You are on page 1of 37

กาม ๒ 

(ความใคร่, ความอยาก, ความปรารถนา, สิง่ ที่ ๑. ปัญญาปิ ยบ ัญญ ัติ หรือ อรรถบ ัญญ ัติ (บัญญัตใิ นแง่เป็ นสิง่
น่าใคร่น่าปรารถนา — sensuality) อันพึงให ้รู ้กัน, บัญญัตท
ิ เี่ ป็ นความหมาย, บัญญัตค ิ อื ความหมาย
อันพึงกำหนดเรียก, ตัวความหมายทีจ ่ เรียก —the
่ ะพึงถูกตัง้ ชือ
๑. กิเลสกาม (กิเลสทีทำ
่ ให ้ใคร่, ความอยากทีเ่ ป็ นตัวกิเลส Pannatti to be made Known or conveyed; concept)
— subjective sensuality)
๒. ปัญญาปนบ ัญญ ัติ หรือ นามบ ัญญ ัติ หรือ สททบ ั ัญญ ัติ 
ั น่าใคร่, สิง่ ทีน
๒. ว ัตถุกาม (วัตถุอน ่ ่าปรารถนา, สิง่ ทีอ
่ ยากได ้, (บัญญัตใิ นแง่เป็ นเครือ ่ งให ้รู ้กัน, บัญญัตท ่ , บัญญัตท
ิ เี่ ป็ นชือ ิ เี่ ป็ น
กามคุณ —objective sensuality) ่ ทีต
ศัพท์, ชือ ้ ใช ้เรียก — the Pannatti that makes Known
่ งั ้ ขึน
or conveys; term; designation)

ปั ญญาปิ ยบัญญัต ิ เรียกเต็มว่า ปั ญญาปิ ยัตตา บัญญัต,ิ ปั ญญาปน


บัญญัต ิ เรียกเต็มว่า ปั ญญาปนโต บัญญัต ิ
(๑๙)  ธรรม ๒๑ (สภาวะ, สิง่ , ปรากฏการณ์ —
things; states; phenomena)
ปั ญญาปนบัญญัต ิ หรือ นามบัญญัต ิ แยกย่อยออกเป็ น ๖ อย่าง
คือ
๑. รูปธรรม (สภาวะอันเป็ นรูป, สิง่ ทีม
่ รี ป
ู , ได ้แก่รป
ู ขันธ์ทงั ้ หมด
—materiality; corporeality) ๑. วิชชมานบ ัญญ ัติ (บัญญัตส ิ งิ่ ทีม
่ อ
ี ยู่ เช่น รูป เวทนา สมาธิ
เป็ นต ้น — designation of reality; real concept)
๒. อรูปธรรม (สภาวะมิใช่รป
ู , สิง่ ทีไ่ ม่มรี ป
ู , ได ้แก่นามขันธ์ 4
และนิพพาน —immateriality; incorporeality) ๒. อวิชชมานบ ัญญ ัติ (บัญญัตส ิ งิ่ ทีไ่ ม่มอ
ี ยู่ เช่น ม ้า แมว รถ
นายแดง เป็ นต ้น — designation of an unreality; unreal
concept)
ในบาลีทม
ี่ า ท่านเรียก รูปิโน ธมฺมา และ อรูปิโน ธมฺมา

๓. วิชชมาเนน อวิชชมานบ ัญญ ัติ (บัญญัตส ิ งิ่ ทีไ่ ม่ม ี ด ้วยสิง่ ที่


(๒๐) ธรรม ๒๒ (สภาวะ, สิง่ , ปรากฏการณ์ มี เช่น คนดี นักฌาน ซึง่ ความจริงมีแต่ด ี คือภาวะทีเ่ ป็ นกุศล และ
— things; states; phenomena) ฌาน แต่คนไม่ม ี เป็ นต ้น — designation of an unreality by
means of a reality; unreal concept by means of a real
concept)
๑. โลกิยธรรม (ธรรมอันเป็ นวิสย ั ของโลก, สภาวะเนือ
่ งในโลก
ได ้แก่ขน
ั ธ์ ๕ ทีเ่ ป็ นสาสวะทัง้ หมด —mundane states) ๔. อวิชชมาเนน วิชชมานบ ัญญ ัติ (บัญญัตส ิ งิ่ ทีม
่ ี ด ้วยสิง่ ที่

ไม่ม ี เช่น เสียงหญิง ซึงความจริง หญิงไม่ม ี มีแต่เสียง เป็ นต ้น
๒. โลกุตตรธรรม (ธรรมอันมิใช่วส ั ของโลก, สภาวะพ ้นโลก
ิ ย — designation of a reality by means of an unreality; real
concept by means of an unreal concept)
ได ้แก่มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ — supramundane states) (+
โพธิปักขิยธรรม ๓๗: ขุ.ปฏิ.๖๒๐; Ps.II.166)
๕. วิชชมาเนน วิชชมานบ ัญญ ัติ (บัญญัตส ิ งิ่ ทีม
่ ี ด ้วยสิง่ ทีม
่ ี
ั ผัส โสตวิญญาณ เป็ นต ้น —designation of a
เช่น จักขุสม
(๒๑) ธรรม ๒๓ (สภาวะ, สิง่ , ปรากฏการณ์ — thing; reality by means of a reality; real concept by means of a
states; phenomena) real concept)


๑. สงขตธรรม  (สิง่ ทีป่ ั จจัยปรุงแต่ง คือ ขันธ์ ๕ ทัง้ หมด ๖. อวิชชมาเนน อวิชชมานบ ัญญ ัติ (บัญญัตส ิ งิ่ ทีไ่ ม่ม ี ด ้วยสิง่
ทีไ่ ม่ม ี เช่น ราชโอรส ลูกเศรษฐี เป็ นต ้น — designation of an
— conditioned things; compounded things) unreality by means of an unreality; unreal concept by
means of an unreal concept)

๒. อสงขตธรรม  (สิง่ ทีป่ ั จจัยไม่ปรุงแต่ง คือ นิพพาน — the
Unconditioned, i.e. Nibbana) (๓๒)  ปธาน ๒ (ความเพียร หมายเอาความเพียรที่
ทำได ้ยาก — hard struggles; painstaking endeavors)
(๒๒)  ธรรม ๒๔ (สภาวะ, สิง่ , ปรากฏการณ์
— thing; states; phenomena) ๑. ความเพียรของคฤห ัสถ์ ทีจ ่ ะอำนวยปัจจ ัย ๔ (แก่
บรรพชิต เป็ นต ้น) — struggle of householders to provide
๑. อุปาทินนธรรม (ธรรมทีถ ่ ก
ู ยึด, ธรรมทีก
่ รรมอันสัมปยุตด ้วย the four requisites.
ตัณหาและทิฏฐิเข ้ายึดครอง ได ้แก่ นามขันธ์ ๔ ทีเ่ ป็ นวิบาก และ
รูปทีเ่ กิดแต่กรรมทัง้ หมด — states grasped by craving and ๒. ความเพียรของบรรพชิตทีจ ่ ะไถ่ถอนกองกิเลส —
false view; grasped states) struggle of the homeless to renounce all substrates of
rebirth.

๒. อนุปาทินนธรรม (ธรรมทีไ่ ม่ถก ู ยึด, ธรรมทีก


่ รรมอันสัมปยุต
ด ้วยตัณหาและทิฏฐิไม่เข ้ายึดครอง ได ้แก่ นามขันธ์ ๔ ส่วนนอก (๓๓)  ปริเยสนา ๒ (การแสวงหา — search;
นี้ รูปทีม
่ ใิ ช่เกิดแต่กรรม และ โลกุตตรธรรมทัง้ หมด —states not quest)
grasped by craving and false view; ungrasped states)
๑. อนริยปริเยสนา (แสวงหาอย่างไม่ประเสริฐ, แสวงหาอย่าง
 บ ัญญ ัติ ๒ และ ๖ (การกำหนดเรียก หรือ สิง่ ทีถ ่ ก
ู อนารยะ คือ ตนเอง เป็ นผู ้มีชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกะ และสัง
กำหนดเรียก, การกำหนดตัง้ หรือตราไว ้ให ้เป็ นทีร่ ู ้กัน กิเลสเป็ นธรรมดา ก็ยังใฝ่ แสวงหาแต่สงิ่ อันมีชาติ ชรา พยาธิ
— designation; term; concept)
มรณะ โสกะ และสังกิเลสเป็ นธรรมดา — unariyan or ignoble ๓. ฆาน (จมูก — the nose)
search)
๔. ชิวหา ( ลิน
้ — the tongue)
๒. อริยปริเยสนา (แสวงหาอย่างประเสริฐ, แสวงหาอย่าง
อารยะ คือ ตนเป็ นผู ้มีชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกะ และสังกิเลส
๕. กาย ( กาย — the body)
เป็ นธรรมดา แต่รู ้จักโทษข ้อบกพร่องของสิง่ ทีม
่ ส
ี ภาพเช่นนัน
้ แล ้ว
ใฝ่ แสวงธรรมอันเกษม คือ นิพพาน อันไม่มส ี ภาพเช่นนัน

— ariyan or noble search) ข. โคจรรูป หรือ วิสย
ั รูป ๕ (รูปทีเ่ ป็ นอารมณ์หรือแดนรับรู ้ของ
อินทรีย ์ : material qualities of sense-fields)
สองอย่างนี้ เทียบได ้กับ อามิสปริเยสนา และ ธรรมปริเยสนา ที่
ตรัสไว ้ใน อังคุตตรนิกาย; แต่สำหรับคนสามัญ  อาจารย์ภายหลัง ๖. รูปะ (รูป — form)
อธิบายว่า ข ้อแรกหมายถึงมิจฉาอาชีวะ   ข ้อหลังหมายถึงสัมมา
อาชีวะ ดังนีก้ ็ม.ี

๗. สททะ  (เสียง — sound)
(๓๘) รูป ๒ (สภาวะทีแ ่ ปรปรวนแตกสลายเพราะปั จจัย
ต่าง ๆ อันขัดแย ้ง, ร่างกายและส่วนประกอบฝ่ ายวัตถุพร ้อมทัง้ ๘. ค ันธะ (กลิน
่ — smell)
พฤติกรรมและคุณสมบัตข ิ องมัน, ส่วนทีเ่ ป็ นร่างกับทัง้ คุณและ
อาการ :corporeality; materiality; matter)
๙. รสะ (รส — taste)
๑. มหาภูต หรือ ภูตรูป ๔ (สภาวะอันปรากฏได ้เป็ นใหญ่ ๆ โต
ๆ หรือเป็ นต่าง ๆ ได ้มากมาย, รูปทีม
่ อ
ี ยูโ่ ดยสภาวะ, รูปต ้นเดิม
ได ้แก่ ธาตุ ๔ : primary elements)
๐. โผฏฐ ัพพะ (สัมผัสทางกาย — tangible objects) ข ้อนีไ ้ ม่
๒. อุปาทารูป หรือ อุปาทายรูป ๒๔ (รูปอาศัย, รูปทีเ่ ป็ นไป นับเพราะเป็ นอันเดียวกับมหาภูต ๓ คือ ปฐวี เตโช และ วาโย ที่
โดยอาศัยมหาภูต, คุณและอาการแห่งมหาภูต : derivative กล่าวแล ้วในมหาภูต
materiality)
ค. ภาวรูป ๒ (รูปทีเ่ ป็ นภาวะแห่งเพศ — material qualities of
มหาภูต หรือ ภูตรูป ๔ : the Four Primary Elements; sex)
primary matter)
๑๐. อิตถ ัตตะ, อิตถินทรีย ์ (ความเป็ นหญิง — femininity)
๑. ปฐวีธาตุ (สภาวะทีแ ่ ผ่ไปหรือกินเนือ
้ ที,่ สภาพอันเป็ นหลักที่
ตัง้ ทีอ
่ าศัยแห่งสหชาตรูป เรียกสามัญว่า ธาตุแข ้นแข็ง หรือ ธาตุ
๑๑. ปุรส ั
ิ ตตะ, ปุรส ิ ทรีย ์ (ความเป็ นชาย — masculinity)
ิ น
ดิน : element of extension; solid element; earth)

ง. หทยรูป ๑ (รูปคือหทัย — physical basis of mind)


๒. อาโปธาตุ (สภาวะทีเ่ อิบอาบหรือดูดซึม หรือซ่านไป ขยาย
ขนาด ผนึก พูนเข ้าด ้วยกัน เรียกสามัญว่า ธาตุเหลว หรือ ธาตุ
๑๒. หท ัยว ัตถุ (ทีต
่ งั ้ แห่งใจ, หัวใจ — heart-base)
น้ำ : element of cohesion; fluid element; water)

ิ รูป ๑ (รูปทีเ่ ป็ นชีวต


จ. ชีวต ิ — material qualities of life)
๓. เตโชธาตุ (สภาวะทีทำ
่ ให ้ร ้อน เรียกสามัญว่า ธาตุ
ไฟ : element of heat or radiation; heating element; fire)
๑๓. ชีวต ิ ทรีย ์ (อินทรียค
ิ น ์ อ ิ — life-faculty; vitality; vital
ื ชีวต
force)
๔. วาโยธาตุ (สภาวะทีทำ ่ ไหวเคลือ
่ ให ้สัน ่ นที่ และค้ำจุน เรียก
สามัญว่า ธาตุลม : element of vibration or motion; air ฉ. อาหารรูป ๑ (รูปคืออาหาร — material quality of
element; wind) nutrition)

่ ย่างนี้ เรียกอีกอย่างหนึง่ ว่า ธาตุ ๔


สีอ ิ
๑๔. กวฬงการาหาร  (อาหารคือคำข ้าว, อาหารทีก่ นิ : edible
food; nutriment)
(๔๐) อุปาทารูป หรือ อุปาทายรูป ๒๔ (derivative
materiality) ช. ปริจเฉทรูป ๑ (รูปทีกำ
่ หนดเทศะ : material quality of
delimitation)
ก. ปสาทรูป ๕ (รูปทีเ่ ป็ นประสาทสำหรับรับอารมณ์: sensitive
material qualities) ๑๕. อากาสธาตุ (สภาวะคือช่องว่าง : space-element)

๑. จ ักขุ (ตา — the eye) ู ๒ (รูปคือการเคลือ


ญ. วิญญัตริ ป ่ นไหวให ้รู ้ความหมาย
: material intimation; gesture)
๒. โสต (หู — the ear)
๑๖. กายวิญญ ัติ (การเคลือ ่ นไหวให ้รู ้ความหมายด ้วยกาย ๑. อสนฺตฏ ุ ฺฐิตา กุสเลสุ ธมฺเมสุ (ความไม่สน ั โดษในกุศลธรรม,
ความไม่รู ้อิม ่
่ ไม่รู ้พอในการสร ้างความดีและสิงทีด ่ ี — discontent
: bodily intimation; gesture)
in moral states; discontent with good achievements)

๑๗. วจีวญ ิ ญ ัติ (การเคลือ
่ นไหวให ้รู ้ความหมายด ้วยวาจา ๒. อปฺปฏิวาณิตา ปธานสฺม ึ (ความไม่ระย่อในการพากเพียร,
: verbal intimation; speech) การเพียรพยายามก ้าวหน ้าเรือ
่ ยไปไม่ยอมถอยหลัง
— perseverance in exertion; unfaltering effort)
ฏ. วิการรูป ๕ (รูปคืออาการทีด่ ัดแปลงทำให ้แปลกให ้พิเศษได ้
: material quality of plasticity or alterability) (๖๘) กุศลวิตก ๓ (ความตรึกทีเ่ ป็ นกุศล, ความนึกคิด
ทีด
่ งี าม — wholesome thoughts)

ั ส) ลหุตา (ความเบา — lightness; agility)


๑๘. (รูปส
๑. เนกข ัมมวิตก(ความตรึกปลอดจากกาม, ความนึกคิดในทาง
เสียสละ ไม่ตด
ิ ในการปรนปรือสนองความอยากของตน
๑๙. (รูปส ุ า (ความอ่อนสลวย : elasticity;
ั ส) มุทต — thought of renunciation; thought free from selfish
malleability) desire)

๒. อพยาบาทวิตก (ความตรึกปลอดจากพยาบาท, ความนึกคิด
ั ส) ก ัมม ัญญตา (ความควรแก่การงาน, ใช ้การได ้
๒๐. (รูปส
ทีป
่ ระกอบด ้วยเมตตา ไม่ขด
ั เคืองหรือเพ่งมองในแง่ร ้าย
: adaptability; wieldiness)
— thought free from hatred)

ู ๒ ไม่นับเพราะซ้ำในข ้อ ญ.
๐. วิญญ ัติรป ๓. อวิหงิ สาวิตก (ความตรึกปลอดจากการเบียดเบียน, ความ
นึกคิดทีป
่ ระกอบด ้วยกรุณาไม่คด
ิ ร ้ายหรือมุง่ ทำลาย — thought
of non-violence; thought free from cruelty)
ฏ. ลักขณรูป ๔ (รูปคือลักษณะหรืออาการเป็ นเครือ
่ งกำหนด
: material quality of salient features)
่ วชาญ
(๗๐) โกศล ๓ (ความฉลาด, ความเชีย
— proficiency)
๒๑. (รูปสั ส) อุปจย (ความก่อตัวหรือเติบขึน
้ : growth;
integration) ๑. อายโกศล (ความฉลาดในความเจริญ, รอบรู ้ทางเจริญ และ
เหตุของความเจริญ — proficiency as to gain or progress)
๒๒. (รูปส ั  (ความสืบต่อ : continuity)
ั ส) สนตติ
๒. อปายโกศล (ความฉลาดในความเสือ ่ ม, รอบรู ้ทางเสือ
่ มและ
่ ม — proficiency as to loss or regress)
เหตุของความเสือ
ั ส) ชรตา (ความทรุดโทรม : decay)
๒๓. (รูปส
๓. อุปายโกศล (ความฉลาดในอุบาย, รอบรู ้วิธแ ี ก ้ไขเหตุการณ์
ั ส) อนิจจตา (ความปรวนแปรแตกสลาย
๒๔. (รูปส และวิธท
ี จ
ี่ ะทำให ้สำเร็จ — proficiency as to means and
: impermanence) method)

Dhs. 127; Vism.443; Comp.155    อภิ.สํ.๓๔/๕๐๔/๑๘๕; วิ (๗๘) ทุกขตา ๓ (ความเป็ นทุกข์, ภาวะแห่งทุกข์,


สุทธิ.๓/๑๑; สงฺคห.๓๔ สภาพทุกข์, ความเป็ นสภาพทีท ่ นได ้ยาก หรือคงอยูใ่ นภาวะเดิม
ไม่ได ้ — state of suffering or being subject to suffering;
conflict; unsatisfactoriness)
(๔๑) รูป ๒ (สิง่ ทีเ่ ป็ นร่างพร ้อมทัง้ คุณและอาการ
: rupa: matter; materiality)
๑. ทุกขทุกขตา (สภาพทุกข์คอ ื ทุกข์ หรือความเป็ นทุกข์เพราะ
ทุกข์ ได ้แก่ ทุกขเวทนาทางกายก็ตาม ใจก็ตาม ซึง่ เป็ นทุกข์
๑. อุปาทินนกรูป (รูปทีก
่ รรมยึดครองหรือเกาะกุม ได ้แก่รป
ู ที่ ่ ตามสภาพ — painfulnessas
อย่างทีเ่ ข ้าใจสามัญ ตรงตามชือ
เกิดจากกรรม : karmically grasped materiality; clung-to suffering)
materiality; organic matter)
๒.วิปริณามทุกขตา (ความเป็ นทุกข์เพราะความแปรปรวน
๒. อนุปาทินนกรูป (รูปทีก่ รรมยึดครองหรือเกาะกุม ได ้แก่รป
ู ที่ ได ้แก่ความสุข ซึง่ เป็ นเหตุให ้เกิดความทุกข์เมือ
่ ต ้องเปลีย
่ นแปร
ไปเป็ นอืน
่ —suffering in change)
เกิดจากกรรม : karmically grasped materiality; not-clung-to
materiality; inorganic matter)

๓. สงขารทุ กขตา (ความเป็ นทุกข์เพราะเป็ นสังขาร ได ้แก่ตัว
สภาวะของสังขารคือสิง่ ทัง้ ปวงซึง่ เกิดจากปั จจัยปรุงแต่ง ทีถ
่ ก
ู บีบ
คัน
้ ด ้วยการเกิดขึน
้ และสลายไป ทำให ้คงสภาพอยูไ่ ม่ได ้ พร่องอยู่
เสมอ และให ้เกิดทุกข์แก่ผู ้ยึดถือด ้วยอุปทาน — suffering due
to formations; inherent liability to suffering)

(๖๔) อุปญ
ั ญาตธรรม ๒ (ธรรมทีพ ่ ระพุทธเจ ้าได ้ทรง
(๘๖) นิมต
ิ ๓ (เครือ ่ งหมายสำหรับให ้จิตกำหนดในการ
ปฏิบัตเิ ห็นคุณประจักษ์กบ
ั พระองค์เอง คือ พระองค์ได ้ทรงอาศัย
เจริญกรรมฐาน, ภาพทีเ่ ห็นในใจอันเป็ นตัวแทนของสิง่ ทีใ่ ช ้
ธรรม ๒ อย่างนีดำ้ เนินอริยมรรคจนบรรลุจด ุ หมายสูงสุด คือ
อารมณ์กรรมฐาน —sign; mental image)
สัมมาสัมโพธิญาณ — two virtues realized or ascertained by
the Buddha himself)
๑. บริกรรมนิมต ิ  (นิมต
ิ แห่งบริกรรม, นิมต
ิ ตระเตรียมหรือนิมต

่ ได ้แก่สงิ่ ใดก็ตามทีกำ
แรกเริม ่ หนดเป็ นอารมณ์ในการเจริญ
กรรมฐาน เช่น ดวงกสิณทีเ่ พ่งดู หรือ พุทธคุณทีน ่ ก
ึ เป็ นอารมณ์ เช่นว่า เวทนาไม่เทีย ่ ง มีความแปรปรวนไปเป็ นธรรมดา ไม่ใช่ตัว
ว่าอยูใ่ นใจเป็ นต ้น — preliminary sign) ได ้ในกรรมฐานทัง้ ๔๐ ไม่ใช่ตน ดังนีเ้ ป็ นต ้น — full knowledge as investigating;
diagnosis as judgment)
๒. อุคคหนิมต ิ  (นิมต
ิ ทีใ่ จเรียน, นิมต
ิ ติดตา ได ้แก่ บริกรรมนิมต

นัน
้ เพ่งหรือนึกกำหนดจนเห็นแม่นในใจ เช่น ดวงกสิณทีเ่ พ่งจน ๓. ปหานปริญญา (กำหนดรู ้ด ้วยการละ, กำหนดรู ้ถึงขัน ้ ละได ้,
ติดตา หลับตามองเห็น เป็ นต ้น — learning sign; abstract กำหนดรู ้โดยตัดทางมิให ้ฉันทราคะเกิดมีในสิง่ นัน
้ คือรู ้ว่าสิง่ นัน

sign; visualized image) ได ้ในกรรมฐานทัง้ ๔๐ เป็ นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล ้ว ละนิจจสัญญาเป็ นต ้น ในสิง่ นัน ้
เสียได ้ — full knowledge as abandoning; diagnosis as
๓. ปฏิภาคนิมต ิ  (นิมต
ิ เสมือน, นิมติ เทียบเคียง ได ้แก่ นิมต ิ ที่ abandoning)
เป็ นภาพเหมือนของอุคคหนิมต ้ แต่เป็ นสิง่ ทีเ่ กิดจากสัญญา
ิ นัน
เป็ นเพียงอาการปรากฏแก่ผู ้ได ้สมาธิจงึ บริสท ุ ธิจ์ นปราศจากสี ปริญญา ๓ นี้ เป็ นโลกียะ มีขน ั ธ์ ๕ เป็ นอารมณ์ เป็ นกิจในอริยสัจ
เป็ นต ้น และไม่มมี ลทินใด ๆ ทัง้ สามารถนึกขยายหรือย่อส่วนได ้ ข ้อที่ ๑ คือ ทุกข์ ในทางปฏิบัต ิ จัดเข ้าใน วิสท
ุ ธิข ้อ ๓ ถึง ๖ คือ
ตามปรารถนา —sign; conceptualized image) นิมต ิ นีไ
้ ด ้เฉพาะ ตัง้ แต่นามรูปปริเฉท ถึง ปั จจยปริคคหะ เป็ นภูมแ ิ ห่งญาต
ในกรรมฐาน ๒๒ คือ กสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ กายคตาสติ๑ และอา ปริญญา ตัง้ แต่กลาปสัมมสนะ ถึง อุทยัพพยานุปัสสนา เป็ นภูม ิ
นาปานสติ ๑ แห่งตีรณปริญญา ตัง้ แต่ ภังคานุปัสสนาขึน ้ ไป เป็ นภูมแิ ห่งปหาน
ปริญญา
เมือ
่ เกิดปฏิภาคนิมต ิ ขึน ่ ว่า
้ จิตย่อมตัง้ มั่นเป็ นอุปจารสมาธิ จึงชือ
ปฏิภาคนิมต ิ เกิดพร ้อมกับอุปจารสมาธิ เมือ ่ เสพปฏิภาคนิมติ นัน
้ (๙๔) ปาปณิกธรรม ๓ (ปาปณิกงั คะ หลักพ่อค ้า,
สม่ำเสมอด ้วยอุปจารสมาธิกจ ็ ะสำเร็จเป็ นอัปปนาสมาธิตอ ่ ไป องค์คณ
ุ ของพ่อค ้า — qualities of a successful shopkeeper
ปฏิภาคนิมต ่ ว่าเป็ นอารมณ์แก่อป
ิ จึงชือ ุ จารภาวนาและอัปปนา or businessman)
ภาวนา.
๑. จ ักขุมา ตาดี (รู ้จักสินค ้า ดูของเป็ น สามารถคำนวณราคา
(๙๐) ปปัญจะ, ปปัญจธรรม ๓ (กิเลสเครือ ่ ช ้า,
่ งเนิน กะทุนเก็งกำไร แม่นยำ — shrewd)
กิเลสทีเ่ ป็ นตัวการทำให ้คิดปรุงแต่งยืดเยือ
้ พิสดาร ทำให ้เขวห่าง
ออกไปจากความเป็ นจริงทีง่ า่ ย ๆ เปิ ดเผย ก่อให ้เกิดปั ญหาต่าง ๆ ้ แหล่งขาย รู ้ความเคลือ
๒. วิธูโร จัดเจนธุรกิจ (รู ้แหล่งซือ ่ นไหว
และขัดขวางไม่ให ้เข ้าถึงความจริงหรือทำให ้ไม่อาจแก ้ปั ญหา ความต ้องการของตลาด สามารถในการจัดซือ ้ จัดจำหน่าย รู ้ใจ
อย่างถูกทางตรงไปตรงมา — diversification; diffuseness; และรู ้จักเอาใจลูกค ้า — capable of administering business)
mental diffusion)
๓. นิสสยสมปัั นโน พร ้อมด ้วยแหล่งทุนเป็ นทีอ ่
่ าศัย (เป็ นทีเ่ ชือ
ถือไว ้วางใจในหมูแ
่ หล่งทุนใหญ่ ๆ หาเงินมาลงทุนหรือดำเนิน
กิจการโดยง่าย — having good credit rating)

(๙๘) ภาวนา ๓ (การเจริญ หมายถึงการเจริญ


กรรมฐานหรือฝึ กสมาธิขน
ั ้ ต่างๆ — stages of mental culture)

๑. ต ัณหา (ความทะยานอยาก, ความปรารถนาทีจ่ ะบำรุงบำเรอ ๑. บริกรรมภาวนา (ภาวนาขัน ้ บริกรรม, ฝึ กสมาธิขน


ั ้ ตระเตรียม
ปรนเปรอตน, ความอยากได ้อยากเอา — craving; selfish ิ ในสิง่ ทีกำ
ได ้แก่ การถือเอานิมต ่ หนดเป็ นอารมณ์กรรมฐาน เช่น
desire) เพ่งดวงกสิณ หรือนึกถึงพุทธคุณเป็ นอารมณ์วา่ อยูใ่ นใจเป็ นต ้น
กล่าวสัน้ ๆ คือ การกำหนดบริกรรมนิมต ิ นั่นเอง — preliminary
๒. ทิฏฐิ (ความคิดเห็น ความเชือ ่ ถือ ลัทธิ ทฤษฎี อุดมการณ์ stage) ได ้ในกรรมฐานทัง้ ๔๐
ต่าง ๆ ทีย
่ ดึ ถือไว ้โดยงมงายหรือโดยอาการเชิดชูวา่ อย่างนี้
เท่านัน
้ จริง อย่างอืน ่ เท็จทัง้ นัน้ เป็ นต ้น ทำให ้ปิ ดตัวแคบ ไม่ ๒. อุปจารภาวนา (ภาวนาขัน ้ จวนเจียน, ฝึ กสมาธิขน ั ้ เป็ นอุปจาร
ยอมรับฟั งใคร ตัดโอกาสทีจ ่ ะเจริญปั ญญา หรือคิดเตลิดไปข ้าง ได ้แก่ เจริญกรรมฐานต่อไป ถึงขณะทีป ่ ฏิภาคนิมต
ิ เกิดขึน ้ ใน
เดียว ตลอดจนเป็ นเหตุแห่งการเบียดเบียนบีบคัน ้ ผู ้อืน
่ ทีไ่ ม่ถอ
ื กรรมฐานทีเ่ พ่งวัตถุก็ด ี นิวรณ์สงบไปในกรรมฐานประเภทนึกเป็ น
อย่างตน, ความยึดติดในทฤษฎี ฯลฯ ถือความคิดเห็นเป็ นความ อารมณ์ก็ด ี นับแต่ขณะนัน ้ ไปจัดเป็ นอุปจารภาวนา — proximate
จริง — view; dogma; speculation) stage) ขัน ้ นีเ้ ป็ นกามาวจรสมาธิ ได ้ในกรรมฐานทัง้ ๔๐; อุปาจาร
ภาวนา สิน ้ สุดแค่โคตรภูขณะ ในฌานชวนะ
๓. มานะ (ความถือตัว, ความสำคัญตนว่าเป็ นนั่นเป็ นนี่ ถือสูงถือ
ต่ำ ยิง่ ใหญ่เท่าเทียมหรือด ้อยกว่าผู ้อืน
่ , ความอยากเด่นอยากยก ๓. อ ัปปนาภาวนา (ภาวนาขัน ้ แน่วแน่, ฝึ กสมาธิขน ั ้ เป็ นอัปปนา
ชูตนให ้ยิง่ ใหญ่ — conceit) ได ้แก่ เสพปฏิภาคนิมต ิ ทีเ่ กิดขึน ้ แล ้วนัน
้ สม่ำเสมอด ้วยอุปจาร
สมาธิ จนบรรลุปฐมฌาน คือ ถัดจากโคตรภูขณะในฌานชวนะ
(๙๐) ปริญญา ๓ (การกำหนดรู ้, การทำความรู ้จัก, เป็ นต ้นไป ต่อแต่นัน
้ เป็ นอัปปนาภาวนา - concentrative or
การทำความเข ้าใจโดยครบถ ้วน — full understanding; attainment stage) ขัน ้ นีเ้ ป็ นรูปาวจรสมาธิ ได ้เฉพาะใน
diagnosis) กรรมฐาน ๓๐ คือ หักอนุสสติ ๘ ข ้างต ้น ปฏิกล ู สัญญา ๑ และจตุ
ธาตุวัตถาน ๑ ออกเสีย คงเหลือ อสุภะ ๑๐ และกายคตาสติ ๑ (ไ
๑. ญาตปริญญา (กำหนดรู ้ด ้วยให ้เป็ นสิง่ อันรู ้แล ้ว, กำหนดรู ้ขัน ้ ด ้ถึงปฐมฌาน) อัปปมัญญา ๓ ข ้อต ้น (ได ้ถึงจตุตถฌาน) อัป
รู ้จัก, กำหนดรู ้ตามสภาวลักษณะ คือ ทำความรู ้จักจำเพาะตัวของ ปมัญญาข ้อท ้ายคืออุเบกขา ๑ กสิณ ๑๐ และ อานาปานสติ ๑ (ไ
สิง่ นัน้ โดยตรง พอให ้ชือ่ ว่าได ้เป็ นอันรู ้จักสิง่ นัน
้ แล ้ว เช่นว่ารู ้ นีค
้ อ ื ด ้ถึงปั ญจมฌาน) อรูป ๔ (ได ้อรูปฌาน)
เวทนา เวทนาคือสิง่ ทีม ่ ล ี ักษณะเสวยอารมณ์ดังนีเ้ ป็ นต ้น — full
knowledge as the known; diagnosis as knowledge) (๑๐๖) วิโมกข์ ๓ (ความหลุดพ ้น, ประเภทของความ
หลุดพ ้น จัดตามลักษณะการเห็นไตรลักษณ์ ข ้อทีใ่ ห ้ถึงความ
๒. ตีรณปริญญา (กำหนดรู ้ด ้วยการพิจารณา, กำหนดรู ้ขัน ้ หลุดพ ้น —liberation; aspects of liberation)
พิจารณา, กำหนดรู ้โดยสามัญลักษณะ คือ ทำความรู ้จักสิง่ นัน้
พิจารณาเห็นโดยความเป็ นของไม่เทีย
่ ง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตา ๑. สุญญตวิโมกข์ (หลุดพ ้นด ้วยเห็นความว่างหมดความยึดมั่น
ได ้แก่ ความหลุดพ ้น ทีเ่ กิดจากปั ญญาพิจารณาเห็นนามรูป โดย
ความเป็ นอนัตตา คือ หลุดพ ้นด ้วยเห็นอนัตตา แล ้วถอนความยึด อันยอดเยีย
่ ม มีผลมาก — successful attainment;
มั่นเสียได ้ — liberation through voidness; void liberation) accomplishment; excellence)
= อาศัยอนัตตานุปัสสนา ถอนอัตตาภินเิ วส.
๑. เขตสมบ ัติ (บุญเขตถึงพร ้อม คือ ปฏิคาหก หรือผู ้รับทาน
๒. อนิมต ิ ตวิโมกข์ (หลุดพ ้นด ้วยไม่ถอ
ื นิมติ ได ้แก่ ความหลุด เป็ นผู ้ประพฤติด ี ปฏิบต
ั ช
ิ อบ ประกอบด ้วยคุณธรรม
พ ้นทีเ่ กิดจากปั ญญาพิจารณาเห็นนามรูป โดยความเป็ นอนิจจัง — excellence of the field of merit)
คือ หลุดพ ้นด ้วยเห็นอนิจจตา แล ้วถอนนิมต ิ เสียได ้ — liberation
through signlessness; signless liberation) = อาศัยอนิจจานุ ๒. ไทยธรรมสมบ ัติ (ไทยธรรมถึงพร ้อม คือ สิง่ ทีใ่ ห ้เป็ นของ
ปั สสนา ถอนวิปัลลาสนิมต ิ . บริสท
ุ ธิ์ ได ้มาโดยชอบธรรม และเหมาะสมเป็ นประโยชน์แก่ผู ้รับ
—excellence of the gift)
๓. อ ัปปณิหต ิ วิโมกข์ (หลุดพ ้นด ้วยไม่ทำความปรารถนา ได ้แก่
ความหลุดพ ้นทีเ่ กิดจากปั ญญาพิจารณาเห็นนามรูป โดยความ ๓. จิตตสมบ ัติ (เจตนาถึงพร ้อม คือ ให ้ด ้วยความตัง้ ใจ คิดจะให ้
เป็ นทุกข์ คือ หลุดพ ้นด ้วยเห็นทุกขตาแล ้วถอนความปรารถนา เป็ นประโยชน์แก่ผู ้รับแท ้จริง มีเจตนาบริสท
ุ ธิท
์ งั ้ ๓ กาล คือ ก่อน
เสียได ้ — liberation through ให ้ใจยินดี ขณะให ้จิตผ่องใส ให ้แล ้วเบิกบานใจ — excellence
dispostionlessness; desireless liberation) = อาศัยทุกขานุ of motive or intention)
ปั สสนา ถอนตัณหาปณิธ.ิ

(๑๑๖) สงขตล ักษณะ ๓ (ลักษณะแห่งสังขตธรรม
คือสิง่ ทีป
่ ั จจัยปรุงแต่งขึน
้ — characteristics of the
conditioned; condition; condition-marks of the
conditioned)

(๑๐๗) วิร ัติ ๓  (การเว ้นจากทุจริต, การเว ้นจากกรรม ๑. อุปฺปาโท ปญฺายติ (ความเกิดขึน


้ ปรากฏ — Its arising is
ชัว่ — abstinence) apparent.)

ั ตตวิร ัติ (เว ้นสิง่ ประจวบเฉพาะหน ้า, เว ้นเมือ


๑. สมปั ่ ประสบซึง่ ๒. วโย ปญฺายติ (ความดับสลาย ปรากฏ — Its passing
หน ้า หรือเว ้นได ้ทัง้ ทีป
่ ระจวบโอกาส คือ ไม่ได ้ตัง้ เจตนาไว ้ก่อน away or subsidence is apparent.)
ไม่ได ้สมาทานสิกขาบทไว ้เลย แต่เมือ ่ ประสบเหตุทจ ี่ ะทำชัว่
นึกคิดพิจารณาขึน ้ ได ้ในขณะนัน ้ ว่า ตนมีชาติตระกูล วัยหรือ ๓. ฐิตสฺส อญฺถตฺตํ ปญฺายติ (เมือ่ ตัง้ อยู่ ความแปรปรากฏ
คุณวุฒอ ิ ย่างนี้ ไม่สมควรกระทำกรรมเช่นนัน ้ แล ้วงดเว ้นเสียได ้ — While persisting, alteration or changeability is
ไม่ทำผิดศีล — abstinence as occasion arises; abstinence apparent.)
in spite of opportunity)

(๑๑๘) สงขาร ๓๑ (สภาพทีป
่ รุงแต่ง — formation;
๒. สมาทานวิร ัติ (เว ้นด ้วยการสมาทาน คือ ตนได ้ตัง้ เจตนาไว ้
determination; function)
ก่อน โดยได ้รับศีล คือ สมาทานสิกขาบทไว ้แล ้ว ก็งดเว ้นตามที่
ได ้สมาทานนัน้ — abstinence by undertaking; abstinence in
accordance with one’s observances) ั
๑. กายสงขาร  (สภาพทีป่ รุงแต่งกาย ได ้แก่ อัสสาสะ ปั สสาสะ
คือ ลมหายใจเข ้าออก — bodily formation; bodily function)
๓. สมุจเฉทวิร ัติ หรือ เสตุฆาตวิร ัติ (เว ้นด ้วยตัดขาด หรือด ้วย
ชักสะพานตัดตอนเสียทีเดียว, เว ้นได ้เด็ดขาด คือ การงดเว ้น
ความชัว่ ของพระอริยะทัง้ หลาย อันประกอบด ้วยอริยมรรคซึง่ ั
๒. วจีสงขาร  (สภาพทีป่ รุงแต่งวาจา ได ้แก่ วิตกและวิจาร
ขจัดกิเลสทีเ่ ป็ นเหตุแห่งความชัว่ นัน ้ แล ้ว ไม่เกิดมี
้ ๆ เสร็จสิน — verbal formation; verbal function)
แม ้แต่ความคิดทีจ ่ ะประกอบกรรมชัว่ นัน้ เลย — abstinence by
destruction (of the roots of evil))

๓. จิตตสงขาร  (สภาพทีป่ รุงแต่งใจ ได ้แก่ สัญญา และเวทนา
(๑๐๘) วิเวก ๓ (ความสงัด, ความปลีกออก — mental formation; mental function)
— seclusion)

(๑๑๙) สงขาร ๓๒ (สภาพทีป่ รุงแต่ง, ธรรมมีเจตนา
๑. กายวิเวก (ความสงัดกาย ได ้แก่ อยูใ่ นทีส ่ งัดก็ด ี ดำรง
เป็ นประธานอันปรุงแต่งการกระทำ, สัญเจตนา หรือเจตนาทีแ ่ ต่ง
อิรย
ิ าบถและเทีย
่ วไปผู ้เดียวก็ด ี - bodily seclusion;
กรรม —formation; determination; volition)
i.e.solitude)

๒. จิตตวิเวก (ความสงัดใจ ได ้แก่ทำจิตให ้สงบผ่องใส สงัดจาก ั


๑. กายสงขาร  (สภาพทีป่ รุงแต่งการกระทำทางกาย ได ้แก่ กาย
ั เป็ นต ้น หมายเอาจิตแห่งท่านผู ้บรรลุ
นิวรณ์ สังโยชน์ และอนุสย สัญเจตนา คือ ความจงใจทางกาย — bodily formation; bodily
ฌาน และอริยมรรค อริยผล - mental seclusion, i.e. the state volition)
of Jhana and the Noble Paths and Fruitions)

๓. อุปธิวเิ วก (ความสงัดอุปธิ ได ้แก่ธรรมเป็ นทีส่ งบระงับสังขาร



๒. วจีสงขาร  (สภาพทีป่ รุงแต่งการกระทำทางวาจา ได ้แก่ วจี
็ ี อภิสงั ขารก็ด ี ทีเ่ รียกว่าอุปธิ
ทัง้ ปวง ปราศจากกิเลสก็ด ี ขันธ์กด สัญเจตนา คือ ความจงใจทางวาจา — verbal formation;
หมายเอาพระนิพพาน - seclusion from the essentials of verbal volition)
existence, i.e. Nibbana)

๓. จิตตสงขาร  หรือ มโนสงขาร
ั  (สภาพทีป่ รุงแต่งกระทำทาง
(๑๑๔) สมบ ัติ หรือ ทานสมบ ัติ ๓ (ความถึงพร ้อม,
ความพรั่งพร ้อมสมบูรณ์ ซึง่ ทำให ้ทานทีไ่ ด ้บริจาคแล ้วเป็ นทาน ใจ ได ้แก่ มโนสัญเจตนา คือ ความจงใจทางใจ — mental
formation; mental volition)
๑. ท ัสสนานุตตริยะ (การเห็นอันเยีย
่ ม ได ้แก่ ปั ญญาอันเห็น
ธรรม หรืออย่างสูงสุดคือเห็นนิพพาน — ideal sight, supreme
or unsurpassable vision)


(๑๒๐) สทธรรม ๓ (ธรรมอันดี, ธรรมทีแ
่ ท ้, ธรรมของ ๒. ปฏิปทานุตตริยะ (การปฏิบัตอ ิ น
ั เยีย
่ ม ได ้แก่ การปฏิบัตธิ รรม
สัตบุรษ
ุ , หลักหรือแก่นศาสนา — good law; true doctrine of ทีเ่ ห็นแล ้ว กล่าวให ้ง่ายหมายเอามรรคมีองค์ ๘ — ideal course;
the good; essential doctrine) supreme way)


๑. ปริย ัตติสทธรรม (สัทธรรมคือคำสัง่ สอนจะต ้องเล่าเรียน ๓. วิมตุ ตานุตตริยะ (การพ ้นอันเยีย
่ ม ได ้แก่ ความหลุดพ ้นอัน
ได ้แก่พท
ุ ธพจน์ — the true doctrine of study; textual เป็ นผลแห่งการปฏิบัตนิ ัน
้ คือ ความหลุดพ ้นจากกิเลสและทุกข์
aspect of the true doctrine; study of the Text or ทัง้ ปวง หรือนิพพาน — ideal freedom; supreme
Scriptures) deliverance)

๒. ปฏิปต ั
ั ติสทธรรม (สั ทธรรมคือปฏิปทาอันจะต ้องปฏิบต ั ิ ่ ม, สิง่ ทีย
(๑๒๖) อนุตตริยะ ๖ (ภาวะอันเยีย ่ อดเยีย
่ ม
ได ้แก่ อัฏฐังคิกมรรค หรือไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปั ญญา — excellent, supreme or unsurpassable experiences)
— the true doctrine of practice; practical aspect of the
true doctrine) ๑. ท ัสสนานุตริยะ (การเห็นอันเยีย
่ ม ได ้แก่ การเห็นพระตถาคต
และตถาคตสาวกรวมถึงสิง่ ทัง้ หลายทีจ่ ะให ้เกิดความเจริญ

๓. ปฏิเวธสทธรรม (สั ทธรรมคือผลอันจะพึงเข ้าถึงหรือบรรลุ งอกงามแห่งจิตใจ — supreme sight)
ด ้วยการปฏิบัต ิ ได ้แก่ มรรค ผล และนิพพาน — the true
doctrine of penetration; realizable or attainable aspect of ๒. สวนานุตตริยะ (การฟั งอันเยีย
่ ม ได ้แก่ การสดับธรรมของ
the true doctrine) พระตถาคต และ ตถาคตสาวก — supreme hearing)


(๑๒๑) สนโดษ ๓ และ ๑๒ (ความยินดี, ความพอใจ, ๓. ลาภานุตตริยะ (การได ้อันเยีย
่ ม ได ้แก่ การได ้ศรัทธาในพระ
ความยินดีด ้วยของของตนซึง่ ได ้มาด ้วยเรีย
่ วแรงความเพียรโดย ตถาคตและตถาคตสาวก หรือการได ้อริยทรัพย์ — supreme
ชอบธรรม, ความยินดีด ้วยปั จจัยสี่ ตามมีตามได ้, ความรู ้จักอิม
่ gain)
รู ้จักพอ — contentment; satisfaction with whatever is
one’s own) ๔. สิกขานุตตริยะ (การศึกษาอันเยีย
่ ม ได ้แก่ การฝึ กอบรมใน

อธิศล อธิจต
ิ และอธิปัญญา — supreme training)

๑. ยถาลาภสนโดษ (ยิ นดีตามทีไ่ ด ้, ยินดีตามทีพ ่ งึ ได ้ คือ ตน
ได ้สิงใดมา หรือ เพียรหาสิง่ ใดมาได ้ เมือ
่ ่ เป็ นสิง่ ทีต่ นพึงได ้ ไม่วา่ ๕. ปาริจริยานุตตริยะ (การบำเรออันเยีย
่ ม ได ้แก่ การบำรุงรับ
จะหยาบหรือประณีตแค่ไหน ก็ยน ิ ดีพอใจด ้วยสิง่ นัน ้ ไม่ตด ิ ใจ ใช ้พระตถาคตและตถาคตสาวก — supreme service or
อยากได ้สิง่ อืน
่ ไม่เดือดร ้อนกระวนกระวายเพราะสิง่ ทีต ่ นไม่ได ้ ministry)
ไม่ปรารถนาสิง่ ทีต ่ นไม่พงึ ได ้หรือเกินไปกว่าทีต ่ นพึงได ้โดยถูก
ต ้อง ชอบธรรม ไม่เพ่งเล็งปรารถนาของทีค ่ นอืน
่ ได ้ ไม่รษ ิ ยาเขา ๖. อนุสสตานุตตริยะ (การระลึกอันเยีย
่ ม ได ้แก่ การระลึกถึง
— contentment with what one gets and deserves to get) พระตถาคต และตถาคตสาวก — supreme memory)


๒. ยถาพลสนโดษ (ยิ นดีตามกำลัง คือ ยินดีแต่พอแก่กำลัง โดยสรุปคือ การเห็น การฟั ง การได ้ การศึกษา การช่วยรับใช ้
ร่างกายสุขภาพและวิสย ั แห่งการใช ้สอยของตน ไม่ยน ิ ดีอยากได ้ และการรำลึกทีจ
่ ะเป็ นไปเพือ
่ ความบริสทุ ธิ์ ล่วงพ ้นโสกะปริเทวะ
เกินกำลัง ตนมีหรือได ้สิง่ ใดมาอันไม่ถก ู กับกำลังร่างกายหรือ ดับสูญทุกข์โทมนัส เพือ่ การบรรลุญายธรรม ทำให ้แจ ้งซึง่
สุขภาพ เช่น ภิกษุ ได ้อาหารบิณฑบาตทีแ ่ สดงต่อโรคของตน นิพพาน
หรือเกินกำลังการบริโภคใช ้สอย ก็ไม่หวงแหนเสียดายเก็บไว ้ให ้
เสียเปล่า หรือฝื นใช ้ให ้เป็ นโทษแก่ตน ย่อมสละให ้แก่ผู ้อืน
่ ทีจ
่ ะ
(๑๒๗) อปัณณกปฏิปทา ๓ (ข ้อปฏิบต ั ทิ ไี่ ม่ผด
ิ ,
ใช ้ได ้ และรับหรือแลกเอาสิง่ ทีถ่ ก
ู โรคกับตน แต่เพียงทีพ่ อแก่
้ แท ้ ซึง่ จะนำผู ้ปฏิบัตใิ ห ้ถึงความ
ปฏิปทาทีเ่ ป็ นส่วนแก่นสารเนือ
กำลังการบริโภคใช ้สอยของตน — contentment with what is
เจริญงอกงามในธรรม เป็ นผู ้ดำเนินอยูใ่ นแนวทางแห่งความ
within one’s strength or capacity)
ปลอดพ ้นจากทุกข์อย่างแน่นอนไม่ผด ิ พลาด — sure course;
sure practice; unimpeachable path)
๓. ยถาสารุปปสนโดษ (ยิ ั นดีตามสมควร คือ ยินดีตามทีเ่ หมาะ
สมกับตน อันสมควรแก่ภาวะ ฐานะ แนวทางชีวต ิ และจุดหมาย

๑. อินทรียสงวร (การสำรวมอิ นทรีย ์ คือระวังไม่ให ้บาปอกุศล
แห่งการบำเพ็ญกิจของตน เช่น ภิกษุ ไม่ปรารถนาสิง่ ของอันไม่
ธรรมครอบงำใจ เมือ
่ รับรู ้อารมณ์ด ้วยอินทรียท์ งั ้ ๖ — control of
สมควรแก่สมณภาวะ หรือภิกษุ บางรูปได ้ปั จจัยสีท ่ ม
ี่ ค
ี า่ มาก เห็น
the senses)
ว่าเป็ นสิง่ สมควรแก่ทานผู ้ทรงคุณสมบัตน ิ ่านับถือ ก็นำไปมอบให ้
้ ตนเองใช ้แต่สงิ่ อันพอประมาณ หรือภิกษุ บางรูป
แก่ทา่ นผู ้นัน
กำลังประพฤติวัตรขัดเกลาตน ได ้ของประณีตมา ก็สละให ้แก่ ๒. โภชเน ม ัตต ัญญุตา (ความรู ้จักประมาณในการบริโภค คือ
เพือ
่ นภิกษุ รป ่ ๆ ตนเองเลือกหาของปอนๆ มาใช ้หรือตนเองมี
ู อืน รู ้จักพิจารณารับประทานอาหารเพือ ้ งร่างกายใช ้ทำกิจให ้
่ หล่อเลีย
โอกาสจะได ้ลาภอย่างหนึง่ แต่รู ้ว่าสิง่ นัน ้ เหมาะสมหรือเป็ น ชีวต ิ ผาสุก มิใช่เพือ
่ สนุกสนาน มัวเมา— moderation in eating)
ประโยชน์แก่ทา่ นผู ้อืน ่ วชาญถนัดสามารถด ้านนัน
่ ทีเ่ ชีย ้ ก็สละให ้
ลาภถึงแก่ทา่ นผู ้นัน ้ ตนรับเอาแต่สงิ่ ทีเ่ หมาะสมกับตน ๓. ชาคริยานุโยค (การหมั่นประกอบความตืน ่ ไม่เห็นแก่นอน
— contentment with what is befitting) คือ ขยันหมั่นเพียรตืน
่ ตัวอยูเ่ ป็ นนิตย์ ชำระจิตมิให ้มีนวิ รณ์ พร ้อม
เสมอทุกเวลาทีจ ่ ะปฏิบัตกิ จิ ให ้ก ้าวหน ้าต่อไป — practice of
(๑๒๕) อนุตตริยะ ๓ (ภาวะอันยอดเยีย ่ ม, สิง่ ทีย
่ อด wakefulness)
เยีย
่ ม — excellent states; highest ideal; greatest good;
unsurpassable experiences) ั
(๑๒๘) อภิสงขาร ๓ (สภาพทีป่ รุงแต่ง, ธรรมมีเจตนา
เป็ นประธานอันปรุงแต่งผลแห่งการกระทำ, เจตนาทีเ่ ป็ นตัวการใน
การทำกรรม —volitional formation; formation; activity)

๑. ปุญญาภิสงขาร (อภิ สงั ขารทีเ่ ป็ นบุญ, สภาพทีป
่ รุงแต่งกรรม ิ ปานโภชนา (รู ้จักประมาณในการกินการใช ้
๓. ปริมต
ฝ่ ายดี ได ้แก่ กุศลเจตนาทีเ่ ป็ นกามาวจรและรูปาวจร - moderation in spending)
— formation of merit; meritorious formation)
๔. อธิปจ ี ธรรมเป็ นพ่อบ ้านแม่เรือน
ั จสีลว ันตสถาปนา (ตัง้ ผู ้มีศล

๒. อปุญญาภิสงขาร (อภิ สงั ขารทีเ่ ป็ นปฏิปักษ์ตอ
่ บุญคือเป็ น - putting in authority a virtuous woman or man)
่ รุงแต่กรรมฝ่ ายชัว่ ได ้แก่ อกุศลเจตนาทัง้ หลาย
บาป, สภาพทีป
—formation of demerit; demeritorious formation) เหตุทตี่ ระกูลมั่งคั่งจะตัง้ อยูน
่ านไม่ได ้ พึงทราบโดยนัยตรงข ้าม
จากนี้.

๓. อาเนญชาภิสงขาร (อภิ สงั ขารทีเ่ ป็ นอเนญชา, สภาพทีป ่ รุง
แต่งภพอันมั่นคง ไม่หวั่นไหว ได ้แก่ กุศลเจตนาทีเ่ ป็ นอรูปาวจร
๔ หมายเอาภาวะจิตทีม ่ ั่นคงแน่วแน่ ด ้วยสมาธิแห่งจตุตถฌาน
— formation of the imperturbable; imperturbability-
producing volition)

(๑๓๑) อ ัตถะ หรือ อรรถ ๓๑ (ประโยชน, ผลทีม


่ งุ่
หมาย, จุดหมาย, ความหมาย — benefit; advantage;
(๑๓๘) ฆราวาสธรรม ๔ (ธรรมสำหรับฆราวาส, ธรรม
welfare; aim; goal; meaning)
สำหรับการครองเรือน, หลักการครองชีวต ิ ของคฤหัสถ์ - virtues
for a good household life; virtues for lay people)
๑. ทิฏฐธ ัมมิก ัตถะ (ประโยชน์ปัจจุบัน, ประโยชน์ในโลกนี,้
ประโยชน์ขน ั ้ ต ้น — benefits obtainable here and now; the

๑. สจจะ (ความจริ ่ ตรง ซือ
ง, ซือ ่ สัตย์ จริงใจ พูดจริง ทำจริง
good to be won in this life; temporal welfare)
- truth and honesty)

๒. สมปรายิ ก ัตถะ (ประโยชน์เบือ
้ งหน ้า, ประโยชน์ในภพหน ้า,
๒. ทมะ (การฝึ กฝน, การข่มใจ ฝึ กนิสย ั ปรับตัว, รู ้จักควบคุม
ประโยชน์ขน
ั ้ สูงขึน
้ ไป — the good to be won in the life to
จิตใจ ฝึ กหัดดัดนิสย ั แก ้ไขข ้อบกพร่อง ปรับปรุงตนให ้เจริญ
come; spiritual welfare)
ก ้าวหน ้าด ้วยสติปัญญา - taming and training oneself;
adjustment)
๓. ปรม ัตถะ (ประโยชน์สงู สุด, จุดหมายสูงสุด คือ พระนิพพาน
— the highest good; final goal, i.e. Nibbana)
๓. ข ันติ (ความอดทน, ตัง้ หน ้าทำหน ้าทีก
่ ารงานด ้วยความขยัน
หมั่นเพียร เข ้มแข็ง ทนทาน ไม่หวั่นไหว มั่นในจุดหมาย ไม่
(๑๓๔) อาสวะ ๓ (สภาวะอันหมักดองสันดาน, สิง่ ที่ ท ้อถอย - tolerance; forbearance)
มอมพืน
้ จิต, กิเลสทีไ่ หลซึมซ่านไปย ้อมใจเมือ
่ ประสบอารมณ์ตา่ ง
ๆ — mental intoxication; canker; bias; influx; taint)
๔. จาคะ (ความเสียสละ, สละกิเลส สละความสุขสบายและผล
ประโยชน์สว่ นตนได ้ ใจกว ้าง พร ้อมทีจ่ ะรับฟั งความทุกข์ ความ
๑. กามาสวะ (อาสวะคือกาม — canker of sense-desire) คิดเห็น และความต ้องการของผู ้อืน ่ พร ้อมทีจ
่ ะร่วมมือ ช่วยเหลือ
เอือ
้ เฟื้ อเผือ
่ แผ่ ไม่คับแคบเห็นแก่ตนหรือเอาแต่ใจตัว
๒. ภวาสวะ (อาวสวะคือภพ — canker of becoming) - liberality; generosity)

๓. อวิชชาสวะ (อาสวะคืออวิชชา — canker of ignorance) ในธรรมหมวดนี ้ ทมะท่านมุง่ เอาด ้านปั ญญา ขันติทา่ นเน ้นแง่วริ ย
ิ ะ

(๑๓๕) อาสวะ ๔ (mental intoxication; canker) (๑๓๙) จ ักร ๔ (ธรรมนำชีวต ่ วามเจริญรุง่ เรือง


ิ ไปสูค
่ ห
ดุจล ้อนำรถไปสูท ี่ มาย - virtues wheeling one to
๑. กามาสวะ (อาสวะคือกาม — canker of sense-desire) prosperity)

๒. ภวาสวะ (อาวสวะคือภพ — canker of becoming) ๑. ปฏิรป ู เทสวาสะ (อยูใ่ นถิน ่ ี มีสงิ่ แวดล ้อมเหมาะสม


่ ทีด
- living in a suitable region; good or favorable
๓. ทิฏฐาสวะ (อาสวะคือทิฏฐิ — canker of views or environment)
speculation)
ั รส
๒. สปปุ ิ ป
ู ส
ั สยะ (สมาคมกับสัตบุรษ
ุ - association with
๔. อวิชชาสวะ (อาสวะคืออวิชชา — canker of ignorance) good people)

ในทีม
่ าส่วนมาก โดยเฉพาะในพระสูตร  แสดงอาสวะไว ้ ๓ อย่าง  ั
๓. อ ัตตสมมาปณิ ธ ิ (ตัง้ ตนไว ้ชอบ, ตัง้ จิตคิดมุง่ หมาย นำตนไป
โดยสงเคราะห์ทฎ ิ ฐาสวะเข ้าในภวาสวะ (ม.อ.๑/๙๓) ถูกทาง - setting oneself in the right course; aspiring and
directing oneself in the right way)
(๑๓๗) กุลจิร ัฏฐิติธรรม ๔ (ธรรมสำหรับดำรงความ
มั่งคั่งของตระกูลให ้ยั่งยืน, เหตุททำ
ี่ ให ้ตระกูลมั่งคั่งตัง้ อยูไ่ ด ้นาน ๔. ปุพเพกตปุญญตา (ความเป็ นผู ้ได ้ทำความดีไว ้ก่อนแล ้ว, มี
- reasons for lastingness of a wealthy family) พืน
้ เดิมดี, ได ้สร ้างสมคุณความดีเตรียมพร ้อมไว ้แต่ต ้น - having
formerly done meritorious deeds; to have prepared
๑. น ัฏฐคเวสนา (ของหายของหมด รู ้จักหามาไว ้ - seeking for oneself with good background)
what is lost)
ธรรม ๔ ข ้อนี้ เรียกอีกอย่างหนึง่ ว่า  พหุการธรรม คือธรรมมี

๒. ชิณณปฏิสงขรณา (ของเก่ าของชำรุด รู ้จักบูรณะซ่อมแซม อุปการะมาก (virtues of great assistance) เป็ นเครือ ่ งช่วยให ้
- repairing what is worn out) สามารถสร ้างความดีอน ื่ ๆ ทุกอย่าง และช่วยให ้ประสบความเจริญ
ก ้าวหน ้าในชีวต
ิ บรรลุความงอกงามไพบูลย์.
(๑๔๓)  ทิฏฐธ ัมมิก ัตถสงวั ัตตนิกธรรม ๔ (ธรรมที่ ๑. อุคฆฏิต ัญญู (ผู ้ทีพ
่ อยกหัวข ้อก็รู ้, ผู ้รู ้เข ้าใจได ้ฉับพลัน แต่
เป็ นไปเพือ ่ ประโยชน์ในปั จจุบัน, หลักธรรมอันอำนวยประโยชน์ พอท่านยกหัวข ้อขึน
้ แสดง - a person of quick intuition; the
สุขขัน้ ต ้น - virtues conducive to benefits in the present; genius; the intuitive)
virtues leading to temporal welfare)
๒. วิปจิต ัญญ (ผู ้รู ้ต่อเมือ
่ ขยายความ, ผู ้รู ้เข ้าใจได ้ ต่อเมือ
่ ท่าน

๑. อุฏฐานสมปทา (ถึ งพร ้อมด ้วยความหมั่น คือ ขยันหมั่นเพียร อธิบายความพิสดารออกไป - a person who understands
ในการปฏิบัตห ิ น ้าทีก
่ ารงาน ประกอบอาชีพอันสุจริตค มีความ after a detailed treatment; the intellectual)
ชำนาญ รู ้จักใช ้ปั ญญาสอดส่องตรวจตรา หาอุบายวิธ ี สามารถจัด
ดำเนินการให ้ได ้ผลดี - to be endowed with energy and ๓. เนยยะ (ผู ้ทีพ ่ อจะแนะนำได ้, ผู ้ทีพ ้ จงแนะนำให ้
่ อจะค่อยชีแ
industry; achievement of diligence) เข ้าใจได ้ ด ้วยวิธกี ารฝึ กสอนอบรมต่อไป - a person who is
guidable; the trainable)

๒. อาร ักขสมปทา (ถึ งพร ้อมด ้วยการรักษา คือรู ้จักคุ ้มครองเก็บ
รักษาโภคทรัพย์และผลงานอันตนได ้ทำไว ้ด ้วยความขยันหมั่น ๔. ปทปรมะ (ผู ้มีบทเป็ นอย่างยิง่ , ผู ้อับปั ญญา สอนให ้รู ้ได ้แต่
เพียร โดยชอบธรรม ด ้วยกำลังงานของตน ไม่ให ้เป็ นอันตราย เพียงตัวบทคือพยัญชนะหรือถ ้อยคำ ไม่อาจเข ้าใจอรรถคือความ
่ มเสีย - to be endowed with watchfulness;
หรือเสือ หมาย - a person who has just word of the text at most;
achievement of protection) an idiot)

๓. ก ัลยาณมิตตตา (คบคนดีเป็ นมิตร คือ รู ้จักกำหนดบุคคลใน (๑๕๔) ปฏิสมภิั ทา ๔ (ปั ญญาแตกฉาน - analytic
ถิน
่ ทีอ
่ าศัย เลือกเสวนาสำเหนียกศึกษาเยีย
่ งอย่างท่านผู ้ทรงคุณ insight; discrimination)
มีศรัทธา ศีล จาคะ ปั ญญา - good company; association
with good people) ั ทา (ปั ญญาแตกฉานในอรรถ, ปรีชาแจ ้งใน
๑. อ ัตถปฏิสมภิ
ความหมาย, เห็นข ้อธรรมหรือความย่อ ก็สามารถแยกแยะอธิบาย
๔. สมชีวต ิ า (มีความเป็ นอยูเ่ หมาะสม คือ รู ้จักกำหนดรายได ้ ขยายออกไปได ้โดยพิสดาร เห็นเหตุอย่างหนึง่ ก็สามารถ
และรายจ่ายเลีย ้ งชีวต
ิ แต่พอดี มิให ้ฝื ดเคืองหรือฟูมฟาย ให ้ราย แยกแยะอธิบายขยายออกไปได ้โดยพิสดาร เห็นเหตุอย่างหนึง่ ก็
ได ้เหนือรายจ่าย มีประหยัดเก็บไว ้ - balanced livelihood; สามารถคิดแยกแยะกระจายเชือ ่ มโยงต่อออกไปได ้จนล่วงรู ้ถึงผล
living economically) - discrimination of meanings; analytic insight of
consequence)
้ ๆ ว่า ทิฏฐธัมมิกต
ธรรมหมวดนี้ เรียกกันสัน ั ถะ หรือเรียกติดปาก
อย่างไทยๆ ว่า ทิฏฐธัมมิกตั ถประโยชน์ (อัตถะ แปลว่า ประโยชน์ ๒. ธ ัมมปฏิสมภิ ั ทา (ปั ญญาแตกฉานในธรรม, ปรีชาแจ ้งใจ
จึงมีประโยชน์ซ้ำซ ้อนกันสองคำ) หลัก, เห็นอรรถาธิบายพิสดาร ก็สามารถจับใจความมาตัง้ เป็ นกระ
ทู ้หรือหัวข ้อได ้ เห็นผลอย่างหนึง่ ก็สามารถสืบสาวกลับไป
(๑๔๔) ธรรมสมาทาน ๔ (ข ้อทีย ่ ด
ึ ถือเอาเป็ นหลัก หาเหตุได ้ - discrimination of ideas; analytic insight of
ความประพฤติปฏิบัต,ิ หลักการทีป
่ ระพฤติ, การทีก ่ ระทำ, การ origin)
ประกอบกรรม - religious undertakings; undertaken courses
of practices) ๓. นิรตุ ติปฏิสมภิ ั ทา (ปั ญญาแตกฉานในนิรก ุ ติ, ปรีชาแจ ้งใน
ภาษา, รู ้ศัพท์ ถ ้อยคำบัญญัต ิ และภาษาต่างๆ เข ้าใจใช ้คำพูดชี้
๑. ธรรมสมาทานทีใ่ ห้ทก ุ ข์ในปัจจุบ ัน และมีทก
ุ ข์เป็นวิบาก แจ ้งให ้ผู ้อืน
่ เข ้าใจและเห็นตามได ้ - discrimination of
ต่อไป (เช่น การประพฤติวัตรทรมานตนของพวกอเจลก หรือการ language; analytic insight of philology)
ประพฤติอกุศลกรรมบถด ้วยความยากลำบาก ทัง้ มีความเดือดร ้อน
ใจเป็ นต ้น - the undertaking the gives suffering in the ๔. ปฏิภาณปฏิสมภิ ั ทา (ปั ญญาแตกฉานในปฏิภาณ. ปรีชาแจ ้ง
present and results in suffering in the future) ในความคิดทันการ มีไหวพริบ ซึมซาบในความรู ้ทีม ่ อี ยู่ เอามา
่ มโยงเข ้าสร ้างความคิดและเหตุผลขึน
เชือ ้ ใหม่ ใช ้ประโยชน์ได ้
๒. ธรรมสมาทานทีใ่ ห้ทก ุ ข์ในปัจจุบ ัน แต่มส ี ขุ เป็นวิบากต่อ สมเหมาะ เข ้ากับกรณีเข ้ากับเหตุการณ์ - discrimination of
ไป (เช่น ผู ้ทีก
่ เิ ลสมีกำลังแรงกล ้า ฝื นใจพยายามประพฤติ sagacity; analytic insight of ready wit; initiative; creative
พรหมจรรย์ให ้บริสท ุ ธิบ
์ ริบรู ณ์ หรือผู ้ทีป
่ ระพฤติกศุ ลกรรมบถด ้วย and applicative insight)
ความยากลำบาก เป็ นต ้น - the undertaking that gives
suffering in the present but results in happiness in the (๑๕๕) ปธาน ๔ (ความเพียร - effort; exertion)
future)

๑. สงวรปธาน (เพี ยรระวังหรือเพียรปิ ดกัน ้ คือ เพียรระวังยับยัง้
๓. ธรรมสมาทานทีใ่ ห้สข ุ ในปัจจุบ ัน แต่มที ก
ุ ข์เป็นวิบากต่อ บาปอกุศลธรรมทีย ่ ังไม่เกิด มิให ้เกิดขึน
้ - the effort to
ไป (เช่น การหลงมัวเมาหมกมุน ่ อยูใ่ นกาม หรือการประพฤติ prevent; effort to avoid)
อกุศลกรรมบถด ้วยความสนุกสนานพอใจ เป็ นต ้น - the
undertaking that gives happiness in the present but ๒. ปหานปธาน (เพียรละหรือเพียรกำจัด คือ เพียรละบาปอกุศล
results in suffering in the future) ธรรมทีเ่ กิดขึน
้ แล ้ว - the effort to abandon; effort to
overcome)
๔. ธรรมสมาทานทีใ่ ห้สข ุ ในปัจจุบ ัน และมีสขุ เป็นวิบากต่อ
ไป (เช่น ผู ้ทีก
่ เิ ลสมีกำลังน ้อย ประพฤติพรหมจรรย์ด ้วยความ ๓. ภาวนาปธาน (เพียรเจริญ หรือเพียรก่อให ้เกิด คือ เพียรทำ
พอใจ ได ้เสวยเนกขัมมสุข หรือ ผู ้ทีป ่ ระพฤติกศุ ลกรรมบถ ด ้วย กุศลธรรมทีย
่ ังไม่เกิด ให ้เกิดมี -the effort to develop)
ความพอใจ ได ้เสวยสุขโสมนัส เป็ นต ้น - the undertaking that
gives happiness in the present and results in happiness in
๔. อนุร ักขนาปธาน (เพียรรักษา คือ เพียรรักษากุศลธรรมทีเ่ กิด
the future)
ขึน
้ แล ้วให ้ตัง้ มั่นและให ้เจริญยิง่ ขึน
้ ไปจนไพบูลย์ - the effort to
maintain)
(๑๕๒) บุคคล ๔ (ประเภทของบุคคล - four kinds of
persons)
ปธาน ๔ นี้ เรียกอีกอย่างว่า สัมมัปธาน ๔ (ความเพียรชอบ, บริสท ุ ธิ,์ ธรรมทีต
่ ้องมีไว ้เป็ นหลักใจและกำกับความประพฤติ จึง
ความเพียรใหญ่ - right exertions; great or perfect efforts.) ่
จะชือว่าดำเนินชีวต ิ หมดจด และปฏิบต ั ต ั ว์ทงั ้ หลาย
ิ นต่อมนุษย์สต
โดยชอบ - holy abidings; sublime states of mind)
(๑๕๖) ปรม ัตถธรรม ๔ (สภาวะทีม ่ อ
ี ยูโ่ ดยปรมัตถ์,
สิง่ ทีเ่ ป็ นจริงโดยความหมายสูงสุด -ultimate realities; ๑. เมตตา (ความรักใคร่ ปรารถนาดีอยากให ้เขามีความสุข มีจต ิ
abstract realities; realities in the ultimate sense) ั ว์ทั่วหน ้า - loving-
อันแผ่ไมตรีและคิดทำประโยชน์แก่มนุษย์สต
kindness; friendliness)
๑. จิต (สภาพทีค่ ด
ิ , ภาวะทีร่ ู ้แจ ้งอารมณ์ - consciousness;
state of consciousness) ๒. กรุณา (ความสงสาร คิดช่วยให ้พ ้นทุกข์ ใฝ่ ใจในอันจะ
ปลดเปลือ
้ งบำบัดความทุกข์ยากเดือดร ้อนของปวงสัตว์
๒. เจตสิก (สภาวะทีป ่ ระกอบกับจิต, คุณสมบัตแ
ิ ละอาการของ - compassion)
จิต - mental factors)
๓. มุทต ิ า (ความยินดี ในเมือ่ ผู ้อืน
่ อยูด
่ ม
ี ส
ี ข
ุ มีจติ ผ่องใสบันเทิง
๓. รูป (สภาวะทีเ่ ป็ นร่าง พร ้อมทัง้ คุณและอาการ - matter; กอปรด ้วยอาการแช่มชืน ่ เบิกบานอยูเ่ สมอ ต่อสัตว์ทงั ้ หลายผู ้
corporeality) ดำรงในปกติสข ุ พลอยยินดีด ้วยเมือ ่ เขาได ้ดีมส
ี ข
ุ เจริญงอกงาม
ยิง่ ขึน
้ ไป - sympathetic joy; altruistic joy)
๔. นิพพาน (สภาวะทีส ิ้ กิเลสและทุกข์ทงั ้ ปวง, สภาวะที่
่ น
ปราศจากตัณหา) ๔. อุเบกขา (ความวางใจเป็ นกลาง อันจะให ้ดำรงอยูใ่ นธรรม
ตามทีพ ่ จ
ิ ารณาเห็นด ้วยปั ญญา คือมีจต ิ เรียบตรงเทีย
่ งธรรมดุจ
(๑๕๗) ประมาณ หรือ ปมาณิก ๔ (บุคคลทีถ ่ อ
ื ตราชัง่ ไม่เอนเอียงด ้วยรักและชัง พิจารณาเห็นกรรมทีส ั ว์ทงั ้
่ ต
ประมาณต่างๆ กัน, คนในโลกผู ้ถือเอาคุณสมบัตต ิ า่ งๆ กัน เป็ น หลายกระทำแล ้ว อันควรได ้รับผลดีหรือชัว่ สมควรแก่เหตุอน ั ตน
เครือ
่ งวัดในการทีจ ่ ความเลือ
่ ะเกิดความเชือ ่ มใส - those who ประกอบ พร ้อมทีจ ่ ะวินจ
ิ ฉัยและปฏิบต ั ไิ ปตามธรรม รวมทัง้ รู ้จัก
measure, judge or take standard) วางเฉยสงบใจมองดู ในเมือ ่ ไม่มก
ี จิ ทีค
่ วรทำ เพราะเขารับผิดชอบ
ตนได ้ดีแล ้ว เขาสมควรรับผิดชอบตนเอง หรือเขาควรได ้รับผลอัน
สมกับความรับผิดชอบของตน -equanimity; neutrality; poise)
๑. รูปประมาณ (ผู ้ถือประมาณในรูป, บุคคลทีม ่ องเห็นรูปร่าง
สวยงาม ทรวดทรงดี อวัยวะสมส่วน ท่าทางสง่า สมบูรณ์พร ้อม
จึงชอบใจเลือ
่ มใสน ้อมใจทีจ ่ ถือ - one who measures by
่ ะเชือ ผู ้ดำรงในพรหมวิหาร ย่อมช่วยเหลือมนุษย์สต ั ว์ทงั ้ หลายด ้วย
from or outward appearance; one whose faith depends เมตตากรุณา และย่อมรักษาธรรมไว ้ได ้ด ้วยอุเบกขา ดังนัน ้ แม ้จะ
on good appearance) มีกรุณาทีจ่ ะช่วยเหลือปวงสัตว์แต่กต
็ ้องมีอเุ บกขาด ้วยทีจ ่ ะมิให ้
เสียธรรม
๒. โฆษประมาณ (ผู ้ถือประมาณในเสียง, บุคคลทีไ่ ด ้ยินได ้ฟั ง
เสียงสรรเสริญ เกียรติคณ ุ หรือเสียงพูดจาทีไ่ พเราะ จึงชอบใจ พรหมวิหารนี้ บางทีแปลว่า ธรรมเครือ ่ งอยูข
่ องพรหม, ธรรม
เลือ
่ มใสน ้อมใจทีจ ่ ถือ - one who measures by voice or
่ ะเชือ เครือ
่ งอยูอ
่ ย่างพรหม, ธรรมประจำใจทีทำ ่ ให ้เป็ นพรหมหรือให ้
reputation; one whose faith depends on sweet voice or เสมอด ้วยพรหม, หรือธรรมเครือ่ งอยูข
่ องท่านผู ้มีคณุ ยิง่ ใหญ่ -
good reputation) (abidings of the Great Ones).

๓. ลูขประมาณ (ผู ้ถือประมาณในความคร่ำหรือเศร ้าหมอง, พรหมวิหาร ๔ เรียกอีกอย่างว่า อัปปมัญญา ๔ (unbounded


บุคคลทีม ่ องเห็นสิง่ ของเครือ ่ งใช ้ความเป็ นอยูท
่ เี่ ศร ้าหมองเช่น states of mind; illimitables) เพราะแผ่สม่ำเสมอโดยทั่วไปใน
จีวรคร่ำๆ เป็ นต ้น หรือมองเห็นการกระทำคร่ำเครียดเป็ น ั ว์ทงั ้ หลาย ไม่มป
มนุษย์สต ี ระมาณ ไม่จำกัดขอบเขต
ทุกรกิรย
ิ า ประพฤติเคร่งครัดเข ้มงวดขูดเกลาตน จึงชอบใจ
เลือ
่ มใสน ้อมใจทีจ ่ ถือ - one who measures or judges
่ ะเชือ พรหมวิหารมีในผู ้ใด ย่อมทำให ้ผู ้นัน
้ ประพฤติปฏิบต
ั เิ กือ
้ กูลแก่ผู ้
by shabbiness, mediocrity or hard life; one whose faith อืน
่ ด ้วยสังคหวัตถุเป็ นต ้น.
depends on shabbiness or ascetic or self-denying
practices) (๑๖๙)  โยคะ ๔ (สภาวะอันประกอบสัตว์ไว ้ในภพ
หรือผูกกรรมไว ้กับวิบาก - the Four Bonds) ได ้แก่ กาม ภพ
๔. ธรรมประมาณ (ผู ้ถือประมาณในธรรม, บุคคลทีพ ่ จิ ารณา ทิฏฐิ อวิชชา เหมือนในอาสวะ ๔.
ด ้วยปั ญญาเห็นสารธรรมหรือการปฏิบัตดิ ป
ี ฏิบตั ช
ิ อบ คือ ศีล
สมาธิ ปั ญญา จึงชอบใจเลือ
่ มใส น ้อมใจทีจ่ ะเชือ่ ถือ - one who ดู (๑๓๕) อาสวะ ๔.
measures or judges by the teaching or righteous
behavior; one whose faith depends on right teachings (๑๗๔) วิบ ัติ ๔๒ (ข ้อเสีย, จุดอ่อน, ความบกพร่อง
and practices) แห่งองค์ประกอบต่างๆ ซึง่ ไม่อำนวยแก่การให ้ผลของกรรมดี แต่
เปิ ดช่องให ้กรรมชัว่ แสดงผล, ส่วนประกอบบกพร่อง เปิ ดช่องให ้
บุคคล ๓ จำพวกต ้น ยังมีทางพลาดได ้มาก โดยอาจเกิดความคิด กรรมชัว่ -failure; defect; unfavorable factors affecting the
ใคร่ ถูกครอบงำชักพาไปด ้วยความหลง ถูกพัดวนเวียนหรือติดอยู่ ripening of Karma.)
แค่ภายนอกไม่รู ้จักคนทีต่ นมองได ้อย่างแท ้จริงและไม่เข ้าถึงสาระ
ส่วนผู ้ถือธรรมเป็ นประมาณ จึงจะรู ้ชัดคนทีต
่ นมองอย่างแท ้จริง ๑. คติวบ ิ ัติ (วิบัตแ
ิ ห่งคติ, คติเสีย; ในช่วงยาวหมายถึง เกิดใน
ไม่ถก ่ ราศจากสิง่ ครอบคลุม
ู พัดพาไป เข ้าถึงธรรมทีป กำเนิดต่ำทราม หรือทีเ่ กิดอันไร ้ความเจริญ
ในช่วงสัน ้ หมายถึงทีอ ่ ยู่ ทีไ่ ป ทางดำเนินไม่ด ี หรือทำไม่ถกู เรือ
่ ง
พระพุทธเจ ้าทรงมีพระคุณสมบัตค ่ ้อ (เฉพาะข ้อ ๓
ิ รบถ ้วนทัง้ สีข ไม่ถก
ู ที่ คือ กรณีนัน ้ สภาพแวดล ้อมนัน ้ สถานการณ์นัน ้ ถิน
่ นัน

ทรงถือแต่พอดี) จึงทรงครองใจคนทุกจำพวกได ้ทัง้ หมด คนที่ ตลอดถึงแนวทางดำเนินชีวต ิ ขณะนัน
้ ไม่เอือ
้ อำนวยแก่การกระ
เห็นพระพุทธเจ ้าแล ้ว ทีจ
่ ะไม่เลือ
่ มใสนัน ้ หาได ้ยากยิง่ นัก ทำความดีหรือการเจริญงอกงามของความดี แต่กลับเปิ ดทางให ้
แก่ความชัว่ และผลร ้าย -failure as regards place of birth;
(๑๖๐) พรหมวิหาร ๔ (ธรรมเครือ ่ งอยูอ่ ย่างประเสริฐ, unfavorable environment, circumstances or career)
ธรรมประจำใจอันประเสริฐ, หลักความประพฤติทปี่ ระเสริฐ
๒. อุปธิวบิ ัติ (วิบัตแ
ิ ห่งร่างกาย, รูปกายเสีย; ในช่วงยาวหมาย - accomplishment of undertaking; favorable, fortunate or
ถึงร่างกายวิกล วิการ ไม่งดงาม บุคลิกภาพไม่ด ี ในช่วงสัน ้ หมาย adequate undertaking)
ถึงสุขภาพไม่ด ี เจ็บป่ วย มีโรคมาก - failure as regards the
body; deformed or unfortunate body; unfavorable ั
(๑๘๒) สงขาร ๔ (คำว่าสังขารทีใ่ ช ้ในความหมายต่าง
personality, health or physical conditions.) - applications of the word 'formation')

๓. กาลวิบ ัติ (วิบัตแ
ิ ห่งกาล, กาลเสีย; ในช่วงยาวหมายถึง เกิด ั
๑. สงขตส ั
งขาร (สั งขารคือ สังขตธรรม ได ้แก่สงิ่ ทัง้ ปวงทีเ่ กิด
อยูใ่ นสมัยทีโ่ ลกไม่มค
ี วามเจริญ หรือบ ้านเมืองมีแต่ภัยพิบัต ิ ผู ้ จากปั จจัยปรุงแต่ง รูปธรรมก็ตาม นามธรรมก็ตาม ได ้ในคำว่า
ปกครองไม่ด ี สังคมเสือ ่ มจากศีลธรรม มีการกดขีเ่ บียดเบียนกัน อนิจฺจา วต สงฺขารา เป็ นต ้น - formation consisting of the
มาก ยกย่องคนชัว่ บีบคัน ้ หมายถึงทำผิดกาลผิด
้ คนดี ในช่วงสัน formed)
เวลา - failure as regards time; unfavorable or unfortunate
time) ั
๒. อภิสงขตส ั
งขาร (สังขารคือสิง่ ทีก
่ รรมแต่งขึน
้ ได ้แก่รป
ู ธรรม
ก็ตาม นามธรรมก็ตาม ในภูมสิ าม ทีเ่ กิดแต่กรรม - formation
๔. ปโยควิบ ัติ (วิบัตแิ ห่งการประกอบ, กิจการเสีย; ในช่วงยาว consisting of the karma-formed)
หมายถึงฝั กใฝ่ ในทางทีผ ่ ดิ ประกอบกิจการงานทีผ ่ ด
ิ หรือมีปกติ
ชอบกระทำแต่ความชัว่ ในช่วงสัน ้ หมายถึงเมือ
่ กระทำกรรมดี ก็ไม่ ั
๓. อภิสงขรณกส ั
งขาร (สั
งขารคือกรรมทีเ่ ป็ นตัวการปรุงแต่ง
ทำให ้ถึงขนาด ไม่ครบถ ้วนตามหลักเกณฑ์ ทำจับจด ใช ้วิธก ี าร ได ้แก่ กุศลเจตนาและอกุศลเจตนาทัง้ ปวงในภูมส ิ าม ได ้ในคำว่า
ไม่เหมาะกับเรือ่ ง หรือเมือ่ ประกอบความดีตอ ่ เนือ
่ งมา แต่กลับ 'สังขาร' ตามหลักปฏิจจสมุปบาท คือ (๑๑๙) สังขาร
ทำความชัว่ หักล ้างเสียในระหว่าง - failure as regards ๓ หรือ(๑๒๘) อภิสงั ขาร ๓ - formation consisting in the act
undertaking; unfavorable, unfortunate or inadequate of karma-forming)
undertaking)

๔. ปโยคาภิสงขาร (สั งขารคือการประกอบความเพียร ได ้แก่
วิบัต ิ ๔ นี้ เป็ นสิง่ ทีจ
่ ะต ้องนำมาประกอบการพิจารณาในเรือ ่ งการ กำลังความเพียรทางกายก็ตาม ทางใจก็ตาม - formation
ให ้ผลของกรรม เพราะการปรากฏของวิบาก นอกจากอาศัยเหตุ consisting in exertion or impetus)
คือกรรมแล ้ว ยังต ้องอาศัยฐานคือ คติ อุปธิ กาละ และปโยคะ
เป็ นปั จจัยประกอบด ้วย กล่าวคือ จะต ้องพิจารณา กรรม

(๑๘๓) สงคหว ัตถุ ๔ (ธรรมเครือ
่ งยึดเหนีย
่ ว คือยึด
นิยาม โดยสัมพันธ์กบ ั ปั จจัยทัง้ หลายทีเ่ ป็ นไปตามนิยามอืน ่ ๆ ด ้วย
เหนีย
่ วใจบุคคล และประสานหมูช ่ นไว ้ในสามัคคี, หลักการ
เพราะนิยาม หรือกฎธรรมชาตินัน ้ มีหลายอย่าง มิใช่มแี ต่กรรม
สงเคราะห์ - bases of sympathy; acts of doing favors;
นิยามอย่างเดียว
principles of service; virtues making for group integration
and leadership)
(๑๗๕) สมบ ัติ ๔ (ข ้อดี, ความเพียบพร ้อม, ความ
สมบูรณ์แห่งองค์ประกอบต่างๆ ซึง่ อำนวยแก่การให ้ผลของกรรม
๑. ทาน (การให ้ คือ เอือ
้ เฟื้ อเผือ
่ แผ่ เสียสละ แบ่งปั น ช่วยเหลือ
ดี และไม่เปิ ดให ้กรรมชัว่ แสดงผล, ส่วนประกอบอำนวย ช่วยเสริม
กันด ้วยสิง่ ของตลอดถึงให ้ความรู ้และแนะนำสัง่ สอน - giving;
กรรมดี -accomplishment; factors favorable to the ripening
generosity; charity)
of good Karma)
๒. ปิ ยวาจา หรือ เปยยว ัชชะ (วาจาเป็ นทีร่ ัก วาจาดูดดืม
่ น้ำใจ
๑. คติสมบ ัติ (สมบัตแ ิ ห่งคติ, ถึงพร ้อมด ้วยคติ, คติให ้; ในช่วง
หรือวาจาซาบซึง้ ใจ คือกล่าวคำสุภาพไพเราะอ่อนหวานสมาน
ยาวหมายถึงเกิดในกำเนิดอันนวย หรือทีเ่ กิดอันเจริญ ในช่วงสัน ้
สามัคคี ให ้เกิดไมตรีและความรักใคร่นับถือ ตลอดถึงคำแสดง
หมายถึง ทีอ่ ยู่ ทีไ่ ป ทางดำเนินดีหรือทำถูกเรือ ่ ง ถูกที่ คือ กรณี
ประโยชน์ประกอบด ้วยเหตุผลเป็ นหลักฐานจูงใจให ้นิยมยอมตาม
นัน
้ สภาพแวดล ้อมนัน ้ สถานการณ์นัน ้ ถิน
่ ทีน่ ัน
้ ตลอดถึงแนวทาง
- kindly speech; convincing speech)
ดำเนินชีวต
ิ ขณะนัน ้ เอือ้ อำนวยแก่การกระทำความดี หรือการ
เจริญงอกงามของความดี ทำให ้ความดีปรากฏผลโดยง่าย
-accomplishment of birth; fortunate birthplace; favorable ๓. อ ัตถจริยา (การประพฤติประโยชน์ คือ ขวนขวายช่วยเหลือ
environment, circumstances or career) กิจการ บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ตลอดถึงช่วยแก ้ไขปรับปรุงส่ง
เสริมในทางจริยธรรม - useful conduct; rendering services;
life of service; doing good)
๒. อุปธิสมบ ัติ (สมบัตแ
ิ ห่งร่างกาย, ถึงพร ้อมด ้วยรูปกาย, รูป
กายให ้; ในช่วงยาวหมายถึงมีกายสง่า สวยงาม บุคลิกภาพดี ใน
้ หมายถึง ร่างกายแข็งแรง มีสข
ช่วงสัน ุ ภาพดี - accomplishment ๔. สมาน ัตตตา (ความมีตนเสมอ คือ ทำตนเสมอด ้วยปลาย
of the body; favorable or fortunate body; favorable ปฏิบต ั ส
ิ ม่ำเสมอกันในชนทัง้ หลาย และเสมอในสุขทุกข์โดยร่วม
personality, health or physical conditions) รับรู ้ร่วมแก ้ไข ตลอดถึงวางตนเหมาะแก่ฐานะ ภาวะ บุคคล
เหตุการณ์และสิง่ แวดล ้อม ถูกต ้องตามธรรมในแต่ละกรณี - even
and equal treatment; equality consisting in impartiality,
๓. กาลสมบ ัติ (สมบัตแิ ห่งกาล, ถึงพร ้อมด ้วยกาล, กาลให ้; ใน
participation and behaving oneself properly in all
ช่วงยาว หมายถึง เกิดอยูใ่ นสมัยทีโ่ ลกมีความเจริญ หรือบ ้าน
circumstances)
เมืองสงบสุข มีการปกครองทีด ่ ี คนในสังคมอยูใ่ นศีลธรรม
ั ยกย่องคนดี ไม่สง่ เสริมคนชัว่ ในช่วงสัน
สามัคคีกน ้ หมายถึงทำ

(๑๘๔) สงคหว ัตถุของผูค
้ รองแผ่นดิน หรือ ราช
ถูกกาล ถูกเวลา - accomplishment of time; favorable or

สงคหว ัตถุ ๔ (สังคหวัตถุของพระราชา, ธรรมเครือ่ งยึดเหนีย
่ ว
fortunate time)
จิตใจประชาชน, หลักการสงเคราะห์ประชาชนของนักปกครอง -a
ruler's bases of sympathy; royal acts of doing favors;
๔. ปโยคสมบ ัติ (สมบัตแ ิ ห่งการประกอบ, ถึงพร ้อมด ้วยการ
virtues making for national integration)
ประกอบความเพียร, กิจการให ้; ในช่วงยาวหมายถึงฝั กใฝ่ ในทาง
ทีถ่ กู นำความเพียรไปใช ้ขวนขวายประกอบการทีถ ่ ก
ู ต ้องดีงาม มี

๑. สสสเมธะ (ความฉลาดในการบำรุ งพืชพันธุธ์ ัญญาหาร ส่ง
ปกติประกอบกิจการงานทีถ ่ กู ต ้อง ทำแต่ความดีงามอยูแ ่ ล ้ว ใน
ช่วงสัน ้ หมายถึงเมือ
่ ทำกรรมดี ก็ทำให ้ถึงขนาด ทำจริงจัง ให ้ครบ เสริมการเกษตร - shrewdness in agricultural promotion)
ถ ้วนตามหลักเกณฑ์ ใช ้วิธก ี ารทีเ่ หมาะกับเรือ่ ง หรือทำความดีตอ ่
เนือ่ งมาเป็ นพืน
้ แล ้ว กรรมดีททำ ี่ เสริมเข ้าอีก จึงเห็นผลได ้ง่าย
๒. ปุรสิ เมธะ (ความฉลาดในการบำรุงข ้าราชการ รู ้จักส่งเสริมคน ตนทีเ่ ป็ นสมณะ ผู ้เจริญกรรมฐานจะไปฟั งธรรมอันมีประโยชน์ในที่
ดีมค
ี วามสามารถ -shrewdness in the promotion and ชุมนุมใหญ่ แต่รู ้ว่ามีอารมณ์ซงึ่ จะเป็ นอันตรายต่อกรรมฐาน ก็ไม่
encouragement of government officials) ไป โดยสาระคือ ความรู ้ตระหนักทีจ ่ ะเลือกทำแต่สงิ่ ทีเ่ หมาะสบาย
เอือ
้ ต่อกาย จิต ชีวต ิ กิจ พืน
้ ภูม ิ และภาวะของตน - clear

๓. สมมาปาสะ (ความรู ้จักผูกผสานรวมใจประชาชนด ้วยการส่ง comprehension of suitability)
เสริมอาชีพ เช่น ให ้คนจนกู ้ยืมทุนไปสร ้างตัวในพาณิชยกรรม
เป็ นต ้น - 'a bond to bind men's hearts'; act of doing a ๓. โคจรสมปช ั ั
ญญะ (รู ้ชัดว่าเป็ นโคจร หรือตระหนักในแดน
favor consisting in vocational promotion as in commercial งามของตน คือ รู ้ตัวตระหนักชัดอยูต ่ ลอดเวลาถึงสิง่ ทีเ่ ป็ นกิจ
investment) หน ้าที่ เป็ นตัวงาน เป็ นจุดของเรือ ่ งทีต ่ นกระทำ ไม่วา่ จะไปไหน
หรือทำอะไรอืน ่ ก็รู ้ตระหนักอยู่ ในปล่อยให ้เลือนหายไป มิใช่วา่
๔. วาชเปยะ หรือ วาจาเปยยะ (ความมีวาจาอันดูดดืม ่ น้ำใจ พอทำอะไรอืน ่ หรือไปพบสิง่ อืน ่ เรือ
่ งอืน่ ก็เตลิดเพริดไปกับสิง่ นัน

น้ำคำควรดืม่ คือ รู ้จักพูด รู ้จักปราศรัย ไพเราะ สุภาพนุ่มนวล เรือ
่ งนัน
้ เป็ นนกบินไม่กลับรัง โดยเฉพาะการไม่ทงิ้ อารมณ์
ประกอบด ้วยเหตุผล มีประโยชน์เป็ นทางแห่งสามัคคี ทำให ้เกิด กรรมฐาน ซึง่ รวมถึงการบำเพ็ญจิตตภาวนาและปั ญญาภาวนาใน
ความเข ้าในอันดี และความนิยมเชือ ่ ถือ - affability in address; กิจกรรมทุกอย่างในชีวต ิ ประจำวัน โดยสาระคือ ความรู ้ตระหนักที่
kindly and convincing speech) จะคุมกายและจิตไว ้ให ้อยูใ่ นกิจ ในประเด็น หรือแดนงานของตน
ไม่ให ้เขว เตลิด เลือ ่ นลอย หรือหลงลืมไปเสีย - clear
ราชสังคหวัตถุ ๔ ประการนี้ เป็ นคำสอนในพระพุทธศาสนา ส่วนที่ comprehension of the domain)
แก ้ไขปรับปรุงคำสอนในศาสนาพราหมณ์ โดยกล่าวถึงคำศัพท์
เดียวกัน แต่ชถี้ งึ ความหมายอันชอบธรรมทีต
่ า่ งออกไป ธรรม ๔. อสมโมหส ั ั ญญะ รู
ปช ั ้ชัดว่าไม่หลง หรือตระหนักในตัว
หมวดนี้ ว่าโดยศัพท์ ตรงกับ มหายัญ ๕ (the five great เนือ ้ หาสภาวะ ไม่หลงใหลฟั่ นเฟื อน คือเมือ ่ ไปไหน ทำอะไร ก็
sacrifices) ของ พราหมณ์ คือ.- รู ้ตัวตระหนักชัดในการเคลือ ่ นไหว หรือในการกระทำนัน ้ และใน
สิง่ ทีกระทำนัน ้ ไม่หลง ไม่สบ ั สนเงอะงะฟั่ นเฟื อน เข ้าใจล่วง
๑. อัสสเมธะ (การฆ่าม ้าบูชายัญ - horse-sacrifice) ตลอดไปถึงตัวสภาวะในการกระทำทีเ่ ป็ นไปอยูน ่ ัน
้ ว่าเป็ นเพียง
การประชุมกันขององค์ประกอบและปั จจัยต่างๆ ประสานหนุน
เนือ ่ งกันขึน้ มาให ้ปรากฏ เป็ นอย่างนัน ้ หรือสำเร็จกิจนัน ้ ๆ รู ้ทัน
๒. ปุรส
ิ เมธะ (การฆ่าคนบูชายัญ - human sacrifice)
สมมติ ไม่หลงสภาวะเช่นยึดเห็นเป็ นตัวตน โดยสาระคือ ความรู ้
ตระหนัก ในเรือ ่ งราว เนือ้ หา สาระ และสภาวะของสิง่ ทีต ่ น
๓. สัมมาปาสะ (ยัญอันสร ้างแท่นบูชาไว ้ทีข
่ ว ้างไม ้ลอดบ่วงไป เกีย ่ วข ้องหรือกระทำอยูน ่ ัน
้ ตามทีเ่ ป็ นจริงโดยสมมติสจ ั จะ หรือ
หล่นลง - peg-thrown site sacrifice) ตลอดถึงโดยปรมัตถสัจจะ มิใช่พรวดพราดทำไป หรือสักว่าทำ
มิใช่ทำอย่างงมงายไม่รู ้เรือ ่ ง และไม่ถก ู หลอกให ้ลุม ่ หลงหรือ
๔. วาชเปยะ (การดืม ่ เพือ
่ พลังหรือเพือ
่ ชัย - drinking of เข ้าใจผิดไปเสียด ้วยความพร่ามัว หรือด ้วยลักษณะอาการ
strength or of victory) ภายนอกทีย ่ ั่วยุ หรือเย ้ายวนเป็ นต ้น - clear comprehension of
non-delusion, or of reality)
๕. นิรัคคฬะ หรือ สรรพเมธะ (ยัญไม่มลี ม
ิ่ สลัก คือ ทั่วไปไม่มข
ี ด

ขัน
้ จำกัด, การฆ่าครบทุกอย่างบูชายัญ - the bolts-withdrawn ั
(๑๘๘) สมปรายิ ก ัตถสงวั ัตตนิกธรรม ๔ (ธรรมที่
sacrifice; universal sacrifice) เป็ นไปเพือ่ ประโยชน์เบือ
้ งหน ้า, หลักธรรมอันอำนวยประโยชน์สข ุ
ขัน
้ สูงขึน
้ ไป - virtues conducive to benefits in the future;
มหายัญ ๕ ทีพ ่ ระราชาพึงบูชาตามหลักศาสนาพราหมณ์นี้ virtues leading to spiritual welfare)
พระพุทธศาสนาสอนว่า เดิมทีเดียวเป็ นหลักการสงเคราะห์ทด ี่ ี
งาม แต่พราหมณ์สมัยหนึง่ ดัดแปลงเป็ นการบูชายัญเพือ ่ ผล ั
๑. สทธาส ั
มปทา (ถึ
งพร ้อมด ้วยศรัทธา - to be endowed with
ประโยชน์ในทางลาภสักการะแก่ตน ความหมายทีพ ่ งึ ต ้องการ ซึง่ faith; accomplishment of confidence)
พระพุทธศาสนาสัง่ สอน ๔ ข ้อแรก มีดังกล่าวแล ้วข ้างต ้น ส่วนข ้อ
ที่ ๕ ตามหลักสังคหวัตถุ ๔ นี้ ว่าเป็ นผล แปลว่า ไม่มล ี มิ่ กลอน ั
๒. สีลสมปทา (ถึงพร ้อมด ้วยศีล - to be endowed with
หมายความว่า บ ้านเมืองจะสงบสุขปราศจากโจรผู ้ร ้าย ไม่ต ้อง morality; accomplishment of virtue)
ระแวงภัย บ ้านเรือนไม่ต ้องลงกลอน

๓. จาคสมปทา (ถึ งพร ้อมด ้วยการเสียสละ - to be endowd
(๑๘๖) สมปช ั ั
ญญะ ๔ (ความรู ้ตัว, ความรู ้ตัวทั่ว with generosity; accomplishment of charity)
พร ้อม, ความรู ้ชัด, ความรู ้ทั่วชัด, ความตระหนัก - clear
comprehension; clarity of consciousness; awareness)

๔. ปัญญาสมปทา (ถึ งพร ้อมด ้วยปั ญญา - to be endowed
with wisdom; accomplishment of wisdom)
๑. สาตกสมปช ั ั
ญญะ (รู ้ชัดว่ามีประโยชน์ หรือตระหนักในจุด
หมาย คือ รู ้ตัวตระหนักชัดว่าสิง่ ทีก ่ ระทำนัน ้ มีประโยชน์ตามความ
้ ๆ ว่า สัมปรายิกต
ธรรมหมวดนี้ เรียกกันสัน ั ถะ หรือเรียกติดปาก
มุง่ หมายอย่างไรหรือไม่ หรือว่า อะไรควรเป็ นจุดมุง่ หมายของ
อย่างไทยๆ ว่า สัมปรายิกต ั ถประโยชน์ (อัตถะ ก็แปลว่า
การกระทำนัน ้ เช่น ผู ้เจริญกรรมฐาน เมือ ่ จะไป ณ ทีใ่ ดทีห ่ นึง่
ประโยชน์ จึงเป็ นคำซ้ำซ ้อนกัน)
มิใช่สกั ว่ารู ้สึกหรือนึกขึน ้ มาว่าจะไป ก็ไป แต่ตระหนักว่าเมือ ่ ไป
แล ้ว จะได ้ปี ตส ิ ข
ุ หรือความสงบใจ ช่วยให ้เกิดความเจริญโดย
ธรรม จึงไป โดยสาระคือ ความรู ้ตระหนักทีจ ่ ะเลือกทำสิง่ ทีต่ รง (๑๘๙) สุขของคฤห ัสถ์ หรือ คิหส ิ ข
ุ  หรือ กามโภคี
กับวัตถุประสงค์หรืออำนวยประโยชน์ทม ี่ งุ่ หมาย - clear สุข ๔ (สุขของชาวบ ้าน, สุขทีช
่ าวบ ้านควรพยายามเข ้าถึงให ้ได ้
comprehension of purpose) สม่ำเสมอ, สุขอันชอบธรรมทีผ่ ู ้ครองเรือนควรมี - house-life
happiness; deserved bliss of a layman)

๒. สปปายส ั
มปช ั
ญญะ (รู ้ชัดว่าเป็ นสัปปายะ หรือตระหนักใน
ความเหมาะสมเกือ ้ กูล คือรู ้ตัวตระหนักชัดว่าสิง่ ของนัน ้ การกระ ๑. อ ัตถิสข
ุ  (สุขเกิดจากความมีทรัพย์ คือ ความภูมใิ จ เอิบอิม
่ ใจ
ทำนัน ้ ทีท
่ จ
ี่ ะไปนัน้ เหมาะกันกับตน เกือ ้ กูลแก่สข
ุ ภาพ แก่กจิ ว่าตนโภคทรัพย์ทไี่ ด ้มาด ้วยน้ำพักน้ำแรงความขยันหมั่นเพียร
เอือ
้ ต่อการสละละลดแห่งอกุศลธรรมและการเกิดขึน ้ เจริญ ของตน และโดยชอบธรรม - bliss of ownership)
งอกงามแห่งกุศลธรรม จึงใช ้ จึงทำ จึงไป หรือเลือกให ้เหมาะ
เช่น ภิกษุ ใช ้จีวรทีเ่ หมาะกับดินฟ้ าอากาศและเหมาะกับภาวะของ
๒. โภคสุข (สุขเกิดจากการใช ้จ่ายทรัพย์ คือ ความภูมใิ จ เอิบ ๔. สนฺ ต ึ สิกฺเขยฺย (พึงศึกษาสันติ - to train oneself in
่ ใจ ว่าตนได ้ใช ้ทรัพย์ทไี่ ด ้มาโดยชอบนัน
อิม ้ เลีย
้ งชีพ เลีย
้ งผู ้ควร tranquillity)
เลีย้ ง และบำเพ็ญประโยชน์ - bliss of enjoyment)
(๑๙๕) อปัสเสนะ หรือ อปัสเสนธรรม ๔ (ธรรมดุจ
๓. อนณสุข (สุขเกิดจากความไม่เป็ นหนี้ คือ ความภูมใิ จ เอิบ พนักพิง, ธรรมเป็ นทีอ
่ งิ หรือพึง่ อาศัย -virtues to lean on;
อิม
่ ใจ ว่าตนเป็ นไท ไม่มห
ี นีส ิ ติดค ้างใคร - bliss of
้ น states which a monk should rely on)
debtlessness)
๑. สงฺขาเยกํ ปฏิเสวติ (ของอย่างหนึง่ พิจารณาแล ้วเสพ ได ้แก่
๔. อนว ัชชสุข (สุขเกิดจากความประพฤติไม่มโี ทษ คือ ความ สิง่ ของมีปัจจัย ๔ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานเภสัช
ภูมใิ จ เอิบอิม
่ ใจ ว่าตนมีความประพฤติสจ
ุ ริต ไม่บกพร่องเสียหาย เป็ นต ้นก็ด ี บุคคลและธรรมเป็ นต ้นก็ด ี ทีจำ
่ เป็ นจะต ้องเกีย
่ วข ้อง
ใครๆ ติเตียนไม่ได ้ ทัง้ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ - bliss of และมีประโยชน์ พึงพิจารณาแล ้วจึงใช ้สอยและเสวนาให ้เป็ น
blamelessness) ประโยชน์ - The monk deliberately follows or makes use of
one thing.)
บรรดาสุข ๔ อย่างนี้ อนวัชชสุข มีคา่ มากทีส
่ ด

๒. สงฺขาเยกํ อธิวาเสติ (ของอย่างหนึง่ พิจารณาแล ้วอด
(๑๙๐) อคติ ๔ (ฐานะอันไม่พงึ ถึง, ทางความประพฤติ กลัน ้  ได ้แก่ อนิฏฐารมณ์ตา่ งๆ มีหนาว ร ้อน และทุกขเวทนา
ทีผ
่ ด
ิ , ความไม่เทีย
่ งธรรม, ความลำเอียง - wrong course of เป็ นต ้น พึงรู ้จักพิจารณาอดกลัน้ - The monk deliberately
behavior; prejudice) endures one thing)

๑. ฉ ันทาคติ (ลำเอียงเพราะชอบ - prejudice caused by love ๓. สงฺขาเยกํ ปริวชฺเชติ (ของอย่างหนึง่ พิจารณาแล ้วเว ้น


or desire; partiality) เสีย ได ้แก่ สิง่ ทีเ่ ป็ นโทษก่ออันตรายแก่รา่ งกายก็ตาม จิตใจ
ก็ตาม เช่น ช ้างร ้าย คนพาล การพนัน สุราเมรัย เป็ นต ้น พึงรู ้จัก
๒. โทสาคติ (ลำเอียงเพราะชัง - prejudice caused by hatred พิจารณาหลีกเว ้นเสีย - The monk deliberately avoids one
or enmity) thing.)

๓. โมหาคติ (ลำเอียงเพราะหลง, พลาดผิดเพราะเขลา ๔. สงฺขาเยกํ ปฏิวโิ นเทติ (ของอย่างหนึง่ พิจารณาแล ้วบรรเทา


- prejudice caused by delusion or stupidity) เสีย ได ้แก่ สิง่ ทีเ่ ป็ นโทษก่ออันตรายเกิดขึน
้ แล ้ว เช่น อกุศลวิตก
มีกามวิตก พยาบาทวิตก วิหงิ สาวิตก เป็ นต ้น และความชัว่ ร ้ายทัง้
หลาย พึงรู ้จักพิจารณาแก ้ไข บำบัดหรือขจัดให ้สิน ้ ไป - The
๔. ภยาคติ (ลำเอียงเพราะกลัว - prejudice caused by fear)
monk deliberately suppresses or expels one thing.)
(๑๙๑) อธิษฐาน หรือ อธิษฐานธรรม ๔ (ธรรมเป็ นที่
ั ๔ (ธรรมเป็ นทีพ
อปั สเสน ๔ นี้ เรียกอีกอยางว่า อุปนิสย ่ งึ่ พิง
มั่น, ธรรมอันเป็ นฐานทีม ่ ั่นคงของบุคคล, ธรรมทีค ่ วรใช ้เป็ นที่
หรือธรรมช่วยอุดหนุน - supports; supporting states)
ประดิษฐานตน เพือ ่ ให ้สามารถยึดเอาผลสำเร็จสูงสุดอันเป็ นที่
หมายไว ้ได ้ โดยไม่เกิดความสำคัญตนผิด และไม่เกิดสิง่ มัวหมอง
หมักหมมทับถมตน, บางทีแปลว่า ธรรมทีค ่ วรตัง้ ไว ้ในใจ เมือ
่ รู ้จักพิจารณาปฏิบัตต ิ อ่ สิง่ ต่างๆ ให ้ถูกต ้องด ้วยปั ญญาตาม
- foundation; foundations on which a tranquil sage หลักอปั สเสนหรืออุปนิสย ั ๔ อย่างนี้ ย่อมเป็ นเหตุให ้อกุศลทีย ่ ัง
establishes himself; virtues which should be established ไม่เกิดก็ไม่เกิดขึน้ ทีเ่ กิดขึน ่ มสิน
้ แล ้วก็เสือ ้ ไป และกุศลทีย ่ ังไม่
in the mind) เกิดย่อมเกิดขึน ้ ทีเ่ กิดขึน
้ แล ้วก็เจริญยิง่ ขึน ้ ไป

๑. ปัญญา (ความรู ้ชัด คือ หยั่งรู ้ในเหตุผล พิจารณาให ้เข ้าใจใน ภิกษุ ผู ้พร ้อมด ้วยธรรม ๔ ประการนี้ ดำรงอยูใ่ นธรรม ๕ คือ
สภาวะของสิง่ ทัง้ หลายจนเข ้าถึงความจริง - wisdom; insight) ศรัทธา หิร ิ โอตตัปปะ วิรย ิ ะ ปั ญญา ท่านเรียกว่า นิสสยสัมบัน (ผู ้
ถึงพร ้อมด ้วยทีพ ่ งึ่ อาศัย - fully reliant.)

๒. สจจะ (ความจริ ง คือ ดำรงมั่นในความจริงทีร่ ู ้ชัดด ้วยปั ญญา
เริม
่ แต่จริงวาจาจนถึงปรมัตถสัจจะ - truthfulness)

๓. จาคะ (ความสละ คือ สละสิง่ อันเคยชิน ข ้อทีเ่ คยยึดถือไว ้ (๑๙๘) กิจในอริยสจั ๔ (หน ้าทีอ ่ น


ั จะพึงทำต่ออริยสัจ
และสิง่ ทัง้ หลายอันผิดพลาดจากความจริงเสียได ้ เริม
่ แต่สละ ๔ แต่ละอย่าง, ข ้อทีจ
่ ะต ้องปฏิบัตใิ ห ้ถูกต ้องและเสร็จสิน ้ ใน
อามิสจนถึงสละกิเลส - liberality renunciation) อริยสัจ ๔ แต่ละอย่าง จึงจะชือ่ ว่ารู ้อริยสัจหรือเป็ นผู ้ตรัสรู ้แล ้ว
- functionsconcerning the Four Noble Truths)
๔. อุปสมะ (ความสงบ คือ ระงับโทษข ้อขัดข ้องมัวหมองวุน ่ วาย
อันเกิดจากกิเลสทัง้ หลายแล ้ว ทำจิตใจให ้สงบได ้ - tranquillity; ๑. ปริญญา (การกำหนดรู ้ เป็ นกิจในทุกข์ ตามหลักว่า ทุกฺขํ
peace) อริยสจฺจํ ปริญฺเญยฺยํ ทุกข์ควรกำหนดรู ้ คือ ควรศึกษาให ้รู ้จักให ้
เข ้าใจชัดตามสภาพทีเ่ ป็ นจริง ได ้แก่ การทำความเข ้าใจและ
กำหนดขอบเขตของปั ญหา - comprehension; suffering in to
ทัง้ ๔ ข ้อนี้ พึงปฏิบัตต
ิ ามกระทู ้ดังนี้
be comprehended)
๑. ปญฺญํ นปฺปมชฺเชยฺย (ไม่พงึ ประมาทปั ญญา คือ ไม่ละเลยการ
๒. ปหานะ (การละ เป็ นกิจในสมุทัย ตามหลักว่า ทุกฺขสมุทโย
ใช ้ปั ญญา - not to neglect wisdom)
อริยสจฺจํ ปหาตพฺพํ สมุทย ้ ไป
ั ควรละ คือ กำจัด ทำให ้หมดสิน
ได ้แก่การแก ้ไขกำจัดต ้นตอของปั ญหา - eradication;
ั จะ - to safeguard
๒. สจฺจํ อนุรกฺเขยฺย (พึงอนุรักษ์สจ abandonment; the cause of suffering is to be eradicated)
truthfulness)
ั กริ ย
๓. สจฉิ ิ า (การทำให ้แจ ้ง เป็ นกิจในนิโรธ ตามหลักว่า ทุกฺ
๓. จาคํ อนุพฺรเู หยฺย (พึงเพิม
่ พูนจาคะ - to foster liberality) ขนิโรโธ อริยสจฺจํ สจฺฉก
ิ าตพฺพํนโิ รธควรทำให ้แจ ้ง คือ เข ้าถึง
หรือบรรลุ ได ้แก่การเข ้าถึงสภาวะทีป่ ราศจากปั ญหา บรรลุจด ุ
หมายทีต่ ้องการ - realization; the cessation of suffering is (๒๐๕) อิทธิบาท ๔ (คุณเครือ ่ งให ้ถึงความสำเร็จ,
to be realized) คุณธรรมทีนำ ่
่ ไปสูความสำเร็จแห่งผลทีม่ งุ่ หมาย - path of
accomplishment; basis for success)
๔. ภาวนา (การเจริญ เป็ นกิจในมรรค ตามหลักว่า ทุกฺขนิโรธคา
มินี ปฏิปทา อริยสจฺจํ ภาเวตพฺพํมรรคควรเจริญ คือ ควรฝึ กอบรม ๑. ฉ ันทะ (ความพอใจ คือ ความต ้องการทีจ ่ ะทำ ใฝ่ ใจรักจะทำ
ลงมือปฏิบตั ิ กระทำตามวิธกี ารทีจ ่ ด
่ ะนำไปสูจ ุ หมาย ได ้แก่การ สิง่ นัน
้ อยูเ่ สมอ และปรารถนาจะทำให ้ได ้ผลดียงิ่ ๆ ขึน
้ ไป - will;
ลงมือแก ้ไขปั ญหา - development; practice; the path is to aspiration)
be followed or developed)
ิ ะ (ความเพียร คือ ขยันหมั่นประกอบสิง่ นัน
๒. วิรย ้ ด ้วยความ
ในการแสดงอริยสัจ ก็ด ี ในการปฏิบัตธิ รรมตามหลักอริยสัจก็ด ี จะ พยายาม เข ้มแข็ง อดทน เอาธุระไม่ท ้อถอย - energy; effort;
ต ้องให ้อริยสัจแต่ละข ้อ สัมพันธ์ตรงกันกับกิจแต่ละอย่าง จึงจะ exertion)
เป็ นการแสดงและเป็ นการปฏิบัตโิ ดยชอบ ทัง้ นี้ วางเป็ นหัวข ้อได ้
ดังนี้ ๓. จิตตะ (ความคิด คือ ตัง้ จิตรับรู ้ในสิง่ ทีทำ
่ และสิง่ นัน
้ ด ้วยความ
คิด เอาจิตฝั กใฝ่ ไม่ปล่อยใจให ้ฟุ้ งซ่านเลือ่ นลอยไป
๑. ทุกข์ เป็ นขัน
้ แถลงปั ญหาทีจ
่ ะต ้องทำความเข ้าใจและรู ้ - thoughtfulness; active thought)
ขอบเขต (ปริญญา) - statement of evil; location of the
problem. ๔. วิม ังสา (ความไตร่ตรอง หรือ ทดลอง คือ หมั่นใช ้ปั ญญา
พิจารณาใคร่ครวญตรวจตราหาเหตุผลและตรวจสอบข ้อยิง่ หย่อน
๒. สมุท ัย (เป็ นขัน ิ ฉัยมูลเหตุของปั ญหา ซึง่ จะ
้ วิเคราะห์และวินจ ในสิง่ ทีทำ
่ นัน้ มีการวางแผน วัดผล คิดค ้นวิธแ
ี ก ้ไขปรับปรุง
ต ้องแก ้ไขกำจัดให ้หมดสิน ้ ไป(ปหานะ) - diagnosis of the เป็ นต ้น - investigation; examination; reasoning; testing)
origin.
(๒๐๖) อุปาทาน ๔ (ความยึดมั่น, ความถือมั่นด ้วย
๓. นิโรธ เป็ นขัน ้ อกภาวะปราศจากปั ญหา อันเป็ นจุดหมายที่
้ ชีบ อำนาจกิเลส, ความยึดติดอันเนือ ่ งมาแต่ตัณหา ผูกพันเอาตัวตน
ต ้องการ ให ้เห็นว่าการแก ้ปั ญหาเป็ นไปได ้ และจุดหมายนัน ้ ควร เป็ นทีต
่ งั ้ - attachment; clinging; assuming)
เข ้าถึง ซึง่ จะต ้องทำให ้สำเร็จ (สัจฉิกริ ย
ิ า) - prognosis of its
antidote; envisioning the solution. ๑. กามุปาทาน (ความยึนมั่นในกาม คือ รูป เสียง กลิน ่ รส
โผฏฐัพพะ ทีน
่ ่าใคร่ น่าพอใจ -clinging to sensuality)
๔. มรรค เป็ นขัน ้ กำหนดวิธก ี าร ขัน
้ ตอน และรายละเอียดทีจ
่ ะ
ต ้องปฏิบัตใิ นการลงมือแก ้ปั ญหา(ภาวนา) - prescription of the ๒. ทิฏฐุปาทาน (ความยึดมั่นในทิฏฐิหรือทฤษฎี คือความเห็น
remedy; program of treatment. ลัทธิ หรือหลักคำสอนต่างๆ -clinging to views)

ความสำเร็จในการปฏิบัตท
ิ งั ้ หมด พึงตรวจสอบด ้วยหลัก (๗๒) ๓. สีล ัพพตุปาทาน (ความยึดมั่นในศีลและพรต คือ หลักความ
ญาณ ๓ ประพฤติ ข ้อปฏิบต ั ิ แบบแผน ระเบียบ วิธ ี ขนบธรรมเนียม
ประเพณี ลัทธิพธิ ต ี า่ งๆ ถือว่าจะต ้องเป็ นอย่างนัน
้ ๆ โดยสักว่ากระ
(๒๐๔)  อาหาร ๔ (สภาพทีนำ ่ มาซึง่ ผลโดยความเป็ น ทำสืบๆ กันมา หรือปฏิบต ั ติ ามๆ กันไปอย่างงมงาย หรือโดยนิยม
ปั จจัยค้ำจุนรูปธรรมและนามธรรมทัง้ หลาย, เครือ ิ , สิง่
่ งค้ำจุนชีวต ว่าขลัง ว่าศักดิส ิ ธิ์ มิได ้เป็ นไปด ้วยความรู ้ความเข ้าใจตามหลัก
์ ท
ทีห่ ล่อเลีย
้ งร่างกายและจิตใจ ทำให ้เกิดกำลังเจริญเติบโตและ ความสัมพันธ์แห่งเหตุและผล - clinging to mere rule and
วิวัฒน์ได ้ - nutriment) ritual)


๑. กวฬงการาหาร (อาหารคื อคำข ้าว ได ้แก่ อาหารสามัญที่ ๔. อ ัตตวาทุปาทาน (ความยึดมั่นในวาทะว่าตัวตน คือ ความถือ
กลืนกินดูดซึมเข ้าไป หล่อเลีย ้ งร่างกาย - material food; หรือสำคัญหมายอยูใ่ นภายในว่า มีตัวตน ทีจ ่ ะได ้ จะเป็ น จะมี จะ
physical nutriment) เมือ ิ
่ กำหนดรู ้กวฬงการาหารได ้แล ้ว ก็เป็ น สูญสลาย ถูกบีบคัน ้ ทำลายหรือเป็ นเจ ้าของ เป็ นนายบังคับบัญชา
อันกำหนดรู ้ราคะทีเ่ กิดจากเบญจกามคุณได ้ด ้วย สิง่ ต่างๆ ได ้ ไม่มองเห็นสภาวะของสิง่ ทัง้ ปวงอันรวมทัง้ ตัวตนว่า
เป็ นแต่เพียงสิง่ ทีป
่ ระชุมประกอบกันเข ้า เป็ นไปตรมเหตุปัจจัยทัง้
๒. ผ ัสสาหาร (อาหารคือผัสสะ ได ้แก่ การบรรจบแห่งอายตนะ หลายทีม ่ าสัมพันธ์กน ั ล ้วนๆ - clinging to the ego-belief)
ภายใน อายตนะภายนอก และวิญญาณ เป็ นปั จจัยให ้เกิดเวทนา
พร ้อมทัง้ เจตสิกทัง้ หลายทีจ
่ ะเกิดตามมา - nutriment (๒๐๘)  ข ันธ์ ๕ หรือ เบญจข ันธ์ (กองแห่งรูปธรรม
consisting of contact; contact as nutriment) เมือ ่ กำหนดรู ้ และนามธรรม ๕ หมวด ทีป ่ ระชุมกันเข ้าเป็ นหน่วยรวม ซึง่ บัญญัต ิ
ผัสสาหารได ้แล ้ว ก็เป็ นอันกำหนดรู ้เวทนา ๓ ได ้ด ้วย เรียกว่า สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เป็ นต ้น, ส่วนประกอบ ๕
อย่างทีร่ วมเข ้าเป็ นชีวต
ิ — the Five Groups of Existence;

๓. มโนสญเจตนาหาร (อาหารคื อมโนสัญเจตนา ได ้แก่ ความ Five Aggregates)
จงใจ เป็ นปั จจัยแห่งการทำ พูด คิด ซึง่ เรียกว่ากรรม เป็ นตัวชำ
นักมาซึง่ ภพ คือ ให ้เกิดปฏิสนธิในภพทัง้ หลาย - nutriment ๑. รูปข ันธ์ (กองรูป, ส่วนทีเ่ ป็ นรูป, ร่างกาย พฤติกรรม และ
consisting of mental volition; mental choice as nutriment) คุณสมบัตต ิ า่ งๆ ของส่วนทีเ่ ป็ นร่างกาย, ส่วนประกอบฝ่ ายรูปธรรม
เมือ
่ กำหนดรู ้มโนสัญเจตนาหารได ้แล ้ว ก็เป็ นอันกำหนดรู ้ตัณหา ทัง้ หมด, สิง่ ทีเ่ ป็ นร่างพร ้อมทัง้ คุณและอาการ —corporeality)
๓ ได ้ด ้วย.
๒. เวทนาข ันธ์ (กองเวทนา, ส่วนทีเ่ ป็ นการเสวยอารมณ์, ความ
๔. วิญญาณาหาร (อาหารคือวิญญาณ ได ้แก่ วิญญาณเป็ น รู ้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ —feeling; sensation)
ปั จจัยให ้เกิดนามรูป - nutriment consisting of
consciousness; consciousness as nutriment) เมือ ่ กำหนดรู ้ ั
๓. สญญาข ันธ์ (กองสัญญา, ส่วนทีเ่ ป็ นความกำหนดหมาย,
วิญญาณาหารได ้แล ้วก็เป็ นอันกำหนดรู ้นามรูปได ้ด ้วย. ความกำหนดได ้หมายรู ้ในอารมณ์ ๖ เช่นว่า ขาว เขียว ดำ แดง
เป็ นต ้น — perception)

๔. สงขารข ันธ์ (กองสังขาร, ส่วนทีเ่ ป็ นความปรุงแต่ง, สภาพที่ ๓. อนุทยตํ ปฏิจฺจ (แสดงธรรมด ้วยอาศัยเมตตา คือ สอนเขา
ปรุงแต่งจิตให ้ดีหรือชัว่ หรือเป็ นกลางๆ, คุณสมบัตติ า่ งๆ ของจิต ด ้วยจิตเมตตา มุง่ จะให ้เป็ นประโยชน์แก่เขา — It is inspired by
มีเจตนาเป็ นตัวนำ ทีป่ รุงแต่งคุณภาพของจิต ให ้เป็ นกุศล อกุศล kindness; teaching out of kindliness.)
อัพยากฤต — mental formations; volitional activities)
๔. น อามิสนฺตโร (ไม่แสดงธรรมด ้วยเห็นแก่อามิส คือ สอนเขา
๕. วิญญาณข ันธ์ (กองวิญญาณ, ส่วนทีเ่ ป็ นความรู ้แจ ้งอารมณ์, มิใช่เพราะมุง่ ทีต
่ นจะได ้ลาภ หรือผลประโยชน์ตอบแทน — It is
ความรู ้อารมณ์ทางอายตนะทัง้ ๖ มีการเห็น การได ้ยิน เป็ นต ้น not for worldly gain.)
ได ้แก่ วิญญาณ ๖ — consciousness)
๕. อตฺตานญฺจ ปรญฺจ อนุปหจฺจ (แสดงธรรมไม่กระทบตนและ
ขันธ์ ๕ นี้ ย่อลงมาเป็ น ๒ คือ นาม และ รูป; รูปขันธ์จัดเป็ นรูป, ๔ ผู ้อืน
่ คือ สอนตามหลักตามเนือ ้ หา มุง่ แสดงธรรม แสดงธรรม ไม่
ขันธ์ นอกนัน ้ เป็ นนาม. อีกอย่างหนึง่ จัดเข ้าในปรมัตถธรรม ๔ : ยกตน ไม่เสียดสีขม ่ ขีผ
่ ู ้อืน
่ — It does not hurt oneself or
วิญญาณขันธ์เป็ น จิต, เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และ others; not exalting oneself while contempting others.)
วิญญาณขันธ์ เป็ น เจตสิก, รูปขันธ์ เป็ น รูป, ส่วน นิพพาน เป็ น
ขันธวินม
ิ ต
ุ คือ พ ้นจากขันธ์ ๕ (๒๑๔) นิยาม ๕ (กำหนดอันแน่นอน, ความเป็ นไปอัน
มีระเบียบแน่นอนของธรรมชาติ, กฎธรรมชาติ — orderliness of
นอกนี้ ดู (๓๔๒) จิต ๘๙; (๓๔๑) เจตสิก ๕๒ nature; the five aspects of natural law)

(๒๑๐) ธรรมข ันธ์ ๕ (กองธรรม, หมวดธรรม, ประมวล ๑. อุตนุ ย


ิ าม (กฎธรรมชาติเกีย
่ วกับอุณหภูม ิ หรือปรากฏการณ์
ธรรมทัง้ ปวงเข ้าเป็ นหัวข ้อใหญ่ —bodies of doctrine; ธรรมชาติตา่ งๆ โดยเฉพาะดินน้ำอากาศ และฤดูกาล อันเป็ นสิง่
categories of the Teaching) แวดล ้อมสำหรับมนุษย์ — physical inorganic order; physical
laws)
๑. สีลข ันธ์ (กองศีล, หมวดศีล ประมวลธรรมทัง้ หลาย เช่น
อปจายนมัย เวยยาวัจจมัย ปาติโมกขสังวร กายสุจริต สัมมาวาจา ๒. พีชนิยาม (กฎธรรมชาติเกีย
่ วกับการทำงานของจิต
สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ เป็ นต ้น — body of morals; virtue — psychic law)
category)
๓. จิตตนิยาม (กฎธรรมชาติเกีย
่ วกับพฤติกรรมของมนุษย์ คือ
๒. สมาธิข ันธ์ (กองสมาธิ, หมวดสมาธิ ประมวลธรรมทัง้ หลาย กระบวนการให ้ผลของการกระทำ — order of act and result;
เช่น ฉันทะ วิรย
ิ ะ จิตตะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ the law of Karma; moral laws)
เป็ นต ้น — body of concentration; concentration category)
๔. กรรมนิยาม (กฎธรรมชาติเกีย่ วกับพฤติกรรมของมนุษย์ คือ
๓. ปัญญาข ันธ์ (กองปั ญญา, หมวดปั ญญา ประมวลธรรมทัง้ กระบวนการให ้ผลของการกระทำ — order of act and result;
ั ภิทา สัมมาทิฏฐิ สัมมา
หลาย เช่น ธัมมวิจยะ วิมังสา ปฏิสม the law of Karma; moral laws)
สังกัปปะ เป็ นต ้น— body of wisdom or insight;
understanding category) ๕. ธรรมนิยาม (กฎธรรมชาติเกีย ่ วกับความสัมพันธ์และอาการที่
ั แห่งสิง่ ทัง้ หลาย — order of the norm;
เป็ นเหตุเป็ นผลแก่กน
๔. วิมต
ุ ติข ันธ์ (กองวิมต
ุ ติ, หมวดวิมต ุ ติ ประมวลธรรมทัง้ หลาย the general law of cause and effect; causality and
เช่น ปหาน วิราคะ วิโมกข์ วิสท ุ ธิ สันติ นิโรธ นิพพาน เป็ นต ้น conditionality)
— body of deliverance; deliverance category)
(๒๑๕)  นิโรธ ๕ (ความดับกิเลส, ภาวะไร ้กิเลสและ
๕. วิมต
ุ ติญาณท ัสสนข ันธ์ (กองวิมต ุ ติญาณทัสสนะ, หมวด ไม่มท
ี ก
ุ ข์เกิดขึน
้ — extinction; cessation of defilements)
ธรรมเกีย่ วกับการรู ้ การเห็นในวิมต
ุ ติ ประมวลธรรมทัง้ หลาย เช่น
ผลญาณ ปั จจเวกขณญาณ เป็ นต ้น — body of the knowledge ๑. วิกข ัมภนนิโรธ (ดับด ้วยข่มไว ้ คือ การดับกิเลสของท่านผู ้
and vision of deliverance; knowing-and-seeing-of- บำเพ็ญฌาน ถึงปฐมฌาน ย่อมข่มนิวรณ์ไว ้ได ้ ตลอดเวลาทีอ ่ ยูใ่ น
deliverance category) ฌานนัน้ — extinction by suppression)

ธรรมขันธ์ ๔ ข ้อต ้น เรียกอีกอย่างว่า  สาระ ๔ (แก่น, หลักธรรมที่ ๒. ตท ังคนิโรธ (ดับด ้วยองค์นัน้ ๆ คือ ดับกิเลสด ้วยธรรมทีเ่ ป็ นคู่
เป็ นแกน, หัวใจธรรม —essences) ปรับหรือธรรมทีต
่ รงข ้าม เช่น ดับสักกายทิฏฐิด ้วยความรู ้ทีกำ
่ หนด
แยกนามรูปออกได ้ เป็ นการดับชัว่ คราวในกรณีนัน ้ ๆ —extinction
(๒๑๑)  ธรรมเทสกธรรม ๕ (ธรรมของนักเทศก์, by substitution of opposites)
องค์แห่งธรรมกถึก, ธรรมทีผ ่ ู ้แสดงธรรมหรือสัง่ สอนคนอืน
่ ควรตัง้
ไว ้ในใจ — qualities of a preacher; qualities which a ้ เด็ดขาด
๓. สมุจเฉทนิโรธ (ดับด ้วยตัดขาด คือ ดับกิเลสเสร็จสิน
teacher should establish in himself) ด ้วยโลกุตตรมรรค ในขณะแห่งมรรคนัน ่ สมุจเฉทนิโรธ
้ ชือ
— extinction by cutting off or destruction)
๑. อนุปพ ุ ฺพก
ิ ถํ (กล่าวความไปตามลำดับ คือ แสดงหลักธรรม
หรือเนือ้ หาวิชาตามลำดับความง่ายยากลุม่ ลึก มีเหตุผลสัมพันธ์ ๔. ปฏิปส ั นโิ รธ (ดับด ้วยสงบระงับ คือ อาศัยโลกุตตรมรร
ั สทธิ
ต่อเนือ
่ งกันไปโดยลำดับ — His instruction or exposition is คดับกิเลสเด็ดขาดไปแล ้ว บรรลุโลกุตตรผล กิเลสเป็ นอันสงบ
regulated and gradually advanced.) ระงับไปหมดแล ้ว ไม่ต ้องขวนขวายเพือ ่ ดับอีก ในขณะแห่งผลนัน้
่ ปฏิปัสสัทธินโิ รธ — extinction by tranquillization)
ชือ
๒. ปริยายทสฺสาวี (ชีแ ้ จงยกเหตุผลมาแสดงให ้เข ้าใจ คือ
้ จงให ้เข ้าใจชัดในแต่ละแง่แต่ละประเด็น โดยอธิบายขยาย
ชีแ ๕. นิสสรณนิโรธ (ดับด ้วยสลัดออกได ้ หรือดับด ้วยปลอดโปร่ง
ความ ยักเยือ ้ งไปต่างๆ ตามแนวเหตุผล — It has reasoning or ้ แล ้ว ดำรงอยูใ่ นภาวะทีก
ไป คือ ดับกิเลสเสร็จสิน ่ เิ ลสดับแล ้วนัน

refers to causality) ยั่งยืนตลอดไป ภาวะนัน ่ นิสสรณนิโรธ ได ้แก่อมตธาตุ คือ
้ ชือ
นิพพาน — extinction by escape; extinction by getting
freed)
ปหาน ๕ (การละกิเลส — abandonment), วิมต ุ ติ ๕ (ความ ๔. สมาธิ (ความตัง้ จิตมั่น — concentration)
หลุดพ ้น — deliverance), วิเวก ๕(ความสงัด, ความปลีกออก
— seclusion), วิราคะ ๕ (ความคลายกำหนัด, ความสำรอกออก ๕. ปัญญา (ความรู ้ทั่วชัด — wisdom; understanding)
ได ้ — detachment; dispassionateness), โวสสัคคะ ๕ (ความ
สละ, ความปล่อย —relinquishing) ก็อย่างเดียวกันนีท้ งั ้ หมด ธรรม ๕ อย่างนี้ เรียกอีกอย่างหนึง่ ว่า อินทรีย ์ ๕ (ธรรมทีเ่ ป็ น
ใหญ่ในกิจของตน — controlling faculty) ทีเ่ รียกว่า อินทรีย ์
(๒๑๖) นิวรณ์ ๕ (สิง่ ทีก ่ น
ั ้ จิตไม่ให ้ก ้าวหน ้าใน เพราะความหมายว่า เป็ นใหญ่ในการกระทำหน ้าทีแ ่ ต่ละอย่างๆ
คุณธรรม, ธรรมทีก ่ น
ั ้ จิตไม่ให ้บรรลุคณ ุ ความดี, อกุศลธรรมทีทำ ่ ของตน คือเป็ นเจ ้าการ ในการครอบงำเสียซึง่ ความไร ้ศรัทธา
จิตให ้เศร ้าหมองและทำปั ญญาให ้อ่อนกำลัง — hindrances.) ความเกียจคร ้าน ความประมาท ความฟุ้ งซ่าน และความหลงตาม
ลำดับ ทีเ่ รียกว่า พละ เพราะความหมายว่า เป็ นพลังทำให ้เกิด
๑. กามฉ ันทะ (ความพอใจในกาม, ความต ้องการกามคุณ ความมั่นคง ซึง่ ความไร ้ศรัทธาเป็ นต ้น แต่ละอย่าง จะเข ้าครอบงำ
— sensual desire) ไม่ได ้

๒. พยาบาท (ความคิดร ้าย, ความขัดเคืองแค ้นใจ — illwill) พละหมวดนีเ้ ป็ นหลักปฏิบต


ั ท
ิ างจิตใจ ให ้ถึงความหลุดพ ้น
โดยตรง
๓. ถีนมิทธะ (ความหดหูแ ่ งซึม — sloth and torpor)
่ ละเซือ
(๒๒๑) พละ ๔ (ธรรมอันเป็ นกำลัง, ธรรมอันเป็ นพลัง
๔. อุทธ ัจจกุกกุจจะ (ความฟุ้ งซ่านและร ้อนใจ, ความ ทำให ้ดำเนินชีวต
ิ ด ้วยความมั่นใจ ไม่หวั่นต่อภัยทุกอย่าง —
กระวนกระวายกลุ ้มกังวล — distraction and remorse; flurry strength; force; power)
and worry; anxiety)
๑. ปัญญาพละ (กำลังปั ญญา — power of wisdom)
๕. วิจก
ิ จ
ิ ฉา (ความลังเลสงสัย — doubt; uncertainty)
๒. วิรย
ิ พละ (กำลังความเพียร — power of energy or
(๒๑๗) เบญจธรรม หรือ เบญจก ัลยาณธรรม  diligence)
(ธรรม ๕, ธรรมอันดีงามห ้าอย่าง, คุณธรรมห ้าประการ คูก่ บ

เบญจศีล เป็ นธรรมเกือ
้ กูลแก่การรักษาเบญจศีล ผู ้รักษาเบญจศีล ๓. อนว ัชชพละ (กำลังสุจริต หรือ กำลังความบริสท ุ ธิ,์ ตาม
ควรมีไว ้ประจำใจ — the five ennobling virtues; virtues ศัพท์แปลว่า กำลังการกระทำทีไ่ ม่มโี ทษ คือ กายกรรม วจีกรรม
enjoined by the five precepts) มโนกรรมบริสท ุ ธิ์ เช่นมีความประพฤติและหน ้าทีก ่ ารงานสุจริต
ไม่มข
ี ้อบกพร่องเสียหาย พูดจริง มีเหตุผล มุง่ ดี ไม่รกุ รานให ้ร ้าย
๑. เมตตาและกรุณา (ความรักใคร่ปรารถนาให ้มีความสุขความ ใคร ทำการด ้วยเจตนาบริสท ุ ธิ์ — power of faultlessness,
เจริญและความสงสารคิดช่วยให ้พ ้นทุกข์ — loving-kindness blamelessness or cleanliness)
and compassion) คูก
่ บ
ั ศีลข ้อที่ ๑

๔. สงคหพละ (กำลั งการสงเคราะห์ คือ การยึดเหนีย
่ วน้ำใจคน

๒. สมมาอาชี วะ (การหาเลีย ้ งชีพในทางสุจริต — right means และประสานหมูช ่ นไว ้ในสามัคคี — power of sympathy or
of livelihood) คูก
่ บ
ั ศีลข ้อที่ ๒ solidarity) สงเคราะห์ด ้วยสังคหวัตถุ ๔ คือ


๓. กามสงวร (ความสั งวรในกาม, ความสำรวมระวังรู ้จักยับยัง้ ๔.๑ ทาน (การให ้ปั น โดยปกติหมายถึง ช่วยเหลือในด ้านทุน
ควบคุมตนในทางกามารมณ์ ไม่ให ้หลงใหลในรูป เสียง กลิน ่ รส หรือปั จจัยเครือ ่ งยังชีพ ตลอดจนเผือ ่ แผ่กน
ั ด ้วยไมตรี อย่างเลิศ
และสัมผัส — sexual restraint) คูก
่ บ
ั ศีลข ้อที่ ๓ หมายถึงธรรมทาน คือ แนะนำสัง่ สอนให ้ความรู ้ความเข ้าใจ จน
เขารู ้จักพึง่ ตนเองได ้ — gift; charity; benefaction)

๔. สจจะ (ความสั ่ ตรง — truthfulness; sincerity)
ตย์ ความซือ
คูก
่ บ
ั ศีลข ้อที่ ๔ ๔.๒ เปยยว ัชชนะ (พูดจับใจ, = ปิ ยวาจา คือ พูดด ้วยน้ำใจหวัง

ดี มุง่ ให ้เป็ นประโยชน์และรู ้จักพูดให ้เป็ นผลดี ทำให ้เกิดความเชือ
๕. สติสมปช ั ั
ญญะ (ระลึ กได ้และรู ้ตัวอยูเ่ สมอ คือ ฝึ กตนให ้เป็ น ถือ สนิทสนม และเคารพนับถือกันอย่างเลิศหมายถึง หมั่นแสดง
คนรู ้จักยัง้ คิด รู ้สึกตัวเสมอว่า สิง่ ใดควรทำ และไม่ควรทำ ระวังมิ ธรรม คอยช่วยชีแ ้ จงแนะนำหลักความจริง ความถูกต ้องดีงาม แก่
ให ้เป็ นความมัวเมาประมาท — mindfulness and awareness; ผู ้ทีต
่ ้องการ — kindly or salutary speech)
temperance) คูก ่ บ
ั ศีลข ้อที่ ๕
๔.๓ อ ัตถจริยา (บำเพ็ญประโยชน์ คือ ช่วยเหลือรับใช ้ ทำงาน
ข ้อ ๒ บางแห่งเป็ น ทาน (การแบ่งปั นเอือ
้ เฟื้ อเผือ
่ แผ่ — giving; สร ้างสรรค์ ประพฤติการทีเ่ ป็ นประโยชน์ อย่างเลิศหมายถึง ช่วย
generosity) ข ้อ ๓ บางแห่งเป็ นสทารสันโดษ (ความพอใจด ้วย เหลือส่งเสริมคนให ้มีความเชือ ่ ถือถูกต ้อง (สัทธาสัมปทา) ให ้
ภรรยาของตน — contentment with one’s own wife) ข ้อ ๕ ประพฤติดงี าม (สีลสัมปทา) ให ้มีความเสียสละ (จาคสัมปทา)
บางแห่งเป็ น อัปปมาท (ความไม่ประมาท — heedfulness) และให ้มีปัญญา (ปั ญญาสัมปทา) — friendly aid; doing good;
life of service)
เบญจธรรมนี้ ท่านผูกเป็ นหมวดธรรมขึน ้ ในภายหลัง จึงมีแปลก
กันไปบ ้าง เมือ
่ ว่าโดยทีม ้ ว่ นใหญ่ประมวลได ้จาก
่ า หัวข ้อเหล่านีส ๔.๔ สมาน ัตตตา (มีตนเสมอ คือ เสมอภาค ไม่เอาเปรียบ ไม่
ความท่อนท ้ายของกุศลกรรมบถข ้อต ้นๆ ถือสูงต่ำ ร่วมสุข ร่วมทุกข์ด ้วย อย่างเลิศหมายถึง มีความเสมอ
กันโดยธรรม เช่น พระโสดาบันมีตนเสมอกับพระโสดาบัน เป็ นต ้น
— equality; impartiality; participation)
(๒๒๐) พละ ๕ (ธรรมอันเป็ นกำลัง — power)

พละหมวดนี้ เป็ นหลักประกันของชีวต ิ ผู ้ประพฤติธรรม ๔ นีย้ อ


่ ม

๑. สทธา (ความเชื
อ ่ — confidence)
ดำเนินชีวติ ด ้วยความมั่นใจ เพราะเป็ นผู ้มีพลังในตน ย่อมข ้ามพ ้น
ภัยทัง้ ๔ คือ
๒. วิรย
ิ ะ (ความเพียร — energy; effort)

๓. สติ (ความระลึกได ้ — mindfulness)
๑. อาชีวต
ิ ภัย (ภัยเนือ
่ งด ้วยการครองชีพ — fear of troubles ค. ปุพพเปตพลี ทำบุญอุทศ ิ ให ้ผู ้ล่วงลับ (to the departed, by
about livelihood) dedicating merit to them)

่ มเสียชือ
๒. อสิโลกภัย (ภัยคือความเสือ ่ เสียง — fear of ill- ง. ราชพลี บำรุงราชการด ้วยการเสียภาษี อากรเป็ นต ้น (to the
fame) king, i.e., to the government, by paying taxes and duties
and so on)
๓. ปริสสารัชชภัย (ภัยคือความครั่นคร ้ามเก ้อเขินในทีช
่ ม
ุ นุม —
fear of embarrassment in assemblies) จ. เทวตาพลี ถวายเทวดา คือ สักการะบำรุงหรือทำบุญอุทศ ิ สิง่ ที่
่ ถือ (to the deities, i.e., those
เคารพบูชา ตามความเชือ
๔. มรณภัย (ภัยคือความตาย — fear of death) beings who are worshipped according to one’s faith)

๕. ทุคคติภัย (ภัยคือทุคติ — fear of a miserable life after ๕. อุปถัมภ์บำรุงสมณพราหมณ์ผู ้ประพฤติดป


ี ฏิบัตช
ิ อบ (to
death) support those monks and spiritual teachers who lead a
pure and spiritual teachers who lead a pure and diligent
(๒๒๓) พหูสต ู มีองค์ ๕ (คุณสมบัตท ิ ทำ
ี่ ให ้ควรได ้รับ life)
่ ว่าเป็ นพหูสต
ชือ ู คือ ผู ้ได ้เรียนรู ้มาก หรือคงแก่เรียน — qualities
of a learned person) เมือ่ ใช ้โภคทรัพย์ทำประโยชน์อย่างนีแ ้ ล ้ว ถึงโภคะจะหมดสิน ้ ไป
ก็สบายใจได ้ว่า ได ้ใช ้โภคะนัน ้ ให ้เป็ นประโยชน์ถก ู ต ้องตาม
๑. พหุสสุตา (ฟั งมาก คือ ได ้เล่าเรียนสดับฟั งไว ้มาก — having เหตุผลแล ้ว ถ ้าโภคะเพิม ่ ขึน
้ ก็สบายใจเช่นเดียวกัน เป็ นอันไม่
heard or learned many ideas) ต ้องเดือดร ้อนใจในทัง้ สองกรณี.

๒. ธตา (จำได ้ คือ จับหลักหรือสาระได ้ ทรงจำความไว ้แม่นยำ (๒๒๕) ม ัจฉริยะ ๕  (ความตระหนี,่ ความหวง, ความ
— having retained or remembered them) ่ ได ้ดี หรือมีสว่ นร่วม — meanness; avarice;
คิดกีดกันไม่ให ้ผู ้อืน
selfishness; stinginess)
๓. วจสา ปริจต ิ า (คล่องปาก คือ ท่องบ่นหรือใช ้พูดอยูเ่ สมอจน
แคล่วคล่อง จัดเจน — having frequently practised them ๑. อาวาสม ัจฉริยะ (ตระหนีท ่ อ
ี่ ยู,่ หวงทีอ
่ าศัย เช่น ภิกษุ หวง
verbally; having consolidated them by word of mouth) เสนาสนะ กีดกันผู ้อืน
่ หรือผู ้มิใช่พวกของตน ไม่ให ้เข ้าอยู่ เป็ นต ้น
— stinginess as to dwelling)
๔. มนสานุเปกขิตา (เพ่งขึน ้ ใจ คือ ใส่ใจนึกคิดพิจารณาจน
เจนใจ นึกถึงครัง้ ใด ก็ปรากฏเนือ
้ ความสว่างชัด — having ๒. กุลม ัจฉริยะ (ตระหนีต ่ ระกูล, หวงสกุล เช่น ภิกษุ หวงสกุลอุป
looked over them with the mind) ฐาก คอยกีดกันภิกษุ อน ื่ ไม่ให ้เกีย
่ วข ้องได ้รับการบำรุงด ้วย
เป็ นต ้น — stnginess as to family)
๕. ทิฏฐิยา สุปฏิวท ิ ธา (ขบได ้ด ้วยทฤษฎี หรือ แทงตลอดดีด ้วย
ทิฏฐิ คือ ความเข ้าใจลึกซึง้ มองเห็นประจักษ์แจ ้งด ้วยปั ญญา ทัง้ ๓. ลาภม ัจฉริยะ (ตระหนีล ่ าภ, หวงผลประโยชน์ เช่น ภิกษุ หา
ในแง่ความหมายและเหตุผล — having thoroughly ทางกีดกันไม่ให ้ลาภเกิดขึน
้ แก่ภกิ ษุ อน
ื่ — stinginess as to
penetrated them by view) gain)

(๒๒๔) โภคอาทิยะ ๕ (ประโยชน์ทค ี่ วรถือเอาจาก ๔. ว ัณณม ัจฉริยะ (ตระหนีว่ รรณะ, หวงสรีรวัณณะ คือผิวพรรณ


โภคทรัพย์ หรือ เหตุผลทีอ
่ ริยสาวกควรยึดถือ ในการทีจ ่ ะมีหรือ ของร่างกาย ไม่พอใจให ้ผู ้อืน
่ สวยงาม ก็ด ี หวงคุณวัณณะ คือ คำ
ครอบครองโภคทรัพย์ — uses of possessions; benefits one สรรเสริญคุณ ไม่อยากให ้ใครมีคณ ุ ความดีมาแข่งตน หรือไม่
should get from wealth; reasons for earning and having พอใจได ้ยินคำสรรเสริญคุณความดีของผู ้อืน ่ ก็ด ี — stinginess
wealth) as to recognition)

อริยสาวกแสวงหาโภคทรัพย์มาได ้ ด ้วยน้ำพักน้ำแรงความขยัน ๕. ธ ัมมม ัจฉริยะ (ตระหนีธ


่ รรม, หวงวิชาความรู ้ และคุณพิเศษที่
หมั่นเพียรของตน และโดยทางสุจริตชอบธรรมแล ้ว ได ้บรรลุ ไม่ยอมสอนไม่ยอมบอกผู ้อืน
่ กลัวเขาจะรู ้เทียมเท่าหรือ
เกินตน — stinginess as to knowledge or mental
achievements)
๑. เลีย ้ งตัว มารดาบิดา บุตรภรรยา และคนในปกครองทัง้ หลาย
ให ้เป็ นสุข (to make oneself, one’s parents, children, wife,
servants and workmen happy and live in comfort) (๒๒๖)  มาร ๕ (สิง่ ทีฆ
่ า่ บุคคลให ้ตายจากคุณความดี
หรือจากผลทีห ่ มายอันประเสริฐ, สิง่ ทีล
่ ้างผลาญคุณความดี,
ตัวการทีกำ
่ จัดหรือขัดขวางบุคคลมิให ้บรรลุ ผลสำเร็จอันดีงาม —
๒. บำรุงมิตรสหายและผู ้ร่วมกิจการงานให ้เป็ นสุข (to share this
the Evil One; the Tempter; the Destroyer)
happiness and comfort with one’s friends)

๑. กิเลสมาร (มารคือกิเลส, กิเลสเป็ นมารเพราะเป็ นตัวกำจัด


๓. ใช ้ป้ องกันภยันตราย (to make oneself secure against all
และขัดขวางความดี ทำให ้สัตว์ประสบความพินาศทัง้ ในปั จจุบัน
misfortunes)
และอนาคต — the Mara of defilement)
๔. ทำพลี ๕ อย่าง (to make the fivefold offering)
๒. ข ันธมาร (มารคือเบญจขันธ์, ขันธ์ ๕ เป็ นมาร เพราะเป็ น
สภาพอันปั จจัยปรุงแต่ง มีความขัดแย ้งกันเองอยูภ่ ายใน ไม่มั่นคง
ก. ญาติพลี สงเคราะห์ญาติ (to relatives, by giving help to ทนนาน เป็ นภาระในการบริหาร ทัง้ แปรปรวนเสือ ่ มโทรมไปเพราะ
them) ชราพยาธิเป็ นต ้น ล ้วนรอนโอกาสมิให ้บุคคลทำกิจหน ้าที่ หรือ
บำเพ็ญคุณความดีได ้เต็มปรารถนา อย่างแรง อาจถึงกับพราก
ข. อติถพ
ิ ลี ต ้อนรับแขก (to guests, by receiving them) โอกาสนัน้ โดยสิน ้ เชิง — the Mara of the aggregates)

๓. อภิสงขารมาร (มารคื ออภิสงั ขาร, อภิสงั ขารเป็ นมาร เพราะ ในคัมภีรบ์ างแห่งทีอ่ ธิบายคำว่าวินัย แบ่งวินัยเป็ น ๒ คือ สังวร
เป็ นตัวปรุงแต่งกรรม นำให ้เกิดชาติ ชรา เป็ นต ้น ขัดขวางมิให ้ วินัย กับ ปหานวินัย และจำแนกสังวรวินัยเป็ น ๕ มีแปลกจากนี้
หลุดพ ้นไปจากสังขารทุกข์ — the Mara of Karma- เฉพาะข ้อที่ ๑ เป็ น สีลสังวร. ( ดู สุตฺต.อ.๑/๙; สงฺคณี. อ.๕๐๕;
formations) SnA.8; DhsA.351)

๔. เทวปุตตมาร (มารคือเทพบุตร, เทพยิง่ ใหญ่ระดับสูงสุดแห่ง (๒๓๔) อนุปพ ุ พิกถา ๕ (เรือ


่ งทีก่ ล่าวถึงตามลำดับ,
้ กามาวจรตนหนึง่ ชือ
ชัน ่ ว่ามาร เพราะเป็ นนิมต ิ แห่งความขัดข ้อง ธรรมเทศนาทีแ่ สดงเนือ ้ ความลุม่ ลึกลงไปโดยลำดับ เพือ ่ ขัดเกลา
คอยขัดขวางเหนีย
่ วรัง้ บุคคลไว ้ มิให ้ล่วงพ ้นจากแดนอำนาจ อัธยาศัยของผู ้ฟั งให ้ประณีตขึน ้ ๆ จนพร ้อมทีจ
้ ไปเป็ นชัน ่ ะ
ครอบงำของตน โดยชักให ้ห่วงพะวงในกามสุขไม่หาญ เสียสละ ทำความเข ้าใจในธรรมส่วนปรมัตถ์ — progressive sermon;
ออกไปบำเพ็ญคุณความดียงิ่ ใหญ่ได ้ — the Mara as deity) graduated sermon; subjects for gradual instruction)

๕. ม ัจจุมาร (มารคือความตาย, ความตายเป็ นมาร เพราะเป็ น ๑. ทานกถา (เรือ ่ งทาน, กล่าวถึงการให ้ การเสียสละเผือ่ แผ่แบ่ง


ตัวการตัดโอกาส ทีจ่ ะก ้าวหน ้าต่อไปในคุณความดีทงั ้ หลาย — ปั น ช่วยเหลือกัน — talk on giving, liberality or charity)
the Mara as death)
๒. สีลกถา (เรือ
่ งศีล, กล่าวถึงความประพฤติทถ
ี่ ก
ู ต ้องดีงาม —
(๒๒๙) เวสาร ัชชกรณธรรม ๕ (ธรรมทำความกล ้า talk on morality or righteousness)
หาญ, คุณธรรมทีทำ ่ ให ้เกิดความแกล ้วกล ้า — qualities making
for intrepidity) ั
๓. สคคกถา (เรื อ
่ งสวรรค์, กล่าวถึงความสุขความเจริญ และผล
ทีน
่ ่าปรารถนาอันเป็ นส่วนดีของกาม ทีจ
่ ะพึงเข ้าถึง เมือ
่ ได ้
่ ทีม
๑. ศร ัทธา (ความเชือ ่ เี หตุผล มั่นใจในหลักทีถ
่ อ
ื และในการดี ประพฤติดงี ามตามหลักธรรมสองข ้อต ้น — talk on heavenly
ทีทำ
่ — faith; confidence) pleasures)

๒. ศีล (ความประพฤติถก
ู ต ้องดีงาม ไม่ผด
ิ ระเบียบวินัย ไม่ผด
ิ ศีล ๔. กามาทีนวกถา (เรือ ่ งโทษแห่งกาม, กล่าวถึงส่วนเสีย ข ้อ
ธรรม — good conduct; morality) บกพร่องของกาม พร ้อมทัง้ ผลร ้ายทีส ื เนือ
่ บ ่ งมาแต่กาม อันไม่ควร
หลงใหลหมกมุน ่ มัวเมา จนถึงรู ้จักทีจ
่ ะหน่ายถอนตนออกได ้ —

๓. พาหุสจจะ (ความเป็ นผู ้ได ้ศึกษาเล่าเรียนมาก — great talk on the disadvantages of sensual pleasures)
learning)

๕. เนกข ัมมานิสงสกถา (เรื อ
่ งอานิสงส์แห่งความออกจากกาม,
๔. วิรย
ิ าร ัมภะ (ปรารภความเพียร คือ การทีไ่ ด ้เริม
่ ลงมือ กล่าวถึงผลดีของการไม่หมกมุน ่ เพลิดเพลินติดอยูใ่ นกาม และให ้
ทำความเพียรพยายามในกิจการนัน ้ ๆ อยูแ
่ ล ้วอย่างมั่นคงจริงจัง มีฉันทะทีจ
่ ะแสวงความดีงามและความสุขอันสงบทีป ่ ระณีตยิง่ ขึน

— exertion; energy) ไปกว่านัน
้ — talk on the benefits of renouncing sensual
pleasures)
๕. ปัญญา (ความรอบรู ้ เข ้าใจซึง้ ในเหตุผล ดี ชัว่ ประโยชน์
มิใช่ประโยชน์ เป็ นต ้น รู ้คิด รู ้วินจ
ิ ฉัย และรู ้ทีจ
่ ะจัดการ — ตามปกติ พระพุทธเจ ้าเมือ ่ จะทรงแสดงพระธรรมเทศนาแก่
wisdom; understanding) คฤหัสถ์ ผู ้มีอป ั สามารถทีจ
ุ นิสย ่ ะบรรลุธรรมพิเศษ ทรงแสดงอนุ
ปุพพิกถานีก ้ อ
่ น แล ้วจึงตรัสแสดงอริยสัจ ๔ เป็ นการทำจิตให ้
(๒๓๑)  สงวร ั ๕ (ความสำรวม, ความระวังปิ ดกัน
้ บาป พร ้อมทีจ
่ ะรับ ดุจผ ้าทีซ ั ฟอกสะอาดแล ้ว ควรรับน้ำย ้อมต่างๆ ได ้
่ ก
อกุศล — restraint) ด ้วยดี

สังวรศีล (ศีลสังวร, ความสำรวมเป็ นศีล — virtue as restraint) (๒๓๕) อภิณหปัจจเวกขณ์ ๕ (ข ้อทีส ่ ตรีก็ตาม บุรษ

ได ้แก่ สังวร ๕ อย่าง คือ ก็ตาม คฤหัสถ์ก็ตาม บรรพชิตก็ตาม ควรพิจารณาเนืองๆ —
ideas to be constantly reviewed; facts which should be
again and again contemplated)

๑. ปาฏิโมกขสงวร (สำรวมในปาฏิ โมกข์ คือ รักษาสิกขาบท
เคร่งครัดตามทีท
่ รงบัญญัตไิ ว ้ในพระปาติโมกข์ — restraint by
the monastic code of discipline) ๑. ชราธ ัมมตา (ควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความแก่เป็ น
ธรรมดา ไม่ลว่ งพ ้นความแก่ไปได ้ — He should again and
again contemplate: I am subject to decay and I cannot

๒. สติสงวร (สำรวมด ้วยสติ คือ สำรวมอินทรียม ์ จ
ี ักษุ เป็ นต ้น
escape it.)
ระวังรักษามิให ้บาปอกุศลเข ้าครอบงำ เมือ
่ เห็นรูป เป็ นต ้น —
restraint by mind—fulness) = อินทรียสังวร
๒. พยาธิธ ัมมตา (ควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความเจ็บป่ วย
เป็ นธรรมดา ไมล่วงพ ้นความเจ็บป่ วยไปได ้ — I am subject to

๓. ญาณสงวร (สำรวมด ้วยญาณ คือ ตัดกระแสกิเลสมีตัณหา
disease and I cannot escape it.)
เป็ นต ้นเสียได ้ ด ้วยใช ้ปั ญญาพิจารณา มิให ้เข ้ามาครอบงำจิต
ตลอดถึงรู ้จักพิจารณาเสพปั จจัยสี่ — restraint by knowledge)
= ปั จจัยปั จจเวกขณ์ ๓. มรณธ ัมมตา (ควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความตายเป็ น
ธรรมดา ไม่ลว่ งพ ้นความตายไปได ้ — I am subject to death
and I cannot escape it.)

๔. ข ันติสงวร (สำรวมด ้วยขันติ คือ อดทนต่อหนาว ร ้อน หิว
กระหาย ถ ้อยคำแรงร ้าย และทุกขเวทนาต่างๆ ได ้ ไม่แสดงความ
วิการ — restraint by patience) ๔. ปิ ยวินาภาวตา (ควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เราจักต ้องมีความ
พลัดพรากจากของรักของชอบใจทัง้ สิน ้ — There will be
division and separation from all that are dear to me and
๕. วิรย ั
ิ สงวร (สำรวมด ้วยความเพียร คือ พยายามขับไล่ บรรเทา
beloved.)
กำจัดอกุศลวิตกทีเ่ กิดขึน
้ แล ้วให ้หมดไปเป็ นต ้น ตลอดจนละ
มิจฉาชีพ เพียรแสวงหาปั จจัยสีเ่ ลีย ้ งชีวต
ิ ด ้วยสัมมาชีพ ทีเ่ รียกว่า
อาชีวปาริสทุ ธิ — restraint by energy) = อาชีวปาริสท ุ ธิ. ๕. ก ัมม ัสสกตา (ควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีกรรมเป็ นของตน
เราทำกรรมใด ดีกต็ าม ชัว่ ก็ตาม จักต ้องเป็ นทายาท ของกรรมนัน

— I am owner of my deed, whatever deed I do, whether ๔. ตัวเราเองติเตียนตัวเราเองโดยศีลไม่ได ้อยูห
่ รือไม่ (Does my
good or bad, I shall become heir to it.) not reproach me on my virtue’s account ?)

ข ้อทีค
่ วรพิจารณาเนืองๆ ๕ อย่างนี้ มีวัตถุประสงค์เพือ ่ ละสาเหตุ ข ้อนีม
้ วี ัตถุประสงค์ เพือ
่ ให ้เกิดหิรพ
ิ รั่งพร ้อมอยูใ่ นใจ ช่วยให ้มี
ต่างๆ มี ความมัวเมา เป็ นต ้น ทีทำ
่ ให ้สัตว์ทงั ้ หลายตกอยูใ่ นความ สังวรทางไตรทวาร
ประมาท และประพฤติทจ ุ ริตทางไตรทวาร กล่าวคือ :-
๕. เพือ
่ นพรหมจรรย์ทงั ้ หลายผู ้เป็ นวิญญูชนพิจารณาแล ้ว ยังติ
ข ้อ ๑ เป็ นเหตุละหรือบรรเทาความเมาในความเป็ นหนุ่มสาวหรือ เตียนเราโดยศีลไม่ได ้อยูห่ รือไม่ (Do my discerning fellows in
ความเยาว์วัย the holy life, on considering me, not reproach me on my
virtue’s account ?)
ข ้อ ๒ เป็ นเหตุละหรือบรรเทาความเมาในความไม่มโี รค คือ
ความแข็งแรงมีสข ุ ภาพดี ข ้อนี้ มีวัตถุประสงค์ เพือ
่ ให ้ดำรงโอตตัปปะในภายนอกไว ้ได ้ ช่วย
ให ้มีสงั วรทางไตรทวาร
ข ้อ ๓ เป็ นเหตุละหรือบรรเทาความเมาในชีวต

๖. เราจักต ้องมีความพลัดพรากจากของรักของชอบใจทัง้ สิน ้
ข ้อ ๔ เป็ นเหตุละหรือบรรเทาความยึดติดผูกพันในของรักทัง้ (There will be division and separation from all that are
หลาย dear to me and beloved.)

ข ้อ ๕ เป็ นเหตุละหรือบรรเทาความทุจริตต่างๆ โดยตรง ข ้อนี้ มีวัตถุประสงค์เพือ


่ ให ้เป็ นผู ้ไม่ประมาท และเป็ นอันได ้ตัง้
มรณสติไปด ้วย
เมือ
่ พิจารณาขยายวงออกไป เห็นว่ามิใช่ตนผู ้เดียวทีต ่ ้องเป็ น
อย่างนี้ แต่เป็ นคติธรรมดาของสัตว์ทงั ้ ปวงทีจ ่ ะต ้องเป็ นไป เมือ่ ๗. เรามีกรรมเป็ นของตน เราทำกรรมใด ดีกต็ าม ชัว่ ก็ตาม จัก
พิจารณาเห็นอย่างนีเ้ สมอๆ มรรคก็จะเกิดขึน ้ เมือ่ เจริญมรรคนัน ้ ต ้องเป็ นทายาทของกรรมนัน้ (I am owner of my deed,
้ อนุสย
มากเข ้า ก็จะละสังโยชน์ทงั ้ หลาย สิน ั ได ้. whatever deed I do, whether good or bad, I shall
become heir to it.)
(๒๓๖) ปัพพชิตอภิณหปัจจเวกขณ์ ๑๐ (ธรรมที่
บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ — ideas to be constantly ่ ป้ องกันมิให ้กระทำความชัว่
ข ้อนี้ มีวัตถุประสงค์เพือ
reviewed by a monk; facts which the monk should again
and contemplate) ๘. วันคืนล่วงไปๆ เราทำอะไรอยู่ (How has my passing of the
nights and days been ?)
บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ ว่า (เติมลงหน ้าข ้อความทุกข ้อ)
ข ้อนี้ มีวัตถุประสงค์เพือ
่ ทำความไม่ประมาทให ้บริบรู ณ์
๑. เราถึงความมีเพศต่างจากคฤหัสถ์แล ้ว๑ (I have come to a
status different from that of a layman.) ๙. เรายินดีในทีส
่ งัดอยูห
่ รือไม่ (Do I delight in a solitary
place or not?)
ข ้อนีบ
้ าลีวา่ "เววณฺ ณย ิ มฺห ิ อชฺฌปู คโต" ในทีน ่ แ
ี้ ปล เววณฺ ณย ิ ว่า
ความมีเพศต่าง (จากคฤหัสถ์) แต่หลายท่าน แปลว่า ความ ข ้อนี้ มีวัตถุประสงค์เพือ
่ ทำกายวิเวกให ้บริบรู ณ์
ปราศจากวรรณะ (casteless state) คือเป็ นคนนอกระบบชนชัน ้
หรือ หมดวรรณะ คือ หมดฐานะในสังคม หรือเป็ นคนนอกสังคม ๑๐. คุณวิเศษยิง่ กว่ามนุษย์สามัญทีเ่ ราบรรลุแล ้ว มีอยูห ่ รือไม่ ที่
(outcast) ความต่าง หรือปราศจาก หรือหมดไปนี้ อรรถกถา จะให ้เราเป็ นผู ้ไม่เก ้อเขิน เมือ
่ ถูกเพือ
่ นบรรพชิตถาม ในกาลภาย
อธิบายว่า เป็ นไปในสองทาง คือ ทางสรีระ เพราะปลงผมและ หลัง (Have I developed any extraordinary qualities
หนวดแล ้ว และทางบริขาร คือเครือ ่ งใช ้ เพราะแต่กอ่ นครัง้ เป็ น whereon when questioned in my latter days by my
คฤหัสถ์ เคยใช ้ผ ้าดีๆ รับประทานอาหารรสเลศในภาชนะเงินทอง fellows in the holy life I shall not be confounded ?)
เป็ นต ้น ครัง้ บวชแล ้ว ก็นุ่งห่มผ ้าย ้อมฝาดฉันอาหาร คลุกเคล ้าใน
บาตรเหล็กบาตรดิน ปูหญ ้านอนต่างเตียง เป็ นต ้น ข ้อนี้ มีวัตถุประสงค์เพือ
่ มิให ้เป็ นผู ้ตายเปล่า

ส่วนวัตถุประสงค์แห่งการพิจารณาธรรมข ้อนี้ อรรถกถาแก ้ว่า จะ ๑


 ในนวโกวาท มีตอ ่ ว่า "อาการกิรย
ิ าใดๆ ของสมณะ เราต ้องทำ
ละความกำเริบใจ (ความจู ้จีเ้ ง ้างอน) และมานะ (ความถือตัว) อาการกิรย
ิ านัน
้ ๆ"
เสียได ้.
๒ 
ในนวโกวาท มีตอ
่ ว่า "เราควรทำตัวให ้เขาเลีย
้ งง่าย"
๒. การเลีย้ งชีพของเราเนือ
่ งด ้วยผู ้อืน
่ ๒ (คือต ้องอาศัยผู ้อืน
่ —
My livelihood is) ๓
 ในนวโกวาท ทรงเรียงเป็ นข ้อความใหม่วา่ "อาการกายวาจา
อย่างอืน ่ ทีเ่ ราจะต ้องทำให ้ดีขน
ึ้ ไปกว่านีย้ ังมีอยูอ
่ ก
ี ไม่ใช่เพียง
วัตถุประสงค์ ตามอรรถกถาแก ้ว่า เพือ
่ ให ้อิรย
ิ าบถเรียบร ้อยเหมาะ เท่านี"้   จะเห็นว่า ข ้อ ๑ กับข ้อ ๓ ทรงตีความต่างออกไป  ถ ้า
สม มีอาชีวะบริสท
ุ ธิ์ เคารพในบิณฑบาต และบริโภคปั จจัยสีด ่ ้วย แปลตามนัยอรรถกถา ข ้อ ๑ จะได ้ว่า "เราเป็ นผู ้หมดวรรณะ คือ
ใส่ใจพิจารณา ไม่มฐ
ี านะในสังคมแล ้ว จะต ้องไม่มค ี วามกระด ้างถือตัวใดๆ"   ข ้อ
๓ จะได ้ว่า "เราจะต ้องมีอาการกิรย ิ าต่างจากคฤหัสถ์  สำรวมให ้
๓. เรามีอากัปกิรย
ิ าอย่างอืน
่ ทีจ
่ ะพึงทำ๓ (I have a different เหมาะกับความเป็ นสมณะ"  (องฺ.อ.๓/๓๙๕)
way to behave.)
(๒๓๗)  อริยว ัฑฒิ หรือ อารยว ัฒิ ๕ (ความเจริญ
อรรถกถาอธิบายว่า เราควรทำอากัปป์ (คือกิรย ิ ามารยาท) ทีต
่ า่ ง อย่างประเสริฐ, หลักความเจริญของอารยชน — noble growth;
จากของคฤหัสถ์ เช่น มีอน ิ ทรียส์ งบ ก ้าวเดินสม่ำเสมอ เป็ นต ้น development of a civilized or a righteous man)
และแสดงวัตถุประสงค์วา่ เพือ ่ ให ้มีอริ ย
ิ าบถเรียบร ้อยเหมาะสม
บำเพ็ญไตรสิกขาได ้บริบรู ณ์
่ ความมั่นใจในพระรัตนตรัย ให ้หลักแห่ง
๑. ศร ัทธา (ความเชือ ๕. อนาสวเจโตวิมต ุ ติปญั ญาวิมตุ ติ (บรรลุเจโตวิมต
ุ ติ ปั ญญา
ความจริงอย่างดีงามอันมีเหตุผล — confidence) วิมต ้
ุ ติ สินอาสวะแล ้ว — to have gained the Deliverance

๒. ศีล (ความประพฤติด ี มีวน
ิ ัย เลีย
้ งชีพสุจริต — good (๒๔๗)  อุบาสกธรรม ๕ (ธรรมของอุบาสกทีด ่ ,ี
conduct; morality) สมบัตหิ รือองค์คณ
ุ ของอุบาสกอย่างเยีย
่ ม — qualities of an
excellent lay disciple)
๓. สุตะ (การเล่าเรียนสดับฟั งศึกษาหาความรู ้ — learning)
๑. มีศรัทธา (to be endowed with faith)
๔. จาคะ (การเผือ ่ แผ่เสียสละ เอือ
้ เฟื้ อ มีน้ำใจช่วยเหลือ ใน
กว ้าง พร ้อมทีจ
่ ะรับฟั งและร่วมมือ ไม่คับแคบเอาแต่ตัว — ี (to have good conduct)
๒. มีศล
liberality)
๓. ไม่ถอ ื มงคลตืน ่ กรรม ไม่เชือ
่ ข่าว เชือ ่ มงคล คือ มุง่ หวังจาก
๕. ปัญญา (ความรอบรู ้ รู ้คิด รู ้พิจารณา เข ้าใจเหตุผล รู ้จักโลก การกระทำและการงาน มิใช่จากโชคลางและสิง่ ทีต ่ น
ื่ กันว่าขลัง
และชีวต
ิ ตามความเป็ นจริง — wisdom) ศักดิส ิ ธิ์ (not to be superstitious, believing in deeds, not
์ ท
luck)
(๒๓๘)  อายุสสธรรม หรือ อายุว ัฒนธรรม ๕ (ธรรม
ทีเ่ กือ ่ ง่ เสริมสุขภาพ, ธรรมทีช
้ กูลแก่อายุ หรือธรรมทีส ่ ว่ ยให ้อายุ ๔. ไม่แสวงหาทักขิไณย์ภายนอกหลักคำสอนนี้ คือ ไม่แสวงหา
ยืน — things conducive to long life) เขตบุญนอกหลักพระพุทธศาสนา (not to seek for the gift-
worthy outside of the Buddha’s teaching)

๑. สปปายการี  (รู ้จักทำความสบายแก่ตนเอง — to do what is
suitable for oneself and favourable to one’s health; to act ๕. กระทำความสนับสนุนในพระศาสนานีเ้ ป็ นเบือ
้ งต ้น คือ
in accordance with rules of hygiene) ขวนขวายในการอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา (to do gis first
service in a Buddhist cause)

๒. สปปาเย ม ัตต ัญญู (รู ้จักประมาณในสิง่ ทีส
่ บาย — to be
moderate even as to thigs suitable and favourable) ธรรม ๕ อย่างนี้ ในบาลีทมี่ าเรียกว่า ธรรมของอุบาสกรัตน์
(อุบาสกแก ้ว) หรือ อุบาสกปทุม (อุบาสกดอกบัว)
๓. ปริณตโภชี (บริโภคสิง่ ทีย
่ อ
่ ยง่าย เช่น เคีย
้ วให ้ละเอียด —
to eat food which is ripe or easy to digest) ดู (๒๔๘) อุบาสกธรรม ๗ ด ้วย.

๔. กาลจารี (ประพฤติเหมาะในเรือ ่ งเวลา เช่น รู ้จักเวลา ทำถูก (๒๔๘) อุบาสกธรรม ๗ (ธรรมทีเ่ ป็ นไปเพือ


่ ความ
เวลา ทำเป็ นเวลา ทำพอเหมาะแก่เวลา เป็ นต ้น — to behave เจริญของอุบาสก — qualities conducive to the progress of
oneself properly as regards time and the spending of a lay disciple)
time.)
๑. ไม่ขาดการเยีย
่ มเยือนพบปะพระภิกษุ (not to fail to see the
๕. พรหมจารี (ถือพรหมจรรย์ ผู ้เป็ นคฤหัสถ์รู ้จักควบคุม monks)
กามารมณ์เว ้นเมถุนบ ้าง — to practise sexual abstinence)
๒. ไม่ละเลยการฟั งธรรม (not to neglect to hear the
อายุวัฒนธรรมนี้ มีอก
ี หมวดหนึง่ สามข ้อแรกเหมือนกัน แปลกแต่ Teaching)
ข ้อ ๔ และ ๕ เป็ น
ี (to train oneself in higher virtue)
๓. ศึกษาในอธิศล
ี ประพฤติดงี าม ไม่ทำความผิด — to be
๔. สีลวา (มีศล
morally upright) ๔. มากด ้วยความเลือ
่ มใสในภิกษุ ทงั ้ หลาย ทัง้ ทีเ่ ป็ นเถระ นวกะ
และปูนกลาง (to be full of confidence in the nonks,
๕. ก ัลยาณมิตตะ (มีกล
ั ยาณมิตร — to have good friends) whether elder, newly ordained or mid-term)

(๒๔๐) อาวาสิกธรรม ๕ (คุณสมบัตข ิ องเจ ้าอาวาส ๕. ไม่ฟังธรรมด ้วยตัง้ ใจจะคอยเพ่งโทษติเตียน (to listen to
หมวดที่ ๒  ประเภทเป็ นทีร่ ก
ั ทีเ่ คารพของสพหรมจารี คือ เพือ
่ น the Dhamma not in order to criticize)
ภิกษุ สามเณรผู ้ประพฤติพรหมจรรย์รว่ มกัน — qualities of a
beloved and respected incumbent or abbot) ๖. ไม่แสวงหาทักขิไณย์ภายนอกหลักคำสอนนี้ (not to seek
for the gift-worthy outside of the Buddha’s teaching)
ี สำรวมในพระปาฏิโมกข์ ประพฤติเคร่งครัดใน
๑. สีลวา (มีศล
สิกขาบททัง้ หลาย — to gave good conduct) ๗. กระทำความสนับสนุนในพระศาสนานีเ้ ป็ นเบือ
้ งต ้น คือ
ขวนขวายในการอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา (to do his first
๒. พหุสสุตะ (เป็ นพหูสต
ู ทรงความรู ้ — to have great service in a Buddhist cause)
learning)
(๒๔๙)  คารวะ หรือ คารวตา ๖ (ความเคารพ, การ
๓. ก ัลยาณวาจา (มีวาจางาม รู ้จักพูด รู ้จักเจรจาให ้เป็ นผลดี — ถือเป็ นสิง่ สำคัญทีจ ่ ะพึงใส่ใจและปฏิบัตด ิ ้วยความเอือ
้ เฟื้ อ หรือ
to have lovely and convincing speech) โดยความหนักแน่นจริงจัง, การมองเห็นคุณค่าและความสำคัญ
แล ้วปฏิบัตต ่ บุคคลหรือสิง่ นัน
ิ อ ้ โดยถูกต ้อง ด ้วยความจริงใจ
๔. ฌานลาภี (ได ้แคล่วคล่องในฌาน ๔ สำหรับอยูเ่ ป็ นสุขใน — reverence; esteem; attention; appreciative action)
ปั จจุบัน — to be able to gain pleasure of the Four
Absorptions ot will) ั คารวตา (ความเคารพในพระศาสดา —reverence for
๑. สตถุ
the Buddha)
๒. ธ ัมมคารวตา (ความเคารพในธรรม — reverence for the ั ัส (ความกระทบทางจมูก คือ จมูก + กลิน
๓. ฆานสมผ ่ + ฆาน
Buddha) วิญญาณ — nose-contact)


๓. สงฆคารวตา (ความเคารพในสงฆ์ — reverence for the ั ัส (ความกระทบทางลิน
๔. ชิวหาสมผ ้ คือ ลิน
้ + รส + ชิวหา
Order) วิญญาณ — tongue-contact)

๔. สิกขาคารวตา (ความเคารพในการศึกษา — reverence for ั ัส (ความกระทบทางกาย คือ กาย + โผฏฐัพพะ +


๕. กายสมผ
the Training) กายวิญญาณ — body-contact)

๕. อ ัปปมาทคารวตา (ความเคารพในความไม่ประมาท ั ัส (ความกระทบทางใจ คือ ใจ + ธรรมารมณ์ +


๖. มโนสมผ
— reverence for earnestness) มโนวิญญาณ — mind-contact)


๖. ปฏิสนถารคารวตา (ความเคารพในปฏิ
สนั ถาร (๒๕๙)  สารณียธรรม ๖ (ธรรมเป็ นทีต ่ งั ้ แห่งความให ้
— reverence for hospitality) ระลึกถึง, ธรรมเป็ นเหตุทรี่ ะลึกถึงกัน, หลักการอยูร่ ว่ มกัน
— states of conciliation; virtues for fraternal living) สา
ธรรม ๖ อย่างนี้ ย่อมเป็ นไปเพือ ่ มแห่งภิกษุ .
่ ความไม่เสือ รณียธรรม ก็ใช ้

(๒๕๐)  จริต หรือ จริยา ๖ (ความประพฤติปกติ, ๑. เมตตากายกรรม (ตัง้ เมตตากายกรรมในเพือ ่ นพรหมจรรย์


ความประพฤติซงึ่ หนักไปทางใดทางหนึง่ อันเป็ นปกติประจำอยู่ ทัง้ ต่อหน ้าและลับหลัง คือ ช่วยเหลือกิจธุระของผู ้ร่วมคณะด ้วย
ในสันดาน, พืน ั , พืน
้ เพของจิต, อุปนิสย ั , แบบหรือประเภท
้ นิสย ความเต็มใจ แสดงกิรย ิ าอาการสุภาพ เคารพนับถือกัน ทัง้ ต่อหน ้า
ใหญ่ๆ แห่งพฤติกรรมของคน — intrinsic nature of a person; และลับหลัง — to be amiable in deed, openly and in
characteristic behavior; character; temperament) private)

ตัวความประพฤติเรียกว่า จริยา บุคคลผู ้มีความประพฤติอย่างนัน
้ ๆ ๒. เมตตาวจีกรรม (ตัง้ เมตตาวจีกรรมในเพือ ่ นพรหมจรรย์ ทัง้
เรียกว่า จริต ต่อหน ้าและลับหลัง คือ ช่วยบอกแจ ้งสิง่ ทีเ่ ป็ นประโยชน์ สัง่ สอน
แนะนำตักเตือนด ้วยความหวังดี กล่าววาจาสุภาพ แสดงความ
๑. ราคจริต (ผู ้มีราคะเป็ นความประพฤติปกติ, ประพฤติหนักไป เคารพนับถือกัน ทัง้ ต่อหน ้าและลับหลัง — to be amiable in
ทางรักสวยรักงาม — one of lustful temperament) กรรมฐาน word, openly and in private)
คูป
่ รับสำหรับแก ้ คือ อสุภะและกายคตาสติ
๓. เมตตามโนกรรม (ตัง้ เมตตามโนกรรม ในเพือ ่ นพรหมจรรย์
๒. โทสจริต (ผู ้มีโทสะเป็ นความประพฤติปกติ, ประพฤติหนักไป ทัง้ ต่อหน ้าและลับหลัง คือตัง้ จิตปรารถนาดี คิดทำสิง่ ทีเ่ ป็ น
ทางใจร ้อนหงุดหงิด — one of hating ประโยชน์แก่กน ั มองกันในแง่ด ี มีหน ้าตายิม
้ แย ้มแจ่มใสต่อกัน
temperament) กรรมฐานทีเ่ หมาะ คือ พรหมวิหารและกสิณ — to be amiable in thought, openly and in private)
โดยเฉพาะวัณณกสิณ
๔. สาธารณโภคี (ได ้ของสิง่ ใดมาก็แบ่งปั นกัน คือ เมือ ่ ได ้สิง่ ใด
๓. โมหจริต (ผู ้มีโมหะเป็ นความประพฤติปกติ, ประพฤติหนักไป มาโดยชอบธรรม แม ้เป็ นของเล็กน ้อย ก็ไม่หวงไว ้ผู ้เดียว นำมา
ทางเขลา เหงาซึมเงือ ่ งงง งมงาย — one of deluded ่ เจือจาน ให ้ได ้มีสว่ นร่วมใช ้สอยบริโภคทั่วกัน —to
แบ่งปั นเฉลีย
temperament) กรรมฐานทีเ่ กือ ้ กูล คือ อานาปานสติ และพึงแก ้ share any lawful gains with virtuous fellows) ข ้อนี้ ใช ้ อัป
ด ้วยมีการเรียน ถาม ฟั งธรรม สนทนาธรรมตามกาลหรืออยูก ่ บ
ั ครู ปฏิวภ
ิ ัตตโภคี ก็ได ้


๔. สทธาจริ ต (ผู ้มีศรัทธาเป็ นความประพฤติปกติ, ประพฤติหนัก ๕. สีลสาม ัญญตา (มีศล ี บริสท
ุ ธิเ์ สมอกันกับเพือ ่ นพรหมจรรย์ทงั ้
ไปทางมีจต ิ ซาบซึง้ ชืน ่ บาน น ้อมใจเลือ
่ มใสโดยง่าย — one of หลาย ทัง้ ต่อหน ้าและลับหลัง คือ มีความประพฤติสจ ุ ริตดีงาม ถูก
faithful temperament) พึงชักนำไปในสิง่ ทีค ่ วรแก่ความลือ
่ มใส ต ้องตามระเบียบวินัย ไม่ทำตนให ้เป็ นทีน่ ่ารังเกียจของหมูค ่ ณะ
และความเชือ ่ ทีม
่ เี หตุผล เช่น พิจารณาอนุสติ ๖ ข ้อต ้น — to keep without blemish the rules of conduct along
with one’s fellows, openly and in private)
๕. พุทธิจริต หรือ ญาณจริต (ผู ้มีความรู ้เป็ นความประพฤติ
ปกติ, ประพฤติหนักไปในทางใช ้ความคิดพิจารณา — one of ๖. ทิฏฐิสาม ัญญตา (มีทฏ ิ ฐิดงี ามเสมอกันเพือ่ นพรหมจรรย์ทงั ้
intelligent temperament) หลาย ทัง้ ต่อหน ้าและลับหลัง คือ มีความเห็นชอบร่วมกัน ในข ้อ
ทีเ่ ป็ นหลักการสำคัญทีจ
่ ะนำไปสูค ่ วามหลุดพ ้น สิน
้ ทุกข์ หรือขจัด
ปั ญหา — to be endowed with right views along with one’s
๖. วิตกจริต (ผู ้มีวต
ิ กเป็ นความประพฤติปกติ, ประพฤติหนักไป
fellows, openly and in private)
ทางนึกคิดจับจดฟุ้ งซ่าน — one of speculative
temperament) พึงแก ้ด ้วยสิง่ ทีส
่ ะกดอารมณ์ เช่น เจริญอานา
ปานสติ หรือเพ่งกสิณ เป็ นต ้น ธรรม ๖ ประการนี้ มีคณ ุ คือ เป็ น สารณียะ (ทำให ้เป็ นทีร่ ะลึกถึง
— making others to keep one in mind) เป็ น ปิ ยกรณ์ (ทำให ้
เป็ นทีร่ ก
ั — endearing) เป็ น ครุกรณ์ (ทำให ้เป็ นทีเ่ คารพ —
(๒๕๘) สมผ ั ัส หรือ ผ ัสสะ ๖ (ความกระทบ, ความ
bringing respect) เป็ นไปเพือ ่  ความสงเคราะห์ (ความกลมกลืน
ประจวบกันแห่งอายตนะภายใน อายตนะภายนอก และวิญญาณ
เข ้าหากัน — conducing to sympathy or solidarity)
— contact; sense-impression)
เพือ่  ความไม่ววิ าท (to non—quarrel) เพือ ่  ความสามัคคี (to
concord; harmony) และ เอกีภาพ (ความเป็ นอันหนึง่ อัน
ั ัส (ความกระทบทางตา คือ ตา + รูป + จักขุ
๑. จ ักขุสมผ เดียวกัน — to unity)
วิญญาณ — eye-contact)
(๒๖๖)  โพชฌงค์ ๗ (ธรรมทีเ่ ป็ นองค์แห่งการตรัสรู ้
ั ัส (ความกระทบทางหู คือ หู + เสียง + โสต
๒. โสตสมผ — enlightenment factors)
วิญญาณ —  ear-contact)
๑. สติ (ความระลึกได ้ สำนึกพร ้อมอยู่ ใจอยูก
่ บ
ั กิจ จิตอยูก
่ บ
ั เรือ
่ ง (๒๗๒)  สปปุ ั รส
ิ ธรรม ๗ (ธรรมของสัตบุรษ ุ , ธรรมที่
— mindfulness) ทำให ้เป็ นสัตบุรษ
ุ , คุณสมบัตข
ิ องคนดี, ธรรมของผู ้ดี
— qualities of a good man; virtues of a gentleman)
๒. ธ ัมมวิจยะ (ความเฟ้ นธรรม, ความสอดส่องสืบค ้นธรรม
— truth-investigation) ๑. ธ ัมม ัญญุตา (ความรู ้จักธรรม รู ้หลัก หรือ รู ้จักเหตุ คือ รู ้หลัก
ความจริง รู ้หลักการ รู ้หลักเกณฑ์ รู ้กฎแห่งธรรมดา รู ้กฎเกณฑ์
๓. วิรย
ิ ะ (ความเพียร — effort; energy) แห่งเหตุผล และรู ้หลักการทีจ ่ ะทำให ้เกิดผล เช่น ภิกษุ รู ้ว่าหลัก
ธรรมข ้อนัน้ ๆ คืออะไร มีอะไรบ ้าง พระมหากษั ตริยท ์ รงทราบว่า
๔. ปี ติ (ความอิม
่ ใจ — zest) หลักการปกครองตามราชประเพณีเป็ นอย่างไร มีอะไรบ ้าง รู ้ว่าจะ
ต ้องกระทำเหตุอน ั นีๆ้ หรือกระทำตามหลักการข ้อนีๆ้ จึงจะให ้เกิด
ผลทีต ่ ้องการอันนัน้ ๆ เป็ นต ้น — knowing the law; knowing
ั  (ความสงบกายสงบใจ — tranquillity; calmness)
๕. ปัสสทธิ
the cause)
๖. สมาธิ (ความมีใจตัง้ มั่น จิตแน่วในอารมณ์
๒. อ ัตถ ัญญุตา (ความรู ้จักอรรถ รู ้ความมุง่ หมาย หรือ รู ้จัก
— concentration)
ผล คือ รู ้ความหมาย รู ้ความมุง่ หมาย รู ้ประโยชน์ทป ี่ ระสงค์ รู ้จัก
ผลทีจ่ ะเกิดขึน ้ สืบเนือ
่ งจากการกระทำหรือความเป็ นไปตามหลัก
๗. อุเบกขา (ความมีใจเป็ นกลางเพราะเห็นตามเป็ นจริง เช่น รู ้ว่าหลักธรรมหรือภาษิตข ้อนัน้ ๆ มีความหมายว่าอย่างไร
— equanimity) หลักนัน ้ ๆ มีความมุง่ หมายอย่างไร กำหนดไว ้หรือพึงปฏิบัตเิ พือ ่
ประสงค์ประโยชน์อะไร การทีต ่ นกระทำอยูม ่ ค
ี วามมุง่ หมาย
ั โพชฌงค์ตอ
แต่ละข ้อเรียกเต็มมีสม ั โพชฌงค์ เป็ น
่ ท ้ายเป็ น สติสม อย่างไร เมือ ่ ทำไปแล ้วจะบังเกิดผลอะไรบ ้างดังนีเ้ ป็ นต ้น
ต ้น. — knowing the meaning; knowing the purpose; knowing
the consequence)
(๒๖๘) เมถุนสงโยคั ๗ (อาการทีเ่ กีย
่ วข ้องกับเมถุน
หรือนับเนือ่ งในเมถุน, ความประพฤติพัวพันกับเมถุน, เครือ ่ ง ๓. อ ัตต ัญญุตา (ความรู ้จักตน คือ รู ้ว่า เรานัน
้ ว่าโดยฐานะ
ผูกมัดไว ้กับเมถุน — bonds of sexuality; sex-bonds which ภาวะ เพศ กำลังความรู ้ ความสามารถ ความถนัด และคุณธรรม
cause the renting or blotching of the life of chastity เป็ นต ้น บัดนี้ เท่าไร อย่างไร แล ้วประพฤติให ้เหมาะสม และรู ้ทีจ
่ ะ
despite no actual sexual intercourse) แก ้ไขปรับปรุงต่อไป — knowing oneself)

สมณะ ก็ด ี พราหมณ์ ก็ด ี บางคน ปฏิญาณตนว่าเป็ นพรหมจารี ๔. ม ัตต ัญญุตา (ความรู ้จักประมาณ คือ ความพอดี เช่น ภิกษุ
เขามิได ้ร่วมประเวณีกบั มาตุคามก็จริง แต่ยังยินดี ปลาบปลืม
้ ชืน่ รู ้จักประมาณในการรับและบริโภคปั จจัยสี่ คฤหัสถ์รู ้จักประมาณใน
ใจ ด ้วยเมถุนสังโยค ๗ อย่างใดอย่างหนึง่ พรหมจรรย์ของผู ้นัน ้ การใช ้จ่ายโภคทรัพย์ พระมหากษั ตริยร์ ู ้จักประมาณในการลง
่ ว่าขาด ทะลุ ด่าง พร ้อย เป็ นการประพฤติพรหมจรรย์ทไี่ ม่
ยังชือ ทัณฑอาชญาและในการเก็บภาษี เป็ นต ้น — moderation;
บริสท
ุ ธิ์ ประกอบด ้วยเมถุนสังโยค ย่อมไม่พ ้นไปจากทุกข์ กล่าว knowing how to be temperate)
คือ
๕. กาล ัญญุตา (ความรู ้จักกาล คือ รู ้กาลเวลาอันเหมาะสม และ
๑. ยินดีการลูบไล ้ ขัดสี ให ้อาบน้ำ และการนวดฟั น
้ ของมาตุคาม ระยะเวลาทีจ ่ ะต ้องใช ้ในการประกอบกิจ กระทำหน ้าทีก ่ ารงาน
ปลืม
้ ใจด ้วยการบำเรอนัน ้ (enjoyment of massage, เช่น ให ้ตรงเวลา ให ้เป็ นเวลา ให ้ทันเวลา ให ้พอเวลา ให ้เหมาะ
manipulation, bathing and rubbing down by woman) เวลา เป็ นต ้น — knowing the proper time; knowing how to
choose and keep time)
๒. ไม่ถงึ อย่างนัน้ แต่ยังกระซิกกระซี้ เล่นหัว สัพยอก กับ
มาตุคาม ปลืม ้ ใจด ้วยการกระทำอย่างนัน ้  (enjoyment of ั
๖. ปริสญญุ ตา (ความรู ้จักบริษัท คือ รู ้จักชุมชน และรู ้จักที่
joking, jesting and making merry with women) ประชุม รู ้กิรย
ิ าทีจ
่ ะประพฤติตอ ่ ชุมชนนัน้ ๆ ว่า ชุมชนนีเ้ มือ
่ เข ้าไป
หา จะต ้องทำกิรย ิ าอย่างนี้ จะต ้องพูดอย่างนี้ ชุมชนนีค
้ วร
๓. ไม่ถงึ อย่างนัน
้ แต่ยังเพ่งจ ้องดูตากับมาตุคาม ปลืม
้ ใจด ้วยการ สงเคราะห์อย่างนี้ เป็ นต ้น — knowing the assembly;
ทำอย่างนัน ้  (enjoyment of gazing and staring at women knowing the society)
eye to eye)
๗. ปุคคล ัญญุตา หรือ ปุคคลปโรปรัญญุตา (ความรู ้จัก
๔. ไม่ถงึ อย่างนัน ้ แต่ยังชอบฟั งเสียงมาตุคามหัวเราะ ขับร ้อง บุคคล คือ ความแตกต่างแห่งบุคคลว่า โดยอัธยาศัย ความ
หรือร ้องให ้อยู่ ข ้างนอกฝา นอกกำแพง แล ้วปลืม้ ใจ (enjoyment สามารถ และคุณธรรม เป็ นต ้น ใครๆ ยิง่ หรือหย่อนอย่างไร และรู ้
of listening to women as they laugh, talk, sing or weep ทีจ
่ ะปฏิบต
ั ต
ิ อ ้ ๆ ด ้วยดี ว่าควรจะคบหรือไม่ จะใช ้จะ
่ บุคคลนัน
beyond a wall or a fence) ตำหนิ ยกย่อง และแนะนำสัง่ สอนอย่างไร เป็ นต ้น — knowing
the individual; knowing the different individuals)
๕. ไม่ถงึ อย่างนัน
้ แต่ยังชอบตามนึกถึงการเก่าทีไ่ ด ้เคยหัวเราะ
พูดจาเล่นหัวกับมาตุคาม แล ้วปลืม
้ ใจ (enjoyment of recalling ภิกษุ ผู ้ประกอบด ้วยสัปปุรส ่ ว่า เป็ นผู ้ประกอบ
ิ ธรรม ๗ ข ้อนี้ ชือ
the laughs, talks and jests one formerly had with women) ด ้วยสังฆคุณครบ ๙   แม ้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ ้าและ
พระเจ ้าจักรพรรดิ ก็ทรงประกอบด ้วยธรรมเหล่านี้  (ท่านแสดงไว ้
๖. ไม่ถงึ อย่างนัน
้ แต่ชอบดูคฤหบดี หรือบุตรคฤหบดี ผู ้เอิบอิม
่ เฉพาะข ้อหลัก ๕ ข ้อ คือ ข ้อ ๑-๒-๔-๕-๖ องฺ.ปญฺจก.
พรั่งพร ้อมด ้วยกามคุณทัง้ ๕ บำรุงบำเรอตนอยู่ แล ้วปลืม
้ ๒๒/๑๓๑/๑๖๖ A.III.๑๔๘) จึงทรงยังธรรมจักรและอาณาจักร
ใจ (enjoyment of seeing a householder or a ให ้เป็ นไปด ้วยดี
householder’s son indulging in sensual pleasures)
(๒๗๓) อนุสย ั ๗ (กิเลสทีน
่ อนเนือ
่ งอยูใ่ นสันดาน
๗. ไม่ถงึ อย่างนัน
้ แต่ประพฤติพรหมจรรย์ ตัง้ ปรารถนาเพือ ่ จะได ้ — latent tendencies)
เป็ นเทพเจ ้าหรือเทพองค์ใดองค์หนึง่  (leading the life of
chastity aspiring to be reborn as a god or a deity) ๑. กามราคะ (ความกำหนัดในกาม, ความอยากได ้ติดใจในกาม
— lust for sense-pleasure)
๒. ปฏิฆะ (ความขัดใจ, ความหงุดหงิดขัดเคืองคือโทสะ ั
๒. วิสงโยค คือ ความหมดเครือ่ งผูกรัด, ความไม่ประกอบทุกข์
— repulsion; irritation; grudge) (release from bondage) มิใช่เพือ
่ ผูกรัด หรือประกอบทุกข์

๓. ทิฏฐิ (ความเห็นผิด, การถือความเห็น เอาความคิดเห็นเป็ น ๓. อปจยะ คือ ความไม่พอกพูนกิเลส (dispersion of


ความจริง — wrong view; speculative opinion) defilements) มิใช่เพือ
่ พอกพูนกิเลส

๔. วิจก
ิ จ
ิ ฉา (ความลังเล, ความสงสัย — doubt; uncertainty) ๔. อ ัปปิ จฉตา คือ ความอยากอันน ้อย, ความมักน ้อย (wanting
little) มิใช่เพือ
่ ความอยากอันใหญ่, ความมักใหญ่ หรือมักมาก
๕. มานะ (ความถือตัว — conceit) อยากใหญ่

๖. ภวราคะ (ความกำหนัดในภพ, ความอยากเป็ น อย่างยิง่ ใหญ่ ั ฏฐี คือ ความสันโดษ (contentment) มิใช่เพือ


๕. สนตุ ่ ความไม่
อยากยั่งยืน — lust for becoming) สันโดษ

๗. อวิชชา (ความไม่รู ้จริง คือ โมหะ — ignorance) ๖. ปวิเวก คือ ความสงัด (seclusion; solitude) มิใช่เพือ
่ ความ
คลุกคลีอยูใ่ นหมู่
(๒๗๗) อริยทร ัพย์ ๗ (ทรัพย์อน ั ประเสริฐ, ทรัพย์คอ

คุณธรรมประจำใจอย่างประเสริฐ —noble treasures) ๗. วิรยิ าร ัมภะ คือ การประกอบความเพียร (energy; exertion)
มิใช่เพือ
่ ความเกียจคร ้าน
่ ทีม
๑. ศร ัทธา (ความเชือ ่ เี หตุผล มั่นใจในหลักทีถ
่ อ
ื และในการดี
ทีทำ
่ — confidence) ๘. สุภรตา คือ ความเลีย
้ งง่าย (being easy to support) มิใช่
เพือ
่ ความเลีย
้ งยาก
๒. ศีล (การรักษากายวาจาให ้เรียบร ้อย ประพฤติถก
ู ต ้องดีงาม
— morality; good conduct; virtue) ธรรมเหล่านี้ พึงรู ้ว่าเป็ นธรรม เป็ นวินัย เป็ นสัตถุสาสน์ คือคำสอน
ของพระศาสดา; หมวดนี้ ตรัสแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี
๓. หิร ิ (ความละอายใจต่อการทำความชัว่ — moral shame;
conscience) (๒๘๐) ล ักษณะต ัดสินธรรมวิน ัย ๗ หรือ หล ัก
กำหนดธรรมวิน ัย ๗ (criteria of the Doctrine and the
๔. โอตต ัปปะ (ความเกรงกลัวต่อความชัว่ — moral dread; Discipline)
fear-to-err)
้ เชิง, ไม่หลงใหลเคลิบเคลิม
๑. เอก ันตนิพพิทา (ความหน่ายสิน ้

๕. พาหุสจจะ (ความเป็ นผู ้ได ้ศึกษาเล่าเรียนมาก — great — disenchantment)
learning)
๒. วิราคะ (ความคลายกำหนัด, ไม่ยด
ึ ติดรัดตัว เป็ นอิสระ
๖. จาคะ (ความเสียสละ เอือ
้ เฟื้ อเผือ
่ แผ่ — liberality) — detachment)

๗. ปัญญา (ความรู ้ความเข ้าใจถ่องแท ้ในเหตุผล ดีชวั่ ถูกผิด ๓. นิโรธะ (ความดับ, หมดกิเลสหมดทุกข์ — extinction)


คุณโทษ ประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ รู ้คิด รู ้พิจารณา และรู ้ทีจ
่ ะจัด
ทำ — wisdom) ๔. อุปสมะ (ความสงบ — calm; peace)

อริยทรัพย์ เป็ นทรัพย์อน ั ประเสริฐอยูภ่ ายในจิตใจ ดีกว่าทรัพย์ ๕. อภิญญา (ความรู ้ยิง่ , ความรู ้ชัด — discernment; direct
ภายนอกเพราะไม่มผ ี ู ้ใดแย่งชิง ไม่สญ
ู หายไปด ้วยภัยอันตราย knowledge)
ต่างๆ ทำใจให ้ไม่อ ้างว ้าง ยากจน และเป็ นทุนสร ้างทรัพย์
ภายนอกได ้ด ้วย ั
๖. สมโพธะ (ความตรั
สรู ้ — enlightenment)

ธรรม ๗ นี้ เรียกอีกอย่างว่า พหุการธรรม หรือ ธรรมมีอป ุ การะมาก ๗. นิพพาน (นิพพาน)


(virtues of great assistance; D.III.282; ที.ปา.
๑๑/๔๓๓/๓๑๐) เพราะเป็ นกำลังหนุนช่วยส่งเสริมในการบำเพ็ญ ธรรมเหล่านี้ พึงรู ้ว่าเป็ นธรรม เป็ นวินัย เป็ นสัตถุสาสน์ คือคำสอน
คุณธรรมต่างๆ ยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู ้อืน ่ ให ้สำเร็จได ้ ของพระศาสดา; หมวดนี้ ตรัสแก่พระอุบาลี
อย่างกว ้างขวางไพบูลย์ เปรียบเหมือนคนมีทรัพย์มาก ย่อม
สามารถใช ้จ่ายทรัพย์เลีย ้ งตนเลีย
้ งผู ้อืน
่ ให ้มีความสุข และบำเพ็ญ (๒๘๘) สปปุั รส ิ ทาน ๘ (ทานของสัตบุรษ
ุ , การให ้
ประโยชน์ตา่ งๆ ได ้เป็ นอันมาก. อย่างสัตบุรษ
ุ — gifts of a good man)

(๒๗๙) ล ักษณะต ัดสินธรรมวิน ัย ๘ หรือ หล ัก ๑. สุจ ึ เทติ (ให ้ของสะอาด — to give clean things)
กำหนดธรรมวิน ัย ๘ (criteria of the Doctrine and the
Discipline)
๒. ปณีตํ เทติ (ให ้ของประณีต — to give choice things)

ธรรมเหล่าใดเป็ นไปเพือ

๓. กาเลน เทติ (ให ้เหมาะกาล ให ้ถูกเวลา — to give at fitting
times)
๑. วิราคะ คือ ความคลายกำหนัด, ความไม่ตด ิ พัน เป็ นอิสระ
(detachment; dispassionateness) มิใช่เพือ
่ ความกำหนัด
่ วรแก่เขา ซึง่ เขาจะ
๔. กปฺปิยํ เทติ (ให ้ของสมควร ให ้ของทีค
ย ้อมใจ, การเสริมความติด
ใช ้ได ้ — to give proper things)
๕. วิเจยฺย เทติ (พิจารณาเลือกให ้ ให ้ด ้วยวิจารณญาณ เลือกของ (๒๙๑) พุทธคุณ ๙ (คุณของพระพุทธเจ ้า
เลือกคนทีจ ่ ะให ้ ให ้เกิดผลเกิดประโยชน์มาก — to give with
discretion) — virtues or attributes of the Buddha)

๖. อภิณฺหํ เทติ (ให ้เนืองนิตย์ ให ้ประจำ หรือสม่ำเสมอ — to ิ ิ โส ภควา (แม ้เพราะอย่างนีๆ้ พระผู ้มีพระภาคเจ ้านัน
อิตป ้
give repeatedly or regularly)
— thus indeed is he, the Blessed One,)
๗. ททํ จิตฺตํ ปสาเทติ (เมือ
่ ให ้ ทำจิตผ่องใส — to calm one’s
mind on giving) ๑. อรหํ (เป็ นพระอรหันต์ คือ เป็ นผู ้บริสท
ุ ธิ์ ไกลจากกิเลส
ทำลายกำแห่งสังสารจักรได ้แล ้ว เป็ นผู ้ควรแนะนำสัง่ สอนผู ้อืน

๘. ทตฺวา อตฺตมโน โหติ (ให ้แล ้ว เบิกบานใจ ควรได ้รับความเคารพบูชา เป็ นต ้น — holy; worthy;
— to be glad after giving) accomplished)

(๒๘๙) สปปุ ั รส
ิ ธรรม ๘ (ธรรมของสัตบุรษ ุ , ธรรมที่
๒. สมฺมาสมฺพทุ ฺโธ (เป็ นผู ้ตรัสรู ้ชอบเอง — fully self-
ทำให ้เป็ นสัตบุรษ
ุ , คุณสมบัตข
ิ องคนดี —qualities of a good
man) enlightened)

ั ัมมสม ันนาคโต (ประกอบด ้วยสัทธรรม ๗ ประการ — to


๑. สทธ ๓. วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน (เป็ นผู ้ถึงพร ้อมด ้วยวิชา คือความรู ้
be endowed with the seven virtues) คือ และจรณะ คือความประพฤติ —perfect in knowledge and
conduct)
ก. มีศรัทธา — to have confidence

๔. สุคโต (เป็ นผู ้เสด็จไปดีแล ้ว คือ ทรงดำเนินพระพุทธจริยาให ้


ข. มีหริ ิ — to have moral shame
เป็ นไปโดยสำเร็จผลด ้วยดี พระองค์เองก็ได ้ตรัสรู ้สำเร็จเป็ น
พระพุทธเจ ้า ทรงบำเพ็ญพุทธกิจก็สำเร็จประโยชน์ยงิ่ ใหญ่แก่ชน
ค. มีโอตตัปปะ — to have moral fear
ทัง้ หลายในทีท
่ เี่ สด็จไป และแม ้ปรินพ
ิ พานแล ้ว ก็ได ้ประดิษฐาน

ง. เป็ นพหูสต
ู  — to be much learned พระศาสนาไว ้เป็ นประโยชน์แก่มหาชนสืบมา — well-gone;
well-farer; sublime)
จ. มีความเพียรอันปรารภแล ้ว — to be of stirred up energy
๕. โลกวิท ู (เป็ นผู ้รู ้แจ ้งโลก คือ ทรงรู ้แจ ้งสภาวะอันเป็ น
ฉ. มีสติมั่นคง — to have established mindfulness คติธรรมดาแห่งโลกคือสังขารทัง้ หลาย ทรงหยั่งทราบอัธยาศัย
สันดานแห่งสัตวโลกทัง้ ปวง ผู ้เป็ นไปตามอำนาจแห่งคติธรรมดา
ช. มีปัญญา — to have wisdom โดยท่องแท ้ เป็ นเหตุให ้ทรงดำเนินพระองค์เป็ นอิสระ พ ้นจาก
อำนาจครอบงำแห่งคติธรรมดานัน ้ และทรงเป็ นทีพ ่ งึ่ แห่งสัตว์ทงั ้
ั รส
๒. สปปุ ั บุรษ
ิ ภ ัตตี (ภักดีสต ุ คือ คบหาสมณพราหมณ์ ท่านผู ้ หลายผู ้ยังมาอยูใ่ นกระแสโลกได ้ — knower of the worlds)
ประกอบด ้วยสัทธรรม ๗ ประการข ้างต ้น เป็ นมิตรสหาย — to
consort with good men)
ิ ทมฺมสารถิ (เป็ นสารถีฝึกบุรษ
๖. อนุตฺตโร ปุรส ุ ทีฝ
่ ึ กได ้ ไม่ม ี
ั รส
๓. สปปุ ุ คือ จะคิดสิง่ ใด ก็ไม่คด
ิ จินตี (คิดอย่างสัตบุรษ ิ เพือ
่ ใครยิง่ ไปกว่า คือ ทรงเป็ นผู ้ฝึ กคนได ้ดีเยีย
่ ม ไม่มผ
ี ู ้ใดเทียมเท่า
เบียดเบียนตนและผู ้อืน
่ — to think as do good men) — the incomparable leader of men to be tamed)

ั รส
๔. สปปุ ิ ม ันตี (ปรึกษาอย่างสัตบุรษุ คือ จะปรึกษาการใด ก็
๗. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ (เป็ นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทงั ้
ไม่ปรึกษาเพือ
่ เบียดเบียนตนและผู ้อืน
่ — to consult as do
good men) หลาย — the teacher of gods and men)

ั รส
๕. สปปุ ิ วาโจ (พูดอย่างสัตบุรษ
ุ คือ พูดแต่คำทีถ
่ ก
ู ต ้องตาม ๘. พุทฺโธ (เป็ นผู ้ตืน ่ และเบิกบานแล ้ว คือ ทรงตืน ่ จากความเชือ ่
วจีสจ
ุ ริต ๔ — to speak as do good men)
ถือและข ้อปฏิบัตท ิ งั ้ หลายทีถ่ อ
ื กันมาผิดๆ ด ้วย ทรงปลุกผู ้อืน่ ให ้
พ ้นจากความหลงงมงายด ้วย อนึง่ เพราะไม่ตด ิ ไม่หลง ไม่หว่ ง
ั รส
๖. สปปุ ิ ก ัมม ันโต (ทำอย่างสัตบุรษ
ุ คือ ทำการทีถ
่ ก
ู ต ้องตาม กังวลในสิง่ ใดๆ มีการคำนึงประโยชน์สว่ นตน เป็ นต ้น จึงมีพระทัย
กายสุจริต ๔ — to act as do good men) เบิกบาน บำเพ็ญพุทธกิจได ้ถูกต ้องบริบรู ณ์ ดดยถือธรรมเป็ น
ประมาณ การทีท ่ รงพระคุณสมบูรณ์เช่นนี้ และทรงบำเพ็ญพุทธ
ั รส
๗. สปปุ ิ ทิฏฐิ (มีความเห็นอย่างสัตบุรษ ั มาทิฏฐิ เช่น
ุ คือ มีสม กิจได ้เรียบร ้อยบริบรู ณ์เช่นนี้ ย่อมอาศัยเหตุคอ ื ความเป็ นผู ้ตืน
่ และ
ว่า ทำดีได ้ดี ทำชัว่ ได ้ชัว่ เป็ นต ้น — to have the views of
ย่อมให ้เกิดผลคือทำให ้ทรงเบิกบานด ้วย — awakened)
good men)

ั รส
๘. สปปุ ิ ทาน ัง เทติ (ให ้ทานอย่างสัตบุรษ ุ คือ ให ้ตามหลัก ๙. ภควา (ทรงเป็ นผู ้มีโชค คือ จะทรงทำการใด ก็ลล
ุ ว่ ง
สัปปุรสิ ทาน เช่น ให ้โดยเอือ ้ เฟื้ อทัง้ แต่ของทีต่ ัวให ้ทัง้ แก่ผู ้รับ ปลอดภัยทุกประการ หรือ เป็ นผู ้จำแนกแจกธรรม — blessed;
ทาน ให ้ของบริสท ุ ธิ์ ให ้โดยเข ้าใจถึงผลทีจ ่ ะมีตามมา เป็ นต ้น analyst)
— to give a gift as do good men)
พุทธคุณ ๙ นี้ เรียกอีกอย่างว่า นวารหาทิคณ ุ (คุณของ
บางทีเรียกว่า สัปปุรส
ิ ธรรม ๗ เพราะนับเฉพาะสัทธรรม ๗ ในข ้อ พระพุทธเจ ้า ๙ ประการ มีอรหํ เป็ นต ้น) บางทีเลือนมาเป็ น นวรห
๑ คุณ หรือ นวารหคุณ แปลว่า คุณของพระพุทธเจ ้าผู ้เป็ นพระ
อรหันต์ ๙ ประการ
(๒๙๒) พุทธคุณ ๒ (virtues, qualities or ๔. เอหิปสฺสโิ ก (ควรเรียกให ้มาดู คือ เชิญชวนให ้มาชม และ
attributes of the Buddha) พิสจ
ู น์ หรือท ้าทายต่อการตรวจสอบ เพราะเป็ นของจริงและดีจริง
— inviting to come and see; inviting inspection)
๑. อ ัตตหิตสมบ ัติ (ความถึงแห่งประโยชน์ตน, ทรงบำเพ็ญ
ประโยชน์สว่ นพระองค์เอง เสร็จสิน ้ สมบูรณ์แล ้ว — to have ๕. โอปนยิโก (ควรน ้อมเข ้ามา คือ ควรเข ้ามาไว ้ในใจ หรือน ้อม
achieved one’s own good; accomplishment of one’s own ใจเข ้าไปให ้ถึง ด ้วยการปฏิบัตใิ ห ้เกิดมีขน ึ้ ในใจ หรือให ้ใจบรรลุ
welfare) พระคุณข ้อนีม
้ งุ่ เอาพระปั ญญาเป็ นหลัก เพราะเป็ น ถึงอย่างนัน ้ หมายความว่า เชิญชวนให ้ทดลองปฏิบัตด ิ ู อีกอย่าง
่ งให ้สำเร็จพุทธภาวะ คือ ความเป็ นพระพุทธเจ ้า และความ
เครือ หนึง่ ว่าเป็ นสิง่ ทีนำ
่ ผู ้ปฏิบัตใิ ห ้เข ้าไปถึงทีห่ มายคือนิพพาน

เป็ นอัตตนาถะ คือ พึง่ ตนเองได ้ — worthy of inducing in and by one’s own mind; worthy
of realizing; to be tried by practice; leading onward)

๒. ปรหิตปฏิบ ัติ (การปฏิบัตเิ พือ


่ ประโยชน์แก่ผู ้อืน
่ , ทรงบำเพ็ญ
๖. ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญห ู  ิ (อันวิญญูชนพึงรู ้เฉพาะตน คือ
พุทธจริยาเพือ ่ — practice for the good or
่ ประโยชน์แก่ผู ้อืน ั ของวิญญชนจะพึงรู ้ได ้ เป็ นของจำเพาะตน ต ้องทำจึง
เป็ นวิสย
welfare of others) พระคุณข ้อนีม ้ งุ่ เอาพระกรุณาเป็ นหลัก เสวยได ้เฉพาะตัว ทำให ้กันไม่ได ้ เอาจากกันไม่ได ้ และรู ้ได ้
่ งให ้สำเร็จพุทธกิจ คือ หน ้าทีข
เพราะเป็ นเครือ ่ องพระพุทธเจ ้า ประจักษ์ทใี่ นใจของตนนีเ่ อง — directly experienceable by
และความเป็ นโลกนาถ คือ เป็ นทีพ
่ งึ่ ของชาวโลกได ้ the wise)

พุทธคุณ ๙ ในข ้อก่อน (๒๙๑) ย่อลงแล ้วเป็ น ๒ อย่างดังแสดง คุณข ้อที่ ๑ มีความหมายกว ้างรวมทัง้ ปริยัตธิ รรม คือ คำสัง่ สอน
มานี้ คือ ข ้อ ๑-๒-๓-๕ เป็ นส่วนอัตตหิตสมบัต ิ ข ้อ ๖-๗ เป็ นส่วน
ด ้วย ส่วนข ้อที่ ๒ ถึง ๖ มุง่ ให ้เป็ นคุณของโลกุตตรธรรม จะเห็น
ของปรหิตปฏิบต ั ิ ข ้อ ๔-๘-๙ เป็ นทัง้ อัตตหิตสมบัต ิ และปรหิต
ปฏิบัต ิ ได ้ในทีอ ื่ ๆ ว่า ข ้อที่ ๒ ถึง ๖ ท่านแสดงไว ้เป็ น คุณบทของ
่ น
นิพพานก็ม ี
(๒๙๓) พุทธคุณ ๓ (virtues, qualities or
attributes of the Buddha) ั
(๒๙๕) สงฆคุ ณ ๙ (คุณของพระสงฆ์ — virtues of
the Sangha; virtues or attributes of the community of
noble disciples)
๑. ปัญญาคุณ (พระคุณคือพระปั ญญา — wisdom)

๑. สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ (พระสงฆ์สาวกของพระผู ้มี


๒. วิสท ุ  (พระคุณคือความบริสท
ุ ธิคณ ุ ธิ์ — purity)
ิ ี — Of good conduct is the
พระภาค เป็ นผู ้ปฏิบัตด
community of noble disciples of the Blessed One)
๓. กรุณาคุณ (พระคุณคือพระมหากรุณา — compassion)

ในพระคุณ ๓ นี้ ข ้อทีเ่ ป็ นหลักและกล่าวถึงทั่วไปในคัมภีรต ์ า่ งๆ มี ๒. อุชุปฏิปนฺโน (เป็ นผู ้ปฏิบัตต


ิ รง — of upright conduct)
๒ คือ ปั ญญา และกรุณา ส่วนวิสท ุ ธิ เป็ นพระคุณเนือ
่ งอยูใ่ นพระ
ปั ญญาอยูแ่ ล ้ว เพราะเป็ นผลเกิดเองจากการตรัสรู ้ คัมภีรท ์ งั ้ หลาย ๓. ายปฏิปนฺโน (เป็ นผู ้ปฏิบัตถ ู ทาง — of right conduct)
ิ ก
จึงไม่แยกไว ้เป็ นข ้อหนึง่ ต่างหาก

ิ ฏิปนฺโน (เป็ นผู ้ปฏิบัตส


๔. สามีจป ิ มควร — of dutiful
(๒๙๔) ธรรมคุณ ๖ (คุณของพระธรรม — virtues conduct; of proper conduct)
or attributes of the Dhamma)

ยทิทํ จตฺตาริ ปุรส ิ ปุคฺคลา (ได ้แก่ คูบ


ิ ยุคานิ อฏฺ ปุรส ่ รุ ษ
ุ ๔ ตัว
๑. สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม (พระธรรมอันพระผู ้มีพระภาคเจ ้า
บุคคล ๘ — namely, the four pairs of men, the eight
ตรัสดีแล ้ว คือ ตรัสไว ้เป็ นความจริงแท ้ อีกทัง้ งามในเบือ ้ งต ้น types of individuals.)
งามในท่ามกลาง งามในทีส ่ ด
ุ พร ้อมทัง้ อรรถพร ้อมทัง้ พยัญชนะ
ประกาศหลักการครองชีวต ิ อันประเสริฐ บริสท ุ ธิ์ บริบรู ณ์สนิ้ เชิง
เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ (พระสงฆ์สาวกของพระผู ้มีพระภาคนี้
— Well proclaimed is the Dhamma by the Blessed One)
— This community of the disciples of the Blessed One is)

๒. สนฺทฏ ิ ฺฐิโก (อันผู ้ปฏิบัตจิ ะพึงเห็นชัดด ้วยตนเอง คือ ผู ้ใด


ปฏิบัต ิ ผู ้ใดบรรลุ ผู ้นัน
้ ย่อมเห็นประจักษ์ด ้วยตนเองไม่ต ้องเชือ ่ ๕. อาหุเนยฺโย (เป็ นผู ้ควรแก่ของคำนับ คือควรรับของทีเ่ ขานำ
ตามคำของผู ้อืน ่ ผู ้ใดไม่ปฏิบัต ิ ไม่บรรลุ ผู ้อืน
่ จะบอกก็เห็นไม่ได ้ มาถวาย — worthy of gifts)
— to be seen for oneself)
๖. ปาหุเนยฺโย (เป็ นผู ้ควรแก่การต ้อนรับ — worthy of
๓. อกาลิโก (ไม่ประกอบด ้วยกาล คือ ไม่ขน ึ้ กับกาลเวลา พร ้อม hospitality)
เมือ
่ ใด บรรลุได ้ทันที บรรลุเมือ
่ ใด เห็นผลได ้ทันที อีกอย่างว่า
เป็ นจริงอยูอ ้ ไม่จำกัดด ้วยกาล — not
่ ย่างไร ก็เป็ นอย่างนัน ๗. ทกฺขเิ นยฺโย (เป็ นผู ้ควรแก่ทักษิณา, ควรแก่ของทำบุญ
delayed; timeless) — worthy of offerings)
๘. อญฺชลีกรณโย (เป็ นผู ้ควรแก่การทำอัญชลี, ควรแก่การก ๙. เป็ นผู ้เลวกว่าเขา สำคัญตัวว่าเลวกว่าเขา (Being inferior to
others, one thinks, "Worse am I.")
ราบไหว ้ — worthy of reverential salutation)
(๒๙๘) โลกุตตรธรรม ๙ (ธรรมอันมิใช่วส ั ของโลก,
ิ ย
๙. อนุตฺตรํ ปุญฺกฺเขตฺตํ โลกสฺส (เป็ นนาบุญอันยอดเยีย ่ ม สภาวะพ ้นโลก — supermundane states) (+ โพธิปักขิยธรรม
ของโลก, เป็ นแหล่งปลูกฝั งและเผยแพร่ความดีทย ี่ อดเยีย
่ มของ ๓๗ = ๔๖ : ขุ. ปฏิ. ๓๑/๖๒๐/๕๓๕; Ps.II.166)
โลก — the incomparable fied of merit or virtue for the
     - มรรค ๔ (the Four Paths) 
world)
    - ผล ๔ (the four Fruitions)

     - นิพพาน หรือ อสงขตธาตุ ๑ (the Unconditioned
(๒๙๖) มละ ๙ (มลทิน — stains) State)

๑. โกธะ (ความโกรธ — anger) (๒๙๙) วิปส ั สนาญาณ ๙ (ญาณในวิปัสสนา, ญาณที่


นับเข ้าในวิปัสสนาหรือทีจ ่ ัดเป็ นวิปัสสนา คือ เป็ นความรู ้ทีทำ
่ ให ้
เกิดความเห็นแจ ้ง เข ้าใจสภาวะของสิง่ ทัง้ หลายตามเป็ นจริง
๒. ม ักขะ (ความลบหลูค
่ ณ
ุ ท่าน, ความหลูค
่ วามดีผู ้อืน
่ — insight-knowledge)
— detraction; depreciation)
๑. อุทย ัพพยานุปส ั สนาญาณ (ญาณอันตามเห็นความเกิดและ
ความดับ คือ พิจารณาความเกิดขึน ้ และความดับไปแห่งเบญจ
๓. อิสสา (ความริษยา — envy; jealousy) ขันธ์ จนเห็นชัดว่า สิง่ ทัง้ หลายเกิดขึน
้ ครัน
้ แล ้วก็ต ้องดับไป ล ้วน
เกิดขึน
้ แล ้วก็ดับไปทัง้ หมด — knowledge of contemplation
๔. ม ัจฉริยะ (ความตระหนี่ — stinginess; meanness) on rise and fall)

๒. ภ ังคานุปส ั สนาญาณ (ญาณอันตามเห็นความสลาย คือ เมือ ่


๕. มายา (มารยา — deceit) เห็นความเกิดดับเช่นนัน ้ แล ้ว คำนึงเด่นชัดในส่วนความดับอันเป็ น
จุดจบสิน้ ก็เห็นว่าสังขารทัง้ ปวงล ้วนจะต ้องสลายไปทัง้ หมด
๖. สาเถยยะ (ความโอ ้อวดหลอกเขา, สาไถย — hypocrisy) — knowledge of contemplation on dissolution)

๓. ภยตูปฏ ั ฐานญาณ (ญาณอันมองเห็นสังขารปรากฏเป็ นของ


๗. มุสาวาท (การพูดปด — false speech) ้
น่ากลัว เพราะล ้วนแต่จะต ้องสลายไป ไม่ปลอดภัยทัง้ สิน
— knowledge of the appearance as terror)
๘. ปาปิ จฉา (ความปรารถนาลามก — evil desire)
๔. อาทีนวานุปส ั สนาญาณ (ญาณอันคำนึงเห็นโทษ คือ เมือ ่
พิจารณาเห็นสังขารทัง้ ปวงซึง่ ล ้วนต ้องแตกสลายไป เป็ นของน่า
๙. มิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด — false view)
กลัวไม่ปลอดภัยทัง้ สิน ้ แล ้ว ย่อมคำนึงเห็นสังขารทัง้ ปวงนัน
้ ว่า
เป็ นโทษ เป็ นสิง่ ทีม
่ ค
ี วามบกพร่อง จะต ้องระคนอยูด ่ ้วยทุกข์
(๒๙๗) มานะ ๙ (ความถือตัว, ความสำคัญตนเป็ น — knowledge of contemplation on disadvantages)
อย่างนัน
้ อย่างนี้ — conceit; pride)
๕. นิพพทานุปส ั สนาญาณ (ญาณอันคำนึงเห็นด ้วยความหน่าย
๑. เป็ นผู ้เลิศกว่าเขา สำคัญตัวว่าเลิศกว่าเขา (Being superior คือ เมือ
่ พิจารณาเห็นสังขารว่าเป็ นโทษเช่นนัน
้ แล ้ว ย่อมเกิด
to others, one thinks, "Better am I.") ความหน่าย ไม่เพลิดเพลินติดใจ — knowledge of
contemplation on dispassion)
๒. เป็ นผู ้เลิศกว่าเขา สำคัญตัวว่าเสมอเขา (Being superior to
others, one thinks, "Equal am I.") ๖. มุญฺจต ิ ก
ุ ัมยตาญาณ (ญาณอันคำนึงด ้วยใคร่จะพ ้นไปเสีย
คือ เมือ
่ หน่ายสังขารทัง้ หลายแล ้ว ย่อมปรารถนาทีจ
่ ะพ ้นไปจาก
๓. เป็ นผู ้เลิศกว่าเขา สำคัญตัวว่าเลยกว่าเขา (Being superior สังขารเหล่านัน ้ — knowledge of the desire for deliverance)
to others, one thinks, "Worse am I.")

๗. ปฏิสงขานุ ปส
ั สนาญาณ (ญาณอันคำนึงพิจารณาหาทาง
๔. เป็ นผู ้เสมอเขา สำคัญตัวว่าเลิศกว่าเขา (Being equal to คือ เมือ
่ ต ้องการจะพ ้นไปเสีย จึงกลับหันไปยกเอาสังขารทัง้
others, one thinks, "Better am I.") หลายขึน ้ มาพิจารณากำหนดด ้วยไตรลักษณ์ เพือ ่ มองหาอุบายที่
จะปลดเปลือ ้ งออกไป — knowledge of reflective
๕. เป็ นผู ้เสมอเขา สำคัญตัวว่าเสมอเขา (ฺBeing equal to contemplation)
others, one thinks, "Equal am I.")

๘. สงขารุ เปกขาญาณ (ญาณอันเป็ นไปโดยความเป็ นกลางต่อ
๖. เป็ นผู ้เสมอเขา สำคัญตัวว่าเลวกว่าเขา (Being equal to สังขาร, คือ เมือ ่ พิจารณาสังขารต่อไป ย่อมเกิดความรู ้เห็นสภาวะ
others, one thinks, "Worse am I.") ของสังขารตามความเป็ นจริง ว่า มีความเป็ นอยูเ่ ป็ นไปของมัน
อย่างนัน ้ เป็ นธรรมดา จึงวางใจเป็ นกลางได ้ ไม่ยนิ ดียน
ิ ร ้ายใน
๗. เป็ นผู ้เลวกว่าเขา สำคัญตัวว่าเลิศกว่าเขา (Being inferior to สังขารทัง้ หลาย แต่นัน ้ มองเห็นนิพพานเป็ นสันติบท ญาณจึงแล่น
others, one thinks, "Better am I.") มุง่ ไปยังนิพพาน เลิกละความเกีย ่ วเกาะกับสังขารเสียได ้ —
knowledge of equanimity regarding all formations)
๘. เป็ นผู ้เลวกวาเขา สำคัญตัวว่าเสมอเขา (Being inferior to
others, one thinks, "Equal am I.") ั
๙. สจจานุ โลมิกญาณ หรือ อนุโลมญาณ (ญาณอันเป็ นไป
โดยอนุโลมแก่การหยั่งรู ้อริยสัจ คือ เมือ
่ วางใจเป็ นกลางต่อ
สังขารทัง้ หลาย ไม่พะวง และญาณแล่นมุง่ ตรงไปสูน ่ พ
ิ พานแล ้ว
ญาณอันคล ้อยต่อการตรัสรู ้อริยสัจ ย่อมเกิดขึน้ ในลำดับถัดไป
เป็ นขัน
้ สุดท ้ายของวิปัสสนาญาณ ต่อจากนัน
้ ก็จะเกิดโคตรภู แบ่งปั นและไม่ใช ้ทำกรรมดี (So seeking wealth, a certain
ญาณมาคั่นกลาง แล ้วเกิดมรรคญาณให ้สำเร็จความเป็ น one neither makes himself happy and cheerful, nor does
อริยบุคคลต่อไป —conformity-knowledge; adaptation- he share with others, nor does he do meritorious deeds.)
knowledge)
๒. พวกหนึง่ แสวงหาโภคทรัพย์โดยไม่ชอบธรรม โดยทารุณ
ธรรมหมวดนี้ ท่านปรุงศัพท์ขน ึ้ โดยถือตามนัยแห่งคัมภีรป ั
์ ฏิสม ข่มขี,่ ได ้มาแล ้วเลีย
้ งตนให ้อิม
่ หนำเป็ นสุข, แต่ไม่แจกจ่ายแบ่ง
ภิทามรรค นำมาอธิบายพิสดารในวิสท ุ ธิมรรค แต่ในอภิธัมมัตถ ปั น และไม่ใช ้ทำกรรมดี (So seeking wealth, a certain one

สังคหะ ท่านเติม สมมสนญาณ (ญาณที กำ
่ หนดพิจารณานามรูป neither makes himself happy and cheerful, bat he does
คือ ขันธ์ ๕ ตามแนวไตรลักษณ์ — Comprehension- not share with others and does no meritorious deeds.)
knowledge) เข ้ามาเป็ นข ้อที่ ๑ จึงรวมเป็ นวิปัสสนาญาณ
๑๐ และเรียกชือ่ ญาณข ้ออืน ้ กว่านี้ คือ เรียก อุทยัพพยญาณ
่ ๆ สัน ๓. พวกหนึง่ แสวงหาโภคทรัพย์โดยไม่ชอบธรรม โดยทารุณ
ภังคญาณ ภยญาณ อาทีนวญาณ นิพพิทาญาณ มุญจิตก ุ มั ยตา ข่มขี,่ ได ้มาแล ้ว เลีย
้ งตนให ้อิม
่ หนำเป็ นสุขด ้วย, แจกจ่ายแบ่งปั น
ญาณ ปฏิสงั ขาญาณ สังขารุเปกขาญาณ อนุโลมญาณ และใช ้ทำกรรมดีด ้วย (So seeking wealth, a certain one
does makes himself happy and cheerful, he does share
(๓๐๒) กถาว ัตถุ ๑๐ (เรือ
่ งทีค
่ วรพูด, เรือ
่ งทีค
่ วรนำ with others and does meritorious deeds.)
มาสนทนากันในหมูภ
่ ก
ิ ษุ — Subjects for talk among the
monks) (พวกที่ ๑   ควรตำหนิทงั ้ ๓ สถาน; พวกที่ ๒   ตำหนิ ๒ สถาน 
ชม ๑ สถาน;  พวกที่ ๓  ตำหนิ ๑ สถาน  ชม ๒ สถาน — These
๑. อ ัปปิ จฉกถา (เรือ
่ งความมักน ้อย, ถ ้อยคำทีช ั นำให ้มีความ
่ ก are blameworthy in thtee, two and one respect, ana
ปรารถนาน ้อย ไม่มกั มากอยากเด่น — talk about or favorable praiseworthy in none, one and two respects
to contentment) respectively.) 

ั ฏฐิกถา (เรือ
๒. สนตุ ่ งความสันโดษ, ถ ้อยคำทีช ั นำให ้มีความ
่ ก กลุม
่ ที่ ๒ แสวงหาชอบธรรมบ ้าง ไม่ชอบธรรมบ ้าง (Those
สันโดษ ไม่ชอบฟุ้ งเฟ้ อหรือปรนปรือ — talk about or seeking wealth both lawfully and unlawfully, arbitrarily
favorable to contentment) and unarbitrarily)

๓. ปวิเวกกถา (เรือ
่ งความสงัด, ถ ้อยคำทีช ั นำให ้มีความสงัด
่ ก ๔. พวกหนึง่ แสวงหาโภคทรัพย์โดยชอบธรรมบ ้างไม่ชอบธรรม
กายใจ — talk about or favorable to seclusion) บ ้าง ทารุณข่มขีบ่ ้าง ไม่ทารุณข่มขีบ
่ ้าง, ได ้มาแล ้วไม่เลีย
้ งตนให ้
่ หนำเป็ นสุข. ไม่แจกจ่ายแบ่งปั นและไม่ใช ้ทำกรรมดี (Same
อิม
ั คคกถา (เรื
๔. อสงส ั อ
่ งความไม่คลุกคลี, ถ ้อยคำทีช ั นำให ้ไม่
่ ก as 1)
คลุกคลีด ้วยหมู่ — talk about or favorable to not mingling
together) ๕. พวกหนึง่ แสวงหาโภคทรัพย์โดยชอบธรรมบ ้าง ไม่ชอบธรรม
บ ้าง ทารุณข่มขีบ
่ ้าง ไม่ทารุณข่มขีบ
่ ้าง, ได ้มาแล ้วเลีย
้ งตนให ้อิม

๕. วิรย ิ าร ัมภกถา (เรือ
่ งการปรารภความเพียร, ถ ้อยคำทีช ั นำ
่ ก หนำเป็ นสุข, แต่ไม่แจกจ่ายแบ่งปั นและไม่ใช ้ทำกรรมดี(Same
ให ้มุง่ มั่นทำควรเพียร — talk about or favorable to as 2)
strenuousness)
๖. พวกหนึง่ แสวงหาโภคทรัพย์โดยชอบธรรมบ ้าง ไม่ชอบธรรม
๖. สีลกถา (เรือ
่ งศีล, ถ ้อยคำทีช ั นำให ้ตัง้ อยูใ่ นศีล — talk
่ ก บ ้าง โดยทารุณข่มขีบ ่ ้าง ไม่ทารุณข่มขีบ่ ้าง, ได ้มาแล ้วเลีย
้ งตน
about or favorable to virtue or good conduct) ่ หนำเป็ นสุข, ทัง้ แจกจ่ายแบ่งปั น และใช ้ทำกรรมดี (Same
ให ้อิม
as 3)
๗. สมาธิกถา (เรือ
่ งสมาธิ, ถ ้อยคำทีช ั นำให ้ทำจิตมั่น — talk
่ ก
about or favorable to concentration) (พวกที่ ๔   ควรตำหนิ ๓ สถาน  ชม ๑ สถาน; พวกที่ ๕  ตำหนิ
๒ สถาน  ชม ๒ สถาน;  พวกที่ ๖  ตำหนิ ๑ สถาน  ชม ๓ สถาน
๘. ปัญญากถา (เรือ่ งปั ญญา, ถ ้อยคำทีช ั นำให ้เกิดปั ญญา
่ ก — These are blameworthy in three, two and one respect,
— talk about or favorable to deliverance) and praiseworthy in one, two and three respects
respectively.)
๙. วิมต
ุ ติกถา (เรือ
่ งวิมต
ุ ติ, ถ ้อยคำทีช ั นำให ้ทำใจให ้พ ้นจาก
่ ก
กิเลสและความทุกข์ — talk about or favorable to กลุม
่ ที่ ๓ แสวงหาชอบธรรม (those seeking wealth lawfully
deliverance) and unarbitrarily)

๑๐. วิมตุ ติญาณท ัสสนกถา (เรือ ่ งความรู ้ความเห็นในวิมต


ุ ติ, ๗. พวกหนึง่ แสวงหาโภคทรัพย์โดยชอบธรรม ไม่ทารุณข่มขี,่ ได ้
ถ ้อยคำทีช ั นำให ้สนใจและเข ้าใจเรือ
่ ก ่ งความรู ้ความเห็นในภาวะที่ มาแล ้วไม่เลีย ่ หนำเป็ นสุข, ไม่แจกจ่ายแบ่งเป็ น ไม่ใช ้
้ งตนให ้อิม
หลุดพ ้นจากกิเลสและความทุกข์ — talk about or favorable to ทำความดี (Same as 1)
the knowledge and vision of deliverance)
๘. พวกหนึง่ แสวงหาโภคทรัพย์โดยชอบธรรม ไม่ทารุณข่มขี,่ ได ้
(๓๐๔)  กามโภคี ๑๐ (ผู ้บริโภคกาม, ผู ้ครองเรือน, มาแล ้วเลีย
้ งตนให ้อิม
่ หนำเป็ นสุข, แต่ไม่แจกจ่ายแบ่งปั น และไม่
คฤหัสถ์ — enjoyers of sense-pleasures; laymen; ใช ้ทำความดี (Same as 2)
householders)
๙. พวกหนึง่ แสวงหาโภคทรัพย์โดยชอบธรรม ไม่ทารุณข่มขี,่ ได ้
กลุม
่ ที่ ๑ แสวงหาไม่ชอบธรรม (those seeking wealth มาแล ้วก็เลีย
้ งตนให ้อิม
่ หนำเป็ นสุขด ้วย, ทัง้ แจกจ่ายแบ่งปั นและ
unlawfully and arbitrarily) ใช ้ทำความดีด ้วย; แต่เขายังจิตยังสยบมัวเมา ยังหมกมุน ่ บริโภค
โภคะเหล่านัน ้ โดยไม่รู ้เท่าทันเห็นโทษ ไม่มป ี ั ญญาทำตนให ้เป็ น
อิสระหลุดพ ้นเป็ นนายเหนือโภคทรัพย์ (Same as 3. But he
๑. พวกหนึง่ แสวงหาโภคทรัพย์โดยไม่ชอบธรรม โดยทารุณ
makes use of his wealth with greed and longing, is
ข่มขี,่ ได ้มาแล ้วไม่เลีย
้ งตนให ้อิม
่ หนำเป็ นสุข, ทัง้ ไม่แจกจ่าย
infatuated therewith, heedless of danger, lacking the ๑๐. มา สมโณ โน ครูต ิ (อย่าปลงใจเชือ ่ เพราะนับถือว่า ท่าน
insight to achieve spiritual freedom.) สมณะนีเ้ ป็ นครูของเรา - Be led not by the idea, 'This is our
teacher'.)
(พวกที่ ๗   ควรตำหนิ ๒ สถาน  ชม ๑ สถาน; พวกที่ ๘  ตำหนิ
๑ สถาน  ชม ๒ สถาน;  พวกที่ ๙  ตำหนิ ๓ สถาน  ชม ๑ สถาน      ต่อเมือ
่ ใด รู ้เข ้าใจด ้วยตนว่า ธรรมเหล่านัน
้ เป็ นอกุศล เป็ น
— These are blameworthy in two, one and one respect, กุศล มีโทษ ไม่มโี ทษ เป็ นต ้นแล ้ว จึงควรละหรือถือปฏิบต ั ต
ิ าม
and praiseworthy in one, two and three respects นัน

respectively.)
     สูตรนี้ ในบาลีเรียกว่า เกสปุตติยสูตร ทีช ื่ กาลามสูตร เพราะ
่ อ
พวกพิเศษ : แสวงหาชอบธรรม และใช ้อย่างรู ้เท่าทันเป็ นอิสระ ทรงแสดงแก่ชนเผ่ากาลามะ แห่งวรรณะกษั ตริย ์ ทีช ื่ เกสปุตติย
่ อ
สูตร เพราะพวกกาลามะนัน ้ เป็ นชาวเกสปุตตนิคม
๑๐. พวกหนึง่ แสวงหาโภคทรัพย์โดยชอบธรรม ไม่ทารุณข่มขี,่
ได ้มาแล ้วก็เลีย ่ หนำเป็ นสุข, แจกจ่ายแบ่งปั นและใช ้
้ งตนให ้อิม (๓๐๖) กิเลส ๑๐ (สภาพทีทำ
่ ให ้จิตเศร ้าหมอง
ทำความดีด ้วย; ไม่สยบมัวเมา ไม่หมกมุน ่   บริโภคโภคะเหล่านัน้ — defilements)
โดยรู ้เท่าทันเห็นโทษ มีปัญญาทำตนให ้เป็ นอิสระหลุดพ ้น เป็ น
นายเหนือโภคทรัพย์ (Seeking wealth lawfully and ๑. โลภะ (ความอยากได ้ — greed)
unarbitrarily, a certain one does make himself happy and
cheerful, he does share with others and does meritorious ๒. โทสะ (ความคิดประทุษร ้าย — hatred)
deeds.  Moreover, he makes use of his wealth without
greed and longing, without infatuation, is heedful of
๓. โมหะ (ความหลง, ความไม่รู ้, ความเขลา — delusion)
danger and possesed of insight that keeps for himself
spiritual freedom.)
๔. มานะ (ความถือตัว — conceit)
(พวกที่ ๑๐ นี้ ทรงสรรเสริญว่าเป็ นผู ้เลิศ ประเสริฐ สูงสุด   ควรชม
ทัง้ ๔ สถาน — Of These ten this one is the best, the ๕. ทิฏฐิ (ความเห็นผิด — wrong view)
greatest and the noblest, being praiseworthy in the four
respects.) ๖. วิจก
ิ จ
ิ ฉา (ความลังเลสงสัย, ความเคลือบแคลง — doubt;
uncertainty)
(๓๐๕)  กาลามสูตรก ังขานิยฐาน ๑๐ (หมายถึง วิธ ี
ปฏิบัตใิ นเรือ
่ งทีค ่ ทีต
่ วรสงสัย หรือหลักความเชือ ่ รัสไว ้ในกาลาม ๗. ถีนะ (ความหดหู,่ ความท ้อแท ้ถดถอย — sloth)
สูตร — how to deal with doubtful matters; advice on how
to investigate a doctrine, as contained in the ๘. อุทธ ัจจะ (ความฟุ้ งซ่าน — restlessness)
Kalamasutta)
ิ ะ (ความไม่ละอายต่อความชัว่ — shamelessness)
๙. อหิรก
่ ด ้วยการฟั งตามกันมา — Be
๑. มา อนุสฺสเวน (อย่าปลงใจเชือ
not led by report) ๑๐. อโนตต ัปปะ (ความไม่เกรงกลัวต่อความชัว่ — lack of
moral dread)
่ ด ้วยการถือสืบๆ กันมา — Be
๒. มา ปรมฺปราย (อย่าปลงใจเชือ
not led by tradition) (๓๑๒) นาถกรณธรรม ๑๐  (ธรรมอันกระทำทีพ ่ งึ่ ,
ธรรมสร ้างทีพ
่ งึ่ , คุณธรรมทีทำ
่ ให ้ตนเป็ นทีพ
่ งึ่ ของตนได ้
๓. มา อิตก ่ ด ้วยการเล่าลือ — Be not led
ิ ริ าย (อย่าปลงใจเชือ — virtues which make for protection)
by hearsay)
๑. ศีล (ความประพฤติดงี ามสุจริต รักษาระเบียบวินัย มีอาชีวะ
๔. มา ปิ ฎกสมฺปทาเนน (อย่าปลงใจเชือ ่ ด ้วยการอ ้างตำราหรือ บริสท
ุ ธิ์ — good conduct; keeping moral habits)
คัมภีร์ — Be not led by the authority of texts)

๒. พาหุสจจะ (ความเป็ นผู ้ได ้ศึกษาเล่าเรียนมาก มีความรู ้ความ
่ เพราะตรรก — Be not led by
๕. มา ตกฺกเหตุ (อย่าปลงใจเชือ เข ้าใจลึกซึง้ — great learning)
mere logic)
๓. ก ัลยาณมิตตตา (ความมีกล ั ยาณมิตร, การคบคนดี ได ้ที่
่ เพราะการอนุมาน — Be not
๖. มา นยเหตุ (อย่าปลงใจเชือ ปรึกษา และผู ้แนะนำสัง่ สอนทีด
่ ี —good company;
led by inference) association with good people)

๗. มา อาการปริวต ่ ด ้วยการคิดตรอง


ิ กฺเกน (อย่าปลงใจเชือ ๔. โสวจ ัสสตา (ความเป็ นผู ้ว่าง่ายสอนง่าย รับฟั งเหตุผล
ตามแนวเหตุผล — Be not led by considering appearances) — amenability to correction; meekness; easy
admonishability)
๘. มา ทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺตย ่ เพราะเข ้าได ้
ิ า (อย่าปลงใจเชือ
กับทฤษฎีทพี่ น
ิ จ
ิ ไว ้แล ้ว — Be not led by the agreement with ๕. กิงกรณีเยสุ ท ักขตา (ความเอาใจใส่ชว่ ยขวนขวายในกิจ
a considered and approved theory) ใหญ่น ้อยทุกอย่างของเพือ่ นร่วมหมูค
่ ณะ รู ้จักพิจารณาไตร่ตรอง
สามารถจัดทำให ้สำเร็จเรียบร ้อย — willingness to give a
๙. มา ภพฺพรูปตาย (อย่าปลงใจเชือ ่ เพราะมองเห็นรูปลักษณะ helping hand; diligence and skill in managing all affairs of
น่าจะเป็ นไปได ้ - Be not led by seeming possibilities) one’s fellows in the community)

๖. ธ ัมมกามตา (ความเป็ นผู ้ใคร่ธรรม คือ รักธรรม ใฝ่ ความรู ้ใฝ่


ความจริง รู ้จักพูดรู ้จักฟั ง ทำให ้เกิดความพอใจ น่าร่วมปรึกษา
สนทนา ชอบศึกษา ยินดีปรีดาในหลักธรรมหลักวินัยทีล ่ ะเอียดลึก ๑๐. อุเบกขา (ความวางใจเป็ นกลาง, ความวางใจสงบราบเรียบ

ซึงยิง่ ๆ ขึน
้ ไป — love of truth; to the Doctrine, be pleasant สม่ำเสมอ เทีย
่ งธรรม ไม่เอนเอียงไปด ้วยความยินดียน
ิ ร ้ายหรือ
to consult and converse with and rejoice in the advanced ชอบฟั ง — equanimity; indifference to praise and blame in
teaching of both the Doctrine and the Discipline) the performance of duty)

๗. วิรยิ าร ัมภะ (ความขยันหมั่นเพียร คือ เพียรละความชัว่ ทศบารมีนี้ เรียงตามทีถ


่ อ
ื ว่าได ้บำเพ็ญในทศชาติ (จัดแบบไทย)
ประกอบความดีมใี จแกล ้วกล ้า บากบั่นก ้าวหน ้า ไม่ยอ
่ ท ้อ ไม่ ดังนี้
ทอดทิง้ ธุระ — energy; effort; energetic exertion)
๑. พระเตมีย ์ — เนกขัมมะ (ข ้อที่ ๓)
๘. สนตุั ฏฐี (ความสันโดษ คือ ยินดี มีความสุขความพอใจด ้วย
ปั จจัย ๔ ทีห
่ ามาได ้ด ้วยความเพียรอันชอบธรรมของตน ๒. พระมหาชนก — วิรย
ิ ะ (๕)
— contentment)
๓. พระสุวรรณสาม — เมตตา (๙)
๙. สติ (ความมีสติ รู ้จักกำหนดจดจำ ระลึกการทีทำ
่ คำทีพ
่ ด
ู ไว ้
ได ้ ไม่มค
ี วามประมาท —mindfulness; ability to remember ๔. พระเนมิราช — อธิษฐาน (๘)
what one has done and spoken)
๕. พระมโหสถ — ปั ญญา (๔)
๑๐. ปัญญา (ความมีปัญญาหยั่งรู ้เหตุผล รู ้จักคิดพิจารณา
เข ้าใจภาวะของสิง่ ทัง้ หลายตามความเป็ นจริง — wisdom;
๖. พระภูรท
ิ ต
ั ต์ — ศีล (๒)
insight)
๗. พระจันทกุมาร — ขันติ (๖)
นาถกรณธรรมนี้ ท่านเรียกว่าเป็ น พหุการธรรม หรือ ธรรมมี
อุปการะมาก เพราะเป็ นกำลังหนุนในการบำเพ็ญคุณธรรมต่างๆ
ยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู ้อืน่ ให ้สำเร็จได ้อย่างกว ้างขวาง ๘. พระนารท — อุเบกขา (๑๐)
ไพบูลย์
๙. พระวิธรุ  — สัจจะ (๗)
(๓๑๓) บารมี ๑๐ หรือ ทศบารมี (ปฏิปทาอันยวดยิง่ ,
คุณธรรมทีป ่ ระพฤติปฏิบัตอิ ย่างยิง่ ยวด คือ ความดีทบำ
ี่ เพ็ญอย่าง ๑๐. พระเวสสันดร — ทาน (๑)
่ บรรลุซงึ่ จุดหมายอันสูง เช่น ความเป็ นพระพุทธเจ ้า
พิเศษ เพือ
และความเป็ นมหาสาวก เป็ นต ้น — perfections) บารมีนัน
้ ท่านกล่าวว่าจะบำเพ็ญให ้บริบรู ณ์ ต ้องครบ ๓ ขัน
้ คือ

๑. ทาน (การให ้ การเสียสละ — giving; charity; generosity; ิ เงิน


๑. บารมี (ระดับสามัญ เช่น ทานบารมี ได ้แก่ ให ้ทรัพย์สน
liberality) ทอง สมบัตน ิ อกกาย — ordinary perfections)

๒. ศีล (การรักษากายวาจาให ้เรียบร ้อย, ความประพฤติดงี ามถูก ๒. อุปบารมี (ระดับรองหรือจวนจะสูงสุด เช่น ทานอุปบารมี


ต ้องตามระเบียบวินัย —morality; good conduct) ได ้แก่ การเสียสละอวัยวะเป็ นทาน —superior perfecions)

๓. เนกข ัมมะ (การออกบวช, ความปลีกตัวปลีกใจจากกาม ๓. ปรมัตถบารมี (ระดับสูงสุด เช่น ทานปรมัตถบารมี ได ้แก่ การ


— renunciation) สละชีวต
ิ เพือ
่ ประโยชน์แก่ผู ้อืน
่ — supreme perfections)

๔. ปัญญา (ความรอบรู ้, ความหยั่งรู ้เหตุผล เข ้าใจสภาวะของสิง่ บำเพ็ญทัง้ ๑๐ บารมี ครบ ๓ ขัน้ นี้ เรียกว่า สมตึสปารมี หรือ สม
ทัง้ หลายตามความเป็ นจริง —wisdom; insight; ตึงสบารมี แปลว่า บารมี ๓๐ ถ ้วน.
understanding)
(๓๑๔) ราชธรรม ๑๐ หรือ ทศพิธราชธรรม (ธรรม
๕. วิรย
ิ ะ (ความเพียร, ความแกล ้วกล ้า ไม่เกรงกลัวอุปสรรค ของพระราชา, กิจวัตรทีพ ่ ระเจ ้าแผ่นดินควรประพฤติ, คุณธรรม
พยายามบากบั่นอุตสาหะ ก ้าวหน ้าเรือ
่ ยไป ไม่ทอดทิง้ ธุระหน ้าที่ ของผู ้ปกครองบ ้านเมือง, ธรรมของนักปกครอง — virtues or
— energy; effort; endeavour) duties of the king; royal virtues; virtues of a ruler)

๖. ข ันติ (ความอดทน, ความทนทานของจิตใจ สามารถใช ้สติ ๑. ทาน (การให ้ คือ สละทรัพย์สงิ่ ของ บำรุงเลีย
้ ง ช่วยเหลือ
ปั ญญาควบคุมตนให ้อยูใ่ นอำนาจเหตุผล และแนวทางความประะ ประชาราษฎร์ และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ — charity;
พฤติ ทีต
่ งั ้ ไว ้เพือ
่ จุดหมายอันชอบไม่ลอำ
ุ นาจกิเลส — liberality; generosity)
forbearance; tolerance; endurance)
๒. ศีล (ความประพฤติดงี าม คือ สำรวมกายและวจีทวาร

๗. สจจะ (ความจริง คือ พูดจริง ทำจริง และจริงใจ ประกอบแต่การสุจริต รักษากิตติคณ
ุ ให ้ควรเป็ นตัวอย่าง และเป็ น
— truthfulness) ทีเ่ คารพนับถือของประชาราษฎร์ มิให ้มีข ้อทีใ่ ครจะดูแคลน
— high moral character)
๘. อธิษฐาน (ความตัง้ ใจมั่น, การตัดสินใจเด็ดเดีย
่ ว วางจุด
หมายแห่งการกระทำของตนไว ้แน่นอน และดำเนินตามนัน ้ แน่น ๓. ปริจจาคะ (การบริจาค คือ เสียสละความสุขสำราญ เป็ นต ้น
แน่ — resolution; self-determination) ตลอดจนชีวต ิ ของตน เพือ
่ ประโยชน์สขุ ของประชาชน และความ
สงบเรียบร ้อยของบ ้านเมือง — self-sacrifice)
๙. เมตตา (ความรักใคร่, ความปรารถนาดี มีไมตรี คิดเกือ ้ กูลให ้
ผู ้อืน
่ และเพือ
่ นร่วมโลกทัง้ ปวงมีความสุขความเจริญ — loving- ๔. อาชชวะ (ความซือ ่ ตรง คือ ซือ
่ ตรงทรงสัตย์ไร ้มารยา ปฏิบต
ั ิ
kindness; friendliness) ภารกิจโดยสุจริต มีความจริงใจ ไม่หลอกลวงประชาชน
— honesty; integrity)
๕. ม ัททวะ (ความอ่อนโยน คือ มีอธ ั ยาศัย ไม่เย่อหยิง่ หยาบ (๓๑๙) สญญา ั ๑๐  (ความกำหนดหมาย, แนวความ
คายกระด ้างถือองค์ มีความงามสง่าเกิดแต่ทว่ งทีกริ ย
ิ าสุภาพนุ่ม คิดความเข ้าใจ สำหรับใช ้กำหนดพิจารณาในการเจริญกรรมฐาน
นวล ละมุนละไม ให ้ได ้ความรักภักดี แต่มข
ิ าดยำเกรง
— kindness and gentleness) — perception; contemplation; ideas as objects of
meditation)
๖. ตปะ (ความทรงเดช คือ แผดเผากิเลสตัณหา มิให ้เข ้ามา
ครอบงำย่ำยีจต
ิ ระงับยับยัง้ ข่มใจได ้ ไม่ยอมให ้หลงใหลหมกมุน ่ ั
๑. อนิจจสญญา  (กำหนดหมายความไม่เทีย่ งแห่งสังขาร
ในความสุขสำราญและความปรนเปรอ มีความเป็ นอยูส ่ ม่ำเสมอ
— contemplation on impermanency)
หรืออย่างสามัญ มุง่ มั่นแต่จะบำเพ็ญเพียร ทำกิจให ้บริบรู ณ์
— austerity; self-control; non-indulgence)

๒. อน ัตตสญญา  (กำหนดหมายความไม่งามแห่งกาย
๗. อ ักโกธะ (ความไม่โกรธ คือ ไม่กริว้ กราด ลุอำนาจความ — contemplation on impersonality)
โกรธ จนเป็ นเหตุให ้วินจ
ิ ฉัยความและกระทำกรรมต่างๆ ผิดพลาด
เสียธรรม มีเมตตาประจำใจไว ้ระงับความเคืองขุน่ วินจ
ิ ฉัยความ
และกระทำการด ้วยจิตอันราบเรียบเป็ นตัวของตนเอง — non- ั
๓. อสุภสญญา  (กำหนดหมายความไม่งามแห่งกาย
anger; non-fury) — contemplation on foulness or loathsomeness)

๘. อวิหงิ สา (ความไม่เบียดเบียน คือ ไม่บบ


ี คัน
้ กดขี่ เช่น เก็บ
ภาษี ขด
ู รีด หรือ เกณฑ์แรงงานเกินขนาด ไม่หลงระเริงอำนาจ ั
๔. อาทีนวสญญา  (กำหนดหมายโทษทุกข์ของกายอันมีความ
ขาดความกรุณา หาเหตุเบียดเบียนลงโทษอาชญาแก่ เจ็บไข ้ต่างๆ — contemplation on the disadvantages of the
ประชาราษฎร์ผู ้ใด เพราะอาศัยความอาฆาตเกลียดชัง — non- body)
violence; non-oppression)

๙. ข ันติ (ความอดทน คือ อดทนต่องานทีต ่ รากตรำ ถึงจะ



๕. ปหานสญญา  (กำหนดหมายวิราคะว่าเป็ นธรรมละเอียด
ลำบากกายน่าเหนือ ่ ยหน่ายเพียงไร ก็ไม่ท ้อถอย ถึงจะถูกยั่วถูก ประณีต — contemplation on abandonment or
หยันด ้วยคำเสียดสีถากถางอย่างใด ก็ไม่หมดกำลังใจ ไม่ยอม overcoming)
ละทิง้ กรณียท
์ บำ
ี่ เพ็ญโดยชอบธรรม — patience; forbearance;
tolerance) ั
๖. วิราคสญญา  (กำหนดหมายวิราคะว่าเป็ นธรรมละเอียด
๑๐. อวิโรธนะ (ความไม่คลาดธรรม คือ วางองค์เป็ นหลักหนัก ประณีต — contemplation no detachment)
แน่นในธรรม คงที่ ไม่มค ี วามเอนเอียงหวั่นไหวเพราะถ ้อยคำที่
ดีร ้าย ลาภสักการะ หรืออิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์ใดๆ สติมั่นใน ั
๗. นิโรธสญญา  (กำหนดหมายนิโรธว่าเป็ นธรรมละเอียด
ธรรม ทัง้ ส่วนยุตธิ รรม คื ความเทีย่ งธรรม ก ้ดี นิตธิ รรม คือ
ระเบียบแบบแผนหลักการปกครอง ตลอดจนขนบธรรมเนียม ประณีต — contemplation on cessation)
ประเพณีอน ั ดีงาม ก็ด ี ไม่ประพฤติให ้เคลือ
่ นคลาดวิบัตไิ ป
— non-opposition; non-deviation from righteousness; ั
๘. สพพโลเก ั
อนภิรตสญญา  (กำหนดหมายความไม่น่า
conformity to the law) เพลิดเพลินในโลกทัง้ ปวง —contemplation on the non-
delightfulness of the whole world)
(๓๑๖) วิปส ั สนูปกิเลส ๑๐ (อุปกิเลสแห่งวิปัสสนา, ธรรมารมณ์
ทีเ่ กิดแก่ผู ้ได ้ตรุณวิปัสสนา หรือวิปัสสนาอ่อนๆ ทำให ้เข ้าใจผิดว่า
ตนบรรลุมรรคผลแล ้ว เป็ นเหตุขด ั ขวางให ้ไม่ก ้าวหน ้าต่อไปใน

๙. สพพส ั
งขาเรสุ ั
อนิฏฐสญญา  (กำหนดหมายความไม่น่า
วิปัสสนาญาณ — im-perfection or defilements of insight) ปรารถนาในสังขารทัง้ ปวง —contemplation on the non-
pleasantness of the whole world)
๑. โอภาส (แสงสว่าง — illumination; luminous aura)
๑๐. อานาปานสติ (สติกำหนดลมหายใจเข ้าออก
๒. ญาณ (ความหยั่งรู ้ — knowledge) — mindfulness of in-and out-breathing)

๓. ปี ติ (ความอิม
่ ใจ — rapture; unprecedented joy) ั
(๓๒๐) สทธรรม ๑๐  (ธรรมอันดี, ธรรมทีแ
่ ท ้, ธรรม
ุ , หลักหรือแก่นศาสนา — true doctrine; essential
ของสัตบุรษ
ั  (ความสงบเย็น — tranquillity)
๔. ปัสสทธิ
Dharma)

๕. สุข (ความสุขสบายใจ — bliss; pleasure)


๑-๙. โลกุตตรธรรม ๙ (มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ — the
่ , ศรัทธาแก่กล ้า, ความปลงใจ
๖. อธิโมกข์ (ความน ้อมใจเชือ nine supermundane states. viz., the Four Fruitions and
— favor; resolution; determination) Nibbana)

๗. ปัคคาหะ (ความเพียรทีพ
่ อดี — exertion; strenuousness) ๑๐. ปริย ัติธรรม (ธรรมคือคำสัง่ สอนอันจะต ้องเล่าเรียน กล่าว
คือ พุทธพจน์ — the text to be studied, i.e., the words of
๘. อุปฏ ั — established mindfulness)
ั ฐาน (สติแก่กล ้า, สติชด the Buddha)

๙. อุเบกขา (ความมีจต
ิ เป็ นกลาง — equanimity) (๓๒๓) อนุสติ ๑๐ (ความระลึกถึง, อารมณ์อน ั ควร
ระลึกถึงเนืองๆ — recollection; constant mindfulness)
๑๐. นิก ันติ (ความพอใจ, ติดใจ — delight)
๑. พุทธานุสติ (ระลึกถึงพระพุทธเจ ้า คือ น ้อมจิตระลึกถึงและ ๓. อปราปริยเวทนียกรรม (กรรมให ้ผลในภพต่อๆไป — karma
พิจารณาคุณของพระองค์ —recollection of the Buddha; to be experienced in some subsequent becoming;
contemplation on the virtues of the Buddha) indefinitely effective kamma)

๒. ธ ัมมานุสติ (ระลึกถึงพระธรรม คือ น ้อมจิตระลึกถึงและ ๔. อโหสิกรรม (กรรมเลิกให ้ผล ไม่มผ


ี ลอีก — lapsed or
พิจารณาคุณของพระธรรม —recollection of the Dhamma; defunct kamma)
contemplation on the virtues the Doctrine)
หมวดที่ ๒ ว่าโดยกิจ คือจำแนกการให ้ผลตาม

๓. สงฆานุ สติ (ระลึกถึงพระสงฆ์ คือ น ้อมจิตระลึกถึงและ หน ้าที ่ (classification according to function)
พิจารณาคุณของพระสงฆ์ —recollection of the Sangha;
contemplation on the virtues of the Order) ๕. ชนกกรรม (กรรมแต่งให ้เกิด, กรรมทีเ่ ป็ นตัวนำไปเกิด
— productive karma; reproductive kamma)
๔. สีลานุสติ (ระลึกถึงศีล คือ น ้อมจิตรำลึกพิจารณาศีลของตน
ทีไ่ ด ้ประพฤติปฏิบัตบ
ิ ริสท
ุ ธิไ์ ม่ดา่ งพร ้อย — recollection of ๖. อุปต
ั ถ ัมภกกรรม (กรรมสนับสนุน, กรรมทีเ่ ข ้าช่วยสนับสนุน
morality; contemplation on one’s own morals) หรือซ้ำเติมต่อจากชนกกรรม —supportive karma;
consolidating kamma)
๕. จาคานุสติ (ระลึกถึงการบริจาค คือ น ้อมจิตระลึกถึงทานที่
ตนได ้บริจาคแล ้ว และพิจารณาเห็นคุณธรรมคือความเผือ ่ แผ่เสีย ๗. อุปปี ฬกรรรม (กรรมบีบคัน ้ , กรรมทีม่ าให ้ผล บีบคัน
้ ผลแห่ง
สละนีท
้ ม
ี่ ใี นตน — recollection on liberality; contemplation ชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรมนัน ้ ให ้แปรเปลีย
่ นทุเลาลงไป
on one’s own liberality) บั่นทอนวิบากมิให ้เป็ นไปได ้นาน obstructive karma;
frustrating kamma)
๖. เทวตานุสติ (ระลึกถึงเทวดา คือ น ้อมจิตระลึกถึงเทวดาทัง้
หลายทีต
่ นเคยรู ้และพิจารณาเห็นคุณธรรมอันทำบุคคลให ้เป็ น ๘. อุปฆาตกกรรม (กรรมตัดรอน, กรรมทีแ ่ รง ฝ่ ายตรงข ้ามกับ
เทวดานัน
้ ๆ ตามทีม่ อ
ี ยูใ่ นตน — recollection of deities; ชนกกรรม และอุปัตถัมภกกรรม เข ้าตัดรอนการให ้ผลของกรรม ๒
contemplation on the virtues which make people become อย่างนัน ้ ให ้ขาดไปเสียทีเดียว เช่น เกิดในตระกูลสูง มั่งคั่ง แต่
gods as can be found in oneself) ั ้ เป็ นต ้น — destructive karma; supplanting kamma)
อายุสน

๗. มรณสติ (ระลึกถึงความตายอันจะต ้องมีมาถึงตนเป็ นธรรมดา หมวดที่ ๓ ว่าโดยปากทานปริยาย คือ จำแนกตามความยักเยือ ้ ง


พิจารณาทีจ
่ ะให ้เกิดความไม่ประมาท — mindfulness of หรือลำดับความแรงในการให ้ผล(classification according to
death; contemplation on death) the order of ripening)

๘. กายคตาสติ (สติอน ั ไปในกาย คือ กำหนดพิจารณากายนี้ ให ้ ๙. ครุกกรรม (กรรมหนัก ให ้ผลก่อน ได ้แก่ สมาบัต ิ ๘ หรือ


เห็นว่าประกอบด ้วยส่วนต่างๆ อันไม่สะอาด ไม่งาม น่ารังเกียจ อนันตริยกรรม — weighty kamma)
เป็ นทางรู ้เท่าทันสภาวะของกายนี้ มิให ้หลงใหลมัวเมา —
mindfulness occupied with the body; contemplation on ๑๐. พหุลกรรม หรือ อาจิณณกรรม (กรรมทำมากหรือกรรมชิน
the 32 impure parts of the body ให ้ผลรองจากครุกกรรม —habitual kamma)

๙. อานาปานสติ (สติกำหนดลมหายใจเข ้าออก ั
๑๑. อาสนนกรรม (กรรมจวนเจี ยน หรือกรรมใกล ้ตาย คือกรรม
— mindfulness on breathing) ทำเมือจวนจะตาย จับใจอยูใ่ หม่ๆ ถ ้าไม่ม ี ๒ ข ้อก่อน ก็จะให ้ผล
ก่อนอืน
่ — death threshold kamma; proximate kamma)
๑๐. อุปสมานุสติ (ระลึกถึงธรรมเป็ นทีส
่ งบ คือ ระลึกถึงและ
พิจารณาคุณของพระนิพพาน อันเป็ นทีร่ ะงับกิเลสและความทุกข์ ๑๒. กต ัตตากรรม หรือ กต ัตตาวาปนกรรม (กรรมสักว่าทำ,
— recollection of peace; contemplation on the virtue of กรรมทีทำ่ ไว ้ด ้วยเจตนาอันอ่อน หรือมิใช่เจตนาอย่างนัน ้ โดยตรง
Nibbana) ต่อเมือ
่ ไม่มก
ี รรมอืน่ ให ้ผลแล ้วกรรมนีจ
้ งึ จะให ้ผล — reserve
kamma; casual act)
(๓๒๖) กรรม ๑๒ (การกระทำทีป ่ ระกอบด ้วยเจตนาดี
ก็ตาม ชัว่ ก็ตาม, ในทีน
่ หี้ มายถึงกรรมประเภทต่างๆ พร ้อมทัง้ หลัก กรรม ๑๒ หรือ กรรมสี่ ๓ หมวดนี้ มิได ้มีมาในบาลีในรูปเช่นนี้
เกณฑ์เกีย ่ วกับการให ้ผลของกรรมเหล่านัน ้ — karna; kamma; โดยตรง พระอาจารย์สมัยต่อมา เช่น พระพุทธโฆษาจารย์
action; volitional action) เป็ นต ้น ได ้รวบรวมมาจัดเรียงเป็ นแบบไว ้ภายหลัง .

หมวดที่ ๑ ว่าโดยปากกาล คือ จำแนกตามเวลาทีใ่ ห ้ (๓๒๗) จ ักรวรรดิว ัตร ๑๒ (วัตรของพระเจ ้า


ผล (classification according to the time of ripening or จักรพรรดิ, พระจริยาทีพ
่ ระจักรพรรดิพงึ ทรงบำเพ็ญสม่ำเสมอ,
taking effect) ธรรมเนียมการทางบำเพ็ญพระราชกรณียข ์ องพระเจ ้าจักรพรรดิ,
หน ้าทีข
่ องนักปกครองผู ้ยิง่ ใหญ่ — duties of a universal king
๑. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม (กรรมให ้ผลในปั จจุบันคือในภพนี้ or a great ruler)
— karma to be experienced here and now; immediately
effective kamma) ๑. ธรรมาธิปไตย (เคารพนับถือบูชายำเกรงธรรม ยึดธรรมเป็ น
หลัก เป็ นธงชัย เป็ นธรรมาธิปไตย — supremacy of the law of
๒. อุปปัชชเวทนียกรรม (กรรมให ้ผลในภพทีจ่ ะไปเกิดคือใน truth and righteousness) (๑) และ
ภพหน ้า — karma to be experienced on rebirth; kamma
ripening in the next life) ธรรมิการ ักขาวรณคุปติ (จัดการรักษาป้ องกันและคุ ้มครองอัน
ชอบธรรมและเป็ นธรรม —provision of the right watch, ward
and protection)
ก. อันโตชน (แก่ชนภายใน ตัง้ แต่พระมเหสี โอรส ธิดา จนถึงผู ้ ๑. อนฺ โตชนสฺม ึ พลกายสฺม ึ (สงเคราะห์ชนภายใน และพลกาย
ปฏิบัตริ าชการในพระองค์ทงั ้ หมด คือ คนในปกครองส่วนตัว กองทหาร)
ตัง้ แต่บต ้ งอบรมสัง่ สอน
ุ รธิดาเป็ นต ้นไป ด ้วยให ้การบำรุงเลีย
เป็ นต ้น ให ้อยูโ่ ดยเรียบร ้อยสงบสุข และมีความเคารพนับถือกัน ๒. ขตฺตเยสุ (สงเคราะห์กษั ตริยเ์ มืองขึน
้ ทัง้ หลาย)
— for one’s own folk) (๒)
้ พระวงศ์ ผู ้ตามเสด็จเป็ นราช
๓. อนุยนฺ เตสุ (สงเคราะห์เหล่าเชือ
ข. พลกาย (แก่กองทัพ คือ ปวงเสนาข ้าทหาร, ข ้าราชการฝ่ าย บริพาร)
ทหาร — for the army; the arms-forces; military
service (๓) ๔. พฺราหฺมณคหปติเกสุ (คุ ้มครองพราหมณ์และคฤหบดีทงั ้
หลาย)
ค. ขัตติยะ (แก่กษั ตริยท ์ งั ้ หลายผู ้อยูใ่ นพระบรมเดชานุภาพ, เจ ้า
เมืองขึน้ , ปั จจุบันสงเคราะห์ชนชัน ้ ปกครองและนักบริหารชัน ้ ๕. เนคมชานปเทสุ (คุ ้มครองชาวราษฎรพืน
้ เมืองทัง้ หลาย)
ผู ้ใหญ่ทงั ้ หลาย, ข ้าราชการฝ่ ายปกครอง — for colonial kings;
administrative officers) (๔)
๖. สมณพฺราหฺมเณสุ (คุ ้มครองเหล่าพราหมณ์)

ง. อนุยนต์ (แก่ผู ้ตามเสด็จ คือ ราชบริพารทัง้ หลาย, ปั จจุบันควร


๗. มิคปกฺขส
ี  ุ (คุ ้มครองเนือ
้ นกทีเ่ อาไว ้สืบพันธุ)์
สงเคราะห์ข ้าราชการฝ่ ายพลเรือนเข ้าทัง้ หมด — for the royal
dependants; civil servants) (๕)
๘. อธมฺมการปฏิกฺเขโป (ห ้ามปรามมิให ้มีการประพฤติการอันผิด
ธรรม)
่ งั่ สอน พ่อค ้า เจ ้า
จ. พราหมณคฤหบดี (แก่ชนเจ ้าพิธ ี เจ ้าหน ้าทีส
ไร่เจ ้านา คือ ผู ้ประกอบอาชีพวิชาการ หมอ พ่อค ้า และเกษตรกร
ด ้วยช่วยจัดหาทุนและอุปกรณ์เป็ นต ้น — for brahmins and ๙. อธนานํ ธนานุปฺปทานํ  (ทำนุบำรุงผู ้ขัดสนไร ้ทรัพย์)
householders; the professional. traders and the
agricultural) (๖) ๑๐. สมณพฺราหฺมเณ อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺหาปุจฺฉนํ  (เข ้าไปหาและ
สอบถามปั ญหากะสมณพราหมณ์)
ฉ. เนคมชานบท (แก่ชาวนิคมชนบท คือ ราษฎรทัง้ ปวงทุกท ้อง
ถิน
่ ตลอดถึงชายแดนทั่วไปไม่ทอดทิง้ — for town and ๑๑. อธมฺมราคสฺส ปหานํ  (เว ้นความกำหนัดในกามโดยอาการไม่
country dwellers; townsmen and villagers; upcountry เป็ นธรรม)
people) (๗)
๑๒. วิสมโลภสฺส ปหานํ  (เว ้นโลภกล ้า ไม่เลือกควรไม่ควร)
ช. สมณพราหมณ์ (แก่พระสงฆ์และบรรพชิตผู ้ทรงศีลทรง
คุณธรรม — for the religious) (๘) ทีจำ
่ กันมาส่วนมาก ก็ถอ ื ตามนัยอรรถกถานี้ อย่างไรก็ด ี ตามนัยนี้
ท่านไม่นับข ้อธรรมาธิปไตย เข ้าในจำนวน ๑๒ ข ้อ และเพิม ่ ข ้อ
ญ. มิคปั กษี  (แก่มฤคและปั กษี คือ สัตว์อน
ั ควรสงวนทัง้ หลาย ๑๑, ๑๒ เข ้ามาใหม่ ซึง่ ไม่มมี าในบาลีเดิม สำหรับข ้อ ๑๑,๑๒ นี้
— for beasts and birds) (๙) โดยเหตุผลน่าจะมีอยูแ ่ ล ้วในหลักทศพิธราชธรรม

๒. มา อธรรมการ (ห ้ามกัน ้ มิให ้มีการอันอธรรมเกิดขึน


้ ในพระ (๓๒๘) ปฏิจจสมุปบาท มีองค์หรือหัวข ้อ ๑๒ (การ
ราชอาณาเขต คือ จัดการป้ องกัน แก ้ไข มิให ้มีการกระทำความ เกิดขึน
้ พร ้อมแห่งธรรมทัง้ หลาย เพราะอาศัยกัน, ธรรมทีอ ่ าศัยกัน
ผิดความชัว่ ร ้ายเดือดร ้อนเกิดขึน
้ ในบ ้านเมือง — to let no เกิดขึน ่ งิ่ ทัง้ หลายอาศัยกันๆ จึงเกิดมีขน
้ พร ้อม, การทีส ึ้ — the
wrongdoing prevail in the kingdom) (๑๐) Dependent Origination; conditioned arising)

๓. ธนานุประทาน (ปั นทรัพย์เฉลีย่ ให ้แก่ชนผู ้ไร ้ทรัพย์ มิให ้มีคน ๑/๒. อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เพราะอวิชชา เป็ น


ขัดสนยากไร ้ในแว่นแคว ้น —to let wealth be given or ปั จจัย สังขาร จึงมี (Dependent on lgnorance arise Karma-
distributed to the poor) (๑๑) Formations)

๔. สมณพราหมณปริปจ ุ ฉา (ปรึกษาสอบถามปั ญหากับสมณ ๓. สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ  เพราะสังขารเป็ น


พราหมณ์ ผู ้ประพฤติด ี ปฏิบต ั ช
ิ อบ ผู ้ไม่ประมาทมัวเมา อยูเ่ สมอ ปั จจัย วิญญาณ จึงมี (Dependent on Karma-Formations
ตามกาลอันควร เพือ ่ ให ้รู ้ชัดการอันดี ชัว่ ควรประกอบหรือไม่ เป็ น arise Consciousness)
ไปเพือ ่ ประโยชน์สข ุ หรือไม่ แล ้วประพฤติปฏิบัตใิ ห ้เป็ นไปโดยถูก
ต ้อง ข ้อนีป
้ ั จจุบันสงเคราะห์นักปราชญ์นักวิชาการผู ้ทรงคุณธรรม ๔. วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ เพราะวิญญาณเป็ นปั จจัย นาม
เข ้าด ้วย — to go from time to time to see and ask for รูป จึงมี (Dependent on Consciousness arise Mind and
advice the men of religious life who maintain high moral Matter)
standard; to have virtuous counselors and seek after
greater virtue) (๑๒) ๕. นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ เพราะนามรูปเป็ นปั จจัย สฬาย
ตนะ จึงมี (Dependent on Mind and Matter arise the Six
จักรวรรดิวัตรนี้ มาใน จักกวัตติสต ู ร ตามบาลีมหี ัวข ้อใหญ่ ๔ ข ้อ Sense-Bases.)
แต่หัวข ้อย่อยทีแ่ ยกออกไปจากข ้อ ๒ แต่ละอย่าง ถือว่ามีความ
สำคัญมาก มีรายละเอียดวิธป ี ฏิบัตจำ
ิ เพาะต่างกันออกไป จึงนับ ๖. สฬายตนปจฺจยา ผสฺโส เพราะสฬายตนะเป็ นปั จจัย ผัสส
ให ้เป็ นวัตรแต่ละข ้อเท่ากันหมด ได ้เป็ น ๑๒ ข ้อ ตามเลขใน ะ จึงมี (Dependent on the Six Sense-Bases arises Contact)
วงเล็บข ้างหลัง
๗. ผสฺสปจฺจยา เวทนา เพราะสฬายตนะเป็ นปั จจัย ผัสสะ จึง
แต่ใน อรรถกถาแห่งพระสูตรนีเ้ อง (ที.อ.๓/๔๖) ท่านจัดต่างออก มี (Dependent on Contact arise Feeling)
ไปดังนี้
๘. เวทนาปจฺจยา ตณฺ หา เพราะเวทนาเป็ นปั จจัย ตัณหา จึง ๑๑. ชาติ (birth) ความเกิด ได ้แก่ ความปรากฏแห่งขันธ์ทงั ้
มี (Dependent on Feeling arise Craving.) หลาย การได ้อายตนะ

๙. ตณฺ หาปจฺจยา อุปาทานํ เพราะตัณหาเป็ น ๑๒. ชรามรณะ (decay and death) ความแก่และความตาย


ปั จจัย อุปาทาน จึงมี (Dependent on Craving arises ่ มอายุ, ความหง่อมอินทรีย)์ กับ มรณะ
ได ้แก่ ชรา (ความเสือ
Clinging.) (ความสลายแห่งขันธ์, ความขาดชีวต ิ น
ิ ทรีย)์

๑๐. อุปาทานปจฺจยา ภโว เพราะอุปาทานเป็ นปั จจัย ภพ จึง ทัง้ ๑๒ ข ้อ เป็ นปั จจัยต่อเนือ


่ งกันไป หมุนเวียนเป็ นวงจร ไม่มต
ี ้น
มี (Dependent on Clinging arises Becoming.) ไม่มปี ลาย เรียกว่า ภวจักร (วงล ้อหรือวงจรแห่งภพ — wheel of
existence) และ มีข ้อควรทราบเกีย ่ วกับภวจักรอีกดังนี้
๑๑. ภวปจฺจยา ชาติ เพราะภพเป็ นปั จจัย ชาติ จึง
มี (Dependent on Becoming arises Birth.) ก. อัทธา (periods; times) คือ กาล ๓ ได ้แก่

๑๒. ชาติปจฺจยา ชรามรณํ  เพราะชาติเป็ นปั จจัย ชรามรณะ จึง ๑) อดีต = อวิชชา สังขาร


มี (Dependent on Birth arise Decay and Death.)
โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสป ุ ายาสา สมฺภวนฺ ต ิ ๒) ปั จจุบัน = วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา
ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค ้นใจ ก็ อุปาทาน ภพ
มีพร ้อม (There also arise sorrow, lamentation, pain, grief
and despair.) ๓) อนาคต = ชาติ ชรา มรณะ (+ โสกะ ฯลฯ)
เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺ ธสฺส สมุทโย โหติ.
ความเกิดขึน้ แห่งกองทุกข์ทงั ้ ปวงนี้ จึงมีด ้วยประการฉะนี้
ข. สังเขป หรือ สังคหะ ๔ (sections; divisions) คือ ช่วง หมวด
(Thus arises this whole mass of suffering.)
หรือ กลุม
่ ๔ ได ้แก่

แสดงตามลำดับ จากต ้นไปหาปลายอย่างนี้ เรียกว่า อนุโลม


๑) อดีตเหตุ = อวิชชา สังขาร
เทศนา (teaching in forward order) ถ ้าแสดงย ้อนกลับจาก
ปลายมาหาต ้น ว่า ชรามรณะเป็ นต ้น มีเพราะชาติเป็ นปั จจัย ชาติ
มีเพราะภพเป็ นปั จจัย ฯลฯ สังขาร มีเพราะอวิชชาเป็ นปั จจัย เรียก ๒) ปั จจุบันผล = วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา
ว่า ปฏิโลมเทศนา (teaching in backward order)
๓) ปั จจุบันเหตุ = ตัณหา อุปาทาน ภพ
องค์ (factors) หรือหัวข ้อ ๑๒ นัน
้ มีความหมายโดยสังเขป ดังนี
๔) อนาคตผล = ชาติ ชรา มรณะ (+ โสกะ ฯลฯ)
๑. อวิชชา ความไม่รู ้ คือไม่รู ้ในอริยสัจ ๔ หรือตามนัยอภิธรรม
ว่า อวิชชา ๘ (ดู) ๒๐๐ อวิชชา ๔; (๒๐๑) อวิชชา ๘ ค. สนธิ ๓ (links; connection) คือ ขัว้ ต่อ ระหว่างสังเขปหรือ
ช่วงทัง้ ๔ ได ้แก่

๒. สงขาร (Karma-formations) สภาพทีป ่ รุงแต่ง ได ้แก่
(๑๑๙) สังขาร ๓ หรือ (๑๒๘) อภิสงั ขาร ๓ ๑) ระหว่าง อดีตเหตุ กับปั จจุบันผล

๓. วิญญาณ (consciousness) ความรู ้แจ ้งอารมณ์ ๒) ระหว่าง ปั จจุบันผล กับปั จจุบันเหตุ


ได ้แก่ (๒๕๕) วิญญาณ ๖
๓) ระหว่าง ปั จจุบันเหุต กับอนาคตผล
๔. นามรูป (mind and matter) นามและรูป ได ้แก่ เวทนา
สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ หรือตามนัยอภิธรรมว่า นามขันธ์ ง. วัฏฏะ ๓   ดู (๑๐๔) วัฏฏะ ๓
๓+รูป ดู (๒๐๘) ขันธ์ ๕ (ข ้อ ๒-๓-๔) (๓๘-๔๑) รูป ๒-๒๘
จ. อาการ ๒๐ (modes; spokes; qualities) คือองค์ประกอบ
๕. สฬายตนะ (six sense-bases) อายตนะ ๖ ได ้แก่ (๒๖๒) แต่ละอย่าง อันเป็ นดุจกำของล ้อ จำแนกตามส่วนเหตุ (causes)
อายตนะภายใน ๖ และส่วนผล (effects) ได ้แก่

๖. ผ ัสสะ (contact) ความกระทบ, ความประจวบ ได ้แก่ (๒๕๘) ๑) อดีตเหตุ ๕ = อวิชชา สังขาร ตัณหา อุปาทาน ภพ
สัมผัส ๖
๒) ปั จจุบันผล ๕ = วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา
๗. เวทนา (feeling) ความเสวยอารมณ์ ได ้แก่ (๑๑๒) เวทนา ๖
๓) ปั จจุบันเหตุ ๕ = อวิชชา สังขาร ตัณหา อุปาทาน ภพ
๘. ต ัณหา (craving) ความทะยานอยาก ได ้แก่ ตัณหา ๖ มีรป ู
ตัณหา เป็ นต ้น (ตัณหาในรูป ในเสียง ในกลิน
่ ในรส ในสัมผัส ๔) อนาคตผล ๕ = วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา
ทางกาย และในธัมมารมณ์ ดู (๗๓) ตัณหา ๓ ด ้วย
อาการ ๒๐ นี้ ก็คอ
ื หัวข ้อทีก
่ ระจายให ้เต็ม ในทุกช่วงของสังเขป
๙. อุปาทาน (clinging; attachment) ความยึดมั่น ๔ นั่นเอง
ได ้แก่ (๒๐๖) อุปาทาน ๔
ฉ. มูล ๒ (roots) คือ กิเลสทีเ่ ป็ นตัวมูลเหตุ ซึง่ กำหนดเป็ นจุดเริม

๑๐. ภพ (becoming) ภาวะชีวต ิ ได ้แก่ (๙๗) ภพ ๓ อีกนัยหนึง่ ต ้นในวงจรแต่ละช่วง ได ้แก่
ว่า ได ้แก่ กรรมภพ (ภพคือกรรม
— active process of becoming ตรงกับ (๑๒๘) อภิสงั ขาร ๑) อวิชชา เป็ นจุดเริม
่ ต ้นในช่วงอดีต ส่งผลถึงเวทนาในช่วง
๓) กับ อุปปั ตติภพ (ภพคือทีอ
่ บ
ุ ัต ิ — rebirth-process of ปั จจุบัน
becoming ตรงกับ (๙๗) ภพ ๓)
๒) ตัณหา เป็ นจุดเริม
่ ต ้นในช่วงปั จจุบัน ส่งผลถึงชรามรณะใน Vin.I.1; S.II.1; Vbh.235; Comp.188.     วินย.๔/๑/๑; สํ.น.
ช่วงอนาคต ๑๖/๑/๑/; อภิ.วิ.๓๕/๒๗๔/๑๘๕; วิสท ุ ธิ.๓/๑๐๗; สังคห.๔๕.

พึงสังเกตด ้วยว่า การกล่าวถึงส่วนประกอบของภวจักรตามข ้อ ก. (***) ปัจจยาการ ๒   ดู (๓๒๘) ปฏิจจสมุปบาท


ถึง ฉ. นี้ เป็ นคำอธิบายในคัมภีรร์ น
ุ่ หลัง เช่น อภิธัมมัตถสังคหะ
เป็ นต ้น ั
(***) สนโดษ ๑๒   ดู (๑๒๑) สันโดษ ๓, ๑๒

การแสดงหลักปฏิจจสมุปบาท ให ้เห็นความเกิดขึน ้ แห่งธรรม (๓๒๙) อายตนะ ๑๒  (สิง่ ทีเ่ ชือ


่ มต่อกันให ้เกิดความรู ้, แดนต่อ
ต่างๆ โดยอาศัยปั จจัยสืบทอดกันไปอย่างนี้ เป็ น สมุทยวาร คือ หรือแดนเกิดแห่งความรู ้ —sense-fields; sense-spheres)
ฝ่ ายสมุทัย ใช ้เป็ นคำอธิบายอริยสัจข ้อที่ ๒ (สมุทัยสัจ) คือ
แสดงให ้เห็นความเกิดขึน ้ แห่งทุกข์ ปฏิจจสมุปบาท ทีแ ่ สดงแบบ ๑. อายตนะภายใน ๖   ดู (๒๖๒) อายตนะภายใน ๖.
นี้ เรียกว่า อนุโลมปฏิจจสมุปบาท —direct Dependent
Origination)
๒. อายตนะภายนอก   ดู (๒๖๓) อายตนะภายนอก ๖.

การแสดงหลักปฎิจจสมุปบาท ให ้เห็นความเกิดขึน ้ แห่งธรรม


(๓๓๑) กิจ หรือ วิญญาณกิจ ๑๔  (กิจของวิญญาณ, หน ้าที่
ต่างๆ โดยอาศัยปั จจัยสืบทอดกันไปอย่างนี้ เป็ น สมุทยวาร คือ
ของจิต — functions of consciousness; psychic functions)
ฝ่ ายสมุทัย ใช ้เป็ นคำอธิบายอริยสัจข ้อที่ ๒ (สมุทัยสัจ) คือ
แสดงให ้เห็นความเกิดขึน ้ แห่งทุกข์ ปฏิจจสมุปบาท ทีแ ่ สดงแบบ
๑. ปฏิสนธิ (หน ้าทีส ื ต่อภพใหม่ ได ้แก่จต
่ บ ิ ๑๙ คือ อุเบกขาสัน
นี้ เรียกว่า อนุโลมปฏิจจสมุปบาท —direct Dependent
Origination) ติรณะ ๒ มหาวิบาก ๘ รูปวิบาก ๕ อรูปวิบาก ๔ — re-linking;
rebirth-linking)
การแสดงในทางตรงข ้ามกับข ้างต ้นนี้ เป็ น นิโรธวาร คือฝ่ ายนิโรธ
ใช ้อธิบายอริยสัจ ข ้อที่ ๓ (นิโรธสัจ) เรียกว่า ปฏิโลมปฏิจจสมุ ๒. ภว ังค (หน ้าทีเ่ ป็ นองค์ของภพ ได ้แก่จต
ิ ๑๙ อย่างเดียวกับ
ปบาท (reverse Dependent Origination ซึง่ ความจริงก็ ปฏิสนธิ — life-continuum; factor for being)
คือ Dependent Extinction นั่นเอง) แสดงให ้เห็นความดับไป
แห่งทุกข์ ด ้วยอาศัยความดับไปแห่งปั จจัยทัง้ หลายสืบทอดกัน ๓. อาว ัชชนะ (หน ้าทีคำ
่ นึงอารมณ์ใหม่ ได ้แก่ จิต ๒ คือ ปั ญจ
ไป ตัวบทของปฏิจจสมุปบาทแบบปฏิโลมนี้ พึงเทียบจากแบบ ทวาราวัชชนะ และมโนทวาราวัชชนะ — apprehending;
อนุโลมนั่นเอง เช่น adverting)

๑/๒. อวิชฺชาย เตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ เพราะ ๔. ท ัสสนะ (หน ้าทีเ่ ห็นรูป ได ้แก่ จักขุวญ
ิ ญาณ ๒ — seeing)
อวิชชาสำรอกดับไปไม่เหลือ สังขารจึงดับ (Through the total
fading away and cessation of lgnorance, cease Karma- ๕. สวนะ (หน ้าทีไ่ ด ้ยินเสียง ได ้แก่ โสตวิญญาณ ๒
Formations.) — hearing)

๓. สงฺขารนิโรธา วิญฺญาณนิโรโธ เพราะสังขารดับ วิญญาณ ๖. ฆายนะ (หน ้าทีร่ ู ้กลิน


่ ได ้แก่ ฆานวิญญาณ ๒ — smelling)
จึงดับ (Through the cessation of Karma-Formations.
ceases Consciousness.) ๗. สายนะ (หน ้าทีล
่ ม
ิ้ รส ได ้แก่ ชิวหาวิญญาณ ๒ — tasting)

ฯลฯ ๘. ผุสนะ (หน ้าทีถ


่ ก
ู ต ้องโผฏฐัพพะ ได ้แก่ กายวิญญาณ ๒
— contacting; touching)
๑๒. ชาตินโิ รธา ชรามรณํ  เพราะชาติดับ ชรามรณะ (จึงดับ)
(Through the cessation go Birth, cease Decay and ั
๙. สมปฏิ จฉนะ (หน ้าทีร่ ับอารมณ์ ได ้แก่ สัมปฏิจฉนะ ๒
Death.) — receiving)
โสกปริเทวทุกฺขโมทนสฺสป ุ ายาสา นิรช
ุ ฺฌนฺ ต ิ
ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส ความคับแค ้นใจ ก็ดับ ั รณะ (หน ้าทีพ
๑๐. สนตี ่ จิ ารณาอารมณ์ ได ้แก่ สันตีรณะ ๓
(Also cease sorrow, lamentation, pain, grief and despair.) — investigating)
เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกกฺขนฺ ธสฺส นิโรโธ โหติ.
ความดับแห่งกองทุกข์ทงั ้ ปวงนี้ ย่อมมีด ้วยประการฉะนี้ ๑๑. โวฏฐ ัพพนะ หรือ โวฏฐปนะ (หน ้าทีต
่ ัดสินอารมณ์ ได ้แก่
(Thus comes about the cessation of this whole mass of มโนทวาราวัชชนะ ๑ —determining)
suffering.)
๑๒. ชวนะ (หน ้าทีแ่ ล่นเสพอารมณ์ อันเป็ นช่วงทีทำ
่ กรรม ได ้แก่
นีเ้ ป็ นอนุโลมเทศนาของปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท ส่วนปฏิโลม จิต ๕๕ คือ กุศลจิต ๒๑ อกุศลจิต ๑๒ กิรยิ าจิต๑๘ คือเว ้นอาวัช
เทศนา ก็พงึ แสดงย ้อนว่า ชรามรณะ เป็ นต ้น ดับ เพราะชาติดับ ชนะทัง้ สอง โลกุตตรผลจิต ๔ — apperception; impulsion)
ชาติดับเพราะภพดับ ฯลฯ สังขารด ้วยเพราะอวิชชาดับ อย่างเดียว
กับในอนุโลมปฏิจจสมุปบาท
๑๓. ตทาล ัมพนะ (หน ้าทีอ ่ ารมณ์ตอ
่ จากชวนะก่อนตกภวังค์
ได ้แก่ จิต ๑๑ คือ มหาวิบาก ๘ สันตีรณะ ๓ — retention;
ปฏิจจสมุปบาทนี้ มีชอ ื่ เรียกอย่างอืน
่ อีก ทีสำ
่ คัญคือ อิทัปปั จจย registration)
ตา (ภาวะทีม ่ อ
ี น
ั นีๆ้ เป็ นปั จจัย —specific conditionality) ธรรม
นิยาม (ความเป็ นไปอันแน่นอนแห่งธรรมดา, กฎธรรมชาติ —
๑๔. จุต ิ (หน ้าทีเ่ คลือ
่ นจากภพปั จจุบัน ได ้แก่ จิต ๑๙ อย่างเดียว
orderliness of nature; natural law) และ ปั จจยาการ (อาการ
กับในปฏิสนธิ — decease; death; shifting)
่ งิ่ ทัง้ หลายเป็ นปั จจัยแก่กน
ทีส ั —mode of conditionality;
structure of conditions) เฉพาะชือ ่ หลังนีเ้ ป็ นคำทีน ิ มใช ้ใน
่ ย
คัมภีรอ ์ ภิธรรม และคัมภีรร์ น ุ่ อรรถกถา. จัดโดยฐานทีจ ่ ต
ิ ทำกิจ ๑๔ นี้ มี ๑๐ คือ รวมข ้อ ๔-๕-๖-๗-๘
เป็ นข ้อเดียว คือ ปั ญจวิญญาณฐาน (fivefold sense-
impressions) นอกนัน ่ เดิม
้ คงชือ
กิจ ๑๔ นี้ ในวิสท
ุ ธิมรรคเรียกว่า วิญญาณปวัตติ หรือ วิญญาณป ๑. จ ักขุธาตุ (ธาตุคอ
ื จักขุปสาท — eye element)
วัตติอาการ (อาการทีว่ ญิ ญาณเป็ นไป — modes of occurrence
of consciousness) ๒. รูปธาตุ (ธาตุคอ
ื รูปารมณ์ — visible-data element)

ดู (๓๔๒) จิต ๘๙. ๓. จ ักขุวญ


ิ ญาณธาตุ (ธาตุคอ
ื จักขุวญ
ิ ญาณ — eye-
consciousness element)
(๓๓๔) อุปกิเลส หรือ จิตตอุปกิเลส ๑๖ (ธรรมเครือ ่ ง
เศร ้าหมอง, สิง่ ทีทำให ้จิตขุน
่ มัว รับคุณธรรมได ้ยาก ดุจผ ้าเปรอะ ๔. โสตธาตุ (ธาตุคอ
ื โสตปสาท — ear element)
เปื้ อนสกปรก ย ้อมไม่ได ้ดี — mental defilements)

๕. สททธาตุ
 (ธาตุคอ
ื สัททารมณ์ — sound element)
๑. อภิชฌาวิสมโลภะ (คิดเพ่งเล็งอยากได ้ โลภไม่สมควร, โลภ
กล ้า จ ้องจะเอาไม่เลือกควรไม่ควร — greed and ๖. โสตวิญญาณธาตุ (ธาตุคอ
ื โสตวิญญาณ — ear-
covetousness; covetousness and unrighteous greed) consciousness element)

๒. พยาบาท (คิดร ้ายเขา — malevolence; illwill) ๗. ฆานธาตุ (ธาตุคอ


ื ฆานปสาท — nose element)

๓. โกธะ (ความโกรธ — anger) ๘. ค ันธธาตุ (ธาตุคอ


ื คันธารมณ์ — odor element)

๔. อุปนาหะ (ความผูกโกรธ — grudge; spite) ๙. ฆานวิญญาณธาตุ (ธาตุคอื ฆานวิญญาณ — nose-


conscious-ness element)
๕. ม ักขะ (ความลบหลูค ่ ณ
ุ ท่าน, ความหลูค ่ วามดีของผู ้อืน
่ , การ
ลบล ้างปิ ดซ่อนคุณค่าความดีของผู ้อืน
่ — detraction; ๑๐. ชิวหาธาตุ (ธาตุคอ
ื ชิวหาปสาท — tongue element)
depreciation; denigration)
๑๑. รสธาตุ (ธาตุคอ
ื รสารมณ์ — flavor element)
๖. ปลาสะ (ความตีเสมอ, ยกตัวเทียมท่าน, เอาตัวขึน
้ ตัง้ ขวางไว ้
ไม่ยอมยกให ้ใครดีกว่าตน —domineering; rivalry; envious
๑๒. ชิวหาวิญญาณธาตุ (ธาตุคอ
ื ชิวหาวิญญาณ — tongue-
rivalry)
consciousness element)

๗. อิสสา (ความริษยา — envy; jealousy)


๑๓. กายธาตุ (ธาตุคอ
ื กายปสาท — body element)

๘. ม ัจฉริยะ (ความตระหนี่ — stinginess; meanness)


๑๔. โผฏฐ ัพพธาตุ (ธาตุคอ
ื โผฏฐัพพารมณ์ — tangible-data
element)
๙. มายา (มารยา — deceit)
๑๕. กายวิญญาณธาตุ (ธาตุคอ
ื กายวิญญาณ — body-
๑๐. สาเถยยะ (ความโอ ้อวดหลอกเขา, หลอกด ้วยคำโอ ้อวด consciousness element)
— hypocrisy)
๑๖. มโนธาตุ (ธาตุคอ
ื มโน — mind element)
๑๑. ถ ัมภะ (ความหัวดือ
้ , กระด ้าง — obstinacy; rigidity)
๑๗. ธรรมธาตุ (ธาตุคอ
ื ธรรมารมณ์ — mental-data element)
๑๒. สาร ัมภะ (ความแข่งดี, ไม่ยอมลดละ มุง่ แต่จะเอาชนะกัน
— presumption; competing contention; contentiousness;
๑๘. มโนวิญญาณธาตุ (ธาตุคอ
ื มโนวิญญาณ — mind-
contentious rivalry; vying; strife)
consciousness element)

๑๓. มานะ (ความถือตัว, ทะนงตน — conceit)


ข ้อควรสังเกต

๑๔. อติมานะ (ความถือตัวว่ายิง่ กว่าเขา, ดูหมิน


่ เขา
ก. ข ้อ ๓-๖-๙-๑๒-๑๕ ได ้แก่ ทวิปัญจวิญญาณ รวมเป็ นจิต =
— excessive conceit; contempt)
๑๐

๑๕. มทะ (ความมัวเมา — vanity)
ข. ข ้อ ๑๖ มโนธาตุ ได ้แก่ สัมปฏิจฉนะ ๒ กับปั ญจทวาราวัชชนะ
๑  รวมเป็ นจิต = ๓
๑๖. ปมาทะ (ความประมาท, ละเลย, เลินเล่อ
— heedlessness; negligence; indolence)
ค. ข ้อ ๑๘ มโนวิญญาณธาตุ ได ้แก่ จิตนอกเหนือจากนัน
้ อีก ๗๖

ข ้อ ๒ มีตา่ งออกไป คือ ในธัมมทายาทสูตร เป็ น โทสะ (ความคิด


้  = ๘๙
รวมเป็ นจิตทัง้ สิน
ประทุษร ้ายเขา — hatred) (ม.มู.๑๒/๒๖/๒๖)
(๓๓๙) มงคล ๓๘ (สิง่ ทีทำ
่ ให ้มีโชคดี, ธรรมอันนำมา
ซึง่ ความสุขความเจริญ — blessings; เรียกเต็มว่า อุดมมงคล คือ
มงคลอันสูงสุด — highest blessings)
(๓๓๕) ธาตุ ๑๘ (สิง่ ทีท ่ รงสภาวะของตนอยูเ่ อง ตาม
ทีเ่ หตุปัจจัยปรุงแต่งขึน ้ เป็ นไปตามธรรมนิยามคือกำหนดแห่ง
คาถาที่ ๑
ธรรมดา ไม่มผ ี ู ้สร ้างผู ้บันดาล และมีรปู ลักษณะกิจอาการเป็ นแบบ
จำเพาะตัว อนพึงกำหนดเอาเป็ นหลักได ้แต่ละอย่างๆ
— elements) ๑. อเสวนา จ พาลานํ (ไม่คบคนพาล — not to associate
with fools; to dissociate from the wicked)
๒. ปณฺ ฑติ านญฺจ เสวนา (คบบัณฑิต — to associate with ๑๙. อารตี วิรตี ปาปา (เว ้นจากความชัว่ — abstaining from
the wise) evils and avoiding them)

๓. ปูชา จ ปูชนียานํ (บูชาคนทีค
่ วรบูชา — to honor those ๒๐. มชฺชปานา จ สญฺญโม (เว ้นจากการดืม
่ น้ำเมา
who are worthy of honor) — abstinence from intoxicants)

คาถาที่ ๒ ๒๑. อปฺปมาโท จ ธมฺเมสุ (ไม่ประมาทในธรรมทัง้ หลาย


— diligence in virtue; perseverance in virtuous acts)
๔. ปฏิรปู เทสวาโส จ (อยูใ่ นปฏิรป ่ มีสงิ่ แวดล ้อมดี
ู เทศ, อยูใ่ นถิน
— living in a suitable region; good environment) คาถาที่ ๗

๕. ปุพฺเพ จ กตปุญฺญตา (ได ้ทำความดีให ้พร ้อมไว ้ก่อน, ๒๒. คารโว จ (ความเคารพ, การแสดงออกทีแ ่ สดงถึงความเป็ น
ทำความดีเตรียมพร ้อมไว ้แต่ต ้น —having formerly done ผู ้รู ้จักคุณค่าของบุคคล สิง่ ของ หรือกิจการนัน
้ ๆ และรู ้จักให ้ความ
meritorious deeds) สำคัญและความใส่ใจเอือ ้ เฟื้ อโดยเหมาะสม
— reverence;respect; appreciative action)
๖. อตฺตสมฺมาปณิธ ิ จ (ตัง้ ตนไว ้ชอบ — setting oneself in
the right course; right direction in self-guidance; perfect ๒๓. นิวาโต จ (ความสุภาพอ่อนน ้อม, ถ่อมตน — humility;
self-adjustment) courtesy; politeness)

คาถาที่ ๓ ๒๔. สนฺตฏ ุ ฺฐี จ (ความสันโดษ, ความเอิบอิม ่ พึงพอใจในผล


สำเร็จทีไ่ ด ้สร ้างขึน
้ หรือในปั จจัยลาภทีแ
่ สวงหามาได ้ ด ้วย
๗. พาหุสจฺจญฺจ (เล่าเรียนศึกษามาก, ทรงความรู ้กว ้างขวาง, เรีย
่ วแรงความเพียรพยายามของตนเองโดยทางชอบธรรม —
ใส่ใจสดับตรับฟั ง ค ้นคว ้าหาความรู ้อยูเ่ สมอ — great learning; contentment)
extensive learning)
๒๕. กตญฺญต
ุ า (มีความกตัญญู — gratitude)
ิ ปวิทยา, ชำนาญในวิชาชีพของตน — skill;
๘. สิปฺปญฺจ (มีศล
knowledge of the arts and sciences) ๒๖. กาเลน ธมฺมสฺสวนํ (ฟั งธรรมตามกาล, หาโอกาสแสวงหา
ความรู ้เกีย
่ วกับหลักความจริง ความดีงาม และเรือ
่ งทีเ่ ป็ น
ิ ฺขโิ ต (มีระเบียบวินัย, ได ้ฝึ กอบรมตนไว ้ดี
๙. วินโย จ สุสก ประโยชน์ — the opportune hearing of the Doctrine;
— highly trained discipline) listening to good advice and the teaching of Truth on due
occasions)
๑๐. สุภาสิตา จ ยา วาจา (วาจาสุภาษิต, รู ้จักใช ้วาจาพูดให ้
เป็ นผลดี — well-spoken speech) คาถาที่ ๘

คาถาที่ ๔ ๒๗. ขนฺต ี จ (มีความอดทน


— patience; forbearance; tolerance)
๑๑. มาตาปิ ตุอป
ุ ฏฺฐานํ (บำรุงมารดาบิดา — support of
mother and father) ๒๘. โสวจสฺสตา (เป็ นผู ้ว่าง่ายสอนง่าย, พูดกันง่าย ฟั งเหตุผล
— amenability to correction; obedience)
๑๒/๑๓. ปุตฺตทารสฺส สงฺคโห = ปุตฺตสงฺคห (สงเคราะห์บต ุ ร
— cherishing of children) และ ทารสงฺคห (สงเคราะห์ภรรยา ๒๙. สมณานญฺจ ทสฺสนํ (พบเห็นสมณะ, เยีย ่ มเยียนเข ้าหา
— cherishing of wife) ท่านผู ้สงบกิเลส — seeing the holy men)

๑๔. อนากุลา จ กมฺมนฺ ตา (การงานไม่อากูล — a livelihood ๓๐. กาเลน ธมฺมสากจฺฉา (สนทนาธรรมตามกาล, หาโอกาส


which is free from complications) สนทนาแลกเปลีย ่ นความรู ้ความคิดเห็นกันเกีย ่ วกับหลักความจริง
ความดีงามและเรือ่ งทีเ่ ป็ นประโยชน์ — religious discussion at
คาถาที่ ๕ due seasons; regular or opportune discussion of Truth)

๑๕. ทานญฺจ (รู ้จักให ้, เผือ


่ แผ่แบ่งปั น, บริจาคสงเคราะห์และ คาถาที่ ๙
บำเพ็ญประโยชน์ — charity; liberality; generosity)
๓๑. ตโป จ (มีความเพียรเผากิเลส, รู ้จักบังคับควบคุมตน ไม่
๑๖. ธมฺมจริยา จ (ประพฤติธรรม, ดำรงอยูใ่ นศีลธรรม ปรนเปรอตามใจอยาก — self-control; simple life)
— righteous conduct)
๓๒. พฺรหฺมจริยญฺจ (ประพฤติพรหมจรรย์, ดำเนินตาม
๑๗. ญาตกานญฺจ สงฺคโห (สงเคราะห์ญาติ — rendering aid อริยมรรค, การรู ้จักควบคุมตนในทางเพศ หรือถือเมถุนวิรัตตาม
to relations) ควร — a holy life)

๑๘. อนวชฺชานิ กมฺมานิ (การงานทีไ่ ม่มโี ทษ, กิจกรรมทีด ่ งี าม ๓๓. อริยสจฺจาน ทสฺสนํ (เห็นอริยสัจ, เข ้าใจความจริงของชีวต



เป็ นประโยชน์ ซึง่ ไม่เป็ นทางเสียหาย — blameless actions; — discernment of the Noble Truths)
unexceptionable or beneficial activities)
๓๔. นิพฺพานสจฺฉกิ ริ ย
ิ า จ (ทำพระนิพพานให ้แจ ้ง, บรรลุ
คาถาที่ ๖ นิพพาน — realization of Nibbana)
คาถาที่ ๑๐ ๘. วิตก (ความตรึกอารมณ์ — initial application; thought
conception; applied thought)
๓๕. ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ (ถูกโลกธรรม
จิตไม่หวั่นไหว — to have a mind which is not shaken ๙. วิจาร (ความตรองหรือพิจารณาอารมณ์ — sustained
when touched by worldly vicissitudes) application; discursive thinking; sustained thought)

๓๖. อโสกํ (จิตไร ้เศร ้า — to have the mind which is free ๑๐. อธิโมกข์ (ความปลงใจหรือปั กใจในอารมณ์
from sorrow) — determination; resolution)

๓๗. วิรชํ (จิตปราศจากธุล ี — to have the mind which is ๑๑. วิรย


ิ ะ (ความเพียร — effort; energy)
undefiled)
๑๒. ปี ติ (ความปลาบปลืม
้ ในอารมณ์, อิม
่ ใจ — joy; interest)
๓๘. เขมํ (จิตเกษม — to have the mind which is secure)
๑๓. ฉ ันทะ (ความพอใจในอารมณ์ — conation; zeal)
แต่ละคาถามีบทสรุปว่า "เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ" (นีเ้ ป็ นมงคลอันอุดม
— this is the highest blessing) ข. อกุศลเจตสิก ๑๔ (เจตสิกฝ่ ายอกุศล — immoral or
unwholesome mental factors; unprofitable mental
มีคาถาสรุปท ้ายมงคลทัง้ ๓๘ นีว้ า่ factors)

    "เอตาทิสานิ กตฺวาน        สพฺพตฺถมปราชิตา ๑) สัพพากุสลสาธารณเจตสิก ๔ (เจตสิกทีเ่ กิดทั่วไปกับอกุศล


จิตทุกดวง — universal immorals; the Primary)
    สพฺพตฺถ โสตฺถ ี คจฺฉนฺ ต ิ    ตนฺ เตสํ มงฺคลมุตฺตมนฺ ต.ิ "
๑๔. โมหะ (ความหลง — delusion) ๑๕. อหิรก
ิ ะ (ความไม่
แปลว่า "เทวะมนุษย์ทงั ้ หลายกระทำมงคลเช่นนีแ ้ ล ้ว ย่อมเป็ นผู ้ ละอายต่อบาป — shamelessness; lack of moral shame)
ไม่ปราชัยในทีท
่ ก
ุ สถาน ย่อมถึงความสวัสดีในทีท่ งั ้ ปวง นีค
้ อ
ื อุดม
มงคลของเทวะมนุษย์เหล่านัน ้ ." (Those who have done ๑๖. อโนตต ัปปะ (ความไม่สะดุ ้งกลัวต่อบาป — fearlessness;
these things see no defeat and go in safety everywhere. lack of moral dread)
To them these are the highest blessings.)
๑๗. อุทธ ัจจะ (ความฟุ้ งซ่าน — restlessness; unrest)
(๓๔๑) เจตสิก ๕๒ (ธรรมทีป ่ ระกอบกับจิต, สภาว
ธรรมทีเ่ กิดดับพร ้อมกับจิต มีอารมณ์และวัตถุทอ ี่ าศัยเดียวกันกับ ๒) ปกิณณกอกุศลเจตสิก ๑๐ (อกุศลเจตสิกทีเ่ กิดเรีย
่ รายแก่
จิต, อาการและคุณสมบัตต ิ า่ งๆ ของจิต — mental factors; อกุศลจิต — particular immorals; the Secondary)
mental concomitants)
๑๘. โลภะ (ความอยากได ้อารมณ์ — greed) ๑๙. ทิฏฐิ (ความ
ก. อัญญาสมานาเจตสิก ๑๓ (เจตสิกทีม ่ เี สมอกันแก่จต
ิ พวกอืน
่ เห็นผิด — wrong view)
คือ ประกอบเข ้าได ้กับจิตทุกฝ่ ายทัง้ กุศลและอกุศล มิใช่เข ้าได ้
แต่ฝ่ายใดฝ่ ายหนึง่ พวกเดียว — the Common-to-Each-Other; ๒๐. มานะ (ความถือตัว — conceit)
general mental factors)
๒๑. โทสะ (ความคิดประทุษร ้าย — hatred)
๑) สัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๗ (เจตสิกทีเ่ กิดทั่วไปกับจิตทุก
ดวง — universal mental factors; the Primary)
๒๒. อิสสา (ความริษยา — envy; jealousy)

๑. ผ ัสสะ (ความกระทบอารมณ์ — contact; sense-


๒๓. ม ัจฉริยะ (ความตระหนี่ — stinginess; meanness)
impression)
๒๔. กุกกุจจะ (ความเดือดร ้อนใจ — worry; remorse)
๒. เวทนา(ความเสวยอารมณ์ — feeling)
๒๕. ถีนะ (ความหดหู่ — sloth)

๓. สญญา (ความหมายรู ้อารมณ์ — perception)
๒๖. มิทธะ (ความง่วงเหงา — torpor)
๔. เจตนา (ความจงใจต่ออารมณ์ — volition)
๒๗. วิจกิ จ
ิ ฉา (ความคลางแคลงสงสัย — doubt;
๕. เอก ัคคตา (ความมีอารมณ์เป็ นอันเดียว — one-
uncertainty; scepsis)
pointedness; concentration)
ค. โสภณเจตสิก ๒๕ (เจตสิกฝ่ ายดีงาม
๖. ชีวต
ิ น
ิ ทรีย ์ (อินทรียค
์ อ
ื ชีวต
ิ , สภาวะทีเ่ ป็ นใหญ่ในการรักษา
— beautiful mental factors; lofty mental factors)
นามธรรมทัง้ ปวง — vitality; life-faculty)
๑) โสภณสาธารณเจตสิก ๑๙ (เจตสิกทีเ่ กิดทั่วไปกับจิตดีงาม
๗. มนสิการ (ความกระทำอารมณ์ไว ้ในใจ, ใส่ใจ — attention)
ทุกดวง — universal beautifulmental factors; the Primary)

๒) ปกิณณกเจตสิก ๖ (เจตสิกทีเ่ รีย ่ รายแพร่กระจายทั่วไป คือ



๒๘. สทธา (ความเชื
อ ่ — confidence; faith)
เกิดกับจิตได ้ทัง้ ฝ่ ายกุศล และอกุศล แต่ไม่แน่ นอนเสมอไปทุก
ดวง — particular mental factors; the Secondary)
๒๙. สติ (ความระลึกได ้, ความสำนึกพร ้อมอยู่ — mindfulness)
๓๐. หิร ิ (ความละอายต่อบาป — moral shame; conscience) ๕๒. ปัญญินทรีย ์ หรือ อโมหะ (ความรู ้เข ้าใจ ไม่หลง
— undeludedness; wisdom)
๓๑. โอตต ัปปะ (ความสะดุ ้งกลัวต่อบาป — moral dread)

๓๒. อโลภะ (ความไม่อยากได ้อารมณ์ — non-greed)

๓๓. อโทสะ (ความไม่คด
ิ ประทุษร ้าย — non-hatred)

๓๔. ต ัตรม ัชฌ ัตตตา (ความเป็ นกลางในอารมณ์นัน


้ ๆ
— equanimity; specific neutrality)

ั  (ความสงบแห่งกองเจตสิก — tranquillity of
๓๕. กายปัสสทธิ
mental body)

ั  (ความสงบแห่งจิต — tranquillity of mind)


๓๖. จิตตปัสสทธิ

๓๗. กายลหุตา (ความเบาแห่งกองเจตสิก — lightness of
mental body; agility of ~ )

๓๘. จิตตลหุตา (ความเบาแห่งจิต — lightness of mind;


agility of ~ )

๓๙. กายมุทตุ า (ความอ่อนหรือนุ่มนวลแหงกองเจตสิก
— pliancy of mental body; elasticity of ~ )

๔๐. จิตตมุทต ุ า (ความอ่อนหรือนุ่มนวลแห่งจิต — pliancy of


mind; elasticity of ~ )

๔๑. กายก ัมม ัญญตา (ความควรแก่การงานแห่งกองเจตสิก


— adaptability of mind; wieldiness of ~ )

๔๒. จิตตก ัมม ัญญตา (ความควรแก่การงานแห่งจิต


— adaptability of mind; wieldiness of~ )

๔๓. กายปาคุญญตา (ความคล่องแคล่วแห่งกองเจตสิก
— proficiency of mental body)

๔๔. จิตตปาคุญญตา (ความคล่องแคล่วแห่งจิต
— proficiency of mind)

๔๕. กายุชุกตา (ความซือ่ ตรงแห่งกองเจตสิก — rectitude of


mental body; uprightness of~ )

่ ตรงแห่งจิต — rectitude of mind;


๔๖. จิตตุชุกตา (ความซือ
uprightness of ~ )

๒) วิรตีเจตสิก ๓ (เจตสิกทีเ่ ป็ นตัวความงดเว ้น — abstinences)


๔๗. สมมาวาจา (เจรจาชอบ — right speech)


๔๘. สมมาก ัมม ันตะ (กระทำชอบ — right action)


๔๙. สมมาอาชี
วะ (เลีย
้ งชีพชอบ — right livelihood)

๓) อัปปมัญญาเจตสิก ๒ (เจตสิกคืออัปปมัญญา — boundless


states)

๕๐. กรุณา (ความสงสารสัตว์ผู ้ถึงทุกข์ — compassion)

๕๑. มุทต
ิ า (ความยินดีตอ
่ สัตว์ผู ้ได ้สุข — sympathetic joy)

๔) ปั ญญินทรียเ์ จตสิก ๑ (เจตสิกคือปั ญญินทรีย ์ — faculty of


wisdom)

You might also like