Professional Documents
Culture Documents
Economic Book
Economic Book
เศรษฐศาสตร
ฉบับปรับปรุงใหม
เล ม
เ ด ย
ี ว อ ย
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 165
“
เศรษฐศาสตร์เป็นเรื่องใกล้ตัว
และไม่ ได้ยากอย่างที่หลายคนเข้าใจกัน
หนังสือเล่มนี้จึงเป็น
หนังสือเรียนเสริมวิชาเศรษฐศาสตร์
ที่อธิบายถึงที่มาที่ ไปของสิ่งที่เกิดขึ้น
ในชีวิตประจำ�วันด้วยหลักทางเศรษฐศาสตร์
เช่น ทำ�ไมราคาสินค้าชิ้นเดียวกันถึงมีทั้งช่วงที่
ราคาถูกและราคาแพงแตกต่างกันออกไป เป็นต้น
166 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
อ ย ู
เศรษฐศาสตร
ฉบับปรับปรุงใหม
เลมเ ด ย
ี ว
คำ�นำ�
ในฐานะผู้ ใช้วิชาเศรษฐศาสตร์ทำ�งานทุก ๆ วัน ตัวผมมักจะได้รับคำ�ถามจากเด็ก ๆ หรือจาก
ผู้ปกครองของเด็กว่า “เศรษฐศาสตร์เรียนเกี่ยวกับอะไร เรียนจบแล้วไปทำ�งานอะไรได้บ้าง ?”
คำ�ถามนี้ตอบให้ยาวก็ได้ ตอบให้สั้นก็ได้ ใครอยากอ่านคำ�ตอบยาว ๆ สามารถพลิกไปอ่านบทที่ 1
ของหนังสือเล่มนี้ได้ทันที แต่ถ้าให้ตอบสั้น ๆ ผมอยากจะอธิบายว่า เศรษฐศาสตร์ เป็นวิชาที่ว่าด้วยเหตุผล
การตัดสินใจ และพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องปากท้อง ความเป็นอยู่ และการทำ�มาหาได้ของพวกเราทุกคน
เป็นวิชาที่ช่วยตอบโจทย์ว่าด้วยข้าวของ เงินทุน แรงงาน และเทคโนโลยีที่มีอยู่นั้น เราควรจะบริหารจัดการทรัพยากร
ที่มีจำ�กัดเหล่านี้อย่างไรให้เกิดประโยชน์ เกิดรายได้ เกิดความพึงพอใจสูงสุด ซึ่งเศรษฐศาสตร์จะช่วยให้แนวทางคิด
อย่างเป็นระบบ และสามารถใช้ได้ทั้งสำ�หรับบุคคล ท้องถิ่น อุตสาหกรรม ประเทศ หรือของโลก
เศรษฐศาสตร์อยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด เช่น คุณแม่จะซื้ออะไรมาทำ�อาหารดี เพราะราคาสินค้าในตลาด
ไม่เท่ากันในแต่ละวัน ชายหนุม่ จะพาหญิงสาวไปเที่ยวที่ไหนดี จึงจะทำ�ให้สาวพอใจโดยไม่เกินงบประมาณในกระเป๋า
อนาคตถ้าอยากมีบ้านมีรถจะรอเก็บออมจนมีเงินซื้อด้วยตัวเอง หรือจะกู้เงินจากธนาคารซื้อเดี๋ยวนี้
ถ้าอยากเที่ยวญี่ปุ่นก็ต้องไปแลกเงินบาทเป็นเงินเยน ซึ่งบางวันก็แลกได้ถูกบางวันก็แพงขึ้นอยู่กับอัตรา
แลกเปลี่ยนในวันนั้น เป็นต้น
เศรษฐศาสตร์จะเป็นหลักคิดที่ช่วยให้เราสามารถตัดสินใจเลือกได้ดียิ่งขึ้น ช่วยให้เราเข้าใจที่มาที่ไปของ
เรื่องราวต่าง ๆ ในเรื่องเศรษฐกิจ เราจะสามารถฟังข่าวจากวิทยุและโทรทัศน์ได้เข้าใจมากขึ้น รวมทั้งสามารถ
นำ�ข้อมูลที่ได้ไปใช้ในการตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
เศรษฐศาสตร์จึงเป็นวิชาที่ทุกคนนำ�ไปใช้ประโยชน์ได้ ไม่จำ�กัดเฉพาะคนที่ใช้เศรษฐศาสตร์ในการประกอบ
อาชีพโดยตรง เช่น ครูสอนวิชาเศรษฐศาสตร์ นักวิจัย นักการธนาคาร นักวิเคราะห์เศรษฐกิจในบริษัทเอกชน หรือ
นักวางแผนเศรษฐกิจในหน่วยงานราชการเท่านั้น คนอื่น ๆ เช่น เกษตรกร ผู้ผลิตสินค้า พนักงานขาย ผู้ประกอบ
อาชีพอิสระ หรือแม้แต่ผู้บริโภคทั่ว ๆ ไปอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ก็ควรรู้หลักเศรษฐศาสตร์เช่นเดียวกัน
2 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะหน่วยงานหนึง่ ของประเทศทีใ่ ช้เศรษฐศาสตร์เป็นหลักในการทำ�งาน
เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน เราต้องการเผยแพร่ความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์ให้กว้างขวางออกไป
เพื่อให้คนไทยมีหลักคิดที่ถูกต้องชัดเจน สามารถตัดสินใจด้วยตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ถูกพัดพาไปตาม
กระแสหรือตามสื่อต่าง ๆ ที่อาจไม่ถูกต้องก็ได้
นี่จึงเป็นที่มาของหนังสือเรียนเสริม “เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่” ซึ่ง ธปท. ไม่เพียงตั้งใจให้เป็นหนังสือ
เสริมสำ�หรับนักเรียนเท่านั้น แต่เราตั้งใจให้ประชาชนทั่วไปได้อ่านด้วย หนังสือเล่มนี้จึงถูกจัดทำ�ขึ้นอย่างพิถีพิถัน
เราได้คัดเลือกพนักงานของ ธปท. ซึ่งมีประสบการณ์ในการทำ�งานด้านเศรษฐกิจการเงินที่หลากหลาย รวมทั้งเคยมี
ประสบการณ์สอนวิชาเศรษฐศาสตร์ให้แก่คนในหลายระดับ ไม่ว่าจะเป็นเด็กนักเรียน ครูสอนวิชาเศรษฐศาสตร์
นักธุรกิจ จนถึงระดับชาวบ้านร้านตลาด ให้มาเป็นผู้เขียนหนังสือเล่มนี้
ผมได้มีโอกาสติดตามกระบวนการผลิตหนังสือ “เศรษฐศาสตร์... เล่มเดียวอยู่” ตั้งแต่ต้นจนจบ ได้เห็น
ความตั้งใจผู้เขียนและความเอาใจใส่ของคณะทำ�งานทุกคน จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นหนังสือ
ความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์ที่อ่านเข้าใจง่ายที่สุดในท้องตลาด มีเนื้อหาสาระครบถ้วน และมีความถูกต้องตามหลัก
วิชาการ ที่สำ�คัญ หนังสือเล่มนี้มีเสน่ห์ดึงดูดให้อ่านสนุก เพราะมีการยกตัวอย่างในชีวิตประจำ�วันมาประกอบ
ความเข้าใจเนื้อหาในแทบทุกหน้า ช่วยให้ผู้อ่านเห็นภาพได้ง่ายขึ้น รวมทั้งมีคำ�ถามชวนคิดแทรกเป็นระยะ ๆ
ช่วยให้ผู้อ่านสนุกไปกับการวิเคราะห์ ตามความรู้ที่เพิ่งได้รับมา
หนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นให้ผู้อ่านสนใจวิชาเศรษฐศาสตร์มากขึ้น อาจเป็นแรงบันดาลใจให้เยาวชน
หลายคนเลือกศึกษาเศรษฐศาสตร์ในระดับที่สูงขึ้นไป หรืออย่างน้อยก็ใช้เป็นประเด็นในวงสนทนากับเพื่อน ๆ
เพื่อถกเถียงเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ได้ เพราะผมเองก็ไม่ต้องการให้การศึกษาของเราจบที่
การอ่าน-ท่องจำ�-นำ�ไปสอบ แต่ควรจะเป็น อ่าน-คิด-ถกเถียงฟังความ-นำ�ไปปฏิบัติ มากกว่า
ท้ายที่สุด ขอเรียนว่าเราพร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นของผู้อ่านทุกท่านในการปรับปรุงหนังสือเล่มนี้ให้ดี
ยิ่ง ๆ ขึ้น รวมทั้งพร้อมจะจัดทำ�หนังสือเล่มถัดไปหรือผลิตสื่อรูปแบบอื่น ๆ เพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์
ในสังคมไทยให้งอกงามมากขึ้น
ขอให้ทุกท่านสนุกกับการอ่าน “เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่” ครับ
ไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน
ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทย
สิงหาคม 2555
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 3
คำ�นำ� (ฉบับปรับปรุงใหม่)
4 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
ผมยังเชื่อว่า การอ่าน-คิด-ถกเถียงฟังความ-นำ�ไปปฏิบัติ จะเป็นประโยชน์และทำ�ให้เราอยู่รอดได้ในโลก
ยุคดิจิทัล ที่ต้องเรียนรู้และปรับตัวให้เร็ว เราต้องตั้งคำ�ถามกับสิ่งใหม่ ๆ ถกเถียงแลกเปลี่ยนความคิดกับคนที่
หลากหลาย นำ�ไปปรับใช้และพัฒนาตัวเองให้ดขี นึ้ ทุก ๆ วัน หนังสือเล่มนีจ้ ะช่วยฝึกกระบวนการนีไ้ ด้ดี เพราะผูเ้ ขียน
จะเริ่มจากคำ�ถามเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ในชีวิตประจำ�วัน มีกิจกรรมและคำ�ถามชวนคิดเป็นระยะ มีการยกตัวอย่าง
จริงให้เห็น ช่วยร้อยเรียงความเข้าใจทีละเรือ่ งจนสมบูรณ์ชดั เจน ในส่วนท้ายเล่มผูเ้ ขียนได้รวบรวมศัพท์เศรษฐศาสตร์
ที่น่าสนใจและข้อมูลเศรษฐกิจไทยที่สำ�คัญเอาไว้ สำ�หรับให้ผู้ที่สนใจได้ใช้อ้างอิงและค้นคว้าเพิ่มเติมต่อไปด้วย
ไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน
รองผู้ว่าการ ด้านบริหาร
ธนาคารแห่งประเทศไทย
ธันวาคม 2563
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 5
08 CURRENCY
EXCHANGE
26 B
BUY
EXPORT SELL
TAX
IMPORT
S
ECONOMIC
What
How
For Whom
บทที่ 1 บทที่ 3
ความเข้าใจและความสำ�คัญ การแก้ปัญหาพื้นฐาน
ของเศรษฐศาสตร์ ทางเศรษฐศาสตร์ :
ผลิตอะไร ผลิตอย่างไร
ผลิตให้ ใคร
สารบัญ 18
36
Limited
rces
Resou
บทที่ 2 บทที่ 4
ปัญหาพื้นฐาน กลไกราคา : อุปสงค์และอุปทาน
ทางเศรษฐศาสตร์ 56
กล่องความรู้ที่ 1
การใช้น้ำ�มันของไทย
มีความยืดหยุ่นต่อราคาหรือไม่ ?
60
กล่องความรู้ที่ 2
ตลาดแรงงาน
และการกำ�หนดค่าจ้างขั้นต่ำ�
61
กล่องความรู้ที่ 3
ทักษะแรงงานในโลกการทำ�งาน
ยุคใหม่…เราต้องทำ�อย่างไรเพือ่ อยูร่ อด
ในอนาคต ?
64 94 126 Fiscal Policy
International
Monetary Policy
Monetary Policy
Financial Stability
monetary policy) ของประเทศ
เศรษฐกิจหลัก
144
กล่องความรู้ที่ 11
บทที่ 6 บทที่ 8 กระบวนการทำ�นโยบายการเงิน
ของแบงก์ชาติในปัจจุบัน
การทำ�งานของระบบเศรษฐกิจ เป้าหมายของเศรษฐกิจมหภาค
แบบปิดและมีรัฐบาล 112
กล่องความรู้ที่ 6 151
GDP เป็นตัวชี้วัดความกินดีอยู่ดี บทส่งท้าย
ของประชาชนที่ดีจริงหรือ ? 152
120 บทความท้ายเล่ม :
กล่องความรู้ที่ 7 เงินเฟอนากลัวจริงหรือ ?
อัตราเงินเฟ้อต่ำ�ลงทั่วโลก 154
เพราะอะไร และจะส่งผลอย่างไร อภิธานศัพท์ (Glossary)
ต่อการดำ�เนินนโยบายการเงิน ? 160
123 แหล่งค้นหาข้อมูลทางเศรษฐกิจ
กล่องความรู้ที่ 8 164
ทำ�ไมต้องแบ่งแยกบทบาทหน้าที่ วิภาคเศรษฐกิจไทย
รัฐบาลกับธนาคารกลาง
บทที่ 1
ความเข้าใจและความสำ�คัญ
ของเศรษฐศาสตร์ CURRENCY
EXCHANGE
EXPORT
บทนี้ เ ป็ น การเปิ ด มุ ม มองเพื่ อ ให้ เ ข้ า ใจแก่ น
ของวิชา “เศรษฐศาสตร์” ซึ่งเป็นแขนงความรู้
ที่ ช่ ว ยให้ เ ราเข้ า ใจพฤติ ก รรมของคนที่ ต้ อ ง TAX
IMPORT
ตั ด สิ น ใจเลื อ กอยู่ ต ลอดเวลาบนพื้ น ฐานของ ECONOM
ICS
ระดับบุคคลและครอบครัว ไปจนถึงเรื่องใหญ่ ๆ
ระดับประเทศ
เศรษฐศาสตร์ คืออะไร
ทำ�ไมจึงเป็นเรื่องใกล้ตัวและมีความสำ�คัญ
หลายคนคงเข้าใจว่า “เศรษฐศาสตร์” จะต้องพูดถึงเรื่องเงิน ๆ
ทอง ๆ ด้วยศัพท์ต่าง ๆ ที่นักวิชาการชอบพูดกัน ไม่ว่าจะเป็น จีดีพี
อัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน ฯลฯ แต่แท้จริงแล้ว
วิชาเศรษฐศาสตร์ดูจะมีอะไรมากกว่านั้น และหากเราลองถามชาวบ้าน
ร้านตลาดทั่วไป “เศรษฐศาสตร์” อาจเป็นคำ�ที่ไม่คุ้นหูแต่เราล้วนคุ้นเคยกับ
ความรู้แขนงนี้ดี เพราะเศรษฐศาสตร์เกี่ยวโยงกับชีวิตประจำ�วันของคนเรา
ทุกเพศ ทุกวัย และทุกอาชีพ จริง ๆ แล้วเราต่างก็มี “วิธคี ดิ แบบเศรษฐศาสตร์”
อยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นจนกระทั่งหลับ และตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย โดยที่
เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ�ไป เช่น
8 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
• ตื่นมาตอนเช้า เราเลือกระหว่างจะลุกไปโรงเรียน หรือจะนอน
ต่ออีกสักหน่อย
• เราจะไปโรงเรียนด้วยรถประจำ�ทางหรือรถแท็กซี่
• เข้ามหาวิทยาลัย เราจะเลือกเรียนคณะที่เราชอบ หรือคณะที่
พ่อแม่อยากให้เราเรียน
• ตอนนี้หมูมีราคาแพง เราหันมากินไก่หรือกินปลาดีกว่า
จากตัวอย่างในชีวิตประจำ�วันข้างต้น มาดูกันว่าคุณแค่ทำ�ตามใจ
ตัวเองหรือแท้จริงแล้วมีเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์อยู่เบื้องหลัง
• เลือกลุกไปโรงเรียน หรือนอนต่อ ต้องชั่งใจว่าจะเอาความสุข
จากการนอน แล้ ว ถู ก คุ ณ ครู ล งโทษ หรื อ สละความสุ ข เพื่ อ
ไม่ ต้ อ งถู ก คุ ณ ครู ทำ � โทษ เพราะเราไม่ ส ามารถเลื่ อ นเวลา
เข้าเรียนได้
• เลื อ กไปด้ ว ยรถประจำ � ทาง โดยยอมเหนื่ อ ยและเสี ย เวลา
เพื่อเก็บเงินไปกินสเต็ก หรือนั่งแท็กซี่สะดวกสบายและยังมีเวลา
เหลือไปอ่านหนังสือ แต่เหลือเงินนิดเดียวกินได้แค่ข้าวไข่เจียว
เพราะเงินในกระเป๋าเรามีจำ�กัด
• เลื อ กคณะที่ เ ราชอบ หรื อ คณะที่ พ่ อ แม่ อ ยากให้ เ ราเรี ย น
เพราะเรามีโอกาสเลือกเรียนได้แค่คณะเดียว
• เลือกกินไก่ กินปลา เพราะหมูมีราคาแพง หากเราจะกินหมู
เท่าเดิม ก็ต้องจ่ายมากขึ้นและเหลือเงินทำ�อย่างอื่นน้อยลง
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 9
จะเห็ น ว่ า “ทุ ก คนต้ อ งตั ด สิ น ใจเลื อ ก (make a choice)
อยู่ ต ลอดเวลา” และบางครั้ ง เราตั ดสิ น ใจเลื อ กด้ ว ยสั ญ ชาตญาณและ
ความคิดอ่านของเราไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่ยังไม่เคยเรียนเศรษฐศาสตร์เลย
ด้วยซ้ำ� มนุษย์ทุกคนเรียนรู้เศรษฐศาสตร์พื้นฐานด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องให้
ใครมาสอน เมื่อถึงวัยที่พอคิดอ่านเองได้แล้ว บางครั้งเราก็นำ�วิธีคิดแบบ
เศรษฐศาสตร์มาใช้ประกอบการตัดสินใจแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตประจำ�วัน
โดยที่เราไม่รู้ตัว เคยคิดอย่างนี้บ้างหรือไม่ว่า “เราทำ�อย่างนี้แล้วคุ้มหรือไม่”
นั่นก็เพราะการตัดสินใจเลือกของเราทำ�ให้ได้มา ซึ่งของสิ่งหนึ่งที่เราชอบ
แต่เราก็ต้องยอมเสียสละอีกสิ่งหนึ่งไป หรือพูดง่าย ๆ ว่า ทุกครั้งที่เลือก
ต้องมีการแลก หรือตรงกับสำ�นวนไทยว่า “ได้อย่างเสียอย่าง” ซึง่ ตรงกับศัพท์
ที่นักเศรษฐศาสตร์ชอบใช้กันว่า “trade-off” เช่น ถ้าเราเลือกที่จะนอนต่อ
อีกสักชั่วโมง ก็จะเสียโอกาสที่จะใช้เวลาชั่วโมงนั้นดูการ์ตูนในตอนเช้า
ออกกำ�ลังกาย หรืออ่านหนังสือ เป็นต้น ถ้าเราประเมินแล้วว่าการนอนต่อ
“
คุ้มค่ากับสิ่งที่เราเสียไป เราก็เลือกที่จะทำ� นั่นคือ วิธีคิดแบบเศรษฐศาสตร์
ซึ่ ง เชื่ อ ว่ า มนุ ษ ย์ ทุ ก คนตั ด สิ น ใจและเลื อ กที่ จ ะทำ � บนพื้ น ฐานของความ
เป็นเหตุเป็นผล ดังนั้น เศรษฐศาสตร์จึงไม่ใช่วิชาที่ยากและเป็นเรื่อง
ไกลตัวอย่างที่หลายคนคิด ทุกครั้งที่เลือก
ต้องมีการแลก หรือตรงกับ
หากพิจารณารากศัพท์ของคำ�ว่า “เศรษฐศาสตร์” ซึ่งตรงกับคำ�ใน สำ�นวนไทยว่า
ภาษาอังกฤษว่า ECONOMICS แล้วจะพบว่ามีรากศัพท์มาจากภาษากรีก “ได้อย่างเสียอย่าง”
2 คำ�รวมกัน คือ “OIKOS” ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า “house” และ ซึ่งตรงกับศัพท์ที่
“NEMEIN” ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า “to manage” หมายถึงการบริหาร นักเศรษฐศาสตร์ชอบใช้กันว่า
จัดการ ดังนั้น เศรษฐศาสตร์ จึงหมายถึง “ศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการ “trade-off”
ครอบครัว” ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับคนทุกคน
”
MICRO
ECONOMICS
INTERNATIONAL ECONOMICS
TRADE AND FINANCE
PRINCIPLES OF
ECONOMICS
BASIC
ECONOMICS
10 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
อย่ า งไรก็ ต าม ในโลกยุ ค ปั จ จุ บั น ซึ่ ง แต่ ล ะครอบครั ว ต้ อ งมี
ความสัมพันธ์กัน ผ่านทั้งการติดต่อสื่อสาร และการค้าขาย จึงเปรียบ
เสมือนเป็นครอบครัวภายใต้ตลาดเดียว คือ ตลาดโลก ในสมัยนี้วิชา
เศรษฐศาสตร์จึงกว้างกว่าวิชาว่าด้วยการจัดการครอบครัว โดยนิยาม
ว่าเป็น “วิชาที่ว่าด้วยการจัดสรรทรัพยากรเพื่อนำ�มาสนองความต้องการ
ของมนุษย์ ซึ่งมีไม่จำ�กัด ทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว และประเทศชาติ
โดยให้เกิดประโยชน์และประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อความอยู่ดีกินดีของมนุษย์”
ตัวอย่างปัญหาที่สามารถใช้ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ประกอบการ
ตัดสินใจและแก้ไขได้เป็นอย่างดี เช่น ปัญหาทีด่ นิ ทีม่ จี �ำ กัด แต่คนเราต้องการ
ใช้ที่ดินเพื่อเพาะปลูกให้ได้ผลผลิตมาก ๆ และยังต้องแบ่งปันที่ดินบางส่วน
สำ�หรับกิจกรรมหรือการใช้ประโยชน์ประเภทอื่น ๆ ด้วย เช่น การสร้างที่อยู่
อาศัย การเลี้ยงสัตว์ การสร้างเส้นทางคมนาคม เป็นต้น แต่เราต้องยอมรับ
ความเป็นจริงทีว่ า่ เราไม่สามารถขยายทีด่ นิ ไปยังนอกโลกได้ จึงต้องตัดสินใจ
เลือกว่าจะใช้ที่ดินไปทำ�อะไรบ้างเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
จะเห็นว่าเพราะทรัพยากรมีจำ�กัด ขณะที่ความต้องการของคนเรา
มี ไม่จำ�กัด เราจึงไม่สามารถผลิตทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต้องการได้ จึงเกิด
การเลือกใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำ�กัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด
(อ่านเพิ่มเติมได้จากบทที่ 2)
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 11
คำ�สำ�คัญ (Keywords) ของวิชานี้
ทรัพยากรมีจำกัด
Resources scarcity
ความตองการไมจำกัด
Unlimited wants
สิ่งที่ไมได
เลือก
รู ไหม
เรารู้แล้วว่า เศรษฐศาสตร์ เป็นวิชาที่ศึกษาถึงพฤติกรรมของคน
บนพื้นฐานเหตุและผล จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายคนต้องเรียนเศรษฐศาสตร์ วา…?
เป็นวิชาพื้นฐาน ตั้งแต่ระดับมัธยมจนถึงระดับมหาวิทยาลัยไม่ว่าจะเป็น
คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี คณะนิติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ต่างกับเศรษฐกิจ
คณะรัฐศาสตร์ ไม่เว้นแม้แต่คณะวิศวกรรมศาสตร์ อย่างไร
เศรษฐกิจเป็นตัวกิจกรรมที่เกี่ยวกับ
เมื่อเศรษฐศาสตร์เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของคน การตัดสินใจเลือก การผลิต การบริโภค การซื้อขาย
แลกเปลี่ยน การกระจายสินค้าและ
ในทางเศรษฐศาสตร์จึงไม่มีถูก ไม่มีผิด ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมความชอบและ บริการต่าง ๆ ของคนที่อยู่ร่วมกัน
ความพึงพอใจของแต่ละคน โดยแต่ละคนจะตัดสินใจเลือกในสิง่ ทีต่ วั เองพอใจ ในสังคม ส่วนเศรษฐศาสตร์
และประเมินแล้วคุ้มค่า ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราซื้อตั๋วเข้าไปดูหนังแล้ว เป็นแขนงวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับ
พฤติกรรมของบุคคลและสังคม
พอดูไปสักพัก เรารู้แล้วว่าหนังไม่สนุก เบื่อ ง่วง สิ่งที่ต้องตัดสินใจตามมา ในการดำ�เนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
คือ เราจะทนนั่งดูต่อจนจบเพราะไหน ๆ ก็ซื้อตั๋วมาแล้ว หรือเลิกดูแล้วเอา ดังกล่าว
เวลาไปทำ�อย่างอืน่ ดีกว่า เราคงต้องเปรียบเทียบการทนเบือ่ กับความเสียดาย
12 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
รู ไหม เงินที่ซื้อตั๋วมาว่าอันไหนมากกว่ากัน ถ้าเราตัดสินใจดูหนังต่อก็แสดงว่าเรา
วา…? เสียดายเงินมากกว่า แต่สมมติว่าเพื่อนเราเลือกที่จะไม่ดูต่อ ก็แปลว่าเขา
เห็นว่าการทนเบื่อมันหนักหนาสาหัสกว่าความเสียดายค่าตั๋ว หรือไม่คุ้มที่จะ
ทนนัง่ ดูตอ่ นัน่ เอง และการเอาเวลาไปทำ�อย่างอืน่ จะได้ความพึงพอใจมากกว่า
พฤติกรรมของมนุษย์ มักจะตีราคา ค่าตั๋วที่เสียไป จะเห็นว่าต่างคนต่างความคิด จริงอยู่ว่าคนเราทุกคนนั้น
ผลประโยชน์ในอนาคตน้อยกว่า ย่อมมีความอดทน แต่ความอดทนของแต่ละคนอาจจะยาวนานไม่เท่ากัน
ผลประโยชน์ในวันนี้ที่เกิดขึ้นทันที
ทำ�ให้หลายคนมีนิสัยผัดวัน ความเสียดายเงินก็ต่างกัน การตัดสินใจจึงไม่เหมือนกัน ถามว่าใครถูก
ประกันพรุ่ง และไม่น่าแปลกใจ หรือใครผิด คงต้องตอบว่าไม่มีใครถูก และไม่มีใครผิด ทุกคนทำ�ในสิ่งที่
ที่เรายังเห็นคนที่เลือกสูบบุหรี่อยู่ ตัวเองพอใจ ประเมินแล้วว่าคุ้มค่า
เพราะเขาเห็นประโยชน์วันนี้
(ผ่อนคลาย หายอยาก) มากกว่า
วันข้างหน้า (ไม่เป็นมะเร็ง เคยได้ยินคำ�กล่าวติดตลกไหมว่า คนมีมือเดียวเป็นนักเศรษฐศาสตร์
ไม่เสียชีวิต) ไม่ได้ เพราะนักเศรษฐศาสตร์ชอบพูดว่า “on the other hand…” (แปลว่า
แต่ในอีกด้านหนึ่ง) เนื่องจากนักเศรษฐศาสตร์มักมองสองด้านเสมอ เพราะ
ความเป็นจริงทุกสิ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสียควบคู่กันไป คงไม่มีอะไรดีไปหมด
หรือเสียไปหมด การตัดสินใจจึงไม่จำ�เป็นต้องเป็นแบบเดียวกันเสมอไป
เรียนเศรษฐศาสตร์แล้ว
ได้ประโยชน์อะไร ?
Key Points อ่ า นมาถึ ง ตรงนี้ อ าจทำ � ให้ ส งสั ย ว่ า
• เศรษฐศาสตร์ เป็นวิชาที่ศึกษาถึง แค่เข้าใจเหตุผลและพฤติกรรมของมนุษย์จะ
พฤติกรรมของบุคคลและสังคม มีประโยชน์อย่างไร เราเรียนรูเ้ ศรษฐศาสตร์
ในการตัดสินใจเลือกใช้ทรัพยากร
ที่มีอยู่อย่างจำ�กัด มาผลิตสินค้า เพื่อจะได้เข้าใจปรากฏการณ์และปัญหา
และบริการต่าง ๆ เพื่อตอบสนอง ต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั้งสาเหตุ
ความต้องการที่ไม่มีขีดจำ�กัด และผลกระทบต่อบุคคล ครอบครัว และ
ให้ ได้ความพึงพอใจสูงสุด
• เศรษฐศาสตร์ช่วยให้คนเราเข้าใจ ประเทศชาติ เพือ่ ทีจ่ ะประยุกต์ใช้ในการดำ�เนิน
และตัดสินใจ “เลือก” อย่างมี ชีวิตประจำ�วันอย่างมีเหตุผล และเลือกแนวทางใน
เหตุผล การแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ตลอดจนสามารถวางนโยบาย
• ในการดำ�เนินชีวิตประจำ�วัน
เราทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย และ ที่เหมาะสมต่อเศรษฐกิจของประเทศได้
ทุกอาชีพ ล้วนต้องเผชิญปัญหา
ทางเศรษฐศาสตร์
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 13
ในระดับบุคคล : เศรษฐศาสตร์ทำ�ให้เราสามารถจัดสรรเวลาและ
เงินที่มีจำ�กัดได้คุ้มค่า เนื่องจากการตัดสินใจใด ๆ ย่อม “ได้อย่างเสียอย่าง
(trade-off)” เสมอ เช่น ในฐานะที่เป็นแรงงานก็อาจเลือกอาชีพค้าขาย
1
หรื อ รั บ จ้ า ง ในฐานะของผู้ บ ริ โ ภคก็ อ าจเลื อ กซื้ อ สิ น ค้ า หรื อ บริ ก ารที่ มี
หลากหลายชนิด หลายยี่ห้อ หลายราคา หรือแม้กระทั่งจะเลือกซื้อสินค้า
วันนี้หรือออมเงินไว้ใช้ในอนาคต
2
ด้วยการลดค่าใช้จ่ายอื่น ๆ และถ้ารายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย ก็จำ�เป็น
ต้องควบคุมรายจ่ายหรือหาทางเพิ่มรายได้ แต่ถ้ารายได้มากกว่ารายจ่าย
ก็จะต้องตัดสินใจในเรื่องการออมด้วย
14 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
3 ในระดับชาติ : เศรษฐศาสตร์ช่วยทำ�ให้เราเข้าใจว่า ต้องตัดสินใจ
อย่างไรเพือ่ ให้การจัดสรรทรัพยากรทีม่ อี ยูจ่ �ำ กัดให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เช่น
ตัดสินใจว่าจะผลิตอะไรดีหรือใครจะเป็นผู้ผลิต ใครจะเป็นคนปลูกพืชผัก
เลีย้ งสัตว์ ตัดเย็บเสือ้ ผ้า หรือใครจะเป็นหมอรักษาคนไข้ ฯลฯ เมือ่ เป็นเช่นนี้
สังคมก็จะจัดสรรสมาชิกไปในกิจกรรมการผลิตต่าง ๆ และจัดสรรทรัพยากร
ทีม่ อี ยูอ่ ย่างจำ�กัดให้มปี ระสิทธิภาพสูงสุดโดยใช้ระบบตลาดทีม่ กี ลไกราคาเป็น
ตัวจัดสรร เพราะจะเป็นตัวบอกว่าควรนำ�ปัจจัยการผลิตนัน้ มาผลิตสินค้าอะไร
มากน้อยแค่ไหน ใช้วิธีการใด และจำ�หน่ายจ่ายแจกสินค้านั้นไปให้ใครบ้าง
ตลอดจนจะนำ�รายได้มาแบ่งสรรปันส่วนให้กับเจ้าของปัจจัยการผลิตที่มี
ส่วนร่วมในการผลิตคนละเท่าไร
อย่างไรก็ดี เศรษฐศาสตร์ทำ�ให้เราเข้าใจว่ายังมีกรณีที่ระบบตลาด
ไม่สามารถจัดสรรทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เป็นสินค้าที่จำ�เป็น
ต่อการบริโภคแต่ภาคเอกชนไม่อยากผลิต อาทิ การป้องกันประเทศ หรือ
สินค้าบางอย่างหากปล่อยให้เอกชนผลิตได้อย่างเสรี ก็จะทำ�ให้เกิดการ
ผูกขาดของผูผ้ ลิตบางราย ซึง่ อาจทำ�ให้ผผู้ ลิต กำ�หนดราคาแพงจนประชาชน
ไม่สามารถเข้าถึงสินค้านั้นได้ ทั้ง ๆ ที่เป็นสินค้าที่จำ�เป็น รัฐบาลจึงจำ�เป็น
ต้องเข้ามาบริหารจัดการและผลิตสินค้าและบริการนัน้ ๆ เสียเองในบางกรณี
เช่น การสร้างถนนและสาธารณูปโภคอื่น ๆ ไปสู่ชุมชนที่อยู่ห่างไกล
ซึ่งเอกชนคงไม่ทำ�แน่ เพราะขาดทุน
นอกจากนี้ รัฐบาลอาจไม่สง่ เสริมกิจกรรมบางประเภททีไ่ ม่กอ่ ประโยชน์
ต่อส่วนรวม อาทิ เก็บภาษีจากกิจกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษ หรือกิจกรรม
รู ไหม ที่เป็นโทษแก่ประชาชน เช่น เก็บภาษีสรรพสามิตจากสุรา เป็นต้น ทั้งนี้
วา…? เศรษฐศาสตร์ จ ะช่ ว ยให้ รั ฐ บาลสามารถพิ จ ารณาวางแผนงบประมาณ
(เงินที่รัฐบาลนำ�ไปใช้จ่ายเพื่อการบริหารประเทศ) การใช้ทรัพยากรของ
ประเทศที่มีอยู่อย่างจำ�กัด เช่น ป่าไม้ น้ำ� และเหมืองแร่ เป็นต้น เพื่อให้
ปัญหาทางสังคมและการเมือง
ก็มักจะมีผลสืบเนื่องมาจาก
เกิดประโยชน์สูงสุด ให้ประชาชนทุกคนกินดีอยู่ดี ได้รับบริการสาธารณะ
ปัญหาทางเศรษฐกิจ พืน้ ฐานทีจ่ �ำ เป็นต่อการดำ�รงชีพ เช่น จะจัดสรรงบประมาณไปให้กบั การศึกษา
และสาธารณสุขเท่าใดที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนและประเทศ
ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 15
แขนงวิชาเศรษฐศาสตร์
ในปัจจุบัน การศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์แบ่งเป็น
2 แขนงหลัก คือ
1. เศรษฐศาสตร์จุลภาค
(Microeconomics)
เป็ น การศึ ก ษากิ จ กรรมทางเศรษฐกิ จ ของ
บุคคลและครัวเรือน เป็นการศึกษาเฉพาะส่วนย่อย ๆ
ในระยะเวลาหนึง่ ๆ เช่น พฤติกรรมของตลาด กลไกราคา
(อ่านเพิ่มเติมจากบทที่ 3)
2. เศรษฐศาสตร์มหภาค
(Macroeconomics)
เป็ น การศึ ก ษากิ จ กรรมทางเศรษฐกิ จ ใน
ภาพรวมหรือในระดับประเทศ เช่น รายได้ประชาชาติ
การบริโภค การออม การลงทุน ภาวะการจ้างงานของ
ประเทศ การเงินและการคลังของประเทศ การค้าระหว่าง
ประเทศ อัตราดอกเบี้ย ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นปัญหาที่
กว้างขวางกว่าเศรษฐศาสตร์จุลภาค เพราะว่าไม่ได้
กระทบเพียงธุรกิจ หรือคนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่จะ
กระทบถึงบุคคลโดยทั่วไป ครัวเรือน การผลิตทั้งหมด
และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
16 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
คุณเรียนรู้สิ่งเหล่านี้แล้วหรือยัง
• เข้าใจและทราบว่าเศรษฐศาสตร์สำ�คัญอย่างไร
• เข้าใจว่ากิจกรรมทุกอย่างที่เลือกมาต้องมีการได้อย่างเสียอย่าง
• นำ�ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ที่ ได้ ไปใช้ ในการตัดสินใจในชีวิตประจำ�วันได้
กิจกรรมทดสอบความเข้าใจ
ลองยกตัวอย่างเหตุการณ์ ในชีวิตประจำ�วันที่ต้องใช้ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์
มาช่วยในการตัดสินใจ
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 17
บทที่ 2
Limited
ปัญหาพื้นฐาน Resou
rces
ทางเศรษฐศาสตร์
บทนี้เป็นการทำ�ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์จากความต้องการของมนุษย์ที่มีอยู่
อย่างไม่จำ�กัด ขณะที่ทรัพยากรมีไม่เพียงพอที่จะผลิตสิ่งเหล่านั้นได้ทั้งหมด แม้ ในโลกนี้จะมีแหล่งทรัพยากร
อยู่มากมายแต่ก็มีจำ�กัด บางอย่างใช้แล้วหมดไป บางอย่างแม้จะสร้างเพิ่มได้แต่ก็ต้องใช้เวลา ดังนั้น คนเรา
จึงต้องมีการตัดสินใจเลือกซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนล้วนต้องเผชิญในชีวิตประจำ�วัน โดยสิ่งที่ ไม่ ได้เลือกก็จะเป็น
ต้นทุนที่เราต้องเสียโอกาสไป หรือในทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “ต้นทุนค่าเสียโอกาส (opportunity cost)”
18 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
คำ�ตอบไม่ยาก คือ เราต้องเลือก ต้องตัดใจสละบางอย่าง เพราะไม่
สามารถทำ�ได้ทั้งหมดทุกทางเลือก เช่น ถ้าเรานำ�ทรัพยากรที่มีมาผลิตของ
สิ่งหนึ่ง ก็จะไม่สามารถเอาไปผลิตของสิ่งอื่น บทบาทของวิชาเศรษฐศาสตร์
จึงต้องการที่จะตอบว่า เราจะเลือกผลิตอะไร หรือไม่ผลิตอะไร เพื่อให้
Key Points
การเลือกดังกล่าวคุ้มค่ามากที่สุด
ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์
เกิดจากความต้องการมีไม่จำ�กัด
(unlimited wants) ขณะที่ทรัพยากร/
เวลามีจำ�กัด (limited resources)
กิจกรรมทดสอบความเข้าใจ
สิ่งที่เศรษฐศาสตร์เรียกว่าเป็นสินค้าขาดแคลน (scarce goods) มีทั้งที่จับต้องได้
และจับต้องไม่ ได้ เช่น น้ำ�ชลประทาน แรงงานทักษะสูง ที่ดิน ยี่ห้อสินค้า สัมปทาน
ผู้ ให้สัญญาณโทรศัพท์มือถือหรือโทรทัศน์
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 19
ทางเลือกและค่าเสียโอกาส
(Choice and Opportunity Cost)
หากเราต้ อ งเลื อ กทำ � อะไรสั ก อย่ า งหนึ่ ง คำ � ถามที่ อ ยู่ ใ นใจ คื อ
“ทำ�อย่างนี้คุ้มหรือไม่” เพราะเมื่อเราเลือกทำ�อย่างหนึ่ง ก็ไม่สามารถทำ�อีก
อย่างหนึ่งได้ในเวลาเดียวกัน เช่น ถ้าเลือกปลูกข้าวบนที่ดินผืนหนึ่ง ก็จะไม่
สามารถปลูกข้าวโพดในที่ดินเดียวกันได้เพราะที่ดินมีจำ�กัด
20 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
รู ไหม
วา…?
ตอนเป็นเด็ก เราอาจจะโยเยไม่อยากไปเรียนเพราะต้องตื่นแต่เช้า ไม่ได้นอนต่ออย่างสุขสบาย แต่ลองนึกดู เวลาที่เราใช้ไปกับ
การเรียน ไม่ว่าจะระดับประถม มัธยม มหาวิทยาลัย รวมถึงค่าเล่าเรียนที่คุณพ่อคุณแม่จ่ายไป ล้วนแลกกับโอกาสในอนาคต
ที่เราจะได้ทำ�งานดี ๆ เงินเดือนสูง ๆ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ดังนั้น ต้นทุนค่าเสียโอกาสของการเลือกที่จะไม่เรียนในวันนี้ ก็คือ
รายได้ที่จะสูญเสียไปจากโอกาสที่จะได้งานเงินเดือนสูง ๆ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นนั่นเอง
“ยิ่งจบสูง เงินเดือนยิ่งมาก”
ปริญญาเอก 36,169
ปริญญาโท 23,575
ปริญญาตรี 16,955
อาชีวะ 14,205
มัธยมปลาย 14,088
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 21
“ในชีวิตประจำ�วันของเราทุกคนต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ต้องเลือก
อยู่เสมอ ดังนั้น ทุกครั้งที่เราต้องตัดสินใจเลือก เราต้องชั่งน้ำ�หนักต้นทุน
ค่าเสียโอกาสที่เสียไปด้วยแม้จะเป็นต้นทุนที่ซ่อนเร้นอยู่ก็ตาม”
ต้นทุนค่าเสียโอกาสมีความสำ�คัญต่อการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่
อย่างจำ�กัดให้มีประสิทธิภาพสูงสุด แต่ถ้าตัดสินใจเลือกใช้ทรัพยากรหรือ
ปัจจัยการผลิตโดยไม่ได้คำ�นึงถึงต้นทุนค่าเสียโอกาสก็อาจทำ�ให้เกิดการใช้
ทรัพยากรอย่างไม่คุ้มค่า สิ้นเปลือง
Exam Tip
ถ้ามีหลายทางเลือก (alternative choices) ต้นทุนค่าเสียโอกาสของแต่ละทางเลือกจะคิดอย่างไร ขอให้จำ�ไว้ว่า
ต้นทุนค่าเสียโอกาส คือ ผลตอบแทนสูงสุดที่สูญเสียไปจากตัวเลือกอื่น ๆ ที่ ไม่ ได้เลือก (next best alternative) ไม่ใช่
ผลตอบแทนของทางเลือกทั้งหมดที่เราสูญเสียไปมารวม ๆ กัน เพราะเราเลือกทำ�ได้สิ่งเดียว ไม่สามารถทำ�ทุกอย่างได้
ในเวลาเดียวกัน
22 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
รู ไหม ตัวอย่างเช่น แบงก์ชาติมีการออกธนบัตรที่ระลึกชนิดราคา 100 บาท
วา…? ก็มีคนเข้าแถวรอเพื่อแลกซื้อธนบัตรแล้วนำ�ไปขายต่อได้ในราคา 110 บาท
(การแลกแต่ละครั้งมีการจำ�กัดจำ�นวน) สมมติว่าวันนั้นถ้าเขาไปขับแท็กซี่
ได้ เ งิ น หลั ง จากหั ก ค่ า น้ำ � มั น และค่ า เช่ า รถแล้ ว เหลื อ 600 บาทต่ อ วั น
การใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน การเอาเวลามาเข้าแถวรอแลกธนบัตรก็เท่ากับเขามีต้นทุนค่าเสียโอกาส
(sustainable) หมายถึง การใช้ เท่ากับ 600 บาท ดังนั้น ถ้าจะดูว่าคุ้มค่ากับค่าเสียโอกาสหรือไม่นั้น
หรือจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อมอย่างฉลาด เขาคงต้องเปรียบเทียบระหว่างผลตอบแทนจากการเข้าแถวรอแลกธนบัตร
คุ้มค่า รู้จักประหยัดและถนอม เพื่อไปขายต่อ กับรายได้จากการขับแท็กซี่ในวันนั้น สมมติว่าถ้าเขาต่อแถว
ในการใช้ เพื่อให้มีไว้ใช้อย่าง แลกธนบัตรได้วันละ 50 ฉบับ แล้วเอามาขายต่อได้กำ�ไรฉบับละ 10 บาท
ยาวนานจนถึงคนรุ่นหลัง
เขาจะได้กำ�ไรทั้งหมดเพียง 500 บาท ไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับค่าเสียโอกาส
ทีจ่ ะเอาเวลาไปขับแท็กซีซ่ งึ่ จะได้รายได้ 600 บาท จะเห็นว่าถ้าไม่ได้ค�ำ นึงถึง
ต้นทุนค่าเสียโอกาสก็อาจจะทำ�ให้ใช้เวลาไปอย่างไม่คุ้มค่า
Key Points
• การตัดสินใจเลือกทำ�อย่างหนึ่ง
อย่างใด หรือใช้เวลาในการทำ�อะไร
ก็ตาม ต้องมีต้นทุนค่าเสียโอกาส
เกิดขึ้นเสมอ
กิจกรรมทดสอบความเข้าใจ
• ต้นทุนค่าเสียโอกาส คือ ลองยกตัวอย่างเหตุการณ์ ในชีวิตประจำ�วันที่ต้อง
ผลตอบแทนสูงสุดที่สูญเสีย ตัดสินใจเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ว่าเมื่อเลือกแล้ว
ไปจากตัวเลือกอื่น ๆ ที่ไม่ได้เลือก
(next best alternative) อะไรเป็นต้นทุนค่าเสียโอกาส
ซึ่งเป็นต้นทุนที่แท้จริงในการตัดสินใจ
เลือกในทางเศรษฐศาสตร์
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 23
ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์
(Basic Problems of Economics) :
ผลิตอะไร ผลิตอย่างไร ผลิตให้ ใคร
ทรัพยากรทีม่ จี �ำ กัด ขณะทีค่ วามต้องการมีไม่จ�ำ กัด จึงทำ�ให้เกิดปัญหา
ขาดแคลนทรัพยากร นำ�ไปสูป่ ญั หา 3 ข้อ คือ ผูผ้ ลิตจะผลิตอะไร ผลิตอย่างไร
และผลิตให้ใคร ทั้ง 3 ปัญหานี้ คือ ปัญหาพื้นฐานที่เศรษฐศาสตร์จะเข้า
มาช่วยแก้ไขว่าผู้ผลิตควรจัดสรรทรัพยากรที่มีจำ�กัดอย่างไร เพื่อให้เกิด
ประโยชน์สูงสุด เพราะเมื่อมีการตัดสินใจใช้ทรัพยากรหรือปัจจัยการผลิต
ไปผลิตอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ก็จะเสียโอกาสที่จะเอาทรัพยากรหรือ
ปัจจัยการผลิตจำ�นวนเดียวกันนั้นไปผลิตอย่างอื่นในเวลาเดียวกัน
จะเห็นว่าการจัดสรรทรัพยากรมีความสำ�คัญต่อการแก้ปัญหาพื้นฐาน
ทั้ง 3 ข้อ เพราะการเลือกใช้ทรัพยากรมาผลิตสิ่งหนึ่งก็จะสูญเสียโอกาส
ที่จะผลิตสิ่งอื่น ๆ ถ้าผลิตแล้วขายไม่ออก ก็จะเสียทรัพยากรไปฟรี ๆ หรือ
ผลิตออกมาแล้ว แต่มีจำ�นวนมากเกินไปจนล้นตลาด หรือน้อยเกินไป
จนขาดตลาด ก็จะกระทบต่อผู้บริโภค ในกรณีที่ผู้ผลิตใช้ปัจจัยการผลิต
ไม่เหมาะสม ก็จะเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากร รวมทั้งทำ�ให้ต้นทุนแพงด้วย
หรือผลิตออกมาแล้ว ไม่ได้กระจายสินค้าออกไปอย่างเหมาะสม ก็จะเกิด
ปั ญ หาตามมา นำ � มาสู่ คำ � ถามที่ ว่ า แล้ ว เราจะจัดสรรทรัพยากรอย่างไร
จะใช้อะไรมาเป็นตัวกำ�หนดหรือตัดสินใจ ซึ่งจะได้กล่าวถึงในบทต่อไป
24 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
What ? --> ปัญหาว่าจะผลิตอะไร
ปัญหานี้เกิดจากทรัพยากรหรือวัตถุดิบในการผลิตมีจำ�กัด ไม่สามารถ
ตอบสนองความต้องการที่มี ไม่จำ�กัดได้ทั้งหมด ผู้ผลิตจึงต้องเลือกว่าจะ
ผลิตอะไรบ้าง จำ�นวนเท่าใด ถึงจะได้ประโยชน์สูงสุด
ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณแม่อยากทำ�ธุรกิจ แต่ตอนนี้มีที่ดินแปลงเล็ก ๆ
เพียงแปลงเดียว คุณแม่ก็คงเลือกทำ�ธุรกิจได้เพียงธุรกิจเดียว คุณแม่
ก็ ต้ อ งเลื อ กว่ า จะทำ � ธุ ร กิ จ ไหนดี เช่ น จะเปิ ดร้ า นตั ดเสื้ อ ดี ห รื อ
ร้านกาแฟดีถึงจะได้ประโยชน์สูงสุด How ? --> ปัญหาจะผลิตอย่างไร
ปั ญ หานี้ เ กิ ด จากเมื่ อ เราเลื อ กได้ แ ล้ ว ว่ า จะผลิ ต อะไร
ก็ ต้ อ งมาคิ ด ต่ อ ว่ า จะเลื อ กใช้ ท รั พ ยากรหรื อ วั ต ถุ ดิ บ ใน
การผลิ ต อย่ า งไร ถึ ง จะทำ � ให้ ต้ น ทุ น ถู ก ที่ สุ ด และมี
ประสิทธิภาพมากที่สุด
ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณแม่เลือกที่จะเปิดร้านตัดเสื้อ คุณแม่
ก็ต้องตัดสินใจเลือกว่าจะใช้แรงงานคนตัดเย็บ หรือ
จะใช้เครื่องจักรแทน อย่างไหนจะมีต้นทุนน้อยกว่า
เมื่อตัดเสื้อจำ�นวนเท่ากัน
คุณเรียนรู้สิ่งเหล่านี้แล้วหรือยัง
• เข้าใจความสำ�คัญของค่าเสียโอกาส
• สามารถระบุปัญหาพื้นฐานในชีวิตที่เศรษฐศาสตร์จะเข้ามาช่วยแก้ ไข
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 25
บทที่ 3
การแก้ปัญหาพื้นฐาน
ทางเศรษฐศาสตร์ :
ผลิตอะไร ผลิตอย่างไร B
ผลิตให้ ใคร BUY
SELL
26 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
ในระบบเศรษฐกิจมีใครบ้าง ? :
เสริมความรู้ หน่วยเศรษฐกิจ (Economic Units)
กิจกรรมทางเศรษฐกิจ คือ การกระทำ�
ต่าง ๆ เพื่อมาตอบสนองความต้องการ ก่อนที่เราจะทำ�ความเข้าใจถึงการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ เรามา
ของมนุษย์ เราทราบอยู่แล้วว่าทุกคน ทำ�ความรู้จักกับกลุ่มต่าง ๆ ในระบบเศรษฐกิจกันก่อน จากบทก่อน
ต้องกินต้องใช้ จึงทำ�ให้เกิด
1. การผลิต – สร้างสิ่งของหรือบริการ
เราทราบแล้วว่า ความต้องการของคนเรามีอยู่อย่างไม่จำ�กัด ทุก ๆ คน
มาเพื่อสนองความต้องการของ ต่างแสวงหาสิ่งของหรือบริการมาเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง
ผู้บริโภค เช่น เมื่อหิวเราก็ต้องซื้ออาหารมารับประทาน เมื่อผมยาวเราก็ไปตัดผม
2. การบริโภค – กินหรือใช้เพื่อสนอง
ความต้องการ เมื่อป่วยเราก็ไปพบแพทย์ เป็นต้น การรับประทานอาหาร การใช้บริการ
3. การแลกเปลี่ยน – เอาสินค้าที่เรา ช่างตัดผม การบริการทางการแพทย์ เหล่านี้ในทางเศรษฐศาสตร์ถือว่า
ผลิตได้ ไปแลกเปลี่ยนสินค้าอื่น เป็นการบริโภคทั้งสิ้น การบริโภคจึงไม่ได้หมายถึงการรับประทานอาหาร
ที่เราผลิตไม่ได้ หรือผลิตได้ ไม่ดี
เพื่อตอบสนองความต้องการ เท่านั้น แต่รวมถึงการใช้สินค้าและรับบริการด้วย และเมื่อเกิดการบริโภค
ของเรา จึงเกิดเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจขึ้นมา มีการผลิตสินค้าและบริการเหล่านี้
4. การกระจาย – จำ�แนกแจกจ่าย เพือ่ ตอบสนองความต้องการ แล้วนำ�มาแลกเปลีย่ นกัน อาจเป็นการแลกเปลีย่ น
สินค้าไปยังผู้ที่ต้องการ (ผู้บริโภค)
และนำ�รายได้มาแบ่งสรรปันส่วน สินค้ากับสินค้า หรือการแลกเปลี่ยนสินค้ากับเงินซึ่งใช้เป็นสื่อกลางในการ
ให้กับเจ้าของปัจจัยการผลิต แลกเปลี่ยนก็ได้ เราเรียกผู้ที่ทำ�การผลิตสินค้าและให้บริการเหล่านี้ว่า
ที่มีส่วนร่วมในการผลิตจะเห็นว่า
กิจกรรมทางเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่อง
“ผู้ผลิต” ส่วนผู้ที่ใช้หรือผู้ซื้อสินค้าและรับบริการอย่างเรา ๆ ว่า “ผู้บริโภค”
ที่มาบังคับกันเพื่อให้เกิดขึ้น
แต่การดำ�รงชีพของมนุษย์ เนื่องจากทรัพยากรต่าง ๆ มีอยู่อย่างจำ�กัด ในขณะที่ความต้องการ
ที่ต้องการแสวงหาสิ่งต่าง ๆ
เพื่อตอบสนองความต้องการ
ของผูบ้ ริโภคมีอยูม่ ากมาย ทัง้ ผูผ้ ลิตและผูบ้ ริโภคจึงต้องตัดสินใจใช้ทรัพยากร
ต่างหากที่ทำ�ให้เกิดกิจกรรม โดยคำ�นึงถึงประโยชน์สูงสุดของตน โดยผู้ผลิตจะเป็นผู้รวบรวมทรัพยากร
ทางเศรษฐกิจขึ้นมา หรือปัจจัยการผลิตต่าง ๆ จากเจ้าของปัจจัยการผลิต เพื่อมาผลิตสินค้าและ
บริการทีต่ รงกับความต้องการของผูบ้ ริโภคมากทีส่ ดุ และด้วยต้นทุนทีต่ �่ำ ทีส่ ดุ
ส่วนผู้บริโภคก็จะใช้ทรัพยากรตามความจำ�เป็น คุ้มค่า และประหยัดที่สุด
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 27
รู ไหม
วา…?
ปัจจัยการผลิตคืออะไร ใครเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต ผลตอบแทนที่ ได้รับคืออะไร
ใครเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต ? ถ้าไม่ใช่ประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ที่รัฐบาลเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตไปเสียทั้งหมด
คนอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ก็เป็นเจ้าของปัจจัยได้ เช่น ขายแรงงาน (แรงสมองและแรงกาย) รวมถึงสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัวไม่ว่าจะเป็น
พ่อ แม่ ลูก ปู่ ย่า ลุง ป้า น้า อา ฯลฯ ล้วนเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตได้ทง้ั สิน้ ไม่วา่ จะเป็นเจ้าของทีด่ นิ แรงงาน ทุน หรือเป็นผูป้ ระกอบการ
และคน ๆ เดียวก็เป็นเจ้าของปัจจัยได้มากกว่า 1 ชนิด เช่น พ่ออาจจะเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยว พ่อก็จะเป็นเจ้าของที่ดิน แรงงาน ทุน และ
แถมเป็นผู้ประกอบการไปด้วยเลย จะเห็นว่าเจ้าของปัจจัยการผลิต ก็คือ “หน่วยครัวเรือน” นั่นเอง
28 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
เมื่อผู้ผลิตและผู้บริโภคมาเจอกัน
แล้วกิจกรรมทางเศรษฐกิจดำ�เนินไปได้อย่างไร
เมื่อผู้ผลิตและผู้บริโภคมาเจอกัน ต่างฝ่ายต่างทราบความต้องการ
ของตนเอง โดยผูบ้ ริโภคก็ซอื้ สินค้าและบริการมาเพือ่ ตอบสนองความต้องการ
ของตัวเอง ขณะที่ผู้ผลิตก็จะทำ�การผลิตสินค้าและบริการเพื่อขายให้กับ
ผู้บริโภค ซึ่งสิ่งที่ได้ตอบแทนก็คือ กำ�ไร ถ้ามีกันอยู่แค่ 2 คน คงไม่ยาก
ผู้บริโภค (ผู้ซื้อ) กับ ผู้ผลิต (ผู้ขาย) ก็จะทำ�การตกลงราคาร่วมกัน ลองนึกถึง
เราไปซื้อเสื้อสักตัวในตลาดนัด ถ้าคนขายตั้งราคา 300 บาท เราอาจจะ
economic units
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 29
การที่รัฐบาลเป็นผู้ผลิต ทำ�ให้รัฐบาลเป็นผู้ซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ จากหน่วยครัวเรือนและหน่วยธุรกิจด้วย อาทิ
การจ้างแรงงาน ซึ่งก็คือข้าราชการนั่นเอง การซื้อกระดาษ อุปกรณ์สำ�นักงาน คอมพิวเตอร์ เป็นต้น นอกจากรัฐบาล
จะมีบทบาทเป็นผู้ผลิตและผู้ซื้อแล้ว รัฐบาลยังมีบทบาทเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตบางประเภทด้วย เช่น ป่าไม้ ที่ดิน
แร่ธาตุต่าง ๆ เป็นต้น ถ้าหน่วยธุรกิจต้องการนำ�ทรัพยากรดังกล่าว มาใช้ในการผลิต ก็จะต้องจ่ายค่าตอบแทนให้แก่
รัฐบาลด้วย อาทิ ค่าสัมปทาน
บทบาทเปนเจาของ
ปจจัยการผลิต
household business firm government
คำ�ถามทดสอบความเข้าใจ
คุณรู้ ไหมว่าคุณมีบทบาทเป็นอะไรในการดำ�เนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ลองอธิบาย และยกตัวอย่าง
ให้เห็นชัดเจน
30 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
การแก้ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์
หน่วยเศรษฐกิจทั้งสามหน่วย ได้แก่ หน่วยครัวเรือน หน่วยธุรกิจ
และหน่ ว ยรั ฐ บาล จะมารวมตั ว กั น เพื่ อ ดำ � เนิ น กิ จ กรรมทางเศรษฐกิ จ
Key Points
ซึ่งเมื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจมีมากขึ้นและเกิดการเชื่อมโยงกัน จึงเกิดเป็น
• ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม “ระบบเศรษฐกิจ” ซึ่งรูปแบบของระบบเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ในโลก
จะใช้กลไกราคาในการแก้ปัญหา
พื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์ จะมีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับรูปแบบการปกครอง ขนบธรรมเนียม
• ผู้ผลิตและผู้บริโภคเป็นผู้กำ�หนด ประเพณี วัฒนธรรมของแต่ละประเทศ
ราคาร่วมกัน โดยต่างฝ่ายต่างส่ง
สัญญาณให้อีกฝ่ายทราบว่า
ตนเต็มใจและมีความสามารถ 1. ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนยิ มหรือทุนนิยม (capitalism) ทุกคนมีสทิ ธิ์
ที่จะซื้อหรือขายที่ราคาเท่าไร เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต สินค้าและบริการต่าง ๆ ที่ตนหาได้มา และ
ทุกคนก็มีเสรีภาพเต็มที่ในการดำ�เนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งเขาเห็นว่า
เป็นประโยชน์แก่เขามากทีส่ ดุ โดยเจ้าของปัจจัยการผลิตมีอสิ ระทีจ่ ะนำ�ปัจจัย
การผลิตที่มีอยู่ไปใช้ทำ�อะไรก็ได้ตามที่ตนพอใจ เช่น อาจจะขายที่ดิน
ให้เช่าต่อ หรือใช้ปลูกข้าวเอง ผู้ผลิตก็มีอิสระที่จะซื้อปัจจัยการผลิต และ
ใช้ปจั จัยการผลิตมาผลิตสินค้าตามเงินทุนทีม่ อี ยู่ ขณะทีผ่ บู้ ริโภคเองก็มอี สิ ระ
ในการเลือกซื้อสินค้าต่าง ๆ ได้ตามที่ตนพอใจตามเงินในกระเป๋าที่มีอยู่
กิจกรรมทางเศรษฐกิจเหล่านี้ดำ�เนินไปโดยมีกลไกราคา ซึ่งจะทำ�หน้าที่
แก้ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์ โดยราคาจะเป็นตัวกำ�หนดว่าควรนำ�
ปัจจัยการผลิตนั้นมาผลิตสินค้าอะไร มากน้อยแค่ไหน ใช้ทรัพยากรอย่างไร
และกระจายสินค้าและจ่ายผลตอบแทนจากการผลิตไปให้ใครบ้าง โดยรัฐบาล
จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง รัฐบาลจะมีหน้าที่เพียงการรักษาความสงบเรียบร้อย
ของบ้านเมืองและการป้องกันประเทศ และทำ�ให้บรรยากาศการซื้อขายเป็น
ไปได้โดยสะดวก
capitalism
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 31
ราคาจะถูกกำ�หนดจากผู้ซื้อ (ผู้บริโภค) และผู้ขาย (ผู้ผลิต) ร่วมกัน รู ไหม
ถ้าผู้ซื้อต้องการสินค้านั้น ก็จะส่งสัญญาณให้ผู้ผลิตทราบว่าเขาอยากจะจ่าย
ในราคาเท่าไร ถ้าของที่ผู้ขายผลิตมาขายมีไม่พอกับความต้องการซื้อของ วา…?
ผู้บริโภค ผู้บริโภคก็ต้องยอมจ่ายในราคาที่สูงขึ้นเพื่อให้ได้สินค้านั้นมา
ซึ่งก็จะจูงใจให้ผู้ผลิต ผลิตออกมาขายมากขึ้นด้วย แต่ถ้าสินค้ามีเหลือเฟือ อดัม สมิธ เจ้าของ
ผลิตออกมาขายมากกว่าทีผ่ ซู้ อื้ ต้องการ ราคาสินค้านัน้ ก็จะลดลง ผูผ้ ลิตก็จะ ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์
ลัทธิเสรีนิยม กล่าวไว้ว่า
ผลิตลดลงด้วย (จะอธิบายกฎของอุปสงค์กับอุปทานในลำ�ดับถัดไป) ดังนั้น เมื่อแต่ละคนในระบบเศรษฐกิจ
จะเห็นว่าราคาเป็นตัวที่บอกให้ทราบว่าจะผลิตสินค้าอะไรและเป็นจำ�นวน มุ่งแสวงหาประโยชน์ส่วนตน (ผู้บริโภค
เท่าใด (what) ส่วนจะผลิตอย่างไร (how) ราคาก็จะเป็นตัวตัดสินใจเช่นกัน ต้องการความพอใจสูงสุดจาก
การบริโภค ส่วนผู้ผลิตต้องการกำ�ไร
โดยผู้ผลิตจะเลือกใช้ปัจจัยการผลิตและวิธีการผลิตที่ต้นทุนถูกที่สุดเพื่อให้ สูงสุด) ทรัพยากรจะถูกจัดสรร
ขายตามราคานั้นแล้วได้กำ�ไรมากที่สุด ส่วนปัญหาที่ว่า จะผลิตให้ใคร ผ่านกลไกราคา (หรือระบบตลาด)
ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสม
(for whom) ราคาก็จะเป็นตัวบอกให้ทราบว่า ใครควรจะเป็นผู้ได้ไป มากที่สุด จึงได้กล่าวเปรียบเทียบ
เพราะผู้ผลิตก็จะเลือกขายให้กับผู้ที่ให้ราคาสูงที่สุด กลไกดังกล่าวว่าเป็น “มือที่มอง
ไม่เห็น (invisible hand)”
Exam Tip
กลไกราคาจะปรับให้ราคาทีผ่ ซู้ อื้ ต้องการซือ้ เท่ากับราคาทีผ่ ขู้ ายเสนอขายเรียกว่า “ราคาดุลยภาพ” และจำ�นวนสินค้า
ที่ผู้ซื้อต้องการซื้อเท่ากับจำ�นวนสินค้าที่ผู้ขายเสนอขายพอดีเรียกว่า “ปริมาณดุลยภาพ” (อ่านเพิ่มเติมในบทที่ 4)
32 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
• การที่ทุกคนมีสิทธิ์เป็นเจ้าของสินค้าและปัจจัยการผลิต เช่น
ที่ดิน ทุน ที่ตนหาได้มา และทุกคนก็มีอิสระเต็มที่ในการใช้
สิ่งเหล่านั้น แต่นั่นก็อาจก่อให้เกิดปัญหารายได้ไม่เท่าเทียมกัน
รวยจนต่างกันมาก เพราะผู้ที่มีทรัพย์สินมากกว่าหรือมีความ
สามารถสูงกว่าจะเป็นผู้ได้เปรียบ ผู้มีรายได้สูงก็รวยขึ้นเรื่อย ๆ
ในขณะที่ผู้มีรายได้น้อยซึ่งไม่มีโอกาสเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต
ก็จนลง
• สินค้าและบริการบางอย่างจำ�เป็นต่อการดำ�รงชีวิต แต่อาจจะไม่มี
ใครยอมผลิตเพราะไม่คุ้มกับเงินลงทุน เนื่องจากสินค้าและบริการ
เหล่านี้ไม่สามารถกีดกันคนอื่นไม่ให้มาใช้ด้วยได้หรือเมื่อผลิตแล้ว
ไม่สามารถเก็บเงินจากผู้บริโภคได้ เช่น การจัดหากองกำ�ลังทหาร
เพื่อป้องกันประเทศ หรือการส่งไฟฟ้าและประปาสู่ท้องถิ่นชนบท
รัฐจึงต้องเข้ามาดำ�เนินการเอง
• การใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง ไม่คุ้มค่า เช่น ในบางช่วงที่มีการ
แข่งขันกันสร้างคอนโดมิเนียมเพราะคิดว่าเป็นกิจการที่ให้ผล
ตอบแทนหรือกำ�ไรดี เมื่อสร้างขึ้นมามากๆ ก็เกิดมีมากเกินกว่า
ความต้องการ หรือที่เรียกว่า oversupply ทำ�ให้ผู้ประกอบการ
ประสบภาวะขาดทุน กิจการต้องล้มเลิก เสียเงินทุนที่ลงทุนไป
เป็นการสูญเสียทรัพยากรไปอย่างเปล่าประโยชน์และไม่คุ้มค่า
เป็นต้น
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 33
แต่ ก ารดำ � เนิ น กิ จ กรรมทางเศรษฐกิ จ ตามระบบเศรษฐกิ จ แบบ
สังคมนิยม แม้จะมีข้อดีที่ทำ�ให้เกิดความเท่าเทียมกันระหว่างคนในสังคม
และมีการกระจายผลประโยชน์ ไม่ตกอยูก่ บั ผูม้ เี งินทุนมาก หรือผูกขาดปัจจัย
การผลิต นอกจากนี้ รัฐบาลยังสามารถดูแลและควบคุมการใช้ทรัพยากรใน คุณเรียนรู้สิ่งเหล่านี้
การผลิตได้ แต่ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมก็มีข้อเสีย หากการวางแผน แล้วหรือยัง
และการดำ�เนินนโยบายผิดพลาด การจัดสรรทรัพยากรอาจไม่ก่อให้เกิด • เข้าใจบทบาทของกลุ่มต่าง ๆ
ประโยชน์สูงสุด เอกชนไม่มีแรงจูงใจในการทำ�งานและการผลิต ไม่เกิดการ ในระบบเศรษฐกิจ ทั้งหน่วย
พัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์เพราะขาดเสรีภาพ ครัวเรือน หน่วยธุรกิจ
หน่วยรัฐบาล
ในปัจจุบันเป็นยุคของการค้าเสรี มีการติดต่อการค้าและเชื่อมโยง • เข้าใจการแก้ปัญหาทาง
การลงทุนไปทั่วโลก ทำ�ให้ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมมีความยืดหยุ่น เศรษฐศาสตร์ของระบบ
มากขึ้น ตัวอย่างเช่น ประเทศจีน ซึ่งมีระบอบการปกครองแบบสังคมนิยม เศรษฐกิจในรูปแบบต่าง ๆ
ก็มีการสนับสนุนให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนมากขึ้นในกิจการที่เป็นประโยชน์
ต่อการพัฒนาประเทศ เช่น อุตสาหกรรมภาคการเงิน และประกันภัย
อุตสาหกรรมการเกษตร อุตสาหกรรมพลังงาน หรือแม้แต่อุตสาหกรรม
จัดหาแร่ธาตุ เป็นต้น
ปัจจุบันประเทศต่าง ๆ ในโลกล้วนแต่มีลักษณะของระบบเศรษฐกิจ
แบบผสมทั้งสิ้น ต่างกันเพียงแต่ว่าประเทศไหนจะเป็นระบบเศรษฐกิจ
แบบผสมทีค่ อ่ นข้างไปทางระบบทุนนิยม (กลไกราคาเป็นตัวแก้ปญั หาพืน้ ฐาน
ทางเศรษฐศาสตร์) หรือระบบเศรษฐกิจแบบผสมที่ค่อนข้างไปทางระบบ
สังคมนิยม (รัฐบาลเป็นผูว้ างแผน ควบคุม และดำ�เนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ)
34 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
สังคมนิยม ทุนนิยม
ระบบเศรษฐกิจแบบผสม ระบบเศรษฐกิจแบบผสม
ที่คอนขางไปทางระบบสังคมนิยม ที่คอนขางไปทางระบบทุนนิยม
จากบทนี้เราจะเห็นว่า แทบทุกระบบเศรษฐกิจล้วนพึ่งพาการจัดสรรทรัพยากรผ่านกลไกราคา
เป็นส่วนใหญ่ กลไกราคาจะเป็นสิ่งกำ�หนดว่าระบบเศรษฐกิจจะผลิตสิ่งใด (what) ผลิตอย่างไร (how) และ
จะผลิตให้ ใคร (for whom) รวมทั้งใครจะได้รับผลตอบแทนเท่าใด ซึ่งในบทถัดไปจะอธิบายถึงการทำ�งาน
ของกลไกราคาเพิ่มเติม
กิจกรรมทดสอบความเข้าใจ
คุณคิดว่าประเทศไทยเป็นระบบเศรษฐกิจแบบใด และใช้อะไรเป็นตัวแก้ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์
ผลิตอะไร (what), ผลิตอย่างไร (how), ผลิตและจ่ายผลตอบแทนให้ ใคร (for whom)
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 35
บทที่ 4
กลไกราคา :
อุปสงค์และอุปทาน
บทนี้เป็นการทำ�ความเข้าใจเกี่ยวกับ
กลไกราคาซึ่ ง เป็ น ตั ว แก้ ปั ญ หา
พื้ น ฐานทางเศรษฐศาสตร์ หรื อ
เป็นตั ว จั ด สรรทรั พ ยากรในระบบ
เศรษฐกิจ โดยราคาของสินค้าและ
บริการจะถูกกำ�หนดจากความต้องการซื้อ
ของผู้ซื้อ (อุปสงค์) และปริมาณเสนอขาย
ของผู้ขาย (อุปทาน) ของสินค้านั้น ๆ กล่าวคือ
เมื่อราคาลดลง ปริมาณความต้องการซื้อจะมากขึ้น
ขณะที่ปริมาณเสนอขายจะน้อยลง แต่เมื่อราคาเพิ่มขึ้น ปริมาณความต้องการซื้อและปริมาณเสนอขาย
จะเปลีย่ นแปลงในทิศทางตรงกันข้าม การทำ�งานของกลไกราคานีจ้ ะปรับจนกระทัง่ ราคาทีผ่ ซู้ อ้ื ต้องการซือ้
เท่ากับราคาทีผ่ ขู้ ายเสนอขายเรียกว่า “ราคาดุลยภาพ” และจำ�นวนสินค้าทีผ่ ซู้ อื้ ต้องการซือ้ เท่ากับจำ�นวน
สิ น ค้ า ที่ ผู้ข ายเสนอขายพอดี เรี ย กว่ า “ปริ ม าณดุ ล ยภาพ” ทั้ ง นี้ ราคาและปริ ม าณดุ ล ยภาพ
สามารถเปลี่ยนไปจากเดิมได้ หากมีการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์และ/หรืออุปทาน ซึ่งจะเกิดเป็นราคา
และปริมาณดุลยภาพใหม่ขึ้นมา
36 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
การกำ�หนดราคาตามอุปสงค์และอุปทาน
เสริมความรู้
ตลาด คือ ที่ ๆ ผู้ผลิตและผู้บริโภค
การทีร่ ะบบเศรษฐกิจมีหลายแบบ ทำ�ให้การจัดสรรทรัพยากรหรือการ
มาเจอกัน ซึ่งตลาดในทางเศรษฐศาสตร์ แก้ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์แตกต่างกันไป ในระบบเศรษฐกิจแบบ
ไม่จำ�เป็นต้องมีสถานที่ในการซื้อขายก็ ได้ สังคมนิยม รัฐจะเป็นผู้วางแผนจัดสรรทรัพยากรเอง และเป็นผู้กำ�หนดว่าจะ
เพียงแค่ให้ผู้ซื้อและผู้ขายทำ�การตกลง
ซื้อขาย แลกเปลี่ยนสินค้ากันก็พอ
ผลิตอะไร และจำ�หน่ายจ่ายแจกไปให้ใคร ขณะทีร่ ะบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
เช่น การซื้อขายกันทางอินเทอร์เน็ต จะใช้กลไกราคาเป็นตัวจัดสรรทรัพยากร โดยราคาจะเป็นตัวกำ�หนดว่าควร
ตลาดในทางเศรษฐศาสตร์จึงมี ผลิตสินค้าอะไร มากน้อยเพียงใด ด้วยวิธีการผลิตใด และกระจายสินค้าไป
ความหมายกว้างกว่าตลาดที่เราเห็น
อยู่ทั่ว ๆ ไป ให้ใครบ้าง ซึ่งผู้ผลิตและผู้บริโภคจะร่วมกันเป็นผู้กำ�หนดราคา การซื้อขาย
สินค้าและบริการจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อได้ราคาที่ผู้ผลิตและผู้บริโภคพอใจ
อุปสงค์
เราในฐานะผู้บริโภค เราจะพอใจซื้อสินค้าและบริการที่เราต้องการ
จำ�นวนเท่าใด และจะยอมจ่ายที่ราคาต่อหน่วยเท่าใด ลองมาคิดดูว่ามีอะไร
บ้างที่เป็นตัวกำ�หนดความต้องการของเรา ตัวอย่างเช่น เราอยากจะกินข้าว
กลางวันจะเลือกกินอะไรดี เราอาจจะคำ�นึงถึงความชอบของเรา ราคาของ
Key Points
อาหารแต่ละอย่างทีม่ ใี ห้เลือก เงินในกระเป๋าทีเ่ รามี เช่น เลือกทานข้าวมันไก่
• อุปสงค์แสดงถึงความต้องการ เพราะเราชอบทานไก่ และราคาถูกกว่าข้าวขาหมู ถูกกว่าก๋วยเตี๋ยวเนื้อ
ซื้อสินค้าหรือบริการ ณ ระดับ
ราคาต่าง ๆ โดยต้องมี 2 เงื่อนไข ถูกกว่าผัดไทย และเงินในกระเป๋าของเราพอจ่าย
คือ (1) ผู้บริโภคมีความเต็มใจที่จะซื้อ
(willing to pay) และ (2) ผู้บริโภค ถ้าสมมติให้ปัจจัยอื่น ๆ ไม่เปลี่ยนแปลงเลย ยกเว้นราคาของ
มีความสามารถที่จะซื้อ (ability
to pay) สินค้าและบริการชนิดนั้น เช่น ถ้าปกติเราดื่มชานมไข่มุกวันละ 2 แก้ว
• เมื่อราคาสินค้าลดลง ปริมาณ แล้ววันหนึ่งราคาไข่มุกถูกลง แม่ค้าลดราคาลงจากแก้วละ 30 บาท เหลือ
ความต้องการซื้อจะมากขึ้น
แต่เมื่อราคาสูงขึ้น ปริมาณ
แก้วละ 20 บาท เราอาจจะอยากดื่มชานมไข่มุกเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 3 แก้ว
ความต้องการซื้อก็จะลดลง แต่ ถ้ า ไข่ มุ ก แพงขึ้ น จนทำ � ให้ แ ม่ ค้ า ขึ้ น ราคาชานมไข่ มุ ก เป็ น 40 บาท
ตาม “กฎของอุปสงค์” เราอาจจะอยากดื่ ม ชานมไข่ มุ ก น้ อ ยลงเหลื อ แค่ วั น ละแก้ ว ปริ ม าณ
• ความสัมพันธ์นี้จะเป็นจริงก็ต่อเมื่อ
ปัจจัยอื่นไม่เปลี่ยนแปลง เช่น รสนิยม
ชานมไข่มุก 1 แก้ว 2 แก้ว หรือ 3 แก้วที่เรายินดีที่จะซื้อ ณ ระดับราคา
ความชอบ เงินในกระเป๋า และราคา ต่าง ๆ นี้เราเรียกว่า อุปสงค์ของผู้ซื้อ
สินค้าอื่นที่ทดแทนกันได้ เป็นต้น
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 37
แต่ไม่ใช่วา่ เพียงผูซ้ อื้ เกิดความต้องการซือ้ แล้วจะเรียกว่ามีอปุ สงค์ได้เลย ผูซ้ อื้ จะต้องสามารถจ่ายค่าสินค้าหรือ
บริการนั้น ๆ ได้จริงด้วย เช่น เราต้องการซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นล่าสุด ทันสมัยและราคาแพง แต่มีเงินไม่พอซื้อ
อย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นอุปสงค์เพราะสุดท้ายเราก็ไม่สามารถซื้อโทรศัพท์มือถือนั้นมาใช้ได้ ในทางเศรษฐศาสตร์
อุปสงค์ (demand) จึงหมายถึง ปริมาณของสินค้าชนิดหนึ่งที่ผู้ซื้อต้องการซื้อ และมีความสามารถที่จะซื้อสินค้า
นั้นได้ ณ ราคาต่าง ๆ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ถ้ารสนิยม เงินในกระเป๋า และปัจจัยอื่น ๆ ไม่เปลี่ยนแปลง
ซึ่งโดยปกติผู้บริโภคจะมีความต้องการซื้อมากขึ้นเมื่อราคาถูกลง นั่นคือ ความสัมพันธ์ระหว่างราคาและปริมาณ
ความต้องการซื้อจะสวนทางกัน ความสัมพันธ์นี้เราเรียกว่า กฎของอุปสงค์ (law of demand) นั่นเอง
คำ�ถามชวนคิด...?
ถ้าเราลองเอาจำ�นวนแก้วของชานมไข่มุกที่เราต้องการซื้อมาเปรียบเทียบกับราคา โดยวาดกราฟให้แกนตั้งเป็นราคาชานมไข่มุกต่อแก้ว และแกนนอน
เป็นจำ�นวนชานมไข่มุก (แก้ว) ที่เราต้องการจะดื่ม แล้วลากเชื่อมจุดต่าง ๆ เราจะได้เส้นกราฟอย่างไร
ราคาชานมไขมุก (บาท/แกว)
50
40
30
20
10
0
1 2 3 4
จำนวนชานมไขมุกที่ตองการซื้อ (แกว)
38 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
อุปทาน
มาในฟากผู้ขายหรือผู้ผลิตกันบ้าง ถ้าเราจะผลิตของสักอย่างมาขาย เราจะพอใจที่จะขายจำ�นวนเท่าใด
และจะอยากขายที่ราคาเท่าใด เราจะต้องคำ�นึงถึงอะไรบ้าง เราอาจจะนึกถึงราคาที่จะขายได้ ต้นทุนวัตถุดิบ ค่าจ้าง
แรงงาน เทคโนโลยีการผลิต ราคาสินค้าอื่นที่ใช้ได้เหมือนกับของที่เราจะผลิต เป็นต้น
ถ้าเราสมมติให้ปัจจัยอื่น ๆ ไม่เปลี่ยนแปลง ยกเว้นราคาที่ขายได้ ลองคิดดูซิว่า เมื่อของราคาสูงขึ้น ผู้ผลิต
จะพอใจที่จะเสนอขายสินค้ามากขึ้นหรือน้อยลง แน่นอนว่า คำ�ตอบที่ได้ก็จะตรงข้ามกับผู้ซื้อ หากเป็นผู้ซื้อ
อย่างเรา ๆ ก็อยากซื้อถูก ๆ ถ้าราคาสูงขึ้น ก็คงอยากซื้อน้อยลง ขณะที่ผู้ผลิตหรือผู้ขายก็อยากขายของแพง ๆ
เพราะจะได้กำ�ไรมาก ๆ ดังนั้น ถ้าของแพงขึ้น ก็จะอยากขายมากขึ้น เช่น ถ้าปกติแม่ค้าขายชานมไข่มุกแก้วละ
25 บาท ขายได้วันละ 50 แก้ว แต่ถ้าราคาชานมไข่มุกเพิ่มขึ้นเป็นแก้วละ 30 บาท แม่ค้าก็อยากจะขายเพิ่มขึ้นเป็น
วันละ 70 แก้ว แต่ถ้าต้องลดราคาชานมไข่มุกลงเหลือแก้วละ 20 บาท แม่ค้าก็อาจจะอยากขายชานมไข่มุกน้อยลง
เหลือแค่ 30 แก้ว เพราะทำ�เยอะก็ไม่คุ้มกับค่าเหนื่อย ปริมาณชานมไข่มุก 30 แก้ว 50 แก้ว หรือ 70 แก้วที่ผู้ขาย
เสนอขาย ณ ระดับราคาต่าง ๆ นี้เราเรียกว่า อุปทานของผู้ขาย
เช่ น เดี ย วกั บ อุ ป สงค์ ผู้ ข ายยิ น ดี ที่ จ ะขายยั ง ไม่ พ อที่ จ ะเกิ ดเป็ น
อุปทานได้ ผู้ขายจะต้องสามารถขายสินค้าหรือบริการนั้น ๆ ได้จริงด้วย
ตั ว อย่ า งเช่ น ถ้ า ราคาข้ า วหอมมะลิ เ พิ่ ม ขึ้ น จาก 14,000 บาทต่ อ ตั น
เป็น 20,000 บาทต่อตัน ถ้าเราเป็นชาวนาก็อยากจะขายข้าวให้ได้มาก ๆ
Key Points
แต่สมมติว่าที่ดินปลูกข้าวเกิดประสบภาวะน้ำ�ท่วมไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้
• อุปทานแสดงถึงความต้องการขาย จะเห็นว่าถึงแม้ว่าชาวนาอยากจะขายข้าวมากแค่ไหนก็ไม่สามารถทำ�ได้
สินค้าหรือบริการของผู้ผลิต
ณ ระดับราคาต่าง ๆ และต้องมี อย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นอุปทาน เพราะสุดท้ายชาวนาก็ไม่มีข้าวมาขาย นั่นคือ
2 เงื่อนไข คือ (1) ผู้ผลิตมีความเต็มใจ อุปทาน (supply) จะหมายถึง ปริมาณของสินค้าชนิดหนึ่งที่ผู้ขายยินดี
ที่จะขาย (willing to sell) และ ที่จะขาย และมีความสามารถที่จะขายสินค้านั้นได้ ณ ราคาต่าง ๆ ในช่วง
(2) ผู้ผลิตมีความสามารถที่จะขาย
(ability to sell) เวลาใดเวลาหนึ่ ง โดยปริ ม าณอุ ป ทานของสิ น ค้ า ชนิ ด ใดชนิ ด หนึ่ ง
• เมื่อราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ปริมาณ จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกันกับราคาของสินค้าชนิดนั้น หากปัจจัย
เสนอขายจะมากขึ้น และเมื่อราคา
ลดลงปริมาณเสนอขายจะลดลง
อื่น ๆ คงที่ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ เมื่อราคาสินค้าสูงขึ้น ปริมาณ
ตาม “กฎของอุปทาน” อุปทานจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ผลิตมีความต้องการที่จะเสนอขายมากขึ้น
• ความสัมพันธ์นี้จะเป็นจริงก็ต่อเมื่อ เพราะคาดการณ์ว่าจะได้กำ�ไรสูงขึ้น ในทางกลับกัน เมื่อราคาสินค้าลดลง
ปัจจัยอื่นไม่เปลี่ยนแปลง เช่น
ราคาปัจจัยการผลิต และเทคโนโลยี
ปริมาณอุปทานจะน้อยลง นั่นคือ กฎของอุปทาน (law of supply) นั่นเอง
ในการผลิต เป็นต้น
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 39
คำ�ถามชวนคิด...?
นึกออกไหมว่า กราฟของเส้นอุปทานของผู้ผลิต หน้าตาเป็นเช่นไร ? ถ้าให้แกนตั้งเป็นราคาที่เสนอขาย และแกนนอนเป็นปริมาณเสนอขายจะได้หน้าตา
กราฟเป็นเช่นไร ?
ราคาชานมไขมุก (บาท/แกว)
50
40
30
20
10
0
10 20 30 40
จำนวนชานมไขมุกที่เสนอขาย (แกว)
การกำ�หนดราคาและปริมาณ
ดุลยภาพ
เรารู้แล้วว่าตลาด คือ ที่ผู้ผลิตและผู้บริโภคมาเจอกัน
แต่ในเมื่อผู้ผลิตอยากขายของในราคาแพง ๆ ส่วนผู้บริโภค
ก็อยากซื้อของในราคาถูก ๆ แล้วเราจะทราบได้อย่างไร
ว่ า ราคาควรจะเป็ น เท่ า ไร และซื้ อ ขายกั น ในจำ � นวนกี่ ชิ้ น
ตัวอย่างเช่น จากตารางด้านล่างนี้ที่แสดงถึงราคาของส้ม
ในตลาดแห่งหนึง่ ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ปริมาณความต้องการ
ซื้อของผู้บริโภคและปริมาณเสนอขายของผู้ผลิต
40 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
ราคาส้ม (บาท/กก.) ปริมาณความต้องการซื้อ (กก.) ปริมาณเสนอขาย (กก.)
50 30 210
45 60 180
40 90 150
35 120 120
30 150 90
25 180 60
20 210 30
จากตารางด้านบน จะเห็นว่าปริมาณความต้องการซื้อหรืออุปสงค์
เป็นไปตามกฎของอุปสงค์ คือ ถ้าราคาถูกลงก็อยากจะซื้อมากขึ้น ถ้าราคา
แพงขึ้นก็อยากจะซื้อน้อยลง ส่วนปริมาณเสนอขายหรืออุปทาน เป็นไปตาม
กฎของอุปทาน คือ ถ้าราคาถูกลงก็อยากจะขายน้อยลง ถ้าราคาแพงขึ้น
ก็อยากจะขายมากขึ้น
เรามาดูกระบวนการทำ�งานของตลาดกันว่ามันจะปรับตัวกันอย่างไร
ที่ จ ะทำ � ให้ ผู้ ซื้ อ และผู้ ข ายต่ า งยอมรั บ ราคาและปริ ม าณซื้ อ ขายเดี ย วกั น
ก่อนอื่นสมมติว่า ถ้าผู้ขายเสนอขายส้มในราคากิโลกรัมละ 50 บาท ผู้ที่ยินดี
ที่จะซื้อราคานี้ก็จะมีความต้องการซื้อรวมกันทั้งหมด 30 กิโลกรัม แต่ผู้ขาย
Key Points นำ�ส้มออกขายรวมกันถึง 210 กิโลกรัม ก็จะทำ�ให้ส้มเหลือขายไม่หมด
• กลไกราคาจะปรับให้ราคาที่ผู้ซื้อ 180 กิโลกรัม เราเรียกว่า เกิดอุปทานส่วนเกิน (excess supply) หรือ
ต้องการซื้อเท่ากับราคาที่ผู้ขาย ภาษาแบบชาวบ้านง่าย ๆ ก็คือ สินค้าล้นตลาด คนขายก็จะต้องรู้แล้วว่า
เสนอขายเรียกว่า “ราคาดุลยภาพ” การตั้งราคาที่กิโลกรัมละ 50 บาท คงจะแพงเกินไป ก็จะลดราคาลงมา
และจำ�นวนสินค้าที่ผู้ซื้อต้องการซื้อ
เท่ากับจำ�นวนสินค้าที่ผู้ขาย เพราะเขาก็รู้ว่าผู้ซื้อจะยินดีซ้ือมากขึ้นเมื่อราคาถูกลง แม่ค้าจะลดราคาส้ม
เสนอขายพอดี เรียกว่า “ปริมาณ ลงมาจนกระทั่งปริมาณส้มที่แม่ค้าต้องการจะขายเท่ากับปริมาณที่ผู้ซื้อ
ดุลยภาพ”
• เมื่อเกิดอุปสงค์ส่วนเกิน และอุปทาน
ต้องการจะซื้อในที่สุด (120 กิโลกรัม) นั่นคือ ราคากิโลกรัมละ 35 บาท
ส่วนเกิน กลไกราคาจะทำ�หน้าที่ปรับ ซึ่งก็คือ “ราคาดุลยภาพ” นั่นเอง และปริมาณส้มที่ทำ�การซื้อขาย ณ ราคา
เข้าสู่ดุลยภาพ ดุลยภาพนี้ เรียกว่า “ปริมาณดุลยภาพ” ซึ่งกระบวนการปรับราคาจนเข้าสู่
ดุลยภาพนี่เองที่เราเรียกว่า การทำ�งานของกลไกราคา (price mechanism)
โดยกลไกราคาจะทำ�หน้าที่ปรับให้ราคากลับไปสู่ราคาดุลยภาพ
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 41
Exam Tip
ตลาดทีม่ กี ารแข่งขันกัน ผู้ขายจะไม่สามารถกำ�หนดราคาขายได้เองตามใจชอบ ต้องขายตามราคาตลาดหรือราคา
ดุลยภาพ ซึง่ ถูกกำ�หนดจากอุปสงค์และอุปทานในตลาด และตลาดทีก่ ลไกราคาทำ�งานได้ดี ผูบ้ ริโภคจะมีทางเลือกมากมาย
ในการบริโภค (plenty of choice) ไม่ซื้อของผู้ขายรายนี้ก็สามารถซื้อรายอื่นได้ ผู้ขายแต่ละรายจึงต้องแข่งขันกัน ทำ�ให้
ราคาต่ำ�ลงมา
คำ�ถามชวนคิด...?
แล้วถ้าผู้ผลิตตั้งราคาส้มไว้แค่กิโลกรัมละ 20 บาท จะเกิดอะไรขึ้น กลไกราคาทำ�งานอย่างไร ราคาและปริมาณดุลยภาพ
ในตลาดจะเป็นเท่าไร (คำ�ใบ้ : เกิดสินค้าไม่พอขาย หรือ สินค้าขาดตลาด)
Exam Tip
ถ้าลองวาดกราฟจากตารางด้านบนดู ก็จะเห็นว่าราคาดุลยภาพและปริมาณดุลยภาพจะเกิดตรงที่เส้นอุปสงค์
ตัดกับเส้นอุปทานพอดี ซึ่งเราเรียกจุดนั้นว่า “จุดดุลยภาพ” (equilibrium point)
ราคา Supply (S)
อุปทานส่วนเกิน
E จุดดุลยภาพ
35
อุปสงค์ส่วนเกิน
Demand (D)
120 ปริมาณ
42 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
การเปลี่ยนแปลงของราคาและปริมาณ
เสริมความรู้ ดุลยภาพ
เมื่อผู้ซื้อและผู้ขายต่างยอมรับราคาและ
ปริมาณซื้อขายเดียวกันที่ราคาดุลยภาพ เป็นไปได้ไหมที่ราคาอาจจะไม่ได้ลดลงเลย แต่ผู้ซื้ออาจจะอยาก
และปริมาณดุลยภาพ เราก็ทราบแล้วว่า ซื้อมากขึ้น หรือผู้ผลิตจะนำ�สินค้าออกมาขายน้อยลง ทั้ง ๆ ที่ราคาสินค้า
จะใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำ�กัด
(อาทิ ที่ดิน แรงงาน) ไปผลิตส้มจำ�นวน
ก็เท่าเดิม
เท่าไร ถึงจะพอเพียงกับความต้องการ
ของตลาด ทรัพยากรหรือปัจจัย การเปลีย่ นแปลงเหล่านี้ เกิดจากการเปลีย่ นแปลงในอุปสงค์ (change
การผลิตที่เหลือก็จะถูกจัดสรรไปใช้
ผลิตสินค้าและบริการอื่น ๆ ที่สังคม
in demand) และการเปลี่ยนแปลงในอุปทาน (change in supply)
ต้องการต่อไป ตอนที่กล่าวถึงในหัวข้อ “อุปสงค์” และ “อุปทาน” เราก็บอกแล้วว่าอุปสงค์
และอุปทานของสินค้าและบริการไม่ได้ถูกกำ�หนดจากราคาเพียงอย่างเดียว
มีปัจจัยอื่น ๆ อีกที่เป็นตัวกำ�หนด ซึ่งเมื่อปัจจัยพวกนี้เปลี่ยนแปลง อุปสงค์
และอุปทานของสินค้าก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย และเมื่ออุปสงค์และอุปทาน
ของสินค้าเปลี่ยน ก็จะทำ�ให้ราคาและปริมาณดุลยภาพเปลี่ยนแปลงไปด้วย
พอนึกออกไหมว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 43
2. ราคาสินค้าอื่นที่เกี่ยวข้องเปลี่ยนแปลง ในโลกนี้ ไ ม่ ไ ด้ มี สิ น ค้ า รู ไหม
ชนิ ดเดี ย ว การเปลี่ ย นแปลงของราคาสิ น ค้ า หนึ่ ง อาจมี ผ ลต่ อ ปริ ม าณ
ความต้องการซื้อหรืออุปสงค์ของสินค้าอีกอย่างหนึ่งได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่า วา…?
สินค้านั้นเป็นสินค้าทดแทนกัน (substitute goods) หรือเป็นสินค้าที่ใช้
ร่วมกัน (complementary goods) ทำ�ไมต้องแจก
ถ้าเป็นสินค้าทดแทนกัน เมื่อราคาสินค้าตัวหนึ่งสูงขึ้น จะส่งผลให้ ถั่วฟรีในผับ
หรือคาราโอเกะ ถ้าเรารู้หลักคิด
ปริมาณความต้องการซื้อสินค้าอีกชนิดหนึ่งเพิ่มขึ้น เช่น เนื้อหมูกับเนื้อไก่ ทางเศรษฐศาสตร์คงตอบได้ ไม่ยาก
ถ้าเนือ้ หมูแพง คนก็อาจหันไปบริโภคเนือ้ ไก่แทน ทำ�ให้ปริมาณความต้องการ เพราะการแจกถั่วฟรีจะช่วยเพิ่มอุปสงค์
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั่นเอง เราคง
ซื้อเนื้อไก่เพิ่มขึ้น แต่ถ้าเป็นสินค้าที่ใช้ร่วมกัน เมื่อราคาสินค้าตัวหนึ่งสูงขึ้น ไม่กินแต่ถั่วอย่างเดียว เพราะจะรู้สึก
จะส่งผลให้ปริมาณความต้องการซือ้ สินค้าอีกชนิดลดลงด้วย เช่น น้�ำ มันแพง คอแห้งและยังอาจจะติดคอได้
ปริมาณความต้องการซือ้ รถน้อยลง ทัง้ นี้ ก็เพราะรถต้องใช้น�้ำ มันเป็นเชือ้ เพลิง
นั่นเอง
3. รสนิยมหรือความชอบของผู้บริโภค ปัจจัยนี้จะส่งผลโดยตรงต่อ
ปริมาณความต้องการซื้อหรืออุปสงค์ของสินค้า เราจะเห็นได้ว่าผู้ขายสินค้า
ต่างมีการลงทุนโฆษณากันมากมาย ทั้งนี้ ก็เพื่อที่จะทำ�ให้ผู้บริโภคเกิด
ความนิยมชมชอบและอยากซื้อสินค้านั้น ๆ มากขึ้น จึงเป็นการสร้าง
ความภักดีต่อตราสินค้า (brand loyalty) หรือเป็นการเพิ่มอุปสงค์ต่อ
สินค้านั้น ๆ
4. การคาดการณ์ของผู้บริโภค ลองนึกดูว่าถ้าเราคาดว่าพรุ่งนี้ราคา
น้ำ�มันจะปรับขึ้นอีก 80 สตางค์ต่อลิตร จะเกิดอะไรขึ้น คนส่วนใหญ่ก็จะรีบ
เข้าปั๊มไปเติมน้ำ�มันตั้งแต่วันนี้ จะเห็นว่าความต้องการน้ำ�มันเพิ่มสูงขึ้น
ทั้ง ๆ ที่ราคาน้ำ�มันวันนี้ยังเท่าเดิม ดังนั้น การคาดการณ์ของผู้บริโภคจึงมี
ผลต่ออุปสงค์ของสินค้านั้น ๆ ด้วย
5. จำ�นวนผู้ซื้อ สินค้าที่มีผู้ซื้อมาก อุปสงค์ก็จะมากตามไปด้วย
สินค้าใดผู้ซื้อน้อย อุปสงค์ก็จะน้อยตาม ตัวอย่างเช่น มือถือ iPhone
โดยเฉพาะตอนที่ออกมาใหม่ ๆ มีผู้ที่ต้องการอยากซื้อเป็นจำ�นวนมาก
และมีการแห่กันไปเข้าแถวรอซื้อ อาจจะเรียกได้ว่า เป็นการซื้อตามกระแส
ทำ�ให้อุปสงค์ของสินค้านี้เพิ่มมากขึ้น
44 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
การเปลี่ยนแปลงในอุปทาน ซึ่งเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ราคา
เปลี่ยนแปลง ดังนี้
1. ราคาปัจจัยการผลิตเปลีย่ นแปลง ราคาปัจจัยการผลิตเป็นตัวกำ�หนด
ต้นทุนการผลิตของผู้ผลิต ถ้าราคาปัจจัยการผลิตสูงขึ้น ต้นทุนการผลิต
ก็จะสูงตามไปด้วย ส่งผลให้กำ�ไรของผู้ผลิตลดลง ผู้ผลิตจึงลดปริมาณ
การผลิตและการขายลง หรืออุปทานลดลงนั่นเอง
2. เทคโนโลยี ที่ ใ ช้ ใ นการผลิ ต การค้ น พบวิ ธี ก ารผลิ ต ใหม่ ๆ
เทคนิควิทยาการต่าง ๆ สามารถทำ�การผลิตได้มากขึ้น หรือใช้ปัจจัย
การผลิตน้อยลง ก็จะทำ�ให้ต้นทุนการผลิตลดลง ผู้ขายก็จะสามารถขาย
สินค้านั้น ๆ มากขึ้น
3. ราคาของสินค้าอื่นที่ใช้ปัจจัยการผลิตเดียวกัน จากตัวอย่างเดิม
ถ้าราคาข้าวหอมมะลิเพิ่มขึ้นจาก 14,000 บาทต่อตัน เป็น 20,000 บาท
ต่อตัน ชาวไร่กอ็ าจหันมาปลูกข้าวหอมมะลิ แทนการปลูกข้าวโพดกันมากขึน้
ส่งผลให้อุปทานข้าวโพดลดลง
4. การคาดการณ์ของผู้ผลิต ตัวอย่างเช่น ถ้าชาวนาคาดการณ์ว่า
ราคาข้าวจะสูงขึ้นจากโครงการรับจำ�นำ�ข้า วของรัฐบาล ชาวนาก็จะหัน
มาปลูกข้าวมากขึ้น ปลูกพืชอื่น (เช่น มันสำ�ปะหลัง ข้าวโพด) น้อยลง
ส่งผลให้อุปทานของข้าวเพิ่มขึ้นนั่นเอง
5. จำ�นวนผู้ขาย สินค้าที่มีผู้ขายมาก อุปทานก็จะมากตามไปด้วย
สินค้าใดผูข้ ายน้อย อุปทานก็จะน้อยตามไปด้วย ลองนึกถึงตอนใกล้เปิดเทอม
เราจะเห็นว่าปริมาณขายหรืออุปทานเครื่องแบบนักเรียน รองเท้านักเรียน
กระเป๋านักเรียน จะมากกว่าในช่วงปกติ นั่นก็เพราะมีผู้ขายมาออกร้าน
กันเป็นจำ�นวนมากนั่นเอง
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 45
กิจกรรมทดสอบความเข้าใจ
อุปสงค์และอุปทานของรถยนต์ ไฟฟ้าที่ช่วยประหยัดค่าน้ำ�มัน และค่าซ่อมบำ�รุง จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
(เพิ่มขึ้นหรือลดลง) ถ้าปรากฏข่าวนี้ในหน้าหนังสือพิมพ์
ความไม่สงบในตะวันออกกลาง คนตระหนักถึงสภาวะโลกร้อน
ทำ�ให้ราคาน้ำ�มันปรับตัวสูงขึ้น การใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นมิตร
กับสิ่งแวดล้อม
บริษัทคู่แข่งประกาศลดราคา รัฐบาลประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ�
เพื่อแข่งขันเพิ่มยอดขาย
Exam Tip
การเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์และอุปทาน ที่เกิดจากปัจจัยที่ ไม่ใช่ราคาเหล่านี้ จะทำ�ให้เส้นอุปสงค์ และเส้นอุปทานเคลื่อนไป
จากเดิมทั้งเส้น (shift) อาจจะไปทางซ้ายหรือทางขวา แล้วแต่ว่าปัจจัยเหล่านี้จะทำ�ให้อุปสงค์หรืออุปทานเพิ่มขึ้นหรือ
ลดลง คุณทราบหรือไม่ว่า ถ้าอุปสงค์เพิ่มขึ้นอาจจะมาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น เส้นอุปสงค์จะ shift ไปทางซ้ายหรือทางขวา
แล้วถ้าอุปทานลดลงจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น เส้นอุปทานจะ shift ไปทางซ้ายหรือทางขวากันแน่ ลองวาดกราฟดู
(คำ�ใบ้ : การที่อุปสงค์เพิ่มขึ้นหมายถึง ปริมาณความต้องการซื้อมากขึ้นในทุกระดับราคา ส่วนอุปทานลดลงหมายถึง
ปริมาณเสนอขายลดลงในทุกระดับราคา)
46 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
การเปลี่ยนแปลงของราคาและปริมาณดุลยภาพ
เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์
จากตัวอย่างเดิม ปริมาณการซื้อขายส้มที่ตลาด คราวนี้มีข่าวออกมาว่าการกินส้มจะช่วยทำ�ให้มีอารมณ์ดี
คนก็หันมากินส้มมากขึ้น (ความชอบเปลี่ยน) ทำ�ให้ปริมาณความต้องการซื้อหรืออุปสงค์มากขึ้นในทุกระดับราคา
ตามตารางด้านล่างนี้ ถามว่าราคาและปริมาณดุลยภาพจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
เดิม ผู้ซื้อและผู้ขายต่างยอมรับราคาและปริมาณซื้อขายเดียวกัน
ทีร่ าคาดุลยภาพ กิโลกรัมละ 35 บาท ปริมาณดุลยภาพทีเ่ ท่ากับ 120 กิโลกรัม
ณ ราคานั้น ไม่เกิดอุปทานส่วนเกินและอุปสงค์ส่วนเกิน แต่เมื่อเกิดการ
เปลี่ ย นแปลงในอุ ป สงค์ คื อ อุ ป สงค์ ส้ ม เพิ่ ม มากขึ้ น ในทุ ก ระดั บ ราคา
(เส้นอุปสงค์ส้มเคลื่อนย้ายไปทางขวาทั้งเส้น) หากราคาส้มยังเท่าเดิมที่
35 บาทต่อกิโลกรัม จะเกิดอะไรขึ้น ปริมาณความต้องการซื้อจะเพิ่มขึ้น
เป็น 180 กิโลกรัม แต่ปริมาณที่ผู้ขายนำ�ออกมาขายมีแค่ 120 กิโลกรัม
จะทำ�ให้ส้มขาดตลาด เกิดเป็นอุปสงค์ส่วนเกินจำ�นวน 60 กิโลกรัม ผู้ซื้อ
ที่ต้องแย่งกันซื้อก็เสนอซื้อในราคาที่สูงขึ้น ผู้ขายทราบอย่างนี้ก็ปรับขึ้นราคา
ราคาจะสู ง ขึ้ น จนกระทั่ ง อุ ป สงค์ ส่ ว นเกิ น หายไป หรื อ ก็ คื อ ปริ ม าณส้ ม
ที่ผู้ซื้อต้องการซื้อเท่ากับปริมาณส้มที่ผู้ขายต้องการขาย นั่นคือ ที่ราคา
กิโลกรัมละ 40 บาท และปริมาณซื้อขายอยู่ที่ 150 กิโลกรัม ซึ่งเป็นราคา
และปริ ม าณดุ ล ยภาพใหม่ ซึ่ ง จะไม่ มี ปั ญ หาส้ ม ขาดตลาด จะเห็ น ว่ า
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 47
กลไกราคาจะทำ�ให้เกิดจุดดุลยภาพใหม่ โดยราคาดุลยภาพใหม่จะสูงขึ้นกว่าราคาดุลยภาพเดิม และปริมาณ
ดุลยภาพใหม่จะเพิ่มขึ้นกว่าปริมาณดุลยภาพเดิมด้วย (ลองวาดกราฟดูจะเข้าใจง่ายขึ้น) ลองนึกถึงช่วงเทศกาล
ตรุษจีน ทำ�ไมแม่บ้านถึงบ่นว่าราคาหมูแพง นั่นเพราะปริมาณความต้องการซื้อหมูจะเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาล
กลไกราคาจะปรับให้ปริมาณซื้อกับปริมาณขายเท่ากัน ซึ่งจะทำ�ให้ราคาหมูแพงขึ้นนั่นเอง
ราคา
S
E1
E
D1
D
ปริมาณ
ราคา
การเปลี่ยนแปลงของราคาและปริมาณดุลยภาพ S1
เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของอุปทาน E1 S
คำ�ถามชวนคิด...? E
จากตัวอย่างเดิมเรื่องส้ม ถ้าสมมติว่าผู้ผลิตเจอกับปัญหาต้นทุนปุ๋ยแพงขึ้น
ราคาและปริมาณดุลยภาพในตลาดจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
(คำ�ใบ้ : เกิดการเปลี่ยนแปลงอุปทาน โดยอุปทานลดลงในทุกระดับราคา) D
ปริมาณ
48 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
การเปลี่ยนแปลงของราคาและปริมาณ
ดุลยภาพ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งอุปสงค์
และอุปทาน
ในความเป็นจริงแล้ว ไม่จำ�เป็นต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์
หรือการเปลี่ยนแปลงของอุปทานอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ทุกอย่างสามารถ
เกิดขึ้นพร้อมกันได้ ซึ่งอาจทำ�ให้ทั้งราคาและปริมาณเปลี่ยนแปลงไปได้
อาจจะเพิ่มขึ้น ลดลง หรือเท่าเดิมก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าอุปสงค์และอุปทาน
อย่างไหนเปลี่ยนแปลงไปมากกว่ากัน
ราคา S1
S1 S
กรณีที่ 2 การเปลี่ ย นแปลงของอุ ป สงค์ (ต้ อ งการกิ น ส้ ม มากขึ้ น )
ราคา E1
S เท่ากับการเปลีย่ นแปลงอุปทาน (ปริมาณเสนอขายส้มลดลง)
EE1
E
D1 ราคาดุลยภาพเพิ่มขึ้น และ ปริมาณดุลยภาพเท่าเดิม
D
D1
Dปริมาณ
ปริมาณ
ราคา S1
ราคา
E1 S1 S
S
E1 E
Eเศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 49
D
D 1
D1
D
ปริมาณ
ปริมาณ
ราคา S1
กรณีที่ 2 การเปลี่ ย นแปลงของอุ ป สงค์ (ต้ อ งการกิ น ส้ ม ลดลง) ราคา S1 S
เท่ากับการเปลีย่ นแปลงอุปทาน (ปริมาณเสนอขายส้มลดลง) E1 E S
E1 E
ราคา S1
ราคา S1 S
E S
50 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดี1ยวอยู่ E
E1
E
D
D1
ปริมาณ
ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา
เราทราบแล้วว่าจากกฎของอุปสงค์ ถ้าราคาสินค้าสูงขึ้น ปริมาณ
ความต้องการซื้อจะลดลง แล้วเคยสงสัยไหมว่า ทำ�ไมเมื่อราคาสินค้า
แต่ละอย่างปรับเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่เท่า ๆ กัน แต่เรากลับลดการซื้อสินค้า
บางอย่างหรือถึงขนาดไม่ซื้อสินค้านั้นเลย ขณะที่บางอย่างเราซื้อลดลง
เพียงนิดเดียว เช่น น้�ำ อัดลม ถ้าเพิม่ ราคาเป็นเท่าตัว เราอาจจะอยากซือ้ น้อยลง
หรือไม่อยากซื้อเลย แต่ถ้าเป็นยาแก้ไข้ ถึงราคาจะเพิ่มขึ้นไปเท่าไร แต่เราก็
ยังจำ�เป็นต้องซื้อหามาทานหากเราเป็นไข้ จะเห็นได้ว่า ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะ
ความต้องการของคนเรามีความอ่อนไหวต่อราคาทีเ่ ปลีย่ นแปลงไปของสินค้า
แต่ละอย่างไม่เท่ากัน หรือมีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาของสินค้า
แตกต่างกันนั่นเอง
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 51
ตัวอย่างเช่น ถ้าส้มราคาแพงขึ้น 10 บาท จาก 40 บาท เป็น 50 บาท ทำ�ให้ปริมาณความต้องการซื้อลดลง
60 กิโลกรัม จาก 150 กิโลกรัม เป็น 90 กิโลกรัม อย่างใดเปลี่ยนแปลงมากกว่ากันระหว่างราคาส้มกับปริมาณ
ความต้องการซื้อ เพื่อให้เปรียบเทียบกันได้ ขอใช้เป็นร้อยละ (%) การเปลี่ยนแปลง นั่นคือ ราคาส้มราคาแพงขึ้น
(50-40)/40 = 25% ทำ�ให้ปริมาณความต้องการซื้อลดลงถึง (90-150)/150 = -40% จะเห็นว่า ปริมาณความต้องการ
ซื้อส้มเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าการเปลี่ยนแปลงของราคาส้ม ในทางเศรษฐศาสตร์ เราจะถือว่าส้มมีความยืดหยุ่น
ต่อราคามาก นั่นคือ สินค้าที่มีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคามาก หรือ elastic คือสินค้าที่มีการเปลี่ยนแปลง
ของปริมาณอุปสงค์มากกว่าการเปลี่ยนแปลงของราคา สินค้าประเภทนี้ ได้แก่ สินค้าที่สามารถหาสินค้าอื่นทดแทน
ได้ง่าย หรืออาจจะเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น น้ำ�อัดลม และเครื่องประดับเพชรพลอย เป็นต้น สินค้าพวกนี้
ราคาเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยก็ทำ�ให้ปริมาณซื้อเปลี่ยนแปลงไปได้มาก
Exam Tip
ในทางเศรษฐศาสตร์ การวัดค่าความยืดหยุน่ ของอุปสงค์ของราคาจะคำ�นวณจากเปอร์เซ็นต์การเปลีย่ นแปลงของปริมาณ
อุปสงค์ หารด้วย เปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงของราคา (ค่าความยืดหยุ่นจึงไม่มีหน่วย) จากตัวอย่างนี้ ค่าความยืดหยุ่น
ของอุปสงค์ของราคา จะเท่ากับ -40%/25% = -1.6 หรือเขียนเป็นสูตรได้ว่า
% การเปลี่ยนแปลงในปริมาณอุปสงค์
ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา =
% การเปลี่ยนแปลงของราคา
- ค่าความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาจะมีเครื่องหมายเป็นลบเสมอ เพราะจากกฎของอุปสงค์ ความสัมพันธ์
ระหว่างราคาและปริมาณความต้องการซื้อเป็นไปในทางผกผันกัน
- ในที่นี่ค่าความยืดหยุ่นมีค่าเกิน 1 (ไม่ดูเครื่องหมาย) หรือการเปลี่ยนแปลงของปริมาณความต้องการซื้อสินค้า
มากกว่าการเปลีย่ นแปลงของราคา แสดงว่าสินค้านีม้ คี วามยืดหยุน่ มาก หรือ elastic แต่ในทางกลับกัน ถ้าค่าความยืดหยุน่
มีค่าน้อยกว่า 1 (ไม่ดูเครื่องหมาย) หรือการเปลี่ยนแปลงของปริมาณความต้องการซื้อสินค้าน้อยกว่าการเปลี่ยนแปลง
ของราคา แสดงว่าสินค้านี้มีความยืดหยุ่นน้อย หรือ inelastic
52 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
ดังนั้น จะเห็นแล้วว่าสินค้าต่างกันจะมีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อ
ราคาไม่เท่ากัน นึกออกไหมว่าสินค้าอะไรที่มีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อ
ราคาน้อยมากหรือแทบจะไม่มีเลย คำ�ตอบ ก็คือ โลงศพ เพราะไม่ว่าจะเพิ่ม
หรือลดราคา ก็ไม่มีผลต่ออุปสงค์เลย (ถ้ามีคนตายก็ต้องซื้อไม่ว่าราคาจะถูก
หรือแพง เช่นกัน ถ้าไม่มีคนตาย ก็ไม่ซื้อไม่ว่าราคาจะถูกหรือแพง)
คำ�ถามชวนคิด...?
ในอดีตรถไฟของอินเดียได้ชื่อว่า สกปรก ห้องน้ำ�เหม็น ไม่ตรงเวลา ไม่ทันสมัย และมีหนี้สินสะสม
70,000 กว่าล้านบาท หากเป็นบริษัทเอกชนก็ล้มละลายไปนานแล้ว แต่ปี 2550 รถไฟของอินเดีย
กลับเป็นหน่วยงานที่ทำ�เงินสูงสุดเป็นอันดับที่ 2 ให้กับรัฐบาล โดยมีการปรับปรุงคุณภาพ
การให้บริการ และแทนที่รถไฟของอินเดียจะปรับขึ้นราคาค่าโดยสาร แต่กลับปรับลดราคาลงมา
ทำ�ให้จำ�นวนผู้โดยสารเพิ่มสูงขึ้นมาก ในขณะเดียวกันก็เพิ่มขบวนรถไฟให้ยาวขึ้น ทำ�ให้ต้นทุน
การบรรทุกผู้โดยสารต่อคนลดลง
คำ�ถามชวนคิด...?
การที่เราทราบว่าสินค้านั้นมีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคามากหรือน้อย มีประโยชน์อย่างไร
(คำ�ใบ้ : ลองนึกดูว่าหากสินค้าที่เราขายมีความยืดหยุ่นต่อราคามาก ถ้าเราเป็นผู้ผลิตหรือผู้ขายสินค้านั้น ซึ่งเราก็คงอยากให้รายได้จากการขาย
เพิ่มขึ้นมาก ๆ แล้วเราควรจะทำ�อย่างไร ... ขึ้นราคาสินค้า หรือลดราคาสินค้า หรืออยู่เฉย ๆ ดีกว่า)
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 53
ตัวอย่างจากตารางด้านล่างนี้เป็นราคาค่าโดยสารมอเตอร์ไซด์รับจ้าง
จากแบงก์ชาติไปท่าพระจันทร์ และจำ�นวนคนใช้บริการ ณ ระดับราคา
ต่าง ๆ เป็นดังนี้
สมมติว่าเราเป็นคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เราจะตั้งราคาค่าโดยสาร
กี่บาท คำ�ตอบก็ไม่ยาก เราต้องตั้งที่ราคา 30 บาท เพราะเป็นราคาที่ให้
รายได้สูงสุด คราวนี้ เราลองมาคำ�นวณดูค่าความยืดหยุ่นของอุปสงค์ของ
การโดยสารมอเตอร์ไซค์ต่อราคากัน เอาเป็นในช่วง 30 - 40 บาท ถ้าคนขับ
มอเตอร์ ไ ซค์ รั บ จ้ า งลดราคาค่ า โดยสารจาก 40 บาท เป็ น 30 บาท
(ราคาเปลี่ยนแปลงไปเท่ากับ (30-40)/40 = -25%) ทำ�ให้จำ�นวนผู้โดยสาร
เพิ่มขึ้นจาก 20 คน เป็น 50 คน (อุปสงค์เพิ่มขึ้นเท่ากับ (50-20)/20 = 150%)
ดังนั้น ค่าความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาที่คำ�นวณได้คือ (150%/-25%)
= -6 ในทีน่ คี่ า่ ความยืดหยุน่ มีคา่ เกิน 1 (ไม่ดเู ครือ่ งหมาย) แสดงว่าการโดยสาร
มอเตอร์ไซค์นมี้ คี วามยืดหยุน่ มาก หรือ elastic จะเห็นว่าการเพิม่ ของจำ�นวน
ผู้โดยสารมากกว่าการลดราคาค่าโดยสาร จึงทำ�ให้คนขับมอเตอร์ไซค์รบั จ้าง
ได้รายได้เพิม่ ขึน้ จาก 800 บาท มาเป็น 1,500 บาท แต่ตอ้ งลดราคาค่าโดยสาร
ลงจาก 40 บาท เหลือ 30 บาท (เป็นหลักการเดียวกันกับที่ใช้ตอบคำ�ถาม
ด้านบนว่าทำ�ไมรถไฟของอินเดียจึงปรับลดค่าโดยสารลง) นั่นคือ ถ้าผู้ผลิต
ทราบว่าสินค้าทีต่ นเองขายนัน้ มีความยืดหยุน่ มาก การปรับลดราคาก็จะมีผล
ให้ปริมาณความต้องการซือ้ ของผูบ้ ริโภคปรับเพิม่ ขึน้ มากกว่าราคาทีล่ ดลงไป
ส่งผลให้รายได้มากขึ้นนั่นเอง
54 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
ดังนั้น ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาของสินค้าแต่ละอย่างจึงมี
ประโยชน์ต่อผู้ผลิตหรือผู้ขายในการตั้งราคา/ปรับราคา เนื่องจากถ้าผู้ขาย
ทราบว่าสินค้าที่ตนเองขายนั้นมีความยืดหยุ่นมาก ก็ควรจะปรับลดราคาลง
เพราะปริมาณซื้อจะเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาที่ปรับลดลง ส่งผลให้รายได้จาก
การขายสินค้ามากขึ้น แต่ถ้าผู้ขายเกิดอยากปรับราคาเพิ่มขึ้น แทนที่รายได้
จะเพิ่มขึ้น กลับจะทำ�ให้รายได้ลดลงกว่าเดิมเสียอีก เพราะปริมาณการซื้อ
จะลดลงมากกว่าราคาที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้รายได้ลดลงนั่นเอง ดังนั้น
ถ้าสินค้าที่ขายมีความยืดหยุ่นมาก ก็ควรปรับลดราคาเพื่อให้ปริมาณขาย
เพิ่มขึ้นมาก ๆ ซึ่งก็จะทำ�ให้รายได้เพิ่มขึ้นนั่นเอง
แต่ถ้าผู้ขายทราบว่าสินค้าที่ตนเองขายนั้นมีความยืดหยุ่นน้อย ก็อาจ
จะปรับราคาขึ้นได้ เพราะปริมาณซื้อจะลดลงน้อยกว่าราคาที่ปรับเพิ่มขึ้น
ส่งผลให้รายได้จากการขายสินค้ามากขึ้น แต่ถ้าผู้ขายปรับราคาลดลง
เพื่อกระตุ้นยอดขาย แทนที่รายได้จะเพิ่มขึ้น กลับจะทำ�ให้รายได้ลดลง
กว่าเดิม เพราะปริมาณการซื้อจะเพิ่มขึ้นน้อยกว่าราคาที่ปรับลดลง ส่งผลให้
รายได้ลดลงนั่นเอง ดังนั้น ถ้าสินค้าที่ขายมีความยืดหยุ่นน้อย ผู้ขายอาจจะ
ปรับราคาขึ้น เพราะปริมาณขายลดลงไม่มาก ซึ่งก็จะทำ�ให้รายได้เพิ่มขึ้น
นั่นเอง
สรุปได้ว่า
สินค้าที่มีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคามาก การปรับลดราคา
จะทำ�ให้รายได้เพิ่มขึ้น (เพราะอุปสงค์เพิ่มขึ้นมากกว่าราคาที่ลดลง)
ขณะที่การปรับเพิ่มราคาจะทำ�ให้รายได้ลดลง (เพราะอุปสงค์ลดลง
มากกว่าราคาที่เพิ่มขึ้น)
สินค้าที่มีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาน้อย การปรับลดราคา
จะทำ�ให้รายได้ลดลง (เพราะอุปสงค์เพิ่มขึ้นน้อยกว่าราคาที่ลดลง)
ขณะที่การปรับเพิ่มราคาจะทำ�ให้รายได้เพิ่มขึ้น (เพราะอุปสงค์ลดลง
น้อยกว่าราคาที่เพิ่มขึ้น)
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 55
กล่องความรู้ที่ 1
การใช้น้ำ�มันของไทยมีความยืดหยุ่นต่อราคาหรือไม่ ?
56 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
กล่องความรู้ที่ 1 (ต่อ)
การใช้น้ำ�มันของไทยมีความยืดหยุ่นต่อราคาหรือไม่ ?
คำ�ถามชวนคิด...?
การตรึงราคาน้ำ�มันไปเรื่อย ๆ หรือนโยบายลดราคาน้ำ�มันจะทำ�ให้ผู้ใช้น้ำ�มัน
ประหยัดน้ำ�มันจริงหรือ ?
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 57
เสริมความรู้
จริง ๆ แล้ว แนวคิดเรื่องความยืดหยุ่นในทางเศรษฐศาสตร์ ไม่ ได้มีแค่ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาของสินค้า
แต่สามารถคิดหาความยืดหยุ่นอื่น ๆ ได้ด้วย เช่น ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อรายได้ และความยืดหยุ่นของอุปสงค์
ต่อราคาสินค้าอื่นที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
58 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
ความยืดหยุ่นของอุปทานต่อราคา
มาในฟากผูผ้ ลิตกันบ้าง ความยืดหยุน่ ของอุปทานต่อราคา ก็หลักการคิด
เดียวกันกับความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา แต่เป็นการเปรียบเทียบ
การเปลี่ยนแปลงของปริมาณอุปทานกับการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าที่มี
% การเปลี่ยนแปลงในปริมาณอุปทาน
ความยืดหยุ่นของอุปทานต่อราคา =
% การเปลี่ยนแปลงของราคา
นอกจากต้นทุนการผลิตจะเป็นปัจจัยที่กำ�หนดค่าความยืดหยุ่นของ
อุปทานต่อราคาว่าจะมากหรือน้อยแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีก ได้แก่
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 59
กิจกรรมทดสอบความเข้าใจ
ลองยกตัวอย่างสินค้าที่ใช้ ในชีวติ ประจำ�วันทีม่ ลี กั ษณะ elastic หรือมีความยืดหยุน่ ของอุปสงค์ตอ่ ราคามาก
ขณะเดียวกันก็มีความยืดหยุ่นของอุปทานต่อราคามากเช่นเดียวกันมาสัก 1 อย่าง
กล่องความรู้ที่ 2
ตลาดแรงงานและการกำ�หนดค่าจ้างขั้นต่ำ�
นอกจากอุปสงค์และอุปทานของสินค้าที่ได้พูดถึงไปก่อนหน้านี้ กฎของอุปสงค์และอุปทานก็นำ�มาประยุกต์ใช้กับตลาดแรงงานได้
เช่นกัน โดยพิจารณาว่า จำ�นวนคนงานหรือจำ�นวนชั่วโมงทำ�งานเป็นสินค้าชนิดหนึ่งมีราคาเป็นค่าจ้าง เมื่อค่าจ้างเพิ่มสูงขึ้น
นายจ้างจะมีความต้องการจ้างแรงงานลดลง แต่แรงงานจะมีความต้องการขายแรงงานหรือทำ�งานเพิ่มขึ้น ซึ่งกลไกราคาจะเป็น
ตัวปรับให้ความต้องการจ้างแรงงานของนายจ้างเท่ากับความต้องการขายแรงงานพอดีกัน หรือได้จำ�นวนคนงานหรือจำ�นวนชั่วโมง
ทำ�งานที่เป็นดุลยภาพ ณ ค่าจ้างที่สองฝ่ายตกลงร่วมกัน หรือเรียกว่า “ค่าจ้างดุลยภาพ”
แล้วการกำ�หนดค่าจ้างขั้นต่ำ� จะส่งผลอย่างไรต่อตลาดแรงงาน ?
คาจาง
อุปสงคใหม อุปทาน
อุปสงค
อุปทานสวนเกิน
E1
คาจางขั้นต่ำ
E
จำนวนแรงงาน
60 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
กล่องความรู้ที่ 2 (ต่อ)
ตลาดแรงงานและการกำ�หนดค่าจ้างขั้นต่ำ�
หากมีการกำ�หนดค่าจ้างขั้นต่ำ�ให้สูงกว่าค่าจ้างดุลยภาพในตลาด ก็จะมีแรงงานที่ต้องการทำ�งานมากขึ้น แต่นายจ้างจะต้องการ
จ้างงานลดลงแสดงว่า มีคนที่ต้องการทำ�งานแต่ไม่ถูกจ้างงานหรือคนว่างงาน นั่นคือ ทำ�ให้เกิดภาวะอุปทานของแรงงาน
ส่วนเกินขึ้นนั่นเอง
กล่องความรู้ที่ 3
ทักษะแรงงานในโลกการทำ�งานยุคใหม่…เราต้องทำ�อย่างไรเพื่ออยู่รอดในอนาคต ?
จากที่เราเข้าใจแล้วว่าอะไรที่เป็นตัวกำ�หนดค่าจ้างแรงงาน การพัฒนาทักษะฝีมือทำ�ให้เกิดอุปสงค์หรือความต้องการแรงงานเพิ่มขึ้น
แล้วรู้หรือไม่ว่า ในโลกการทำ�งานยุคใหม่ที่เทคโนโลยีกำ�ลังจะเข้ามาเปลี่ยนโลก หรือที่เราได้ยินกันว่า “เทคโนโลยีดิสรัปชั่น”
แรงงานไทยหรือผู้ที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงานต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่นี้กันอย่างไร
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 61
กล่องความรู้ที่ 3 (ต่อ)
ทักษะแรงงานในโลกการทำ�งานยุคใหม่…เราต้องทำ�อย่างไรเพื่ออยู่รอดในอนาคต ?
รู ไหม
วา…?
จริง ๆ แล้ว นวัตกรรมไม่จำ�เป็นต้องเป็นการประดิษฐ์สิ่งของชนิดใหม่เสมอไป อาจเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ กระบวนการ รูปแบบองค์กร
หรือการตลาดก็ ได้ ทั้งนี้ ก็เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าหรือลดค่าใช้จ่ายในการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพหรือเพิ่มอำ�นาจต่อรองในการกำ�หนด
ราคาสินค้าให้สูงขึ้น ซึ่งนวัตกรรมนี่แหละ...จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำ�คัญที่จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้ในระยะยาวอย่างยั่งยืน
จากที่เคยขับเคลื่อนโดยปัจจัยการผลิต (factor-driven) และประสิทธิภาพ (efficiency-driven)
การพัฒนานวัตกรรมต้องมีการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาในระดับสูงและต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับพัฒนากำ�ลังคนเพื่อที่จะสามารถ
สร้างนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ด้วยการบูรณาการความรู้ใน 4 สหวิทยาการ ได้แก่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์
และคณิตศาสตร์ หรือที่เรียกว่า “STEM (Science, Technology, Engineering and Mathematics)” ที่เชื่อมโยงกับชีวิตประจำ�วัน
ที่เป็นเรื่องใกล้ตัวที่สามารถนำ�มาใช้ได้ทุกวัน
62 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
คุณเรียนรู้สิ่งเหล่านี้แล้วหรือยัง
• เข้าใจการทำ�งานของกลไกราคา โดยมีอุปสงค์และอุปทานเป็นตัวกำ�หนดราคาและปริมาณดุลยภาพ
• นำ�ความรู้เกี่ยวกับกลไกราคา ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาสินค้า ไปประยุกต์ ใช้ ในชีวิตประจำ�วันได้
จากบทนี้เราทราบแล้วว่า กลไกราคาจะเป็นตัวปรับให้ราคาที่ผู้ซื้อ
ต้องการซื้อเท่ากับราคาที่ผู้ขายเสนอขาย หรือเกิด “ราคาดุลยภาพ” และ
จำ�นวนสินค้าที่ผู้ซ้ือต้องการซื้อเท่ากับจำ�นวนสินค้าที่ผู้ขายเสนอขายพอดี
หรือ “ปริมาณดุลยภาพ” ในระบบตลาดทีเ่ ป็นการแข่งขันเสรี จึงใช้กลไกราคา
เป็นตัวจัดสรรทรัพยากรในระบบเศรษฐกิจเพราะราคาทำ�ให้เรารู้ว่าระบบ
เศรษฐกิจควรจะผลิตสิ่งใด (what) ผลิตอย่างไร (how) และจะผลิตให้ใคร
(for whom) รวมทั้งใครจะได้รับผลตอบแทนเท่าใด
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 63
บทที่ 5
การทำ�งานของระบบเศรษฐกิจ
แบบปิด
บทนี้เป็นการทำ�ความเข้าใจเกี่ยวกับ
กิจกรรมทางเศรษฐกิจในระบบเศรษฐกิจ
แบบปิ ด ที่ ยั ง มี ค วามซั บ ซ้ อ นน้ อ ย มี เ พี ย ง
ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ผลิตและค้าขาย
กันเอง โดยภาคครัวเรือนจะทำ�หน้าที่ในการบริโภค
(ซื้อของ) ขณะเดียวกันก็เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต
ที่ขายให้กับภาคธุรกิจด้วย ส่วนภาคธุรกิจจะทำ� หน้าที่
ในการผลิตและลงทุน (ขายของ) ซึ่งสองภาคนี้มีความ
เกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน และมีผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม
การทำ�งานของระบบเศรษฐกิจแบบปิด
ระบบเศรษฐกิจที่มีการผลิตและการบริโภคมากขึ้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจก็จะยุ่งยากซับซ้อนขึ้น โดยที่
ในความเป็นจริง ผู้บริโภคเองก็ไม่สามารถผลิตสิ่งของใช้เองได้ทุกอย่าง จึงเกิดหน่วยธุรกิจหรือภาคธุรกิจขึ้น ซึ่งเป็น
ผู้ที่รวบรวมปัจจัยการผลิตเพื่อนำ�มาผลิตสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค จากบทที่ 3
เราทราบแล้วว่าภาคครัวเรือนจะมีบทบาทเป็นทั้งผู้บริโภค ขณะเดียวกันก็เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตด้วย โดยวงจร
กิจกรรมทางเศรษฐกิจ ก็คือ ภาคครัวเรือนขายปัจจัยการผลิตให้กับภาคธุรกิจ และเมื่อภาคครัวเรือนได้เงิน
ค่าตอบแทนมาก็น�ำ มาซือ้ หาสินค้าและบริการจากภาคธุรกิจเพือ่ ตอบสนองความต้องการของตน ในขณะทีภ่ าคธุรกิจ
เมื่อได้รับปัจจัยการผลิตมาก็จะผลิตสินค้าและบริการแล้วจำ�หน่ายให้ภาคครัวเรือน ซึ่งก็จะได้รับเงินค่าสินค้าและ
บริการจากภาคครัวเรือนซึ่งเป็นผู้บริโภคเป็นการตอบแทน และลงทุนเพื่อขยายการผลิตต่อไป สรุปได้ง่าย ๆ ว่า
ภาคครัวเรือนซื้อของ ภาคธุรกิจขายของ
64 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
ระบบเศรษฐกิจแบบปด กรณี ไมมีรัฐบาล
ธุรกิจ รายจายของธุรกิจ = รายรับของครัวเรือน (คาเชา คาจาง ดอกเบี้ย กำไร) ครัวเรือน
ครัวเรือนขายปัจจัยการผลิต
(ที่ดิน แรงงาน ทุน ผูประกอบการ)
ธุรกิจขายสินคาและบริการ
รายรับของธุรกิจ = รายจายของครัวเรือน
ในการดำ�รงชีพในแต่ละครัวเรือน ไม่ว่าจะมีรายได้หรือค่าตอบแทน
จากการขายปัจจัยการผลิตมากน้อยเพียงใดก็ตาม จำ�เป็นจะต้องมีการใช้จา่ ย
เงินที่หามาได้นั้นไปในการซื้อสินค้าและบริการมาเพื่อบริโภค ซึ่งหลังจาก
เสริมความรู้ ใช้ จ่ า ยเพื่ อ ซื้ อ สิ น ค้ า มาบริ โ ภค รายได้ ส่ ว นที่ เ หลื อ ก็ จ ะเก็ บ ออมไว้ เ พื่ อ
ใช้จ่ายในการบริโภคในอนาคตเพราะปกติแล้วมนุษย์จะกลัวความเสี่ยง
อรรถประโยชน์ (utility) หมายถึง
ความพอใจที่ผู้บริโภคได้รับจากการ กังวลว่า รายได้ในอนาคตอาจจะไม่แน่นอน จึงไม่ใช้สอยเงินที่ได้มาในวันนี้
บริโภคสินค้าหรือบริการชนิดใดชนิดหนึ่ง รวดเดียวหมด แต่จะเก็บออมเพือ่ วันข้างหน้า โดยอาจนำ�เงินออมนัน้ ไปลงทุน
ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง เพื่อหากำ�ไรต่อ หรือนำ�ไปให้ภาคธุรกิจกู้ยืมเป็นเงินลงทุนขยายการผลิต
เมื่อผู้บริโภคได้บริโภคสินค้าและบริการ ซึ่งเราจะได้รับผลตอบแทน คือ ดอกเบี้ย ดังนั้น ในระบบเศรษฐกิจหนึ่ง ๆ
เพิ่มขึ้นทีละหน่วยแล้ว อรรถประโยชน์ จะมีทั้งการบริโภค การออม และการลงทุน
ส่วนที่เพิ่มขึ้นหรือความพอใจของ
ผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นจากการบริโภคสินค้า
นั้น ๆ จะลดลงตามลำ�ดับ ลองนึกถึง ภาคครัวเรือนกับการบริโภค
ตอนที่เราหิวและกินก๋วยเตี๋ยวชามแรก
ความพอใจของเราก็จะสูงมาก แต่พอ
กินอีกเป็นชามที่ 2 ชามที่ 3 ความพอใจ
เมื่อสมาชิกในครัวเรือนได้รับผลตอบแทนของปัจจัยการผลิต เช่น
ส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการกินก๋วยเตี๋ยว ได้รบั ค่าจ้างจากการขายแรงงาน ก็สามารถนำ�เอาค่าตอบแทนหรือรายได้นนั้
เพิ่มอีก 1 ชาม ก็จะน้อยลงเรื่อย ๆ ไปจับจ่ายใช้สอย ซื้อหาสินค้าและบริการที่ต้องการได้ การจับจ่ายใช้สอย
จนในที่สุด ความพอใจที่ได้กินเพิ่ม
อีกชามอาจจะถึงกับติดลบไปเลย
นี้เองที่เรียกว่า การบริโภค (consumption) ซึ่งเมื่อครัวเรือนบริโภคสินค้า
(ไม่พอใจ) นั่นคือ เราอิ่มมากจน หรือบริการที่ต้องการก็จะได้รับความสุขหรือได้รับประโยชน์จากการบริโภค
ไม่อยากกินต่อแล้ว ตอบแทน ภาษาทางเศรษฐศาสตร์เราจะเรียกว่า อรรถประโยชน์จากการ
บริโภค (utility)
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 65
สิ น ค้ า และบริ ก ารที่ ค รั ว เรื อ นบริ โ ภคมี ทั้ ง ของใช้ ที่ จำ � เป็ น ในการ
ดำ�รงชีวิต ได้แก่ ปัจจัย 4 (อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค)
คำ�ถามชวนคิด...?
และสิ่งอำ�นวยความสะดวกต่าง ๆ ที่ช่วยสร้างความสุขในการดำ�รงชีวิต เช่น
รถยนต์ โทรศัพท์มือถือ การไปดูหนัง เป็นต้น ในบรรดาสินค้าต่าง ๆ ยังอาจ ในช่ วงที่เศรษฐกิจไม่ดี เราจะชะลอการบริโภค
สินค้าประเภทไหนมากกว่ากัน ระหว่างสินค้า
แยกประเภทสินค้าตามความคงทนหรือระยะเวลาการใช้งานได้ด้วย เช่น คงทน เช่น โทรทัศน์ กับ สินค้าไม่คงทน เช่น
รถยนต์ ตู้เย็น โทรทัศน์ เป็นสินค้าที่มีความคงทนสามารถใช้ได้นานหลายปี อาหาร สบู่ ยาสีฟัน
ในขณะที่เสื้อผ้า รองเท้า ใช้ได้หลายครั้ง แต่ก็ไม่นาน เราเรียกพวกนี้ว่า น่าจะตอบได้ไม่ยาก เมื่อรายได้ลดลง
สินค้ากึ่งคงทน และสินค้าบางอย่างไม่คงทนเลย เช่น พืชผักผลไม้ที่เน่าเสีย คนจะชะลอซื้อสินค้าที่ไม่จำ�เป็นและมีราคาแพง
ได้ในเวลาไม่กี่วัน หรือสบู่ ยาสระผม ยาสีฟันที่ใช้แล้วก็หมดไป ต้องซื้อใหม่ ออกไปก่อน ซึ่งก็คือ พวกสินค้าคงทน นั่นเอง
โดยอาจจะใช้งานของที่มีอยู่แล้วนานขึ้น
ปัจจัยที่กำ�หนดการบริโภคของภาคครัวเรือน
การบริโภคของภาคครัวเรือนได้จากการบริโภคของแต่ละคนในทุก
ครัวเรือนย่อย ๆ มารวมกัน เพราะฉะนัน้ ปัจจัยส่วนใหญ่ทกี่ �ำ หนดอุปสงค์การ รู ไหม
ซื้อสินค้าของแต่ละบุคคล (ที่ได้กล่าวไว้ในบทที่ 4) จึงสามารถนำ�มาอธิบาย
การบริโภคของภาคครัวเรือนได้ วา…?
1. ระดับรายได้ของผู้บริโภค คงเป็ น ปั จ จั ย อย่ า งแรกที่ ผู้ บ ริ โ ภค ถ้ารวมรายจ่ายของคนที่อยู่ใน
จะพิจารณา เพราะรายได้มากก็บริโภคได้มาก รายได้น้อยก็บริโภคได้น้อย ประเทศไทยทุกคนรวมกันเกือบครึ่งหนึ่ง
ของรายได้ทั้งหมดนั้น เป็นการจับจ่าย
ลงมา แต่ก็มีการบริโภคที่ไม่ขึ้นกับรายได้เหมือนกัน เพราะคนเราก็ต้องกิน ใช้สอยเพื่อบริโภคสินค้าและบริการ
อาหารเพื่อประทังชีวิต มีเสื้อผ้าไว้สวมใส่ ซึ่งเราเรียกการบริโภคอย่างนี้ว่า ในประเทศ หรือการบริโภคของ
เป็นระดับการบริโภคขั้นต่ำ�ที่จะดำ�รงชีวิตได้ และถึงจะไม่มีรายได้ เราก็ต้อง ครัวเรือนคิดเป็นสัดส่วนถึงครึ่งหนึ่ง
ใน GDP ด้วยเหตุนี้เอง การเพิ่มขึ้น
กู้มาเพื่อซื้อหามาบริโภค หรือขอคนอื่นมา หรือลดลงของการบริโภค จึงส่งผลต่อ
เศรษฐกิจโดยรวมอย่างมาก ซึ่งการ
2. การคาดคะเนเหตุการณ์ ในอนาคต การคาดการณ์ของผู้บริโภค คาดคะเนเหตุการณ์ในอนาคตหรือ
ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคมีส่วนสำ�คัญ
ไม่ว่าจะเป็นรายได้ในอนาคต ราคาสินค้า ปริมาณสินค้า ล้วนส่งผลต่อ ต่อการตัดสินใจในการบริโภค
การตัดสินใจในการบริโภคทั้งสิ้น เช่น ถ้าคาดว่า เงินเดือนจะขึ้น 10% หรือ หลายประเทศจึงมีการจัดทำ�ดัชนี
ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพื่อคาดการณ์
เงินโบนัสจะออกเดือนหน้า เขาอาจจะใช้จ่ายเพื่อการบริโภคเพิ่มขึ้นตั้งแต่ แนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศ
วันนี้ ทำ�นองใช้ก่อนล่วงหน้า แต่ถ้าคาดการณ์ว่า ในอนาคตรายได้ของเขา
จะลดลง เขาก็จะลดการบริโภคลง และออมให้มากขึ้นเพื่อเอาไปใช้จ่าย
ในวันข้างหน้า
66 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
รู ไหม ส่วนในแง่ของการคาดการณ์ราคาสินค้า ถ้าคาดว่าราคาจะสูงขึ้น
วา…? ผู้บริโภคก็จะพากันไปซื้อสินค้ามากกว่าปกติ ก็คงไม่แปลกเพราะไม่มีใคร
อยากซื้อของแพง ลองนึกถึงว่า พอวันนี้ บริษัทน้ำ�มันประกาศว่า พรุ่งนี้
ราคาน้ำ�มันจะปรับขึ้นอีก 80 สตางค์ต่อลิตร เราจะเห็นรถแห่เข้าปั๊มเพื่อรอ
บัตรเครดิตหรือบัตรสินเชื่อก็เป็นสินเชื่อ เติมน้ำ�มันกันตั้งแต่วันนี้ หรือถ้าคาดว่าราคาสินค้าจะลดลง เช่น สิ้นเดือนนี้
ประเภทหนึ่ง ที่ทำ�ให้ผู้บริโภคสามารถ จะมีงาน MIDNIGHT SALE ห้างดังจะมีการนำ�สินค้ายี่ห้อดังมาลดราคา
ซื้อก่อนจ่ายทีหลังได้ บัตรเครดิต
ถือกำ�เนิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา กระหน่ำ�ถึง 30 -70% หลายคนก็คงชะลอการซื้อสินค้ายี่ห้อดังนั้นออกไปก่อน
ปี 1914 โดยบริษัท เยอเนอรัล เพื่อรอซื้อในงานที่สามารถซื้อได้ถูกกว่า
ปิโตรเลียม คอร์ปอเรชั่น ออฟ
แคลิฟอร์เนีย ซึ่งปัจจุบัน คือ
บริษัท โมบิลออยส์ จำ�กัด โดยทำ� สำ�หรับการคาดการณ์ปริมาณสินค้า ถ้าเรารู้ว่า จะเกิดน้ำ�ท่วมใหญ่
บัตรดังกล่าว ให้กับลูกค้าและพนักงาน หรือจะเกิดภาวะสงคราม แน่นอนว่า ปริมาณสินค้าที่ออกขายก็จะมีน้อยลง
ของบริษัทเพื่อนำ�ไปชำ�ระค่าน้ำ�มัน ผู้บริโภคก็จะแห่กันไปซื้อสินค้าเพื่อกักตุนไว้ก่อน การใช้จ่ายเพื่อการบริโภค
ต่อมาราวปี 1950 นายแฟรงค์
แมคนามารา ซึ่งเป็นนักธุรกิจเกิดลืม ก็จะมาก
พกกระเป๋าเงินติดตัวไปทานอาหาร
และไม่มีเงินจ่าย จึงคิดว่าถ้ามีบัตรพิเศษ
ที่ใช้แทนเงินได้ก็จะดี จึงได้สร้างบัตร
3. สินเชือ่ เพือ่ การบริโภค แม้วา่ ผูบ้ ริโภคจะมีรายได้ในขณะนีไ้ ม่พอจ่าย
ไดเนอร์สคลับขึ้นมา ซึ่งสามารถใช้ ได้ ซือ้ สินค้าและบริการ แต่ผบู้ ริโภคก็สามารถกูย้ มื โดยขอเงินสินเชือ่ จากธนาคาร
กับร้านอาหารต่าง ๆ ในกลุ่มเพื่อนเขา เพื่อที่จะสามารถบริโภคสินค้าและบริการนั้น ๆ ได้ การบริโภคในปัจจุบัน
200 คน โดยไม่ต้องพกเงินสด
แล้วก็พัฒนาเรื่อย ๆ จนเป็น
จึงสูงขึ้น แต่ผู้บริโภคก็มีภาระที่ต้องจ่ายคืนในอนาคต ทำ�ให้ความสามารถ
บัตรเครดิตในปัจจุบัน ในการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคในอนาคตลดลง หรือเป็นการนำ�เงินในอนาคต
มาจ่ายซื้อสินค้าเพื่อบริโภคในปัจจุบัน
Interest rate
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 67
5. รสนิยม หรือค่านิยมทางสังคม ฟังเผิน ๆ อาจจะคล้ายกัน แต่ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เพราะค่านิยมทางสังคม
คือ ความนิยมของคนส่วนมากในสังคมหนึ่ง ๆ ที่เป็นที่ยอมรับเป็นการทั่วไป เช่น แฟชั่นการแต่งตัวในแต่ละยุคสมัย
แต่รสนิยม คือ ความชอบหรือไม่ชอบส่วนตัวของเรา ซึ่งก็ถูกกำ�หนดจากค่านิยมทางสังคมเพราะมนุษย์เป็น
สัตว์สังคมที่มีพฤติกรรมเลียนแบบการบริโภคของคนในสังคมเดียวกัน ดังนั้น ถ้าค่านิยมทางสังคมให้ความสำ�คัญ
กับวัตถุ ผู้บริโภคบางกลุ่มก็จะมุ่งใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการที่ฟุ่มเฟือยและมีราคาสูง ทำ�ให้สังคมนั้นมีการบริโภค
อยู่ในระดับสูง ขณะที่การออมต่ำ� ยกตัวอย่าง เด็กนักเรียนชั้นประถมที่แข่งกันมีโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ ๆ
ภาคครัวเรือนกับการออม
บุคคลหรือครัวเรือนจะมีการแบ่งสรรรายได้ของเขาระหว่างการบริโภคและการออม โดยส่วนที่เหลือจาก
ใช้จ่ายเพื่อการบริโภค ก็คือ การออมนั่นเอง ดังนั้น การออมกับการบริโภคจึงมีความสัมพันธ์กัน ถ้าเรามีรายได้อยู่
จำ�นวนหนึ่ง หากบริโภคมาก การออมก็จะน้อยลง ขณะที่บริโภคน้อย การออมก็จะมากขึ้น หรือเขียนอย่างง่าย ๆ
ได้ว่า รายได้ = การบริโภค + การออม
68 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
การบริโภค การออม กับผลที่มีต่อเศรษฐกิจ
เมื่อการบริโภคของภาคครัวเรือนมากขึ้น ก็จะกระตุ้นให้ภาคธุรกิจ
ทำ�การผลิตสินค้าและบริการมากขึ้น เกิดการลงทุนขยายการผลิต มีการใช้
ปัจจัยการผลิตและเกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น ทำ�ให้คนมีรายได้เพิ่มขึ้น นั่นคือ
เศรษฐกิจเติบโต หรือรายได้ของคนในประเทศเพิ่มขึ้นนั่นเอง
ขณะที่การออมจะทำ�ให้เศรษฐกิจเติบโตได้ในอนาคต เพราะการออม
ทำ�ให้เรามีเงินเหลือเพื่อไปใช้ในการลงทุนมากขึ้น เมื่อเราลงทุนมากขึ้น
อาทิ มีการซื้อเครื่องจักรเพิ่ม ขยายโรงงาน ก็จะทำ�ให้เรามีความสามารถ
ในการผลิตเพิ่มขึ้น เมื่อมีการผลิตมากขึ้น ก็จะส่งผลให้การจ้างงานเพิ่มขึ้น
คนมีรายได้เพิ่มขึ้น บริโภคเพิ่มขึ้น และเศรษฐกิจจึงขยายตัว
รู ไหม
วา…?
การออมเป็นปัจจัยสำ�คัญต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่อัตราการออมของไทยยังต่ำ�มากเมื่อเทียบกับอดีต และเทียบกับ
ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค ยิ่งไปกว่านั้น ไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยโดยสมบูรณ์ หรือพูดให้เห็นภาพ ทุก 7 คน จะมีคนแก่ 1 คน
โดยผู้สูงอายุมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ประชากรในวัยแรงงานมีแนวโน้มลดลงอย่างรวดเร็ว การออมจึงมีความสำ�คัญมากขึ้น
โดยเฉพาะเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ
อ่านเพิ่มเติมได้จากโครงการศึกษาด้านโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่มีนัยต่อการดำ�เนิน
นโยบายการเงิน เรื่อง “สังคมสูงวัยกับความท้าทายของตลาดแรงงานไทย” ได้ที่
ประชากรไทยวัยแรงงาน 10 คน คาดวาตองดูแลผูสูงอายุเพิ่มขึ้นจากประมาณ 2 คน ในป 2553
อัตราการพึ่งพิง เปนประมาณ 6 คน ในป 2583 การออมภาคครัวเรือนตอผลิตภัณฑมวลรวมประชาชาติ (GDP)
ตอแรงงาน
รอยละ รอยละ
100 เด็ก (0-14 ป) ผูสูงอายุ (60 ปขึ้นไป) รวม 12
10 เขาสูสังคมผูสูงวัย
75
8
50 6
4
25
2
0 0
2553 2558 2563 2568 2573 2578 2583 2533 2535 2537 2539 2541 2543 2545 2547 2549 2551 2553 2555 2557 2559 2561
ที่มา: การคาดประมาณประชากรของประเทศไทย พ.ศ. 2553 - 2583 ที่มา: สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติ คำนวณโดย
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติ ธนาคารแหงประเทศไทย
* คำ�นิยามจาก องค์การสหประชาชาติ
สังคมผู้สูงวัย (aging society) คือ สังคมที่มีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 7 ของประชากรทั้งหมด
สังคมผู้สูงวัยโดยสมบูรณ์ (aged society) คือ สังคมที่มีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 14 ของประชากรทั้งหมด
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 69
ภาคธุรกิจกับการลงทุน
เสริมความรู้
การทีภ่ าคครัวเรือนซึง่ ทำ�หน้าทีเ่ ป็นผูบ้ ริโภคต้องการบริโภคหรือจับจ่าย การผลิตสินค้าอย่างหนึ่งกระตุ้นให้เกิด
ใช้สอยซื้อสินค้าและบริการ ทำ�ให้อีกบุคคลหรือกลุ่มบุคคลหนึ่งในระบบ กิจกรรมการผลิตต่อเนื่อง ผ่านทางผล
เศรษฐกิจที่เราเรียกว่า ภาคธุรกิจ เห็นช่องทางในการแสวงหากำ�ไร (profits) เชื่อมโยง (linkages) ต่าง ๆ ทั้งใน
ลักษณะความเชื่อมโยงของการผลิต
โดยนำ�เอาปัจจัยการผลิตต่าง ๆ มาผลิตสินค้าและบริการแล้วจำ�หน่ายให้กบั ไปข้างหน้า (forward linkage) คือ
ผู้บริโภค ผลที่กระตุ้นให้เกิดการขยายตัว
ในกิจกรรมการผลิตอื่นที่ใช้ผลผลิต
ของกิจกรรมนี้เป็นวัตถุดิบในการผลิต
การผลิ ต ที่ เ ริ่ ม ตั้ ง แต่ ก ารนำ � เอาปั จ จั ย การผลิ ต ต่ า ง ๆ ไปผ่ า น ตัวอย่างเช่น การผลิตอุตสาหกรรม
กระบวนการผลิตหรือกรรมวิธีในการผลิต จนกระทั่งออกมาเป็นสินค้าหรือ กระดาษและเยื่อกระดาษ ก่อให้เกิด
บริการสำ�เร็จรูปเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคนั้น ก็มีการใช้ การผลิตสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์
การผลิตไม้แปรรูปก่อให้เกิดการผลิต
กระบวนการผลิตตัง้ แต่แบบง่าย ๆ ทีไ่ ม่ตอ้ งอาศัยเครือ่ งมือ และวิวฒั นาการ เฟอร์นิเจอร์ ผลิตภัณฑ์หัตถกรรมไม้
มากนัก เช่น การทำ�นาปลูกข้าว เลี้ยงสัตว์ เป็นต้น ที่ใช้ในครัวเรือน
ลักษณะความเชื่อมโยงของการผลิต
ต่อมากระบวนการผลิตก็เริ่มมีการดัดแปลงเป็นผลผลิตใหม่ หรือ ไปข้างหลัง (backward linkage)
หรือผลที่กระตุ้นให้เกิดการขยายตัว
เพื่อไม่ให้เกิดการเน่าเสีย สิ้นเปลือง เช่น การนำ�ผลไม้มาแปรรูป การนำ�ฝ้าย ในกิจกรรมการผลิตที่ผลิตวัตถุดิบ
มาทอเป็นผ้า การนำ�ทางมะพร้าวมาผลิตไม้กวาด ซึ่งกระบวนการผลิต ป้อนกิจกรรมนี้ ตัวอย่างเช่น การผลิต
ยังไม่ยุ่งยากซับซ้อนมากนัก อาจใช้คนแค่คนเดียวผลิตก็ได้ เช่น การผลิต รถยนต์ ทำ�ให้เกิดการผลิตชิ้นส่วน
รถยนต์ ต่อเนื่องมายังการผลิตยาง
ไม้ ก วาดทางมะพร้ า ว ก็ แ ค่ เ ก็ บ ทางมะพร้ า ว เอามาสานร้ อ ยตอกกั บ พลาสติก โลหะ เป็นต้น
ด้ามก็เสร็จ ขายได้แล้ว จนมาถึงการผลิตสินค้าที่ซับซ้อนขึ้น และมีขั้นตอน
อุตสาหกรรมเดียวสามารถมีทั้ง
กระบวนการมาก ต้องใช้คนที่มีความรู้ ทักษะ ความสามารถเฉพาะด้าน backward linkage และ forward
ตลอดจนเครื่องมือ เครื่องจักร เงินทุนจำ�นวนมากขึ้น เช่น การผลิตสับปะรด linkage ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรม
กระป๋อง ไปจนถึงการผลิตรถยนต์ ซึ่งกระบวนการผลิตมีทั้งปั๊มชิ้นส่วน สิ่งทอ จะมี backward linkage
เป็นอุตสาหกรรมการเกษตร
เชือ่ มประกอบตัวถัง พ่นสี ประกอบชิน้ ส่วน ติดตัง้ อุปกรณ์อเิ ล็กทรอนิกส์และ ปลูกหม่อน เลี้ยงไหม ส่วน forward
ระบบไฟฟ้า และทดสอบคุณภาพ เป็นต้น ดังนั้น บางครั้งผู้ประกอบการ linkage ก็คือ ธุรกิจแฟชั่น เสื้อผ้า
คนเดียวอาจทำ�ไม่ไหว จึงต้องแบ่งงานกันทำ�และเกิดเป็นห่วงโซ่อุปทาน กระเป๋า หรือเครื่องประดับ
ตกแต่งต่าง ๆ
(supply chain) เพื่อเชื่อมต่อการผลิตจากผู้ผลิตขั้นต้นไปจนถึงผู้ผลิต
ขั้นสุดท้าย
70 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
นอกจากนี้ ยังมีการร่วมมือในลักษณะเครือข่ายลอจิสติกส์ (logistics
network) เพื่อให้การเคลื่อนย้ายสินค้าเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีระบบ
สามารถส่งมอบได้ทันเวลา (just in time) และช่วยลดต้นทุนการขนส่งและ
การบริหารจัดการ โดยเครือข่ายลอจิสติกส์จะเกี่ยวข้องตั้งแต่การขนส่งและ
เคลื่อนย้ายสินค้า การจัดเก็บ และการกระจายสินค้าจากแหล่งที่ผลิต
(source of origin) ไปยังแหล่งที่มีความต้องการ (source of consumption)
เมื่อความต้องการบริโภคสินค้าและบริการมากขึ้น ภาคธุรกิจก็จำ�เป็น
ต้องขยายกำ�ลังการผลิต ประกอบกับเมื่อเวลาผ่านไป กระบวนการผลิตก็จะ
มีความซับซ้อนมากยิง่ ขึน้ และมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพือ่ ให้สามารถผลิตสินค้า
และบริการต่างๆ ได้มากขึ้นโดยมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ�ลง หรือเป็นการเพิ่ม
ศักยภาพการผลิต เหล่านี้จึงทำ�ให้เกิดการลงทุน (investment) หรือ
ในทางเศรษฐศาสตร์จะหมายถึง การเพิ่มปัจจัยการผลิตประเภททุน เช่น
การสร้างโรงงาน โกดัง ซื้อเครื่องมือเครื่องจักรใหม่ เป็นต้น นอกจากนี้
ยังรวมถึงส่วนเปลี่ยนแปลงในสินค้าคงเหลือ (change in inventories)
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 71
คำ�ถามชวนคิด...?
ภาคธุรกิจเป็นภาคที่ทำ�ให้เกิดกิจกรรมการลงทุน แล้วภาคครัวเรือนลงทุนได้หรือไม่ การลงทุน
ในภาคครัวเรือนได้แก่อะไร
72 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
ปัจจัยที่กำ�หนดการลงทุน
ถ้ า ถามผู้ ป ระกอบการว่ า ในการตั ด สิ น ใจลงทุ น นึ ก ถึ ง อะไรเป็ น
อย่างแรก เขาคงตอบได้ในทันทีวา ่ ต้องคิดถึงผลตอบแทนทีจ่ ะได้รบั (returns)
ว่า คุ้มค่ากับเงินทุนที่ลงทุนไปหรือไม่ ซึ่งก็คือ กำ�ไรนั่นเอง แต่นอกจาก
กำ�ไรแล้วก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องพิจารณาอีก โดยทั่วไปแล้ว ปัจจัยที่
กำ�หนดการลงทุน ได้แก่
4. ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เป็นปัจจัยที่มีบทบาทสำ�คัญ
ต่อการลงทุนในปัจจุบันและอนาคต ทุกวันนี้กระบวนการผลิตนับวัน ๆ
ก็ยิ่งจะมีความซับซ้อนมากขึ้น จึงต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อ
ผลิตสินค้าให้มีความทันสมัยมากขึ้น หรือมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมา ทั้งนี้
ก็เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน และเป็นผู้นำ�ตลาด
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 73
5. นโยบายของรัฐบาลและเสถียรภาพทางการเมือง นับว่ามีสว่ นสำ�คัญ รู ไหม
ไม่แพ้ปจั จัยอืน่ ๆ กล่าวคือ นโยบายของรัฐบาล ทัง้ ทางด้านภาษี การส่งเสริม
การลงทุน นโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรม ล้วนมีผลต่อการลงทุน ทั้งนี้ วา…?
ทิศทางนโยบายที่ชัดเจนมีความสำ�คัญอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจลงทุนของ
ผู้ประกอบการ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ก็คือ นโยบายการส่งเสริมการใช้
รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งผู้ผลิตต้องมีการปรับตัวและลงทุนครั้งใหญ่ต้ังแต่ต้นน้ำ�
อย่างผู้ผลิตเหล็ก พลาสติก แบตเตอรี่ ไปจนถึงระบบปลายน้ำ� เช่น ระบบ
ลีสซิ่ง ศูนย์บริการหลังการขาย หากนโยบายของรัฐบาลไม่มีความชัดเจน
ก็จะทำ�ให้เกิดความล่าช้าและอาจสูญเสียโอกาสในการเป็นผู้นำ�ด้านรถยนต์
ไฟฟ้าในภูมิภาคอีกด้วย การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของ
รัฐบาลไม่ว่าจะเป็นถนน รถไฟฟ้า
รถไฟรางคู่ สนามบิน ก็มีส่วนช่วย
6. ความไม่แน่นอนของแนวโน้มศรษฐกิจ อาทิ ระดับราคาสินค้าโดยรวม กระตุ้นให้เกิดการลงทุนของ
สูงขึ้นและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำ�ให้ภาคธุรกิจไม่สามารถคาดการณ์ ภาคเอกชนได้ด้วย เพราะทำ�ให้ต้นทุน
ต้นทุนและยอดขายในอนาคตได้อย่างถูกต้องจึงทำ�ให้ภาคธุรกิจไม่กล้าลงทุน ค่าขนส่งและลอจิสติกส์ของ
ภาคเอกชนลดลง รวมทั้งสร้าง
(อ่านเพิ่มเติมในหัวข้อ “เงินเฟ้อ” ในบทที่ 8) ความต้องการที่อยู่อาศัยให้กับ
ผู้บริโภคด้วย สังเกตจาก
คอนโดมิเนียมที่ผุดเต็มไปหมด
ตามแนวรถไฟฟ้า จึงทำ�ให้
การลงทุนของภาคเอกชนคึกคัก
ไม่เฉพาะแต่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ยังรวมถึงธุรกิจก่อสร้าง
อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง
อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์
อุตสาหกรรมเครื่องใช้ ไฟฟ้า
การลงทุนกับผลที่มีต่อเศรษฐกิจ
เราทราบแล้วว่า การลงทุนเป็นการเพิ่มความสามารถหรือศักยภาพ
ในการผลิตให้สูงขึ้น ทำ�ให้ผลิตได้มากขึ้น ซึ่งก็จะมีการใช้ปัจจัยการผลิต
มากขึ้นด้วย ส่งผลให้เจ้าของปัจจัยการผลิตมีรายได้มากขึ้น ซึ่งก็จะทำ�ให้
ความสามารถหรืออำ�นาจซือ้ สูงขึน้ ตามไปด้วย จึงมีการใช้จา่ ยเพือ่ การบริโภค
มากขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัว หรือรายได้ของประเทศเพิ่มขึ้น และ
ยิ่งไปกว่านั้น การบริโภคที่มากขึ้น ยังทำ�ให้ภาคธุรกิจขายสินค้าได้มากขึ้น
ภาคธุรกิจที่มีกำ�ไรมากขึ้น ก็จะลงทุนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปอีกนั่นเอง
74 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
รู ไหม
วา…?
ธนาคารแห่งประเทศไทยมีการสำ�รวจความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจทุกเดือนทั้งในส่วนความเชื่อมั่นในผลประกอบการ คำ�สั่งซื้อ
การผลิต การลงทุน การจ้างงาน และต้นทุนการผลิต โดยครอบคลุมทุกประเภทธุรกิจทั้งภาคการผลิต ภาคการค้า ก่อสร้าง
ขนส่ง และภาคบริการอื่น ๆ รวมแล้วกว่า 1,000 ราย ซึ่งจะทำ�ให้มั่นใจและสามารถประเมินภาพเศรษฐกิจได้อย่างถูกต้องมากขึ้น
ทั้งนี้ ก็เพราะความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ดีขึ้นหรือแย่ลงจะเป็นตัวกำ�หนดทิศทางการลงทุนในระยะต่อไป ซึ่งการลงทุนถือเป็น
สิ่งสำ�คัญในการเพิ่มความสามารถในการผลิตของประเทศในระยะยาว
ลงทุนเพิ่ม
ธุรกิจไดรายไดเพิ่ม ศักยภาพการผลิต
มากขึ้น
อำนาจซื้อสูงขึ้น ผลิตมากขึ้น
บริโภคมากขึ้น
เจาของปัจจัย
ใชปัจจัยการผลิต
การผลิตมีรายได
มากขึ้น
มากขึ้น
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 75
รู ไหม
วา…?
ปัจจุบัน เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรง (disrupt)
ต่อผลิตภัณฑ์เดิมในตลาด หรือที่เราได้ยินกันว่า disruptive technology ซึ่งก็คือ
นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่สร้างตลาดและมูลค่าให้กับตัวผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยี
ซึ่งจะช่วยเพิ่มคุณภาพ ประสิทธิภาพของกระบวนการผลิตให้ดีขึ้น ทำ�ให้ต้นทุนการผลิต
หรือราคาของผลิตภัณฑ์ถูกลง สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ได้มากขึ้น
และเปลี่ยนโฉมโมเดลธุรกิจและรูปแบบการแข่งขัน
ผลต่อเศรษฐกิจผ่านตัวทวีคูณ :
ลงทุนได้มากกว่าที่ลงทุน
การลงทุนจะทำ�ให้กิจกรรมและรายได้ในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
มากกว่าเม็ดเงินทีล่ งทุนในตอนแรกผ่านการทำ�งานของตัวทวีคณู (multiplier)
โดยเมื่อมีการลงทุนของภาคธุรกิจจะทำ�ให้มีการใช้เงินต่อไปอีกหลายระลอก
multiplier
76 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
คุณเคยได้ยินเพลงโฆษณาทางโทรทัศน์
ของธนาคารแห่งหนึ่งหรือไม่
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 77
เงินที่ลงทุนมาจากไหน
ภาคธุรกิจก็อาจใช้เงินออมจากผลกำ�ไรที่เก็บไว้มาลงทุน หรืออาจจะ
ขอกู้ยืมจากผู้มีเงินออมซึ่งก็คือ ภาคครัวเรือนนั่นเอง เพราะเราทราบแล้วว่า เสริมความรู้
ภาคครัวเรือนเป็นแหล่งเงินออมที่สำ�คัญ แล้วภาคธุรกิจทราบได้อย่างไรว่า
จริง ๆ แล้วเงินลงทุน ยังมาจากการกู้
ครัวเรือนไหนมีเงินออมพอที่จะให้กู้ได้ หรือพูดง่าย ๆ คือ ผู้กู้กับผู้ขอกู้ ต่างประเทศ หรือต่างประเทศนำ�เงิน
จะมาเจอกันได้อย่างไร คำ�ตอบก็ไม่ยาก คือ ผู้กู้กับผู้ขอกู้จะพบกันได้ มาลงทุนในประเทศเราก็ ได้
(อ่านเพิ่มเติมในบทที่ 7)
ผ่านตัวกลางที่เรียกว่า ภาคการเงิน นั่นจึงเป็นที่มาว่า ทำ�ไมเราจึงต้อง
มีธนาคารและสถาบันการเงินต่าง ๆ เป็นตัวกลางระหว่างผู้กู้และผู้ให้กู้
โดยระดมเงินออมจากผู้ให้กู้ไปให้แก่ผู้กู้หรือผู้ที่ต้องการเงินเพื่อการลงทุน
ดำ�เนินธุรกิจ ดังนั้น จึงเกิดการเชื่อมโยงของภาคเศรษฐกิจที่มีการผลิตสินค้า
และบริการ หรือเราเรียกว่า ภาคเศรษฐกิจจริง กับ ภาคการเงิน
เงินออม เงินกู
ภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจ
ธนาคาร
ดอกเบี้ยเงินฝาก ดอกเบี้ยเงินกู
78 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
กล่องความรู้ที่ 4
ความเชื่อมโยงของภาคเศรษฐกิจจริงและภาคการเงิน
ในระบบเศรษฐกิจนั้นแบ่งคร่าว ๆ เป็น 2 ส่วน คือ (1) ภาคเศรษฐกิจจริง และ (2) ภาคการเงิน โดยภาคเศรษฐกิจจริงที่ได้ยินกัน
คุน้ หูวา
่ “real sector” นัน้ ก็คอื ภาคเศรษฐกิจทีม่ กี ารผลิตสินค้าและบริการจากผูป้ ระกอบการทีใ่ ช้วตั ถุดบิ และปัจจัยการผลิตต่าง ๆ
อาทิ แรงงาน ที่ดิน และทุน มาผสมผสานหรือผ่านกระบวนการผลิตเป็นสินค้าและบริการ และมีกลไกราคาเป็นตัวตัดสินว่าธุรกิจจะ
ผลิตอะไร ใช้ปัจจัยการผลิตอย่างไร และจำ�หน่ายให้กับใคร อย่างที่เราได้กล่าวมาข้างต้น ขณะที่ภาคการเงินเป็นเหมือนตัวหล่อลื่น
กิจกรรมในภาคเศรษฐกิจจริงเพราะเป็นภาคเศรษฐกิจที่ทำ�หน้าที่เป็นตัวกลางเกี่ยวกับธุรกรรมด้านการเงินระหว่างผู้กู้และผู้ให้กู้
โดยระดมเงินออมจากผู้ให้กู้ไปให้แก่ผู้กู้ที่ต้องการเงินไปเพื่อการบริโภคหรือเพื่อการลงทุนดำ�เนินธุรกิจ ซึ่งคนที่ทำ�หน้าที่เป็นตัวกลาง
ที่ว่านี้ ก็คือ สถาบันการเงิน แต่ไม่ใช่เฉพาะธนาคารเท่านั้น บริษัทเงินทุน สหกรณ์ หรือแม้แต่โรงรับจำ�นำ�ก็ทำ�หน้าที่นี้ได้
หากเปรียบภาคเศรษฐกิจจริงเสมือนกับร่างกายของคนเรา และภาคการเงินเปรียบเสมือนกับระบบเลือดที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยง
ร่างกาย ถ้าการไหลเวียนของเลือดไม่ดี เกิดติดขัด ร่างกายของคนเราก็แย่ตามไปด้วยเช่นกัน หากภาคการเงินมีปัญหา ก็จะมี
ผลต่อการดำ�เนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาคเศรษฐกิจจริงด้วย เหมือนที่หลายคนอาจเคยได้ยินในช่วงวิกฤติการเงินโลกในปี
2551 นั้น จุดเริ่มต้นมาจากปัญหาในภาคการเงินในสหรัฐฯ ที่มีปัญหาขาดสภาพคล่อง และได้ขยายผลกระทบจากภาคการเงินสู่
ภาคเศรษฐกิจจริง การจับจ่ายใช้สอยชะลอลง สินเชื่อของภาคธุรกิจตึงตัว (สถาบันการเงินไม่ต้องการหรือไม่อยากปล่อยกู้ให้
กับภาคธุรกิจ) ภาคธุรกิจจึงต้องลดการผลิต และปลดคนงานจำ�นวนมาก ซึ่งนอกจากส่งผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ แล้ว ยังส่งผลให้
เศรษฐกิจการค้าโลกถดถอยตามไปด้วย จะเห็นว่า ภาคการเงินมีความสำ�คัญต่อภาคเศรษฐกิจจริง และทัง้ สองภาคนีก้ ม็ คี วามสัมพันธ์
เชื่อมโยงต่อกันอย่างแยกไม่ออก
เราทราบจากในบทก่ อ น ๆ แล้ ว ว่ า
ดอกเบี้ ย ถื อ เป็ น ต้ น ทุ น ค่ า เสี ย โอกาส
อย่างหนึ่ง เพราะหากเรานำ�เงินไปลงทุน
ในหุ้นก็จะเสียโอกาสที่จะได้รับดอกเบี้ย
จากการฝากธนาคาร ดังนั้น ต้นทุน
ค่ า เสี ย โอกาสในการลงทุ น ในที่ นี้ จึ ง
หมายถึงดอกเบี้ยที่ควรจะได้รับ ซึ่งดอกเบี้ยนี่เองที่เป็นผลตอบแทนที่ให้กับผู้ให้กู้หรือผู้ออมเงินที่ยอมเสียสละการบริโภคในปัจจุบัน
ขณะที่ดอกเบี้ยก็เป็นต้นทุนที่ผู้กู้หรือผู้ลงทุน (ภาคธุรกิจ) ต้องจ่าย โดยมีธนาคารหรือสถาบันการเงินที่ทำ�หน้าที่เชื่อมโยงกิจกรรม
การออมและการลงทุนระหว่างผู้ออมและผู้ลงทุนเข้าด้วยกัน
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 79
กล่องความรู้ที่ 4 (ต่อ)
ความเชื่อมโยงของภาคเศรษฐกิจจริงและภาคการเงิน
เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้น คือ คนก็ยิ่งนำ�เงินที่หามาได้ไปฝากธนาคาร หรือออมเงินเพิ่มขึ้น เพราะด้วยเงินเท่าเดิม
แต่ตอนนี้ได้ดอกเบี้ยตอบแทนเพิ่มขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเท่ากับว่าเงินที่เหลือสำ�หรับการบริโภค ณ ตอนนี้ ลดลงด้วย ในขณะเดียวกัน
ในส่ ว นของภาคธุ ร กิ จ ซึ่ ง เป็ น ผู้ กู้ เมื่ อ อั ต ราดอกเบี้ ย สู ง ขึ้ น นั่ น หมายความว่ า เขามี ต้ น ทุ น ในการกู้ เ งิ น เพื่ อ ไปลงทุ น สู ง ขึ้ น
ซึ่งภาคธุรกิจเองก็อาจจะไม่อยากกู้เพราะมีความเสี่ยงที่ว่า โครงการที่ลงทุนอาจให้ผลตอบแทนต่ำ�กว่าอัตราดอกเบี้ยที่กู้มา นอกจาก
การลงทุนของภาคธุรกิจที่ลดลงแล้ว ยังรวมถึงการกู้เพื่อบริโภคสินค้าคงทนของผู้บริโภคที่ลดลงด้วย เช่น รถยนต์ บ้าน ฯลฯ ดังนั้น
การที่อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น จึงทำ�ให้การออมเพิ่มขึ้น ขณะที่การบริโภคและการลงทุนก็จะลดลง ทำ�ให้เศรษฐกิจชะลอลง
อัตรา
ดอกเบี้ย
การบริโภค เศรษฐกิจชะลอตัว/
สูงขึ้น และการลงทุน ลดความ
ลดลง ร้อนแรง
อัตรา
ดอกเบี้ย
ลดลง การบริโภค
และการลงทุน เศรษฐกิจเร่งตัว
เพิ่มขึ้น
กิจกรรมทดสอบความเข้าใจ
ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจมีบทบาทในระบบเศรษฐกิจอย่างไร เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการใช้จ่ายของ
สองภาคนี้จะมีผลอย่างไรต่อเศรษฐกิจ
80 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
Key Points
• ระบบเศรษฐกิจแบบปิดที่มีภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ โดยภาคครัวเรือนจะมีบทบาทในระบบเศรษฐกิจผ่านการบริโภคและเป็นเจ้าของ
ปัจจัยการผลิต ขณะที่ภาคธุรกิจจะมีบทบาทในระบบเศรษฐกิจผ่านการผลิตและการลงทุน
• การบริโภคของภาคครัวเรือนขึ้นกับหลายปัจจัย อาทิ ระดับรายได้ การคาดการณ์รายได้ ราคาและปริมาณสินค้าในอนาคต การเข้าถึง
สินเชื่อและอัตราดอกเบี้ย รสนิยมผู้บริโภค
• การลงทุนของภาคธุรกิจขึ้นอยู่กับกำ�ไรที่จะได้รับจากการลงทุน อัตราดอกเบี้ย ราคาปัจจัยการผลิต เทคโนโลยี รวมถึงนโยบายของรัฐบาล
• การบริโภคและการลงทุนมีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจผ่านผลของตัวทวีคูณ
• ภาคเศรษฐกิจจริงและภาคการเงินมีความเชื่อมโยงต่อกัน โดยภาคการเงินเป็นเหมือนตัวหล่อลื่นกิจกรรมในภาคเศรษฐกิจจริง
• การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยในภาคการเงินมีผลต่อการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน และการลงทุนของภาคธุรกิจ ซึ่งจะมีผลต่อ
การขยายตัวทางเศรษฐกิจ
คุณเรียนรู้สิ่งเหล่านี้แล้วหรือยัง
• บทบาทของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจต่อระบบเศรษฐกิจ
• ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจบริโภคและลงทุนได้
• ความสัมพันธ์ระหว่างภาคเศรษฐกิจจริงและภาคการเงิน
จากบทนี้เราทราบแล้วว่า ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจมีบทบาทในระบบเศรษฐกิจผ่านการบริโภคและ
การลงทุน แต่ระบบเศรษฐกิจก็ยังอยู่ ไม่ ได้ถ้าไม่มีภาครัฐบาล ในบทต่อไป เราจะได้กล่าวถึงว่า ทำ�ไมระบบ
เศรษฐกิจจึงต้องมีภาครัฐบาล และภาครัฐบาลมีบทบาทอย่างไรในระบบเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจแบบปิดที่มี
ภาครัฐบาลจะมีการดำ�เนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างไร
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 81
บทที่ 6
การทำ�งานของระบบเศรษฐกิจ
แบบปิดและมีรัฐบาล
บทนี้เป็นการทำ�ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจทำ�ไมต้องมีภาครัฐบาล การที่มีภาครัฐบาลก็เพราะ
กลไกราคาไม่สามารถทำ�หน้าที่ ได้สมบูรณ์ ไม่ก่อให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ หรือ
เกิดความล้มเหลวของตลาด รัฐบาลจึงต้องเข้ามามีบทบาทในระบบเศรษฐกิจ
ทำ�ไมต้องมีรัฐบาล ?
จากบทก่อน ๆ เราทราบแล้วว่า ตลาดเป็นที่ที่ผู้ผลิตและผู้บริโภคมาเจอกัน โดยภาคธุรกิจก็จะทำ�หน้าที่
เป็นผู้ผลิต โดยรวบรวมปัจจัยการผลิต มาผลิตสินค้าและบริการเพื่อจำ�หน่ายให้ผู้บริโภค ขณะที่ภาคครัวเรือน
ก็จะเป็นผู้บริโภคสินค้าและบริการเหล่านั้น โดยมีราคาเป็นตัวที่บอกให้ผู้ผลิตทราบว่าจะผลิตสินค้าอะไร เป็นจำ�นวน
เท่าใด จะใช้เงินทุน แรงงานเท่าไรจึงจะเหมาะสมคุ้มค่าที่สุด และจะจำ�หน่ายไปให้กับใคร นอกจากนี้ ราคายังเป็น
ตัวที่บอกให้ผู้บริโภคทราบว่า ควรจะบริโภคอะไร และจำ�นวนเท่าใดที่เต็มใจจะซื้อ ซึ่งดูเหมือนว่าถ้าเป็นเช่นนี้
กิจกรรมทางเศรษฐกิจก็คงจะดำ�เนินการไปได้ดว้ ยดี โดยมีกลไกราคาทำ�หน้าทีใ่ นการจัดสรรทรัพยากรอย่างเหมาะสม
82 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
แต่ลองคิดดูสิว่า ถ้ามีปัญหาเหล่านี้ คุณจะมีทางแก้อย่างไร ?
เสริมความรู้ • มีสินค้าที่จำ�เป็นต่อการบริโภคแต่ผู้ผลิตไม่อยากผลิต เพราะผลิต
แล้วไม่สามารถเก็บเงินจากผู้บริโภคได้ เช่น การป้องกันประเทศ
• มีสินค้าที่ผลิตแล้วสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น เช่น การปล่อย
น้ำ � เสี ย จากโรงงาน การปล่ อ ยฝุ่ น ละอองจากโรงงานถ่ า นหิ น
การใช้ยาฆ่าแมลงในสวนผลไม้ เสียงที่ดังรบกวนจากเครื่องบิน
ที่ขึ้นลง เป็นต้น
การที่ภาครัฐบาลต้องเข้ามาผลิต
สินค้าสาธารณะ เพื่อให้บริการกับ • ธุรกิจทีต่ อ้ งใช้เงินลงทุนมาก เทคโนโลยีทนั สมัย ทำ�ให้ผผู้ ลิตรายอืน่
ประชาชน เพราะเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ ไม่สามารถเข้ามาแข่งขันได้ จนสามารถตั้งราคาสินค้าขายได้
ประชาชนจึงต้องจ่ายเงินให้รัฐบาลด้วย
ในรูปของภาษี ดังบทความตอนหนึ่งของ
แพง ๆ ทำ�ให้คนจำ�นวนมากหมดโอกาสในการบริโภคของเหล่านัน้
ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ที่กล่าวไว้ว่า • มีสินค้าที่โฆษณาเกินจริง ทำ�ให้ผู้บริโภคหลงเชื่อ เช่น ยาลด
“เรื่องที่ผมจะเรียกร้องข้างต้นนี้ ความอ้วน เป็นต้น
ผมไม่เรียกร้องเปล่า ผมยินดีเสีย
ภาษีอากรให้ส่วนรวมตามอัตภาพ”
ที่มา : บทความเรื่อง “คุณภาพชีวิต จะเห็นได้ว่า ในบางครั้งกลไกราคาไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้
ปฏิทินแห่งความหวัง จากครรภ์มารดา ซึ่งเป็นความล้มเหลวของตลาด (market failure) ดังนั้น รัฐบาลจึงต้อง
ถึงเชิงตะกอน” เขียนโดย ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์
เข้ามาจัดการแก้ปัญหา
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 83
สู่อากาศเป็นผลกระทบทางลบต่อสังคม ภาครัฐบาลจึงต้องเข้ามาเรียก รู ไหม
เก็ บ ภาษี จ ากผู้ ที่ ก่ อ มลพิ ษ หรื อ เป็ น ที่ รู้ จั ก กั น ว่ า “ภาษี สิ่ ง แวดล้ อ ม”
เพื่อจ่ายชดเชยให้กับผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนและใช้ในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม วา…?
สำ�หรับกรณีของผลกระทบทางบวกนัน้ ได้แก่ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดต่อ
เพราะการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดต่อ นอกจากเป็นการป้องกันโรคติดต่อของ การศึกษาก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของ
ผู้ฉีดเองแล้ว ยังป้องกันมิให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดต่อไปยังบุคคลอื่น การผลิตสินค้าและบริการที่ทำ�ให้
เกิดผลกระทบภายนอกที่เป็นบวก
ดังนั้น ภาครัฐบาลต้องเข้ามาส่งเสริมกิจกรรมเหล่านี้ โดยสามารถทำ�ได้ ซึ่งรัฐต้องอุดหนุนการศึกษา
หลายรูปแบบ เช่น ให้เงินอุดหนุน ลดภาษี จัดหาแหล่งเงินทุนในการผลิต สำ�หรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ผลิตสินค้าและบริการนั้น ๆ เอง เป็นต้น ทุกระดับการศึกษา โดยสำ�หรับ
ชั้นก่อนประถมศึกษา อยู่ในอัตรา
1,700 บาทต่อคนต่อปี
3. สินค้าทีม่ ลี กั ษณะเป็นการผูกขาดโดยธรรมชาติ (natural monopoly) ชั้นประถมศึกษา 1,900 บาท
การผูกขาดโดยธรรมชาตินี้ หมายถึง การที่มีผู้ผลิตเพียงรายเดียวที่สามารถ ต่อคนต่อปี ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น
3,500 บาทต่อคนต่อปี สำ�หรับ
ผลิตสินค้านั้นได้ เพราะต้องใช้เงินลงทุนมาก อาศัยเทคโนโลยีทันสมัย มัธยมศึกษาตอนปลาย 3,800 บาท
ซึ่งต้องใช้เวลาในการคืนทุนนาน จึงเสมือนเป็นการกีดกันไม่ให้คนอื่นเข้ามา ต่อคนต่อปี รวมถึงระดับอาชีวศึกษา
โดยอัตราเงินที่อุดหนุนขึ้นอยู่กับ
ผลิตแข่งขันด้วย ทั้ง ๆ ที่ไม่มีข้อห้ามในการผลิตแข่งขัน ในเมื่อเป็นผู้ผลิต สาขาวิชาที่เรียน ซึ่งรวมแล้ว
เพียงรายเดียวในการผลิตสินค้านีส้ ามารถกำ�หนดราคาสูง ๆ ทำ�ให้ประชาชน เงินอุดหนุนเพื่อการศึกษาของรัฐ
ไม่ ส ามารถเข้ า ถึ ง สิ น ค้ า นั้ น ได้ โดยเฉพาะสิ น ค้ า ที่ จำ � เป็ น ต่ อ ผู้ บ ริ โ ภค ในทุกระดับชั้น ปี ๆ หนึ่งถึงกว่า
23,000 ล้านบาท
เช่น ไฟฟ้าและประปา จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลในการเข้ามาผลิตหรือ
ให้บริการแทนภาคเอกชนเพื่อให้ราคาอยู่ในระดับที่เหมาะสม (fair price)
พอที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้
เสริมความรู้
บางคนอาจจะเถียงว่า ไม่จริง ปัจจุบันก็เห็นโรงไฟฟ้าของเอกชนตั้งหลายแห่ง
84 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
รู ไหม 4. สิ น ค้ า ที่ ผู้ผลิ ต และผู้ บ ริ โ ภคมี ข้ อ มู ล ไม่ เ ท่ า กั น (asymmetric
แต่ถ้าตลาดกำ�ลังทำ�งานมีประสิทธิภาพดีอยู่แล้ว ยิ่งรัฐบาลเข้ามา
แทรกแซงมากเท่าไร ยิ่งน่าเป็นห่วงว่าจะเป็นการบิดเบือนตลาด ราคาที่อาจ
จะถูกเกินจริง ทำ�ให้กลไกการปรับตัวของผูบ้ ริโภคถูกบิดเบือน หรือใช้มากกว่า
ที่ ค วรจะเป็ น ทำ � ให้ เ กิ ด การสิ้ น เปลื อ งทรั พ ยากร อี ก ทั้ ง ยั ง สร้ า งภาระ
ให้ กั บ รั ฐ บาล ซึ่ ง ก็ คื อ เงิ น ภาษี ป ระชาชน จึ ง เป็ น ไปได้ ว่ า นโยบาย
เศรษฐกิจที่เป็นความหวังดีของรัฐบาลอาจจะสร้างผลเสียให้แก่ประเทศได้
เช่น กรณีวิกฤติน้ำ�มันปาล์มเมื่อต้นปี 2554 ที่ปาล์มน้ำ�มันในประเทศ
ออกสู่ตลาดลดลง ในขณะที่ความต้องการใช้เพิ่มขึ้นมากจากการนำ�ไป
ผลิตเป็นไบโอดีเซล โดยปกติตลาดจะสามารถปรับตัวเองได้เมื่อสินค้ามี
ไม่เพียงพอกับความต้องการ ราคาสินค้านั้นก็จะต้องปรับตัวสูงขึ้น ส่งผล
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 85
ให้ความต้องการน้อยลงมาเอง หรือไม่ผู้ผลิตก็อาจจะเพิ่มอุปทานสินค้านั้น
ในตลาด โดยอาจจะนำ�เข้าจากต่างประเทศ แต่รฐั บาลกลับมีนโยบายควบคุม
การนำ�เข้าน้�ำ มันปาล์มจากต่างประเทศ ซึง่ ทำ�ให้ปญั หาน้�ำ มันปาล์มขาดแคลน
ยิ่งทวีความรุนแรงขึน้ ส่งผลให้ราคาสูงขึน้ ไปอีก ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็เลือก
ที่จะแก้ปัญหาโดยตรึงราคาน้ำ�มันปาล์มบรรจุขวดให้อยู่ในระดับต่ำ�เพื่อให้
ผู้บริโภครายย่อยสามารถซื้อได้ แทนที่จะให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นตามกลไก
ตลาดเพื่อสะท้อนต้นทุนและกระตุ้นให้เกิดการปรับตัวของผู้บริโภค ผู้ผลิต
บางรายถึงกับหยุดวางจำ�หน่ายสินค้า ทำ�ให้ประชาชนผู้บริโภคเดือดร้อน
เป็นอย่างมาก จะเห็นว่า กรณีนี้ นโยบายรัฐบาลแทนที่จะส่งผลดี แต่กลับ
ยิ่งเป็นการฝืนไม่ให้ตลาดเกิดการปรับตัว ปัญหาจึงทวีความรุนแรงขึ้น
หรือกล่าวได้ว่าตัวอย่างการแทรกแซงของรัฐบาลในกรณีนี้เป็นการก่อให้เกิด
การบิดเบือนของตลาด ส่งผลให้ทรัพยากรไม่ถูกจัดสรรอย่างมีประสิทธิภาพ
รัฐบาลกับการดำ�เนินกิจกรรม
ทางเศรษฐกิจ
เราพอทราบแล้วว่า ในบางครั้งกลไกราคา
ก็ทำ�หน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์หรือเกิดความล้มเหลว
ของตลาด เช่ น แม้ จ ะเป็ น สิ น ค้ า จำ � เป็ น ต่ อ
การบริโภคแต่ไม่มีใครอยากผลิตเพราะผลิตแล้ว
ไม่สามารถเก็บเงินจากผู้บริโภคได้ หรือเป็นสินค้าผูกขาดที่ผู้ผลิตสามารถ
กำ�หนดราคาได้แพง ๆ จนประชาชนไม่สามารถเข้าถึงสินค้านั้นได้ รัฐบาล
จึงต้องเข้ามาช่วยจัดการ โดยอาจทำ�การผลิตสินค้าและบริการนัน้ ๆ เสียเอง
ซึ่งต้องจ่ายค่าตอบแทนปัจจัยการผลิตให้กับภาคครัวเรือน เช่น เงินเดือน
ข้าราชการหรือค่าจ้างแรงงานนั่นเอง ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็มีการบริโภค
โดยซื้อสินค้าและบริการจากภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ เช่น เครื่องใช้
สำ�นักงาน วัสดุอุปกรณ์ เป็นต้น ซึ่งเงินที่รัฐบาลใช้จ่ายทั้งในการซื้อปัจจัย
การผลิตและการซื้อสินค้าและบริการเพื่อบริโภค ส่วนใหญ่ก็มาจากภาษี
ของประชาชน ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับบริการนั้น ๆ จากรัฐบาล อย่างไรก็ดี รัฐบาล
ยังมีรายจ่ายอีกส่วนหนึ่งที่เป็นเงินโอนให้เปล่าแก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อย
86 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
ระบบเศรษฐกิจแบบปิด กรณีมีรัฐบาล
รายจายของธุรกิจ = รายรับของครัวเรือน (คาเชา คาจาง ดอกเบี้ย กำไร)
เงินโอน เงินโอน
ภาษีใหกับรัฐบาล ภาษีใหกับรัฐบาล
รายรับของธุรกิจ = รายจายของครัวเรือน
การใช้จ่ายของรัฐบาล
การใช้จา่ ยของรัฐบาลแบ่งเป็นรายจ่ายเพือ่ การบริโภค (หรืองบประจำ�)
เช่น เงินเดือนและค่าจ้าง (ค่าตอบแทนแรงงาน) ค่าซื้อสินค้าและบริการ
(ค่าวัสดุอุปกรณ์ ครุภัณฑ์ ค่าใช้สอย และค่าสาธารณูปโภค) และรายจ่าย
เพื่อการลงทุน (หรืองบลงทุน) ได้แก่ การก่อสร้างถนนหนทาง เขื่อน
ชลประทาน รถไฟ รถไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังมีรายจ่ายประเภทเงินโอน
(transfer payments) หรือเป็นเงินโอนให้เปล่าๆ กับประชาชน ไม่ได้รบั สินค้า
และบริการตอบแทน เช่น เบี้ยผู้สูงอายุ เงินช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย เป็นต้น
การใช้จ่ายของรัฐบาล
เสริมความรู้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เป็นตัวกำ�หนด ดังนี้
รายจ่ายประเภทเงินโอน เป็นการโอนเงิน
จากรัฐบาลไปสู่ประชาชนกลุ่มหนึ่ง 1. รายได้ของรัฐบาล รายได้ส่วนใหญ่ของรัฐบาล ก็คือ เงินภาษี
(คนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่ง) ไม่ได้ก่อให้เกิด ของประชาชนนั่นเอง นอกจากนี้ ยังมีรายได้ที่มิใช่ภาษีด้วย ในบทก่อนๆ
ผลผลิต จึงไม่ได้นับรวมอยู่ใน GDP
(อ่านเพิ่มเติมจากบทที่ 8)
เราทราบแล้วว่า รัฐบาลมีบทบาทเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตบางประเภทด้วย
เช่น ป่าไม้ ที่ดิน แร่ธาตุต่าง ๆ เป็นต้น จึงมีรายได้เป็นค่าตอบแทน
จากที่หน่วยธุรกิจมาใช้ทรัพยากรดังกล่าวในการผลิต เช่น ค่าสัมปทาน
ค่าภาคหลวงป่าไม้ ค่าภาคหลวงแร่ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังรวมถึงรายได้น�ำ ส่ง
จากรัฐวิสาหกิจ ซึง่ เป็นหน่วยงานของรัฐ รายได้จากสลากกินแบ่งรัฐบาล ฯลฯ
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 87
2. นโยบายการคลังของรัฐบาล นโยบายการคลังมีอยู่ 3 แบบ คือ นโยบายการคลังแบบขยายตัว นโยบาย
การคลังแบบสมดุล และนโยบายการคลังแบบหดตัว โดยนโยบายการคลังแบบขยายตัว รายจ่ายจะมากกว่ารายได้
ซึ่งต้องกู้มาใช้จ่ายและทำ�ให้เกิดหนี้สาธารณะที่ต้องชดใช้คืนในอนาคต นโยบายการคลังแบบขยายตัวนี้ มักจะใช้
เมื่อต้องกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา ขณะที่นโยบายการคลังแบบหดตัว รายจ่ายจะน้อยกว่า
รายได้ มักจะใช้ในกรณีที่เศรษฐกิจขยายตัวดีอยู่แล้ว รัฐบาลก็จะเหลือเงินมาใช้หนี้สาธารณะที่ก่อไว้ในอดีต
(อ่านเพิ่มเติมในบทที่ 9)
Debt
เศรษฐกิจ การคลัง
ขยายตัว แบบหดตัว รายได > รายจาย มีเงินเหลือไปใชหนี้
Debt
เศรษฐกิจ การคลัง
หดตัว แบบขยายตัว รายจาย > รายได กอหนี้เพิ่มขึ้น
ผลต่อเศรษฐกิจผ่านตัวทวีคูณ :
รัฐบาลลงทุนได้มากกว่าที่ลงทุน
การลงทุนของรัฐบาลทำ�ให้เกิดกิจกรรมและรายได้ในระบบเศรษฐกิจ
เพิม่ ขึน้ มากกว่าทีร่ ฐั บาลลงทุนในตอนแรกผ่านการทำ�งานของ “ตัวทวีคณู ของ
การใช้ จ่ า ยรั ฐ บาล” เช่ น เดี ย วกั น การใช้ จ่ า ยเพื่ อ ลงทุ น ของเอกชนที่ ไ ด้
กล่าวไปแล้วเมื่อบทก่อน ยกตัวอย่าง รัฐบาลลงทุนสร้างถนน 100 ล้านบาท
รายจ่ายนี้ก็จะเป็นรายได้ของผู้รับเหมาก่อสร้าง ผู้รับเหมาก่อสร้างก็เอาไปใช้
ต่อเป็นรายได้ให้กับคนขายอิฐ หิน ปูน ทราย แล้วก็ใช้ต่อกันไปเรื่อยๆ อีก
หลายระลอก ดังนั้น ด้วยเงินลงทุนของรัฐบาล 100 ล้านบาท จะก่อให้เกิด
กิจกรรมทางเศรษฐกิจและเพิม่ รายได้ให้แก่สว่ นอืน่ ๆ ในระบบเศรษฐกิจ เช่น
88 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
ผู้รับเหมาก่อสร้าง คนขายอิฐ หิน ปูน ทราย เป็นต้น ซึ่งจะมากกว่าเม็ดเงิน
100 ล้านบาทที่รัฐบาลจ่ายไปในครั้งแรก การลดภาษีก็เช่นกัน ทำ�ให้เกิด
กิจกรรมและรายได้ในระบบเศรษฐกิจเป็นเม็ดเงินมากกว่าภาษีที่รัฐบาล
สูญเสียไป เพราะเมื่อรัฐบาลลดภาษี เงินในกระเป๋าของประชาชนก็เพิ่มขึ้น
ซึ่งก็เป็นการเพิ่มรายได้ที่จะนำ�ไปใช้ต่อนั่นเอง
ถ้ารัฐบาลต้องการให้เศรษฐกิจขยายตัวดี
ก็เพียงแค่ใช้จ่ายเยอะ ๆ หรือลดภาษีมาก ๆ
ใช่หรือไม่ ?
จากที่กล่าวมา หากรัฐบาลใช้จ่ายเยอะ ๆ หรือลดภาษีมาก ๆ
ก็น่าจะเป็นการกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อีก แต่รู้ไหมว่าผลลัพธ์ที่
ตามมา คือ หนี้ของรัฐบาลซึ่งก็คือหนี้ของประเทศก็จะเพิ่มมากขึ้นด้วย
ซึ่งหากหนี้ของประเทศเราอยู่ในระดับสูงมาก ต่างประเทศก็คงไม่เชื่อมั่น
และอาจไม่ให้เรากู้ยืมเพิ่มเติมอีก และหากการใช้จ่ายของรัฐบาลเป็นการ
กระตุ้นเศรษฐกิจ ในช่วงที่อุปทานตึงตัว หรือการใช้ทรัพยากรเต็มที่แล้ว
ไม่สามารถเพิ่มทรัพยากรเพื่อทำ�การผลิตตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น
จากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เมื่อของมีน้อย ความต้องการมีมาก
ก็ทำ�ให้คนแย่งกันกิน แย่งกันใช้ ในที่สุดก็จะผลักให้ราคาสินค้าและบริการ
สูงขึน้ หรือทีเ่ ราเรียกว่าเกิดภาวะเงินเฟ้อ (อ่านเพิม่ เติมจากหัวข้อ “เสถียรภาพ
ด้านราคา” ในบทที่ 8) ดังนั้น ผลจากการใช้จ่ายมาก ๆ ก็อาจไม่ช่วยให้
เศรษฐกิจขยายตัวดีอย่างทีเ่ ราต้องการ แต่เป็นการกระตุน้ ให้ราคาเพิม่ ขึน้ แทน
ซึ่งจะส่งผลเสียและเป็นอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจในที่สุด ดังนั้น การใช้
นโยบายของรัฐจึงต้องเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจด้วย
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 89
รายได้ของรัฐบาล รู ไหม
เราทราบแล้วว่า แหล่งรายได้สำ�คัญเพื่อนำ�มาใช้จ่ายของรัฐบาล ก็คือ วา…?
เงินภาษีของประชาชน แล้วเราเก็บภาษีจากอะไรบ้าง ?
จริง ๆ แล้ว ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น
ภาษีมีอยู่ด้วยกันหลายประเภท ภาษีที่สำ�คัญ ๆ ได้แก่ ภาษีทางอ้อมเพราะเมื่อเก็บภาษี
กับผู้ผลิต ผู้ผลิตสามารถผลัก
• ภาษีเงินได้บคุ คลธรรมดา ทีจ่ ดั เก็บจากผูม้ รี ายได้ โดยจัดเก็บในอัตรา ภาระให้ผู้บริโภคได้โดยคิดรวม
ก้าวหน้า (Progressive Income Tax : PIT) คือ ใครรายได้มาก ก็เก็บภาษี ไปในราคาสินค้าและบริการ
เพิ่มมากยิ่งขึ้น ใครมีรายได้น้อย ก็เก็บภาษีน้อย
รู ไหม
วา…?
อัตราภาษีบุคคลธรรมดาของไทยในปัจจุบันเป็นแบบขั้นบันไดในอัตราก้าวหน้า โดยเงินได้สุทธิที่มากกว่า 5 ล้านบาทขึ้นไป จะเสียภาษี
บุคคลธรรมดาในอัตราสูงสุดคือ 35% ของเงินได้สุทธิ รองลงมา คือ เงินได้สุทธิที่ 2 - 5 ล้านบาท จะเสียภาษีในอัตรา 30% ซึ่งถึงแม้
จำ�นวนคนที่เสียภาษีในสองอัตรานี้จะมีไม่มาก คิดเป็นเพียง 6% ของจำ�นวนผู้เสียภาษีบุคคลธรรมดาทั้งหมด แต่เมื่อคิดเป็นเม็ดเงิน
ภาษีกลับมาถึง 2 ใน 3 ของภาษีบุคคลธรรมดาที่เก็บได้ทั้งหมด ขณะที่ผู้มีรายได้น้อย รัฐบาลก็ ได้ช่วยบรรเทาภาระภาษีให้กับคนกลุ่มนี้
โดยมีการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำ�หรับเงินได้ที่ไม่เกิน 150,000 บาทแรก ซึ่งกลุ่มนี้มีจำ�นวน 1 ใน 3 ของจำ�นวนผู้เสียภาษี
บุคคลธรรมดาทั้งหมด แต่คิดเป็นภาษีที่สูญเสียไปไม่มากเพียงปีละ 1.5 พันล้านบาท หรือ 0.8% ของภาษีบุคคลธรรมดาที่เก็บได้ทั้งหมด
เงินได้สุทธิ (บาท) อัตราภาษี PIT
1 - 150,000 ได้รับยกเว้น
150,001 - 300,000 5%
300,001 - 500,000 10%
500,001 - 750,000 15%
750,001 - 1,000,000 20%
1,000,001 - 2,000,000 25%
2,000,001 - 5,000,000 30%
5,000,001 บาทขึ้นไป 35%
คำ�นวณภาษีบุคคลธรรมดากันอย่างไร สมมติเรามีเงินได้สุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนต่าง ๆ แล้ว จำ�นวน 400,000 บาท
เราจะต้องเสียภาษีบุคคลธรรมดาจำ�นวนเท่าไร
เงินได้ 150,000 บาทแรก ได้รับการยกเว้นภาษี และที่เหลือ 250,000 บาท จะเสียภาษีใน 2 อัตรา คือ 150,000 บาท เสียอัตราภาษี 5%
(ระหว่าง 150,001 บาท - 300,000 บาท) ส่วนอีก 100,000 บาท (ที่เกินจาก 150,000 บาท) จะตกอยู่ในช่วงอัตราภาษี 10% (ระหว่าง
300,001 บาท – 500,000 บาท) ดังนั้น ภาษีที่เราต้องเสียภาษี จะเท่ากับ 17,500 บาท (150,000 X 5% +100,000 X 10% )
90 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
• ภาษีเงินได้นิติบุคคล คือ ภาษีที่จัดเก็บจากรายได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันเก็บกับ SMEs
ตามช่วงกำ�ไรสุทธิในอัตราตั้งแต่ 0% - 20% ของกำ�ไรสุทธิ ส่วนกิจการขนาดใหญ่เก็บในอัตราเดียวที่ 20%
• ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีตัวนี้น่าจะคุ้นเคยกันดี เก็บจากการบริโภคของเราทุกคน ลองเข้าร้านสะดวกซื้อแล้ว
ดูใบเสร็จรับเงินที่ซื้อสินค้าเราจะเห็นคำ�ว่า “VAT Included” นั่นคือ ทุก ๆ ครั้งที่เราจ่ายเงินซื้อสินค้าตามร้านค้า
เราต้ อ งจ่ า ยภาษี มู ล ค่ า เพิ่ ม ด้ ว ย (รวมเข้ า ไปในราคาสิ น ค้ า แล้ ว ) โดยภาษี มู ล ค่ า เพิ่ ม ที่ จั ด เก็ บ อยู่ ใ นปั จ จุ บั น
อยู่ที่อัตรา 7%
เสริมความรู้
แม้ภาษีมูลค่าเพิ่มจะจัดเก็บในอัตราเดียวกัน คือ 7% ในแต่ละปี รัฐบาลพึ่งรายได้จากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม
สำ�หรับทุกสินค้าและกับทุกคน แต่ในความจริงแล้ว คนที่มี เกือบครึ่งหนึ่ง รองลงมาก็จะเป็นภาษีเงินได้นิติบุคคล
รายได้สูงจะจ่ายภาษีประเภทนี้มากกว่าคนที่มีรายได้น้อย ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ทั้งหมดนี้ก็เกือบ 90% ของรายได้
เพราะคนที่บริโภคมาก (ส่วนใหญ่เป็นคนที่มีรายได้สูง) ก็จะ ภาษีที่จัดเก็บได้ รัฐบาลก็สามารถนำ�เงินรายได้นี้ ไปใช้จ่าย
ถูกเก็บมาก เช่น รถยนต์หรู อาหารตามภัตตาคารราคาแพง คืนให้กับผู้มีรายได้น้อยในรูปแบบเงินโอน รวมทั้งเอาไปลงทุน
ส่วนคนที่มักบริโภคสินค้าที่จำ�เป็นและมีราคาถูก (ส่วนใหญ่ ในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจได้อีกด้วย
เป็นคนที่มีรายได้น้อย) ก็จะถูกจัดเก็บน้อย ซึ่งแน่นอนว่า 7%
ของรถยนต์หรูที่คนที่มีรายได้สูงซื้อก็ต้องมีมูลค่ามากกว่า สัดสวนรายไดภาษีในปงบประมาณ 2563 (ตุลาคม 2562 - กันยายน 2563)
7% ของรถจักรยานยนต์ที่คนที่มีรายได้น้อยซื้อ นอกจากนี้ ภาษีเงินไดบุคคลธรรมดา
ภาษีเงินไดปโตรเลียม
18.33% 3.89%
สินค้าและบริการที่จำ�เป็นพื้นฐานที่น่าจะเป็นภาระคนที่มี ภาษีเงินไดนิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ
33.16% 3.14%
รายได้น้อยมากกว่าคนที่มีรายได้สูง รัฐบาลก็มีการยกเว้น อากรแสตมป
การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในสินค้าพวกนี้ ซึ่งได้แก่ อาหารสด 0.82%
ภาษีการรับมรดก
(ตามตลาด) ยารักษาโรค การรักษาพยาบาล การศึกษา และรายไดอื่น
0.02%
การเดินทางในประเทศ และการเช่าที่อยู่อาศัย
ภาษีมูลคาเพิ่ม
40.63%
ที่มา : สำ�นักงานเศรษฐกิจการคลัง
• ภาษีสรรพสามิต จั ด เก็ บ จากสิ น ค้ า และบริ ก ารบางประเภทที่ ค วรจะต้ อ งรั บ ภาระภาษี สู ง กว่ า ปกติ
เพราะก่อให้เกิดโทษต่อสังคม เช่น สุรา เบียร์ และยาสูบ เป็นต้น ที่มีคำ�เรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า “ภาษีบาป”
เพื่อจูงใจให้ลดการบริโภคลง และนำ�เงินมาบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น อาทิ สนับสนุนการรณรงค์ผ่านโครงการ
ต่าง ๆ ของสำ�นักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ตลอดจนค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคทางเดิน
หายใจและโรคมะเร็งจากการสูบบุหรี่หรือดื่มสุรา นอกจากนี้ เรายังมีการเก็บภาษีสรรพสามิตจากน้ำ�มันเพื่อจูงใจ
ให้ลดการใช้น้ำ�มันและการก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงยังมีภาษีสรรพสามิตจากสินค้าที่มีลักษณะเป็นสินค้า
ฟุ่มเฟือย เช่น น้ำ�หอม รถยนต์ เรือยอชต์ รวมทั้งสถานบริการ เช่น สนามแข่งม้า สนามกอล์ฟ เป็นต้น
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 91
รัฐบาลกับการก่อหนี้ของประเทศ
หากรายได้ของรัฐบาลไม่เพียงพอกับรายจ่าย ก็จำ�เป็นต้องกู้มาใช้จ่าย ซึ่งการก่อหนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
เสมอไป หากสามารถนำ�มาลงทุนที่อาจก่อให้เกิดผลตอบแทนมากกว่าเงินกู้ที่ลงไป ตัวอย่างเช่น ถ้าเราทำ�ธุรกิจ
ซึ่งคาดว่าจะได้รับผลตอบแทนหรือกำ�ไรดี แต่เรามีเงินอยู่จำ�กัดไม่สามารถลงทุนหรือขยายกิจการได้ เราก็อาจ
เสียโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนนั้นไป เราอาจจะกู้มาลงทุนก็ได้ ประเทศชาติก็เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะประเทศ
ที่กำ�ลังพัฒนาอย่างเรา ซึ่งยังจำ�เป็นต้องใช้จ่ายเงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ไม่ว่าจะเป็น
ถนนหนทาง ไฟฟ้า ประปา การคมนาคมขนส่ง การชลประทาน เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตของประเทศ อันจะส่งผล
ต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศด้วย ดังนั้น การก่อหนี้ของรัฐบาลก็ควรจะทำ�ได้ถ้าเป็นเพื่อการลงทุน
พัฒนาประเทศและได้พิจารณาแล้วว่าก่อให้เกิดประโยชน์คุ้มค่า ไม่ใช่การใช้จ่ายเพื่อบริโภคที่ใช้แล้วหมดไป
ซึ่งไม่สนับสนุนการพัฒนาประเทศในระยะยาว รวมทั้งการก่อหนี้ต้องไม่เป็นไปในลักษณะหนี้สินล้นพ้นตัว จนไม่
สามารถบริหารจัดการได้ และกระทบต่อความน่าเชื่อถือของประเทศ ซึ่งจะทำ�ให้ต้นทุนการกู้แพงขึ้น หรืออาจถึงขั้น
ไม่มใี ครกล้าให้กเู้ ลยก็ได้ เราคงไม่อยากให้ประเทศเป็นอย่างประเทศในละตินอเมริกาหรือยุโรปบางประเทศทีป่ ระสบ
วิกฤติหนี้จนเกือบจะต้องล้มละลาย
เสริมความรู้
หนี้ที่เกิดขึ้นจากการกู้ยืมของรัฐบาล ซึ่งก็จะเป็นหนี้ของประเทศด้วยนั้น เราเรียกหนี้นี้ว่า “หนี้สาธารณะ” ซึ่งครอบคลุม
ถึงหนี้ที่รัฐบาลกู้เองโดยตรงและหนี้ที่รัฐบาลเข้าไปค้ำ�ประกัน
92 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
กิจกรรมทดสอบความเข้าใจ
ทำ�ไมเศรษฐกิจจึงต้องมีรัฐบาล และรัฐบาลมีบทบาทอย่างไรในระบบเศรษฐกิจ เกี่ยวข้องกับการดำ�เนินชีวิต
ของเราอย่างไร จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่าง
คุณเรียนรู้สิ่งเหล่านี้แล้วหรือยัง
• ทำ�ไมระบบเศรษฐกิจต้องมีรัฐบาล
• รัฐบาลมีบทบาทอย่างไรต่อระบบเศรษฐกิจ
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 93
บทที่ 7
การทำ�งานของระบบเศรษฐกิจ
แบบเปิดมีภาคต่างประเทศ
ทำ�ไมต้องมีการค้าระหว่างประเทศ ?
ประเทศเราไม่ได้อยู่เพียงประเทศเดียวในโลกนี้ และเราไม่สามารถผลิตได้ทุกอย่าง หรือเก่งไปเสียหมด
จึงต้องเปิดประเทศเพื่อทำ�การค้ากับต่างประเทศ โดยประเทศใดมีทรัพยากรชนิดใดมากก็จะสามารถผลิตสินค้าที่ใช้
ทรัพยากรนั้นได้มากกว่า หรือมีต้นทุนการผลิตที่ถูกกว่า และได้เปรียบในการผลิตและส่งออกขายต่างประเทศ เช่น
ประเทศตะวันออกกลางที่มีแหล่งน้ำ�มันจำ�นวนมากก็เป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำ�มัน ไทยคงไม่สามารถผลิตแข่งได้
ต้องซื้อเพื่อเอามาใช้ในประเทศ ขณะที่ไทยเองก็มีที่ดินเพาะปลูกข้าวจำ�นวนมาก แรงงานมีราคาถูก ไทยจึงมี
ความได้เปรียบในการปลูกข้าว ทำ�ให้ไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก
94 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
นอกจากทรัพยากรที่แตกต่างกันมาก แต่ละประเทศก็มีความถนัดใน
Exam Tip การผลิตสินค้าแตกต่างกัน จะด้วยเทคโนโลยี (technology) ความชำ�นาญ
เฉพาะอย่างในการผลิต (specialization) หรือกรรมวิธีการผลิตที่สืบทอด
กันมาตัง้ แต่บรรพบุรษุ ซึง่ ทำ�ให้การผลิตสินค้าชนิดเดียวกันของแต่ละประเทศ
การค้าระหว่างประเทศเกิดขึ้นได้ด้วย มีต้นทุนไม่เท่ากัน ประเทศที่ผลิตด้วยต้นทุนที่ถูกกว่าก็จะได้เปรียบในการ
2 อย่าง คือ “ความได้เปรียบ” และ ผลิตและส่งออก ทำ�ให้เกิดการค้าระหว่างประเทศขึ้นได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น
“การแลกเปลี่ยน” สวิตเซอร์แลนด์เป็นแหล่งผลิตและส่งออกนาฬิกา ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลก
ญีป่ นุ่ เป็นประเทศทีผ่ ลิตและส่งออกรถยนต์และเครือ่ งใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ของโลก
คำ�ถามชวนคิด...?
การที่ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา (สหรัฐฯ) ที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลก มุ่งปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าของตัวเองมากขึ้น
เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศและแก้ปัญหาขาดดุลการค้า (ซื้อหรือนำ�เข้า มากกว่า ขายหรือส่งออก) โดยตั้งกำ�แพงภาษีสูงขึ้นหรืออาจมีมาตรการ
ที่มิใช่ภาษีมาใช้มากขึ้น เช่น ข้ออ้างเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ โดยหวังว่าจะช่วยเพิ่มการผลิตและการจ้างงาน รวมทั้งดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจาก
ต่างประเทศมากกว่าการนำ�เข้า โดยมุ่งเป้าไปที่จีน ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ และสหรัฐฯ เสียดุลการค้าค่อนข้างมาก ท่านคิดว่า ตามหลักของความได้เปรียบ
ทั้งหมดแล้ว ผลประโยชน์โดยรวมทั้งสหรัฐฯ เอง และประเทศคู่ค้าอื่น ๆ ได้รับมากขึ้นหรือไม่
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 95
การค้าระหว่างประเทศนี้เองที่ทำ�ให้ระบบเศรษฐกิจที่เดิมเคยมีแค่ เกินดุลการค้า
ภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจ และภาครัฐบาล ต้องมีภาคต่างประเทศเข้ามาด้วย
หรือที่เราเรียกว่าระบบเศรษฐกิจแบบเปิด และเมื่อมีการค้าระหว่างประเทศ
เกิดขึน้ ก็ยอ่ มมีประเทศทีผ่ ลิตสินค้าได้ดี และขายได้มากกว่าอีกประเทศหนึง่
โดยประเทศที่ขาย (ส่งออก) สินค้า มากกว่าซื้อ (นำ�เข้า) จากประเทศอื่น
ก็จะได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ “เกินดุลการค้า” ส่วนประเทศที่นำ�เข้าสินค้าจาก
ประเทศอื่นมาใช้ในประเทศของตนมากกว่าที่ส่งออกไปขายประเทศอื่น
ก็จะได้ชื่อว่า “ขาดดุลการค้า”
96 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
การกำ�หนดราคาในการค้า
เสริมความรู้ ระหว่างประเทศ/อัตราแลกเปลี่ยน
ภาคต่างประเทศมีความสำ�คัญต่อ
ประเทศเรามากน้อยแค่ ไหน ? การค้าระหว่างประเทศนั้นก็เหมือนการค้าทั่วไป คือ ผู้ซื้อและผู้ขาย
ต้ อ ง “ตกลงราคากั น ” สำ � หรั บ การค้ า ระหว่ า งคนในประเทศเดี ย วกั น
การค้าระหว่างประเทศทำ�ให้เกิดการ การกำ�หนดราคานั้นง่าย เนื่องจากใช้สกุลเงินเดียวกัน แต่สำ�หรับการค้าขาย
ซื้อขายระหว่างกัน บางประเทศก็มีมูลค่า
การค้าระหว่างประเทศมหาศาล (มูลค่า กับคนในต่างประเทศนั้น มีความซับซ้อนขึ้นเล็กน้อย เพราะสกุลเงินแต่ละ
การส่งออกสินค้าและบริการ รวมกับ ประเทศแตกต่างกัน เช่น เมื่อเราซื้อชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากสหรัฐอเมริกา
มูลค่าการนำ�เข้าสินค้าและบริการ)
บางประเทศก็มีมูลค่าการค้าระหว่าง
โดยไทยใช้สกุลบาท แต่สหรัฐอเมริกาใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ดังนั้น
ประเทศไม่มากนัก ซึ่งนั่นก็แสดงถึงว่า นอกเหนือจากการกำ�หนดราคาชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์แล้ว ต้องมีการตกลง
แต่ละประเทศมีระดับการเปิดประเทศ “อัตราที่จะใช้แลกเปลี่ยนสกุลเงินบาทและสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ” เรานิยม
ไม่เท่ากัน ซึ่งการเปิดประเทศสามารถ
วัดได้จากสัดส่วนของมูลค่าการค้า
เรียกสั้น ๆ ว่า “อัตราแลกเปลี่ยน” ซึ่งเป็นการเทียบค่าของเงินสกุลหนึ่งกับ
ระหว่างประเทศ คือ มูลค่าการส่งออก เงินอีกสกุลหนึ่ง
สินค้าและบริการ รวมกับมูลค่าการ
นำ�เข้าสินค้าและบริการ แล้วหารด้วย
รายได้ของประเทศ หรือ GDP ในการเทียบค่าเงินสกุลหนึ่งกับอีกสกุลหนึ่ง ไม่ได้อยู่ที่ขนาดของ
ประเทศ หรือระดับความร่ำ�รวยของประเทศนั้น ๆ แต่อย่างใด แต่การตกลง
อัตราแลกเปลี่ยนนี้ จะขึ้นอยู่กับ “อำ�นาจซื้อที่แท้จริง” ของเงินสกุลนั้น ๆ
หรือก็คือ สินค้าและบริการที่เงินสกุลนั้นจะซื้อได้ นั่นเอง
ดังนั้น เมื่อเชื่อมโยงอำ�นาจซื้อที่แท้จริงของเงินบาทและดอลลาร์สหรัฐฯ
จะได้ว่า
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 97
ค่าเงินบาทแข็งหรืออ่อนค่า คืออะไร
และเกิดขึ้นได้อย่างไร
ค่ า เงิ น บาทแข็ ง หรื อ อ่ อ นค่ า คื อ อะไร ? สมมติ ว่ า ถ้ า เรามองว่ า
เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นสินค้าอย่างหนึ่ง ราคาของดอลลาร์สหรัฐฯ ในรูป
ของเงินบาท ก็คือ อัตราแลกเปลี่ยน นั่นเอง ดังนั้น อัตราแลกเปลี่ยน
ก็ จ ะแสดงถึ ง ค่ า เงิ น บาท เพราะหมายถึ ง จำ � นวนเงิ น บาทที่ ใ ช้ นำ � ไป
แลกเปลี่ยนกับเงินตราต่างประเทศ หรือเงินสกุลอื่น ๆ เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ
ดอลลาร์สิงคโปร์ เยนญี่ปุ่น ปอนด์สเตอร์ลิง เป็นต้น เช่น นำ�เงิน 29 บาท
ไปแลกได้ 100 เยนญี่ปุ่น นำ�เงิน 30 บาท ไปแลกได้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ
นำ�เงิน 36 บาท ไปแลกได้ 1 ยูโร เป็นต้น
ค่าเงินไม่จำ�เป็นต้องเท่าเดิมเสมอไป ค่าเงินบาทอาจจะแข็งขึ้นหรือ
อ่อนลงก็ได้ ถ้าค่าเงินบาทแข็งขึ้น (Baht appreciation) ก็หมายถึง เงินบาท
ของเรามี ค่ า มากขึ้ น เมื่ อ เที ย บกั บ เงิ น สกุ ล อื่ น แม้ เ รามี เ งิ น บาทน้ อ ยลง
ก็ยังสามารถแลกเป็นเงินสกุลอื่นในจำ�นวนเท่าเดิมได้ เช่น อัตราแลกเปลี่ยน
เมื่อวานนี้เป็น 30 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ แสดงว่าเราใช้เงินบาท
จำ�นวน 30 บาทไปแลกกับ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ถ้าวันนี้อัตราแลกเปลี่ยน
กลายเป็น 28 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เราจึงใช้เงินแค่ 28 บาท ก็สามารถ
แลก 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ นั่นคือ เงินบาทของเรามีค่ามากขึ้นเมื่อเทียบกับ
ดอลลาร์สหรัฐฯ ดังนั้น เมื่อเราพูดว่าค่าเงินบาทแข็งขึ้นก็จะหมายความว่า
เงินบาทมีค่ามากขึ้น หรือเงินบาทแพงขึ้น นั่นเอง
คำ�ถามชวนคิด...?
การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น ๆ แสดงว่าเงินบาทของเรามีค่ามากขึ้น เมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น นั่นก็น่าจะดีเพราะเงินเรามีค่ามากขึ้น
คุณเห็นด้วยหรือไม่ ? (คำ�ใบ้ : อ่านได้จากหัวข้อ “ใครได้ใครเสีย เมื่อเงินบาทแข็งค่าหรืออ่อนค่า”)
98 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
ส่วนค่าเงินบาทอ่อนค่าลง (Baht depreciation) ก็จะตรงกันข้ามกับ
เสริมความรู้ ค่ า เงิ น บาทแข็ ง คื อ เงิ น บาทของเรามี ค่ า น้ อ ยลงเมื่ อ เปรี ย บเที ย บกั บ
เงินสกุลอื่น หรือเราต้องมีเงินบาทมากขึ้นถึงจะแลกเป็นเงินสกุลอื่นใน
การเปรียบเงินตราของแต่ละประเทศ
เป็นสินค้า แม้ความเป็นจริงแล้วเราไม่ได้ จำ�นวนเท่าเดิมได้ เช่น จาก 30 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 32 บาท
ต้องการซื้อเงินตราต่างประเทศนั้นหรอก ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเราพูดว่าค่าเงินบาทอ่อนลงก็จะมีความหมายว่า
แต่เราต้องการสินค้าหนึ่ง ๆ ที่ซื้อขายกัน เงินบาทมีค่าน้อยลง หรือเงินบาทถูกลง นั่นเอง
ด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ต่างหาก
จึงทำ�ให้เราต้องการเงินตราต่างประเทศ
หรือที่เรียกกันว่าเป็นอุปสงค์สืบเนื่อง ดังนั้น เวลาพูดว่า เงินบาทแข็งหรืออ่อนค่าต้องบอกด้วยว่าแข็งค่า
(derived demand) นั่นเอง หรืออ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลอะไร เช่น ค่าเงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับ
ดอลลาร์สหรัฐฯ ค่าเงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินยูโร ค่าเงินบาทอ่อนค่า
เมื่อเทียบกับเงินเยน เป็นต้น
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 99
คำ�ถามชวนคิด...?
อะไรอะไรก็ดอลลาร์สหรัฐฯ ทำ�ไมดอลลาร์สหรัฐฯ จึงสำ�คัญ ?
แล้วอะไรเป็นตัวกำ�หนดความต้องการ
ในการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ ?
สมมติว่าเงินตราต่างประเทศ คือ ดอลลาร์สหรัฐฯ ความต้องการ
ซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เกิดขึ้นก็ตอนที่เราอยากใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ
(1) เพื่อซื้อสินค้าหรือบริการจากต่างประเทศ เพราะว่าผู้ขายสินค้าอยู่ใน
สหรัฐฯ จะใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในการจ่ายค่าวัตถุดิบเพื่อผลิตสินค้า
เขาคงไม่ตอ้ งการเงินบาท (2) เพือ่ ลงทุนในต่างประเทศ เพราะว่าเราไปลงทุน
ในสหรัฐฯ ไม่ว่าจะไปสร้างโรงงานหรือไปซื้อหุ้น ผู้รับเงินลงทุนของเรา
ก็ตอ้ งการเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (3) เพือ่ ชำ�ระหนีต้ า่ งประเทศ เพราะเจ้าหนี้
เราอยู่ในประเทศสหรัฐฯ จึงต้องการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เช่นกัน
100 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
ใครได้ ใครเสีย เมื่อเงินบาทแข็งค่า หรือ อ่อนค่า
ค่าของเงินบาทมีผลกระทบโดยตรงต่อผูส้ ง่ ออก ผูน้ �ำ เข้า
ผูล้ งทุน และผูท้ มี่ หี นีต้ า่ งประเทศ โดยเมือ่ มีคนได้กต็ อ้ ง
มีคนเสีย เรื่องแบบนี้ก็เหมือนกับเหรียญ 2 ด้าน
แล้วแต่ใครจะมองทางด้านไหน
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 101
สมมติวาวันนี้ 30฿ = 1$
28฿ = 1$ 32฿ = 1$
102 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
กล่องความรู้ที่ 5
เงินลงทุนจากต่างประเทศมีความสำ�คัญแค่ ไหน ?
เงินลงทุนจากต่างประเทศนับว่ามีความสำ�คัญต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศผู้รับการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ
ประเทศที่กำ�ลังพัฒนา ซึ่งแม้ว่าประเทศเหล่านี้จะเป็นประเทศที่มีทรัพยากรและแรงงานเป็นจำ�นวนมาก ทำ�ให้มีลู่ทางในการลงทุน
มากมาย แต่ประชาชนโดยรวมยังมีรายได้น้อย ขณะที่การบริโภคมีสัดส่วนที่สูง ทำ�ให้การออมภายในประเทศมีไม่เพียงพอกับความ
ต้องการลงทุนของประเทศ จึงต้องพึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศ หรืออีกนัยหนึ่ง ก็คือ การนำ�เอาเงินออมที่เหลือใช้จากประเทศ
อื่นมาลงทุนในประเทศที่ขาดแคลนเงินทุน (ประเทศผู้รับการลงทุน) โดยการลงทุนที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว ย่อมจะทำ�ให้เศรษฐกิจของ
ประเทศผู้รับการลงทุนขยายตัวในอัตราที่สูงขึ้น และยังเป็นการสร้างงาน ตลอดจนการนำ�เอาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาในประเทศ
อีกด้วย จึงไม่น่าแปลกที่รัฐบาลของประเทศเหล่านี้จะพยายามชักจูงให้คนต่างประเทศมาลงทุนในประเทศของตน โดยการให้
สิทธิประโยชน์ในด้านต่าง ๆ การลงทุนประเภทนี้ เราเรียกว่า การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment) หรือ
ที่รู้จักกันดีว่า FDI
FDI เป็นการลงทุนในระยะยาวเพือ่ สร้างโรงงาน ซือ้ เครือ่ งมือเครือ่ งจักรในการผลิต ซึง่ เป็นการเพิม่ กำ�ลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรม
อีกทั้งยังเป็นการลงทุนที่มีคุณภาพ เพราะมักจะนำ�เข้าเทคโนโลยีและวิธีการบริหารจัดการแบบใหม่ ๆ มาถ่ายทอดให้กับประเทศ
ผูร้ บั การลงทุน นอกจากนี้ ยังกระตุน้ ให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศผูร้ บั การลงทุน ตัวอย่างเช่น การลงทุนจากต่างประเทศ
ในอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทยในทศวรรษ 1990 ทำ�ให้อุตสาหกรรมรถยนต์ในไทยมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด อย่างไรก็ดี
การลงทุนจากต่างประเทศนั้น นักลงทุนต่างประเทศก็ต้องการผลกำ�ไรตอบแทนที่คุ้มค่ากับความเสี่ยงต่าง ๆ ที่เคลื่อนย้ายเงินทุน
และเทคโนโลยีมายังประเทศผู้รับการลงทุนด้วย
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 103
Key Points
• ทรัพยากร เทคโนโลยี ความชำ�นาญในการผลิตที่แตกต่างกันของแต่ละประเทศ ทำ�ให้เกิดการค้าระหว่างกันขึ้น โดยแต่ละประเทศจะเลือก
ผลิตสินค้าและบริการที่ตนเองมีความได้เปรียบมากที่สุด (ชำ�นาญกว่า ต้นทุนถูกกว่าเพราะมีทรัพยากรมาก เทคโนโลยีดีกว่า) แล้วนำ�ไป
แลกเปลี่ยน (ทำ�การค้า) กับสินค้าและบริการที่ตนเองมีความได้เปรียบน้อยกว่ากับประเทศอื่น ๆ
• เมื่อมีการค้าระหว่างประเทศเกิดขึ้น ก็จะมีประเทศที่ “เกินดุลการค้า” และ ประเทศที่ “ขาดดุลการค้า” จึงเกิดการกู้ยืมระหว่างกัน
โดยประเทศที่เกินดุลการค้า จะเป็น “ผู้ให้กู้ยืม” ส่วนประเทศที่ขาดดุลการค้า จะเป็น “ผู้กู้ยืม” นอกจากการกู้ยืมเงินระหว่างกัน ยังทำ�ให้
เกิดการลงทุนระหว่างประเทศด้วย โดยจะมีการนำ�เงินไปลงทุนในประเทศที่มีทรัพยากรมากกว่า หรือมีต้นทุนการผลิตถูกกว่า
• ในการค้าขายระหว่างประเทศจะมีการตกลงอัตราที่จะใช้แลกเปลี่ยนสกุลเงินของประเทศตนและสกุลเงินของประเทศคู่ค้า หรือ
“อัตราแลกเปลี่ยน” เพื่อทำ�การซื้อขายระหว่างกัน โดยอัตราแลกเปลี่ยนที่ตกลงกันนี้ จะขึ้นอยู่กับ “อำ�นาจซื้อที่แท้จริง”
ของเงินสกุลนั้น ๆ หรือก็คือ สินค้าและบริการที่เงินสกุลนั้นจะซื้อได้
• ค่าเงินสกุลหนึ่ง ๆ อาจแข็งค่าหรืออ่อนค่า เมื่อเทียบกับอีกสกุลหนึ่งได้ในช่วงเวลาหนึ่ง เพราะอัตราแลกเปลี่ยนหรือราคาของเงินสกุลหนึ่ง
เทียบกับอีกสกุลหนึ่ง จะถูกกำ�หนดจากกลไกตลาดเช่นเดียวกับราคาสินค้าทั่วไป ถ้าความต้องการซื้อมากกว่าที่เสนอขาย เงินสกุลนั้น
ก็จะแข็งค่า (แพงขึ้น) แต่ถ้าความต้องการซื้อน้อยกว่าที่เสนอขาย เงินสกุลนั้นก็จะอ่อนค่า (ถูกลง)
• ค่าเงินบาทอ่อนหรือแข็งมีทั้งกลุ่มคนที่ได้และเสียเสมอ
กิจกรรมทดสอบความเข้าใจ
คุณเห็นด้วยหรือไม่ว่า เงินบาทอ่อนจะทำ�ให้เราส่งออกสินค้าได้มาก จึงเป็นประโยชน์กับประเทศ
(คำ�ใบ้ : โปรดพิจารณาผลกระทบทุกฝ่าย)
104 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
คุณเรียนรู้สิ่งเหล่านี้แล้วหรือยัง
• ทำ�ไมต้องมีภาคต่างประเทศ การค้าระหว่างประเทศเกิดขึ้นได้อย่างไร
• สาเหตุการแข็งค่าและอ่อนค่าของเงินบาท รวมทั้งบอกได้ว่า เมื่อเงินบาทแข็งหรืออ่อนค่าจะมีใครได้
ใครเสียบ้าง
จากบทนี้เราทราบแล้วว่า ด้วยความแตกต่างของทรัพยากร
เทคโนโลยี ความชำ�นาญในการผลิต ทำ�ให้เกิดการค้าระหว่างกัน
โดยแต่ละประเทศจะเลือกผลิตสินค้าและบริการทีต่ นเองมีความได้เปรียบ
มากทีส่ ดุ แล้วนำ�ไปแลกเปลีย่ น (ทำ�การค้า) กับสินค้าและบริการทีต่ นเอง
มีความได้เปรียบน้อยกว่ากับประเทศอื่น ๆ จึงต้องมีการเปิดประเทศ
เพื่อทำ�การซื้อขายแลกเปลี่ยนกับต่างประเทศ นอกจากราคาที่ตกลง
ทำ�การซื้อขายระหว่างกันแล้ว ยังต้องมีการกำ�หนดอัตราแลกเปลี่ยน
เพือ่ เป็นอัตราที่ใช้แลกเปลีย่ นระหว่างเงินสกุลของประเทศตนกับเงินสกุล
ของประเทศคู่ค้า ทั้งนี้ เมื่อมีการค้าระหว่างกัน ก็เกิดการขาดดุล
หรือเกินดุลการค้า ส่งผลให้ต้องมีการกู้เงิน (ให้กู้) จากต่างประเทศ
และยั ง ก่ อ ให้ เ กิ ด การลงทุ น ระหว่ า งประเทศด้ ว ย เราทราบแล้ ว ว่ า
ระบบเศรษฐกิจแบบเปิดจะประกอบไปด้วยภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจ
ภาครั ฐ บาล และภาคต่ า งประเทศ ในบทต่ อ ไป เราจะได้
กล่ า วถึ ง ว่ า แล้ ว เมื่ อ หน่ ว ยเศรษฐกิ จ รวมกั น เป็ น ระบบเศรษฐกิ จ
เป้าหมายของเศรษฐกิจโดยรวมหรือเป้าหมายของเศรษฐกิจมหภาค
คืออะไร
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 105
บทที่ 8
เป้าหมายของ
เศรษฐกิจมหภาค
Inflation
GDP
123
Financial Stability
บทนี้เป็นการทำ�ความเข้าใจเกี่ยวกับเป้าหมายของเศรษฐกิจมหภาค ซึ่งก็คือความอยู่ดีกินดีของประชาชน
โดยทำ�ให้เกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเหมาะสม ประชาชนมีงานทำ� ระดับราคาของสินค้าและบริการ
มีเสถียรภาพ และเกิดการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม
106 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
หากพิจารณาเป้าหมายย่อยของแต่ละคนแล้ว คงไม่แตกต่างกัน คือ
ทุกคนล้วนอยากได้คา่ ตอบแทนสูงสุดเพือ่ ให้ตวั เองกินดีอยูด่ ไี ด้นาน ๆ ดังนัน้
การทำ�ให้ทุกคนมีความเป็นอยู่ที่ดีจึงเป็นเป้าหมายร่วมกันของเศรษฐกิจ
โดยรวม หรือที่เราเรียกว่า เศรษฐกิจมหภาค ทั้งนี้ เราสามารถแบ่งเป้าหมาย
ของเศรษฐกิจมหภาคออกเป็น 4 เรื่องหลัก ๆ ได้แก่ (1) การสร้าง
ความเจริญเติบโต (2) เสถียรภาพด้านราคา (3) การจ้างงานเต็มที่ และ
(4) การแก้ปัญหาการกระจายรายได้
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 107
ที่ เ ป็ น ค่ า ตอบแทนปั จ จั ย การผลิ ต และย่ อ มเท่ า กั บ ค่ า ใช้ จ่ า ยทั้ ง หมด
ทีท่ กุ หน่วยเศรษฐกิจใช้จา่ ยในการซือ้ สินค้าและบริการนัน่ เอง การจะวัดขนาด Exam Tip
ของเศรษฐกิจจึงสามารถวัดได้จาก 3 อย่าง ทั้งด้านรายได้ ด้านรายจ่าย
และด้านมูลค่าของผลผลิต ซึ่งการวัดทั้ง 3 แบบนี้ย่อมต้องให้ผลลัพธ์ที่
เท่ากันเสมอ เพราะเป็นมูลค่าของสิ่งเดียวกันแต่วัดในวิธีต่างกันเท่านั้น หากระบบเศรษฐกิจกำ�ลังผลิต
แต่ทนี่ ยิ มใช้วดั กัน คือ ด้านรายจ่ายและด้านมูลค่าของผลผลิต เพราะคำ�นวณ อยู่ในช่วงทีต่ ่ำ�กว่าระดับที่ใช้
และวัดได้ง่าย ทรัพยากรเต็มที่ ความต้องการ
ใช้จ่ายโดยรวมที่เพิ่มขึ้นจะทำ�ให้
การวัดมูลค่าของผลิตภัณฑ์ทง้ั หมดทีเ่ ศรษฐกิจใด ๆ หรือประเทศใด ๆ เศรษฐกิจขยายตัว แต่หากระบบ
ผลิตได้ในช่วงเวลาหนึ่ง เราเรียกว่า การวัด “มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมใน เศรษฐกิจกำ�ลังผลิตในช่วงที่มีการใช้
ประเทศ” หรือที่เราเคยได้ยินบ่อยๆ ว่า GDP (Gross Domestic Product) ทรัพยากรเต็มที่แล้ว ความต้องการ
นั่นเอง ส่วนการวัดค่าตอบแทนปัจจัยการผลิตก็คือการวัด “รายได้รวม ใช้จ่ายที่มากขึ้นจะทำ�ให้ราคาสินค้า
ในประเทศ (Gross Domestic Income)” และการวัดค่าใช้จ่ายทั้งหมด แพงขึ้น หรือเรียกว่า เกิดปัญหา
ที่เราจ่ายสำ�หรับการซื้อสินค้าและบริการก็คือการวัด “ค่าใช้จ่ายรวมของ เงินเฟ้อ เพราะผลิตไม่ทันความ
ประเทศ (Gross Domestic Expenditure)” ต้องการ เนื่องจากไม่มีทรัพยากร
เหลือเพื่อใช้ ในการผลิตแล้วนั่นเอง
เพื่ อ ให้ เ ข้ า ใจง่ า ย ๆ ขอยกตั ว อย่ า งให้ เ ห็ น ชั ด สมมติ ว่ า ผู้ ข าย
ผลิตไม้กวาดได้ 1 ด้าม มีมูลค่า 50 บาท (มูลค่าผลิตภัณฑ์) ขายให้ผู้บริโภค
ซึ่งผู้บริโภคก็จะจ่ายเงินเป็นค่าไม้กวาด 50 บาท เมื่อผู้ขายขายไม้กวาด
ได้เงิน 50 บาท เงินจำ�นวนนี้ก็จะเป็นรายรับของผู้ขาย ซึ่งสามารถแจกจ่าย
เป็นค่าตอบแทนแก่ปัจจัยการผลิตต่าง ๆ ที่ใช้ในการผลิตไม้กวาดหนึ่งด้าม
เช่น ค่าดอกหญ้า ด้ามไม้ไผ่ เชือกฟาง รวมกัน 15 บาท ค่าแรงคนงาน
10 บาท ค่าเช่าโรงงาน 5 บาท กำ�ไรสำ�หรับผู้ประกอบการ 20 บาท เป็นต้น
ซึ่ ง แต่ ล ะรายการก็ คื อ รายได้ ข องเจ้ า ของปั จ จั ย การผลิ ต แต่ ล ะอย่ า ง
ที่รวมกันแล้ว (รายได้รวม 50 บาท) ก็ย่อมต้องเท่ากับมูลค่าของสินค้าที่ผลิต
ออกไปนั่นเอง (มูลค่าผลิตภัณฑ์ 50 บาทเท่ากัน)
108 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
ความสัมพันธระหวางผูบริโภคกับผูผลิตในระบบเศรษฐกิจ
รายได = รายจาย = มูลคาของสินคา/บริการ
ผูผลิต สินคาและบริการ ผูบริโภค*
รายจาย
* ผูบริโภคอยูในภาคครัวเรือนซึ่งเปนเจาของปัจจัยการผลิต
หากเราเอารายจ่ายของทุกคนในประเทศมารวมกัน ก็จะได้เป็นมูลค่า
สินค้าและบริการที่ประเทศเราผลิตได้ทั้งหมด หรือก็คือ GDP ของประเทศ
นั่นเอง ดังนั้น การวัดมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP
ด้านรายจ่าย จึงเป็นการคำ�นวณจากค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าและบริการ
ขั้นสุด ท้ายของผู้บริโภคในทุกภาคเศรษฐกิจมารวมกัน ทั้งภาคเอกชน
ภาครัฐ และภาคต่างประเทศ โดยแบ่งรายจ่ายออกเป็น 4 ส่วน คือ
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 109
4. มูลค่าการส่งออกสุทธิ (net export) ซึ่งเท่ากับมูลค่าการส่งออกสินค้าและบริการ (exports) หักด้วย
มูลค่าสินค้านำ�เข้าสินค้าและบริการ (imports) ทั้งนี้ การส่งออกเป็นการขายสินค้าและบริการที่
ผลิตในประเทศเรา จึงถูกนับรวมในมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ขณะทีก่ ารนำ�เข้าสินค้า
และบริการ จริง ๆ ไม่ควรถูกนับรวมใน GDP เพราะเป็นสินค้าและบริการที่ผลิตในต่างประเทศ แต่กลับ
ถูกนับไปในรายจ่าย 3 รายการแรกแล้ว (รายจ่ายเพื่อการบริโภค รายจ่ายเพื่อการลงทุน และรายจ่าย
ของรัฐบาล) ดังนัน้ เพือ่ ทีจ่ ะได้ผลรวมของมูลค่าของสินค้าและบริการทีผ่ ลิตภายในประเทศจริง ๆ สุดท้าย
การคำ�นวณ GDP เราจึงจำ�เป็นต้องหักมูลค่าการนำ�เข้าออก
สมการการคำ�นวณ GDP อย่างง่าย จึงเขียนได้ว่า
GDP = C + I + G + (X – M)
C รายจ่ายเพื่อการบริโภคของภาคเอกชน (consumption)
I รายจ่ายเพื่อการลงทุนของภาคเอกชน (investment)
G รายจ่ายของรัฐบาล (government expenditure)
X-M มูลค่าการส่งออกสุทธิ (net export)
110 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
ในปีต่อมา นาย ก ก็ผลิตปากกาได้หนึ่งด้ามเท่าเดิม แต่นาย ข
มีความต้องการมากขึ้น เกิดการแย่งกันซื้อกับ นาย ค ดังนั้น นาย ก
จึงฉวยโอกาสเพิ่มราคาเป็นด้ามละ 200 บาท ซึ่งนาย ข ก็ยอมตกลงที่
คำ�ถามชวนคิด...? ราคานี้ ในกรณีถามว่าเศรษฐกิจโตเท่าไร ใช่เท่ากับ (200-100)/100 = 100%
หากนายจอห์นผมทองชาวอังกฤษ หรือไม่ คำ�ตอบคือไม่ ถึงแม้มูลค่าสินค้าที่ได้จะเพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว แต่ใน
มาลงทุนสร้างโรงงานผลิตปลากระป๋อง
อยู่ที่จังหวัดระยองของไทย ผลผลิตที่ได้ ความเป็นจริงเศรษฐกิจนี้ไม่ได้ขยายตัวเลย เพราะของที่ผลิตได้ก็มีแค่
จากโรงงานของนายจอห์นนี้จะนับรวม ปากกาด้ามเดียวแบบเดิม ๆ สิง่ ทีเ่ พิม่ ขึน้ มีเพียงราคาเท่านัน้ เอง ไม่ใช่จ�ำ นวน
ใน GDP หรือไม่ ?
สินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้น แต่หากเป็นอีกกรณีหนึ่งที่นาย ก มีความสามารถ
GDP หรือ Gross Domestic Product ในการผลิตปากกาได้เพิ่มขึ้นโดยอาจจะมีการปรับปรุงเครื่องจักร ทำ�ให้ผลิต
ใช้วัดว่า ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ๆ เช่น
ในปีหนึ่ง มีผลผลิตสินค้าและบริการ ปากกาได้เพิ่มขึ้นจาก 1 ด้ามมูลค่า 100 บาท เป็น 2 ด้าม โดยมีมูลค่ารวม
ขั้นสุดท้ายที่ผลิตออกมาในเขตเศรษฐกิจ 200 บาท อย่างนี้จึงจะถือว่าเศรษฐกิจโต เท่ากับ (200-100)/100 = 100%
ใด ๆ เป็นมูลค่ารวมเท่าใด เมื่อวัดอย่างนี้
แล้ว GDP จึงไม่ได้สนใจว่า เจ้าของปัจจัย
การผลิตและทรัพยากรนัน้ จะเป็นของชาติใด เราคงเคยได้ยินกันว่า เศรษฐกิจโตเท่านั้นเท่านี้ เช่น 6% หรือ 8% บ้าง
ขอแค่เป็นผลผลิตที่ออกมาในเขตพื้นที่ นั่นก็คือ อัตราการเปลี่ยนแปลงของ GDP ในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ (อาจจะในรอบ
ที่สนใจ เช่น ผลิตออกมาจากประเทศไทย
แล้วละก็จะนับรวมใน GDP ทันที ดังนั้น หนึ่งปีหรือหนึ่งไตรมาส) ซึ่งก็จะสะท้อน อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
ถึงจะเป็นการผลิตด้วยนายจอห์น (หรือ (economic growth) เช่น ปีนี้ GDP เท่ากับ 10.5 ล้านล้านบาท ปีที่แล้ว
นายคิม นางหวัง นางสาวมิเชลก็ตาม)
และไม่ว่าจะใช้วัตถุดิบจากที่ใด (ไม่ว่า GDP เท่ากับ 10 ล้านล้านบาท เราก็คำ�นวณได้แล้วว่าเศรษฐกิจโต เท่ากับ
ปลาทูน่าจากอ่าวไทย จากนอร์เวย์ 10.5-10 100)
5% นั่นเอง ( *
หรือจากญี่ปุ่นก็ตาม) หากผลผลิต 10
ขั้นสุดท้ายมาสำ�เร็จที่เมืองไทยแล้วก็จะ
นับผลผลิตที่ ได้รวมใน GDP ของไทยทันที อย่างไรก็ดี การที่เราต้องการให้เศรษฐกิจโตอย่างเดียวนั้นคงไม่พอ
แต่ถ้าอยากจะทราบว่าคนชาติใด ผลิตสินค้า ต้องให้โตอย่างยั่งยืนด้วย นั่นคือ ต้องรักษาการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
และบริการได้มากกว่ากัน เราจะวัดด้วย (economic growth) ให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องยาวนาน หรือที่เรียกว่า
GNP (Gross National Product) หรือ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน (sustainable economic growth)
ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ ซึ่งวัดมูลค่า
ของสินค้าและบริการที่เกิดจากการใช้ปัจจัย ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ เราต้องมีการลงทุนและปรับปรุงประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มความ
การผลิตของเศรษฐกิจนั้น ๆ โดยไม่สนใจว่า สามารถหรือศักยภาพการผลิตของประเทศ ซึ่งช่วยให้เกิดการเจริญเติบโต
จะเอาไปผลิตในประเทศหรือนอกประเทศ
นั่นคือ ขอให้เป็นการใช้ปัจจัยการผลิต ทางเศรษฐกิจได้ในระยะยาว
จากพื้นที่ที่สนใจ เช่น ยึดการผลิตของ
“คนไทย” เป็นหลักไม่ว่าอยู่ที่ ไหนในโลก
เช่น นายสมชาติตั้งโรงงานผลิตล้อรถยนต์
ที่เวียดนาม แต่ใช้วัตถุดิบยางแผ่นจากไทย
ผลผลิตล้อรถยนต์ของโรงงานนายสมชาติ
ก็จะนับรวมใน GNP แต่ไม่นบั ใน GDP นัน่ เอง
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 111
กล่องความรู้ที่ 6
GDP เป็นตัวชี้วัดความกินดีอยู่ดีของประชาชนที่ดีจริงหรือ ?*
นอกจากนี้ ยังมีตวั ชีว้ ดั ตัวอืน่ ๆ อีก เช่น ดัชนีโลกมีความสุข (Happy Planet Index : HPI) โดย New Economic Foundation (NEF)
จัดทำ�ขึ้นเมื่อปี 2550 โดยข้อมูลล่าสุดในปี 2559 ได้ประกาศผลการจัดอันดับ 140 ประเทศทั่วโลกปรากฏว่า ประเทศคอสตาริกา
ประเทศเล็ก ๆ ในภูมิภาคอเมริกากลาง (มีขนาดเล็กกว่าไทยถึง 10 เท่า และมีประชากรเพียง 5 ล้านคนเท่านั้น) เป็นอันดับ 1
ขณะที่สหรัฐอเมริกาประเทศที่ GDP มากที่สุดอยู่ในอันดับที่ 108 สวนทางกับเกณฑ์การใช้ GDP เป็นตัวชี้วัดโดยสิ้นเชิง
112 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
กล่องความรู้ที่ 6 (ต่อ)
GDP เป็นตัวชี้วัดความกินดีอยู่ดีของประชาชนที่ดีจริงหรือ ? *
ตอนนี้ ถ้ า ใครได้ อ่ า นข่ า ว คงจะได้ ยิ น คำ � ว่ า “inclusive growth” ซึ่ ง กำ � ลั ง ได้ รั บ ความสนใจในแวดวงนั ก เศรษฐศาสตร์
เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงแนวคิดการเจริญเติบโตแบบดั้งเดิมที่เร่งรัดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในอัตราสูง ๆ ไปสู่การเจริญ
เติบโตแบบมีส่วนร่วมโดยคนส่วนใหญ่ ส่วนร่วมในที่นี้ก็คือ การกระจายโอกาสให้ประชาชนอย่างทั่วถึง ลองนึกถึงการขับรถ
บนถนน 2 เลน เวลาไฟเขียวหรือช่วงเศรษฐกิจดี รถทุกคันอยากวิ่งไปข้างหน้า แต่มีเพียง 1 เลนที่รถแล่นไปได้อย่างคล่องตัว
ในขณะทีอ่ กี เลนเคลือ่ นตัวช้า ๆ เสมือนโอกาสทีค่ นในสังคมได้รบั ไม่เท่าเทียมกัน ในทีส่ ดุ รถบางคันทนไม่ไหวจึงเปลีย่ นเลน โอกาส
ที่ทั้งสองเลนจะชะลอหรือหยุดชะงักจึงมีสูง สะท้อนถึงความไม่ยั่งยืนของเศรษฐกิจที่มีการเติบโตอย่างไม่ทั่วถึงนั่นเอง
คำ�ถามชวนคิด...?
หากระบบเศรษฐกิจมีความต้องการสินค้าและบริการโดยรวม (อุปสงค์มวลรวม) มากกว่าปริมาณผลผลิตที่สามารถผลิตได้ (อุปทานมวลรวม)
ในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ จะเกิดอะไรขึ้น เศรษฐกิจจะโตได้หรือไม่
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 113
หากความต้ อ งการสินค้าและบริการโดยรวม (อุปสงค์มวลรวม)
มากกว่าปริมาณผลผลิตที่สามารถผลิตได้ (อุปทานมวลรวม) ในช่วงเวลา Exam Tip
หนึ่ง ๆ ก็จะทำ�ให้เกิดอุปสงค์ส่วนเกิน หรือพูดง่าย ๆ ความต้องการสินค้า
มีมากแต่ปริมาณสินค้าที่ผลิตออกมามีไม่เพียงพอ หรือผลิตสินค้าได้ไม่ทัน
กับความต้องการ ซึ่งจะกดดันให้ระดับราคาสูงขึ้น ซึ่งถ้าระดับราคาสินค้า การที่มีสินค้าอย่างใดอย่างหนึ่ง
โดยทั่วไปเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องก็จะทำ�ให้เกิดภาวะที่เราเรียกว่า “เกิดภาวะ แพงขึ้น จะยังไม่เรียกว่า เงินเฟ้อ
เงินเฟ้อ หรือเงินเฟ้อ (inflation)” ประชาชนไม่สามารถคาดการณ์ราคาสินค้า เพราะภาวะเงินเฟ้อเป็นภาวะที่ระดับ
และบริการได้ ซึ่งนั่นก็จะทำ�ให้ระบบเศรษฐกิจไม่มีเสถียรภาพด้านราคา ราคาโดยรวมสูงขึ้นต่อเนื่อง
นอกจากระดับอุปสงค์มวลรวมที่สูงไป เงินเฟ้ออาจมาจากปัจจัยการผลิตที่ ซึ่งก็หมายถึง ราคาสินค้าและบริการ
ตึงตัวขึ้น อาทิ แรงงานขาดแคลน ทำ�ให้ราคาปัจจัยการผลิตสูงขึ้น ส่งผลให้ ที่ผู้บริโภคจ่ายไปรวมกันทั้งหมด
ต้นทุนการผลิตของผู้ผลิตสูงขึ้นด้วย ในที่สุดผู้ผลิตก็จะปรับราคาสินค้าและ โดยเฉลี่ยน้ำ�หนักตามสัดส่วน
บริการให้สูงขึ้นด้วย ของค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าของ
ครัวเรือนแพงขึ้นอาจเทียบกับ
ความจริงแล้ว เงินเฟ้อ ก็เหมือนกับอาการท้องเฟ้อ ลองนึกถึงอาการ เดือนที่แล้ว หรือปีที่แล้วก็ได้
อืด ๆ ท้องจะพองขึ้นแต่กลวงเพราะเต็มไปด้วยแก๊ส เงินเฟ้อก็เหมือนกัน คือ ซึ่งเป็นไปได้ว่า อาจจะมีราคาสินค้า
มีเงินหมุนเวียนในตลาดมาก ๆ แต่ค่าของเงินกลับลดลง เพราะของแพงขึ้น บางอย่างเท่าเดิม หรือถูกลงด้วยซ้ำ�
ไปเรื่อย ๆ ทำ�ให้ซื้อของได้น้อยลง (เงินก็เปรียบเหมือนกับแก๊สที่มีมาก ๆ ในเวลาเดียวกัน แต่ก็มีสินค้า
แต่ไม่ได้มคี า
่ ไม่ได้ท�ำ ให้เราอิม่ ) หน้าทีข่ องแบงก์ชาติ ก็คอื ทำ�ให้มนั แฟบลง หลายอย่างที่ราคาสูงขึ้นจนทำ�ให้
โดยใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นยาขับลมนั่นเอง (อ่านได้จากบทต่อไป) ราคาสินค้าโดยเฉลี่ยสูงขึ้นได้
114 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
หากถามว่าการเกิดภาวะเงินเฟ้อไม่ดีอย่างไร (อ่านเพิ่มเติมได้จากบทความท้ายเล่ม เรื่อง “เงินเฟ้อมันน่ากลัว
จริงหรือ ?” โดยนายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน รองผู้ว่าการ ด้านบริหาร ธนาคารแห่งประเทศไทย)
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 115
ประการที่ 1 การเกิดภาวะเงินเฟ้อ จะทำ�ให้เงินจำ�นวนเท่าเดิมที่เราถืออยู่มีค่าลดลง ทำ�ให้ซื้อของได้น้อยลง
(ใช้เงินมากแต่ซื้อสินค้าได้น้อย)
รู ไหม
วา…?
ในปี 2548 ประเทศซิมบับเว เคยเจอวิกฤติปัญหาเงินเฟ้อที่พุ่งสูงถึง 2,200,000%
คนต้องพกเงินเป็นกระสอบ ๆ เพื่อไปจ่ายตลาด ราคาของเบียร์ 1 ขวดในขณะนั้น เท่ากับ
100,000,000,000 ซิมบับเวียนดอลลาร์ นี่เพียงเพราะรัฐบาลทำ�การพิมพ์เงินมหาศาล
เพื่อใช้คืนหนี้สินของประเทศ แม้จะได้ผล หนี้หายวับไปกับตา แต่ผลที่ตามมา เมื่อเงิน
จำ�นวนมหาศาลไหลกลับเข้ามาในระบบค่าของเงินสกุลซิมบับเวก็ลดค่าลง เพราะใคร ๆ
ก็มีเงินอยู่ในมือ ข้าวของก็เริ่มแพงขึ้น ๆ รัฐบาลก็พิมพ์เงินเพื่ออัดฉีดเข้าไปอีก
เมื่อปริมาณเงินมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างขาดความสมดุลกับเศรษฐกิจ ในที่สุด ค่าของ
เงินสกุลซิมบับเวก็ดิ่งลงเหว ไม่มีใครเชื่อถือและอยากใช้อีกต่อไป เงินสกุลซิมบับเว
จึงไม่แตกต่างจากกระดาษใบหนึ่ง ในที่สุดการซื้อขายทั่วไปจึงถูกกำ�หนดราคากันใหม่
ด้วยเงินสกุลเงินตราต่างประเทศ
และที่เพิ่งเกิดขึ้นกับประเทศเวเนซุเอลาที่ภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรงราคาสินค้าแพงขึ้นต่อเนื่องแบบรวดเร็ว เงินเฟ้อพุ่งทะลุ
1,000,000% ในปี 2561 ส่งผลให้เงินด้อยค่าจนไม่มีใครอยากได้ จากประเทศที่เคยร่ำ�รวยด้วยน้ำ�มันและทรัพยากรธรรมชาติ
แต่ด้วยการอัดฉีดเงินเพื่อประชานิยมแบบสุดโต่ง และการควบคุมราคาสินค้าให้ต่ำ�กว่าความเป็นจริงได้ทำ�ลายกลไกตลาด เอกชน
ไม่สามารถอยู่รอดได้ รัฐจึงต้องผลิตเอง แต่เมื่อเกิดวิกฤติราคาน้ำ�มันตกต่ำ�ตั้งแต่ปี 2557 รายได้หลักหายไป รัฐบาลกลับแก้ปัญหา
ด้วยการยิ่งพิมพ์เงิน ซึ่งผลเสียของการพิมพ์เงินเพิ่มเพื่อมาเป็นค่าใช้จ่ายของรัฐบาล ก็ยิ่งทำ�ให้เงินเฟ้อยิ่งทะยานสูงขึ้นไปอีก
จนในที่สุดประชาชนขาดความเชื่อมั่นในเงินสกุลตัวเองโดยสิ้นเชิงและนำ�มาสู่การล่มสลายของระบบเศรษฐกิจในที่สุด
116 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
ประการที่ 3 การเกิดภาวะเงินเฟ้อ ทำ�ให้ความสามารถในการส่งออก รู ไหม
สินค้าและบริการของเราลดลง เพราะเราทราบแล้วว่า เมื่อเกิดเงินเฟ้อ ทำ�ให้
ราคาสินค้าแพงขึ้น ดังนั้น ถ้าเงินเฟ้อของไทยสูงกว่าคู่แข่งด้วยแล้ว ยิ่งทำ�ให้ วา…?
ต้นทุนเราสูงกว่า ราคาส่งออกสินค้าของเราจึงแพงกว่าด้วย ขายแข่งกับใคร
เขาคงไม่ได้ wage-price spiral เคยเกิดใน
สหรัฐฯ ตอนช่วงวิกฤติการณ์
น้ำ�มันครั้งก่อน ๆ เนื่องจากระบบ
ประการที่ 4 การเกิ ด ภาวะเงิ น เฟ้ อ เพิ่ ม ความไม่ เ ป็ น ธรรม สหภาพแรงงาน (โดยเฉพาะสหภาพ
ไม่ เ ท่ า เที ย มกั น ในรายได้ เพราะเป็ น การซ้ำ � เติ ม คนที่ มี ร ายได้ ป ระจำ � แรงงานผลิตรถยนต์) เข้มแข็งมาก
เช่น ข้าราชการ ผู้สูงอายุที่มีรายได้จากบำ�นาญ เป็นต้น เนื่องจากมีรายได้ ทำ�ให้การหยุดงานประท้วงเพื่อเรียก
ร้องค่าจ้างมีให้เห็นอยู่บ่อย ๆ
เท่าเดิม แต่ราคาสินค้ากลับแพงขึ้น ในขณะที่คนที่มีรายได้จากการค้าขาย แต่ในปัจจุบัน wage-price spiral
เช่น นักธุรกิจและพ่อค้า จะได้รบั ผลกระทบน้อยกว่า เพราะสามารถปรับราคา ยังเห็นไม่ชัดนัก เนื่องจากตลาด
แรงงานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
สินค้าให้แพงขึ้นเพื่อชดเชยต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นได้ ทำ�ให้รายได้โดยรวม เพราะบริษัทต่าง ๆ ไม่ง้อแรงงานใน
อาจจะเปลี่ยนแปลงไปไม่มากนัก ประเทศอีกต่อไปแล้ว เนื่องจากมีการ
ใช้เครื่องจักรแทนแรงงานมากขึ้น และ
สามารถหาแรงงานต่างด้าวราคาถูก
ประการที่ 5 การเกิดภาวะเงินเฟ้อ ทำ�ให้ประชาชนคาดการณ์ราคา ได้จากทั่วโลก
สินค้าและบริการในอนาคตได้ยากว่า ราคาข้าวของจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าไร
ทำ�ให้ยากต่อการตัดสินใจในเรื่องการบริโภค การออม และการลงทุนใน
ปัจจุบันด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณออมเงิน 100 บาท ได้รับผลตอบแทน 3%
เมื่อครบ 1 ปี คุณจะได้รับเงิน 103 บาท แต่ถ้าระหว่างปีนั้น อัตราเงินเฟ้อ
เท่ากับ 5% ราคาสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นจาก 10 บาท เป็น 10.50 บาท หากนำ� คำ�ถามชวนคิด...?
ผลตอบแทนที่ได้รับจำ�นวน 103 บาท ไปซื้อสินค้าชนิดเดิม จะซื้อได้เพียง ทำ�ไมเราไม่พิมพ์เงินออกมามาก ๆ
เพื่อให้ประเทศร่ำ�รวยขึ้น จะได้ ไม่เป็นหนี้
9.81 หน่วย จากเดิมที่ซื้อได้ 10 หน่วย แสดงให้เห็นว่า เมื่อเกิดเงินเฟ้อขึ้น เป็นสิน
(5%) จะทำ�ให้ผลตอบแทนที่ได้รับแท้จริงลดลง สะท้อนจากจำ�นวนสินค้าที่
ซื้อได้น้อยลง (9.81 หน่วย) คราวนี้เป็นใครก็คงไม่อยากออมเงิน สู้กินใช้ในวันนี้จะดีกว่า ในที่สุดก็จะกลับกลายว่า
คนก็เร่งใช้จ่ายซื้อของ มิหนำ�ซ้ำ�อาจจะกู้ยืมมาใช้จ่ายด้วยซ้ำ� เช่น ซื้อบ้าน ซื้อรถ เพราะซื้อวันนี้ดีกว่า แม้จะเสีย
ดอกเบี้ยบ้าง แต่เมื่อเทียบกับราคาที่จะสูงขึ้นตามเงินเฟ้อ ยังคุ้มกว่า และหากขืนรอต่อไปราคาอาจสูงขึ้นจนไม่มี
ปัญญาซื้อก็เป็นได้ หรืออาจจะกู้ไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ ทั้งคอนโดมิเนียม ทองคำ� ที่ดิน เพราะต่างก็คาดว่าราคา
จะสูงขึ้นตามเงินเฟ้อ และการเกิดภาวะเงินเฟ้อทำ�ให้ผู้กู้รู้สึกว่าต้นทุนการกู้เงินถูกลง เพราะรายจ่ายดอกเบี้ย
ที่ต้องจ่ายมีค่าน้อยลง ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้กับระบบเศรษฐกิจด้วย และอาจสะสมจนเกิดเป็น
ภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่เหมือนเมื่อช่วงก่อนเกิดวิกฤติปี 2540 ก็เป็นไปได้
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 117
เสริมความรู้
ภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ คือ ภาวะที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วจนเกิดภาพลวงตา ทำ�ให้เห็นว่า ทุกอย่างดูดี ราคาของ
สินทรัพย์ที่ถือไว้เพิ่มขึ้นอย่างมาก คนรู้สึกรวยขึ้น และแนวโน้มของราคาที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากนี้ ยังทำ�ให้คนคาดการณ์ว่า
ราคาน่าจะเพิ่มสูงขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ เลยแห่กันซื้อเพื่อเก็งกำ�ไร ก็ยิ่งทำ�ให้ราคาสินทรัพย์นั้น ๆ เพิ่มเร็วขึ้นอีก กระทั่งวันหนึ่ง
ที่คนเริ่มไม่มั่นใจ เพราะราคาสินทรัพย์นั้นสูงมากเกินไปกว่าพื้นฐานที่ควรจะเป็น ราคาก็จะเริ่มลดลง คนก็ตกใจรีบเทขาย
แต่ส่วนมากไม่มีใครอยากจะซื้อเพราะเห็นว่าราคาเป็นขาลง ทำ�ให้ราคายิ่งร่วงเร็วมากขึ้นอีก ในที่สุด ฟองสบู่ที่สวยงาม
ก็แตกสลายไป สินทรัพย์ที่ซื้อมา มูลค่าลดหายไป หรือที่เรียกว่า “ภาวะฟองสบู่แตก” นั่นเอง
118 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
เมื่อเราทราบอย่างนี้แล้ว คงจะเข้าใจแล้วว่า ทำ�ไมธนาคารกลาง รู ไหม
ต่าง ๆ ถึงให้ความสำ�คัญกับการดูแลเงินเฟ้อ การดำ�เนินนโยบายการเงิน
ของแบงก์ชาติ จึงต้องให้ความสำ�คัญกับการรักษาเสถียรภาพของราคา วา…?
โดยพยายามให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในเป้าหมายที่กำ�หนดเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรค
ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และขัดขวางการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ จริง ๆ แล้ว เงินเฟ้อไม่ใช่เป็น
สิ่งเลวร้ายเสมอไป หากเป็นเงินเฟ้อ
ในระยะยาว อย่างไรก็ดี นโยบายการคลังก็มีส่วนช่วยชะลอเงินเฟ้อได้ อย่างอ่อน ๆ (mild inflation)
โดยรัฐบาลอาจจะลดรายจ่ายที่ไม่จำ�เป็นลงและเพิ่มการจัดเก็บภาษีเพื่อดึง เช่น สัก 2 - 3% จะเป็นผลดีช่วย
เงินออกจากระบบเศรษฐกิจอันจะเป็นการลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจลง กระตุ้นเศรษฐกิจได้ เพราะจะช่วย
สร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตมีการลงทุน
ซึง่ จะทำ�ให้แรงกดดันเงินเฟ้อลดลงด้วย เพราะไม่วา่ จะเป็นการดำ�เนินนโยบาย ขยายการผลิต และมีการจ้างงาน
การเงิน หรือนโยบายการคลังก็มเี ป้าหมายเดียวกันคือ ให้ประชาชนกินดีอยูด่ ี ส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัวมากขึ้น
ซึ่งการดูแลเงินเฟ้อมีความจำ�เป็นไม่แพ้กับการสร้างความเจริญเติบโต
ทางเศรษฐกิจ (จะกล่าวอย่างละเอียดอีกครั้งในบทต่อไป)
Key Points
การเกิดภาวะเงินเฟ้อมีผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลต่อไปถึงรายได้และการกินดีอยู่ดีของประชาชนด้วย
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 119
กล่องความรู้ที่ 7
อัตราเงินเฟ้อต่ำ�ลงทั่วโลกเพราะอะไร และจะส่งผลอย่างไร
ต่อการดำ�เนินนโยบายการเงิน ?
120 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
3. การจ้างงานเต็มที่ (full employment) คือ เราสามารถใช้กำ�ลัง
แรงงานที่มีทั้งหมดอย่างเต็มที่ตามความสามารถหรือศักยภาพของแรงงาน Exam Tip
หรือพูดง่าย ๆ ว่า คนที่อยู่ในวัยทำ�งานทุกคนที่ต้องการทำ�งาน สามารถหา
งานทำ�ได้ ไม่ปล่อยให้เกิดการว่างงานและเสียโอกาสไปฟรี ๆ ซึ่งจะไม่คมุ้ ค่า
กับสิ่งที่ได้ลงทุนไปทั้งที่ลงทุนเองและส่วนที่รัฐลงทุนทั้งในด้านการศึกษา
สาธารณสุข และสวัสดิการด้านอื่น ๆ และเมื่อไม่มีงานทำ� ย่อมไม่มีรายได้
ที่จะไว้จับจ่ายใช้สอย ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาสังคม
ตามมาอีกมาก
การจ้างงานเต็มที่ (full employment)
ไม่ ได้หมายความว่า แรงงานทุกคนต้อง
มีงานทำ� อาจจะเกิดการว่างงานชั่วคราว
ก็ได้ เช่น อยู่ระหว่างการหางานใหม่
การว่างงานหลังฤดูทำ�นา คนที่เพิ่ง
สำ�เร็จการศึกษา เป็นต้น
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 121
รู ไหม
วา…?
ระดับราคา
การดำ�เนินนโยบายการคลังมีส่วนช่วยแก้ปัญหาการกระจายรายได้
อัตราการว่างงาน โดยผ่าน (1) การใช้จ่ายของรัฐบาล (government spending) โดยนำ�เงิน
ภาษีมาใช้จา่ ยเพือ่ ผลประโยชน์ของผูม้ รี ายได้นอ้ ย เช่น การสร้างถนนในชนบท
ในความเป็นจริงเราก็อาจเห็น
อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นพร้อม ๆ กับ
การใช้จ่ายด้านการศึกษาและสาธารณสุข เป็นต้น ซึ่งเสมือนกับเป็นการ
อัตราการว่างงานได้เหมือนกัน นำ�เงินจากผู้มีรายได้สูงไปช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย (2) เงินโอน (transfer
อย่างในช่วงที่เศรษฐกิจที่ซบเซามาก payments) หรือการให้เงินช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย (โอนให้เปล่าๆ ไม่ได้รับ
(stagflation) จากต้นทุนสินค้า
ที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น ราคา สินค้าและบริการตอบแทน) เช่น เบี้ยผู้สูงอายุ โครงการบัตรสวัสดิการ
น้ำ�มัน ผู้ประกอบการจึงจำ�เป็น แห่งรัฐเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย เป็นต้น และ (3) การเก็บภาษีผู้มีรายได้
ต้องขึ้นราคาสินค้า ทำ�ให้ผู้บริโภคลด สูงมากกว่า ซึ่งอัตราภาษีในลักษณะนี้ เราเรียกว่า เป็นอัตราก้าวหน้า
การบริโภคลง และเมื่อผู้ประกอบการ
ขายของได้น้อยลงก็ต้องลดการผลิต (progressive income tax) หรือก็คือ การเก็บภาษีในอัตราที่เพิ่มขึ้น
และการลงทุน ทำ�ให้มีคนว่างงาน ตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น อาทิ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
เพิ่มขึ้นในที่สุด
การผสมผสานเป้าหมายของเศรษฐกิจมหภาค
ดูเหมือนว่าเป้าหมายของเศรษฐกิจมหภาคที่กล่าวมานี้บางอย่างอาจ
จะมีความขัดแย้งกัน เช่น หากต้องการให้เศรษฐกิจโต โดยการกระตุ้นการ
บริโภค ก็อาจจะนำ�ไปสู่ปัญหาเงินเฟ้อตามมา แต่แท้จริงแล้วถ้าเราสามารถ
ผสมผสานเป้าหมายกันให้ดี เช่น ให้เศรษฐกิจโต ขณะทีย่ อมให้มเี งินเฟ้อบ้าง
เล็กน้อย ก็อาจเป็นผลดี จูงใจให้มีการลงทุนขยายการผลิต เกิดการจ้างงาน
ช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัว ก็จะทำ�ให้ประชาชนกินดีอยู่ดี แต่ถ้าเรามุ่งที่
เป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่งมากจนเกินไป ก็จะทำ�ให้เศรษฐกิจเสียสมดุล เช่น
หากต้องการให้เศรษฐกิจโตมาก ๆ อย่างรวดเร็วอาจเป็นผลดีในระยะสั้น
แต่เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นกลับจะเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตในระยะยาวได้
122 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
กล่องความรู้ที่ 8
ทำ�ไมต้องแบ่งแยกบทบาทหน้าที่รัฐบาลกับธนาคารกลาง
หากจะว่าไปแล้ว ระบบเศรษฐกิจสามารถดำ�รงอยู่ได้ด้วยตัวเอง เพราะเป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยนของคนในสังคม ซึ่งแต่ละคนก็
ทราบดีวา่ ตนเองต้องการอะไร แต่ดว้ ยความไม่เท่าเทียมกันของทรัพย์สนิ ความรูค้ วามสามารถ จึงเป็นธรรมดาทีผ่ ทู้ มี่ ที รัพย์สนิ มากกว่า
หรือมีความรู้ความสามารถสูงกว่าก็จะเป็นผู้ได้เปรียบ บางครั้งผู้ผลิตก็อาจจะกำ�หนดราคาสินค้าและบริการแพงเกินไปจนผู้มี
รายได้น้อยหมดโอกาสในการบริโภคของเหล่านั้น หรือบางครั้งเองผู้ผลิตก็อาจไม่ยินดีที่จะผลิตของสิ่งนั้น หรืออาจจะผลิตแต่น้อย
เกินไปสำ�หรับความต้องการของผู้บริโภค จึงต้องมีภาครัฐบาลเข้ามาช่วยจัดการ โดยผ่านการใช้จ่ายของภาครัฐบาล ซึ่งหากรัฐบาล
มีเงินมาก ไม่วา่ จะมาจากรายได้หรือเงินกู้ ก็ยอ่ มใช้จา่ ยได้มาก แต่นนั่ ก็จะมีผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เพราะการใช้จา่ ย
ที่มากเกินไป ก็จะนำ�มาซึ่งเงินเฟ้อที่เร่งขึ้น และยิ่งถ้าเงินที่ใช้จ่ายนั้นมาจากเงินกู้ด้วยแล้ว ก็ย่อมกระทบกับวินัยการคลังและ
ความน่าเชื่อถือของประเทศ ซึ่งอาจนำ�ไปสู่ปัญหาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจตามมา
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 123
กล่องความรู้ที่ 8 (ต่อ)
ทำ�ไมต้องแบ่งแยกบทบาทหน้าที่รัฐบาลกับธนาคารกลาง
รัฐบาลเยอรมนีในสมัยนั้นไม่อยากเก็บภาษีจากประชาชนที่ต้องเดือดร้อนจากภัยสงคราม จึงสั่งให้ธนาคารกลางพิมพ์ธนบัตรออกมา
ใช้หนี้แทน แม้จะได้ผล ปัญหาหนี้ของรัฐบาลหมดไป แต่มีปัญหาใหม่ตามมาแทน คือ ธนบัตรที่พิมพ์ออกมาจำ�นวนมาก ๆ นั้น
กลับด้อยค่าลงทันที เงินที่ประชาชนถืออยู่ในมือมีค่าน้อยลง ไม่สามารถใช้ซื้อของได้เท่าเดิม จากนั้น รัฐบาลแก้ปัญหาโดยการขึ้น
ค่าแรงเพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ให้ประชาชนและลดจำ�นวนชั่วโมงทำ�งาน ด้วยหวังจะทำ�ให้ประชาชนมีความต้องการจับจ่ายใช้สอย
เพิ่มขึ้น โดยลืมไปว่า การลดชั่วโมงทำ�งานกลับทำ�ให้อุปทานของสินค้าและบริการมีน้อยลง จึงเกิดปัญหาว่าอยากซื้อของแต่ของไม่มี
จะให้ซื้อ ขณะเดียวกันเงินเฟ้อก็พุ่งสูงขึ้นจนควบคุมไม่ได้ เกิดภาวะที่เรียกว่า ภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง (hyper inflation) ว่ากันว่า
ตามร้านอาหาร พนักงานต้องคอยบอกราคาใหม่ทุก ๆ 30 นาทีเลยทีเดียว ราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้นเท่าตัวในทุก ๆ 2 วัน หรือ
เท่ากับว่าอัตราเงินเฟ้ออยูท่ ี่ 3,250,000% ต่อเดือน เวลาจะซือ้ ของแต่ละครัง้ ต้องขนเงินใส่รถเข็น และเมือ่ คนได้รบั ค่าแรงมาแล้วก็ตอ้ ง
รีบไปซื้อของก่อนที่ราคาจะขึ้นไปอีก ทำ�ให้แม้แต่อาหารที่จะซื้อก็ลดน้อยลงจนเหลือเพียงแค่ขนมปังและมันฝรั่งเพียงเท่านั้น
เงินมาร์กของเยอรมนีในขณะนั้นก็เสมือนเป็นเพียงแค่เงินกระดาษที่แทบจะไม่มีค่าอะไรเลย เหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้ก็เกิดขึ้น
ซ้ำ�รอยในประเทศซิมบับเวในปี 2548 และประเทศเวเนซุเอลาในปี 2561 (อ่านเพิ่มเติมในบทนี้ หัวข้อ “เสถียรภาพด้านราคา”)
เราเห็นแล้วว่า ธนาคารกลางในฐานะผู้พิมพ์เงินมีบทบาทสำ�คัญมากต่อการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ สามารถเป็นได้ทั้งผู้สร้าง
ภูมิคุ้มกันที่ดี แต่หากขาดวินัย ก็สามารถกลายเป็นผู้ทำ�ลายภูมิคุ้มกันได้ง่ายเช่นกัน
124 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
กล่องความรู้ที่ 8 (ต่อ)
ทำ�ไมต้องแบ่งแยกบทบาทหน้าที่รัฐบาลกับธนาคารกลาง
การดำ�เนินนโยบายของธนาคารกลางจึงต้องมีกรอบ กติกา และกฎหมายกำ�หนดบทบาทอำ�นาจหน้าที่ชัดเจน และควรมีอิสระในการ
ดำ�เนินนโยบาย ซึ่งสิ่งที่สังเกตได้ง่าย ๆ และสะท้อนความเป็นอิสระของธนาคารกลาง ก็คือ อัตราการเปลี่ยนผู้ว่าการธนาคารกลาง
(turnover rate for central bank’s governorship) ซึ่งถ้าอัตราการเปลี่ยนผู้ว่าธนาคารกลางยิ่งสูงก็แสดงว่ามีการแทรกแซงทาง
การเมืองมาก ตัวอย่างเช่น ประเทศอาร์เจนตินาในช่วง 80 ปีที่ผ่านมานี้ มีการเปลี่ยนผู้ว่าการธนาคารกลางไปแล้วถึง 56 คน
เฉลี่ยอยู่ในตำ�แหน่งแค่คนละประมาณ 1 ปีครึ่งเท่านั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่การดำ�เนินนโยบายการเงินของอาร์เจนตินาค่อนข้าง
จะติด ๆ ขัด ๆ และไม่บรรลุเป้าหมายที่วางไว้มากนัก
คุณเรียนรู้สิ่งเหล่านี้แล้วหรือยัง
• สามารถบอกถึงเป้าหมายของเศรษฐกิจมหภาคได้
• อธิบายว่าเหตุใดจึงกำ�หนดเป้าหมายของเศรษฐกิจมหภาคเช่นนั้น
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 125
บทที่ 9
การดำ�เนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาค
(เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย)
Fiscal Policy
International
Monetary Policy
Monetary Policy
บทนี้เป็นการทำ�ความเข้าใจเกี่ยวกับการดำ�เนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคทั้งนโยบายการคลัง นโยบาย
การเงิน และการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของเศรษฐกิจโดยรวมที่วางไว้ ซึ่งนโยบาย
การคลังสามารถกระตุน้ อุปสงค์ ได้โดยตรงจึงมักใช้กระตุน้ เศรษฐกิจในช่วงซบเซา แต่อาจมีผลต่อเสถียรภาพ
เศรษฐกิจได้หากรัฐบาลไม่รักษาวินัยทางการคลัง ขณะที่นโยบายการเงินจะเน้นดูแลเสถียรภาพด้านราคา
เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และขัดขวางการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว
สำ�หรับการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนก็จะเคลื่อนไหวขึ้นลงตามกลไกตลาด การแทรกแซงทำ�ได้เท่าที่จำ�เป็น
และต้องไม่ขัดกับการดำ�เนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ
126 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
จากบทก่อน เราทราบแล้วว่า เป้าหมายของเศรษฐกิจโดยรวม ก็คือ
Exam Tip ความกินดีอยู่ดีของประชาชน อย่างไรก็ตาม การที่จะบรรลุเป้าหมายการ
กินดีอยู่ดี โดยมุ่งหวังให้เศรษฐกิจเติบโตในอัตราสูง ๆ อย่างต่อเนื่องนั้น
ก็อาจจะก่อให้เกิดความเสี่ยงที่มากขึ้นได้ เปรียบเทียบเหมือนกับคุณกำ�ลัง
การเพิ่มปริมาณเงินในระบบ ขับรถ ถ้าคุณเหยียบคันเร่งเต็มที่ อยู่ ๆ เกิดฝนตกถนนลื่น เจอทางโค้ง
เศรษฐกิจจะทำ�ให้คนเอาเงินส่วนนี้ ลาดชัน หรือมีสิ่งกีดขวางอยู่ที่ถนน ถามว่าจะเกิดอะไรขึ้น คำ�ตอบก็คือ
ไปซื้อสินค้าและบริการ ทำ�ให้อุปสงค์ โอกาสเกิดอันตรายสูงที่จะเอาชีวิตไปเสี่ยง ทางที่ดีเราควรประคองรถด้วย
รวมในสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น การผ่อนคันเร่งบ้าง เหยียบเบรกบ้าง เพื่อชะลอให้รถไปช้า ๆ พอที่จะ
ถ้าอุปทานยังพอที่จะสามารถ บังคับได้ เศรษฐกิจก็เหมือนกัน เราก็ไม่ต้องการให้ร้อนแรงจนเกินไป นั่นคือ
ตอบสนองได้ อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น ต้องสร้างความสมดุลของระบบเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกเพื่อให้
ก็จะมีผลให้เศรษฐกิจขยายตัว เศรษฐกิจโตไปได้อย่างไม่สะดุดจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกที่เข้ามา
แต่หากระบบเศรษฐกิจอยู่ในระดับ กระทบ ซึ่งก็ต้องมีการผสมผสานของนโยบายการเงิน นโยบายการคลัง และ
ที่ใช้ทรัพยากรเต็มที่แล้ว อุปทาน การบริหารอัตราแลกเปลีย่ นให้เหมาะสมเพือ่ เอือ้ ให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตได้
ไม่สามารถตอบสนองอุปสงค์ที่ ตามศักยภาพและยัง่ ยืน นโยบายทัง้ 3 อย่างทีก่ ล่าวมานีใ้ นทางเศรษฐศาสตร์
เพิ่มขึ้นได้ ก็จะทำ�ให้เกิดเงินเฟ้อหรือ จะเรียกว่า “นโยบายเศรษฐกิจมหภาค”
มีผลต่อราคามากกว่าการขยายตัว
ของเศรษฐกิจ ทฤษฎีลูกโป่ง 3 สูบของ ดร.ป๋วย เป็นกรอบที่แสดงให้เห็นถึงการ
ผสมผสานของนโยบายเศรษฐกิจมหภาคทั้ง 3 อย่างเข้าด้วยกัน โดยให้ความ
สำ�คัญกับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ซึง่ จะต้องควบคุมปริมาณเงินทีห่ มุนเวียน
ในระบบเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับพอเหมาะพอควรกับปริมาณผลผลิตที่ระบบ
เศรษฐกิจผลิตได้ หากปริมาณเงินที่หมุนเวียนมีน้อยเกินไป ย่อมเกิดปัญหา
การขาดสภาพคล่องและอาจตามมาด้วยปัญหาเงินฝืด แต่ถ้าหากปริมาณ
เงินเพิ่มขึ้นมากเกินไปย่อมสร้างแรงกดดันให้เกิดภาวะเงินเฟ้อได้
ดร.ป๋วย ได้อุปมาอุปไมยปริมาณเงินที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
เสมือนหนึง่ ลูกโป่ง ในยามทีร่ ะบบเศรษฐกิจมีปริมาณเงินเพิม่ ขึน้ เปรียบประดุจ
ลูกโป่งพองลม ในยามที่ปริมาณเงินลดลงเปรียบประดุจลูกโป่งแฟบลม
การกำ � กั บ ปริ ม าณเงิ น ที่ ห มุ น เวี ย นในระบบเศรษฐกิ จ ก็ เ ช่ น เดี ย วกั บ
การกำ�กับปริมาณลมในลูกโป่ง โดยที่ช่องทางที่กระทบต่อปริมาณเงิน
ในระบบเศรษฐกิจมีอยู่ 3 ช่องทาง เสมือนหนึ่งว่าลูกโป่งมี 3 ลูกสูบ
อันประกอบด้วย (1) ลูกสูบการคลัง (การเก็บภาษีและการใช้จา่ ยของรัฐบาล)
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 127
(2) ลูกสูบการเงินภายในประเทศ (การขยายหรือลดสินเชื่อของระบบสถาบันการเงิน) และ (3) ลูกสูบการเงิน
ระหว่างประเทศ (การเคลื่อนย้ายเงินเข้าและออกระหว่างประเทศ) หัวใจของการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาค
อยู่ที่การกำ�กับลูกสูบทั้งสามนี้ หากส่วนใดส่วนหนึ่งทำ�ให้ปริมาณเงินในระบบมากเกินไป ส่วนที่เหลือก็ต้องทำ�หน้าที่
ดูดเงินออกจากระบบ มิฉะนั้น ก็จะนำ�ไปสู่เงินเฟ้อและเป็นอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมได้ และหาก
ปริมาณเงินในระบบน้อยเกินไป ส่วนที่เหลือก็ต้องทำ�หน้าที่เพิ่มเงินเข้าสู่ระบบเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาสภาพคล่อง
และปัญหาเงินฝืดตามมา ซึง่ ก็จะเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจโดยรวมเช่นกัน ดังนัน้ จะเห็นว่า นโยบายเศรษฐกิจมหภาค
ทั้ง 3 อย่างไม่สามารถแยกออกจากกันได้เลย แล้วนโยบายเศรษฐกิจมหภาคทั้ง 3 อย่าง ทำ�งานกันอย่างไร
ทฤษฎีลูกโป่ง 3 สูบ
ของ ดร.ป๋วย
การเงิน
ภายในประเทศ
ขยายเครดิต สูบเขา
หดเครดิต สูบออก
การเงิน
การคลัง ระหวางประเทศ
รายจาย สูบเขา ชำระเงินเขาประเทศ สูบเขา
รายรับ สูบออก ชำระเงินออก สูบออก
128 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
นโยบายการคลัง
เราก็ทราบกันอยู่แล้วว่าเครื่องมือของรัฐบาลในการดำ�เนินนโยบาย
การคลังมีหลัก ๆ อยู่ 2 อย่าง คือ การใช้จ่าย (รายจ่าย) กับการเก็บภาษี
(รายได้)
ถ้าต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็จะใช้นโยบายการคลังเพื่อเพิ่มปริมาณ
เงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ โดยผ่านการใช้จ่ายของรัฐบาลอาจออกมา
ในรูปของการซื้อสินค้าและบริการ หรือเงินลงทุนต่าง ๆ ของภาครัฐ
ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการเพิ่มการใช้จ่ายโดยรวม ทำ�ให้มีการผลิตสินค้า
และบริการมากขึ้น และ/หรือ ผ่านการลดภาษีให้ประชาชนมีเงินเหลือไว้
ใช้จ่ายมากขึ้น รวมถึงการใช้จ่ายในลักษณะของเงินโอน (โอนเงินให้เปล่า ๆ)
สู่มือประชาชน อาทิ เบี้ยผู้สูงอายุ เงินช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย นโยบายช้อป
ช่วยชาติ ชิมช้อปใช้ ก็มีผลทางอ้อมทำ�ให้การบริโภคของประชาชนเพิ่มขึ้น
ซึง่ การกระตุน้ ให้เกิดการใช้จา่ ยนีจ้ ะส่งผลให้การผลิตและการจ้างงานเพิม่ ขึน้
ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น นั่นก็คือ เศรษฐกิจขยายตัว เราเรียกนโยบาย
การคลังแบบนีว้ า ่ “นโยบายการคลังแบบขยายตัว” หรือ “นโยบายงบประมาณ
แบบขาดดุล” (รายจ่ายมากกว่ารายได้) นั่นเอง
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 129
กล่องความรู้ที่ 9
ใครคือผู้ชี้ทิศทางแนวนโยบายการคลัง ?
130 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
ประสิทธิผลของนโยบายการคลัง
2021 แม้นโยบายการคลังจะถูกกำ�หนดจาก
รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐในด้านเศรษฐกิจ
2020
2019
แต่จะต้องผ่านการพิจารณาของรัฐสภาเพื่อ
2018
2017
ออกเป็นกฎหมาย จึงทำ�ให้การดำ�เนินนโยบาย
การคลังไม่สามารถทำ�ได้ทันที แต่นโยบาย
การคลังมีข้อดีตรงที่ว่า นโยบายการคลังโดย
Stage 1 Stage 2 Stage 3 Stage 4 Stage 5 การใช้จ่ายสามารถกระตุ้นอุปสงค์ได้โดยตรง
โดยรัฐบาลใช้เงินเข้าไปซื้อสินค้าและบริการ
ในตลาด ส่งผลให้การผลิตและการจ้างงานเพิม่ ขึน้ นโยบายการคลังจึงมักจะ
ใช้ในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซาที่คนไม่ค่อยใช้จ่ายเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
แต่ก็อาจมีผลกระตุ้นเศรษฐกิจเพียงระยะสั้น ๆ หากการดำ�เนินนโยบาย
การคลังไม่ได้สร้างความมั่นใจให้ภาคเอกชนอย่างเพียงพอว่าเศรษฐกิจจะโต
ต่อเนื่องไป หรือขยายตัวอย่างยั่งยืน
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 131
อย่างไรก็ดี นโยบายการคลังอาจมีผลกระทบต่อเสถียรภาพของ รู ไหม
เศรษฐกิจได้ด้วยเช่นกัน หากรัฐบาลไม่รักษาวินัยทางการคลัง ซึ่งก็คงไม่
แตกต่างไปจากวินัยการใช้จ่ายของครัวเรือนที่ต้องพยายามไม่ใช้จ่ายเกินตัว วา…?
หรือก็คือ ต้องดูแลให้รายจ่ายสมดุลกับขีดความสามารถในการหารายได้
นั่นเอง ถ้าจำ�เป็นต้องก่อหนี้บ้าง การใช้จ่ายนั้นก็ต้องมีผลตอบแทนที่คุ้มค่า ปี 2554 บางประเทศในยุโรป แม้แต่
เมื่อเทียบกับต้นทุนการกู้ยืมที่เสียไป นั่นก็คือ ควรเป็นการกู้มาลงทุน ไม่ใช่กู้ ยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาเอง
ก็ประสบปัญหาวินัยการคลังจากการ
เพื่อมาบริโภค หากลองนึกถึงบริษัทสักแห่งหนึ่ง หากต้องกู้เงินมาเพื่อใช้จ่าย ใช้จ่ายเกินตัว ทำ�ให้หนี้สูง ต่างประเทศ
ประจำ�วันไม่วา่ จะเป็นค่าน้�ำ ค่าไฟ เงินเดือนค่าจ้าง บริษทั นัน้ จะอยูไ่ ด้อย่างไร ไม่เชื่อมั่นจนเกือบต้องพักชำ�ระหนี้
ผู้ให้กู้ก็คงต้องคิดดอกเบี้ยแพงเพราะเป็นการให้กู้กับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง หรือเบี้ยวหนี้ ส่งผลต่อความเชื่อมั่น
ทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและ
ซึง่ อาจจะเป็นหนีส้ ญู ได้ ดอกเบีย้ ทีค่ ดิ จึงต้องชดเชยกับความเสีย่ งทีม่ ที งั้ หมด ยุโรป และส่งผลลามไปถึงเศรษฐกิจ
ทำ�ให้ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น หรืออาจถึงขั้นไม่มีใครกล้าให้กู้เลยก็ได้ และการเงินโลก
นโยบายการเงิน
จากบทก่อน เราทราบแล้วว่า การเกิดภาวะเงินเฟ้อมีผลเสียต่อระบบ
เศรษฐกิจอย่างไร นโยบายการเงินของทุกประเทศทั่วโลกจึงมีเป้าหมายหนึ่ง
ที่สำ�คัญ คือ การดูแลเสถียรภาพด้านราคา เพราะเสถียรภาพด้านราคาหรือ เสริมความรู้
อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำ�จะช่วยให้ภาระค่าครองชีพของประชาชนไม่เพิ่มขึ้นมาก
วิธีการของการดำ�เนินนโยบายการเงิน
อย่างรวดเร็ว ต้นทุนการผลิตของผู้ผลิตไม่สูงนัก ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความ ที่ธนาคารกลางของแต่ละประเทศใช้เพื่อ
สามารถในการผลิตและการลงทุนของผู้ประกอบการ เกิดการผลิตและ ควบคุมดูแลระดับราคานั้นมีหลายรูปแบบ
ได้แก่
การจ้างงานในระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในระยะยาว เศรษฐกิจขยายตัว 1. การตั้งเป้าหมายที่อัตราแลกเปลี่ยน
แม้ธนาคารกลางจะมีเป้าหมายของนโยบายการเงินที่เหมือนกัน แต่ในทาง (exchange rate targeting)
ปฏิบัติแล้ว วิธีการดำ�เนินนโยบายการเงินเพื่อให้บรรลุเป้าหมายมีหลายแบบ 2. การตั้งเป้าหมายที่ปริมาณเงิน
(monetary targeting)
ซึ่งได้พัฒนามาเรื่อย ๆ จนในปัจจุบันหลายประเทศหันมาใช้การดำ�เนิน 3. การตั้งเป้าหมายเงินเฟ้อ (inflation
นโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุน่ (flexible inflation targeting)
targeting) ซึ่งประเทศไทยก็ได้เปลี่ยนมาใช้กรอบนโยบายนี้มาตั้งแต่ปี 4) ไม่ได้ใช้ตัวใดตัวหนึ่งเป็นหลัก
อย่างชัดเจน แต่จะปรับเปลี่ยน
2543 การดำ�เนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อมีข้อดี คือ แนวนโยบายการเงินไปตาม
มีความชัดเจน (clarity) เพราะมีการประกาศเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อให้ สถานการณ์ หรือเรียกว่า
สาธารณชนทราบ เป็นตัวเลขที่ชัดเจนช่วยให้ประชาชนสามารถคาดการณ์ just-do-it approach
เงินเฟ้อในอนาคต และมีกระบวนการทำ�นโยบายที่โปร่งใส (transparency)
เพราะมีคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เป็นผู้พิจารณาและกำ�หนด
132 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย พร้อมทั้งสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจเหตุผลของการ
ขึ้นลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายแต่ละครั้ง ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเงิน
จะต้องรับผิดชอบ (accountability) ในการดำ�เนินนโยบายการเงินเพื่อให้
อัตราเงินเฟ้อในอนาคตเป็นไปตามที่ประกาศไว้ ซึ่งประชาชนสามารถ
ตรวจสอบได้ ทั้งหมดนี้จะทำ�ให้การดำ�เนินนโยบายการเงินมีความน่าเชื่อถือ
(creditability) ซึ่งความน่าเชื่อถือนี้เองจะเป็นหัวใจสำ�คัญที่จะทำ�ให้การ
ดำ�เนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อประสบผลสำ�เร็จ
นอกจากนี้ การดำ�เนินนโยบายการเงินตามกรอบนโยบายนีย้ งั มีความยืดหยุน่
(flexibility) สามารถใช้เครื่องมือผสมผสานได้ทั้งการส่งสัญญาณผ่าน
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย และมาตรการกำ�กับดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน
เพื่อสามารถให้น้ำ�หนักในการดูแลเสถียรภาพราคา เสถียรภาพเศรษฐกิจ
และเสถียรภาพระบบการเงินให้เหมาะสมในแต่ละสภาวการณ์ได้
การดำ�เนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบ
เป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น
(flexible inflation targeting)
เมื่อเรากล่าวว่า แบงก์ชาติดำ�เนินนโยบายการเงินนั้น หมายถึง
การปรับขึ้น คง หรือลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายโดยคณะกรรมการนโยบาย
การเงิ น (กนง.) เช่ น ปรั บ ขึ้ น อั ต ราดอกเบี้ ย นโยบายร้ อ ยละ 0.25
จากร้อยละ 1.75 เป็นร้อยละ 2.00 ต่อปี ซึ่งเมื่อประกาศแล้ว แบงก์ชาติ
ก็จะดำ�เนินการให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับตัวเข้าสู่อัตราที่กำ�หนดไว้
โดยอาศัยเครื่องมือต่าง ๆ ที่แบงก์ชาติมี
เสริมความรู้
การปรับขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายก็เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในเป้าหมายที่กำ�หนดไว้ โดยเป้าหมายเงินเฟ้อที่ใช้
อยู่ในปัจจุบัน คือ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ซึ่งก็คือ อัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการที่มีความจำ�เป็นในการดำ�รงชีวิต
ประจำ�วันที่ซื้อขายกันในตลาด สอดคล้องกับค่าครองชีพของประชาชน จึงง่ายต่อการสื่อสารและช่วยให้สาธารณชนคาดการณ์
เงินเฟ้อได้ดี นอกจากนี้ เป้าหมายดังกล่าว ยังเป็นเป้าหมายนโยบายการเงินในระยะปานกลางและมีความยืดหยุ่นมากขึ้นด้วย
หมายความว่า การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในวันนี้ มุ่งควบคุมอัตราเงินเฟ้อในช่วงเวลาหลายปีข้างหน้าเพราะใช้เวลาส่งผ่าน
ผลไปยังภาคเศรษฐกิจจริง จึงไม่ยึดติดว่า นโยบายการเงินต้องดูแลเฉพาะเงินเฟ้อตลอดเวลา เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้อัตรา
ดอกเบี้ยนโยบายสามารถปรับขึ้นหรือลงเพื่อดูแลการขยายตัวของเศรษฐกิจและดูแลเสถียรภาพระบบการเงินควบคู่กันไปได้
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 133
การดำ�เนินนโยบายการเงิน
มี 2 แบบ คือ Exam Tip
1. นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย
หากในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา ไม่มีแรงกดดันเงินเฟ้อ เนื่องจาก แม้ว่านโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย
ผู้คนไม่ค่อยมีการจับจ่ายใช้สอย ส่งผลให้การผลิตสินค้าและบริการลดลง จะสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการ
หรือเลิกกิจการ เกิดปัญหาการว่างงาน ซึ่งก็จะส่งผลต่อเศรษฐกิจตามมา กระตุ้นเศรษฐกิจได้ แต่หากผู้ผลิต
เป็นลูกโซ่ เมื่อเป็นเช่นนี้ แบงก์ชาติก็จะใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ไม่สามารถผลิตสินค้าได้ทันกับ
โดยลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาเพื่อส่งสัญญาณไปยังอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ความต้องการ ราคาสินค้าก็จะ
และเงินฝากในตลาดให้เปลีย่ นแปลงไปในทิศทางเดียวกัน เมือ่ อัตราดอกเบีย้ สูงขึ้นแทน ซึ่งจะนำ�ไปสู่ปัญหา
เงินฝากลดลง ก็คือ ต้นทุนค่าเสียโอกาสของเงินลดลงด้วย (ดอกเบี้ยเงินฝาก เงินเฟ้อ และทำ�ให้เศรษฐกิจ
ก็คือ ต้นทุนของเงินจากการที่เราจะถือไว้เพื่อใช้จ่าย) คนก็อาจจะนำ�เงินไป กลับชะลอตัวลงได้ ในที่สุด
ใช้จา่ ยซือ้ สินค้าและบริการมากขึน้ ได้ ขณะเดียวกันการทีอ่ ัตราดอกเบีย้ เงินกู้
ลดลง คนก็อยากซื้อบ้าน ซื้อรถ รวมถึงการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมากขึ้น
ส่ ว นผู้ ผ ลิ ต ก็ อ าจจะขยายการผลิ ต มากขึ้ น เพราะความต้ อ งการบริ โ ภค
มีมากขึ้น และต้นทุนการกู้ยืมก็ถูกลงด้วย จะเห็นว่า เศรษฐกิจก็จะกลับมา
คึกคัก เนือ่ งจากการบริโภคและการลงทุนเพิม่ ขึน้ ซึง่ ก็จะทำ�ให้มกี ารผลิตและ
การจ้างงานมากขึ้นด้วย แต่ก็อาจจะทำ�ให้ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้นบ้าง
คำ�ถามชวนคิด...?
กลไกที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายส่งผ่านไปยังอัตราดอกเบี้ยในตลาด และมีผลกระทบต่อตัวแปรทางเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นการบริโภค การลงทุน
การจ้างงาน จนกระทั่งถึงระดับราคานั้น เราเรียกว่า กลไกการส่งผ่านนโยบายการเงิน ซึ่งการส่งผ่านช่องทางนี้เราเรียกว่า “ช่องทางอัตราดอกเบี้ย”
แต่คุณรู้หรือไม่ว่า จริง ๆ แล้ว ผลของอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังเดินทางไปสู่เศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ ผ่านช่องทางอื่น ๆ ได้อีก ลองคิดว่าจะมีช่องทาง
อะไรได้อีกบ้าง (คำ�ใบ้ : เฉลยอยู่ในหัวข้อ “กลไกการส่งผ่านนโยบายการเงิน”)
134 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
2. นโยบายการเงินแบบตึงตัว
รู ไหม ในทางกลับกัน หากเศรษฐกิจเติบโตอย่างร้อนแรง จนทำ�ให้ราคา
วา…? สินค้าและบริการโดยทั่วไปแพงขึ้นอย่างต่อเนื่องหรือเงินเฟ้อสูงขึ้น เนื่องจาก
ผู้คนแย่งกันซื้อสินค้า ผู้ผลิตแข่งกันขายสินค้าและขยายกิจการ และมีการ
กว้านซื้อวัตถุดิบ ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตและราคาสินค้าเพิ่มขึ้น เมื่อเป็น
การขึ้นดอกเบี้ย แม้จะกระทบต้นทุน เช่ น นี้ แบงก์ ช าติ ก็ จ ะใช้ น โยบายการเงิ น แบบตึ ง ตั ว โดยจะปรั บ ขึ้ น
ของผู้ผลิตให้สูงขึ้นบ้าง และอาจ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากในตลาด
เป็นการชะลอเศรษฐกิจ แต่ก็
เป็นเพียงผลในระยะสั้นเท่านั้น ปรับเพิ่มขึ้นด้วย เช่นเดียวกัน เมื่ออัตราดอกเบี้ยเงินฝากเพิ่มขึ้น คนก็อาจจะ
แต่ในระยะยาว ต้นทุนของผู้ผลิต นำ�เงินไปฝากธนาคาร การจับจ่ายซื้อสินค้าและบริการก็น้อยลง และเมื่อ
จะลดลง เพราะการขึ้นดอกเบี้ย อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มขึ้น ต้นทุนการกู้แพงขึ้น คนก็จะไม่อยากซื้อบ้าน
จะช่วยชะลอเงินเฟ้อ ส่งผลให้เกิด
การผลิตและการจ้างงาน เศรษฐกิจ ซื้อรถ รวมถึงการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตก็จะลดลง เมื่อการบริโภคน้อยลง
จะกลับมาเติบโต และต้นทุนการกู้แพงขึ้น ผู้ผลิตก็จะผลิตน้อยลง ไม่มีการขยายการผลิต
ในช่วงนี้ จะเห็นว่า เศรษฐกิจก็จะลดความร้อนแรงลง ราคาสินค้า โดยทั่วไป
จะเพิ่ ม ขึ้ น ช้ า ลง อั ต ราเงิ น เฟ้ อ จะลดลง และเศรษฐกิ จ กลั บ มาเติ บ โต
แบบค่อยเป็นค่อยไปในที่สุด
หากสมมติให้ระบบเศรษฐกิจไทยเปรียบเสมือนรถยนต์ โดยมีแบงก์ชาติ
คำ�ถามชวนคิด...? เป็นผูข้ บั แน่นอนว่าในขณะขับรถ ผูข้ บั จะต้องมองทัง้ กระจกหน้าและกระจก
หากสมมติให้ระบบเศรษฐกิจไทย มองหลัง โดยการมองไปข้างหน้าผ่านกระจกหน้ารถก็เพื่อดูเส้นทางและดูว่า
เปรียบเสมือนรถยนต์โดยมีแบงก์ชาติ
เป็นผู้ขับ และอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ระยะทางข้างหน้ามีอุปสรรคใด ๆ หรือไม่ ซึ่งถ้ามีอุปสรรค เช่น ฝนตก
เปรียบเสมือนคันเร่งและเบรกที่ใช้ควบคุม ถนนลื่น ผู้ขับก็จะผ่อนคันเร่งหรืออาจต้องแตะเบรกเพื่อชะลอความเร็ว
ความเร็วของรถให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
ถามว่าการมองกระจกหน้ารถเปรียบ
ของรถลง แต่หากระยะทางข้างหน้าไม่มีอุปสรรคและรถยังแล่นช้าอยู่ ผู้ขับก็
เสมือนวิธีการใดของการดำ�เนินนโยบาย สามารถเหยียบคันเร่งเพือ่ เพิม่ ความเร็วของรถขึน้ อีกได้ ดังนัน้ คุณสมบัตขิ อง
การเงิน ผู้ขับที่ดีต้องขับอย่างระมัดระวังและสามารถควบคุมความเร็วให้เสมอต้น
เสมอปลาย ไม่เร็วเกินไปจนอาจเสีย่ งทีจ่ ะเกิดอันตราย และต้องขับให้นมิ่ นวล
สำ�หรับผู้โดยสารและเป็นการถนอมรถด้วย ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยนโยบาย
จึงเปรียบเสมือนคันเร่งและเบรก และการมองไปข้างหลังผ่านกระจกมองหลัง
ของผู้ขับ ก็เปรียบเหมือนการพิจารณาภาวะเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 135
ในปัจจุบันที่ได้เกิดขึ้นแล้ว แต่เท่านั้นยังไม่พอ การดำ�เนินนโยบายการเงิน
ภายใต้กรอบเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่นยังต้องมองไปข้างหน้า
เพราะกว่าเบรกและคันเร่งจะส่งผ่านไปสูเ่ ครือ่ งยนต์เศรษฐกิจ และทำ�ให้เศรษฐกิจ
ชะลอหรือกลับมาคึกคัก ในความเป็นจริงต้องใช้เวลา การดำ�เนินนโยบาย คำ�ถามชวนคิด...?
การเงินจึ งต้ อ งคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อและแนวโน้ม เศรษฐกิจล่วงหน้า มีคนพูดว่า เงินเฟ้อที่เกิดจากต้นทุน
การผลิตที่สูงขึ้น เช่น ราคาน้ำ�มันเพิ่มขึ้น
กล่าวคือ หากธนาคารกลางคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจในระยะต่อไปมีแนวโน้ม แรงงานขาดแคลนทำ�ให้ค่าจ้างสูงขึ้น
ที่จะร้อนแรง แรงกดดันด้านเงินเฟ้อมีมาก แบงก์ชาติก็จะปรับขึ้นอัตรา เช่นนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการจับจ่ายใช้สอย
ดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสกัดการคาดการณ์เงินเฟ้อที่จะเร่งขึ้น ชะลอความ ที่ร้อนแรงเลย แต่เป็นเรื่องของต้นทุน
ของภาคการผลิตที่เพิ่มขึ้น กรณีเช่นนี้
ร้อนแรงของเศรษฐกิจ เป็นต้น แบงก์ชาติก็ ไม่ควรขึ้นดอกเบี้ย แนวคิด
แบบนี้ถือว่าถูกหรือผิดอย่างไร ?
แนวทางการดำ�เนินนโยบายการเงินของ
แบงก์ชาติจะยึดหลัก 3 ข้อ คงต้องตอบว่า ถ้าเงินเฟ้อเกิดจากต้นทุน
การผลิตสูงขึ้นเพียงชั่วคราว และผู้ผลิต
ต้องปรับราคาขึ้นตามต้นทุน อย่างไรก็ดี
หากผู้บริโภคไม่มีความต้องการ
(1) ต้ อ งสอดคล้ อ งกั บ เป้ า หมายการรั ก ษาเสถี ย รภาพด้ า นราคา ระดับราคาของสินค้าและบริการเหล่านั้น
(long-term price stability) และการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมี ก็จะไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก แบงก์ชาติก็ ไม่ควร
เสถียรภาพ เข้าไปทำ�อะไร แต่หากต้นทุนการผลิตสูงขึ้น
เรื่อย ๆ และส่งผ่านไปยังสินค้าอื่น ๆ
(2) ไม่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยให้มั่นใจว่า ในวงกว้าง เช่น ค่าขนส่ง ค่าอาหาร เป็นต้น
การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนมีการขยายตัวในเกณฑ์ดี และถ้าบวกกับมีความต้องการสินค้า
ต่อเนื่อง และบริการนั้น ๆ เข้ามาเสริม ก็จะทำ�ให้
ระดับราคาสูงขึ้น และมีการคาดการณ์ว่า
(3) ไม่ชา้ จนก่อให้เกิดปัญหาความไม่สมดุล เช่น การคงอัตราดอกเบีย้ ระดับราคาจะสูงต่อเนื่องไปอีก สุดท้ายแล้ว
ไว้ต่ำ�นาน ๆ อาจจะส่งเสริมให้มีการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงหรือ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมาก
การลงทุนในรูปแบบที่ไม่น่าจะก่อให้เกิดผลิตภาพการผลิตใน เมื่อนั้น แบงก์ชาติก็ควรเข้าไปดูแล โดย
ขึ้นดอกเบี้ย เพื่อควบคุมเงินเฟ้อและลด
ระยะยาวทั้งคอนโดมิเนียม ทองคำ� และโภคภัณฑ์อื่น ๆ ซึ่งอาจ การคาดการณ์เงินเฟ้อของประชาชน
จะสะสมจนเกิดภาวะเศรษฐกิจฟองสบูต่ ามมา ส่งผลต่อเสถียรภาพ เพื่อไม่ให้ปัญหาเงินเฟ้อรุนแรงขึ้นไปอีก
ของระบบเศรษฐกิจ
136 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
ช่องทางการส่งผ่านผลของนโยบายการเงิน และ
ประสิทธิผลของนโยบายการเงิน
เราทราบแล้วว่าเมื่อมีการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะส่งผล
ให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปด้วย ซึ่งอัตราดอกเบี้ย
INTEREST RATES ตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ จะมีผลต่อพฤติกรรมของประชาชนและนักธุรกิจ
ทำ�ให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นการผลิต การบริโภค การค้า และ
การลงทุนเพิ่มขึ้นหรือลดลง และส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและอัตรา
เงินเฟ้อในที่สุด เราเรียกขั้นตอนการส่งผลกระทบของนโยบายการเงิน
ต่อระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเริ่มตั้งแต่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจนไปถึงอัตราเงินเฟ้อ
่ กลไกการส่งผ่านนโยบายการเงิน ซึง่ มีชอ่ งทางหลักอยู่ 5 ช่องทาง ได้แก่
นีว้ า
1. ช่องทางอัตราดอกเบี้ย หากแบงก์ชาติดำ�เนินนโยบายการเงิน
แบบตึงตัว (ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย) เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ จะทำ�ให้
อัตราดอกเบี้ยในตลาดเพิ่มขึ้นตามไปด้วย อัตราดอกเบี้ยตลาดที่เพิ่มขึ้นนี้
จะทำ�ให้ต้นทุนการบริโภคและการลงทุนสูงขึ้น การบริโภคและการลงทุน
ก็จะน้อยลง การผลิตและการจ้างงานก็จะน้อยลง ช่วยชะลอความร้อนแรง
ของเศรษฐกิจ ราคาสินค้าโดยทั่วไปจะเพิ่มขึ้นช้าลง อัตราเงินเฟ้อจะลดลง
ซึ่งได้กล่าวไปแล้ว
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 137
3. ช่องทางมูลค่าสินทรัพย์ หรือก็คือ ช่องทางความมั่งคั่ง เมื่ออัตรา
ดอกเบี้ยนโยบายปรับสูงขึ้นและอัตราดอกเบี้ยเงินฝากก็ปรับสูงขึ้นตาม
ผู้ อ อมหรื อ นั ก ลงทุ น จะมี แ นวโน้ ม ต้ อ งการนำ � เงิ น ของตนมาฝากไว้ กั บ
ธนาคารพาณิชย์มากขึ้น โดยบางส่วนอาจถอนมาจากการลงทุนในสินทรัพย์ คำ�ถามชวนคิด...?
ประเภทอื่น เช่น หุ้น คอนโดมิเนียม และที่ดิน เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลให้ราคา ทำ�ไมเมื่อ กนง. มีการปรับเปลี่ยนอัตรา
ดอกเบี้ยนโยบายแล้ว จึงทำ�ให้อัตรา
ของสินทรัพย์เหล่านีด้ อ้ ยลงไป (ความต้องการลดลง ส่งผลให้ราคาลดลงด้วย) ดอกเบี้ยในตลาดมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลง
ประชาชนที่ถือสินทรัพย์เหล่านั้นอยู่จะรู้สึกมั่งคั่งน้อยกว่าเดิมและลดการ ตามไปในทิศทางเดียวกันด้วย
จับจ่ายใช้สอย
คำ�ตอบก็คือ เพราะเป็นที่ทราบกันดี
อยูแ่ ล้วว่า แบงก์ชาติมหี น้าทีใ่ นการพิมพ์เงิน
4. ช่องทางอัตราแลกเปลี่ยน ช่องทางนี้ค่อนข้างจะซับซ้อน คือ อัตรา จึงสามารถเพิ่มหรือลดอุปทานของเงิน
ในระบบได้ ดังนั้น เมื่อใดที่ กนง. ประกาศ
ดอกเบีย้ มีความสัมพันธ์เกีย่ วโยงกับอัตราผลตอบแทนในประเทศ ซึง่ จะส่งผล ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แบงก์ชาติ
ต่อการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ โดยอัตราดอกเบี้ยของไทยที่สูงขึ้น ก็พร้อมที่จะเพิ่มหรือลดสภาพคล่อง
เมือ่ เทียบกับต่างประเทศ ก็เป็นแรงจูงใจให้นกั ลงทุนต่างชาติน�ำ เงินมาลงทุน แบบไม่อั้น (อุปทานของเงิน) เพื่อให้อัตรา
ดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวตามอัตรา
ในประเทศไทยมากขึ้น ทำ�ให้มีการขายเงินตราต่างประเทศแลกเป็นเงินบาท ดอกเบี้ยนโยบายที่ กนง. ประกาศไว้
เพื่อมาลงทุนมากขึ้น เงินบาทก็จะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น และการที่เงินบาท โดยดำ�เนินการผ่านการปล่อยกู้ข้ามคืน
แข็งค่าก็จะทำ�ให้ต้นทุนการนำ�เข้าสินค้าวัตถุดิบ ตลอดจนสินค้าสำ�เร็จรูป ให้กับธนาคารพาณิชย์ (ไม่จำ�กัดปริมาณ
ตราบใดที่ธนาคารพาณิชย์มีหลักทรัพย์
ต่าง ๆ จากต่างประเทศเมื่อคิดเป็นเงินบาทก็จะถูกลง มีการนำ�เข้ามากขึ้น ชั้นดีมาวางเป็นหลักประกัน) หรือที่เรียกว่า
แต่ขณะเดียวกันการที่เงินบาทแข็งค่าก็จะทำ�ให้ราคาสินค้าส่งออกของเรา หน้าต่าง standing facility ลองคิดดูว่า
แพงขึ้นในสายตาของต่างชาติ เมื่อการส่งออกลดลง การนำ�เข้ามากขึ้น ถ้า กนง. ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นโยบาย แล้วธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง
เศรษฐกิจก็จะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง อัตราเงินเฟ้อก็จะลดลง จะขอกู้ที่อัตราดอกเบี้ยเท่าเดิม คงไม่มีใคร
ยอมให้กู้ที่อัตราดอกเบี้ยเท่าเดิมอีกต่อไป
5. ช่องทางการคาดการณ์ ผลของนโยบายการเงินผ่านช่องทางนี้ เพราะอย่างน้อยถ้าเอาไปให้แบงก์ชาติ
กู้ผ่านหน้าต่าง standing facility จะต้อง
มีความไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับความคิดของประชาชนส่วนใหญ่ว่า การดำ�เนิน ได้ผลตอบแทนมากกว่า การให้กู้ของ
นโยบายการเงินตามที่แบงก์ชาติประกาศจะมีผลต่อเศรษฐกิจอย่างไร แม้ว่า แบงก์ชาติข้างต้น จึงทำ�ให้อัตราดอกเบี้ย
ในตลาดมีแนวโน้มที่จะต้องปรับตาม
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ก็ไม่จำ�เป็นที่อัตรา แต่ทั้งนี้ก็อาจไม่เห็นการปรับอัตราดอกเบี้ย
เงินเฟ้อจะลดลง อาจเพิ่มขึ้นก็ได้ คุณคิดว่าจะเกิดขึ้นในกรณีไหน ของธนาคารพาณิชย์ในทันที เพราะการ
ปรับดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ขึ้น
อยู่กับหลายปัจจัยด้วยกันทั้งในเรื่อง
สภาพคล่องและโครงสร้างต้นทุนของ
ธนาคาร รวมถึงการแข่งขันระหว่าง
ธนาคาร
138 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
หากแบงก์ ช าติ เ ห็ น ว่ า เศรษฐกิ จ ร้ อ นแรงจนทำ � ให้ เ งิ น เฟ้ อ สู ง ขึ้ น
แบงก์ชาติจึงประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยใน
ตลาดเพิ่มตามไปด้วย แต่ถ้าประชาชนพากันเชื่อว่า แนวโน้มเศรษฐกิจ
ในอนาคตจะยังคงดี และมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ก็จะส่งผลให้ประชาชน
มีความเชื่อมั่นและจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นแม้อัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้นก็ตาม
“ นักธุรกิจเองก็ยังต้องการขยายกิจการเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้
ส่งผลให้การจ้างงานเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจคึกคัก ราคาสินค้าและบริการก็จะ
แพงขึ้น จนทำ�ให้แรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นไปอีกได้เช่นกัน
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 139
จากช่องทางการส่งผ่านทีว่ า่ มาข้างต้น จะเห็นว่า การปรับเปลีย่ นอัตราดอกเบีย้ นโยบายจะมีผลต่ออัตราเงินเฟ้อ
มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่สำ�คัญ ได้แก่ (1) การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยในตลาดตาม
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งธนาคารพาณิชย์ยังคงเป็นตัวกลางทาง
การเงินที่มีบทบาทมากที่สุด (2) พฤติกรรมการตอบสนองของประชาชนและนักธุรกิจต่ออัตราดอกเบี้ยในตลาด
ที่เปลี่ยนแปลงไป และ (3) การคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจของประชาชน
นอกจากนี้ การส่งผ่านผลของนโยบายการเงินยังค่อนข้างจะซับซ้อนและอาจจะใช้เวลานานกว่านโยบาย
การคลั ง ซึ่ ง ในแต่ ล ะช่ อ งทางก็ ใ ช้ ร ะยะเวลาไม่ เ ท่ า กั น โดยช่ อ งทางการคาดการณ์ จ ะมี ผ ลกระทบเร็ ว ที่ สุ ด
เพราะเมื่อแบงก์ชาติประกาศขึ้นดอกเบี้ย คนก็จะคาดการณ์เศรษฐกิจในอนาคตทันทีว่า จะดีขึ้นหรือแย่ลง และ
ตัดสินใจว่า เขาควรจะบริโภคและลงทุนมากน้อยแค่ไหน ซึ่งย่อมส่งผลต่อเศรษฐกิจในทันที ในขณะที่ช่องทางอื่น ๆ
เช่น ช่องทางอัตราดอกเบี้ยตลาดและช่องทางสินเชื่อต้องอาศัยระยะเวลาสักพักหนึ่งจึงจะเริ่มส่งผล เนื่องจากต้องรอ
ให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวก่อน โดยอัตราดอกเบี้ยตลาดอาจจะไม่สามารถปรับตัวตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ได้ทันที เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ�ระยะ 3 เดือน 6 เดือน หรือ 12 เดือน จะส่งผลต่อการออมเงินจริง ๆ
ก็ตอ้ งรอให้เงินฝากประจำ�ก้อนเดิมครบกำ�หนดแล้ว จึงจะได้รบั อัตราดอกเบีย้ ใหม่ เมือ่ ฝากเงินเข้าระบบอีกครัง้ เป็นต้น
แต่เราก็จะเห็นอัตราดอกเบี้ยในตลาดค่อย ๆ ปรับตัวไปในทิศทางเดียวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเมื่อเวลาผ่านไป
ดังนั้น ช่องทางอื่น ๆ จะมีผลต่อภาคเศรษฐกิจจริงช้ากว่า
140 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
เพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
แลวจะเกิดอะไรขึ้น ?
เมื่อแบงกชาติประกาศเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อชะลอความรอนแรงของเศรษฐกิจ
จะสงผลมาถึงประชาชนและภาคธุรกิจผาน 5 ชองทางดวยกัน
2 ชชองทางสนเชอ
2. องทางสินิ เชื่อื ((Credit
Credit Channel)
Channel))
5. ชองทางการคาดการณ
ชองทางการคาดการณ (Expectations Channel))
ถาภาคธุรกิจและประชาชน การบริโภคและการลงทุน กิจกรรมทางเศรษฐกิจ
คิดวาเศรษฐกิจยังคงดี เพิ่มขึ้น และเงินเฟอเพิ่มขึ้น
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 141
กล่องความรู้ที่ 10
การดำ�เนินนโยบายการเงินแบบพิเศษ (unconventional monetary policy)
ของประเทศเศรษฐกิจหลัก
เรารู้แล้วว่า ธนาคารกลางจะส่งสัญญาณผ่านอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นเครื่องมือในการดำ�เนินนโยบายการเงิน แล้วปล่อยให้กลไก
ตลาดเป็นตัวกำ�หนดให้ดอกเบี้ยตลาดปรับตาม หากต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจก็จะใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย โดยลดอัตรา
ดอกเบี้ยนโยบายลงมา อัตราดอกเบี้ยในตลาดมีแนวโน้มลดลงด้วย ทำ�ให้การบริโภคและการลงทุนเพิ่มขึ้น แต่ในช่วง global
financial crisis ปี 2551 ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางญี่ปุ่น ต่างใช้นโยบายการเงินและ
เครื่องมือปกติ โดยลดดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือศูนย์ ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำ�ที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ก็ยังไม่สามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจได้
อัตราการว่างงานเพิม่ สูงขึน้ สถาบันการเงินอ่อนแอ ไม่สามารถทำ�หน้าทีเ่ ป็นตัวกลางทางการเงิน ส่งผลต่อภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน
เครื่องมือที่ธนาคารกลางใช้ตามปกติถึงทางตัน จึงเป็นที่มาของการใช้นโยบายการเงินแบบพิเศษ หรือ unconventional monetary
policy ซึ่งวิธีการหนึ่งที่ใช้กันแพร่หลาย คือ การผ่อนคลายนโยบายการเงินเชิงปริมาณ (Quantitative Easing : QE) เพื่อช่วยประคอง
เศรษฐกิจและทำ�ให้ระบบการเงินทำ�งานได้เป็นปกติ
การใช้นโยบายการเงินและเครื่องมือการเงินแบบพิเศษนี้ต้องมั่นใจว่า เศรษฐกิจจะไม่กลับไปย่ำ�แย่จนต้องกลับมาแก้ปัญหาอีกรอบ
เพราะการดำ�เนินนโยบายจะมีขีดจำ�กัด (policy space) ที่จะน้อยลง อีกทั้งการดำ�เนินนโยบายลักษณะนี้เป็นสิ่งที่ธนาคารกลาง
ไม่เคยทำ�มาก่อนในอดีต หากธนาคารกลางไม่สามารถสร้างความเชือ่ มัน่ ว่า จะสามารถยุตแิ นวนโยบายเช่นนี้ และกลับมาใช้นโยบาย
การเงินแบบปกติในเวลาที่เหมาะสม ก็จะกระทบต่อความน่าเชื่อถือในการดำ�เนินนโยบาย ซึ่งเป็นหัวใจของธนาคารกลาง และหาก
ประชาชนไม่เชื่อถือนโยบายของธนาคารกลาง ความเชื่อมั่นในการถือเงินของประชาชนจะหมดไป เงินเฟ้อก็จะไร้เสถียรภาพเพราะ
ประชาชนจะไม่เชื่อถือเป้าหมายเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางประกาศอีกต่อไป การคาดการณ์ต้นทุนและเงินเฟ้อในอนาคตของผู้ผลิตและ
นักลงทุนจะทำ�ได้ยาก ส่งผลต่อการลงทุนและศักยภาพในการผลิตของประเทศ ซึ่งจะกระทบการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของ
ประเทศในระยะยาว เราได้เรียนเรื่อง no free lunch มาแล้วคงทราบว่า การดำ�เนินนโยบายทุกอย่างต้องมีต้นทุนเสมอ การทำ� QE
ของเหล่าธนาคารกลางครั้งนี้ จึงต้องประเมินผลได้เสียให้รอบคอบเพราะการกระตุ้นเศรษฐกิจถึงแม้จะสำ�เร็จในระยะสั้น แต่ก็ต้อง
แลกมาด้วยความน่าเชื่อถือในการดำ�เนินนโยบายในระยะยาว
142 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
ทั้งนี้ การดำ�เนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ
แบบยืดหยุ่น (flexible inflation targeting) แบงก์ชาติไม่ได้ดูเพียง
แค่เฉพาะเสถียรภาพด้านราคาเท่านั้น แต่ได้พิจารณาเสถียรภาพของ
ระบบการเงินด้วย ซึ่งมีความสำ�คัญมากขึ้นหลังเกิดวิกฤติการเงินโลก
ในช่ ว งปี 2551 เพื่ อ ประเมิ น ความเปราะบางหรื อ ความเสี่ ย งในระบบ
การเงินที่อาจสร้างความไม่สมดุลในระบบเศรษฐกิจ (อ่านเพิ่มเติมได้จาก
บทความในกรอบ “การกำ�หนดกรอบและเป้าหมายนโยบายการเงินที่
เหมาะสมของไทยท่ามกลางความท้าทายจากบริบททางเศรษฐกิจและ
การเงินที่เปลี่ยนแปลงไป” ในรายงานนโยบายการเงิน ฉบับเดือนธันวาคม
2561)
จากความเชื่อมโยงระหว่างภาคเศรษฐกิจที่สูงนั้นอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมได้
หากภาคใดภาคหนึ่ ง เกิ ด ปั ญ หาและส่ ง ผลกระทบต่ อ กั น เป็ น ลู ก โซ่ ดั ง จะเห็ น ได้ ชั ด จากวิ ก ฤติ เ ศรษฐกิ จ โลก
ปี 2551 ซึ่งมีจุดเริ่มต้นที่ภาคสถาบันการเงินในสหรัฐฯ แต่ท้ายสุดก็ลุกลามไปถึงตลาดเงิน ตลาดทุน รวมไปถึงปัญหา
ในภาคการคลัง (ใช้จ่ายเกินตัวเพื่อมาพยุงเศรษฐกิจ) จนส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและเศรษฐกิจโดยรวม ดังนั้น
การเฝ้าดูแลความเสี่ยงแต่ละภาคส่วนจึงมีความจำ�เป็นอย่างยิ่ง เพื่อไม่ให้ความเสี่ยงก่อตัวและสะสมจนเกิดปัญหา
ที่รนุ แรงและลุกลามไปยังภาคส่วนอืน่ ๆ ซึง่ จะทำ�ให้การปรับตัวในภายหลังอาจรุนแรงและมีตน้ ทุนสูงกว่าการจัดการ
ตั้งแต่เนิ่น ๆ การประเมินความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินจึงต้องมองไปข้างหน้า (forward looking) เพื่อให้
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 143
เท่าทันพัฒนาการและความเชื่อมโยงของความเสี่ยงใหม่ ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในรูปแบบที่หลากหลายและคาดเดาได้ยาก
รวมทั้งอาจทวีความรุนแรงขึ้น อาทิ ความเสี่ยงเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล นวัตกรรมใหม่ ๆ ลักษณะนี้ ยังมีเข้ามา
อีกมากภายใต้สภาวะแวดล้อมของโลกที่กำ�ลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทางการและประชาชนจึงต้องติดตาม
และประเมินความเสี่ยงต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดเพื่อให้รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงและเตรียมตัวรองรับ
กล่องความรู้ที่ 11
กระบวนการทำ�นโยบายการเงินของแบงก์ชาติในปัจจุบัน
144 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
กล่องความรู้ที่ 11 (ต่อ)
กระบวนการทำ�นโยบายการเงินของแบงก์ชาติในปัจจุบัน
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 145
กล่องความรู้ที่ 11 (ต่อ)
กระบวนการทำ�นโยบายการเงินของแบงก์ชาติในปัจจุบัน
กิจกรรมทดสอบความเข้าใจ
หากตอนนี้ เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่อง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นตามต้นทุนการผลิต
และความต้องการใช้จ่ายในประเทศยังขยายตัวได้ดี รวมทั้งการดำ�เนินการตามการใช้จ่ายของรัฐบาล
ยิ่ ง เพิ่ ม แรงกดดั น ด้ า นราคา คุ ณ คิ ด ว่ า ในสภาวการณ์ เ ช่ น นี้ นโยบายการเงิ น และนโยบายการคลั ง
ที่เหมาะสมควรเป็นเช่นไร
146 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
การบริหารอัตราแลกเปลี่ยน
การดำ�เนินนโยบายการเงินของแบงก์ชาติภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุน่ เช่นในปัจจุบนั จะดำ�เนินการ
ควบคู่ไปกับระบบอัตราแลกเปลี่ยนในลักษณะลอยตัวแบบมีการจัดการ (managed float) ซึ่งหมายความว่า
อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ (เช่น 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ) จะเป็นไปตามกลไกตลาด นั่นคือ
อัตราแลกเปลีย่ นในแต่ละวันจะไม่เท่ากัน ขึน้ อยูก่ บั ความต้องการซือ้ ขายเงินบาทและเงินตราต่างประเทศของคนไทย
และคนต่างชาติ (อุปสงค์และอุปทานของเงินบาทเทียบกับเงินตราต่างประเทศ) หากมีความต้องการซื้อเงินบาท
มากกว่าขาย เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินตราต่างประเทศ (มีราคาแพงขึ้น) ในทางกลับกัน หากมีความ
ต้องการขายเงินบาทมากกว่าซือ้ เงินบาทจะอ่อนค่าลงเมือ่ เทียบกับเงินตราต่างประเทศ (มีราคาถูกลง) ตลาดซือ้ ขาย
เงินตราต่างประเทศมีขนาดที่ใหญ่มาก เพราะมีผ้ซู ้อื ขายจากทั่วโลก ดังนั้น จะเห็นว่าแบงก์ชาติไม่สามารถกำ�หนด
ค่าเงินบาทให้อยู่ที่ระดับใดระดับหนึ่งได้ ทำ�ได้เพียงเข้าไปแทรกแซง โดยซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศเพื่อลด
ความผันผวนในบางช่วงที่ค่าเงินบาทมีความผันผวนมาก โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวจากเงินทุนไหลเข้าออกเพื่อ
เก็งกำ�ไร ซึ่งอาจทำ�ให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าหรือแข็งค่าอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ก็เพื่อให้ภาคเอกชนมีเวลาในการปรับตัว
เสริมความรู้
แม้ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ จะทำ�ให้ความสามารถในการส่งออกของไทยแย่ลง เนื่องจากราคาสินค้า
ของไทยที่อยู่ในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ จะแพงขึ้น แต่จริง ๆ แล้วถ้าค่าเงินของประเทศคู่ค้าของเราปรับแข็งค่าขึ้นเทียบกับ
ดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยเช่นเดียวกับเรา การแข็งค่าของเงินบาทก็จะไม่ส่งผลต่อการส่งออกของไทยมากนัก นอกจากค่าเงิน
ของคู่ค้า เราต้องพิจารณาถึงค่าเงินของคู่แข่งด้วย เพราะถ้าค่าเงินของประเทศคู่แข่งปรับแข็งค่าขึ้นเทียบกับเงินดอลลาร์
สหรัฐฯ ไปพร้อม ๆ กับการแข็งค่าของเงินบาทก็จะทำ�ให้ราคาสินค้าทั้งจากไทยและประเทศคู่แข่งต่างสูงขึ้นเช่นกัน
ติดตามข้อมูล NEER
และ REER ได้ที่
การพิจารณาความสามารถในการแข่งขันจึงต้องพิจารณาค่าเงินของประเทศคู่ค้าและคู่แข่งไปพร้อม ๆ กัน
ซึ่ง ธปท. จึงได้จัดทำ�ดัชนีค่าเงินบาท (Nominal Effective Exchange Rate : NEER) ขึ้น ซึ่งเป็นการ
คำ�นวณจากอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับสกุลเงินของประเทศต่าง ๆ 21 ประเทศ ทั้งที่เป็นคู่ค้า
และคู่แข่งของไทยโดยให้น้ำ�หนักตามความสำ�คัญด้านการค้าโดยเผยแพร่เป็นรายเดือนในเว็บไซต์ ธปท.
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 147
การดูแลค่าเงินบาทของแบงก์ชาติ รู ไหม
จะยึดหลัก 3 ข้อ เช่นกัน คือ
วา…?
(1) ดูแลความผันผวน (volatility) ของค่าเงินให้อยูใ่ นระดับทีเ่ ศรษฐกิจ
รับได้ นับตั้งแต่ประเทศไทยได้เปลี่ยนมาใช้
(2) รักษาความสามารถในการแข่งขันโดยพิจารณาจากดัชนีคา่ เงินบาท การดำ�เนินนโยบายการเงินภายใต้
กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น
(Nominal Effective Exchange Rate หรือเรียกย่อ ๆ ว่า NEER) เป็นหลัก ควบคู่ไปกับระบบอัตราแลกเปลี่ยน
ซึ่งประกอบด้วยสกุลเงินของคู่ค้าและคู่แข่งที่สำ�คัญ ไม่ใช่เฉพาะดอลลาร์ แบบลอยตัว กลไกการทำ�งานของ
สหรัฐฯ (อ่านเพิ่มเติมในกล่องเสริมความรู้) ระบบเศรษฐกิจมีความยืดหยุ่นขึ้น
นโยบายการเงินสามารถใช้รักษา
(3) ไม่ ฝื น แนวโน้ ม ที่ ส อดคล้ อ งกั บ ปั จ จั ย พื้ น ฐานทางเศรษฐกิ จ เสถียรภาพของระดับราคาได้
เพราะจะนำ�ไปสู่ความไม่สมดุลของเศรษฐกิจ (imbalances) โดยไม่ถูกจำ�กัดที่จะต้องใช้เพื่อ
รักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยน
เราทราบแล้วว่า การแข็งค่าหรืออ่อนค่าของเงินบาทมีผลกระทบ
โดยตรงต่อผู้ส่งออก ผู้นำ�เข้า ผู้ลงทุน และผู้ที่กู้เงินตราต่างประเทศ ซึ่งมีทั้ง
กลุม่ คนทีไ่ ด้และเสียประโยชน์เสมอ การดูแลค่าเงินบาทของแบงก์ชาติจงึ ต้อง
พิจารณาผลกระทบให้รอบด้าน อาจจะมีบางกลุ่มที่พยายามกดดันให้
แบงก์ชาติด�ำ เนินนโยบายเพือ่ ให้คา่ เงินบาทอ่อนหรือแข็งตามแต่ผลประโยชน์
ที่ได้รับ แต่สิ่งที่ต้องทำ�ความเข้าใจ คือ การดำ�เนินนโยบายการเงินภายใต้
กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น (flexible inflation targeting) ควบคู่ไป
กับนโยบายอัตราแลกเปลีย่ นลอยตัวแบบมีการจัดการ (managed float) นัน้
การดำ�เนินนโยบายการเงินโดยการขึ้นลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายก็เพื่อดูแล
รักษาเสถียรภาพด้านราคา ในขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนจะเป็นไปตามกลไก
ตลาด แบงก์ชาติจะไม่สามารถกำ�หนดระดับอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ที่ค่าใด
ค่าหนึ่งได้ หรือพยายามฝืนกลไกตลาดเพื่อให้ค่าเงินบาทอ่อนหรือแข็งไป
ข้างใดข้างหนึ่งได้ เช่น หากเศรษฐกิจร้อนแรง เราส่งออกสินค้าได้มากกว่า
การนำ�เข้า และมีการลงทุนจากต่างประเทศ ก็จะทำ�ให้เงินทุนไหลเข้ามามาก
ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่แบงก์ชาติจะฝืนตลาดเพื่อทำ�ให้
ค่าเงินบาทอ่อนลงเพื่อประโยชน์ของบางกลุ่ม
148 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 149
ดังนัน้ การเคลือ่ นไหวของอัตราแลกเปลีย่ นจึงควรให้เป็นไปตามกลไก
ตลาดไม่ควรแทรกแซงให้ค่าเงินบาทอ่อนหรือแข็งกว่าความเป็นจริง การเข้า
แทรกแซงของแบงก์ชาติจะทำ�ได้เท่าที่จำ�เป็นในกรณีที่อัตราแลกเปลี่ยน
เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนผู้เกี่ยวข้องปรับตัวไม่ทันเท่านั้น และไม่ขัดกับ
Key Points
การดำ�เนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ ทั้งนี้ การตั้ง
เป้าหมายเงินเฟ้อ จะทำ�ให้ภาคเอกชนมีหลักยึดในเรื่องระดับราคา ซึ่งระดับ การดำ�เนินนโยบายการเงินของไทย
ภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบ
ราคาที่มีเสถียรภาพหรือเงินเฟ้อที่ต่ำ� จะช่วยให้ต้นทุนการผลิตของผู้ผลิต ยืดหยุ่นในปัจจุบัน จะดำ�เนินไปควบคู่กับ
ไม่สูงนัก ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของประเทศดีขึ้น การดำ�เนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน
ขณะเดียวกันราคาที่ไม่ผันผวนมากนักก็ช่วยให้ภาคเอกชนวางแผนตัดสินใจ ลอยตัวแบบมีการจัดการ นั่นคือ
(1) แบงก์ชาติจะไม่กำ�หนดระดับ
ลงทุนได้อย่างมั่นใจ ช่วยเพิ่มศักยภาพการผลิตและความสามารถในการ อัตราแลกเปลี่ยน ณ ค่าใดค่าหนึ่ง
แข่งขันในระยะยาว (2) แบงก์ชาติอาจแทรกแซงได้บ้าง
เพียงเพื่อไม่ให้อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน
เกินควรจนทุกฝ่ายปรับตัวไม่ทัน
อ่านเพิ่มเติม “ฮาวทูดูแลค่าเงิน” ได้ที่
คุณเรียนรู้สิ่งเหล่านี้แล้วหรือยัง
• เข้าใจการดำ�เนินนโยบายการคลัง นโยบายการเงิน และนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน
• เข้าใจว่าควรดำ�เนินนโยบายการคลัง และนโยบายการเงิน และนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบใด
จึงจะเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจขณะนั้น
150 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
บทส่งท้าย
การเข้าใจเศรษฐศาสตร์ไม่เพียงแต่สามารถตัดสินใจแก้ปัญหาในระดับบุคคลได้อย่างมีเหตุมีผล
เท่านั้น ยังก่อให้เกิดประโยชน์ในระดับประเทศชาติในการจัดสรรทรัพยากรที่ประเทศมีอยู่จำ�กัดให้เกิด
ประโยชน์สูงสุด และสามารถวางนโยบายที่เหมาะสมต่อเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนำ�ไปสู่ความอยู่ดีกินดี
ของประชาชน ซึ่งเป็นเป้าหมายของเศรษฐกิจโดยรวม ทั้งนี้ การดำ�เนินนโยบายการเงิน นโยบายการคลัง
และการบริหารอัตราแลกเปลีย่ นทีเ่ หมาะสม ก็จะเอือ้ ให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตได้ตามศักยภาพและยัง่ ยืน
ในระยะยาว นั่นก็เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายของเศรษฐกิจนั่นเอง
เศรษฐศาสตร์
เศรษฐศาสตร์
...เล่ม...
เดียเล่วอยู
มเดี่ ยวอยู่ 151
เงินเฟอ
นากลัว
จริงหรือ ?
นายไพบูลย กิตติศรีกังวาน
ธนาคารแหงประเทศไทย
152 เศรษฐศาสตร์
เศรษฐศาสตร์
...เล่ม...
เดียเล่วอยู
มเดี่ ยวอยู่
หนีไมพนประชาชนเพราะภาระที่เพิ่มขึ้นจากเงินเฟอ ทําใหประชาชนตองใชจายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อบริโภคเทาเดิม
เปรียบเสมือนตองเสียภาษี จึงเรียกกันวา “ภาษีเงินเฟอ” ซึ่งเลวรายกวาภาษีอื่น ๆ เพราะเก็บแบบไมบอกกลาว
เดาสุมและที่แยสุด คือ พวกไมมีอํานาจตอรองใหทันกับเงินเฟอ ซึ่งสวนใหญเปนผูมีรายไดนอยตองรับภาระมากที่สุด
เศรษฐศาสตร์
เศรษฐศาสตร์
...เล่ม...
เดียเล่วอยู
มเดี่ ยวอยู่ 153
อภิธานศัพท์ (Glossary)
154 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (Economic Growth)
ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ หมายถึง กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีมากขึ้น ทำ�ให้คนมีงานทำ� มีรายได้ มีกิน
มีใช้ เกิดการผลิตสินค้าใหม่ ๆ ที่ดกี ว่าเดิมและตอบสนองความต้องการของผูบ้ ริโภคได้มากขึน้ ชีวติ สะดวกสบายขึน้
และได้รับความพึงพอใจมากขึ้น นั่นก็คือ แต่ละคนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นนั่นเอง ซึ่งวัดจากจำ�นวนสินค้าและบริการ
เพื่อตอบสนองความต้องการว่า มีมากขึ้นหรือไม่ โดยดูจากอัตราการเปลี่ยนแปลงของ GDP ในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ
ความยืดหยุ่น (Elasticity)
แม้ว่าจะกำ�หนดให้ราคาสินค้าแต่ละอย่างปรับเพิ่มขึ้นเท่า ๆ กัน แต่คนเรากลับลดการซื้อสินค้าแต่ละอย่าง
มากน้อยไม่เท่ากัน โดยสินค้าที่เมื่อราคาเปลี่ยนแปลงไป ปริมาณความต้องการซื้อเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าการ
เปลี่ยนแปลงของราคา เราถือว่า สินค้านั้นมีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคามาก หรือ elasticity of demand เช่น
พวกสินค้าฟุ่มเฟือย สินค้าพวกนี้ราคาเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยก็ทำ�ให้ปริมาณซื้อเปลี่ยนแปลงไปได้มาก แต่หากเป็น
สินค้าที่จำ�เป็น เช่น ยารักษาโรค แม้ราคาจะสูงขึ้นแต่ปริมาณความต้องการซื้อก็เปลี่ยนแปลงไปได้ไม่มาก
เงินฝืด (Deflation)
เงินฝืด เป็นภาวะที่ตรงข้ามกับภาวะเงินเฟ้อ โดยเป็นภาวะที่ระดับราคาสินค้าโดยทั่วไปลดต่ำ�ลงเรื่อย ๆ หรือ
พูดง่าย ๆ ว่า เป็นภาวะทีข่ า้ วของถูกลงเรือ่ ย ๆ นัน่ ก็นา่ จะเป็นเรือ่ งดี แต่การทีข่ า้ วของถูกลงเรือ่ ย ๆ อาจเนือ่ งมาจาก
มีการผลิตสินค้าออกมาขายมากไป เกินกว่าความต้องการของตลาด ดังนั้น ผู้ผลิตจึงจำ�เป็นต้องลดราคาสินค้าลงมา
เพื่อที่จะทำ�ให้ขายได้ และลดการผลิตลงเพราะว่าถ้าผลิตออกมาเท่าเดิมก็ขายได้ไม่หมด ผลที่ตามมาก็คือ
การจ้างงานจะลดลงตามไปด้วย ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อเศรษฐกิจโดยรวม
เงินเฟ้อ (Inflation)
เงินเฟ้อ เป็นภาวะที่ระดับราคาสินค้าโดยทั่วไปเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง หรือพูดง่าย ๆ ว่า เป็นภาวะที่ข้าวของ
แพงขึ้นไปเรื่อย ๆ เงินที่เราถืออยู่จำ�นวนเท่าเดิมจึงมีค่าลดลง เพราะซื้อของได้น้อยลง หรือเราต้องใช้เงินมากขึ้น
เพื่อให้สามารถซื้อสินค้าได้เท่าเดิม
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 155
อภิธานศัพท์ (Glossary) (ต่อ)
156 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
นโยบายการเงิน (Monetary Policy)
นโยบายการเงิน ก็เป็นการดำ�เนินนโยบายของแบงก์ชาติเพื่อกระตุ้นหรือชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจ
โดยใช้เครื่องมือที่แบงก์ชาติมี ก็คือ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยผู้ที่กำ�หนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายว่าจะเพิ่มขึ้น
คงที่ หรือลดลง ก็คือ คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือเรียกสั้น ๆ ว่า กนง.
ถ้าต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา ไม่มีแรงกดดันเงินเฟ้อ แบงก์ชาติก็จะใช้นโยบาย
การเงินแบบผ่อนคลาย โดยลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมา ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากในตลาดการเงิน
ลดลงไปด้วย คนก็อาจจะกู้เงินหรือนำ�เงินฝากไปใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการมากขึ้นเพราะต้นทุนการกู้ยืม และต้นทุน
ค่าเสียโอกาสถูกลง การใช้จ่ายโดยรวมเพิ่มขึ้น ทำ�ให้มีการผลิตสินค้าและบริการมากขึ้น การจ้างงานเพิ่มขึ้น
ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น นั่นก็คือ เศรษฐกิจขยายตัว แต่ก็อาจจะทำ�ให้ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้นบ้าง ในทาง
กลับกัน ถ้าต้องการชะลอเศรษฐกิจ เนื่องจากเศรษฐกิจเติบโตอย่างร้อนแรง จนทำ�ให้ราคาสินค้าโดยทั่วไปแพงขึ้น
อย่างต่อเนื่องหรือเงินเฟ้อสูงขึ้น แบงก์ชาติก็จะใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัว โดยเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ส่งผลให้
อัตราดอกเบีย้ เงินกูแ้ ละเงินฝากในตลาดเพิม่ ขึน้ ตามไปด้วย คนก็จะกูเ้ งินหรือนำ�เงินฝากไปใช้จา่ ยซือ้ สินค้าและบริการ
น้อยลงเพราะต้นทุนการกู้ยืมและต้นทุนค่าเสียโอกาสแพงขึ้น การใช้จ่ายโดยรวมก็ลดลง ผู้ผลิตก็จะผลิตน้อยลง
ไม่มีการขยายการผลิตในช่วงนี้ จะเห็นว่าเศรษฐกิจก็จะลดความร้อนแรงลง ราคาสินค้าโดยทั่วไปจะเพิ่มขึ้นช้าลง
อัตราเงินเฟ้อจะลดลง และเศรษฐกิจกลับมาเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไปในที่สุด
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 157
อภิธานศัพท์ (Glossary) (ต่อ)
เศรษฐศาสตร์ (Economics)
การที่ทรัพยากรมีจำ�กัด ขณะที่ความต้องการของคนเรามีไม่จำ�กัด เราจึงไม่สามารถผลิตทุกสิ่งทุกอย่างที่เรา
ต้องการได้ จึงต้องเกิดการเลือกใช้ทรัพยากรทีม่ อี ยูอ่ ย่างจำ�กัดเพือ่ ให้เกิดประโยชน์สงู สุด ซึง่ เศรษฐศาสตร์จะเป็นสาขา
วิชาที่จะช่วยเราในกระบวนการตัดสินใจ “เลือก” เพื่อให้การเลือกแต่ละครั้งคุ้มค่ามากที่สุด ทั้งในการตัดสินใจ
เกี่ยวกับการผลิต การบริโภค การแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ เศรษฐศาสตร์จึงเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำ�วันของเรา
ทุกคน ทุกระดับ ตั้งแต่ระดับบุคคล ระดับครอบครัว จนถึงระดับประเทศ
158 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
เสถียรภาพด้านราคา (Price Stability)
เสถียรภาพ หมายถึง นิ่ง ๆ มั่นคง ไม่ผันผวนมากจนเกินไป ดังนั้น เสถียรภาพด้านราคา ก็จะหมายถึง
ภาวะที่ราคาสินค้าและบริการไม่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประชาชนสามารถคาดการณ์ราคาสินค้าและบริการได้
อุปทาน (Supply)
อุปทาน หมายถึง ปริมาณเสนอขายสินค้าหรือบริการ ณ ระดับราคาต่าง ๆ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
เมื่อกำ�หนดให้ปัจจัยอื่น ๆ ไม่เปลี่ยนแปลง เช่น ราคาปัจจัยการผลิต เทคโนโลยี และราคาสินค้าอื่น เป็นต้น
อุปสงค์ (Demand)
อุปสงค์ หมายถึง ปริมาณความต้องการซือ้ สินค้าหรือบริการ ณ ระดับราคาต่าง ๆ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
เมื่อกำ�หนดให้ปัจจัยอื่น ๆ ไม่เปลี่ยนแปลง เช่น รายได้ รสนิยม เงินในกระเป๋า และราคาสินค้าอื่น เป็นต้น
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 159
แหล่งค้นหาข้อมูลทางเศรษฐกิจ
160 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
แหล่งค้นหาข้อมูลทางเศรษฐกิจ (ต่อ)
รายงานติดตามภาวะเศรษฐกิจ
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 161
บรรณานุกรม
หนังสือภาษาไทย
จรินทร์ เทศวานิช และคณะ. (2553). เศรษฐศาสตร์ ม.4-ม.6.
จารุวรรณ บุณยรัตพันธุ์. (2552). เศรษฐศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน. กรุงเทพ :
สำ�นักพิมพ์แม็ค.
ชวินทร์ ลีนะบรรจง. (2554). เศรษฐศาสตร์ติดดิน. (1). กรุงเทพฯ : สำ�นักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
ซอกแฮวอน. (2548). เด็กชายกางมารู ชวนรู้ เศรษฐศาสตร์. (1). กรุงเทพ : เนชั่นบุ๊คส์.
ญัฐิกานต์ วรสง่าศิลป์. (2554). การเติบโตอย่างทั่วถึง (Inclusive Growth). (1). กรุงเทพ : ธนาคารแห่งประเทศไทย.
ธนาวรรณ อยู่ประยงค์. (2553). อยู่ท่ามกลางเงินซุปเปอร์เฟ้อ...เมื่อดอลลาร์จ่อล่มสลาย. (1).
นิสิต พันธมิตร. (2553). ความรู้พื้นฐานด้านเศรษฐศาสตร์และเศรษฐกิจการเงิน. เป็นเอกสารประกอบการบรรยายอบรมครู
สำ�นักงานภาคเหนือ ธนาคารแห่งประเทศไทย.
ปกป้อง จันวิทย์. (2543). บัญญัติ 10 ประการของวิชาเศรษฐศาสตร์. กรุงเทพ : สำ�นักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
รัตนา สายคณิต. (2542). หลักเศรษฐศาสตร์ : มหเศรษฐศาสตร์. (1). กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
วันรักษ์ มิ่งมณีนาคิน. (2539). เศรษฐศาสตร์มหภาค Macroeconomics. (3). กรุงเทพฯ : สำ�นักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ. (2550). เศรษฐศาสตร์ ม.3 ช่วงชั้นที่ 3.
สำ�นักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา. (2485). พระราชบัญญัติ ธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2485. (1). กรุงเทพ :
ธนาคารแห่งประเทศไทย.
สำ�นักงานสถิติแห่งชาติ. (2542). ข้อมูลการสำ�รวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน. กรุงเทพ : search จาก
http://www.nso.go.th/
หนังสือภาษาอังกฤษ
Bradley R. Schiller. (1996). Essentials of Economics. (2). : McGraw-Hill.
Alain Anderton. (2009). Economics AS Level. (4th Edition). : Causeway Press.
Ian Chambers, Linda Hall, Susan Squires. (2006). Longman Business Studies For IGCSE. (3rd ed). : Longman.
International Monetary fund. (2011). World Economic Outlook. (1). Washington D.C.
Mankiw Gregory. (2007). Principle of Macroeconomics. (4th Editin). Massachusetts : Harvard University.
Mr.Malcolm D Knight. (2007). Inflation Targeting in Emerging Market Economics. (1). : Bank for International Settlements.
Robert Dransfield , Terry Cook and Jane King. (2010). Economics for IGCSE. (1). : Endorse by University of Cambridge
International Examinations.
วารสาร / บทความ
ชนาภรณ์ เสรีวรวิทย์กุล และคณะ (21 ธันวาคม 2561) ความท้าทายของกรอบนโยบายการเงินไทยในโลกที่เปลี่ยนไป.
บทความสั้น,. ธนาคารแห่งประเทศไทย.
โชติพัฒน์ กลิ่นสุคนธ์ และมณฑล ศิริธนะ (2562). การปรับตัวของธุรกิจไทย ในยุค E-commerce. บทความสั้น,.
ธนาคารแห่งประเทศไทย.
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ไตรมาส 2 2561) ความท้าทายเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยและการประสานนโยบายเศรษฐกิจ.
บทความในกรอบ รายงานนโยบายการเงิน.
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ไตรมาส 4 2561) การกำ�หนดกรอบและเป้าหมายนโยบายการเงินที่เหมาะสมของไทย ท่ามกลาง
ความท้าทายจากบริบททางเศรษฐกิจและการเงินที่เปลี่ยนแปลงไป. บทความในกรอบ รายงานนโยบายการเงิน.
162 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
ภาสกร ตาปสนันทน์ (27 พฤศจิกายน 2561) อัตราเงินเฟ้อโลกต่ำ�เพราะอะไร? ไขข้อสงสัยผ่านมุมมองเทคโนโลยี. บทความสั้น,.
ธนาคารแห่งประเทศไทย.
รุ่ง โปษยานนท์ มัลลิกะมาส. (2554). ทำ�ไม ธปท. ต้องดูดสภาพคล่องเพิ่มเมื่อมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย?. Focused and
Quick (FAQ). Issue 32,. ธนาคารแห่งประเทศไทย.
วราพงศ์ วงศ์วัชรา และคณะ (5 กุมภาพันธ์ 2562). มิติใหม่ของนโยบายการเงินและการรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน.
บทความ aBRIDGEd,. สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์.
วรินทิพย์ วรศักดิ์ (20 สิงหาคม 2562). การดำ�เนินนโยบายการเงินไทยภายใต้พลวัตเงินเฟ้อที่เปลี่ยนแปลงไป. บทความสั้น,.
ธนาคารแห่งประเทศไทย.
เสาวณี จันทะพงษ์ และกัมพล พรพัฒนไพศาลกุล (20 กุมภาพันธ์ 2562). การยกระดับทักษะแรงงานไทย : โจทย์ใหญ่
ในยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก. บทความสั้น,. ธนาคารแห่งประเทศไทย.
สำ�นักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2552). “มองเศรษฐกิจผ่าน...บัญชีเศรษฐกิจเงินทุน”.
จดหมายข่าว บัญชีประชาชาติ. ฉบับที่ 15 ประจำ�ไตรมาส 3.
อรัญญา ศรีวิโรจน์. (2554). วิกฤตน้ำ�มันปาล์ม : บทเรียนจากนโยบายควบคุมของภาครัฐ. Focused and Quick (FAQ). Issue 23,.
ธนาคารแห่งประเทศไทย.
World Bank. (2011). World Development Report. ชื่อวารสาร, New York, Oxford University.
วิทยานิพนธ์
จริยา เปรมศิลป์. (2548). ทางเลือกในการวัดอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานสำ�หรับกรณีของประเทศไทย.
วิทยานิพนธ์เศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต,. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
หนังสือพิมพ์
จริยา เปรมศิลป์. (25 มกราคม 2553). แจงสี่เบี้ย : วินัยการคลังท่ามกลางวิกฤติและความท้าทาย. (1). กรุงเทพ : กรุงเทพธุรกิจ.
ไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน. (2554). เงินเฟ้อมันน่ากลัวจริงหรือ?. (1). กรุงเทพ : กรุงเทพธุรกิจ.
วิมตุ วานิชเจริญธรรม. (21 มิถนุ ายน 2550). “ปราณี-ฉลองภพ” กับความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทย. ประชาชาติธรุ กิจ.
ศุภวุฒิ สายเชื้อ. (2 สิงหาคม 2553). “ความหวังดีแต่ได้ผลเสียของนโยบายเศรษฐกิจรัฐบาล”. กรุงเทพธุรกิจ.
เสาวณี จันทะพงษ์ และขวัญรวี ยงต้นสกุล (19 กรกฎาคม 2559). แจงสี่เบี้ย : ‘นวัตกรรม’ : แรงขับเคลื่อนใหม่ของเศรษฐกิจไทย.
(1). กรุงเทพ : กรุงเทพธุรกิจ.
เว็บไซต์
http://www.bot.or.th ธนาคารแห่งประเทศไทย.
http://www.bot.or.th/Thai/MonetaryPolicy/Pages/MonetEducation.aspx นโยบายการเงินฉบับประชาชน
สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย.
http://th.wikipedia.org วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี.
http://www.thaiwellbeing.org วิพากษ์จีดีพี จีดีพีเป็นมาตรวัดความสุขและความมั่งคั่งของประชาชาติได้จริงหรือ ? โครงการให้
ความรู้เรื่องแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อสังคมสุขภาวะ.
http://www. uinthai.net สาระเศรษฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์จุลภาค เศรษฐศาสตร์มหภาค เศรษฐกิจพอเพียง ข้อมูลออนไลน์.
http://www.nesdb.go.th สำ�นักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ.
http://service.nso.go.th/nso/nsopublish/themes/theme_2-7-3.html สำ�นักงานสถิติแห่งชาติ ข้อมูลการสำ�รวจภาวะเศรษฐกิจ
และสังคมของครัวเรือน.
http://www.stou.ac.th/stouonline/lom/data/sec/Lom12/02-01-02.html มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 163
วิภาคเศรษฐกิจไทย
(Anatomy of Thai Economy)
GDP per capita : แมรายไดตอหัวของคนไทยจะเพิ่มขึ้นทุก ๆ ป แตยังต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น
บาทตอป รายไดตอหัวของคนไทย
300,000 ~ 240,000 บาท
200,000
100,000
0
2538
2539
2540
2541
2542
2543
2544
2545
2546
2547
2548
2549
2550
2551
2552
2553
2554
2555
2556
2557
2558
2559
2560
2561
ที่มา : สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติ
75
50
25
0
2494
2504 - 2509
2510 - 2514
2515 - 2519
2520 - 2524
2525 - 2529
2530 - 2534
2535 - 2539
2540 - 2544
2545 - 2549
2550 - 2554
2555 - 2559
2560
2561
2562
*หมายเหตุ : ภาคบริการและอื่น ๆ ประกอบดวย ภาคกอสราง การคาปลีกคาสง การขนสงคมนาคม การไฟฟา ประปา โรงแรมและภัตตาคาร การคาอสังหาริมทรัพย
การศึกษา การบริการสุขภาพ เปนตน
ที่มา : สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติ
164 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
กำลังแรงงาน : เกือบ 1 ใน 3 อยูในภาคเกษตร
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 165
สัดสวนการใชจายใน GDP : การบริโภคของภาคครัวเรือนเปนตัวจักรสำคัญในเศรษฐกิจ
สัดสวน (%)
120
100
80
60
40
20
0
-20
2536
2538
2540
2542
2544
2546
2548
2550
2552
2554
2556
2558
2560
2562
สินคาคงคลัง และคาคลาดเคลื่อนทางสถิติ มูลคาการสงออกสุทธิ (มูลคาสงออก - มูลคานำเขา)
รายจายของภาครัฐบาล รายจายเพื่อการลงทุนของภาคธุรกิจ
รายจายเพื่อการบริโภคของภาคครัวเรือน
ที่มา : สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติ
ที่มา : สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติ
166 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
ระดับการเปดประเทศของไทย : ไทยเปดประเทศมากขึ้น เศรษฐกิจไทยจึงเชื่อมโยงกับตางประเทศอยางหลีกเลี่ยงไม ได
Degree of Openness*
(%)
160 วิกฤติ
วิกฤติ แฮมเบอรเกอร
Dot com
140
วิกฤติ
120 ตมยำกุง
100
80
60
40
2534 2538 2542 2546 2550 2554 2558 2562
หมายเหตุ : ผลรวมมูลคาการสงออกและการนำเขาสินคาและบริการ หารดวย GDP ณ ราคาปปจจุบัน
ที่มา : สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติ
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 167
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่
ฉบับปรับปรุงใหม่
หนังสือเรียนเสริม วิชาเศรษฐศาสตร์
ผู้เขียน
ดร.ทรงธรรม ปิ่นโต
จริยา เปรมศิลป์ และคณะ
สายนโยบายการเงิน
ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์
ไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน
เมธี สุภาพงษ์
อำ�นวยการผลิต
ฝ่ายบริหารการสื่อสารองค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย
273 ถนนสามเสน แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200
ข้อมูลทางบรรณานุกรมของหอสมุดแห่งชาติ
ดร.ทรงธรรม ปิ่นโต
จริยา เปรมศิลป์ และคณะ
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ ฉบับปรับปรุงใหม่ - กรุงเทพฯ : ธนาคารแห่งประเทศไทย, 2563. 172 หน้า.
1. เศรษฐศาสตร์ 2. นโยบายการเงิน 3. อุปสงค์และอุปทาน I. ชื่อเรื่อง
ISBN : 978-616-7220-36-9
ออกแบบและพิมพ์ที่
บริษัท ฮีซ์ จำ�กัด
32/580 ไพรเวทวิลล่า ถนนนวมินทร์ แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ 10230
โทรศัพท์ 0 2948 8165-6
เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่ 167
164 เศรษฐศาสตร์...เล่มเดียวอยู่