Professional Documents
Culture Documents
13.treatment Guideline of CA Esophagus (Wanatphon 21.8.61)
13.treatment Guideline of CA Esophagus (Wanatphon 21.8.61)
Treatment guideline of
CA esophagus
พญ.วนัชพร เบญจกุล
อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ สมเกียรติ สรรพวีรวงศ์
Treatment guideline of CA esophagus
พญ.วนัชพร เบญจกุล
รศ.นพ.สมเกียรติ สรรพวีรวงศ์
บทนำ
จากสถิติมะเร็งทั่วโลกในปัจจุบัน โรคมะเร็งหลอดอาหารพบได้บ่อยเป็นลำดับที่ 8 และพบว่า
เป็นอันดับที่ 6 ของสาเหตุการตายจากมะเร็งทั้งหมด โดยพบว่ามีผู้ป่วยใหม่ทั่วโลกสูงถึง 456,000 ราย
ต่อปี และมีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งหลอดอาหารประมาณ 400,000 ราย โดยส่วนมากจะพบในประเทศที่
กำลังพัฒนา เช่น ในแถบเอเชียและแอฟริกา 1 สำหรับในประเทศไทย อุบัติการณ์ของโรคมะเร็งหลอด
อาหารได้เท่ากับ 5.61 และ 0.8 รายต่อประชากรแสนราย ในเพศชายและเพศหญิงตาม ลำดับ2
พยาธิวิทยาของมะเร็งหลอดอาหารจะแบ่งเป็นชนิด squamous cell และ adenocarcinoma ซึ่ง
โดยส่วนใหญ่จะเป็นมะเร็งชนิด squamous cell แต่อย่างไรก็ตาม จากสถิติพบว่า แนวโน้มอุบัติการณ์
ของมะเร็งหลอดอาหารชนิด adenocarcinoma กําลังเพิ่มจํานวน และคิดเป็นมากกว่าร้อยละ 50 ของ
มะเร็งหลอดอาหารในประเทศแถบตะวันตกในปัจจุบัน3
สาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของการเกิดมะเร็งหลอดอาหารชนิด squamous cell เกิดจาก
การสูบบุหรีแ่ ละการดื่มสุราอย่างหนัก4-6 ส่วนสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิด มะเร็งหลอดอาหาร
adenocarcinoma คือ ภาวะอ้วน(obesity)7, ภาวะกรดไหลย้อน8-9 และพบว่ามีความสัมพันธ์กับ Barrett’s
esophagus อย่างมีนัยสําคัญ10
ระยะของมะเร็งหลอดอาหาร (Staging)
TNM classification ของมะเร็งกระเพาะอาหารตาม American Joint Committeeon Cancer
(AJCC) 8th edition, 2016 สรุปได้ดังตารางที่ 1
ตารางที่ 1 แสดงการจัดแบ่ง staging ของ AJCC classification 8thfor esophageal carcinoma and EGJ 11
การรักษามะเร็งหลอดอาหาร
การรักษาที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับชนิดพยาธิสภาพ ตำแหน่งของก้อนมะเร็ง ระยะการแพร่
กระจายของโรค และสภาพผู้ป่วย การรักษามะเร็งหลอดอาหารเป็นการรักษาร่วมแบบสหสาขา
วิชาชีพประกอบด้วย การผ่าตัด การรักษาด้วยรังสี และการให้ยาเคมีบำบัด โดยพิจารณาในผู้ป่วย
แต่ละราย
ตารางที่ 2 แสดงแนวทางการรักษามะเร็งหลอดอาหารโดยขึ้นกับระยะของโรค
Endoscopic therapies
ในกรณีที่มะเร็งยังเป็นระยะเริ่มต้น (early stage) และยังจำกัดอยู่ในชั้น mucosa (T1a) พบว่า
มีโอกาสในการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองน้อย สามารถเลือกการผ่าตัด esophagectomyได้
และในปัจจุบันมีการผ่าตัดแบบ endoscopic resection and/or ablation ซึ่งจะเหมาะกับผู้ป่วยที่อยู่ใน
stage T1a, well-differentiated, tumor size < 2 cm. และควรทำการประเมิน depth of invasion,
diffentiation, lymph node involvement และ metastasis ให้แม่นยำก่อนการพิจารณาทำ endoscopic
resection and/or ablation และหากทำแล้วผลชิ้นเนื้อที่ได้มี positive deep margins ควรรักษาต่อด้วย
การผ่าตัด
ปัจจุบันการส่องกล้องทางเดินอาหารเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยวินิจฉัย, ประเมินระยะ
ของมะเร็ง, เพื่อการรักษา และติดตามผลหลังจากรักษาในผู้ป่วยมะเร็งหลอดอาหาร
การรักษาโดยการส่องกล้องทางเดินอาหารมีหลายวิธี ได้แก่ endoscopic mucosal resection
[EMR], endoscopic submucosal dissection[ESD] และ endoscopic ablation (cryoablation, RFA and
PDT) ซึ่งเป็นแนวทางการรักษาที่มีประสิทธิภาพอีกแนวทางหนึ่งของ early-stage disease (pTis, pT1a
and pre-neoplastic tissue)
จากการศึกษาของ Leers JM. และคณะ ศึกษาการแพร่กระจายของต่อมน้ำเหลืองในผู้ป่วยระยะ
T1 โดยวิเคราห์จากผลชิ้นเนื้อ ของผู้ป่วย T1 adenocarcinoma of distal esophagus/EGJ หลังจากที่ทำ
primary esophagectomy ในปี 1985-2008 พบว่ามีการแพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองน้อยประมาณ 1.3%
และการแพร่กระจายของต่อมน้ำเหลืองนั้นมักเจอในผู้ป่วยที่มี LVI, tumor size >/= 2cm, poor
differentiation12
จากการศึกษาของ Berry MF. และคณะ โดยใช้ Surveillance Epidemiology and End Results
cancer registry [SEER] database analysis ในช่วงปี 1998 ถึง 2008 เปรียบเทียบผู้ปวยจำนวน 1485
คนที่เป็นมะเร็งหลอดอาหารระยะ T1N0 ซึ่งรักษาโดยการผ่าตัดกับรักษาโดยการส่องกล้องทางเดิน
อาหารนั้นมีอัตราการรอดชีวิตที่ไม่แตกต่างกัน แต่ผู้ป่วยที่รักษาโดยการส่องกล้องทางเดินอาหารนั้นมี
cancer-specific survival ที่ดีกว่า13
Endoscopic mucosal resection
เป็นการรักษามาตรฐานที่สามารถตัดได้ลึกถึงชั้น submucosa แต่มีพื้นที่การตัดเส้นผ่านศูนย์
กลางของปลอก EMR ประมาณ 2 cm. จึงเลือกทำในผู้ป่วยที่มี small lesion < 2 cm. , non-ulcerative
lesion, lesion without submucosal invasion, no lymphovascular invasion , well to moderately
differentiation และหากส่งผลชิ้นเนื่้อตรวจแล้วพบว่ามะเร็งมีความลึกเกิน ข้อบ่งชี้ของการรักษา
ผ่านกล้องก็สามารถรักษาโดยการผ่าตัดหรือเคมีบำบัดและฉายรังสี ตามความ เหมาะสมต่อไป
Technique
วิธีการทำ EMR มักทำภายใต้ภาวะ sedation มี 2 วิธี ได้แก่
Cap-assisted EMR : ใช้ plastic cap ติดที่ปลาย scope แล้ว suction เพื่อให้รอยโรคเข้ามาใน cap
หลังจากนั้นใช้ snare ใส่ใน cap แล้ว suction tissue พร้อมกับใช้ snare ตัดรอยโรคด้วยไฟฟ้า
Ligation-assisted EMR เป็นวิธีที่นิยมใช้มากที่สุด วิธีการคล้ายแบบแรก แต่หลังจาก suction รอยโรค
เข้ามาใน cap แล้วจะใช้ small rubber bands รัดตรงฐานของรอยโรคเพื่อสร้าง pseudopolyp ก่อนที่จะตัด
ด้วย snare
รูปที่ 1 แสดง ligation-assisted endoscopic mucosal resection technique in Barrett’s esophagus. รูป A
แสดงพื้นผิวขอบไม่เรียบของ Barrett’s mucosa และกำหนดตำแหน่งที่จะตัดโดยรอบด้วยการจี้ไฟฟ้า
รูป B การทำ Band ligation เพื่อสร้าง pseudopolyp และใช้ snare เพื่อตัดรอยโรคเหนือต่อ rubber band
รูป C แสดงลักษณะ submucosa หลังจากทำ polypectomy14
การผ่าตัดเป็นการรักษาหลักในโรคมะเร็งหลอดอาหาร ซึ่งปัจจุบันได้มีการพัฒนาการผ่าตัด
เพื่อลด surgical morbidity และ mortality ผู้ป่วยทุกคนควรได้รับการประเมินทางกายภาพว่าร่างกาย
แข็งแรงพอที่จะผ่าตัดใหญ่ได้หรือไม่ นอกจากนี้การประเมินระยะของโรคโดยใช้ EUS , CT scan
chest และ abdomen ควรทำก่อนการผ่าตัดเพื่อประเมินว่าเป็นระยะที่ผ่าตัดได้
ปัจจุบันมีการศึกษาที่เป็น randomize trials ศึกษาเกี่ยวกับการให้ preoperative chemoradiation
เช่น CROSS study โดยศึกษาในผู้ป่วยจำนวน 368 คน แยกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ได้รับ chemoradio
therapy เป็น carboplatin และ paclitaxel สัปดาห์ละครั้ง ทั้งหมด 5 สัปดาห์ ร่วมกับฉายแสงแล้วตามด้วย
การผ่าตัด และกลุ่มที่รับการผ่าตัดเลย พบว่ากลุ่มที่ให้ chemoradiotherapy มี R0 resection rate 92%
ขณะที่กลุ่มที่ผ่าตัดเลยมี R0 resection rate 69% นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มที่ได้ chemoradiotherapy มี
pathological complete response 29%25 ร่วมกับ MAGIC trial เป็นการศึกษา เกี่ยวกับการใช้ chemo
therapy preoperative 3 cycles และ post operative 3 cycles ของ intravenous epirubicin และ cisplatin
ในวันแรกตามด้วย continuous intravenous infusion ของ fluorouracil อีก 21 วัน ในผู้ป่วย resectable
adenocarcinoma ของกระเพาะอาหาร, EGJ และหลอดอาหารส่วนปลาย พบว่า เนื้องอกมีขนาดเล็กลง
อย่างมีนัยสำคัญ26
การผ่าตัดหลอดอาหารมีหลายวิธี วิธีการเลือกวิธีการผ่าตัดนั้นขึ้นอยู่กับขนาด ตำแหน่งของ
รอยโรค รวมถึงประสบการณ์ของแพทย์ผ่าตัดและวิธีที่ผู้ป่วยเลือก ซึ่งมี 2 วิธีที่นิยมใช้ ได้แก่ การผ่าตัด
หลอดอาหารแบบ transthoracic และ transhiatal โดยวิธี transthoracic ได้แก่ McKeown, Ivor-Lewis
และ Left posterolateral thoracotomy(Sweet)
Transthoracic esophagectomy
1). McKeown technique
เป็นวิธีการผ่าตัดเอาหลอดอาหารออกโดยผ่าตัดผ่าน 3 แผล ประกอบด้วย ผ่านแผลช่อง
ทรวงอกด้านขวา(Right thoracotomy) เพื่อทำการตัดเลาะหลอดอาหารผ่านแผลช่องท้อง ด้านบน (upper
abdominal incision) เพื่อเตรียมกระเพาะอาหารหรือลำไส้ใหญ่สำหรับทดแทน หลอดอาหารและผ่าน
แผลที่คอ (ส่วนใหญ่เป็นแผลที่คอด้านซ้าย) เพื่อทำการต่อหลอดอาหารกับอวัยวะทดแทนหลอดอาหาร
(cervical anastomosis)
2). Ivor-Lewis technique
เป็นวิธีการผ่าตัดเอาหลอดอาหารออกผ่านทางช่องทรวงอกและช่องท้องส่วนบน คล้ายคลึงกับ
วิธีของ McKeown แตกต่างคือมี 2 แผลเท่านั้น โดยมีรอยต่อของหลอดอาหารกับอวัยวะทดแทน
หลอดอาหาร อยู่ในช่องทรวงอก ร่วมกับตัดต่อมน้ำเหลืองบริเวณ celiac และ left gastric ตัด left gastric
artery แต่เก็บ gastroepiploic และ Rt.gastric artery ไว้ วิธีนี้จะไม่มีแผลผ่าตัดที่คอ ซึ่งจะเหมาะกับมะเร็ง
หลอดอาหาร บริเวณส่วนปลายล่าง ถ้าเป็นมะเร็งหลอดอาหารบริเวณเหนือต่อ Carina ของหลอดลม
ควรต้อง พิจารณาเลือกวิธี McKeown
รูปที่ 3 แสดง incision ในการผ่าตัด transthoracic esophagectomy ทั้ง Ivor lewis และ McKeown technique27
3). Left transthoracic or thoracoabdominal esophagectomy (Sweet)
เป็นวิธีการผ่าตัดเอาหลอดอาหารออกผ่านแผลทางช่องทรวงอกด้านซ้ายเพียงแผลเดียว (Left
posterolateral thoracotomy) โดยมักจะผ่านช่องซี่โครงที่ 6 มักใช้ในกรณีที่มีพยาธิสภาพอยู่ที่บริเวณ
ส่วนล่างสุดของหลอดอาหารหรือ Cardia ของกระเพาะอาหาร หลังจากตัดหลอดอาหารที่มีพยาธิ
สภาพออก จะนํากระเพาะอาหาร ผ่านแผลเปิดของกระบังลมขึ้นมาต่อกับหลอดอาหารโดยที่รอยต่อ
ต้องจํากัดเฉพาะระดับที่ต่ํากว่า Aortic arch
Transhiatal esophagectomy
เป็นวิธีการผ่าตัดเอาหลอดอาหารออกวิธีมาตรฐานเช่นเดียวกับวิธีข้างต้น แตกต่างกันคือการ
ผ่าตัดวิธีนี้จะไม่ผ่านช่องทรวงอก จะมีแผลเฉพาะหน้าท้องส่วนบนและคอด้านซ้าย การตัดเลาะหลอด
อาหารนั้น ใช้วิธีตัดเลาะแบบมองไม่เห็น (Blunt esophagectomy) โดยกระเพาะอาหารจะถูกถึงไปทาง
posterior mediastinum และออกมาทางแผลที่คอด้านซ้ายเพื่อตัดต่อกับหลอดอาหาร ข้อบ่งชี้ที่แนะนํา
ได้แก่ รายที่เป็นมะเร็งหลอดอาหารในระยะที่ไม่ลุกลามออกจากผนังหลอดอาหาร ในกรณีที่มะเร็ง
ลุกลาม ออกนอกผนังและอยู่ตอนกลางของหลอดอาหาร การผ่าตัดชนิดนี้มีโอกาสเสี่ยงที่จะมีการบาด
เจ็บต่อ หลอดลมและเส้นเลือดใหญ่ในช่องทรวงอก เช่น เส้นเลือดดํา azygos และ descending aorta
Radiation therapy
ในสมัยก่อนการรักษาด้วยการฉายแสงแบบ convential dose อย่างเดียว ในผู้ป่วย clinical T4
และ/หรือผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับการผ่าตัดได้ มีอัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปีแค่ 0-10%36-37 และการศึกษาของ
Shi et al พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับการฉายแสงทั้งหมด 68.4 Gy มีอัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปีมากขึ้นเป็น 34%38
แต่อย่างไรก็ตามมีการศึกษา RTOG 85-01 trial, เปรียบเทียบผู้ป่วยฉายแสงและผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมี
บำบัดร่วมกับฉายแสงพบว่ากลุ่มที่ฉายแสงอย่างเดียวมี survival rate ที่ต่ำกว่า39 ดังนั้นจึงแนะนำว่าการ
รักษาโดยการฉายแสงอย่างเดียวนั้นให้ใช้รักษาเพื่อบรรเทาอาการหรือใช้ในผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับยาเคมี
บำบัดได้
ปัจจุบันการรักษามะเร็งหลอดอาหารโดยการฉายแสงนั้นสามารถให้เพื่อจุดประสงค์ต่างๆ เช่น
definite, preoperative, postoperative หรือ palliative โดยมี dose ที่แตกต่างกัน ดังนี้
Dose
- Preoperative RT: 41.4-50.4 Gy (1.8-2.0 Gy/d)
- Postoperative RT: 45-50.4 Gy (1.8-2.0 Gy/d)
- Definitive RT: 50-50.4 Gy (1.8-2.0 Gy/d)
Combined Modality Therapy
Combined modality therapy เกิดขึ้นเพื่อรักษามะเร็งหลอดอาหารเนื่องจากผู้ป่วยที่ได้รับ
การผ่าตัดอย่างเดียวนั้นมีอัตราการรอดชีวิตที่ต่ำ
Definitive Chemoradiation Therapy
จากการศึกษา ramdomized trial (RTOG 85-01) เปรียบเทียบการรักษาแบบ concurrent
chemoradiation เทียบกับ RT (64 Gy) อย่างเดียว ในผู้ป่วยมะเร็งหลอดอาหาร clinical stage T1-3,N0-
1,M0 โดยรับยาเคมีบำบัด fluorouracil และ cisplatin ร่วมกับการฉายแสง(total RT 50 Gy) โดยให้
พร้อมกันวันแรก พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัดพร้อมฉายแสงมี median survival ที่ดีกว่าอย่าง
มีนัยสำคัญ (12.5 vs. 8.9 เดือน) และ survival rate ที่ 1 และ 2 ปีอยู่ที่ 33% และ 10% ในกลุ่มที่ฉายแสง
อย่างเดียว และ50%และ 38% ในกลุ่มที่ได้รับยาเคมีบำบัดร่วมกับฉายแสง 39
มีการศึกษา INT 0123 trial ศึกษาต่อเนื่องจาก RTOG 85-01 เปรียบเทียบ dose RT ที่ต่างกันคือ
64.8 Gy และ 50.4 Gy ใช้ร่วมกับยาเคมีบำบัด regimen เดียวกัน พบว่าไม่มีความแตกต่าง อย่างมีนัย
สำคัญทางสถิติในด้าน median survival, 2-year survival และ locoregional failure/locaregional
persistence of cancer40
นอกจากนี้ Qu XM และคณะ เปรียบเทียบการให้ยาเคมีบำบัดสูตรต่างๆร่วมกับฉายแสง
โดยเทียบ cisplatin-5FU, carboplatin-5FU และ carboplatin-paclitaxel ร่วมกับฉายแสงรวม 50 Gy
พบว่ากลุ่มที่ได้รับ cisplatin-5FU มี medial OS และ อัตราการรอดชีวิตที่ 3 ปีสูงที่สุด41
จากการศึกษาที่กล่าวมาจึงสรุปว่า definitive chemoradiation นั้นใช้ fluorouracil ร่วมกับ
cisplatin และ RT dose 50.4 Gy เป็นสูตรมาตรฐานในการ รักษาผู้ป่วยมะเร็งหลอดอาหาร cervical
esophagus หรือผู้ป่วยที่ปฏิเสธการผ่าตัดหรือผู้ป่วยที่ไม่แข็งแรงพอจะผ่าตัดได้
Preoperative Chemoradiation Therapy
Preoperative chemoradiation เป็น standard treatment ในผู้ป่วย locally advanced ที่สามารถ
ผ่าตัดได้ โดยมีการศึกษาแบบ RCT เปรียบเทียบกลุ่มที่ให้ preoperative chemoradiation ร่วมกับการ
ผ่าตัด และกลุ่มที่ผ่าตัดอย่างเดียวนั้นช่วยเพิ่ม OS, DFS, margin negative resection, downstage tumor
และเพิม่ locoregional control42 ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาแบบ multicenter phase III randomize trial
(CROSS study) พบว่าการให้ preoperative chemoradiation ด้วย carboplatin และ paclitaxel ช่วยเพิ่ม
อัตราการ รอดชีวิต และอัตราการรอดชีวิตแบบปลอดโรคอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังเพิ่ม R0
resection rate (92% vs. 69%) เพิ่ม median survival (49 vs. 24 months) และลด recurrence rate (35%
vs. 58%)43 ในทางตรงกันข้ามจากการศึกษาแบบ phase III randomize controlled study FFCD 9901
พบว่า การให้ preoperative chemoradiation therapy ด้วย cisplatin และ fluorouracil ในผู้ป่วยมะเร็ง
หลอดอาหาร stage I,II ไม่มีความแตกต่างกันของ R0 resection rate หรืออัตราการรอดชีวิต แต่เพิ่ม
อัตราการเสียชีวิต หลังผ่าตัดเมื่อเทียบกับการผ่าตัดอย่างเดียว 44
Postoperative Chemoradiation Therapy
มีการศึกษาแบบ meta-analysis ในการให้ postoperative CCRT (5FU-based) หลังผ่าตัด
หลอดอาหาร ศึกษา 13 studies ซึง่ มีผู้ป่วยทั้งหมด 2,165 คน พบว่าการให้ postoperative CCRT ช่วยเพิ่ม
OS อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังช่วยลด locoregional recurrence rate ด้วย45
จึงแนะนำให้ postoperative chemoradiation ในผู้ป่วยหลังผ่าตัดที่ T3/T4, nodal positivity และ
R1 or R2 resection ที่ยังไม่ได้รับpreoerative chemoradiation46
การ restaging (PET/CT scan; upper GI endoscopy with biopsy[after preoperative
chemoradiation]) แนะนำให้ทำ 5-6 สัปดาห์หลังจากได้ preoperative/definitive chemoradiation
ครบในผู้ป่วยทุกราย46
Adjuvant treatment หลังการได้ preoperative/definitive chemoradiation นั้นขึ้นกับการ
ตอบสนองจากการรักษาเบื้องต้น(จากตารางที่ 2)
ในผู้ป่วยระยะ cT1b-T4a,N0-N+
การรักษาตาม NCCN guideline 201746 ในผู้ป่วยมะเร็งหลอดอาหาร
1. ผู้ป่วยที่รักษาด้วยการผ่าตัด Esophagectomy (non-cervical esophagus, T1b/T2,N0 low-risk:
<2cm,well differentiated)
ในกรณีผ่าตัดแล้วเป็น T3,T4, nodal positive และมี R1, R2 resection ให้ postoperative CCRT
(5FU-based) หาก ECOG > 2 ให้รักษาแบบ best supportive care
2. ผู้ป่วยที่ได้รับ Preoperative Therapy, Definitive CCRT(cervical esophagus, decline surgery)
2.1 กรณี Complete response สมควรทำ Esophagectomy (ยกเว้นใน cervical esophagus) หากไม่ผ่าตัด
อาจพิจารณา observe
2.2 กรณี Partial response หากผ่าตัดได้ควรทำ esophagectomy
2.3 กรณี Progressive disease ผ่าตัดไม่ได้ พิจารณาให้ Palliative chemotherapy, Palliative radiation
หรือ หาก ECOG > 2 ให้รักษาแบบ best supportive care
ในผู้ป่วยระยะ T4b
1. หาก ECOG 0-2 สามารถให้ Definite CCRT ได้
2. หาก ECOG > 2 ให้การรักษาแบบ best supportive care
Surveillance
โดยทั่วไป ในผู้ป่วยที่ติดตามอาการแล้วอาการปกติดีควรจะติดตามอาการร่วมกับตรวจ
ร่างกายทุก 3-6 เดือนเป็นเวลา 1-2 ปี และหลังจากนั้นทุก 6-12 เดือนในปีที่ 3-5 และหลังจากนั้น
ปีละครั้ง การตรวจผลเลือด CBC, blood chemistry, upper GI endoscopy with biopsy และ imaging
ควรทำกรณีผู้ป่วยมีอาการผิดปกติ นอกจากนี้ผู้ป่วยบางรายจำเป็นต้องขยายหลอดอาหารในคนที่มี
anastomotic /chemoradiation-induced stricture
จากการศึกษาต่างๆ ทาง NCCN guidelides46 จึงแนะนำให้ติดตามอาการตามระยะของโรคดังนี้
Stage 0-1: Tis, T1a และ T1b
ในผู้ป่วย early sage สัมพันธ์กับการเกิดเป็นซ้ำได้หลายแบบ การติดตามอาการขึ้นอยู่กับระยะ
ของโรค และการรักษาตามตารางที่ 3