Professional Documents
Culture Documents
สรุปบทเรียน บทที่ 5
สรุปบทเรียน บทที่ 5
ทฤษฎีการเรียนรู้
แบ่งออกเป็ น 2 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มพฤติกรรม (Behaviorism)
2. กลุ่มความรู้ และความเข้ าใจ (Cognitive)
1. ทฤษฎีกลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism)
นักทฤษฎีทางการศึกษาและนักจิตวิทยากลุ่มนี้ เช่น Pavlov, Skinner, Thorndike
1.1 ทฤษฎีการวางเงื่อนไข (Conditioning Theory) เจ้าของทฤษฎีน้ ี คือ Pavlov กล่าว
ไว้วา่ ปฏิกิริยาตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่ งของคนไม่ได้มาจากสิ่ งเร้า (Stimulus) อย่างใดอย่างหนึ่ ง
แต่เพียงอย่างเดี ยว อาจมี สิ่งอื่นที่ทาให้เกิ ดการตอบสนองเช่ นเดี ยวกันได้ หากมีเงื่ อนไขที่ ถูกต้อง
เหมาะสม
1.2 ทฤษฎีความสั ม พันธ์ ต่อเนื่ อง (Connectionism Theory) เจ้า ของทฤษฎี น้ ี คื อ
Thorndike ซึ่ งกล่าวไว้วา่ สิ่ งเร้าอย่างใดอย่างหนึ่ งอาจทาให้เกิดการตอบสนองได้หลายอย่าง ซึ่ งในที่สุด
ผูไ้ ด้รับสิ่ งเร้านั้นจะค้นพบและเลือกสรรการตอบสนองที่ดีที่สุด และ Thorndike สรุ ปออกมาเป็ นกฎ
การเรี ยนรู ้ คือ
1) กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness)
2) กฎแห่งการฝึ กหัด (Law of Exercise)
- กฎของการใช้ (Law of Used)
- กฎของการไม่ใช้ (Law of Disused)
3) กฎแห่งความพอใจ (Law of Effect)
1.3 ทฤษฎีก ารวางเงื่ อ นไข/ทฤษฎีก ารเสริ ม แรง (S –R Theory หรื อ Operant
Conditioning)
Skinner กล่าวถึง การเรี ยนรู ้ที่ได้มาจากการได้รับผลของการกระทา โดยกล่าวถึงทฤษฎี
นี้ วา่ “ปฏิ กิริยาตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่ ง อาจไม่ใช่เนื่ องมาจากสิ่ งเร้าเพียงสิ่ งเดียว แต่อาจจะมา
จากสิ่ งเร้าอื่นที่เสริ มเข้ามา ซึ่ งทาให้เกิดการตอบสนองเช่นเดียวกันได้ ถ้ามีการวางเงื่อนไขที่ถูกต้อง”
Skinner ทดลองโดยใช้กล่องที่สร้ างขึ้นมาและนานกไปใส่ ไว้ในกล่อง และนกเคลื่อนไหว
ถู กคานอาหารหล่นลงมา นกจึงรู ้ ว่าการกดคานแล้วจะได้อาหาร สรุ ปเป็ นองค์ประกอบ 3 ตัว คื อ สิ่ งที่
ก่อให้เกิดขึ้นก่อน พฤติกรรม และผลที่ได้รับ
2. ทฤษฎีกลุ่มความรู้ (Cognitive)
นักทฤษฎีทางการศึกษาและนักจิตวิทยากลุ่มนี้เน้นความสาคัญของส่ วนรวม ทฤษฎีทาง
จิตวิทยาของกลุ่มนี้ ซ่ ึ งมีชื่อว่า Cognitive Field Theory นักจิตวิทยาในกลุ่มนี้ เช่น Kohler, Lewin,
Witkin แนวคิดของทฤษฎีน้ ีจะเน้นความพอใจของผูเ้ รี ยน ผูส้ อนควรให้ผเู ้ รี ยนหรื อเกษตรกรทางาน
ตามความสามารถของเขาและคอยกระตุน้ ให้ผเู ้ รี ยนประสบความสาเร็ จ การเรี ยนการสอนจะเน้นให้
ผูเ้ รี ยนลงมือกระทาด้วยตัวเขาเอง ผูส้ อนเป็ นผูช้ ้ ี แนะ โดยเน้นเรี ยนจากประสบการณ์ (Experience)
และการเรี ยนรู ้โดยการปฏิบตั ิจริ ง (Learning by Doing)
ทฤษฎีการแพร่ กระจาย
Everett Roger (1995) เป็ นบุคคลที่คิดค้นและได้พิสูจน์ทฤษฎีการแพร่ กระจายนวัตกรรม
(Diffusion of Innovation Theory) โดยทฤษฎี น้ ี เน้นความเชื่ อว่า การเปลี่ ยนแปลงสังคมและ
วัฒนธรรมเกิ ดขึ้นจากการแพร่ กระจายของสิ่ งใหม่ๆ จากสังคมหนึ่ งไปยังอีกสังคมหนึ่ งและสังคมนั้น
รับเข้าไปใช้สิ่งใหม่ๆ นี้ คือ นวัตกรรม ซึ่ งเป็ นทั้งความรู ้ ความคิด เทคนิ ควิธีการ และเทคโนโลยีใหม่ๆ
โดยได้อธิ บ ายทฤษฎี ก ระบวนการแพร่ ก ระจายนวัตกรรมนี้ ว่า มี ตวั แปรหรื อองค์ป ระกอบหลัก
ที่สาคัญ 4 ประการ (Four main element in the diffusion of innovations) คือ
1. นวัตกรรม (Innovation) หรื อสิ่ งใหม่ที่จะแพร่ กระจายไปสู่ สังคมเกิ ดขึ้น นวัตกรรมที่จะ
แพร่ กระจายและเป็ นที่ยอมรับของคนในสังคมนั้น โดยทัว่ ไปประกอบด้วยส่ วนสาคัญ 2 ส่ วน คือ
ส่ วนที่เป็ นความคิดและส่ วนที่เป็ นวัตถุ นวัตกรรมใดจะถูกยอมรับหรื อไม่น้ นั นอกจากจะเกี่ยวกับ
ตัวผูร้ ับ ระบบสังคม และรับการสื่ อสารแล้ว ตัวของนวัตกรรมเองก็มีความสาคัญ
นวัตกรรมที่ยอมรับได้ง่ายควรจะต้องมีลกั ษณะ 5 ประการ โดยนวัตกรรมที่มีลกั ษณะ
ตรงกันข้ามกันกับ 5 ประการ ต่อไปนี้มกั จะเป็ นที่ยอมรับได้ยาก
ได้ประโยชน์มากกว่าเดิมที่เข้ามาแทนที่ (Relative Advantage)
มีสอดคล้องกับวัฒนธรรมในสังคมที่จะรับ (Compatibility)
ไม่มีความสลับซับซ้อนมากนัก (Complexity)
สามารถแบ่งทดลองครั้งละน้อยได้ (Trialability)
สามารถมองเห็นหรื อเข้าใจได้ง่าย (Observability)
2. การสื่ อสารโดยผ่ านสื่ อทางใดทางหนึ่ง (Types of Communication) เพื่อให้คนในสังคม
ได้รับรู ้ ระบบการสื่ อสาร การสื่ อสาร คือ การติ ดต่อระหว่างผูส้ ่ งข่าวสารกับผูร้ ับข่าวสาร โดยผ่านสื่ อ
หรื อ ตัวกลางใดตัวกลางหนึ่ ง ที่ น วัต กรรมนั้น แพร่ ก ระจายจากแหล่ ง ก าเนิ ด ไปสู่ ผู ใ้ ช้หรื อ ผู ร้ ั บ
นวัตกรรม อันเป็ นกระบวนการกระทาระหว่างกันของมนุ ษย์ การสื่ อสารจึงมีความสาคัญต่อการรับ
นวัตกรรมมาก
แหล่งความรู ้ ผูร้ ับ
ช่องทาง / สื่ อ
(ผูส้ ่ ง)
เจ้าหน้าที่ส่งเสริ ม บุคคลเป้าหมาย