You are on page 1of 49

ประเภทข้อสอบ: ข้อสอบ PAT1 ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 6 วันทีส่ อบ: 24-27 ธันวาคม 2554

รหัสวิชา: 71 ชื่อวิชา: ความถนัดทางคณิตศาสตร์ จานวนข้อสอบ ปรนัย: 25


อัตนัย: 25
โดย สหัทยา ขาสุวฒ ั น์

ส่วนที่ 1: จานวน 25 ข้อ ข้อละ 5 คะแนน รวม 125 คะแนน


คาสัง่ : แบบปรนัย 4 ตัวเลือก แต่ละข้อมีคาตอบทีถ่ ูกต้องทีส่ ุดเพียงคาตอบเดียว

1. กาหนดให้ p, q และ r เป็ นประพจน์ใดๆ โดยที่  p  q มีค่าความจริ งเป็ นเท็จ พิ จารณา


ข้อความต่อไปนี้
ก. (p  r)  [(p  r)  q] มีค่าความจริ งเป็ นเท็จ
ข. (p  r)  ( q  p) มีค่าความจริ งเป็ นจริ ง
ข้อสรุปใดถูกต้อง
1. ก. ถูก ข. ถูก 2. ก. ถูก ข. ผิ ด
3. ก. ผิ ด ข. ผิด 4. ก. ผิ ด ข. ผิ ด

เฉลย ตอบตัวเลือก 4
เนื่องจาก  p  q เป็นเท็จ

F จะได้ pF และ qF

T F
F

พิ จารณา ก. (p  r)  [(p  r)  q]
(F  r)  [(F  r)  F]
 r  (r  F)
rr มีค่าความจริงเป็ นจริง
ดังนัน้ ข้อ ก. ผิด
พิ จารณา ข. (p  r)  [ q  p]
(F  r)  (T  F)
TF มีค่าความจริงเป็ นเท็จ
ดังนัน้ ข้อ ข. ผิด
1 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั
์ พย์
2. กาหนดให้ P(x) และ Q(x) เป็ นประโยคเปิ ด ถ้า x[P(x)]  x[ Q(x)] มีค่าความจริ งเป็ น
จริ ง แล้วประพจน์ ในข้อใดมีค่าความจริ งเป็ นเท็จ
1. x[P(x)  Q(x)] 2. x[  P(x)  Q(x)]
3. x[ P(x)  Q(x)] 4. x[P(x)  Q(x)]

เฉลย ตอบตัวเลือก 1
เนื่องจาก x[P(x)]  x[ Q(x)] มีค่าความจริงเป็ นจริง
จะได้ x[P(x)] เป็นจริง และ x[ Q(x)] เป็นจริง
นันคื
่ อ x ทุกตัวทาให้ P(x) เป็นจริง และ x ทุกตัวทาให้ Q(x) เป็นเท็จ
พิ จารณา ก. x[P(x)  Q(x)]  TF  F
พิ จารณา ข. x[ P(x)  Q(x)]  F T  T
พิ จารณา ค. x[P(x)  Q(x)]  TT  T
พิ จารณา ง. x[P(x)   Q(x)]  TT  T

3. กาหนดให้ A และ B เป็ นเซตจากัด โดยที่ จานวนสมาชิ กของ P(A) เป็ นสองเท่าของจานวน
สมาชิ กของ P(B) จานวนสมาชิ กของ P(A  B) = 8 และจานวนสมาชิ กของ
P(A  B) = 256 จงหาจานวนสมาชิ กของ P(A  B)
1. 2 2. 4
3. 8 4. 16

เฉลย ตอบตัวเลือก 3
ให้ P(A  B) มีสมาชิก 8 ตัว = 23 ตัว จะได้ว่า AB มีสมาชิก 3 ตัว
ให้ P(B) มีสมาชิก 2n ตัว
จานวนสมาชิกของ P(A) = 2 จานวนสมาชิกของ P(B)
= 2  2n
= 2n+1
จะได้ว่า ถ้า B มีสมาชิก n ตัว แล้ว A มีสมาชิก n +1 ตัว
P(A  B) มีสมาชิก 256 ตัว = 2 ตัว จะได้ว่า A  B มีสมาชิก 8 ตัว
8

เขียนแผนภาพได้ดงั นี้

A B

n–2 3 n–3

2 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
จาก n(A  B) = n  2 + 3+ n  3
8 = 2n  2
n = 5
จะได้ A  B มีสมาชิก 5  2 = 3 ตัว
ดังนัน้ P(A  B) มีสมาชิก 23 = 8 ตัว
1
x+
4. กาหนดให้ A = {x  R 22x  2x+2 > 2 2  32} เมื่อ R แทนเซตของจานวนจริ ง จงหา
จานวนสมาชิ กที่เป็ นจานวนเต็มของ R  A
1. 1 2. 2
3. 3 4. 4

เฉลย ตอบตัวเลือก 2
1
22x  2x+2
x+
> 2 2
 32
1 5
22x  22  2x > 2  2x  2 2
2

22x  22  2x > 2  2x  4 2
2x (2x  4) > 2(2x  4)
2x (2x  4)  2(2x  4) > 0
(2  4)(2  2)
x x
> 0
พิจารณา 2x  4 = 0 หรือ 2x  2 = 0
2x = 4 หรือ 2x = 2
1
2x = 22 หรือ 2x = 2 2

1
x = 2 หรือ x =
2

+ – 2 +

1
จะได้ A = (, )  (2, )
2
1 
R A =  2 , 2 
สมาชิกทีเ่ ป็ นจานวนเต็มของ R  A = {1, 2}
ดังนัน้ จานวนสมาชิกทีเ่ ป็ นจานวนเต็มของ R  A เท่ากับ 2

3 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
5. กาหนดให้ r = {(x, y)  R × R y =
1
} เมื่อ R แทนเซตของจานวนจริ ง จงหา
5 3x
โดเมนของ r
1. {x  R  2 < x < 8} 2. {x  R   < x < 3}
3. {x  R 0 < x < 3} 4. {x  R x < 8}

เฉลย ตอบตัวเลือก 1
พิจารณา 5 3 x > 0
5 3 x > 0
5 > 3 x
หรือ 3 x < 5
5 < 3 x < 5
8 < x < 2
8  x  2
หรือ 2 < x < 8
ดังนัน้ โดเมนของ r คือ {x  R  2 < x < 8}

6. ให้ P เป็ นจุดบนวงกลม x2 + y 2 + 2x  4y  15 = 0 ที่อยู่ใกล้จดุ A(1, 3) มากที่สดุ จงหา


ระยะระหว่างจุด P กับเส้นตรง 3y  4x = 15
1. 3 2. 3.2
3. 3.4 4. 3.5

เฉลย ตอบตัวเลือก 1
จากวงกลม x 2 + y2 + 2x  4y 15 = 0 ..........(1)
(x 2 + 2x +1) + (y2  4y + 4) = 15  1  4
(x +1) + (y  2)
2 2
= 20
จะได้จดุ ศูนย์กลางของวงกลม คือ (1, 2) และรัศมีเท่ากับ 20  2 5 หน่วย

P

A(1, 3)
C(–1, 2)

4 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
จากกราฟ จะพบว่าจุด A(1, 3) อยูใ่ นวงกลม
ดังนัน้ จุดบนวงกลมทีใ่ กล้จุด A มากทีส่ ุด คือ จุดตัดของเส้นตรงทีผ่ ่านจุด A(1, 3) กับจุด
ศูนย์กลางของวงกลม (1, 2)
3 2
หาความชัน m =
1+1
1
=
2
หาสมการเส้นตรง 1 y  y1 = m(x  x1 )
1
y3 = (x  1)
2
2y  6 = x 1
x = 2y  5 ..........(2)
แทน x = 2y  5 ใน (1) จะได้
(2y  5)2 + y2 + 2(2y  5)  4y 15 = 0
4y  20y + 25 + y + 4y 10  4y 15
2 2
= 0
5y2  20y = 0
5y(y  4) = 0
y = 0, 4
แทน y=0 และ y=4 ใน (2) ถ้า y = 0 จะได้ x =  5
ถ้า y = 4 จะได้ x = 3
แต่จดุ P อยูใ่ นจตุภาคที่ 1 จะได้ว่าจุด P มีพกิ ดั (3, 4)
ระยะห่างระหว่างจุด P(3, 4) กับเส้นตรง 3y  4x = 15 คือ
 4(3) + 3(4)  15
d =
(4) 2 + 32
 12 +12  15
=
25
= 3

5 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
7. ให้ R แทนเซตของจานวนจริ ง และให้ f :R  R เป็ นฟังก์ชนั ที่มีสมบัติสอดคล้องกับ
 0 ,x = 1

f(x) =  x  1 ถ้า A = {x  R (f f)(x) = cot 75o } แล้วข้อใดไม่เป็ นเซตว่าง
 ,x  1
x +1
1. A  (3,  2) 2. A  (4,  )
3. A  (2, 3) 4. A  (3, 4)

เฉลย ตอบตัวเลือก 2
tan 45o + tan 30o
tan 75o = tan (45o + 30o ) =
1  tan 45o tan 30o
1
1+
= 3
 1 
1  (1)  
 3
3 1
= 3
3 1
3
3 + 2 3 +1
=
3 1
= 2 3
1
cot 75o =
2+ 3
 x 1 
(f f)(x) = f(f(x)) = f 
 x +1 
x 1
1
cot 75o = x +1
x 1
+1
x +1
1 x 1  x 1
=
tan 75o x  1+ x +1
1 1
=
2+ 3 x
x = 2  3
x  2 1.732 = –3.732
พิ จารณา ก. A  (3,  2) = 
พิ จารณา ข. A  (4,  3) = (4,  2  3] (  )
พิ จารณา ค. A  (2, 3) = 
พิ จารณา ง. A  (3, 4) = 

6 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
cos2 θ
กาหนดให้ 180 < θ < 270 ถ้า 3(2) 4
= 2(3)sinθ
o o sinθ
8.  
9
แล้วจงหาค่าของ 3tan2θ  2sin 3θ
1. 1 2. 3
3. 7 4. 9

เฉลย ตอบตัวเลือก 2
cos 2 θ
sin θ 4 = 2(3)sinθ
3(2)  
9
2cos 2 θ
sin θ 2 = 2(3)sinθ
3(2)  
3
3(2)sin θ 2
2cos2 θ
=  
2(3)sin θ 3
2sin θ 1 2
2(1sin 2 θ)
=  
3sin θ 1 3
sin θ 1 2(1sin 2 θ)
2 2
  =  
3 3
sin θ  1 = 2(1  sin 2θ)
sin θ  1 = 2 + 2sin 2θ
2sin 2θ  sin θ  1 = 0
(2sin θ +1)(sin θ 1) = 0
2sin θ +1 = 0 หรือ sin θ  1 = 0
1
sin θ =  หรือ sin θ = 1
2
π 7π
เนื่องจาก 180o < θ < 270o จะได้ θ = 180o + 30o = π + =
6 6
 7π   7π 
3tan 2θ  2sin 3θ = 3tan 2    2sin  
 6   2 
 π  7π 
= 3tan 2  π    2sin  
 6  2 
π  7π 
= 3tan 2    2sin  
6  2 
2
 1 
= 3   2(1)
 3
= 3

7 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
9. กาหนดให้พาราโบลามีจดุ ยอดที่ (–3, –2) ผ่านจุดโฟกัสของไฮเพอร์โบลา
5x2  4y 2  16y + 4 = 0 จงหาสมการไดเรกทริ กซ์ของพาราโบลา
1. 4y +15 = 0 2. 4y + 9 = 0
3. 4x + 9 = 0 4. 4x +15 = 0

เฉลย ตอบตัวเลือก 4
จากไฮเพอร์โบลา 5x 2  4y2  16y + 4 = 0
5x 2  4(y2 + 4y + 4) = 4  16
5x  4(y + 2)
2 2
= 20
2 2
(y + 2) x
 = 1
5 4
ไฮเพอร์โบลามี a 2 =4 และ 2
b =5
จาก c = a 2 + b2
= 45
= 3
เนื่องจากไฮเพอร์โบลานี้เป็ นไฮเพอร์โบลาตามแกน y และมีจุดศูนย์กลางอยูท่ ่ี (0,  2)
จะได้จดุ โฟกัสอยูท่ ่ี F1 (0,  2 + 3) และ F2 (0,  2  3)
F1 (0, 1) และ F2 (0,  5)
พาราโบลาทีม่ จี ดุ ยอดอยู่ท่ี (3,  2) และผ่านจุด F1 (0, 1) และ F2 (0,  5) จะเป็นพาราโบลา
ตะแคงขวา
(y  k)2 = 4c(x  h)
(1  2)2 = 4c(0 + 3)
3
c =
4
3
สมการไดเรกทริกซ์ คือ x = 3 
4
4x = 15
4x +15 = 0

8 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
0 3 
10. กาหนดให้ A=  , a  0 B เป็ นเมทริ กซ์มิติ 2× 2 และ I เป็ นเมทริ กซ์เอกลักษณ์ มิติ
a b 
2× 2 ถ้า A2B = I และ 2A1  3B = I แล้ว จงหาค่ าของ 2a + 3b
1. 4 2. 3
3. 2 4. 1

เฉลย ตอบตัวเลือก 1
2A1  3B = I
2A2 A1  3A2 B = A2I
2A  3I = A2 ; A2 B = I

 0 3  1 0  0 3  0 3 
2  3  = a b  a b 
a b  0 1    
 0 6  3 0 3a 3b 
 2a 2b   0 3 =  ab 3a + b 2 
     
 3 6  3a 3b 
 2a 2b  3 =  ab 3a + b 2 
   
จะได้ 3 = 3a  a =  1

6 = 3b  b=2

ดังนัน้ 2a + 3b = 2(1) + 3(2) = 4

9 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
11. ร้านค้าผลิ ตถุงแบบ A วันละ x ชิ้ น และแบบ B วันละ y ชิ้ น โดยที่
40  2x + y  60
  2x + 3y  
x  0, y  0
ถ้าถุง A ขายชิ้ นละ 40 บาท ในแต่ละวันขายถุงทัง้ 2 แบบ ได้เงิ นมากสุด 750 บาท แล้ว ขาย
ถุง B ชิ้ นละกี่บาท
1. 5 2. 10
3. 15 4. 20

เฉลย ตอบ 1.25


สมการจุดประสงค์ P = 40x + ny ; n เป็ นราคาขายต่อชิน
้ ของถุงแบบ B
อสมการข้อจากัด 40  2x + y  60
105  2x + 3y  150
x  0, y  0

Y
เกิดจุดมุม 5 จุด ดังนี้
A(0, 40)
E B(3.75, 32.5)
 C(18.75, 22.5)

D

A
D(7.5, 45)

B
E(0, 50)

C

พิจารณาจุด A(0, 40) กับจุด E(0, 50) ซึง่ 40 < 50 จึงไม่พจิ ารณาทีจ่ ดุ A
พิจารณาจุด B(3.75, 32.5) กับจุด D(7.5, 45) ซึง่ 37.5 < 7.5 และ 32.5 < 45 จึงไม่
พิจารณาทีจ่ ดุ B
เหลือจุดมุม 3 จุด คือ C(18.75, 22.5), D(7.5, 45) และ E(0, 50)
สมมุตใิ ห้ค่ามากสุด 750 อยูท่ จ่ี ดุ E; 750 = 40(0) + n(50)

750 = 50n

n = 15

10 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
สมมุตใิ ห้ค่ามากสุด 750 อยูท่ จ่ี ดุ D; 750 = 40(7.5) + n(45)

750 = 300 + 45n ……….(1)

n = 10
สมมุตใิ ห้ค่ามากสุด 750 อยูท่ จ่ี ดุ C; 750 = 40(18.75) + n(22.5)

750 = 750 + 22.5n ……….(2)

n = 0
ถ้าเลือก n = 15 แทนใน (1) จะทาให้มคี ่ามากกว่า 750 จึงไม่พจิ ารณาทีจ่ ดุ E
ถ้าเลือก n = 10 แทนใน (2) จะทาให้มคี ่ามากกว่า 750 จึงไม่พจิ ารณาทีจ่ ดุ D
จะได้ว่า จุด C ทาให้เกิดค่าสูงสุด
เนื่องจาก C(18.75, 22.5) ไม่ใช่จานวนเต็ม เราเลือกพิจารณาจุดทีเ่ ป็นจานวนเต็มทีใ่ กล้เคียง
กับจุด C และอยูบ่ นเส้นตรง 2x + y = 60 ได้แก่ (18, 24), (19, 22)
จาก P = 40x + ny
750 = 40(18) + n(24)
750 = 720 + 24n
n = 1.25

หมายเหตุ ถ้าเลือกจุด (19, 22) แทนค่าในสมการจุดประสงค์


P = 40x + ny
750 = 40(19) + n(22)
750 = 760 + 22n
n = –0.45
ซึง่ n < 0 ไม่ได้ เพราะ n เป็นราคาขาย จึงไม่เลือกจุด (19, 22)

11 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
12. จากรูป a + b + c = 0
Y

110 125 X

ข้อใดต่อไปนี้ ถกู
 cot 20o  
cot 35o 
1. a cosec 35o = c  1 +  2. a cosec 20o = c  1 + 
 cot 35o   cot 20o 
 tan 20o   tan 35o 
3. a cosec 35o = c  1 +  4. a cosec 20o = c  1 + 
 tan 35o   tan 20o 

เฉลย ตอบตัวเลือก 4

125
110 125 X

เนื่องจากมุมระหว่าง c กับ b เท่ากับมุมระหว่าง a กับ b จะได้ว่า a = c


 tan 35o   tan 20o  tan 35o 
พิจารณา c 1+  = c  
 tan 20o   tan 20o 
 sin 20o sin 35o 
 o
 
= c  cos 20 cos 35o 
o
 sin 20 
 
 cos 20o 
 (sin 20o cos 35o + cos 20o sin 35o )cos 20o 
= c  
 cos 20o cos 35o sin 20o 

12 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
 sin(20o + 35o ) 
= c  o o 
 cos 35 sin 20 
 sin 55o 
= c  o o 
; sin 55o  cos 35o
 cos 35 sin 20 
 1 
= c  o 
 sin 20 
= c cosec 20o
ดังนัน้ ข้อ ง. ถูกต้อง

13. กาหนดให้ A, B, C เป็ นจุดยอดของสามเหลี่ยม P เป็ นจุดกึ่งกลางของ AC Q อยู่บน AB


ทาให้ AQ : QB = 1 : 2 ถ้า AB = 6i  3j และ BC = 2i + 3j จงหา PQ
1.  i  2j 2. 2i + j
3. 2i  j 4. i + 2j

เฉลย ตอบตัวเลือก 3
PQ = PA + AQ
1 1
A = CA + AB
2 3
1 1
=  AC + AB
Q 2 3
1 1 1
=  AB  BC + AB
P 2 2 3
1 1
=  AB  BC
6 2
1 1
=  (6i  3j)  (2i + 3j)
B C 6 2
1 3
= i + j  i  j
2 2
= 2i  j

13 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
14. กาหนดให้ z1 , z 2 , z 3 เป็ นรากของสมการ (z + 2i)3 = 8i จงหาค่าของ z1 + z 2 + z 3
1. 6 2. 8
3. 6 + 2 3 4. 24

เฉลย ตอบตัวเลือก 2
(z + 2i)3 = 0 +8i
ให้ z = r(cos θ + i sin θ) เป็นรากที่ 3 ของ 8i
 π π
z3 = 8  cos + i sin 
 2 2
โดยทฤษฎีบทของเดอมัวร์ จะได้
 π π
r 3 (cos 3θ + i sin 3θ) = 8  cos + i sin 
 2 2
π
ดังนัน้ r3 = 8 และ 3θ = + 2kπ ; k  I
2
π 2kπ
r=2 และ θ= + ; k I
6 3
  π 2kπ   π 2kπ  
 2 cos  +  + i sin  +  ; k I
3  
z =
 6 3  6
 π π
k = 0; z = 2 cos + i sin 
 6 6
 3 1 
= 2  + i 
 2 2 
= 3 +i
  π 2π   π 2π  
k = 1; z = 2 cos  +  + i sin  +  
 6 3   6 3 
 5π 5π 
= 2 cos + i sin 
 6 6
 π π
= 2  cos + i sin 
 6 6
 3 1 
= 2   + i 
 2 2 
=  3 +i
  π 4π   π 4π  
k = 2; z = 2 cos  +  + i sin  +  
 6 3   6 3 
 9π 9π 
= 2 cos + i sin 
 6 6
 3π 3π 
= 2 cos + i sin 
 2 2

14 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
= 2(0  i)
= 2i
จาก z = 3 +i
จะได้ z + 2i = 3 +i
z = 3 i → ให้ z1 = 3  i
จาก z =  3 +i
จะได้ z + 2i =  3 +i
z =  3 i → ให้ z2 =  3  i
จาก z =  2i
จะได้ z + 2i = 2i
z = 4i → ให้ z3 =  4i
z1 + z1 + z1  ( 3)2  (1) 2  ( 3) 2  (1) 2  0  (4) 2  8

15. กาหนดอนุกรมเลขคณิ ต a1 + a2 + a3 + ... + a201 ถ้า a1 + a3 + a5 + ... + a201 = 303 แล้วจงหา


ค่าของ a2 + a4 + a6 + ... + a200
1. 287 2. 290
3. 297 4. 300

เฉลย ตอบตัวเลือก 4
เนื่องจาก a1 + a 2 + a 3 +...+ a 201 เป็นอนุกรมเลขคณิต
ดังนัน้ a1 + a 3 + a 5 +...+ a 201 เป็นอนุกรมเลขคณิตด้วย
n
Sn = (a1 + a n )
2
101
303 = (a1 + a 201 )
2
a1 + a 201 = 6
อนุกรมเลขคณิตจะมี a1 + a 201 = a 2 + a 200
ซึง่ a 2 + a 4 + a 6 +...+ a 200 = S100
100
S100 = (a 2 + a 200 )
2
= 50(6)
= 300

15 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
3 5 8
16. กาหนดให้ c = arcsin + arccot  arctan ถ้า A เป็ นเซตคาตอบของสมการ
5 3 19
1 1
arccot + arccot =c จงหาผลคูณของสมาชิ กใน A
2x 3x
1 1
1.  2.
4 4
1 1
3.  4.
6 6

เฉลย ตอบตัวเลือก 4
ให้ A = arcsin 3 ให้ B = arc cot
5
ให้ C = arctan
8
5 3 19
3 5 8
sin A = cot B = tan C =
5 3 19

5
3 3 8

A B C
4 5 19

cot A cot B  1
จาก cot(A + B) =
cot A + cot B

 3 5
=
cot  arcsin + arccot  cot(A + B)
 5 3
 4  5 
    1
 3  3 
=
4 5

3 3
11
=
27

cot A cot B +1
จาก cot(A  B) =
cot B  cot A

 3 5 8 
cot  arcsin + arccot  arctan  = cot[(A + B)  C]
 5 3 19 
cot (A + B) cot C +1
=
cot C  cot (A + B)
16 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั
์ พย์
 11  19 
   +1
=  27  8 
19 11

8 27
cot c = 1
π
c =
4
3 5 8 π
จะได้ว่า arcsin + arccot  arctan =
5 3 19 4
1 1
arccot + arccot = c
2x 3x
 1 1 
cot  arccot + arccot  = cot c
 2x 3x 
 1  1 
    1
 2x   3x  = 1
1 1
+
2x 3x
1 5
1 =
6x 2 6x
1  6x 2 = 5x
6x 2 + 5x -1 = 0
(6x  1)(x +1) = 0
1
x = , 1
6
1 1
ถ้า x =  1; arccot 0 และ arccot 0
2x 3x
1 1  π
ซึง่ arccot + arccot < 0  
2x 3x  4
1
ดังนัน้ x =
6

17 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
2
17. กาหนดให้ f :R  R โดยที่ f(x) = x 3 ถ้า N เป็ นเส้นตรงที่ตงั ้ ฉากกับเส้นสัมผัสของกราฟ
5
f(x) ที่จดุ (a, f(a)), a > 0 และ N มีระยะตัดแกน y เท่ากับ หน่ วย แล้วข้อใดเป็ นพิ กดั
2
ของจุดบนเส้นตรง N
1. (2, 7) 2. (1, 4)
3. (2,  4) 4. (3,  5)

เฉลย ตอบตัวเลือก 2
2
จาก f(x) = x3
2  13
f (x) = x
3
2  13
f (a) = a
3
2  13
จะได้ว่า ความชันของเส้นสัมผัสกราฟของ f(x) ทีจ่ ดุ (a, f(a)) คือ a
3
ความชันของเส้นสัมผัสกราฟ × ความชันของเส้นตรงทีต่ งั ้ ฉากกับเส้นสัมผัส = –1
1
2 
a 3
× ความชันของเส้นตรงทีต
่ งั ้ ฉากกับเส้นสัมผัส = –1
3
1
3
ความชันของเส้นตรงทีต่ งั ้ ฉากกับเส้นสัมผัส =  a3
2
2
5
เส้นตรงดังกล่าวผ่านจุด (0, ) และจุด (a, a 3 )
2
2
5
a 3

ความชัน = 2
a 0
2
3 1 2a 3  5
 a3 =
2 2a
4 2
3a 3 = 2a 3  5
2
ให้ m = a3 ; 3m2 = 2m  5
3m + 2m  5
2
= 0
(3m + 5)(m  1) = 0
5
m =  ,1
3
2
5
a3 =  ,1
3
แต่ a>0 จะได้ a = 1

18 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
1
5
จะได้สมการเส้นตรง คือ y = 3(1) 3 x
2
2y  5 = 3x 2
3x + 2y = 5 ……….(1)
พิ จารณา ก. (2, 7) แทนใน (1) จะได้ 3(2)  2(7)  5
8  5 (เป็ นเท็จ)
พิ จารณา ข. (1, 4) แทนใน (1) จะได้ 3(1)  2(4)  5
5  5 (เป็ นจริง)
พิ จารณา ค. (2,  4) แทนใน (1) จะได้ 3(2)  2(4)  5
2  5 (เป็ นเท็จ)
พิ จารณา ง. (3,  5) แทนใน (1) จะได้ 3(3)  2(5)  5
1  5 (เป็ นเท็จ)
ดังนัน้ (1, 4) เป็นพิกดั ของจุดบนเส้นตรง N

18. กาหนดให้ A(0, 0), B(1, 0) และ C( 1 , 3


) เป็ นจุดยอดของรูปสามเหลี่ยม ABC ถ้ากราฟ
2 2
ของ f(x) = ax2 + bx + c ผ่านจุด A(0, 0), B(1, 0) โดยที่ AC และ BC เป็ นเส้ นสัมผัสกราฟ
ของ f ที่จดุ A(0, 0), B(1, 0) ตามลาดับ แล้วพื้นที่ที่ปิดล้อมด้วยกราฟของ f และเส้นตรง
AB มีค่าเท่ าใด
3 3
1. 2.
6 3
3 2 3
3. 4.
2 3

เฉลย ตอบตัวเลือก 1
วาดกราฟ ดังรูป Y

A(0, 0) A B(1, 0)
  X

19 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
จาก f(x) = ax 2 + bx + c
กราฟผ่านจุด (0, 0); 0 = c
กราฟผ่านจุด (1, 0); 0 = a +b+c
a+b = 0
b = –a
 สมการเส้นโค้ง คือ f(x) = ax 2  ax
f (x) = 2ax  a
ทีจ่ ดุ (0, 0); f (0) = –a ……….(1)
3
0
และ m AC = 2
1
0
2
m AC = 3 ……….(2)
(1) = (2); –a = 3
a =  3
สมการเส้นโค้ง คือ f(x) =  3x 2  3x
1
A =  (
0
3x 2  3x) dx

1
 3x 3 3x 2 
=    
 3 2 0
1
 x3 x 2 
=  3  
 3 2 0
1 1 
=  3    0
3 2 
3
= ตารางหน่วย
6

20 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
19. ในการจัดคน 12 คน (มี GAT และ PAT รวมอยู่ด้วย) นัง่ รับประทานอาหารรอบโต๊ะกลม จง
หาความน่ าจะเป็ นที่ GAT และ PAT ไม่ได้นัง่ ติ ดกัน
1 2
1. 2.
11 11
9 10
3. 4.
11 11

เฉลย ตอบตัวเลือก 3
จัดคน 12 คน นังรอบโต๊
่ ะกลมได้ (12 1)!  11! วิธ ี
ถ้า GAT และ PAT นังติ ่ ดกัน จะคิดว่ามีคนทัง้ หมด 11 คน
นังรอบโต๊
่ ะกลมได้ (11 1)!  10! วิธ ี
GAT และ PAT นังสลั ่ บทีก่ นั ได้ 2 วิธ ี
11!  2(10!)
ความน่ าจะเป็ นที่ GAT และ PAT ไม่นงติ ั ่ ดกัน =
11!
11(10!)  2(10!)
=
11(10!)
11  2
=
11
9
=
11

20. กาหนดให้ A และ B เป็ นเหตุการณ์ ในปริ ภมู ิ ตวั อย่าง ถ้า P(B  A) = 0.2, P(B) = 0.6 และ
P(A  B) = 0.8 แล้ว จงหา P(A  B)
1. 0.2 2. 0.4
3. 0.6 4. 0.8

เฉลย ตอบตัวเลือก 4
กาหนด P(B  A) = 0.2 , P(B) = 0.6 , P(A  B) = 0.8

A B

  

ซึง่ P(B  A) = 0.2 คือบริเวณ 


P(B) = 0.6 คือบริเวณ + จะได้ว่าบริเวณ  = 0.4
P(A  B) = 0.8 คือบริเวณ ++ จะได้ว่าบริเวณ  = 0.2

21 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
เขียนแผนภาพได้ดงั นี้
A B

 0.4 0.2

0.2

จากแผนภาพ จะได้บริเวณ  = 1  0.4  0.2  0.2  0.2


ดังนัน้ P(A  B) = 0.4 + 0.2 + 0.2 = 0.8

21. จากตารางแจงความถี่ต่อไปนี้
คะแนน ความถี่
10-14 2
15-19 5
20-24 8
25-29 6
30-34 4

ถ้า a เป็ นค่าเฉลี่ยเลขคณิ ตของคะแนนสอบ และ b เป็ น P88 จงหาค่าของ a  b


1. 8.50 2. 7.75
3. 6.50 4. 6.25

เฉลย ตอบตัวเลือก 2
คะแนน ความถี่ (f) ความถี่สะสม x fx
10-14 2 2 12 24
15-19 5 7 17 85
20-24 8 15 22 176
25-29 6 21 27 162
30-34 4 25 32 128
25 575
Σf(x)
หา a x =
N
575
=
25
= 23
จะได้ a = 23

22 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
rn
หา b ตาแหน่งของ Pr =
100
88  25
ตาแหน่งของ P88 =
100
= 22
ซึง่ อยูใ่ นอันตรภาคชัน้ 30-34 มี L = 29.5, Σf L = 21, f88 = 4, I = 5
 rn 
 100  Σf L 
Pr = L+ I
 fr 
 
 22  21 
P88 = 29.5   5
 4 
= 30.75
จะได้ b = 30.75
ดังนัน้ a  b = 23  30.75 = 7.75
N
22. กาหนด  xi = 1125, N = 45 x เป็ นค่าเฉลี่ยเลขคณิ ต และความแปรปรวนเท่ากับ 6.25
i=1

ถ้า A และ B เป็ นนักเรียนของห้องนี้ A ได้ 30 คะแนน มีค่ามาตรฐานมากกว่าค่ามาตรฐาน


ของ B อยู่ 0.8 แล้ว B ได้กี่คะแนน
1. 26 2. 27
3. 28 4. 30

เฉลย ตอบตัวเลือก 3
N
จาก x
i=1
i = 1,125 N = 45
N

x i
1125
x = i=1
=  25
N 45
2
s = 6.25
s = 6.25 = 2.5
xx
A สอบได้ 30 คะแนน z =
s
zA 30  25
= = 2
2.5
ซึง่ A มีค่ามาตรฐานมากกว่า B อยู่ 0.8 จะได้ว่า z B = 1.2
x  25
1.2 =
2.5
x = 28
ดังนัน้ A สอบได้ 28 คะแนน
23 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั
์ พย์
23. กาหนดให้ x  y = (x +1)(y +1)  1 ข้อใดต่อไปนี้ ผิด
1. (x  1)  (x +1) = (x  x)  1 2. x  (y + 2) = (x  y) + (x  2)
3. x  (y  2) = (x  y)  2 4. x  (x  y) = (x +1)(x  y) + x

เฉลย ตอบตัวเลือก 2
x  y = (x +1)(y +1) 1  xy + x + y
พิ จารณา ก. (x  1)  (x +1) = (x  x)  1
(x  1)(x +1) + x 1+ x +1 = x(x) + x + x  1
x + 2x  1
2
= x 2 + 2x  1 (เป็ นจริง)
พิ จารณา ข. x  (y + 2) = (x  y) + (x  2)
x(y + 2) + x + y + 2 = xy + x + y + 2x + x + 2
xy + 3x + y + 2 = xy + 4x + y + 2 (เป็ นเท็จ)
พิ จารณา ค. x  (y  2) = (x  y)  2
x  (2y + y + 2) = (xy + x + y)  2
x  (3y + 2) = (xy + x + y)  2
x(3y + 2) + x + 3y + 2 = 2(xy + x + y) + xy + x + y + 2
3xy + 3x + 3y + 2 = 3xy + 3x + 3y + 2 (เป็ นจริง)
พิ จารณา ง. x  (x  y) = (x +1)(x  y) + x
x  (xy + x + y) = (x +1)(xy + x + y) + x
x(xy + x + y) + x + xy + x + y = x 2 y + x 2 + xy + xy + x + y + x
x 2 y + x 2 + 2xy + 2x + y = x 2 y + x 2 + 2xy + 2x + y (เป็ นจริง)
ดังนัน้ ข้อ ข. ผิด

24 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
24. กาหนดให้ S เป็ นเซตของ (a, b, c) โดยที่ a, b, c  I + มีสมบัติสอดคล้องกับ
a + 2b + 3c  50
a a b b 
+ +1 = 10  + +1 
b c c a 
จงหาจานวนสมาชิ กของ S
1. 24 2. 26
3. 29 4. 30

เฉลย ตอบตัวเลือก 1
a a b b 
+ +1 = 10  + +1
b c c a 
ac + ab + bc 10(ab + bc + ac)
=
bc a
a = 10b
จาก a + 2b + 3c ≤ 50
10b + 2b + 3c ≤ 50
12b + 3c ≤ 50
50  12b
c ≤
3
ถ้า b = 1 จะได้ 1  c  12 มีสมาชิก 12 ตัว
ถ้า b = 2 จะได้ 1  c  8 มีสมาชิก 8 ตัว
ถ้า b = 3 จะได้ 1  c  4 มีสมาชิก 4 ตัว
ถ้า b = 4 จะไม่มคี ่า c เพราะ c  I+
ดังนัน้ จานวนสมาชิกของ S เท่ากับ 12 +8 + 4 = 24

25 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
x ; xy
25. กาหนดให้ M(x, y) =  และ m(x, y) =  M(x,  y) ถ้า a = 3, b = 2,
y ; y>x
2( 2 + 6)
c = sin 54o และ d = แล้ว M(M(c,m(d, b)), m(a, m(c ,b))) เท่ากับเท่าใด
3 2+ 3
1. a 2. b
3. c 4. d

เฉลย ตอบตัวเลือก 4
x ; xy
จาก M(x, y) = 
y ; y>x
แสดงว่า M(x, y) เป็นการเลือกตัวทีม่ คี ่ามาก (ระหว่างค่า x กับค่า y)
จาก m(x, y) =  M(x,  y)
  x ;  x  y
m(x, y) = 
  y ;  y < x
แสดงว่า m(x, y) เป็นการเลือกตัวทีม่ คี ่าน้อย (ระหว่างค่า x กับค่า y)
a= 3  1.732
b= 2  1.414
c = sin 54o  0.809
2( 2 + 6) 2( 2 + 2 3) 2 2 + (1+ 3) 2(1.414)(1+1.732)
d= = = = = 0.931
3 2+ 3 3 2+ 3 3 2+ 3 3(1.414) +1.732
จะได้ว่า a > b > d > c
ดังนัน้ M(M(c, m(d, b)), m(a, m(c, b))) = M(M(c, d), m(a, c))
= M(d, c)
= d

26 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
ส่วนที่ 2: จานวน 25 ข้อ ข้อละ 7 คะแนน รวม 175 คะแนน
คาสัง่ : แบบอัตนัย จงเติมคาตอบทีถ่ ูกต้อง (เป็นตัวเลข)

26. กาหนดให้ A, B, C  
n(U) = 44, n(B) = 19, n(A  B  C) = 2, n[(A  C)  b] = 3, n[A  (B  C)] = 6 และ
n(A  B  C) = 9 จงหา n[(A  C)  B]

เฉลย ตอบ 16
กาหนด n(U) = 44
n(B) = 19
n(A  B  C) = 2
n[(A  C)  B] = 3
n[A  (B  C)] = 6
n[A  B  C] = 9

U = 44
A B


6 
2
3 
 C
9

เนื่องจาก n(B) = 19 จะได้บริเวณ  +  +  เท่ากับ 17


จาก n(U) = 6 + 2 + 3 + 9 + บริเวณ  + บริเวณ  + บริเวณ  + บริเวณ 
44 = 6 + 2 + 3 + 9 + 17 + บริเวณ 
บริเวณ  = 7
ดังนัน้ n[(A  C)  B] = 6 3 7
= 16

27 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
27. กาหนดให้ A = {x  R 23x+1  17(22x ) + 2x+3 = 0} และ
B = {x  R x2  3x  8 = x2 + 3x} จงหาผลบวกของสมาชิ กใน AB

เฉลย ตอบ 4
23x+1  17(22x ) + 2x+3 = 0
2(2 )  17(2 ) +8(2 )
3x 2x x
= 0
2x [2(22x )  17(2x ) +8] = 0
2x [(2  2x  1)(2x  8)] = 0
เนื่องจากไม่มคี ่า x ใดทีท่ าให้ x
2 =0
2  2x  1 = 0 หรือ 2x  8 = 0
1
2x = หรือ 2x = 8
2
2x = 21 หรือ 2x = 23
x = –1 หรือ x = 3
จะได้ A = {1, 3}
จาก x 2  3x  8 = x 2 + 3x
x 2  3x  8 = x 2 + 3x หรือ x 2  3x  8 = (x 2 + 3x)
6x = 8 หรือ 2x 2 = 8
4
x =  หรือ x = 2
3
4
ถ้าแทนค่า x= และ x = 2 ใน x 2  3x  8 = x 2 + 3x จะเป็ นเท็จ
3
จะได้ B = {2}
ดังนัน้ A  B = {1, 2, 3}
และผลบวกของสมาชิกใน A  B เท่ากับ 1  2  3  4

28 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
 x+6
28. ฟังก์ชนั f, g, h มีสมบัติว่า (f g)(x) = 3x  14, f   = x  2, h(2x  1) = 6g(x) + 12
 3 
จงหาค่าของ h(0)

เฉลย ตอบ 3
 x +6
จาก f  = x2 ……….(1)
 3 
x +6
ให้ a=
3
x = 3a  6
แทน x = 3a  6 ใน (1) จะได้ f(a) = 3a  6  2
f(a) = 3a  8
ดังนัน้ f(x) = 3x  8
จาก (f g)(x) = f(g(x))
3x  14 = 3g(x)  8
ดังนัน้ g(x) = x2
จาก h(2x  1) = 6g(x) +12
= 6(x  2) +12
h(2x  1) = 6x ……….(2)
ให้ b = 2x  1
b +1
x =
2
b +1  b +1 
แทน x= ใน (2) จะได้ h(b) = 6  
2  2 
h(b) = 3b + 3
ดังนัน้ h(x) = 3x + 3
h(x) = 3
h(0) = 3

29 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
29. กาหนด f(x) = 1  3x และ S เป็ นเซตของจานวนจริ ง x ทัง้ หมดที่สอดคล้องกับสมการ
(f f)(x) = x จงหาผลบวกของสมาชิ กใน S

เฉลย ตอบ 1.35


(f f)(x) = f(f(x))
x = 1  3 1  3x
1  3 1  3x = x หรือ 1  3 1  3x = –x
1 x 1+ x
1  3x = หรือ 1  3x =
3 3
 1 x   1+ x 
1  3x = ±  หรือ 1  3x = ± 
 3   3 
1 x
กรณี 1: 1  3x =
3
3  9x = 1 x
8x = –2
1
x =
4
 1 x 
กรณี 2: 1  3x =  
 3 
3  9x = 1  x
10x = –4
2
x =
5
1+ x
กรณี 3: 1  3x =
3
3  9x = 1+ x
10x = –2
1
x =
5
 1+ x 
กรณี 4: 1  3x =  
 3 
3  9x = 1  x
8x = –4
1
x =
2
1 2 1 1 
S= , , , 
4 5 5 2
1 2 1 1 27
ดังนัน้ ผลบวกของสมาชิกใน S เท่ากับ + + + = = 1.35
4 5 5 2 20

30 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
30. กาหนดให้ M(a, b) เป็ นจุดกึ่งกลางของเส้นตรงที่เชื่อมจุดตัดไฮเพอร์โบลา xy = 6 กับ
เส้นตรง x  y  1 = 0 จงหาระยะระหว่างจุด M กับเส้นตรง 6x  8y +13 = 0

เฉลย ตอบ 2
หาจุดตัดของไฮเพอร์โบลา xy = 6 กับเส้นตรง x  y 1 = 0
xy = 6 ……….(1)
x  y 1 = 0 ……….(2)
จาก (2); x = y +1 ……….(3)
แทน (3) ใน (1) จะได้ (y +1)y = 6
y + y6
2
= 0
(y + 3)(y  2) = 0
y = 3, 2
แทนค่า y =  3, 2 ใน (3) ถ้า y = 3 จะได้ x =  2
ถ้า y=2 จะได้ x = 3
จุดตัด คือ (2,  3) กับ (3, 2)
ให้ เป็นจุดกึง่ กลางระหว่าง (2,  3) กับ (3, 2)
2  3 1
a = 
2 2
3  2 1
b =  
2 2
1 1
จะได้ M( ,  )
2 2

1 1
หาระยะระหว่างจุด M( ,  ) กับเส้นตรง 6x  8y +13 = 0
2 2
1  1
6    8     13
2  2
d =
62  (8) 2
3  4  13
=
10
= 2
ดังนัน้ ระยะระหว่างจุด M กับเส้นตรง 6x  8y +13 = 0 เท่ากับ 2 หน่วย

31 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
tan 20o + 4sin 20o
31. จงหาค่าของ
sin 20o sin 40o sin 80o

เฉลย ตอบ 8
sin 20o
tan 20o + 4sin 20o = + 4sin 20o
cos 20o
sin 20o
= + 4sin 20o
cos 20o
sin 20o + 4sin 20o cos 20o
=
cos 20o
sin 20o + 2sin 40o
=
cos 20o
(sin 20o + sin 40o ) + sin 40o
=
cos 20o
2sin 30o cos (10o ) + sin 40o
=
cos 20o
1
2   cos 10o + sin 40o
= 2
cos 20o
cos 10o + sin 40o
=
cos 20o
sin 80o + sin 40o
=
cos 20o
2sin 60o cos 20o
=
cos 20o
 3
= 2  
 2 
= 3
o o o
sin 20 sin 40 sin 80 = (sin 20o sin 40o ) sin 80o
1
= cos (20o )  cos 60o  sin 80o
2
1 1
 cos 20   sin 80
o o
=
2 2
cos 20 sin 80o sin 80o
o
= 
2 4
1 sin 80o
= sin 100o + sin (60o )  
4 4
o
1 sin 80
= (sin 100o + sin 60o ) 
4 4

32 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
1 3  sin 80o
 sin 100 + 
o
=
4  2  4
1 3  sin 80o
 sin 80 + 
o
=
4  2  4
sin 80o 3 sin 80o
= + 
4 8 4
3
=
8
tan 20o + 4sin 20o 3
ดังนัน้ =
sin 20o sin 40o sin 80o 3
8
= 8

 2x 1 0
 3 
32. กาหนดให้ A =  0 1 และ det(I  A1 ) = 0, x > 0 จงหาค่าของ
 0 0  x 
1 
det  A 1 (3I  2A t ) 
2 

เฉลย ตอบ 5
det (I  A1 ) = 0
det ((A)(I  A1 )) = 0
det (A  I) = 0
 2x 1 0
จาก A =  0 1 3  เป็นเมทริกซ์สามเหลีย่ มบน
 
 0 0  x 
det (A) = (2x)(1)(x)
= 2x 2
 2x  1 1 0 
 0 1  1 3 
AI = 
 0 0  x  1
 2x  1 1 0 
=  0 2 3 

 0 0  x  1
det (A  I) = (2x  1)(2)(x 1)
0 = 2(2x  1)(x +1)

33 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
1
x = , 1 ้ x = 1)
(แต่ x > 0 ดังนัน
2 2
 
1 1 0
 
จะได้ A =  0 1 3
 1
0 0  
 2
 
1 0 0   1 1 0
 
3I  2A t = 3 0 1 0   2 1 1 0
0 0 1   1
0 3  
 2
3 0 0 2 0 0
= 0 3 0    2 2 0 
   
0 0 3 0 6 1
 1 0 0
=  2 5 0 
 
 0 6 4 
เนื่องจาก 3I  2A t เป็นเมทริกซ์สามเหลีย่ มล่าง
det (3I  2At ) = 1(5)(4) = 20
3
1  1
ดังนัน้ det  A 1 (3I  2A t )  = 1
  det (A ) det (3I  2A )
t

2  2
1 1 
 det (3I  2A )
t
= 
8  det A 
 
 
1 1 
= (20)
8   1 2 
 2  
 2 
= 5

34 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
33. กาหนดจุด A(3, 0), B(3 + 3, 1) และ C(a, b) โดยที่ C อยู่ในจตุภาคที่ 4 AB กับ AC ทา
มุมกัน 60o และ AC = 2 3 AB จงหาค่าของ a2 + b2

เฉลย ตอบ 93
 3  3  3  3
AB =   =  
 1 0  1 
AB = ( 3)2  12 = 2

แต่ AC  2 3 AB  2 3(2)  4 3
 a  3
AC =  b 
 
AC = (a  3)2 + b2 = 4 3
(a  3)2 + b2 = 48 ……….(1)
AB  AC = AB AC cos θ
3(a  3) + b = 2(4 3) cos 60o
1
3(a  3) + b = 8 3 
2
3(a  3) + b = 4 3
4 3b
a 3 = ……….(2)
3
4 3b
แทน a 3 = ใน (1) จะได้
3
2
 4 3b
  + b
2
= 48
 3 
48  8 3b + b 2
+ b2 = 48
3
48  8 3b + b2 + 3b2 = 144
4b  8 3b  96
2
= 0
8 3  192  4(4)(96)
b =
2(4)
= 4 3,  2 3
แทน b = 2 3 ใน (2) จะได้
4 32 3
a 3 = → a = 9
3
35 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั
์ พย์
ดังนัน้ a 2 + b2  92  (2 3)2  93
1
 1 
34. กาหนดให้ z = i   จงหาค่าของ 16z 2  8z + 3  8i
 i+2

เฉลย ตอบ 5
1
 1 
z = i  
 i+2
1
 i(i + 2)  1 
=  
 i+2 
1
 i 2 + 2i  1 
=  
 i+2 
1
 2 + 2i 
=  
 2+i 
2 + i 2  2i
= 
2 + 2i 2  2i
4  4i  2i + 2
=
44
2  6i
=
8
 2  6i   2  6i 
2

16z 2  8z + 3  8i = 16    8  + 3  8i
 8   8 
4  24i  36
=  2 + 6i + 3  8i
4
=  8 + 6i + 2 + 6i + 3  8i
=  3 + 4i
= (3)2  42
= 5

36 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
35. ข้อมูลชุดหนึ่ งมี 5 จานวน มีมธั ยฐาน = ฐานนิ ยม = 15 ค่าเฉลี่ยเลขคณิ ตเท่ากับ 16
ควอร์ไทล์ที่ 1 เท่ากับ 14 และพิ สยั เท่ากับ 7 จงหาความแปรปรวนของข้อมูลชุดนี้

เฉลย ตอบ 5.6


ให้ขอ้ มูลเรียงลาดับจากน้อยไปมากเป็น a, b, c, d, e
กาหนด Med = Mo = 15, x = 16, Q1 = 14, R = 7
1(5 +1)
ตาแหน่งของ Q1 =
4
= 1.5
กรณี 1 ข้อมูลเป็น a, b, 15, 15, e
a+b
= 14
2
a+b = 28 ……….(1)
a + b +15 +15 + e
= 16
5
28 +15 +15 + e = 80
e = 22
ea = 7
22  a = 7
a = 15
จาก (1) จะได้ 15 + b = 28
b = 13 (ซึง่ b < a ขัดแย้ง)
กรณี 2 ข้อมูลเป็น a, 15, 15, d, e
a +15
= 14
2
a = 13
ea = 7
e  13 = 7
e = 20
a +15 +15 + d + e
= 16
5
15 +15 +15 + d + 20 = 80
d = 17
จะได้ว่าข้อมูลชุดนี้ คือ 13, 15, 15, 17, 20
s 2
= x 2

 x2
N
132  152  152  172  202
=  162
5
169  225  225  289  400
=  256
5
= 5.6
37 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั
์ พย์
6 15 28 27
36. จงหาค่าของ x > 0 ที่ทาให้ 1 + + 2
+ 3
+ ... =
1 + x (1 + x) (1 + x) 4

เฉลย ตอบ 2
6 15 28 27
1+ + + +... = ……….(1)
1+ x (1+ x) (1+ x)3
2
4
15 28 27(1+ x)
(1) × (1+x); (1+ x) + 6 + + +... = ……….(2)
1+ x (1+ x) 2 4
9 13 27x
(2) – (1); (1+ x) + 5 + + +... = ……….(3)
1+ x (1+ x) 2 4
13 27x(1+ x)
(3) × (1+x); (1+ x)2 + 5(1+ x) + 9 + +... = ……….(4)
1+ x 4
2
4 27x
(4) – (3); (1+ x)2 + 4(1+ x) + 4 + +... =
1+ x 4
4(1+ x) 27x 2
(1+ x) 2 + =
1 4
1–
1+ x
4(1+ x) 2 27x 2
(1+ x) 2 + =
x 4
4x(1+ x) +16(1+ x)  27x3
2 2
= 0
4x(1+ 2x + x ) +16(1+ 2x + x )  27x
2 2 3
= 0
4x +8x + 4x +16 + 32x +16x  27x
2 3 2 3
= 0
23x3  24x 2  36x 16 = 0
(x  2)(23x 2 + 22x +8) = 0
x2 = 0 หรือ 23x 2 + 22x +8 = 0
22 ± 222  4(23)(8)
x = 2 หรือ x = ซึง่ ไม่ใช่จานวนจริง
2(23)
ดังนัน้ x=2

38 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
37. กาหนดให้ {an } เป็ นลาดับของจานวนจริ ง โดยที่
 1  1  1
a1 = 1 และ an = ( 1)n  log n  log n 1  ...  log 2  , n > 1
 2  3  n
n
 k 
bn =   4 
i=1  k + k + 1 
2

จงหาค่า c ที่ทาให้ lim(an + cbn ) = 4


n 

เฉลย ตอบ 10
 1  1  1
an = (1)n  log n  log n 1  ...  log 2 
 2  3  n
 1  1   1  1
 log   log   log  log 
(1) n  2 3 n 1 n
=   ...   
 log n   log (n  1)   log 3  log 2 
     
 log 2  log 3   log (n  1)  log n 
= (1)n    ...   
 log n  log (n  1)   log 3  log 2 
= (1)n (1)n 1
= (1)2n 1
= –1

n
 k 
bn =   k
k=1
4 
+ k +1 
2

n
 k 
=   (k 2 
 k +1)(k + k +1) 
2
k=1 
n
1  1 1 
=   2  k 2  k +1  k 2 + k +1  
k=1   
1 n  1 1 
=    2  2 
2 k=1  k  k +1 k + k +1  
1  1 1   1 1   1 1   1 1 
=     +    +    +... +  2  2 
2  1 3   3 7   7 13   n  n +1 n + n +1  
1 1 
= 1  2 
2  n + n +1 
 c 1 
lim 1+ 1  2 
n   2  n + n +1  
lim (a n + cbn ) =
n 

c
4 = 1+
2
c = 10

39 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
38. กาหนดให้ f : R  R f (x) = 0 ทุกๆ จานวนจริ ง ถ้า f(0) = 23 และ f(1) = 103 แล้ว จง
1
หาค่าของ  f(x)dx
0

เฉลย ตอบ 63
เนื่องจาก f (x) = 0
f (x) = c1
f(x) = c1x + c2
ถ้า f(0) = 23 ; f(0) = c1 (0) + c2 = 23
c2 = 23
ถ้า f(1) = 103 ; f(1) = c1 + c2
103 = c1 + 23
c1 = 80
จะได้ f(x) = 80x + 23
1 1

 f(x) dx
0
=  (80x + 23) dx
0
1
=  40x 2 + 23x 
0
= (40  23)  0
= 63

39. ให้ L เป็ นเส้นตรงที่ผ่านจุด (0, 10) และมีความชันมากกว่า –1 แต่น้อยกว่า 0 ถ้าพื้นที่ของ


อาณาบริ เวณที่ถกู ปิ ดล้อมด้วยเส้นตรง L กับแกน x จาก x = 0 ถึง x = 6 มีค่าเท่ากับ 51
ตารางหน่ วย แล้ว จงหาพื้นที่ของอาณาบริ เวณที่ถกู ปิ ดล้อมด้วยเส้นตรง L กับแกน x จาก
x = 0 ถึง x = 3

เฉลย ตอบ 27.75


ให้เส้นตรง L มีสมการ y = mx + c
10 = m(0) + c
c = 10
 y = mx +10
พืน้ ทีท่ ถ่ี ูกปิดล้อมด้วยเส้นตรง L กับแกน X จาก x=0 ถึง x=6 เท่ากับ 51 ตารางหน่วย
6
A =  (mx +10) dx
0
6
 mx 2 
51 =  +10x 
 2 0

40 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
51 = 18m + 60  0
m = –0.5
จะได้สมการเส้นตรง L คือ y =  0.5x +10
พืน้ ทีท่ ถ่ี ูกปิดล้อมด้วยเส้นตรง L กับแกน X จาก x=0 ถึง x=3 คือ
3
A =  (0.5x +10) dx
0
3
 0.5x 2 
=  +10x 
 2 0
= 2.25  30  0
= 27.75 ตารางหน่ วย

x
40. จงหาค่าของ lim
x0 3 x+8 + 3 x8

เฉลย ตอบ 6
x
lim
x 0 3 x +8 + 3 x 8
2 1 1 2
x (x + 8) 3  (x + 8) 3 (x  8) 3  (x  8) 3
= lim 1 1
 2 1 1 2
x 0
(x + 8) + (x  8)
3 3
(x + 8) 3  (x + 8) 3 (x  8) 3  (x  8) 3
2 1 1 2
x[(x + 8)  (x + 8) (x  8)  (x  8) ]
3 3 3 3
= lim
x 0 (x + 8)(x  8)
2 1 1 2
(x + 8)  (x + 8) (x  8)  (x  8)
3 3 3 3
= lim
x 0 2
2 1 1 2
8  8  (8)  (8)
3 3 3 3
=
2
4  2(2)  4
=
2
= 6

41 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
4 4
a  cos θ   sin θ  sin 2θ
41. กาหนดให้ a, b  R +
และ tan θ = ถ้า   +  = แล้ว จงหา
b  a   b  ab(a 2 + b 2 )
3 2
 3a   b 
ค่าของ   + 
 b   2a 

เฉลย ตอบ 27.25


a
จาก tan θ =
b
a
จะได้ sin θ =
a + b2
2

a b
และ cos θ =
a 2 + b2
b
4 4
 cos θ   sin θ  sin 2θ
  +  =
 a   b  ab(a 2 + b 2 )
b4 a4 2sin θ cos θ
+ =
a 4 (a 2 + b 2 ) 2 b 4 (a 2 + b 2 ) 2 ab(a 2 + b 2 )
 a  b 
2  2 
1  b   a  4 4
 a + b  a + b 
2 2 2
  +    =
(a + b 2 )2  a   b  
2
ab(a 2 + b 2 )

1  b  4  a  4  2ab
  +    =
(a 2 + b 2 )2  a   b   ab(a 2 + b 2 ) 2
4 4
b a
  +  = 2
a  b
a b
จะได้ = = 1
b a
3 2 2
 3a   b  1
ดังนัน้   +  = 3  
3

 b   2a  2
= 27  0.25
= 27.25

42 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
12 + 22 + 32 + ... + n 2 231
42. กาหนดให้ = จงหาค่าของ n
1(2) + 2(3) + 3(4) + ... + (n  1)n 228

เฉลย ตอบ 115


n
n(n +1)(2n +1)
จาก 12 + 22 + 32 +... + n 2 = i
i=1
2
=
6
จาก 1(2) + 2(3) + 3(4) +...+ (n 1)n = 0(1) +1(2) + 2(3) + 3(4) +...+ (n 1)n
n
=  (i  1)i
i=1
n n
=  i2   i
i=1 i=1
n(n +1)(2n +1) n(n +1)
= 
6 2
n(n +1)(2n +1)
12 + 22 + 32 +... + n 2 6
 =
1(2) + 2(3) + 3(4) +... + (n  1)n n(n +1)(2n +1) n(n +1)

6 2
6 231 2n +1
นา คูณตลอด =
n(n +1) 228 (2n +1)  3
231 2n +1
=
228 2n  2
462n  462 = 456n + 228
6n = 690
n = 115

43 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
43. กาหนดให้รปู สามเหลี่ยม ABC มีด้านตรงข้ามมุม A, B, C ยาว a, b, c ตามลาดับ และ
(sin A  sin B + sin C)(sin A + sin B + sin C) = 3sin A sin C จงหาค่ าของ

3cosec2 B + 3sec2 B

เฉลย ตอบ 4
sin A sin B sin C
จากกฎของไซน์ = =
a b c
a sin B
จะได้ sin A =
b
csin B
และ sin C =
b
(sin A  sin B + sin C)(sin A + sin B + sin C) = 3sin Asin C
[(sin A + sin C)  sin B][(sin A + sin C) + sin B] = 3sin Asin C
(sinA + sinC)2  (sinB)2 = 3sin Asin C
sin A + 2sin A cos A + sin C  sin B
2 2 2
= 3sin Asin C
 a sin B  c sin B 
2 2
 a sin B   a sin B  c sin B   c sin B 
  sin B
2
  + 2   + = 3  
 b   b  b   b   b  b 
a 2sin 2 B 2ac sin 2 B c2sin 2 B 3ac sin 2 B
2
+ 2
+ 2
 sin 2 B =
b b b b2
2 a 
2
2ac c2 3ac sin 2 B
sin B  2 + 2 + 2  1 =
b b b  b2
a 2 + 2ac + c2  b 2 3ac
=
b2 b2
b2 = a 2 + c2  ac
1
จาก b2 = a 2 + c2  2accosB จะได้ 2 cos B = 1 → cos B =
2

B
1
2
 2 
ดังนัน้ 3cosec2 B + 3sec2B = 3  + 3(2)
2

 3
= 4  12
= 4

44 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
44. สุ่มเลือกจานวนตัง้ แต่ 1 ถึง 15 มา 5 จานวน จงหาจานวนวิ ธีที่จะได้จานวนซึ่งมีผลรวมของ
ทัง้ 5 จานวนหารด้วย 3 ลงตัว

เฉลย ตอบ 1001


จานวนตัง้ แต่ 1 ถึง 15 เมือ่ นา 3 ไปหารจะมีเศษเป็ น 0, 1, 2
3, 6, 9, 12, 15 หารด้วย 3 เหลือเศษ 0
1, 4, 7, 10, 13 หารด้วย 3 เหลือเศษ 1
2, 5, 8, 11, 14 หารด้วย 3 เหลือเศษ 2
ดังนัน้ จานวนวิธที จ่ี ะได้จานวนทีม่ ผี ลรวมของทัง้ 5 จานวนหารด้วย 3 ลงตัว
 5  5  5   5  5  5   5  5  5   5  5  5   5  5  5 
=                        
 5  0  0   3  1  1   2  3  0   2  0  3   1  2  2 
 5  5  5   5  5  5 
         
 0  4  1   0  1  4 
= 1  250  100  100  500  25  25
= 1, 001

45. บัตร 8 ใบ ได้แก่ , ,,,,,, เลือกมา 4 ใบ เพื่อสร้างจานวนเต็ม 4 หลัก จะ


สร้างได้กี่จานวน

เฉลย ตอบ 204


กรณี 1 เลือกบัตร 4 ใบทีซ่ ้ากัน 2 คู่
 4  4!
เลือกได้    36 วิธ ี
 2  2!2!
กรณี 2 เลือกบัตร 4 ใบทีซ่ ้ากัน 1 คู่ และต่างคู่อกี 2 ใบ
 4  3  4!
เลือกได้     144 วิธ ี
 1  2  2!
กรณี 3 เลือกบัตร 4 ใบทีต่ ่างคู่กนั ทัง้ หมด
เลือกได้ 
4
 4!  24 วิธ ี
 4
ดังนัน้ จะสร้างจานวนเต็ม 4 หลักได้ 36  144  24  204 วิธ ี

45 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
46. สาหรับ 0  x  2π กาหนดให้ และ
A = {x log 2 ( 3cosx) = 1+ 2log 2 sinx}
B = {sec 3x  cos 2x x  } จงหาค่าของผลบวกของสมาชิ กทัง้ หมดที่อยู่ใน B

เฉลย ตอบ 1.5


log 2 (3cos x) = 1+ 2 log 2sin x
log 2 (3cos x) = log 2 2 + log 2sin 2 x
log 2 (3cos x) = log 2 (2sin 2 x)
3cos x = 2sin 2 x
3cos x = 2(1  cos2 x)
3cos x = 2  2cos2 x
2cos x  3cos x  2
2
= 0
(2cos x +1)(cos x  2) = 0
2cos x +1 = 0 หรือ cos x  2 = 0
1
cos x =  หรือ cos x = 2
2
1
แต่ 1  cos x  1 ดังนัน้ cos x = 
2
2π 4π
= ,
3 3
แต่ 3cos x > 0
cos x < 0
และ sin x > 0

ซึง่ มุม θ อยูใ่ นจตุภาคที่ 2 จะได้ x=
3
 2π 
ดังนัน้ A= 
3
2π 4π
ถ้า x= จะได้ sec 3x  cos 2x = sec 2π  cos
3 3
π
= 1  cos
3
1
= 1
2
3
=
2
= 1.5

46 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
47. คะแนนสอบของนักเรียน 500 คน กลุ่มหนึ่ ง มีการแจกแจงปกติ โดยมีค่าเฉลี่ยเลขคณิ ตและ
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 60 และ 6 คะแนน ตามลาดับ จงหาจานวนนักเรียนที่ได้
คะแนนมากกว่า 51 คะแนน แต่ น้อยกว่า 66 คะแนน
กาหนด z 0.5 1.0 1.5 2.0
A 0.191 0.341 0.433 0.477

เฉลย ตอบ 387


xx
z =
s
51  60
z1 = = 1.5
6
66  60
z2 = = 1
6

z
–1.5 1

A = 0.433+ 0.341
= 0.774
พืน้ ที่ 1 มีนกั เรียน 500 คน
พืน้ ที่ 0.774 มีนกั เรียน 0.774  500  387 คน
ดังนัน้ มีนกั เรียนทีไ่ ด้คะแนนต่ากว่า 51 คะแนน แต่น้อยกว่า 66 คะแนน อยู่ 387 คน

48. ข้อมูลชุดหนึ่ งมีการแจกแจงปกติ โดยมีมธั ยฐานเท่ากับ 12 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ ากับ 8


N
และ  (xi  10)2 = 5440 จงหาค่าของ N
i=1

เฉลย ตอบ 80
ข้อมูลมีการแจกแจงปกติ จะได้ x  Med  12
N

x 2

จาก s2 = i=1
 x2
N
N

x 2

82 = i=1
 122
N

47 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
N

x
i=1
2
= 208N
N N N N
จาก  (x
i=1
i  10) 2 =  x   20x 10
i=1
2
i
i=1
i
i=1
2

N N N
5,440 = x
i=1
2
i  20 x i 100
i=1 i=1
N
5,440 = x
i=1
2
i  20(Nx)  100N

5,440 = 208N  20(12N) +100N


5,440 = 68N
N = 80

49. กาหนดให้ f : N  N สอดคล้องกับสมการ f(x + y) = f(x) + f(y) + 4xy โดยที่ f(1) = 4 จง


หาค่าของ f(20)

เฉลย ตอบ 840


f (x  y) = f (x)  f (y)  4xy
แทน x  1, y  1 จะได้ f (2) = f (1)  f (1)  4
f (2) = 444
f (2) = 12
แทน x  2, y  2 จะได้ f (4) = f (2)  f (2)  4(2)(2)
= 12  12  16
= 40
แทน x  4, y  4 จะได้ f (8) = f (4)  f (4)  4(4)(4)
= 40  40  64
= 144
แทน x 8, y 8 จะได้ f (16) = f (8)  f (8)  4(8)(8)
= 144  144  256
= 544
แทน x  4 , y  16 จะได้ f (20) = f (4)  f (16)  4(4)(16)
= 40  544  256
= 840

48 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์
50. กาหนดให้ a(n, m) = a(n, m  1) + a(n  1, m  1)
a(1, 1) = 10, a(2, 1) = 5, a(4, 1) = 4 และ a(4, 4) = 50 จงหา a(3, 1)

เฉลย ตอบ 7
จาก a(n, m) = a(n, m 1)  a(n 1, m 1)
กาหนดให้ a(1, 1) = 10
a(2, 1) = 5
a(4, 1) = 4
a(4, 4) = 50
พิจารณาตาราง
m
1 2 3 4
n
1 10
2 5 5  10  15
3 x x 5 x  5  15  x  20
4 4 4x 4  x  x  5  2x  9 2x  9  x  20  50

จะพบความสัมพันธ์ว่า “ช่องทางขวาเกิดจากช่องทางซ้ายบวกกับช่องบนซ้าย”
จะได้ 2x  9  x  20 = 50
3x = 21
x = 7
ดังนัน้ a(3, 1)  x  7

49 สนับสนุ นโดย มูลนิธศิ กั ดิพรทรั


์ พย์

You might also like