Professional Documents
Culture Documents
3.systematic Review and Meta-Analysis Thai
3.systematic Review and Meta-Analysis Thai
1 ภาควิชารังสี วท
ิ ยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล, 2 ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
และ 3 ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกัน คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
1
Richardson et al. The well-built clinical question: a key to evidence-based decisions.
Counsell C. Formulating questions and locating primary studies for inclusion in systematic
reviews. Ann Intern Med 1997;127:380-7
การเลือกการศึกษาชนิดปฐมภูมิเป็ นการนําส่วนประกอบแต่ละส่วนที่สาํ คัญของคําถามวิจยั มาขยายความ ร่ วมกับ
การกําหนดรู ปแบบของการศึกษาเพื่อให้ได้เกณฑ์คดั เข้า (Inclusion criteria) ที่จาํ เพาะกับการศึกษาที่ตรงกับ
คําถามวิจยั
ตัวอย่างการกําหนดเกณฑ์คดั เข้า สําหรับคําถามวิจยั ตัวอย่างข้างต้นเกี่ยวกับการรักษาโรคมะเร็ งตับ
1. ประชากร: การศึกษาชนิ ดปฐมภูมิท่ีเลือกนั้นต้องทําการศึกษาในกลุ่มประชากรที่ตอ้ งการ ข้อควรปฏิบตั ิ
ในการกําหนดกลุ่มประชากรมี 2 ประการ คือ
1.1. กลุ่มประชากรนี้ตอ้ งได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะที่ตอ้ งการศึกษาอย่างชัดเจนในกรณี ได้แก่
1.1.1. ผูป้ ่ วยโรคมะเร็ งตับที่วนิ ิจฉัยโดยทางพยาธิวทิ ยา หรื อ
1.1.2. ผูป้ ่ วยโรคมะเร็ งตับที่วน ิ ิจฉัยโดยการตรวจทางภาพ (Imaging study เช่น
Ultrasonography, CT หรื อ MRI scan) ร่ วมกับระดับ alpha
fetoprotein ในเลือด
1.2. อาจเพิ่มข้อกําหนดที่สนใจศึกษาอีก ข้อกําหนดนี้ ตอ้ งมีเหตุผลรองรับว่าผูป้ ่ วยกลุ่มนี้แตกต่างจาก
กลุ่มอื่น เช่น อายุ เพศ ลักษณะของโรค ในกรณี ได้แก่
1.2.1. ผูป้ ่ วยโรคมะเร็ งตับที่ไม่สามารถรักษาโดยการผ่าตัด
2. การรักษา: การศึกษาปฐมภูมิน้ น ั ต้องเป็ นการศึกษาการรักษาที่ตอ้ งการ อาจรวมเป็ นประเภทของการ
รักษากว้างๆขึ้นอยูก่ บั คําถามวิจยั เช่นยากลุ่ม beta blocker ทุกชนิด การผ่าตัดเปลี่ยนเส้นเลือดหัวใจ
ทุกวิธี เป็ นต้น ตัวอย่างในกรณี น้ ีคือ
2.1. Transarterial therapy ซึ่ งเป็ นการรักษาหลักที่มีการรักษาที่แตกต่างในรายละเอียดปลีกย่อย
อีก ในตัวอย่างได้ กําหนดเกณฑ์คดั เข้าให้คลอบคุมทุกการรักษาที่เกี่ยวข้อง คือ
2.1.1. Transarterial chemoembolization หรื อ
2.1.2. Transarterial embolization หรื อ
2.1.3. Transarterial chemotherapy
2.2. ควรต้องมีการกําหนดการรักษาอื่นๆที่ผป
ู ้ ่ วยได้รับ (co-intervention)ด้วยเพือ่ ป้ องกัน
ผลลัพธ์ท่ีไม่ได้เกิดจากการรักษาที่สนใจจริ ง ยกตัวอย่างกรณี น้ ีได้แก่
2.2.1. หากมีการรักษาอื่นร่ วมด้วยผูป้ ่ วยทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควมคุมต้องมีโอกาส
ได้รับเท่าๆกัน (การรักษาร่ วมเช่นยาแก้ปวด อาหารเสริ ม เป็ นต้น)
3. การรักษาที่ตอ้ งการเปรี ยบเทียบ: การศึกษาปฐมภูมิน้ น ั ต้องมีการรักษาของกลุ่มควบคุมที่ตอ้ งการเปรี ยบเทียบ
ตามที่กาํ หนด ในตัวอย่างนี้ได้แก่
3.1. กลุ่มเปรี ยบเทียบต้องได้รับการรักษาตามอาการเท่านั้น
4. ผลลัพธ์: คือผลของการรักษาที่ตอ้ งการเปรี ยบเทียบ การศึกษาปฐมภูมิน้ น ั ต้องมีศึกษาผลลัพธ์ท่ีสาํ คัญใน
การตัดสิ นใจการรักษาเสมอ โดยผลลัพท์น้ ีไม่จาํ เป็ นต้องเป็ นผลลัพธ์เดียว ตัวอย่างกรณี ได้แก่
4.1. อัตราการรอดชีวติ 1 ปี หลังจากเริ่ มรับการรักษา (one-year survival)
4.2. การตอบสนองต่อการรักษาของก้อนมะเร็ ง (tumor response)
4.3. ผลแทรกซ้อนของการรักษา (adverse effect)
5. รู ปแบบของการศึกษา: เนื่ องจากรู ปแบบการศึกษาชนิ ด Randomized Controlled Trial (RCT)
เป็ นรู ปแบบการศึกษาที่มีอคิตินอ้ ยทีส่ ุดจึงเป็ นที่ยอมรับว่าการทํา systematic review ควรรวบรวมข้อมูล
จากการศึกษาปฐมภูมิรูปแบบนี้ อย่างไรก็ดีเนื่องจาก RCT ไม่สามารถใช้กบั การศึกษาปั จจัยเสี่ ยงหรื อ
สาเหตุของโรคได้จากข้อจํากัดทางจริ ยธรรม การทํา systematic review เพือ่ ศึกษาสาเหตุและปั จจัย
เสี่ ยงของโรคจึงอาจจําเป็ นต้องรวบรวมข้อมูลจากการศึกษปฐมภูมิชนิด Observational studies เช่น
การศึกษาประเภท case-control, cohort หรื อ cross-sectional ซึ่งเป็ นการศึกษาที่มีอคิติได้
ค่อนข้างมาก ดังนั้นการทํางานวิจยั และการแปลผล systematic review ประเภทนี้จึงจําเป็ นต้องทําด้วย
ความระมัดระวังเป็ นอย่างสูง
ตัวอย่างในกรณี น้ ี ได้แก่
5.1. รู ปแบบการศึกษาต้องเป็ น Randomized Controlled Trial เท่านั้น
ขนาดของผลการรั กษา
รู ปที่ 1: Funnel Plot รู ปสมมาตรแสดงถึง Meta-Analysis ที่อาจไม่มี Publication Bias
ขนาดของผลการรักษา
- ความสําคัญ
ขั้นตอนนี้มีส่วนสําคัญทําให้ systematic review ต่างจาก narrative หรื อ traditional review
อย่างชัดเจน โดย narrative review มีข้ นั ตอนการนําการศึกษามาอ้างที่ไม่เป็ นระบบ แต่เป็ นไปตามความพึง
พอใจของผูท้ าํ การทบทวน โดยเฉพาะบางครั้งก็มีความลําเอียง เลือกเฉพาะการศึกษาที่นาํ มาสนับสนุน
แนวความคิดของตนเท่านั้น ในทางตรงกันข้าม systematic review มีข้ นั ตอนการเลือกการศึกษาที่เป็ นระบบ
ซึ่งจะทําให้ตดั ความลําเอียงดังกล่าวออกไป ในขั้นตอนแรกคือ การค้นหาการศึกษา จะได้กล่าวในส่วนนี้ ส่วนอีก
ขั้นตอนหนึ่งคือการเลือกการศึกษาจะได้กล่าวในตอนต่อไป
อนึ่งผูเ้ ขียนจะได้แนะนําการค้นหาเป็ น 2 แบบคือแบบง่าย ๆ ซึ่งน่าจะประยุกต์ใช้กบั การทบทวนวรรณกรรม
เพือ่ การนําไปใช้ทางคลินิกแบบง่าย ๆ หรื อการทบทวนวรรณกรรมแบบไม่เป็ นทางการ และแบบโดยละเอียด ซึ่ง
น่าจะเหมาะกับการทบทวนวรรณกรรมเพือ่ การศึกษาแบบเป็ นทางการ
และจึงแสดงผลได้ดงั รู ป
o การค้นหาการทบทวนวรรณกรรมโดยละเอียด ได้แก่ การค้นหาใน PUBMED รวมกับ
ฐานข้อมูลมาตรฐาน หรื อฐานข้อมูลพิเศษอื่น ดังตัวอย่างข้างล่างนี้
- ฐานข้อมูลพิเศษ Evidence Based Medicine Reviews จากห้องสมุด
รพ.ศิริราช
-
- ฐานข้อมูลมาตรฐาน และใช้ methodology filter ได้แก่ Search Strategies
ของ Shojania KG และของ Haynes B
Shojania KG, Bero LA. Taking advantage of the explosion of systematic reviews: an
efficient MEDLINE search strategy. Eff Clin Pract. 2001 Jul-Aug;4(4):157-62.
1. (review or review, tutorial or review, academic).pt.
2. (medline or medlars or Embase).ti,ab,sh.
3. (scisearch or psychinfo or psycinfo).ti,ab,sh.
4. (psychlit or psyclit).ti,ab,sh.
5. cinahl.ti,ab,sh.
6. (hand search$ or manual search$).tw.
7. (electronic database$ or bibliographic database$).tw.
8. (pooling or pooled analys$).tw.
9. (peto or der simonian or dersimonian or fixed effect or mantel haenszel).tw.
10. or/2-9
11. 1 and 10
12. meta-analysis.pt.
13. meta-analysis.sh.
14. (meta-analy$ or metaanaly$ or meta analy$).tw,sh.
15. (systematic$ adj25 review$).tw,sh.
16. (systematic$ adj25 overview$).tw,sh.
17. (quantitative$ adj25 review$).tw,sh.
18. (quantitative$ adj25 overview$).tw,sh.
19. (methodologic$ adj25 review$).tw,sh.
20. (methodologic$ adj25 overview$).tw,sh.
21. (integrative research review$ or research integration).tw,sh.
22. (quantitative$ adj25 synthesi$).tw,sh.
23. or/12-22
24. 11 or 23
25. (random$ or placebo$).tw,sh,pt.
26. (clinical trial or controlled clinical trial).pt.
27. double blind.tw,sh,pt.
28. 25 or 26 or 27
29. 24 and 28
30. 1 or 23
31. exp asthma/
32. 24 and 31
33. 29 and 31
34. 30 and 31
Haynes RB, Wilczynski N, McKibbon KA, Walker CJ, Sinclair JC. J Am Med
Inform Assoc. 1994 Nov-Dec;1(6):447-58. Developing optimal search strategies
for detecting clinically sound studies in MEDLINE. ดังแสดงผลข้างล่าง
ทั้งนี้ methodology filter นอกจาก MEDLINE ดังกล่าวยังสามารถปรับไปใช้ฐานข้อมูล
- การค้ นหาการศึกษาปฐมภูมิ
1
หากยังไม่ชดั เจนหรื อมีความคลุมเครื อว่าเรื่องดังกล่าวมีคณ
ุ สมบัติครบตามเกณฑ์การเลือกงานวิจยั มาทําการทบทวนหรื อไม่ก็ยงั
ไม่ควรตัดรายชื่องานวิจยั ดังกล่าวออกจากบัญชีในขันนี ้ ้
แม้วา่ จะได้มีการกําหนดเกณฑ์ในการคัดเลือกงานวิจยั เพือ่ นํามา review ไว้ล่วงหน้าอย่างชัดเจนแล้ว
การที่จะเลือกหรื อไม่เลือกงานวิจยั เรื่ องใดเรื่ องหนึ่งยังคงขึ้นอยูก่ บั การตัดสิ นใจของผูท้ ่ีทาํ หน้าที่คดั เลือกงานวิจยั
ผูค้ ดั เลือกงานวิจยั คนหนึ่งอาจเลือกงานวิจยั ชุดหนึ่งมาทําการ review ในขณะที่หากให้ผคู ้ ดั เลือกงานวิจยั อีกคน
หนึ่งทําหน้าที่คดั เลือกงานวิจยั เรื่ องเดียวกันนั้นโดยใช้เกณฑ์การคัดเลือกเดียวกันอาจจะได้งานวิจยั อีกชุดหนึ่งซึ่งมี
งานวิจยั หลายเรื่ องไม่ซ้ าํ กับที่ผคู ้ ดั เลือกคนแรกเลือกไว้ ผลการคัดเลือกงานวิจยั (ซึ่งย่อมจะมีผลต่อผลของ
systematic review ด้วย) จึงไม่น่าเชื่อถือเพราะขึ้นอยูก่ บั ว่าใครเป็ นผูค้ ดั เลือกงานวิจยั การเกิดกรณี เช่นนี้ ถือ
เป็ นอคติ (bias) ชนิดหนึ่ง หากมีขอ้ มูลที่แสดงให้เห็นว่าไม่วา่ จะให้ใครทําหน้าที่คดั เลือกงานวิจยั ก็จะได้
งานวิจยั ชุดเดียวกันหรื อมีความใกล้เคียงกันมากมาทํา review ผลการคัดเลือกงานวิจยั นั้นก็ยอ่ มมีความ
น่าเชื่อถือ ดังนั้นในการทํา systematic review ควรมีการประเมินความน่าเชื่อถือ (reliability หรื อ
reproducibility) ของกระบวนการคัดเลือกงานวิจยั เพือ่ นํามา review ด้วย วิธีการดังกล่าวทําได้โดยให้มีผู ้
คัดเลือกงานวิจยั อย่างน้อย 2 คนทําหน้าที่คดั เลือกงานวิจยั โดยต่างคนต่างคัดเลือกอย่างเป็ นอิสระต่อกัน (คือผู ้
คัดเลือกแต่ละคนไม่ทราบว่าอีกคนหนึ่งเลือกงานวิจยั เรื่ องใดบ้าง) โดยใช้เกณฑ์ในการคัดเลือกเดียวกัน แล้วนํา
ผลที่ได้จากการคัดเลือกของแต่ละคนมาเปรี ยบเทียบกันและคํานวณหาค่าดัชนีท่ีแสดงถึงแนวโน้มในการตัดสิ นใจ
เหมือนกันที่ไม่ได้เกิดจากความบังเอิญที่เรี ยกว่า chance corrected agreement โดยใช้ค่าสถิติ kappa (κ)
สมมติวา่ หลังจากค้นหางานวิจยั ที่อาจเกี่ยวข้องแล้วพบว่าได้รายชื่องานวิจยั ที่อาจเกี่ยวข้อง 100 เรื่ อง
นํามาให้ผคู ้ ดั เลือกงานวิจยั 2 คนทําการคัดเลือกอย่างเป็ นอิสระต่อกัน ผูค้ ดั เลือกคนที่ 1 คัดเลือกงานวิจยั เพือ่
นํามา review เป็ นจํานวน 20 เรื่ อง ส่วนผูค้ ดั เลือกคนที่ 2 คัดเลือกไว้ 25 เรื่ อง โดยมีเรื่ องที่ผคู ้ ดั เลือกทั้ง 2
คนคัดเลือกไว้เหมือนกันอยู่ 18 เรื่ อง ดังแสดงในตารางที่ 2
ตารางที่ 2 ผลการคัดเลือกงานวิจยั เพือ่ นํามาทํา review ของผู้คดั เลือก 2 คนโดยต่ างคนต่ างคัดเลือก
ผูค้ ดั เลือกคนที่ 1
เลือก ไม่เลือก รวม
เลือก 18 7 25
a b a+b
ผูค้ ดั เลือกคนที่ 2
ไม่เลือก 2 73 75
c d c+d
รวม 20 80 100
a+c b+d n
ตารางที่ 3 ผลการคัดเลือกงานวิจยั เพือ่ นํามาทํา review ของผู้คดั เลือก 2 คนโดยต่ างคนต่ างคัดเลือก ในกรณีที่
ผู้คดั เลือกทั้ง 2 คนไม่ มแี นวโน้ มในการตัดสินใจเหมือนกันเลย
ผูค้ ดั เลือกคนที่ 1
เลือก ไม่เลือก รวม
เลือก 5 20 25
ผูค้ ดั เลือกคนที่ 2
ไม่เลือก 15 60 75
รวม 20 80 100
2
ดัดแปลงจาก Guyatt H, Rennie D, editors. The Evidence-Based Midicine working Group. Users’ guides to the medical
literature: A manual for evidence-based medicine clinical practice. AMA Press, 2002.
2. ประชากรในกลุ่มที่มีและไม่มีปัจจัยที่สนใจศึกษามีลกั ษณะอื่น ๆ ที่สาํ คัญที่มีผลต่อการเกิดโรคหรื อการ
พยากรณ์โรคเหมือนหรื อใกล้เคียงกัน หากลักษณะดังกล่าวมีความแตกต่างกันระหว่างประชากรทั้ง 2
กลุ่มจะต้องมีการใช้เทคนิคทางสถิติในการปรับลักษณะดังกล่าวในการวิเคราะห์ขอ้ มูล
3. ประชากรมีโอกาสที่จะได้รับการประเมินปั จจัยที่สนใจศึกษา (exposure assessment) เหมือน ๆ กัน
ด้วยวิธีการที่เหมือนกัน ข้อนี้จะมีความสําคัญมากในกรณี การศึกษาชนิด case-control study
4. ประชากรได้รับการประเมินการเกิดโรคหรื อการพยากรณ์โรค (outcome assessment) ด้วยวิธีการที่
เหมือนกัน
5. มีการติดตามประชากรในการศึกษาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ (completeness of follow-up)
3
Jadad AR, Moore RA, Carroll D, Jenklinson C, Reynolds DJM, Gavaghan DJ, McQuay HJ. Assessing the quality of
reports of randomized clinical trials: Is blinding necessary?. Controlled Clinical Trials 1996; 17: 1 – 12.
4
Chalmers TC, Smith H Jr, Blackburn B, Silverman B, Schroeder B, Reitman D, Ambroz A. A method for assessing
the quality of a randomized control trial. Controlled Clinical Trials 1981; 2: 31 – 49.
3. ข้อมูลเกี่ยวกับประชากรที่ทาํ การศึกษาวิจยั เช่นสัดส่ วนของเพศ อายุเฉลี่ย เกณฑ์การวินิจฉัยโรค ระดับ
ความรุ นแรงของโรค ระยะเวลาที่เป็ นโรค ลักษณะทางประชากรอื่น ๆ ที่มีความสําคัญต่อการเกิดผลลัพธ์ท่ี
สนใจ จํานวนประชากรในกลุ่มศึกษาแต่ละกลุ่ม
4. ข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการที่สนใจในการศึกษาวิจยั เช่นขนาดและวิธีการให้ยาที่ศึกษาวิจยั ระยะเวลาที่ให้ยา
มาตรการที่ใช้ในกลุ่มควบคุม เช่นยาหลอก
5. ข้อมูลเกี่ยวกับผลลัพธ์ท่ีสนใจในการศึกษาวิจยั เช่นวิธีการและเวลาในการประเมินผลลัพธ์ จํานวน
ประชากรที่เกิดผลลัพธ์ในกลุ่มศึกษาแต่ละกลุ่มซึ่งควรบันทึกข้อมูลเป็ นข้อมูลดิบ ตัวอย่างเช่นในกลุ่มศึกษา
150 คนมีจาํ นวนคนที่เกิดผลลัพธ์ 30 คนหรื อเท่ากับ 20 % ในกรณี น้ ีควรบันทึกข้อมูลการเกิดผลลัพธ์
30 คนจากประชากร 150 คน ไม่ควรบันทึกข้อมูลเป็ นการเกิดผลลัพธ์ 20 % อีกประการหนึ่ งในการ
บันทึกข้อมูลผลลัพธ์ที่สนใจใน systematic review ที่เกี่ยวกับมาตรการในการรักษาหรื อป้ องกันโรคนั้น
ควรบันทึกข้อมูลตามหลัก intention-to-treat principle คือบันทึกข้อมูลผลลัพธ์ของผูป้ ่ วยหรื อ
subject ตามกลุ่มมาตรการที่เขาได้รับการสุ่ มเลือกโดยไม่ตอ้ งคํานึ งว่าเขาจะได้รับมาตรการนั้นจริ ง ๆ
หรื อไม่ ตัวอย่างเช่นงานวิจยั เปรี ยบเทียบการรักษาโรคด้วยการผ่าตัดกับการไม่ผา่ ตัดโดยมีผลลัพธ์ท่ีสนใจ
คือการเสี ยชีวติ หากผูป้ ่ วยรายหนึ่งได้รับการสุ่มเลือกให้อยูใ่ นกลุ่มที่ได้รับการผ่าตัดแต่ปรากฏว่าผูป้ ่ วยราย
นั้นไม่ได้รับการผ่าตัดเนื่องจากเสี ยชีวติ ก่อนถึงกําหนดผ่าตัด ควรบันทึกข้อมูลให้ผปู ้ ่ วยรายนี้อยูใ่ นกลุ่ม
ผ่าตัดแม้วา่ ในรายงานวิจยั ผูว้ จิ ยั อาจตัดข้อมูลผูป้ ่ วยรายนี้ออกจากการวิเคราะห์ขอ้ มูล (ซึ่งเป็ นสิ่ งที่ไม่ควร
กระทํา)
ก่อนการเก็บข้อมูลควรออกแบบฟอร์มสําหรับเก็บข้อมูลให้ครบถ้วนสมบูรณ์และทําการทดสอบการเก็บ
ข้อมูลโดยใช้แบบฟอร์มดังกล่าวก่อนเพือ่ หาข้อบกพร่ องและทําการแก้ไขตามความเหมาะสม ในแบบฟอร์มการ
เก็บข้อมูลอาจมีส่วนหนึ่งสําหรับบันทึกข้อมูลที่ไม่ชดั เจนหรื อขาดหายไปเพือ่ จะได้ทาํ การติดต่อสอบถามจาก
ผูว้ จิ ยั โดยตรงอีกครั้งในภายหลัง
ในการบันทึกข้อมูลควรมีผบู ้ นั ทึกข้อมูลอย่างน้อย 2 คนทําการบันทึกข้อมูลอย่างเป็ นอิสระต่อกันแล้ว
นําผลที่ได้มาเปรี ยบเทียบกันเพือ่ หลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ในการบันทึกข้อมูล หากมีความแตกต่าง
ของข้อมูลที่ต่างคนบันทึกมาได้ก็ควรมีการตรวจสอบว่าข้อมูลที่ถกู ต้องเป็ นอย่างไร แต่ในกรณี การบันทึกข้อมูล
นี้ไม่มีความจําเป็ นต้องแสดงถึง reliability หรื อ reproducibility ของกระบวนการบันทึกข้อมูลเนื่องจาก
เป็ นกระบวนการที่ไม่ได้ใช้การตัดสิ นใจของผูบ้ นั ทึกข้อมูล ความแตกต่างของการบันทึกข้อมูลที่เกิดขึ้นมักเกิด
จากการมองข้ามหรื อการดูตวั เลขผิดไปมากกว่าที่จะเกิดจากการตัดสิ นใจที่ไม่เหมือนกัน
• กําหนดวิธีการเปรียบเทียบผลการศึกษา
โดยทัว่ ไปกําหนดจากชนิดของข้อมูลเป็ นหลักได้แก่
o Dichotomous or binary data
Risk ratio (RR) หรื อเรี ยก relative risk
Odds ratio (OR)
Risk diferrence (RD) หรื อเรี ยก absolute risk reduction
(ARR)
Number needed to treat (NNT)
*ตารางจาก Cochrane reviewer’s handbook
o หลักการของ Meta-analysis
Meta-analysis อาศัยหลักการคํานวณเป็ น 2 ขั้นตอนคือ ขั้นตอนแรกคํานวณ treatment effect
ของแต่ละการศึกษาจากข้อมูลที่กาํ หนด และขั้นตอนที่สองคือการคํานวณผลรวมของ treatment effect
(pooled results) ทั้งนี้โดยการให้น้ าํ หนักของแต่ละการศึกษาไม่เท่ากัน
แล้ว click ขวาอีกครั้งที่ “one year overall survival” เพือ่ เลือกชนิดของข้อมูล ณ ที่น้ ีคือ
dichotomous data ( death/alive at one year) อนึ่ งข้อมูล ณ ตรงนี้ได้จากกระบวนการ
Data extraction จากข้อมูลจํานวนผูป้ ่ วยตายโดยตรง หรื อการใช้ plot จาก survival curve
หลังจากนั้นเป็ นการใส่รายละเอียดของ outcome ดังกล่าว ได้แก่ description ณ ที่น้ ีคือ “TACE
TAE TAC vs palliative care” , statistical โดย ณ ที่น้ ีเลือก Relative risk, 95%
confidence interval และ Random effect model สําหรับในส่ วนของ graph ใช้ค่าเดิมที่ต้ งั
ไว้โดยตัวโปรแกรม
หลังจากนั้น click ขวาที่ title นั้น “TACE TAE TAC vs palliative care” และเลือก
การศึกษาจาก “included studies” และลงข้อมูลแต่ละการศึกษาแล้ว save และ close ดังในรู ป
สําหรับขั้นตอนต่อไปคือการวิเคราะห์เริ่ มโดยการ click toolbar ที่ “Analysis”
• Heterogeneity
o Heterogeneity คืออะไร
Heterogeneity คือ ความแตกต่างของการศึกษาที่นาํ มารวมกัน ทั้งนี้อาจเนื่ องจากหลายสาเหตุได้แก่
ประการแรก อาจมาจาก ประชากร การรักษา และการวัดผลการรักษา ซึ่งเรี ยกว่า clinical diversity หรื อ
clinical heterogeneity ประการที่สอง อาจมาจากระเบียบวิธีวจิ ยั ของแต่ละการศึกษา ซึ่งเรี ยกว่า
methodological diversity หรื อ methodological heterogeneity ส่ วนคําว่า statistical
heterogeneity นั้นเป็ นผลจากการทดสอบด้วยสถิติ ซึ่ งจะเป็ นผลมาจากของทั้งสองปั จจัยข้างต้น อย่างไรก็ตาม
เป็ นที่ทราบกันดีวา่ การทดสอบนี้มี power ตํ่า และจึงใช้ค่า p value ที่ 0.1 แทนที่จะใช้ท่ี 0.05 เหมือนค่า p
โดยทัว่ ไป และดังนั้นจึงไม่สามารถอิง heterogeneity แต่เพียงค่าสถิติเท่านั้น องค์ความรู ้ในการประกอบการ
พิจารณาและการใช้วจิ ารณญาณ ทั้ง clinical heterogeneity และ methodological heterogeneity จึง
เป็ นส่วนสําคัญอย่างยิง่ ที่จะขาดไม่ได้
o ทําอย่างไรเมื่อพบ Statistical heterogeneity
ดังที่กล่าวข้างต้นก่อนการทํา Meta-analysis จะต้องคาดการณ์หรื อใช้วจิ ารณญาณว่าน่าจะมี
heterogeneity หรื อไม่ ถ้ามีน่าจะเกิดจากสาเหตุใด และตั้งสมมติฐานนั้น ๆ ไว้ เพือ่ เป็ นการเตรี ยมการไว้
ล่วงหน้า (Priori hypothesis) ซึ่งจะลดความลําเอียงจากการเห็นข้อมูลแล้วทําการวิเคราะห์หาสาเหตุ (Post
hoc analysis) เมื่อพบ Statistical heterogeneity อาจพิจารณาดังนี้ คือ
• ตรวจสอบการลงข้อมูลอีกครั้ง ว่าลงถูกต้องหรื อไม่
• ตรวจสอบและพิจารณาอีกครั้งถึง clinical heterogeneity และ
methodological heterogeneity ว่ายังสมควรใช้ meta-analysis
หรื อไม่
• ค้นหาสาเหตุของ heterogeneity โดยการทํา subgroup analysis
หรื อสถิติข้ นั สูงคือ meta-regression
• Ignore heterogeneity โดยการใช้ Fixed effect model ซึ่ ง
โดยทัว่ ไปไม่แนะนําให้กระทํา
• ใช้ Random effect model เพือ่ คํานึงถึงการคาดการณ์วา่ จะมี
heterogeneity อย่างไรก็ตามไม่แนะนําให้ใช้เพียงอย่างเดียว และเป็ น
การทดแทนโดยมิได้หาสาเหตุของ heterogeneity ยกเว้นไม่สามารถ
หาสาเหตุต่าง ๆ ได้
• เปลี่ยน effect measures โดยเฉพาะอาจเป็ นสาเหตุของการรวม
continous outcome โดยใช้มาตรวัดคนละแบบ
• ตัดบางการศึกษาออกไป อย่างไรก็ตามจะต้องระมัดระวังอย่างยิง่ และ
อธิบายให้ได้วา่ การศึกษาที่ตดั ออกไปนั้นเพราะอะไร ต่างจากการศึกษา
อื่นอย่างไร และจะทําให้เกิดความลําเอียงในการตัดการศึกษานั้นออก
หรื อไม่
เอกสารอ้ างอิง
Alderson P, Green S, Higgins JPT, editors. Cochrane Reviewers’ Handbook 4.2.2
[updated March 2004]. In: The Cochrane Library, Issue 1, 2004. Chichester, UK:
John Wiley & Sons, Ltd.
การนําเสนอผลการทบทวนวรรณกรรม
(Presenting Results of Systematic Reviews)
การนําเสนอผลการทบทวนวรรณกรรมถือเป็ นส่วนสําคัญอย่างยิง่ อีกส่วนหนึ่ง ได้มีความเห็นร่ วมจาก
ผูเ้ ชี่ยวชาญ (QUOROM) ในการทบทวนการรายงานของการศึกษาแบบนี้ และได้ให้คาํ แนะนําเพือ่ การรายงาน
การศึกษาเป็ น checklist ตามตารางที่ 5 และ trial flow ข้างล่างนี้
คําแนะนําสําหรับการแปลผลการทบทวนวรรณกรรมอย่างมีระบบ โดยคํานึงถึงคําถาม
ดังต่อไปนี้ (Cochrane Reviewer’s handbook)
1.ทิศทางการผลการศึกษาไปทางใด (What is the direction of effect ?)
ตัวอย่างที่ให้ต้ งั แต่ตน้ เอกสารได้แก่ ผลการเปรี ยบเทียบอัตราการรอดชีวติ (survival ) ระหว่างการใช้
transarterial chemotherapy กับ supportive care ในผูป้ ่ วย hepatocellular carcinoma คําถาม
คือการรักษาแบบไหนมีอตั ราการรอดชีวติ มากกว่ากัน