สานักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน สานักงานสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ สานั กงานสภาวิจัย
แห่งชาติ เป็นต้น
ในหลายหน่ วยงานที่ ตั้ ง ขึ้ น ใหม่ นี้ หน่ วยงานสาคั ญ ในการท าหน้ าที่ กาหนดและ
บริหารนโยบายทางเศรษฐกิจและการคลัง ได้แก่ สานักงบประมาณ ในสังกัดสานักนายกรัฐใน
ตรี และสานักเศรษฐกิจการคลัง ในสังกัดกระทรวงการคลัง โดยที่สานักงานเศรษฐกิจการคลัง
ทาหน้ าที่เ ป็น เสนาธิการในการกาหนดนโยบายการคลั ง ส่ วนสานั กงบประมาณท าหน้ าที่
30
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
กาหนดและบริหารนโยบายงบประมาณ ซึ่งงานทั้งสองด้านดังกล่าวมีความจาเป็นอย่างมากใน
การธารงรัฐนาวาให้ดารงอยู่ได้ท่ามกลางเศรษฐกิจและสังคมสมัยใหม่
ดั ง นั้ น เราจะเห็ น ได้ ว่ า “ยุ ค พั ฒ นา” เป็ น ผลผลิ ต ของความเปลี่ ย นแปลงทาง
ประวัติศาสตร์ที่สืบเนื่องยาวนาน และประกอบด้วยแรงผลักดันของพลังต่าง ๆ หลายฝ่าย ไม่ว่า
จะเป็นพลังของความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง แรงผลักดันจาก “ชนชั้นกลาง” ตลอดจน
แรงผลักดันจากกลุ่มขุนนางนักวิชาการ กระแสความเปลี่ยนแปลงจึงเป็นไปอย่างเปี่ยมด้วยพลัง
ดังนั้น ไม่ว่า “ผู้ นา” ทางการเมืองคนใดที่ปรารถนาจะดารงอานาจในบริบ ททางเศรษฐกิ จ
สังคม และการเมืองเช่นนี้ ย่อมไม่สามารถที่จะปฏิเสธแรงผลักดันของ “สังคม” ที่ต้องการจะให้
“ยุคพัฒนา” เกิดขึ้นได้ มีแต่จะต้ องตอบสนองกระแสความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่
เท่านั้น
31
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
บรรณานุกรม
จารึก สุดใจ. (2529). นโยบายพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยภายใต้รัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
2501-2506. วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ภาควิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร.
จี. วิลเลียม สกินเนอร์. (2548). สังคมจีนในประเทศไทย: ประวัติศาสตร์เชิงวิเคราะห์. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ:
โครงการตาราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.
ชัยวัฒน์ ศุภดิลกลักษณ์. (2541). พ่อค้ากับการพัฒนาเศรษฐกิจ: ล่าปาง พ.ศ.2459-2512. วิทยานิพนธ์ปริญญา
มหาบัณฑิต คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
ชัยอนันต์ สมุทวณิช. (2541). 100 ปีแห่งการปฏิรูประบบราชการ วิวัฒนาการของอานาจรัฐและอานาจการเมือง.
พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: สถาบันนโยบายศึกษา.
ณัฏฐพงษ์ เลี่ยววิวัฒน์อุทัย. (2551 ก.). การ “ปรับตัว” ของ “นายทุนจีน” ภาพสะท้อนความเปลี่ยนแปลงทาง
เศรษฐกิจ และสังคมไทยในทศวรรษ 2490. ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 29 ฉบับที่ 10 สิงหาคม.
ณัฏฐพงษ์ สกุลเลี่ยว. (2551 ข.). การก่อตัวของ “คนชั้นกลาง” กับการเสื่อมสลายของรัฐบาลจอมพล ป.
พิบูลสงคราม และ “ทุนนิยมโดยรัฐ. ใน ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 30 ฉบับที่ 2 ธันวาคม.
ธนวัฒน์ ทรัพย์ไพบูลย์. (2543 ก.). เรือชีวิตเจ้าสัวเลือดมังกร ตระกูลล่าซา. กรุงเทพฯ: กรุงเทพธุรกิจ.
ธนวัฒน์ ทรัพย์ไพบูลย์. (2543 ข.). 55 ตระกูลดัง ภาค 1. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ.
ธนาคารกรุงเทพ จากัด. (2524). ก่อนจะถึงวันนี.้
ธนาคารแห่งประเทศไทย. (2505). ที่ระลึกวันครบรอบปีที่ยี่สิบ 10 ธันวาคม.
นาวี รังสิวรารักษ์. (2548). บนถนนสายการเมืองของบุญชู โรจนเสถียร. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์ปะการัง.
32
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
33
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
34
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
35
วารสารมนุษยศาสตร์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 2
36