Professional Documents
Culture Documents
International Relation
International Relation
ด้ านภูมิศาสตร์
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีสภาพภูมิอากาศแบบร้อนชื้ น อุณหภูมิอยูร่ ะหว่าง 27-36 oc มีพืช
พรรณธรรมชาติเป็ นป่ าฝนเขตร้อน ซึ่ งมีขนาดใหญ่เป็ นอันดับสองของโลก ป่ าดงดิบ ป่ าเบจญจพรรณ ป่ าสน
ป่ าหาดทรายชายทะเล ป่ าไม้ปลูก
- พืชเศรษฐกิจ ได้แก่ ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน พริ กไทและอ้อย
- มีสมาชิกในกลุ่มอาเซียน 10 ประเทศ คิดเป็ นพื้นที่ประมาณ 4.5 ล้าน ตารางกิโลเมตร
- มีประชากรร่ วมกันประมาณ 560 ล้านคน ถือได้วา่ เป็ นตลาดขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของโลก
- ประเทศในกลุ่มอาเซียนที่มีชายแดนติดกับประเทศไทยและถือว่าเป็ นเพื่อนบ้านใกล้ชิด ได้แก่
ลาว พม่า กัมพูชา และมาเลเซีย
สนธิสัญญา
ั ญาความสามัคคีและความร่ วมมือในกลุ่มอาเซี ยตะวันออกเฉี ยงใต้ได้มีการสรุ ป
จากสนธิสญ
แนวทางของสมาคมประชาชาติแห่งเอเซียตะวันออกเฉี ยวใต้ จำนวน 6 ข้อ ดังต่อไปนี้
1. ให้ความเคารพแก่เอกราช อำนาจอธิ ปไตย ความเท่าเทียม บูรณภาพแห่งดินแดนและเอกลักษณ์ของ
ชาติสมาชิกทั้งหมด
2. รัฐประเทศสมาชิก แต่ละประเทศมีสิทธิ ที่จะปลอดจากการแทรกแซงจากภายนอก การรุ กรานดิน
แดนและบังคับขู่เข็ญ
3. จะไม่เข้าไปยุง่ เกี่ยวกับกิจการภายในของประเทศสมาชิกอื่น
4. ยอมรับความแตกต่างระหว่างกัน หรื อแก้ปัญหาระหว่างกันอย่างสันติ
5. ประณามหรื อไม่ยอมรับการคุกคามหรื อการใช้ก ำลัง
6. ให้ความร่ วมมือระหว่างกันอย่างมีประสิ ทธิ ภาพ
ความสั มพันธ์ ไทยกับเพือ่ นบ้ าน ลาว กัมพูชา พม่ า มาเลเซีย
อาณาบริ เวณของประเทศไทยที่ติดกับเพื่อนบ้านรอบด้าน คือ พม่า ลาว กัมพูชา และมาเลเซี ย มี
ระยะทางยาวประมาณ 5,656 กิโลเมตร
ไทยได้ใช้นโยบายต่างประเทศ “นโยบายสร้างความสัมพันธ์ทุกทิศทาง” ทั้งมีความร่ วมมือทาง
เศรษฐกิจ และในเวลาเดียวกันก็แข่งขันทางการค้าด้วย
ตั้งแต่สมัย พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัน เป็ นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลไทย ใช้นโยบาย “เปลี่ยนสนามรบ
เป็ นสนามการค้า” และต่อมาก้อหันมาใช้เศรษฐกิจนำต่างประเทศ สร้างความสัมพันธ์กบั อินโดจีนและพม่า
- ความสัมพันธ์ ไทย-ลาว ไม่มีปัญหาเป็ นไปอย่างราบรื่ น
- ความสัมพันธ์ไทยกับมาเลเซียอยูใ่ นระดับน่าพอใจ ยกเว้นปั ญหาชายแดนใต้ที่เป็ นปั จจัยทำให้
เกิดความเย็นชาอยูร่ ะยะหนึ่งที่เกิดเหตุการณ์ไม่สงบในภาคใต้รุนแรงขึ้นทำให้ความสัมพันธ์ท้ งั
สองฝ่ ายเย็นชา เพราะรัฐบาลสมัยนั้นใช้ทหารนำการเมือง มาเลเซี ยเป็ นประธานองค์การการ
ประชุมอิสลามโลก (OIC) และนำประเด็นความไม่สงบในภาคใต้ของไทยเข้าที่ประชุมโอไอซี
จากนั้นก็เกิดเหตุการณ์คนไทยในชายแดนใต้อพยพข้ามไปอยูใ่ นมาเลเซี ยจำนวน 110 คน ส่ วน
ปัญหาใหญ่ๆ อยูท่ ี่ขาดความต่อเนื่องของนโยบาย ทำให้ปัญหาคัง่ ค้างและใช้เวลาแก้ปัญหานาน
กว่าที่ควรจะเป็ น
- ความสัมพันธ์กบั กัมพูชา หลังจากเหตุการณ์เผาสถานเอกอัครราชทูตไทยแล้ว ความสัมพันธ์อยู่
ในขั้นดี แต่มาสะดุดเมื่อกัมพูชาเสนอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็ นมรดกโลกเมื่อปลายปี
52 ไทยไม่พอใจกัมพูชาส่ วนกัมพูชาก็ระแวงไทย ในเรื่ องนักการทูตแนะให้ปรับนโยบายระยะ
สั้นโดยใช้การพบปะอย่างไม่เป็ นทางการทั้งสองฝ่ ายในระยะยาว ต้องสร้างกลไกที่เอื้อต่อการ
สร้างความไว้เนื้ อเชื่อใจและความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนต่อประชาชน
- ความสัมพันธ์ ไทย-พม่า ก็ถือได้วา่ มีความเปราะบาง เพราะสถานการณ์ การเมืองในพม่าเอง อีก
ทั้งการสู้รบตามแนวชายแดน ไทย-พม่า ระหว่าง รัฐบาลพม่าและชนกลุ่มน้อยประกอบกับ
ปัญหาเศรษฐกิจทำให้คนอพยพข้ามฝั่งมาไทยนับเป็ นแสนคน
ความร่ วมมือไทยกับประเทศเพือ่ นบ้ าน
- ความตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมกควันข้ามแดน (ASEAN Agreement on
Transboundary Haze Pollution) คือ ความตกลงด้านสิ่ งแวดล้อม ระหว่างชาติสมาชิกในกลุ่ม
ประชาชาติแห่งเอเซียตะวันออกเฉี ยงใต้ (ค.ศ. 2002)
วัตถุประสงค์ เพื่อลดมลหมอกพิษในเอเชียตะวันออกเฉี ยงใต้
มาเลเซีย - ธ.ค. 2002
สิ งคโปร์ – ม.ค. 2003
บูรไน – ก.พ. 2003
พม่า – มี.ค. 2003
เวียดนาม – มี.ค.2003
ไทย – ก.ย. 2003
ลาว – ธ.ค. 2004
กัมพูชา – เม.ษ. 2006
ประเภทของข้ อตกลง
Treaty: สนธิสญ
ั ญา
Peaestreaty: สนธิสญ
ั ญาสันติภาพ
Act:กรรมสาร
Accord: ข้อตกลง
Agreement: ความตกลง
Armistice: ข้อตกลงสงบศึกชัว่ คราว
Conference: การประชุม
Convention: อนุสญ
ั ญา
Declaration: ปฏิญญา
Joint Declation: แถลงการณ์ร่วม
Paet: กติกาสัญญา
Protocol: พิธีสาร
Truce หรื อ Ceasefire: ขอตกลงพักรบ
ระดับของสนธิสญ
ั ญา 1. Bilateral Treaty สนธิ สญ
ั ญาทวิภาคี
2. Multilateral Treaty สนธิ สญ
ั ญาพหุพาคี
กฎหมายระหว่างประเทศ (International Law) หมายถึง กฎ กฎเกณฑ์ และข้อตกลงที่เกิดขึ้นจาก
ความตกลง หรื อการแสดงเจตนาเข้าผูกพันของรัฐหรื อประเทศ ตั้งแต่ 2 รัฐ/ประเทศ ขึ้น และนิยมใช้เป็ น
หลักการในการพิจารณาข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน
สงคราม (War) คือ ความขัดแย้งเป็ นวงกว้างและก่อให้เกิดผลกระทบอย่างร้ายแรง สงครามเกิดขึ้น
เมื่อเกิดความขัดแย้งและไม่สามารถแก้ไขด้วยวิธีสนั ติ ก็ลงเอยด้วยการทำสงครามหรื อการใช้ก ำลังเข้าต่อสู ้
เพื่อลิดรอนหรื อกำจัดบทบาททางการเมืองของอีกฝ่ ายหนึ่ง
ปัจจัยที่ก่อให้ เกิดความขัดแย้งนำไปสู่ สงคราม
1. เป้ าหมายและผลประโยชน์ของสงคราม
2. ทฤษฎีจิตวิทยา – มนุษย์ชื่นชอบความรุ นแรงแสดงโดยความรู ้สึกไม่พอใจ
3. ทฤษฎีสงั คมวิทยา
4. ทฤษฎีประชากรศึกษา
5. ทฤษฎีจิตวิทยาวิวฒั น์ – คือ นิสยั ของสัตว์ที่เพิ่มขึ้น เช่น ยึดครองดินแดนและการ
แข่งขัน
6. ทฤษฎีเหตุผล
7. ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์
8. ทฤษฎีลทั ธิมาร์กซิ สม์
9. ทฤษฎีการเมือง
ลักษณะความสั มพันธ์ ระหว่ างประเทศ
1. ด้านเศรษฐกิจ หลังจากการแก้ไขสนธิ สญ
ั ญาไม่เสมอภาคเป็ นผลสำเร็ จ
ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ วั และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยูห่ วั
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับนานาชาติได้เข้าสู่ ความเสมอภาคโดยสมบูรณ์
ยังผลให้ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยกับนานาชาติให้ประโยชน์แก่ไทยเพิ่มมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิง่ ทางด้านภาษีศุลกากร
2. ด้านการเมือง แม้วา่ ประเทศไทยจะมีความเสมอภาคกับนานาชาติที่เป็ นสมาชิก
ขององค์การสันนิบาตชาติกต็ าม แต่ในทางปฏิบตั ิประเทศไทยยังไม่ได้มีฐานะเท่าเทียมกับประเทศต่าง ๆ
ในยุโรป สหรัฐอเมริ กา และญี่ปุ่น ในเรื่ องเกี่ยวกับการใช้อ ำนาจทางศาล
และการใช้อ ำนาจเก็บภาษีศุลกากร
3. ด้านสังคมและวัฒนธรรม ประเทศไทยดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบผูกมิตรกับ
ทุกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิง่ กับประเทศมหาอำนาจ แม้วา่ ในยุคเริ่ มต้นประชาธิ ปไตยนั้น
ไทยจะมีความสัมพันธ์ดา้ นเศรษฐกิจและการเมืองกับญี่ปุ่นมากขึ้น แต่กย็ งั รักษาความสัมพันธ์อนั ดี
กับประเทศมหาอำนาจยุโรปและสหรัฐอเมริ กาไว้ ด้วยเหตุน้ี ความสัมพันธ์ดา้ นสังคม
และวัฒนธรรมระหว่างไทยกับประเทศมหาอำนาจจึงมีลกั ษณะดังนี้
1) การจ้างที่ปรึ กษาราชการ ประเทศไทยจ้างชาวยุโรปและอเมริ กาให้รับราชการ
เป็ นที่ปรึ กษางานด้านต่างๆ
2) การส่ งนักเรี ยนไทยไปศึกษาต่อต่างประเทศ รัฐบาลไทยได้ส่งนักเรี ยนที่เรี ยนดี
รวมทั้งประชาชนทัว่ ไปได้ส่งบุตรหลานไปศึกษาวิชาการสมัยใหม่ในยุโรป สหรัฐอเมริ กา และญี่ปนุ่
3) การได้รับการสนับสนุนจากญี่ปนุ่ รัฐบาลญี่ปุ่นได้ส่งเสริ มความสัมพันธ์ดา้ นสังคม
และวัฒนธรรมกับประเทศให้มากขึ้น เช่น ให้ทุนการศึกษาแก่นกั เรี ยนไทยไปศึกษาต่อที่ญี่ปุ่น เป็ นต้น
อย่างไรก็ตาม ประชาชนไทยส่ วนใหญ่ยงั คงมีค่านิยมในศิลปวัฒนธรรมของยุโรป และสหรัฐอเมริ กา
มากกว่าญี่ปุ่น โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีซ่ ึ งสู งกว่าญี่ปุ่น นอกจากนี้ผสู ้ นับสนุนให้ชาวญี่ปุ่นเข้ามา
ประกอบธุรกิจและท่องเที่ยวในประเทศไทยมากเป็ นพิเศษ
รายละเอียดทั่วไป
- การอยูร่ ่ วมกันเป็ นชุมชนเป็ นประชาคมระหว่างประเทศจะต้องมีกติกาที่ควบคุมความประพฤติและ
แบบแผน กติกาดังกล่าว เรี ยกว่า กฎหมายระหว่างประเทศ
- กฎหมายระหว่างประเทศ หมายถึง หลักกฎหมายหรื อข้อตกลงร่ วมที่ใช้บงั คับต่อความสัมพันธ์
ระหว่างประเทศ
- ประเทศ หมายถึง กลุ่มคนซึ่ งอยูร่ วมกันเป็ นปึ กแผ่นถาวรเป็ นอิสระบนอาณาเขตอันเดียวกับที่ตนเป็ น
เจ้าของ และอยูภ่ ายใต้อ ำนาจอันเดียวกันซึ่ งได้จดั ระเบียบไว้ โดยมุ่งจะให้เป็ นประกันแก่ทุกคนในการใช้
เสรี ภาพของตน
กลุ่มคนหนึ่งจะเป็ นประเทศได้ ต้ องประกอบด้ วย
1.เป็ นสมาคมถาวร
2.เป็ นสมาคมเอกราช
3.มีเจตนาร่ วมกัน
4.มีดินแดนที่ก ำหนดแน่นอน
- รัฐบาลตามความหมายอย่างกว้าง หมายถึง บุคคลหรื อคณะบุคคลซึ่ งได้รับมอบหมายให้เป็ นผูใ้ ช้
อำนาจอธิ ปไตยในการปกครองประเทศ
- รัฐบาลตามความหมายอย่างแคบ หมายถึง บุคคลหรื อคณะบุคคลซึ่ งใช้อ ำนาจบริ หาร
วิวฒั นาการของกฎหมายระหว่างประเทศ
1.กฎหมายระหว่างประเทศสมัยโบราณไม่มีการใช้กฎหมายร่ วมกัน และไม่มีการยอมรับความเสมอ
ภาคของกลุ่มชน การแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชนมักจะใช้ก ำลังทำสงคราม ต่อมาลดความทารุ ณ
โหดร้ายลงด้วยการวางหลักเกณฑ์แห่งสงคราม และเมื่อสังคมชาติมีความสัมพันธ์กนั กว้างขวางมากขึ้น
จนถึงมีผแู ้ ทนของแต่ละชาติเข้าไปในชาติอื่น จึงเกิดมีการวิวฒั นาการด้านกฎหมายขึ้น
2.กฎหมายระหว่างประเทศสมัยใหม่ชาวยุโรปสนใจกฎหมายโรมันมากขึ้น ได้มีการวางหลักกฎหมาย
เกี่ยวกับทะเลขึ้นหลายฉบับ แล้วรวบรวมเอาจารี ตประเพณี และการปฏิบตั ิระหว่างกันขึ้น หลายประเทศนำ
หลักเกณฑ์แห่งความสัมพันธ์ทางการทูตที่โกรซิ อุสเขียนไว้ ไปบังคับใช้ ซึ่ งถือว่าเป็ นกฎหมายระหว่าง
ประเทศอันหนึ่ง
3.กฎหมายระหว่างประเทศสมัยปัจจุบนั ในต้นยุคนี้ มีการสู ้รบทั้งภายในและนอกประเทศ ทำให้
ประเทศต่าง ๆ แสวงหาความเป็ นอยูแ่ บบสันติสุข จึงได้จดั ทำสนธิ สญ
ั ญากันขึ้น
ลักษณะทัว่ ไปของกฎหมายระหว่างประเทศ
1.ลักษณะเฉพาะของกฎหมายระหว่างประเทศ
- กฎหมายต้องเป็ นคำสัง่ หรื อข้อบังคับ
- กฎหมายต้องเป็ นคำสัง่ หรื อข้อบังคับที่มาจากรัฎฐาธิ ปัตย์ รัฎฐาธิ ปัตย์ คือ ผูซ้ ่ ึ งประชาชนส่ วน
มายอมรับนับถือว่าเป็ นผูม้ ีอ ำนาจสูงสุ ดในแผ่นดินหรื อบ้านเมืองนั้น และผูม้ ีอ ำนาจไม่ตอ้ งรับฟังอำนาจของ
ผูใ้ ดอีก
- กฎหมายต้องเป็ นคำสัง่ หรื อข้อบังคับที่ใช้บงั คับทัว่ ไป
- กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ
2.กฎหมายระหว่างประเทศเป็ นส่ วนหนึ่งของกฎหมายภายในประเทศใช่หรื อไม่
2.1.ตามหลักคอมมอนลอว์ กฎหมายระหว่างประเทศเป็ นกฎหมายภายใน
2.2.ตามหลักประมวลกฎหมาย ( นักกฎหมายในประเทศภาคพื้นยุโรป )
ประเภทของกฎหมายระหว่างประเทศ
1.กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมืองเป็ นเครื่ องกำหนดหลักเกณฑ์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ซึ่ งประเทศย่อมมีสิทธิและหน้าที่เหมือนบุคคลธรรมดาคนหนึ่ง สิ ทธิ และหน้าที่ในฐานะนิติบุคคลของแต่ละ
ประเทศต้องมีความสัมพันธ์และข้อพิพาทโต้แย้งซึ่ งกันและกัน
2.กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลเป็ นกฎหมายที่บญั ญัติเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
ซึ่ งอยูใ่ นประเทศต่าง ๆ กัน เป็ นความเกี่ยวพันธ์ในเรื่ องสิ ทธิ และหน้าที่ของพลเมืองของประเทศซึ่ งกระทำ
การเกี่ยวข้องกับคนต่างชาติ หรื อระหว่างคนต่างชาติดว้ ยกันเองในขณะอยูใ่ นประเทศอื่น
* ตำรากฎหมายระหว่างประเทศบางเล่มมีกฎหมายระหว่ างประเทศแผนกคดีอาญาเพิม่ อีก 1 ประเภท
บทบาทของกฎหมายระหว่างประเทศ
1.การก่อให้เกิดและธำรงไว้ซ่ ึ งความเป็ นระเบียบเรี ยบร้อย ที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ส่วนรวมของ
สังคมแห่งรัฐเป็ นบทบาทที่ยอมรับกันโดยทัว่ ไป ทำให้ส่งเสริ มมิตรภาพ ความร่ วมมือปรองดอง และ
มิตรไมตรี ระหว่างรัฐ โดยกฎหมายระหว่างประเทศไม่พ่ งึ พาการใช้ก ำลังให้รัฐอยูภ่ ายใต้บงั คับของกฎหมาย
ระหว่างประเทศ กล่าวคือ ไม่มีสภาพบังคับ นัน่ เอง ( จึงมีผกู ้ ล่าวว่า กฎหมายระหว่างประเทศมีลกั ษณะที่ไม่
สมบูรณ์ หรื อกล่าวอีกนัยว่า กฎหมายที่ยงั ไม่สุกงอม ) จึงทำให้สงั คมระหว่างรัฐมีลกั ษณะ สังคมอนาธิ ปไตย
ซึ่ งไม่มีอ ำนาจสูงสุ ดในการบังคับบัญชา ทำให้รัฐต่าง ๆ มีการใช้ก ำลังต่อสู ้กนั อยูบ่ ่อย ๆ
2.การคุม้ ครองผลประโยชน์ของรัฐที่เกิดกรณี ขดั แย้งกันกฎหมายระหว่างประเทศก็เหมือนกับระบบ
กฎหมายอื่น ๆ กล่าวคือ เป็ นผลพวงที่เกิดจากความสัมพันธ์ของอำนาจ เป็ นเครื่ องมือของรัฐที่มีอ ำนาจที่จะ
ใช้เพื่อรักษาอำนาจที่มีอยูใ่ ห้มนั่ คงและยัง่ ยืน่ และแสวงหาผลประโยชน์จากรัฐที่ดอ้ ยอำนาจ
* แนวคิดของลัทธิสงั คมนิยมมาร์กซิสม์ เห็นว่า กฎหมายระหว่างประเทศเป็ นเครื่ องมือของรัฐที่มีอ ำนาจและ
กำลัง ที่จะแสวงหาผลประโยชน์จากรัฐที่ดอ้ ยด้วยกำลัง เช่นเดียวกับกฎหมายทัว่ ไป
ความรู้ทั่วไปเกีย่ วกับกฎหมายระหว่ างประเทศ
ความรู้ ทวั่ ไปเกีย่ วกับกฎหมายระหว่างประเทศ
ความหมายและลักษณะของกฎหมายระหว่างประเทศ
วิวฒั นาการของกฎหมายระหว่างประเทศ
บ่อเกิดของกฎหมายระหว่างประเทศ
ความหมายและลักษณะของกฎหมายระหว่ างประเทศ
ความหมายและลักษณะของกฎหมายระหว่างประเทศ
ความหมายของกฎหมายระหว่างประเทศ
ลักษณะของกฎหมายระหว่างประเทศ
ความหมายของกฎหมายระหว่างประเทศ
กฎหมายระหว่างประเทศหมายถึงกฎเกณฑ์ที่ใช้บงั คับในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลระหว่าง
ประเทศ ซึ่ งในปัจจุบนั นอกจากรัฐแล้วยังมีองค์การระหว่างประเทศอีกด้วย อีกทั้งยังมีเนื้อหาซึ่ ง
เกี่ยวข้องกับการคุม้ ครองปัจเจกชนภายในรัฐต่างๆด้วย
กฎหมายระหว่างประเทศเป็ นกฎเกณฑ์ทางกฎหมาย แต่กฎหมายระหว่างประเทศมีลกั ษณะที่แตก
ต่างจากกฎหมายภายในของรัฐ เนื่องจากโครงสร้างของสังคมและพื้นฐานทางกฎหมายของกฎหมายทั้ง
สองระบบแตกต่างกัน
คำนิยามของกฎหมายระหว่างประเทศ
กฎหมายที่ใช้บงั คับต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ
รัฐเท่านั้นที่มีสิทธิและหน้าที่ซ่ ึ งได้รับการยอมรับ (Recognized)
เดิมรัฐเท่านั้นที่เป็ นบุคคลภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ (Subject of International Law)
ส่ วนปัจเจกชน ตลอดจนองคาพยพอื่นๆ (Entity) ซึ่ งได้รับผลประโยชน์ หรื อภาระ ตามกฎหมาย
ระหว่างประเทศนั้นถือว่าได้มาโดยความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับรัฐ จึงเป็ นเพียงเป้ าหมาย หรื อวัตถุ
แห่งกฎหมายระหว่างประเทศเท่านั้น (Object of International Law)
ต่อมากฎหมายระหว่างประเทศได้ขยายขอบเขตไปบังคับต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและองค์การ
ระหว่างประเทศ และ ระหว่างรัฐหรื อองค์การระหว่างประเทศกับปั จเจกชนด้วย องค์การระหว่าง
ประเทศเดิมก็ให้หมายถึง Inter governmental Organization แต่ปัจจุบนั ก็ขยายไปถึง NGO ด้วย
ความหมายของกฎหมายระหว่างประเทศ
กฎหมายระหว่างประเทศจึงหมายถึงกฎหมาย และ ระเบียบข้อบังคับทั้งปวงของสังคมระหว่าง
ประเทศ ที่ก ำกับ และ ควบคุมพฤติกรรมของบุคคลระหว่างประเทศให้สามารถอยูร่ ่ วมกันได้อย่าง
สันติสุข ซึ่ งในปัจจุบนั นี้ กฎหมายระหว่างประเทศมิได้จ ำกัดบทบาทอยูเ่ พียงในความสัมพันธ์
ระหว่างประเทศเท่านั้น แต่ได้ขยายบทบาทเข้ามาใช้บงั คับในประเทศด้วย โดยเข้ามาควบคุมแม้แต่
พฤติกรรมขององค์กรของรัฐกับปัจเจกชนด้วย แล้วยังให้ความคุม้ กันแก่ปัจเจกชน มิให้ผใู ้ ดละเมิด
สิ ทธิมนุษยชน ให้ความคุม้ ครองแก่เด็ก และสตรี ตลอดจนสิ่ งแวดล้อม และดำเนินคดี ลงโทษแก่ผู ้
ประกอบอาชญากรรมต่อมนุษยชาติและอาชญากรรมสงคราม
ความหมายของกฎหมายระหว่ างประเทศ
กฎหมายระหว่างประเทศเป็ นกฎเกณฑ์ทางกฎหมาย แต่กฎหมายระหว่างประเทศมีลกั ษณะที่แตกต่าง
จากกฎหมายภายในของรัฐ เนื่องจากโครงสร้างของสังคมและพื้นฐานทางกฎหมายของกฎหมายทั้งสอง
ระบบแตกต่างกัน
การยืนยันว่ากฎหมายระหว่างประเทศเป็ นกฎหมายอาจกระทำได้โดยอาศัยข้อพิสูจน์หลายประการ
นอกจากนี้ไม่วา่ นักนิติศาสตร์จะมีความเห็นแตกต่างกันอย่างไรก็ตามเกี่ยวกับคำอธิ บายเรื่ องสภาพบังคับ
ของกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ในทางปฏิบตั ิแล้วปั จจัยที่สำคัญก็คือเจตนารมณ์ของรัฐต่างๆ และ
ปั จจัยภายนอกอื่นๆ เช่น ผลประโยชน์ของประชาคมระหว่างประเทศ
ลักษณะของกฎหมายระหว่างประเทศ
สภาพบังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ แตกต่างจากกฎหมายภายใน
กฎหมายระหว่างประเทศแตกต่างจากมารยาท และอัธยาศัยไมตรี อนั ดีระหว่างประเทศ (International
Comity หรื อ Comitas gentium) หรื อศีลธรรม (Moral) ซึ่ งไม่มีสถานะเป็ นกฎหมาย และไม่มีโทษ
กฎหมายระหว่างประเทศลงโทษโดยหลักการความรับผิดชอบของรัฐ (State Responsibility, Economic
Sanction, Diplomatic Isolation)
ความแตกต่ างระหว่างกฎหมายระหว่างประเทศกับกฎหมายภายใน
ปัจจัยด้านโครงสร้าง
การรวมตัว Integration
หลักอธิปไตย Sovereignty, Supranational
การบังคับใช้กฎหมาย Enforcement, Consessus
ปัจจัยด้านพื้นฐานทางกฎหมาย
Pacta Sunt Servanda,
อำนาจรัฎฐาธิปัตย์
ข้ อพิสูจน์ เกีย่ วกับการกฎหมายและสภาพบังคับของกฎหมายระหว่ างประเทศ
ข้อพิสูจน์วา่ กฎหมายระหว่างประเทศเป็ นกฎหมาย
มูลฐานของสภาพบังคับหรื อผลผูกพันของกฎหมายระหว่างประเทศ
บทวิเคราะห์
ข้อพิสูจน์วา่ กฎหมายระหว่างประเทศเป็ นกฎหมายศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้น ำกฎหมายระหว่าง
ประเทศมาปรับใช้ประเทศทัว่ โลกยอมรับความมีอยูข่ องกฎหมายสหประชาชาติมีบทบาทในการ
ประมวลกฎหมายระหว่างประเทศโดยสมาชิกทัว่ โลกยอมรับไม่เคยมีประเทศใดปฏิเสธความเป็ น
กฎหมายระหว่างประเทศ และเรี ยกร้องสิ ทธิ ตามกฎหมายระหว่างประเทศมีกฎหมายระหว่างประเทศที่
ละเมิดมิได้แม้กฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายภายในไม่เหมือนกันก็มิอาจจะเปรี ยบเทียบกันได้
มูลฐานของสภาพบังคับหรือผลผูกพันของกฎหมายระหว่ างประเทศ
แนวคิดที่ยดึ ถือเจตนารมณ์ของผูท้ รงสิ ทธิ ของกฎหมายและรู ปแบบ Voluntarism- Positivism
ทฤษฎีการจำกัดอธิปไตยของตน Auto Autonomy
ทฤษฎีเจตนารมณ์ร่วมกัน Common consessus
ทฤษฎีกฎเกณฑ์ที่เหนือกว่า Pacta sunt servanda
แนวคิดที่ยดึ ถือปัจจัยภายนอกที่มิใช่เจตนารมณ์ของรัฐ
กฎหมายธรรมชาติ: เหตุผล จิตวิญญาณในธรรมชาติของมนุษย์
พวก Objectivism: Solidarist, Marxist
บทวิเคราะห์
ไม่อาจมีทฤษฎีหนึ่งทฤษฎีใดที่ตอบคำถามได้อย่างชัดเจน จึงต้องอาศัยทฤษฎีการประสาน กล่าวคือใน
ปั จจุบนั บทบาทของเจตนารมณ์ของรัฐในการสร้างกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศเป็ นสิ่ งที่ไม่อาจจะปฏิเสธ
ได้ แต่ในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ และเพื่อร่ วมกันรับผิดชอบแก้ไขปั ญหาส่ วนรวม ทำให้รัฐ
ต้องยอมรับการเกิดขึ้นของกฎเกณฑ์ แม้จะไม่ใช่ดว้ ยความสมัครใจ หรื อสิ่ งที่ตนปรารถนาก็ตาม ดังนั้น
จึงมีปัจจัยอื่นๆในการพิจารณานอกเหนือจากเจตนารมณ์ในการสร้างกฎหมาย
ไม่วา่ จะมีความโต้แย้งในมูลฐานของสภาพบังคับของกฎหมายระหว่างประเทศเป็ นอย่างไรก็ไม่อาจ
ปฏิเสธสถานภาพของกฎหมายระหว่างประเทศว่าเป็ นกฎหมายอีกต่อไป
วิวฒ
ั นาการของกฎหมายระหว่างประเทศ
วิวฒั นาการของกฎหมายระหว่างประเทศในด้านรู ปแบบและเนื้ อหา
วิวฒั นาการของกฎหมายระหว่างประเทศในเชิงประวัติศาสตร์
วิวฒั นาการของกฎหมายระหว่างประเทศในด้ านรู ปแบบและเนือ้ หา
วิวฒั นาการของกฎหมายระหว่างประเทศในด้านรู ปแบบ
จารี ตประเพณี (Customary International Law)
ทางปฏิบตั ิของรัฐ (State Practice)
รู ปแบบกฎหมายมหาชนระหว่างประเทศ (Public International Law)
เกี่ยวข้องเฉพาะรัฐ (State, Sovereignty, Diplomatic Immunity, Law of the Sea, Law of War)
ต่ อมาขยายขอบเขตความสัมพันธ์ ของรัฐ
ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเอกชน
สร้างกฎหมายในรู ปของสนธิสญ ั ญา ทวิภาคี พหุภาคี
วิวฒั นาการของกฎหมายระหว่างประเทศในด้ านเนือ้ หา
เดิมทีกฎหมายระหว่างประเทศ จำกัดเพียงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐจึงเน้น Public international Law
เช่น Law of War, Jus ad bellum, Jus in bello
ต่อมาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศขยายไปครอบคลุมถึงระดับองค์การระหว่างประเทศ และ
เอกชน จึงเกิด Private International Law, International transaction , International trade law,
Maritime Law, International environmental law, International criminal Law, Intellectual property
law, International organization Law, Humanitarian Law
วิวฒั นาการของกฎหมายระหว่างประเทศในเชิงประวัตศิ าสตร์
จากอดีตถึงสิ้ นสมัยกลางประมาณศตวรรษที่ 16 กฎเกณฑ์ของกลุ่มสังคม, จักรวรรดิ, อาณาจักร
โรมัน Jus gentium อิทธิพลของศาสนา, ยุคกลาง Middle Age ความขัดแย้งทางศาสนา การเกิดสงครามแย่ง
ชิง ขยายอำนาจทางทะเล อำนาจอธิปไตย สันติภาพ จากยุคศตวรรษที่ 16 จนถึงสงครามโลกครั้งที่ 1 ยุคสร้าง
รัฐชาติ ศูนย์กลางที่ยโุ รป วิวฒั นาการทางเทคโนโลยี อธิ ปไตย ความเสมอภาค สร้างสถาบันความร่ วมมือ
สงครามโลกครั้งที่ 1 การสร้างกฎเกณฑ์เพื่อสันติภาพ จากยุคสงครามโลกครั้ งที่ 1 ถึงยุคปั จจุบนั สิ้ น
สงครามโลกครั้งที่ 1 ใช้กฎหมายเป็ นเครื่ องมือรักษาสันติภาพของโลกสิ้ นสงครามโลกครั้งที่ 2 Collective
Security, Socialism- Liberalism, Cold War, North-South สิ้ นสงครามเย็น Economic War, Neo Liberalism,
Global Market
บ่ อเกิดของกฎหมายระหว่างประเทศ
บ่อเกิดหลักของกฎหมายระหว่างประเทศ
บ่อเกิดลำดับรองของกฎหมายระหว่างประเทศ และบ่อเกิดที่มิได้บญั ญัติไว้ในธรรมนูญศาลยุติธรรม
ระหว่างประเทศ
บ่ อเกิดหลักของกฎหมายระหว่างประเทศ
สนธิสญ ั ญา (Treaty)
กฎหมายจารี ตประเพณี ระหว่างประเทศ (Customary International Law)
ลักษณะและหลักการที่สำคัญเกี่ยวกับจารี ตประเพณี ระหว่างประเทศ
ไม่เป็ นลายลักษณ์อกั ษร เป็ นบ่อเกิดของกฎหมาย มีผลใช้ได้ทวั่ ไป erga omnes จารี ตประเพณี มีท้ งั
สากล และท้องถิ่น
การสร้างจารี ตประเพณี ระหว่างประเทศ: Material element, Time element, Psychological element)
หลักกฎหมายทัว่ ไป (General Principle of Law)
วิวฒ ั นาการของขั้นตอนการสร้ างกฎหมายจารีตประเพณีระหว่ างประเทศ
องค์การระดับสากลเป็ นเวทีในการเจรจาระหว่างประเทศ เพื่อประมวลและพัฒนาการกฎหมาย
ระหว่างประเทศ สร้างระเบียบกฎเกณฑ์ เกิดแนวโน้มของกฎหมาย de lege ferenda มีการอุดช่อง
ว่างของกฎหมาย lacunae ต่อมากฎหมายก่อตัวขึ้นเป็ น lex ferenda หรื อ soft law, Guideline
มีการประมวลจารี ตประเพณี เป็ นกฎหมายที่แน่นอน จนเป็ นที่ยอมรับในฐานะกฎหมายเป็ น Lex lata
บ่ อเกิดลำดับรองของกฎหมายระหว่างประเทศ
แนวคำพิพากษาของศาลระหว่างประเทศ (Jurisprudence of International Law)
ทฤษฎีของผูเ้ ชี่ยวชาญทางกฎหมายระหว่างประเทศ (Doctrine of Publicist)
บ่ อเกิดทีม่ ิได้ บัญญัติไว้ในธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่ างประเทศ
การกระทำฝ่ ายเดียว (Unilateral Acts)
การกระทำฝ่ ายเดียวของรัฐ
การกระทำฝ่ ายเดียวขององค์การระหว่างประเทศ
Acts, Decision, Resolution, Declaration
Law-Making Treaty
เช่นปฏิญญาสากลว่าด้วยสิ ทธิมนุษยชน Universal Declaration of Human rights
Displaced Persons
องค์ การระหว่ างประเทศ
องค์ การระหว่างประเทศ (International Organizations) หมายถึง โครงสร้างหรื อสถาบันที่เป็ นทางการ
(formal) ถูกสร้างขึ้นโดยข้อตกลงระหว่างรัฐหรื อไม่ใช่รัฐก็ได้ เพื่อบรรลุจุดประสงค์และผลประโยชน์ร่วม
กัน ซึ่ งองค์การระหว่างประเทศจะตั้งขึ้นโดยสนธิ สญ
ั ญาหรื อความตกลงระหว่างสอง "รัฐ" ขึ้นไป
2. OHRLLS
3. สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP)
4. กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA)
5. กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF)
1. กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)
1. องค์กรการบินพลเรื อนระหว่างประเทศ (ICAO)
เมืองซานโตโดมินโก มี 1 องค์กรคือ
1. INSTRAW
เมืองซานติเอโก มี 1 องค์กร คือ
1. ECLAC
ทวีปยุโรป
รวม 21 องค์กร ได้แก่
กรุ งเจนีวา มี 10 องค์กร คือ
1. ECE
2.ILO
4.OHCHR
5.การประชุมสหประชาชาติวา่ ด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD)
6.UNHCR
7.องค์การอนามัยโลก (WHO)
8.WIPO
9.องค์กรอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO)
10.องค์การการค้าโลก (WTO) (Trade)
1.IAEA
2.UNIDO
3.UNODC
1.องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO)
2.IFAD
3.WFP
1.IMO
1.กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF)
1.WTO (Tourism)
1.ICJ
1.องค์การสิ่ งแวดล้อมโลก (UNEP)
2.UN-HABITAT
1.ECA
ทวีปเอเชีย
รวม 4 องค์กรคือ
กรุ งเบรุต มี 1 องค์กร คือ
1.ESCWA
1.UNU
สหประชาชาติ
ประเทศที่ได้รับการรับรองว่าเป็ นเอกราชจากองค์การสหประชาชาติ โดยไม่ค ำนึงถึงมุมมองของรัฐ
สมาชิกอื่น หรื อต่อสถานภาพทางกฎหมายของประเทศใดๆ
สำนักงานใหญ่ แมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริ กา
ภาษาราชการ ภาษาอารบิก ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษารัสเซี ย ภาษาสเปน
รัฐสมาชิก 192 ประเทศ
ผูน้ ำ เลขาธิการสหประชาชาติ บัน คี มูน
การก่อตั้ง กฎบัตรสหประชาชาติ 26 มิถุนายน ค.ศ. 1945
การบังคับใช้กฎบัตร 24 ตุลาคม ค.ศ. 1945
สหประชาชาติ (อังกฤษ: United Nations; ตัวย่อ: UN) หรื อ องค์ การสหประชาชาติ (ตัวย่อ: UNO)
เป็ นองค์การระหว่างประเทศซึ่ งมีวตั ถุประสงค์เพื่อก่อให้เกิดร่ วมมือกันของกฎหมายระหว่างประเทศ ความ
มัน่ คงระหว่างประเทศ การพัฒนาเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม สิ ทธิ มนุษยชน และการบรรลุ
สันติภาพโลก สหประชาชาติถูกก่อตั้งขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติลงในปี พ.ศ. 2488 เพื่อแทนที่
สันนิบาตชาติ ในการยับยั้งสงครามระหว่างประเทศ และเพื่อเป็ นเวทีสำหรับการเจรจาเพื่อยุติขอ้ พิพาท
สหประชาชาติมีองค์การย่อย ๆ จำนวนมากเพื่อดำเนินการตามภารกิจ
สหประชาชาติมีสมาชิกทั้งหมด 192 ประเทศ ครอบคลุมรัฐอธิ ปไตยเกือบทุกรัฐบนโลก มี
สำนักงานใหญ่ต้ งั อยูใ่ นนครนิวยอร์ก ระบบสหประชาชาติอยูบ่ นพื้นฐานของ 5 องค์กรหลัก ได้แก่: สมัชชา
ใหญ่แห่งสหประชาชาติ คณะมนตรี ความมัน่ คงแห่งสหประชาชาติ คณะมนตรี เศรษฐกิจและสังคมแห่ ง
สหประชาชาติ สำนักงานเลขาธิการแห่งสหประชาชาติ และศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยงั มี
องค์กรอื่น ๆ อีกเช่นองค์การอนามัยโลก ยูเนสโก และยูนิเซฟ เจ้าหน้าที่ระดับสู งที่มกั เป็ นที่รู้จกั และปรากฏ
ตัวต่อสาธารณชน คือ เลขาธิการสหประชาชาติ ปั จจุบนั ผูด้ ำรงตำแหน่งนี้ คือ นายบัน คี มุน ชาว
เกาหลีใต้ เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2007 ต่อจากโคฟี อันนัน
ประวัติการก่ อตั้ง
สหประชาชาติถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อสื บทอดองค์การสันนิบาตชาติ ซึ่ งถูกมองว่าไร้ประสิ ทธิ ถาพที่จะ
ธำรงรักษาสันติภาพ ดังที่เห็นได้จากความล้มเหลวในการป้ องกันสงครามโลกครั้งที่สอง คำว่า
"สหประชาชาติ" เป็ นแนวคิดของ แฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์และวินสตัน เชอร์ชิลล์ ถูกใช้ครั้งแรกในกฎบัตร
สหประชาชาติ เมื่อปี ค.ศ. 1942 ซึ่ งเป็ นการรวบรวมเอาประเทศฝ่ ายสัมพันธมิตร 26 ประเทศในสงครามโลก
ครั้งที่สองเข้าด้วยกันภายใต้การลงนามในกฎบัตรแอตแลนติก และกลายเป็ นคำที่ใช้เรี ยกองค์การนี้ ในที่สุด
ในปี ค.ศ. 1944 ตัวแทนจากประเทศฝรั่งเศส สาธารณรัฐจีน สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริ กา และสหภาพ
โซเวียต ได้เข้าร่ วมประชุมเพื่อวางแผนการก่อตั้งสหประชาติที่ดมั บาตันโอกส์ ในกรุ งวอชิงตัน ดี.ซี . การ
ประชุมครั้งนั้นและครั้งต่อ ๆ มา ทำให้เกิดรากฐานความร่ วมมือกันระหว่างประเทศเพื่อนำไปสู่ สนั ติภาพ
ความมัน่ คง ความร่ วมมือทางเศรษฐกิจและสังคม โดยแผนเหล่านี้ได้ผา่ นการถกเถียงอภิปรายจากรัฐบาล
และประชาชนจากทัว่ โล
เมื่อใกล้สิ้นสุ ดสงคราม การประชุมสหประชาชาติวา่ ด้วยองค์การระหว่างประเทศ เริ่ มต้นขึ้นเมื่อวัน
ที่ 25 เมษายน ค.ศ. 1945 ที่นครซานฟรานซิสโก ตัวแทนจาก 50 ประเทศได้ลงนามในกฎบัตรสหประชาชาติ
เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ยกเว้นโปแลนด์ที่ไม่สามารถส่ งผูแ้ ทนเข้าร่ วมประชุมได้แต่ได้รับการพิจารณาให้เป็ น
สมาชิกดั้งเดิม รวมเป็ น 51 ประเทศ แม้สนั นิบาตชาติจะถูกล้มเลิกไป แต่อุดมการณ์ส่วนใหญ่และโครงสร้าง
บางประการได้ถูกกำหนดไว้ในกฎบัตรโดยได้รับการพัฒนาให้เหมาะสมกับโลกใหม่ที่ซบั ซ้อนมากขึ้น หลัง
จากกฎบัตรผ่านการลงนามจากสมาชิก สหประชาชาติจึงได้รับการสถาปนาอย่างเป็ นทางการเมื่อกฏบัตรมี
ผลบังคับใช้ในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 1945 หลังจากนั้น การประชุมสมัชชาครั้งแรกเกิดขึ้นที่กรุ ง
ลอนดอน เมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 1946
ระบบสหประชาชาติอยูบ่ นพื้นฐานของ 5 องค์กรหลัก (ไม่นบั รวมไปถึง คณะมนตรี ภาวะทรัสตี
แห่งสหประชาชาติ ซึ่ งยุติการปฏิบตั ิงานไปในปี ค.ศ. 1994) ซึ่ งประกอบด้วย สมัชชาใหญ่แห่ง
สหประชาชาติ คณะมนตรี ความมัน่ คงแห่งสหประชาชาติ คณะมนตรี เศรษฐกิจและสังคมแห่ ง
สหประชาชาติ สำนักงานเลขาธิการแห่งสหประชาชาติและศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ สี่ องค์กรในจำนวน
ดังกล่าวมีสถานที่ท ำการในสำนักงานใหญ่ขององค์การสหประชาชาติในนครนิวยอร์ก ส่ วนศาลยุติธรรม
ระหว่างประเทศตั้งอยูท่ ี่กรุ งเฮก ส่ วนองค์การย่อย ๆ ตั้งอยูท่ ี่เจนีวา เวียนนาและไนโรบี รวมไปถึงเมืองอื่น ๆ
ทัว่ โลก
สหประชาชาติมีธง ที่ท ำการไปรษณี ย ์ และดวงตราไปรษณี ยากรของตนเอง ภาษาทางการที่ใช้มีอยู่
6 ภาษา คือ ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาสเปน ภาษารัสเซี ย ภาษาจีน และภาษาอาหรับ โดยที่ภาษา
อาหรับได้ถูกเพิ่มเข้ามาหลังสุ ด เมื่อปี ค.ศ. 1973 ส่ วนสำนักงานเลขาธิ การนั้นใช้ 2 ภาษาคือ ภาษา
อังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส ภาษาอังกฤษที่ก ำหนดให้เป็ นมาตรฐาน คือ อังกฤษบริ ติช และการสะกดแบบอ
อกซ์ฟอร์ด ส่ วนภาษาจีนมาตรฐาน คือ อักษรจีนตัวย่อ ซึ่ งเปลี่ยนมาจาก อักษรจีนตัวเต็ม ในปี ค.ศ. 1971 เมื่อ
สาธารณรัฐประชาชนจีนเป็ นสมาชิกสหประชาชาติแทนสาธารณรัฐจีน
สมัชชาใหญ่ แห่ งสหประชาชาติ
สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ
ดูบทความหลักที่ สมัชชาใหญ่ แห่ งสหประชาชาติ
สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติคือการประชุมของประเทศสมาชิกองค์การสหประชาชาติ
ประเทศสมาชิกของสหประชาชาติจะประชุมสมัชชาใหญ่ซ่ ึ งอาจเปรี ยบได้กบั รัฐสภาของโลกเป็ น
ประจำทุกปี โดยมีประธานสมัชชาที่ได้รับการเลือกมาจากประเทศสมาชิก การประชุมจะกินเวลานาน
สองสัปดาห์ ซึ่ งทุกประเทศสามารถเสนอญัตติแก่ที่ประชุมได้ การประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งแรกเกิดขึ้น
เมื่อวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 1946 ณ กรุ งลอนดอน ซึ่ งในขณะนั้นมีสมาชิก 51 ประเทศ
เมื่อที่ประชุมสหประชาชาติมีญตั ติที่สำคัญ จะต้องมีการลงมติโดยประเทศสมาชิกจำนวน
อย่างน้อยสองในสามเพื่อให้มีการผ่าน อย่างเช่น การประชุมเกี่ยวกับสันติภาพและการรักษาความ
ปลอดภัย การเลือกสมาชิกขององค์การ การรับสมาชิก การยุติสถานะสมาชิก การขับไล่สมาชิกและ
เรื่ องของการจัดสรรงบประมาณ ส่ วนญัตติอื่นจะยึดถือตามเสี ยงข้างมาก ไม่วา่ ประเทศจะมีขนาดใหญ่
หรื อเล็ก ร่ำรวยหรื อยากจน ต่างมีสิทธิออกเสี ยงได้เพียงเสี ยงเดียว แม้วา่ คำตัดสิ นของสมัชชาใหญ่มิได้
ถือเป็ นข้อผูกมัดแต่กเ็ ป็ นมติที่มีน ้ำหนักเท่ากับเป็ นความเห็นของรัฐบาลโลก สมัชชาใหญ่สามารถให้
คำแนะนำเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ภายใต้ขอบเขตขององค์การสหประชาชาติ ยกเว้นเรื่ องสันติภาพและ
การรักษาความปลอดภัยซึ่ งเป็ นการตัดสิ นใจของคณะมนตรี ความมัน่ คงแห่งสหประชาชาติ
คณะมนตรีความมัน่ คงแห่ งสหประชาชาติ
คณะมนตรี ความมัน่ คงแห่งสหประชาชาติมีหน้าที่ด ำรงรักษาสันติภาพและความปลอดภัยแก่
ประเทศสมาชิก ขณะที่ส่วนอื่น ๆ ของสหประชาชาติสามารถเพียงให้ค ำแนะนำแก่รัฐบาลของประเทศ
สมาชิก แต่คณะมนตรี ความมัน่ คงมีอ ำนาจที่จะผูกมัดประเทศสมาชิกให้ปฏิบตั ิตามการตัดสิ นใจของ
คณะมนตรี ความมัน่ คงแห่งสหประชาชาติตามข้อตกลงในกฎบัตรข้อที่ 25 โดยผลการตัดสิ นใจของ
คณะมนตรี ความมัน่ คง เรี ยกว่า มติของคณะมนตรี ความมัน่ คงแห่งสหประชาชาติ
คณะมนตรี ความมัน่ คงแห่งสหประชาชาติประกอบด้วยสมาชิก 15 ประเทศ ได้แก่ สมาชิก
ถาวร 5 ประเทศ คือ จีน ฝรั่งเศส รัสเซีย สหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริ กา และสมาชิกไม่ถาวรอีก
10 ประเทศ ซึ่ งปัจจุบนั ประกอบด้วย ออสเตรี ย บอสเนียและเฮอร์เซโกวี
นา บราซิล กาบอง ญี่ปน เลบานอน เม็
ุ่ กซิ โก ไนจีเรี ย ตุรกี และยูกนั ดาและ สมาชิกถาวรทั้งห้าประเทศ
มีสิทธิ์ ที่จะใช้อ ำนาจยับยั้งการนำไปใช้ แต่ไม่ใช่การยับยั้งมติโดยรวม ส่ วนสมาชิกไม่ถาวรทั้งสิ บ
ประเทศจะอยูใ่ นตำแหน่งคราวละสองปี ซึ่ งได้รับเลือกจากสมัชชาใหญ่โดยใช้เกณฑ์ตามภูมิภาค
ประธานคณะมนตรี ความมัน่ คงแห่งสหประชาชาติจะหมุนเวียนตามตัวอักษรทุกเดือน ซึ่ งขณะนี้
ประเทศที่เป็ นประธานคณะมนตรี ความมัน่ คงแห่งสหประชาชาติ คือ เวียดนาม
เลขาธิการสหประชาชาติ
1. เสริ มสร้างสมรรถนะของประเทศด้านการพัฒนาประชากรและการวางแผนครอบครัว
2. ส่ งเสริ มการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปั ญหาประชากรและพัฒนากลยุทธ์ในการแก้ปัญหา
3. สนับสนุนและช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาตามคำขอเพื่อจัดการปั ญหาประชากรด้วยรู ปแบบและ
วิธีการที่สอดคล้องกับความต้องการของแต่ละประเทศ
4. มีบทบาทนำในระบบสหประชาชาติในการส่ งเสริ มแผนงานด้านประชากรและประมานงาน
โครงการต่างๆที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ
กองทุนเพือ่ เด็กแห่ งสหประชาชาติ
กองทุนเพือ่ เด็กแห่ งสหประชาชาติ หรื อ ยูนิเซฟ (อังกฤษ United Nations Children's Fund -
UNICEF) เป็ นหน่วยงานของสหประชาชาติเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม, พัฒนาการ,
สุ ขภาพรวมถึงความเป็ นอยูข่ องเด็กและแม่ในประเทศกำลังพัฒนา ก่อตั้งโดยสมัชชาสามัญแห่ง
สหประชาชาติเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2489 ด้วยชื่อในขณะนั้นว่า United Nations International
Children's Emergency Fund
กองทุนฉุกเฉินสำหรับเด็กแห่ งสหประชาชาติ
ในวันที่ 7 กันยายน 2549 ทางยูนิเซฟได้ท ำข้อตกลงกับสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา โดยเสื้ อของ
สโมสรจะมีสญ ั ลักษณ์ของยูนิเซฟ ซึ่ งเป็ นครั้ งแรกของสโมสรฟุตบอลที่มีโฆษณาหน่วยงานแทนที่โฆษณา
สิ นค้า
องค์ การยูนิเซฟ
ปั จจุบนั จะดูแลงานที่เกี่ยวกับการช่วยเหลือเด็กทัว่ โลก ดูแลพัฒนาการ การศึกษาพื้นฐาน ความเท่า
เทียมกันระหว่างเพศ เช่นการได้รับการศึกษาของเด็กหญิง การปกป้ องเด็กจากความรุ นแรง การทารุ ณทำร้าย
เด็ก การใช้แรงงานเด็ก โรคเอดส์ที่ติดต่อมาถึงเด็ก รวมถึงการพิทกั ษ์สิทธิ ของเด็กด้วย
โครงสร้ างองค์กรและผู้ร่วมงาน
หัวใจหลักในการทำงานของยูนิเซฟ คือ การลงภาคสนามไปกับบรรดาผูอ้ าสามาร่ วมงานด้วยใน
มากกว่า 150 กว่าประเทศ และยังมีสำนักงานตั้งอยูใ่ นประเทศต่างๆ มากกว่า 120 ประเทศ สำหรับของไทย
จะมี คุณอานันท์ ปันยารชุน เป็ นทูตยูนิเซฟประจำประเทศไทย นอกจากนี้ ยงั มี เคน ธีรเดช วงศ์พวั
พันธ์ และ แอน ทองประสม ด้วย
วอชิงตัน ดี.ซี. กองทุนการเงินระหว่างประเทศ
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (อังกฤษ: International Monetary Fund) หรื อ ไอเอ็มเอฟ (IMF)
เป็ นองค์กรที่รัฐบาลของกลุ่มประเทศพันธมิตรได้ร่วมก่อตั้งขึ้น มีฐานะเป็ นทบวงการชำนาญพิเศษของ
สหประชาชาติ โดยมีขอ้ บังคับว่าประเทศที่จะเป็ นสมาชิกธนาคารโลก และจะต้องเป็ นสมาชิกของ IMF ด้วย
เริ่ มเปิ ดดำเนินการในเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1947 ประเทศที่สมัครเป็ นสมาชิกกองทุนการเงินฯ จะต้องเป็ น
สมาชิกขององค์การสหประชาชาติอยูก่ ่อนแล้ว ในปั จจุบนั มีสมาชิก 185 ประเทศ (montenegro เป็ นสมาชิก
อันดับที่ 185 เข้าร่ วมเมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 2007)
วัตถุประสงค์และหน้ าที่
วัตถุประสงค์ของการก่อตั้ง IMF คือ จัดการและควบคุมระบบการเงินของโลกและช่วยเหลือ
ประเทศที่เผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ โดยจะประสานการทำงานกับกระทรวงการคลัง และแบงก์ชาติของแต่ละ
ประเทศ หน้ าที่หลักของ IMF มีอยู่ 3 ประการคือ
1. จัดระบบการเงินโลก
2. กำกับกติกาทางเศรษฐกิจของโลก เพื่อให้เกิดความมัน่ คงมีเสถียรภาพ
3. สร้างเงินซึ่ งเป็ นเงินสำรองระหว่างประเทศ เป็ นเงินที่เป็ นกลาง ไม่ได้เป็ นเงินของประเทศใด
ประเทศหนึ่ง
World Bank group
ธนาคารเพื่อการบูรณะและพัฒนาระหว่างประเทศ (อังกฤษ: International Bank for Reconstruction
and Development; IBRD) สมาพันธ์การพัฒนาระหว่างประเทศ (IDA)บรรษัทการเงินระหว่างประเทศ
(IFC)สถาบันประกันการลงทุนแบบพหุภาคี (MIGA)Center for the Settlement of Investment Disputes
(ICSID)
เมืองมอลทรีออล มี 1 องค์กร คือ
องค์ การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (อังกฤษ: International Civil Aviation Organization -
ICAO) มีสมาชิก 190 ประเทศ สำนักงานใหญ่ต้ งั อยูท่ ี่เมืองมอนทรี ออล ประเทศแคนาดา[1] ส่ วนสำนักงาน
ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตั้งอยูท่ ี่ ถนนกำแพงเพชร 3 แขวงลาดยาว เขต
จตุจกั ร กรุ งเทพมหานคร ประเทศไทย
วัตถุประสงค์
1. การจัดให้มีงานทำและขจัดความยากจน
ภูมิหลังความสัมพันธ์ ไทย-กัมพูชา
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาถูกำหนดด้ วยปั จจัยหลากหลาย ตังแต่้ ภมู ิหลังและ
ประสบการณ์จากอดีต สภาพการเมืองภายในของแต่ละประเทศ ไปจนถึงบรรยากาศของการเมืองระหว่าง
ประเทศทังในภู
้ มิภาคและในโลก ความเกี่ยวข้ องหรื อน้ำหนักความสัมพันธ์ของปั จจัยบางประการอาจจะ
ผันแปรไปตามสถานการณ์หรื อยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ตัวอย่างที่คอ่ นข้ างชัดเจนก็คือ เมื่อปลอดจากความขัด
แย้ งของมหาอำนาจในสงครามเย็น บรรยากาศระหว่างประเทศก็เปลี่ยนไปในทางเสริ มสร้ างมากกว่าจะ
เป็ นอุปสรรคในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทังสอง ้ แต่ก็มีปัจจัยบางอย่างที่มกั จะเปลี่ยนแปลงยากแม้
เวลาจะเปลี่ยนไป โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับทัศนคติและความเข้ าใจของประชาชนที่มีตอ่ กัน อันเป็ นสิ่งที่ถกู ปลูก
ฝั งหรื อหล่อหลอมสืบทอดกันมาเป็ นเวลายาวนาน ตัวอย่างเช่น ชาวกัมพูชาจะได้ รับรู้เรื่ องราวในตำนาน
หรื อนิทานพื ้นบ้ านที่สะท้ อนประสบการณ์อนั ขมขื่นของกัมพูชาต่อไทยมาแต่วยั เด็ก หรื อในบางคราวก็มี
การนำเรื่ องราวเช่นนันกลั
้ บมาสร้ างเป็ นภาพยนตร์ เป็ นต้ น
เราต้ องเข้ าใจภาพรวมของปั จจัยต่างๆ เหล่านี ้เพื่อเข้ าใจสถานภาพของความสัมพันธ์ ณ ช่วงเวลา
ใดก็ตาม อย่างไรก็ดี ในที่นี ้ความสนใจหลักจะมุง่ ไปที่ภมู ิหลังทางประวัติศาสตร์ ที่ยงั คงมีน ้ำหนักความ
สำคัญอย่างมากแม้ ในปั จจุบนั โดยเฉพาะในแง่ที่เป็ นต้ นตอสำคัญของท่าทีและความเข้ าใจของเพื่อนบ้ าน
ทังสองที
้ ่มีตอ่ กัน ไม่วา่ จะเป็ นความหวาดระแวง ไม่ไว้ ใจ หรื อแม้ กระทัง่ ไม่เป็ นมิตร
ประสบการณ์ของกัมพูชาดูจะเป็ นความขมขื่นที่เกิดจากการดิ ้นรนเพื่อความอยูร่ อดก่อนที่จะตกไป
เป็ นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1863 การถูกรุกรานโดยตรงหลายต่อหลายครัง้ รวมทังการรุ
้ กราน (ทิ ้ง
ระเบิด) โดยสหรัฐอเมริกาในระหว่างสงครามอินโดจีน และโดยเวียดนามในช่วงปลาย ค.ศ. 1978 ตลอดจน
การสูญเสียดินแดนให้ แก่ไทยและเวียดนาม เป็ นความขมขื่นที่คงยากจะเลือนหายไปจากความทรงจำของ
ชาวกัมพูชา1
1
แน่นอน เราไม่ควรจะขยายความเรื่ องนี ้จนเป็ นอุปสรรคต่อความสัมพันธ์อนั ดีระหว่างกันในด้ าน
ต่างๆ โดยเฉพาะในยุคสมัยที่ต้องมีความร่วมมือและพึง่ พาอาศัยซึง่ กันและกันมากขึ ้นเช่นในปั จจุบนั ดังเช่น
ที่ นายกรัฐมนตรี ฮนุ เซนเอง ก็ได้ กล่าวไว้ เมื่อ ค.ศ. 1998 ว่า ถึงเวลาแล้ วที่จะ “dig a hole and bury the past”
แต่ก็กลับปรากฏว่า ในเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อเดือนมกราคม 2003 เขาเองมีสว่ นอย่างสำคัญในการ
ทำให้ สถานการณ์ลกุ ลามถึงระดับนัน้ ซึง่ จะกล่าวถึงต่อไป
กรณีเผาสถานเอกอัครราชทูต
การบุกเผาสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ เมื่อเดือนมกราคม 2003 นับเป็ นเหตุการณ์ที่
คาดไม่ถึงในแง่ของความรุนแรง2 แต่สิ่งที่คาดหมายได้ อย่างหนึง่ คือ ความอ่อนไหวของชาวกัมพูชาใน
ประเด็นเกี่ยวกับเชื ้อชาติ ดินแดน และสิ่งที่เป็ นสัญลักษณ์สำคัญของชาติ เช่น นครวัด (สัญลักษณ์นี ้ปรากฏ
ในธงชาติกมั พูชามาทุกยุคทุกสมัยรวมทังในช่้ วงที่เขมรแดงปกครองประเทศ)
กรณีที่กระตุ้นความรู้สกึ อ่อนไหวของชาวกัมพูชาจนกระทัง่ กลายเป็ นความรุนแรงในครัง้ นี ้ก็คือ ข่าว
ลือที่แพร่กระจายมานานนับเดือนแล้ ว ก่อนที่จะมีการตีพิมพ์โดยหนังสือพิมพ์ Rasamei Angkor ซึง่ อยูข่ ้ าง
รัฐบาล เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2003 ข่าวลือดังกล่าวเกี่ยวกับการให้ สมั ภาษณ์ของดาราสาวไทย สุวนันท์ คง
ยิ่ง (ชาวกัมพูชารู้จกั เธอในนาม “ผกายพฤกษ์ ” หรื อ “ดาวพระศุกร์ ” อันเป็ นชื่อละครโทรทัศน์ที่สร้ างชื่อเสียง
ให้ แก่ดาราสาวผู้นี ้) ว่า เธอจะยอมรับเชิญให้ มาแสดงที่ประเทศกัมพูชาก็ตอ่ เมื่อนครวัดคืนกลับมาเป็ นของ
ไทย นอกจากนัน้ ตามข่าวลือซึง่ มีการนำมาตีพิมพ์เผยแพร่โดยหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าว เธอยังแสดงการดู
หมิ่นชาวกัมพูชาด้ วยการกล่าวว่า หากเธอได้ เกิดใหม่ เธออยากจะเป็ นสุนขั มากกว่าจะเป็ นชาวกัมพูชา 3
2
3
4
ข้ อสงสัยเกี่ยวกับการอยูเ่ บื ้องหลังของฝ่ ายรัฐบาลน่าฟั งขึ ้น เมื่อปรากฏว่า ในวันเกิดเหตุ เจ้ าหน้ าที่
กัมพูชาดูจะมิได้ ใส่ใจระงับเหตุอย่างจริงจัง จึงทำให้ กลายเป็ นความรุนแรงอย่างคาดไม่ถึงดังกล่าว เป็ นไป
ได้ วา่ นักการเมืองกัมพูชา โดยเฉพาะที่เป็ นฝ่ ายรัฐบาลเองดังกล่าว ที่น่าจะอยูเ่ บื ้องหลังเหตุการณ์ครัง้ นี ้ ก็
คงคาดไม่ถึงว่า ระดับความรุนแรงจะลุกลามขึ ้นไปถึงระดับนัน้ (นอกจากการบุกเผาสถานเอกอัครราชทูต
ไทยแล้ ว ยังมีบริษัทและกิจการของไทย รวมทังของนายกรั้ ฐมนตรี ทกั ษิ ณ ชินวัตร ถูกบุกทำลายด้ วย)
กระนันก็
้ ตาม สิ่งที่เราจะต้ องยอมรับก็คือ ความรู้สกึ ต่อต้ านไทยในเหตุการณ์ครัง้ นี ้ มิใช่เพียงการ
แสดงความรู้สกึ ชาตินิยมโดยปกติ หากแต่เป็ นการปะทุของความรู้สกึ อ่อนไหวเกี่ยวกับเกี่ยวกับศักดิ ์ศรี และ
เกียรติภมู ิของชาติ ในปั จจุบนั ความแตกต่างด้ านระดับการพัฒนามีผลในแง่ของการตอกย้ำความเหลื่อมล้ำ
ทางอำนาจในอดีตที่ก่อให้ เกิดการรุกราน แทรกแซง และครอบงำดังกล่าวแล้ ว ดังนัน้ เมื่อประกอบกับท่าที
ของคนไทยที่ชอบดูถกู เพื่อนบ้ านที่ตนเห็นว่าด้ อยกว่า (ดังจะเห็นได้ จากการนำเอาเพื่อนบ้ านมาสร้ างเรื่ อง
ราวขบขัน เช่น ภาพยนตร์ เรื่ อง “หมากเตะ”) ย่อมเป็ นธรรมดาอยูเ่ องที่เพื่อนบ้ านไทย ไม่วา่ จะเป็ นชาว
กัมพูชาหรื อลาว ที่จะรู้สกึ ถูกเหยียบย่ำจนเป็ นความโกรธแค้ นขมขื่น
6
ความสั มพันธ์ ไทย - ลาวจากอดีตถึงอนาคต
๑. สถานภาพของพม่ าในปัจจุบนั
พม่ามีพ้ืนที่ ๖๗๖,๕๗๗ ตาราง กม. หรื อ ๑.๒ เท่าของประเทศไทย มีประชากร ๔๘.๓ ล้านคน ได้
เอกราชจากอังกฤษเมื่อ ๔ มกราคม ๒๔๙๑ พม่าแบ่งเขตการปกครองออกเป็ น ๗ รัฐ (STATE) กับอีก ๗ ภาค
(REGION) พม่ามีป่าไม้และแร่ ธาตุอุดมสมบูรณ์ซ่ ึ งยังไม่ได้พฒั นาและนำมาใช้ประโยชน์มากนัก ตะกัว่ ซึ่ งมี
มากเป็ นอันดับ ๖ ของโลกมีมากในรัฐฉาน น้ำมันมีมากทางตอนกลางของประเทศ พื้นที่ป่าไม้มีประมาณ
๕๕% ของประเทศ
เศรษฐกิจของพม่าในปัจจุบนั อยูใ่ นสภาพไม่เข้มแข็ง ผลิตผลรวม ๓๕ พันล้านดอลลาร์ (ไทย ๔๕๔ พันล้าน
ดอลลาร์) ประชาชนมีรายได้เฉลี่ยคนละ ๘๙๐ ดอลลาร์ต่อปี (ไทย ๒,๗๙๐ ดอลลาร์) อัตราเพิ่มประชากร
๒.๑% อัตราผูร้ ู้หนังสื อ ๘๒% ประชากรอยูใ่ นเมือง ๒๖% ภาคเกษตรมีสดั ส่ วน ๓๘.๓% ส่ วนภาค
อุตสาหกรรมมีสดั ส่ วน ๘.๙% เศรษฐกิจของพม่าอยูใ่ นมือรัฐบาลเป็ นส่ วนใหญ่ คือ ๕๒.๖% ประเทศคูค่ า้
สำคัญด้านการส่ งออก คือ สิ งคโปร์ จีน ไทย ญี่ปุ่น และฮ่องกง ตลาดนำเข้าได้แก่ ญี่ปุ่น จีน ไทย สิ งคโปร์
และมาเลเซี ย การท่องเที่ยวเป็ นธุรกิจสาขาหนึ่งที่รัฐบาลพม่าให้ความสำคัญเป็ นพิเศษ ในด้านการ ลงทุนจาก
ต่างประเทศ พม่าอนุญาตให้ชาวต่างประเทศเข้าไปลงทุนได้เกือบทุกชนิด และรัฐบาลให้ประกันว่ากิจการที่
ได้รับการส่ งเสริ มการลงทุนจะไม่ถูกโอนกิจการเป็ นของรัฐ ในทางการเมือง กล่าวโดยสรุ ปได้วา่ พม่าใน
ปั จจุบนั อยูใ่ นยุคที่ ๓ คือ ยุคคณะกรรมการฟื้ นฟูความสงบเรี ยบร้อย (STATE LAW AND ORDER
RESTORATION COUNCIL) โดยยุคแรกระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๙๑-๒๕๐๕ รวม ๑๔ ปี เป็ นยุคของอูนุ ซึ่ งรับ
ช่วงอำนาจมาจากอูอองซาน ในยุคนั้น ในทางการเมืองระหว่างประเทศ พม่าวางตัวเป็ นกลาง ไม่เข้ากับทั้ง
ฝ่ ายโลกเสรี และฝ่ ายคอมมิวนิสต์ ส่ วนทางด้านภายใน อำนาจเป็ นของกลุ่มทหารและพลเรื อนที่ภกั ดีต่ออูนุ
ในยุคที่สอง ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๐๕-๒๕๓๑ เป็ นยุคของพลเอกเนวิน ซึ่ งทำรัฐประหารล้มรัฐบาลอูนุ
เป็ นการสิ้ นสุ ดของประชาธิปไตยระบอบรัฐสภาที่ด ำเนินมาหลังจากได้เอกราชรวม ๑๔ ปี เนวินให้ค ำมัน่ ว่า
จะสถาปนาระบอบสังคมนิยมแบบพม่าขึ้น แต่ผลปรากฏว่าเศรษฐกิจของประเทศทรุ ดโทรมลงมาก ในยุค
ของเนวินนี้เองพม่าปฏิเสธคำเชิญชวนของอาเซี ยน สำหรับไทยนั้นมีความสัมพันธ์ทางการทูตปกติกบั พม่า
ตลอดมานับตั้งแต่พม่าได้เอกราชเมื่อ ๕๐ ปี ที่ผา่ นมา
๒. ความสัมพันธ์ ในด้ านต่ าง ๆ
๒.๑ ด้ านการเมือง เมื่อพม่ามีรัฐบาลทหารในปี ๒๕๓๑ แล้ว ความสัมพันธ์ไทย-พม่า ดำเนินไปด้วย
ดีและขยายการติดต่อออกไปทุกด้าน ไทยใช้นโยบายที่เรี ยกว่า "ความเกี่ยวพันเชิงสร้างสรรค์"
(CONSTRUCTIVE ENGAGEMENT) และต่อมาประเทศกลุ่มอาเซี ยนก็ใช้นโยบายในลักษณะนี้ ดว้ ย ความ
มุ่งหมายก็เพื่อสร้างสะพานเชื่อมระหว่างพม่ากับประเทศภายนอก ไม่ตอ้ งการให้พม่าอยูอ่ ย่างโดดเดี่ยว
ต้องการให้พม่าได้รับรู้ดว้ ยตนเองว่าโลกภายนอกเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว ขณะเดียวกันโลกภายนอกที่ตอ้ ง
รับรู ้ถึงสภาพความเป็ นจริ งที่ด ำรงอยูภ่ ายในพม่าด้วย พม่าอยูใ่ นฐานะต้องพึ่งพาไทยทางการเมือง แต่กย็ งั คง
หวาดระแวงไทยในปัญหาการสนับสนุนชนกลุ่มน้อยและกลุ่มต่อต้านรัฐบาลพม่า ความสัมพันธ์เริ่ มมีปัญหา
เมื่อผูน้ ำชนกลุ่มน้อยลักลอบเดินทางผ่านไทยไปประเทศตะวันตก และการที่ผไู ้ ด้รับรางวัลสันติภาพเดินทาง
เข้ามาในไทยและไปพบปะกับชนกลุ่ม-น้อยบริ เวณชายแดน รัฐบาลพม่าตอบโต้รัฐบาลไทยด้วยการประกาศ
เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ ยุติการให้สมั ปทานเอกชนไทยทำไม้ชายแดนพม่า ระงับการแลกเปลี่ยน
การเยือนของเจ้าหน้าที่ระดับสูง รวมทั้งเข้มงวดการจับกุมเรื อและลงโทษลูกเรื อประมงไทยอย่างรุ นแรง
ความสัมพันธ์กระเตื้องขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่ของไทยเดินทางไปเยือนพม่าอย่างต่อเนื่องจนสามารถจัด
ประชุมคณะกรรมการร่ วมไทย-พม่าครั้งที่ ๑ ขึ้น ที่กรุ งย่างกุง้ ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๘ กันยายน ๒๕๓๖ ใน
โอกาสนั้น รัฐมนตรี ต่างประเทศของไทยได้พบปะกับประธานสลอร์ก (SLORC) และรัฐมนตรี ต่างประเทศ
พม่า ทำให้พม่าผ่อนปรนเรื่ องการประมงและการทำไม้ ต่อมามีการเยือนระดับรัฐมนตรี และนายทหารชั้น
ผูใ้ หญ่อีกหลายครั้ง กลางปี ๒๕๔๐ นายกรัฐมนตรี พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ก็เดินทางไปเยือนพม่า
ทางการพม่าพอใจในการที่รัฐมนตรี วา่ การกระทรวงการต่างประเทศพม่าได้รับเชิญให้เข้าร่ วมประชุม
รัฐมนตรี ต่างประเทศอาเซียนเมื่อ ๒๒-๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๗ ที่กรุ งเทพ ฯ และพอใจมากที่ไทยช่วยให้
ประเทศสมาชิกอาเซียนมีฉนั ทามติในเรื่ องนี้ และการที่ไทยยืนหยัดต่อการกดดันของประเทศตะวันตก การ
ประชุมครั้งนี้มีความสำคัญต่อพม่าในแง่ที่วา่ เป็ นครั้งแรกที่พม่าประชุมเป็ นทางการกับอาเซี ยน เป็ นการวาง
รากฐานให้พม่าได้เข้าองค์การความร่ วมมือในภูมิภาค
๒.๒ ด้ านเศรษฐกิจ ไทยกับพม่ามีโครงการความร่ วมมือทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ดังนี้
๒.๒.๑ การพัฒนาโครงการไฟฟ้ าพลังน้ำ โครงการที่จดั ทำแล้ว ๒ โครงการ คือ (๑) โครงการคลอง
กระบุรี อำเภอเมือง จังหวัดระนอง และ (๒) โครงการน้ำรวก อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และได้ก ำหนด
แผน ที่จะหารื อกันต่อไปเพื่อจัดทำโครงการแม่น ้ำสาละวิน โครงการแม่น ้ำเมย และโครงการแม่น้ำกก
๒.๒.๒ การทำไม้ ประมง และเหมืองแร่ ขณะนี้บริ ษทั เอกชนไทยรวม ๔๐ บริ ษทั รับสัมปทานทำไม้
๕๒ สัมปทานตั้งแต่ปลายปี ๒๕๓๑ เป็ นต้นมา มีการเปิ ดจุดผ่านแดนชัว่ คราวเพื่อนำไม้เข้าไทยไม่นอ้ ยกว่า
๓ ล้านลบ.ม. ตั้งแต่สิ้นปี ๒๕๓๖ เป็ นต้นมา พม่ายกเลิกสัมปทานไม้ท้ งั หมด ส่ วนด้านการประมง พม่าให้
สัมปทานประมงแก่เอกชนไทยหลายราย แต่ต่อมาก็ระงับเสี ย โดยอ้างว่าผูป้ ระกอบการไม่ปฏิบตั ิตาม
ระเบียบ ในด้านเหมืองแร่ พม่าให้สมั ปทานดูดแร่ ดีบุกในพื้นที่ ๒๐๐,๐๐๐ ไร่ ที่เมืองมะริ ด
๒.๒.๓ การก่อสร้างสะพานมิตรภาพ เมื่อ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๓๗ ไทยและพม่าได้ลงนามในความ
ตกลงที่จะก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-พม่าขึ้นที่อ ำเภอแม่สอด จังหวัดตาก กับอำเภอ เมียวดี จังหวัดผาอัน
ต่อมาได้วางศิลาฤกษ์เมื่อ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๓๗ และการก่อสร้างเสร็ จเมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๔๐
ระหว่างการก่อสร้างมีปัญหาอยูบ่ า้ ง โดยเฉพาะพม่าขอให้ระงับการก่อสร้างหลายครั้ง แม้เมื่อสร้างเสร็ จแล้ว
ก็ยงั ไม่สามารถเปิ ดใช้ได้ เพราะตกลงกันไม่ได้ในเรื่ องอธิ ปไตยเหนือสะพาน แล้ว จะได้ก ำหนดวันเปิ ดต่อ
ไป (ปั จจุบนั ได้ท ำพิธิเปิ ดสะพานแล้ว เมื่อวันที่ ๑๕ สิ งหาคม ๒๕๔๐) สะพานนี้จะช่วยให้การเดินทางและ
การค้าขายระหว่างสองประเทศสะดวกขึ้นมาก สะพานซึ่ งสร้างด้วยเงินไทยทั้งสิ้ นแห่งนี้ นอกจากจะทำให้
การคมนาคมระหว่างตากกับเมืองใหญ่ ๆ ในพม่าเป็ นไปโดยสะดวกและรวดเร็ วแล้ว จะทำให้สามารถเดิน
ทางจากพม่า ผ่านตาก ผ่านพิษณุโลก ตัดไปทางตะวันออก ผ่านมุกดาหาร เข้าลาวแล้วออกทะเลที่เวียดนาม
ได้ ขณะเดียวกันก็มีเส้นทางจากสิ งคโปร์ ผ่าน มาเลเซี ย ผ่านไทย ผ่านลาว แล้วไปสิ้ นสุ ดที่ยนู นานของจีน
เส้นทางสองสายนี้ จะตัดกันที่พิษณุโลก ทำให้ "พิษณุโลก" เป็ น "สี่ แยกอินโดจีน" โดยแท้จริ ง
๒.๒.๔ การซื้ อขายก๊าซธรรมชาติ เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ ผูแ้ ทนไทยและพม่าลงนามในข้อ
ตกลงซื้ อขายก๊าซธรรม-ชาติของพม่าจากแหล่งยาดานา ในอ่าวเมาะตะมะเป็ นเวลา ๓๐ ปี (๒๕๔๑-๒๕๗๑)
ในปริ มาณวันละ ๕๒๕ ล้านลบ.ฟุต มูลค่าปี ละ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท พม่าจะเริ่ มส่ งก๊าซให้ต้ งั แต่เดือน
กรกฎาคม ๒๕๔๑ ในการนี้ พม่าจะวางท่อจากแหล่งก๊าซขึ้นฝั่งในเขตพม่าระยะทาง ๓๕๐ กม. แล้ววางท่อ
ทางบกอีก ๖๓ กม. ถึงจุดส่ งก๊าซให้ไทยที่บา้ นอีต่อง อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ส่ วนไทยจะวางท่อจากจุดนั้น
ไปยังโรงไฟฟ้ าที่จงั หวัดราชบุรี เป็ นระยะทาง ๒๖๐ กม. การวางท่อของฝ่ ายไทยในความรับผิดชอบของ
ปตท. ซึ่ งใช้งบประมาณ ๑๖,๕๐๐ ล้านบาทจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็ จในกำหนด (กรกฎาคม ๒๕๔๑) มิ
ฉะนั้นจะถูกพม่าปรับเป็ นเงินก้อนใหญ่ในอัตราก้าวหน้า คือล่าช้า ๒ เดือนปรับ ๑๒๕ ล้านบาท ล่าช้า ๕
เดือนปรับ ๑,๕๖๗ ล้านบาท นอกจากนั้นแล้ว ในปี ๒๕๔๓ ไทยจะรับซื้ อก๊าซจากพม่าเพิม่ ขึ้นอีกวันละ
๒๐๐ ล้าน ลบ.ฟุต จากแหล่งเยตากุนในอ่าวเมาะตะมะ ซึ่ งปริ มาณสำรองอยู่ ๑.๑ ล้านล้าน (ทริ ลเลี่ยน)
ลบ.ฟุต ตั้งอยูใ่ กล้เคียงกับแหล่งยาดานา ห่างฝั่งน้อยกว่า คือ ๒๑๐ กม. จุดส่ งก๊าซจากแห่งใหม่ใช้ที่เดิมคือ
บ้านอีต่อง การส่ งก๊าซจากทั้งสองแหล่งที่บา้ นอีต่องนี้เป็ นสิ่ งที่พม่ากำหนด เช่น การส่ งตรงไปยังราชบุรี
เป็ นต้น การเจรจากับพม่าใช้เวลา ๒ ปี การวางท่อก๊าซจากชายแดนติดพม่าไปยังโรงไฟฟ้ านั้น ได้มีการ
พิจารณาผลกระทบด้านสิ่ งแวดล้อมแล้ว และจะผ่านพื้นที่หลายลักษณะ คือ แนวถนนขนแร่ เก่า เหมืองร้าง
พื้นที่โล่ง และแนวสันเขา ส่ วนที่ผา่ นป่ าสมบูรณ์มีระยะทาง ๖ กม. ประชาชนในจังหวัดกาญจนบุรีจ ำนวน
หนึ่ง ร่ วมกับกลุ่มอนุรักษ์ได้เคลื่อนไหวคัดค้านและเรี ยกร้องให้เปลี่ยนเส้นทางโดยอ้างว่าจะเป็ นการทำลาย
ลุ่มน้ำ ทรัพยากรป่ าไม้ และทรัพยากรสัตว์ป่า เรื่ องนี้ ทาง ปตท. ยืนยันว่าจะไม่เป็ นการสู ญเสี ยมากดังที่กล่าว
อ้าง หรื อเป็ นอันตรายแต่อย่างใด ทั้งจะได้ฟ้ื นฟูและชดเชยด้วย และเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๔๐ นี้ คณะ
กำนันและผูใ้ หญ่บา้ นในอำเภอพื้นที่กเ็ ดินทางมาเรี ยกร้องให้ด ำเนินการก่อสร้างต่อไป
ในสถานการณ์ปัจจุบนั และอนาคต การนำก๊าซจากพม่ามาใช้ผลิตกระแสไฟฟ้ าเป็ นสิ่ งจำเป็ นที่มิอาจหลีก
เลี่ยงได้ เพราะปริ มาณความต้องการเพิ่มขึ้นปี ละ ๑,๔๐๐เมกะวัตต์ หรื อกว่า ๗% การใช้ก๊าซธรรมชาติผลิต
กระแสไฟฟ้ าสามารถทำได้โดยมีประสิ ทธิภาพสู งที่สุดในสถานการณ์ปัจจุบนั ขณะนี้การวางท่อก๊าซเริ่ มขึ้น
แล้ว ก้าวหน้าไป ๑๒% คาดหมายว่าจะแล้วเสร็ จทันตามกำหนด ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๑ ก็จะมีการผลิต
ไฟฟ้ าโดยใช้ก๊าซจากพม่า
๒.๓ ด้ านสั งคมจิตวิทยา มีการร่ วมมือกันดังนี้
๒.๓.๑ การแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรม รัฐบาลพม่าส่ ง นาฏศิลป์ และเจ้าหน้าที่ดา้ นศิลปวัฒนธรรม
มาแสดงในไทย ฝ่ ายไทยเสนอให้มีการแลกเปลี่ยนนักศึกษาระหว่างไทย-พม่า ซึ่ งฝ่ ายพม่ารับไว้พิจารณา
๒.๓.๒ การส่ งเสริ มการท่องเที่ยว ทั้งสองฝ่ ายเห็นชอบจัดให้มีโครงการส่ งเสริ มการท่องเที่ยวร่ วม
กันระหว่างจังหวัดเชียงใหม่ และเมืองตองยีของพม่า
๒.๓.๓ การป้ องกันและปราบปรามยาเสพติด ทั้งสองฝ่ าย ตกลงจะร่ วมมือกันในการป้ องกันและ
ปราบปรามยาเสพติด และแลกเปลี่ยนข่าวสารเกี่ยวกับยาเสพติดบริ เวณชายแดน นอกจากนั้นไทยให้ทุนเจ้า
หน้าที่ฝ่ายพม่ามาฝึ กอบรม ศึกษา และดูงานในประเทศไทย
๒.๔ ด้ านการทหาร นับตั้งแต่รัฐบาลทหารของพม่าชุดปั จจุบนั เข้าบริ หารประเทศเป็ นต้นมา ความสัมพันธ์
ระดับผูใ้ หญ่ของกองทัพไทยและพม่าดำเนินไปด้วยดี มีการแลกเปลี่ยนการเยือนกันอย่างต่อเนื่อง การเจรจา
แก้ปัญหาระหว่างกันคืบหน้าไปมาก โดยเฉพาะใน 2 เรื่ องต่อไปนี้
๒.๔.๑ การปราบปรามการลักลอบค้าอาวุธ ฝ่ ายไทยได้ช่วยสกัดกั้นการลักลอบค้าอาวุธที่จะเข้าไป
ให้กลุ่มต่อต้านในพม่า ส่ วนหนึ่งของอาวุธออกมาจากกัมพูชา ผ่านไทยทางพรมแดนไทย-กัมพูชา
๒.๔.๒ ทหารพม่าจะเปิ ดดินแดน ฝ่ ายพม่าเคยให้ค ำมัน่ ว่าจะไม่รุกล้ำเข้ามาในเขตไทย จะป้ องกันไม่
ให้กระสุ นตกในไทย ขณะเดียวกันฝ่ ายไทยก็จะไม่ยนิ ยอมให้กองกำลังของกลุ่มต่อต้านใช้ดินแดนไทยเป็ น
ฐานปฏิบตั ิการเพื่อสู้รบกับทางการพม่า อย่างไรก็ตาม ก็เคยมีที่ฝ่ายพม่ามิได้ปฏิบตั ิตามที่เคยตกลงไว้ ไทย
เคยยิงโต้ตอบพม่า แต่กเ็ คยปลดอาวุธกองกำลังกะเหรี่ ยงที่ถืออาวุธหนีเข้ามาในไทย เมื่อปลดอาวุธแล้วก็
ส่ งตัวกลับออกไป มิได้ส่งตัวให้ทางการพม่า
๓. ปัญหาเส้ นเขตแดน ไทยมีพรมแดนติดต่อกับพม่าทั้งทางบกและทางน้ำยาวถึง ๒,๔๐๑ กม. นับว่ายาวกว่า
ประเทศรอบบ้านอื่น ๆ (ลาว ๑,๘๑๐ กม.,กัมพูชา ๗๘๙ กม. และมาเลเซี ย ๖๔๖.๕ กม.) จังหวัดที่มีแนว
พรมแดนติดต่อกับพม่ารวม ๑๐ จังหวัด เริ่ มตั้งแต่เชียงรายจนถึงระนอง สนธิ สญ ั ญาเกี่ยวกับเส้นเขตแดนที่ใช้
อยูเ่ ป็ นสนธิ สญ
ั ญาที่ไทยทำกับอังกฤษรวม ๗ ฉบับ พม่าสื บสิ ทธิ ตามสนธิ สญ ั ญาเมื่อได้เอกราชในปี ๒๔๙๑
สาเหตุที่ท ำให้เส้นเขตแดนระหว่างไทยกับพม่ามีปัญหาก็เพราะ (๑) แนวพรมแดนที่เป็ นแม่น ้ำเปลี่ยนแปลง
ตามสภาพตามธรรมชาติ (๒) การกำหนดเส้นเขตแดน โดยใช้สนั เขาหรื อสันปันน้ำโดยไม่ถูกต้องตรงกับ
ความเป็ นจริ งตามธรรมชาติ (๓) กำหนดแนวพรมแดนไว้คลุมเครื อ (๔) ตีความสนธิ สญ ั ญาหรื อใช้สนธิ
สัญญาแตกต่างกัน (๕) แผนที่ต่อท้ายสัญญาไม่ชดั เจนหรื ออ่านแผนที่แตกต่างกัน และ (๖) มีการดัดแปลง
แนวพรมแดนให้ผดิ จากแนวธรรมชาติ เกี่ยวกับปั ญหาเส้นเขตแดนนี้ มีประเด็นที่น่าสนใจอยู ่ 3 เรื่ อง ดังต่อ
ไปนี้
๓.๑ เส้ นเขตแดนที่ตกลงกันได้ แล้ว มีอยู่ ๑ จุด คือ แม่น ้ำสาย-แม่น้ำรวก ยาวทั้งสิ้ น ๓๘ กม. อยูใ่ นอำเภอ
แม่สายจังหวัดเชียงราย เส้นเขตแดนตามสนธิ สญ ั ญา คือ ร่ องน้ำลึก แต่ปรากฏกระแสน้ำเปลี่ยนทางเดิน บาง
ตอนเข้ามาในเขตไทย และบางตอนเข้าไปในเขตพม่า แต่โดยรวมแล้วเข้าไปในพม่ามากกว่า (คือ ไทยได้ดิน
แดนเพิ่ม) ทำให้เกิดปัญหากระทบกระทัง่ ระหว่างราษฎรในพื้นที่บ่อยครั้ง ทั้งสองฝ่ ายเจรจาแก้ปัญหากัน
ตั้งแต่ปี ๒๕๑๑ และสามารถตกลงกันได้ โดยใช้หลักการเส้นเขตแดนคงที่ (FIXED BOUNDARY) และลง
นามในบันทึกช่วยจำเมื่อ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๓๔ และมีผลเมื่อรัฐสภาให้สตั ยาบันตามรัฐธรรมนูญเมื่อ ๑๒
มีนาคม ๒๕๓๕ หลักการที่ท ำความตกลงกับพม่าในเรื่ องเส้นเขตแดนคงที่กค็ ือ กำหนดให้ก่ ึงกลางลำน้ำเป็ น
เส้นเขตแดนตามสนธิสญ ั ญาเดิม แต่ก ำหนดแนวไว้แน่นอนด้วยหลักอ้างอิงที่ปักไว้บนสองฝั่ง ไม่วา่ ลำน้ำจะ
เปลี่ยนไปอย่างใด เส้นเขตแดนก็จะยังอยูเ่ ช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงของแม่น ้ำ
ดังนั้น ในการทำความตกลง จึงได้ก ำหนด ๔ เรื่ องต่อไปนี้ไว้ดว้ ยคือ (๑) สิ ทธิ ในการเดินเรื อ (๒) การใช้น ้ำ
อย่างเป็ นธรรม (๓) การบำรุ งรักษา และการอนุรักษ์ทางเดินปั จจุบนั ของแม่น ้ำ และ (๔) การบำรุ งรักษาหลัก
อ้างอิงเขตแดน ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบนั ก็คือ กระแสน้ำที่รุนแรงในฤดูน ้ำหลากทำให้หลักอ้างอิงเขตแดน
ซึ่ งมีอยูท่ ้ งั สิ้ น ๔๙๒ หลักสูญหายไป ๓๑๐ หลัก เหลืออยูเ่ พียง ๑๘๒ ในปี ๒๕๓๗ และบัดนี้ เหลืออยูไ่ ม่ถึง
๑๐๐ หลัก ไทยได้เรี ยกร้องให้แต่ละฝ่ ายจัดทำหลักอ้างอิงเขตแดนขึ้นใหม่เป็ นการทดแทนโดยให้อีกฝ่ ายหนึ่ง
ตรวจสอบความถูกต้อง แต่ฝ่ายพม่ายังไม่ตอบสนอง อย่างไรก็ตาม ก็กล่าวได้วา่ แนวเส้นเขตแดน ณ จุดนี้
สามารถทำความตกลงกันเป็ นที่เรี ยบร้อย ปัญหาที่มีอยูเ่ ป็ นปั ญหาในทางปฏิบตั ิ
๓.๒ เส้ นเขตแดนที่ยงั เป็ นปัญหา มีอยู่ ๖ จุด ดังนี้ คือ
๓.๒.๑ ดอยลาง จ.เชียงใหม่ พื้นที่ขดั แย้ง ๓๐ ตร.กม. ปั ญหา คือ เส้นแบ่งเขตแดนที่ถูกต้องอยูแ่ นว
ใด ไทยเห็นว่าเส้นเขตแดนควรเป็ นไปตามสันดอยห้วยฮะ ซึ่ งลึกเข้าไปในเขตพม่า
๓.๒.๒ ดอยถ้ำผาจม จ.เชียงราย หลักหมุดเขตแดนที่เคยปั กไว้สูญหายไป ทำให้ต่างฝ่ ายต่างถือ
แผนที่ต่างฉบับกันอ้างเขตแดนต่างแนวกัน เป็ นพื้นที่เหลื่อมกันอยู่ ๑ ตร.กม. พม่าเคยเข้ามาสร้างวัดในพื้นที่
ที่อา้ งเมื่อปี ๒๕๓๖ ทำให้ต่างก็ส่งกำลังเข้าไปตรึ งกัน แต่ในที่สุดตกลงถอนทหารออกไป
๓.๒.๓ เจดียส์ ามองค์ จ.กาญจนบุรี หาจุดอ้างอิงที่ก ำหนดไว้ตามสนธิ สญ ั ญาเมื่อ ๘ กุมภาพันธ์ ค.ศ.
๑๘๖๘ ยังไม่ได้ พม่าเคยใช้ก ำลังเข้ามาในเขตที่ไทยถือว่าเป็ นของไทย โดยอ้างว่าเป็ นการกวาดล้างกะเหรี่ ยง
และมอญอิสระเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๗
๓.๒.๔ แม่น ้ำปากจัน่ จ.ระนอง สนธิ สญ ั ญาที่ท ำกันไว้ไม่ได้บอกพิกดั ทางภูมิศาสตร์ ตำบล และชื่อ
เกาะซึ่ งมีขนาดเล็กไว้ ต่างฝ่ ายต่างก็อา้ งกรรมสิ ทธิ์ ใน ๓ เกาะ คือ เกาะหลาม (๑๕๐ ไร่ ) เกาะคัน (๔ ไร่ ) และ
เกาะขี้นก (๑ ไร่ )
๓.๒.๕ เนิน ๔๙๑ จ.ชุมพร เนินนี้อยูบ่ นสันปั นน้ำ ต่างอ้างว่าอยูใ่ นเขตของตน พม่าเคยส่ งกำลังเข้า
มายึดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ เพื่อประโยชน์ในการปราบปรามกองกำลังของกะเหรี่ ยง แต่หลังจาก
เจรจากันแล้ว พม่ายอมถอนทหารออกไป
๓.๒.๖ บริ เวณแม่น ้ำเมย อ.แม่สอด จ.ตาก แม่น ้ำเมยยาว ๓๙๐ กม. อยูร่ ะหว่างอำเภอแม่สอด จังหวัด
ตาก กับเมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ ยงของพม่า ตามสนธิ สญ ั ญาปี ค.ศ. ๑๘๖๘ ระหว่างไทยกับอังกฤษ กำหนดให้
เส้นเขตแดนสิ้ นสุ ดลงแค่ฝั่งของแต่ละฝ่ ายเท่านั้น ไม่ได้กล่าวถึงสิ ทธิ เหนือลำน้ำ เมื่อครั้งไทยลงนามทำความ
ตกลงเรื่ องเส้นเขตแดนคงที่ที่แม่น ้ำสาย-แม่น้ำรวกเมื่อปี ๒๕๓๔ ไทยเคยเสนอให้ท ำความตกลงเสี ยใหม่ ใช้
ร่ องน้ำลึกเป็ นเส้นเขตแดน ฝ่ ายพม่าขอให้ศึกษาและสำรวจตลอดลำน้ำเสี ยก่อน ปั ญหาจึงค้างคาอยู่ นับแต่ปี
๒๕๒๐ เป็ นต้นมา ทั้งไทยและพม่า สนใจกรณี ตลิ่งพังมากขึ้น ทำให้เกิดกรณี ขดั แย้งกันขึ้น ตัวอย่างความขัด
แย้ง คือ
(๑) การสร้างหลักรอ เมื่อปี ๒๕๒๔ พม่าสร้างหลักรอขึ้นทางฝั่งพม่า ทำให้กระแสน้ำเซาะตลิ่งฝั่ง
ไทย เสี ยเนื้ อที่ไป ๑๘๗.๕ ไร่ ฝ่ ายไทยจึงสร้างหลักรอในบริ เวณนั้นบ้าง ในที่สุดทั้งสองฝ่ ายยุติการสร้างหลัก
รอ ตามผลของการประชุมกรรมการชายแดนส่ วนภูมิภาคเมื่อปี ๒๕๓๔
(๒) การถมหินบริ เวณตอม่อสะพานมิตรภาพ เมื่อปี ๒๕๓๘ ฝ่ ายไทยนำหิ นไปถมบริ เวณตอม่อ
สะพานมิตรภาพไทย-พม่า ซึ่ งอยูร่ ะหว่างก่อสร้าง และปลูกอาคารร้านค้าขึ้น พม่าเกรงว่าจะทำให้กระแสน้ำ
เปลี่ยน จนเกาะอยูต่ ิดกับแผ่นดินฝั่งไทย จึงเรี ยกร้องให้ร้ื อถอนหิ นและร้านค้า พร้อมกับขอให้ระงับการ
ก่อสร้างสะพานด้วย
(๓) กระแสน้ำเปลี่ยนทางเดิน ทำให้แผ่นดินที่เคยอยูฝ่ ั่งหนึ่งเปลี่ยนไปอยูอ่ ีกฝั่งหนึ่ง กรณี เช่นนี้เคย
เกิดขึ้นเมื่อปี ๒๕๒๓ ครั้งหนึ่ง ในครั้งนั้นพม่าอ้างอธิ ปไตยเหนือดินแดนที่เป็ นของไทย ๕๐ ไร่ ไทยไม่
ยินยอม เพราะครั้งนั้นกระแสน้ำเปลี่ยนกะทันหัน เป็ นข้อยกเว้นตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ เรื่ องยัง
ไม่เป็ นที่ ตกลงกัน อีกกรณี หนึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี ๒๕๓๗ แต่กรณี กลับกัน คือ แผ่นดินเนื้อที่ประมาณ ๑๐๐ ไร่
กลับมาอยูต่ ิดกับฝั่งไทย เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๔๐ นี้ ฝ่ ายพม่านำรถเข้ามาเพื่อจะขุดร่ องน้ำเพื่อให้น ้ำ
ซึ่ งเปลี่ยนทางเดินไปแล้ว กลับมาไหลในร่ องที่ขดุ ใหม่ ฝ่ ายไทยไม่ยนิ ยอม ถึงขั้นส่ งกำลังทหารเข้าเผชิญหน้า
กัน แต่ในที่สุดสามารถระงับปัญหากันได้ โดยจะมีการตรวจสอบทางเทคนิคกันต่อไป
1. ด้ านการทูต
ไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับมาเลเซี ยเมื่อวันที่ 31 สิ งหาคม 2500 เอกอัครราชทูต ณ กรุ ง
กัวลาลัมเปอร์คนปัจจุบนั คือ นายปิ ยวัชร นิยมฤกษ์ ซึ่ งเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนมีนาคม 2550 นอกจากนี้ ไทย
ยังมีสถานกงสุ ลใหญ่ในมาเลเซีย 2 แห่ง (สถานกงสุ ลใหญ่ ณ เมืองปี นัง และสถานกงสุ ลใหญ่ ณ เมือง
โกตาบารู ) และมีสถานกงสุ ลประจำเกาะลังกาวี (ซึ่ งมีดาโต๊ะ ชาซรี ล เอสเคย์ บิน อับดุลลาห์ กงสุ ล
กิตติมศักดิ์เป็ นหัวหน้าสำนักงาน) สำหรับหน่วยงานของส่ วนราชการต่าง ๆ ซึ่ งตั้งสำนักงานอยูภ่ ายใต้สถาน
เอกอัครราชทูตฯ ได้แก่ สำนักงานผูช้ ่วยทูตฝ่ ายทหาร สำนักงานส่ งเสริ มการค้าในต่างประเทศ สำนักงาน
แรงงาน ส่ วนหน่วยงานของไทยอื่นๆ ที่ต้ งั สำนักงานในมาเลเซี ยคือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย บริ ษทั
การบินไทย สำหรับหน่วยงานของมาเลเซียในไทยได้แก่ สถานเอกอัครราชทูตมาเลเซี ย (เอกอัครราชทูต
มาเลเซี ยคนปัจจุบนั คือ ดาโต๊ะ ชารานี บิน อิบราฮิม ) และสถานกงสุ ลใหญ่มาเลเซี ยประจำจังหวัดสงขลา
2. ด้ านการเมือง
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมาเลเซี ยได้พฒั นาแน่นแฟ้ นจนมีความใกล้ชิดกันมาก เนื่องจากทั้ง
สองประเทศมีผลประโยชน์ร่วมกันหลายประการ การแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับต่าง ๆ ทั้งระดับพระ
ราชวงศ์ช้ นั สู ง รัฐบาล และเจ้าหน้าที่ ทั้งอย่างเป็ นทางการและไม่เป็ นทางการ เป็ นไปอย่างสม่ำเสมอ แต่
แม้วา่ สองฝ่ ายจะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกัน ก็ยงั คงมีประเด็นปั ญหาในความสัมพันธ์ ซึ่ งต้องร่ วมมือกัน
แก้ไข อาทิ การปักปันเขตแดนทางบก บุคคลสองสัญชาติ การก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
เป็ นต้น
นโยบายของไทยต่อมาเลเซียเน้นมุ่งส่ งเสริ มความไว้เนื้ อเชื่อใจระหว่างกัน และสร้างพื้นฐานที่เข้ม
แข็งให้ความสัมพันธ์ทุกระดับงอกงามอยูบ่ นพื้นฐานของการใช้เหตุผล เคารพซึ่ งกันและกันในฐานะประเทศ
เพื่อนบ้านที่ดี เพราะเหตุการณ์ในประเทศหนึ่งย่อมจะส่ งผลเกื้อหนุนหรื อกระทบต่ออีกประเทศหนึ่งอย่าง
หลีกเลี่ยงไม่ได้
3. ด้ านเศรษฐกิจ
• ด้ านการค้ า ในปี 2549 การค้าไทย-มาเลเซียมีมูลค่า 14,962.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยขาด
ดุลการค้า 1,730.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาเลเซี ยเป็ นคู่คา้ ลำดับที่ 4 ของไทย สิ นค้าส่ งออกของไทยที่สำคัญ
ได้แก่ เครื่ องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่ วนประกอบ ยางพารา สิ นค้านำเข้าจากมาเลเซี ยที่สำคัญ ได้แก่
น้ำมันดิบ เครื่ องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่ วนประกอบ
• ด้ านการลงทุน ในปี 2549 นักลงทุนมาเลเซี ยได้รับอนุมตั ิจาก BOI จำนวน 35 โครงการ (จาก 40 โครงการ
ที่ยนื่ ขอ) คิดเป็ นมูลค่า 5,368.1 ล้านบาท ลดลงจากปี ก่อนร้อยละ 73.7 ส่ วนใหญ่เป็ นการลงทุนด้านอุปกรณ์
และชิ้นส่ วนอิเล็กทรอนิกส์
• ด้ านการท่ องเที่ยว ในปี 2549 นักท่องเที่ยวมาเลเซี ยมาไทย 1.59 ล้านคน และในช่วงมกราคม-มิถุนายนของ
ปี เดียวกันมีนกั ท่องเที่ยวไทยไปมาเลเซีย 460,000 คน
• ความร่ วมมือในกรอบ JDS
เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2547 นายกรัฐมนตรี ไทยและมาเลเซี ยได้เห็นชอบให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการว่าด้วย
ยุทธศาสตร์การพัฒนาร่ วมสำหรับพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซี ย (Thailand-Malaysia Committee on Joint
Development Strategy for border areas – JDS) โดยมีจุดมุ่งหมายหลักคือการพัฒนาความกินดีอยูด่ ีของ
ประชาชนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (สงขลา ยะลา สตูล ปั ตตานี และนราธิวาส) กับ 4 รัฐภาคเหนือ
ของมาเลเซี ย (ปะลิส เกดะห์ กลันตัน และเประ เฉพาะอำเภอเปิ งกาลันฮูลู) โดยมีโครงการความร่ วมมือหลาย
สาขา อาทิ การพัฒนาโครงการพื้นฐานและการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคม การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การ
ท่องเที่ยว การเกษตร ประมง และปศุสตั ว์ เป็ นต้น ความร่ วมมือในกรอบ JDS จะสนับสนุนความร่ วมมือใน
กรอบการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่ ายอินโดนีเซี ย-มาเลเซี ย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth
Triangle: IMT-GT) ที่ริเริ่ มขึ้นเมื่อปี 2536
4. สั งคมและวัฒนธรรม
• ด้ านสั งคม ไทยกับมาเลเซียมีความใกล้ชิดกันในระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิง่ มีการไปมาหาสู่ กันใน
ฐานะเครื อญาติและเพื่อนฝูง ซึ่ งนำไปสู่ ความร่ วมมือกันทั้งในด้านการค้าและด้านอื่น ๆ ทั้งสองประเทศมี
โครงการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมระหว่างกัน รวมทั้งความร่ วมมือด้านการบริ หารจัดการสัญจรข้ามแดน
เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในพื้นที่และส่ งเสริ มการติดต่อด้านการค้าและการท่องเที่ยว
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ ายยังอนุญาตให้คนถือสัญชาติของอีกฝ่ ายหนึ่งที่อาศัยอยูใ่ นพื้นที่ชายแดนใช้บตั รผ่าน
แดนซึ่ งออกให้โดยหน่วยงานปกครองท้องถิ่นของแต่ละฝ่ ายแทนการใช้หนังสื อเดินทางเพื่อผ่านด่าน
พรมแดนระหว่างกันได้
• ด้ านศาสนาและวัฒนธรรม มีการแลกเปลี่ยนการเยือนของผูน้ ำศาสนาอิสลาม ทั้งในระดับจุฬาราชมนตรี
และผูน้ ำศาสนา ทั้งจากส่ วนกลางและในพื้นที่จงั หวัดชายแดนภาคใต้ และการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการ
บริ หาร จัดการโรงเรี ยนสอนศาสนาอิสลามและวิทยาลัยอิหม่าม เพื่อส่ งเสริ มความร่ วมมือด้านกิจการศาสนา
อิสลาม
• ด้ านวิชาการ ทั้งสองประเทศมีการประชุมความร่ วมมือทางวิชาการระหว่างกันเพื่อทบทวนและติดตามผล
การดำเนินงานของทั้ง 2 ประเทศ ซึ่ งมีสำนักงานความร่ วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ และ Economic
Planning Unit (EPU) ของมาเลเซียเป็ นหน่วยงานหลักในการประสานงาน ความร่ วมมือในกรอบทวิภาคีที่
ฝ่ ายไทยให้แก่ฝ่ายมาเลเซีย ได้แก่ การจัดหลักสู ตรประจำปี (Annual International Training Course: AITC)
หลักสู ตรศึกษานานาชาติ (Thai International Postgraduate Programme: TIPP) ความร่ วมมือทางวิชาการ
ระหว่างประเทศกำลังพัฒนา (Technical Cooperation Among Development Country: TCDC) และยังร่ วม
กันจัดการฝึ กอบรมให้กบั ประเทศที่สาม (Third Country Training Programme: TCTP) ส่ วนมาเลเซี ยได้แจ้ง
รายละเอียดเกี่ยวกับการให้ทุนฝึ กอบรมประจำปี ภายใต้โครงการ Malaysia Technical Cooperation
Programme (MTCP) ในสาขาต่าง ๆ ให้แก่ประเทศไทย เพื่อให้คดั เลือกผูไ้ ปรับการฝึ กอบรมที่มาเลเซี ย โดย
ในช่วง พ.ศ. 2540-2548 มีชาวไทยได้รับทุนดังกล่าวรวม 165 ทุน
5. ความตกลงที่สำคัญกับไทย มีอาทิ
1. ความตกลงว่าด้วยการส่ งผูร้ ้ายข้ามแดนระหว่างกรุ งสยาม-อังกฤษ (ลงนามเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2454)
2. ความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกของการเดินรถไฟ (ลงนามเมื่อปี 2465)
3. ความตกลงว่าด้วยการจราจรข้ามแดน (ลงนามเมื่อปี 2483)
4. ความตกลงว่าด้วยการคมนาคมและขนส่ งทางบก (ลงนามเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2497)
5. ความตกลงว่าด้วยการเดินรถไฟร่ วม (ลงนามเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2497)
6. ความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสื อเดินทางทูตและราชการ (ลงนามเมื่อวัน
ที่ 24 ตุลาคม 2505)
7. ความตกลงว่าด้วยการบริ การเดินอากาศ (ลงนามเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2509)
8. ความตกลงว่าด้วยการศุลกากร (ลงนามเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2511)
9. ความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตรา (ลงนามเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2513)
10. ความตกลงว่าด้วยความร่ วมมือทางการประมง (ลงนามเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2514)
11. ความตกลงว่าด้วยการสำรวจและปักปันเขตแดน (ลงนามเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2515)
12. ความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรร่ วมมาเลเซี ย - ไทย (ลงนามเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2522)
13. ความตกลงว่าด้วยความร่ วมมือทางการเกษตร (ลงนามเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2522)
14. ความตกลงว่าด้วยการแบ่งเขตทางทะเล / ทะเลอาณาเขต (ลงนามเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2522)
15. ความตกลงว่าด้วยการแบ่งเขตไหล่ทวีป (ลงนามเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2522)
16. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขนส่ งสิ นค้าเน่าเสี ยง่ายผ่านแดนมาเลเซี ยไปยังสิ งคโปร์ (ลงนามเมื่อวันที่ 2
4 พฤศจิกายน 2522)
17. ความตกลงว่าด้วยการขนส่ งสิ นค้าไป-กลับระหว่างฝั่งตะวันออกกับฝั่งตะวันตกของมาเลเซี ยผ่านแดน
ไทยโดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (ลงนามเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2523)
18. ความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการเก็บภาษีซอ้ น (ลงนามเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2525)
19. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการศึกษาความเป็ นไปได้ในการพัฒนาลุ่มน้ำโก-ลก (ลงนามเมื่อเดือน
พฤษภาคม 2526)
20. ความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมาธิ การร่ วมไทย-มาเลเซี ย (ลงนามเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2530)
21. ความตกลงว่าด้วยการเดินเรื อข้ามฟากบริ เวณปากแม่น ้ำโก-ลก (ลงนามเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2533)
22. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่ วมมือด้านการศึกษา (ลงนามเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2536)
23. ความตกลงว่าด้วยการส่ งเสริ มและคุม้ ครองการลงทุน (ลงนามเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2538)
24. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่ วมมือด้านยางพารา (ลงนามเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2542)
25. ความตกลงว่าด้วยความร่ วมมือชายแดน (ลงนามเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2543)
26. ความตกลงว่าด้วยการค้าทวิภาคี (ลงนามเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2543)
27. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดทำ Bilateral Payment Arrangement (Account Trade) (ลงนามเมื่อวัน
ที่27 กรกฎาคม 2544)
28. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่ วมมือ 3 ฝ่ าย ด้านยางพารา อินโดนีเซี ย - มาเลเซี ย – ไทย (ลงนามเมื่อวัน
ที่ 8 สิ งหาคม 2545)
29. บันทึกความเข้าใจเพื่ออำนวยความสะดวกด้านพิธีการในการเคลื่อนย้ายสิ นค้า (ลงนามเมื่อวันที่ 28 กรกฎ
าคม 2546)
30. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่ วมมือระหว่างตลาดหลักทรัพย์ไทยกับมาเลเซี ย (ลงนามเมื่อวันที่ 28 กรก
ฎาคม 2546)
31. ความตกลงโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น ้ำโก-ลกแห่งที่ 2 เชื่อมบ้านบูเก๊ะตา
อ.แว้ง จ.นราธิวาส กับบ้านบูกิตบุหงา รัฐกลันตัน (ลงนามเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2547)
32. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่ วมมือทางการศึกษา (ลงนามเมื่อวันที่ 21 สิ งหาคม 2550)
6. การเยือนของผู้นำระดับสู ง
ฝ่ ายไทย
พระราชวงศ์
- เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2544 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ ากัลยาณิ วฒั นาฯ
กรมหลวงนราธิวาสราชนคริ นทร์ เสด็จเยือนมาเลเซี ย
- เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2547 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จฯ เยือนรัฐกลันตันอย่างเป็ น
ทางการ ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของสุ ลต่านแห่งรัฐกลันตัน เพื่อทรงร่ วมเสวยพระกระยาหารค่ำใน
วโรกาสที่สุลต่านแห่งรัฐกลันตันทรงครองราชย์ครบ 25 ปี
- เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2547 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จฯ เยือน
รัฐกลันตันเพื่อทรงร่ วมงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำในวโรกาสพิธีอภิเษกสมรสของมกุฏราชกุมารรัฐกลันตัน
กับ น.ส.กังสดาล พิพิธภักดี (สตรี ไทยที่มีภูมิล ำเนาที่ จ.ปั ตตานี)
- เมื่อวันที่ 30 สิ งหาคม - 1 กันยายน 2550 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ แทน
พระองค์ พร้อมด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรี รัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิ ราชฯ
สยามมกุฎราชกุมาร และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ เพื่อทรงร่ วมพิธีฉลอง 50 ปี การได้
รับเอกราชของมาเลเซีย
รัฐบาล
- เมื่อวันที่ 24-25 เมษายน 2544 นายกรัฐมนตรี เยือนมาเลเซี ยอย่างเป็ นทางการ
- เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2544 นายกรัฐมนตรี เยือนมาเลเซี ยเพื่อร่ วมพิธีเปิ ด SEA GAMES
- เมื่อวันที่ 8-9 มีนาคม 2544 รัฐมนตรี วา่ การกระทรวงการต่างประเทศเยือนมาเลเซี ยอย่างเป็ นทางการ
- เมื่อวันที่ 27 -28 กรกฎาคม 2546 นายกรัฐมนตรี เยือนเกาะลังกาวีเพื่อประชุมหารื อประจำปี (Annual
Consultation) ครั้งที่ 1
- เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2547 รัฐมนตรี วา่ การกระทรวงการต่างประเทศเยือนมาเลเซี ยในฐานะผูแ้ ทนพิเศษของ
นายกรัฐมนตรี
- เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2547 นายกรัฐมนตรี เยือนมาเลเซี ย
- เมื่อวันที่ 9-12 มิถุนายน 2548 รัฐมนตรี วา่ การกระทรวงการต่างประเทศเยือนมาเลเซี ยอย่างเป็ นทางการ
- เมื่อวันที่ 9-10 สิ งหาคม 2548 รองนายกรัฐมนตรี (นายสุ รเกียรติ์ เสถียรไทย) เดินทางเยือนมาเลเซี ยใน
ฐานะผูแ้ ทนพิเศษ (Special Envoy) ของนายกรัฐมนตรี เพื่อหารื อเรื่ องความร่ วมมือด้านความมัน่ คง
- เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2548 รองนายกรัฐมนตรี (นายสุ รเกียรติ์ เสถียรไทย) เยือนมาเลเซี ยในฐานะผูแ้ ทน
พิเศษ (Special Envoy) ของนายกรัฐมนตรี เพื่อเข้าร่ วมพิธีศพภริ ยานายกรัฐมนตรี มาเลเซี ย
- เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2548 รองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอกชิดชัย วรรณสถิตย์) เดินทางเยือนมาเลเซี ย
- เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2549 นายกรัฐมนตรี (พลเอก สุ รยุทธ์ จุลานนท์) เยือนมาเลเซี ยอย่างเป็ นทางการ
- เมื่อวันที่ 5 สิ งหาคม 2550 นายกรัฐมนตรี (พลเอก สุ รยุทธ์ จุลานนท์) เข้าร่ วมการประชุม Langkawi
International Dialogue ครั้งที่ 8 ณ เกาะลังกาวี
- เมื่อวันที่ 20-22 สิ งหาคม 2550 นายกรัฐมนตรี (พลเอก สุ รยุทธ์ จุลานนท์) เยือนอย่างเป็ นทางการ และเข้า
ร่ วมการประชุมหารื อประจำปี (Annual Consultation) ครั้งที่ 3 ณ เกาะปี นัง
- เมื่อวันที่ 30 สิ งหาคม - 1 กันยายน 2550 นายกรัฐมนตรี (พลเอก สุ รยุทธ์ จุลานนท์) เข้าร่ วมพิธีฉลอง 50 ปี
การได้รับเอกราชของมาเลเซีย
ฝ่ ายมาเลเซี ย
พระราชวงศ์
- เมื่อวันที่ 27-30 มีนาคม 2543 สมเด็จพระราชาธิ บดีและสมเด็จพระราชินีแห่งมาเลเซี ย เสด็จฯ เยือนไทย
อย่างเป็ นทางการในฐานะพระราชอาคันตุกะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั และสมเด็จพระนางเจ้าฯ
พระบรมราชินีนาถ
- เมื่อวันที่ 11-14 มิถุนายน 2549 สมเด็จพระราชาธิ บดีและสมเด็จพระราชินีแห่งมาเลเซี ยเสด็จฯ เยือนไทย
เพื่อทรงร่ วมงานฉลองสิ ริราชสมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั
รัฐบาล
- เมื่อวันที่ 5-7 กรกฎาคม 2545 นายกรัฐมนตรี มาเลเซี ย (ดาโต๊ะ ซรี ดร. มหาธีร์ บิน โมฮัมหมัด) เดินทาง
เยือนไทยอย่างเป็ นทางการ
- เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2545 ไทยเป็ นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะรัฐมนตรี ร่วมไทย – มาเลเซี ย จังหวัดสงขลา
- เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2547 ดาโต๊ะ ซรี อับดุลลาห์ อาหมัด บาดาวี นายกรัฐมนตรี มาเลเซี ยเยือนไทยอย่าง
เป็ นทางการในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง
- เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2547 ดาโต๊ะ ซรี นาจิบ ราซัค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี
ว่าการกระทรวงกลาโหมมาเลเซียเยือนไทย
- เมื่อวันที่ 5 สิ งหาคม 2547 ดาโต๊ะ ซรี ไซด์ ฮามิด อัลบาร์ รัฐมนตรี วา่ การกระทรวง
การต่างประเทศมาเลเซียเยือนไทยเพื่อเป็ นประธานร่ วมในการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การ
พัฒนาร่ วมสำหรับพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซี ย (Thailand-Malaysia Committee on Joint Development
Strategy for border areas – JDS) ครั้งที่ 1 ที่กระทรวงการต่างประเทศ
- เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2547 นายกรัฐมนตรี มาเลเซี ยเยือนไทยเพื่อร่ วมการประชุมหารื อประจำปี (Annual
Consultation) กับนายกรัฐมนตรี ที่จงั หวัดภูเก็ต และเป็ นประธานร่ วมในพิธีวางศิลาฤกษ์ โครงการก่อสร้าง
สะพานดังกล่าวทั้งในฝั่งไทยและฝั่งมาเลเซียเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2547
- เมื่อวันที่ 28-29 มกราคม 2548 ดาโต๊ะ ซรี ดร. จามาลุดดีน จาร์จิส รัฐมนตรี วา่ การกระทรวงวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาเลเซียเยือนไทยณ จังหวัดภูเก็ต เพื่อร่ วมการประชุมว่าด้วยความร่ วมมือใน
ภูมิภาคเกี่ยวกับการจัดการเพื่อเตือนภัยล่วงหน้าในกรณี คลื่นยักษ์
- เมื่อวันที่ 17-19 มีนาคม 2548 ดาโต๊ะ ซรี ราฟี ดาห์ อาซิ ซ รัฐมนตรี วา่ การกระทรวงการค้าระหว่างประเทศ
และอุตสาหกรรมมาเลเซียเยือนไทยเพื่อกระชับความสัมพันธ์ดา้ นการค้าและการลงทุน
- เมื่อวันที่ 21-22 พฤศจิกายน 2548 ตุน ดร.มหาธี ร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรี มาเลเซี ยและภริ ยา เยือน
ไทยในฐานะแขกของรัฐบาล
- เมื่อวันที่ 13-14 กรกฎาคม 2549 ดาโต๊ะ ซรี นาจิบ ราซัค รองนายกรัฐมนตรี /รัฐมนตรี วา่ การกระทรวง
กลาโหมมาเลเซียเยือนไทยเพื่อเข้าร่ วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนทัว่ ไปไทย-มาเลเซี ยที่มีรัฐมนตรี
ว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศเป็ นประธาน
- เมื่อวันที่ 11-13 กุมภาพันธ์ 2550 ดาโต๊ะ ซรี อับดุลลาห์ อาหมัด บาดาวี นายกรัฐมนตรี มาเลเซี ยเยือนไทย
อย่างเป็ นทางการ
- เมื่อวันที่ 28-29 มิถุนายน 2550 ดาโต๊ะ ซรี ไซด์ ฮามิด อัลบาร์ รัฐมนตรี วา่ การกระทรวงการต่างประเทศ
มาเลเซี ยเยือนไทยเพื่อเป็ นประธานร่ วมการประชุมคณะกรรมาธิ การร่ วมว่าด้วยความร่ วมมือทวิภาคีไทย-
มาเลเซี ย ครั้งที่ 10 จัดที่กระทรวงการต่างประเทศ