Professional Documents
Culture Documents
ทรัพย์สินทางปัญญา
ทรัพย์สินทางปัญญา
ลักษณะทั่วไปของกฎหมายลิขสิทธิ์
1. ความหมายของกฎหมายลิขสิทธิ์
เปนไปตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 4
“ลิขสิทธิ์” หมายความวา สิทธิแตผูเดียวที่จะทําการใดๆ ตามพระราชบัญญัตินี้เกี่ยวกับงานที่ผูสรางสรรคไดทําขึ้น
สิทธิ ดังกลาวถือตามที่บัญญัติไวในมาตรา 15 คือ สิทธิแตผูเดียวที่จะทําซ้ําหรือดัดแปลง เผยแพรตอสาธารณชน ใหเชาตนฉบับ
หรือสํานางานโปรแกรมคอมพิวเตอรโสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร และสิ่งบันทึกเสียง ใหประโยชนอันเกิดจากลิขสิทธิ์แกผูอื่นใชสิทธิใน
ลิขสิทธิ์
***ลิขสิทธิ์แตกตางจากกรรมสิทธิ์ ดังนั้น ผูเปนเจาของกรรมสิทธิ์อาจจะไมใชผูเปนเจาของลิขสิทธิ์ก็ได
2. ลิขสิทธิ์เปนสิทธิที่ไมมีรูปราง = เปนสิทธิหวงกันของเจาของที่ไดรับความคุมครองตามกฎหมาย
3. การใหความคุมครองแกงานสรางสรรคอันมีลิขสิทธิ์เกิดขั้นทันที ที่สรางงานนั้นเสร็จหรือเปนการใหความคุมครองโดยอัตโนมัติ
(automatic protection) ไมมีแบบพิธีใดๆไมตองนํางานจดทะเบียนเพื่อใหเกิดลิขสิทธิ์
ประเภทของงานที่จะถือวามีลิขสิทธิ์
หลัก หากงานที่สรางสรรคขึ้นมา ไมสามารถจัดอยูในงานประเภทใดประเภทหนึ่งได งานนั้นยอมไมไดรับความคุมครองตามกฎหมาย
ลิขสิทธิ์
เวนแต จะไปเขาลักษณะของงานที่ไดรับความคุมครองตามกฎหมายอื่น เชน กฎหมายเครื่องหมายการคา, กฎหมายสิทธิบัตร
งานประเภทตางๆที่จะถือวามีลิขสิทธิ์คือ (มาตรา 6)
1. วรรณกรรม หมายถึง งานนิพนธที่ทําขึ้นทุกชนิด ไมวาจะแสดงออกมาโดยวิธีหรือรูปแบบใด เชน หนังสือ จุลสาร สิ่งเขียน
สิ่งพิมพ ปาฐกถา เทศนา คําปราศรัย สุนทรพจน และใหหมายความรวมถึงโปรแกรมคอมพิวเตอรดวย (มาตรา 4) ดู บทเฉพาะกาลใน
มาตรา 78 แหง พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ดวย
“โปรแกรมคอมพิวเตอร” หมายถึง คําสั่ง ชุดคําสั่ง หรือสิ่งอื่นใดที่นําไปใชกับเครื่องคอมพิวเตอรเพื่อใหเครื่องคอมพิวเตอรทํางาน
หรือเพื่อใหไดรับผลอยางหนึ่งอยางใด ทั้งนี้ไมวาจะเปนภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอรในลักษณะใด
2. งานนาฏกรรม
หมายความวา งานเกี่ยวกับการรํา เตน การทําทา หรือการแสดงที่ประกอบขึ้นเปนเรื่องราว และใหหมายความรวมถึงการแสดงโดย
วิธีใบดวย
หมายเหตุ - ตองเปนงานที่ประกอบขึ้นเปนเรื่องราวเทานั้น จึงจะไดรับความคุมครอง เชน
การเตนโขนในเรื่องรามเกียรติ์ # การเตนในดิสโกเธค
- “การแสดงที่ประกอบขึ้นเปนเรื่องราว” = การแสดงโดยสื่อความหมายเปน
เรื่องราว มิใชการแสดงละครหรือภาพยนตรตามบทบาท
3. ศิลปกรรม
หมายความวา งานอันมีลักษณะอยางใดอยางหนึ่งหรือหลายอยางดังตอไปนี้
(1) งานจิตรกรรม ไดแก งานสรางสรรครูปทรงที่ประกอบดวย เสน แสง สี หรือสิ่งอื่นอยางใดอยางหนึ่งหรือหลายอยางรวมกันลงบน
วัสดุอยางเดียวหรือหลายอยาง เชน การเขียนภาพ ภาพวาด
(2) งานประติมากรรม ไดแก งานสรางสรรครูปทรงที่เกี่ยวกับปริมาตรที่สัมผัสและจับตองได เชน การแกะสลักวัสดุเปนรูปตางๆ รูปปน
(3) งานภาพพิมพ ไดแก งานสรางสรรคภาพดวยกรรมวิธีทางการพิมพและหมายความรวมถึงแมพิมพหรือแบบพิมพที่ใชในการพิมพดวย
๑
(4) งานสถาปตยกรรม ไดแก งานออกแบบอาคารหรือสิ่งปลูกสราง งานออกแบบตกแตงภายในหรือภายนอก ตลอดจนบริเวณของ
อาคารหรือสิ่งปลูกสรางหรือการสรางสรรคหุนจําลองของอาคารหรือสิ่งปลูกสรง
(5) งานภาพถาย ไดแก งานสรางสรรคภาพที่เกิดจากการใชเครื่องมือบันทึกภาพ เชน ใชกลองถายภาพหรือกรรมวิธีใดๆ ที่ทําใหเกิด
ภาพดวย
(6) งานภาพประเภทแผนที่ โครงสราง ภาพราง หรือรูปทรงสามมิติที่เกี่ยวกับภูมิศาสตร ภูมิประเทศหรือวิทยาศาสตร
(7) งานศิลปประยุกต ไดแก งานที่นําเอางานตาม (1) ถึง (6) อยางใดอยางหนึ่งหรือหลายอยางรวมกันไปใชประโยชนอยางอื่น
นอกเหนือจากการชื่นชมในคุณคาของงานดังกลาวนั้น เชน นําไปใชสอยนําไปตกแตงวัสดุหรือสิ่งของหรือนําไปใชเพื่อประโยชนทาง
การคา เชนนํางานจิตรกรรมที่มีลวดลายพิมพลงบนพรม
*** งานอันลิขสิทธิ์ทั้ง 7 ลักษณะนี้มีสาระสําคัญอยูที่ตองเปนงานสรางสรรค สวนจะมีคุณคาทางศิลปะหรือไมนั้น มิใชสาระสําคัญ
ทั้งนี้ใหหมายความรวมถึงภาพถายและแผนผังของงานดังกลาวดวย
4. ดนตรีกรรม
หมายความวา งานเกี่ยวกับเพลงที่แตงขึ้นเพื่อบรรเลงหรือขับรอง ไมวาจะมีทํานองและคํารองหรือมีทํานองอยางเดียว และให
หมายความรวมถึงโนตเพลงหรือแผนภูมิเพลงที่ไดแยกและเรียบเรียงเสียงประสานแลว
5. โสตทัศนวัสดุ
หมายความวา งานอันประกอบดวยลําดับของภาพโดยบนทึกลงในวัสดุไมวาจะมีลักษณะใด อันสามารถที่จะนํามาเลนซ้ําไดอีก
โดยใชเครื่องมือที่จําเปนสําหรับการใชวัสดุนั้นและใหหมายความรวมถึงเสียงประกอบนั้นดวยถามี
6. งานภาพยนตร
หมายความวา โสตทัศนวัสดุอันประกอบดวยลําดับภาพ ซึ่งสามารถนําออกฉายตอเนื่องไดอยางภาพยนตรหรือสามารถบันทึกลง
บนวัสดุอื่นเพื่อนําออกฉายตอเนื่องไดอยางภาพยนตร และใหหมายความรวมถึงเสียงประกอบภาพยนตรนั้นดวย ถามี
*** งานภาพยนตร ตองประกอบดวย
1. ลําดับภาพที่สามารถนําออกฉายไดตอเนื่อง หรือ
2. สามารถบันทึกลงบนวัสดุอื่นเพื่อออกฉายอยางตอเนื่องได
7. สิ่งบันทึกเสียง
หมายความวา งานอันประกอบดวยลําดับของเสียงดนตรี เสียงการแสดง หรือเสียงอื่น โดยบันทึกลงในวัสดุไมวาจะมีลักษณะ
ใดๆ อันสามารถที่จะนํามาเลนซ้ําไดอีกโดยใชเครื่องมือที่จําเปนสําหรับการใชวัสดุนั้น แตทั้งนี้มิใหหมายความรวมถึงเสียงประกอบ
ภาพยนตรหรือเสียงประกอบโสตทัศนวัสดุอยางอื่น
8. งานแพรเสียงแพรภาพ
หมายความวา งานที่นําออกสูสาธารณชนโดยการแพรเสียงทางวิทยุกระจายเสียงการแพรเสียง และหรือภาพทางวิทยุ
โทรทัศนโดยวิธีอื่นอันคลายคลึงกัน
9. งานอื่นใดในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร หรือแผนกศิลปะ
สิทธิขางเคียง ) มี 3 ประเภทคือ
1. สิทธิของนักแสดง
2. สิทธิของผูผลิตสิ่งบันทึกเสียง
3. สิทธิขององคกรแพรเสียงแพรภาพ
การไดมาซึ่งลิขสิทธิ์
การจะไดมาซึ่งความคุมครองตมกฎหมายลิขสิทธิ์ของงานทั้ง 9 ประเภทนั้น ตองเห็นงานที่ไดสรางสรรคขึ้นภายใตเงื่อนไข ดังนี้
เงื่อนไขของการไดมาซึ่งลิขสิทธิ์ มี
1. เงื่อนไขทั่วไป 2. เงื่อนไขเฉพาะ 3. เงื่อนไขที่สรางขึ้นโดยคําพิพากษาของศาล
๒
1. เงื่อนไขทั่วไป
หลัก E , O
1) ตองเปนการแสดงออกซึ่งความคิด (Expression of idea) มิไดคุมครองความคิด
- เปนงานที่สรางสรรคตามที่บัญญัติไวในมาตรา6ซึ่งไดแสดงออกโดยวิธีหรือรูปแบบอยางหนึ่งอยางใด
- ลอกเลียนความคิดไมเปนการละเมิดลิขสิทธิ์
- ไมขยายคุมครองถึงวิธีการหรือเทคนิคที่ใชในการสรางงาน
2) งานทั้ง 9 ประเภทตองเกิดจากการริเริ่มสรางสรรคโดยตนเองของผูสรางสรรค (Originallty)
ขอสังเกต
- เกิดจากการริเริ่มขึ้นเองไมใชความคิดริเริ่มขึ้นเอง
- ไมเกิดจาการทําซ้ํา ลอกเลียน หรือดัดแปลงจากงานอันมีลิขสิทธิ์ของผูอื่นโดยไมไดรับอนุญาต (non-copying)
- งานอันมีลิขสิทธิ์จึงไมจําเปนตองงานใหม (novelly)
- คําวา “ ผูสรางสรรค ” = ผูทําหรือกอใหเกิดงานสรางสรรคอยางหนึ่งอยางใดที่เปนงานอันมีลิขสิทธิ์ตาม
พระราชบัญญัตินี้ดวยการริเริ่มของตนเอง โดยมิไดทําซ้ําหรือดัดแปลงจากอันมีลิขสิทธิ์ของผูอื่นโดยไมไดรับอนุญาต
- คําวา “ผูสรางสรรค” = ผูทําหรือกอใหเกิดงานสรางสรรคอยางใดอยางหนึ่งที่เปนงานอันมีลิขสิทธิ์ตาม
พระราชบัญญัตินี้ดวยการริเริ่มของตนเอง โดยมิไดทําซ้ําหรือดัดแปลงจากอันมีลิขสิทธิ์ของผูอื่นโดยไมไดรับอนุญาต
- งานสรางสรรคตองเปนงานที่เกิดจากความวิริยะอุตสาหะของผูสรางสรรคไดทุมเทสติปญญา กําลังความรู ความ
เชี่ยวชาญในการสรางงานนั้น
2. เงื่อนไขเฉพาะ
สัญชาติ + ดินแดน
หลัก หรือ
หลักกรณีที่ไมไดมีการโฆษณา + มีการโฆษณางานแลว
๓
บุคคลผูมีลิขสิทธิ์
หลัก โดยปกติ ลิขสิทธิ์ในงานที่สรางขึ้น จะเปนของผูสรางสรรคหรือผูสรางงานคนแรก
แต บางกรณีการไดมาซึ่งลิขสิทธือาจจะเปนของบุคคลอื่นที่มิใชผูสรางสรรคหรือผูสรางคนแรก คือ
1. นายจางตามสัญญาจางแรงนายจางตามสัญญาจางแรงงานอาจไดมาซึ่งลิขสิทธิ์ที่ลูกจางไดสรางสรรคขึ้นโดยทํา ความตกลงเปน
หนังสือกับลูกจาง (มาตรา 9)
2. ผูวาจางตามสัญญาจางทําของ
มารตรา 10 “งานที่ผูสรางสรรคไดสรางสรรคขึ้นโดยการรับจางบุคคลอื่นใหผูวาจางเปนผูมีลิขสิทธิ์ในงานนั้น เวนแต ผู
สรางสรรคและผูวาจางจะไดตกลงกันไวเปนอยางอื่น ”
3. ผูดัดแปลงงานอันมีลิขสิทธิ์ของผูอื่นโดยไดรับอนุญาต
มาตรา 11 บัญญัติใหการดัดแปลงงานอันมีลิขสิทธิ์โดยไดรับอนุญาตจากเจาของลิขสิทธิ์ใหผูที่ดัดแปลงมีลิขสิทธิ์ในงานที่
ดัดแปลงนั้น แตไมกระทบถึงสิทธิของเจาของลิขสิทธิ์ที่มีอยูในงานสรางสรรคเดิม = สิทธิของเจาของลิขสิทธิ์ในงานเดิมมีอยูตามมาตรา 15
อยางไรสิทธินั้นก็คงมีอยูเชนเดิม มิลดลงเนื่องจากการดัดแปลง
4. ผูรวบรวมหรือประกอบเขากับงานอันมีลิขสิทธิ์หรือขอมูลหรือสิ่งอื่นใด
ตามหลักเกณฑที่มาตรา 12 ซึ่งผูนั้นไดรวบรวมหรือประกอบเขากันโดยไดรับอนุญาตจากเจาของลิขสิทธิ์หรือนําเอาขอมูลหรือสิ่งอื่นใด
ตามที่กฎหมายบัญญัติมารวบรวมหรือประกอบเขากันโดยการคัดเลือกหรือจัดลําดับในลักษณะซึ่งมิไดลอกเลียนงานของบุคคลอื่น
*** งานรวบรวมหรือประกอบเขากันตามมาตรา 12 และงานดัดแปลงมาตรา 11 ผูสรางจะมีลิขสิทธิ์ในงานดังกลาวไดตองเปนตามเงื่อนไข
เฉพาะที่บัญญัติในมาตรา 8 ดวย
5. กระทรวง ทบวง กรม หรือหนวยงานอื่นใดของรัฐหรือของทองถิ่น
มาตรา 14 “ กระทรวง ทบวง กรม หรือหนวยงานอื่นใดของรัฐหรือของทองถิ่น ยอมมีลิขสิทธิ์ในงานที่ไดสรางสรรคขึ้นโดยการจาง
หรือตามคําสั่งหรือในความควบคุมของตน เวนแตจะไดตกลงกันเปนอยางอื่นเปนลายลักษณอักษร ”
นอกจากนั้นยังมีการไดลิขสิทธิ์โดยการรับโอนลิขสิทธิ์อีกดวย
ขอบเขตการคุมครองลิขสิทธิ์
พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ไดใหความคุมครองแกผูสรางสรรคหรือผูมีลิขสิทธิไ์ ว 2 ประการ คือ
1. สิทธิทางเศรษฐกิจ
2. สิทธิในธรรมสิทธิ์
สิทธิทางเศรษฐกิจ ถือเปนคาแหงลิขสิทธิ์ บัญญัติไวในมาตรา 15 โดยผูสรางสรรคหรือผูมีลิขสิทธิ์ยอมมีสิทธิแตผูเดียวในการ
(1) ทําซ้ําหรือดัดแปลง
(2) เผยแพรตอสาธารณชน
(3) การใหเชาตนฉบับหรือสําเนาโปรแกรมคอมพิวเตอร โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร และสิ่งบันทึกเสียง
(4) ใหประโยชนอันเกิดจากลิขสิทธิ์แกผูอื่น
(5) อนุญาตใหผูอื่นใชสิทธิตาม (1) (2) หรือ (3) โดยจะกําหนดเงื่อนไขอยางใดหรือไมก็ได แตเงื่อนไขดังกลาวจะกําหนดให
ลักษณะที่เปนการจํากัดการแขงขันโดยไมเปนธรรมไมได ฎีกา ที่ 8584/2542
สิทธิในธรรมสิทธิ์ (มุงคุมครองผูสรางสรรคโดยเฉพาะ)
เปนสิทธิใหแกผูสรางโดยมุงคุมครองชื่อเสียงและเกียรติคุณของผูสรางสรรคเพื่อมิใหบุคคลใดบิดเบือนหรือดัดแปลงงานจนกอใหเกิดความ
เสียหายตอชื่อเสียงของผูสรางสรรค (มาตรา 8 )
๔
การกระทําอันเปนการละเมิดลิขสิทธิ์
ละเมิด บุคคลอื่นกระทําการใดๆ ตามที่บัญญัติไวในมาตรา 15 โดยไมไดรับ อนุญาตจากเจาของลิขสิทธิ์
1. การละเมิดลิขสิทธิ์โดยตรง ( มาตรา 27-30 ) ( ลิขสิทธิ์ชั้นตน ) เปนการกระทําอยางหนึ่งอยางใดแกงานอันมีลิขสิทธิ์ตามมาตรา
15 โดยไมไดรับอนุญาต
(1) ทําซ้ําหรือดัดแปลง
(2) เผยแพรตอสาธารณชน
(3) การใหเชาตนฉบับหรือสําเนาโปรแกรมคอมพิวเตอร โสตทัศน ภาพยนตร และสิ่งบันทึกเสียง
2 . การละเมิดลิขสิทธิ์โดยออม ( ลิขสิทธิ์ชั้นรอง ) เปนการกระทําแกงานที่ไดทําขึ้น โดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผูอื่น = มาตรา 31
เปนการกระทําสืบเนื่องมาจากการละเมิดลิขสิทธิ์ชั้นตน
หลักเกณฑ
(1) ความรูหรือควรรูของผูกระทําวางานใดทําขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์หรือไม
(2) ความมุงหมายเพื่อหากําไรจากการกระทํานั้น
ขอยกเวนของการละเมิดลิขสิทธิ์
1. งานที่ไมไดรับความคุมครอง
2. งานที่สิ้นอายุการคุมครอง
3. งานอันไมอาจมีลิขสิทธิ์ได เชน ขาวประจําวัน ,รัฐธรรมนูญ ,กฎหมาย , ระเบียบ , ขอบังคับ ,ประกาศ , คําสั่ง , คําพิพากษา
4. มาตรา 32 - 43 เชน การกระทําเพื่อประโยชนในการศึกษามิใชหากําไร, การกระทําเพื่อใชงานสวนตัว, การกระทําเพื่อประโยชน
ของราชการ,การกระทําโดยไดรับรูความเปนเจาของลิขสิทธิ์ของผูอื่น
อายุแหงการคุมครองลิขสิทธิ์
หลักทั่วไป (มาตรา 19 ) อายุแหงการคุมครองลิขสิทธิ์สาํ หรับผูสรางสรรคซึ่งเปนบุคลธรรมดากําหนดไวตลอดอายุของผู
สรางสรรค และมีอยูตอไปอีกเปนเวลา 50 ป นับแตผูสรางสรรคงานถึงแกความตาย สวนกรณีผูสรางสรรคเปนนิติบุคคลใหลิขสิทธิ์มีอยู
50 ป นับแตไดสรางสรรคงานนั้นขึ้น และ กรณีผูสรางสรรครวมแหงการคุมครองลิขสิทธิ์จะมีอยูตลอดอายุของผูสรางสรรครวมและมีอยู
ตอไปอีกเปนเวลา 50 ป นับแตผูสรางสรรคคนสุดทายถึงแกความตาย และการนํางานอันมีลิขสิทธิ์ออกทําการโฆษณาภายหลังจากที่อายุ
แหงการคุมครองลิขสิทธิ์สิ้นสุดลงไมกอใหเกิดลิขสิทธิ์ในงานนั้นๆ ขึ้นใหม
การนับวันครบอายุแหงการคุมครองลิขสิทธิ์ (มาตรา 25 )
กฎหมายสิทธิบัตร ( patent )
๕
สิทธิบัตรเปนสิทธิที่กอตั้งขึ้นจากหนังสือสําคัญ
1. การประดิษฐ ( inventions )
ตามมาตรา 3 แหง พ.ร.บ.สิทธิบัตร ไดใหความหมายวา “ การคิดคนหรือคิดทําขึ้นอันเปนผลใหไดมาซึ่งผลิตภัณฑหรือกรรมวิธีใดขึ้น
ใหม หรือการกระทําใดๆที่ทําใหดีขึ้นซึ่งผลิตภัณฑหรือกรรมวิธี
การประดิษฐ การใชความคิด ( คิดคน + คนพบ )
สิ่งประดิษฐ ผลที่เกิดขึ้นจากการประดิษฐ
การประดิษฐ สามารถแยกออกได 2 ประเภท คือ
1. ผลิตภัณฑ ( product )
2. กรรมวิธี ( process )
(1) ผลิตภัณฑ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ คือ
- ผลิตภัณฑ คือ การคิดคนสิ่งที่สามารถใชประโยชนได เปนสิ่งที่มนุษยไดผลิตขึ้นหรือทําใหเกิดขึ้น มีรูปรางหรือมีคุณสมบัติ
ทางกายภาพ
- คําวา ผลิตภัณฑ เปนผลที่ไดจากการประดิษฐ กฎหมายคุมครองลักษณะภายในของผลิตภัณฑ + ออกแบบผลิตภัณฑ ซึ่ง
คุมครองลักษณะภายนอก
- กฎหมายไมกําหนดประเภทของลิขสิทธิ์ ดังนั้น จะเปนอะไรก็ไดที่ไมตองหามตามมาตรา 9 และมีคุณสมบัติตามมาตรา 5
(2) กรรมวิธี
ถือเปนการประดิษฐในลักษณะที่เกี่ยวกับการกระทํา,วิธีการวาทําอยางไรจึงจะไดผลิตภัณฑทั้งนี้ มาตรา 3 ไดใหความหมาย
กรรมวิธีวา หมายถึง การคิดคนหรือคิดทําขึ้นในสวนที่เกี่ยวกับการกระทําหรือการปฎิบัติตอวัตถุตางๆ
กรรมวิธีในกฎหมายสิทธิบัตรมี 3 ลักษณะ คือ
1. กรรมวิธีการผลิต
2. กรรมวิธีในการรักษาคุณภาพหรือปรับปรุงคุณภาพหรือการเก็บรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ
3. การใชกรรมวิธี
*** - กรรมวิธีตองเกี่ยวกับผลิตภัณฑ ถากรรมวิธีที่ไมเกี่ยวกับผลิตภัณฑไมใชการประดิษฐ
- การจดทะเบียนสิทธิบัตรผลิตภัณฑใหความคุมครองมากกวากรรมวิธี
การออกแบบผลิตภัณฑ
การออกแบบ = เปนการใชความคิด การคิดคนหรือคิดทําขึ้น ( เปนการกระทําของมนุษย )
แบบผลิตภัณฑ = (ม. 3) หมายความวา รูปรางของผลิตภัณฑหรือองคประกอบของลวดลายหรือสีของผลิตภัณฑอันมีลักษณะพิเศษ
แบบผลิตภัณฑมี 2 ลักษณะ
1. รูปรางของผลิตภัณฑ
2. องคประกอบของลวดลายหรือสีของผลิตภัณฑ
สรุป การประดิษฐ = การคิดคนดวยผลิตภัณฑ เพื่อใหเกิดประโยชน
การออกแบบผลิตภัณฑ = มุงเนนที่รูปรางลักษณะองคประกอบภายนอก เพื่อดึงดูดความสนใจ
ลักษณะของการประดิษฐหรือการออกแบบผลิตภัณฑที่ขอรับสิทธิบัตรได
การประดิษฐที่ขอรับสิทธิบัตรได มีลักษณะ 4 ประการ คือ
1. เปนการประดิษฐขึ้นใหม (novelty) ( มาตรา 6 )
2. มีขั้นตอนการประดิษฐที่สูงขึ้น (inventive step) ( มาตรา 7 )
3. สามารถนํามาประยุกตในทางอุตสาหกรรมได ( มาตรา 8 )
4. ไมตองหามตามกฎหมาย ( มาตรา 9 )
๖
1. การประดิษฐขึ้นใหม คือ การประดิษฐที่ไมใชงานที่ปรากฏอยูแลว
*** ไมคํานึงวาผูประดิษฐจะรูหรือไมวาสิ่งนั้นมีอยูแลว
งานใดบาง ? ที่ถือวาเปนงานที่ปรากฏอยูแลว ( มาตรา 6 วรรค 2 (1) – (5) )
(1) การประดิษฐที่มีหรือไมแพรหลายอยูแลวในราชอาณาจักรกอนวันขอรับสิทธิบัตร
หลัก - การประดิษฐใดที่แพรหลายแลวถือวาไมใหม
- ถาแพรหลายกอนวันขอรับสิทธิบัตรไมใหม
- สาธารณชนสามารถที่จะใชประโยชนหรือเขาถึงได
(2) การประดิษฐที่ไดรับการเปดเผยสาระสําคัญหรือรายละเอียดในเอกสารหรือสิ่งพิมพที่ไดเผยแพรอยูแลวไมวาในหรือนอก
ราชอาณาจักรกอนวันขอรับสิทธิบัตร
หลัก - มีขอยกเวนอยูในวรรคสุดทายของมาตรา 6
1. เปดเผยไมชอบ
2. เปดเผยโดยผูประดิษฐ
3. เปดเผยในงานแสดงตอสาธารณชน
(3) การประดิษฐที่ไดรับสิทธิบัตรหรืออนุสิทธิบัตรแลวไมวาในหรือนอกราชอาณาจักรกอนวันขอรับสิทธิบัตร
(4) การประดิษฐที่มีผูขอรับสิทธิบัตรหรืออนุสิทธิบัตรไวแลวนอกราชอาณาจักรเปนเวลาเกินกวา 18 เดือน กอนวันขอรับสิทธิบัตร
ในประเทศ
(5) กรณีที่มีการขอรับสิทธิบัตรหรืออนุสิทธิบัตรไวแลวไมวาในหรือนอกราชอาณาจักรและไดประกาศโฆษณาแลวกอนวันขอรับ
สิทธิบัตรในราชอาณาจักร
*** หลักความใหมดูที่ขอเท็จจริง ไมดูเจตนา ไมดูความเขาใจ
2. เปนการประดิษฐที่มีชั้นการประดิษฐสูงขึ้น
หลัก มาตรา 7 การประดิษฐที่มีขึ้นการประดิษฐสูงขึ้น = การประดิษฐที่ไมเปนที่ประจักษโดยงาย + แกบุคคลที่มีความชํานาญใน
ระดับสามัญสําหรับงานประเภทนั้นเปนการประดิษฐที่มีพัฒนาการที่สูงขึ้น
ประจักษโดยงาย = สามารถทําใหเกิดขึ้นโดยงาย สามารถคิดคนโดยงาย
v
เนนที่การใชความสามารถ มิใช ความยุงยากในการประดิษฐ
๗
4. ไมเปนการประดิษฐที่ตองหามตามกฎหมาย
หลัก มาตรา 9 บัญญัติถึงการประดิษฐที่ไมไดรับความคุมครองตามกฎหมายสิทธิบัตร
1. จุชีพและสวนประกอบสวนใดสวนหนึ่งของจุลชีพที่มีอยูตามธรรมชาติ สัตว พืช หรือสารสกัดจากสัตว หรือพืช
2. กฎเกณฑและทฤษฎีทางวิทยาศาสตรและคณิตศาสตร
3. ระบบขอมูลสําหรับการทํางานของเครื่องคอมพิวเตอร
4. วิธีการวินิจฉัย บําบัด หรือรักษาโรคมนุษยหรือสัตว
5. การประดิษฐที่ขัดตอความสงบเรียบรอยหรือศีลธรรมอันดี อนามัยและสวัสดิ์ภาพของประชาชน
การออกแบบผลิตภัณฑที่ขอรับสิทธิบัตรได
ยังไมเคยปรากฏมากอน
หลัก (มาตรา 56,57) 1. ตองออกแบบผลิตภัณฑใหม
2. เปนการออกแบบผลิตภัณฑเพื่อ แตกตางจากเดิม
อุตสาหกรรมหรือหัตถกรรม เทานั้น
* การออกแบบผลิตภัณฑตอไปนี้ ไมถือเปนการออกแบบผลิตภัณฑใหม*
(1) แบบผลิตภัณฑที่มีหรือใชแพรหลายอยูแลวในราชอาณาจักรกอนวันขอรับสิทธิบัตร ( เหมือนมาตรา 6 (1) )
(2) แบบผลิตภัณฑที่ไดมีการเปดเผยภาพ สาระสําคัญ หรือรายละเอียดในเอกสารหรือสิ่งพิมพที่ไดเผยแพรอยูแลว ไมวาในหรือ
นอกราชอาณาจักรกอนวันขอรับสิทธิบัตร ( เหมือนมาตรา 6 (2) )
*** การเปดเผยการออกแบบไมมีขอยกเวน
(3) แบบผลิตภัณฑที่ไดมีการประกาศโฆษณาแลว กอนวันขอรับสิทธิบัตร
(4) แบบผลิตภัณฑที่คลายกับแบบผลิตภัณฑดังกลาวใน (1) หรือ (2) หรือ (3) จนเห็นไดวาเปนการเลียนแบบ
การขอรับสิทธิบัตร
สิทธิบัตร เปนสิทธิที่กอตั้งขึ้นจากการรับจดทะเบียน ทําใหถาไมจดทะเบียนก็ไมกอใหเกิดสิทธิบัตร จึงไมมีสิทธิใดๆทั้งสิ้น ดู
ตาม มาตรา 17 และ 59
สําคัญ คือ ขอถือสิทธิ เปนสวนที่แสดงถึงขอบเขตของสิทธิและหนาที่ของบุคคลผูทรงสิทธิบัตร
บุคคลผูมีสิทธิขอรับสิทธิบัตร
แบงออกเปน 3 กลุมบุคคล คือ
1. ผูประดิษฐหรือผูออกแบบผลิตภัณฑ ( มาตรา 10 , 15 )
ผูประดิษฐ คือ คนที่เปนเจาของความคิดที่ความคิดในการกอใหเกิดผลิตภัณฑหรือกรรมวิธีนั้นขึ้น
*** ผูประดิษฐ คนที่คิดไมใชคนที่ทํา
2. นายจางหรือผูวาจาง ( มาตรา 11 และ 12 )
จุดตางของลิขสิทธิ์ = สิทธิบัตรนายจางและผูวาจางเปนผูมีสิทธิขอรับบัตรทั้งที่ไมใชผูประดิษฐ
ดังนั้น ถาเปน ขอ 1. ตองไมเปน ขอ 2.
3. ผูรับโอนสิทธิขอรับสิทธิบัตร ซึ่งมี 2 ประเภท
( 1 ) รับโอนสิทธิโดยทางนิติกรรม
( 2 ) รับโอนโดยทางอื่น เชน รับมรดกโดยทายาทโดยธรรม
*** - ผูขอรับสิทธิบัตรตองมีคุณสมบัติตาม มาตรา 14 ดวย
- ถามีผูขอรับหลายคน ใครยื่นกอนไดกอน ( ดูวันที่ยื่นเปนเกณฑ )
๘
สิทธิของผูทรงสิทธิบัตร
หลัก มาตรา 36 และ มาตรา 63
คือ สิทธิแตเพียงผูเดียว ในการแสวงหาประโยชนจากการประดิษฐหรือออก
แบบที่มีการจดทะเบียนสิทธิบัตรไว
สรุป มีสิทธิ ผลิต ใช ขาย และ นําเขา
ทําให ( มาตรา 85 ) ผูใดกระทําการตามมาตรา 36 หรือมาตรา 63 โดยไมไดรับอนุญาตจากผูทรงสิทธิบัตร ถือวาเปนการกระทํา
ความผิดอันเปนความผิดอาญาและเปนละเมิดในการเรียกใหใชคาเสียหาย
สวนการละเมิดสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑนั้น ถือตามหลักที่วา ผูใดก็ตามที่ไมใชผูทรงสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ ยอม
ไมมีสิทธิใชแบบผลิตภัณฑตามสิทธิบัตรหรือขายหรือมีไวขาย ซึ่งผลิตภัณฑดังกลาวได เวนแต เพื่อประโยชนในการศึกษาและวิจัย
ขอยกเวน การละเมิดสิทธิบัตรการประดิษฐ ( มาตรา 36 ว.2 ) ที่สําคัญ เชน
( 1 ) การผลิตผลิตภัณฑหรือใชกรรมวิธีตามสิทธิบัตร เพื่อประโยชนในการศึกษา คนควา ทดลองหรือวิจัย
( 2 ) กรณีที่เปนการใช การขยาย มีไวเพื่อขาย เสนอขาย หรือนําเขามาในราชอาณาจักรซึ่งผลิตภัณฑตามสิทธิบัตร หากผูทรง
สิทธิบัตรไดอนุญาตหรือยินยอมใหผลิตหรือขายผลิตภัณฑดังกลาวแลว
อายุสิทธิบัตร
1. อายุสิทธิบัตรการประดิษฐ มีอายุ 20 ป นับตั้งแตวันยื่นขอรับสิทธิบัตร
2. อนุสิทธิบัตรมีอายุ 6 ป นับตั้งแตวันขอรับสิทธิบัตร บวกครั้งละ 2 ป
3. สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑมีอายุ 10 ป นับตั้งแตวันขอสิทธิบัตรตออายุไมได
อนุสิทธิบัตร
หลัก 1. เปนการคุมครองการประดิษฐ ( ผลิตภัณฑและกรรมวิธี )
2. ตองเปนการประดิษฐที่ใหม + สามารถประยุกตในทางอุตสาหกรรมได (ไมตองมีขั้น การประดิษฐสูงขึ้น )
เครื่องหมายการคา (Trademark )
ตาม พ.ร.บ. เครื่องหมายการคา พ.ศ. 2534 แกไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.เครื่องหมายการคา (ฉบับที่ )พ.ศ. 2543
“เครื่องหมายการคา” หมายความวา เครื่องหมายที่ใชหรือจะใชเปนที่หมายเกี่ยวของกับสินคา เพื่อแสดงวาสินคาที่ใช
เครื่องหมายของเจาของเครื่องหมายการคานั้นแตกตางกับสินคาที่ใชเครื่องหมายการคาของบุคคลอื่น
ประเด็นศึกษาเกี่ยวกับเครื่องหมายการคา
1. ลักษณะทั่วไป
2. การไดมาซึ่งสิทธิในเครื่องหมายการคา
3. การละเมิดเครื่องหมายการคา
ลักษณะทั่วไป
- เพื่อคุมครองประโยชนและชื่อเสียงในทางการคา
- บงชี้วาสินคาเปนของใคร
- แยกแยะสินคาใหมีความตางในตัวเจาของ
*** หากสังเกตจากบทนิยามความหมายของเครื่องหมายการคาทําใหทราบวาเครื่องหมายการคาจะมีลักษณะ คือ
๙
(1) เปนเครื่องหมาย ซึ่งหมายความวา “ ภาพถาย ภาพวาด ภาพประดิษฐ ตรา ชื่อ คํา ตัวหนังสือ ตัวเลข ลายมือชื่อ กลุม
ของสี (เพิ่มขึ้น) รูปรางหรือรูปทรงของวัตถุ เพิ่มขึ้นมา หรือสิ่งเหลานี้อยางหนึ่งอยางใดหรือหมายอยางรวมกัน ”
(2) ตองใชหรือจะใชเปนที่หมายหรือเกี่ยวของกับสินคา (รวมทั้งเครื่องหมายบริการดวย)
(3) เพื่อแสดงวาสินคานั้นเปนสินคาของเจาของเครื่องหมายการคา = แสดงใหรูวาเปนสินคาของใคร?
แตกตางจากคนอื่น ตองใชกับ สินคา
การไดมาซึ่งสิทธิในเครื่องหมายการคา
ประกอบดวย 2 ประการ คือ
1. โดยการจดทะเบียน + 2. โดยการใช
1. การไดสิทธิในเครื่องหมายการคาโดยการจดทะเบียน
ตามมาตรา 6 เครื่องหมายการคาอันพึงรับจดทะเบียนไดตองประกอยดวยลักษณะ ดังนี้
(1) เปนเครื่องหมายการคาที่มีลักษณะบงเฉพาะ
(2) เปนเครื่องหมายการคาที่ไมมีลักษณะตองหามตามพระราชบัญญัตินี้
(3) ไมเปนเครื่องหมายการคาที่เหมือนหรือคลายกับเครื่องหมายการคาที่บุคคลอื่นไดจดทะเบียนไวแลว
หลักกอนตั้งสิทธิ 1. บงเฉพาะ + 2. ไมตองหาม + ไมซ้ําใคร ซึ่งตองจดทะเบียน
เครื่องหมายการคาที่มีลักษณะบงเฉพาะ
มาตรา 7 “ลักษณะบงเฉพาะ” หมายความวา เครื่องหมายการคาอันมีลักษณะทําใหประชาชนหรือผูใชสินคานั้นทราบและ
เขาใจไดวาสินคาที่ใชเครื่องหมายนั้นแตกตางไปจากสินคาอื่น
หลัก อยูที่เกณฑการใช กลาวคือ เมื่อมีเครื่องหมายแลวไดใชหรือประสงคจะใชกับสินคาใดแลว ตองมีความแตกตางดวย ซึ่งมี
2 ประการ คือ
(1) ลักษณะบงเฉพาะในตัวเอง มีมาตั้งแตสรางเครื่องหมายนั้นมา
(2) ลักษณะบงเฉพาะที่เกิดขึ้นภายหลังดวยการใช
1. ลักษณะของเครื่องหมายการคาที่มีลักษณะบงเฉพาะ
มาตรา 7 วรรค 2 กําหนดใหถาเครื่องหมายการคาที่มีหรือประกอบไปดวยลักษณะอยางหนึ่งอยางใดอันเปนสาระสําคัญดังที่
ระบุใน (1) – (6) ใหถือวามีลักษณะบงเฉพาะ
1. ชื่อตัว ชื่อสกุลของบุคคลธรรมดา ที่ไมเปนชื่อสกุลตามความหมายอันเขาใจกันไดธรรมดา ชื่อนิติบุคคลหรือซึ่งในทางการคา
ซึ่งแสดงโดยลักษณะพิเศษ และไมเล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินคาโดยตรง
2. คําหรือขอความอันไมไดเล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินคานั้นโดยตรงและไมเปนชื่อทางภูมิศาสตรที่รัฐมนตรีประกาศ
กําหนด
3. กลุมของสีที่แสดงโดยลักษณะพิเศษ ตัวหนังสือ ตัวเลข หรือคําที่ประดิษฐขึ้น
4. ลายมือชื่อของผูขอจดทะเบียนหรือของเจาของเดิมของกิจกรรมผูขอจดทะเบียบหรือลายมื่อชื่อของบุคคลอื่นโดยไดรับอนุญาต
จากบุคคลนั้นแลว
5. ภาพของผูขอจดทะเบียนหรือของบุคคลอื่นโดยไดรับอนุญษตจากบุคคลนั้นแลว
6. ภาพที่ประดิษฐขึ้น
*** ในเรื่องลักษณะบงเฉพาะ หากไมมีลักษณะบงเฉพาะดังกลาว มีโอกาสทางเดียวที่จะจดทะเบียนได คือ เขาเหตุมาตรา 7
วรรคสุดทาย เทานั้น
๑๐
2. เปนเครื่องหมายการคาที่ไมมีลักษณะตองหามตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 8 บัญญัติวา เครื่องหมายการคาที่มีหรือประกอบดวยลักษณะอยางหนึ่งอยางใดดังระบุในมาตรา 8 (1)-8 (13) หามมิใหจด
ทะเบียน เชน ตราแผนดิน ธงชาติ เครื่องหมายที่ขัดตอความสงบเรียบรอยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
สําคัญ มาตรา 8 (10) เครื่องหมายการคาที่เหมือนกับเครื่องหมายที่มีชื่อเสียงแพรหมายทั่วไปหรือคลายกับเครื่องหมายดังกลาวจน
อาจทําใหสาธารณชนสับสนหลงผิดในความเปนเจาของหรือแหลงกําเนิดของสินคา
3. เครื่องหมายการคานั้นตองไมเหมือนหรือคลายกับเครื่องหมายการคาของผูอื่นที่ไดจดทะเบียนแลว
การไดมาซึ่งสิทธิในเครื่องหมายการคาโดยการใช
เจาของเครื่องหมายการคาที่ไมจดทะเบียนอาจไดสิทธิมาโดยการใช = การนําเครื่องหมายการคาไปติดไวกับสินคาหรือไดมี
การโฆษณาโดยใชเครื่องหมายการคาใหเปนที่ประจักษแกสาธารณชน
ตารางเปรียบเทียบระหวางสิทธิของเจาของเครื่องหมายการคาจดทะเบียนและสิทธิของเจาของเครื่องหมายการคาไมจดทะเบียน
เจาของเครื่องหมายการคาจดทะเบียน เจาของเครื่องหมายการคาไมจดทะเบียน
1. สิทธิตาม ม. 44 1. สิทธิตาม ม. 46 วรรคแรก
- สิทธิแตผูเดียวในการที่จะใช - มาตรา 46 วรรคแรก
- เรียกรองคาเสียหาย -X
- ขอใหศาลหามจําเลยจดทะเบียนเครื่องหมาย - ขอใหศาลหามจําเลยใชเครื่องหมายการคาตอไป
การคา ไมได
- ใหจําเลยเก็บสินคาที่ใชเครื่องหมายการคา -X
2. สิทธิฟองคดีอาญา 2. สิทธิฟองคดีอาญา
1) ป.อ. มาตรา 272 (1), 273,274, 275 1) ป.อ. มาตรา 272 (1),272
2) พ.ร.บ. เครื่องหมายการคา ม. 108 109 110 2) X
3. สิทธิฟองใหเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการคาตาม 3. 3
มาตรา 67 โดยอางวาตนมีสิทธิดีกวา
4. สิทธิที่จะใชเครื่องหมายการคาที่จดทะเบียนไวทุกสี 4. มาตรา 38 วรรคสอง
( มาตรา 45 )
5. สิทธิขอเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการคาเมื่อสิ่ง 5. 3
สามัญในการคาขาย ( มาตรา 66 )
6.สิทธิที่จะเรียกคาเสียหายฐานลวงขาย 6. 3
ขอสังเกต จากตารางเปรียบเทียบ
1. คําพิพากษาฎีกาที่284/2539 การจําหนายสินคาภายใตเครื่องหมายการคาที่ตนไมไดผลิตเองถือเปนการใชเครื่องหมายการคาแลว
2. ขอยกเวนของมาตรา 44 ตามมาตรา 27
3. คําพิพากษาฎีกาที่ 306-307/2505 ความผิดตามมาตรา 273 สําเร็จเมื่อปลอมเครื่องหมายการคา แมจะยังไมไดใชกับสินคา (
มาตรา 108 , ป.อ.มาตรา 273 )
4. คําพิพากษาฎีกาที่ 3799/2538 โจทกเปนเจาของเครื่องหมายการคาที่แทจริงและเคยใชเครื่องหมายการคากับสินคาในไทย
กอนที่จําเลยจะนําไปจดทะเบียนเครื่องหมายการคาและความสุจริตจําเลย วินิจฉัยวาไมจําเปนที่โจทกจะตองสงสินคาเขามาจําหนายหรือมี
ตัวแทนจําหนายในไทยกอน
๑๑
5. เรื่องการลวงขาย
เจาของเครื่องหมายการคา ( ฟองลวงขาย ) ผูอื่น
นําเครื่องหมายการคาจดทะเบียน สําหรับสินคาจําพวกหนึ่งไปใชกันสินคาตางจําพวกกับที่ไดจดทะเบียนไว
การจดทะเบียน
หลัก การจดทะเบียนเปนการกอตั้งสิทธิ ถือเปนสิทธิในทางนิเสธที่เราปฏิเสธสิทธิของผูอื่น = เมื่อจดทะเบียนแลวนอื่นไมมีสิทธิ
เลย ยกเวนไปฟองรองกัน Ex. คนที่เปนเจาของอยูกอนแลวมีสิทธิดีกวา
ดู มาตรา 9 จดทะเบียนตางจําพวกกันไมได , มาตรา 10 , มาตรา 29 ,30
ผลของการการจดทะเบียน
มาตรา 44 บุคคลผูใดไดจดทะเบียนเครื่องหมายการคาไว กฎหมายใหถือวาบุคคลนั้นเปนเจาของ มีสิทธิแตผูเดียวที่จะใช
เครื่องหมายการคานั้นกับสินคาของตน
การละเมิดสิทธิเครื่องหมายการคา
อางถึง มาตรา 44 สิทธิแตผูเดียวของเจาของเครื่องหมายการคาที่จดทะเบียนละเมิด = บุคคลใดนําเครื่องหมายการคาของบุคคล
อื่น ( มาตรา 44 ) มาใชกับสินคาตนโดยไมชอบดวยกฎหมาย
การเยียวยา 1) พ.ร.บ. เครื่องหมายการคาฯ มาตรา 44 , มาตรา 46 เรื่องการลวงขาย
2) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 271 , 272 , 273 , 274 , 275
3) ฟองละเมิดทางแพง
แยกลักษณะการละเมิด
1. เครื่องหมายการคาจดทะเบียน + สินคาจําพวกเดียวกัน
2. เครื่องหมายการคาจดทะเบียน + สินคาตางจําพวกหรือตางประเภทกัน
3. เครื่องหมายการคาที่ไมจดทะเบียน + สินคาจําพวกเดียวกันหรือตางจําพวกกัน
การโอนเครื่องหมายการคา มี 2 ประเภท
1. โอนเครื่องหมายการคาตามสัญญา ( หรือใหเปนเจาของรวม )
2. โอนทางมรดก
** ทั้ง 1 และ 2 ตองจดทะเบียน **
อายุเครื่องหมายการคา
หลัก ถาจดทะเบียนถูกตอง คุมครอง 1 ป นับแตวันที่จดทะเบียน
*** ตราบใดที่ตออายุ อายุการคุมครองยอมมีอยูอยางไมจํากัด
สรุป ถาจดทะเบียนแลวสามารถใชไดตลอดตราบที่ไดใชและตออายุ
การเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการคา
เพิกถอนโดยนายทะเบียนเครื่องหมายการคา ( เหตุรองขอ, ฝาฝน, เลิกตั้งสํานักงาน)
1) เจาของเครื่องหมายการคารองขอเพิกถอนเอง
2) เจาของเครื่องหมายการคาฝาฝนไมปฏิบัติตามเงื่อนไข หรือขอจํากัดที่นายทะเบียนกําหนดในการรับจดทะเบียนเครื่องหมายการคา
3) เจาของเครื่องหมายการการคาจดทะเบียนหรือตัวแทนเลิกตั้งสํานักงานหรือสถานที่ที่ไดจดทะเบียนไวในประเทศไทย
๑๒
เพิกถอนโดยคณะกรรมการเครื่องหมายการคา ( เหตุไมบง , ตองหาม, ขัดความสงบ,ใชไมสุจริต)
1) ผูมีสวนไดเสียหรือนายทะเบียนแสดงไดวาขณะที่จดทะเบียน เครื่องหมายการคานั้นไมมีลักษณะบงเฉพาะหรือมีลักษณะ
ตองหามตามมาตรา 61
2) เครื่องหมายการคามีลักษณะขัดตอความสงบเรียบรอย หรือเพราะเจาของเครื่องหมายการคานั้นมิไดตั้งใจโดยสุจริตที่จะใช
เครื่องหมายการคานั้นเลย
การเพิกถอนโดยสั่งศาล ( มีสิทธิดีกวา , สิ่งสามัญ )
1) ผูมีสวนไดเสียแสดงวามีเครื่องหมายการคาดีกวาผูที่ไดจดทะเบียนเปนเจาของเครื่องหมายการคา
2) ไดกลายเปนสิ่งที่ใชกันสามัญในทางการคาและสูญเสียความหมายของการเปนเครื่องหมายการคา
เครื่องหมายรวม
คือ เครื่องหมายการคาหรือเครื่องหมายบริการ เพียงแตวาเครื่องหมายรวมจะใชอยูในกลุมบุคคลที่ระบุชื่อจดทะเบียนไวใชรวมกัน
โดยผูเปนเจาของเครื่องหมายรวมไมตองทําสัญญาอนุญาตใหใชเครื่องหมายการคา บุคคลที่อยูในกลุมคือบุคคลที่ระบุชื่อและจดทะเบียนไว
รวมกัน
ลิขสิทธิ์คณะกรรมการเนติบัณฑิตฯ สมัยที่ 58
๑๓