You are on page 1of 54

อานาปาน์

สมถ-วิปัสสนาวิธี และพุทธาภิเษก
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ลี)
วัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
ทานพอลี
่ ่ ธมฺมธโร
ปฐมเจาอาวาสวั
้ ดอโศการาม จ.สมุทรปราการ
อานาปาน์
สมถ-วิปัสสนาวิธี และพุทธาภิเษก
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ลี)
วัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
พิมพครั
์ ้งที่ ๑ : ๒,๐๐๐ เลม่ : ตุลาคม ๒๕๐๒
พิมพครั
์ ้งที่ ๒ : ๔,๐๐๐ เลม่ : พฤศจิกายน ๒๕๕๕
(ปรับปรุงใหม)่
ผู้จัดทำและเผยแพร่ : นันทพร สายวิวัฒน์
ผู้พิสูจนอั์ กษร : นงพงา สายวิวัฒน์
ผู้จัดพิมพ์ : คณะลูกศิษยทานพอลี
์ ่ ่ ธมฺมธโร
วัดอโศการาม
จัดพิมพ์ : พี เอส เอ็น พริ้นทติ์ ้ง
๐๘๐-๖๑๗-๙๕๘๒

อรหัง พุทโธ อิติปิโส ภควา นมามิหัง


(คาถาประจำองคทานพอลี
์ ่ ่ )
คำนำผู้จัดพิมพ์
ผู้จัดพิมพได
์ ร้ ับหนังสือ “อานาปาน์ สมถ-วิปัสสนาวิธี และพุทธาภิเษก” มา
เห็นวาเป็
่ นหนังสือเกาพิ
่ มพเมื
์ ่อปี พ.ศ. ๒๕๐๒ เรียบเรียงโดยพระสุทธิธรรมรังสีคัมภีร
่ ่ ) ขณะเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ทำใหสนใจและไดเปิ
เมธาจารย์ (ทานพอลี ้ ้ ดอาน
่ ครั้นเมื่อได้
อานก็
่ เกิดความเขาใจในขอการปฏิ
้ ้ บัติภาวนาที่กำลังติดขัดอยู่ อีกทั้งหนังสือเลมนี
่ ้
ทานพอลี
่ ่ จัดพิมพขึ์ ้นมาสำหรับแจกใหกั้ บลูกศิษยที์ ่เขามาปฏิ
้ บัติภาวนาที่วัดนำกลับ
ไปทบทวนอานที
่ ่บ้าน หรือศรัทธาญาติโยมที่ไมมี่ โอกาสไดเขามาปฏิ ้ ้ บัติที่วัดก็
สามารถอานและปฏิ
่ บัติตามได้ ผู้จัดพิมพจึ์ งมีความคิดเกิดขึ้นทันทีว่า อยากพิมพเผย

แพรตอ
่ ่ เพื่อใหลู้ กศิษยของทานพอลี
์ ่ ่ ไดรั้ บหนังสือคู่มือชี้แนวทางการปฏิบัติธรรมที่
ทานไดเรี
่ ้ ยบเรียงไวดวยตนเอง
้้ โดยที่ไมไดมี
่ ้ การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเนื้อหาใดๆ จะมี
ก็แตเพี
่ ยงการแกไขคำบางคำที
้ ่พิจารณาแลววาเดิ
้ ่ มจัดเรียงพิมพผิ์ ด พิมพตกหลน
์ ่
หรือใหเป็
้ น ไปตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ (ออนไลน)์ เชน่
ตนฉบั
้ บเดิมคำวา่ ตวันออก ก็แกไขเป็
้ นตะวันออก เพื่อใหเหมาะสมกั
้ บยุคปัจจุบัน
แมในหนั
้ งสือทา่ นพ่อลีจะเขียนไวชั้ ดเจนวาอนุ
่ ญาตใหจั้ ดพิมพเพิ
์ ่มไดโดยไม
้ ่
ตองขออนุ
้ ญาต แตผู่ ้จัดพิมพเห็
์ นวา่ เพื่อความถูกตองและเหมาะสม
้ ควรจะกราบ
เรียนขออนุญาตทานเจาของงานพิ
่ ้ มพ์ แตทานพอลี
่ ่ ่ ไดละสั้ งขารไปแลว้ ผู้จัดพิมพจึ์ ง
ไดกราบเรี
้ ยนขออนุญาตจากพระญาณวิศิษฏ์ (หลวงพอทอง ่ จนฺทสิริ) ทานเจาอาวาส
่ ้
องคปั์ จจุบัน พรอมกราบเรี
้ ยนขอปรึกษาในบางประการซึ่งเกี่ยวกับความคิดเห็นของ
ทานพอลี
่ ่ อันอาจจะสงผลกระทบตอหลายๆ
่ ่ ฝ่าย โดยไดเรี้ ยนหลวงพอทองวาการจั
่ ่ ด
พิมพครั
์ ้งนี้จะคงรักษาขอความเดิ
้ ม มีแกไขเฉพาะการสะกดคำ
้ ทั้งนี้เพราะเป็นงาน
พิมพของทานพอลี
์ ่ ่ ซึ่งทานเป็ ่ นที่นับถือของพวกเราเป็นอยางมาก ่ หลวงพอทองรั
่ บ
ทราบพรอมบอกวา
้ ่ ความคิดเห็นในหนังสือเป็นความคิดเห็นของทานพอลี ่ ่ ในยุคนั้น
สมัยนั้นเป็นความคิดเห็นสวนตั ่ ว จึงเห็นวาไมควรตั
่ ่ ดออกใหคงไวอยางเดิ ้ ้ ่ มผู้จัดพิมพ์
นอมรั้ บใสเกลา่ ้ และถือวาเป็ ่ นมงคลของชีวิต จึงไดทำการจั
้ ดพิมพหนั์ งสือ “อานาปาน์
สมถ-วิปัสสนาวิธี และพุทธาภิเษก ” นี้ขึ้น
ในการนี้ขอกราบขอบพระคุณพระญาณวิศิษฏ์ (ทอง จนฺทสิริ) หลวงพอทอง ่
ที่เมตตาอนุญาตใหจั้ ดพิมพหนั ์ งสือนี้ออกมาแจกจายเป็ ่ นธรรมทาน พรอมใหขอคิ ้ ้้ ด
ในการจัดพิมพซ้์ ำในครั้งนี้ด้วย หากการจัดพิมพในครั ์ ้งนี้มีขอผิ
้ ดพลาดประการใด
ผู้จัดพิมพขอนอมรั
์ ้ บความผิดนั้น พรอมกราบขออโหสิ
้ กรรมตอองคทานพอลี
่ ์ ่ ่ ในการที่
อาจจะทำใหหนั ้ งสือที่ท่านไดเรี้ ยบเรียงเกิดความดางพรอยขึ
่ ้ ้น หากทานผู ่ ้อ่ านทานใด

ไดรั้ บประโยชนจากการอานและปฏิ
์ ่ บัติตามหนังสือนี้ บุญกุศลที่บังเกิดขึ้น ผู้จัดพิมพ์
ขอนอมถวายแดองคสมเด็
้ ่ ์ จพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ทานพอลี ่ ่ หลวงพอทอง ่ และพอแม ่ ่
ครูอาจารยทุ์ กรูปทุกองค์ ขอใหทานมี ้ ่ ธาตุขันธแข็
์ งแรงหายจากอาการอาพาธทั้งปวง
ดวยเทอญ

ผู้จัดพิมพ์
พระญาณวิศิษฏ์
(หลวงพอทอง
่ จนฺทสิริ)
เจาอาวาสวั
้ ดอโศการาม
คำปรารภ

่ ้ บทราบขอความของคณะผู
หลวงพอไดรั ้ ้จัดพิมพที์ ่ไดแจงมาโดยตลอด
้ ้ และก็
ขอแสดงความยินดี และอนุโมทนากับการที่พวกเรามีศรัทธา ไดสื้ บสานใชตำราของ ้
ทานใหคงอยู
่ ้ ่และเจริญกาวหนาตอพี
้ ้ ่ ่น้องญาติธรรม ผู้ใหความสำคั
้ ญและสนใจใน
สัมมาปฏิบัติ ฉะนั้นก็ขอใหทุ้ กทานที
่ ่มีศรัทธาความเลื่อมใสตั้งใจปฏิบัติ ไดประสบ

ความสำเร็จ สมความปรารถนาทุกประการ

พระญาณวิศิษฏ์ (หลวงพอทอง
่ จนฺทสิริ)
เจาอาวาสวั
้ ดอโศการาม จ. สมุทรปราการ
สารบัญ
(อานาปาน์ สมถ-วิปัสสนาวิธี และพุทธาภิเษก)
หนา้
คำนำ (โดยพระอาจารยลี์ ธมฺมธโร) ๘
พุทฺธานุสฺสติ / เมตฺตา จ / อสุภํ มรณสฺสติ ๑๒
ตอน ๑ กัมมัฏฐาน ๔๐ หอง ้ เป็นนองอานาปาน
้ ์ ๑๖
ตอน ๒ ที่ตั้งของจิต ลม ๑๙
ตอน ๓ นิมิต ๒๑
ตอน ๔ วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ อยาง ่ ๒๒
มรณัสสติ วิปัสสนากัมมัฏฐาน ๒๕
อธิบายรูป ๒๖
ผลที่จะเกิดขึ้นในทางปฏิบัติ ๓๑
อุปการะธรรม ๓๓
แสดงพุทธาภิเษก ๓๖
วิธีการพุทธาภิเษก ๕๑
๘ อานาปาน์
คำนำ
หนังสืออานาปานฉบั ์ บนี้ มีผู้สนใจปฏิบัติตามเห็นผลเกิดขึ้นในตนพอสมควร
ตามกำลังผู้ปฏิบัติ ไดม้ ีผู้มาปรารภหารือ ผลที่ไดรั้ บจากขอปฏิ ้ บัติมีอยู่มาก แต่
หนังสือคู่มือชี้แนวทางหมดไป จึงไดคิ้ ดพิมพขึ์ ้นใหม่ เพื่อให้ความสะดวกแกทาน ่ ่
ผู้สนใจ จริงอยู่ในเรื่องนี้ ถ้าไมรู่ ้จักและไมเคยไมชำนาญ
่ ่ ไมรู่ ้จักวิธีการในทางปฏิบัติ
แลว้ ยอมเป็
่ นสิ่งที่เขาใจไดยาก
้ ้ เพราะกระแสของดวงจิตจะเขียนใหเป็ ้ นตำรานั้น
ก็ย่อมไมเป็ ่ นตำราได้ เพราะเรื่องของจิตนั้นมากที่สุด ถาใครรู ้ ้ไมรอบคอบจริ
่ งๆ อาจเขา้
ใจผิดในความรู้ความเห็นของตน เมื่อเป็นเชนนี ่ ้ยอมเสี
่ ยหลายอยาง ่
๑. คลายความเชื่อ คือเห็นวาไมมี ่ ่ ความจริง
๒.รู้ไมทั่ ่วถึงความจริง ก็เป็นเหตุใหเห็ ้ นวาคนอื
่ ่นเขาก็ทำไมได ่ ้ หรือทำผิด ในที่สุด
ตนของตนเองก็ไมมี่ ท่ าที่จะทำได้ เลยคิดว่าละวางเอา โดยคิดเดานึกเอาเพียง เทานั ่ ้น
แตความจริ
่ งมันเป็นไปไมไ่ ด้ ความจริงที่จะละวางไดโ้ ดยสมบูรณ์ ตอ้ งอาศัย หลักธรรม
ที่พระพุทธองคทรงตรั ์ สไวแลวดวยดี
้ ้ ้ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งยอมา ่ จากองคมรรคทั ์ ้ง ๘
ประการซึ่งพระองคไดทรงแสดงเป็
์ ้ นครั้งแรก ที่เรียกวา่ ปฐมเทศนา
ฉะนั้น การปฏิบัติจึงควรสำเหนียกใน ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วาเป็ ่ นไปได้
อยางไร่ ตัวอยางเชน่ ่ ศีลเป็นเหตุแหงสมาธิ ่ สมาธิเป็นเหตุแหงปั ่ ญญา (วิปัสสนา
หรือวิชชา) ปัญญาเป็นเหตุแหงวิ ่ มุตติ ความหลุดพนจากอวิ ้ ชชา ตัณหา อุปาทาน
ฉะนั ้ น ในแบบนี ้ ซ ึ ่ ง เป็ น แบบฝึ ก หั ด สมาธิ ทำใจใหตั้ ้ ง มั ่ น โดยทางที ่ ถ ู ก ตองเป็ ้ น
สัมมาสมาธิ ตามที่เคยสังเกตปฏิบัติมา รู้สึกวามี ่ ผลดีไมมี่ ภัย ฉะนั้นจึงขอฝากไว้
แกผู่ ้ปฏิบัติใหพิ ้ สูจนดวยตนเอง
์ ้ คือใหปฏิ
้ บัติเกิดผลขึ้นในตัวเองเสียกอนจึ ่ งจะ
พิสูจนไดดี
์ ้ แตจุ่ ดที่ประสงคนั์ ้นในตำรานี้มุ่งไปในแนวทางสงบจิต คำที่ว่าสงบนั้นมี
อยู่หลายอยาง ่ จิตสัมปยุตดวยศี ้ ล สงบอยางหนึ ่ ่ง มีความสุขอยางหนึ ่ ่ง จิตสงบไป

พุทธาภิเษก
สมถ-วิปัสสนาวิธี ๙
ดว้ยสมาธินั้น ยอมสงบอี ่ กอยางหนึ
่ ่ง มีความสุขอีกอยางหนึ ่ ่ง จิตสงบไปดวยกำลั ้ ง
ของปัญญา มีความสุขอีกอยางหนึ ่ ่ง ความสงบของดวงจิตที่เป็นวิมุตตินั้นอีกอยาง ่ หนึ่ง
มีความสุขพิเศษไปอีกอยางหนึ ่ ่ง เรื่องเหลานี ่ ้ผู้ปฏิบัติชอบผลมากกวาเหตุ ่ ไม่
ตองการละกิ
้ เลสของตัวที่มีอยู่ด้วยขอปฏิ ้ บัติ ตองการแตดี ้ ่ แตเดนในสั
่ ่ งคมทั่วๆ ไป
แตเอาสั
่ ญญาอารมณของทานผู ์ ่ ้อื่นมาเป็นของตัวเสีย โดยมากยอมตกอยู ่ ่ในคำที่ว่า
พาหิระปัญญารู้จำ ไมใชรู ่ ่ ้แจง้
ฉะนั้น เมื่อทานตองการความจริ
่ ้ งของธรรมทั้งหลายแลว้ จึงควรยกจิตของตน
ขึ้นสู่ธรรมหมวดนี้ คือ สัมมาสมาธิ เสียกอน ่ เพราะเป็นการรวมกำลังจิตของตนได้
เป็นอยางดี่ กำลังทั้งหมดในโลกยอมเกิ ่ ดขึ้นดวยการหยุ
้ ด การกาวไปนั ้ ้นเป็นสิ่งที่
ทำลายตัวเอง (คิดมากเลยเถิด) ตัวอยางเชน ่ ่ เราเดิน มันยอมเกิ ่ ดกำลังขึ้นจากเทา้
ที่เหยียบยัน หรือพูดยอมเกิ ่ ดกำลังจากการหยุด ถาพู ้ ดไมมี่ หยุดไมขาดคำ ่ ไมวาแต
่่ ่
เสียกำลังเลย จนภาษาที่พูดก็ไมเป็ ่ นภาษาคน ผู้พูดธรรมก็เชนกั ่ น ถาสมาธิ ้ มาก
ปัญญานอย ้ ทานเรี ่ ยกวาเจโตวิ ่ มุติ ถาสมาธิ
้ น้อย ปัญญามากทานเรี ่ ยกวาปั ่ ญญาวิมุติ
ดังนี้
เหตุนี้ ผู้ตองการความพนทุ
้ ้ กขจะไมมี ์ ่ สมาธิเลย เป็นไมมี่ หนทางเป็นไปไดเลย ้
ฉะนั้น การพักจิตจึงเป็นกำลังสำคัญของธรรมทั้งหลาย ยิ่งอยู่ในทางปฏิบัติแลว้
จึ ง เป็ น สิ ่ ง จำเป็ น อยางมากมายในเรื
่ ่ อ งสั ม มาสมาธิ เพราะเป็ น บอเกิ ่ ด บอเก็ ่ บ
ของวิชชาในทางธรรมและทางโลกไดเป็ ้ นอยางดี ่ ถาไมรู
้ ่ ้หลักเชนนี ่ ้วิชชาไมเกิ ่ ด เมื่อ
ไมมี่ วิชชาจะละไปไดอยางไร ้ ่ ก็จะหลงงมอยู่แคอวิ ่ ชชา อวิชชาครอบงำจิตอยู่ตราบใด
ก็ย่อมหลงสังขารอยู่ตราบนั้น อวิชชาเป็นเครื่องดองจิต จิตก็ชุ่มอยู่ดวยเยื ้ ่อและยาง ก็
เปรี ย บเหมื อ นกั บ ฟื น ที ่ ส ดเผาไฟไมเกิ ่ ด แสง จะมี แ ตควั ่ น เป็ น เครื ่ อ งหมายแลว้
ลอยออกไปบนอากาศสำคัญวาเป็ ่ นของสูง สูงจริงแตมั่ นสูงอยางควั ่ นไฟหรือขี้เมฆ
ถามี ้ ม ากเขายอมปิ้ ่ ด ตาตั ว เองและคนอื ่ น มิ ใ หเห็ ้ น แสงเดื อ นแสงพระอาทิ ต ย ์
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ลี)
๑๐ อานาปาน์
ที่เขาเรียกวางมงาย
่ ถาใครอบรมจิ
้ ตใจของตนไดแลวยอมเกิ ้ ้ ่ ดวิชชา วิชชาเมื่อเขาไป ้
ผสมอยู่กับดวงจิตยอมรู ่ ้ฤทธิ์สังขาร วิชชาเกิดขึ้นในดวงจิตนั้น เปรียบเหมือนไม้
ที่แหงไมมี
้ ่ ยาง เมื่อเผาไฟยอมเกิ ่ ดเปลวไฟเกิดแสงขึ้น ควันถึงจะมีบ้างก็มิไดใฝ่ ้ ใจ
เพราะธรรมชาติของแสงไฟดีกวา่
อนึ่ง ผลที่ตองไดรั
้ ้ บมีอยู่ ๕ อยาง ่ คือ:-
๑. สนิมไมเกาะ่ (กิเลส)
๒. ความใสสะอาด (ปริสุทธิ)
๓. ยังรัศมีใหเกิ้ ดขึ้นในตัว (ปภสฺสรํ จิตฺตํ)
๔. ยังอำนาจใหเกิ ้ ดขึ้นในตนเอง (เตชา)
๕. เป็นบอเกิ่ ดแหงวิ ่ ชชา ๘ วิชชา ๓ ปฏิสัมภิทา ๔
สิ่งเหลา่ นี้ย่อมเกิดขึ้นจากอำนาจแหงจิ ่ ต ธรรมชาติจิตยอมมี่ สัญชาตญาณอยู่
บางแลว
้ ้ (คือวา่ เหตุบันดาลใหรู้ ้ขึ้นบางขณะ เชนนึ ่ กเห็นหนาคนใดคนหนึ
้ ่งวันนี้ บางที
เห็นโผลมาจริ
่ งๆ) ธรรมทั้งหลายฝ่ายดีนับแตโลกี ่ ยธรรมขึ้นไปตลอดถึงโลกุตตรธรรม
ยอมมี
่ ประจำอยู่ทุกรูปทุกนาม ธรรมไมใชของใคร ่ ่ ทุกคนยอมมี
่ สิทธิที่จะปฏิบัติได้
ทุกคน อำนาจคุณธรรมจะอำนวยผลใหไดเชนนั ้ ้ ่ ้น ตองประกอบดวยคุ
้ ้ ณธรรม ๔ ประ-
การ คือ
๑. ฉันทะ มีความยินดีพอใจในขอปฏิ ้ บัตินั้น
๒. วิริยะ เพียรพยายามในเรื่องนั้นๆ
๓. จิตตะ ตั้งใจมั่นในสิ่งนั้น
๔. วิมังสา พิจารณาใหรอบคอบในสิ ้ ่งที่จะทำนั้น คือ
ก. กอนจะทำใหรอบคอบ
่ ้
ข. กำลังทำอยู่ใหรอบคอบ ้ (มีสติสัมปชัญญะ)
ค. ผลที่เกิดขึ้นจากการทำนั้นใหรอบคอบ้
พุทธาภิเษก
สมถ-วิปัสสนาวิธี ๑๑
ธรรม ๔ อยางนี ่ ้เป็นเหตุใหสำเร็ ้ จไดทุ้ กอยาง ่ ในทางโลกและทางธรรมยอม ่
สำเร็จไดถามี
้ ้ ความจริงในตน ธรรม ๔ อยางนี ่ ้ใหรวมลงในจุ
้ ดอันเดียวกันทั้งหมด
ยอมสำเร็
่ จสมความปรารถนาของตน ผลโดยยอที ่ ่จะเกิดขึ้นมี ๒ ประการ
๑.อิทธิฤทธิ์ อำนาจบางอยางทางโลกี
่ ย์จะมีแกผู่ ้ปฏิบัติ
๒.บุญฤทธิ์ อำนาจในทางธรรมจะเกิดมีแกผู่ ้ปฏิบัติ เป็นหลักพิสูจนในเรื ์ ่อง
โลกและวิญญาณไดเป็ ้ นอยางดี
่ หรือสามารถจะทำจิตของตนใหพนไปจากกระแส ้ ้
โลกีย์ไดทุ้ กประการ ที่เรียกวา่ วิมุตติความพน้ วิสุทธิความหมดจดสะอาด สันติ
ความสงบ นิพฺพานํ ดับทุกขทั์ ้งปวงแลฯ
ฉะนั ้ น จึ ง ขอเชิ ญ ชวนทานพุ ่ ท ธบริ ษ ั ท ทั ้ ง หลายผู ้ ม ุ ่ ง หวั ง ตอสั
่ น ติ ส ุ ข จง
ใครครวญตริ
่ ตรองดูตามแนวทางขอปฏิ ้ บัติที่เกี่ยวดวย ้ สัมมาสมาธิ เพื่อชี้แนวทาง
แกทานผู
่ ่ ้สนใจ เมื่อขัดของโดยประการใด
้ ก็มีความยินดีที่จะแนะนำใหในทาง ้
ตำราและในทางจิต อันเกิดขึ้นจากทานผู ่ ้ปฏิบัติทุกประการ
ขอความสวัสดี จงมีแกทานทั ่ ่ ้งหลายเถิด ถาหากวาทานเห็้ ่ ่ นหนังสือเลมนี ่ ้มี
ประโยชน์ ตองการพิ ้ ม พอี์ ก ไดทุ้ ก เมื ่ อ ทุ ก คนโดยไมตองรั
่ ้ บ อนุ ญ าตตลอดกาล
ขอความบางแหงอาจไมตรงตามบาลี
้ ่ ่ ฉะนั้นเมื่อผิดพลาดประการใด ขอจงโปรด
ใหอภั้ ยด้วย

สวัสดี
พระอาจารยลี์ ธมฺมธโร

พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ลี)
๑๒ อานาปาน์
พุทฺธานุสฺสติ เมตฺตา จ อสุภํ มรณสฺสติ
๑. “พุทฺธานุสฺสติ” ระลึกถึงพระพุทธเจา้
อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ภควา พุทฺธํ ภควนฺตํ อภิวาเทมิ (กราบ)
สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ธมฺมํ นมสฺสามิ (กราบ)
สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสฺงโฆ สงฺฆํ นมามิ (กราบ)
ขอขมาโทษ ไหวปู้ ชนียวัตถุ
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ๓ จบ
อุกาส ทฺวารตเยน กตํ สพฺพํ อปราธํ ขมถ เม ภนฺเตฯ
วนฺทามิ ภนฺเต เจติยํ สพฺพํ สพฺพตฺถ ฐาเน สุปติฏฺฐิตํ
สารีรงฺกธาตํ มหาโพธิ พุทฺธรูปํ สกฺการตฺถํ อหํ วนฺทามิ ธาตุโย อหํ วนฺทามิ
สพฺพโส, อิจฺเจตํ รตนตฺตยํ อหํ วนฺทามิ สพฺพทา,
บูชาพระรัตนตรัย
พุทฺธปูชา มหาเตชวนฺโต ขาพเจาถวายบู
้ ้ ชาพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ผู้มีเดช
ศักดานุภาพอันยิ่งใหญ่ ลวงเสี ่ ยซึ่งอำนาจของเทวดาและมนุษยทั์ ้งหลาย ขาพเจา ้ ้
ขอถวายบู ช าพระสั ม มาสั ม พุ ท ธเจ ้ าพระองค ์ น ั ้ น เพราะเหตุ น ั ้ น การบู ช า
(พระพุทธเจา) ้ จึงเป็นเหตุนำมาซึ่งเดชานุภาพอันยิ่งใหญ่
พุทฺธํ ชีวิตํ ยาว นิพฺพานํ สรณํ คจฺฉามิ ขาพเจาขอถึ้ ้ งพระพุทธเจาวาเป็้ ่ น
สรณะที่พึ่งที่ระลึกของขาพเจาตลอดไป
้ ้ จนกวาจะบรรลุ
่ ไดอาสวั
้ กขยญาณ นั้นเทอญ
ธมฺมปูชา มหปฺปญฺโญ ขาพเจาขอถวายบู
้ ้ ชา พระธรรมคำสั่งสอนของพระ
สั ม มาสั ม พุ ท ธเจา้ อั น เป็ น บอเกิ
่ ด ซึ ่ ง สติ ป ั ญ ญาของเทวดาและมนุ ษ ยทั์ ้ ง หลาย
ขาพเจาขอถวายบู
้ ้ ชาพระธรรมเหลานั่ ้น เพราะเหตุนั้น การบูชา (พระธรรม) จึงเป็น
เหตุนำมาซึ่งสติปัญญาอันยิ่งใหญ่

พุทธาภิเษก
สมถ-วิปัสสนาวิธี ๑๓
ธมฺมํ ชีวิตํ ยาว นิพฺพานํ สรณํ คจฺฉามิ ขาพเจาขอถึ
้ ้ งพระธรรมเจาวาเป็ ้ ่ น
สรณะที่พึ่งที่ระลึกของขาพเจาตลอดไป
้ ้ จนกวาจะบรรลุ
่ ไดอาสวั
้ กขยญาณ นั้นเทอญ
สงฺฆปูชา มหาโภคาวโห ขาพเจาขอถวายบู
้ ้ ชาพระสงฆสาวกของพระสั
์ มมา
สัมพุทธเจา้ ผู้ปฏิบัติชอบแลวดวยกาย
้ ้ วาจา ใจ และเป็นผู้ทรงไวซึ้ ่งทรัพยทั์ ้งหลาย
มีอริยทรัพยเป็
์ นตน้ เพราะเหตุนั้น การบูชา (พระสงฆ)์ จึงเป็นเหตุนำมาซึ่งโภคทรัพย์
สมบัติอันยิ่งใหญ่
สงฺฆํ ชีวิตํ ยาว นิพฺพานํ สรณํ คจฺฉามิ ขาพเจาขอถึ้ ้ งพระสังฆเจาวาเป็ ้ ่ น
สรณะที่พึ่งที่ระลึกของขาพเจาตลอดไป
้ ้ จนกวาจะบรรลุ
่ ไดอาสวั
้ กขยญาณ นั้นเทอญฯ
นตฺถิ เม สรณํ อญญํ พุทฺโธ ธมฺโม สงฺโฆ เม สรณํ วรํ, เอเตน
สจฺจวชฺเชน โหตุ เม ชยมงฺคลํ
ที่พึ่งอันอื่นของขาพเจาไมมี
้ ้ ่ พระพุทธเจา้ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งอันเลิศ
ประเสริฐยิ่งของขาพเจา ้ ้ (ดวยการกลาวสั
้ ่ จจวาจาไปแลวนั ้ ้น ขอจงเป็นศิริชัยมงคล
แกขาพเจาตลอดกาลนาน
่้ ้ เทอญ)
ยงฺกิญจิ รตนํ โลเก วิชฺชติ วิวิธํ ปุถุ รตนํ พุทฺธ ธมฺม สงฺฆสมํ นตฺถิ ตสฺมา
โสตฺถี ภวนฺตุ เมฯ
รัตนะอันใดอันหนึ่งในโลกมีมากมายหลายอยางตางๆ ่ ่ กัน แมรั้ ตนะทั้งหลาย
เหลานั
่ ้น จะประเสริฐเลิศยิ่งเทียมเทาเสมอดวยรั
่ ้ ตนตรัยนั้นไมมี่ เพราะเหตุนั้นขอ
ความสวัสดิภาพราบรื่นชื่นบานจงมีแกขาพเจาทุ่ ้ ้ กเมื่อ เทอญ (ถาแปลใหกราบลง ้ ้
หนหนึ่ง)
๒.“เมตฺตา จ” ใหแสดงความบริ
้ สุทธิ์ของตน ถือเอาพระพุทธเจา้ พระธรรม
พระสงฆ์ เป็นหลักฐานพยานอีกครั้งหนึ่ง วาโดยภาษาบาลี
่ ดังนี้
ปริสุทฺโธ อหํ ภนฺเต ปริสุทฺโธติ มํ พุทฺโธ ธมฺโม สงฺโฆ ธาเรตุ

พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ลี)
๑๔ อานาปาน์
ขาแตพระรั
้ ่ ตนตรัยเจ้าที่เจริญ บัดนี้ขาพเจาขอบอกกลาวแสดงความบริ
้ ้ ่ สุทธิ์
ของขาพเจาตอพระรั
้ ้ ่ ตนตรัยทั้ง ๓ ประการ ขอพระรัตนตรัยเจาจงทรงรั
้ บทราบไววา้่
ขาพเจาเป็
้ ้ นผู้บริสุทธิ์ในกาลบัดนี้
ตอจากนี
่ ้ใหเจริ
้ ญเมตตาวา่ สพฺเพ สตฺตา สัตวทั์ ้งหลายทั้งปวง, อเวรา โหนฺตุ
ขออยาไดมี
่ ้ เวรภัยแกกั่ นเลย, อพฺยาปชฺฌา โหนฺตุ ขออยาไดเบี ่ ้ ยดเบียนกันเลย,
อนีฆา โหนฺตุ ขออยาไดมี ่ ้ ความทุกขกายทุ
์ กขใจเลย,
์ สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ
ขอจงเป็นผู้มีความสุขรักษาตนเถิด ฯ
สพฺเพ สตฺตา สทา โหนฺตุ อเวรา สุขชีวิโน ขอสัตวทั์ ้งหลายอยาไดมี
่ ้ เวรแก่
กันและกัน จงเป็นผู้ดำรงชีพอยู่เป็นสุขทุกเมื่อ เทอญ กตํ ปุญญผลํ มยฺหํ สพฺเพ
ภาคี ภวนฺตุ เต ขอสัตวทั์ ้งหลายเหลานั ่ ้นจงไดเสวยผลบุ
้ ญ ที่ขาพเจาไดบำเพ็
้ ้ ้ ญ
ดวย
้ กาย วาจา ใจ แลวนั
้ ้น เทอญ ฯ
(บทนี้อยางยอ
่ ่ เมื่อมีเวลานอยวาเทานี
้ ่ ่ ้ แลวนั ้ ่งเขาที
้ ่เลย)
แผเมตตาประจำทิ
่ ศ๖
คือ ๑. ทิศตะวันออก ๒. ทิศตะวันตก ๓. ทิศเหนือ ๔. ทิศใต้ ๕. ทิศเบื้องต่ำ
๖. ทิศเบื้องบน ดังนี้
(๑) ปุรตฺถิมสฺมึ ทิสา ภาเค สพฺเพ สตฺตา, สัตวทั์ ้งหลายทั้งปวงที่อยู่ในทิศา
บุรพาภาคโนน, ้ อเวรา โหนฺตุ, อพฺยาปชฺฌา โหนฺตุ, อนีฆา โหนฺตุ, สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ
สพฺเพ สตฺตา สทา โหนฺตุ อเวรา สุขชีวิโน, กตํ ปุญญผลํ มยฺหํ สพฺเพ ภาคี ภวนฺ
ตุ เต
(คำแปลเหมือนกับขางตน ้ ้ ตางแตทิ
่ ่ ศเทานั
่ ้น)
(๒) ปจฺฉิมสฺมึ ทิสา ภาเค สพฺเพ สตฺตา, อเวรา โหนฺตุ, อพฺยาปชฺฌา โหนฺตุ,
อนีฆา โหนฺตุ, สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ

พุทธาภิเษก
สมถ-วิปัสสนาวิธี ๑๕
สพฺเพ สตฺตา สทา โหนฺตุ อเวรา สุขชีวิโน, กตํ ปุญญผลํ มยฺหํ สพฺเพ ภาคี ภวนฺ
ตุ เต
(๓) อุตฺตรสฺมึ ทิสา ภาเค สพฺเพ สตฺตา, อเวรา โหนฺตุ, อพฺยาปชฺฌา โหนฺตุ, อนี
ฆาโหนฺตุ, สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ
สพฺเพ สตฺตา สทา โหนฺตุ อเวรา สุขชีวิโน, กตํ ปุญญผลํ มยฺหํ สพฺเพ ภาคี ภวนฺ
ตุ เต
(๔) ทกฺขิณสฺมึ ทิสา ภาเค สพฺเพ สตฺตา, อเวรา โหนฺตุ, อพฺยาปชฺฌา โหนฺตุ,
อนีฆา โหนฺตุ, สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ
สพฺเพ สตฺตา สทา โหนฺตุ อเวรา สุขชีวิโน, กตํ ปุญญผลํ มยฺหํ สพฺเพ ภาคี ภวนฺ
ตุ เต
(๕) เหฏฺฐิมสฺมึ ทิสา ภาเค สพฺเพ สตฺตา, อเวรา โหนฺตุ, อพฺยาปชฺฌา โหนฺตุ,
อนีฆา โหนฺตุ, สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ
สพฺเพ สตฺตา สทา โหนฺตุ อเวรา สุขชีวิโน, กตํ ปุญญผลํ มยฺหํ สพฺเพ ภาคี ภวนฺ
ตุ เต
(๖) อุปริมสฺมึ ทิสา ภาเค สพฺเพ สตฺตา, อเวรา โหนฺตุ, อพฺยาปชฺฌา โหนฺตุ, อนี
ฆา โหนฺตุ, สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ
สพฺเพ สตฺตา สทา โหนฺตุ อเวรา สุขชีวิโน, กตํ ปุญญผลํ มยฺหํ สพฺเพ ภาคี ภวนฺ
ตุ เต
(กราบ ๓ หน)
เมื่อจบการแผเมตตาจิ
่ ต โดยรอบ ๖ ทิศ ทำจิตของตนใหหมดเวรภั
้ ย ทำใจ
ใหเย็
้ นเป็นสุขสะอาดโดยรอบ “เมตตา” นี้เป็นเครื่องสนับสนุนศีลใหบริ ้ สุทธิ์สะอาด
แลวจึ้ งเป็นการควรแกการเจริ
่ ญ “สมถกัมมัฏฐาน วิปัสสนากัมมัฏฐาน” ตอไป

พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ลี)
๑๖ อานาปาน์
๓. “อสุภ จ สมถกัมมัฏฐาน” คือทำใจของตนที่หมนหมองใหสิ
่ ้ ้นไป สิ่งที่
ทำใจใหหมนหมองซบเซา
้ ่ ไดแก
้ ่ “นิวรณธรรม” ทั้ง ๕ คือ
(๑) “กามฉนฺท” ความยินดีในพัสดุกาม มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพ ธรรมา
รมณ์ มีใจยินดีในกิเลสกาม มีราคะ โทสะ โมหะ เป็นตน้
(๒) “พยาปาท” ความพยาบาท ปองราย ้ เกลียดชัง ฯลฯ
(๓) “ถีนมิทฺธ” ความทอแท ้ ้ หงุดหงิด จิตหดหู่ โงกงวงซบเซา
่ ฯลฯ
(๔) “อุทฺธจฺจ กุกฺกุจฺจ” ความฟุ้งซานรำคาญใจ
่ ฯลฯ
(๕) “วิจิกิจฺฉา” ความสงสัยลังเล ฯลฯ
อกุศลธรรมเหลานี ่ ้เมื่อมีอยู่ในใจ ใจนั้นก็ชื่อวาเป็
่ นใจที่ไมงอกงามเบิ
่ กบาน
แจมใส
่ ใจที่จะเบิกบานไดตองปราศจาก ้ ้ “นิวรณธรรม” ทั้ง ๕, ที่จะใหเป็
้ นไปไดเชนนั
้ ่ ้น
จะตองทำจิ
้ ตของตนใหเป็ ้ นสมาธิ หรือ “ฌาน” มี วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ใหเกิ
้ ดขึ้น
จิ ต นั ้ น ก็ จ ะผ ่ องใสสะอาดเบิ ก บานสวยงามที ่ เ รี ย กว ่ า “โสภณจิ ต ” ดั ง นี ้
ฉะนั้นในหมวดนี้จะตองอธิ ้ บายวิธีทำ “สมาธิ” เพื่อเป็นการปราบ “นิวรณธรรม” เหลา่
นั้น ใหสิ้ ้นไป ตอไปนี
่ ้เป็นการอธิบายวิธี
ตอน ๑
(กัมมัฏฐาน ๔๐ หอง
้ เป็นนองอานาปาน)
้ ์
ใหนั้ ่งเข้าที่ขัดสมาธิ ขาขวาทับขาซาย ้ มือขวาทับมือซาย ้ ตั้งกายใหดี้ ทำสติให้
มั่น อยาฟั
่ ่นเฟือนเวียนไปวกมาขางหนาขางหลั
้ ้ ้ ง ใหตั้ ้งใจกำหนดไวในปั้ จจุบัน
ปัจจุบันของรูปอยางหนึ
่ ่ง (คืออานาปาน ์ ลมหายใจเขาออก) ้ ปัจจุบันของนาม อยาง่
หนึ่ง (คือสติ การระลึกรู้ตัวโดยรอบคอบไมหลงไมลื ่ ่ ม) สตินี้เป็นตัวปัจจุบันของนาม
ปัจจุบันของรูปของนามนี้ใหอยู ้ ่ในจุดอันเดียวกันที่เรียกวา่ “เอกคฺคตา” คือจิตกำหนด
เอาลมหายใจ สำรวจลมหายใจใหทราบชั ้ ดเสียกอนวานี
่ ่ ่ คือ “ลมเขา” ้ นี่คือ “ลมออก”

พุทธาภิเษก
สมถ-วิปัสสนาวิธี ๑๗
เมื่อทราบไดเชนนี
้ ่ ้ ให้ตั้งสตินึกถึง “ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ” สรุปรวมลงใน คำเดียว
คือ “พุทฺโธ” แลวแบงสวนของ
้ ่ ่ “พุทฺโธ” ออกเป็น ๒ ภาค ฯลฯ
ภาค ๑ แบงไวในเวลาหายใจเขา
่ ้ ้ ภาค ๒ แบงไวในเวลาหายใจออก
่ ้ เมื่อนึกได้
เชนนี
่ ้แลวก็้ ใหบริ
้ กรรมไปวา่ “พุท” นึกในเวลาหายใจเขา้ “โธ” นึกในเวลาหายใจออก
แลวตั
้ ้งสติกำหนดนับเป็นวาระไปกอน ่ คือ “พุท” หายใจเขา้ “โธ” หายใจออก ใหนั้ บเป็น
๑ “พุท” หายใจเขา้ “โธ” หายใจออกใหนั้ บเป็น ๒ “พุท” หายใจเขา้ “โธ” หายใจออกให ้
นับเป็น ๓ “พุท” ฯลฯ “โธ” นับเป็น ๔ “พุท” ฯลฯ “โธ” นับเป็น ๕ “พุท” ฯลฯ “โธ” นับเป็น
๖ “พุท” ฯลฯ “โธ” นับเป็น ๗ “พุท” ฯลฯ “โธ” นับเป็น ๘ “พุท” ฯลฯ “โธ” นับเป็น ๙ “พุท”
ฯลฯ “โธ” นับเป็น ๑๐ นี่เป็นวาระแรก วาระที่ (๒) ใหนั้ บตั้งตนนั
้ บ ๑ ใหมไปถึ
่ ง ๙ วาระที่
(๓) ใหตั้ ้งตนนั
้ บ ๑ ใหมไปถึ ่ ง ๘ วาระที่ (๔) ใหตั้ ้งตนนั
้ บ ๑ ใหมไปถึ
่ ง ๗ วาระที่ (๕)
ใหตั้ ้งตนนั
้ บ ๑ ใหมไปถึ
่ ง ๖ วาระที่ (๖) ให้ ตั้งตนนั
้ บ ๑ ใหมไปถึ
่ ง ๕ ฯลฯ ๔ ฯลฯ ๓ ฯลฯ ๒
ฯลฯ ๑ ฯลฯ ๐ ฯลฯ
ลำดับเลขใหดู้ ดั่งนี้
๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐
๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙
๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘
๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗
๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖
๑ ๒ ๓ ๔ ๕
๑ ๒ ๓ ๔
๑ ๒ ๓
๑ ๒


พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ลี)
๑๘ อานาปาน์
นี่แบบนับใหรวมจุ
้ ดเข้าเป็น ๓ คือ ๑ ลม ๒ สติ ๓ จิต ทั้ง ๓ นี้ใหอยู ้ ่ในสาย
เดียวกัน เมื่อนับจบไดเชนนี ้ ่ ้แลวถาจิ้ ้ ตยังไมอยู ่ ่ใหนั้ บขึ้นตนใหมอี้ ่ กอยางหนึ ่ ่ง คือ
หายใจเขา้ “พุท” นับ ๑ หายใจออก “โธ” นับ ๒ เขา้ “พุท” นับ ๓ “โธ” ออกนับ ๔ นับ
อยางนี
่ ้เรื่อยไปถึง ๑๐ แลวกลั ้ บมาขึ้นตนใหมอี ้ ่ ก “พุท” หายใจเขา้ ๑ “โธ” หายใจออก ๒
นับอยางนี ่ ้ไปถึง ๙-๘-๗-๖-๕-๔-๓-๒-๑-๐ เมื่อนับจบไดเช่ ้ นนี้ถ้าจิตยังไมอยู ่ ่ใหนั้ บ
ขึ้นตนใหมจนรู
้ ่ ้ว่ าจิตอยู่ดีจึงใหจิ้ ตอยู่กับเลข ๐ คือหมายความวาไมตองนั ่ ่ ้ บไมตองนึ ่ ้ ก
“พุทโธ” ให้ ตั้งสติกำหนดลมหายใจของตน ให้ตั้งอยู่ที่ใดที่หนึ่งประกอบดวยสติ ้
“สัมปชัญญะ” ไมตองสงจิ ่ ้ ่ ตออกเขาตามลม ้ ลมออกรู้ ลมเขารู ้ ้ ไมใหจิ่ ้ ตออกจิตเขา้ ให้
ตั้งอยู่เฉยๆ กำหนดอยู่แต่ “ปัจจุบัน” ตอจากนั ่ ้นดวงจิตจะไมมี่ “นิวรณธรรม” เขามาใน ้
ดวงจิตได ้ นี่คือบริกรรมภาวนา ตอจากนี ่ ้จิตนั้นยอมเบา
่ ปลอยวางภาระอั
่ นหนักเสียได้
เมื่อจิตเบากายก็เบาที่เรียกวา่ “กายลหุตา จิตตลหุตา จิตตวิเวก” ไมกระวนกระวาย ่
กระสับกระสาย ่ ดวงใจปลอดโปรงอยู ่ ่ในกองลมอันละเอียด ทำจิตไดเสมอชั ้ ้นนี้เรียก
วาอยู
่ ่ในขอบเขต “วิตก” อันเป็นองค์ “ฌาน” ที่ ๑ ตอจากนี ่ ้ใหสำรวจดู
้ ลักษณะของ
ลมหายใจ ขยายลมหายใจออกเป็น ๔ อยางลองดู ่ คือ หายใจเขายาวออกยาวลองดู

แลวใหสั
้ ้ งเกตดูจิตของตนเองวาสบายหรื ่ อไม่ ใหรู้ ้ แลวหายใจเขาสั
้ ้ ้นออกสั้น ใหสั้ งเกต
ดูอีกวาสะดวกสบายดี
่ ไหม ใหรู้ ้ หายใจเขายาวออกสั ้ ้นลองดู สะดวกสบายไหมใหรู้ ้
หายใจเขาสั ้ ้นออกยาว สะดวกสบายไหม ใหรู้ ้ลมทั้ง ๔ ชนิดนี้ หายใจแบบใดสบาย
มากก็ใหอยู ้ ่กับลมหายใจแบบนั้น แลวขยายลมแบบนั ้ ้นใหเป็ ้ นไปในสวนตางๆ ่ ่ ของ
รางกาย
่ ขยายสติกระจายออกตามลม เมื่อลมแลนทั ่ ่วตัวเชื่อมในลมสวนอื ่ ่นไดทั้ ่วถึง
กันนั้น ก็จะเกิดประโยชนสามารถระงั์ บทุกขเวทนาได้ จิตนั้นก็มีสติอันกวางขวาง ้ มี
“สัมปชัญญะ” อันสมบูรณ์ สติ การระลึกขยายตัวออกไปทั่วกาย เรียกวา“กายคตาสติ ่ ”
สติก็ใหญกวางขวางเรี
่ ้ ยกวา่ “มหาสติปัฏฐาน สัมปชัญญะ” ความรู้เขาไปรู ้ ้ทั่วถึง
หมายความวารู ่ ้เหตุคือการกระทำ รู้ผลอันเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ ลักษณะเหลา่
พุทธาภิเษก
สมถ-วิปัสสนาวิธี ๑๙
นี้เป็น “วิจาร” เป็นองค์ “ฌาน” ที่ ๒ ตอจากนั
่ ้นรางกายและจิ
่ ตเมื่อไดมี้ “อุปการธรรม”
คือ ลมหายใจสรางประโยชนใหเกิ
้ ์ ้ ดขึ้นแกรางกาย
่่ สติสรางประโยชนใหเกิ
้ ์ ้ ดขึ้น
แกดวงจิ
่ ต เมื่อเป็นเชนนี ่ ้ร่างกายและดวงจิตไดถู้ กการบำรุงชวยเหลื
่ อยอมเกิ
่ ดผล คือ
ปีติ กายอิ่มเต็มไมกระวนกระวาย
่ จิตอิ่มเต็มไมวอกแวกไมกระสั
่ ่ บกระสาย ่ จิต
กวางขวางเบิ
้ กบานที่เรียกวา่ “ปีติ” เป็นองค์ “ฌาน” ที่ ๓ เมื่อมีความอิ่มเกิด
ขึ้นเชนนั
่ ้นแลว้ จิตสงบ กายสงบ ที่เรียกวา่ “จิตตปัสสัทธิ กายปัสสัทธิ”
ความสงบอันนี้ย่อมสงผลใหเป็
่ ้ นสุข คือสบายกายสบายใจเรียกวา่ “สุข” นี่เป็นหนทาง
เบื้องตนของการทำจิ
้ ต เมื่อทำไดเชนนี
้ ่ ้แลวก็
้ ใหหมั ้ ่นทำกลับไปกลับมา “อนุโลมปฏิ
โลม” ใหเกิ ้ ดความชำนาญ ชำนาญในการทำ ชำนาญในการตั้งอยู่ ชำนาญในการ
ถอยออก เทานี ่ ้ก็จะเป็นแนวทางคืบหนาตอไป ้ ่ คือ จิตนั้นเขาไปสู
้ ่อุปจารภาวนา
บางแลว
้ ้
ตอน ๒
ฐานที่ตั้งของจิตมี ๑ ปลายจมูก ๒ กลางศีรษะขางใน ้ ๓ เพดาน ๔ คอหอย ๕
ลิ้นปี่กระดูกอกสุด ๖ ศูนยเหนื ์ อสะดือ ๒ นิ้ว สวนที ่ ่ตั้งของลมคนที่เป็นโรคปวดศีรษะ
หามตั
้ ้งขางบนใหตั
้ ้ ้งแตคอหอยลงไป

ใหทำการประสานกองลมตางๆ
้ ่ ในตัวเรา เชน่ ๑ ลมพัดขึ้นเบื้องบนและลง
เบื้องต่ำ ๒ ลมพัดในทอง ้ ๓ ลมพัดในลำไส้ ๔ ลมพัดไปตามตัวทั่วๆ ไป ๕ ลมมีอาการ
รอนๆ
้ ๖ ลมมีอาการเย็นๆ ๗ ลมมีอาการอุ่นๆ ลมทั้งหลายเหลานี ่ ้เชื่อมใหสม่
้ ำเสมอ
พอดีพองาม ใหเกิ ้ ดความสะดวกสบายทั่วๆ ตัว การตรวจลมประสานลมนั้นเพื่อขยาย
สติและจิตใหเกิ ้ ดความรู้สึกใหกวางขวางออกทั
้ ้ ่วสรรพางกาย เพื่อใหเกิ ้ ดประโยชน์
ทางกายและจิต รางกายก็่ จะเป็นใหญขึ่ ้นที่เรียกวา่ “มหาภูตรูป” จิตก็จะเป็นใหญขึ่ ้นที่
เรียกวา่ “มหคฺคตํจิตฺตํ” จิตเชนนี ่ ้ต่อไปก็จะเกิดผลแหงความสวยงามเกิ
่ ดขึ้นโดย
อาการตางๆ ่ เป็นเหตุใหไดอั ้ ้ ปปนาภาวนาตอไป ่
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ลี)
๒๐ อานาปาน์
สรุป ลักษณะของลมอานาปานผสมธาตุ
์ ๖ ทำใหธาตุ
้ น้ำ ธาตุดิน ไปไดตางๆ
้ ่
มีดั่งนี:้ -
คือ โลหิตในตัวคนมี ๓ ชนิด
๑. ขาวใส ขน้ ลมเย็น
๒. แดงออน ่ แดงเขม้ ลมอุ่น
๓. ดำเขียว ดำมืด ลมรอน ้
โลหิตตางๆ่ เหลานี ่ ้ ยอมแลนไปเลี
่ ่ ้ยงประสาทในตัว แลวใหเป็้ ้ นประเภทของ
คนตางๆ่ เชนนี่ ้
๑. ลมรอน้ ทำใหคนๆ ้ นั้นหนักทางราคะจริต เกิดรักงาย ่ หลงเร็ว เป็นคู่แหงโมหะ

๒. ลมอุ่น ราคะปานกลาง โทสะแรงกลา้ ยอมตกไปในทางที่ ่โทสะงาย
่ และโทสะ
เป็นคู่กับกันกับโกธะ
๓. ลมเยน็ ราคะนอย ้ โลภะแรง เป็นคนทะเยอทะยานในพัสดุมากกวาอื ่ ่น ถา้
ใครมีความรู้แจงวาธาตุ
้ ่ ชนิดไหน ทำใหคนมี ้ โลภะ โทสะ โมหะ ก็ทำลายธาตุนั้นๆ
แลว้ ลำพังจิตก็จะเบาบางลงไปอีก (ถอนฟืนไฟออน ่ บหอนโพลง)
่ ่ ผสมดีมีปัญญา
คือตัวบุญ ผสมธาตุอุ่นโลหิตแดงออนๆ ่ และขาวใสปัญญาไว ประสาทดี ความคิดลึกซึ้ง
หลั ก แหลม คื อ ใชประสาททางหทยะวั
้ ต ถุ ม ากกวา่ คื อ ทางธรรม ประสาท
สมองนั้นใชมากมั
้ กฟุ้งซานกิ
่ เลสหนา นี้กลาวถึ ่ งเรื่องกองลมยังมีอยู่อีกมากนัก
ผู้มีปัญญาพึงรู้ไดดวยตนเอง
้ ้ “นานาธาตุวิชชา” รู้ไดในกองธาตุ
้ ทั้งหลาย ๑๘ อินทรีย ์
๒๒ อายตนะ ๑๒ รู้แจงเห็ ้ นจริงในธรรมไดอยางแตกฉาน
้ ่ ชำนาญในสมาธิ สมาธิ
ยอมเกิ
่ ดวิปัสสนาญาณ รู้จักในสังขาร นิพพิทาญาณเบื่อหนาย ่ วิราคะคลี่คลาย
เครื่องผูกมัด นิโรธะดับสนิท วิมุตติ จิตหลุดพน้จากโลกีย์ สันติสงบใจ ปรมํ สุขํ
สบายเย็นเป็นบรมสุขดั่งนี้

พุทธาภิเษก
สมถ-วิปัสสนาวิธี ๒๑
ตอน ๓
นิมิต มี ๒ คือ:-
๑. อุคฺคหนิมิต
๒. ปฏิภาคนิมิต
นิมิตทั้ง ๒ อยางนี ่ ้ย่อมเกิดขึ้นบางขณะจิต หรือบางคนเมื่อจิตสงบลงไปแลว้
ยอมมี่ อุคคหนิมิตเกิดขึ้นได้ ๒ ทาง
๑. เกิดขึ้นจากสัญญาเกาที ่ ่เคยนึกไวแตกาลกอน
้ ่ ่
๒. เมื่อจิตสงบเกิดขึ้นเองซึ่งไมเคยนึ ่ กคิด
นิมิตที่เกิดขึ้นทั้ง ๒ ชนิดนี้มีทั้งคุณและโทษ มีความจริงและไมจริ ่ ง ฉะนั้นจึง
ไมควรยึ่ ดถือเสียทีเดียว ถาใครมี้ สติสัมปชัญญะโดยรอบคอบก็มีคุณ ถาใครมี ้ สติ
ออนกำลั
่ งใจไมมั ่ ่นคงมักจะหลงไปตามนิมิต บางทีถึงกับเผลอตัวยึดถือนิมิตนั้นๆ
วาเป็
่ นของจริง
อุคคหนิมิต นี้มี ๒ อยางคื ่ อ
๑.นิมิตของรูป เชนเห็ ่ นรางกายของตนเองบาง
่ ้ คนอื่นบาง้ สัตวบาง
์ ้ ซากศพ
บาง ้ ดำๆ แดงๆ เขียวๆ ขาวๆ บาง ้ บางทีจริง บางทีก็ไมจริ
่ ง บางคราวเกิดทางหู ได้
ยินเสียงคนพูดบาง ้ บางทีเกิดทางจมูกกลิ่นหอมบางเหม็ ้ นบาง้ เชน่ ซากศพ บาง
คราวเกิดทางกาย เชนกายเล็ ่ ก กายโต กายสูง กายต่ำ อาการทั้งหลายเหลานี ่ ้
เรียกวา่ “อุคคหนิมิต” ถาจิ ้ ตเขมแข็ ้ งยอมเป็่ นทางใหเกิ ้ ด “วิปัสสนา” ขึ้นได้ ถาสติ

ออนก็
่ กลายเป็น “วิปัสสนูปกิเลส” ไป หลงใหลไปตามอารมณนั์ ้นๆ เชื่อวาเป็ ่ น
ความจริง แมจริ ้ งก็ตามของไมจริ ่ งยอมแทรกซึ
่ มได ้ เปรียบเหมือนกับตัวคนที่นั่งอยู่
ในที่แจงเมื
้ ่อแสงพระอาทิตยสองยอมมี ์ ่ ่ เงา ตัวคนมีจริง สวนเงานั ่ ้นยอมเกิ
่ ดติดอยู่กับ
ตัวคน แตเงานั่ ้นไมใชคนจริ่ ่ ง ฉะนั้นทานจึ ่ งใหปลอยวางซึ
้ ่ ่งของจริง ของไมจริ่ ง
นั้นก็หลุดไปตาม นี่เรื่องนิมิตของรูป
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ลี)
๒๒ อานาปาน์
๒.นิมิตของนาม เมื่อลมละเอียด จิตวางจิ ่ ตนิ่งจิตสงบดีแลว้ ยอมมี ่ อะไร
เกิดขึ้นบางทีนึกถึงเรื่องอะไรก็รู้ไดทั้ นที บางคราวไมตองนึ ่ ้ กผุดเกิดขึ้นมาเองในดวง
จิต ลักษณะอยางนี ่ ้ก็เรียกวา่ “อุคคหนิมิต” มีความจริงบาง ้ ไมมี่ ความจริงบางปน ้
กัน จะยึดถือเป็นความจริงไปทีเดียวไมได ่ ้ บางคราวก็จริง ความจริงนั่นแหละเป็น
เหตุแหงความหลง
่ เชน่ จริง ๓ อยาง่ สิ่งที่ไมจริ
่ งมีตั้ง ๗ อยาง ่ เมื่อเกิดความเชื่อมั่น
แลว้ ถึงไมจริ ่ งก็ยังเขาใจวาเป็
้ ่ นความจริง อันนี้ก็ทำใหเกิ ้ ด “วิปัสสนูปกิเลส” ไดทาง ้
หนึ่ง ฉะนั้นจึงควรที่จะทำนิมิตทั้ง ๒ คือ “อุคฺคหนิมิต” ของรูป “อุคฺคหนิมิต” ของ
นามนี้เมื่อเกิดขึ้นโดยทางใดทางหนึ่ง ควรจะเจริญ “ปฏิภาคนิมิต” ตอ่ คือเมื่อมี
นิมิตอันใดเกิดขึ้น ถาเป็ ้ นรูปใหญนึ่ กใหเล็้ ก ใหใกล้ ้ ใหไกล้ ใหเล็ ้ ก ใหโต้ ใหเกิ
้ ด ให ้
ดับ จำแนกนิมิตนั้นๆ ใหเป็ ้ นสวนๆ
่ แลวปลอยวางไป
้ ่ อยาใหนิ
่ ้ มิตเหลานั ่ ้นมาแตง่
จิตของเรา ใหจิ้ ตของเราแตงนิ ่ มิตเหลานั่ ้นไดอยางนึ
้ ่ ก ถาไมสามารถทำไดเชนนั
้ ่ ้ ่ ้น
อยาเพิ
่ ่งไปเกี่ยวของใหปลอยไปเสี
้ ้ ่ ย มาเจริญลมหายใจเขาออกตามเดิ ้ ม ถาเป็้ น
นิมิตของนามเกิดขึ้นทางจิตก็ใหยั้ บยั้งตั้งสติไวดวยดี ้้ พิจารณาความรู้ที่เกิดขึ้นว่ามี
ความจริงเพียงใด แมมี้ ความจริงก็ไมควรยึ ่ ดมั่นในความเห็นนั้นๆ ความรู้นั้นๆ ถายึ ้ ด
ความรู้จะเกิดเป็น “วิปัสสนูปกิเลส” ถายึ ้ ดความเห็นจะกลายเป็นทิฏฐุปาทาน
ทิฏฐิมานะ ความสำคัญตนวาเป็ ่ นอยางโนนวาเป็
่ ้ ่ นอยางนี ่ ้ไปตางๆ ่ ฉะนั้นผู้ปฏิบัติ
ควรปลอยวางไปเสี
่ ยตามสภาพแหงความเป็
่ นจริง สิ่งเหลานี
่ ้ถ้ าไมรู่ ้เทาเอาทั
่ นยอมเกิ
่ ด
“วิปริต วิปลาศ” ผิดพลาดไปจากคุณความดีอยางยิ ่ ่ง
ตอน ๔
“วิปัสสนูปกิเลส” ๑๐ อยาง

(๑) “โอภาโส” แสงสวางซึ
่ ่งเกิดขึ้นแลว้ ยอมมองเห็
่ นไดในที
้ ่ใกลและที
้ ่ไกล
(๒) “ญาณ” ญาณ คือความรู้ย่อมเกิดขึ้น สิ่งที่ไมเคยรู่ ้ก็รู้ไดอยางแปลก
้ ่
ประหลาดอัศจรรย ์ เชน่ “บุพเพนิวาสานุสสติญาณ” ระลึกชาติได้ ญาณอันนี้ยอม ่
พุทธาภิเษก
สมถ-วิปัสสนาวิธี ๒๓
ทำใหงมงายไปไดเหมื
้ ้ อนกัน เห็นดีถูกก็ดีใจ ถาเห็ ้ นเรื่องไมดี่ ไมนาปรารถนาก็
่ ่
เสียใจ “จุตูปปาตญาณ” บางคราวก็รู้ “จุติปฏิสนธิ” ของคนและสัตวในโลก ์ เชน่
ตายจากโลกนี้ไปแลว้ ไปเกิดที่โนนก็ ้ รู้ได้ เป็นเหตุใหเพลิ ้ นไปตามความรู้ความเห็น นั้นๆ
เพลินหนักเขาความรู
้ ้ไมจริ
่ งเขามาแทรก
้ ก็ยังสำคัญวาเป็ ่ นจริงอยู่
(๓) “ปีติ” ความอิ่มกายอิ่มใจ อิ่มเสียจนหลงงมงาย อิ่มกายจนหายหิวขาวหิ ้ ว
น้ำ หายรอน ้ หายเย็น อิ่มใจเสียจนเพลิน อิ่มจนลืมตัวกลายเป็นคนขี้เกียจขี้คราน ้
บางทีก็สำคัญวาตั ่ วเป็นผู้สำเร็จ นั่นก็คือกลืนอารมณนั์ ่นเอง
(๔) “ปัสสัทธิ” กายสงบ ใจสงบ จนไมอยากพบเห็ ่ นสิ่งใดๆ ในโลก เห็นวาโลก่
นั้นไมสงบเป็
่ นสิ่งที่ตัวไมตองการ
่ ้ ความจริงถาจิ ้ ตสงบจริง สิ่งทั้งหลายในโลกยอม ่
สงบหมด ผู้ที่เขาไปติ ้ ดความสงบแลว้ แมกายก็ ้ ไมอยากทำงาน
่ ใจก็ไมอยากคิ
่ ดนึก
เพราะติดความสงบนั้นเป็นอารมณ์
(๕) “สุข ” เมื่อสงบแลวเกิ ้ ดสุขกาย สุขจิต เมื่อสุขมากๆ แลวเกลี ้ ยดทุกขคื์ อ
เขาใจวาสุ
้ ่ ขนั้นดีทุกขนั์ ้นไมดี่ “ทิฏฐิ” คือความเห็นแตกไปนั้นเป็น ๒ ซีก (ความจริง
สุขก็คือมาจากทุกขนั์ ่นเอง) ทุกข์ คือสุข เมื่อสุขเกิด ทุกขเป็ ์ นเงา เมื่อทุกขเกิ
์ ด สุขเป็นเงา
เมื่อไมเขาใจเชนนั
่ ้ ่ ้นจึงกลายเป็นกิเลสอันหนึ่ง คือ กลืนอารมณนั์ ่นเอง
ความสบาย ความสงัด ความวิเวก ความเย็นอันลึกซึ้งจับใจเกิดขึ้นแลว้ ก็
เพลินไปในอารมณนั์ ้นๆ คือ ติดอยู่ในนามธรรมอันพอใจนั้นเอง
(๖) “อธิโมกข”์ ความเขาไปนอมใจเชื
้ ้ ่อถือในความรู้ความเห็น และสิ่งที่รู้ที่เห็น
วาเป็
่ นจริง ถาจริ ้ งยืนตัวอยู่ ไมจริ ่ งยอมเขามาแทรก
่ ้ จริงไมจริ
่ งเป็นของคู่กันคือของ
อันเดียวกันนั่นเอง เชนคำพู ่ ดที่เขาปดกันวา่ นายแดงอยู่บ ้านไหม? เขาตอบ
วาไม
่ อ่ ยู่ นายแดงมีจริงอยู่บ้านจริง เขาตอบวาไมอยู ่ ่ ่ คือ พูดปด ถานายแดงไมมี
้ ่ คนนั้น
ก็พูดปดไมได ่ ้ ฉะนั้นจริงกับไมจริ ่ งมันเป็นของอันเดียวกัน ฯลฯ
(๗) “ปัคคาห” ความเพียรกลาเกิ ้ นไปไมพอดี ่ เป็นเหตุใหฟุ้ ้งซาน ่ คือ ยังยึดถือ
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ลี)
๒๔ อานาปาน์
อารมณอยู ์ ่นั่นเอง ความมุ่งหนาแรงเกิ ้ นไปไมพอดี
่ ฯลฯ
(๘) “อปุัฏฐาน” คือ สติเขาไปตั ้ ้งอยู่ในอารมณอั์ นใดอันหนึ่ง ที่ตนรู้เห็นไม่
ยอมปลอยวางอารมณนั
่ ์ ้นๆ
(๙) “อุเปกขา” ความวางจิตเฉย ไมอยากพบ ่ ไมอยากเห็
่ น ไมอยากนึ
่ ก ไม่
อยากคิดพิจารณา คือสำคัญวาตนวางไดหมดแลว ่ ้ ้ เป็นความเขาใจผิ ้ ดในขณะจิต
นั่นตางหาก

(๑๐) “นิกันติ” ความพอใจในอารมณนั์ ้นๆ คือ ติดอารมณที์ ่ตนพบตนเห็นนั่น
เอง สิ่งทั้งหลายเหลานี ่ ้เมื่อรู้ไมเทาเอาไมทั
่ ่ ่ นยอมเป็
่ นเครื่องเศราหมองใจอั
้ นหนึ่ง
ฉะนั้นผู้ปฏิบัติควรศึกษาสำเหนียกใหเขาใจถี ้ ้ ่ถ้วน จึงจะเป็น “วิปัสสนาญาณ” จะไดรู้ ้
แจงสั
้ จจธรรมทั้ง ๔ มีทุกขกาย ์ ทุกขใจ ์ คือ สิ่งลำบากกาย ลำบากใจ เรียกวา่ “ทุกข์”
สบายกาย สบายใจ ก็ยังเรียกวา่ “ทุกข”์ อยู่ เพราะมันเปลี่ยนแปลงได ้ เหตุใหทุ้ กขทั์ ้ง
หลายเหลานี ่ ้เกิดขึ้นไดมี้ อยู่ ๓ อยาง ่ คือ “กามตัณหา” ความทะเยอทะยานอยากในรูป
เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณอั์ นเป็นสิ่งนารั ่ ก นาใคร
่ ่ เขาไปยึ้ ดไวมาเป็้ นของตน
จึงเป็นเหตุใหเกิ ้ ดทุกขไดชนิ
์ ้ ดหนึ่ง (จิตแลบ) “ภวตัณหา” ความอยากเป็นอยาง ่
นั้นอยางนี
่ ้ ซึ่งไมมี่ ฐานะที่จะเป็นไปไดก็้ อยากเป็น ซึ่งไมใชเวลาและโอกาสที ่ ่ ่ควรก็
อยาก ทานเรี ่ ยกวาความหิ่ วโหย เปรียบเหมือนกับคนหิวขาว ้ แตไมมี ่ ่ ข้าวจะกิน แลว้
แสดงมรรยาทใหปรากฏวาเราเป็
้ ่ นคนอยากกินขาวทานเรี ้ ่ ยกวา่ “ภวตัณหา” (จิตสาย) ่
เป็นเหตุใหเกิ ้ ดความทุกขไดชนิ ์ ้ ดหนึ่ง “วิภวตัณหา” ความไมอยากเป็ ่ นอยางนั
่ ้น อยาง ่
นี้ เชนเกิ
่ ดมาแลวไมอยากตาย
้ ่ ไมอยากพลั
่ ดพรากจากสิ่งทั้งหลายในโลกซึ่งตน มีอยู่
เชน่ มียศ มีลาภ ก็ไมอยากใหยศใหลาภหายไปจากตน
่ ้ ้ ความจริงนั้นก็หนีไมพน ่ ้
เมื่อมันแปรไปจึงทำให้ เกิดทุกข ์ (จิตไหว) ปุนปฺปุนํ ปิฬิตตฺตา สํสรนฺตา ภวาภเว
เป็นภพนอย ้ ภพใหญ่ ในจิตกอน ่ แลวตอไปเป็ ้ ่ นชาติ ฉะนั้นผู้มีปัญญายอมละวางเสี
่ ยได้
กลาย เป็นตัว นิโรธธรรม บังเกิดขึ้นในใจ คือเขาไปรู ้ ้ขอบเขตแหงตั ่ ณหา ละวางไดดวย ้ ้
พุทธาภิเษก
สมถ-วิปัสสนาวิธี ๒๕
“วิปัส สนากัมมัฏฐาน” ปลอยสั ่ งขารทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว การที่จะปลอยไดอยางนั่ ้ ่ ้น
ตองอาศั
้ ยเจริญ “มรรค” ใหแกกลา ้ ่ ้ คือทำ “ปัญญาญาณ” อันบริสุทธิ์ใหเกิ ้ ดขึ้นใน
จิตของ ตัวเอง จึงจะรู้ความจริง “ทุกข”์ เป็นของจริง “สมุทัย” เป็นของจริง “นิโรธมรรค”
เป็นของจริง รู้อยางนี ่ ้เป็น “วิปัสสนา” และของจริงทั้ง ๔ นั้นปลอยออกจากตน ่
พนไปของจริ
้ งเสียไดนั้ ่นแหละ จะเขาถึ ้ ง “อมตธรรม” คือความไมตาย ่ ของจริงก็มี
โทษเพราะมีของไมจริ ่ งปนอยู่ดวยกั ้ น เมื่อมีเงินจริงยอมมี
่ เงินปลอม เมื่อมีคนรวย
ยอมมี
่ โจรคอย ปลน้ ความหลุดพนยอมปลอยของจริ ้ ่ ่ งจึงจะถึง “นิพพานธรรม”
ฉะนั้นผู้ปฏิบัติควรใหรู้ ้ เรื่องขาศึ ้ กศัตรูของสมาธิ “นิวรณ”์ ทั้ง ๕ อยาง ่ “อุคคหนิมิต” ทั้ง
๒ อยาง ่ “วิปัสสนูป กิเลส” ๑๐ อยาง ่ “ของจริง” ๔ อยาง ่ ใหหางไกล
้ ่ จิตใจจึงจะ
พนไปจากความเศรา
้ ้ ความชื้นแฉะโสโครกทั้งหลาย หมายความวาสิ ่ ่งใดๆทั้งหมด
ไมยึ่ ดถือทั้งสิ้นปลอย ่ “สมมต” ปลอย ่ “บัญญัติ” ปลอย ่ “ปฏิบัติ” ปลอย ่ “ปฏิเวธ”
นั่นแหละนอกเหตุเหนือผล เป็นจุดที่มุ่งหมายของพระพุทธศาสนา ผู้ต องการละ ้
“กามตัณหา” คือความยินดีรักใครในอารมณ ่ ์ ทั้ง ๖ นั้น ตองเป็ ้ นผู้มีศีลอัน
บริสุทธิ์ถึงจิตใจ ที่เรียกวา่ “อธิศีล” ผู้จะละ “ภวตัณหา” ไดคื้ อจิตสายหาเลื ่ อก
อารมณอยู ์ ่นั้น ตองเป็
้ นผู้มี “สัมมาสมาธิ” อันบริสุทธิ์รอบคอบแลวจึ ้ งจะละได้ ที่เรียกวา่
“อธิจิต” “วิภวตัณหา” ความติดความรู้ ความเห็น ความมี ความเป็น “ทิฏฐิมานะ”
ไมละวาง ่ ผู้ที่จะละไดนั้ ้นตองมี
้ “วิปัสสนาปัญญา” วิชาอันบริสุทธิ์โดยสมบูรณ์
ที่เรียกวา่ “อธิปัญญา” แลวจึ ้ งจะละได้ ฉะนั้นไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
หมวดหนึ ่ ง ที ่ จ ะละเหตุ แ หงทุ ่ ก ขได ์ ้ นอกจากนี ้ เ ป็ น ของจริ ง ไมมี ่ ห นทางใดเลย
ที่จะหลุดพนไปได ้ ้
มรณัสสติ วิปัสสนากัมมัฏฐาน คือใหระลึ ้ กถึงความตาย ตอนนี้จิตจะกาว ้
ขึ้นสู่ “วิปัสสนา” ปรารภถึงความตายเป็นอารมณ์ ความตาย ในขอนี ้ ้หมายเอาความ
ตาย ซึ่งเป็นปัจจุบัน คือ รูปเกิด รูปดับ นามเกิด นามดับ ซึ่งเป็นอยู่ในขณะจิต เมื่อรู้ได้
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ลี)
๒๖ อานาปาน์
อยางนี
่ ้จึงจะเรียกวาเป็ ่ นผู้รู้ใน “มรณัสสติ” ขอนี ้ ้กลาวถึ
่ งการตายจำเป็นจะตองนึ ้ กถึง
การเกิดวา่ การเกิดของรูปมีกี่อยางการเกิ ่ ดของจิตมีกี่อยางยอมรู่ ่ ้ไดของบุ
้ คคลผู้มี
จิตอันสงบ
อธิบาย รูป ความละเอียดของรูปมีถึง ๕ ชั้น
๑ “หีนรูป” รูปหยาบ คือ รูปที่เป็นทุกขเวทนาปรากฏขึ้น เชน่ เจ็บปวดเมื่อย
วามั
่ นเกิดมาจากเหตุอะไร ใหกำหนดรู ้ ้จนกวามั ่ นจะดับ
๒ “ปณีตรูป” รูปปราณีตเกิดขึ้นในกาย เมื่อเกิดขึ้นแลวใหกายเบา ้ ้ กายออน ่
กายละเอียด มีสุขเวทนา รูปชนิดนี้เกิดขึ้นจากเหตุอะไร ใหกำหนดรู ้ ้จนกวามั ่ น
จะดับ ฯลฯ
๓ “สุขุมาลรูป” รูปละเอียดออน ่ ออนโยน่ นิ่มนวล คลองแคลว
่ ่ เกิดขึ้นแลวให ้ ้
กำหนดรู้วา่ เกิดขึ้นดวยเหตุ้ อะไร จนกวามั ่ นจะดับ
๔ “โอฬาริกรูป” รูปเมื่อเกิดขึ้นแลว้ มีความสงาผาเผย ่ ่ แจมใสราเริ
่ ่ ง “มุขวณฺ
โณวิปสฺสีทติ” เมื่อเกิดขึ้นแลวใหกำหนดรู
้ ้ ้ว่า เกิดมาจากเหตุอะไร กำหนดไวจนกวามั ้ ่ น
จะดับฯ
รูปทั้ง ๔ นี้ยอมเกิ
่ ดขึ้น ยอมดั ่ บไป ยอมกำหนดรู ่ ้ไดวามั
้ ่ นเกิดขึ้นตรงไหนกอน ่
๕ “มโนภาพ” เกิดขึ้นดวยอำนาจแหงจิ
้ ่ ต “มโนภาพ” นั้น เมื่อเกิดขึ้นให้
กำหนดรู้จนกวามั ่ นจะดับไป เมื่อรู้ไดเชนนี
้ ่ ้ก็เขาไปอยู ้ ่ในวงของ “มรณัสสติ” อธิบายรูป
ชนิดนี้ คือเมื่อจิตสงบเป็นสมาธิอยางแนแนวแลว ่ ่ ่ ้ ยอมมี ่ อำนาจสามารถที่จะสราง ้
รูปขึ้นไดในการนึ
้ ก (รูปทิพย์ หรือรูปในรูป) นึกถึงภาพอันใดแลวยอมปรากฏรู ้ ่ ปอันนั้น
เมื่อรูปเกิดขึ้นแลว้ ดวงจิตยอมเขาไปอาศั
่ ้ ยอยู่ในรูปนั้น (ไปเที่ยวทางไกลๆ ได)้ ถาติ ้ ด
ยึดถือแลว้ ก็เรียกวาเกิ่ ดเพราะไมรู่ ้จักความตายนั่นเอง
รูปเกิดขึ้นไดจากอาการ
้ ๕ อยาง ่ คือ
๑. เกิดขึ้นจากอิริยาบถ แลวดั ้ บไปในอิริยาบถ
พุทธาภิเษก
สมถ-วิปัสสนาวิธี ๒๗
๒. เกิดขึ้นจากจิตสมปยุต ดวยโลภ ้ โกรธ หลง เกิดตั้งอยู่แลวดั ้ บไป
๓. เกิดจากการหายใจเขาหายใจออกในวาระอั ้ นหนึ่งๆ แลวดั้ บไป
๔. เกิดขึ้นจากปอดฟอกโลหิต เกิดขึ้นขณะหนึ่งแลวดั ้ บไปในขณะนั้น
๕. เกิดขึ้นจากหัวใจฉีดโลหิตไปในสวนตางๆ ่ ่ ของรางกายใหรู ่ ้ ปปรากฏตั้งขึ้นจาก
อำนาจของการฉี ด โลหิ ต เกิ ด ขึ ้ น ทางหู ทางตา ทางจมู ก ทางลิ ้ น ทางกาย
รูปทั้งหลายเหลานี ่ ้ ยอมเกิ
่ ดอยู่ และดับอยู่ทุกขณะ อีกจำพวกหนึ่งเรียกวา่ “โคจรรูป”
รูปวิ่งไปหมุนเวียนไปโดยรอบของรูปหยาบ มี ๕ ชนิด คือ แสง เสียง กลิ่น รส ผัสสะ
แตละอยางมี
่ ่ ๕ ชั้น เชนแสงหยาบไปชา
่ ้ ชั่วกระพริบตาหนหนึ่งๆ แสงวิ่งไปไดหนึ ้ ่งโยชน์
แลวดั ้ บลง สวนแสงปราณี
่ ตชั้นที่ ๒ ยังวิ่งไปอยู่แลวดั ้ บลง ชั้น ๓ ยังแลนไปไดอี่ ้ ก ชั้นที่ ๔
ที่ ๕ ยอมวิ ่ ่งแลนไปทั ่ ่วโลกจักรวาล สวนเสี ่ ยง กลิ่น รส ผัสสะ ก็เชนเดี ่ ยวกัน
ความสัมพันธของธาตุ ์ ทุกชนิด ยอมแลนถึ ่ ่ งกันทุกขณะ ตางกั ่ นแตชาหรื ่ ้ อเร็วเทานั
่ ้น
นั่นแหละคือความไมเสมอภาคกั ่ นทานเรี
่ ยกวา่ “อนิจจลักษณะ” รู้ไดดวยวิ ้ ้ ชชา
ถาใครยั
้ งโงตองเห็
่ ้ นวาเป็ ่ นไปไมได ่ ้ ความจริงมันยอมเป็ ่ นไดอยู ้ ่แลวโดยธรรมชาติ

ของเขา ไมใชรู ่ ่ ้ดวยสั
้ ญญาธรรมดา จึงเรียกวารู ่ ้จริงรู้เอง รู้ในภูมิจิตของผู้ปฏิบัติอัน
มีดวงตาไดเกิ ้ ดขึ้นแลว้ ณ ภายใน รู้ไดทั้ ้งความเกิด ดับไปและตั้งอยู่โดย ธรรมธาตุ
ธมฺมฐิติ. ยถา ภูตํ ญาณทสฺสนํ วิมุตฺติ วิสุทธิ วิราโค นิโรโธ นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ
พระนิพพาน เป็นสุขอยางยิ ่ ่ง
สวนนามเกิ
่ ดขึ้นแลวตายไปนั
้ ้น ยอมมี
่ ขณะอันเร็วยิ่งกวารู ่ ปหลายพันเทา่ ผู้ที่จะ
กำหนดรู้ไดในความเกิ
้ ดขึ้นของนามและความตายของนาม ตองเป็ ้ นผู้มีจิตอันสงบจึง
จะรู้นามทั้ง ๔ นั้นไดคื้ อ เวทนา จิตเสวยอารมณ์ สุข ทุกข์ สัญญา ความจำอารมณได ์ ้
สังขาร ความคิดปรุงแตงดี ่ ชั่ว วิญญาณ ความรู้ชัดในอารมณทั์ ้งหลาย ที่ประจำยืน
ตัวอยู่นั้นเกิดอยู่ในปัจจุบัน ดับปัจจุบันนี้อีกอันหนึี่ง อีกสว่นหนึ่งเรียกวา่ “โคจรเวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณ” สัญจรไปทั่วโลก แตละอยางมี ่ ่ ถึง ๕ ชั้น คือ เวทนา ๕ สัญญา
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ลี)
๒๘ อานาปาน์
๕ สังขาร ๕ วิญญาณ ๕ ชั้นคือ ๑ หยาบ ๒ ปราณีต ๓ ละเอียด ๔ ชา้ ๕ เร็ว
๕ ชนิดนี้ย่อมแลนติ ่ ดตอกั ่ นไปเป็นทอดๆ แลวหมุ ้ นกลับมาที่เดิมแลวดั ้ บลง แลวก็ ้ เกิด
ขึ้นใหมไมมี
่ ่ ที่สิ้นสุด เมื่อไมมี่ ปัญญา วิชชาความรู้ ทานเรี ่ ยกวา่ “อวิชชา” คือไมรู่ ้นาม
เดิมที่ตั้งขึ้น นามที่เป็น “โคจร” รูปที่เป็น “โคจร” ที่แลนไปรู ่ ้ไมไดจึ ่ ้ งเป็นเหตุใหเกิ ้ ด
“ ปฏิสนธิวิญญาณ” แลวเกิ ้ ดมีสังขารคือตัว “กรรม” แลวเกิ ้ ดมี “วิบากคือรูปเวทนา”
แลวเกิ ้ ด “ตัณหา” เกิด “สัญญา” ความจำหมายเกิดวิญญาณในอายตนะภายนอกอีก
ชั้นหนึ่ง แลวก็้ หมุนกันไปเรียกวา่ “ขันธวัฏ” หมวดกองหมุน กองเวียน เปลี่ยนไปไม่
เสมอภาคกันนั่นแหละเรียกวา่ “อนิจจานุปัสสนาญาณ” รู้ไดดวยตาใจ ้ ้ คือ “ปัญญา
วิชชา” อันแทนั้ ้น ฉะนั้นผู้ปฏิบัติ “วิปัสสนากัมมัฏฐาน” จงรอบคอบใหทั้ ่วถึงโดย
บริบูรณ์ จึงจะเป็นไปเพื่อพ้นจากอวิชชา “สังขาร” ทั้งหลายในข้อนี้นั้นเปรียบเหมือน
นั่งเรือข้ามมหาสมุทร ถ้ามีคลื่นใหญ่สายตาก็สั้น หูก็สั้น จมูก ลิ้น กาย ใจ สั้นหมด
ไมสามารถจะแลเห็
่ นทางไกลได้ ดวงจิตของผู้ปฏิบัติเมื่อจมอยู่ใน “นิวรณ” ก็ไม่
สามารถที่จะมองเห็นความตายได้ เมื่อจิตของบุคคลผู้ใดไดปราบ ้ “นิวรณ” ใหหมดไป

ก็เปรียบเหมือนนั่งเรือขามมหาสมุ
้ ทร ไมมี่ คลื่นลม ยอมมองเห็
่ นรูปไดในทางไกล
้ ตาก็
จะดี หูก็จะฟังไดถนั ้ ด จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็จะกวางขวางปลอดโปรง
้ ่ น้ำก็จะใส แสงไฟก็
จะสวาง ่ สามารถที่จะรู้ไดทั้ ่วไป ฉันใดก็ดี ผู้ที่จะรู้ความตายไดชั้ ดแจง้ ตองเป็ ้ นผู้บำ
เพ็ญสมาธิเป็นเบื้องตนอั ้ นเป็นขั้นแหง่ “วิปัสสนา” รูปทั้ง ๕ อยางดั ่ งกลาวมาแลวนั
่ ้ ้น
เกิดขึ้นไดอยางไร
้ ่ อะไรเป็นเหตุใหดั้ บไป อะไรเป็นเหตุแหงความดั ่ บ เวทนาของกายก็ดี
เวทนาของจิตก็ดี เกิดขึ้นไดอยางไร ้ ่ ดับไปอยางไร ่ อะไรเป็นเหตุ สัญญาความจำได้
หมายรู้เกิดขึ้นอยางไร ่ อะไรเป็นเหตุ ดับไปอยางไร ่ สังขาร ความคิดนึกปรุงแตงเกิ ่ ดขึ้น
ไดอยางไร
้ ่ อะไรเป็ น เหตุ ดั บ ไปอยางไร่ “วิ ญ ญาณเกิ ด ขึ ้ น ทางตาที ่ เ รี ย กวา่
จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหา, กาย, มโน, วิญญาณ” ความรู้
ทั้งหลายเหลานี ่ ้เกิดขึ้นไดอยางไร?
้ ่ อะไรเป็นเหตุ? ดับไปอยางไร? ่
พุทธาภิเษก
สมถ-วิปัสสนาวิธี ๒๙
สรุปแลวมี
้ อยู่ ๕ อยางคื
่ อ
๑. รูป
๒. เวทนา
๓. สัญญา
๔. สังขาร
๕. วิญญาณ
ภายนอกอยางหนึ ่ ่ง ภายในอยางหนึ่ ่ง ประจำอยู่ที่อยางหนึ ่ ่ง โคจรไปอยางหนึ ่ ่ง
ยอมกำหนดรู
่ ้ไดทุ้ กเวลา ผู้มีปัญญาอันเกิดขึ้นแลวจากการอบรมจิ้ ต ใหเป็้ นสมถและ
วิปัสสนา จึงจะรู้ไดในความตายเหลานี
้ ่ ้ ปัญญาที่เกิดขึ้นนั้นทานเรี ่ ยกวา่ “ปุพเพนิวา
สานุสสติญาณ” รู้เรื่องของรูปที่ผ่านมาแลว้ รู้เรื่องของรูปที่ยังไมมาถึ ่ ง รู้เรื่องของรูปที่
เป็นอยู่ปัจจุบัน รูปทั้งหลายเหลานี ่ ้ ความเกิดและความดับยอมไมเสมอภาคกั ่ ่ น ยอมมี

ลักษณะตางๆ ่ กัน เมื่อรู้ไดเชนนี ้ ่ ้ ชื่อวาเป็
่ นผู้มีวิชชาขอหนึ ้ ่ง
“จุตตปปาตญาณ” ปัญญาวิชชาขอนี ้ ้ย่อมกำหนดรู้ในวาระของจิตแหงตน ่ ซึ่ง
เกิดขึ้น-ดับไป บางขณะเกิดดีดับดี บางขณะเกิดชั่วดับชั่ว บางขณะเกิดดีดับชั่ว บาง
ขณะเกิดชั่วดับดี ยอมกำหนดรู
่ ้ได้ คือ รู้ภพชาติ
“อาสวักขยญาณ” ปัญญาวิชชาขอนี ้ ้เมื่อเกิดขึ้นแลวเป็ ้ นเหตุใหเกิ ้ ดความเบื่อ
หนายในนามและรู
่ ป เกิดขึ้นแลวยอมดั
้ ่ บไป แลวก็ ้ เกิดขึ้นใหมแทน ่ หมุนเวียนกันอยู่
อยางนี
่ ้ รูปหยาบก็หมุนชา้ รูปละเอียดก็หมุนเร็ว นามหยาบหมุนชา้ นามละเอียดหมุน
เร็ว เมื่อกำหนดไดเชนนี ้ ่ ้ก็ชื่อวาเป็
่ นผู้มองเห็นความทุกขอั์ นหนึ่ง แลวกลั ้ บมากำหนด
ดวงจิตแหงตนอี ่ กวา่ ในขณะนั้นจิตของเราเป็นกลางไหม? ถาจิ ้ ตยินดีในสิ่งที่เรารู้ใน
ความรู้ของตนก็เป็น “กามสุขัลลิกานุโยค” ถาจิ ้ ตเรายังยินรายในสิ ้ ่งที่เรารู้ในความรู้
ของเรา วาระจิตอันนั้นก็เป็น “อัตตกิลมถานุโยค” ทำใจของตนใหลำบากก็ ้ กำหนดรู้ได้
แลวทำใจของตนใหเป็
้ ้ นกลางวางเฉยตออารมณที่ ์ ่รู้เห็นนั้นๆ ในขณะจิตอันนั้นเป็น
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ลี)
๓๐ อานาปาน์
“มรรคจิต” เมื่อมรรคเกิดขึ้นในดวงจิต “สมุทัย” ยอมดั ่ บไป ใจอันนั้นหมั่นพยายาม
รักษาไว้ ทำใหมากในวิ ้ ถีจิตอันนั้น จิตอันนั้นชื่อวาเป็ ่ นผู้ “เจริญมรรค” เมื่อ “มรรค”
ตั้งขึ้นในขณะอันใด ความดับความละวางยอมเกิ ่ ดขึ้น เมื่อทำไดเชนนี ้ ่ ้ก็เขาขั ้ ้นที่รู้ความ
ตายโดยชัดแจง้ บุคคลใดที่รู้ความตายดังกลาวมา ่ บุคคลผู้นั้นยอมทำความตายของ

ตนใหลดนอยลงได
้ ้ ้ เชน่ พระอริยเจาบางทานตาย
้ ่ ๗ ชาติ บางทานตายชาติ ่ เดียว
บางทานพนตายเลย
่ ้ ทานทั
่ ้งหลายเหลานี ่ ้ คือ เป็นคนที่รู้จักตายรู้จักเกิด ทานเป็ ่ นผู้มี
ความตายอันนอย ้ เพราะทานรู ่ ้จักความตาย ความเกิดนั่นเอง คนธรรมดาที่จะรู้ความ
เกิดและความตายของตนในธรรมหมวดนี้ย่อมหายาก ความเกิดและความตาย
ธรรมดาสามัญนั้น เป็นของไมจำเป็ ่ นเทาไรนั ่ ก คนไมรู่ ้จักธรรมเลยก็รู้จักตายรู้จักเกิด
โดยธรรมดา ฉะนั้นผู้ที่จะรู้ความตายในขอนี ้ ้ ตองเป็ ้ นผู้มีวิชชาที่เกิดขึ้นจากการอบรม
จิต วิชชานั้นคือรู้ในอารมณที์ ่เป็นอดีต รู้ในอารมณที์ ่เป็นอนาคต รู้อารมณที์ ่เป็นอยู่ใน
ปัจจุบันนี้ เป็นวิชชาปลอยวางอดี ่ ต ปลอยวางอนาคต
่ ปลอยวางปั
่ จจุบัน ไมยึ่ ดถือใน
สิ่งใดๆ ทั้งหมดนั้นทานเรี ่ ยกวา่ “วิมุติวิสุทธิ” ความหลุดพนโดยหมดจดดั ้ งนี้ สวน

อวิชชานั้นเป็นสิ่งที่ตรงกันขาม ้ คือ ไมรู่ ้จักอดีตที่ล่ วงไปแลว้ ไมรู่ ้จักอนาคตที่ยังมาไม่ ถึง
ไมรู่ ้จักปัจจุบัน คือความเกิดขึ้นดับไปของรูปและนาม คือ กาย ใจ ถึงรู้ไดก็้ ขั้น
สัญญาซึ่งจำกันมาจากคนอื่น ไมใชความรู ่ ่ ้ของตนที่สรางขึ ้ ้น ยอมตกอยู ่ ่ในอวิชชา
ทั้งสิ้น แมจะปรารภของเรื
้ ่องปัญญาสักปานใดก็ดีก็ยังไมพน ่ ้ เชนรู ่ ้ว่ าสิ่งทั้งหลายมันไม่
เที่ยง ก็หลงไปกับสิ่งที่ไมเที ่ ่ยงนั่นแหละ รู้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ก็หลงไปในสิ่งที่เป็นทุกข์ รู้ว่า
เป็น “อนัตตา” ก็หลงไปในสิ่งที่เป็นอนัตตานั่นแหละ รู้อนิจจัง ทุกขังอนัตตา ก็ไมรู่ ้จริง
รู้จริงนั้นรู้ไดอยางไร?
้ ่ รู้จริงนั้นรู้อยางนี
่ ้คือ รู้ไดสองหนา ้ ้ ละไดสองทาง
้ วางไดทั้ ้งหมด
คือรู้ของเที่ยง รู้ของไมเที ่ ่ยง รู้ทุกข์ รู้สุข รู้อนัตตา ไมใชตั ่ ่ วตน รู้อัตตาคือตัวตนนี่
เรียกวารู ่ ้ไดสองหนาละไดสองทาง
้ ้ ้ ไมยึ่ ดถือในสิ่งเที่ยงและไมเที ่ ่ยง ไม่ยึดถือในทุกข์
และสุข ไม่ยึดถือในอัตตาและอนัตตา ที่เรียกวาละไดสองทางวางไดทั ่ ้ ้ ้งหมด ไมยึ่ ดเอา
พุทธาภิเษก
สมถ-วิปัสสนาวิธี ๓๑
อดีต อนาคต ปัจจุบัน จิตนั้นจึงไมใชจิ
่ ่ ตไปขางหนา
้ ้ มาขางหลั
้ ง ตั้งอยู่ก็ไมใช
่ ่ เมื่อทำได้
เชนนี
่ ้เรียกวาวางไดทั
่ ้ ้งหมด ยาวเทว ญาณมตฺตาย ปติสฺสติมตฺตาย อนิสฺสิโต จ
วิหรติ น จ กิญฺจิ โลเก อุปาทิยติ ไมยึ่ ดถือสิ่งใดๆ ทั้งหมดในโลกนี้
ผลที่จะเกิดขึ้นในทางปฏิบัตินั้น มีอยู่ ๓ หมวดคือ
หมวดที่ ๑
๑. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติหนหลังได้
๒. จุตูปปาตญาณ รู้จุติปฏิสนธิของสัตวทั์ ้งหลายในโลก
๓. อาสวักขยญาณ รู้จักทำกิเลสเครื่องเศราหมองใจใหสิ
้ ้ ้นไป
หมวดที่ ๒
๑.วิปัสสนาญาณ มีความรู้แจ้งชัดโดยทางจิตตมาสภาวธรรมคืออริย
สัจธรรมทั้ง ๔
๒.มโนมยิทธิ มีฤทธิ์ทางใจ นึกอยางไรไดอยางนั
่ ้ ่ ้น เชนนึ ่ กใหรู้ ปเกิด
ปรากฏเห็นแลทางตาได้ ผู้จะทำไดตองชำนาญในอุ
้ ้ คคหนิมิตกอน

๓. อิทธิ วิ ธิ คือแปลงรูปที่นึกไดนั้ ้นใหเป็
้ นไปตามตองการ
้ ผู้จะทำไดเชน
้ ่
นั้น ตองชำนาญในปฏิ
้ ภาคนิมิตมากอน ่
๔. ทิพพจักขุ มีตาเป็นทิพย์ มองเห็นไดในทางไกลๆ้ ได้ ผู้มีประสาทตา ดี
และเขาใจแตงธาตุ
้ ่ ในตัวจึงจะเป็นไปได้ เขาใจปลุ ้ กประสาทใหตื้ ่น
๕. ทพิ พโสต มีหูเป็นทิพยฟั์ งสรรพเสียงสำเนียงไกลๆ ได้ ผู้มีประสาทหู
ดีและเขาใจแตงธาตุ
้ ่ ในตัวเป็นสื่อไดจึ้ งจะเป็นไปไดเชนนั ้ ่ ้น
๖. เจโตปริยญาณ รู้วาระน้ำใจของคนได้ รู้จักแตงน้ ่ ำเลี้ยงหัวใจของตน
ใหสะอาดได
้ ้ จึงจะเป็นไปได้
๗. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติไดไดโดยทางนิ ้ ้ มิตหนึ่ง รู้ได้

พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ลี)
๓๒ อานาปาน์
โดยทางญาณหนึ่ง และรู้จักสลับธาตุในตนจึงจะระลึกชาติหนหลังได้
๘. อาสวักขยญาณ รู้จักเหตุแหงเครื ่ ่องเศราหมองใจหนึ
้ ่ง รู้จักเหตุแหง่
การทำอาสวะใหสิ้ ้นไปไดหนึ ้ ่ง
หมวดที่ ๓
๑. อัตถปฏิสัมภิทาญาณ มีญาณความรู้แตกฉานในอรรถธรรมตางๆ ่
๒.ธัมมปฏิสัมภิทาญาณ มีญาณความรู้แตกฉานในสังขตธาตุ สังขต
ธรรมทั้งปวง โดยทางจิตใจตนเอง
๓.นิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ มีญาณกำหนดรู้เรื่อง และภาษาของสัตว์
ตางๆ
่ ในโลกโดยทางจิต
๔.ปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณ มีญาณความรู้เกิดขึ้นไดทั้ นทวงที ่ ใน
เวลามีเหตุการณควรพู ์ ด พูดโตตอบไดทั
้ ้ นที คือไมตองคิ
่ ้ ด เป็นแตกำหนดจิ
่ ตใหหนั
้ ก
แนน่ เพงจอลงไปก็
่ ่ ผุดขึ้นมาเอง เหมือนถานไฟฉาย
่ กดลงก็พุ่งออกทันที
สรุปแลว้ ถาฉลาดพอก็
้ จะกลายเป็นโลกุตตรวิชชาไปทั้งหมด อีกอยาง ่
หนึ่ง ถาฉลาดไมพอก็
้ ่ จะกลายเป็นโลกียวิชชาไปหมด วิชาเหลา่ นี้เกิดขึ้นโดยทางอบรม
จิตใจทั้งนั้น ที่เรียกวา่ “ภาวนามยปัญญา” สอนกันไมได ่ ้ ตองรู
้ ้ในตนเองจึงเรียกไดวา ้่
“ปัจจัตตวิชชา”
ฉะนั้นหลักปัญญาจึงมีอยู่ ๒ อยาง ่ คือ:-
๑. โลกียปั ญญา เรียนจำไวมากๆ ้ ตรึกตรองมากๆ แลวก็ ้ เขาใจตาม

สัญญาธรรมดานี้เทานั ่ ้น
๒. โลกุตตรปัญญา รู้เกิดขึ้นโดยการอบรมสัมมาสมาธิ มีญาณเกิดขึ้น
มาเองโดยธรรมชาติในจิตของตน พนวิ ้ สัยของโลก เรียกวา่ “โลกุตตรปัญญา” มีวิชา
ความรู้แจงเห็
้ นจริง วิมุตติหลุดพนจากทิ้ ฏฐิมานะอาสวะกิเลสทั้งปวงได้

พุทธาภิเษก
สมถ-วิปัสสนาวิธี ๓๓
อุปการะธรรม ธรรมเป็นเครื่องช่วยสนับสนุนให้เกิดวิชชานั้นมีอยู่ ๓ หมวด:-
หมวดที่ ๑
ก. ศีลสังวรณ์ ระวังศีลคือมารยาทความประพฤติทางกาย วาจา จิตให้
ดีบริบูรณ์ ตั้งอยู่ในกรรมบถ ๑๐ เป็นตน้
ข.อินทริยสังวรศีล เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะประจำทวารทั้ง ๖ มีตา หู
จมูก ลิ้น ปาก กาย ใจ ไวดวยดี ้ ้ ใหเป็ ้ นไปเพื่อความสงบของตนและคนอื่นๆ
ค.โภชเนมัตตัญญุตา ใหรู้ ้จักประมาณ คือรู้ความพอดีในการบริโภค
อยาใหมากนั
่ ้ ่ ้ ้ นไป และควรบริโภคแตอาหารชนิ
ก อยาใหนอยเกิ ่ ดที่จะถูกกับธาตุของ
ตน และอาหารเบาๆ ยอยงายๆ ่ ่ มิฉะนั้นก็ตองกิ ้ นครึ่งทอง ้ หรือคอนขางนอยไว
่ ้ ้ ้ เรื่อง
อาหารนั้น ถารั ้ บมื้อเดียวไดจะสะดวกขึ
้ ้นมากในการทำจิต ลักษณะของการกินอาหาร
ของคน มี ๓ อยาง ่ คือ ๑ อิ่มมากอึดอัดขัดของในการนั
้ ่งสมาธิ เรียกวาโลโภ
่ ๒ กินแต่
พอดีพอดีของรางกายที
่ ่จะตั้งอยู่ได้ เรียกวาสั
่ นโดษ ๓ เป็นผู้มักนอย ้ กินแตเสมอครึ
่ ่ง
ทองเทานั
้ ่ ้น ทานเรี ่ ยกวา่ ผู้มักนอย ้ ผู้ไมมี่ ความกังวลในอาหาร เป็นผู้ประพฤติตัวมีกาย
อันเบา เหมือนไมเนื ้ ้อออนที
่ ่เบาตกน้ำยอมไม่ ่ จมฉะนั้น การทำจิตของผู้นั้นยอมไมตก่ ่
ต่ำ และอินทรีย์ของเขายอมเป็ ่ นไปเพื่อความสงบ มีจักขุนทรียเป็ ์ นตน้ ประสาทตา ประ
สาทหู ประสาทจมูก ประสาทลิ้น ประสาทกาย ยอมสงบระงั ่ บแลวใหความสะดวกแก
้ ้ ่
การสงบจิตไดเป็ ้ นอยางดี ่
ง. ชาคริยานุโยค ปลุกธาตุร่างกายใหตื้ ่นดวยการเจริ ้ ญกายสังขาร คือ
แตงลมหายใจใหเกิ
่ ้ ดประโยชนแกธาตุ
์ ่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ใหทั้ ่วถึงที่เรียกวากายคตาสติ

ภาวนา ดังคาถาวา่ สุปพุทฺธํ ปภุชฺฌนฺติ สทา โคตมสาวกา เย สํ ทิวา จ รตฺโต จ
กายคตาสติ เป็นผู้มีสติปลุกกายของตนใหตื้ ่นอยู่ดวยดี ้ ทั้งหลับตาและลืมตาดังนี้อีก
อนึ่งตองรู
้ ้จักปลุกจิตของตนใหตื้ ่นอยู่โพลงอยู่ ดวยการเจริ ้ ญฌาน มีวิตก วิจาร ปีติ สุข
เอกัคคตารมณเป็ ์ นตน้ จิตนั้นจึงจะตื่นจากหลับ คือเผลอลืมตัวไป การเผลอลืมตัวนั้น
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ลี)
๓๔ อานาปาน์
พระองคบอกวา
์ ่ จิตถูกอารมณดึ์ งดูดไปแลวสลบไปคราวหนึ
้ ่งบอยๆ
่ ครั้นจนชินแลว้
เป็นบอเกิ
่ ดแหงโมหะ
่ ไมมี่ หนทางจะเกิดวิปัสสนาปัญญาไดเลย

หมวดที่ ๒
ก. สัทธา ความเชื่อ คือเชื่อเหตุแหงความดี ่ เชื่อผลที่จะเกิดขึ้นจากการ
ประกอบเหตุที่ดีนั้น
ข. หิริ ใหละอายบาปในใจตนเองไมกลาทำชั
้ ่ ้ ่วในที่ลับ และที่แจง้ คือรู้ว่ า
ในโลกไมมี่ ที่ลับ คนอื่นเขาไมรู่ ้ไมเห็่ นแตตั่ วเราเองตองรู ้ ้ต้องเห็นดังนี้
ค. โอตตั ปปะ ความสดุ้งเกรงกลัวตอความชั ่ ่วนึกเห็นแลวไมอยากทำ
้ ่
มองเห็นกรรมเหมือนมองเห็นงูเหากำลั ่ งยกคอแผแมเบี ่ ่ ้ยอยู่ ไมกลาเดิ่ ้ นเขาใกลดั
้ ้ งนี้
ง. พาหุสัจจะ ใหหมั ้ ่นศึกษา หารือทานผู ่ ้รู้และชำนาญในการประพฤติ
ปฏิบัติไวมากๆ
้ อยาคบคนที
่ ่ไมมี่ ความรู้ในเรื่องที่เราสนใจ ดังนี้
จ. วิร ยิ ะ เพียรละเครื่องเศราหมองจิ
้ ตคือนิวรณธรรมอยู่เสมอๆ เพียร
ทำบำเพ็ญคุณความดีใหเกิ ้ ดขึ้นในใจ มีปฐมฌานเป็นตน้ โดยยอมี ่ ๓ อยาง ่ คือ
๑. เพียรทำดี ๒. เพียรรักษาดี ๓. เพียรทำความดีที่มีอยู่ให้เจริญก้าวหน้าตลอดไป
ฉ. สติปัฏฐาน สติมีที่ตั้งและจุดหมาย มีการเจริญกายคตาสติ มีเกสา
โลมา ฯลฯ อานาปานสติ เป็นตน้
ช.ปัญญา ความรู้รอบคอบทั่วถึงสมบูรณดวยเหตุ ์ ้ ผล รอบคอบในการทำ
ความดี รอบคอบในการรักษาความดี รอบคอบในการใชจายความดี ้่ ใหเกิ
้ ดประโยชน์
ทั่วไป ต่ำบาง
้ พอปานกลางบาง ้ อยางยิ ่ ่งบาง้ เพื่อประโยชนชาติ ์ นี้บางประโยชน
้ ์
ชาติหนาบาง
้ ้ ประโยชนอยางยิ ์ ่ ่ง คือพระนิพพานบาง ้ ดังนี้ชื่อวาปั่ ญญา
หมวดที่ ๓
ก.ปฐมฌาน วิตกตรึกนึกหาอารมณอั์ นเป็นที่ตั้งแหงจิ
่ ต วิจารตรึกตรอง
พิจารณาอารมณที์ ่ตนตั้งไวแลวนั
้ ้ ้น เป็นตนวาเรากำหนดหมายไวที
้ ่ ้ ่ลมหายใจไดแลว
้ ้
พุทธาภิเษก
สมถ-วิปัสสนาวิธี ๓๕
ตรวจดูพิจารณาดูลมตางๆ ่ ในรางกาย ่ สวนใดไมสบายรู
่ ่ ้จักแกไขเปลี
้ ่ยนแปลง สวนใด ่
ดีรู้จักใชใหเกิ
้ ้ ดประโยชนแกกายและจิ
์ ่ ตแลว้ ประกอบไวเนื ้ องๆ แลวจะเกิ ้ ดผลขึ้น คือ
กายเต็มกายอิ่มเอิบซึมซาบทั่วสรรพางคกาย ์ กายเบา ใจอิ่มเต็ม รู้รอบคอบไมมี่ ความ
ฟุ้งซานไปอื
่ ่น จิตสงบ กายสงบเหมือนเด็กนอนเปลมีตุ๊กตาเลนไมรองไห ่ ่ ้ ้ ฉะนั้นแลว้
เกิดสุขกาย สบายจิต เอกคฺคตํ จิตฺตํ ใจแนวแนอยู ่ ่ ่ในอารมณอั์ นเดียว ไมเกี ่ ่ยวเกาะ
อดีต อนาคต จดจออยู ่ ่โดยความสบายในปัจจุบันเทานี ่ ้ เรียกวา่ ฌาน
ข. ทุติยฌาน วิตกวิจาร ๒ ขอหายไป ้ จิตเขาไปรวมอยู
้ ่ที่สุขและปีติ กาย
สบาย ใจเย็นสบาย กายอิ่มเหมือนแผนดิ ่ นที่อิ่มน้ำฝนยอมขั ่ งน้ำไวได ้ ้ ใจก็สดใสขึ้น
จิตนั้นก็กำหนดอารมณหนึ ์ ่งหนักเขา้ แรงขึ้นเบงตั ่ วออกไปอีก ปีติหลุดไปอีกจะเขาสู ้ ่
ตติยฌานตอไป ่
ค. ตติยฌาน มีองค์ ๒ คือ ๑ สุข สบายกาย สบายใจ เย็นใจเป็นรส ๒
เอกัคคตารมณ์ จิตหนักแนนแนบเนี ่ ยนสนิทมั่น เพงแรงเบงแสงเกิ
่ ่ ดสวางไสวเบิ
่ กบาน
ใจขึ้นอีกมาก จดจอเขาไปดวยความมี
่ ้ ้ สติสัมปชัญญะอันสมบูรณ์ สุขะ ความสุขไหวๆ
ตัว แลวจิ้ ตขยับตัวหนอยหนึ ่ ่งก็จะเขาสู
้ ่จตุตถฌานตอไป ่
ง. จตุตถฌาน มีองค์ ๒ คือ ๑. อุเบกขา วางเฉยตออารมณตางๆ ่ ์ ่ อดีต
อนาคต และรูปหยาบๆ ปัจจุบันก็หายไป ๒. เอกัคคตารมณ์ จิตวิเวก มีสติเต็มที่สวางจา ่ ้
เหมือนนั่งอยู่ในที่มีไฟอันสวางในหองวางๆ ่ ้ ่ หมดงานแลวนั ้ ่งนอนอยู่โดยความเป็น
อิสระ แลวจิ ้ ตพักผอนมี ่ กำลังแข็งแรงกวางขวาง ้ แลวใหถอยกลั
้ ้ บออกมาอีก แลวเขาไป ้ ้
อีก นานเขาก็ ้ จะเกิดวิปัสสนาญาณขึ้นมาเอง เหมือนหมอแบตเตอรี ้ ่ใสสายพอกดปุ
่ ่ม
ไฟก็พุ่งออกเอง เราจะเอาหลอดสีใด จะใชประโยชนอะไรก็ ้ ์ ตามแตวิ่ ชชาของตน คือ
วิชชาตางๆ ่ ที่กลาวมาก็
่ จะเกิดขึ้น
สรุป ฌานมี ๓ แผนก ๑. ผู้เจริญไดแตปฐมฌานเทานั ้ ่ ่ ้น ทานก็ ่ ไดวิ้ ปัส
สนาญาณเลย นี่จำพวกหนึ่งเรียกวา่ ปัญญาธิกะ รู้ไดเร็ ้ วเป็นปัญญาวิมุตติ ๒. ผู้เจริญ
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ลี)
๓๖ อานาปาน์
ฌานถึง ๔ ชั้นแลวไปเกิ
้ ดวิปัสสนาญาณขึ้นรู้สัจจธรรมในฌานที่ ๔ นั้น เรียกวา่ สัทธา
ธิกะ มีวิชาพอสมควรรู้ไดพอปานกลาง
้ เป็นเจโตวิมุติขั้นแรก ๓. ผู้มาเจริญญาณทั้ง ๔
ใหชำนาญทั
้ ้งเขาออกตั
้ ้งอยู่และกาวไปจนถึ
้ งอรูปฌานทั้ง ๔ แลวถอยกลั
้ บออกมาจน
ถึงปฐมฌานหลายๆ ครั้ง แลวจึ ้ งเกิดญาณ เกิดวิชชานี้ เกิดปัญญาวิมุตติ หลุดออก
จากอาสวกิเลสภายหลัง อยางนี ่ ้เรียกวา่ วิริยาธิกะ บุคคลที่บำเพ็ญฌานมากกำลังแรง
แสงกลาปั
้ ญญาเกิดขึ้นขณะจิตเดียวตรัสรู้ได้ เรียกวา่ เจโตปริยวิมุตฺติ ดังนี้
นี้ผลอันจะพึงไดรั้ บของผู้ปฏิบัติ จะตองมี
้ ทั้งเหตุ คือ การกระทำ จึงจะสง่
ผลใหโดยบริ
้ บูรณ์ แลฯ

แสดงพุทธาภิเษก
เมื่อเดือนวิสาขบูชา ตรงกับวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๐๒ มีขอความสำคั้ ญอยู่ ๓
อยาง:-

(๑) เหตุใหตรั
้ สรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจา้
(๒) คุณสมบัติของพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ที่พระองคไดทรงตรั์ ้ สรู้แลว้
(๓) พระองคทรงทำประโยชนใหเป็
์ ์ ้ นไปแกพุ่ ทธบริษัททั้งหลาย ดวยคุ ้ ณธรรม
อันยิ่ง คือ มหากรุณาธิคุณ สรางความดี ้ ใหพุ้ ทธบริษัททั้งหลายจนตลอดเวลา ๔๕
พรรษา ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน ในวันวิสาขปุรณมี ดิถีเพ็ญเดือน ๖ เอกศก เป็นปัจฉิม
วัยแหงพระชนมชี
่ พของพระองค์ รวมทั้งหมดตั้งแตประสู
่ ติมา ๘๐ ปีบริบูรณ์ เหตุนั้นใน
วันนี้พวกเรามีวิธีการสวดพุทธาภิเษกพระปฏิมากร สมมติบัญญัติไวเพื ้ ่อใหสำเร็
้ จ
ประโยชนแกปวงชนผู
์ ่ ้มีปัญญา จะไดกราบไหวบู
้ ้ ชาอยู่เป็นนิจในวัตถุที่ควรบูชา ดั่งนี้
อธิบาย
(๑) เหตุที่จะใหเป็้ นพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ที่เราจะไดสวดกั ้ นในกาล
ตอไปนี
่ ้ เพื่อสมมติวัตถุนั้นใหเป็
้ นความจริงขึ้นโดยการนึก เรียกวา่ “จริงสมมติ” ที่เรา
พุทธาภิเษก
สมถ-วิปัสสนาวิธี ๓๗
สวดกันนี้ เรียกวา่ “จริงบัญญัติ” โดยใจความสั้นๆ ก็คือ:-
๑. ทานปารมี การบริจาค ๒. สีลปารมี ๓. เนกขัมมปารมี ๔. ปัญญา
ปารมี ๕. วิริยปารมี ๖.ขันติปารมี ๗.สัจจปารมี ๘. อธิฏฐานปารมี ๙. เมตตา
ปารมี ๑๐. อุเปกขาปารมี บารมีทั้ง ๑๐ ขอนี ้ ้มีอยู่ถึง ๓ ชั้น อยางต่
่ ำเรียกวา่ “ปารมี”
อยางกลางเรี
่ ยกวา่ “อุปปารมี” อยางสู
่ งเรียกวา่ “ปรมัตถปารมี”
์ ้ สรางเหตุ
เมื่อพระองคไดทรง ้ ดั่งนี้แลวโดยสมบู
้ รณ์ จึงไดบรรลุ
้ เป็นพระ
สัมมาสัมพุทธเจา้ พระองคจะทำอะไรมี
์ ลักษณะที่ใหเหนื ้ อคนอยู่เสมอ ตัวอยางเชน ่ ่
พระองคไดทรงบำเพ็
์ ้ ญมหาบริจาค ๕ อยาง ่
๑. ธนบริจาค ใหทรั้ พยสิ์ นเงินทอง แกวรั ้ ตนะทั้งปวงที่หวงแหน พระองค์
ยอมเสียสละใหเป็ ้ นทาน จนพระที่นั่งในคราวที่เป็นมหาราชา ยังยอมเสียสละใหคนอื ้ ่น
ได้
๒. อังคบริจาค พระองคเสี ์ ยสละอวัยวะบางสวนใหเป็ ่ ้ นทาน เชนเลื ่ อด
เนื้อในตัวของพระองคเอง ์
๓. ชีวิตบริจาค บางคราวมีเหตุจะเกิดอันตรายแกเพื ่ ่อนมนุษยดวยกั
์ ้ น
พระองคยอมเสี
์ ยสละชีวิต เพื่อเป็นการใหความสุ
้ ขแกเขาทั
่ ้งหลายอื่นๆ
๔. ปุตตบริจาค สละลูกรักในอกใหเป็ ้ นทาน
๕. ภริยาบริจาค ใหภริ ้ ยาที่รักเป็นทาน ทั้ง ๕ ประการนี้ย่อมสำเร็จผล
อันใหญ่ คือ พระโพธิญาณ
(๒) คุณสมบัติซึ่งเกิดขึ้นแลวในพระองค
้ ์ คือ วิชชาจรณสัมปันโน
พรอมทั
้ ้งเหตุ และผลไดเกิ
้ ดแลวในพระองคเอง
้ ์ คือ วิชชา ๓:-
๑. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติหนหลังได้ เหตุใหเกิ
้ ดความเบื่อ
หนายในการเกิ
่ ดตายของสัตว์

พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ลี)
๓๘ อานาปาน์
๒.จุตูปปาตญาณ รู้จักกำหนดรู้เรื่องของวิญญาณ ปฏิสนธิวิญญาณ
จุติวิญญาณ วาไปอยางไร
่ ่ มาอยางไร ่ อะไรเป็นเหตุ กำหนดรู้ได้
๓.อาสวักขยญาณ ญาณความรู้พิเศษไดเกิ ้ ดขึ้นในปัจฉิมยามแหง่
ราตรีของวันเพ็ญเดือน ๖ วิสาขมาส พระองคไดทรงตรั
์ ้ สรู้พระอริยสัจจธรรมทั้ง ๔ โดย
สมบูรณ์ ยังมีคุณธรรมอยางอื
่ ่นเพิ่มเติมอีกมาก อันเป็นผลพลอยไดของศาสนกิ
้ จ ฉพ
ภิญโญ ๖ ปฏิสัมภิทา ๔ วิชชา ๘ ปุพพวิหารธรรม ๘ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ นี่เป็น
คุณสมบัติของพระองคที์ ่ทรงไว้ เรียกวา่ “พระธรรม”
(๓) พระองคทรงพระมหากรุ
์ ณาอันยิ่งใหญ่ แกสรรพสั
่ ตวทั์ ้ง
หลายใน โลก พระองคจึ์ งไดทรงสรางปารมี
้ ้ ประพฤติตนโดยลักษณะ มี ๓ อยาง

๑. พุทธจริยา พระองคไดทรงบำเพ็
์ ้ ญเหตุใหไดตรั
้ ้ สรู้แลวโดยพระญาณอั
้ นยิ่ง
๒.ญาตัตถจริยา พระองคทรงระลึ ์ กถึงบุพพการีบุคคล มีบิดามารดาวงศา
คณาญาติศากยตระกูล ซึ่งมีอยู่ในกรุงกบิลพัสดุ์ มีพระเจาศรี ้ สุทโธทนเป็นประมุข และ
ไดเสด็
้ จขึ้นไปโปรดพระมารดาบนสวรรค์ จนไดสำเร็ ้ จประโยชนอั์ นเป็นที่พึงพอพระ
หฤทัย
๓.โลกัตถจริยา พระองคทรงทอดพระนตรเล็
์ งแลดวยพระญาณวา
้ ่ สัตวจำ์
พวกไหนมีอินทรียแกกลา
์ ่ ้ และปานกลางพอจะเทศนาสั่งสอนได ้ พระองคเป็ ์ นหมอดู
วิเศษยิ่งไปกวาหมอโหรในโลก
่ เมื่อเห็นอุปนิสัยของสัตวอยางไรแลว
์ ่ ้ ก็เสด็จไปโปรด
จะไดรั้ บความลำบากยากแคนประการใด
้ พระองค์ก็เสด็จไปดวยความเมตตา
้ พระ
องคทรงทำกิ
์ จศาสนาใหแกโลกมี
้ ่ ลักษณะอยู่ ๓ ประการ
๑. อิทธิปาฏิหาริย พระองคทรงทำในทางจิ
์ ต บันดาลใหผู้ ้ที่มีกิเลสอันหนา
แนนคลายพยศ
่ เชนพระองคไดไปทรมานพวกชฎิ
่ ์ ้ ล และไดทรมานพระอั
้ งคุลิมาล เช่น
ทำใหแผนดิ
้ ่ นเป็นคลื่นเหมือนมหาสมุทร เป็นเหตุใหพระอั ้ งคุลิมาลเหนื่อยในการวิ่ง
หรือสมัยทรงทรมานเดียรถีย์นิครนถ์ หรือชางนาฬาคิ
้ รี หรือนายพรานที่เล็งธนูใสลู่ กตา
พุทธาภิเษก
สมถ-วิปัสสนาวิธี ๓๙
พระพุทธเจาโดยความพยาบาท
้ ปรากฏวา่ นายพรานยอตั ่ ว ยกแขน เขยงเทา ่ ้ อาปาก ้
น้ำลายไหล กระดุกกระดิกตัวไมได ่ ้ โดยฤทธิ์พระเมตตาเจโตวิมุติของพระสัมมาสัม
พุทธเจา้ ฉะนั้นจึงเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ ที่เราเรียกวาขลั ่ ง (พระพุทธเจาเป็ ้ นยอดแหงคน ่
ขลังในโลก คนบางพวกสมัยนี้บางทีก็เห็นวาของขลั ่ งมันไมดี่ มันเป็นสีลพัตตฯ แตโดย ่
มากคนพูดเชนนั ่ ้น เขาไมมี่ ความดีที่จะขลัง คนที่เขามีความดีที่ขลังโดยมากในทาง
ธรรมแลว้ เขาไมติ่ ดความขลัง เหมือนคนกินขาวที ้ ่อิ่มเขาไมหิ่ ว ฉะนั้นจะทำการงาน
สิ่งใดก็ยอมเป็
่ นประโยชนแกปวงชน) ์ ่ และศักดิ์สิทธิ์อยู่ทุกวันนี้ “พระพุทธเจาของเรา ้
เป็นยอดแหงคนขลั ่ งในโลกประการหนึ่ง” ฉะนั้นจึงสามารถทำกิจศาสนาไดอยางกวาง ้ ่ ้
ขวาง สิ่งเหลานี ่ ้ขึ้นอยู่กับผู้มีปัญญา ถาใครไมมี้ ่ ปัญญาก็จะเห็นตรงกันขาม ้ เชนเห็ ่ นวา่
เรื่องขลังศักดิ์สิทธิ์เป็นการผิดพระศาสนา อันนั้นเป็นความโงงมงายของเขาเอง ่ ซึ่งไมมี่
สมบัติอันใดในตัว
๒. อาเทสนาปาฏิหาริย คือ การแสดงธรรมสกัดกั้นความคิดความเห็นของ
คนบางพวกไดอยางใจนึ ้ ่ กของเขา คือ มีวิธีการจูงใจคนใหนิ้ ยมในลัทธิของพระองคได ์ ้
เป็นอยางดี ่ คือ ทำใหบุ้ คคลที่ถามในปัญหาตางๆ ่ โดยพระองคทรงแสดงธรรมบรรยาย

ใหทราบ ้ เพื่อใหเขารู ้ ้ความจริงอยางอั ่ ศจรรยโดยผลที ์ ่ปรากฏแกเขาเอง ่ ตัวอยางเชน
่ ่
มีนางคนหนึ่ง มีบุตรอันเป็นที่รักตายไปแลว้ ก็ไดทราบขาวเลาลื ้ ่ ่ อกันวา่ พระ
องคทำคนแกมิ
์ ่ ใหแก ้ ่ คนเจ็บมิใหเจ็ ้ บ คนตายมิใหตาย ้ ใหกลั
้ บฟื้นคืนมาดียิ่งกวาเกา ่ ่
“อมตํ” คือ ความไมตาย ่ นางคนนั้นก็อยากจะใหบุ้ ตรของตนคืนมา จึงไปเฝาพระองค ้ ์
พระองคไมยั ์ ่ กปฏิเสธ กลับบอกกับนางวา่ ขอใหไปหาเมล็ ้ ดพันธุ์ผักกาดมา จะไดประ ้
กอบยาให ้ แตบานใดหลั ่ ้ งคาใดที่มีคนตายอยาไดเอามา ่ ้ ใหเอาบานที
้ ้ ่เขาไมมี่ คนตาย
ใหถามเขาดู
้ ใหหมดเสี
้ ยกอนจึ
่ งคอยเอามา
่ นางก็เที่ยวหาอยู่ก็ไมไดพบสั ่ ้ กที ก็นึกเอะ
ขึ้นมาในใจของตนเองวา่ คนเกิดมาตองตายทุ ้ กคน เมื่อนึกไดเชนนี ้ ่ ้ก็มากราบทูลพระ
สัมมาสัมพุทธเจาวา ้ ่ หาไมได่ ้ ไมมี่ พระองคจึ์ งไดแสดงธรรมดั้ บจิตดับใจของนางคน นั้น
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ลี)
๔๐ อานาปาน์
จนไดเกิ ้ ดความเชื่อความเลื่อมใส ไดปฏิ ้ ญาณตนถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง คือทำ
ประโยชนใหสำเร็์ ้ จแกเขาไดในชั
่ ้ ่วขณะนั่งสนทนาธรรม ฉะนั้นจึงเป็นสิ่งอัศจรรยขอ ์ ้
หนึ่ง
อีกเรื่องหนึ่ง ที่มีมาในธรรมบทปาฐมีใจความวา่ ยังมีนางคนหนึ่งเป็นคน
เชื่อถือพระสัมมาสัมพุทธเจาเสมอดวยพระบิ ้ ้ ดา แตสามี
่ ของเธอเป็นมิจฉาทิฏฐิไมนิ่ ยม
ในการทำทาน นางตองการอยากอาราธนาพระพุ
้ ทธเจามาเยี
้ ่ยมสามีๆ ก็ไมใหโอกาส ่ ้
พระองคก็์ มีความเมตตาแกนางเสมอดวยบุ ่ ้ ตรสาว เมื่อเป็นเชนนี ่ ้นางก็ไดอาราธนา

พระองคเสด็ ์ จไปเยี่ยม เพราะนายพรานคนนั้นมีอาการป่วยหนัก เมื่อพระองคเสด็ ์ จไป
ถึงหนาบานก็
้ ้ ไดยื้ นอยู่ ภรรยามองเห็นก็เขาไปบอกสามี ้ ของตน สามีก็ตอบนางวา่
“อยาใหมั
่ ้ นเขามานะ”้ ตอมาพระองคก็
่ ์ คิดหาอุบายเพื่อไปโปรด พระองคจึ์ งนึกขึ้นไดวา ้่
ธรรมดานายพรานเขาชอบหมาลาเนื ่ ้อ จึงสั่งภรรยาเขาวา่ ฉันจะเอาหมามาใหสั้ ก ๓ ตัว
นายพรานก็ดีใจนึกวาตั ่ วจะไดหมาอยางดี ้ ่ พระองคก็์ เสด็จไปนั่งใกลๆ้ แสดงเทศนา
แกนายพรานวา
่ ่ หมาของเรามีชื่อ ถ้าเรียกผิดชื่อมันก็ไมมา ่ ฉะนั้นใหเรี้ ยนเอาชื่อมัน
เสียกอน ่ ตัวที่หนึ่งชื่อ พุทโธ ตัวที่สองชื่อ ธัมโม ตัวที่สามชื่อ สังโฆ นายพรานนึกบริ
กรรมพร่ำไป เมื่อนึกอยู่ ใจของเธอก็นิ่งอยู่ในการนึก อยู่มาไมนานสั ่ กครู่หนึ่งก็ถึงแก่
มรณกาล นายพรานนั้นก็ไดถึ้ งพระไตรสรณคมนปิ์ ดอบายทั้ง ๔ ไดไปอุ ้ บัติบังเกิดใน
ชั้นจาตุมมหาราชิกา ขอนี ้ ้เรียกไดวาอาเทสนาปาฏิ
้่ หาริย ยอมเกิ
่ ดประโยชนแกปวง ์ ่
สัตวชนิ์ ดหนึ่ง
อีกขอหนึ
้ ่ง ในสมัยครั้งหนึ่งพระองคประทั ์ บอยู่ในสถานที่วิเวกกับดวยพระสารี

บุตร มีพราหมณคนหนึ ์ ่ง ชื่อทีฆนขพราหมณ์ มาแสดงปัญหาความคิดเห็นของตน จึง
ไดพู้ ดขึ้นวา่ “สิ่งทั้งหลายในโลกนี้ สิ่งใดเรื่องอันใดที่ขาพเจาชอบใจ ้ ้ สิ่งนั้นควรแกขาพ ่้
เจา้ สิ่งใดขาพเจาไมชอบใจ
้ ้ ่ สิ่งนั้นไมควรแกข้
่ ่ าพเจา้ บางสิ่งบางอยางขาพเจาชอบใจ
่ ้ ้
บางสิ่งบางอยางนั ่ ้นควรแกขาพเจา ่ ้ ้ บางสิ่งบางอยางขาพเจาไมชอบใจ ่ ้ ้ ่ บางสิ่งบาง
พุทธาภิเษก
สมถ-วิปัสสนาวิธี ๔๑
อยางนั
่ ้นไมควรแกขาพเจา”
่ ่ ้ ้ พระพุทธองคทรงนิ ์ ่งอยู่ พอพราหมณพู์ ดจบลง พระองค์
แสดงธรรมดักใจวา่ “ความเห็นของทานอยางนั ่ ่ ้น ก็ไมควรแกทานเหมื
่ ่ ่ อนกัน”
ตาพราหมณหมดทิ ์ ฏฐิมานะไดทั้ นที พระสารีบุตรเถรเจานั ้ ่งเฝ้างานพัดพระองคอยู ์ ่
ก็ไดบรรลุ้ คุณธรรมอยางสู ่ งสุดในขณะนั้น ฉะนั้นจึงจัดวาอาเทสนาปาฏิ ่ หาริยเป็์ นสิ่ง
อัศจรรยอั์ นยิ่งขอหนึ ้ ่ง
๓. อนุสาสนีปาฎิหาริย พระองคทรงสั ์ ่งสอน เมื่อเกิดศรัทธาแลวพระองคก็ ้ ์
ทรงสอนซ้ำกลับไปกลับมา ทักทายปราศัยซักซอมใหผู ้ ้ ้ฟังไดบรรลุ ้ คุณธรรมอยางอั ่ ศ
จรรย์ เชน่ พระองคทรงสั ์ ่งสอนเทศนาแกพวกเบญจวั ่ คคีย์ทั้ง ๕ ตามสอนจนไดบรรลุ ้
เป็นพระขีณาสพ อันนี้ก็เป็นสิ่งอัศจรรยอยางหนึ ์ ่ ่ง ฉะนั้นพระองคจึ์ งเป็นจอมมุนีของ
โลก มาบัดนี้พระองคไดเสด็ ์ ้ จดับขันธปรินิพพานไปแลว้ พวกเราพุทธบริษัททั้งหลาย
ซึ่งยังเยาวยั์ งพึ่งตนเองไมได ่ ้ จะนึกถึงคุณความดีก็ไมมี่ วัตถุเปรียบเทียบ เหมือน
กับเรียนหนังสือ ที่เขาบอกวาตั ่ ว ส. เสือ ตัว ส. เป็นอยางนี ่ ้ เสือเป็นอยางโนน ่ ้
เขียนรูปใหดู้ ผู้เรียนนั้นจำตัวหนังสือได้ มีวิชาเกิดขึ้นดวย ้ คือ รู้ลักษณะของ เสือ
แต ่ เสื อ นั ้ น เขาไม ่ เคยเห็ น เลย แต ่ จำรู ป เสื อ ที ่ เ ขาเขี ย นบอกไว ้ ได ้ เมื ่ อ เขา
เจอเขาเมื ้ ่ อ ใดเขาก็ จ ะหลบหนี ไ ด ้ อยางปลอดภั ่ ย ฉะนั ้ น นั ก ปราชญ ์ จึ ง ไดคิ ้ ด
สรางพระปฏิ
้ มากรขึ้นโดยสมมติ ใหพวกเราผู ้ ้เคารพพระองค์ เพื่อจะไดอาศั ้ ย
วัตถุอันนี้เป็นเครื่องหมาย ใหผลดี ้ แกพวกเราไดวิ
่ ้ ธีหนึ่ง ตัวอยางเชน ่ ่ เราไปบานใครที
้ ่
เราไมเคยรู่ ้จักเขาเลย แตเรามองเห็ ่ นหิ้งบูชาพระของเขา เราก็อุ่นใจไดอยางหนึ ้ ่ ่ง ถา้
เป็นพระสงฆและยั ์ งไมไดฉั่ ้ นจังหัน ก็มีหวังที่จะไดฉั้ นโดยไมตองพู ่ ้ ด นอกจากนั้นยัง
เป็นเครื่องหมายของสถานที่แหงภู ่ มิศาสตรประวั ์ ติศาสตรศิ์ ลปกรรมเนื่องดวยพุ ้ ทธะ
ฉะนั้นในวันนี้เราจึงรวมใจกั ่ นมาชุมนุมสวดมนต์ เพงเล็ ่ งจดจอลงไปในวั่ ตถุนั้นๆ
ดวยอำนาจแหงสั
้ ่ มมาสมาธิ เหมือนเขาอัดกระแสไฟฟ้าเขาไปในหมอแบตเตอรี ้ ้ ่ แลว้
ปลอยกระแสไฟไปตามสาย
่ เมื่อไปปะทะกับน้ำมันเขาก็ ้ สามารถจะทำใหวั้ ตถุนั้นไหว
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ลี)
๔๒ อานาปาน์
ตัวโดยเราไมตองไปทำอะไรมั
่ ้ น เชนกั
่ งหันและพัดลม หรือเครื่องยนต์ ฉะนั้นพระพุทธ
รูปนี้ย่อมดีขึ้นโดยสมมติและบัญญัต
สมมติ
สมมติที่มีความเป็นจริงอยางหนึ ่ ่ง สมมติที่ไมมี่ ความจริงอีกอยางหนึ ่ ่ง เชน่
สมมติไมมี่ ความจริง แตเป็ ่ นประโยชนแกผู ์ ่ ้มีปัญญา เชนกระดาษธนบั ่ ตรไมใชเงิ
่ ่ น
แตมี่ ราคาเทากั ่ นกับเงิน นี่คือ “จริงสมมติ” ที่ไมใชความจริ ่ ่ ง
๑. จริงบัญญัติ เขียนเป็นตัวเลขและหนังสือติดไววา ้ ่ ๑ บาท ๕ บาท ๑๐ บาท
๒๐-๑๐๐-๑๐๐๐ บาท ตามแตที่ ่จะแตงตั ่ ้งกันขึ้น จริงอันนี้มันทำใหบุ้ คคลไดรั้ บความ
สะดวกทุกดานทุ ้ กมุมสำหรับคนดี แตไมมี ่ ่ ประโยชน์อันใดกับคนบาอยางหนั ้ ่ กและลิง
คาง่ ซึ่งไมรู่ ้จักภาษาคน ก็ย่อมลำบากแกตั่ วเขาเอง พระพุทธรูปหรือพระบรมธาตุเป็น
วัตถุที่เป็นจริงโดยสมมติกันดวยอำนาจแหงดวงจิ
้ ่ ตของเราทั้งหลาย แต่ไมใชพระพุ ่ ่ ทธ
เจา้ พระพุทธเจานั ้ ้นคือมนุษยอยางเรา
์ ่ พระพุทธเจาจริ ้ งๆ นั้นเป็นชื่อแหงความบริ
่ สุทธิ์
ของจิตใจแหงคน ่ จะสมมติกอนดิ้ นกอนกรวดกอนทรายไมเห็
้ ้ ่ นเป็นของแปลกอะไรเลย
ถาคนมี
้ ปัญญาเสมอกอนกรวดก็ ้ สามารถทำใหเขาเป็ ้ นเศรษฐีได้ ดูซิถนนบางกะปิ ใคร
เอามาขายเอามาทำขึ้นจะตองไดเงิ ้ ้ นเป็นลานๆ ้ ขึ้นชื่อวาคนตาบอดใบแลวจะเอาแกว
่ ้ ้ ้
มาผูกคอก็ไมมี่ ประโยชนอะไรเลย ์ นี่พูดถึงจริงสมมติที่ไมมี่ ความจริง
๒. จริงสมมติ ที่มีความจริงอีกอยางหนึ ่ ่ง ซึ่งเป็นสวนตางๆ
่ ่ แหงอวั ่ ยวะของ
พระองคที์ ่เราเรียกกันวา่ พระบรมสารีริกธาตุ วัตถุอันนั้นถาเป็ ้ นพระบรมธาตุจริงๆ เรา
ก็บัญญัติว่าเป็นของจริง จึงไดเขี ้ ยนคำไหววา ้ ่ อหํ วนฺทามิ ธาตุโย อหํ วนฺทามิ สพฺพ
โสฯ ดั่งนี้ใครจะนับถือก็ตามไม่นับถือก็ตาม ของนั้นก็เป็นของจริงอยู่อยางนั ่ ้นไม ่
เปลี่ยนแปลง เรียกวา่ “ธรรมธาตุ” ธาตุที่ทรงอยู่โดยภาวะ เหมือนกับเงินซึ่งเป็นธาตุ
ชนิดหนึ่ง มาหลอหลอมใหเป็ ่ ้ นแผน่ สมมติกันขึ้นอีกวา่ “เงินบาท เงินเหรียญ” บัญญัติ
ขึ้นไววา
้ ่ นี้ ๕ สตางค์ ๑๐ สตางค์ ๑๐ บาท ๒ สลึงก็ใชกั้ นไดดื้ ่นดาษบางสมัย สมัยนี้ก็
พุทธาภิเษก
สมถ-วิปัสสนาวิธี ๔๓
ไมใครเอาเงิ
่ ่ นเหรียญนั้นไปใชจาย ้ ่ แตมั่ นกลับกลายเป็นของมีราคาสูงยิ่งขึ้นกวาเกา ่ ่
สำหรับผู้คนเขลาก็มิไดสะสม ้ สวนตาแป๊
่ ะแกๆ่ ไปซื้อมาเหรียญหนึ่งมีราคา ๑๐ บาท
เศษ มาตีเป็นขันเงินชุบทองขายใหคนที ้ ่ไมมี่ วิชาใชสอย ้ น้ำหนัก ๑๐ บาท อาจจะขาย
ไดตั้ ้งรอยตั
้ ้งชั่งดังนี้ นี่เรียกวาจริ
่ ง สมมติ ที่มีความจริง สมมติธาตุเงินเป็นเงิน ซึ่งมี
ความจริงนั้น ยิ่งมีค่าสูงดีไปกวาสมั ่ ยคนนิยมใชไปเสี ้ ยอีก เชนธาตุ ่ เงินบริสุทธิ์เวลานี้มี
ราคาถึง ๑๐ บาทเศษ ตอน้ ่ ำหนัก ๑ บาท ฉะนั้นจริงสมมติ จริงบัญญัติ จริงปรมัตถไม ์ ่
ตองพู
้ ดมาก เพราะคนโงมั่ นจะฉวยโอกาสปฏิบัติตัวใหเลอะ ้ เป็นเรื่องใชเฉพาะตั
้ วคน
หนึ่งผู้มีธรรมในทางจิตใจ ชี้แนวทางบางนิ ้ ดหนอยใหทานมองเห็
่ ้ ่ น เวลานี้มีผู้เรียน
ปรมัตถอั์ นเป็นความจริงอยู่มาก ก็เป็นหวงเหมื ่ อนกัน แตมั่ นชักเลอะๆ เชน่ พระบางรูป
อาจารยบางคนเรี
์ ยนปรมัตถแกเขา ์ ่ ้ จนที่สุดผู้หญิงผู้ชายก็ไมมี่ ในโลก กลางคืนกลาง
วันก็ไมมี่ ในโลก ตัวตนเราเขาก็ไมมี่ ในโลก เมื่อเขาเห็นเชนนั ่ ้นก็คลุกคลีตีโมงสลับเพศ
กันไป ถึงกับนั่งที่ลับในหองกั ้ บผู้หญิง หลงเพศ หลงทิศ หลงแดน หลงบาน ้ หลงเมือง
หลงตน หลงคน หลงอนัตตา เพราะถือเครงปรมั ่ ตถโดยไมมี ์ ่ เหตุผล กลายเป็นคนงม
งาย ฉะนั้นปรมัตถจึ์ งเป็นของควรใชเฉพาะดวงจิ ้ ตของตนเพียงเทานั ่ ้น เมื่อใครปฏิบัติ
ตามยอมสำเร็
่ จประโยชนในพระศาสนา
์ ถาใครไมปฏิ
้ ่ บัติตามมองไมเห็ ่ นประโยชน์ใน
เรื่องนี้ มันก็เป็นกรรมของเขาเอง บางคนก็เห็นวาเป็ ่ นของต่ำ เป็นของขลัง ต่ำและสูง
มันก็เป็นเรื่องของคนๆ หนึ่ง แรเงิ ่ นแรทองอยู
่ ่ใตดิ้ น มันพาคนบินขึ้นไปบนฟ้า มันเป็น
วิสัยของผู้มีปัญญาจริงบัญญัติ บัญญัติมีอยู่ ๒ อยาง ่ ๑. พุทธบัญญัติ ๒. ประเทศ
บัญญัติ
๑. พุทธบัญญัติ นั้นคือ พระวินัยบัญญัติ พระสุตตันตบัญญัติ ปรมัตถบัญ ญัติ
ถ ้ าใครไมประพฤติ
่ ไ มปฏิ
่ บ ั ต ิ ต าม ก็ ช ื ่ อ วาไมมี
่ ่ ค วามเคารพยำเกรงตอกฎนั ่ ้นๆ
ฉะนั้นการบวชในพระพุทธศาสนาจึงมีต่างๆ กันดังนี้คือ:-
(๑) อุปชีวกา บวชมาเพื่อหาเลี้ยงชีวิต แสวงหาลาภสักการะโดยทางผิด ไดมา ้
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ลี)
๔๔ อานาปาน์
แลวบริ
้ โภคใชสอยผิ ้ ดทางธรรมวินัย เชนบางพวกสะสมอาหารไวกิ
่ ้ นเอง บางคราวฉัน
โอวัลตินกินนมใสไขในเวลาวิ ่ ่ กาล บางสมัยทำการคาหากำไรใชสอยเงิ้ ้ นดวยมื้ อตนเอง
อันผิดพระวินัยบัญญัติ แสดงตนเป็นผู้ถือเครงครั ่ ดปฏิบัติธรรม แตความประพฤติ ่ แค่
พระวินัยก็ยังรุ่มรามอยู ่ ่มาก บางทีหาวาสมั ่ ยกอนไมมี่ ่ รถไมมี่ เรือไมจำเป็ ่ นจะตองใช ้ ้
เงินดวยตนเอง
้ สมัยนี้จึงเป็นการที่ควร โดยเหตุการณตางๆ ์ ่ ลักษณะเชนนั ่ ้นใครเป็น
คนพูดบัญญัติไว้ ความจริงมันเป็นเรื่องเห็นแกตั่ ว ไมเกรงกลั ่ วพระวินัยบัญญัติ จึงจัด
วาบวชหลอกบวชลวงประชาชนทั
่ ้งปวงใหเขาใจผิ
้ ้ ด จิตเขาเป็นอกุศล เขาผู้นั้นเป็น
อกุศล เป็นผู้ลมเลิ ้ กลบลางคำสอนพุ ้ ทธบัญญัติประพฤติตนเป็นคนแตกตางไปจากหมู ่ ่
เหตุอันนี้เป็นบอเกิ ่ ดแหงลั ่ ทธินิกายขึ้นไดอี้ กประการหนึ่ง
(๒) อุปมุยหิกา บวชหลงงมงาย เขาพาประพฤติอยางไรก็ ่ ทำไปอยางนั ่ ้น ถือ
ครูถืออาจารยเป็ ์ นใหญยิ่ ่งกวาธรรมวิ ่ นัย ถือแบบถือตำราที่ผานมาวาเป็ ่ ่ นความจริง ไม่
ศึกษาปฏิบัติใหเป็ ้ นไปในไตรสิกขา แสวงหาตั้งแตเครื ่ ่องมึนเครื่องเมา เมายศ เมาลาภ
เมาสรรเสริญ เมาสุขของอามิส คนโบราณจึงกลาวภาษิ ่ ตวา่ “หวายเมาขี้ มันกรอบหัก
งายไมมี
่ ่ เหนียว จะผูกมัดอะไรก็ไมหนาแนนมั ่ ่ ่นคง” พระสงฆที์ ่เป็นนักบวชประเภทนั้น
ทานจึ
่ งเรียกวา่ “อุปมุยหิกา” หลงงมงายไมประพฤติ ่ ปฏิบัติตามหนทางที่ถูก เรียน
ปริยัติก็สักแตวาเรี ่ ่ ยน เรียนรู้แลวก็ ้ ยังประพฤติตนอยู่ตามสภาพเดิมรู้ทำเป็นไมรู่ ้
ธุระกิจอันใดควรทำควรประกอบขึ้นในตนที่เรียกว ่าปฏิบัติธรรมอยางนี ่ ้ก็ไม่ ปฏิบัติตาม
บางทีก็ขวนขวายไปในทางอื่น เชนแสวงหายศถาบรรดาศั ่ กดิ์โดยวิธีการตางๆ ่ ดังไดฟั้ ง
คำเลามาจากสมเด็
่ จพระมหาวีรวงศวั์ ดบรมนิวาส พระบางองคทานเรี ์ ่ ยกวา่ “พระครู ขี้”
คือ สมัยหนึ่งทานไดรั ่ ้ บหนาที ้ ่ตำแหนงเป็ ่ นเจาคณะมณฑล
้ มีพระบางรูปมาขอยศ
เป็นพระครูจนทานเกิ ่ ดรำคาญ ในที่สุดทานก็ ่ ปวดอุจจาระ กอนจะลุ ่ กไปก็สั่งคณะ
สงฆวา ์ ่ “ใหบั้ นทึกขอใหเธอเสี ้ ย ฉันจะไปขี้ รำคาญ” ตอจากนั ่ ้นมาเพื่อนภิกษุด้วยกัน
ก็ไดเรี
้ ยกชื่อวา่ “พระครูขี้” บางองคทานก็ ์ ่ บอกวา่ “อุปัชฌายขาวเมา” ์ ้ ่ “พระครูหัวมัน
พุทธาภิเษก
สมถ-วิปัสสนาวิธี ๔๕
เทศ” คือกอนเขาจะมาขอตำแหนง
่ ่ เขาเอาขาวเมา ้ ่ ปลาจอม ่ หัวมันเทศ มะตูมสุกมา
ถวายเป็นหลายครั้งกอนที ่ ่จะไดตั้ ้งรับหนาที ้ ่และตำแหนง่ บางองคเมื ์ ่อไดรั้ บแลวอวดดี

อวดวิเศษ ไมย่ อมไปรับพัดสัญญาบัตร ใหคนเขาเห็ ้ นวาเราเป็
่ นผู้ไมหลง
่ แตความจริ
่ ง
อยากไดจนน้ ้ ำลายไหล เตรียมฉลองไวกอนตั ้ ่ ้งแตไดทราบขาว ่ ้ ่ ลักษณะ เหลานี ่ ้เรียกวา่
“บวชหลง” แตมิ่ ไดหลงทั ้ ่วไปทุกรูป มันเป็นธรรมดาของโลก จะไดเป็ ้ น หรือไมได ่ ้
เป็นก็ตั้งหนาทำกิ ้ จพระศาสนาตามหนาที ้ ่ เชนคั ่ นถธุระฝ่ายบริหารปกครองรับผิดชอบ
ในหนาที ้ ่ของตน วิปัสสนาธุระฝ่ายคนควาในทางจิ ้ ้ ตใจ ก็ควรรับผิดชอบใน ทางจิตใจ
ก็ จ ะเป็ น ไปเพื ่ อ ความเจริ ญ กาวหนา ้ ้ ไมจำเป็ ่ น ที ่ จ ะทะเลาะหลอกลวงกั น เสี ย
เวลาเปลาๆ ่ มองไป ๒ ตา มองเห็น ๒ ดาน ้ ก็รู้สึกวาเป็ ่ นไปเพื่อความหลอกลวงกันอยู่
มาก บางทานผู ่ ้มีเจตนาดีแตทำผิ ่ ด บางทานเจตนาผิ่ ดแตหาเรื่ ่องทำดีแสวงหาความ
สามัคคีใหเกิ ้ ดขึ้นในหมู่สงฆ์ ซึ่งมีปรากฏอยู่ในหนังสือบางฉบับมีใจความอยู่ ๒ อยาง ่ ๑
เป็นคำที่ดากั ่ นเอง ๒ ตองการเอกภาพในระหวางนิ
้ ่ กาย ความคิดเห็นนั้นเป็นความ
ปรารถนาดีก็จริงอยู่ แตรู่ ้สึกนาเสี ่ ยใจในเรื่องที่มันเป็นไปไดยาก ้ ซึ่งมีอุปสรรคอยู่หลาย
อยาง่ เชนความประพฤติ
่ ในทางพระวินัยก็ลักลั่นกันอยู่ ในทางธรรมก็ยังแตกตางกั ่ นไป
เชนลั
่ ทธิปฏิบัติก็ยังปรากฏกันอยู่ ฉะนั้นการรวมแหงนิ ่ ่ กายจึงเป็นของยาก แมผู้ ้เขียน
เองก็มีปรารถนาอยู่เชนนั ่ ้น แตมั่ นเป็นเรื่องหนักใจ เพราะวาพระบางองคซึ ่ ์ ่งเป็นผู้ใหญ่
ในตำแหนงหนาที ่ ้ ่ ก็ยังไมมี่ อำนาจหนาที ้ ่รับผิดชอบของตนเองได ้ ก็เป็นเหตุใหเสื ้ ่อม
เสียในการปกครองของคณะสงฆ์ ปกครองกันก็ไมเป็ ่ นไปเพื่อธรรมวินัย นอกจากนั้นก็
ยังหาเรื่องยุแหยใหเกลี ่ ้ ยดชังกันอยู่เสมอ ตอหนาพู ่ ้ ดอยางหนึ ่ ่ง ลับหลังพูดอีกอยาง ่
หนึ่ง เมื่อเป็นเชนนี ่ ้ถึงแมมี้ ความปรารถนาดีเชนนั ่ ้น ก็ไมมี่ หนทางที่จะสำเร็จไปได้ จึง
เป็นสิ่งที่น่าเสียใจในเรื่องนี้ หนทางที่ดีจะเป็นไปไดก็้ ไมมี่ ใครชวยกั ่ นทำ เมื่อเป็นเชนนี ่ ้
ก็ไมนาจะพู
่ ่ ดใหผู้ ้อื่นเขารำคาญ ไมมี่ ประโยชน์ พูดโปรยประโยชน์ ทางที่ดีนั้นยังมีอยู่
อีกที่จะใหเป็ ้ นไปเชนนั ่ ้น
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ลี)
๔๖ อานาปาน์
๑. ฝ่ายปกครองรับผิดชอบในหนาที ้ ่ของตน โดยระเบียบการปกครอง
๒.ปรับปรุงความประพฤติของพระภิกษุสงฆ ์ ใหเขาอยู ้ ้ ่ในระดับที่ดี ก็จะเป็น
เหตุใหพ้ ุทธศาสนาเจริญกาวหนา ้ ้ เหมือนกับบุคคลที่ป่วยขาดโลหิตในตัว นายแพทย์
ผู้ฉลาดเขาตองตรวจรั
้ บผิดชอบในโลหิตนั้นๆ วามี ่ ดีกรีสูงเทากั ่ น จึงจะฉีดเขาไปในตั
้ ว
คนได ้ ถาหากวาโลหิ
้ ่ ตไมเสมอภาคกั
่ นยอมใหโทษถึ
่ ้ งตาย ทำความเสื่อมโทรมแกราง ่่
กาย ฉะนั้น การบริหารพระสงฆเราก็ ์ ควรจะนึกเชนนั ่ ้น
๓. ลัทธิในทางปฏิบัติธรรม ก็ควรใหมี้ กฎเกณฑเป็ ์ นระเบียบตามพระธรรม ซึ่ง
มีมาในมรรควิภังคสูตร ซึ่งเป็นองคประกอบในการบำเพ็
์ ญสัมมาสมาธิ มีข้อความสั้นๆ
อยู่ดั่งนี้ คือ
๑) สัมมาวายามะ ทำความเพียรชอบแกการทำกิ ่ จ เชนเพี
่ ยรละบาปคือ นิวรณ์
เพียรสะสมความดีขึ้น คือ รูปฌานทั้ง ๔ มี วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา เป็นตน้
๒) สัมมาสติ ระลึกชอบประกอบไปดวยสั ้ มปชัญญะ จดจอเพงเล็ ่ ่ งภายในสวน ่
ตางๆ
่ ของรางกายที่ ่เรียกวา่ กายคตาสติ กายคืออะไรควรทราบไว้ กายมีลักษณะ อยู่ ๒
อยาง่ ๑. ประชุมธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลมขึ้นมาเป็นกอน ้ แลวมี ้ วิญญาณสิงอยู่ เป็น
ฐานที่ตั้งของสัมมาสมาธิ ที่เรียกวา่ กายคตาสติ ๒. มารยาทของกาย มีการยืน เดิน นั่ง
นอน ทำ พูด เหลานี ่ ้เป็นสวนมารยาท
่ เป็นสถานที่ตั้งแห ่งศีล ไมใชฐานที
่ ่ ่ตั้งของ
สัมมาสมาธิ
๓) สัมมาสมาธิ ตั้งใจมั่นชอบไมอยู ่ ่ปราศจากสติ สติสัมปชัญญะประจำกาย
สติสัมปชัญญะประจำใจ เมื่อทำไดเชนนี ้ ่ ้จิตของบุคคลผู้นั้น ก็จะโพลงอยู่ดวยสติ ้ สัมป
ชัญญะ กายมีสติสัมปชัญญะ ก็เปรียบเหมือนกอนหิ ้ นที่แข็งมีธาตุไฟที่เขาไปฝั้ งอยู่ สติ
สัมปชัญญะประจำจิตก็เปรียบเหมือนแมเหล็ ่ กกลาซึ ้ ่งเก็บธาตุไฟไวไดเป็
้ ้ นอยางดี
่ เมื่อ
กายใจเสียดสีกันขึ้นโดยความไมเสมอภาค ่ ที่เรียกวาอนิ่ จจลักษณะ เมื่อถูกการเสียดสี
ขึ้นแลว้ ยอมเกิ่ ดไฟยังความวินาศใหปรากฏ ้ กายใจก็ดีเมื่อสัมมาสมาธิเกิดขึ้นแลวจาก ้
พุทธาภิเษก
สมถ-วิปัสสนาวิธี ๔๗
บุคคลผู้ใด ยอมเกิ ่ ดไฟกองใหญ ่ยิ่งกวาแรธาตุ ่ ่ ปรมาณู สามารถเที่ยวสังหารศัตรูหมู่
มารไดเป็ ้ นอยางดี ่ ที่ท่านเรียกวา่ วิปัสสนาญาณ ทานผู ่ ้ใดตองการเอกภาพแหงสงฆ
้ ่ ์
ก็ควรสนใจในเรื่องนี้จะดีกวาเป่ ่ าขาวใหอื่ ้ ้อฉาวเสียหายทำลายเกียรติของตนเองไมรู่ ้
ตัว มิฉะนั้นก็จะจัดเขาอยู ้ ่ในขอที ้ ่ว่า “บวชหลงงมงาย”
(๓) อุปทูสิกา บวชมาแลวทำลายพระพุ ้ ทธศาสนา คือ ไมปฏิ ่ บัติตามธรรม
วินัยทำลายความประพฤติของตัวเอง สิ่งควรทำไมทำ ่ สิ่งควรเจริญไมเจริ ่ ญ สิ่งควร
รักษาไวไมรั ้ ่ กษา ประพฤติตนเป็นคนลวงละเมิ ่ ดในพุทธบัญญัติชื่อวา่ “ผู้ทำลาย”
(๔) อุปนิสสรณิกา บวชเขามาเคารพตอไตรสิ ้ ่ กขา แสวงหาวิชชาใหเกิ ้ ดขึ้น
ในตนเอง เคารพยำเกรงตอธรรมวิ ่ นัย ไมลมเลิ
่ ้ กที่พระองคทรงบั ์ ญญัติไวแลวดวย
้ ้ ้
ความประพฤติของตน แสวงหาคุณธรรมอันควรจะไดแกตนเอง ้ ่ พระสงฆ์นี้ก็อยู่ในชั้น
สมมติเหมือนกันฯ
๑. สมมติ ที่ไมมี่ ความจริงในทางธรรมวินัย ๒. สมมติ ที่มีความจริงตามธรรม
วินัย คือ ๑ สมมติสงฆ์ บวชกันขึ้นโดยธรรมดาเป็นอสาธารณบุคคล คือทำไดไมทั ้ ่ ่วไป
เชนอายุ
่ ไมถึ่ ง ๒๐ ปี และเพศหญิงจะมาสมมติกันสักเทาไรก็ ่ ไมเป็ ่ นสมมติสงฆได ์ ้
ที่เป็นไปไดโ้ ดยสมมตินั้นก็ตองเป็ ้ นเพศชายบรรลุนิติภาวะไดแลว ้ ้ ก็ไดบวชสมมติ
้ กัน
ตามพระวินัยโดยถูกตอง ้ ก็นับวาเป็ ่ นพระไดชั้ ้นหนึ่งในวิธี แตยั่ งไมมี่ ความจริง
๒. อริยสงฆ์ คือผู้ถูกสมมติซึ่งมีความจริง ยอมเป็ ่ นสิ่งประเสริฐในศาสนา มี
โสดา สกิทาคา อนาคา เป็นตน้ ทานจำพวกนี ่ ้เป็นสาธารณบุคคล อุบาสกอุบาสิกา
พระเณรไมมี่ เกณฑกำหนดไววาขั
์ ้ ่ ดของ ้ ใครปฏิบัติถูกตองแลวยอมสำเร็
้ ้ ่ จผลไดทุ้ กคน
ทั้งนี้ก็เป็นการเคารพบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจาโดยพระกรุ ้ ณา คุณของพระองค์ นี่เรื่อง
สมมติและบัญญัติ ถาเราไมถื ้ ่ อกันในชั้นสมมติว่าเป็นความจริงแลว้ หมผาเหลื ่ ้ องหัว
โลนนี ้ ้ก็คงไมมี่ ประโยชนอะไร ์ ในการทำบุญกราบไหวเคารพนั ้ บถือบูชา
๒. ประเทศบัญญัติ เชนทางฝ่
่ ายอาณาจักรซึ่งไดตรากฎหมายไวแลวเป็
้ ้ ้ น
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ลี)
๔๘ อานาปาน์
ประทัดฐาน เพื่อเป็นการปกครองประเทศชาติแหงตน ่ ใหอยู ้ ่ในสันติภาพเจริญสุข แต่
มนุษยทั์ ้งหลายนั้นมีตางๆ ่ บางคนทำตนเป็นโจร เป็นผู้ร้ายเที่ยวทำลายความสุขของ
ผู้อื่น บางคนประพฤติตนอยู่ในกฎหมายของประเทศโดยหนาที ้ ่ของพลเมือง บางคน
เที่ยวขวนขวายชวยเหลื
่ อเผื่อแผสรางสรรคใหดี
่ ้ ์ ้ ขึ้นโดยวิธีต่างๆ เชนไมโกงงาน ่ ่ ไมโกง่
เวลา ทำธุระหนาที ้ ่ของตนอยางเครงครั ่ ่ ด ปฏิบัติหนาที ้ ่ของตนใหเกิ ้ ดประโยชนแกชาติ ์ ่
ถาใครไมเคารพลั
้ ่ ทธิประเพณีและกฎหมายของชาติ คนนั้นชื่อวาเป็ ่ นผู้ทรยศตอชาติ ่
ของตนเอง คนชนิดนั้นยอมไมประสพความเจริ
่ ่ ญงอกงามไปได ้ ฉะนั้น สมมติและ
บัญญัติทั้งหลาย จำเป็นจะตองทำความเคารพดวยการประพฤติ
้ ้ ปฏิบัติปฏิวัติตัวเอง
โดยทางที่ชอบ เหตุนั้นในการสวดพุทธาภิเษกจึงเป็นวิธีการอันหนึ่ง เพื่อแตงสมมติ ่ ให้
เป็นของจริง มิฉะนั้นก็จะเป็นเหตุใหเสื ้ ่อมสูญไปไดทางหนึ ้ ่งสำหรับพระศาสนา แตจะ ่
ใหคุ้ ณประโยชนแกผู ์ ่ ้เคารพนับถือจะไดมากนอยเพี ้ ้ ยงใดนั้น แลวแตเหตุ ้ ่ การณและ ์
บุคคลผู้นั้น เหตุการณ์ซึ่งผู้เลาสู ่ ่ฟังมานี้รู้สึกวาแปลกประหลาดอยู
่ ่หลายอยาง ่ ในเรื่อง
พระพุทธรูปและพระบรมธาตุ แตก็่ ไมสามารถจะชี ่ ้แจงใหผู้ ้ฟังเขาใจได ้ ้ แตรู่ ้สึกวาดี่ กวา่
คนบางคน พระบางองค์ สงฆบางรู ์ ป เพราะวัตถุนั้นเป็นการสอนพุทธศาสนาโดยปริ
ยาย และอัดอำนาจใจไวไดเป็ ้ ้ นอยางดี ่ รู้สึกวาดี ่ กวาเสกคน่ สวนคนนั
่ ้นวันนี้เสกใหดี้ วัน
หนากลายเป็
้ นผีปีศาจ เปลี่ยนแปลงกันไดอยู ้ ่อยางนี
่ ้เป็นสวนมาก ่ เพราะมีวิญญาณ
ความรู้เที่ยวดึงดูดเอาสัญญาอารมณตางๆ ์่ เขามาไวในตั
้ ้ ว ฉะนั้นคนๆ นั้นดีแลวจึ ้ ง
กลายไปเป็นคนชั่ว เพราะไมปฏิ ่ บัติฝึกหัดจิตใจตนเอง สวนพระพุ ่ ทธรูปอัดความดีไว้
แลวโดยการนึ
้ กในทางจิต ยอมไมเสี ่ ่ ยหายและเสื่อมทราม ฉะนั้นพระบรมธาตุและพระ
พุทธรูปจึงสามารถใหความอั ้ ศจรรยแกบางคนไดอยู
์ ่ ้ ่ ในเรื่องนี้ก็เหมือนกับเราอัดกระ
แสไฟฟาเขาในถาน
้ ้ ่ ถาเราไมทำลายวั้ ่ ตถุอันนั้น ไฟก็สามารถจะทรงตัวอยู่ไดเป็ ้ นเวลา
นาน เมื่อใครตองการก็
้ จะใหแสงสวางแกเขาผู
้ ่ ่ ้มีปัญญา
สรุป ๑. พุทธาภิเษกก็มีแลว้ ๒. ธรรมาภิเษกทางฝ่ายคณะสงฆและเจาหนาที ์ ้ ้ ่
พุทธาภิเษก
สมถ-วิปัสสนาวิธี ๔๙
ฝ่ายบานเมื ้ องก็ไดรวมกั ้ ่ นแกไขไวแลวในปี
้ ้ ้ ๒๕ พุทธศตวรรษ ๓. สังฆาภิเษกควรปรับ
ปรุงพระสงฆขึ์ ้นใหดี้ เวลานี้ก็ยังขาดการเสกสรรกันอยู่มาก ฉะนั้น ขอเชิญทานพุ ่ ทธ
บริษัทชวยกั ่ นสวดชวยกั ่ นเสก เหมือนคนที่เขาเอาปากเป่า หรือพนใหน้ ่ ้ ำที่เดือดรอน ้
ใหกลายเป็้ นมีความเย็นก็จะดื่มงายเขาอี
่ ้ ก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ๓ รัตนะนี้มี
โดยเหตุต่างๆ กันโดยคุณภาพ เชนพระพุ ่ ทธรูปปลอมเสกสรรขึ้นในทางไสยศาสตรก็์ มี
พระพุทธรูปเสกสรรขึ้นในทางธรรมศาสตรก็์ มี พระพุทธรูปเสกสรรอัญเชิญเทพยุดา
เจามาเขารั
้ ้ กษาก็มี พระพุทธรูปมีอยู่ ๓ ลักษณะอยางนี ่ ้ พระพุทธรูปอัปรีย์ใหคุ้ ณใน
ทางที่ชั่วเป็นไปในทางไสยศาสตร์ เชนพระพุ ่ ทธรูปบางองคถู์ กอสุรกายเขาสิ ้ งกินเครื่อง
เซนสรวงสั
่ งเวยก็มี แตเอาไวในรานพุ
่ ้ ้ ทธบูชาไมไดหลอกผู ่ ้ ้หลอกคน บันดาลความเจ็บ
ป่วยใหเกิ ้ ดขึ้น บางชนิดผู้ที่ท่ านสรางขึ ้ ้นเห็นวาอำนาจของตนไม
่ ่พอ จึงอัญเชิญ
อาราธนาเทพยุดาเจามาเขารั ้ ้ กษา คอยชวยเป็ ่ นหูเป็นตาบอกเหตุการณตางๆ ์ ่ เป็นตน้
วาฝั
่ นหรือสังหรณขึ์ ้นในใจแลวไดผลอยางนึ ้ ้ ่ กดังนี้ก็มี พระพุทธรูปบางองคเมื ์ ่อสรางขึ
้ ้น
ไดแลว ้ ้ ทำพิธีการพุทธาภิเษกตามลัทธิธรรมเนียมของนักปราชญ์ ใชอำนาจในทางจิ ้ ต
เชนนิ ่ มนตพระมาสวดมาเสกและนั
์ ่งปรกใหสำเร็ ้ จพิธีการอันนั้นอยางนี ่ ้ก็มี อนึ่งสวน ่
พระธรรมก็ควรทำการธรรมาภิเษก ไดแกการปฏิ ้ ่ วัติดัดแปลงแกไขในอั
้ กขรวิธีใหถู้ ก
ตอง
้ เรียกวา่ “ปริยัติธรรม” ธรรมาภิเษกดัดแปลงผู้ปฏิบัติทั้งหลายใหเป็ ้ นสัมมาปฏิบัติ
โดยชอบแกธรรมวิ ่ นัย เรียกวา่ “ปฏิบัติธรรม”
“สังฆาภิเษก” ควรปฏิวัติดัดแปลงแกไขพระสงฆเราใหอยู ้ ์ ้ ่ในระเบียบอันดีงาม
ทำตามพุทธบัญญัติ ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ประกอบธุระหนาที ้ ่ของตนจึงจะเป็นไปเพื่อ
ความเจริญ พระบางองคก็์ อาจจะเหมือนพระพุทธรูปซึ่งมีอะไรสิงอยู่ เรื่องที่สิงใจของ
พระสงฆนั์ ้นก็มีอยู่หลายอยาง ่ บางองคทำตนเหมื ์ อนกับทาส ที่เรียกวา่ ทาสโก ภิกขุ
หาหนทางแตจะขอทานเขาอยางเดี
่ ่ ยวโดยปริยายตางๆ ่ บางทานก็
่ ทำตนเหมือนกับ
ปีศาจ วางแผนการหลอกลวงใหมนุ ้ ษยเขาใจผิ์ ้ ดในลัทธิของตน ตองการลาภและชื ้ ่อ
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ลี)
๕๐ อานาปาน์
เสียงเพียงเทานั ่ ้น บางองคทำตนเหมื
์ อนเทวดา เป็นผู้มี หิริ ความละอายตอบาป่ โอต
ตัปปะ สะดุ้งกลัวตอบาป ่ ทำตนเหมือนเทพอับษรซึ่งเป็น ผู้รังเกียจในสิ่งโสมมเรียกวา่
เทพ บางทานตั ่ ้งใจประพฤติปฏิบัติไมเห็ ่ นแกอามิ
่ สของโลก ไมคิ่ ดกลับหลังปฏิบัติ
คืบหนาไปอยู
้ ่เสมอ เรียกวา่ สุคโต มีความพากเพียรบำเพ็ญตบะชำระกิเลสของตน
มี ค วามอดทน ตอความทุ ่ ก ขและอุ
์ ป สรรคตางๆ
่ มี ค วามแกลวกลาแสวงหา
้ ้
คุณธรรมอันยิ่ง คือทำ ประโยชน์ สวนรวม ่ และทำใหแจงซึ
้ ้ ่งพระนิพพาน นี้เรียกวา่
“วิสุทธิเทพ”
ฉะนั้น พุทธบริษัทผู้มีปัญญาจงตรวจตราใหทั้ ่วถึง จึงจะสำเร็จความปรารถนา
ของทานที
่ ่ต้องการดี ความสมานสามัคคีใหเกิ ้ ดขึ้น จึงจะเป็นไปเพื่อความสุขและ
ความเจริญของชาวพุทธ บรรยายมาในพุทธาภิเษกก็ยุติลงแตเพี ่ ยงนี้ฯ
เรื่องนี้ หมอวิเชียรซึ่งเป็นเจาหนาที
้ ้ ่สมาคมฝ่ายคน้ ควาความเท็้ จจริง ในทาง
จิตตวิญญาณที่สำนักงานวัดมกุฏกษัตริย์ พระนคร ไดไปนั ้ ่งฟังอยู่ด้วยในวันสวด
พุทธาภิเษก ตอนั ่ ้นไดขอใหเรี
้ ้ ยบเรียงใหดวย
้ ้ ฉะนั้น จึงขอเรียบเรียงมาใหหมอ ้
พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง

(ลงนาม) พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์
วัดอโศการาม ต. ทายบาน
้ ้ อ. เมือง จ. สมุทรปราการ
วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๐๒

พุทธาภิเษก
สมถ-วิปัสสนาวิธี ๕๑
วิธีการพุทธาภิเษก
วาระที่ ๑ กอนทำใหสวดธาตุ
่ ้ ๖ ธาตุ ๑๘ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ อาการ ๓๒ เสีย
กอน ่
วาระที่ ๒ บริกรรมภาวนานั่งปรก โดยพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ
วาระที่ ๓ ทำจิตใหนิ้ ่งเป็นสมาธิ นึกเอาจิตเพ่งจ่อลงไปในวัตถุมีพระพุทธรูป เป็น
ตน้ เสร็จแลวใหสวดญั
้ ้ ตติจตุตถกรรม เอาพระอภิธรรมเจ็ดคัมภีร์มาบูชา
ไว้ เสร็จแลวสวดพระปาฏิ
้ โมกขยอ ์ ่ สวดพาหุง ๘ พระคาถา สวดชัยมงคล
คาถา ดับเทียนไชย สวดทุกฺขปฺปตฺตาจนิสฺโสกา ฯลฯ พิธีสมมติดังนี้
เครื่องสักการะที่เนื่องด้วยวิธีนี้
๑.เทียนไชย สูงเทาตั
่ วของเจาภาพ ้ หนัก ๘ บาท
๒.เทียนวิปัสสี คือ เทียนเงินคู่ ๑ เทียนทองคู่ ๑ ไส้ ๙ เสนทุ
้ กเลม่
๓.ฉัตร สีขาว ๔ อัน ๕ ชั้นหรือ ๗ ชั้น ธงฉัตรยอดเขี
์ ยนดวยหั
้ วใจพุทธคุณ:- อ สํ วิ สุ โล ปุ
ส พุ ภ ๔ อันปักยอดฉัตร์
๔.บายสี ๕ ชั้น ๔ อัน
๕.เทียนมหามงคล ๑ เลม่ หนัก ๔ บาท ปักไวที้ ่หมอน้ ้ ำมนต์ เทียนบริวาร ๑๐๘ เลม่
เทียนสวดพุทธาภิเษก ๕ เลม่ ธูป ๕ ดอก
๖.ดอกไม้ ๓ สี สีขาวบูชาพระพุทธเจาทั ้ ้งหลาย สีเหลืองบูชาพระอัคคสาวกเบื้องขวา
สีแดงบูชาพระอัคคสาวกเบื้องซาย ้
๗.ดายสายสิ
้ ญจน์ ๙ เสน้ วง ๙ รอบชั้นบน ชั้นกลาง ๗ รอบ ชั้นต่ำ ๓ รอบ เสร็จแลว้
พรมน้ำมนต์ สวดเบิกพระเนตรพระอี ์ ก สวดเบิกพระเนตร์ เวลาสวดชัยมงคลคาถาวา่
พุทฺธจกฺขํุ อุทปาทิ ญาณํ อุทปาทิ ปญญา อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ อาโลโก

อุทปาทิ ๓ จบ เสร็จพิธีฯ

พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ลี)
บันทึกธรรม
........................................................................................................
........................................................................................................
........................................................................................................
........................................................................................................
........................................................................................................
........................................................................................................
........................................................................................................
........................................................................................................
........................................................................................................
........................................................................................................
........................................................................................................
........................................................................................................
........................................................................................................
........................................................................................................
........................................................................................................
........................................................................................................
........................................................................................................
........................................................................................................
อรหัง พุทโธ อิติปิโส ภควา นมามิหัง
(คาถาประจำองคท
์ ่านพอลี
่ )

You might also like