Professional Documents
Culture Documents
Triad
Triad
(ความใคร่, ความอยาก, ความปรารถนา, สิง่ ที่ ๑. ปัญญาปิ ยบ ัญญ ัติ หรือ อรรถบ ัญญ ัติ (บัญญัตใิ นแง่เป็ นสิง่
น่าใคร่น่าปรารถนา — sensuality) อันพึงให ้รู ้กัน, บัญญัตท
ิ เี่ ป็ นความหมาย, บัญญัตค ิ อื ความหมาย
อันพึงกำหนดเรียก, ตัวความหมายทีจ ่ เรียก —the
่ ะพึงถูกตัง้ ชือ
๑. กิเลสกาม (กิเลสทีทำ
่ ให ้ใคร่, ความอยากทีเ่ ป็ นตัวกิเลส Pannatti to be made Known or conveyed; concept)
— subjective sensuality)
๒. ปัญญาปนบ ัญญ ัติ หรือ นามบ ัญญ ัติ หรือ สททบ ั ัญญ ัติ
ั น่าใคร่, สิง่ ทีน
๒. ว ัตถุกาม (วัตถุอน ่ ่าปรารถนา, สิง่ ทีอ
่ ยากได ้, (บัญญัตใิ นแง่เป็ นเครือ ่ งให ้รู ้กัน, บัญญัตท ่ , บัญญัตท
ิ เี่ ป็ นชือ ิ เี่ ป็ น
กามคุณ —objective sensuality) ่ ทีต
ศัพท์, ชือ ้ ใช ้เรียก — the Pannatti that makes Known
่ งั ้ ขึน
or conveys; term; designation)
ั
๑. สงขตธรรม (สิง่ ทีป่ ั จจัยปรุงแต่ง คือ ขันธ์ ๕ ทัง้ หมด ๖. อวิชชมาเนน อวิชชมานบ ัญญ ัติ (บัญญัตส ิ งิ่ ทีไ่ ม่ม ี ด ้วยสิง่
ทีไ่ ม่ม ี เช่น ราชโอรส ลูกเศรษฐี เป็ นต ้น — designation of an
— conditioned things; compounded things) unreality by means of an unreality; unreal concept by
means of an unreal concept)
ั
๒. อสงขตธรรม (สิง่ ทีป่ ั จจัยไม่ปรุงแต่ง คือ นิพพาน — the
Unconditioned, i.e. Nibbana) (๓๒) ปธาน ๒ (ความเพียร หมายเอาความเพียรที่
ทำได ้ยาก — hard struggles; painstaking endeavors)
(๒๒) ธรรม ๒๔ (สภาวะ, สิง่ , ปรากฏการณ์
— thing; states; phenomena) ๑. ความเพียรของคฤห ัสถ์ ทีจ ่ ะอำนวยปัจจ ัย ๔ (แก่
บรรพชิต เป็ นต ้น) — struggle of householders to provide
๑. อุปาทินนธรรม (ธรรมทีถ ่ ก
ู ยึด, ธรรมทีก
่ รรมอันสัมปยุตด ้วย the four requisites.
ตัณหาและทิฏฐิเข ้ายึดครอง ได ้แก่ นามขันธ์ ๔ ทีเ่ ป็ นวิบาก และ
รูปทีเ่ กิดแต่กรรมทัง้ หมด — states grasped by craving and ๒. ความเพียรของบรรพชิตทีจ ่ ะไถ่ถอนกองกิเลส —
false view; grasped states) struggle of the homeless to renounce all substrates of
rebirth.
๑๗. วจีวญ ิ ญ ัติ (การเคลือ
่ นไหวให ้รู ้ความหมายด ้วยวาจา ๒. อปฺปฏิวาณิตา ปธานสฺม ึ (ความไม่ระย่อในการพากเพียร,
: verbal intimation; speech) การเพียรพยายามก ้าวหน ้าเรือ
่ ยไปไม่ยอมถอยหลัง
— perseverance in exertion; unfaltering effort)
ฏ. วิการรูป ๕ (รูปคืออาการทีด่ ัดแปลงทำให ้แปลกให ้พิเศษได ้
: material quality of plasticity or alterability) (๖๘) กุศลวิตก ๓ (ความตรึกทีเ่ ป็ นกุศล, ความนึกคิด
ทีด
่ งี าม — wholesome thoughts)
๒. อพยาบาทวิตก (ความตรึกปลอดจากพยาบาท, ความนึกคิด
ั ส) ก ัมม ัญญตา (ความควรแก่การงาน, ใช ้การได ้
๒๐. (รูปส
ทีป
่ ระกอบด ้วยเมตตา ไม่ขด
ั เคืองหรือเพ่งมองในแง่ร ้าย
: adaptability; wieldiness)
— thought free from hatred)
ู ๒ ไม่นับเพราะซ้ำในข ้อ ญ.
๐. วิญญ ัติรป ๓. อวิหงิ สาวิตก (ความตรึกปลอดจากการเบียดเบียน, ความ
นึกคิดทีป
่ ระกอบด ้วยกรุณาไม่คด
ิ ร ้ายหรือมุง่ ทำลาย — thought
of non-violence; thought free from cruelty)
ฏ. ลักขณรูป ๔ (รูปคือลักษณะหรืออาการเป็ นเครือ
่ งกำหนด
: material quality of salient features)
่ วชาญ
(๗๐) โกศล ๓ (ความฉลาด, ความเชีย
— proficiency)
๒๑. (รูปสั ส) อุปจย (ความก่อตัวหรือเติบขึน
้ : growth;
integration) ๑. อายโกศล (ความฉลาดในความเจริญ, รอบรู ้ทางเจริญ และ
เหตุของความเจริญ — proficiency as to gain or progress)
๒๒. (รูปส ั (ความสืบต่อ : continuity)
ั ส) สนตติ
๒. อปายโกศล (ความฉลาดในความเสือ ่ ม, รอบรู ้ทางเสือ
่ มและ
่ ม — proficiency as to loss or regress)
เหตุของความเสือ
ั ส) ชรตา (ความทรุดโทรม : decay)
๒๓. (รูปส
๓. อุปายโกศล (ความฉลาดในอุบาย, รอบรู ้วิธแ ี ก ้ไขเหตุการณ์
ั ส) อนิจจตา (ความปรวนแปรแตกสลาย
๒๔. (รูปส และวิธท
ี จ
ี่ ะทำให ้สำเร็จ — proficiency as to means and
: impermanence) method)
(๖๔) อุปญ
ั ญาตธรรม ๒ (ธรรมทีพ ่ ระพุทธเจ ้าได ้ทรง
(๘๖) นิมต
ิ ๓ (เครือ ่ งหมายสำหรับให ้จิตกำหนดในการ
ปฏิบัตเิ ห็นคุณประจักษ์กบ
ั พระองค์เอง คือ พระองค์ได ้ทรงอาศัย
เจริญกรรมฐาน, ภาพทีเ่ ห็นในใจอันเป็ นตัวแทนของสิง่ ทีใ่ ช ้
ธรรม ๒ อย่างนีดำ้ เนินอริยมรรคจนบรรลุจด ุ หมายสูงสุด คือ
อารมณ์กรรมฐาน —sign; mental image)
สัมมาสัมโพธิญาณ — two virtues realized or ascertained by
the Buddha himself)
๑. บริกรรมนิมต ิ (นิมต
ิ แห่งบริกรรม, นิมต
ิ ตระเตรียมหรือนิมต
ิ
่ ได ้แก่สงิ่ ใดก็ตามทีกำ
แรกเริม ่ หนดเป็ นอารมณ์ในการเจริญ
กรรมฐาน เช่น ดวงกสิณทีเ่ พ่งดู หรือ พุทธคุณทีน ่ ก
ึ เป็ นอารมณ์ เช่นว่า เวทนาไม่เทีย ่ ง มีความแปรปรวนไปเป็ นธรรมดา ไม่ใช่ตัว
ว่าอยูใ่ นใจเป็ นต ้น — preliminary sign) ได ้ในกรรมฐานทัง้ ๔๐ ไม่ใช่ตน ดังนีเ้ ป็ นต ้น — full knowledge as investigating;
diagnosis as judgment)
๒. อุคคหนิมต ิ (นิมต
ิ ทีใ่ จเรียน, นิมต
ิ ติดตา ได ้แก่ บริกรรมนิมต
ิ
นัน
้ เพ่งหรือนึกกำหนดจนเห็นแม่นในใจ เช่น ดวงกสิณทีเ่ พ่งจน ๓. ปหานปริญญา (กำหนดรู ้ด ้วยการละ, กำหนดรู ้ถึงขัน ้ ละได ้,
ติดตา หลับตามองเห็น เป็ นต ้น — learning sign; abstract กำหนดรู ้โดยตัดทางมิให ้ฉันทราคะเกิดมีในสิง่ นัน
้ คือรู ้ว่าสิง่ นัน
้
sign; visualized image) ได ้ในกรรมฐานทัง้ ๔๐ เป็ นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล ้ว ละนิจจสัญญาเป็ นต ้น ในสิง่ นัน ้
เสียได ้ — full knowledge as abandoning; diagnosis as
๓. ปฏิภาคนิมต ิ (นิมต
ิ เสมือน, นิมติ เทียบเคียง ได ้แก่ นิมต ิ ที่ abandoning)
เป็ นภาพเหมือนของอุคคหนิมต ้ แต่เป็ นสิง่ ทีเ่ กิดจากสัญญา
ิ นัน
เป็ นเพียงอาการปรากฏแก่ผู ้ได ้สมาธิจงึ บริสท ุ ธิจ์ นปราศจากสี ปริญญา ๓ นี้ เป็ นโลกียะ มีขน ั ธ์ ๕ เป็ นอารมณ์ เป็ นกิจในอริยสัจ
เป็ นต ้น และไม่มมี ลทินใด ๆ ทัง้ สามารถนึกขยายหรือย่อส่วนได ้ ข ้อที่ ๑ คือ ทุกข์ ในทางปฏิบัต ิ จัดเข ้าใน วิสท
ุ ธิข ้อ ๓ ถึง ๖ คือ
ตามปรารถนา —sign; conceptualized image) นิมต ิ นีไ
้ ด ้เฉพาะ ตัง้ แต่นามรูปปริเฉท ถึง ปั จจยปริคคหะ เป็ นภูมแ ิ ห่งญาต
ในกรรมฐาน ๒๒ คือ กสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ กายคตาสติ๑ และอา ปริญญา ตัง้ แต่กลาปสัมมสนะ ถึง อุทยัพพยานุปัสสนา เป็ นภูม ิ
นาปานสติ ๑ แห่งตีรณปริญญา ตัง้ แต่ ภังคานุปัสสนาขึน ้ ไป เป็ นภูมแิ ห่งปหาน
ปริญญา
เมือ
่ เกิดปฏิภาคนิมต ิ ขึน ่ ว่า
้ จิตย่อมตัง้ มั่นเป็ นอุปจารสมาธิ จึงชือ
ปฏิภาคนิมต ิ เกิดพร ้อมกับอุปจารสมาธิ เมือ ่ เสพปฏิภาคนิมติ นัน
้ (๙๔) ปาปณิกธรรม ๓ (ปาปณิกงั คะ หลักพ่อค ้า,
สม่ำเสมอด ้วยอุปจารสมาธิกจ ็ ะสำเร็จเป็ นอัปปนาสมาธิตอ ่ ไป องค์คณ
ุ ของพ่อค ้า — qualities of a successful shopkeeper
ปฏิภาคนิมต ่ ว่าเป็ นอารมณ์แก่อป
ิ จึงชือ ุ จารภาวนาและอัปปนา or businessman)
ภาวนา.
๑. จ ักขุมา ตาดี (รู ้จักสินค ้า ดูของเป็ น สามารถคำนวณราคา
(๙๐) ปปัญจะ, ปปัญจธรรม ๓ (กิเลสเครือ ่ ช ้า,
่ งเนิน กะทุนเก็งกำไร แม่นยำ — shrewd)
กิเลสทีเ่ ป็ นตัวการทำให ้คิดปรุงแต่งยืดเยือ
้ พิสดาร ทำให ้เขวห่าง
ออกไปจากความเป็ นจริงทีง่ า่ ย ๆ เปิ ดเผย ก่อให ้เกิดปั ญหาต่าง ๆ ้ แหล่งขาย รู ้ความเคลือ
๒. วิธูโร จัดเจนธุรกิจ (รู ้แหล่งซือ ่ นไหว
และขัดขวางไม่ให ้เข ้าถึงความจริงหรือทำให ้ไม่อาจแก ้ปั ญหา ความต ้องการของตลาด สามารถในการจัดซือ ้ จัดจำหน่าย รู ้ใจ
อย่างถูกทางตรงไปตรงมา — diversification; diffuseness; และรู ้จักเอาใจลูกค ้า — capable of administering business)
mental diffusion)
๓. นิสสยสมปัั นโน พร ้อมด ้วยแหล่งทุนเป็ นทีอ ่
่ าศัย (เป็ นทีเ่ ชือ
ถือไว ้วางใจในหมูแ
่ หล่งทุนใหญ่ ๆ หาเงินมาลงทุนหรือดำเนิน
กิจการโดยง่าย — having good credit rating)
ั
(๑๒๐) สทธรรม ๓ (ธรรมอันดี, ธรรมทีแ
่ ท ้, ธรรมของ ๒. ปฏิปทานุตตริยะ (การปฏิบัตอ ิ น
ั เยีย
่ ม ได ้แก่ การปฏิบัตธิ รรม
สัตบุรษ
ุ , หลักหรือแก่นศาสนา — good law; true doctrine of ทีเ่ ห็นแล ้ว กล่าวให ้ง่ายหมายเอามรรคมีองค์ ๘ — ideal course;
the good; essential doctrine) supreme way)
ั
๑. ปริย ัตติสทธรรม (สัทธรรมคือคำสัง่ สอนจะต ้องเล่าเรียน ๓. วิมตุ ตานุตตริยะ (การพ ้นอันเยีย
่ ม ได ้แก่ ความหลุดพ ้นอัน
ได ้แก่พท
ุ ธพจน์ — the true doctrine of study; textual เป็ นผลแห่งการปฏิบัตนิ ัน
้ คือ ความหลุดพ ้นจากกิเลสและทุกข์
aspect of the true doctrine; study of the Text or ทัง้ ปวง หรือนิพพาน — ideal freedom; supreme
Scriptures) deliverance)
๒. ปฏิปต ั
ั ติสทธรรม (สั ทธรรมคือปฏิปทาอันจะต ้องปฏิบต ั ิ ่ ม, สิง่ ทีย
(๑๒๖) อนุตตริยะ ๖ (ภาวะอันเยีย ่ อดเยีย
่ ม
ได ้แก่ อัฏฐังคิกมรรค หรือไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปั ญญา — excellent, supreme or unsurpassable experiences)
— the true doctrine of practice; practical aspect of the
true doctrine) ๑. ท ัสสนานุตริยะ (การเห็นอันเยีย
่ ม ได ้แก่ การเห็นพระตถาคต
และตถาคตสาวกรวมถึงสิง่ ทัง้ หลายทีจ่ ะให ้เกิดความเจริญ
ั
๓. ปฏิเวธสทธรรม (สั ทธรรมคือผลอันจะพึงเข ้าถึงหรือบรรลุ งอกงามแห่งจิตใจ — supreme sight)
ด ้วยการปฏิบัต ิ ได ้แก่ มรรค ผล และนิพพาน — the true
doctrine of penetration; realizable or attainable aspect of ๒. สวนานุตตริยะ (การฟั งอันเยีย
่ ม ได ้แก่ การสดับธรรมของ
the true doctrine) พระตถาคต และ ตถาคตสาวก — supreme hearing)
ั
(๑๒๑) สนโดษ ๓ และ ๑๒ (ความยินดี, ความพอใจ, ๓. ลาภานุตตริยะ (การได ้อันเยีย
่ ม ได ้แก่ การได ้ศรัทธาในพระ
ความยินดีด ้วยของของตนซึง่ ได ้มาด ้วยเรีย
่ วแรงความเพียรโดย ตถาคตและตถาคตสาวก หรือการได ้อริยทรัพย์ — supreme
ชอบธรรม, ความยินดีด ้วยปั จจัยสี่ ตามมีตามได ้, ความรู ้จักอิม
่ gain)
รู ้จักพอ — contentment; satisfaction with whatever is
one’s own) ๔. สิกขานุตตริยะ (การศึกษาอันเยีย
่ ม ได ้แก่ การฝึ กอบรมใน
ี
อธิศล อธิจต
ิ และอธิปัญญา — supreme training)
ั
๑. ยถาลาภสนโดษ (ยิ นดีตามทีไ่ ด ้, ยินดีตามทีพ ่ งึ ได ้ คือ ตน
ได ้สิงใดมา หรือ เพียรหาสิง่ ใดมาได ้ เมือ
่ ่ เป็ นสิง่ ทีต่ นพึงได ้ ไม่วา่ ๕. ปาริจริยานุตตริยะ (การบำเรออันเยีย
่ ม ได ้แก่ การบำรุงรับ
จะหยาบหรือประณีตแค่ไหน ก็ยน ิ ดีพอใจด ้วยสิง่ นัน ้ ไม่ตด ิ ใจ ใช ้พระตถาคตและตถาคตสาวก — supreme service or
อยากได ้สิง่ อืน
่ ไม่เดือดร ้อนกระวนกระวายเพราะสิง่ ทีต ่ นไม่ได ้ ministry)
ไม่ปรารถนาสิง่ ทีต ่ นไม่พงึ ได ้หรือเกินไปกว่าทีต ่ นพึงได ้โดยถูก
ต ้อง ชอบธรรม ไม่เพ่งเล็งปรารถนาของทีค ่ นอืน
่ ได ้ ไม่รษ ิ ยาเขา ๖. อนุสสตานุตตริยะ (การระลึกอันเยีย
่ ม ได ้แก่ การระลึกถึง
— contentment with what one gets and deserves to get) พระตถาคต และตถาคตสาวก — supreme memory)
ั
๒. ยถาพลสนโดษ (ยิ นดีตามกำลัง คือ ยินดีแต่พอแก่กำลัง โดยสรุปคือ การเห็น การฟั ง การได ้ การศึกษา การช่วยรับใช ้
ร่างกายสุขภาพและวิสย ั แห่งการใช ้สอยของตน ไม่ยน ิ ดีอยากได ้ และการรำลึกทีจ
่ ะเป็ นไปเพือ
่ ความบริสทุ ธิ์ ล่วงพ ้นโสกะปริเทวะ
เกินกำลัง ตนมีหรือได ้สิง่ ใดมาอันไม่ถก ู กับกำลังร่างกายหรือ ดับสูญทุกข์โทมนัส เพือ่ การบรรลุญายธรรม ทำให ้แจ ้งซึง่
สุขภาพ เช่น ภิกษุ ได ้อาหารบิณฑบาตทีแ ่ สดงต่อโรคของตน นิพพาน
หรือเกินกำลังการบริโภคใช ้สอย ก็ไม่หวงแหนเสียดายเก็บไว ้ให ้
เสียเปล่า หรือฝื นใช ้ให ้เป็ นโทษแก่ตน ย่อมสละให ้แก่ผู ้อืน
่ ทีจ
่ ะ
(๑๒๗) อปัณณกปฏิปทา ๓ (ข ้อปฏิบต ั ทิ ไี่ ม่ผด
ิ ,
ใช ้ได ้ และรับหรือแลกเอาสิง่ ทีถ่ ก
ู โรคกับตน แต่เพียงทีพ่ อแก่
้ แท ้ ซึง่ จะนำผู ้ปฏิบัตใิ ห ้ถึงความ
ปฏิปทาทีเ่ ป็ นส่วนแก่นสารเนือ
กำลังการบริโภคใช ้สอยของตน — contentment with what is
เจริญงอกงามในธรรม เป็ นผู ้ดำเนินอยูใ่ นแนวทางแห่งความ
within one’s strength or capacity)
ปลอดพ ้นจากทุกข์อย่างแน่นอนไม่ผด ิ พลาด — sure course;
sure practice; unimpeachable path)
๓. ยถาสารุปปสนโดษ (ยิ ั นดีตามสมควร คือ ยินดีตามทีเ่ หมาะ
สมกับตน อันสมควรแก่ภาวะ ฐานะ แนวทางชีวต ิ และจุดหมาย
ั
๑. อินทรียสงวร (การสำรวมอิ นทรีย ์ คือระวังไม่ให ้บาปอกุศล
แห่งการบำเพ็ญกิจของตน เช่น ภิกษุ ไม่ปรารถนาสิง่ ของอันไม่
ธรรมครอบงำใจ เมือ
่ รับรู ้อารมณ์ด ้วยอินทรียท์ งั ้ ๖ — control of
สมควรแก่สมณภาวะ หรือภิกษุ บางรูปได ้ปั จจัยสีท ่ ม
ี่ ค
ี า่ มาก เห็น
the senses)
ว่าเป็ นสิง่ สมควรแก่ทานผู ้ทรงคุณสมบัตน ิ ่านับถือ ก็นำไปมอบให ้
้ ตนเองใช ้แต่สงิ่ อันพอประมาณ หรือภิกษุ บางรูป
แก่ทา่ นผู ้นัน
กำลังประพฤติวัตรขัดเกลาตน ได ้ของประณีตมา ก็สละให ้แก่ ๒. โภชเน ม ัตต ัญญุตา (ความรู ้จักประมาณในการบริโภค คือ
เพือ
่ นภิกษุ รป ่ ๆ ตนเองเลือกหาของปอนๆ มาใช ้หรือตนเองมี
ู อืน รู ้จักพิจารณารับประทานอาหารเพือ ้ งร่างกายใช ้ทำกิจให ้
่ หล่อเลีย
โอกาสจะได ้ลาภอย่างหนึง่ แต่รู ้ว่าสิง่ นัน ้ เหมาะสมหรือเป็ น ชีวต ิ ผาสุก มิใช่เพือ
่ สนุกสนาน มัวเมา— moderation in eating)
ประโยชน์แก่ทา่ นผู ้อืน ่ วชาญถนัดสามารถด ้านนัน
่ ทีเ่ ชีย ้ ก็สละให ้
ลาภถึงแก่ทา่ นผู ้นัน ้ ตนรับเอาแต่สงิ่ ทีเ่ หมาะสมกับตน ๓. ชาคริยานุโยค (การหมั่นประกอบความตืน ่ ไม่เห็นแก่นอน
— contentment with what is befitting) คือ ขยันหมั่นเพียรตืน
่ ตัวอยูเ่ ป็ นนิตย์ ชำระจิตมิให ้มีนวิ รณ์ พร ้อม
เสมอทุกเวลาทีจ ่ ะปฏิบัตกิ จิ ให ้ก ้าวหน ้าต่อไป — practice of
(๑๒๕) อนุตตริยะ ๓ (ภาวะอันยอดเยีย ่ ม, สิง่ ทีย
่ อด wakefulness)
เยีย
่ ม — excellent states; highest ideal; greatest good;
unsurpassable experiences) ั
(๑๒๘) อภิสงขาร ๓ (สภาพทีป่ รุงแต่ง, ธรรมมีเจตนา
เป็ นประธานอันปรุงแต่งผลแห่งการกระทำ, เจตนาทีเ่ ป็ นตัวการใน
การทำกรรม —volitional formation; formation; activity)
ั
๑. ปุญญาภิสงขาร (อภิ สงั ขารทีเ่ ป็ นบุญ, สภาพทีป
่ รุงแต่งกรรม ิ ปานโภชนา (รู ้จักประมาณในการกินการใช ้
๓. ปริมต
ฝ่ ายดี ได ้แก่ กุศลเจตนาทีเ่ ป็ นกามาวจรและรูปาวจร - moderation in spending)
— formation of merit; meritorious formation)
๔. อธิปจ ี ธรรมเป็ นพ่อบ ้านแม่เรือน
ั จสีลว ันตสถาปนา (ตัง้ ผู ้มีศล
ั
๒. อปุญญาภิสงขาร (อภิ สงั ขารทีเ่ ป็ นปฏิปักษ์ตอ
่ บุญคือเป็ น - putting in authority a virtuous woman or man)
่ รุงแต่กรรมฝ่ ายชัว่ ได ้แก่ อกุศลเจตนาทัง้ หลาย
บาป, สภาพทีป
—formation of demerit; demeritorious formation) เหตุทตี่ ระกูลมั่งคั่งจะตัง้ อยูน
่ านไม่ได ้ พึงทราบโดยนัยตรงข ้าม
จากนี้.
ั
๓. อาเนญชาภิสงขาร (อภิ สงั ขารทีเ่ ป็ นอเนญชา, สภาพทีป ่ รุง
แต่งภพอันมั่นคง ไม่หวั่นไหว ได ้แก่ กุศลเจตนาทีเ่ ป็ นอรูปาวจร
๔ หมายเอาภาวะจิตทีม ่ ั่นคงแน่วแน่ ด ้วยสมาธิแห่งจตุตถฌาน
— formation of the imperturbable; imperturbability-
producing volition)
๓. อวิชชาสวะ (อาสวะคืออวิชชา — canker of ignorance) ในธรรมหมวดนี ้ ทมะท่านมุง่ เอาด ้านปั ญญา ขันติทา่ นเน ้นแง่วริ ย
ิ ะ
ในทีม
่ าส่วนมาก โดยเฉพาะในพระสูตร แสดงอาสวะไว ้ ๓ อย่าง ั
๓. อ ัตตสมมาปณิ ธ ิ (ตัง้ ตนไว ้ชอบ, ตัง้ จิตคิดมุง่ หมาย นำตนไป
โดยสงเคราะห์ทฎ ิ ฐาสวะเข ้าในภวาสวะ (ม.อ.๑/๙๓) ถูกทาง - setting oneself in the right course; aspiring and
directing oneself in the right way)
(๑๓๗) กุลจิร ัฏฐิติธรรม ๔ (ธรรมสำหรับดำรงความ
มั่งคั่งของตระกูลให ้ยั่งยืน, เหตุททำ
ี่ ให ้ตระกูลมั่งคั่งตัง้ อยูไ่ ด ้นาน ๔. ปุพเพกตปุญญตา (ความเป็ นผู ้ได ้ทำความดีไว ้ก่อนแล ้ว, มี
- reasons for lastingness of a wealthy family) พืน
้ เดิมดี, ได ้สร ้างสมคุณความดีเตรียมพร ้อมไว ้แต่ต ้น - having
formerly done meritorious deeds; to have prepared
๑. น ัฏฐคเวสนา (ของหายของหมด รู ้จักหามาไว ้ - seeking for oneself with good background)
what is lost)
ธรรม ๔ ข ้อนี้ เรียกอีกอย่างหนึง่ ว่า พหุการธรรม คือธรรมมี
ั
๒. ชิณณปฏิสงขรณา (ของเก่ าของชำรุด รู ้จักบูรณะซ่อมแซม อุปการะมาก (virtues of great assistance) เป็ นเครือ ่ งช่วยให ้
- repairing what is worn out) สามารถสร ้างความดีอน ื่ ๆ ทุกอย่าง และช่วยให ้ประสบความเจริญ
ก ้าวหน ้าในชีวต
ิ บรรลุความงอกงามไพบูลย์.
(๑๔๓) ทิฏฐธ ัมมิก ัตถสงวั ัตตนิกธรรม ๔ (ธรรมที่ ๑. อุคฆฏิต ัญญู (ผู ้ทีพ
่ อยกหัวข ้อก็รู ้, ผู ้รู ้เข ้าใจได ้ฉับพลัน แต่
เป็ นไปเพือ ่ ประโยชน์ในปั จจุบัน, หลักธรรมอันอำนวยประโยชน์ พอท่านยกหัวข ้อขึน
้ แสดง - a person of quick intuition; the
สุขขัน้ ต ้น - virtues conducive to benefits in the present; genius; the intuitive)
virtues leading to temporal welfare)
๒. วิปจิต ัญญ (ผู ้รู ้ต่อเมือ
่ ขยายความ, ผู ้รู ้เข ้าใจได ้ ต่อเมือ
่ ท่าน
ั
๑. อุฏฐานสมปทา (ถึ งพร ้อมด ้วยความหมั่น คือ ขยันหมั่นเพียร อธิบายความพิสดารออกไป - a person who understands
ในการปฏิบัตห ิ น ้าทีก
่ ารงาน ประกอบอาชีพอันสุจริตค มีความ after a detailed treatment; the intellectual)
ชำนาญ รู ้จักใช ้ปั ญญาสอดส่องตรวจตรา หาอุบายวิธ ี สามารถจัด
ดำเนินการให ้ได ้ผลดี - to be endowed with energy and ๓. เนยยะ (ผู ้ทีพ ่ อจะแนะนำได ้, ผู ้ทีพ ้ จงแนะนำให ้
่ อจะค่อยชีแ
industry; achievement of diligence) เข ้าใจได ้ ด ้วยวิธกี ารฝึ กสอนอบรมต่อไป - a person who is
guidable; the trainable)
ั
๒. อาร ักขสมปทา (ถึ งพร ้อมด ้วยการรักษา คือรู ้จักคุ ้มครองเก็บ
รักษาโภคทรัพย์และผลงานอันตนได ้ทำไว ้ด ้วยความขยันหมั่น ๔. ปทปรมะ (ผู ้มีบทเป็ นอย่างยิง่ , ผู ้อับปั ญญา สอนให ้รู ้ได ้แต่
เพียร โดยชอบธรรม ด ้วยกำลังงานของตน ไม่ให ้เป็ นอันตราย เพียงตัวบทคือพยัญชนะหรือถ ้อยคำ ไม่อาจเข ้าใจอรรถคือความ
่ มเสีย - to be endowed with watchfulness;
หรือเสือ หมาย - a person who has just word of the text at most;
achievement of protection) an idiot)
๓. ก ัลยาณมิตตตา (คบคนดีเป็ นมิตร คือ รู ้จักกำหนดบุคคลใน (๑๕๔) ปฏิสมภิั ทา ๔ (ปั ญญาแตกฉาน - analytic
ถิน
่ ทีอ
่ าศัย เลือกเสวนาสำเหนียกศึกษาเยีย
่ งอย่างท่านผู ้ทรงคุณ insight; discrimination)
มีศรัทธา ศีล จาคะ ปั ญญา - good company; association
with good people) ั ทา (ปั ญญาแตกฉานในอรรถ, ปรีชาแจ ้งใน
๑. อ ัตถปฏิสมภิ
ความหมาย, เห็นข ้อธรรมหรือความย่อ ก็สามารถแยกแยะอธิบาย
๔. สมชีวต ิ า (มีความเป็ นอยูเ่ หมาะสม คือ รู ้จักกำหนดรายได ้ ขยายออกไปได ้โดยพิสดาร เห็นเหตุอย่างหนึง่ ก็สามารถ
และรายจ่ายเลีย ้ งชีวต
ิ แต่พอดี มิให ้ฝื ดเคืองหรือฟูมฟาย ให ้ราย แยกแยะอธิบายขยายออกไปได ้โดยพิสดาร เห็นเหตุอย่างหนึง่ ก็
ได ้เหนือรายจ่าย มีประหยัดเก็บไว ้ - balanced livelihood; สามารถคิดแยกแยะกระจายเชือ ่ มโยงต่อออกไปได ้จนล่วงรู ้ถึงผล
living economically) - discrimination of meanings; analytic insight of
consequence)
้ ๆ ว่า ทิฏฐธัมมิกต
ธรรมหมวดนี้ เรียกกันสัน ั ถะ หรือเรียกติดปาก
อย่างไทยๆ ว่า ทิฏฐธัมมิกตั ถประโยชน์ (อัตถะ แปลว่า ประโยชน์ ๒. ธ ัมมปฏิสมภิ ั ทา (ปั ญญาแตกฉานในธรรม, ปรีชาแจ ้งใจ
จึงมีประโยชน์ซ้ำซ ้อนกันสองคำ) หลัก, เห็นอรรถาธิบายพิสดาร ก็สามารถจับใจความมาตัง้ เป็ นกระ
ทู ้หรือหัวข ้อได ้ เห็นผลอย่างหนึง่ ก็สามารถสืบสาวกลับไป
(๑๔๔) ธรรมสมาทาน ๔ (ข ้อทีย ่ ด
ึ ถือเอาเป็ นหลัก หาเหตุได ้ - discrimination of ideas; analytic insight of
ความประพฤติปฏิบัต,ิ หลักการทีป
่ ระพฤติ, การทีก ่ ระทำ, การ origin)
ประกอบกรรม - religious undertakings; undertaken courses
of practices) ๓. นิรตุ ติปฏิสมภิ ั ทา (ปั ญญาแตกฉานในนิรก ุ ติ, ปรีชาแจ ้งใน
ภาษา, รู ้ศัพท์ ถ ้อยคำบัญญัต ิ และภาษาต่างๆ เข ้าใจใช ้คำพูดชี้
๑. ธรรมสมาทานทีใ่ ห้ทก ุ ข์ในปัจจุบ ัน และมีทก
ุ ข์เป็นวิบาก แจ ้งให ้ผู ้อืน
่ เข ้าใจและเห็นตามได ้ - discrimination of
ต่อไป (เช่น การประพฤติวัตรทรมานตนของพวกอเจลก หรือการ language; analytic insight of philology)
ประพฤติอกุศลกรรมบถด ้วยความยากลำบาก ทัง้ มีความเดือดร ้อน
ใจเป็ นต ้น - the undertaking the gives suffering in the ๔. ปฏิภาณปฏิสมภิ ั ทา (ปั ญญาแตกฉานในปฏิภาณ. ปรีชาแจ ้ง
present and results in suffering in the future) ในความคิดทันการ มีไหวพริบ ซึมซาบในความรู ้ทีม ่ อี ยู่ เอามา
่ มโยงเข ้าสร ้างความคิดและเหตุผลขึน
เชือ ้ ใหม่ ใช ้ประโยชน์ได ้
๒. ธรรมสมาทานทีใ่ ห้ทก ุ ข์ในปัจจุบ ัน แต่มส ี ขุ เป็นวิบากต่อ สมเหมาะ เข ้ากับกรณีเข ้ากับเหตุการณ์ - discrimination of
ไป (เช่น ผู ้ทีก
่ เิ ลสมีกำลังแรงกล ้า ฝื นใจพยายามประพฤติ sagacity; analytic insight of ready wit; initiative; creative
พรหมจรรย์ให ้บริสท ุ ธิบ
์ ริบรู ณ์ หรือผู ้ทีป
่ ระพฤติกศุ ลกรรมบถด ้วย and applicative insight)
ความยากลำบาก เป็ นต ้น - the undertaking that gives
suffering in the present but results in happiness in the (๑๕๕) ปธาน ๔ (ความเพียร - effort; exertion)
future)
ั
๑. สงวรปธาน (เพี ยรระวังหรือเพียรปิ ดกัน ้ คือ เพียรระวังยับยัง้
๓. ธรรมสมาทานทีใ่ ห้สข ุ ในปัจจุบ ัน แต่มที ก
ุ ข์เป็นวิบากต่อ บาปอกุศลธรรมทีย ่ ังไม่เกิด มิให ้เกิดขึน
้ - the effort to
ไป (เช่น การหลงมัวเมาหมกมุน ่ อยูใ่ นกาม หรือการประพฤติ prevent; effort to avoid)
อกุศลกรรมบถด ้วยความสนุกสนานพอใจ เป็ นต ้น - the
undertaking that gives happiness in the present but ๒. ปหานปธาน (เพียรละหรือเพียรกำจัด คือ เพียรละบาปอกุศล
results in suffering in the future) ธรรมทีเ่ กิดขึน
้ แล ้ว - the effort to abandon; effort to
overcome)
๔. ธรรมสมาทานทีใ่ ห้สข ุ ในปัจจุบ ัน และมีสขุ เป็นวิบากต่อ
ไป (เช่น ผู ้ทีก
่ เิ ลสมีกำลังน ้อย ประพฤติพรหมจรรย์ด ้วยความ ๓. ภาวนาปธาน (เพียรเจริญ หรือเพียรก่อให ้เกิด คือ เพียรทำ
พอใจ ได ้เสวยเนกขัมมสุข หรือ ผู ้ทีป ่ ระพฤติกศุ ลกรรมบถ ด ้วย กุศลธรรมทีย
่ ังไม่เกิด ให ้เกิดมี -the effort to develop)
ความพอใจ ได ้เสวยสุขโสมนัส เป็ นต ้น - the undertaking that
gives happiness in the present and results in happiness in
๔. อนุร ักขนาปธาน (เพียรรักษา คือ เพียรรักษากุศลธรรมทีเ่ กิด
the future)
ขึน
้ แล ้วให ้ตัง้ มั่นและให ้เจริญยิง่ ขึน
้ ไปจนไพบูลย์ - the effort to
maintain)
(๑๕๒) บุคคล ๔ (ประเภทของบุคคล - four kinds of
persons)
ปธาน ๔ นี้ เรียกอีกอย่างว่า สัมมัปธาน ๔ (ความเพียรชอบ, บริสท ุ ธิ,์ ธรรมทีต
่ ้องมีไว ้เป็ นหลักใจและกำกับความประพฤติ จึง
ความเพียรใหญ่ - right exertions; great or perfect efforts.) ่
จะชือว่าดำเนินชีวต ิ หมดจด และปฏิบต ั ต ั ว์ทงั ้ หลาย
ิ นต่อมนุษย์สต
โดยชอบ - holy abidings; sublime states of mind)
(๑๕๖) ปรม ัตถธรรม ๔ (สภาวะทีม ่ อ
ี ยูโ่ ดยปรมัตถ์,
สิง่ ทีเ่ ป็ นจริงโดยความหมายสูงสุด -ultimate realities; ๑. เมตตา (ความรักใคร่ ปรารถนาดีอยากให ้เขามีความสุข มีจต ิ
abstract realities; realities in the ultimate sense) ั ว์ทั่วหน ้า - loving-
อันแผ่ไมตรีและคิดทำประโยชน์แก่มนุษย์สต
kindness; friendliness)
๑. จิต (สภาพทีค่ ด
ิ , ภาวะทีร่ ู ้แจ ้งอารมณ์ - consciousness;
state of consciousness) ๒. กรุณา (ความสงสาร คิดช่วยให ้พ ้นทุกข์ ใฝ่ ใจในอันจะ
ปลดเปลือ
้ งบำบัดความทุกข์ยากเดือดร ้อนของปวงสัตว์
๒. เจตสิก (สภาวะทีป ่ ระกอบกับจิต, คุณสมบัตแ
ิ ละอาการของ - compassion)
จิต - mental factors)
๓. มุทต ิ า (ความยินดี ในเมือ่ ผู ้อืน
่ อยูด
่ ม
ี ส
ี ข
ุ มีจติ ผ่องใสบันเทิง
๓. รูป (สภาวะทีเ่ ป็ นร่าง พร ้อมทัง้ คุณและอาการ - matter; กอปรด ้วยอาการแช่มชืน ่ เบิกบานอยูเ่ สมอ ต่อสัตว์ทงั ้ หลายผู ้
corporeality) ดำรงในปกติสข ุ พลอยยินดีด ้วยเมือ ่ เขาได ้ดีมส
ี ข
ุ เจริญงอกงาม
ยิง่ ขึน
้ ไป - sympathetic joy; altruistic joy)
๔. นิพพาน (สภาวะทีส ิ้ กิเลสและทุกข์ทงั ้ ปวง, สภาวะที่
่ น
ปราศจากตัณหา) ๔. อุเบกขา (ความวางใจเป็ นกลาง อันจะให ้ดำรงอยูใ่ นธรรม
ตามทีพ ่ จ
ิ ารณาเห็นด ้วยปั ญญา คือมีจต ิ เรียบตรงเทีย
่ งธรรมดุจ
(๑๕๗) ประมาณ หรือ ปมาณิก ๔ (บุคคลทีถ ่ อ
ื ตราชัง่ ไม่เอนเอียงด ้วยรักและชัง พิจารณาเห็นกรรมทีส ั ว์ทงั ้
่ ต
ประมาณต่างๆ กัน, คนในโลกผู ้ถือเอาคุณสมบัตต ิ า่ งๆ กัน เป็ น หลายกระทำแล ้ว อันควรได ้รับผลดีหรือชัว่ สมควรแก่เหตุอน ั ตน
เครือ
่ งวัดในการทีจ ่ ความเลือ
่ ะเกิดความเชือ ่ มใส - those who ประกอบ พร ้อมทีจ ่ ะวินจ
ิ ฉัยและปฏิบต ั ไิ ปตามธรรม รวมทัง้ รู ้จัก
measure, judge or take standard) วางเฉยสงบใจมองดู ในเมือ ่ ไม่มก
ี จิ ทีค
่ วรทำ เพราะเขารับผิดชอบ
ตนได ้ดีแล ้ว เขาสมควรรับผิดชอบตนเอง หรือเขาควรได ้รับผลอัน
สมกับความรับผิดชอบของตน -equanimity; neutrality; poise)
๑. รูปประมาณ (ผู ้ถือประมาณในรูป, บุคคลทีม ่ องเห็นรูปร่าง
สวยงาม ทรวดทรงดี อวัยวะสมส่วน ท่าทางสง่า สมบูรณ์พร ้อม
จึงชอบใจเลือ
่ มใสน ้อมใจทีจ ่ ถือ - one who measures by
่ ะเชือ ผู ้ดำรงในพรหมวิหาร ย่อมช่วยเหลือมนุษย์สต ั ว์ทงั ้ หลายด ้วย
from or outward appearance; one whose faith depends เมตตากรุณา และย่อมรักษาธรรมไว ้ได ้ด ้วยอุเบกขา ดังนัน ้ แม ้จะ
on good appearance) มีกรุณาทีจ่ ะช่วยเหลือปวงสัตว์แต่กต
็ ้องมีอเุ บกขาด ้วยทีจ ่ ะมิให ้
เสียธรรม
๒. โฆษประมาณ (ผู ้ถือประมาณในเสียง, บุคคลทีไ่ ด ้ยินได ้ฟั ง
เสียงสรรเสริญ เกียรติคณ ุ หรือเสียงพูดจาทีไ่ พเราะ จึงชอบใจ พรหมวิหารนี้ บางทีแปลว่า ธรรมเครือ ่ งอยูข
่ องพรหม, ธรรม
เลือ
่ มใสน ้อมใจทีจ ่ ถือ - one who measures by voice or
่ ะเชือ เครือ
่ งอยูอ
่ ย่างพรหม, ธรรมประจำใจทีทำ ่ ให ้เป็ นพรหมหรือให ้
reputation; one whose faith depends on sweet voice or เสมอด ้วยพรหม, หรือธรรมเครือ่ งอยูข
่ องท่านผู ้มีคณุ ยิง่ ใหญ่ -
good reputation) (abidings of the Great Ones).
๓. กาลวิบ ัติ (วิบัตแ
ิ ห่งกาล, กาลเสีย; ในช่วงยาวหมายถึง เกิด ั
๑. สงขตส ั
งขาร (สั งขารคือ สังขตธรรม ได ้แก่สงิ่ ทัง้ ปวงทีเ่ กิด
อยูใ่ นสมัยทีโ่ ลกไม่มค
ี วามเจริญ หรือบ ้านเมืองมีแต่ภัยพิบัต ิ ผู ้ จากปั จจัยปรุงแต่ง รูปธรรมก็ตาม นามธรรมก็ตาม ได ้ในคำว่า
ปกครองไม่ด ี สังคมเสือ ่ มจากศีลธรรม มีการกดขีเ่ บียดเบียนกัน อนิจฺจา วต สงฺขารา เป็ นต ้น - formation consisting of the
มาก ยกย่องคนชัว่ บีบคัน ้ หมายถึงทำผิดกาลผิด
้ คนดี ในช่วงสัน formed)
เวลา - failure as regards time; unfavorable or unfortunate
time) ั
๒. อภิสงขตส ั
งขาร (สังขารคือสิง่ ทีก
่ รรมแต่งขึน
้ ได ้แก่รป
ู ธรรม
ก็ตาม นามธรรมก็ตาม ในภูมสิ าม ทีเ่ กิดแต่กรรม - formation
๔. ปโยควิบ ัติ (วิบัตแิ ห่งการประกอบ, กิจการเสีย; ในช่วงยาว consisting of the karma-formed)
หมายถึงฝั กใฝ่ ในทางทีผ ่ ดิ ประกอบกิจการงานทีผ ่ ด
ิ หรือมีปกติ
ชอบกระทำแต่ความชัว่ ในช่วงสัน ้ หมายถึงเมือ
่ กระทำกรรมดี ก็ไม่ ั
๓. อภิสงขรณกส ั
งขาร (สั
งขารคือกรรมทีเ่ ป็ นตัวการปรุงแต่ง
ทำให ้ถึงขนาด ไม่ครบถ ้วนตามหลักเกณฑ์ ทำจับจด ใช ้วิธก ี าร ได ้แก่ กุศลเจตนาและอกุศลเจตนาทัง้ ปวงในภูมส ิ าม ได ้ในคำว่า
ไม่เหมาะกับเรือ่ ง หรือเมือ่ ประกอบความดีตอ ่ เนือ
่ งมา แต่กลับ 'สังขาร' ตามหลักปฏิจจสมุปบาท คือ (๑๑๙) สังขาร
ทำความชัว่ หักล ้างเสียในระหว่าง - failure as regards ๓ หรือ(๑๒๘) อภิสงั ขาร ๓ - formation consisting in the act
undertaking; unfavorable, unfortunate or inadequate of karma-forming)
undertaking)
ั
๔. ปโยคาภิสงขาร (สั งขารคือการประกอบความเพียร ได ้แก่
วิบัต ิ ๔ นี้ เป็ นสิง่ ทีจ
่ ะต ้องนำมาประกอบการพิจารณาในเรือ ่ งการ กำลังความเพียรทางกายก็ตาม ทางใจก็ตาม - formation
ให ้ผลของกรรม เพราะการปรากฏของวิบาก นอกจากอาศัยเหตุ consisting in exertion or impetus)
คือกรรมแล ้ว ยังต ้องอาศัยฐานคือ คติ อุปธิ กาละ และปโยคะ
เป็ นปั จจัยประกอบด ้วย กล่าวคือ จะต ้องพิจารณา กรรม
ั
(๑๘๓) สงคหว ัตถุ ๔ (ธรรมเครือ
่ งยึดเหนีย
่ ว คือยึด
นิยาม โดยสัมพันธ์กบ ั ปั จจัยทัง้ หลายทีเ่ ป็ นไปตามนิยามอืน ่ ๆ ด ้วย
เหนีย
่ วใจบุคคล และประสานหมูช ่ นไว ้ในสามัคคี, หลักการ
เพราะนิยาม หรือกฎธรรมชาตินัน ้ มีหลายอย่าง มิใช่มแี ต่กรรม
สงเคราะห์ - bases of sympathy; acts of doing favors;
นิยามอย่างเดียว
principles of service; virtues making for group integration
and leadership)
(๑๗๕) สมบ ัติ ๔ (ข ้อดี, ความเพียบพร ้อม, ความ
สมบูรณ์แห่งองค์ประกอบต่างๆ ซึง่ อำนวยแก่การให ้ผลของกรรม
๑. ทาน (การให ้ คือ เอือ
้ เฟื้ อเผือ
่ แผ่ เสียสละ แบ่งปั น ช่วยเหลือ
ดี และไม่เปิ ดให ้กรรมชัว่ แสดงผล, ส่วนประกอบอำนวย ช่วยเสริม
กันด ้วยสิง่ ของตลอดถึงให ้ความรู ้และแนะนำสัง่ สอน - giving;
กรรมดี -accomplishment; factors favorable to the ripening
generosity; charity)
of good Karma)
๒. ปิ ยวาจา หรือ เปยยว ัชชะ (วาจาเป็ นทีร่ ัก วาจาดูดดืม
่ น้ำใจ
๑. คติสมบ ัติ (สมบัตแ ิ ห่งคติ, ถึงพร ้อมด ้วยคติ, คติให ้; ในช่วง
หรือวาจาซาบซึง้ ใจ คือกล่าวคำสุภาพไพเราะอ่อนหวานสมาน
ยาวหมายถึงเกิดในกำเนิดอันนวย หรือทีเ่ กิดอันเจริญ ในช่วงสัน ้
สามัคคี ให ้เกิดไมตรีและความรักใคร่นับถือ ตลอดถึงคำแสดง
หมายถึง ทีอ่ ยู่ ทีไ่ ป ทางดำเนินดีหรือทำถูกเรือ ่ ง ถูกที่ คือ กรณี
ประโยชน์ประกอบด ้วยเหตุผลเป็ นหลักฐานจูงใจให ้นิยมยอมตาม
นัน
้ สภาพแวดล ้อมนัน ้ สถานการณ์นัน ้ ถิน
่ ทีน่ ัน
้ ตลอดถึงแนวทาง
- kindly speech; convincing speech)
ดำเนินชีวต
ิ ขณะนัน ้ เอือ้ อำนวยแก่การกระทำความดี หรือการ
เจริญงอกงามของความดี ทำให ้ความดีปรากฏผลโดยง่าย
-accomplishment of birth; fortunate birthplace; favorable ๓. อ ัตถจริยา (การประพฤติประโยชน์ คือ ขวนขวายช่วยเหลือ
environment, circumstances or career) กิจการ บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ตลอดถึงช่วยแก ้ไขปรับปรุงส่ง
เสริมในทางจริยธรรม - useful conduct; rendering services;
life of service; doing good)
๒. อุปธิสมบ ัติ (สมบัตแ
ิ ห่งร่างกาย, ถึงพร ้อมด ้วยรูปกาย, รูป
กายให ้; ในช่วงยาวหมายถึงมีกายสง่า สวยงาม บุคลิกภาพดี ใน
้ หมายถึง ร่างกายแข็งแรง มีสข
ช่วงสัน ุ ภาพดี - accomplishment ๔. สมาน ัตตตา (ความมีตนเสมอ คือ ทำตนเสมอด ้วยปลาย
of the body; favorable or fortunate body; favorable ปฏิบต ั ส
ิ ม่ำเสมอกันในชนทัง้ หลาย และเสมอในสุขทุกข์โดยร่วม
personality, health or physical conditions) รับรู ้ร่วมแก ้ไข ตลอดถึงวางตนเหมาะแก่ฐานะ ภาวะ บุคคล
เหตุการณ์และสิง่ แวดล ้อม ถูกต ้องตามธรรมในแต่ละกรณี - even
and equal treatment; equality consisting in impartiality,
๓. กาลสมบ ัติ (สมบัตแิ ห่งกาล, ถึงพร ้อมด ้วยกาล, กาลให ้; ใน
participation and behaving oneself properly in all
ช่วงยาว หมายถึง เกิดอยูใ่ นสมัยทีโ่ ลกมีความเจริญ หรือบ ้าน
circumstances)
เมืองสงบสุข มีการปกครองทีด ่ ี คนในสังคมอยูใ่ นศีลธรรม
ั ยกย่องคนดี ไม่สง่ เสริมคนชัว่ ในช่วงสัน
สามัคคีกน ้ หมายถึงทำ
ั
(๑๘๔) สงคหว ัตถุของผูค
้ รองแผ่นดิน หรือ ราช
ถูกกาล ถูกเวลา - accomplishment of time; favorable or
ั
สงคหว ัตถุ ๔ (สังคหวัตถุของพระราชา, ธรรมเครือ่ งยึดเหนีย
่ ว
fortunate time)
จิตใจประชาชน, หลักการสงเคราะห์ประชาชนของนักปกครอง -a
ruler's bases of sympathy; royal acts of doing favors;
๔. ปโยคสมบ ัติ (สมบัตแ ิ ห่งการประกอบ, ถึงพร ้อมด ้วยการ
virtues making for national integration)
ประกอบความเพียร, กิจการให ้; ในช่วงยาวหมายถึงฝั กใฝ่ ในทาง
ทีถ่ กู นำความเพียรไปใช ้ขวนขวายประกอบการทีถ ่ ก
ู ต ้องดีงาม มี
ั
๑. สสสเมธะ (ความฉลาดในการบำรุ งพืชพันธุธ์ ัญญาหาร ส่ง
ปกติประกอบกิจการงานทีถ ่ กู ต ้อง ทำแต่ความดีงามอยูแ ่ ล ้ว ใน
ช่วงสัน ้ หมายถึงเมือ
่ ทำกรรมดี ก็ทำให ้ถึงขนาด ทำจริงจัง ให ้ครบ เสริมการเกษตร - shrewdness in agricultural promotion)
ถ ้วนตามหลักเกณฑ์ ใช ้วิธก ี ารทีเ่ หมาะกับเรือ่ ง หรือทำความดีตอ ่
เนือ่ งมาเป็ นพืน
้ แล ้ว กรรมดีททำ ี่ เสริมเข ้าอีก จึงเห็นผลได ้ง่าย
๒. ปุรสิ เมธะ (ความฉลาดในการบำรุงข ้าราชการ รู ้จักส่งเสริมคน ตนทีเ่ ป็ นสมณะ ผู ้เจริญกรรมฐานจะไปฟั งธรรมอันมีประโยชน์ในที่
ดีมค
ี วามสามารถ -shrewdness in the promotion and ชุมนุมใหญ่ แต่รู ้ว่ามีอารมณ์ซงึ่ จะเป็ นอันตรายต่อกรรมฐาน ก็ไม่
encouragement of government officials) ไป โดยสาระคือ ความรู ้ตระหนักทีจ ่ ะเลือกทำแต่สงิ่ ทีเ่ หมาะสบาย
เอือ
้ ต่อกาย จิต ชีวต ิ กิจ พืน
้ ภูม ิ และภาวะของตน - clear
ั
๓. สมมาปาสะ (ความรู ้จักผูกผสานรวมใจประชาชนด ้วยการส่ง comprehension of suitability)
เสริมอาชีพ เช่น ให ้คนจนกู ้ยืมทุนไปสร ้างตัวในพาณิชยกรรม
เป็ นต ้น - 'a bond to bind men's hearts'; act of doing a ๓. โคจรสมปช ั ั
ญญะ (รู ้ชัดว่าเป็ นโคจร หรือตระหนักในแดน
favor consisting in vocational promotion as in commercial งามของตน คือ รู ้ตัวตระหนักชัดอยูต ่ ลอดเวลาถึงสิง่ ทีเ่ ป็ นกิจ
investment) หน ้าที่ เป็ นตัวงาน เป็ นจุดของเรือ ่ งทีต ่ นกระทำ ไม่วา่ จะไปไหน
หรือทำอะไรอืน ่ ก็รู ้ตระหนักอยู่ ในปล่อยให ้เลือนหายไป มิใช่วา่
๔. วาชเปยะ หรือ วาจาเปยยะ (ความมีวาจาอันดูดดืม ่ น้ำใจ พอทำอะไรอืน ่ หรือไปพบสิง่ อืน ่ เรือ
่ งอืน่ ก็เตลิดเพริดไปกับสิง่ นัน
้
น้ำคำควรดืม่ คือ รู ้จักพูด รู ้จักปราศรัย ไพเราะ สุภาพนุ่มนวล เรือ
่ งนัน
้ เป็ นนกบินไม่กลับรัง โดยเฉพาะการไม่ทงิ้ อารมณ์
ประกอบด ้วยเหตุผล มีประโยชน์เป็ นทางแห่งสามัคคี ทำให ้เกิด กรรมฐาน ซึง่ รวมถึงการบำเพ็ญจิตตภาวนาและปั ญญาภาวนาใน
ความเข ้าในอันดี และความนิยมเชือ ่ ถือ - affability in address; กิจกรรมทุกอย่างในชีวต ิ ประจำวัน โดยสาระคือ ความรู ้ตระหนักที่
kindly and convincing speech) จะคุมกายและจิตไว ้ให ้อยูใ่ นกิจ ในประเด็น หรือแดนงานของตน
ไม่ให ้เขว เตลิด เลือ ่ นลอย หรือหลงลืมไปเสีย - clear
ราชสังคหวัตถุ ๔ ประการนี้ เป็ นคำสอนในพระพุทธศาสนา ส่วนที่ comprehension of the domain)
แก ้ไขปรับปรุงคำสอนในศาสนาพราหมณ์ โดยกล่าวถึงคำศัพท์
เดียวกัน แต่ชถี้ งึ ความหมายอันชอบธรรมทีต
่ า่ งออกไป ธรรม ๔. อสมโมหส ั ั ญญะ รู
ปช ั ้ชัดว่าไม่หลง หรือตระหนักในตัว
หมวดนี้ ว่าโดยศัพท์ ตรงกับ มหายัญ ๕ (the five great เนือ ้ หาสภาวะ ไม่หลงใหลฟั่ นเฟื อน คือเมือ ่ ไปไหน ทำอะไร ก็
sacrifices) ของ พราหมณ์ คือ.- รู ้ตัวตระหนักชัดในการเคลือ ่ นไหว หรือในการกระทำนัน ้ และใน
สิง่ ทีกระทำนัน ้ ไม่หลง ไม่สบ ั สนเงอะงะฟั่ นเฟื อน เข ้าใจล่วง
๑. อัสสเมธะ (การฆ่าม ้าบูชายัญ - horse-sacrifice) ตลอดไปถึงตัวสภาวะในการกระทำทีเ่ ป็ นไปอยูน ่ ัน
้ ว่าเป็ นเพียง
การประชุมกันขององค์ประกอบและปั จจัยต่างๆ ประสานหนุน
เนือ ่ งกันขึน้ มาให ้ปรากฏ เป็ นอย่างนัน ้ หรือสำเร็จกิจนัน ้ ๆ รู ้ทัน
๒. ปุรส
ิ เมธะ (การฆ่าคนบูชายัญ - human sacrifice)
สมมติ ไม่หลงสภาวะเช่นยึดเห็นเป็ นตัวตน โดยสาระคือ ความรู ้
ตระหนัก ในเรือ ่ งราว เนือ้ หา สาระ และสภาวะของสิง่ ทีต ่ น
๓. สัมมาปาสะ (ยัญอันสร ้างแท่นบูชาไว ้ทีข
่ ว ้างไม ้ลอดบ่วงไป เกีย ่ วข ้องหรือกระทำอยูน ่ ัน
้ ตามทีเ่ ป็ นจริงโดยสมมติสจ ั จะ หรือ
หล่นลง - peg-thrown site sacrifice) ตลอดถึงโดยปรมัตถสัจจะ มิใช่พรวดพราดทำไป หรือสักว่าทำ
มิใช่ทำอย่างงมงายไม่รู ้เรือ ่ ง และไม่ถก ู หลอกให ้ลุม ่ หลงหรือ
๔. วาชเปยะ (การดืม ่ เพือ
่ พลังหรือเพือ
่ ชัย - drinking of เข ้าใจผิดไปเสียด ้วยความพร่ามัว หรือด ้วยลักษณะอาการ
strength or of victory) ภายนอกทีย ่ ั่วยุ หรือเย ้ายวนเป็ นต ้น - clear comprehension of
non-delusion, or of reality)
๕. นิรัคคฬะ หรือ สรรพเมธะ (ยัญไม่มลี ม
ิ่ สลัก คือ ทั่วไปไม่มข
ี ด
ี
ขัน
้ จำกัด, การฆ่าครบทุกอย่างบูชายัญ - the bolts-withdrawn ั
(๑๘๘) สมปรายิ ก ัตถสงวั ัตตนิกธรรม ๔ (ธรรมที่
sacrifice; universal sacrifice) เป็ นไปเพือ่ ประโยชน์เบือ
้ งหน ้า, หลักธรรมอันอำนวยประโยชน์สข ุ
ขัน
้ สูงขึน
้ ไป - virtues conducive to benefits in the future;
มหายัญ ๕ ทีพ ่ ระราชาพึงบูชาตามหลักศาสนาพราหมณ์นี้ virtues leading to spiritual welfare)
พระพุทธศาสนาสอนว่า เดิมทีเดียวเป็ นหลักการสงเคราะห์ทด ี่ ี
งาม แต่พราหมณ์สมัยหนึง่ ดัดแปลงเป็ นการบูชายัญเพือ ่ ผล ั
๑. สทธาส ั
มปทา (ถึ
งพร ้อมด ้วยศรัทธา - to be endowed with
ประโยชน์ในทางลาภสักการะแก่ตน ความหมายทีพ ่ งึ ต ้องการ ซึง่ faith; accomplishment of confidence)
พระพุทธศาสนาสัง่ สอน ๔ ข ้อแรก มีดังกล่าวแล ้วข ้างต ้น ส่วนข ้อ
ที่ ๕ ตามหลักสังคหวัตถุ ๔ นี้ ว่าเป็ นผล แปลว่า ไม่มล ี มิ่ กลอน ั
๒. สีลสมปทา (ถึงพร ้อมด ้วยศีล - to be endowed with
หมายความว่า บ ้านเมืองจะสงบสุขปราศจากโจรผู ้ร ้าย ไม่ต ้อง morality; accomplishment of virtue)
ระแวงภัย บ ้านเรือนไม่ต ้องลงกลอน
ั
๓. จาคสมปทา (ถึ งพร ้อมด ้วยการเสียสละ - to be endowd
(๑๘๖) สมปช ั ั
ญญะ ๔ (ความรู ้ตัว, ความรู ้ตัวทั่ว with generosity; accomplishment of charity)
พร ้อม, ความรู ้ชัด, ความรู ้ทั่วชัด, ความตระหนัก - clear
comprehension; clarity of consciousness; awareness)
ั
๔. ปัญญาสมปทา (ถึ งพร ้อมด ้วยปั ญญา - to be endowed
with wisdom; accomplishment of wisdom)
๑. สาตกสมปช ั ั
ญญะ (รู ้ชัดว่ามีประโยชน์ หรือตระหนักในจุด
หมาย คือ รู ้ตัวตระหนักชัดว่าสิง่ ทีก ่ ระทำนัน ้ มีประโยชน์ตามความ
้ ๆ ว่า สัมปรายิกต
ธรรมหมวดนี้ เรียกกันสัน ั ถะ หรือเรียกติดปาก
มุง่ หมายอย่างไรหรือไม่ หรือว่า อะไรควรเป็ นจุดมุง่ หมายของ
อย่างไทยๆ ว่า สัมปรายิกต ั ถประโยชน์ (อัตถะ ก็แปลว่า
การกระทำนัน ้ เช่น ผู ้เจริญกรรมฐาน เมือ ่ จะไป ณ ทีใ่ ดทีห ่ นึง่
ประโยชน์ จึงเป็ นคำซ้ำซ ้อนกัน)
มิใช่สกั ว่ารู ้สึกหรือนึกขึน ้ มาว่าจะไป ก็ไป แต่ตระหนักว่าเมือ ่ ไป
แล ้ว จะได ้ปี ตส ิ ข
ุ หรือความสงบใจ ช่วยให ้เกิดความเจริญโดย
ธรรม จึงไป โดยสาระคือ ความรู ้ตระหนักทีจ ่ ะเลือกทำสิง่ ทีต่ รง (๑๘๙) สุขของคฤห ัสถ์ หรือ คิหส ิ ข
ุ หรือ กามโภคี
กับวัตถุประสงค์หรืออำนวยประโยชน์ทม ี่ งุ่ หมาย - clear สุข ๔ (สุขของชาวบ ้าน, สุขทีช
่ าวบ ้านควรพยายามเข ้าถึงให ้ได ้
comprehension of purpose) สม่ำเสมอ, สุขอันชอบธรรมทีผ่ ู ้ครองเรือนควรมี - house-life
happiness; deserved bliss of a layman)
ั
๒. สปปายส ั
มปช ั
ญญะ (รู ้ชัดว่าเป็ นสัปปายะ หรือตระหนักใน
ความเหมาะสมเกือ ้ กูล คือรู ้ตัวตระหนักชัดว่าสิง่ ของนัน ้ การกระ ๑. อ ัตถิสข
ุ (สุขเกิดจากความมีทรัพย์ คือ ความภูมใิ จ เอิบอิม
่ ใจ
ทำนัน ้ ทีท
่ จ
ี่ ะไปนัน้ เหมาะกันกับตน เกือ ้ กูลแก่สข
ุ ภาพ แก่กจิ ว่าตนโภคทรัพย์ทไี่ ด ้มาด ้วยน้ำพักน้ำแรงความขยันหมั่นเพียร
เอือ
้ ต่อการสละละลดแห่งอกุศลธรรมและการเกิดขึน ้ เจริญ ของตน และโดยชอบธรรม - bliss of ownership)
งอกงามแห่งกุศลธรรม จึงใช ้ จึงทำ จึงไป หรือเลือกให ้เหมาะ
เช่น ภิกษุ ใช ้จีวรทีเ่ หมาะกับดินฟ้ าอากาศและเหมาะกับภาวะของ
๒. โภคสุข (สุขเกิดจากการใช ้จ่ายทรัพย์ คือ ความภูมใิ จ เอิบ ๔. สนฺ ต ึ สิกฺเขยฺย (พึงศึกษาสันติ - to train oneself in
่ ใจ ว่าตนได ้ใช ้ทรัพย์ทไี่ ด ้มาโดยชอบนัน
อิม ้ เลีย
้ งชีพ เลีย
้ งผู ้ควร tranquillity)
เลีย้ ง และบำเพ็ญประโยชน์ - bliss of enjoyment)
(๑๙๕) อปัสเสนะ หรือ อปัสเสนธรรม ๔ (ธรรมดุจ
๓. อนณสุข (สุขเกิดจากความไม่เป็ นหนี้ คือ ความภูมใิ จ เอิบ พนักพิง, ธรรมเป็ นทีอ
่ งิ หรือพึง่ อาศัย -virtues to lean on;
อิม
่ ใจ ว่าตนเป็ นไท ไม่มห
ี นีส ิ ติดค ้างใคร - bliss of
้ น states which a monk should rely on)
debtlessness)
๑. สงฺขาเยกํ ปฏิเสวติ (ของอย่างหนึง่ พิจารณาแล ้วเสพ ได ้แก่
๔. อนว ัชชสุข (สุขเกิดจากความประพฤติไม่มโี ทษ คือ ความ สิง่ ของมีปัจจัย ๔ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานเภสัช
ภูมใิ จ เอิบอิม
่ ใจ ว่าตนมีความประพฤติสจ
ุ ริต ไม่บกพร่องเสียหาย เป็ นต ้นก็ด ี บุคคลและธรรมเป็ นต ้นก็ด ี ทีจำ
่ เป็ นจะต ้องเกีย
่ วข ้อง
ใครๆ ติเตียนไม่ได ้ ทัง้ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ - bliss of และมีประโยชน์ พึงพิจารณาแล ้วจึงใช ้สอยและเสวนาให ้เป็ น
blamelessness) ประโยชน์ - The monk deliberately follows or makes use of
one thing.)
บรรดาสุข ๔ อย่างนี้ อนวัชชสุข มีคา่ มากทีส
่ ด
ุ
๒. สงฺขาเยกํ อธิวาเสติ (ของอย่างหนึง่ พิจารณาแล ้วอด
(๑๙๐) อคติ ๔ (ฐานะอันไม่พงึ ถึง, ทางความประพฤติ กลัน ้ ได ้แก่ อนิฏฐารมณ์ตา่ งๆ มีหนาว ร ้อน และทุกขเวทนา
ทีผ
่ ด
ิ , ความไม่เทีย
่ งธรรม, ความลำเอียง - wrong course of เป็ นต ้น พึงรู ้จักพิจารณาอดกลัน้ - The monk deliberately
behavior; prejudice) endures one thing)
๑. ปัญญา (ความรู ้ชัด คือ หยั่งรู ้ในเหตุผล พิจารณาให ้เข ้าใจใน ภิกษุ ผู ้พร ้อมด ้วยธรรม ๔ ประการนี้ ดำรงอยูใ่ นธรรม ๕ คือ
สภาวะของสิง่ ทัง้ หลายจนเข ้าถึงความจริง - wisdom; insight) ศรัทธา หิร ิ โอตตัปปะ วิรย ิ ะ ปั ญญา ท่านเรียกว่า นิสสยสัมบัน (ผู ้
ถึงพร ้อมด ้วยทีพ ่ งึ่ อาศัย - fully reliant.)
ั
๒. สจจะ (ความจริ ง คือ ดำรงมั่นในความจริงทีร่ ู ้ชัดด ้วยปั ญญา
เริม
่ แต่จริงวาจาจนถึงปรมัตถสัจจะ - truthfulness)
ความสำเร็จในการปฏิบัตท
ิ งั ้ หมด พึงตรวจสอบด ้วยหลัก (๗๒) ๓. สีล ัพพตุปาทาน (ความยึดมั่นในศีลและพรต คือ หลักความ
ญาณ ๓ ประพฤติ ข ้อปฏิบต ั ิ แบบแผน ระเบียบ วิธ ี ขนบธรรมเนียม
ประเพณี ลัทธิพธิ ต ี า่ งๆ ถือว่าจะต ้องเป็ นอย่างนัน
้ ๆ โดยสักว่ากระ
(๒๐๔) อาหาร ๔ (สภาพทีนำ ่ มาซึง่ ผลโดยความเป็ น ทำสืบๆ กันมา หรือปฏิบต ั ติ ามๆ กันไปอย่างงมงาย หรือโดยนิยม
ปั จจัยค้ำจุนรูปธรรมและนามธรรมทัง้ หลาย, เครือ ิ , สิง่
่ งค้ำจุนชีวต ว่าขลัง ว่าศักดิส ิ ธิ์ มิได ้เป็ นไปด ้วยความรู ้ความเข ้าใจตามหลัก
์ ท
ทีห่ ล่อเลีย
้ งร่างกายและจิตใจ ทำให ้เกิดกำลังเจริญเติบโตและ ความสัมพันธ์แห่งเหตุและผล - clinging to mere rule and
วิวัฒน์ได ้ - nutriment) ritual)
ิ
๑. กวฬงการาหาร (อาหารคื อคำข ้าว ได ้แก่ อาหารสามัญที่ ๔. อ ัตตวาทุปาทาน (ความยึดมั่นในวาทะว่าตัวตน คือ ความถือ
กลืนกินดูดซึมเข ้าไป หล่อเลีย ้ งร่างกาย - material food; หรือสำคัญหมายอยูใ่ นภายในว่า มีตัวตน ทีจ ่ ะได ้ จะเป็ น จะมี จะ
physical nutriment) เมือ ิ
่ กำหนดรู ้กวฬงการาหารได ้แล ้ว ก็เป็ น สูญสลาย ถูกบีบคัน ้ ทำลายหรือเป็ นเจ ้าของ เป็ นนายบังคับบัญชา
อันกำหนดรู ้ราคะทีเ่ กิดจากเบญจกามคุณได ้ด ้วย สิง่ ต่างๆ ได ้ ไม่มองเห็นสภาวะของสิง่ ทัง้ ปวงอันรวมทัง้ ตัวตนว่า
เป็ นแต่เพียงสิง่ ทีป
่ ระชุมประกอบกันเข ้า เป็ นไปตรมเหตุปัจจัยทัง้
๒. ผ ัสสาหาร (อาหารคือผัสสะ ได ้แก่ การบรรจบแห่งอายตนะ หลายทีม ่ าสัมพันธ์กน ั ล ้วนๆ - clinging to the ego-belief)
ภายใน อายตนะภายนอก และวิญญาณ เป็ นปั จจัยให ้เกิดเวทนา
พร ้อมทัง้ เจตสิกทัง้ หลายทีจ
่ ะเกิดตามมา - nutriment (๒๐๘) ข ันธ์ ๕ หรือ เบญจข ันธ์ (กองแห่งรูปธรรม
consisting of contact; contact as nutriment) เมือ ่ กำหนดรู ้ และนามธรรม ๕ หมวด ทีป ่ ระชุมกันเข ้าเป็ นหน่วยรวม ซึง่ บัญญัต ิ
ผัสสาหารได ้แล ้ว ก็เป็ นอันกำหนดรู ้เวทนา ๓ ได ้ด ้วย เรียกว่า สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เป็ นต ้น, ส่วนประกอบ ๕
อย่างทีร่ วมเข ้าเป็ นชีวต
ิ — the Five Groups of Existence;
ั
๓. มโนสญเจตนาหาร (อาหารคื อมโนสัญเจตนา ได ้แก่ ความ Five Aggregates)
จงใจ เป็ นปั จจัยแห่งการทำ พูด คิด ซึง่ เรียกว่ากรรม เป็ นตัวชำ
นักมาซึง่ ภพ คือ ให ้เกิดปฏิสนธิในภพทัง้ หลาย - nutriment ๑. รูปข ันธ์ (กองรูป, ส่วนทีเ่ ป็ นรูป, ร่างกาย พฤติกรรม และ
consisting of mental volition; mental choice as nutriment) คุณสมบัตต ิ า่ งๆ ของส่วนทีเ่ ป็ นร่างกาย, ส่วนประกอบฝ่ ายรูปธรรม
เมือ
่ กำหนดรู ้มโนสัญเจตนาหารได ้แล ้ว ก็เป็ นอันกำหนดรู ้ตัณหา ทัง้ หมด, สิง่ ทีเ่ ป็ นร่างพร ้อมทัง้ คุณและอาการ —corporeality)
๓ ได ้ด ้วย.
๒. เวทนาข ันธ์ (กองเวทนา, ส่วนทีเ่ ป็ นการเสวยอารมณ์, ความ
๔. วิญญาณาหาร (อาหารคือวิญญาณ ได ้แก่ วิญญาณเป็ น รู ้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ —feeling; sensation)
ปั จจัยให ้เกิดนามรูป - nutriment consisting of
consciousness; consciousness as nutriment) เมือ ่ กำหนดรู ้ ั
๓. สญญาข ันธ์ (กองสัญญา, ส่วนทีเ่ ป็ นความกำหนดหมาย,
วิญญาณาหารได ้แล ้วก็เป็ นอันกำหนดรู ้นามรูปได ้ด ้วย. ความกำหนดได ้หมายรู ้ในอารมณ์ ๖ เช่นว่า ขาว เขียว ดำ แดง
เป็ นต ้น — perception)
ั
๔. สงขารข ันธ์ (กองสังขาร, ส่วนทีเ่ ป็ นความปรุงแต่ง, สภาพที่ ๓. อนุทยตํ ปฏิจฺจ (แสดงธรรมด ้วยอาศัยเมตตา คือ สอนเขา
ปรุงแต่งจิตให ้ดีหรือชัว่ หรือเป็ นกลางๆ, คุณสมบัตติ า่ งๆ ของจิต ด ้วยจิตเมตตา มุง่ จะให ้เป็ นประโยชน์แก่เขา — It is inspired by
มีเจตนาเป็ นตัวนำ ทีป่ รุงแต่งคุณภาพของจิต ให ้เป็ นกุศล อกุศล kindness; teaching out of kindliness.)
อัพยากฤต — mental formations; volitional activities)
๔. น อามิสนฺตโร (ไม่แสดงธรรมด ้วยเห็นแก่อามิส คือ สอนเขา
๕. วิญญาณข ันธ์ (กองวิญญาณ, ส่วนทีเ่ ป็ นความรู ้แจ ้งอารมณ์, มิใช่เพราะมุง่ ทีต
่ นจะได ้ลาภ หรือผลประโยชน์ตอบแทน — It is
ความรู ้อารมณ์ทางอายตนะทัง้ ๖ มีการเห็น การได ้ยิน เป็ นต ้น not for worldly gain.)
ได ้แก่ วิญญาณ ๖ — consciousness)
๕. อตฺตานญฺจ ปรญฺจ อนุปหจฺจ (แสดงธรรมไม่กระทบตนและ
ขันธ์ ๕ นี้ ย่อลงมาเป็ น ๒ คือ นาม และ รูป; รูปขันธ์จัดเป็ นรูป, ๔ ผู ้อืน
่ คือ สอนตามหลักตามเนือ ้ หา มุง่ แสดงธรรม แสดงธรรม ไม่
ขันธ์ นอกนัน ้ เป็ นนาม. อีกอย่างหนึง่ จัดเข ้าในปรมัตถธรรม ๔ : ยกตน ไม่เสียดสีขม ่ ขีผ
่ ู ้อืน
่ — It does not hurt oneself or
วิญญาณขันธ์เป็ น จิต, เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และ others; not exalting oneself while contempting others.)
วิญญาณขันธ์ เป็ น เจตสิก, รูปขันธ์ เป็ น รูป, ส่วน นิพพาน เป็ น
ขันธวินม
ิ ต
ุ คือ พ ้นจากขันธ์ ๕ (๒๑๔) นิยาม ๕ (กำหนดอันแน่นอน, ความเป็ นไปอัน
มีระเบียบแน่นอนของธรรมชาติ, กฎธรรมชาติ — orderliness of
นอกนี้ ดู (๓๔๒) จิต ๘๙; (๓๔๑) เจตสิก ๕๒ nature; the five aspects of natural law)
ธรรมขันธ์ ๔ ข ้อต ้น เรียกอีกอย่างว่า สาระ ๔ (แก่น, หลักธรรมที่ ๒. ตท ังคนิโรธ (ดับด ้วยองค์นัน้ ๆ คือ ดับกิเลสด ้วยธรรมทีเ่ ป็ นคู่
เป็ นแกน, หัวใจธรรม —essences) ปรับหรือธรรมทีต
่ รงข ้าม เช่น ดับสักกายทิฏฐิด ้วยความรู ้ทีกำ
่ หนด
แยกนามรูปออกได ้ เป็ นการดับชัว่ คราวในกรณีนัน ้ ๆ —extinction
(๒๑๑) ธรรมเทสกธรรม ๕ (ธรรมของนักเทศก์, by substitution of opposites)
องค์แห่งธรรมกถึก, ธรรมทีผ ่ ู ้แสดงธรรมหรือสัง่ สอนคนอืน
่ ควรตัง้
ไว ้ในใจ — qualities of a preacher; qualities which a ้ เด็ดขาด
๓. สมุจเฉทนิโรธ (ดับด ้วยตัดขาด คือ ดับกิเลสเสร็จสิน
teacher should establish in himself) ด ้วยโลกุตตรมรรค ในขณะแห่งมรรคนัน ่ สมุจเฉทนิโรธ
้ ชือ
— extinction by cutting off or destruction)
๑. อนุปพ ุ ฺพก
ิ ถํ (กล่าวความไปตามลำดับ คือ แสดงหลักธรรม
หรือเนือ้ หาวิชาตามลำดับความง่ายยากลุม่ ลึก มีเหตุผลสัมพันธ์ ๔. ปฏิปส ั นโิ รธ (ดับด ้วยสงบระงับ คือ อาศัยโลกุตตรมรร
ั สทธิ
ต่อเนือ
่ งกันไปโดยลำดับ — His instruction or exposition is คดับกิเลสเด็ดขาดไปแล ้ว บรรลุโลกุตตรผล กิเลสเป็ นอันสงบ
regulated and gradually advanced.) ระงับไปหมดแล ้ว ไม่ต ้องขวนขวายเพือ ่ ดับอีก ในขณะแห่งผลนัน้
่ ปฏิปัสสัทธินโิ รธ — extinction by tranquillization)
ชือ
๒. ปริยายทสฺสาวี (ชีแ ้ จงยกเหตุผลมาแสดงให ้เข ้าใจ คือ
้ จงให ้เข ้าใจชัดในแต่ละแง่แต่ละประเด็น โดยอธิบายขยาย
ชีแ ๕. นิสสรณนิโรธ (ดับด ้วยสลัดออกได ้ หรือดับด ้วยปลอดโปร่ง
ความ ยักเยือ ้ งไปต่างๆ ตามแนวเหตุผล — It has reasoning or ้ แล ้ว ดำรงอยูใ่ นภาวะทีก
ไป คือ ดับกิเลสเสร็จสิน ่ เิ ลสดับแล ้วนัน
้
refers to causality) ยั่งยืนตลอดไป ภาวะนัน ่ นิสสรณนิโรธ ได ้แก่อมตธาตุ คือ
้ ชือ
นิพพาน — extinction by escape; extinction by getting
freed)
ปหาน ๕ (การละกิเลส — abandonment), วิมต ุ ติ ๕ (ความ ๔. สมาธิ (ความตัง้ จิตมั่น — concentration)
หลุดพ ้น — deliverance), วิเวก ๕(ความสงัด, ความปลีกออก
— seclusion), วิราคะ ๕ (ความคลายกำหนัด, ความสำรอกออก ๕. ปัญญา (ความรู ้ทั่วชัด — wisdom; understanding)
ได ้ — detachment; dispassionateness), โวสสัคคะ ๕ (ความ
สละ, ความปล่อย —relinquishing) ก็อย่างเดียวกันนีท้ งั ้ หมด ธรรม ๕ อย่างนี้ เรียกอีกอย่างหนึง่ ว่า อินทรีย ์ ๕ (ธรรมทีเ่ ป็ น
ใหญ่ในกิจของตน — controlling faculty) ทีเ่ รียกว่า อินทรีย ์
(๒๑๖) นิวรณ์ ๕ (สิง่ ทีก ่ น
ั ้ จิตไม่ให ้ก ้าวหน ้าใน เพราะความหมายว่า เป็ นใหญ่ในการกระทำหน ้าทีแ ่ ต่ละอย่างๆ
คุณธรรม, ธรรมทีก ่ น
ั ้ จิตไม่ให ้บรรลุคณ ุ ความดี, อกุศลธรรมทีทำ ่ ของตน คือเป็ นเจ ้าการ ในการครอบงำเสียซึง่ ความไร ้ศรัทธา
จิตให ้เศร ้าหมองและทำปั ญญาให ้อ่อนกำลัง — hindrances.) ความเกียจคร ้าน ความประมาท ความฟุ้ งซ่าน และความหลงตาม
ลำดับ ทีเ่ รียกว่า พละ เพราะความหมายว่า เป็ นพลังทำให ้เกิด
๑. กามฉ ันทะ (ความพอใจในกาม, ความต ้องการกามคุณ ความมั่นคง ซึง่ ความไร ้ศรัทธาเป็ นต ้น แต่ละอย่าง จะเข ้าครอบงำ
— sensual desire) ไม่ได ้
ั
๓. กามสงวร (ความสั งวรในกาม, ความสำรวมระวังรู ้จักยับยัง้ ๔.๑ ทาน (การให ้ปั น โดยปกติหมายถึง ช่วยเหลือในด ้านทุน
ควบคุมตนในทางกามารมณ์ ไม่ให ้หลงใหลในรูป เสียง กลิน ่ รส หรือปั จจัยเครือ ่ งยังชีพ ตลอดจนเผือ ่ แผ่กน
ั ด ้วยไมตรี อย่างเลิศ
และสัมผัส — sexual restraint) คูก
่ บ
ั ศีลข ้อที่ ๓ หมายถึงธรรมทาน คือ แนะนำสัง่ สอนให ้ความรู ้ความเข ้าใจ จน
เขารู ้จักพึง่ ตนเองได ้ — gift; charity; benefaction)
ั
๔. สจจะ (ความสั ่ ตรง — truthfulness; sincerity)
ตย์ ความซือ
คูก
่ บ
ั ศีลข ้อที่ ๔ ๔.๒ เปยยว ัชชนะ (พูดจับใจ, = ปิ ยวาจา คือ พูดด ้วยน้ำใจหวัง
่
ดี มุง่ ให ้เป็ นประโยชน์และรู ้จักพูดให ้เป็ นผลดี ทำให ้เกิดความเชือ
๕. สติสมปช ั ั
ญญะ (ระลึ กได ้และรู ้ตัวอยูเ่ สมอ คือ ฝึ กตนให ้เป็ น ถือ สนิทสนม และเคารพนับถือกันอย่างเลิศหมายถึง หมั่นแสดง
คนรู ้จักยัง้ คิด รู ้สึกตัวเสมอว่า สิง่ ใดควรทำ และไม่ควรทำ ระวังมิ ธรรม คอยช่วยชีแ ้ จงแนะนำหลักความจริง ความถูกต ้องดีงาม แก่
ให ้เป็ นความมัวเมาประมาท — mindfulness and awareness; ผู ้ทีต
่ ้องการ — kindly or salutary speech)
temperance) คูก ่ บ
ั ศีลข ้อที่ ๕
๔.๓ อ ัตถจริยา (บำเพ็ญประโยชน์ คือ ช่วยเหลือรับใช ้ ทำงาน
ข ้อ ๒ บางแห่งเป็ น ทาน (การแบ่งปั นเอือ
้ เฟื้ อเผือ
่ แผ่ — giving; สร ้างสรรค์ ประพฤติการทีเ่ ป็ นประโยชน์ อย่างเลิศหมายถึง ช่วย
generosity) ข ้อ ๓ บางแห่งเป็ นสทารสันโดษ (ความพอใจด ้วย เหลือส่งเสริมคนให ้มีความเชือ ่ ถือถูกต ้อง (สัทธาสัมปทา) ให ้
ภรรยาของตน — contentment with one’s own wife) ข ้อ ๕ ประพฤติดงี าม (สีลสัมปทา) ให ้มีความเสียสละ (จาคสัมปทา)
บางแห่งเป็ น อัปปมาท (ความไม่ประมาท — heedfulness) และให ้มีปัญญา (ปั ญญาสัมปทา) — friendly aid; doing good;
life of service)
เบญจธรรมนี้ ท่านผูกเป็ นหมวดธรรมขึน ้ ในภายหลัง จึงมีแปลก
กันไปบ ้าง เมือ
่ ว่าโดยทีม ้ ว่ นใหญ่ประมวลได ้จาก
่ า หัวข ้อเหล่านีส ๔.๔ สมาน ัตตตา (มีตนเสมอ คือ เสมอภาค ไม่เอาเปรียบ ไม่
ความท่อนท ้ายของกุศลกรรมบถข ้อต ้นๆ ถือสูงต่ำ ร่วมสุข ร่วมทุกข์ด ้วย อย่างเลิศหมายถึง มีความเสมอ
กันโดยธรรม เช่น พระโสดาบันมีตนเสมอกับพระโสดาบัน เป็ นต ้น
— equality; impartiality; participation)
(๒๒๐) พละ ๕ (ธรรมอันเป็ นกำลัง — power)
๓. สติ (ความระลึกได ้ — mindfulness)
๑. อาชีวต
ิ ภัย (ภัยเนือ
่ งด ้วยการครองชีพ — fear of troubles ค. ปุพพเปตพลี ทำบุญอุทศ ิ ให ้ผู ้ล่วงลับ (to the departed, by
about livelihood) dedicating merit to them)
่ มเสียชือ
๒. อสิโลกภัย (ภัยคือความเสือ ่ เสียง — fear of ill- ง. ราชพลี บำรุงราชการด ้วยการเสียภาษี อากรเป็ นต ้น (to the
fame) king, i.e., to the government, by paying taxes and duties
and so on)
๓. ปริสสารัชชภัย (ภัยคือความครั่นคร ้ามเก ้อเขินในทีช
่ ม
ุ นุม —
fear of embarrassment in assemblies) จ. เทวตาพลี ถวายเทวดา คือ สักการะบำรุงหรือทำบุญอุทศ ิ สิง่ ที่
่ ถือ (to the deities, i.e., those
เคารพบูชา ตามความเชือ
๔. มรณภัย (ภัยคือความตาย — fear of death) beings who are worshipped according to one’s faith)
๒. ธตา (จำได ้ คือ จับหลักหรือสาระได ้ ทรงจำความไว ้แม่นยำ (๒๒๕) ม ัจฉริยะ ๕ (ความตระหนี,่ ความหวง, ความ
— having retained or remembered them) ่ ได ้ดี หรือมีสว่ นร่วม — meanness; avarice;
คิดกีดกันไม่ให ้ผู ้อืน
selfishness; stinginess)
๓. วจสา ปริจต ิ า (คล่องปาก คือ ท่องบ่นหรือใช ้พูดอยูเ่ สมอจน
แคล่วคล่อง จัดเจน — having frequently practised them ๑. อาวาสม ัจฉริยะ (ตระหนีท ่ อ
ี่ ยู,่ หวงทีอ
่ าศัย เช่น ภิกษุ หวง
verbally; having consolidated them by word of mouth) เสนาสนะ กีดกันผู ้อืน
่ หรือผู ้มิใช่พวกของตน ไม่ให ้เข ้าอยู่ เป็ นต ้น
— stinginess as to dwelling)
๔. มนสานุเปกขิตา (เพ่งขึน ้ ใจ คือ ใส่ใจนึกคิดพิจารณาจน
เจนใจ นึกถึงครัง้ ใด ก็ปรากฏเนือ
้ ความสว่างชัด — having ๒. กุลม ัจฉริยะ (ตระหนีต ่ ระกูล, หวงสกุล เช่น ภิกษุ หวงสกุลอุป
looked over them with the mind) ฐาก คอยกีดกันภิกษุ อน ื่ ไม่ให ้เกีย
่ วข ้องได ้รับการบำรุงด ้วย
เป็ นต ้น — stnginess as to family)
๕. ทิฏฐิยา สุปฏิวท ิ ธา (ขบได ้ด ้วยทฤษฎี หรือ แทงตลอดดีด ้วย
ทิฏฐิ คือ ความเข ้าใจลึกซึง้ มองเห็นประจักษ์แจ ้งด ้วยปั ญญา ทัง้ ๓. ลาภม ัจฉริยะ (ตระหนีล ่ าภ, หวงผลประโยชน์ เช่น ภิกษุ หา
ในแง่ความหมายและเหตุผล — having thoroughly ทางกีดกันไม่ให ้ลาภเกิดขึน
้ แก่ภกิ ษุ อน
ื่ — stinginess as to
penetrated them by view) gain)
๒. ศีล (ความประพฤติถก
ู ต ้องดีงาม ไม่ผด
ิ ระเบียบวินัย ไม่ผด
ิ ศีล ๔. กามาทีนวกถา (เรือ ่ งโทษแห่งกาม, กล่าวถึงส่วนเสีย ข ้อ
ธรรม — good conduct; morality) บกพร่องของกาม พร ้อมทัง้ ผลร ้ายทีส ื เนือ
่ บ ่ งมาแต่กาม อันไม่ควร
หลงใหลหมกมุน ่ มัวเมา จนถึงรู ้จักทีจ
่ ะหน่ายถอนตนออกได ้ —
ั
๓. พาหุสจจะ (ความเป็ นผู ้ได ้ศึกษาเล่าเรียนมาก — great talk on the disadvantages of sensual pleasures)
learning)
ั
๕. เนกข ัมมานิสงสกถา (เรื อ
่ งอานิสงส์แห่งความออกจากกาม,
๔. วิรย
ิ าร ัมภะ (ปรารภความเพียร คือ การทีไ่ ด ้เริม
่ ลงมือ กล่าวถึงผลดีของการไม่หมกมุน ่ เพลิดเพลินติดอยูใ่ นกาม และให ้
ทำความเพียรพยายามในกิจการนัน ้ ๆ อยูแ
่ ล ้วอย่างมั่นคงจริงจัง มีฉันทะทีจ
่ ะแสวงความดีงามและความสุขอันสงบทีป ่ ระณีตยิง่ ขึน
้
— exertion; energy) ไปกว่านัน
้ — talk on the benefits of renouncing sensual
pleasures)
๕. ปัญญา (ความรอบรู ้ เข ้าใจซึง้ ในเหตุผล ดี ชัว่ ประโยชน์
มิใช่ประโยชน์ เป็ นต ้น รู ้คิด รู ้วินจ
ิ ฉัย และรู ้ทีจ
่ ะจัดการ — ตามปกติ พระพุทธเจ ้าเมือ ่ จะทรงแสดงพระธรรมเทศนาแก่
wisdom; understanding) คฤหัสถ์ ผู ้มีอป ั สามารถทีจ
ุ นิสย ่ ะบรรลุธรรมพิเศษ ทรงแสดงอนุ
ปุพพิกถานีก ้ อ
่ น แล ้วจึงตรัสแสดงอริยสัจ ๔ เป็ นการทำจิตให ้
(๒๓๑) สงวร ั ๕ (ความสำรวม, ความระวังปิ ดกัน
้ บาป พร ้อมทีจ
่ ะรับ ดุจผ ้าทีซ ั ฟอกสะอาดแล ้ว ควรรับน้ำย ้อมต่างๆ ได ้
่ ก
อกุศล — restraint) ด ้วยดี
สังวรศีล (ศีลสังวร, ความสำรวมเป็ นศีล — virtue as restraint) (๒๓๕) อภิณหปัจจเวกขณ์ ๕ (ข ้อทีส ่ ตรีก็ตาม บุรษ
ุ
ได ้แก่ สังวร ๕ อย่าง คือ ก็ตาม คฤหัสถ์ก็ตาม บรรพชิตก็ตาม ควรพิจารณาเนืองๆ —
ideas to be constantly reviewed; facts which should be
again and again contemplated)
ั
๑. ปาฏิโมกขสงวร (สำรวมในปาฏิ โมกข์ คือ รักษาสิกขาบท
เคร่งครัดตามทีท
่ รงบัญญัตไิ ว ้ในพระปาติโมกข์ — restraint by
the monastic code of discipline) ๑. ชราธ ัมมตา (ควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความแก่เป็ น
ธรรมดา ไม่ลว่ งพ ้นความแก่ไปได ้ — He should again and
again contemplate: I am subject to decay and I cannot
ั
๒. สติสงวร (สำรวมด ้วยสติ คือ สำรวมอินทรียม ์ จ
ี ักษุ เป็ นต ้น
escape it.)
ระวังรักษามิให ้บาปอกุศลเข ้าครอบงำ เมือ
่ เห็นรูป เป็ นต ้น —
restraint by mind—fulness) = อินทรียสังวร
๒. พยาธิธ ัมมตา (ควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความเจ็บป่ วย
เป็ นธรรมดา ไมล่วงพ ้นความเจ็บป่ วยไปได ้ — I am subject to
ั
๓. ญาณสงวร (สำรวมด ้วยญาณ คือ ตัดกระแสกิเลสมีตัณหา
disease and I cannot escape it.)
เป็ นต ้นเสียได ้ ด ้วยใช ้ปั ญญาพิจารณา มิให ้เข ้ามาครอบงำจิต
ตลอดถึงรู ้จักพิจารณาเสพปั จจัยสี่ — restraint by knowledge)
= ปั จจัยปั จจเวกขณ์ ๓. มรณธ ัมมตา (ควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความตายเป็ น
ธรรมดา ไม่ลว่ งพ ้นความตายไปได ้ — I am subject to death
and I cannot escape it.)
ั
๔. ข ันติสงวร (สำรวมด ้วยขันติ คือ อดทนต่อหนาว ร ้อน หิว
กระหาย ถ ้อยคำแรงร ้าย และทุกขเวทนาต่างๆ ได ้ ไม่แสดงความ
วิการ — restraint by patience) ๔. ปิ ยวินาภาวตา (ควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เราจักต ้องมีความ
พลัดพรากจากของรักของชอบใจทัง้ สิน ้ — There will be
division and separation from all that are dear to me and
๕. วิรย ั
ิ สงวร (สำรวมด ้วยความเพียร คือ พยายามขับไล่ บรรเทา
beloved.)
กำจัดอกุศลวิตกทีเ่ กิดขึน
้ แล ้วให ้หมดไปเป็ นต ้น ตลอดจนละ
มิจฉาชีพ เพียรแสวงหาปั จจัยสีเ่ ลีย ้ งชีวต
ิ ด ้วยสัมมาชีพ ทีเ่ รียกว่า
อาชีวปาริสทุ ธิ — restraint by energy) = อาชีวปาริสท ุ ธิ. ๕. ก ัมม ัสสกตา (ควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีกรรมเป็ นของตน
เราทำกรรมใด ดีกต็ าม ชัว่ ก็ตาม จักต ้องเป็ นทายาท ของกรรมนัน
้
— I am owner of my deed, whatever deed I do, whether ๔. ตัวเราเองติเตียนตัวเราเองโดยศีลไม่ได ้อยูห
่ รือไม่ (Does my
good or bad, I shall become heir to it.) not reproach me on my virtue’s account ?)
ข ้อทีค
่ วรพิจารณาเนืองๆ ๕ อย่างนี้ มีวัตถุประสงค์เพือ ่ ละสาเหตุ ข ้อนีม
้ วี ัตถุประสงค์ เพือ
่ ให ้เกิดหิรพ
ิ รั่งพร ้อมอยูใ่ นใจ ช่วยให ้มี
ต่างๆ มี ความมัวเมา เป็ นต ้น ทีทำ
่ ให ้สัตว์ทงั ้ หลายตกอยูใ่ นความ สังวรทางไตรทวาร
ประมาท และประพฤติทจ ุ ริตทางไตรทวาร กล่าวคือ :-
๕. เพือ
่ นพรหมจรรย์ทงั ้ หลายผู ้เป็ นวิญญูชนพิจารณาแล ้ว ยังติ
ข ้อ ๑ เป็ นเหตุละหรือบรรเทาความเมาในความเป็ นหนุ่มสาวหรือ เตียนเราโดยศีลไม่ได ้อยูห่ รือไม่ (Do my discerning fellows in
ความเยาว์วัย the holy life, on considering me, not reproach me on my
virtue’s account ?)
ข ้อ ๒ เป็ นเหตุละหรือบรรเทาความเมาในความไม่มโี รค คือ
ความแข็งแรงมีสข ุ ภาพดี ข ้อนี้ มีวัตถุประสงค์ เพือ
่ ให ้ดำรงโอตตัปปะในภายนอกไว ้ได ้ ช่วย
ให ้มีสงั วรทางไตรทวาร
ข ้อ ๓ เป็ นเหตุละหรือบรรเทาความเมาในชีวต
ิ
๖. เราจักต ้องมีความพลัดพรากจากของรักของชอบใจทัง้ สิน ้
ข ้อ ๔ เป็ นเหตุละหรือบรรเทาความยึดติดผูกพันในของรักทัง้ (There will be division and separation from all that are
หลาย dear to me and beloved.)
๒. ศีล (ความประพฤติด ี มีวน
ิ ัย เลีย
้ งชีพสุจริต — good (๒๔๗) อุบาสกธรรม ๕ (ธรรมของอุบาสกทีด ่ ,ี
conduct; morality) สมบัตหิ รือองค์คณ
ุ ของอุบาสกอย่างเยีย
่ ม — qualities of an
excellent lay disciple)
๓. สุตะ (การเล่าเรียนสดับฟั งศึกษาหาความรู ้ — learning)
๑. มีศรัทธา (to be endowed with faith)
๔. จาคะ (การเผือ ่ แผ่เสียสละ เอือ
้ เฟื้ อ มีน้ำใจช่วยเหลือ ใน
กว ้าง พร ้อมทีจ
่ ะรับฟั งและร่วมมือ ไม่คับแคบเอาแต่ตัว — ี (to have good conduct)
๒. มีศล
liberality)
๓. ไม่ถอ ื มงคลตืน ่ กรรม ไม่เชือ
่ ข่าว เชือ ่ มงคล คือ มุง่ หวังจาก
๕. ปัญญา (ความรอบรู ้ รู ้คิด รู ้พิจารณา เข ้าใจเหตุผล รู ้จักโลก การกระทำและการงาน มิใช่จากโชคลางและสิง่ ทีต ่ น
ื่ กันว่าขลัง
และชีวต
ิ ตามความเป็ นจริง — wisdom) ศักดิส ิ ธิ์ (not to be superstitious, believing in deeds, not
์ ท
luck)
(๒๓๘) อายุสสธรรม หรือ อายุว ัฒนธรรม ๕ (ธรรม
ทีเ่ กือ ่ ง่ เสริมสุขภาพ, ธรรมทีช
้ กูลแก่อายุ หรือธรรมทีส ่ ว่ ยให ้อายุ ๔. ไม่แสวงหาทักขิไณย์ภายนอกหลักคำสอนนี้ คือ ไม่แสวงหา
ยืน — things conducive to long life) เขตบุญนอกหลักพระพุทธศาสนา (not to seek for the gift-
worthy outside of the Buddha’s teaching)
ั
๑. สปปายการี (รู ้จักทำความสบายแก่ตนเอง — to do what is
suitable for oneself and favourable to one’s health; to act ๕. กระทำความสนับสนุนในพระศาสนานีเ้ ป็ นเบือ
้ งต ้น คือ
in accordance with rules of hygiene) ขวนขวายในการอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา (to do gis first
service in a Buddhist cause)
ั
๒. สปปาเย ม ัตต ัญญู (รู ้จักประมาณในสิง่ ทีส
่ บาย — to be
moderate even as to thigs suitable and favourable) ธรรม ๕ อย่างนี้ ในบาลีทมี่ าเรียกว่า ธรรมของอุบาสกรัตน์
(อุบาสกแก ้ว) หรือ อุบาสกปทุม (อุบาสกดอกบัว)
๓. ปริณตโภชี (บริโภคสิง่ ทีย
่ อ
่ ยง่าย เช่น เคีย
้ วให ้ละเอียด —
to eat food which is ripe or easy to digest) ดู (๒๔๘) อุบาสกธรรม ๗ ด ้วย.
(๒๔๐) อาวาสิกธรรม ๕ (คุณสมบัตข ิ องเจ ้าอาวาส ๕. ไม่ฟังธรรมด ้วยตัง้ ใจจะคอยเพ่งโทษติเตียน (to listen to
หมวดที่ ๒ ประเภทเป็ นทีร่ ก
ั ทีเ่ คารพของสพหรมจารี คือ เพือ
่ น the Dhamma not in order to criticize)
ภิกษุ สามเณรผู ้ประพฤติพรหมจรรย์รว่ มกัน — qualities of a
beloved and respected incumbent or abbot) ๖. ไม่แสวงหาทักขิไณย์ภายนอกหลักคำสอนนี้ (not to seek
for the gift-worthy outside of the Buddha’s teaching)
ี สำรวมในพระปาฏิโมกข์ ประพฤติเคร่งครัดใน
๑. สีลวา (มีศล
สิกขาบททัง้ หลาย — to gave good conduct) ๗. กระทำความสนับสนุนในพระศาสนานีเ้ ป็ นเบือ
้ งต ้น คือ
ขวนขวายในการอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา (to do his first
๒. พหุสสุตะ (เป็ นพหูสต
ู ทรงความรู ้ — to have great service in a Buddhist cause)
learning)
(๒๔๙) คารวะ หรือ คารวตา ๖ (ความเคารพ, การ
๓. ก ัลยาณวาจา (มีวาจางาม รู ้จักพูด รู ้จักเจรจาให ้เป็ นผลดี — ถือเป็ นสิง่ สำคัญทีจ ่ ะพึงใส่ใจและปฏิบัตด ิ ้วยความเอือ
้ เฟื้ อ หรือ
to have lovely and convincing speech) โดยความหนักแน่นจริงจัง, การมองเห็นคุณค่าและความสำคัญ
แล ้วปฏิบัตต ่ บุคคลหรือสิง่ นัน
ิ อ ้ โดยถูกต ้อง ด ้วยความจริงใจ
๔. ฌานลาภี (ได ้แคล่วคล่องในฌาน ๔ สำหรับอยูเ่ ป็ นสุขใน — reverence; esteem; attention; appreciative action)
ปั จจุบัน — to be able to gain pleasure of the Four
Absorptions ot will) ั คารวตา (ความเคารพในพระศาสดา —reverence for
๑. สตถุ
the Buddha)
๒. ธ ัมมคารวตา (ความเคารพในธรรม — reverence for the ั ัส (ความกระทบทางจมูก คือ จมูก + กลิน
๓. ฆานสมผ ่ + ฆาน
Buddha) วิญญาณ — nose-contact)
ั
๓. สงฆคารวตา (ความเคารพในสงฆ์ — reverence for the ั ัส (ความกระทบทางลิน
๔. ชิวหาสมผ ้ คือ ลิน
้ + รส + ชิวหา
Order) วิญญาณ — tongue-contact)
ั
๖. ปฏิสนถารคารวตา (ความเคารพในปฏิ
สนั ถาร (๒๕๙) สารณียธรรม ๖ (ธรรมเป็ นทีต ่ งั ้ แห่งความให ้
— reverence for hospitality) ระลึกถึง, ธรรมเป็ นเหตุทรี่ ะลึกถึงกัน, หลักการอยูร่ ว่ มกัน
— states of conciliation; virtues for fraternal living) สา
ธรรม ๖ อย่างนี้ ย่อมเป็ นไปเพือ ่ มแห่งภิกษุ .
่ ความไม่เสือ รณียธรรม ก็ใช ้
ตัวความประพฤติเรียกว่า จริยา บุคคลผู ้มีความประพฤติอย่างนัน
้ ๆ ๒. เมตตาวจีกรรม (ตัง้ เมตตาวจีกรรมในเพือ ่ นพรหมจรรย์ ทัง้
เรียกว่า จริต ต่อหน ้าและลับหลัง คือ ช่วยบอกแจ ้งสิง่ ทีเ่ ป็ นประโยชน์ สัง่ สอน
แนะนำตักเตือนด ้วยความหวังดี กล่าววาจาสุภาพ แสดงความ
๑. ราคจริต (ผู ้มีราคะเป็ นความประพฤติปกติ, ประพฤติหนักไป เคารพนับถือกัน ทัง้ ต่อหน ้าและลับหลัง — to be amiable in
ทางรักสวยรักงาม — one of lustful temperament) กรรมฐาน word, openly and in private)
คูป
่ รับสำหรับแก ้ คือ อสุภะและกายคตาสติ
๓. เมตตามโนกรรม (ตัง้ เมตตามโนกรรม ในเพือ ่ นพรหมจรรย์
๒. โทสจริต (ผู ้มีโทสะเป็ นความประพฤติปกติ, ประพฤติหนักไป ทัง้ ต่อหน ้าและลับหลัง คือตัง้ จิตปรารถนาดี คิดทำสิง่ ทีเ่ ป็ น
ทางใจร ้อนหงุดหงิด — one of hating ประโยชน์แก่กน ั มองกันในแง่ด ี มีหน ้าตายิม
้ แย ้มแจ่มใสต่อกัน
temperament) กรรมฐานทีเ่ หมาะ คือ พรหมวิหารและกสิณ — to be amiable in thought, openly and in private)
โดยเฉพาะวัณณกสิณ
๔. สาธารณโภคี (ได ้ของสิง่ ใดมาก็แบ่งปั นกัน คือ เมือ ่ ได ้สิง่ ใด
๓. โมหจริต (ผู ้มีโมหะเป็ นความประพฤติปกติ, ประพฤติหนักไป มาโดยชอบธรรม แม ้เป็ นของเล็กน ้อย ก็ไม่หวงไว ้ผู ้เดียว นำมา
ทางเขลา เหงาซึมเงือ ่ งงง งมงาย — one of deluded ่ เจือจาน ให ้ได ้มีสว่ นร่วมใช ้สอยบริโภคทั่วกัน —to
แบ่งปั นเฉลีย
temperament) กรรมฐานทีเ่ กือ ้ กูล คือ อานาปานสติ และพึงแก ้ share any lawful gains with virtuous fellows) ข ้อนี้ ใช ้ อัป
ด ้วยมีการเรียน ถาม ฟั งธรรม สนทนาธรรมตามกาลหรืออยูก ่ บ
ั ครู ปฏิวภ
ิ ัตตโภคี ก็ได ้
ั
๔. สทธาจริ ต (ผู ้มีศรัทธาเป็ นความประพฤติปกติ, ประพฤติหนัก ๕. สีลสาม ัญญตา (มีศล ี บริสท
ุ ธิเ์ สมอกันกับเพือ ่ นพรหมจรรย์ทงั ้
ไปทางมีจต ิ ซาบซึง้ ชืน ่ บาน น ้อมใจเลือ
่ มใสโดยง่าย — one of หลาย ทัง้ ต่อหน ้าและลับหลัง คือ มีความประพฤติสจ ุ ริตดีงาม ถูก
faithful temperament) พึงชักนำไปในสิง่ ทีค ่ วรแก่ความลือ
่ มใส ต ้องตามระเบียบวินัย ไม่ทำตนให ้เป็ นทีน่ ่ารังเกียจของหมูค ่ ณะ
และความเชือ ่ ทีม
่ เี หตุผล เช่น พิจารณาอนุสติ ๖ ข ้อต ้น — to keep without blemish the rules of conduct along
with one’s fellows, openly and in private)
๕. พุทธิจริต หรือ ญาณจริต (ผู ้มีความรู ้เป็ นความประพฤติ
ปกติ, ประพฤติหนักไปในทางใช ้ความคิดพิจารณา — one of ๖. ทิฏฐิสาม ัญญตา (มีทฏ ิ ฐิดงี ามเสมอกันเพือ่ นพรหมจรรย์ทงั ้
intelligent temperament) หลาย ทัง้ ต่อหน ้าและลับหลัง คือ มีความเห็นชอบร่วมกัน ในข ้อ
ทีเ่ ป็ นหลักการสำคัญทีจ
่ ะนำไปสูค ่ วามหลุดพ ้น สิน
้ ทุกข์ หรือขจัด
ปั ญหา — to be endowed with right views along with one’s
๖. วิตกจริต (ผู ้มีวต
ิ กเป็ นความประพฤติปกติ, ประพฤติหนักไป
fellows, openly and in private)
ทางนึกคิดจับจดฟุ้ งซ่าน — one of speculative
temperament) พึงแก ้ด ้วยสิง่ ทีส
่ ะกดอารมณ์ เช่น เจริญอานา
ปานสติ หรือเพ่งกสิณ เป็ นต ้น ธรรม ๖ ประการนี้ มีคณ ุ คือ เป็ น สารณียะ (ทำให ้เป็ นทีร่ ะลึกถึง
— making others to keep one in mind) เป็ น ปิ ยกรณ์ (ทำให ้
เป็ นทีร่ ก
ั — endearing) เป็ น ครุกรณ์ (ทำให ้เป็ นทีเ่ คารพ —
(๒๕๘) สมผ ั ัส หรือ ผ ัสสะ ๖ (ความกระทบ, ความ
bringing respect) เป็ นไปเพือ ่ ความสงเคราะห์ (ความกลมกลืน
ประจวบกันแห่งอายตนะภายใน อายตนะภายนอก และวิญญาณ
เข ้าหากัน — conducing to sympathy or solidarity)
— contact; sense-impression)
เพือ่ ความไม่ววิ าท (to non—quarrel) เพือ ่ ความสามัคคี (to
concord; harmony) และ เอกีภาพ (ความเป็ นอันหนึง่ อัน
ั ัส (ความกระทบทางตา คือ ตา + รูป + จักขุ
๑. จ ักขุสมผ เดียวกัน — to unity)
วิญญาณ — eye-contact)
(๒๖๖) โพชฌงค์ ๗ (ธรรมทีเ่ ป็ นองค์แห่งการตรัสรู ้
ั ัส (ความกระทบทางหู คือ หู + เสียง + โสต
๒. โสตสมผ — enlightenment factors)
วิญญาณ — ear-contact)
๑. สติ (ความระลึกได ้ สำนึกพร ้อมอยู่ ใจอยูก
่ บ
ั กิจ จิตอยูก
่ บ
ั เรือ
่ ง (๒๗๒) สปปุ ั รส
ิ ธรรม ๗ (ธรรมของสัตบุรษ ุ , ธรรมที่
— mindfulness) ทำให ้เป็ นสัตบุรษ
ุ , คุณสมบัตข
ิ องคนดี, ธรรมของผู ้ดี
— qualities of a good man; virtues of a gentleman)
๒. ธ ัมมวิจยะ (ความเฟ้ นธรรม, ความสอดส่องสืบค ้นธรรม
— truth-investigation) ๑. ธ ัมม ัญญุตา (ความรู ้จักธรรม รู ้หลัก หรือ รู ้จักเหตุ คือ รู ้หลัก
ความจริง รู ้หลักการ รู ้หลักเกณฑ์ รู ้กฎแห่งธรรมดา รู ้กฎเกณฑ์
๓. วิรย
ิ ะ (ความเพียร — effort; energy) แห่งเหตุผล และรู ้หลักการทีจ ่ ะทำให ้เกิดผล เช่น ภิกษุ รู ้ว่าหลัก
ธรรมข ้อนัน้ ๆ คืออะไร มีอะไรบ ้าง พระมหากษั ตริยท ์ รงทราบว่า
๔. ปี ติ (ความอิม
่ ใจ — zest) หลักการปกครองตามราชประเพณีเป็ นอย่างไร มีอะไรบ ้าง รู ้ว่าจะ
ต ้องกระทำเหตุอน ั นีๆ้ หรือกระทำตามหลักการข ้อนีๆ้ จึงจะให ้เกิด
ผลทีต ่ ้องการอันนัน้ ๆ เป็ นต ้น — knowing the law; knowing
ั (ความสงบกายสงบใจ — tranquillity; calmness)
๕. ปัสสทธิ
the cause)
๖. สมาธิ (ความมีใจตัง้ มั่น จิตแน่วในอารมณ์
๒. อ ัตถ ัญญุตา (ความรู ้จักอรรถ รู ้ความมุง่ หมาย หรือ รู ้จัก
— concentration)
ผล คือ รู ้ความหมาย รู ้ความมุง่ หมาย รู ้ประโยชน์ทป ี่ ระสงค์ รู ้จัก
ผลทีจ่ ะเกิดขึน ้ สืบเนือ
่ งจากการกระทำหรือความเป็ นไปตามหลัก
๗. อุเบกขา (ความมีใจเป็ นกลางเพราะเห็นตามเป็ นจริง เช่น รู ้ว่าหลักธรรมหรือภาษิตข ้อนัน้ ๆ มีความหมายว่าอย่างไร
— equanimity) หลักนัน ้ ๆ มีความมุง่ หมายอย่างไร กำหนดไว ้หรือพึงปฏิบัตเิ พือ ่
ประสงค์ประโยชน์อะไร การทีต ่ นกระทำอยูม ่ ค
ี วามมุง่ หมาย
ั โพชฌงค์ตอ
แต่ละข ้อเรียกเต็มมีสม ั โพชฌงค์ เป็ น
่ ท ้ายเป็ น สติสม อย่างไร เมือ ่ ทำไปแล ้วจะบังเกิดผลอะไรบ ้างดังนีเ้ ป็ นต ้น
ต ้น. — knowing the meaning; knowing the purpose; knowing
the consequence)
(๒๖๘) เมถุนสงโยคั ๗ (อาการทีเ่ กีย
่ วข ้องกับเมถุน
หรือนับเนือ่ งในเมถุน, ความประพฤติพัวพันกับเมถุน, เครือ ่ ง ๓. อ ัตต ัญญุตา (ความรู ้จักตน คือ รู ้ว่า เรานัน
้ ว่าโดยฐานะ
ผูกมัดไว ้กับเมถุน — bonds of sexuality; sex-bonds which ภาวะ เพศ กำลังความรู ้ ความสามารถ ความถนัด และคุณธรรม
cause the renting or blotching of the life of chastity เป็ นต ้น บัดนี้ เท่าไร อย่างไร แล ้วประพฤติให ้เหมาะสม และรู ้ทีจ
่ ะ
despite no actual sexual intercourse) แก ้ไขปรับปรุงต่อไป — knowing oneself)
สมณะ ก็ด ี พราหมณ์ ก็ด ี บางคน ปฏิญาณตนว่าเป็ นพรหมจารี ๔. ม ัตต ัญญุตา (ความรู ้จักประมาณ คือ ความพอดี เช่น ภิกษุ
เขามิได ้ร่วมประเวณีกบั มาตุคามก็จริง แต่ยังยินดี ปลาบปลืม
้ ชืน่ รู ้จักประมาณในการรับและบริโภคปั จจัยสี่ คฤหัสถ์รู ้จักประมาณใน
ใจ ด ้วยเมถุนสังโยค ๗ อย่างใดอย่างหนึง่ พรหมจรรย์ของผู ้นัน ้ การใช ้จ่ายโภคทรัพย์ พระมหากษั ตริยร์ ู ้จักประมาณในการลง
่ ว่าขาด ทะลุ ด่าง พร ้อย เป็ นการประพฤติพรหมจรรย์ทไี่ ม่
ยังชือ ทัณฑอาชญาและในการเก็บภาษี เป็ นต ้น — moderation;
บริสท
ุ ธิ์ ประกอบด ้วยเมถุนสังโยค ย่อมไม่พ ้นไปจากทุกข์ กล่าว knowing how to be temperate)
คือ
๕. กาล ัญญุตา (ความรู ้จักกาล คือ รู ้กาลเวลาอันเหมาะสม และ
๑. ยินดีการลูบไล ้ ขัดสี ให ้อาบน้ำ และการนวดฟั น
้ ของมาตุคาม ระยะเวลาทีจ ่ ะต ้องใช ้ในการประกอบกิจ กระทำหน ้าทีก ่ ารงาน
ปลืม
้ ใจด ้วยการบำเรอนัน ้ (enjoyment of massage, เช่น ให ้ตรงเวลา ให ้เป็ นเวลา ให ้ทันเวลา ให ้พอเวลา ให ้เหมาะ
manipulation, bathing and rubbing down by woman) เวลา เป็ นต ้น — knowing the proper time; knowing how to
choose and keep time)
๒. ไม่ถงึ อย่างนัน้ แต่ยังกระซิกกระซี้ เล่นหัว สัพยอก กับ
มาตุคาม ปลืม ้ ใจด ้วยการกระทำอย่างนัน ้ (enjoyment of ั
๖. ปริสญญุ ตา (ความรู ้จักบริษัท คือ รู ้จักชุมชน และรู ้จักที่
joking, jesting and making merry with women) ประชุม รู ้กิรย
ิ าทีจ
่ ะประพฤติตอ ่ ชุมชนนัน้ ๆ ว่า ชุมชนนีเ้ มือ
่ เข ้าไป
หา จะต ้องทำกิรย ิ าอย่างนี้ จะต ้องพูดอย่างนี้ ชุมชนนีค
้ วร
๓. ไม่ถงึ อย่างนัน
้ แต่ยังเพ่งจ ้องดูตากับมาตุคาม ปลืม
้ ใจด ้วยการ สงเคราะห์อย่างนี้ เป็ นต ้น — knowing the assembly;
ทำอย่างนัน ้ (enjoyment of gazing and staring at women knowing the society)
eye to eye)
๗. ปุคคล ัญญุตา หรือ ปุคคลปโรปรัญญุตา (ความรู ้จัก
๔. ไม่ถงึ อย่างนัน ้ แต่ยังชอบฟั งเสียงมาตุคามหัวเราะ ขับร ้อง บุคคล คือ ความแตกต่างแห่งบุคคลว่า โดยอัธยาศัย ความ
หรือร ้องให ้อยู่ ข ้างนอกฝา นอกกำแพง แล ้วปลืม้ ใจ (enjoyment สามารถ และคุณธรรม เป็ นต ้น ใครๆ ยิง่ หรือหย่อนอย่างไร และรู ้
of listening to women as they laugh, talk, sing or weep ทีจ
่ ะปฏิบต
ั ต
ิ อ ้ ๆ ด ้วยดี ว่าควรจะคบหรือไม่ จะใช ้จะ
่ บุคคลนัน
beyond a wall or a fence) ตำหนิ ยกย่อง และแนะนำสัง่ สอนอย่างไร เป็ นต ้น — knowing
the individual; knowing the different individuals)
๕. ไม่ถงึ อย่างนัน
้ แต่ยังชอบตามนึกถึงการเก่าทีไ่ ด ้เคยหัวเราะ
พูดจาเล่นหัวกับมาตุคาม แล ้วปลืม
้ ใจ (enjoyment of recalling ภิกษุ ผู ้ประกอบด ้วยสัปปุรส ่ ว่า เป็ นผู ้ประกอบ
ิ ธรรม ๗ ข ้อนี้ ชือ
the laughs, talks and jests one formerly had with women) ด ้วยสังฆคุณครบ ๙ แม ้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ ้าและ
พระเจ ้าจักรพรรดิ ก็ทรงประกอบด ้วยธรรมเหล่านี้ (ท่านแสดงไว ้
๖. ไม่ถงึ อย่างนัน
้ แต่ชอบดูคฤหบดี หรือบุตรคฤหบดี ผู ้เอิบอิม
่ เฉพาะข ้อหลัก ๕ ข ้อ คือ ข ้อ ๑-๒-๔-๕-๖ องฺ.ปญฺจก.
พรั่งพร ้อมด ้วยกามคุณทัง้ ๕ บำรุงบำเรอตนอยู่ แล ้วปลืม
้ ๒๒/๑๓๑/๑๖๖ A.III.๑๔๘) จึงทรงยังธรรมจักรและอาณาจักร
ใจ (enjoyment of seeing a householder or a ให ้เป็ นไปด ้วยดี
householder’s son indulging in sensual pleasures)
(๒๗๓) อนุสย ั ๗ (กิเลสทีน
่ อนเนือ
่ งอยูใ่ นสันดาน
๗. ไม่ถงึ อย่างนัน
้ แต่ประพฤติพรหมจรรย์ ตัง้ ปรารถนาเพือ ่ จะได ้ — latent tendencies)
เป็ นเทพเจ ้าหรือเทพองค์ใดองค์หนึง่ (leading the life of
chastity aspiring to be reborn as a god or a deity) ๑. กามราคะ (ความกำหนัดในกาม, ความอยากได ้ติดใจในกาม
— lust for sense-pleasure)
๒. ปฏิฆะ (ความขัดใจ, ความหงุดหงิดขัดเคืองคือโทสะ ั
๒. วิสงโยค คือ ความหมดเครือ่ งผูกรัด, ความไม่ประกอบทุกข์
— repulsion; irritation; grudge) (release from bondage) มิใช่เพือ
่ ผูกรัด หรือประกอบทุกข์
๔. วิจก
ิ จ
ิ ฉา (ความลังเล, ความสงสัย — doubt; uncertainty) ๔. อ ัปปิ จฉตา คือ ความอยากอันน ้อย, ความมักน ้อย (wanting
little) มิใช่เพือ
่ ความอยากอันใหญ่, ความมักใหญ่ หรือมักมาก
๕. มานะ (ความถือตัว — conceit) อยากใหญ่
๗. อวิชชา (ความไม่รู ้จริง คือ โมหะ — ignorance) ๖. ปวิเวก คือ ความสงัด (seclusion; solitude) มิใช่เพือ
่ ความ
คลุกคลีอยูใ่ นหมู่
(๒๗๗) อริยทร ัพย์ ๗ (ทรัพย์อน ั ประเสริฐ, ทรัพย์คอ
ื
คุณธรรมประจำใจอย่างประเสริฐ —noble treasures) ๗. วิรยิ าร ัมภะ คือ การประกอบความเพียร (energy; exertion)
มิใช่เพือ
่ ความเกียจคร ้าน
่ ทีม
๑. ศร ัทธา (ความเชือ ่ เี หตุผล มั่นใจในหลักทีถ
่ อ
ื และในการดี
ทีทำ
่ — confidence) ๘. สุภรตา คือ ความเลีย
้ งง่าย (being easy to support) มิใช่
เพือ
่ ความเลีย
้ งยาก
๒. ศีล (การรักษากายวาจาให ้เรียบร ้อย ประพฤติถก
ู ต ้องดีงาม
— morality; good conduct; virtue) ธรรมเหล่านี้ พึงรู ้ว่าเป็ นธรรม เป็ นวินัย เป็ นสัตถุสาสน์ คือคำสอน
ของพระศาสดา; หมวดนี้ ตรัสแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี
๓. หิร ิ (ความละอายใจต่อการทำความชัว่ — moral shame;
conscience) (๒๘๐) ล ักษณะต ัดสินธรรมวิน ัย ๗ หรือ หล ัก
กำหนดธรรมวิน ัย ๗ (criteria of the Doctrine and the
๔. โอตต ัปปะ (ความเกรงกลัวต่อความชัว่ — moral dread; Discipline)
fear-to-err)
้ เชิง, ไม่หลงใหลเคลิบเคลิม
๑. เอก ันตนิพพิทา (ความหน่ายสิน ้
ั
๕. พาหุสจจะ (ความเป็ นผู ้ได ้ศึกษาเล่าเรียนมาก — great — disenchantment)
learning)
๒. วิราคะ (ความคลายกำหนัด, ไม่ยด
ึ ติดรัดตัว เป็ นอิสระ
๖. จาคะ (ความเสียสละ เอือ
้ เฟื้ อเผือ
่ แผ่ — liberality) — detachment)
อริยทรัพย์ เป็ นทรัพย์อน ั ประเสริฐอยูภ่ ายในจิตใจ ดีกว่าทรัพย์ ๕. อภิญญา (ความรู ้ยิง่ , ความรู ้ชัด — discernment; direct
ภายนอกเพราะไม่มผ ี ู ้ใดแย่งชิง ไม่สญ
ู หายไปด ้วยภัยอันตราย knowledge)
ต่างๆ ทำใจให ้ไม่อ ้างว ้าง ยากจน และเป็ นทุนสร ้างทรัพย์
ภายนอกได ้ด ้วย ั
๖. สมโพธะ (ความตรั
สรู ้ — enlightenment)
(๒๗๙) ล ักษณะต ัดสินธรรมวิน ัย ๘ หรือ หล ัก ๑. สุจ ึ เทติ (ให ้ของสะอาด — to give clean things)
กำหนดธรรมวิน ัย ๘ (criteria of the Doctrine and the
Discipline)
๒. ปณีตํ เทติ (ให ้ของประณีต — to give choice things)
ธรรมเหล่าใดเป็ นไปเพือ
่
๓. กาเลน เทติ (ให ้เหมาะกาล ให ้ถูกเวลา — to give at fitting
times)
๑. วิราคะ คือ ความคลายกำหนัด, ความไม่ตด ิ พัน เป็ นอิสระ
(detachment; dispassionateness) มิใช่เพือ
่ ความกำหนัด
่ วรแก่เขา ซึง่ เขาจะ
๔. กปฺปิยํ เทติ (ให ้ของสมควร ให ้ของทีค
ย ้อมใจ, การเสริมความติด
ใช ้ได ้ — to give proper things)
๕. วิเจยฺย เทติ (พิจารณาเลือกให ้ ให ้ด ้วยวิจารณญาณ เลือกของ (๒๙๑) พุทธคุณ ๙ (คุณของพระพุทธเจ ้า
เลือกคนทีจ ่ ะให ้ ให ้เกิดผลเกิดประโยชน์มาก — to give with
discretion) — virtues or attributes of the Buddha)
๖. อภิณฺหํ เทติ (ให ้เนืองนิตย์ ให ้ประจำ หรือสม่ำเสมอ — to ิ ิ โส ภควา (แม ้เพราะอย่างนีๆ้ พระผู ้มีพระภาคเจ ้านัน
อิตป ้
give repeatedly or regularly)
— thus indeed is he, the Blessed One,)
๗. ททํ จิตฺตํ ปสาเทติ (เมือ
่ ให ้ ทำจิตผ่องใส — to calm one’s
mind on giving) ๑. อรหํ (เป็ นพระอรหันต์ คือ เป็ นผู ้บริสท
ุ ธิ์ ไกลจากกิเลส
ทำลายกำแห่งสังสารจักรได ้แล ้ว เป็ นผู ้ควรแนะนำสัง่ สอนผู ้อืน
่
๘. ทตฺวา อตฺตมโน โหติ (ให ้แล ้ว เบิกบานใจ ควรได ้รับความเคารพบูชา เป็ นต ้น — holy; worthy;
— to be glad after giving) accomplished)
(๒๘๙) สปปุ ั รส
ิ ธรรม ๘ (ธรรมของสัตบุรษ ุ , ธรรมที่
๒. สมฺมาสมฺพทุ ฺโธ (เป็ นผู ้ตรัสรู ้ชอบเอง — fully self-
ทำให ้เป็ นสัตบุรษ
ุ , คุณสมบัตข
ิ องคนดี —qualities of a good
man) enlightened)
ง. เป็ นพหูสต
ู — to be much learned พระศาสนาไว ้เป็ นประโยชน์แก่มหาชนสืบมา — well-gone;
well-farer; sublime)
จ. มีความเพียรอันปรารภแล ้ว — to be of stirred up energy
๕. โลกวิท ู (เป็ นผู ้รู ้แจ ้งโลก คือ ทรงรู ้แจ ้งสภาวะอันเป็ น
ฉ. มีสติมั่นคง — to have established mindfulness คติธรรมดาแห่งโลกคือสังขารทัง้ หลาย ทรงหยั่งทราบอัธยาศัย
สันดานแห่งสัตวโลกทัง้ ปวง ผู ้เป็ นไปตามอำนาจแห่งคติธรรมดา
ช. มีปัญญา — to have wisdom โดยท่องแท ้ เป็ นเหตุให ้ทรงดำเนินพระองค์เป็ นอิสระ พ ้นจาก
อำนาจครอบงำแห่งคติธรรมดานัน ้ และทรงเป็ นทีพ ่ งึ่ แห่งสัตว์ทงั ้
ั รส
๒. สปปุ ั บุรษ
ิ ภ ัตตี (ภักดีสต ุ คือ คบหาสมณพราหมณ์ ท่านผู ้ หลายผู ้ยังมาอยูใ่ นกระแสโลกได ้ — knower of the worlds)
ประกอบด ้วยสัทธรรม ๗ ประการข ้างต ้น เป็ นมิตรสหาย — to
consort with good men)
ิ ทมฺมสารถิ (เป็ นสารถีฝึกบุรษ
๖. อนุตฺตโร ปุรส ุ ทีฝ
่ ึ กได ้ ไม่ม ี
ั รส
๓. สปปุ ุ คือ จะคิดสิง่ ใด ก็ไม่คด
ิ จินตี (คิดอย่างสัตบุรษ ิ เพือ
่ ใครยิง่ ไปกว่า คือ ทรงเป็ นผู ้ฝึ กคนได ้ดีเยีย
่ ม ไม่มผ
ี ู ้ใดเทียมเท่า
เบียดเบียนตนและผู ้อืน
่ — to think as do good men) — the incomparable leader of men to be tamed)
ั รส
๔. สปปุ ิ ม ันตี (ปรึกษาอย่างสัตบุรษุ คือ จะปรึกษาการใด ก็
๗. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ (เป็ นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทงั ้
ไม่ปรึกษาเพือ
่ เบียดเบียนตนและผู ้อืน
่ — to consult as do
good men) หลาย — the teacher of gods and men)
ั รส
๕. สปปุ ิ วาโจ (พูดอย่างสัตบุรษ
ุ คือ พูดแต่คำทีถ
่ ก
ู ต ้องตาม ๘. พุทฺโธ (เป็ นผู ้ตืน ่ และเบิกบานแล ้ว คือ ทรงตืน ่ จากความเชือ ่
วจีสจ
ุ ริต ๔ — to speak as do good men)
ถือและข ้อปฏิบัตท ิ งั ้ หลายทีถ่ อ
ื กันมาผิดๆ ด ้วย ทรงปลุกผู ้อืน่ ให ้
พ ้นจากความหลงงมงายด ้วย อนึง่ เพราะไม่ตด ิ ไม่หลง ไม่หว่ ง
ั รส
๖. สปปุ ิ ก ัมม ันโต (ทำอย่างสัตบุรษ
ุ คือ ทำการทีถ
่ ก
ู ต ้องตาม กังวลในสิง่ ใดๆ มีการคำนึงประโยชน์สว่ นตน เป็ นต ้น จึงมีพระทัย
กายสุจริต ๔ — to act as do good men) เบิกบาน บำเพ็ญพุทธกิจได ้ถูกต ้องบริบรู ณ์ ดดยถือธรรมเป็ น
ประมาณ การทีท ่ รงพระคุณสมบูรณ์เช่นนี้ และทรงบำเพ็ญพุทธ
ั รส
๗. สปปุ ิ ทิฏฐิ (มีความเห็นอย่างสัตบุรษ ั มาทิฏฐิ เช่น
ุ คือ มีสม กิจได ้เรียบร ้อยบริบรู ณ์เช่นนี้ ย่อมอาศัยเหตุคอ ื ความเป็ นผู ้ตืน
่ และ
ว่า ทำดีได ้ดี ทำชัว่ ได ้ชัว่ เป็ นต ้น — to have the views of
ย่อมให ้เกิดผลคือทำให ้ทรงเบิกบานด ้วย — awakened)
good men)
ั รส
๘. สปปุ ิ ทาน ัง เทติ (ให ้ทานอย่างสัตบุรษ ุ คือ ให ้ตามหลัก ๙. ภควา (ทรงเป็ นผู ้มีโชค คือ จะทรงทำการใด ก็ลล
ุ ว่ ง
สัปปุรสิ ทาน เช่น ให ้โดยเอือ ้ เฟื้ อทัง้ แต่ของทีต่ ัวให ้ทัง้ แก่ผู ้รับ ปลอดภัยทุกประการ หรือ เป็ นผู ้จำแนกแจกธรรม — blessed;
ทาน ให ้ของบริสท ุ ธิ์ ให ้โดยเข ้าใจถึงผลทีจ ่ ะมีตามมา เป็ นต ้น analyst)
— to give a gift as do good men)
พุทธคุณ ๙ นี้ เรียกอีกอย่างว่า นวารหาทิคณ ุ (คุณของ
บางทีเรียกว่า สัปปุรส
ิ ธรรม ๗ เพราะนับเฉพาะสัทธรรม ๗ ในข ้อ พระพุทธเจ ้า ๙ ประการ มีอรหํ เป็ นต ้น) บางทีเลือนมาเป็ น นวรห
๑ คุณ หรือ นวารหคุณ แปลว่า คุณของพระพุทธเจ ้าผู ้เป็ นพระ
อรหันต์ ๙ ประการ
(๒๙๒) พุทธคุณ ๒ (virtues, qualities or ๔. เอหิปสฺสโิ ก (ควรเรียกให ้มาดู คือ เชิญชวนให ้มาชม และ
attributes of the Buddha) พิสจ
ู น์ หรือท ้าทายต่อการตรวจสอบ เพราะเป็ นของจริงและดีจริง
— inviting to come and see; inviting inspection)
๑. อ ัตตหิตสมบ ัติ (ความถึงแห่งประโยชน์ตน, ทรงบำเพ็ญ
ประโยชน์สว่ นพระองค์เอง เสร็จสิน ้ สมบูรณ์แล ้ว — to have ๕. โอปนยิโก (ควรน ้อมเข ้ามา คือ ควรเข ้ามาไว ้ในใจ หรือน ้อม
achieved one’s own good; accomplishment of one’s own ใจเข ้าไปให ้ถึง ด ้วยการปฏิบัตใิ ห ้เกิดมีขน ึ้ ในใจ หรือให ้ใจบรรลุ
welfare) พระคุณข ้อนีม
้ งุ่ เอาพระปั ญญาเป็ นหลัก เพราะเป็ น ถึงอย่างนัน ้ หมายความว่า เชิญชวนให ้ทดลองปฏิบัตด ิ ู อีกอย่าง
่ งให ้สำเร็จพุทธภาวะ คือ ความเป็ นพระพุทธเจ ้า และความ
เครือ หนึง่ ว่าเป็ นสิง่ ทีนำ
่ ผู ้ปฏิบัตใิ ห ้เข ้าไปถึงทีห่ มายคือนิพพาน
เป็ นอัตตนาถะ คือ พึง่ ตนเองได ้ — worthy of inducing in and by one’s own mind; worthy
of realizing; to be tried by practice; leading onward)
พุทธคุณ ๙ ในข ้อก่อน (๒๙๑) ย่อลงแล ้วเป็ น ๒ อย่างดังแสดง คุณข ้อที่ ๑ มีความหมายกว ้างรวมทัง้ ปริยัตธิ รรม คือ คำสัง่ สอน
มานี้ คือ ข ้อ ๑-๒-๓-๕ เป็ นส่วนอัตตหิตสมบัต ิ ข ้อ ๖-๗ เป็ นส่วน
ด ้วย ส่วนข ้อที่ ๒ ถึง ๖ มุง่ ให ้เป็ นคุณของโลกุตตรธรรม จะเห็น
ของปรหิตปฏิบต ั ิ ข ้อ ๔-๘-๙ เป็ นทัง้ อัตตหิตสมบัต ิ และปรหิต
ปฏิบัต ิ ได ้ในทีอ ื่ ๆ ว่า ข ้อที่ ๒ ถึง ๖ ท่านแสดงไว ้เป็ น คุณบทของ
่ น
นิพพานก็ม ี
(๒๙๓) พุทธคุณ ๓ (virtues, qualities or
attributes of the Buddha) ั
(๒๙๕) สงฆคุ ณ ๙ (คุณของพระสงฆ์ — virtues of
the Sangha; virtues or attributes of the community of
noble disciples)
๑. ปัญญาคุณ (พระคุณคือพระปั ญญา — wisdom)
ั ฏฐิกถา (เรือ
๒. สนตุ ่ งความสันโดษ, ถ ้อยคำทีช ั นำให ้มีความ
่ ก กลุม
่ ที่ ๒ แสวงหาชอบธรรมบ ้าง ไม่ชอบธรรมบ ้าง (Those
สันโดษ ไม่ชอบฟุ้ งเฟ้ อหรือปรนปรือ — talk about or seeking wealth both lawfully and unlawfully, arbitrarily
favorable to contentment) and unarbitrarily)
๓. ปวิเวกกถา (เรือ
่ งความสงัด, ถ ้อยคำทีช ั นำให ้มีความสงัด
่ ก ๔. พวกหนึง่ แสวงหาโภคทรัพย์โดยชอบธรรมบ ้างไม่ชอบธรรม
กายใจ — talk about or favorable to seclusion) บ ้าง ทารุณข่มขีบ่ ้าง ไม่ทารุณข่มขีบ
่ ้าง, ได ้มาแล ้วไม่เลีย
้ งตนให ้
่ หนำเป็ นสุข. ไม่แจกจ่ายแบ่งปั นและไม่ใช ้ทำกรรมดี (Same
อิม
ั คคกถา (เรื
๔. อสงส ั อ
่ งความไม่คลุกคลี, ถ ้อยคำทีช ั นำให ้ไม่
่ ก as 1)
คลุกคลีด ้วยหมู่ — talk about or favorable to not mingling
together) ๕. พวกหนึง่ แสวงหาโภคทรัพย์โดยชอบธรรมบ ้าง ไม่ชอบธรรม
บ ้าง ทารุณข่มขีบ
่ ้าง ไม่ทารุณข่มขีบ
่ ้าง, ได ้มาแล ้วเลีย
้ งตนให ้อิม
่
๕. วิรย ิ าร ัมภกถา (เรือ
่ งการปรารภความเพียร, ถ ้อยคำทีช ั นำ
่ ก หนำเป็ นสุข, แต่ไม่แจกจ่ายแบ่งปั นและไม่ใช ้ทำกรรมดี(Same
ให ้มุง่ มั่นทำควรเพียร — talk about or favorable to as 2)
strenuousness)
๖. พวกหนึง่ แสวงหาโภคทรัพย์โดยชอบธรรมบ ้าง ไม่ชอบธรรม
๖. สีลกถา (เรือ
่ งศีล, ถ ้อยคำทีช ั นำให ้ตัง้ อยูใ่ นศีล — talk
่ ก บ ้าง โดยทารุณข่มขีบ ่ ้าง ไม่ทารุณข่มขีบ่ ้าง, ได ้มาแล ้วเลีย
้ งตน
about or favorable to virtue or good conduct) ่ หนำเป็ นสุข, ทัง้ แจกจ่ายแบ่งปั น และใช ้ทำกรรมดี (Same
ให ้อิม
as 3)
๗. สมาธิกถา (เรือ
่ งสมาธิ, ถ ้อยคำทีช ั นำให ้ทำจิตมั่น — talk
่ ก
about or favorable to concentration) (พวกที่ ๔ ควรตำหนิ ๓ สถาน ชม ๑ สถาน; พวกที่ ๕ ตำหนิ
๒ สถาน ชม ๒ สถาน; พวกที่ ๖ ตำหนิ ๑ สถาน ชม ๓ สถาน
๘. ปัญญากถา (เรือ่ งปั ญญา, ถ ้อยคำทีช ั นำให ้เกิดปั ญญา
่ ก — These are blameworthy in three, two and one respect,
— talk about or favorable to deliverance) and praiseworthy in one, two and three respects
respectively.)
๙. วิมต
ุ ติกถา (เรือ
่ งวิมต
ุ ติ, ถ ้อยคำทีช ั นำให ้ทำใจให ้พ ้นจาก
่ ก
กิเลสและความทุกข์ — talk about or favorable to กลุม
่ ที่ ๓ แสวงหาชอบธรรม (those seeking wealth lawfully
deliverance) and unarbitrarily)
๔. ปัญญา (ความรอบรู ้, ความหยั่งรู ้เหตุผล เข ้าใจสภาวะของสิง่ บำเพ็ญทัง้ ๑๐ บารมี ครบ ๓ ขัน้ นี้ เรียกว่า สมตึสปารมี หรือ สม
ทัง้ หลายตามความเป็ นจริง —wisdom; insight; ตึงสบารมี แปลว่า บารมี ๓๐ ถ ้วน.
understanding)
(๓๑๔) ราชธรรม ๑๐ หรือ ทศพิธราชธรรม (ธรรม
๕. วิรย
ิ ะ (ความเพียร, ความแกล ้วกล ้า ไม่เกรงกลัวอุปสรรค ของพระราชา, กิจวัตรทีพ ่ ระเจ ้าแผ่นดินควรประพฤติ, คุณธรรม
พยายามบากบั่นอุตสาหะ ก ้าวหน ้าเรือ
่ ยไป ไม่ทอดทิง้ ธุระหน ้าที่ ของผู ้ปกครองบ ้านเมือง, ธรรมของนักปกครอง — virtues or
— energy; effort; endeavour) duties of the king; royal virtues; virtues of a ruler)
๖. ข ันติ (ความอดทน, ความทนทานของจิตใจ สามารถใช ้สติ ๑. ทาน (การให ้ คือ สละทรัพย์สงิ่ ของ บำรุงเลีย
้ ง ช่วยเหลือ
ปั ญญาควบคุมตนให ้อยูใ่ นอำนาจเหตุผล และแนวทางความประะ ประชาราษฎร์ และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ — charity;
พฤติ ทีต
่ งั ้ ไว ้เพือ
่ จุดหมายอันชอบไม่ลอำ
ุ นาจกิเลส — liberality; generosity)
forbearance; tolerance; endurance)
๒. ศีล (ความประพฤติดงี าม คือ สำรวมกายและวจีทวาร
ั
๗. สจจะ (ความจริง คือ พูดจริง ทำจริง และจริงใจ ประกอบแต่การสุจริต รักษากิตติคณ
ุ ให ้ควรเป็ นตัวอย่าง และเป็ น
— truthfulness) ทีเ่ คารพนับถือของประชาราษฎร์ มิให ้มีข ้อทีใ่ ครจะดูแคลน
— high moral character)
๘. อธิษฐาน (ความตัง้ ใจมั่น, การตัดสินใจเด็ดเดีย
่ ว วางจุด
หมายแห่งการกระทำของตนไว ้แน่นอน และดำเนินตามนัน ้ แน่น ๓. ปริจจาคะ (การบริจาค คือ เสียสละความสุขสำราญ เป็ นต ้น
แน่ — resolution; self-determination) ตลอดจนชีวต ิ ของตน เพือ
่ ประโยชน์สขุ ของประชาชน และความ
สงบเรียบร ้อยของบ ้านเมือง — self-sacrifice)
๙. เมตตา (ความรักใคร่, ความปรารถนาดี มีไมตรี คิดเกือ ้ กูลให ้
ผู ้อืน
่ และเพือ
่ นร่วมโลกทัง้ ปวงมีความสุขความเจริญ — loving- ๔. อาชชวะ (ความซือ ่ ตรง คือ ซือ
่ ตรงทรงสัตย์ไร ้มารยา ปฏิบต
ั ิ
kindness; friendliness) ภารกิจโดยสุจริต มีความจริงใจ ไม่หลอกลวงประชาชน
— honesty; integrity)
๕. ม ัททวะ (ความอ่อนโยน คือ มีอธ ั ยาศัย ไม่เย่อหยิง่ หยาบ (๓๑๙) สญญา ั ๑๐ (ความกำหนดหมาย, แนวความ
คายกระด ้างถือองค์ มีความงามสง่าเกิดแต่ทว่ งทีกริ ย
ิ าสุภาพนุ่ม คิดความเข ้าใจ สำหรับใช ้กำหนดพิจารณาในการเจริญกรรมฐาน
นวล ละมุนละไม ให ้ได ้ความรักภักดี แต่มข
ิ าดยำเกรง
— kindness and gentleness) — perception; contemplation; ideas as objects of
meditation)
๖. ตปะ (ความทรงเดช คือ แผดเผากิเลสตัณหา มิให ้เข ้ามา
ครอบงำย่ำยีจต
ิ ระงับยับยัง้ ข่มใจได ้ ไม่ยอมให ้หลงใหลหมกมุน ่ ั
๑. อนิจจสญญา (กำหนดหมายความไม่เทีย่ งแห่งสังขาร
ในความสุขสำราญและความปรนเปรอ มีความเป็ นอยูส ่ ม่ำเสมอ
— contemplation on impermanency)
หรืออย่างสามัญ มุง่ มั่นแต่จะบำเพ็ญเพียร ทำกิจให ้บริบรู ณ์
— austerity; self-control; non-indulgence)
ั
๒. อน ัตตสญญา (กำหนดหมายความไม่งามแห่งกาย
๗. อ ักโกธะ (ความไม่โกรธ คือ ไม่กริว้ กราด ลุอำนาจความ — contemplation on impersonality)
โกรธ จนเป็ นเหตุให ้วินจ
ิ ฉัยความและกระทำกรรมต่างๆ ผิดพลาด
เสียธรรม มีเมตตาประจำใจไว ้ระงับความเคืองขุน่ วินจ
ิ ฉัยความ
และกระทำการด ้วยจิตอันราบเรียบเป็ นตัวของตนเอง — non- ั
๓. อสุภสญญา (กำหนดหมายความไม่งามแห่งกาย
anger; non-fury) — contemplation on foulness or loathsomeness)
๓. ปี ติ (ความอิม
่ ใจ — rapture; unprecedented joy) ั
(๓๒๐) สทธรรม ๑๐ (ธรรมอันดี, ธรรมทีแ
่ ท ้, ธรรม
ุ , หลักหรือแก่นศาสนา — true doctrine; essential
ของสัตบุรษ
ั (ความสงบเย็น — tranquillity)
๔. ปัสสทธิ
Dharma)
๗. ปัคคาหะ (ความเพียรทีพ
่ อดี — exertion; strenuousness) ๑๐. ปริย ัติธรรม (ธรรมคือคำสัง่ สอนอันจะต ้องเล่าเรียน กล่าว
คือ พุทธพจน์ — the text to be studied, i.e., the words of
๘. อุปฏ ั — established mindfulness)
ั ฐาน (สติแก่กล ้า, สติชด the Buddha)
๙. อุเบกขา (ความมีจต
ิ เป็ นกลาง — equanimity) (๓๒๓) อนุสติ ๑๐ (ความระลึกถึง, อารมณ์อน ั ควร
ระลึกถึงเนืองๆ — recollection; constant mindfulness)
๑๐. นิก ันติ (ความพอใจ, ติดใจ — delight)
๑. พุทธานุสติ (ระลึกถึงพระพุทธเจ ้า คือ น ้อมจิตระลึกถึงและ ๓. อปราปริยเวทนียกรรม (กรรมให ้ผลในภพต่อๆไป — karma
พิจารณาคุณของพระองค์ —recollection of the Buddha; to be experienced in some subsequent becoming;
contemplation on the virtues of the Buddha) indefinitely effective kamma)
๙. อานาปานสติ (สติกำหนดลมหายใจเข ้าออก ั
๑๑. อาสนนกรรม (กรรมจวนเจี ยน หรือกรรมใกล ้ตาย คือกรรม
— mindfulness on breathing) ทำเมือจวนจะตาย จับใจอยูใ่ หม่ๆ ถ ้าไม่ม ี ๒ ข ้อก่อน ก็จะให ้ผล
ก่อนอืน
่ — death threshold kamma; proximate kamma)
๑๐. อุปสมานุสติ (ระลึกถึงธรรมเป็ นทีส
่ งบ คือ ระลึกถึงและ
พิจารณาคุณของพระนิพพาน อันเป็ นทีร่ ะงับกิเลสและความทุกข์ ๑๒. กต ัตตากรรม หรือ กต ัตตาวาปนกรรม (กรรมสักว่าทำ,
— recollection of peace; contemplation on the virtue of กรรมทีทำ่ ไว ้ด ้วยเจตนาอันอ่อน หรือมิใช่เจตนาอย่างนัน ้ โดยตรง
Nibbana) ต่อเมือ
่ ไม่มก
ี รรมอืน่ ให ้ผลแล ้วกรรมนีจ
้ งึ จะให ้ผล — reserve
kamma; casual act)
(๓๒๖) กรรม ๑๒ (การกระทำทีป ่ ระกอบด ้วยเจตนาดี
ก็ตาม ชัว่ ก็ตาม, ในทีน
่ หี้ มายถึงกรรมประเภทต่างๆ พร ้อมทัง้ หลัก กรรม ๑๒ หรือ กรรมสี่ ๓ หมวดนี้ มิได ้มีมาในบาลีในรูปเช่นนี้
เกณฑ์เกีย ่ วกับการให ้ผลของกรรมเหล่านัน ้ — karna; kamma; โดยตรง พระอาจารย์สมัยต่อมา เช่น พระพุทธโฆษาจารย์
action; volitional action) เป็ นต ้น ได ้รวบรวมมาจัดเรียงเป็ นแบบไว ้ภายหลัง .
๖. ผ ัสสะ (contact) ความกระทบ, ความประจวบ ได ้แก่ (๒๕๘) ๑) อดีตเหตุ ๕ = อวิชชา สังขาร ตัณหา อุปาทาน ภพ
สัมผัส ๖
๒) ปั จจุบันผล ๕ = วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา
๗. เวทนา (feeling) ความเสวยอารมณ์ ได ้แก่ (๑๑๒) เวทนา ๖
๓) ปั จจุบันเหตุ ๕ = อวิชชา สังขาร ตัณหา อุปาทาน ภพ
๘. ต ัณหา (craving) ความทะยานอยาก ได ้แก่ ตัณหา ๖ มีรป ู
ตัณหา เป็ นต ้น (ตัณหาในรูป ในเสียง ในกลิน
่ ในรส ในสัมผัส ๔) อนาคตผล ๕ = วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา
ทางกาย และในธัมมารมณ์ ดู (๗๓) ตัณหา ๓ ด ้วย
อาการ ๒๐ นี้ ก็คอ
ื หัวข ้อทีก
่ ระจายให ้เต็ม ในทุกช่วงของสังเขป
๙. อุปาทาน (clinging; attachment) ความยึดมั่น ๔ นั่นเอง
ได ้แก่ (๒๐๖) อุปาทาน ๔
ฉ. มูล ๒ (roots) คือ กิเลสทีเ่ ป็ นตัวมูลเหตุ ซึง่ กำหนดเป็ นจุดเริม
่
๑๐. ภพ (becoming) ภาวะชีวต ิ ได ้แก่ (๙๗) ภพ ๓ อีกนัยหนึง่ ต ้นในวงจรแต่ละช่วง ได ้แก่
ว่า ได ้แก่ กรรมภพ (ภพคือกรรม
— active process of becoming ตรงกับ (๑๒๘) อภิสงั ขาร ๑) อวิชชา เป็ นจุดเริม
่ ต ้นในช่วงอดีต ส่งผลถึงเวทนาในช่วง
๓) กับ อุปปั ตติภพ (ภพคือทีอ
่ บ
ุ ัต ิ — rebirth-process of ปั จจุบัน
becoming ตรงกับ (๙๗) ภพ ๓)
๒) ตัณหา เป็ นจุดเริม
่ ต ้นในช่วงปั จจุบัน ส่งผลถึงชรามรณะใน Vin.I.1; S.II.1; Vbh.235; Comp.188. วินย.๔/๑/๑; สํ.น.
ช่วงอนาคต ๑๖/๑/๑/; อภิ.วิ.๓๕/๒๗๔/๑๘๕; วิสท ุ ธิ.๓/๑๐๗; สังคห.๔๕.
๑/๒. อวิชฺชาย เตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ เพราะ ๔. ท ัสสนะ (หน ้าทีเ่ ห็นรูป ได ้แก่ จักขุวญ
ิ ญาณ ๒ — seeing)
อวิชชาสำรอกดับไปไม่เหลือ สังขารจึงดับ (Through the total
fading away and cessation of lgnorance, cease Karma- ๕. สวนะ (หน ้าทีไ่ ด ้ยินเสียง ได ้แก่ โสตวิญญาณ ๒
Formations.) — hearing)
๑๕. มทะ (ความมัวเมา — vanity)
ข. ข ้อ ๑๖ มโนธาตุ ได ้แก่ สัมปฏิจฉนะ ๒ กับปั ญจทวาราวัชชนะ
๑ รวมเป็ นจิต = ๓
๑๖. ปมาทะ (ความประมาท, ละเลย, เลินเล่อ
— heedlessness; negligence; indolence)
ค. ข ้อ ๑๘ มโนวิญญาณธาตุ ได ้แก่ จิตนอกเหนือจากนัน
้ อีก ๗๖
๓. ปูชา จ ปูชนียานํ (บูชาคนทีค
่ วรบูชา — to honor those ๒๐. มชฺชปานา จ สญฺญโม (เว ้นจากการดืม
่ น้ำเมา
who are worthy of honor) — abstinence from intoxicants)
๕. ปุพฺเพ จ กตปุญฺญตา (ได ้ทำความดีให ้พร ้อมไว ้ก่อน, ๒๒. คารโว จ (ความเคารพ, การแสดงออกทีแ ่ สดงถึงความเป็ น
ทำความดีเตรียมพร ้อมไว ้แต่ต ้น —having formerly done ผู ้รู ้จักคุณค่าของบุคคล สิง่ ของ หรือกิจการนัน
้ ๆ และรู ้จักให ้ความ
meritorious deeds) สำคัญและความใส่ใจเอือ ้ เฟื้ อโดยเหมาะสม
— reverence;respect; appreciative action)
๖. อตฺตสมฺมาปณิธ ิ จ (ตัง้ ตนไว ้ชอบ — setting oneself in
the right course; right direction in self-guidance; perfect ๒๓. นิวาโต จ (ความสุภาพอ่อนน ้อม, ถ่อมตน — humility;
self-adjustment) courtesy; politeness)
๓๖. อโสกํ (จิตไร ้เศร ้า — to have the mind which is free ๑๐. อธิโมกข์ (ความปลงใจหรือปั กใจในอารมณ์
from sorrow) — determination; resolution)
๓๓. อโทสะ (ความไม่คด
ิ ประทุษร ้าย — non-hatred)
ั (ความสงบแห่งกองเจตสิก — tranquillity of
๓๕. กายปัสสทธิ
mental body)
๓๗. กายลหุตา (ความเบาแห่งกองเจตสิก — lightness of
mental body; agility of ~ )
๓๙. กายมุทตุ า (ความอ่อนหรือนุ่มนวลแหงกองเจตสิก
— pliancy of mental body; elasticity of ~ )
๔๓. กายปาคุญญตา (ความคล่องแคล่วแห่งกองเจตสิก
— proficiency of mental body)
๔๔. จิตตปาคุญญตา (ความคล่องแคล่วแห่งจิต
— proficiency of mind)
ั
๔๗. สมมาวาจา (เจรจาชอบ — right speech)
ั
๔๘. สมมาก ัมม ันตะ (กระทำชอบ — right action)
ั
๔๙. สมมาอาชี
วะ (เลีย
้ งชีพชอบ — right livelihood)
๕๑. มุทต
ิ า (ความยินดีตอ
่ สัตว์ผู ้ได ้สุข — sympathetic joy)