Professional Documents
Culture Documents
41231 1 กฎหมายอาญา 1 ภาคบทบัญญัติทั วไป
41231 1 กฎหมายอาญา 1 ภาคบทบัญญัติทั วไป
หน่วยที 1 ล ักษณะทวไปของกฎหมายอาญาและปร
ั ัชญากฎหมายอาญา
1.1 ล ักษณะทวไปของกฎหมายอาญา
ั
1. กฎหมายอาญาเป็ นกฎหมายทีว่าด ้วยความผิดและโทษ โดย บัญญัตก
ิ ารกระทําเป็ นความผิดอาญา
และกําหนดโทษทีจะลงแก่ผู ้กระทําความผิดนัน
2. ในสังคมเริมแรก กฎหมายให ้อํานาจแก่บค ุ คลทีจะทําการแก ้แค ้นต่อผู ้กระทําผิด และเมือรัฐมันคงขึน
จึงกําหนดให ้มีการชดใช ้ค่าเสียหายแทนการแก ้แค ้น จนในทีสุดรัฐก็เข ้าไปจัดการลงโทษผู ้กระทําผิดเอง
3. ความผิดอาญาหมายถึง การกระทําหรือละเว ้นการกระทําทีกฎหมายบัญญัตเิ ป็ นความผิดและกําหนด
โทษไว ้
4. ความผิดอาญาแบ่งแยกได ้หลายประเภทแล ้วแต่แนวความคิดและความมุง่ หมาย เช่น ตามความหนั ก
เบาของโทษ ตามการกระทํา ตามเจตนา ตามศีลธรรม เป็ นต ้น
5. กฎหมายอาญาเป็ นเรืองระหว่างรัฐกับเอกชน และมุง่ ทีจะลงโทษผู ้กระทําความผิด ส่วนกฎหมายแพ่ง
เป็ นเรืองเกียวกับสิทธิหน ้าทีระหว่างเอกชนด ้วยกัน การกระทําความผิดทางแพ่งจึงไม่กระทบกระเทือนต่อ
สังคมเหมือนความผิดอาญา
1.1.1 ความหมายของกฎหมายอาญา
กฎหมายอาญามีความหมายอย่างไรมีกระบบ
ี และแต่ละระบบมีความคิดในทางกฎหมายอย่างไร
กฎหมายอาญาจัดอยูใ่ นสาขากฎหมายมหาชน เป็ นกฎหมายทีเกียวกับการกระทําความผิดและ
กําหนดโทษทีจะลงแก่ผู ้ทีกระทําความผิดนั น
กฎหมายอาญามี 2 ระบบคือ ระบบกฎหมายของประเทศทีใช ้ประมวลกฎหมาย ซึงบัญญัตค ิ วามผิด
อาญาไว ้เป็ นลายลักษณ์อักษร และระบบคอมมอนลอว์ ซึงความผิดอาญาเป็ นไปตามหลักเกณฑ์ในคํา
พิพากษาของศาล ความผิดในทางอาญาของประเทศทีใช ้ระบบประมวลกฎหมายนันถือว่า การกระทําใดๆจะ
เป็ นความผิดหรือไม่และต ้องรับโทษอย่างไร ต ้องอาศัยตัวบทกฎหมายอาญาเป็ นหลัก การตีความวาง
หลักเกณฑ์ของความผิดจะต ้องมาจากตัวบทเหล่านัน คําพิพากษาของศาลไม่สามารถสร ้างความผิดอาญาขึน
ได ้ แต่ระบบคอมมอนลอว์นัน การกระทําใดๆจะเป็ นความผิดอาญาต ้องอาศัยคําพิพากษาทีได ้วินจ ิ ฉั ยไว ้เป็ น
บรรทัดฐานและนํ าบรรทัดฐานนั นมาเปรียบเทียบกับคดีทเกิ
ี ดขึน
1.1.3 ประเภทของความผิด
ความผิดอาญาหมายความว่าอย่างไร เราอาจแบ่งความผิดอาญาได ้ประการใดบ ้าง
ความผิดอาญาหมายถึง การกระทําหรือละเว ้นการกระทําทีกฎหมายบัญญัตเิ ป็ นความผิดและกําหนด
โทษไว ้
ความผิดอาญาอาจจําแนกออกได ้หลายประเภทแล ้วแต่ข ้อพิจารณาในการแบ่งประเภทนันๆ เช่น
(1) พิจารณาตามความหนั กเบาของโทษ แบ่งเป็ นความผิดอาญาสามัญและความผิดลหุโทษ
(2) พิจารณาในแง่เจตนา แบ่งเป็ นความผิดทีกระทําโดยเจตนากับความผิดทีกระทําโดยประมาท
และความผิดทีไม่ต ้องกระทําโดยเจตนา
(3) พิจารณาในแง่ศล ี ธรรม แบ่งเป็ นความผิดในตัวเอง เช่น ความผิดฐานฆ่าคนตาม ข่มขืน ลักทรัพย์
และความผิดเพราะกฎหมายห ้าม เช่น ความผิดฐานขับรถเร็วเกินสมควร
นอกจากนีอาจแบ่งได ้โดยข ้อพิจารณาอืนๆ อีก เช่น ตามลักษณะอันตรายต่อสังคม ตามลักษณะการ
กระทําและตามกฎหมายวิธพ ี จิ ารณาความอาญา
1.2 ปร ัชญาของกฎหมายอาญา
1. วัตถุประสงค์กฎหมายอาญา คือ คุ ้มครองส่วนได ้เสียของสังคมให ้พ ้นจากการประทุษร ้ายต่างๆ
กฎหมายอาญาจึงเป็ นสิงจําเป็ นยิงต่อความสงบเรียบร ้อยของสังคม
2. ทฤษฎีกฎหมายอาญา หมายถึง กลุม ่ แนวความคิดหรือหลักการทีถือว่าเป็ นพืนฐานของกฎหมาย
อาญา
1.2.1 ความมุง
่ หมายของกฎหมายอาญา
กฎหมายอาญามีความมุง่ หมายอย่างไร และมีวธิ ก
ี ารใดให ้บรรลุถงึ ความมุง่ หมายนัน
ข ้อจํากัดอํานาจในการลงโทษของรัฐมีอย่างไร
อํานาจในการลงโทษของรัฐมีข ้อจํากัดโดยบทบัญญัตใิ นกฎหมาย กล่าวคือ
(1) โทษจะต ้องเป็ นไปตามกฎหมาย
(2) ในความผิดทีกฎหมายกําหนดโทษขันสูงไว ้ รัฐจะลงโทษผู ้กระทําความผิดเกิดกว่านันไม่ได ้ เว ้น
แต่จะมีเหตุเพิมโทษตามกฎหมาย
(3) ในความผิดทีกฎหมายกําหนดโทษขันตําไว ้ รัฐลงโทษผู ้กระทําความผิดตํากว่านันไม่ได ้ เว ้นแต่
จะมีเหตุลดโทษตามกฎหมาย
(4) ในความผิดทีกฎหมายกําหนดโทษขันตําไว ้และขันสูงไว ้ รัฐมีอํานาจลงโทษได ้ตามทีเห็นสมควร
ในระหว่างโทษขันตําและขันสูงนั น
1.2.2 ทฤษฎีกฎหมายอาญา
ทฤษฎีกฎหมายอาญาในทรรศนะตามคอมมอนลอว์ เป็ นประการใด
นั กทฤษฎีกฎหมายอาญาในระบบคอมมอนลอว์เห็นว่า กฎหมายอาญาแบ่งได ้เป็ น 3 ส่วน คือ ภาค
ความผิด หลักทัวไป และหลักพืนฐาน
ภาคความผิด เป็ นส่วนทีบัญญัตเิ กียวกับความผิดฐานต่างๆ หรือคําจํากัดความของความผิดแต่ละฐาน
และกําหนดโทษสําหรับความผิดนันนันด ้วย เป็ นส่วนทีมีความหมายแคบทีสุด แต่มจ ี ํานวนบทบัญญัตม ิ ากทีสุด
หลักทัวไป เป็ นส่วนทีมีความหมายกว ้างกว่าภาคความผิดและนํ าไปใช ้บังคับแก่ความผิดต่างๆ เช่น
เรืองวิกลจริต ความมึนเมา เด็กกระทําความผิด ความจําเป็ น การป้ องกันตัว พยายามกระทําความผิด ตัวการ
ผู ้ใช ้ ผู ้สนั บสนุน เป็ นต ้น
หลักพืนฐาน ส่วนนีถือว่าเป็ นหัวใจของกฎหมายอาญาและเป็ นส่วนทีมีความหมายกว ้างทีสุด ซึงต ้อง
นํ าไปใช ้บังคับแก่ความผิดอาญาต่างๆ เช่นเดียวกับหลักทัวไป หลักพืนฐานของกฎหมายอาญา ได ้แก่ (1)
ความยุตธิ รรม (2) เจตนา (3) การกระทํา (4) เจตนาและการกระทําต ้องเกิดร่วมกัน (5) อันตรายต่อสังคม (6)
ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผล และ (7) ลงโทษ
บทบัญญัตท ิ งั 3 ส่วนนีย่อมสัมพันธ์กัน กล่าวคือ ถ ้าจะเข ้าใจผิดฐานใดฐานหนึงได ้ชัดแจ ้งจะต ้องนํ า
หลักทัวไปและหลักพืนฐานไปพิจารณาประกอบด ้วย เพราะลําพังแต่บทบัญญัตภ ิ าคความผิดนันมิได ้ให ้
ความหมายหรือคําจํากัดความทีสมบูรณ์ของความผิดแต่ละฐาน จะต ้องพิจารณาประกอบกับหลักทัวไปและ
หลักพืนฐานเสมอ
ั
หน่วยที 2 : อาชญากรรมในสงคม
1. อาชญากรรมคือการกระทําทีมีโทษทางอาญา
2. ตามแนวความคิดของนั กอาชญาวิทยาต่างสํานั กกัน อาชญากรรมอาจเป็ นพฤติกรรมทีคนเลือกกระทํา
เพือแสวงหาความสุข หรืออาจเป็ นพฤติกรรมทีเกิดขึนตามธรรมชาติเช่นเดียวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
อืนๆ หรืออาจเป็ นพฤติกรรมทีขัดต่อบรรทัดฐาน ความประพฤติของคนส่วนใหญ่ในสังคม
3. สาเหตุของอาชญากรรมมีทมาจากการศึ
ี กษาของนั กอาชญาวิทยาสํานั กโปซิตพ
ี ซึงต่อมาได ้มีผู ้
ศึกษาค ้นคว ้าเพิมเติมจนก่อตังเป็ นทฤษฎีสาเหตุอาชญากรรมทางชีววิทยา ทางจิตวิทยาและทางสังคมวิทยา
แนวคิดทวไปเกี
ั ยวก ับอาชญากรรม
1. อาชญากรรมอาจนิยามได ้หลายอย่าง อาชญากรรมตามกฎหมาย หมายถึงการกระทําทีฝ่ าฝื น
บทบัญญัตข ิ องกฎหมายอาญา ส่วนอาชญากรรมตามนิยามทางสังคมหมายถึงการประทําทีฝ่ าฝื นบรรทัดฐาน
ความประพฤติทางสังคม
2. อาชญากร เป็ นผู ้กระทําความผิดทีศาลได ้พิพากษาแล ้วว่าได ้กระทําความผิดและลงโทษตาม
กฎหมาย
3. เพศ อายุ การศึกษาและฐานะทางสังคมอืนๆ เป็ นปั จจัยทีแสดงให ้เห็นสถานะของอาชญากรรมและ
อาชญากร
4. อาชญาวิทยาเป็ นวิชาทีศึกษาเกียวกับอาชญากรรมและอาชญากรโดยวิธก ี ารทางวิทยาศาสตร์
5. สํานั กอาชญาวิทยาทีสําคัญอาจแบ่งออกเป็ น 2 กลุม ่ กลุม
่ ที 1 เน ้นการศึกษาทางด ้านสาเหตุ
อาชญากรรม ซึงมีสํานั กโปซิตพ ี เป็ นสํานั กสําคัญ และกลุม่ ที 2 เน ้นทางด ้านการศึกษาเกียวกับการลงโทษ
ผู ้กระทําความผิดซึงมีสํานั กคลาสสิกเป็ นสํานั กสําคัญ
6. อาชญากรรมในสังคมอาจแบ่งออกได ้หลายลักษณะคือ อาชญากรรมพืนฐาน อาชญากรรมจากการ
ประกอบอาชีพ อาชญากรรมทีทําเป็ นองค์การ อาชญากรรมทีทําเป็ นอาชีพ อาชญากรรมทางการเมือง และ
อาชญากรรมทีขัดต่อความสงบเรียบร ้อยของสังคม ในประเทศไทยอาชญากรรมทีร ้ายแรงและไม่ร ้ายแรง
เกิดขึนมาก
7. การจัดทําสถิตอ ิ าชญากรรมทําได ้ 2 ทางด ้วยกันคือ อย่างเป็ นทางราชการและไม่เป็ นทางราชการ
8. สถิตอ ิ าชญากรรมทีไม่ใช่ทางราชการ อาจให ้ข ้อมูลเพิมเติมได ้ว่าอาชญากรรมเกิดขึนในสังคมมี
มากกว่าทีปรากฏในสถิตข ิ องทางราชการ เกณฑ์วัดการเกิดขึนของอาชญากรรมว่าเพิมขึนหรือลดลงใน
ระหว่างปี ทศึี กษา อาจทําได ้โดยเปรียบเทียบสถิตอ ิ าชญากรรมต่อประชากร 100,000 คน
อาชญากรรมและอาชญากร
นิยามอาชญากรรมมีแบ่งออกเป็ นกีนิยาม อะไรบ ้าง และสถิตอ
ิ าชญากรรมของทางราชการอาศัย
นิยามอะไรเป็ นหลัก
นิยามอาชญากรรมมี 2 นิยาม คือ นิยามตามกฎหมายและนิยามทางสังคม สถิตขิ องทางราชการใช ้
นิยามตามกฎหมาย
อาชญาวิทยาและสําน ักอาชญาวิทยา
สํานั กคลาสสิก มีทัศนะเกียวกับอาชญากรรมอย่างไร
สํานั กคลาสสิกเห็นว่า อาชญากรรมเกิดจากเจตน์จํานงอิสระของบุคคลทีแสวงหาความสุขและได ้
ประกอบกรรมอันนั นโดยเจตนา เพราะฉะนั นจึงเน ้นการศึกษาทีอาชญากรรม
สํานั กโปซิตพ
ี และสํานั กป้ องกันสังคมมีทัศนะเกียวกับอาชญากรรมเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร
ล ักษณะและขอบเขตของอาชญากรรม
อาชญากรรมพืนฐานได ้แก่ อาชญากรรมประเภทใด
อาชญากรรมพืนฐานเป็ นอาชญากรรมทีเกิดขึนในทุกสังคมตังแต่โบราณกาล คือ ความผิดต่อชีวต ิ
ร่างกายและทรัพย์สน ิ และเพศ เช่น ทําร ้ายร่างกาย ลักทรัพย์ วิงราวทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล ้นทรัพย์ และข่มขืน
กระทําชําเรา เป็ นต ้น
อาชญากรรมพืนฐานต่างจากอาชญากรรมทีจัดเป็ นองค์การอย่างไร
อาชญากรรมพืนฐานแตกต่างจากอาชญากรรมทีจัดเป็ นองค์การ ตรงทีอาชญากรรมพืนฐานเป็ น
อาชญากรรมทีทําเป็ นส่วนบุคคล ส่วนอาชญากรรมทีเป็ นองค์การ มิใช่อาชญากรรมทีทําเป็ นส่วนบุคคล แต่ม ี
หน่วยงานเป็ นผู ้ดําเนินการรับผิดชอบ ซึงส่วนใหญ่จะเป็ นองค์การอาชญากรรมหรือองค์การนอกกฎหมาย เช่น
การจัดให ้มีการค ้าประเวณี เล่นการพนั น ค ้ายาเสพติดหรือลักลอบขนของหนีภาษี เป็ นต ้น
สถิตอ
ิ าชญากรรมอย่างไม่เป็ นทางการได ้มาจากการจัดทํากีอย่าง อะไรบ ้าง
สถิตอิ าชญากรรมอย่างไม่เป็ นทางการได ้มาจากการทํา 5 อย่างด ้วยกันคือ
(1) การสังเกตอาชญากรรม
(2) รายงานของพนั กงานรักษาความปลอดภัยเอกชน
(3) สถานการณ์ทดสอบ
(4) การศึกษาผู ้เสียหายหรือเหยืออาชญากรรม
(5) คําสารภาพของผู ้ถูกสัมภาษณ์
ทฤษฎีสาเหตุของอาชญากรรม
1. ทฤษฎีสาเหตุอาชญากรรมมีทมาจากทฤษฎี
ี ของสํานั กคลาสสิกและสํานั กโปซิตพ
ี
2. ทฤษฎีสาเหตุอาชญากรรมทางชีววิทยาบอกว่า อาชญากรรมเกิดจากความผิดปกติทางกายภาพอันมี
ผลสืบเนืองมาจากพันธุกรรม
3. ทฤษฎีสาเหตุอาชญากรรมทางจิตวิทยาอธิบายว่า อาชญากรรมเกิดขึนจากความผิดปกติทางอารมณ์
ทางจิตและทางบุคลิกภาพ
4. ทฤษฎีสาเหตุอาชญากรรมทางสังคมวิทยาอธิบายว่า อาชญากรรมเกิดจากอิทธิพลของสังคมและ
สิงแวดล ้อม
ทฤษฎีสาเหตุอาชญากรรมทางชวี วิทยา
ทฤษฎีสาเหตุของอาชญากรรมทางชีววิทยาทีสําคัญมีกทฤษฎี
ี อะไรบ ้าง
มี 4 ทฤษฎีใหญ่ คือ
(1) ทฤษฎีรปู ร่างลักษณะทางกาย
ทฤษฎีสาเหตุอาชญากรรมทางจิตวิทยา
ทฤษฎีสาเหตุอาชญากรรมทางจิตวิทยามีกทฤษฎี
ี อะไรบ ้าง
ทฤษฎีสาเหตุอาชญากรรมทางจิตวิทยามี 4 ทฤษฎีด ้วยกันคือ (1) ทฤษฎีความผิดปกติทางจิตกับ
อาชญากรรม (2) ทฤษฎีจติ วิเคราะห์ (3) ทฤษฎีปัญหาทางอารมณ์กับอาชญากรรม และ (4) ทฤษฎีพยาธิ
สภาพทางจิตกับอาชญากรรม
ั
ทฤษฎีสาเหตุอาชญากรรมทางสงคมวิ ทยา
ทฤษฎีความไร ้กฎเกณฑ์ของโรเบิรต
์ เค เมอร์ตัน เสนอรูปแบบของการปรับตัวของชาวอเมริกันมีก ี
แบบ อะไรบ ้าง
ทฤษฎีความไร ้กฎเกณฑ์เสนอรูปแบบของการปรับตัวของชาวอเมริกน
ั ไว ้ 5 รูปแบบด ้วยกัน คือ
(1) แบบคล ้อยตาม
(2) แบบทําขึนใหม่
(3) แบบพิธก
ี าร
(4) แบบถอยหลังเข ้าคลอง
(5) แบบปฏิวัต ิ
ั
แบบประเมินผล หน่วยที 2 อาชญากรรมในสงคม
้ ังค ับกฎหมายอาญา
หน่วยที 3 การใชบ
ั
3.1.1 กฎหมายอาญาต้องมีบทบ ัญญ ัติโดยชดแจ้
ง
กฎหมายอาญาต ้องมีบทบัญญัตโิ ดยชัดแจ ้งนั น หมายความว่าอย่างไร
กฎหมายอาญาต ้องมีบทบัญญัตโิ ดยชัดแจ ้ง หมายความว่า กฎหมายอาญาจะต ้องมีบทบัญญัตไิ ว ้เป็ น
ลายลักษณ์อก ั ษร โดยบัญญัตค ิ วามผิดและโทษไว ้ในขณะกระทํา และบทบัญญัตน ิ ั นต ้องชัดเจนปราศจากการ
คลุมเครือมิฉะนั นจะใช ้บังคับมิได ้ ซึงประมวลกฎหมายอาญาได ้บัญญัตริ ับรองไว ้ในมาตรา 2 ทีว่าบุคคลจักต ้อง
รับโทษในทางอาญาต่อเมือได ้กระทําการอันกฎหมายทีใช ้ขณะกระทําการนั นบัญญัตเิ ป็ นความผิดและกําหนด
โทษไว ้ และโทษทีจะลงแก่ผู ้กระทําผิดนันต ้องเป็ นโทษทีกําหนดไว ้ในกฎหมาย
ศาลจังหวัดนนทบุรพี พ
ิ ากษาจําคุกนายเขียว 1 เดือน ฐานดืมสุราในยามวิกาล ต่อมารัฐออกกฎหมาย
ยกเลิกความผิดดังกล่าว กฎหมายใหม่จะมีผลต่อนายเขียวประการใด ถ ้าปรากฏว่า
3.2.2 กรณีวธ ิ ก
ี ารเพือความปลอดภ ัย
การใช ้บังคับวิธกี ารเพือความปลอดภัยมีหลักเกณฑ์ประการใดบ ้าง
หลักเกณฑ์การใช ้บังคับวิธก ี ารเพือความปลอดภัยนั น มีบทบัญญัตไิ ว ้ในประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 12 ซึงประกอบด ้วยหลักเกณฑ์ 2 ประการดังต่อไปนี
ี ารเพือความปลอดภัยทีจะใช ้บังคับได ้ต ้องเป็ นวิธก
(1) วิธก ี ารทีกฎหมายกําหนดไว ้ เพราะวิธก ี ารเพือ
ความปลอดภัยเป็ นเรืองของการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ฉะนันจะใช ้บังคับได ้ต่อเมือมีกฎหมายให ้
อํานาจไว ้โดยชัดแจ ้งเท่านัน และ
(2) กฎหมายทีจะนํ ามาใช ้ บังคับเกียวกับวิธก ี ารเพือความปลอดภัยได ้ต ้องเป็ นกฎหมายในขณะที
ศาลพิพากษาคดี มิใช่กฎหมายในขณะทีพฤติการณ์อน ี ารเพือความปลอดภัยมาใช ้นันได ้
ั เป็ นเหตุให ้อาจนํ าวิธก
เกิดขึน เหตุผลก็คอ ื วิธกี ารเพือความปลอดภัยไม่ใช่โทษ แต่เป็ นวิธก ี ารเพือป้ องกันสังคมให ้ปลอดภัยจากการ
ทีบุคคลนันกระทําความผิดในภายภาคหน ้า
ี ารใช ้บังคับวิธก
วิธก ี ารเพือความปลอดภัยนั น มีกรณีใดบ ้าง อธิบาย
วิธกี ารใช ้บังคับวิธกี ารเพือความปลอดภัยนั น อาจแบ่งได ้เป็ น 4 กรณีดังต่อไปนี
(1) กรณียกเลิกวิธก ี ารเพือความปลอดภัย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 13 กล่าวคือ เมือมี
กฎหมายใหม่ยกเลิกวิธก ี ารเพือความปลอดภัยใดแล ้ว ก็ให ้ศาลระงับการใช ้บังคับวิธก ี ารเพือความปลอดภัยนัน
เสีย
(2) กรณีเปลียนแปลงเงือนไขบังคับวิธก ี ารเพือความปลอดภัย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
14 กล่าวคือ เมือมีกฎหมายใหม่ออกมาเปลียนแปลงเงือนไขทีจะสังให ้มีการใช ้บังคับวิธก ี ารเพือความ
ปลอดภัย ซึงเป็ นผลอันไม่อาจนํ ามาใช ้บังคับแต่กรณีของผู ้นั นได ้ หรือนํ ามาใช ้บังคับได ้แต่การใช ้บังคับวิธก ี าร
เพือความปลอดภัยตามกฎหมายใหม่เป็ นคุณแก่ผู ้นันยิงกว่า ศาลมีอํานาจสังให ้ยกเลิกหรือไม่ก็ได ้ หรือศาลจะ
สังให ้ใช ้บังคับวิธกี ารเพือความปลอดภัยตามกฎหมายใหม่ทเป็ ี นคุณนั นเพียงใดหรือไม่กไ็ ด ้ทังนีอยูใ่ นดุลพินจิ
ของศาล
(3) กรณีกฎหมายเปลียนโทษ มาเป็ นวิธก ี ารเพือความปลอดภัยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
15 กล่าวคือ กรณีกฎหมายใหม่เปลียนโทษทางอาญามาเป็ นวิธก ี ารเพือความปลอดภัย ก็ให ้ถือว่าโทษทีจะลง
นั นเป็ นวิธกี ารเพือความปลอดภัย เหตุผลก็คอ ื วิธกี ารเพือความปลอดภัยนันเบากว่าโทษนั นเอง และหากกรณี
3.3.1 หล ักดินแดน
ในกรณีใดบ ้างทีกฎหมายให ้ถือว่าเป็ นการกระทําความผิดในราชอาณาจักร จงอธิบาย
กรณีทกฎหมายให
ี ้ถือว่าเป็ นการกระทําความผิดในราชอาณาจักรมีดังต่อไปนี
(1) กระทําความผิดในเรือไทยหรืออากาศยานไทยไม่วา่ อยูท ่ ใด(แต่
ี ต ้องอยูน
่ อกราชอาณาจักร) ตาม
มาตรา 4 วรรค 2
(2) การกระทําความผิดบางส่วนในราชอาณาจักร และบางส่วนนอกราชอาณาจักรตามมาตรา 5 วรรค
แรก
(3) การกระทําความผิดนอกราชอาณาจักร และผลแห่งการกระทําเกิดขึนในราชอาณาจักร โดย
ผู ้กระทําประสงค์ให ้ผลเกิดขึนในราชอาณาจักรตามมาตรา 5 วรรคแรก
(4) การกระทําความผิดนอกราชอาณาจักร และผลแห่งการกระทําผิดเกิดในราชอาณาจักรโดย
ลักษณะแห่งการกระทํา ผลนันควรเกิดขึนในราชอาณาจักรตามมาตรา 5 วรรคแรก
(5) การกระทําความผิดนอกราชอาณาจักร และผลของการกระทําเกิดขึนในราชอาณาจักร โดย
ย่อมจะเล็งเห็นได ้ว่า ผลนันจะเกิดขึนในราชอาณาจักรตามมาตรา 5 วรรคแรก
(6) การตระเตรียมการนอกราชอาณาจักร ซึงกฎหมายบัญญัตเิ ป็ นความผิด ถ ้าหากการกระทํานันจะ
ได ้กระทําตลอดไปจนถึงขันความผิดสําเร็จ ผลจะเกิดขึนในราชอาณาจักรตามมาตรา 5 วรรค 2
(7) การพยายามกระทําการนอกราชอาณาจักร ซึงกฎหมายบัญญัตเิ ป็ นความผิด ถ ้าหากการกระทํา
นั นจะได ้กระทําตลอดไปจนจนถึงขันความผิดสําเร็จ ผลจะเกิดขึนในราชอาณาจักร ตามมาตรา 5 วรรค 2
(8) ตัวการร่วม ผู ้ใช ้ หรือผู ้สนับสนุน ได ้กระทํานอกราชอาณาจักรโดยความผิดนั นได ้กระทําใน
ราชอาณาจักรหรือกฎหมายให ้ถือว่าได ้กระทําในราชอาณาจักร ตามมาตรา 6
3.3.2 หล ักอํานาจลงโทษสากล
เพราะเหตุใดกฎหมายไทยจึงรับรองหลักอํานาจโทษสากล ซึงมีบัญญัตไิ ว ้ในประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 7
เหตุทกฎหมายไทยรั
ี บรองอํานาจลงโทษสากล โดยมีบญ ั ญัตไิ ว ้ในมาตรา 7 เพราะการกระทํา
ความผิดนอกราชอาณาจักรตามทีระบุไว ้ในมาตรา 7 เป็ นภัยโดยตรงต่อความสงบเรียบร ้อยและความมันคง
ของประเทศรวมทังในระหว่างรัฐต่างๆ กล่าวคือ ความผิดเกียวกับความมันคงแห่งราชอาณาจักรตามมาตรา
7(1) เป็ นหลักป้ องกันตนเองของรัฐ ความผิดเกียวกับการปลอมแปลงเงินตรา แสตมป์ ใบหุ ้น ใบหุ ้นกู ้ หรือตัว
เงิน ตามมาตรา 7(2) เป็ นหลักป้ องกันทางเศรษฐกิจ และความผิดฐานชิงทรัพย์ และปล ้นทรัพย์ในทะเลหลวง
ตามมาตรา 7(3) เป็ นหลักป้ องกันสากล
3.3.3 หล ักบุคคล
หม่อง คนพม่า ข่มขืน กี คนเวียตนามในเรือของมาเลเซีย ในขณะแล่นอยูใ่ นทะเลหลวง หากหม่อง
คนพม่าหนีการจับกุมเข ้ามาในประเทศไทย กี จะร ้องขอให ้ศาลไทยลงโทษหม่องในประเทศไทยได ้หรือไม่
เพราะเหตุใด
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 8 (3) มีสาระสําคัญว่า ผู ้ใดกระทําความผิดฐานกระทําชําเราตาม
มาตรา 276 นอกราชอาณาจักร จะต ้องรับโทษในราชอาณาจักร ถ ้า
(ก) ผู ้กระทําความผิดนั นเป็ นคนไทย และรัฐบาลแห่งประเทศทีความผิดนั นเกิดขึน หรือผู ้เสียหายได ้
ร ้องขอ ให ้ลงโทษ หรือ
(ข) ผู ้กระทําความผิดนั นเป็ นคนต่างด ้าว และรัฐบาลไทยหรือคนไทยเป็ นผู ้เสียหาย และผู ้เสียหายได ้
ร ้องขอให ้ลงโทษ
ตามปั ญหา แม ้ความผิดฐานข่มขืนกระทําชําเราจะเป็ นความผิดทีระบุไว ้ในมาตรา 8 (3) แต่การ
กระทําความผิดฐานข่มขืนกระทําชําเรานอกราชอาณาจักรดังกล่าว หม่องผู ้กระทําความผิดและกีผู ้เสียหาย
ต่างก็เป็ นคนต่างด ้าว กรณีดงั กล่าวจึงไม่ต ้องด ้วยมาตรา 8 ทัง (ก) และ (ข) กีผู ้เสียหายจึงขอให ้ศาลไทย
ลงโทษหม่องในประเทศไทยไม่ได ้
อนึง ความผิดดังกล่าวแม ้จะได ้กระทําในเรือของมาเลเซีย ซึงอยูใ่ นทะเลหลวง แต่มใิ ช่ความผิดฐาน
ชิงทรัพย์ หรือปล ้นตามมาตรา 7 (3) หม่องผู ้กระทําผิดจึงไม่ต ้องรับโทษในประเทศไทยตามบัญญัตด ิ ังกล่าว
3.3.4 การคํานึงถึงคําพิพากษาของศาลต่างประเทศ
ยูโซป คนมาเลเซีย ทําร ้ายกายแดงคนไทย เป็ นอันตรายสาหัส เหตุเกิดในสิงค์โปร์ ศาลสิงค์โปร์
พิพากษาจําคุกเพียง 6 เดือน เมือพ ้นโทษยูโซป ได ้เดินทางมาท่องเทียวประเทศไทย แดงร ้องขอให ้ศาลไทย
ลงโทษอีก เพราะเห็นว่ายูโซปรับโทษจําคุกในสิงค์โปร์เพียง 6 เดือน เท่านันไม่สาสมกับความผิด ดังนีศาล
ไทยจะลงโทษยูโซปได ้อีกหรือไม่เพราะเหตุใด
ตาม ปอ. มาตรา 10(2) มีสาระสําคัญว่าผู ้ใดกระทําการนอกราชอาณาจักรซึงเป็ นความผิดตามมาตรา
ต่างๆ ทีระบุไว ้ในมาตรา 8 ห ้ามมิให ้ลงโทษผู ้นันในราชอาณาจักรเพราะการกระทํานั นอีก ถ ้าศาลใน
ต่างประเทศพิพากษาให ้ลงโทษและผู ้นันได ้พ ้นโทษแล ้ว
ตามปั ญหาทีกล่าวถึง ยูโซปคนมาเลเซีย ทําร ้ายร่างกายแดงคนไทยเป็ นอันตรายสาหัส เหตุเกิดใน
สิงค์โปร์ ซึงเป็ นสถานทีนอกราชอาณาจักร ความผิดฐานทําร ้ายร่างกายจนเป็ นเหตุให ้ผู ้ถูกทําร ้ายได ้รับอัตราย
สาหัสตามมาตรา 297 เป็ นความผิดทีระบุไว ้ในมาตรา 8 (5) ในเมือศาลสิงค์โปร์พพ ิ ากษาให ้ลงโทษยูโซป
และยูโซปผู ้กระทําความผิดได ้พ ้นโทษแล ้ว แม ้แดงจะร ้องขอให ้ศาลลงโทษตามมาตรา 8 (ก) ศาลไทยก็จะ
พิพากษาลงโทษยูโซปอีกไม่ได ้ตามมาตรา 10(2) ดังกล่าว
้ ังค ับกฎหมายอาญา
แบบประเมินผล หน่วยที 3 การใชบ
โครงสร้างร ับผิดทางอาญา
1. การกระทําครบ “องค์ประกอบ” ทีกฎหมายบัญญัตห ิ มายความว่า
(1) ผู ้กระทําจะต ้องมี “การกระทํา”
(2) การกระทํานันจะต ้องครบ “องค์ประกอบภายนอก” ทีกฎหมายบัญญัตไิ ว ้
(3) การกระทําจะต ้องครบ “องค์ประกอบภายใน” ทีกฎหมายบัญญัตไิ ว ้
(4) ผลของการกระทําจะต ้องสัมพันธ์กับการกระทําตามหลักในเรืองความสัมพันธ์ระหว่างการกระทํา
และผล
2. การกระทําทีครบตามหลักเกณฑ์ข ้างต ้นทัง 4 ประการนันจะต ้องไม่มก ี ฎหมายยกเว ้นความผิด
3. การกระทําทีไม่มก ี ฎหมายยกเว ้นความผิดจะต ้องไม่มก
ี ฎหมายยกเว ้นโทษด ้วย
ถือได้วา
่ การกระทําของฟ้าครบองค์ประกอบทีกฎหมายบ ัญญ ัติไว้ กล่าวคือ ฟ้ามีการกระทํา
การกระทําครบองค์ประกอบภายนอกของความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา ปอ. มาตรา 288 และ
การกระทําครบองค์ประกอบภายในกล่าวคือ “เจตนา” ตามมาตรา 288 และผลของการกระทําคือ
ความตายของม่วงสมพ ั ันธ์ก ับการกระทําของฟ้าตามหล ักในเรืองความสมพ
ั ันธ์ระหว่างการกระทํา
และผล
การกระทําไม่มกี ฎหมายยกเว้นความผิด
การกระทําไม่มก
ี ฎหมายยกเว ้นความผิดหมายความว่าอย่างไร
การกระทําทีไม่มกี ฎหมายยกเว้นความผิดหมายความว่า ผูก ้ ระทําไม่มอ ี ํานาจตามกฎหมายที
ึ
จะกระทําการซงครบองค์ประกอบทีกฎหมายบ ัญญ ัติไว้ ึ
ซงเมือไม่มก ี ฎหมายยกเว้นความผิด
ผูก ้ ระทําก็มค
ี วามผิด แต่ถา้ มีกฎหมายยกเว้นความผิด ผูก ้ ระทําก็ไม่มคี วามผิด กฎหมายทียกเว้น
ความผิดอาจจะบ ัญญ ัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา เชน ่ เรืองป้องก ันต ัว ตาม ปอ. มาตรา 68 หรือ
ไม่ได้บ ัญญ ัติไว้โดยตรง เชน ่ หล ักในเรืองความยินยอมหรือบ ัญญ ัติไว้ในกฎหมายอืน เชน ่ ปพพ.
มาตรา 1567 (2) ให้อํานาจผูใ้ ชอ ้ ํานาจปกครองทําโทษบุตรตามสมควรเพือว่ากล่าวสงสอน ั หรือใน
ร ัฐธรรมนูญ เชน ่ มาตรา 125 ของร ัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจ ักรไทย พุทธศกราช ั ึ
2534 ซงให้ เอก
ิ ิ
สทธิในการอภิปรายในสภาแก่สมาชกร ัฐสภาเป็นต้น
การกระทําไม่มก ี ฎหมายยกเว้นโทษ
การกระทําไม่มก
ี ฎหมายยกเว ้นโทษหมายความอย่างไร
การกระทําไม่มก ี ฎหมายยกเว้นโทษ ึ
หมายความว่าการกระทําซงครบองค์ ประกอบที
กฎหมายบ ัญญ ัติซงไม่ ึ มก ี ฎหมายยกเว้นความผิดนน ั ไม่มกี ฎหมายยกเว้นโทษให้แก่ผก ่ ก ัน
ู ้ ระทําเชน
แต่ถา้ มีกฎหมายยกเว้นโทษแล้ว ผูก ้ ระทําก็ ไม่ตอ
้ งร ับผิดในทางอาญา กฎหมายทียกเว้นโทษมีหลาย
กรณี เชน ่ การกระทําความผิดโดยจําเป็นตาม ปอ. มาตรา 67 เด็ กกระทําความผิดตาม ปอ. มาตรา
73 74 ผูก ้ ระทําวิกลจริต ตาม ปอ. มาตรา 65 วรรคแรก ผูก ้ ระทํามึนเมาตาม ปอ. มาตรา 66 การ
กระทําตามคําสงมิ ั ชอบด้วยกฎหมายของเจ้าพน ักงานตาม ปอ. มาตรา 70 การกระทําความผิดต่อ
ทร ัพย์ในระหว่างสามีภรรยาตาม มาตรา 71 เป็นต้น
(3) การกระทําของเหลืองไม่มก
ี ฎหมายยกเว้นโทษ
เหลืองจึงต้องร ับผิดในทางอาญาฆ่าคนตายโดยเจตนา โดยไตร่ตรองไว้กอ
่ นตามมาตรา 289 (4)
การกระทํา
1. ความรับผิดในทางอาญาของบุคคลจะเกิดขึนเมือบุคคลนันมี “การกระทํา” หากไม่มก ี ารกระทําแล ้ว
บุคคลก็ไม่ต ้อรับผิดในทางอาญา
2. การกระทําคือ การเคลือนไหวร่างกายหรือไม่เคลือนไหวร่างกายโดยรู ้สึกนึกกล่าวคือ อยูภ ่ ายใต ้
บังคับของจิตใจ
3. ในการทีจะวินจ ิ ฉั ยว่าผู ้กระทํามีการกระทําหรือไม่นันต ้องพิจารณาว่าผู ้กระทําคิดทีจะกระทําตกลงใจที
จะกระทําตามทีได ้คิดไว ้ และได ้กระทําไปตามทีตกลงใจนั นหรือไม่ หากเป็ นไปตามขันตอนดังกล่าวก็ถอ ื ว่ามี
การกระทํา
4. การกระทําโดยทัวไปเกิดขึนเมือผู ้กระทําเคลือนไหวร่างกาย แต่การไม่เคลือนไหวร่างกายก็อาจถือว่า
เป็ นการกระทําได ้ ซึงแบ่งการกระทําโดยงดเว ้นและการกระทําโดยละเว ้น
5. การกระทําโดยงดเว ้น หมายถึงงดเว ้นการทีจักต ้องกระทําเพือป้ องกันผล
6. การกระทําโดยละเว ้น หมายถึงการละเว ้นไม่กระทําในสิงซึงกฎหมายบังคับให ้กระทํา
7. หน ้าทีของการกระทําโดยงดเว ้น คือหน ้าทีซึงจะต ้องกระทําเพือป้ องกันผล กล่าวคือ เป็ นหน ้าทีโดย
เฉพาะทีจะต ้องป้ องกันมิให ้เกิดผลขึน ส่วนหน ้าทีของการกระทําโดยละเว ้นเป็ นหน ้าทีโดยทัวๆ ไป มิใช่หน ้าที
โดยเฉพาะเจาะจงทีจะต ้องป้ องกันมิให ้เกิดผลขึน
ความหมายของการกระทํา
จงอธิบายความหมายของ “การกระทํา”
การกระทําหมายถึง การเคลือนไหวร่างกายหรือไม่เคลือนไหวร่างกายโดยรูส ึ นึก กล่าวคือ
้ ก
อยูภ
่ ายใต้บ ังค ับของจิตใจ
การกระทําโดยการเคลือนไหวร่างกาย
การกระทําโดยการเคลือนไหวร่างกายนั น จําเป็ นหรือไม่ ทีผู ้กระทําจะต ้องสัมผัสหรือแตะต ้องกับวัตถุ
แห่งการกระทําโดยตรง
ไม่จําเป็นทีผูก
้ ระทําจะต้องสมผั ัสหรือแตะต้องก ับว ัตถุแห่งการกระทําโดยตรง ผูก ้ ระทําอาจ
้
ใชบค ุ คลอืนๆ เป็นเครืองมือ เชน ่ หลอกให้บค ุ คลทีสามสง ่ ทร ัพย์ของผูเ้ สย
ี หายให้ หรือใชส ้ น
ุ ัขไป
ี หายมาสง
คาบทร ัพย์ของผูเ้ สย ่ ให้ หรือหลอกให้ผเู ้ สย
ี หายเดินไปตกหน้าผา เป็นต้น
การกระทําโดยการไม่เคลือนไหวร่างกาย
การกระทําโดยงดเว ้น หมายความว่าอย่างไร
การกระทําโดยงดเว้น หมายความถึง การให้เกิดผลอ ันใดอ ันหนึงขึนด้วยการงดเว้นไม่
ิ ตนมีหน้าทีต้องกระทํา ซงเป
กระทําในสงที ึ ็ นหน้าทีโดยเฉพาะทีจะต้องกระทําเพือป้องก ันมิให้เกิดผล
นน
ั
การกระทําโดยละเว ้นหมายความว่าอย่างไร
จงอธิบายความแตกต่างระหว่างการกระทําโดยงดเว ้นและการกระทําโดยละเว ้น
แตกต่างก ันตรงทีว่า หน้าทีของการกระทําโดยงดเว้นนน ั เป็นหน้าทีโดยเฉพาะเจาะจงที
จะต้องป้องก ันมิให้เกิดผล สว่ นการกระทําโดยละเว้นนนเป
ั ็ นกรณีทกฎหมายบ
ี ังค ับให้กระทําในเรือง
ทวๆไป
ั ่ ังค ับให้กระทําโดยเฉพาะเจาะจง เพือป้องก ันมิให้เกิดผลขึน
มิใชบ
ขาวเป็ นนั กว่ายนํ าเห็นเขียวกําลังจะจมนํ าตาย ขาวเกลียดเขียวต ้องการให ้เขียวตาย จึงไม่วา่ ยนํ าลง
ไปช่วย ทังๆ ทีสามารถช่วยได ้ เช่นนี ขาวจะมีความผิดฐานใด
หากปรากฏว่าขาวเป็ นบิดาของเขียวซึงเป็ นบุตรผู ้เยาว์ ขาวต ้องการให ้เขียวตาย ขาวจึงปล่อยให ้เขียว
จมนํ าตายไปต่อหน ้าต่อตา ขาวจะมีความผิดฐานใด
ขาวมีความผิดตาม ปอ. มาตรา 374 ซงถื ึ อว่าเป็นการละเว้นไม่กระทําในสงที ิ กฎหมายบ ังค ับ
ให้กระทํา แต่ขาวไม่ผ ิดฐานฆ่าเขียวตายโดยเจตนา เพราะขาวไม่มห ี น้าทีโดยเฉพาะเจาะจงทีจะต้อง
ป้องก ันมิให้เขียวจมนําตาย
ในกรณีหล ัง ขาวมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา โดยถือเป็นการกระทําโดยงดเว้น
เพราะขาวเป็นบิดาของเขียว ขาวย่อมมีหน้าทีตาม ปพพ. ทีจะต้องอุปการะเลียงดูเขียว ซงถื ึ อว่าเป็น
หน้าทีโดยเฉพาะเจาะจงทีจะต้องป้องก ันมิให้เขียวจมนําตายด้วย
องค์ประกอบภายนอก
1. องค์ประกอบภายนอก หมายความถึง ผู ้กระทํา การกระทํา และวัตถุแห่งการกระทํา
2. ผู ้กระทําแบ่งออกเป็ น ผู ้กระทําความผิดเอง ผู ้กระทําความผิดโดยทางอ ้อมและผู ้ร่วมกระทําความผิด
3. การกระทําจะถึงขันทีมีกฎหมายบัญญัตเิ ป็ นความผิด เช่น เข ้าขันลงมือตาม ปอ. มาตรา 80 หรือ
ตระเตรียมในบางกรณี เช่น ตระเตรียมวางเพลิงเผาทรัพย์ ซึง ปอ. มาตรา 219 ถือว่าเป็ นความผิด
4. วัตถุแห่งการกระทํา หมายถึง สิงทีผู ้กระทํามุง่ หมายกระทําต่อ เช่น “ผู ้อืน” ในความผิดฐานฆ่าคน
ตาม ปอ. มาตรา 288 “ทรัพย์ของผู ้อืน” ในความผิดฐานลักทรัพย์ ตาม ปอ. มาตรา 334 หรือฐานทําให ้เสีย
ทรัพย์ ตาม ปอ. มาตรา 358
5. การขาดองค์ประกอบภายนอกหมายความว่า องค์ประกอบภายนอกข ้อใดข ้อหนึงไม่มอ ี ยูต
่ ามความ
เป็ นจริง เช่น ยิงไปทีศพ หรือลักทรัพย์ของตนเอง เป็ นต ้น
ความหมายขององค์ประกอบภายนอก
องค์ประกอบภายนอกของความผิดแต่ละฐานหมายความว่าอย่างไร จงยกตัวอย่างประกอบ
องค์ประกอบภายนอกของความผิดแต่ละฐาน คือ ผูก ้ ระทํา การกระทําและว ัตถุแห่งการ
่ ความผิดฐานฆ่าคนตายคือ (1) ผูใ้ ด (2) ฆ่า (3) ผูอ
กระทํา เชน ้ น
ื
ผูก
้ ระทําความผิดในทางอาญาอาจแยกออกได้เป็น 3 ประเภท คือ ผูก
้ ระทําความผิดเอง
ผูก
้ ระทําความผิดโดยทางอ้อม ผูร้ ว่ มกระทําผิด
การขาดองค์ประกอบภายนอก
ขาดองค์ประกอบภายนอก หมายความว่าอย่างไร
การขาดองค์ประกอบภายนอก หมายความว่า ตามความเป็นจริงขาดองค์ประกอบภายนอก
บางประการไป เชน ่ ในความผิดฐานค่าคนตายตาม ปอ. มาตรา 288 ขาด “ผูอ
้ น”
ื หรือ ในความผิด
ฐานล ักทร ัพย์ตาม ปอ. มาตรา 334 ขาดทร ัพย์ของผูอ
้ น
ื
องค์ประกอบภายใน (เจตนา)
1. เจตนาตามความเป็ นจริง หมายความว่า ผู ้กระทํารู ้ข ้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบภายนอกของ
ความผิด และผู ้กระทําประสงค์ตอ ่ ผลหรือเล็งเห็นผลของการกระทํานั น
2. เจตนาโดยผลของกฎหมาย หมายความว่า ผู ้กระทํารู ้ข ้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบภายนอกของ
ความผิด แต่ผู ้กระทํามิได ้ประสงค์ตอ ่ ผลหรือเล็งเห็น แต่กฎหมายถือว่าผู ้กระทําประสงค์ตอ ่ ผลหรือเล็งเห็นผล
3. การสําคัญผิดในตัวบุคคล หมายความว่า ผู ้กระทํารู ้ข ้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบภายนอกของ
ความผิด และผู ้กระทําก็ประสงค์ตอ ่ ผลหรือเล็งเห็นผลตามความเป็ นจริงแล ้ว เพียงแต่ผู ้กระทําสําคัญผิดต่อ
วัตถุทมุ
ี ง่ หมายกระทําต่อ กล่าวคือสําคัญผิดว่ากําลังกระทําต่อบุคคลหนึงทังๆ ทีตามความเป็ นจริงแล ้วตน
กําลังกระทําต่ออีกบุคคลหนึง
4. การสําคัญผิดว่ามีข ้อเท็จจริงซึงเป็ นเหตุยกเว ้นความผิด ยกเว ้นโทษหรือลดโทษ หมายความว่า
ความจริงไม่มข ี ้อเท็จจริงดังกล่าวเลย แต่ผู ้กระทําสําคัญผิดว่ามีข ้อเท็จจริงดังกล่าวนัน
5. การขาดองค์ประกอบภายนอกของความผิด หมายความว่า ความจริงไม่มอ ี งค์ประกอบภายนอกของ
ความผิดเรืองนันๆเลย เช่น ไม่ม ี “ผู ้อืน” ในฐานความผิดฆ่าคนตาย ตาม ปอ. มาตรา 288 แต่ผู ้กระทําเข ้าใจ
ผิดว่าขาดองค์ประกอบภายนอก กล่าวคือยิงศพคิดว่ายิงคน
การไม่รู ้ข ้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบภายนอกของความผิด หมายความว่า ความจริง มี
องค์ประกอบภายนอกครบถ ้วน เช่นมี “ผู ้อืน” ในความผิดฐานฆ่าคนตายตาม ปอ.มาตรา 288 แต่ผู ้กระทํา
เข ้าใจผิดว่าขาดองค์ประกอบภายนอก กล่าวคือยิงคนแต่คด ิ ว่าคนทียิงนั นเป็ นศพนันเอง
การสําคัญผิดว่ามีข ้อเท็จจริงซึงเป็ นเหตุยกเว ้นความผิด ยกเว ้นโทษหรือลดโทษ หมายความว่าความ
จริงองค์ประกอบภายนอกของความผิดมีอยูค ่ รบ และผู ้กระทําก็เข ้าใจดีอยูแ ่ ล ้วว่ามีองค์ประกอบภายนอก
ครบถ ้วน แต่ผู ้กระทําเข ้าใจไปว่ามีข ้อเท็จจริงซึงเป็ นเหตุยกเว ้นความผิด ยกเว ้นโทษ หรือลดโทษ เช่น ม่วง
เข ้าใจว่าแดงซึงหยิบปื นขึนมาขูล ่ ้อเล่นนั นจะยิงตนจริงๆ ม่วงจึงใช ้ปื นของตนยิงแดงตาย ถือว่าม่วงสําคัญผิด
ว่าตนมีสท ิ ธิป้องโดยชอบด ้วยกฎหมายซึงเป็ นกรณีทกฎหมายยกเว ี ้นความผิด เป็ นต ้น
เจตนาตามความเป็นจริง
ในการทีจะถือว่าผู ้กระทํามีเจตนาได ้จะต ้องมีหลักเกณฑ์อย่างไร
ผูก้ ระทําต้อง “รู”้ ข้อเท็จจริงอ ันเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิด และผูก
้ ระทําจะต้อง
ประสงค์ตอ
่ ผลหรือเล็งเห็นผลของการกระทํานน ั
เจตนาประสงค์ตอ ่ ผลหมายความว่าอย่างไร
เจตนาประสงค์ตอ ่ ผล หมายความว่า มุง ่ หมายหรือประสงค์ตอ ่ ผลโดยตรง ในความผิดต่อ
ชวี ต
ิ และความผิดต่อร่างกาย ในการวินจ ิ ฉัยต้องใชห ้ ล ักกรรมเป็นเครืองชเจตนาเป
ี ็ นแนวทางในการ
่
พิจารณา เชน ผูก ้ ี ํ
้ ระทําใชปืนยิงไปทีผูเ้ สยหาย โดยยิงไปทีอว ัยวะสาค ัญๆ ต้องถือว่าประสงค์ตอ ่ ผล
หรือมุง ี หายตาย แต่ถา้ ใชม
่ หมายให้ผเู ้ สย ้ ด
ี เล็กๆ แทงทีเดียวในเวลามืดคําขณะทีมองเห็นไม่ถน ัด
อาจต้องถือว่าประสงค์หรือมุง ่ หมายต่ออ ันตรายแก่กายหรือจิตใจของผูเ้ สย ี หายเท่านนก็
ั ได้
เจตนาเล็งเห็นผลหมายความว่าอย่างไร
เจตนาเล็ งเห็นผล หมายความว่า ผูก ้ ระทําไม่ประสงค์ตอ ่ ผลแต่เล็ งเห็นได้วา
่ จะเกิดผลอย่าง
แน่นอน เท่าทีจิตใจของบุคคลในฐานะเชน ่ เดียวก ับผูก
้ ระทําโดยปกติเล็งเห็นได้
ในการวินจ ิ ฉัยนน
ั ให้พจ
ิ ารณาถึงเรืองประสงค์ตอ ่ ผลก่อน หากพิจารณาเห็นว่าผูก ้ ระทําไม่
ประสงค์ตอ ่ ผล จึงค่อยมาพิจารณาต่อไปว่าผูก ้ ระทําเล็งเห็นผลหรือไม่ เจตนาประสงค์ตอ ่ ผลหรือ
เล็ งเห็นผลก็ มผ ี ลทางกฎหมายอย่างเดียวก ัน กล่าวคือถ้าเป็นเจตนาฆ่าประเภทประสงค์ตอ ่ ผล
ผูก
้ ระทําก็ ผ ิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา ตาม ปอ.มาตรา 288 ถ้าเป็นเจตนาฆ่าประเภทเล็งเห็นผล
ผูก้ ระทําก็ ผ ิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตาม ปอ. มาตรา 288 เชน ่ เดียวก ัน
เจตนาพิเศษหมายความว่าอย่างไร
เจตนาพิเศษคือ มูลเหตุจง ู ใจในการกระทําความผิด เจตนาพิเศษเป็นคนละกรณีก ับเจตนา
ธรรมดา เจตนาธรรมดาคือประสงค์ตอ ่ ผลหรือเล็งเห็นผล
ความผิดใดกฎหมายต้องเจตนาพิเศษ ก็ จะบ ัญญ ัติถอ ้ ยคําทีแสดงว่าเป็นเจตนาพิเศษไว้ใน
องค์ประกอบของความผิดนนๆ ั ่
โดยตรง เชน คําว่า “โดยทุจริต” ถือว่าเป็นเจตนาพิเศษ ของ
ความผิดฐานล ักทร ัพย์ตาม ปอ.มาตรา 334 คําว่า “เพือให้ผห ู ้ นึงผูใ้ ดหลงเชอว่ ื าเป็นเอกสารที
แท้จริง” เป็นเจตนาพิเศษของของความผิดฐานปลอดเอกสารตาม ปอ. มาตรา 264
ในกรณีพจ ิ ารณาถ้อยคํานนๆ ั เป็นเจตนาพิเศษหรือไม่ให้สงเกตคํั าว่า “เพือ.........” หรือคํา
ว่า “โดยทุจริต” เป็นต้น
ความผิดทีกฎหมายต้องการเจตนาพิเศษ เชน ่ ความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264
หากผูก ่
้ ระทํามีแต่เจตนาธรรมดา เชน ประสงค์ตอ ่ ผลหรือเล็ งเห็นผลเท่านน ั ผูก้ ระทําก็ ย ังไม่ม ี
ความผิด โดยถือว่าขาดองค์ประกอบภายใน แต่ถา้ มีความผิดมาตรานนๆ ั กฎหมายไม่ตอ ้ งการเจตนา
พิเศษ เชน ่ ความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตาม ปอ. มาตรา 288 เพียงแต่ผน ู ้ นกระทํ
ั ามีเจตนา
ธรรมดา กล่าวคือ ประสงค์ตอ ่ ผลหรือเล็ งเห็นผล ผูก
้ ระทําก็ มค
ี วามผิดแล้ว
เจตนาโดยผลของกฎหมาย
เจตนาโดยผลของกฎหมายหมายความว่าอย่างไร
หมายความว่า กฎหมายถือว่าผูก ้ ระทํามีเจตนาประสงค์ตอ่ ผลหรือเล็ งเห็นผลต่อผูอ ื งึ
้ นซ
ได้ร ับผลจากการกระทําแม้วา
่ ความจริงผูก
้ ระทําจะมิได้ประสงค์ตอ่ ผลหรือเล็งเห็นผลนนๆั เลย
ประมวลกฎหมายอาญาได้บ ัญญ ัติเกียวก ับเรืองนีไว้ในมาตรา 60 ซงเรีึ ยกก ันว่าการกระทํา
โดยพลาด
จงอธิบายหลักเกณฑ์ทสํ ี าคัญของการกระทําโดยพลาดตามมาตรา 60
การทีจะถือว่าเป็นการกระทําโดยพลาดนน ั ผูถ
้ ก
ู กระทําจะต้องมีตงแต่ ั สองฝ่ายขึนไป และ
ผูก
้ ระทําจะต้องมิได้มเี จตนาประสงค์ตอ ่ ผลหรือเล็ งเห็นผลต่อผูร้ ับผลของการกระทําโดยพลาด
หากผูก ้ ระทํามีเจตนากระทําต่อชวี ต ิ ขิ องบุคคลหนึง หากผลไปเกิดแก่ทร ัพย์ของอีกบุคคล
หนึงก็ ไม่ถอ ื ว่าเป็นการกระทําโดยพลาด เพราะผูก ้ ระทํารูข้ อ
้ เท็จจริงอ ันเป็นองค์ประกอบภายนอก
ของความผิดฐานฆ่าคนตายตาม ปอ. มาตรา 288 ผูก ้ ระทําไม่รขู้ อ
้ เท็จจริงอ ันเป็นองค์ประกอบ
ภายนอกของความผิด ฐานทําให้เสย ี ทร ัพย์ตาม ปอ. มาตรา 358 จึงถือว่ามีเจตนาทําให้เสย ี ทร ัพย์
ไม่ได้ เชน ่ ม่วงต้องการฆ่าแดงใชป ้ ื นยิงไปทีแดงกระสุนไม่ถก ู แดง แต่ถก ู แจก ันลายครามทองเหลือง
แตกเสย ี หาย เชน ่ นีจะถือว่าม่วงกระทําโดยเจตนาต่อทร ัพย์ของเหลืองไม่ได้
การสําคัญผิดในตัวบุคคลต่างกับการกระทําโดยพลาดอย่างไร จงยกตัวอย่าง
สําค ัญผิดในต ัวบุคคลมีผเู ้ สย
ี หายเพียงฝ่ายเดียว กล่าวคือผูท ้ ได้
ี ร ับผลร้ายจากการกระทํา
่ นพลาดนนมี
สว ี หายสองฝ่ายคือ ผูเ้ สย
ั ผเู ้ สย ี หายฝ่ายแรกทีผูก ้ ระทํามุง
่ หมายกระทําต่อ (ผลจะเกิดแก่
ี หายฝ่ายแรกหรือไม่ก็ตาม) และผูเ้ สย
ผูเ้ สย ี หายฝ่ายทีสองซงได้
ึ ร ับผลร้ายจากการกระทํานน ั
ต ัวอย่าง
หากความสําคัญผิดดังกล่าวเกิดขึนด ้วยความประมาทจะมีผลอย่างไร
ผูก
้ ระทําต้องร ับผิดฐานประมาท ในกรณีทกฎหมายบ
ี ัญญ ัติวา
่ การกระทําโดยประมาทเป็น
ความผิด
ต ัวอย่าง
ม่วงต้องการล้อแดงเล่น จึงเอาปื นเด็กเล่นขูว่ า ้ ืน
่ จะยิงแดง แดงไม่ท ันดูให้ด ี คิดว่าม่วงใชป
จริงๆ จะยิงตน แดงจึงใชป ้ ื นของตนยิงม่วงตาย แดงอ้างป้องก ันโดยสําค ัญผิด เพือยกเว้นความผิด
ฐานฆ่าม่วงตามโดยเจตนาได้ แต่แดงจะต้องร ับผิดฐานฆ่าม่วงตายโดยประมาทตาม ปอ. มาตรา
291 เพราะความสา ํ ค ัญผิดของตนเองเกิดขึนด้วยความประมาท
ผลในทางกฎหมายของการขาดองค์ประกอบภายนอกของความผิดมีอย่างไร
ถือว่าผูก
้ ระทําไม่มค
ี วามผิดเพราะขาดองค์ประกอบ เชน่ ยิงศพคิดว่ายิงคนถือว่าไม่ม ี
ความผิดฐานฆ่าคน เพราะไม่ม ี “ผูอ ้ น”
ื ล ักทร ัพย์ของตนเองโดยคิดว่าเป็นทร ัพย์ของผูอ้ นถื
ื อว่าไม่
ผิดฐานล ักทร ัพย์ เพราะไม่ม ี “ทร ัพย์ของผูอ
้ น”
ื อย่างไรก็ตาม มีบางความเห็นถือว่าผูก
้ ระทําผิดฐาน
พยายามซงเปึ ็ นไปไม่ได้ อย่างแน่แท้ตาม ปอ. มาตรา 81 ได้
องค์ประกอบภายใน (ประมาท)
1. การกระทําโดยประมาท ไดแก่ความผิดมิใช่โดยเจตนา
2. ผู ้กระทําได ้กระทําไปโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึงบุคคลในภาวะเช่นนีจักต ้องมีตามวิสย ั และ
พฤติการณ์ และผู ้กระทําอาจใช ้ความระมัดระวังเช่นว่านั นได ้ แต่หาได ้ใช ้ให ้เพียงพอไม่
3. ในการทีจะวินจ ิ ฉั ยว่าผู ้กระทําได ้กระทําโดยประมาทหรือไม่นัน ต ้องสมมติบค ุ คลขึนเปรียบเทียบมีทกุ
อย่างเหมือนเหมือนผู ้กระทํานัน กล่าวคือ อยูใ่ นภาวะอย่างเดียวกัน ตามวิสย ั แลพฤติการณ์เหมือนๆ กัน
หล ักในการวินจ ิ ฉัยเรืองประมาท
การกระทําโดยประมาทตาม ปอ. มาตรา 59 วรรค 4 มีหลักเกณฑ์อย่างไร
มีหล ักเกณฑ์ด ังนี
(ก) มิใชเ่ ป็นการกระทําความผิดโดยเจตนา
(ข) กระทําไปโดยปราศจากความระม ัดระว ัง ซงบุ ึ คคลในภาวะเชน ั
่ นีจ ักต้องมีตามวิสยและ
พฤติการณ์
(ค) ผูก้ ระทําอาจใชค ้ วามระม ัดระว ังเชน
่ ว่านนได้
ั แต่หาได้ใชใ้ ห้เพียงพอไม่
ั
ข้อสงเกตบางประการเกี ยวก ับการกระทําโดยประมาท
ม่วงขับรถโดยไม่มใี บอนุญาตให ้ขับขี แต่มว่ งขับรถไปตามถนนด ้วยความระมัดระวัง แดงวิงตัดหน ้ารถ
ของม่วงในระยะกระชันชิด รถของม่วงชนแดงตาย เช่นนี จะถือว่าการทีม่วงฝ่ าฝื นกฎหมายด ้วยการขับรถโดย
ไม่มใี บอนุญาต เป็ นการกระทําโดยประมาทตาม ปอ. มาตรา 59 วรรค 4 และต ้องรับผิดตาม ปอ. มาตรา 291
ฐานทําให ้คนตายโดยประมาทเลยจะถูกต ้องหรือไม่
ไม่ถกู ต้อง การทีม่วงฝ่าฝื นกฎหมายด้วยการข ับรถยนต์ไปตามถนนโดยไม่มใี บอนุญาตข ับขี
นน
ั จะถือว่าการกระทําด ังกล่าวเป็นประมาทท ันทีไม่ได้ การกระทําของม่วงจะเป็นประมาทหรือไม่
จะต้องเป็นไปตามหล ักเกณฑ์ ของมาตรา 59 วรรค 4 การข ับรถยนต์โดยไม่มใี บอนุญาตให้ข ับขี
อาจจะถือว่าไม่ประมาทก็ ได้ หากไม่เป็นการกระทําโดยปราศจากความระม ัดระว ังตามหล ักเกณฑ์
ของ ปอ. มาตรา 59 วรรค 4
องค์ประกอบภายใน (ไม่เจตนาและไม่ประมาท)
1. ความผิดอาญาในบางเรือง กฎหมายกําหนดให ้ผู ้ซึงมีการกระทําอันครบองค์ประกอบภายนอกต ้องรับ
ผิดทันทีโดยไม่ต ้องคํานึงถึงองค์ประกอบภายใน กล่าวคือแม ้ผู ้กระทําจะไม่เจตนาและไม่ประมาท ผู ้กระทําซึง
มีการกระทําอันครบองค์ประกอบภายนอกก็ต ้องมีความผิด
2. ประมวลกฎหมายอาญา ได ้บัญญัตเิ กียวกับความผิดทีผู ้กระทําไม่ต ้องเจตนาและไม่ต ้องประมาทไว ้ใน
ความผิดลหุโทษ นอกจากนันยังมีพระราชบัญญัตอ ิ นๆ
ื อีกบางเรือง เช่น พระราชบัญญัตศ ิ ลุ กากรซึงลงโทษผู ้
ทียืนรายการเสียภาษี ศลุ กากรทีไม่ตรงกับความเป็ นจริงโดยไม่คํานึงว่า ผู ้นันเจตนายืนไม่ตรงกับความจริงหรื
อประมาทในการยืนไม่ตรงกับความจริงนันหรือไม่
3. ความผิดทีไม่ต ้องมีเจตนาและไม่ต ้องประมาทนี ก็ยังอยูภ ่ ายใต ้หลักทัวไปทีว่าผู ้กระทําต ้องมีการ
กระทํา หากไม่มก ี ารกระทําแล ้ว ก็ไม่มคี วามผิด
4. เนืองจากไม่มเี จตนา ผู ้กระทําก็มค ี วามผิด เพราะฉะนัน ผู ้กระทําจะยกเอาข ้อแก ้ตัวว่าไม่รู ้ข ้อเท็จจริง
อันเป็ นองค์ประกอบภายนอกของความผิดมาอ ้าง เพือไม่ต ้องรับผิดไม่ได ้ เพราะข ้ออ ้างดังกล่าวใช ้ได ้เฉพาะ
สําหรับความผิดทีต ้องการแสดงเจตนาเท่านั น
5. อย่างไรก็ตาม ข ้อแก ้ตัวอืนๆ เช่น กระทําไปเพราะความจําเป็ นตาม ปอ. มาตรา 67 หรือสําคัญผิดใน
ข ้อเท็จจริงตาม ปอ. 62 ก็ยังนํ ามาอ ้างเพือเป็ นคุณแก่ผู ้กระทําได ้อยูเ่ สมอ
ความหมายของการกระทํา “ไม่เจตนาและไม่ประมาท”
ความผิดทีไม่ต ้องมีเจตนาไม่ต ้องประมาทก็เป็ นความผิด หมายความว่าอย่างไร
หมายความว่า แม้ผก ู ้ ระทําไม่มเี จตนาและไม่ประมาท ผูก ้ ระทําก็ตอ้ งมีความผิด กล่าวคือเป็น
ความผิดทีไม่คํานึงถึงองค์ประกอบภายในใดๆ เลย เมือการกระทําครบองค์ประกอบภายนอกของ
ความผิดในเรืองนนๆั แล้วก็ ถอ ื ว่าผูก
้ ระทํามีความผิดท ันที ไม่ตอ้ งคํานึงถึงสภาพจิตใจของผูก ้ ระทํา
แต่อย่างใดเลย
ั
ข้อสงเกตบางประการเกี ยวก ับการกระทําโดยไม่เจตนาและไม่ประมาท
หากผู ้กระทําไม่มก ี ารกระทําตามความหมายของกฎหมาย ผู ้กระทําจะมีความผิดในความผิดทีไม่
ต ้องการเจตนาและไม่ต ้องการประมาทหรือไม่
ผูก
้ ระทําจะไม่มค ี วามผิด เพราะความผิดทีไม่ตอ ้ งเจตนาและไม่ประมาทก็ เป็นความผิดได้น ี
ย ังต้องอยูภ่ ายใต้หล ักทวไปที
ั ว่า บุคคลจะต้องร ับผิดในทางอาญาเมือมีการกระทําตามความหมาย
ของกฎหมาย หากไม่มก ี ารกระทําก็ ไม่มค ี วามผิด
ั ันธ์ระหว่างการกระทําและผล
6.1 ความสมพ
1. ความผิดทีต ้องมีผลแยกออกจากการกระทํา หรือทีเรียกกันว่า ความผิดทีต ้องมีผลปรากฏ เช่น
ความผิดฐานฆ่าคนตาย ตาม ปอ. มาตรา 288 นัน หากมีผลคือความตายของผู ้กระทําเกิดขึน ผู ้กระทําจะต ้อง
รับผิดฐานฆ่าคนตายก็ตอ ่ เมือความตายนันสัมพันธ์กับการกระทําของผู ้กระทําตามหลักในเรืองความสัมพันธ์
ระหว่างการกระทําและผล หากความตายนั นไม่สม ั พันธ์กับการกระทําของผู ้กระทํา ตามหลักในเรือง
ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทําแล ้วผู ้กระทําก็ไม่ต ้องรับผิดในความตายนัน แต่อาจต ้องรับผิดในการกระทํา
ของตนก่อนเกิดผลนัน เช่น รับผิดฐานพยายามฆ่า เป็ นต ้น
2. ผู ้กระทําจะต ้องรับผิดในผลนัน ผากผลนันเป็ นผล “ผลโดยตรง” หากไม่ใช่ “ผลโดยตรง” ก็ไม่ต ้องรับ
ผิดในผลนั น
“ผลโดยตรง” คือผลตาม “ทฤษฎีเงือนไข” ซึงมีหลักว่า “ถ ้าไม่มก ี ารกระทําผลไม่เกิดถือว่า ผลเกิด
จากการกระทํานัน แม ้ผลนันจะเกิดขึนได ้ ต ้องมีเหตุอนๆ ื ร่วมด ้วยก็ตาม”
3. ถ ้า “ผลโดยตรง” เกิดจาก “เหตุแทรกแซง” ผู ้กระทําจะต ้องรับผิดในผลนันก็ตอ ่ เมือ ผลนั นเกิดจาก
“เหตุแทรกแซง” ทีคาดหมายได ้ในการวินจ ิ ฉั ยว่าคาดหมายได ้หรือไม่ ต ้องใช ้มาตรฐานของวิญ ช ู น
“เหตุแทรกแซง” ที “คาดหมายได ้” คือเหตุตาม “ทฤษฎีเหตุทเหมาะสม” ี นั นเอง
4. ในกรณีทผลของการกระทํ
ี า ทําให ้ผู ้กระทําต ้อรับโทษหนั กขึน ผู ้กระทําจะต ้องรับผิดในผลนั นก็
ต่อเมือ เป็ นทัง “ผลโดยตรง” และผลธรรมดา
“ผลธรรมดา” คือผลตาม “ทฤษฎีเหตุทเหมาะสม” ี กล่าวคือเป็ นผลทีผู ้กระทําสามารถ “คาดเห็น”
ความเป็ นไปได ้ของผลนัน การวินจ ิ ฉั ยความสามารถในการคาดเห็นใช ้มาตรฐานของวิญ ช ู น
ประมวลกฎหมายอาญาได ้บัญญัตห
ิ ลักในเรืองความสัมพันธ์ระหว่างการกระทําและผลไว ้อย่างไรบ ้าง
หรือไม่
ประมวลกฎหมายอาญา มิได้บ ัญญ ัติหล ักทวไปในเรื
ั อง “ผลโดยตรง” ไว้แต่อย่างใดเพียงแต่
บ ัญญ ัติไว้ใน ปอ. มาตรา 63 ว่า “ถ้าผลของการกระทําความผิดใดทําให้ผกู ้ ระทําต้องร ับโทษหน ัก
ขึน ผลของการกระทําความผิดนนต้ ั องเป็นผลทีตามธรรมดาย่อมเกิดขึนได้” ตาม ปอ. มาตรา 63
คือหล ัก “ผลธรรมดา” นนเอง
ั
6.1.2 “ผลโดยตรง”
ผลโดยตรง ตามทฤษฎีเงือนไขหมายความว่าอย่างไร
ผลโดยตรงตามทฤษฎีเงือนไขคือ ผลทีเกิดขึนตามหลักของทฤษฎีเงือนไขทีว่า “ถ ้าไม่มก ี ารกระทํา
(ของจําเลย) ผลไม่เกิด ถือว่าผลเกิดจากการกระทํา (ของจําเลย) นั น แม ้ว่า ผลนันจะเกิดขึนได ้ จะต ้องมีเหตุ
อืนๆ ในการก่อให ้เกิดผลนันขึนด ้วย ก็ตาม แต่ถ ้าไม่มก
ี ารกระทํา (ของจําเลย) นั นแล ้ว ผลก็ยังเกิดขึน เช่นนี
จะถือว่า ผลนั นเกิดจากการกระทํา (ของจําเลย)ไม่ได ้
ึ ดจากเหตุแทรกแซง
6.1.3 “ผลโดยตรง” ซงเกิ
ทฤษฎีเหตุทเหมาะสมหมายความว่
ี าอย่างไร
หมายความว่าเหตุนนเหมาะสมเพี
ั ยงพอตามปกติทจะก่
ี อให้เกิดผลอ ันเป็นความผิดขึน
หรือไม่ หากเหมาะสมผูก้ ระทําต้องร ับผิดในผลอ ันนน
ั หากไม่เหมาะสมก็ ไม่ตอ้ งร ับผิด
6.1.4 “ผลธรรมดา”
ในกรณีใดทีจะต ้องใช ้หลัก “ผลธรรมดา” วินจิ ฉั ยความสัมพันธ์ระหว่างการกระทําและผล
ในการวินจ
ิ ฉั ยว่าผลทีเกิดขึนเป็ นผลธรรมดาหรือไม่นัน ต ้องใช ้มาตรฐานของผู ้ใดเป็ นหลักในการ
พิจารณา
ในกรณีทผลของการกระทํ
ี าความผิดจะทําให้ผก ่ นี
ู ้ ระทําต้องร ับโทษหน ักขึนในกรณีเชน
ผูก
้ ระทําจะต้องร ับโทษหน ักขึนเฉพาะเมือผลทีเกิดขึนนนเป ั ็ น ผลธรรมดาของการกระทําความผิดใน
ตอนแรก หากเป็นผลผิดธรรมดา ผูก
้ ระทําก็ ไม่ตอ
้ งร ับโทษหน ักขึนแต่ร ับโทษเฉพาะเท่านนทีั ได้
กระทําไปโดยเจตนาในตอนแรก ในการวิจ ัยผลธรรมดานนต้ ั องใชม ้ าตรฐานของวิญ ูชนเป็นหล ัก
ม่วงวางเพลิงเผาบ ้านของแดงในขณะทีแดงไปพักผ่อนต่างจังหวัดปรากฏว่าไฟคลอดเหลืองเพือของ
แดงซึงแอบมานอนพักอยูต ่ าย เช่นนี ม่วงต ้องรับผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์เป็ นเหตุให ้คนตายหรือไม่
หากปรากฏว่าม่วงวางเพลิงเผาโกดังเก็บสินค ้าของแดงทีทิงไว ้รกร ้างว่างเปล่า ในทีเปลียวไม่มผ ี ู ้คน
อยูอ่ าศัย แต่เหลืองซึงหลงทางมาและแอบเข ้าไปนอนพักอยูถ ่ กู ไฟคลอกตาย เช่นนี ม่วงจะมีความผิดฐาน
วางเพลิงเผาทรัพย์เป็ นเหตุให ้คนตายหรือไม่
ม่วงต้องร ับผิดฐานวางเพลิงเผาทร ัพย์เป็นเหตุให้คนตายตาม ปอ. มาตรา 224 ซงมี ึ โทษ
หน ักกว่ามาตรา 214 (1) เพราะความตายของแดงซงเป ึ ็ นผลทีทําให้มว่ งต้องร ับโทษตามมาตรา
224 ซงหน ึ ักกว่าโทษตามมาตรา 218 (1) นน ั เป็นผลธรรมดาของการวางเพลิงเผาบ้าน
ในกรณีหล ัง ม่วงผิดเพียงฐานวางเพลิงเผาโรงเรือนอ ันเป็นทีเก็ บสน ิ ค้าตาม ปอ. มาตรา 218
(2) เท่านน ั แต่ไม่ผ ิดฐานวางเพลิงเผาทร ัพย์เป็นเหตุให้คนตายตาม ปอ. มาตรา 224 เพราะความ
ตายของเหลืองไมใชผ ่ ลธรรมดาจากการวางเพลิงเผาโรงเรือนเก็บสน ิ ค้าซงทิ
ึ งไว้รกร้างในสถานที
ึ
ซงไม่ มผ ี ค
ู ้ นอยูอ ั
่ าศยในล ักษณะเชน ่ นน
ั
ั ันธ์ระหว่างการกระทําและผลในความผิดบางมาตรา
6.2 ปัญหาความสมพ
1. ความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา ตาม ปอ. มาตรา 290 ผู ้กระทําไม่มเี จตนาฆ่าแต่มเี จตนาทํา
ร ้าย และการทําร ้ายนั นเป็ นเหตุให ้ผู ้อืนถึงแก่ความตาย ปั ญหาในเรืองสันพันธ์ระหว่างการทําร ้ายและความตาย
นั น มีความเห็นอยู่ 2 แนว ความเห็นแรกถือว่าต ้องใช ้หลักผลธรรมดาตามมาตรา 63 เพราะถือว่าผลคือความ
ตายของผู ้ถูกทําร ้าย ทําให ้ผู ้กระทําต ้องรับโทษหนั กขึนจากการทําร ้ายตามมาตรา 295 หรือมาตรา 391 อีก
ความเห็นหนึงถือว่า ความตายของผู ้ถูกทําร ้ายไม่ใช่ผลทีทําให ้ผู ้กระทําต ้องรับโทษหนั กขึน จึงไม่ต ้องใช ้หลัก
ผลธรรมดา แต่ใช ้หลัก “ผลโดยตรง” ตามทฤษฎีเงือนไข หากมีเหตุแทรกแซงเกิดขึนก็ใช ้ทฤษฎีเหตุท ี
เหมาะสมเพือดูวา่ คาดหมายได ้หรือไม่
2. ความผิดฐานทําร ้ายร่างกายจนเป็ นเหตุให ้เกิดอันตรายแก่กาย หรือจิตใจตามมาตรา 295 นั น ก็ม ี
ความเห็นอยู่ 2 แนวทางเช่นเดียวกัน ความเห็นแรกถือว่าต ้องใช ้หลักผลธรรมดาตาม มาตรา 63 เพราะถือว่า
ผลคืออันตรายแก่กายหรือจิตใจ ทําให ้ผู ้กระทําต ้องรับโทษหนั กขึนจากการกระทําความผิดตามมาตรา 391
อีกความเห็นหนึงถือว่า อันตรายแก่กายหรือจิตใจไม่ใช่ผลทีทําให ้ผู ้กระทําต ้องรับโทษหนั กขึน แต่เป็ นผลที
ผู ้กระทําจะต ้องมีเจตนาโดยตรงให ้เกิดผลนันขึน หากมีเจตนาให ้เกิดผลดังกล่าว แต่ผลไม่เกิดก็ผด
ิ ฐาน
พยายาม แต่ถ ้าไม่มรเจตนาจะให ้เกิดผลเป็ นอันตรายแก่กายหรือจิตใจ แม ้ในบันปลายจะเกิดผลเป็ นอันตราย
แก่กายหรือจิตใจก็อาจเป็ นเรืองของการกระทําโดยประมาทมิใช่เจตนา
หน่วยที 7 การพยายามกระทําความผิด
หล ักทวไปของการพยายามกระทํ
ั าความผิด
่ นลงมื
1. การกระทําจะเริมเป็ นความผิดต่อเมือพ ้นขันตระเตรียมการเข ้าสูข ั อทํา
2. แนวความคิดเรืองการลงมือกระทําความผิดมีหลายแนวแต่ของไทยใช ้อยู่ 2 หลัก คือ หลักความ
ใกล ้ชิดกับผลและหลักการกระทําความผิดทีประกอบไปด ้วยกรรมเดียวหรือหลายกรรม
3. การพยายามกระทําความผิด ผู ้กระทําต ้องมีเจตนากระทําให ้บรรลุผลตามเจตนา แต่ผู ้กระทํา กระทํา
ไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล ้วแต่การกระทํานั นไม่บรรลุผล
การเริมต้นของความผิด
การลงมือกระทําความผิด
ปั จจุบันนีศาลฎีกาของไทยใช ้หลักอะไรในการวินจ ิ ฉั ยเรืองการลงมือกระทําความผิด และหลักนีมี
ข ้อดีข ้อเสียอย่างไร
ปัจจุบ ันนีศาลฎีกาของไทยใชห ้ ล ักความใกล้ชด ิ ก ับผลเป็นหล ักในการวินจ ิ ฉัยเรืองการลงมือ
กระทําความผิดโดยหล ักนีให้ดว ู า่ การทีได้กระทําไปนนใกล้ ั ชดิ ก ับความผิดสา ํ เร็จหรือไม่ ถ้าใกล้ชด ิ
ก็ ถอ
ื ว่าลงมือกระทําความผิดแล้ว
อย่างไรก็ด ี หล ักนีก็ มท ี งข้
ั อดีและข้อเสย ี กล่าวคือ ในข้อดีนน ั หล ักความใกล้ชด ิ ก ับผลนี
สะดวกดีทสามารถยื ี ดหยุน ่ ได้ ทําให้ศาลสามารถใชด ้ ล ุ พินจ ิ เป็นเรืองๆว่า การกระทํานนใกล้ ั หรือไกล
ํ
ก ับผลสาเร็จ แต่ก็มข ้ เสยคือจะถือว่าการกระทําเพียงใด จึงจะเรียกว่าใกล้ชดก ับความผิดสําเร็จ
ี อ ี ิ
ย่อมต้องแล้วแต่ความคิดเห็นของแต่ละบุคคล ซงแต่ ึ ละคนก็ มค ี วามคิดแตกต่างก ัน ด ังนนหล ั ักนีจึง
ขาดความแน่นอน ทําให้ตอ ้ งอาศยดู ั จากแนวคําพิพากษาฎีกาทีเคยวินจ ิ ฉัยไว้แล้วในเรืองนนๆ ั เป็น
เกณฑ์วา่ แค่ไหนใกล้หรือไกลก ับความผิดสา ํ เร็จ
หล ักเกณฑ์การพยายามกระทําความผิด
จงบอกหลักเกณฑ์ทวไปของการพยายามกระทํ
ั าความผิด
จากบทบ ัญญ ัติ มาตรา 80 เราสามารถแยกหล ักเกณฑ์การพยายามกระทําความผิดได้เป็น
3 ประการ คือ
(1) ต้องเป็นการกระทําโดยเจตนา
(2) ผูก้ ระทําต้องได้ลงมือกระทําความผิดแล้ว
(3) กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทําไม่บรรลุผล
นาย ก กําลังเดินอยูบ
่ ริเวณทีจอดรถของศูนย์การค ้าแห่งหนึง นาย ข ถอยรถออกจากทีจอดรถ ด ้วย
ความรีบร ้อนไม่ทนั เห็นนาย ก รถของนาย ข จึงชนนาย ก ล ้มลง การทีนาย ก แจ ้งความกับเจ ้าหน ้าทีตํารวจว่า
ให ้จับนาย ข มาดําเนินคดีในข ้อหาพยายามฆ่าตนนัน ท่านเห็นว่าถูกต ้องหรือไม่
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80 ได้บ ัญญ ัติไว้วา่ “ผูใ้ ดลงมือกระทําความผิด แต่
กระทําไปไม่ตลอดหรือกระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานนไม่ั บรรลุผล ผูน
้ นพยายามกระทํ
ั า
ความผิด” การทีจะถือว่าผูใ้ ดพยายามกระทําความผิดนน ั ต้องปรากฏว่าผูน
้ นมี
ั เจตนากระทําและ
จะต้องได้ ลงมือกระทําแล้ว แต่กระทําไปไม่ตลอดหรือกระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานนไม่ ั
บรรลุผล
จากข้อเท็จจริงตามปัญหา การทีนาย ข ถอยรถด้วยความรีบร้อน และไม่ท ันเห็นนาย ก จึง
ชนนาย ก ล้มลงนน ั เห็นว่าการกระทําของนาย ข เป็นการกระทําโดยประมาท หรือขาดความ
ึ คคลในภาวะเชน
ระม ัดระว ังซงบุ ่ นนจะพึงมี
ั ั
ตามวิสยและพฤติ การณ์ การทีนาย ก ไปแจ้งความก ับ
การพยายามกระทําความผิดทีไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้
1. กรณีทจะเป็
ี นการพยายามกระทําความผิดทีไม่สามารถบรรลุผลได ้อย่างแน่แท ้ตามมาตรา 81 ได ้
จะต ้องผ่านหลักเกณฑ์อย่างเดียวกันกับการพยายามกระทําความผิดตามมาตรา 80 ด ้วย
2. แม ้การกระทําบางอย่างจะไม่สามารถบรรลุผลได ้อย่างแน่แท ้ แต่เมือการกระทํานันมุง่ ต่อผลซึง
กฎหมายบัญญัตเิ ป็ นความผิด การกระทําก็แสดงถึงเจตนาชัวร ้ายของผู ้กระทําการนันแล ้วจึงสมควรทีจะต ้อง
ลงโทษบ ้าง เพือดัดนิสย ั ของผู ้กระทํา
3. การไม่สามารถบรรลุผลอย่างแน่แท ้นี กฎหมายบัญญัตส ิ าเหตุไว ้เพียง 2 ประการ คือปั จจัยทีใช ้ในการ
กระทําอย่างหนึง และวัตถุทมุ ี ง่ หมายกระทําต่ออีกอย่างหนึง
4. ผลของการพยายามกระทําความผิดซึงเป็ นไปไม่ได ้อย่างแน่แท ้ กฎหมายให ้ลงโทษได ้ไม่เกินกึง
หนึงของโทษทีกฎหมายกําหนดไว ้สําหรับความผิดนั น แต่อย่างไรก็ดศ ี าลจะไม่ลงโทษเลยก็ได ้ หากการ
กระทําซึงเป็ นไปไม่ได ้อย่างแน่แท ้นันได ้กระทําไปโดยความเชืออย่างงมงาย
5. การพยายามกระทําความผิดโดยทัวๆ ไป และการพยายามกระทําความผิดทีไม่สามารถบรรลุผลได ้
อย่างแน่แท ้ แม ้จะเป็ นการพยายามกระทําความผิดเหมือนกันแต่ก็มข ี ้อแตกต่างกันหลายประการ
หล ักเกณฑ์ของการพยายามกระทําความผิดทีไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้
นาย ก ต ้องการฆ่านาย ข จึงเตรียมปื นบรรจุกระสุนไว ้พร ้อมวางไว ้หัวเตียง ภรรยาของนาย ก ไม่
อยากให ้นาย ก ทําผิดกฎหมาย จึงแอบถอดเอากระสุนออกหมด นาย ก ไม่รู ้ จึงนํ าปื นทีไม่มล ี ก
ู นันไปยิงนาย
ข ให ้ท่านวินจิ ฉั ยว่า นาย ก มีความผิดฐานใดหรือไม่
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 81 ได้บ ัญญ ัติไว้วา่ ผูท
้ กระทํ
ี าการโดยมุง่ ต่อผลซงึ
กฎหมายบ ัญญ ัติเป็นความผิด แต่การกระทํานนไม่ ั สามารถจะบรรลุผลอย่างแน่แท้เพราะเหตุปจ ั จ ัย
ึ
ซงใช ใ้ นการกระทํา หรือเหตุแห่งว ัตถุทมุ ี ง
่ หมายกระทําต่อให้ถอ ื ว่าผูน
้ นพยายามกระทํ
ั าความผิด
จากข้อเท็จจริงตามปัญหา การที นาย ก ต้องการฆ่า นาย ข จึงเตรียมปื นบรรจุกระสุนไว้
พร้อมแล้ว เห็นได้วา ่ นาย ก มีเจตนาฆ่านาย ข แล้วแต่ปรากฏว่าภรรยานาย ก ไม่อยากให้นาย ก ทํา
ผิดกฎหมายจึงแอบถอดเอากระสุนออกหมด นาย ก ไม่รจ ู ้ งึ นําปื นทีไม่มก ี ระสุนนนไปยิ
ั งนาย ข เห็น
ว่ากรณีน ี นาย ก ได้ลงมือกระทําความผิดตามเจตนาของตนแล้วแต่การกระทําของนาย ก ไม่
บรรลุผลอย่างแน่แท้ เพราะเหตุปัจจ ัยทีใชใ้ นการกระทําคือซงไม่ ึ มกี ระสุน นาย ก จึงต้องร ับผิดฐาน
พยายามฆ่านาย ข ตามมาตรา 81 ด ังกล่าวมาแล้ว
ผลของการพยายามกระทําความผิดทีไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้
นาง ก ภรรยาน ้อยของนาย ข ต ้องการจะฆ่าภรรยาหลวงของนาย ข นาง ก เป็ นคนเชือทางไสย
ศาสตร์ จึงไปให ้หมอผีเสกขนม หมอผีได ้ทําพิธแ ี ละบอกว่า ถ ้าภรรยาหลวงของนาย ข กินขนมนีแล ้ว จะต ้อง
ตายภายใน 3 วัน นาง ก จึงนํ าขนมนั นไปให ้ภรรยาหลวงของนาย ข กิน กรณีนี นาง ก จะมีความผิดฐานใด
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 81 วรรค 2 ได้บ ัญญ ัติวา ่ ถ้าการกระทําด ังกล่าวในวรรค
แรก กล่าวคือกระทําการมุง ึ
่ ต่อผลซงกฎหมายบ ัญญ ัติเป็นความผิด แต่การกระทํานนไม่ ั สามารถจะ
บรรลุผลได้อย่างแน่แท้เพราะเหตุปจ ึ ้
ั จ ัยซงใชกระทํา หรือเหตุแห่งว ัตถุทมุ
ี ง
่ หมายกระทํานนได้
ั
กระทําไปโดยความเชออย่ ื างงมงายศาลจะไม่ลงโทษก็ ได้
จากข้อเท็จจริงตามปัญหา การทีนาง ก ภรรยาน้อยของนาย ข ต้องการจะฆ่าภรรยาหลวง
ของนาย ข เห็นว่า นาง ก มีเจตนาจะฆ่าภรรยาหลวงของนาย ก แล้ว จึงได้ไปหาหมอผีเสกขนม
เพราะตนมีความเชอว่ ื า หมอผีสามารถเสกขนมให้เป็นพิษ และนําไปฆ่าภรรยาหลวงของนาย ข ตาย
ได้ หล ังจากหมอผีทําพิธีเสร็จ นาง ก ก็นําขนมนนไปให้ ั ภรรยาหลวงของนาย ข กิน การกระทํา
ด ังกล่าวของนาง ก เห็นว่า นาง ก ได้ลงมือกระทําโดยมุง ึ
่ ต่อผลซงกฎหมายบ ัญญ ัติเป็นความผิดแล้ว
แต่การกระทําของนาง ก ไม่บรรลุผลปัจจ ัยทีใชใ้ นการกระทําคือขนมนนไม่ ั สามารถจะทําให้คนตาย
ได้ นาง ก จึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าภรรยาหลวงของนาย ข แต่การกระทําของนาง ก นน ั ได้
กระทําไปโดยความเชออย่ ื างงมงาย กรณีนศาลจะไม่
ี ลงโทษก็ ได้
ปัญหาของการพยายามกระทําความผิดทีไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้
นั กกฎหมายมีความเห็นอย่างไรบ ้างสําหรับปั ญหาเรืองการไม่บรรลุผลอย่างแน่แท ้ตามมาตรา 81
และเรืองการขาดองค์ประกอบ
สําหร ับปัญหาเรืองการไม่บรรลุผลอย่างแน่แท้ตามมาตรา 81 และเรืองการขาดองค์ประกอบ
ึ ักจะพูดถึงก ันอยูเ่ สมอว่า การขาดองค์ประกอบ นีจะถือว่าเป็นเรืองของการไม่บรรลุผลอย่างแน่
ซงม
แท้ตามมาตรา 81 ด้วยหรือไม่ ในเรืองนีมีน ักกฎหมายให้ความเห็นแตกต่างก ันเป็น 2 ฝ่าย
ข้อเหมือนและข้อแตกต่างระหว่างการพยายามกระทําความผิดตามมาตรา 80 มาตรา
81
จงกล่าวถึงข ้อเหมือนและข ้อแตกต่างระหว่างการพยายามกระทําความผิดตามมาตรา 80 และมาตรา
81 พอสังเขป
ข้อเหมือนระหว่างการพยายามกระทําความผิดตามมาตรา 80 และมาตรา 81 มีอยู่ 2
ประการ คือ
(1) ผูก
้ ระทํามีเจตนากระทําความผิดเหมือนก ัน
(2) ผูก้ ระทําความผิดได้ลงมือกระทําไปแล้วเหมือนก ัน
ข้อแตกต่างระหว่างการพยายามกระทําความผิดตามมาตรา 80 และ มาตรา 81 มีอยู่ 3
ประการคือ
(1) การไม่บรรลุผลตามมาตรา 80 เป็นเพราะเหตุบ ังเอิญแต่การไม่บรรลุตามมาตรา 81
เป็นการไม่บรรลุผลอย่างแน่แท้
(2) การไม่บรรลุผลตามมาตรา 80 อาจเกิดจากปัจจ ัยซงใช ึ ใ้ นการกระทําหรือว ัตถุทมุี ง
่
หมายกระทําต่อหรือเพราะเหตุอนๆ ื ก็ ได้ แต่การไม่บรรลุผลตามมาตรา 81 ต้องเกิดจากปัจจ ัยซงใช ึ ้
ในการกระทําหรือว ัตถุทมุ ี ง
่ หมายกระทําต่อเท่านน ั
(3) การพยายามตามมาตรา 80 กฎหมายกําหนดโทษไว้วา ่ ให้ร ับโทษ 2 ใน 3 ของโทษที
กฎหมายกําหนดไว้สําหร ับความผิดนน ั แต่การพยายามตามมาตรา 81 กฎหมายกําหนดโทษไว้วา ่ ให้
ร ับโทษไม่เกินกึงหนึงของโทษทีกฎหมายกําหนดไว้สา ํ หร ับความผิดนน ั
หล ักเกณฑ์การย ับยงหรื
ั อกล ับใจแก้ไข
จงบอกหลักเกณฑ์ของการพยายามกระทําความผิดทีผู ้กระทํายับยังหรือกลับใจแก ้ไข พร ้อมทัง
ยกตัวอย่างประกอบ
จากบทบ ัญญ ัติมาตรา 82 เราสามารถแยกหล ักเกณฑ์การพยายามกระทําความผิดที
ผูก้ ระทําย ับยงหรื
ั อกล ับใจแก้ไขได้เป็น 3 ประการคือ
(1) ผูก ้ ระทําจะต้องลงมือกระทําความผิดแล้ว
(2) ความผิดทีกระทําจะต้องย ังไม่สา ํ เร็จผลตามทีผูก้ ระทําเจตนา
(3) ผูก ้ ระทําย ับยงเส ี
ั ยเองไม่กระทําการให้ตลอดหรือกระทําไปตลอดแล้วแต่กล ับใจแก้ไข
ไม่ให้การกระทํานนบรรลุ ั ผล
ต ัวอย่าง
(ก) สอ ่ ง ยกปื นขึนเล็ งจะยิง แสง แต่ สอ ่ ง เกิดสงสารขึนมาจึงกล ับใจไม่ยงิ แสง ถือว่าสอ
่ ง
ย ับยงเส
ั ย ี เองไม่ตอ ้ งร ับโทษฐานพยายามฆ่าคน
ความผิดทีมีพยายามไม่ได้
จงยกตัวอย่างความผิดทีมีพยายามมา 5 ตัวอย่าง
ความผิดบางฐานหรือการกระทําบางล ักษณะมีการพยายามไม่ได้โดยสภาพของต ัวเอง
ได้แก่
1. ความผิดฐานประมาท
2. ความผิดลหุโทษโดยทวไป ั
้ รือผูส
3. ความผิดฐานเป็นผูใ้ ชห ้ น ับสนุน
4. ความผิดฐานละเว้น
5. ความผิดบางอย่าง แม้กระทําสําเร็จแล้วย ังไม่เป็นความผิดเด็ ดขาด จนกว่าจะผ่านพ้น
เวลา หรือมีพฤติการณ์อนมาประกอบจึงจะเป
ื ็ นความผิด
การพยายามกระทําความผิดทีไม่ตอ ้ งร ับโทษ
มีกรณีใดบ ้างทีพยายามกระทําความผิดแล ้ว แต่ไม่ต ้องรับโทษ
โดยหล ักแล้วเมือบุคคลกระทําผิดถึงขนพยายามแล้
ั ว บุคคลนนก็ั ตอ้ งร ับโทษตามกฎหมาย
แต่มบ
ี างกรณีทกฎหมายไม่
ี เอาโทษการกระทําทีถึงขนพยายามแล้
ั ว ด้วยเหตุผลทีต่างก ันได้แก่
1. การกระทําความผิดลหุโทษ
2. การพยายามทําแท้ง
3. การย ับยงเสั ยี เ◌ ิอง
หน่วยที 8 เหตุยกเว้นความผิด
กฎหมายและจารีตประเพณีให้อํานาจกระทําได้
1. บุคคลอาจกระทําการอย่างใดอย่างหนึงได ้โดยไม่ต ้องรับผิดในทางอาญาถ ้ามีกฎหมายให ้อํานาจ
บุคคลกระทําการเช่นนันได ้
2. ถ ้าได ้มีจารีตประเพณีให ้อํานาจบุคคลกระทําการอย่างหนึงอย่างใดได ้ หากบุคคลได ้กระทําการ
เช่นนั นลงไปก็ไม่มคี วามผิดในทางอาญาเช่นเดียวกัน
กฎหมายให ้อํานาจกระทําได ้
เราแยกพิจารณากรณีทกฎหมายให
ี ้อํานาจแก่บค ุ คลกระทําการใดได ้โดยกว ้างๆ อย่างไรบ ้าง
เราอาจแยกพิจารณากรณีทกฎหมายให้ ี อํานาจแก่บค ุ คลกระทําการใดได้โดยกวางๆ
ด ังต่อไปนี
(1) ให้อํานาจแก่พน ักงานเจ้าหน้าทีในการปฏิบ ัติการตามหน้าที เชน ่ ให้อํานาจตํารวจใน
การจ ับกุมผูก ้ ระทําผิดเป็นต้น
(2) ให้อํานาจแก่บค ุ คลโดยผ่านการกลนกรองของพน
ั ักงานเจ้าหน้าทีก่อน เชน ่ บุคคลที
ต้องการจะทําไม้หวงห้าม ต้องขออนุญาตจากพน ักงานเจ้าหน้าทีก่อน
(3) ให้อํานาจแก่บค ุ คลในการทีจะกระทํากิจการเพือประโยชน์สาธารณะหรือเพือผูอ ้ น
ื
เชน ่ สมาชก ิ สภาผูแ ้ ทนราษฎรมีเอกสท ิ ธิในการแสดงความคิดเห็นต่างๆ ในสภาผูแ ้ ทนราษฎร บุคคล
ใดจะนําไปฟ้องร้องไม่ได้
(4) ให้อํานาจแก่บค ุ คลเพือการปกป้องคุม ้ ครองสท ิ ธิหรือประโยชน์สข ุ สว่ นตน ่
เชน
คูค ึ
่ วามซงแสดงความคิ ดเห็นในกระบวนการพิจารณาคดีในศาลไม่มค ี วามผิดฐานหมินประมาท
จารีตประเพณีให ้อํานาจกระทําได ้
จารีตประเพณีคอ ื อะไร จารีตประเพณียกเว ้นความผิดทางอาญาของบุคคลได ้อย่างไร
จารีตประเพณีคอ ื ข้อบ ังค ับแห่งความประพฤติของมนุษย์ในเรืองใดเรืองหนึงซงถื ึ อปฏิบ ัติ
ตามสบ ื เนืองก ันมาตลอดเสมือนเป็นกฎหมาย โดยมิได้มก ี ารเขียนบ ัญญ ัติไว้เป็นลายล ักษณ์อ ักษร
หากมีบ ันทึกอยูใ่ นความจําและความคิดของบุคคลจารีตประเพณียกเว้นความผิดทางอาญาของ
บุคคลได้ โดยการทีจารีตประเพณีให้อํานาจบุคคลทีจะกระทําการอย่างใดอย่างหนึงได้ และแม้การ
นนจะเข้
ั าองค์ประกอบความผิดอาญาบุคคลนนก็ ั ไม่ตอ้ งร ับผิดแต่อย่างใด เชน ่ ถ้าจารีตประเพณีให้
อํานาจบุคคลเข้าไปเก็บเห็ด เก็ บไม้ฟืนในทีดินของผูอ ้ นได้
ื และได้มบี ค
ุ คลเข้าไปกระทําการด ังกล่าว
เจ้าของทีดินจะฟ้องร้องดําเนินคดีก ับบุคคลนนในความผิ
ั ดฐานบุกรุกและล ักทร ัพย์ไม่ได้
การกระทําเพือป้องก ันสท ิ ธิ
1. บุคคลจะต ้องกระทําการทีกฎหมายบัญญัตไิ ว ้เป็ นความผิด เพือป้ องกันสิทธิของตนเองหรือผู ้อืนให ้
พ ้นจากภยันตรายอย่างใดอย่างหนึง
2. ภยันตรายนันจะต ้องเกิดจากการประทุษร ้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและใกล ้จะถึงซึงไม่อาจแก ้ไขได ้
โดยวิธอี น
ื
3. การกระทําเพือป้ องกันสิทธิจะต ้องกระทําไปภายในขอบเขตทีเหมาะสม
ให ้พ ้นภยันตรายซึงเกิดจากการประทุษร ้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย
นายม่วงทะเลอะวิวาทกับนายคราม จนถึงขันชกต่อยกัน มีผู ้เข ้าไปห ้ามปราม ทังสองฝ่ ายจึงเลิกรา
แยกย ้ายกันไป นายครามเข ้าไปนั งดืมนํ าอยูท ่ รี ้านขายกาแฟ ส่วนนายม่วงพบไม ้ท่อนโตขนาดเท่าแขนยาง
สองศอก จึงถือตามไปตีนายครามหลายครัง ถูกบ ้างไม่ถก ู บ ้าง นายครามหนีไปจนตรอกอยูห ่ ลังร ้าน นายม่วงก็
ยังตามไปตีอก ี นายครามหยิบได ้มีดปอกผลไม ้ทีวางอยู่ จึงแทงสวนไปหนึงที ถูกทีช่องท ้องของนายม่วงจน
เป็ นเหตุให ้ถึงแก่ความตามในเวลาต่อมาไม่นาน นายครามจะอ ้างว่ากระทําไปเพือป้ องกันตาม ปอ. มาตรา 68
ได ้หรือไม่เพียงใด
ตาม ปอ. มาตรา 68 บ ัญญ ัติวา ่ “ผูใ้ ดจะกระทําการใดเพือป้องก ันสท ิ ธิของตน หรือของ
ผูอ
้ นให้
ื พน ้ ภย ันตรายซงเกิ ึ ดจากการประทุษร้ายอ ันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภย ันตรายทีใกล้จะ
ถึง ถ้าได้กระทําไปพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานนเป ั ็ นการป้องก ันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผูน ้ นไม่
ั มี
ความผิด”
หล ักสําค ัญประการหนึงซงเป ึ ็ นเงือนไขให้ผก ู ้ ระทําไม่มคี วามผิดคือ ภย ันตรายทีเกิดขึน
จะต้องเป็นภย ันตรายซงเกิ ึ ดจากการประทุษร้ายอ ันละเมิดต่อกฎหมาย ถ้าผูก
้ ระทําเป็นผูก ้ อ
่
ภย ันตรายนนขึ ั นด้วยความผิดของตน จะอ้างอํานาจป้องก ันตาม ปอ. มาตรา 68 ไม่ได้ เชน ่ ถ้า
ผูก้ ระทําสม ัครใจเข้าวิวาทต่อสูก ้ ับผูอ
้ นย่
ื อมไม่อาจอ้างอํานาจป้องก ันตาม ปอ. มาตรา 68 ได้ และ
ต้องมีความผิดตามทีได้กระทําลงไป
แต่กรณีนายม่วงก ับนายครามนี แม้ในชนแรกนายครามจะสม ั ัครใจวิวาทต่อสูก ้ ับนายม่วง
แต่เมือมีผห ู ้ า้ มปราม นายคราม ก็ได้เลิกราไป และได้ไปดืมนําอยูท ่ ร้
ี านขายกาแฟแล้ว ถือว่าการ
สม ัครใจได้ขาดตอนไป เมือนายม่วงได้ใชไ้ ม้ตท ี า
ํ ร้ายนายครามอีก ถือว่านายม่วงได้กอ ่ ให้เกิด
ภย ันตรายขึนมาใหม่ เป็นภย ันตรายซงเกิ ึ ดจากการประทุษร้ายอ ันละเมิดต่อกฎหมายและใกล้จะถึง
โดยนายครามมิได้มส ี ว่ นในการก่อภย ันตรายนีขึนมาแต่อย่างใด การทีนายครามหยิบมีดปอกผลไม้
จึงแทงสวนไปหนึงที ในขณะทีนายม่วงกําล ังใชไ้ ม้ไล่ตท ี า
ํ ร้ายตนอยูน ่ น
ั ถือว่าเป็นการกระทําไป
พอสมควรแก่เหตุ และไม่เกินกว่ากรณีทจํ ี าต้องกระทําเพือป้องก ัน เพราะกรณีฉุกเฉินเชน ่ นน ั นาย
ครามย่อมไม่มโี อกาสเลือกได้วา ่ จะแทงสว ่ นใดของร่างกายได้ ฉะนนแม่ ั นายม่วงจะถึงแก่ความตาย
นายครามก็ ไม่มค ี วามผิด (น ัย ฎ 2520/2529)
เป็ นการกระทําพอสมควรแก่เหตุ
นายผาดซึงเป็ นคนสงบเสงียมเรียบร ้อยถูกนายโผนซึงเป็ นนั กเลงอันธพาลหาเรืองชกต่อยทําร ้าย
บาดเจ็บในร ้ายขายของชํา นายผาดล ้มลงแล ้วนายโผนก็ยังกระทืบซําหลายครัง และไม่มท ี ท
ี า่ ว่าจะเลิกรา
นายผาดกลัวว่านายโผนจะฆ่าตน จึงคว ้าขวานผ่าฟื นของเจ ้าของร ้านทีวางอยูใ่ กล ้มือฟั นไปทีแข ้งของนายโผน
1 ที เป็ นแผลเหวอะหวะ นายโผนล ้มลงนอนดินครวญคราง นายผาดลุกขึนฟั นซําแล ้วซําอีกด ้วยความกลัวว่า
นายโผนจะลุกขึนมาทําร ้ายตนจนนายโผนถึงแก่ความตาย นายผาดมีความผิดหรือไม่เพียงใด
ตาม ปอ. มาตรา 68 การป้องก ันสท ิ ธิของตนหรือของผูอ ้ นให้
ื พน ้ จากภย ันตรายทีใกล้จะ
ถึง จะต้องกระทําไปพอสมควรแก่เหตุ จึงจะได้ร ับยกเว้นความผิด แต่ถา้ กระทําไปเกินสมควรแก่เหตุ
ตามมาตรา 69 ศาลจะลงโทษน้อยเพียงใดก็ ได้ และถ้ากระทําไปเพราะความตืนเต้น ความตกใจกล ัว
หรือความกล ัว ศาลจะไม่ลงโทษผูก ้ ระทําก็ ได้
จากอุทาหรณ์ กรณีนายผาดใชข ้ วานฟันนายโผนไปหนึงที จนนายโผนได้ร ับบาดแผลที
แข้งเหวอะหวะล้มลงนอนดินครวญคราง ถือว่าภย ันตรายได้หมดสนลงแล้ ิ ว หากนายผาดจะกระทํา
ไปเพียงเท่านนย่ั อมเป็นการกระทําทีพอสมควรแก่เหตุ แต่การทีนายผาดย ังคงฟันซําแล้วซําอีกจน
นายโผนถึงแก่ความตาย เพราะย ังไม่หายกล ัวนายโผนนน ั ถือว่าเป็นการกระทําทีทีเกินสมควรแก่
เหตุ ไม่ได้ร ับยกเว้นความผิด แต่ศาลอาจไม่ลงโทษนายผาดเลยก็ ได้ตาม ปอ. มาตรา 69
ความยินยอมให้กระทําและเหตุอน ื
1. ในบางกรณี ถ ้าผู ้เสียหายยินยอมให ้กระทําการอย่างหนึงอย่างใดและยินยอมนันไม่ขัดต่อความสงบ
เรียบร ้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ผู ้กระทําก็ไม่มค ี วามผิดทางอาญา
2. ถ ้าบุคคลมีหน ้าทีทีปฏิบัตต
ิ ามคําสังโดยชอบของเจ ้าพนั กงาน บุคคลนั นไม่ต ้องรับผิดในทางอาญา
แม ้ว่าจะได ้กระทําการซึงกฎหมายบัญญัตไิ ว ้ว่าเป็ นความผิด
ความยินยอมให้กระทํา
ความยินยอมของผู ้เสียหายทีไม่กอ ่ ให ้เกิดความรับผิดในทางอาญาในบางกรณีนัน มีหลักเกณฑ์
อย่างไรบ ้าง
มีหลักเกณฑ์คอ ื
(1) ต ้องเป็ นความยินยอมทีไม่ขัดต่อความสงบเรียบร ้อยหรือศิลธรรมอันดีของประชาชน
(2) ต ้องเป็ นความยินยอมทีให ้ไว ้ต่อผู ้กระทําก่อนหรือขณะกระทําการอันกฎหมายบัญญัตไิ ว ้ว่าเป็ น
ความผิด
(3) ต ้องเป็ นความยินยอมโดยสมัครใจ
ั
การกระทําตามคําสงโดยชอบของเจ้ าพน ักงาน
ปอ.ได ้บัญญัตถ
ิ งึ เรืองการกระทําตามคําสังโดยชอบของเจ ้าพนั กงานไว ้ หรือไม่ อย่างไร และคําสัง
โดยชอบของเจ ้าพนั กงานนันเป็ นอย่างไร
ตาม ปอ. มิได้มบ ี ทบ ัญญ ัติทกล่ ั
ี าวถึงการกระทําตามคําสงโดยชอบของเจ้ าพน ักงานไว้แต่
อย่างไร ซงต่ึ างจากกฎหมายล ักษณะอาญาทีบ ัญญ ัติวา ั
่ การกระทําตามคําสงโดยชอบด้ วยกฎหมาย
ไม่ตอ
้ งร ับโทษ และตาม ปพพ. บ ัญญ ัติวา่ การกระทําตามคําสงโดยชอบด้ั วยกฎหมายไม่ตอ ้ งใชค้ า่
สนิ ไหมทดแทน อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่มบ ี ทบ ัญญ ัติด ังกล่าวใน ปอ. แต่ยอ ่ มมีผลโดยปริยายว่า เมือ
ผูอ ั อํานาจออกคําสงโดยชอบด้
้ อกคําสงมี ั วยกฎหมายระเบียบแบบแผน ผูป ั ยอ
้ ฏิบ ัติตามคําสงก็ ่ ม
ปฏิบ ัติตามคําสงน ั นโดยชอบเช
ั ่ ก ัน
น
ั
คําสงโดยชอบของเจ้ าพน ักงานนน ั ในชนต้ั นผูส ั องเป็นเจ้าพน ักงานและมีอํานาจออก
้ งต้
คําสงน ั นได้
ั โดยชอบกฎหมายระเบียบแบบแผน สว ่ นคําสงน ั นไม่
ั จา ั
ํ ต้องระบุวา่ เป็นคําสงเสมอไป อาจ
ใชถ ้ อ ั
้ ยคําอย่างอืนทีมีความหมายว่าสงให้ ึ
กระทําตาม ซงอาจเป ็ นข้อตกลงหรือสญญาอย่ ั างใดอย่าง
หนึง ซงถ้ ั
ึ าไม่กระทําตามย่อมถือว่าผิดสญญาก็ ได้
หน่วยที 9 เหตุยกเว้นโทษ
9.1 การกระทําความผิดด้วยความจําเป็น
1. หากบุคคลกระทําความผิดด ้วยความจําเป็ น เพราะอยูใ่ นทีบังคับหรือภายใต ้อํานาจซึงไม่สามารถ
หลีกเลียงขัดขืนได ้ และกระทําไปพอสมควรแก่เหตุ บุคคลนั นไม่ต ้องได ้รับโทษ
2. หากบุคคลกระทําความผิดด ้วยความจําเป็ นเพราะเพือให ้พ ้นจากภยันตรายทีใกล ้จะถึง และไม่
สามารถหลีกเลียงให ้พ ้นโดยวิธอ
ี นได
ื ้ หากกระทําไปพอสมควรแก่เหตุบค ุ คลนั นไม่ต ้องได ้รับโทษเช่นเดียวกัน
9.2.1 กระทําความผิดในขณะจิตผิดปกติ
นายสุรบาล เป็ นพยานศาลในคดีฆา่ คนตาย ซึงตนเห็นคนร ้ายกําลังฆ่าบุตรชายของตนเองอยู่ แต่ใน
ชันเบิกความต่อศาล นายสุรบาล กลับให ้การว่าตนไม่เห็นเหตุการณ์ ไม่ทราบว่าบุตรชายของตนถูกฆ่าตาย
และไม่เคยมีบต ุ รชายแต่อย่างใด พนั กงานอัยการโจทย์พยายามซักถามอย่างหนั ก แต่พยานกลับให ้การเลอะ
เลือนจําอะไรไม่ได ้เลย ทังๆทีเหตุการณ์เพิงผ่านมาเพียงเดือนเศษ อัยการจึงแจ ้งให ้พนั กงานสอบสวน
ดําเนินคดีกบ
ั นายสุรบาล ฐานเบิกความเท็จ พนั กงานสอบสวนได ้ส่งนายสุรบาลไปให ้จิตแพทย์ตรวจ
จิตแพทย์รายงานว่านายสุรบาลเป็ นโรคทีเกิดจากพิษสุรา เรียกว่า Korsakov’s Psychosis ทําให ้ความจําแคบ
ลงอย่างเห็นได ้ชัดและเป็ นอยูน
่ าน จําเหตุการณ์ทเพิี งผ่านมาไม่ได ้ ไม่เข ้าใจกาลเวลาอย่างลึกซึงและพูด
ตอแหล ถามว่า นายสุรบาลมีความผิดและต ้องรับโทษฐานเบิกความเท็จหรือไม่
9.2.2 กระทําความผิดในขณะมึนเมา
บุคคลทีเป็ นโรคจิตจากพิษสุราหรือจากยาเสพติดได ้กระทําความผิดในขณะทีไม่สามารถรู ้ผิดชอบ
หรือในขณะทีไม่สามารถบังคับตนเองได ้ บุคคลนันจะได ้รับยกเว ้นโทษหรือไม่ อย่างไร
บุคคลนนได้
ั ร ับยกเว้นโทษตาม ปอ. มาตรา 65 โดยตรง เพราะถือว่ากระทําผิดในขณะทีไม่
รูส ึ ผิดชอบ หรือไม่สามารถบ ังค ับตนเองได้เพราะโรคจิตตามมาตรา 65 มิใชก
้ ก ่ รณีมน
ึ เมาเพราะเสพ
ิ
สุราหรือสงเมาอย่างอืนตาม ปอ. มาตรา 66
ั มิชอบด้วยกฎหมายและความเป็นสามีภริยา
9.3 การกระทําตามคําสงที
1. ถ ้าบุคคลมีหน ้าทีต ้องปฏิบัตต
ิ ามคําสังของเจ ้าพนั กงาน แม ้คําสังนั นจะมิชอบด ้วยกฎหมายผู ้นั นก็ไม่
ควรรับโทษจากการกระทําของตน เว ้นแต่จะรู ้ว่าคําสังนันมิชอบด ้วยกฎหมาย
2. สามีภริยากระทําความผิดต่อกันในความผิดบางประเภท ซึงไม่กระทบต่อความสงบเรียบร ้อยหรือ
ศีลธรรมอันดีของประชาชนควรได ้รับการยกเว ้นโทษ
ั มิชอบด้วยกฎหมายของเจ้าพน ักงาน
9.3.1 การกระทําตามคําสงที
เหตุใดกฎหมายจึงต ้องยกเว ้นโทษให ้แก่ผู ้ปฏิบัตต ิ ามคําสังทีมิชอบของเจ ้าพนั กงานตามมาตรา 70
เหตุทกฎหมายต้
ี องยกเว้นโทษให้แก่ผป ั มิชอบของเจ้าพน ักงานตามมาตรา
ู ้ ฏิบ ัติตามคําสงที
70 เนืองจากผูก ื
้ ระทํามีหน้าทีหรือเชอโดยสุ จริตว่ามีหน้าทีต้องปฏิบ ัติตาม ถ้าลงโทษก็ จะไม่เป็นธรรม
แก่เขา อีกทงั เพือจะมิให้ผอ ู ้ ยูใ่ ต้บ ังค ับบ ัญชาต้องเกิดความไม่แน่ใจในความถูกต้องของคําสงของ ั
ผูบ
้ ังค ับบ ัญชา อ ันจะเกิดผลเสย ี ต่อการปฏิบ ัติงานราชการทวๆไปได้ ั
หน่วยที 10 เหตุลดโทษ
10.1 บ ันดาลโทสะ
10.1.2 กระทําความผิดต่อผูข
้ ม
่ เหงในขณะนน
ั
นายเหลืองข่มขืนกระทําชําเรานางม่วงภริยานายคราม นายครามกับมาถึงบ ้านทราบจากนางม่วงว่า
นายเหลืองเพิงจะลงจากเรือนไป นายครามเกิดโทสะคว ้าปื นไล่ตามนายเหลืองไป ระหว่างทางพบนายแสด
บิดานายเหลือง จึงยิงนายแสดถึงแก่ความตาย เพราะโกรธนายเหลือง ถามว่า นายครามจะอ ้างเหตุบันดาล
โทสะได ้หรือไม่
ตาม ปอ. มาตรา 72 การกระทําบ ันดาลโทสะ เพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอ ันไม่
เป็นธรรมนน ั จะต้องเป็นการกระทําต่อผูข ้ ม
่ เหงนนั แต่ตามอุทาหรณ์ นายแสดมิได้เป็นผูข ้ ม
่ เหงหรือ
ร่วมก ันในการข่มเหง แม้จะเป็นบิดาของนายเหลืองก็มไิ ด้มส ี ว่ นในการข่มเหงร ังแกแต่อย่างใด การที
นายครามยิงนายแสดแม้จะยิงเพราะโกรธนายเหลืองก็ ไม่อาจอ้างว่ามาทําเพราะบ ันดาลโทสะตาม
มาตรา 72 ได้
10.2 เหตุลดโทษอืนๆ
1. บุคคลใดไม่อาจแก ้ตัวว่าไม่รู ้กฎหมายเพือให ้พ ้นความรับผิดทางอาญาได ้ แต่ถ ้ามีหลักฐานแน่ชด ั ว่า
บุคคลนั นไม่รู ้ว่ามีกฎหมายบัญญัตไิ ว ้เช่นนัน ก็อาจจะได ้รับการปราณีลดโทษ
2. ถ ้าบุพการีกับผู ้สืบสันดาน หรือพีน ้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกระทําความผิดต่อกันในความผิดบาง
ประเภท ผู ้กระทําผิดอาจได ้รับการลดโทษ
3. ถ ้าผู ้กระทําผิดยังเยาว์วัย จะถือว่ารู ้ผิดชอบชัวดีบริบรู ณ์แล ้วไม่ได ้ จึงอาจได ้รับการลดโทษให ้ตาม
ควรแก่อายุ
4. ถ ้าก่อน ขณะ หรือภายหลังกระทําความผิด ได ้มีเหตุบรรเทาโทษอย่างใดอย่างหนึง ผู ้กระทํา
ความผิดอาจได ้รับการลดโทษเช่นเดียวกัน
10.2.4 มีเหตุบรรเทาโทษ
ในคดีฆา่ คนตาย จําเลยซึงให ้การรับสารภาพชันสอบสวน ได ้มาให ้การปฏิเสธชันศาล อัยการโจทก์
นํ าประจักษ์พยานเข ้าสืบยืนยันความผิดของจําเลย 10 ปาก และมีพยานแวดล ้อมกรณีอก ี หลายปากรับฟั งได ้
สอดคล ้องต ้องกันว่าจําเลยเป็ นคนร ้ายฆ่าคนตายจริง ถึงแม ้จําเลยจะไม่ให ้การรับสารภาพชันสอบสวน ศาลก็ม ี
พยานหลักฐานเพียงพอทีจะลงโทษจําเลยตามฟ้ องได ้ เช่นนี ถ ้าจําเลยยืนฎีกาขอให ้ศาลลดโทษให ้เพราะคํา
รับสารภาพชันสอบสวน เป็ นประโยชน์ในชันพิจารณา ถ ้าท่านเป็ นศาลฎีกาจะลดโทษแก่จําเลยเพราะเหตุ
บรรเทาโทษหรือไม่
ตาม ปอ.มาตรา 78 เมือปรากฏว่ามีเหตุบรรเทาโทษ ถ้าศาลเห็นสมควรจะลดโทษไม่เกินกึง
หนึงของโทษทีจะลงแก่ผก ู ้ ระทําความผิดก็ ได้ เหตุบรรเทาโทษเหตุหนึงได้แก่ ผูก ้ ระทําความผิดให้
ความรูแ ้ ก่ศาลอ ันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา
ตามอุทาหรณ์ แม้จา ั
ํ เลยให้การร ับสารภาพชนสอบสวน ั
แต่จําเลยก็ ให้การปฏิเสธในชนศาล
อ ัยการโจทก์ได้นําประจ ักษ์พยานเข้าสบ ื ยืนย ันความผิดของจําเลยถึง 10 ปาก และมีพยานแวดล้อม
กรณีอก ี หลายปาก ร ับฟังได้วา่ จําเลยเป็นคนร้ายฆ่าคนตายจริง ถึงแม้จา ํ เลยจะไม่ให้การร ับสารภาพ
ั
ชนสอบสวน ศาลก็มพ ั
ี ยานหล ักฐานเพียงพอทีจะลงโทษจําเลยได้ คําให้การชนสอบสวนของจํ าเลย
จึงไม่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีของศาล ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลฎีกาจะไม่ลดโทษให้แก่จา ํ เลย
เพราะมีเหตุบรรเทาโทษตาม ปอ. มาตรา 78
1. ตัวการในการกระทําความผิดคือ บุคคลทีมีการกระทําร่วมกันและเจตนาร่วมกับบุคคลอืนในการกระทํา
ความผิดอาญา
2. ผู ้ใช ้คือ บุคคลทีก่อให ้ผู ้อืนกระทําความผิด โดยทีตนเองมิได ้มีสว่ นร่วมกระทําความผิดนั นด ้วย ผู ้ใช ้
อาจเจาะจงให ้ผู ้บุคคลหนึงหรือวิธใี ช ้วิธโี ฆษณาหรือประกาศแก่บค
ุ คลทัวไปก็ได ้
11.1 ต ัวการ
11.1.1 การกระทําร่วมก ัน
ขาวกับดําวางแผนร่วมกันเพือจะไปทําร ้ายแดง ขาวไปดักซุม ่ อยูใ่ นทีเปลียว ส่วนดําไปพูดจาชักชวน
ให ้แดงให ้เดินมายังทีทีขาวซุม ่ อยู่ พอได ้โอกาสขาวก็ใช ้ไม ้ตีศรี ษะแดงหลายครัง แดงได ้รับบาดเจ็บโลหิต
ไหล ดังนี ขาวและดํามีความผิดใดหรือไม่
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ในกรณีความผิดได้เกิดโดยการกระทําของบุคคล
ตงแต่
ั สองคนขึนไป ผูท ้ ได้
ี รว่ มกระทําความผิดด้วยก ันนนเป ั ็ นต ัวการ
จากปัญหาแม้ดําจะมิได้ลงมือทําร้ายแดง แต่ก็มส ี ว่ นร่วมในการทําร้ายโดยไปพูดจาชกชวน ั
ล่อให้แดงมาถูกทําร้ายเป็นการแบ่งหน้าทีก ันทําระหว่างขาวก ับดํา ขาวและดําจึงเป็นต ัวการต้องร ับ
ผิดในความผิดฐานทําร้ายร่างกายผูอ ้ นจนเป
ื ็ นเหตุให้ได้ร ับอ ันตรายแก่กาย ตาม ปอ. มาตรา 295
11.1.2 เจตนาร่วมก ัน
มกราและกุมภาสมคบกันไปลักทรัพย์ของมีนา มกราปี นขึนไปบนบ ้านของมีนา และหยิบได ้สายสร ้อย
เพชรกับแหวนเพชรนํ ามาส่งให ้กุมภาและบอกให ้หลบหนีไปก่อน กุมภารับของมาแล ้วหลบหนีไป มกรากับขึน
ไปลักของคนอืนอีก พอดีมน ี าตืนขึน มกราจึงใช ้ปื นยิงมีนาตาย ดังนี กุมภาต ้องรับผิดทางอาญาอย่างไร
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ในกรณีความผิดได้เกิดขึนโดยการกระทําของ
บุคคลตงแต่
ั สองคนขึนไป ผูท ้ ได้
ี รว่ มกระทําความผิดด้วยก ันนนเป ั ็ นต ัวการ ต้องระวางโทษตามที
กฎหมายกําหนดไว้สําหร ับความผิดนน ั
จากปัญหาด ังกล่าวกุมภามีเจตนาเพียงล ักทร ัพย์มน ี า และขณะทีมกรายิงมีนา กุมภามิได้ยู่
ในทีเกิดเหตุแล้ว ถือไม่ได้วา ่ กุมภามีเจตนาร่วมก ันก ับมกราในการฆ่ามีนา เพราะฉะนนกุ ั มภาไม่ตอ
้ ง
ร ับผิดฐานชงิ ทร ัพย์และฆ่าผูอ้ น
ื
11.2 ผูใ้ ช ้
1. การก่อให ้ผู ้อืนกระทําผิด คือการทําให ้บุคคลอืนซึงยังไม่มเี จตนาทีจะกระทําความผิด ตกลงใจทีจะ
กระทําความผิดนัน
2. ผู ้ใช ้จะต ้องมีเจตนาก่อให ้ผู ้อืนกระทําผิดด ้วย ลําพังผู ้กระทําผิดตัดสินใจกระทําผิดเพราะคําพูดของ
ผู ้ใช ้โดยผู ้ใช ้มิได ้มีเจตนา ผู ้ใช ้ไม่ต ้องรับผิด
3. ความรับผิดของผู ้ใช ้ขึนอยูก ่ ับการกระทําของผู ้ถูกใช ้ ถ ้าผู ้ถูกใช ้มิได ้กระทําความผิด ผู ้ใช ้ต ้องระวาง
้ต
โทษหนึงในสามของความผิด ผู ้ใช ้องระวางโทษตามทีกฎหมายกําหนดไว ้สําหรับความผิดนัน
11.2.2 เจตนาของผูใ้ ช ้
12.1 ผูส
้ น ับสนุน
1. การช่วยเหลือทีเป็ นการสนั บสนุนจะต ้องกระทําก่อนหรือขณะกระทําผิด
2. ผู ้สนั บสนุนจะต ้องมีเจตนาให ้ความช่วยเหลือผู ้กระทําผิด ทังนีโดยไม่ต ้องคํานึงว่าผู ้ได ้รับการ
สนั บสนุนจะทราบถึงการช่วยเหลือนั นหรือไม่
3. ผู ้สนั บสนุนมีความรับผิดเพียงสองในสามของความผิดทีกระทําลง
้ ละผูส
12.2 ขอบเขตความร ับผิดของผูใ้ ชแ ้ น ับสนุน
1. ผู ้ใช ้หรือผู ้สนั บสนุนไม่ต ้องรับผิดเกินขอบเขตแห่งการใช ้หรือสนั บสนุนของตน เว ้นแต่ตนจะเล็งเห็น
ได ้เช่นนัน
2. ถ ้าผู ้ใช ้หรือผู ้สนั บสนุนกลับใจเข ้าขัดขวางการกระทําความผิดทําให ้ความผิดไม่สําเร็จ ผู ้ใช ้คงรับผิด
เสมือนความผิดนั นมิได ้ทําลง ส่วนผู ้สนั บสนุนไม่ต ้องรับผิด
12.2.2 กรณีผู ้ใช ้หรือผู ้สนั บสนุนขัดขวางการกระทําของผู ้ถูกใช ้หรือผู ้รับการสนั บสนุน
นงเยาว์ใช ้ให ้แจ๋วซึงสาวใช ้ของสมศักดิ นํ ายาพิษไปใส่ในถ ้วยกาแฟของสมศักดิเพือจะฆ่าสมศักดิให ้
ตาย แจ๋วได ้นํ ายาพิษไปใส่ในถ ้วยกาแฟของสมศักดิในขณะทีสมศักดิกําลังจะยกถ ้วยกาแฟทีผสมยาพิษนัน
ขึนดืม นงเยาว์ซงแอบดู ึ อยูเ่ กิดความสงสารสมศักดิ จึงตรงเข ้าไปปั ดถ ้วยกาแฟหกหมด กรณีดังกล่าวนงเยาว์
ต ้องรับผิดหรือไม่เพียงใด
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 88 บ ัญญ ัติวา่ “ถ้าความผิดทีได้ใช ้ ทีได้โฆษณาหรือ
ประกาศแก่บค ุ คลทวไปให้
ั กระทํา หรือทีได้สน ับสนุนให้กระทํา ได้กระทําถึงขนลงมื ั อกระทําความผิด
แต่เนืองจากการเข้าข ัดขวางของผูใ้ ช ้ ผูโ้ ฆษณาหรือประกาศหรือผูส ้ น ับสนุน ผูก ้ ระทําได้กระทําไป
ไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้วแต่การกระทํานนไม่ ั บรรลุผล ผูใ้ ชห ้ รือผูโ้ ฆษณาหรือประกาศ คง
ร ับผิดเพียงทีบ ัญญ ัติไว้ในมาตรา 84 วรรคสอง หรือมาตรา 85 วรรคแรก แล้วแต่กรณี สว่ น
ผูส้ น ับสนุนนนไม่
ั ตอ้ งร ับโทษ”
จากข้อเท็จจริงตามปัญหา การทีนงเยาว์ใชใ้ ห้แจ๋วซงเป ึ ็ นสาวใชข ้ องสมศกดิ ั นํายาพิษไปใส่
ในถ้วยกาแฟของสมศกดิ ั เพือเจตนาจะฆ่าสมศกดิ ั ให้ตาย และแจ๋วก็ ได้นํายาพิษไปใสใ่ นถ้วยกาแฟ
ของสมศกดิ ั เห็นได้วา ่ แจ๋วซงเป ้ ระทําได้ลงมือกระทําความผิดแล้วตามทีนงเยาว์ได้ใช ้
ึ ็ นผูก แต่
ในขณะทีความผิดย ังไม่บรรลุผล ึ
นงเยาว์ซงแอบดู ั ยกถ้วยกาแฟขึนดืมเกิดความ
อยูเ่ ห็นสมศกดิ
สงสารสมศกดิ ั จึงตรงเข้าไปปัดถ้วยกาแฟหกหมด เห็นได้วา่ นงเยาว์ซงเป ึ ็ นผูใ้ ชใ้ ห้กระทําความผิด
ได้เข้าข ัดขวางเพือมิให้การกระทําของแจ๋วบรรลุผล กรณีด ังกล่าวกฎหมายได้บ ัญญ ัติให้ผใู ้ ชน ้ นคง
ั
ร ับผิดเพียงทีบ ัญญ ัติไว้ในมาตรา 84 วรรคสอง กล่าวคือ ร ับผิดเสมือนหนึงความผิดทีใชม ้ ไิ ด้กระทํา
ลงไป ทงๆที ั ความจริงความผิดกระทําถึงขนพยายามแล้ ั ว
สรุป นงเยาว์ร ับโทษเพียงหนึงในสามของความผิดฐานฆ่าคนตาย
หน่วยที 13 ทฤษฎีการลงโทษและทฤษฎีวธ
ิ ก
ี ารเพือความปลอดภ ัย
13.1 ทฤษฎีการลงโทษ
1. การลงโทษเกิดจากปฏิกริ ย ิ าของผู ้เสียหายทีจะตอบโต ้กับผู ้ประทุษร ้ายในรูปแบบของการแก ้แค ้น
และต่อมารัฐดําเนินการแทนผู ้เสียหาย เป็ นการทดแทนอย่างในระบบ “ตาต่อตา ฟั นต่อฟั น”
2. การลงโทษควรจะมองไปถึงประโยชน์ทจะเกิ ี ดแก่สงั คมในอนาคตด ้วย โดยคํานึงถึงความปลอดภัย
ของสังคมเป็ นหลักด ้วยวิธก
ี ารยับยัง ป้ องกันและปรับปรุงผู ้กระทําความผิด
3. การลงโทษควรจะเปลียนเป็ นการปฏิบต ั ติ อ ่ ผู ้กระทําผิดโดยมุง่ ต่อการแก ้ไขฟื นฟูผู ้กระทําความผิดให ้
กลับตนเป็ นคนดี ยกเว ้นในกรณีแก ้ไขปรับปรุงไม่ได ้ ก็ให ้กําจัดไปจากสังคม
4. การลงโทษควรจะเปลียนเป็ นการปฏิบต ั ติ อ ่ ผู ้กระทําความผิด โดยมุง่ ต่อการคุ ้มครองสังคมให ้
ปลอดภัยจากอาชญากรรม โดยวิธก ี ารแก ้ไขฟื นฟูและอืนๆทีเหมาะสม
13.1.2 ทฤษฎีการลงโทษแบบอรรถประโยชน์
ทฤษฎีการลงโทษแบบอรรถประโยชน์ มีทมาจากสํ
ี านั กอาชญาวิทยาสํานั กใด และมีหลักเกณฑ์
อะไรบ ้าง
ทฤษฎีการลงโทษแบบอรรถประโยชน์มท ี มาจากส
ี ําน ักคลาสสก
ิ ซงวางหล
ึ ักเกณฑ์ไว้วา
่ การ
ลงโทษควรจะมองไปในอนาคตมากกว่ามองย้อนหล ังไปในอดีต การลงโทษผูก ้ ระทําความผิดควรจะ
เน้นไปทีการลดอาชญากรรมและทําให้ประชาชนเคารพและปฏิบ ัติตามกฎหมาย การลงโทษจึงควร
จะเน้นทีการป้องก ัน การย ับยงและการแก้
ั ไขปร ับปรุงผูก
้ ระทําความผิด การทีจะให้มผ ี ลในการย ับยงั
การลงโทษจะต้องทําอย่างรุนแรง และอย่างเปิ ดเผ การแก้ไขปร ับปรุงใชห ้ ล ักการข ังเดียว และ
หล ักการทางศาสนาเพือให้สํานึกในความผิดและกล ับต ัวเป็นพลเมืองดีให้ได้
13.1.5 วัตถุประสงค์และแบบของการลงโทษ
วัตถุประสงค์ของการลงโทษมีกข ี ้อ อะไรบ ้าง
ว ัตถุประสงค์ของการลงโทษ มี 4 ข้อ คือ
(1) เพือแก้แค้นทดแทน
(2) เพือย ับยงหรื
ั อป้องก ัน
(3) เพือคุม ั
้ ครองสงคม
(4) เพือปร ับปรุงและแก้ไขฟื นฟูผก ู ้ ระทําผิด
3. ผู ้ทีกระทําความผิดทีมีโทษร ้ายแรง อาจแก ้ไขให ้กลับเป็ นคนดีได ้โดยใช ้เรือนจําเป็ นทีแก ้ไขและ
ขณะเดียวกันก็เป็ นการกําจัดเสรีภาพของผู ้ต ้องโทษด ้วย
13.2.1 อุดมการณ์ในการปฏิบัตต ิ อ
่ ผู ้กระทําผิด
อุดมการณ์ในการปฏิบัตต ิ อ
่ ผู ้กระทําผิดมีกอย่ ี าง อะไรบ ้าง
อุดมการณ์ในการปฏิบ ัติตอ ่ ผูก้ ระทําผิดมี 3 อุดมการณ์ คือ
(1) อุดมการณ์ทมุ
ี ง ่ ต่อการลงโทษ
(2) อุดมการณ์ทมุี ง ่ ต่อการแก้ไขฟื นฟู
(3) อุดมการณ์ทมุ ี ง ่ ต่อการแก้ไขฟื นฟูในชุมชน
13.2.2 การปฏิบตั ต
ิ อ
่ ผู ้กระทําความผิดในชุมชน
หลักเกณฑ์ในการพิจารณารอการลงโทษ มีกข ี ้อ อะไรบ ้าง
มีหล ักเกณฑ์ในการพิจารณารอการลงโทษมี 3 ข้อคือ
(1) โทษนนเป
ั ็ นโทษจําคุก
(2) ศาลจะลงโทษจริงไม่เกิน 2 ปี
(3) ไม่เคยต้องโทษจําคุกมาก่อนเว้นแต่ได้กระทําความผิดโดยประมาทหรือลหุโทษ
13.2.3 การปฏิบต
ั ต
ิ อ
่ ผู ้กระทําความผิดในสถานทีควบคุม
ั เรือนจําใช ้อุดมการณ์อะไรในการปฏิบัตต
ในปั จจุบน ิ อ
่ ผู ้กระทําความผิด
้
ใชอด ุ มการณ์แก้ไขฟื นฟู ้ ารปฏิบ ัติตอ
แต่ในสหร ัฐอเมริกามีแนวโน้มจะห ันมาใชก ่ ผูก
้ ระทํา
ความผิดโดยมุง ่ ต่อการลงโทษอย่างเป็นธรรม
การปฏิบตั ต
ิ อ
่ ผู ้กระทําผิดในสถานทีควบคุมได ้ผลเป็ นประการใด
ได้ผลด ังนี
(1) ในด้านการร ักษาความปลอดภ ัย มีผห ู ้ ลบหนีไปได้นอ้ ยมาก
(2) ในด้านการแก้ไขปร ับปรุงได้ผลประมาณ 80%
13.3 ทฤษฎีวธ
ิ ก
ี ารเพือความปลอดภ ัย
1. การกักกันมีทมาจากทฤษฎี
ี คุ ้มครองสังคม ทฤษฎียับยัง และทฤษฎีแก ้ไขฟื นฟู
2. การห ้ามเข ้าเขตกําหนด การเรียกประกันทัณฑ์บน การคุมตัวไว ้ในสถานพยาบาล และการห ้าม
ประกอบอาชีพบางอย่าง มีทมาจากทฤษฎี
ี คุ ้มครองสังคมเป็ นส่วนใหญ่
13.3.1 ทฤษฎีเกียวกับการกักกัน
กักกันตาม ปอ.มาตรา 40 มีทมาจากทฤษฎี
ี อะไรบ ้าง
มาจากทฤษฎีคอ ื
(1) ทฤษฎีคม ั
ุ ้ ครองสงคม
(2) ทฤษฎีย ับยงอาชญากรรม
ั
(3) ทฤษฎีแก้ไขฟื นฟูผกู ้ ระทําความผิด
หน่วยที 14 โทษและวิธก
ี ารเพือความปลอดภ ัย
14.1 โทษ
โดยลักษณะของโทษทีจะบังคับแก่ผู ้กระทําผิดมี 3 ลักษณะคือ
1. โทษทีบังคับต่อชีวต ิ ได ้แก่
โทษประหารชีวต ิ ด ้วยการเอาไปยิงเสียให ้ตาย
2. โทษทีบังคับต่อเสรีภาพได ้แก่
โทษจําคุก โดยมีกําหนดระยะเวลาและไม่มก ี าํ หนดระยะเวลา ซึงการคํานวณเกียวกับ
ระยะเวลาจําคุกจะเป็ นไปตามทีกฎหมายกําหนด
โทษกักขัง ให ้กักขังผู ้ต ้องโทษไว ้ในสถานทีอันมิใช่เรือนจําโดยมีระยะเวลาอยูภ ่ ายใน
เงือนไขของกฎหมาย และจะนํ าไปใช ้เป็ นการลงโทษหรือเป็ นมาตรการบังคับใน
กรณีทฝ่ี าฝื นการลงโทษปรับ ริบทรัพย์สน ิ ตลอดจนเรียกประกันทัณฑ์บน ในวิธี
เพือความปลอดภัย
3. โทษทีบังคับต่อทรัพย์สน ิ ได ้แก่
โท ผู ้นันต ้องชําระเงินตามจํานวนทีกําหนดไว ้ในคําพิพากษา หากขัดขืนผู ้นั นจะต ้องถูกยึดทรัพย์
ษ สินใช ้ค่าปรับหรือกักขังแทนค่าปรับ โทษนีมักใช ้คูก ่ ับโทษจําคุก
ปรับ
โท บังคับเอาแก่ทรัพย์ททํ ี าหรือมีไว ้เป็ นความผิด ได ้ใช ้หรือมีไว ้เพือใช ้ในการกระทําความผิด ได ้มา
14.1.1 โทษประหารชีวต ิ
วิธป
ี ระหารชีวต
ิ ในปั จจุบันทําอย่างไร หากผู ้ต ้องโทษประหารชีวต
ิ เป็ นหญิงมีครรภ์ หรือวิกลจริตจะทํา
อย่างไร
วิธกี ารประหารชวี ติ ในปัจจุบ ันคือเอาไปยิงเสย ี ให้ตาย ตาม ปอ.มาตรา 19 หากผูต ้ อ
้ งโทษ
ประหารชวต ี ิ เป็นหญิงมีครรภ์ ต้องรอโทษประหารชวต ี ิ ไว้กอ
่ นจนกว่าจะคลอดบุตรแล้วจึงให้ประหาร
ได้ ตาม ปวอ. มาตรา 247 วรรค 2
หากผูต ้ งโทษประหารชวี ต
้ อ ิ เป็นคนวิกลจริตก่อนถูกประหารชวี ต ิ ต้องรอการประหารชวี ต ิ ไว้
จนกว่าจะหาย ถ้าหายหล ัง 1 ปี น ับแต่คําพิพากษาถึงทีสุด ก็ ให้ลดโทษลงเป็นจําคุกตลอดชวี ต ิ ตาม
ปวอ. มาตรา 248
การทีกฎหมายอาญาของไทยยังคงโทษประหารชีวต
ิ เอาไว ้สมควรหรือไม่ จงอธิบายและให ้เหตุผล
ประกอบ
โทษประหารชวี ต ิ เป็นโทษทีรุนแรงสามารถย ับยงอาชญากรรมได้
ั อย่างมีประสท ิ ธิภาพ เพราะ
ั
สามารถกําจ ัดบุคคลทีสงคมไม่ ตอ
้ งการได้โดยเด็ดขาด มิให้มโี อกาสก่อความเดือดร้อนให้ก ับสงคม ั
ได้อก ี ทงยั ังเหมาะสมก ับประเภทของความผิดร้ายแรงและทารุณโหดร้าย อย่างไรก็ ดโี ทษประหาร
ชวี ต
ิ เป็นโทษทีเมือเกิดความผิดพลาดแล้วก็ จะไม่มท ี างแก้ไขได้เลย ยิงกว่านนย
ั ังข ัดต่อหล ัก
ึ
มนุษยธรรม เพราะมนุษย์ดว้ ยก ันไม่ควรมีอํานาจเหนือความตายซงก ันและก ัน
ฉะนน ่ ฎหมายไทยเพียงประเทศเดียวทีย ังคงมโทษประหารชวี ต
ั ไม่ใชก ิ ไว้ ประเทศอืนๆ ก็ย ัง
นิยมมีโทษประหารชวี ต ึ ธก
ิ อยู่ เพียงแต่แตกต่างก ันซงวิ ี ารประหารชวี ต
ิ เท่านน
ั
14.1.2 โทษจําคุก
อธิบายหลักเกณฑ์การคํานวณระยะเวลาจําคุก พร ้อมทังยกตัวอย่างประกอบ
การคํานวณระยะเวลาจําคุก มีหล ักเกณฑ์ตาม ปอ. มาตรา 21 คือ
ให้น ับว ันเริมจําคุกคํานวณเข้าด้วย และให้น ับเป็นหนึงว ันเต็ม โดยไม่ตอ ้ งคํานึงถึงจํานวน
ั
ชวโมง ่ ศาลพิพากษาให้จําคุกจําเลย ว ันที 3 มกราคม 2530 เวลา 15.30 น. สง
เชน ่ ต ัวจําเลยเข้า
เรือนจําเวลา 16.30 น. ด ังนนให้ ั น ับว ันที 3 มกราคม 2530 เป็นว ันแรกของการลงโทษจําคุก และให้
น ับเป็น 1 ว ันเต็ ม ไม่เหมือนก ับน ับระยะเวลาใน ปพพ. มาตรา 158 ซงจะไม่ ึ น ับว ันแรกของระยะเวลา
รวมคํานวณเข้าไปด้วย
ในกรณีทกํ ี าหนดโทษไว้เป็นเดือน ไม่ถอ ื ตามเดือนปฏิทิน แต่เอา 30 ว ัน เป็นหนึงเดือน เชน ่
เริมต้นจําคุกว ันที 1 กุมภาพ ันธ์ 2530 มีกําหนด 1 เดือน ครบกําหนดว ันที 2 มีนาคม 2530 ไม่
เหมือนก ับการน ับระยะเวลาใน ปพพ. มาตรา 159 วรรคต้น ซงให้ ึ คํานวนตามปฏิทิน
ถ้ากําหนดเป็นปี ให้คํานวณตามปฏิท ินในราชการ ซงอาจมี ึ 365 ว ันหรือ 366 ว ัน ก็ ได้ เชน ่
เริมต้นจําคุกว ันที 1 ตุลาคม 2530 ครบกําหนด 1 ปี เมือว ันที 30 ก ันยายน 2531
อนึงการกําหนดโทษจําคุก ถ้ากฎหมายระวางโทษไว้อย่างไร ศาลก็ ตอ ้ งกําหนดให้เป็นไป
ตามนน ั เชน่ กฎหมายระวางโทษเป็นเดือน ศาลก็ ตอ ้ งกําหนดโทษเป็นเดือนด้วย
อธิบายหลักเกณฑ์การเริมรับโทษจําคุก พร ้อมทังยกตัวอย่างประกอบ
หล ักเกณฑ์การเริมร ับโทษจําคุก เป็นไปตาม ปอ.มาตรา 22 วรรคแรก คือให้เริมแต่ว ันมีคํา
พิพากษา แต่ถา้ ผูต ้ อ
้ งคําพิพากษาถูกคุมข ังก่อนศาลพิพากษาให้ห ักจํานวนว ันทีถูกคุมข ังออกจาก
ระยะเวลาตามคําพิพากษาเชน ่ จําเลยกระทําความผิดฐานล ักทร ัพย์ ถูกตํารวจจ ับได้ในว ันที 1
มกราคม 2531 และได้ถูควบคุมข ังไว้ทสถานี ี ตํารวจ จนพน ักงานอ ัยการนําต ัวขึนฟ้องในว ันที 1
เมษายน 2531 และศาลได้พพ ิ ากษาให้จาํ คุก 2 ปี ในว ันที 1 กรกฎาคม 2531 ด ังนีศาลต้องห ักว ัน
คุมข ังตงแต่
ั ว ันที 1 มกราคม 31 ถึง 1 กรกฎาคม 31 เป็นเวลา 6 เดือน 1 ว ัน ออกจากระยะเวลา
จําคุกก่อน ผลสุดท้ายจําเลยต้องร ับโทษจําคุกในเรือนจําเพียง 1 ปี 5 เดือน 29 ว ัน
14.1.3 โทษกักขัง
อธิบายโดยสรุปถึงหลักเกณฑ์การบังใช ้โทษกักขังและสิทธิของผู ้ถูกกักขัง
โทษก ักข ังเป็นโทษทีเกียวก ับเสรีภาพของผูก ้ ระทําความผิดเชน ่ เดียวก ับโทษจําคุกแต่เป็น
โทษทีเบากว่า เพราะไม่ได้ถก ู ก ักข ังในเรือนจําและผูต ้ อ้ งโทษก ักข ังมีสท ิ ธิตา่ งๆ มากกว่าผูต ้ อ
้ งโทษ
จําคุก
การบ ังค ับใชโ้ ทษก ักข ัง ในปัจจ ัย ในปัจจุบ ันไม่มบ ี ทบ ัญญ ัติมาตราใดในประมวลกฎหมาย
อาญาทีกําหนดโทษก ักข ังแก่ผก ู ้ ระทําความผิดสา ํ หร ับการกระทําความผิดฐานใดฐานหนึง
โดยเฉพาะ มีแต่เพียงทีบ ัญญ ัติความผิดบางมาตราทีให้เปลียนโทษอย่างอืนมาเป็นโทษก ักข ัง หรือ
ใชว้ ธิ ก
ี ารลงโทษก ักข ังเพือเป็นมาตรการเร่งร ัดให้กระทําการตามทีกฎหมายบ ัญญ ัติได้แก่
(1) การทีเปลียนโทษจําคุกเป็นโทษก ักข ังตามมาตรา 23 (การเปลียนโทษก ักข ังกล ับเป็น
โทษจําคุกมาตรา 27)
(2) กรณีตอ ้ งโทษปร ับแล้วไม่ชา ํ ระค่าปร ับ หรือศาลสงสยว่ ั าจะมีการหลีกเลียงไม่ชําระ
ค่าปร ับ ให้มก ี ารก ักข ังแทนค่าปร ับ (มาตรา 29)
(3) กรณีข ัดขืนคําพิพากษาของศาลให้ร ิบทร ัพย์สน ิ ให้ก ักข ังจนกว่าจะปฏิบ ัติตาม (มาตรา
34)
(4) กรณีไม่ยอมทําท ัณฑ์บนหรือหาประก ันไม่ได้ ให้ก ักข ังจนกว่าจะปฏิบ ัติตาม (มาตรา
46)
(5) ในกรณีไม่ชําระเงินตามทีศาลสงั เมือกระทําผิดท ัณฑ์บน ให้มก ี ารก ักข ังจนกว่าจะมีการ
ชําระ (มาตรา 47) สถานทีก ักข ัง ตามมาตรา 34 แยกเป็น 2 ประเภท คือ
(ก) สถานทีก ักข ังซงกํ ึ าหนดไว้อ ันมิใชเ่ รือนจํา คือสถานีตํารวจ หรือสถานก ักข ังของ
กรมราชท ัณฑ์
(ข) สถานทีอืนซงไม่ ึ ใชส่ ถานทีก ักข ังซงกํ
ึ าหนดได้แก่ ทีอาศยของผู ั น
้ นเอง
ั ั
ทีอาศยของ
ผูอ้ นที
ื ยินยอมร ับผูน ้ น ั และสถานทีอืนทีอาจก ักข ังได้
ิ ธิของผูต
สท ้ อ ้ งโทษก ักข ัง (มาตรา 25-26) คือ
กรณีทผูี ต้ อ ้ งโทษก ักข ังในสถานทีซงกํ ึ าหนด มีสท ิ ธิได้ร ับการเลียงดูจากสถานทีนน ั มีสท ิ ธิ
ได้ร ับอาหารจากภายนอกโดยเสย ี ค่าใชจ ้ า่ ยของตนเอง ใชเ้ สอผ้ ื าของตนเอง ได้ร ับการเยียมอย่าง
น้อยว ันละ 1 ชม. และร ับสง ่ จดหมายได้ (มาตรา 25)
ในกรณีทผู ี ต ้ อ ้ งโทษก ักข ังถูกก ักต ัวไว้ในสถานทีอืน ผูต ้ อ
้ งโทษก ักข ังมีสทิ ธิตา่ งๆ ดีกว่าผูถ้ กู
ก ักข ังในสถานทีซงกํ ึ าหนด มีสท ิ ธิจะดําเนินการใชวช ้ ิ าชพ ี ของตนเองได้ตามแต่ศาลจะเห็นสมควร
กําหนดเงือนไข
14.1.4 โทษปรับ
โทษปรับคืออะไร ถ ้าผู ้ต ้องโทษปรับไม่ชาํ ระค่าปรับภายในเงือนไขของกฎหมาย จะมีวธิ ก ี ารบังคับผู ้
นั นอย่างไร
โทษปร ับเป็นโทษอาญาในทางทร ัพย์สน ิ การเสย ํ ระเงินจํานวนหนึงต่อศาล
ี ค่าปร ับคือการชา
ตามจํานวนทีศาลกําหนดเอาไว้ในคําพิพากษา (มาตรา 28)
ถ้าผูต ้ งโทษปร ับไม่ชําระค่าปร ับภายในเงือนไขของกฎหมาย คือภายใน 30 ว ัน น ับแต่ว ันที
้ อ
ศาลพิพากษาผูน ้ นก็
ั อาจจะถูกยึดทร ัพย์สน ิ ใชแ้ ทนค่าปร ับ หรือถูกก ักข ังแทนค่าปร ับ แต่ศาลก็ อาจ
เรียกประก ันหรือก ักข ังแทนค่าปร ับไปพลางก่อนก็ ได้ ถ้ามีเหตุอ ันสมควรสงสยว่ ั าผูน้ นจะหลี
ั กเลียงไม่
ํ
ชาระค่าปร ับ (มาตรา 29)
ให้เริมน ับว ันก ักข ังแทนค่าปร ับรวมเข้าด้วย และให้น ับเป็น 1 ว ันเต็ ม ไม่วา่ จะเริมก ักข ังใน
เวลาใดของว ันนน ั
ในกรณีทผู ี ต
้ อ
้ งโทษก ักข ังแทนค่าปร ับ ถูกคุมข ังมาก่อนศาลพิพากษาไม่วา ่ จะเป็นการคุมข ัง
ระหว่างสอบสวนหรือระหว่างพิจารณาของศาล ให้ห ักจํานวนว ันทีถูกคุมข ังออกจากจํานวนค่าปร ับ
ให้ถอ ื อ ัตรา 70 บาทต่อ 1 ว ัน เว้นแต่ผน ู ้ นต้
ั องคําพิพากษาให้ลงโทษจําคุกและปร ับ จะห ักจํานวน
ว ันทีถูกคุมข ังออกจากจํานวนค่าปร ับท ันทีไม่ได้
และเมือถูกก ักข ังแทนค่าปร ับครบกําหนดแล้วก็ ให้ปล่อยในว ันรุง ่ ขึนถ ัดจากว ันทีครบกําหนด
เชน ่ จําเลยถูกศาลพิพากษาให้ปร ับ 1,400 บาท ในว ันที 1 มกราคม 2530 จําเลยไม่ชําระค่าปร ับจึง
ถูกก ักข ังแทน เมือถูกก ักข ังได้ 20 ว ัน ก็ ปล่อยต ัวในว ันที 21 มกราคม 2530
อย่างไรก็ด ี ถ้าจําเลยนําเอาเงินค่าปร ับมาชา ํ ระจนครบจํานวนทีขาดระหว่างทีต้องถูกก ักข ัง
แทนค่าปร ับก็ ให้ปล่อยต ัวในท ันที ไม่ตอ ้ งรอให้ถงึ ว ันรุง่ ขึน
14.1.5 โทษริบทรัพย์สน ิ
ทรัพย์สน ิ ทีกฎหมายริบได ้ มีกประเภท
ี อะไรบ ้าง ยกตัวอย่างประกอบ
ทร ัพย์สน ิ ทีกฎหมายริบได้ม ี 4 ประเภท คือ
(1) ทร ัพย์สน ิ ทีศาลต้องริบโดยเด็ดขาด ปอ.มาตรา 32 เป็นทร ัพย์สน ิ ประเภททีกฎหมาย
บ ัญญ ัติวา่ ผูใ้ ดทําเป็นความผิด เชน ่ เงินตราปลอม หรือผูใ้ ดมีไว้เป็นความผิด เชน ่ ปื นเถือน ฝิ นเถือน
(2) ทร ัพย์สน ิ ทีศาลต้องริบเด็ดขาด ตาม ปอ.มาตรา 34 สว ่ นใหญ่เป็นทร ัพย์สน ิ ทีเกียวข้อง
ิ บนของเจ้าพน ักงาน หรือเพือจูงใจ เพือเป็นรางว ัลในการกระทําความผิดเว้นแต่ทร ัพย์สน
ก ับสน ิ นน
ั
เป็นของผูอ ้ นซ
ื งมิึ ได้รเู ้ ห็นเป็นใจในการกระทําความผิดด้วย
(3) ทร ัพย์สน ิ ทีศาลริบโดยใชด ้ ล
ุ พินจ
ิ ตาม ปอ.มาตรา 33 เป็นทร ัพย์สน ิ ซงใช
ึ ใ้ นการกระทํา
ความผิด เชน ปื นทีใชฆา่ คน หรือมีไว้เพือใชในการกระทําความผิด เชน เครืองมือทีใชใ้ นการ
่ ้ ้ ่
โจรกรรม หรือทร ัพย์สน ิ ทีได้มาโดยการกระทําความผิด
(4) ทร ัพย์สน ิ ทีศาลต้องริบตามกฎหมายอืนๆ ตาม ปอ. มาตรา 17 เชน ่ พรบ. ป่าไม้ พรบ.
ศุลกากร และ พรบ. การพน ัน เป็นต้น
14.2.1 การเพิมโทษและการลดโทษ
การเพิมหรือลดมาตราส่วนโทษหมายถึงอะไร กรณีทมี ี การเพิมและลดโทษทีจะลงในคดีเดียวกันศาล
จะทําอย่างไร
การเพิมหรือลดมาตราสว่ นโทษ หมายถึง วิธก ี ารเพิมหรือลดตามสดส ั ว่ นของระวางโทษที
กฎหมายบ ัญญ ัติไว้สา ํ หร ับความผิดนนๆ
ั เชน ่ กฎหมายกําหนดโทษจําคุก 3 ปี เมือเพิม 1 ใน 3 ก็คอ ื
จําคุก 4 ปี เป็นการเพิมตามสดส ั ว
่ นก ับอ ัตราโทษทีกําหนดไว้ตามกฎหมาย การลดโทษก็ เชน ่ ก ัน ถ้า
ลด 1 ใน 3 ก็คอ ื จําคุก 2 ปี ฉะนนในการคิ
ั ดเพิมหรือลดมาตราสว ่ นโทษนีหากหากมีทงการเพิ
ั มและ
ลดมาตราสว ่ นโทษแล้วจะเพิมก่อนหรือลดก่อนก็ จะได้ผลล ัพธ์ เท่าก ัน
ในกรณีทมี ี การเพิมและลดโทษทีจะลงด้วยในคดีเดียวก ัน ศาลต้องเพิมหรือลดมาตราสว่ น
ี
เสยก่อน แล้วจึงกําหนดโทษทีจะลง ต่อไปจึงค่อยเพิมหรือลดโทษทีจะลงอีกขนหนึ ั ง
อธิบายหลักเกณฑ์ในการเปลียนโทษ และการยกโทษ
หล ักเกณฑ์การเปลียนโทษ ได้แก่ การเปลียนโทษจําคุกเป็นก ักข ังและการเปลียนโทษก ักข ัง
เป็นจําคุก สว ่ นการยกโทษ ได้แก่มาตรา 23 27 และมาตรา 55 ตามลําด ับ
หล ักเกณฑ์การเปลียนโทษจําคุกเป็นโทษเป็นโทษก ักข ัง ตามมาตรา 23 มีด ังนี
1) การกระทําความผิดซงมี ึ โทษจําคุกและคดีนนศาลลงโทษจํ
ั าคุกไม่เกิน 3 เดือน ถ้าไม่
ปรากฏว่าผูน ้ นไม่
ั เคยร ับโทษจําคุกมาก่อน หรือปรากฏว่าได้ร ับโทษจําคุกมาก่อนแต่เป็นโทษสา ํ หร ับ
ความผิดทีกระทําโดยประมาทหรือลหุโทษ
2) ศาลจะพิพากษาให้ลงโทษก ักข ังไม่เกิน 3 เดือน แทนโทษจําคุกนนก็ ั ได้
หล ักเกณฑ์การเปลียนโทษก ักข ังเป็นโทษจําคุกตามมาตรา 27 มีด ังนี
ศาลอาจเปลียนโทษก ักข ังเป็นจําคุกมีกําหนดเวลาตามทีศาลเห็นสมควรแต่หา้ มเกิน
กําหนดเวลาของโทษก ักข ังทีผูน ้ นจะต้
ั องได้ร ับต่อไป หากปรากฏแก่ศาลเองหรือตามคําแถลงของ
พน ักงานอ ัยการหรือตามคําแถลงของผูค ้ วบคุมดูแลสถานทีก ักข ังว่าในระหว่างทีผูต้ อ
้ งโทษก ักข ังอยู่
นนั
(1) ฝ่าฝื นระเบียบข้อบ ังค ับ หรือวิน ัยของสถานทีก ักข ัง
(2) ไม่ปฏิบ ัติตามเงือนไขทีศาลกําหนด หรือ
(3) ต้องคําพิพากษาให้ลงโทษจําคุก
หล ักเกณฑ์การยกโทษจําคุกตามมาตรา 55 มีด ังนี
1) ถ้าโทษจําคุก หรือผูก ้ ระทําผิดต้องร ับผิดมีกําหนด 3 เดือน หรือน้อยกว่าและมีโทษปร ับ
ด้วย
2) ศาลกําหนดโทษจําคุกให้นอ ้ ยลงก็ ได้ (แต่ไม่มโี ทษปร ับอยูด
่ ว้ ย) หรือยกโทษจําคุกเสย ี
และปร ับสถานเดียวก็ ได้
14.2.3 การรอการลงโทษ
อธิบายถึงหลักเกณฑ์การรอการลงโทษและให ้บอกถึงระยะเวลาในการรอการลงโทษ
หล ักเกณฑ์การรอการลงโทษมีบ ัญญ ัติในมาตรา 56 ด ังต่อไปนี
1) มีการกระทําความผิดซงมี ึ แต่เฉพาะโทษจําคุก และในคดีนนศาลลงโทษจํ
ั าคุกไม่เกิน 2
ปี ไม่วา
่ จะมีอ ัตราโทษเท่าไรก็ ตาม และเป็นโทษตาม ปอ. หรือตามประมวลกฎหมายอืนก็ ได้
2) ไม่ปรากฏว่าผูก ้ ระทําความผิดได้ร ับโทษจําคุกมาก่อน โทษจําคุกต้องหมายถึงโทษ
จําคุกมาแล้วจริงไม่ใชไ ่ ด้ร ับการยกเว้นโทษจําคุก (ตามมาตรา 55) เปลียนโทษจําคุกเป็นก ักข ัง
(ตามมาตรา 23) เคยต้องคําพิพากษาให้จําคุกแต่ให้รอไว้
หรือต้องคําพิพากษาให้จา ํ คุกแต่หลบหนีหรือปรากฏว่าได้ร ับโทษจําคุกมาก่อน แต่เป็นโทษ
สําหร ับความผิดทีได้กระทําโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ
3) ต้องอ้างเหตุทให้ ี รอการลงโทษตามมาตรา 56 ได้แก่ อายุ ประว ัติ ความประพฤติ
สติปญ ึ
ั ญา การศกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแห่งจิต นิสย ั อาชพี สงแวดล้
ิ อม สภาพความผิด เหตุอน ี
อ ันควรปราณี ประกอบดุลพินจ ิ ของศาลทีจะพิจารณาให้รอการลงโทษหรือไม่ก็ได้
่ นระยะเวลาในการรอการลงโทษ มีกําหนดไม่เกิน 5 ปี
สว
14.2.4 การระงับโทษ
การระงับแห่งโทษทางอาญาทีทําให ้สิทธิในการลงโทษระงับ นอกจากโดยอายุความแล ้ว จะรับได ้
โดยวิธใี ด
ิ ธิในการลงโทษระง ับ ได้แก่ ตาม ปอ. มาตรา 38 และ 79 คือ
สท
(1) โดยความตายของผูก ้ ระทําความผิด
(2) ในคดีทมีี โทษปร ับสถานเดียว ผูต ้ งหาได้นําค่าปร ับในอ ัตราอย่างสูงสําหร ับความผิดนน
้ อ ั
มาชําระก่อนศาลเริมต้นสบ ื พยาน
14.3 วิธก
ี ารเพือความปลอดภ ัย
1. กักกันคือ การควบคุมผู ้กระทําความผิดติดนิสย ั ไว ้ภายในเขตกําหนด เพือป้ องกันการกระทําความผิด
เพือดัดนิสย ั และเพือฝึ กหัดอาชีพ
2. ห ้ามเข ้าเขตกําหนด คือการห ้ามมิให ้เข ้าไปในท ้องทีหรือสถานทีทีกําหนดไว ้ในคําพิพากษา
3. เรียกประกันทัณฑ์บน ได ้แก่ การทีศาลเรียกให ้ผู ้ใดทําคํามันว่าจะไม่กอ ่ เหตุร ้ายขึนภายในเวลาที
กําหนด โดยกําหนดจํานวนเงินไว ้ ทังนีศาลจะเรียกให ้มีประกันด ้วยหรือไม่ก็ได ้ หากผู ้นั นกระทําผิดคํามันคือ
ก่อเหตุร ้ายขึนในเวลาทีกําหนด ศาลมีอาํ นาจสังให ้ผู ้นั นชําระเงินตามจํานวนทีกําหนดได ้
4. คุมตัวไว ้ในสถานพยาบาล เป็ นมาตรการของวิธก ี ารเพือความปลอดภัยอีกประเภททีป้ องกันบุคคล
โดยเฉพาะผู ้มีจติ บกพร่อง โรคจิตหรือจิตฟั นเฟื อน หรือผู ้กระทําความผิดเกียวเนืองกับเสพย์สรุ าเป็ นอาจิณ
หรือผู ้ติดยาเสพติดให ้โทษไปกระทําความผิด จึงให ้อยูใ่ นสถานทีทีเหมาะสม
5. ห ้ามการประกอบอาชีพบางอย่าง คือ ห ้ามผู ้ทีถูกลงโทษเพราะได ้กระทําความผิด มิให ้ประกอบอาชีพ
บางอย่างหลังจากทีพ ้นโทษไปแล ้ว เพือป้ องกันไม่ให ้อาชีพหรือวิชาชีพเช่นนั นเป็ นเครืองมือในการกระทํา
ความผิดอีก
14.3.1 กักกัน
จําเลยซึงมีอายุเกินหนึงปี แล ้ว และเคนต ้องโทษจําคุกฐานลักทรัพย์ของแสงโสมมาแล ้ว 2 ครัง ครัง
ละ 1 ปี หลังพ ้นโทษจําคุกครังที 2 มาแล ้วเพียง 3 เดือน จําเลยก็ไปลักทรัพย์ของแสงโสมอีกครัง ซึงเป็ น
ความผิดทีกฎหมายระบุไว ้ให ้กักกันได ้ ดังนี แสงโสมจะฟ้ องขอให ้ศาลกักกันจําเลยเพือป้ องกันมิให ้มาลัก
ทรัพย์ของตนอีกได ้หรือไม่เพราะเหตุใด
แม้การกระทําของจําเลยจะเข้าเงือนไขหล ักเกณฑ์ของการก ักก ัน ตามประมวลกฎหมาย
อาญามาตรา 41 เพราะจําเลยได้กระทําความผิดฐานล ักทร ัพย์ซงบ ึ ัญญ ัติไว้ในมาตรา 41 (8)
มาแล้วไม่นอ ้ ยกว่า 2 ครงั และในคดีทงสองศาลก็
ั ได้พพิ ากษาให้จาํ คุก 1 ปี ก็ตาม แต่แสงโสมจะ
ฟ้องขอให้ศาลก ักก ันจําเลยไม่ได้ เพราะอํานาจในการฟ้องขอให้ก ักก ันนนเป ั ็ นอํานาจของพน ักงาน
อ ัยการ
การร้องขอซงต้ ั ในคําพิพากษาโดยระบุทอ
ึ องสงไว้ ั
้ งทีหรือสถานทีทีกําหนดไว้ชดเจน การห้ามเข้า
เขตกําหนดจะมีผลบ ังค ับก็ตอ่ เมือได้พน้ โทษตามคําพิพากษาแล้ว และศาลจะกําหนดห้ามไว้เป็น
เวลานานเท่าใดก็ ได้ แต่ตอ
้ งไม่เกิน 5 ปี
14.3.3 เรียกประกันทัณฑ์บน
อธิบายหลักเกณฑ์การเรียกประกันทัณฑ์บน และอายุความการบังคับตามทัณฑ์บน
หล ักเกณฑ์การเรียกประก ันท ัณฑ์บน มี 2 กรณี ตามบทบ ัญญ ัติ ปอ. มาตรา 46 คือ
1. กรณีพน ักงานอ ัยการเสนอศาลให้เรียกประก ันท ัณฑ์บนเมือย ังไม่มก ี ารกระทําผิด แต่
เพราะพน ักงานอ ัยการเห็นว่าผูน ้ นจะก่ ั อเหตุรา้ ยให้เกิดภย ันตรายแก่บค
ุ คลหรือทร ัพย์สน ิ ของผูอ
้ น
ื
2. กรณีมก ี ารกระทําความผิดเกิดขึนแล้ว ความปรากฏแก่ศาลและศาลพิพากษาไม่ลงโทษ
ผูถ้ ูกฟ้อง แต่ศาลเห็นว่าบุคคลนนน่ ั าจะก่อเหตุรา้ ยให้เกิดภย ันตรายแก่บุคคลหรือทร ัพย์สน ิ ของผูอ้ น
ื
3. การเรียกประก ันท ัณฑ์บนเป็นดุลพินจ ิ ของศาล
4. ผูถ้ ก
ู ฟ้องต้องมีอายุเกิน 17 ปี ขณะทีมีการกระทําอ ันเป็นเหตุให้ศาลเรียกประก ันท ัณฑ์
บนได้
5. ศาลมีอํานาจทีจะสงให้ ั ผนู ้ นทํ
ั าท ัณฑ์บนกําหนดจํานวนเงินไม่เกิน 5,000 บาท แต่ไม่
เกิน 2 ปี และอาจจะสงให้มป ั ี ระก ันด้วยหรือไม่ก็ได้
อายุความการบ ังค ับตามท ัณฑ์บนมี 2 กรณีตามบทบ ัญญ ัติ ปอ.สามาตรา 101 คือ
ั
(1) การบ ังค ับตามคําสงศาลในการเรี ยกประก ันท ัณฑ์บนต้องดําเนินการบ ังค ับภายใน 2 ปี
น ับแต่ว ันทีศาลมีคําสงั
(2) การร้องขอให้ศาลสงให้ ั ใชเ้ งินเมือผูท ้ าํ ท ัณฑ์บนประพฤติผ ิดท ัณฑ์บนต้องร้องขอ
ภายใน 2 ปี น ับแต่ว ันทีทําท ัณฑ์บนประพฤติผ ิดท ัณฑ์บน
14.3.5 ห ้ามการประกอบอาชีพบางอย่าง
ึ
อธิบายหลักเกณฑ์ซงศาลจะสั งห ้ามผู ้กระทําความผิดประกอบอาชีพบางอย่าง
ั
ศาลจะสงให้คําพิพากษาห้ามการประกอบอาชพ ี บางอย่างเมือ
1. ศาลได้พพ ิ ากษาให้ลงโทษผูน ้ นตามฐานความผิ
ั ด
2. ศาลเห็นว่า ผูท ้ ถูี กลงโทษนน ั
ั กระทําความผิดโดยอาศยโอกาสจากการประกอบอาช ี
พ
หรือวิชาชพี หรือความผิดเนืองจากการประกอบอาชพ ี หรือวิชาชพ
ี
3. ศาลเห็นว่าถ้าผูน ้ นประกอบอาช
ั ี หรือวิชาชพ
พ ี นนต่ ่ นน
ั อไปอาจจะกระทบความผิดเชน ั
ขึนอีก
15.1 การกระทําความผิดหลายอย่าง
1. การกระทํากรรมเดียว ซึงอาจเป็ นการกระทําอันเดียวหรือเป็ นการกระทําหลายอันแต่มเี จตนาเป็ น
อย่างเดียวกัน ถ ้าไปเข ้าความผิดตามกฎหมายตังแต่ 2 บทขึนไป ถือว่าเป็ นการกระทําความผิดหลายบท ต ้อง
ใช ้กฎหมายบททีมีโทษหนั กทีสุดลงโทษแก่ผู ้กระทําความผิด
2. การกระทําหลายกรรมต่างกัน ถ ้าไปเข ้าความผิดตามกฎหมายตังแต่ 2 บทขึนไป ถือว่าเป็ นการ
กระทําความผิดหลายกระทง ต ้องลงโทษผู ้กระทําความผิดทุกกรรมเป็ นกระทงความผิดไป
15.1.1 การกระทําความผิดหลายบท
นายม่วงบุกรุกเข ้าไปในบริเวณบ ้านของนายฟ้ า เมือลักทรัพย์แล ้วลักเอากระบือของนายฟ้ าไป ดังนี
การกระทําของนายม่วงเป็ นการกระทํากรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทหรือไม่ และจะต ้องรับโทษอย่างไร
การกระทําของนายม่วงเป็นการกระทํากรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท เพราะแม้วา่ นาย
ม่วงจะมีการกระทําหลายอ ัน คือมีทงการบุ
ั กรุกเข้าไปในบริเวณบ้านของนายฟ้าและล ักเอากระบือ
ของนายฟ้าไป แต่นายม่วงก็ ได้กระทําไปโดยมีว ัตถุประสงค์เพียงอย่างเดียวคือ เพือล ักทร ัพย์ของ
ึ ็ นการกระทํากรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ในกรณีเชน
นายฟ้า ซงเป ้ ฎหมายบท
่ นี ศาลจะต้องใชก
ทีมีโทษหน ักทีสุดแก่นายม่วงเพียงบทเดียว
15.1.2 การกระทําความผิดหลายกระทง
นายม่วงใช ้มีดฟั นนายฟ้ าถึงแก่ความตาย นายแสดบิดาของนายฟ้ าเข ้ามาขัดขวาง นายม่วงจึงใช ้มีด
ฟั นนายแสดถึงแก่ความตายด ้วย ดังนี การกระทําของนายม่วงเป็ นการกระทําผิดหลายกระทงหรือไม่
การทีนายม่วงใช ้มีดฟั นนายฟ้ าถึงแก่ความตาย และต่อมาก็ใช ้มีดฟั นนายแสดบิดาของนายฟ้ าถึงแก่
ความตายด ้วยนัน ถือได ้ว่าการกระทําของนายม่วงเป็ นการกระทําหลายกรรม และการกระทําหลายกรรมนัน
เป็ นการกระทําทีแยกออกจากกันได ้ จึงเป็ นความผิดหลายกระทงตาม ปอ. มาตรา 91
15.2 การกระทําความผิดอีก
1. ผู ้ทีเคยถูกลงโทษจําคุกมาแล ้ว หากได ้กระทําความผิดอีกภายในระยะเวลาทีกฎหมายกําหนดและ
ศาลจะลงโทษจําคุก ผู ้นั นอาจถูกเพิมโทษให ้หนั กขึนอีกหนึงในสามก็ได ้
2. ผู ้ทีเคยถูกลงโทษจําคุกไม่น ้อยกว่า 6 เดือนมาแล ้ว หากได ้กระทําความผิดซําในความผิดประเภท
เดียวกันอีก ภายในระยะเวลาทีกําหนดและศาลจะลงโทษจําคุก ผู ้นั นอาจจะถูกเพิมโทษให ้หนั กขึนอีกกึงหนึง
ได ้
3. ความผิดทีกระทําโดยประมาท ความผิดลหุโทษ และความผิดซึงกระทําในขณะมีอายุยังไม่เกิน 17 ปี
ไม่ถอื เป็ นเหตุเพิมโทษ
15.2.1 การเพิมโทษเพราะกระทําความผิดอีกโดยทัวไป
การเพิมโทษพร ้อมการกระทําความผิดอีกโดยทัวไปตาม ปอ. มาตรา 92 มีดังนี
หลักเกณฑ์การเพิมโทษเพราะการกระทําความผิดอีกโดยทัวไปตาม ปอ. มาตรา 92 มีดังนี
(1) ผู ้นันเคยต ้องคําพิพากษาถึงทีสุดให ้ลงโทษจําคุก
(2) ได ้กระทําความผิดใดๆ อีกในระหว่างทียังต ้องรับโทษอยู่ หรือภายในเวลา 5 ปี นั บแต่วันพ ้นโทษ
(3) ศาลจะพิพากษาลงโทษครังหลังถึงจําคุก
15.2.2 การเพิมโทษเพราะกระทําความผิดอีกเฉพาะทาง
การเพิมโทษเพราะการกระทําผิดอีกเฉพาะอย่างตาม ปอ.มาตรา 93 มีหลักเกณฑ์อย่างไร
หลักเกณฑ์การเพิมโทษเพราะกระทําความผิดอีกเฉพาะอย่างตาม ปอ. มาตรา 93 มีดังนี
(1) ผู ้นันเคนต ้องคําพิพากษาถึงทีสุดให ้ลงโทษจําคุกไม่น ้อยกว่า 6 เดือน
(2) ได ้กระทําความผิดอย่างหนึงอย่างใดซําในมาตราเดียวกันอีกในระหว่างยังต ้องรับโทษอยูห
่ รือ
ภายในเวลา 3 ปี นั บแต่วันพ ้นโทษ
(3) ศาลจะพิพากษาลงโทษครังหลังถึงจําคุก
15.3 อายุความ
1. ในการฟ้ องคดีและฟ้ องขอให ้กักกันผู ้กระทําความผิดต่อศาลนั น จะต ้องกระทําภายในระยะเวลาที
กฎหมายกําหนด มิฉะนันจะฟ้ องร ้องผู ้นันไม่ได ้
2. การลงโทษผู ้กระทําความผิดตามคําพิพากษาของศาลจะต ้องกระทําภายในระยะเวลาทีกฎหมาย
กําหนด
3. การบังคับตามคําพิพากษาหรือคําสังของศาลเกียวกับวิธก ี ารเพือความปลอดภัยจะต ้องกระทําภายใน
ระยะเวลาทีกฎหมายกําหนด
อธิบายถึงอายุความการฟ้ องคดีความผิดอันยอมความกันได ้
อายุความฟ้ องคดีความผิดอันยอมความได ้มีหลักเกณฑ์ดังนี
(1) ผู ้เสียหายต ้องร ้องทุกข์ภายใน 3 เดือน นั บแต่วันรู ้เรืองความผิด และรู ้ตัวผู ้กระทําความผิด
(2) ภายในอายุความตาม ปอ.มาตรา 95 หมายความว่า แม่ผู ้เสียหายจะร ้องทุกข์ภายใน 3 เดือนแล ้ว
ก็ตาม การฟ้ องคดีความผิดอันยอมความได ้ก็อยูภ ่ ายในกําหนดอายุความฟ้ องคดีทัวไปตาม ปอ.มาตรา 95
ด ้วย
15.3.2 อายุความการลงโทษ
อธิบายหลักเกณฑ์อายุความการลงโทษทัวไป
หลักเกณฑ์อายุความการลงโทษทัวไป คือ เมือมีคําพิพากษาถึงทีสุดให ้ลงโทษผู ้กระทําผิด และผู ้
นั นยังมิได ้รับโทษหรือรับโทษมาบ ้างแล ้ว แต่หลบหนีไปในระหว่างต ้องโทษอยู่ ถ ้าไม่ได ้ตัวผู ้กระทําความผิด
มารับโทษภายในระยะเวลาทีกฎหมายกําหนดไว ้ นั บแต่วันทีมีคําพิพากษาถึงทีสุดหรือนั บแต่วันทีหลบหนีเป็ น
ต ้นไป ถือว่าขาดอายุความการลงโทษ จะลงโทษผู ้กระทําความผิดตามคําพิพากษานันอีกไม่ได ้
อธิบายหลักเกณฑ์อายุความยึดทรัพย์หรือกักขังแทนค่าปรับ
หลักเกณฑ์อายุความยึดทรัพย์สน ิ หรือกักขังแทนค่าปรับ คือ การยึดทรัพย์สน
ิ หรือการกักขังแทน
ค่าปรับในกรณีทผูี ้ต ้องคําพิพากษาให ้ปรับไม่นําค่าปรับมาชําระแก่ศาลภายในกําหนด จะต ้องกระทําภายใน
กําหนดอายุความคือ ภายในกําหนด 5 ปี นั บแต่วันทีมีคําพิพากษาถึงทีสุด มิฉะนั นจะถือว่าขาดอายุความ จะ
ยึดทรัพย์หรือกักขังผู ้นั นไม่ได ้
อธิบายอายุความการบังคับตามทัณฑ์บน
อายุความการบังคับตามทัณฑ์บนคือ ในกรณีทศาลสั ี งให ้บุคคลใดทําทัณฑ์บนหรือหาประกันว่าจะไม่
ก่อเหตุร ้าย ถ ้าผู ้นันไม่ปฏิบัตติ ามคําสังศาล ศาลมีอาํ นาจสังกักขังผู ้นันหรือจะสังห ้ามผู ้นั นเข ้าเขตกําหนดก็ได ้
แต่การกักขังหรือห ้ามเข ้าเขตกําหนดจะต ้องทําภายในกําหนด 2 ปี นั บแต่วันทีศาลมีคําสัง มิฉะนันจะเป็ นอัน
ขาดอายุความ
ในกรณีผู ้ทีศาลมีคําสังให ้ทําทัณฑ์บน ประพฤติผด ิ ทัณฑ์บน ศาลมีอํานาจหรือให ้ผู ้ผู ้นั นชําระเงินไม่
เกินจํานวนทีกําหนดไว ้ในทัณฑ์บน การร ้องขอให ้ศาลสังให ้ชําระเงินนีจะต ้องกระทําภายในกําหนด 2 ปี นั บแต่
วันทีผู ้ทําทัณฑ์บนประพฤติผด ิ ทัณฑ์บน มิฉะนั นขาดอายุความ
ิ เิ ศษทีใช ้กับความผิดลหุโทษแตกต่างจากบทบัญญัตท
บทบัญญัตพ ี ้แก่ความผิดทัวไปอย่างไร
ิ ใช
้ ับความผิดลหุโทษ แตกต่างจากบทบ ัญญ ัติทใช
บทบ ัญญ ัติพเิ ศษทีใชก ้ ก่ความผิดทวไป
ี แ ั ด ังนี
(1) เจตนาในการกระทําความผิด คือ การกระทําความผิดลหุโทษแม้กระทําโดยไม่มเี จตนาก็เป็น
ความผิด
(2) การพยายามกระทําความผิด คือ ผูท ้ พยายามกระทํ
ี าความผิดลหุโทษ ผูน้ นไม่
ั ตอ ้ งร ับโทษ
(3) ผูส
้ น ับสนุนการกระทําความผิดคือ ผูท ้ สน
ี ับสนุนการกระทําความผิดลหุโทษผูน ้ นไม่
ั ตอ้ งร ับโทษ
*********************************************