Professional Documents
Culture Documents
41404 สรุปกฎหมายแรงงาน
41404 สรุปกฎหมายแรงงาน
กฎหมายแรงงาน มสธ.
บทที1่
ตอนที่ 1.1 ขอบเขตของการจ้ างแรงงาน
สัญญาว่าจ้างแรงงานเป็ นสัญญาต่างตอบแทน คือ การจ้างแรงงานมีผลเกิดขึ้นทันทีเมื่อมีการตกลง
ระหว่างบุคคล 2 ฝ่ ายคือ ลูกจ้างและนายจ้าง โดยฝ่ ายลูกจ้างตกลงจะทางานให้ และฝ่ ายนายจ้างตกลงจะ
จ่ายสิ นจ้างให้ สัญญาจ้างแรงงานแตกต่างกับสัญญาอื่นๆ เพราะเป็ นการใช้แรงงานมนุษย์ ซึ่งก่อให้เกิด
สิ ทธิและหน้าที่ต่างๆ (ม. 575, 577, 584)
สัญญาจ้างแรงงานเป็ นเอกเทศสัญญาอย่างหนึ่ง มี สาระสาคัญ 4 ประการ คือ
(1) นายจ้างและลูกจ้างมีสิทธิที่จะแสดงเจตนาทาสัญญาจ้างแรงงานเป็ นหนังสื อหรื อโดยปากเปล่าก็ได้
แต่ตอ้ งอยูภ่ ายในขอบเขตของกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ และกฎหมายคุม้ ครองแรงงาน ซึ่งเป็ นกฎหมาย
เกี่ยวกับความสงบเรี ยบร้อยของประชาชน ซึ่งถ้ามีการแสดงเจตนาขัดต่อกฎหมายดังกล่าว ย่อมทาให้ตก
เป็ นโมฆะได้
(2) การให้สินจ้างหรื อค่าจ้างเป็ นสาระสาคัญของสัญญา (ลูกจ้างตกลงทางานเพื่อรับสิ นจ้าง/นายจ้างตก
ลงจ่าย)
(3) เป็ นสัญญาเฉพาะตัว (ไม่สามารถโอนสิ ทธิกนั ได้ ยกเว้นคู่กรณี ยนิ ยอม)
(4) ลักษณะของการบังคับบัญชาเป็ นสาระสาคัญของสัญญา (สัญญาจ้างทาของ จะถือผลสาเร็จของงาน)
หน้าที่ของลูกจ้าง (ม. 578, 583)
(1) ต้องทางานให้แก่นายจ้าง : ด้วยการใช้กาลังกาย, สมอง หรื องานที่ใช้วิชาการ โดยนายจ้างเป็ นฝ่ าย
เขียนกาหนดหน้าที่ของลูกจ้างไว้ในข้อบังคับการทางาน (Job Description)
(2) ต้องปฏิบตั ิตามคาสัง่ ของนายจ้าง : ซึ่ งจะต้องเป็ นเรื่ องที่เกี่ยวกับงานในหน้าที่ เป็ นคาสัง่ ที่ถูกต้อง
ตามกฎหมาย ไม่ขดั ต่อความสงบเรี ยบร้อยและศีลธรรมอันดี และไม่เป็ นการพ้นวิสยั ที่จะปฏิบตั ิได้
(3) ต้องทางานด้วยความตั้งใจ เอาใจใส่ในหน้าที่ และด้วยความถูกต้องและสุจริ ตใจ
หน้าที่ของนายจ้าง
(1) หน้าที่ในการจ่ายสินจ้าง (ม.576)
(2) หน้าที่ในการออกหนังสื อรับรองการทางาน
(3) หน้าที่ในการจัดสวัสดิการและความปลอดภัยแก่ลูกจ้าง (ม.586, 425)
(4) หน้าที่ที่จะให้งานแก่ลูกจ้าง
การสิ้นสุดของสัญญาจ้างแรงงาน (ม.581, 582)
2
ขอบเขตของกฎหมายแรงงาน
ให้ความคุม้ ครองและส่งเสริ มผูใ้ ช้แรงงานในเชิงเศรษฐกิจทุกคน โดยมีขอ้ ยกเว้น ไม่ใช้กบั ราชการ
ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น และผูใ้ ช้แรงงานในวงเกษตร ขอบข่ายที่สาคัญ :
(1) การคุม้ ครองหรื อส่งเสริ ม ผูท้ ี่จะเข้าสู่กาลังแรงงาน (เช่น แนะแนวอาชีพ ฝึ กอาชีพฟรี )
(2) การคุม้ ครองหรื อส่งเสริ ม ผูท้ ี่เข้าสู่กาลังแรงงานแล้ว (เพื่อความสัมพันธ์ที่ดี เหมาะสมและเป็ น
ประโยชน์)
(3) การคุม้ ครองหรื อส่งเสริ ม ผูซ้ ่ ึงได้ออกจากกาลังแรงงานแล้ว (เช่น การจัดตั้งกองทุนเกษียณอายุ
ฯลฯ)
รู ปแบบของกฎหมายแรงงาน กฎหมายคุม้ ครองแรงงาน, แรงงานสัมพันธ์, ฝึ กอบรม, การจัดหางาน,
ประกันสังคม, สุขภาพและความปลอดภัยในการทางาน, เงินทดแทน
กฎหมายแรงงานไทย ปพพ. บรรพ3 ลักษณะ 6 สัญญาจ้างแรงงาน, พรบ.แรงงานสัมพันธ์ 2518, พรบ.
จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน 2522, พรบ.ประกันสังคม, พรบ.เงินทดแทน
ตอนที่ 1.3 วิวฒั นาการของกฎหมายแรงงาน
วิวฒั นาการของกม.แรงงานในต่างประเทศ : เกิดขึ้นในอังกฤษเป็ นครั้งแรก เมือ ค.ศ.1802 สมัยปฏิวตั ิ
อุตสาหกรรม เพื่อให้ความคุม้ ครองแก่คนงานเป็ นพิเศษ โดยวางแนวทางการใช้แรงงานของผูฝ้ ึ กงาน
กาหนดชัว่ โมงทางาน ค่าจ้าง หลังจากนั้นประเทศต่างๆ ในยุโรปก็ได้ออก กม.แรงงานตามอย่างอังกฤษ
วิวฒั นาการของกม.แรงงานในประเทศไทย : เป็ นไปอย่างเชื่องช้า ก่อนปี 2475 ความคิดที่จะมีกม.
แรงงานเริ่ มได้รับความสนใจหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่เดิมไทยไม่มีตวั บทกฎหมายเกี่ยวกับ
แรงงานโดยเฉพาะ มีเพียงการออกบทบัญญัติเกี่ยวกับคนงานเป็ นครั้งคราว กม.ที่เกี่ยวข้องกับเรื่ องการ
จ้างแรงงานฉบับแรก คือ ปพพ. บรรพ 3 ลักษณะ 6 เรื่ อง การจ้างแรงงาน ต่อมาในปี 2499 รัฐบาลได้
ประกาศใช้ พ.ร.บ.แรงงาน พ.ศ. 2499 ซึ่งถือได้วา่ เป็ นกม.แรงงานฉบับแรกที่วางข้อกาหนดการ
คุม้ ครองแรงงานไว้อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในเรื่ องชัว่ โมงทางาน เวลาพักผ่อน การหยุดงาน การใช้
แรงงานหญิงและเด็ก ค่าจ้าง ค่าชดเชย เงินทดแทน รวมทั้งการให้สิทธิแก่คนงานก่อตั้งสมาคมทาการ
ต่อรองกับนายจ้าง แต่กฎหมายฉบับนี้ประกาศใช้ได้ไม่นานก็ถูกยกเลิกเมื่อมีการปฏิวตั ิใน พ.ศ. 2501
ในปี 2518 ก็ได้มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 กม.ฉบับนี้ยอมรับสิ ทธิของคนงาน
ที่จะตั้งเป็ นสหภาพ สหพันธ์ และสภาแรงงาน รวมทั้งมีบทคุม้ ครองการทางานขององค์กรลูกจ้างอย่าง
กว้างขวาง ล่วงมาจนปี 2522 รัฐบาลได้มี พรบ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522
4
บทที2่
ตอนที่ 2.1 สาระสาคัญของกฎหมายคุ้มครองแรงงาน
กม.คุม้ ครองแรงงาน ต้องการที่จะสร้างความเป็ นธรรมระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง โดยให้ความคุม้ ครอง
แก่ลูกจ้างในด้านต่างๆ เพื่อมิให้ถูกนายจ้างเอารัดเอาเปรี ยบเกินไป
กม.คุม้ ครองแรงงานเป็ นส่วนหนึ่งของกฎหมายแรงงาน มีลกั ษณะสาคัญ 4 ประการคือ :
1. เป็ นกฎหมายกึ่งมหาชน กึ่งเอกชน
กม.มหาชน เพราะข้อกาหนดความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างลูกจ้าง ถือเป็ นข้อกาหนดของรัฐเพื่อ
ประโยชน์ส่วนรวม การฝ่ าฝื นจึงเป็ นความผิดต่อรัฐ ต้องรับโทษทางอาญา
กม.เอกชน เพราะ นายจ้างลูกจ้าง ยังมีเสรี ภาพเต็มที่ในการทาสัญญา หากว่าสัญญานั้นไม่ขดั ต่อ กม.
คุม้ ครองแรงงาน สัญญานั้นๆ จะสูงกว่ามาตรฐานขั้นต่าได้
2. เป็ นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรี ยบร้อยของประชาชน
เพื่อคุม้ ครองลูกจ้างมิให้ถูกนายจ้างเอารัดเอาเปรี ยบเกินไป, เป็ นข้อบังคับเด็ดขาด และจากัดหลัก
เสรี ภาพในการทาสัญญา (หรื อหลักความศักดิ์สิทธิ์ในการแสดงเจตนา) ให้อยูใ่ นกรอบของ กม.คุม้ ครอง
แรงงาน หากขัดต่อบทบัญญัติ ย่อมเป็ นโมฆะ (ปพพ. มาตรา ๑๕๐ – ๑๕๑)
3. เป็ นกฎหมายที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง
4. เป็ นกฎหมายทางสังคม หรื อ สวัสดิการสังคม
สร้างความเป็ นธรรมในสังคมระหว่างนายจ้างลูกจ้าง โดยมุ่งคุม้ ครองสิ ทธิพ้ืนฐาน ประกันความมัน่ คง
แก่ลูกจ้างในเรื่ องค่าจ้างที่เป็ นธรรม ให้สามารถดารงชีพอยูใ่ นสังคมได้, ได้รับค่าชดเชยเมื่อเลิกจ้าง,
ได้รับเงินทดแทนเมื่อประสบอันตรายจากการทางาน, สวัสดิการความปลอดภัยที่เหมาะสม,
กาหนดเวลาทางาน
ขอบเขตของการบังคับใช้ กม.คุม้ ครองแรงงาน คือ กิจการทุกประเภท ไม่วา่ อุตสาหกรรม พาณิ ชยกรรม
การขนส่ง หรื อกิจการอื่นใดที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ต้องอยูภ่ ายใต้บงั คับของ กม.คุม้ ครองแรงงาน
เว้นแต่จะมีกฎหมายยกเว้นให้เป็ นพิเศษไม่ตอ้ งอยูใ่ นบังคับ กม.คุม้ ครองแรงงาน
(1) ส่วนราชการ – ส่วนกลาง, ส่วนภูมิภาค, ส่ วนท้องถิ่น
(2) รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
(3) กิจการโรงเรี ยนเอกชน เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับครู ใหญ่และครู , ลูกจ้างทางานเกี่ยวกับงานบ้านที่
มิได้ประกอบธุรกิจรวมอยูด่ ว้ ย, นายจ้างซึ่งจ้างลูกจ้างทางานโดยมิได้แสวงหากาไรในทางเศรษฐกิจ (ฉ.
1)
5
การทางานในวันหยุด
ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างทางานในวันหยุด ยกเว้นกรณี ต่อไปนี้ ที่นายจ้างมีสิทธิให้ลูกจ้างทางานใน
วันหยุด แต่ตอ้ งจ่ายค่าทางานแก่ลูกจ้าง (งานอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยไม่ได้เด็ดขาด)
(1) ลักษณะหรื อสภาพของงานต้องทาติดต่อกันไป ถ้าหยุดจะเสี ยหายแก่งาน หรื อ
(2) เป็ นงานฉุกเฉิน นายจ้างอาจให้ ลูกจ้างทางานในวันหยุดได้เท่าที่จาเป็ น
(3) กิจการโรงแรม สถานมหรสพ งานขนส่ง ร้านขายอาหาร ร้านขายเครื่ องดื่ม สโมสร สมาคม
สถานพยาบาล หรื อกิจการอื่นตามที่ กาหนดในกฎกระทรวง(ฉ.4)
(4) เพื่อประโยชน์แก่การผลิต การจาหน่าย และการบริ การ นายจ้างอาจให้ลูกจ้างทางานในหยุดเท่าที่
จาเป็ น โดยได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อนเป็ นคราว ๆ ไป
”วันลา“ หมายความว่า วันที่ลูกจ้างลาป่ วย ลาเพื่อทาหมัน ลาเพื่อกิจธุระอันจาเป็ น ลาเพื่อรับราชการ
ทหาร ลาเพื่อการฝึ กอบรม หรื อพัฒนาความรู ้ความสามารถ หรื อลาเพื่อคลอดบุตร
ก. วันลาป่ วย
ให้ลูกจ้าง(ทุกคนทุกประเภท)มีสิทธิลาป่ วยได้เท่าที่ป่วยจริ ง ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างในวันลา
ป่ วยเท่ากับอัตราค่าจ้างในวันทางานตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ปีหนึ่งต้องไม่เกิน 30 วันทางาน
การลาป่ วยตั้งแต่ 3 วันทางานขึ้นไปนายจ้างอาจให้ลูกจ้างแสดงใบรับรองของ แพทย์แผนปัจจุบนั
ชั้นหนึ่งหรื อของสถานพยาบาลของทางราชการ ในกรณี ที่ลูกจ้างไม่อาจแสดงใบรับรองของบุคคล
ดังกล่าวได้ ให้ลูกจ้างชี้แจงให้นายจ้างทราบ, ถ้านายจ้างจัดแพทย์ไว้ให้แล้ว ให้แพทย์น้ นั เป็ นผูอ้ อก
ใบรับรอง เว้นแต่ลูกจ้างไม่สามารถให้แพทย์น้ นั ตรวจได้
ข. วันลากิจ
ให้ลูกจ้างมีสิทธิลาเพื่อกิจธุระอันจาเป็ นได้ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทางาน
ในกรณี ที่ไม่มีขอ้ บังคับการลากิจ ก็เป็ นอานาจหรื อสิ ทธิของนายจ้างฝ่ ายเดียว ว่าจะอนุญาตหรื อไม่
อนุญาตให้ลูกจ้างลากิจ ถ้าลูกจ้างฝ่ าฝื น อาจจะถือว่าเป็ นการละทิ้งหน้าที่ไป (ตามกฎหมาย ลูกจ้างไม่มี
สิ ทธิลากิจ และนายจ้างก็ไม่มีหน้าที่ตอ้ งให้ลูกจ้างลากิจ)
(1) การลาเพื่อรับราชการทหาร
ให้ลูกจ้างมีสิทธิลาเพื่อรับราชการทหารในการเรี ยกพลเพื่อตรวจสอบ เพื่อฝึ กวิชาทหารหรื อเพื่อทดลอง
ความพรั่งพร้อมตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร (ไม่หมายถึงการเกณฑ์ทหาร)
ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างในวันลาเพื่อรับราชการทหารเท่ากับค่าจ้างในวันทางาน ตลอด
ระยะเวลาที่ลา แต่ปีหนึ่งไม่เกิน 60 วัน
8
(2) การลาคลอดบุตร
ให้ลูกจ้างซึ่งเป็ นหญิงมีครรภ์มีสิทธิลาเพื่อคลอดบุตร ครรภ์หนึ่งไม่เกิน 90 วัน ให้นบั รวมวันหยุดที่มีใน
ระหว่างวันลาด้วย (ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทางาน ตลอดระยะเวลาที่ลาแต่ไม่เกิน 45
วัน)
ตอนที่ 2.3 การคุ้มครองการใช้ แรงงานหญิงและเด็ก
นอกจากจะได้รับความคุม้ ครองตามบทคุม้ ครองแรงงานทัว่ ไปแล้ว ลูกจ้างซึ่งเป็ นหญิงและเด็กยังได้รับ
ความคุม้ ครองเป็ นพิเศษอีกในเรื่ องประเภทของงานที่ทา กาหนดเวลาทางาน และโดยเฉพาะลูกจ้างหญิง
กฎหมายให้สิทธิลาคลอด และสิ ทธิขอเปลี่ยนงานในหน้าที่อีกต่างหากด้วย
1. ประเภทของงานที่หา้ มนายจ้างให้ลูกจ้างหญิงทา
(1) งานเหมืองแร่ หรื องานก่อสร้างที่ตอ้ งทาใต้ดิน ใต้น้ า ในถ้ า ในอุโมงค์ หรื อปล่องในภูเขา เว้นแต่
ลักษณะของงานไม่เป็ นอันตรายต่อสุขภาพหรื อร่ างกายของลูกจ้างนั้น
(2) งานที่ตอ้ งทาบนนัง่ ร้านที่สูงกว่าพื้นดินตั้งแต่ 10 เมตรขึ้นไป
(3) งานผลิต หรื อขนส่งวัตถุระเบิด หรื อวัตถุไวไฟ (4) งานอื่นตามที่กาหนดในกฎกระทรวง
2. กาหนดเวลาทางานของลูกจ้างหญิง
ในกรณี ที่นายจ้างให้ลูกจ้างหญิงทางานระหว่างเวลา 24.00 น. ถึง 06.00 น. และพนักงานตรวจแรงงาน
เห็นว่างานนั้นอาจะเป็ นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของหญิงนั้น ให้พนักงานตรวจแรงงาน
รายงานต่ออธิบดี หรื อผูซ้ ่ ึงอธิบดีมอบหมายเพื่อพิจารณาและมีคาสัง่ ให้นายจ้างเปลี่ยนเวลาทางาน หรื อ
ลดชัว่ โมงทางานได้ตามที่เห็นสมควร และให้นายจ้างปฏิบตั ิตามคาสัง่ ดังกล่าว
ห้ามนายจ้างให้ลูกจ้างหญิงมีครรภ์ทางานในระหว่างเวลา 22.00 - 06.00 น. ทางานล่วงเวลา ทางานใน
วันหยุด หรื อทางานอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ (1) งานเกี่ยวกับเครื่ องจักร หรื อเครื่ องยนต์ที่มีความ
สัน่ สะเทือน (2) งานขับเคลื่อนหรื อติดไปกับยานพาหนะ (3) งานยก แบก หาม หาบ ทูน ลาก หรื อเข็น
ของหนักเกิน 15 กก. (4) งานที่ทาในเรื อ (5) งานอื่นที่กาหนดในกฎฯ
3. สิ ทธิคลอดของลูกจ้างหญิง
ให้ลูกจ้างซึ่งเป็ นหญิงมีครรภ์มีสิทธิลาเพื่อคลอดบุตร ครรภ์หนึ่งไม่เกิน 90 วัน ให้นบั รวมวันหยุดที่มีใน
ระหว่างวันลาด้วย (ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทางาน ตลอดระยะเวลาที่ลาแต่ไม่เกิน 45
วัน)
ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างซึ่งเป็ นหญิง เพราะเหตุมีครรภ์
4. สิ ทธิขอเปลี่ยนงานในหน้าที่ชวั่ คราว
9
กาหนดเวลาทางานของเด็ก
ให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างซึ่งเป็ นเด็กมีเวลาพักวันละไม่นอ้ ยกว่า 1 ชัว่ โมงติดต่อกันหลังจากที่ลูกจ้าง
ทางานมาแล้วไม่เกิน 4 ชัว่ โมง แต่ใน 4 ชัว่ โมงนั้นให้ลูกจ้างซึ่งเป็ นเด็กได้มีเวลาพักตามที่นายจ้าง
กาหนด
ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างซึ่งเป็ นเด็กอายุต่ากว่า 18 ปี ทางานในระหว่างเวลา 22.00 - 06.00 น. เว้นแต่จะ
ได้รับอนุญาตเป็ นหนังสื อจากอธิบดีหรื อผูซ้ ่ ึงอธิบดีมอบหมาย แต่นายจ้างอาจให้ลูกจ้างซึ่งเป็ นเด็กอายุ
ต่ากว่า 18 ปี และเป็ นผูแ้ สดงภาพยนต์ ละครหรื อการแสดงอย่างอื่นที่คล้ายคลึงกันทางานในระหว่าง
เวลาดังกล่าวได้ ทั้งนี้ ให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างซึ่งเป็ นเด็กนั้นได้พกั ผ่อนตามสมควร
ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างซึ่งเป็ นเด็กอายุต่ากว่า 18 ปี ทางานล่วงเวลาหรื อทางานในวันหยุด (ทางานใน
เวลาพักได้)
การคุม้ ครองการจ่ายค่าจ้างล่วงหน้า
ห้ามมิให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างของลูกจ้างซึ่งเป็ นเด็กให้แก่บุคคลอื่น
ห้ามมิให้นายจ้างเรี ยกหรื อรับเงินประกันเพื่อการใดๆ จากฝ่ ายลูกจ้างซึ่งเป็ นเด็ก
ในกรณี ที่นายจ้าง, ลูกจ้างซึ่งเป็ นเด็ก, บิดามารดาหรื อผูป้ กครองของลูกจ้างซึ่งเป็ นเด็ก จ่าย หรื อรับเงิน
หรื อประโยชน์ตอบแทนใดๆ เป็ นการล่วงหน้าก่อนมีการจ้าง ขณะแรกจ้าง หรื อก่อนถึงงวดการจ่าย
ค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างซึ่งเป็ นเด็กในแต่ละคราว มิให้ถือว่าเป็ นการจ่ายหรื อรับค่าจ้างสาหรับลูกจ้างซึ่งเป็ น
เด็กนั้น และห้ามมิให้นายจ้างนาเงินหรื อประโยชน์ตอบแทนดังกล่าวมาหักจากค่าจ้างซึ่งต้องจ่ายให้แก่
ลูกจ้างซึ่งเป็ นเด็กตามกาหนดเวลา
การให้สิทธิลาเพื่อเข้ารับการฝึ กอบรม
เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาและส่งเสริ มคุณภาพชีวิตและการทางานของเด็กให้ลูกจ้างซึ่งเป็ นเด็กอายุต่า
กว่า 18 ปี เพื่อเข้าที่ประชุมสัมมนา รับการอบรม รับการฝึ กหรื อลาเพื่อการอื่น ให้ลูกจ้างซึ่งเป็ นเด็กแจ้ง
ให้นายจ้างทราบล่วงหน้าถึงเหตุที่ลาโดยชัดแจ้ง พร้อมทั้งแสดงหลักฐานที่เกี่ยวข้องถ้ามี ดังนั้น
สามารถสรุ ปหลักเกณฑ์สิทธิในการลาเพื่อเข้ารับการฝึ กอบรมของลูกจ้างเด็กได้วา่
1) เป็ นสิ ทธิของลูกจ้างเด็กที่จะลาได้ โดยนายจ้างจะห้ามมิได้
2) ต้องเป็ นประโยชน์ในการพัฒนาเด็ก กรณีน้ ีกฎหมายบัญญัติไว้กว้างขวางมาก ดังนั้น การอบรม
ดังกล่าวจึงไม่จาเป็ นต้องเกี่ยวข้องกับงานที่ทาอยูป่ กติกไ็ ด้
3) ต้องเป็ นการฝึ กอบรมที่อธิบดีจดั ขึ้นหรื อเห็นชอบด้วย อธิบดีหมายถึงอธิบดีกรมสวัสดิการและ
คุม้ ครองแรงงาน อย่างไรก็ดี ไม่ควรตีความ “อธิบดี” อย่างเคร่ งครัด เพราะจะเป็ นการจากัดสิทธิของเด็ก
11
บทที3่
ตอนที่ 3.1 ค่าจ้ าง
ความทัว่ ไป
”ค่าจ้าง” หมายความว่า เงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่าย เป็ นค่าตอบแทนในการทางานตามสัญญา
จ้าง สาหรับ
1.1 ระยะเวลาการทางานปกติเป็ นรายชัว่ โมง รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน หรื อระยะเวลาอื่น
1.2 จ่ายให้โดยคานวณตามผลงานที่ลูกจ้างทาได้ในเวลาทางานปกติของวันทางาน
2. เงินที่นายจ้างให้แก่ลูกจ้างในวันหยุดและวันลาที่ลูกจ้างมิได้ทางาน แต่ลูกจ้างมีสิทธิ์ได้รับตาม
พระราชบัญญัติน้ ี
๏ การทางานที่มิได้ประสงค์ค่าจ้างหรื อสิ่ งตอบแทนในรู ปค่าจ้าง แต่เป็ นการช่วยเหลือกันตามประเพณี
หรื อตามที่เรี ยกขานวานใช้ ย่อมไม่ก่อให้เกิดนิติสมั พันธ์ในฐานะนายจ้างและลูกจ้าง
ค่าจ้างตามกฎหมายแรงงาน
ก. เหตุผลในการกาหนดนิยาม “ค่าจ้าง”
1. เพื่อสะดวกในการใช้และกล่าวอ้างถึง
2. ผลตอบแทนในรู ปอื่นซึ่งเรี ยกว่า “สวัสดิการหรื อผลประโยชน์อื่น” ไม่ถือเป็ นค่าจ้าง
3. ใช้เป็ นฐานในการคานวณเงินประเภทอื่น เช่น ค่าล่วงเวลา ค่าทางานในวันหยุด ค่าชดเชย
1. การจ่ายค่าจ้างในวันหยุด
ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทางานสาหรับวันหยุดตังต่อไปนี้
(1) วันหยุดประจาสัปดาห์ (2) วันหยุดตามประเพณี (3) วันหยุดพักผ่อนประจาปี
แต่ลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างรายวัน รายชัว่ โมง หรื อตามผลงานโดยคานวณเป็ นหน่วย จะไม่ได้รับค่าจ้างใน
วันหยุดประจาสับดาห์
2. การจ่ายค่าจ้างในวันลา
(1) ค่าจ้างในวันลาป่ วย ตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ปีหนึ่งต้องไม่เกิน 30 วันทางาน
(2) ค่าจ้างในวันลาเพื่อรับราชการทหาร ตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ปีหนึ่งไม่เกิน 60 วัน
(3) ค่าจ้างในวันลาเพื่อการคลอด ตลอดระยะเวลาที่ลาแต่ไม่เกิน 45 วัน
เพื่อประโยชน์แก่การจ่ายค่าจ้าง ในกรณี ที่ลูกจ้างได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคานวณเป็ นหน่วย ให้
นายจ้างจ่ายค่าจ้างในวันหยุดหรื อวันลา เท่ากับค่าจ้างโดยเฉลี่ยในวันทางานที่ลูกจ้างได้รับในงวดการ
จ่ายค่าจ้างก่อนวันหยุดหรื อวันลานั้น
13
ค่าจ้างขั้นต่า
แนวคิด การกาหนดค่าจ้างขั้นต่า โดยทัว่ ไปมักจะกาหนดในประเทศที่กาลังพัฒนา เพื่อคุม้ ครองลูกจ้างที่
ไม่มีฐานอานาจในการเจรจาต่อรอง ให้ได้รับค่าจ้างในอัตราที่สามารถดารงชีวิตอยูไ่ ด้ สาหรับใน
ประเทศที่พฒั นาแล้ว ส่ วนใหญ่ลูกจ้างจะมีฐานอานาจในการเจรจาต่อรองร่ วม คู่กรณี จะเป็ นผูร้ ่ วมกัน
กาหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่าขึ้นใช้บงั คับในกลุ่มประเภทกิจการเดียวกัน รัฐจะเป็ นผูก้ าหนดอัตราค่าจ้างขั้น
ต่าเฉพาะในกิจการที่ลูกจ้างไม่มีฐานอานาจในการเจรจาต่อรองร่ วมเท่านั้น
หลักการ เพื่อเป็ นหลักประกันเบื้องต้นแก่ประชาชนวัยทางาน หรื อคนงานไร้ฝีมือที่เริ่ มแรกเข้าสู่
ตลาดแรงงาน ให้ได้รับค่าจ้างไม่ต่ากว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่าที่กาหนดโดยองค์กรไตรภาคี ซึ่งประกอบด้วย
ผูแ้ ทนของฝ่ ายรัฐบาล ผูแ้ ทนฝ่ ายนายจ้าง และผูแ้ ทนฝ่ ายลูกจ้าง ซึ่งในประเทศไทยเรี ยกองค์กรนี้วา่
คณะกรรมการค่าจ้าง ตามหลักสากล ค่าจ้างขั้นต่าเพื่อการดารงชีวิตของคนงานกับภรรยาและบุตรอีก
สองหรื อสามคน แต่สาหรับประเทศไทยเป็ นอัตราซึ่งลูกจ้างคนเดียวควรจะได้รับและสามารถดารงชีพ
อยูไ่ ด้
หลักเกณฑ์ในการกาหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่า
ในการพิจารณากาหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่า และอัตราค่าจ้างขั้นต่าพื้นฐานให้คณะกรรมการค่าจ้างศึกษา
และพิจารณาข้อเท็จจริ งเกี่ยวกับอัตราค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับอยู่ ประกอบกับข้อเท็จจริ งอื่นโดยเฉพาะ
อย่างยิง่ ดัชนีค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อ มาตรฐานการครองชีพ ต้นทุนการผลิต ราคาของสิ นค้า
ความสามารถของธุรกิจผลิตภาพแรงงาน ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ สภาพทางเศรษฐกิจและ
สังคม
การพิจารณากาหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่า จะกาหนดให้ใช้เฉพาะกิจการประเภทใดประเภทหนึ่งหรื อทุก
ประเภทหรื อในท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่งก็ได้ และต้องไม่ต่ากว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่าพื้นฐานที่คณะ
กรรมการฯกาหนด ถ้าไม่มีการกาหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่าในท้องที่ใดให้ถือว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่าพื้นฐาน
เป็ นอัตราค่าจ้างขั้นต่าของท้องที่น้ นั
ให้นายจ้างที่อยูใ่ นข่ายบังคับของประกาศกาหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่าปิ ดประกาศดังกล่าวไว้ในที่เปิ ด-เผย
เพื่อให้ลูกจ้างได้ทราบ ณ สถานที่ทางานของลูกจ้างตลอดระยะเวลาที่ประกาศดังกล่าวมีผลใช้บงั คับ
ขอบเขตการบังคับใช้อตั ราค่าจ้างขั้นต่า ใช้บงั คับแก่กิจการทุกประเภทรวมทั้งที่มิได้แสวงหากาไร
ในทางเศรษฐกิจ ที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ยกเว้น ราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น งาน
เกษตรกรรม (เพาะปลูก ประมง ป่ าไม้ เลี้ยงสัตว์) ลูกจ้างทางานบ้าน พนักงานรัฐวิสาหกิจ
14
ผลกระทบของการกาหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่า
ข้อดี เป็ นการคุม้ ครองลูกจ้างให้ได้รับค่าจ้างพอควรแก่การดารงชีวติ ตามอัตภาพ, เป็ นการกระจาย
รายได้จากนายจ้างไปสู่ลูกจ้าง, กระตุน้ ให้เกิดการลงทุนและการจ้างงาน, เพิ่มอานาจซื้อสิ นค้าให้ลูกจ้าง,
ยกระดับฝี มือของลูกจ้างให้สูงขึ้น, ลดความกดดัน ปฏิกิริยาต่างๆ ทางฝ่ ายลูกจ้างที่อาจจะเกิดขึ้น
ข้อเสี ย ก่อให้เกิดการว่างงาน, ทาให้เสี ยบรรยากาศในการลงทุน, ทาให้สินค้ามีราคาสูงขึ้น, ปัญหาใน
การบังคับใช้กฎหมาย, เกิดผลเสี ยและขัดขวางต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศโดยส่วนรวม
คณะกรรมการค่าจ้าง
1. องค์ประกอบของคณะกรรมการค่าจ้าง
ให้มีคณะกรรมการค่าจ้างประกอบด้วย ปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมเป็ นประธาน
กรรมการ ผูแ้ ทนฝ่ ายรัฐบาล 4 คน ผูแ้ ทนฝ่ ายนายจ้าง และผูแ้ ทนฝ่ ายลูกจ้างฝ่ ายละ 5 คนซึ่ง
คณะรัฐมนตรี แต่งตั้งเป็ นกรรมการและข้าราชการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมซึ่งรัฐมนตรี
แต่งตั้งเป็ นเลขานุการ
หลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อให้ได้มาซึ่งผูแ้ ทนฝ่ ายนายจ้างและผูแ้ ทนฝ่ ายลูกจ้างตามวรรคหนึ่งให้เป็ นไป
ตามระเบียบที่รัฐมนตรี กาหนด
ให้กรรมการค่าจ้างซึ่งคณะรัฐมนตรี แต่งตั้งมีวาระดารงตาแหน่งคราวละ 2 ปี กรรมการซึ่งพ้นจาก
ตาแหน่งอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้
2. อานาจและหน้าที่ของคณะกรรมการค่าจ้าง มีดงั ต่อไปนี้
(1) กาหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่าที่ลูกจ้างควรได้รับตามความ เหมาะสมแก่สภาพเศรษฐกิจและสังคม
(2) ในการพิจารณากาหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่า คณะกรรมการฯ มีอานาจที่จะกาหนดให้ใช้เฉพาะงาน
อุตสาหกรรมประเภทใดประเภทหนึ่ง หรื อทุกประเภททัว่ ราชอาณาจักร หรื อเฉพาะงานอุตสาหกรรม
ประเภทใดประเภทหนึ่งหรื อทุกประเภทในท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่งก็ได้
(3) เสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับนโยบายค่าจ้าง
3. องค์ประชุมและมติที่ประชุม
(1) การประชุมคณะกรรมการค่าจ้างต้องมีกรรมการเข้าประชุมไม่นอ้ ยกว่ากึ่งหนึ่งของจานวนกรรมการ
ทั้งหมด โดยมีกรรมการฝ่ ายนายจ้างและฝ่ ายลูกจ้างอย่างน้อยฝ่ ายละ 1 คน จึงจะเป็ นองค์ประชุม (มติ
เสี ยงข้างมาก)
(2) ในการประชุมเพื่อพิจารณากาหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่าพื้นฐานหรื ออัตราค่าจ้างขั้นต่า จะต้องมี
กรรมการเข้าประชุมไม่นอ้ ยกว่า 2 ใน 3 ของจานวนกรรมการทั้งหมด โดยมีกรรมการฝ่ ายนายจ้างและ
15
การเลิกจ้าง
(2) งานขบวนการจัดงานรถไฟ ซึ่งได้แก่งานที่ทาบน ขบวนรถและงานอานวยความสะดวกแก่การเดิน
รถ
(3) งานเปิ ดปิ ดประตูน้ าหรื อประตูระบายน้ า (4) งานอ่านระดับน้ าและวัดปริ มาณน้ า
(5) งานดับเพลิงหรื องานป้องกันอันตรายสาธารณะ
(6) งานที่มีลกั ษณะหรื อสภาพที่ตอ้ งออกไปทางานนอกสถานที่ และโดยลักษณะหรื อสภาพของงานไม่
อาจกาหนดเวลาทางานที่แน่นอนได้
(7) งานอยูเ่ วรเฝ้ายามดูแลสถานที่หรื อทรัพย์สินอันมิใช่หน้าที่การทางานตามปกติของลูกจ้าง
งานอื่นตามที่กาหนดในกฎกระทรวง
ตอนที่ 3.3 การคุ้มครองค่าจ้ างและค่ าตอบแทนในการทางาน
วิธีการจ่าย ค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทางานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุด
1. ให้นายจ้างจ่ายเงินดังกล่าวให้ลูกจ้างหญิงเท่ากับชาย ถ้านายจ้างให้ทางานอย่างเดียวกัน เพื่อให้เกิด
ความเสมอภาคในระหว่างเพศ เมื่อมีการใช้แรงงานให้เกิดประโยชน์แก่นายจ้างได้เท่าเทียมกัน
2. ให้นายจ้างจ่ายเงินดังกล่าวเป็ นเงินตราไทย และมิให้จ่ายเป็ นบัตรหรื อสิ่ งของแทนเงินนั้น เพื่อป้องกัน
มิให้นายจ้างเอาเปรี ยบลูกจ้างโดยวิธีการต่างๆ และให้จ่าย ณ สถานที่ที่ลูกจ้างทางาน เพื่อความสะดวก
แก่ลูกจ้างในการรับเงินและเพื่อมิให้มีภยั เกิดขึ้นแก่เงินที่ได้รับมานั้น
3. ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างในระหว่างเดินทางแก่ลูกจ้างที่ไปปฏิบตั ิหน้าที่ในสถานที่อื่นในวันหยุด เพื่อให้
มีการจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างบางประเภทที่ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุด ซึ่งต้องตรากตราการเดินทาง
เพื่อไปทางานให้แก่นายจ้างเป็ นการทดแทนการที่ลูกจ้างนั้นมิได้หยุดพักผ่อน
ให้นายจ้างออกค่าใช้จ่ายสาหรับการเดินทางดังกล่าว
4. ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างสาหรับวันหยุดพักผ่อนประจาปี ตามส่วนที่ลูกจ้างมีสิทธิเมื่อถูกนายจ้างเลิกจ้าง
โดยลูกจ้างมิได้มีความผิด ซึ่งเป็ นการคุม้ ครองมิให้ลูกจ้างเสี ยสิ ทธิในวันหยุดพักผ่อนประจาปี ที่ยงั มิได้
ใช้เนื่องจากการถูกเลิกจ้างนั้น (และรวมทั้งวันหยุดพักผ่อนประจาปี สะสมด้วย)
การหักหนี้
ห้ามมิให้นายจ้างนาหนี้อื่น มาหักจากเงินค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทางานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาใน
วันหยุด เว้นแต่เป็ นการหักเพื่อ
(1) ชาระภาษีเงินได้ตามจานวนที่ลูกจ้างต้องจ่าย หรื อชาระ เงินอื่นตามที่มีกฎหมายบัญญัติไว้
(2) ชาระค่าบารุ งสหภาพแรงงานตามข้อบังคับของสหภาพแรงงาน
17
บทที4่
ตอนที่ 4.1 สวัสดิการ
“สวัสดิการแรงงาน” หมายถึง ผลประโยชน์หรื อบริ การต่างๆ ที่นายจ้างให้แก่ฝ่ายลูกจ้าง เพื่อที่จะทาให้
ลูกจ้างได้รับความสุข ความสะดวกสบาย ความพึงพอใจ ขวัญและกาลังใจ ตลอดจนความปลอดภัยใน
การทางาน ไม่วา่ จะเป็ นความต้องการทางด้านร่ างกายหรื อจิตใจเพราะผลของการจัดสวัสดิการแรงงาน
นั้น จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่บุคคลทั้ง 3 ฝ่ าย คือนายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐ กล่าวคือลูกจ้างจะเกิดความพึง
พอใจในการทางาน มีสภาพความเป็ นอยูท่ ี่ดีมีชีวิตครอบครัวที่สงบราบรื่ น อันจะส่งผลไปถึงการเพิ่ม
ผลผลิตและประสิ ทธิภาพในการทางาน ซึ่งเป็ นผลประโยชน์แก่กิจการของฝ่ ายนายจ้าง และเกิดสันติสุข
ในวงการอุตสาหกรรม อันจะส่งผลไปถึงความเจริ ญรุ่ งเรื องในทางเศรษฐกิจโดยส่วนรวม และความ
สงบสุขให้แก่ประเทศชาติในที่สุด การที่รัฐจาเป็ นต้องกาหนดกฎหมายให้นายจ้างจัดสวัสดิการให้แก่
ลูกจ้างนั้น ก็เพื่อที่จะให้ความคุม้ ครอง ดูแลทุกข์สุขแก่บุคคลที่อยูใ่ นสังคม ให้ได้รับหลักประกันที่
มัน่ คงมีความปลอดภัยในการทางาน มีสภาพความเป็ นอยูแ่ ละสภาพการทางานที่ดี เสริ มสร้าง
ความสัมพันธ์และลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ก่อให้เกิดสันติสุข(ความสงบสุข)
ในการอุตสาหกรรม
นายจ้างมีหน้าที่ท้งั ทางกฎหมายและทางศีลธรรมที่จะต้องจัดสวัสดิการให้ลูกจ้าง ทั้งนี้เพื่อประโยชน์แก่
นายจ้างและลูกจ้าง มิใช่เรื่ องของความมีมนุษยธรรมเพียงอย่างเดียว แต่นายจ้างจาเป็ นต้องจัดให้
เนื่องจาก
(1) นายจ้างต้องการได้รับผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็ นการตอบแทน
(2) นายจ้างต้องการเลือกลูกจ้างที่มีความรู ้ความสามารถสูงมาทางานด้วย จึงจาเป็ นต้องจัดสวัสดิการให้
ดีเพื่อจูงใจให้ลูกจ้างเลือกมาทางานกับตน
(3) บางครั้งนายจ้างจาเป็ นที่จะต้องจัดสวัสดิการให้กเ็ พราะต้องปฏิบตั ิให้เป็ นไปตามข้อตกลงจากการ
เจรจาต่อรองที่ลูกจ้างเรี ยกร้อง หรื อถูกบังคับโดยกฎหมาย มิฉะนั้นจะต้องได้รับโทษ
นอกเหนือจากเรื่ องของมนุษยธรรมแล้ว ยังจะต้องคานึงถึงการส่งเสริ มสุขภาพที่ดีท้งั ทางด้านร่ างกาย
อารมณ์ สังคม และเศรษฐกิจของลูกจ้าง โดยที่สวัสดิการนั้นควรจะครอบคลุมไปถึงครอบ ครัวของ
ลูกจ้างด้วย ดังนั้นหลักการพื้นฐาน 3 ประการในการจัดสวัสดิการแรงงานให้แก่ลูกจ้างคือ
(1) การปรับปรุ งสภาพการทางาน (on-the-job, off-the-job but within the work place)
(2) การปรับปรุ งสภาพความเป็ นอยู่ (outside the work place) ช่วยการศึกษาบุตร/รักษาพยาบาล เงินกูท้ ี่
อยูอ่ าศัย
20
บทที5่
ตอนที่ 5.1 เงินทดแทน
หลักการ เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรื อเจ็บป่ วยเนื่องจากการทางานให้แก่นายจ้าง ไม่วา่ นายจ้างจะมี
ส่วนผิดหรื อไม่ หรื อลูกจ้างประมาทเลินเล่อหรื อไม่ เพื่อเป็ นการให้ความคุม้ ครองแก่ลูกจ้างในการ
ทางาน นายจ้างฝ่ ายเดียวมีหน้าที่จ่ายเงินทดแทนให้แก่ลูกจ้าง โดยไม่ตอ้ งพิสูจน์วา่ เป็ นความผิดของใคร
ซึ่งจากัดลงแต่เฉพาะความเสี ยหายที่มีผลกระทบกระเทือนต่อรายได้และสมรรถภาพในการทางานของ
คนงานเท่านั้น โดยยึดถือหลักความรับผิดโดยปราศจากความผิด จึงได้กาหนดกฎหมายเงินทดแทน
ขึ้นมา ใช้หลักความรับผิดโดยเคร่ งครัด ยกเว้นหลักความรับผิดในทางแพ่งเรื่ องละเมิด ซึ่งคานึงถึงเรื่ อง
จงใจหรื อประมาทเลินเล่อเป็ นสาคัญ
วัตถุประสงค์ เพื่อคุม้ ครองแรงงานซึ่งเป็ นฝ่ ายเสี ยเปรี ยบในการที่จะพิสูจน์วา่ ประสบอันตรายหรื อ
เจ็บป่ วยจากความผิดใคร และเพื่อเสริ มประโยชน์ของอุตสาหกรรม โดยกาหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ
ขึ้น เพื่ออานวยความสะดวก ง่ายดาย รวดเร็ว ประหยัด และความแน่นอนในจานวนค่าทดแทน
ขอบเขตการบังคับใช้ นายจ้างและลูกจ้างที่จะเกิดสิ ทธิและหน้าที่ตามกฎหมายเงินทดแทนนั้น จะต้อง
ปรากฏว่าเป็ นนายจ้างและลูกจ้างในสถานประกอบการทุกประเภทกิจการ แม้วา่ จะมีลูกจ้างเพียง 1 คนก็
ตาม ยกเว้น
(1) ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น
(2) รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
(3) นายจ้างซึ่งประกอบธุรกิจโรงเรี ยนเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรี ยนเอกชนเฉพาะในส่วนที่
เกี่ยวกับครู หรื อครู ใหญ่
(4) นายจ้างซึ่งดาเนินกิจการที่มิได้มีวตั ถุประสงค์เพื่อแสวงหากาไรในทางเศรษฐกิจ
(5) นายจ้างอื่นตามที่กาหนดในกฎกระทรวง
ความหมาย สิ ทธิและเงื่อนไขในการได้รับเงินทดแทน
"เงินทดแทน" หมายความว่า เงินที่จ่ายเป็ น ค่าทดแทน ค่ารักษาพยาบาล ค่าฟื้ นฟูสมรรถภาพในการ
ทางาน และค่าทาศพ ลูกจ้างหรื อผูม้ ีสิทธิตามกฎหมายจะมีสิทธิได้รับเงินทดแทนภายใต้เงื่อนไข 3
ประการคือ
"ประสบอันตราย" หมายความว่า การที่ลูกจ้างได้รับอันตรายแก่กายหรื อผลกระทบแก่จิตใจ หรื อถึงแก่
ความตายเนื่องจากการทางานหรื อป้องกันรักษาประโยชน์ให้แก่นายจ้างหรื อตามคาสัง่ ของนายจ้าง (เกิด
นอกสถานที่ทางาน นอกเวลาทางาน ก็ได้)
24
อื่นต่อไป
การเรี ยกร้องหรื อการได้มาซึ่งสิ ทธิหรื อประโยชน์ตาม พรบ.เงินทดแทน พ.ศ.2537 นี้ ไม่เป็ นการตัด
สิ ทธิหรื อประโยชน์ที่ลูกจ้างพึงได้ตามกฎหมายอื่น
กองทุนเงินทดแทน
กองทุนเงินทดแทนเป็ นลักษณะหนึ่งของการประกันสังคม แต่มีขอบเขตจากัดเฉพาะในสังคมของผูใ้ ช้
แรงงานเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อเป็ นหลักประกันแก่ลูกจ้างว่าจะต้องได้รับเงินทดแทนอย่างแน่นอน เมื่อ
ประสบอันตราย เจ็บป่ วย สูญหาย หรื อถึงแก่ความตาย อันเนื่องมาจากการทางาน หรื อเนื่องมาจากโรค
ที่เกิดขึ้นเกี่ยวเนื่องกับการทางาน
พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ.2537 กาหนดให้มีกองทุนเงินทดแทนขึ้นเป็ นส่วนหนึ่งในสานักงาน
ประกันสังคม กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เพื่อเป็ นทุนในการจ่ายเงินทดแทนให้แก่ลูกจ้าง
แทนนายจ้าง โดยนายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ต้องยืน่ แบบลงทะเบียนจ่ายเงินสมทบพร้อม
รายการแสดงรายชื่อลูกจ้าง และจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเงินทดแทนตามอัตราที่กาหนดไว้ตาม
ประเภทกิจการ แต่ไม่เกินร้อยละ 5 ของค่าจ้างที่นายจ้างจ่ายแต่ละปี ซึ่งประกาศกระทรวงแรงงานและ
สวัสดิการสังคม เรื่ องอัตราเงินสมทบ อัตราเงินฝาก วิธีการประเมินและการเรี ยกเก็บเงินสมทบ ลว 12
กย 2537 กาหนดไว้ต้งั แต่ร้อยละ 0.2 ถึงร้อยละ 2 เช่น ภัตตาคาร 0.2 การผลิตกระดาษ 0.9 การกลึง
โลหะ 1.2 การเลื่อยไม้ 1.5 การก่อสร้าง 2.0 เป็ นต้น
การยืน่ คาร้องเรี ยนเงินทดแทน
เมื่อลูกจ้างประสบอันตราย เจ็บป่ วย หรื อสูญหาย ให้ลูกจ้างนั้น หรื อผูม้ ีสิทธิได้รับเงินทดแทน ยืน่ คา
ร้องขอรับเงินทดแทนต่อ สนง.ประกันสังคมแห่งท้องที่ที่ลูกจ้างทางานอยู่ หรื อที่นายจ้างมีภูมิลาเนา
ตามแบบที่กาหนดไว้ภายในกาหนด 180 วัน นับแต่วนั เกิดเหตุดงั กล่าว
การพิจารณาคาร้อง
เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของ สนง.ประกันสังคม ได้รับคาร้องขอรับเงินทดแทน หรื อได้รับแจ้งการ
ประสบอันตราย เจ็บป่ วย หรื อสูญหายจากนายจ้าง หรื อทราบว่ามีเหตุดงั กล่าวในทางอื่น พนักงาน
เจ้าหน้าที่จะดาเนินการสอบสวนและออกคาสัง่ ให้นายจ้างจ่ายเงินทดแทนแก่ลูกจ้างหรื อผูม้ ีสิทธิได้รับ
เงินทดแทน โดยกาหนดจานวนเงินทดแทน และระยะเวลาที่ตอ้ งจ่ายเงินทดแทน พร้อมทั้งสัง่ ให้
นายจ้างจ่ายเงินดังกล่าวภายใน 7 วัน นับแต่วนั ที่ทราบคาสัง่ โดยจ่าย ณ สถานที่ทางานของลูกจ้าง หรื อ
สถานที่อื่นตามที่นายจ้างและฝ่ ายลูกจ้างตกลงกัน หรื อที่ สนง.ประกันสังคม
การอุทธรณ์คาสัง่ คาวินิจฉัยของพนักงานเจ้าหน้าที่
27
บทที6่
ตอนที่ 6.1 การเลิกจ้างที่นายจ้างจะต้องจ่ายค่าชดเชย
ถ้านายจ้างได้จา้ งลูกจ้างมาทางานตามสัญญาจ้างโดยไม่มีกาหนดระยะเวลาจ้างแน่นอน เมื่อลูกจ้างมี
ระยะเวลาการทางานตั้งแต่ 120 วันขึ้นไป (การนับระยะเวลาทางานของลูกจ้าง กาหนดว่าลูกจ้างต้อง
ทางานติดต่อกัน แต่ให้นาเอาวันหยุด วันลา และวันที่นายจ้างสัง่ ให้หยุดงานเพื่อประโยชน์ของนายจ้าง
รวมเข้าด้วย) หากนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยลูกจ้างไม่ได้กระทาความผิดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
นายจ้างจะต้องจ่ายเงินชดเชยตามจานวนที่กฎหมายกาหนดไว้ โดยนายจ้างจะเปลี่ยนแปลง แก้ไข หรื อ
ยกเลิกค่าชดเชยไม่ได้
ลูกจ้างที่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย
”ค่าชดเชย” หมายความว่า เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้างนอกเหนือจากเงินประเภทอื่นซึ่ง
นายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้าง
ลาดับที่ อายุงานของลูกจ้างซึ่งทางานติดต่อกันจนครบ ค่าชดเชยให้จ่ายไม่นอ้ ยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย
1 120 วัน แต่ไม่ครบ 1 ปี 30 วัน (1 เดือน)
2 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี 90 วัน (3 เดือน)
3 3 ปี แต่ไม่ครบ 6 ปี 180 วัน (6 เดือน)
4 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี 240 วัน (6 เดือน)
5 ครบ 10 ปี ขึ้นไป 300 วัน (10 เดือน)
สัญญาจ้างที่จะต้องจ่ายค่าชดเชยเมื่อเลิกจ้าง
(1) สัญญาจ้างที่ไม่มีกาหนดเวลาการจ้างแน่นอน ถ้านายจ้างเลิกจ้างโดยที่ลูกจ้างไม่ได้กระทาความผิด
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
(2) สัญญาจ้างที่มีกาหนดเวลาการจ้างแน่นอน ถ้านายจ้างเลิกจ้างก่อนครบกาหนดตามสัญญา
**การจ้างที่มีกาหนดเวลาแน่นอนจะทาได้สาหรับ 1.การจ้างงานในโครงการเฉพาะที่มิใช่งานปกติของ
ธุรกิจ หรื อการค้าของนายจ้าง ซึ่งต้องมีระยะเวลาเริ่ มต้นและสิ้นสุดของงานที่แน่นอนหรื อใน 2.งาน
อันมีลกั ษณะเป็ นครั้งคราวที่มีกาหนดการสิ้นสุด หรื อความสาเร็จของงาน หรื อใน 3.งานที่เป็ นไปตาม
ฤดูกาลและได้จา้ งในช่วงเวลาของฤดูกาลนั้น, ซึ่งงานเหล่านั้นจะต้องแล้วเสร็จภายในเวลาไม่เกิน 2 ปี
โดยนายจ้างและลูกจ้างได้ทาสัญญาเป็ นหนังสือไว้ต้งั แต่เมื่อเริ่ มจ้าง (ทาสัญญาภายหลังไม่ได้)
“การเลิกจ้าง” หมายความว่า การกระทาใดที่นายจ้างไม่ให้ลูกจ้างทางานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้ ไม่
ว่าจะเป็ นเพราะเหตุสิ้นสุดสัญญาจ้างหรื อเหตุอื่นใด และหมายความรวมถึงกรณี ที่ลูกจ้างไม่ได้ทางาน
32
และไม่ได้รับค่าจ้างเพราะเหตุที่นายจ้างไม่สามารถดาเนินกิจการต่อไป
ดังนั้น การเลิกจ้างจึงแบ่งได้เป็ น 2 กรณี คือ
1. กรณี นายจ้างมีเจตนาเลิกจ้าง ซึ่งต้องพิจารณาจากพฤติการณ์ของนายจ้างเป็ นสาคัญ บางคนใช้วิธีการ
ตรงไปตรงมาชัดแจ้งเช่น ไล่ออก ให้ออก ปลดออก แต่บางคนพยายามเลี่ยงกฎหมายเพื่อจะเลิกจ้างโดย
ไม่ตอ้ งจ่ายค่าชดเชย เช่น กลัน่ แกล้งไม่ให้ลูกจ้างทางานอย่างถาวรหรื อมีเจตนาไม่ให้ทางานอีกต่อไป
หรื อไม่จ่ายค่าจ้างให้
2. กรณี เลิกจ้างเพราะนายจ้างไม่สามารถดาเนินกิจการต่อไป แม้จะประสบเหตุใดๆ ทาให้ไม่สามารถ
ดาเนินกิจการต่อไปได้ เมื่อไม่จา้ งลูกจ้างต่อไป นายจ้างก็ตอ้ งจ่ายค่าชดเชยให้ลูกจ้างด้วย
ตอนที่ 6.2 การคานวณค่าชดเชย
หลักเกณฑ์การเลิกจ้างเพื่อปรับปรุ งหน่วยงาน
1. เลิกจ้างเพราะเหตุที่นายจ้างปรับปรุ งหน่วยงานไม่วา่ จะเป็ นกระบวนการผลิต การจาหน่าย การบริ การ
2. ปรับปรุ งโดยการนาเครื่ องจักรมาใช้ หรื อเปลี่ยนแปลงเครื่ องจักร หรื อเทคโนโลยี
3. การลดจานวนลูกจ้างลงนั้นเป็ นเหตุมาจากการนาเครื่ องจักรหรื อเทคโนโลยีมาใช้
ถ้าการเลิกจ้างใดเข้าหลักเกณฑ์ 3 ประการข้างต้น นายจ้างก็มีหน้าที่ 2 ประการคือ………..
1. ต้องแจ้งการเลิกจ้างต่อพนักงานตรวจแรงงานและลูกจ้างที่จะเลิกจ้างโดยมีรายละเอียดคือ วันที่จะเลิก
จ้าง เหตุผลของการเลิกจ้าง และชื่อลูกจ้างที่จะเลิกจ้าง และข้อสาคัญต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่นอ้ ย
กว่า 60 วันก่อนวันที่จะเลิกจ้าง ถ้านายจ้างไม่แจ้งล่วงหน้าหรื อแจ้งล่วงหน้าน้อยกว่า 60 วัน นายจ้าง
จะต้องจ่ายค่าชดเชยแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าดังกล่าวเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 60 วัน หรื อในกรณี
ที่ลูกจ้างรับค่าจ้างตามผลงานโดยคานวณเป็ นหน่วย ก็ให้จ่ายเท่ากับค่าจ้างของการทางานงาน 60 วัน
สุดท้าย และเพื่อไม่ให้เป็ นการเพิ่มภาระแก่นายจ้างมากเกินไป กฎหมายจึงกาหนดว่า ในกรณี ที่นายจ้าง
ต้องจ่ายค่าชดเชยแทนการบอกกล่าวแล้ว นายจ้างก็ไม่ตอ้ งจ่ายสิ นจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตาม
ป.พ.พ. มาตรา 582 อีก
2. ต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษเพิ่มขึ้นจากค่าชดเชยในกรณี เลิกจ้างธรรมดา ซึ่งมีหลักเกณฑ์ดงั นี้
2.1 ลูกจ้างนั้นต้องทางานติดต่อกันครบ 6 ปี ขึ้นไป โดยรวมวันหยุด วันลา และวันที่นายจ้างสัง่ ให้หยุด
งานเพื่อประโยชน์ของนายจ้าง
2.2 การคานวณค่าชดเชยให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยพิเศษเฉพาะจานวนปี ที่เกิน 6 ปี ขึ้นไปเท่านั้น เช่น
ลูกจ้างมีอายุการทางาน 8 ปี ลูกจ้างจะมีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษเพียง 2 ปี
2.3 อัตราค่าชดเชย ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยไม่นอ้ ยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 15 วัน ต่อการทางานครบ 1
33
(2) ต้องระบุเจาะจงตัวลูกจ้างที่ถูกตักเตือน
(3) ต้องระบุการกระทาความผิดของลูกจ้างที่ถูกตักเตือน
(4) ต้องมีขอ้ ความห้ามกระทาผิดอีก มิฉะนั้นจะต้องถูกลงโทษ
(5) ต้องมีผลบังคับไม่เกิน 1 ปี (นับจากวันที่ลูกจ้างได้รับทราบหนังสือเตือนนั้น)
วิธีแจ้งคาตักเตือน
(1) แจ้งให้ลูกจ้างทราบคาตักเตือน และมอบคาตักเตือนให้ลูกจ้างรับไปโดยมีการเซ็นรับไว้เป็ น
หลักฐาน
(2) ส่งทางไปรษณี ยต์ อบรับไปยังภูมิลาเนาของลูกจ้างที่ถูกตักเตือน
(3) อ่านคาตักเตือนให้ลูกจ้างฟัง ถ้าไม่ยอมรับไปก็ไม่เป็ นไร แต่ถือว่าได้ตกั เตือนโดยชอบแล้ว
(4) ปิ ดประกาศคาตักเตือนโดยเปิ ดเผยไว้ในที่ทางานของลูกจ้างที่ถูกตักเตือนเป็ นเวลานานพอสมควรที่
จะให้โอกาสแก่ลูกจ้างได้ทราบคาตักเตือนนั้น
การลงโทษภายหลังที่มีคาตักเตือน เมื่อลูกจ้างกระทาความผิดและเคยถูกตักเตือนเป็ นหนังสื อแล้ว ต่อมา
ลูกจ้างกระทาความผิดซ้ าคาตักเตือน ภายในเวลาไม่เกิน 1 ปี นับแต่วนั ที่ลูกจ้างได้กระทาผิดครั้งแรก
นายจ้างอาจจะเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยได้
36
บทที่ 7
ตอนที่ 7.1 องค์กรฝ่ ายนายจ้างและองค์กรฝ่ ายลูกจ้างโดยทัว่ ไป
วิวฒั นาการขององค์กรฝ่ ายนายจ้างและองค์กรฝ่ ายลูกจ้าง : การรวมตัวเป็ นองค์กรทางด้านแรงงาน
สัมพันธ์น้ นั เกิดขึ้นจากฝ่ ายลูกจ้างเพื่อประโยชน์ในการสร้างอานาจในการต่อรองกับนายจ้างในเรื่ อง
ต่างๆ เกี่ยวกับการจ้างงาน แนวคิดในเรื่ องการรวมตัวเป็ นองค์กรของลูกจ้างเป็ นที่ยอมรับกันในสังคม
นานาประเทศ (การรวมตัวครั้งแรกเกิดจากพวกช่างอาชีพ)
ทฤษฎีสหภาพแรงงาน
(๑) เป็ นองค์กรอันถาวร (๒) เกิดขึ้นจากความประสงค์ของฝ่ ายลูกจ้างด้วยความสมัครใจ
(๓) เพื่อคุม้ ครองการมีงานทา (๕) เพื่อขจัดความไม่เป็ นธรรมในการบริ หารงานบุคคลของนายจ้าง
(๔) เพื่อต่อรองให้เกิดข้อตกลงในเรื่ องค่าจ้างและสวัสดิการที่เหมาะสม
(๖) เพื่อให้เกิดความเป็ นประชาธิปไตยในอุตสาหกรรม
(๗) เพื่อเป็ นแหล่งรวมความคิดและมีส่วนร่ วมในการพัฒนาสังคม
ประเภทของสหภาพแรงงาน แบ่งเป็ น 4 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่
(1) สหภาพแรงงานช่างฝี มือหรื อผูป้ ระกอบวิชาชีพเฉพาะสาขา (4) สหภาพแรงงานทัว่ ไป
(2) สหภาพแรงงานเฉพาะโรงงานหรื อเฉพาะสถานประกอบการ
(3) สหภาพแรงงานตามกิจการอุตสาหกรรม ---–> ไทยเรามีแบบ (2), (3)
สหภาพแรงงานต้องมีขอ้ บังคับหรื อธรรมนูญเป็ นหลักในการบริ หาร โดยมีคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่
บริ หารสหภาพแรงงาน ดาเนินการบริ หารตามข้อบังคับและมติที่ประชุมใหญ่สมาชิกสหภาพฯ
รายได้จาก ค่าสมัคร และ ค่าบารุ ง(สาคัญที่สุด), รายจ่ายที่สาคัญคือ ค่าใช้จ่ายในการบริ หาร, ค่าใช้จ่าย
ในการจัดสวัสดิการ และเงินกองทุนในการนัดหยุดงาน (บางแห่งอาจมีค่าฝึ กอบรมสมาชิก)
สหภาพแรงงานอาจรวมตัวกันเป็ นองค์กรหรื อเป็ นสมาชิกองค์กรระดับสูงเพื่อประโยชน์ในการสร้าง
อานาจต่อรอง ส่งเสริ มความร่ วมมือกันระหว่างสหภาพแรงงานด้วยกัน และสร้างความเป็ นปึ กแผ่นของ
ฝ่ ายลูกจ้าง ซึ่งจะมีผลต่อการยอมรับของสถาบันอื่นๆ ด้วย องค์กรนี้อาจเรี ยกว่า สหพันธ์ สมาพันธ์ หรื อ
สภาองค์การ ซึ่งมีท้งั ในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับนานาชาติ
ตอนที่ 7.2 องค์กรฝ่ ายนายจ้างและองค์กรฝ่ ายลูกจ้าง
ตามกฎหมายแรงงานสัมพันธ์
37
บทที่ 8
ตอนที่ 8.1 การยืน่ ข้อเรี ยกร้อง
“สภาพการจ้าง” หมายความถึง เงื่อนไขการจ้างหรื อการทางาน กาหนดวันและเวลาทางาน ค่าจ้าง
สวัสดิการ การเลิกจ้าง หรื อประโยชน์อื่นของนายจ้างหรื อลูกจ้างอันเกี่ยวกับการจ้างหรื อการทางาน,
การยืน่ เรื่ องราวร้องทุกข์ของลูกจ้าง การแก้ไขเพิ่มเติมหรื อการต่ออายุขอ้ ตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง
(เงื่อนไขหรื อประโยชน์เกี่ยวกับการจ้างหรื อการทางานระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง)
“ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง” หมายความว่า ข้อตกลงระหว่าง นายจ้างกับลูกจ้าง หรื อระหว่าง
นายจ้างหรื อสมาคมนายจ้างกับสหภาพแรงงานเกี่ยวกับสภาพการจ้าง (เริ่ มใช้คานี้ครั้งแรกใน พ.ร.บ.
แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518) ข้อตกลงฯ มีผลใช้บงั คับภายในระยะเวลาที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกัน
แต่หา้ มเกิน 3 ปี แต่ถา้ ไม่มีการตกลงระยะเวลากันไว้ก่อน ให้ถือว่าข้อตกลงนั้นมีผลใช้บงั คับ 1 ปี และ
ถ้าระยะเวลาสิ้นสุดลง แล้วไม่มีการเจรจาตกลงกันใหม่ ให้ถือว่าข้อตกลงนั้น มีผลใช้บงั คับต่อไปอีก
คราวละ 1 ปี ถึงแม้ลูกจ้างจะมีสิทธิยนื่ ข้อเรี ยกร้องได้ตามหลักเกณฑ์ แต่กฎหมายได้กาหนดข้อห้ามโดย
เด็ดขาดมิให้ฝ่ายลูกจ้างยืน่ ข้อเรี ยกร้องต่อฝ่ ายนายจ้างเฉพาะในเรื่ องขอให้ “เพิ่มค่าจ้าง” ในขณะที่
ประเทศประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างร้ายแรงและได้มีการประกาศห้ามขึ้นราคาสิ นค้าและบริ การ
เว้นแต่จะเป็ นการเลื่อนอัตราค่าจ้างประจาปี หรื อเนื่องจากลูกจ้างเปลี่ยนแปลงหน้าที่การงาน
การยืน่ ข้อเรี ยกร้องจะต้องเป็ นเรื่ องที่เกี่ยวกับสภาพการจ้างเท่านั้น และเป็ นสิ ทธิของทั้ง 2 ฝ่ าย (นายจ้าง,
สมาคมนายจ้าง, ลูกจ้าง, สหภาพแรงงาน) โดยต้องทาข้อเรี ยกร้องเป็ นหนังสื อยืน่ ต่ออีกฝ่ ายหนึ่ง, และ
ควรกระทาก่อนข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเดิมสิ้นสุดลงไม่เกิน 50 วัน
ในกรณี ที่ลูกจ้างเป็ นผูย้ นื่ ข้อเรี ยกร้อง ต้องมีรายชื่อและลายมือชื่อของลูกจ้างซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรี ยกร้อง
นั้น ไม่นอ้ ยกว่า 15% ของลูกจ้างทั้งหมดซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรี ยกร้องนั้น
ในกรณี ที่ลูกจ้างให้สหภาพแรงงานซึ่งลูกจ้างเป็ นสมาชิกเป็ นผูย้ นื่ ข้อเรี ยกร้องแทน สหภาพแรงงานนั้น
จะต้องมีสมาชิกซึ่งเป็ นลูกจ้างของนายจ้างนั้นไม่นอ้ ยกว่า 20% ของลูกจ้างทั้งหมดที่มีสิทธิเป็ นสมาชิก
สหภาพแรงงานในระดับนั้นๆ, จานวนร้อยละของลูกจ้างเป็ นองค์ประกอบที่สาคัญ ต้องมีจานวนตาม
เกณฑ์ครบอยูต่ ลอดเวลาจนกว่าจะตกลงกันได้ จนถึงทาข้อตกลงฯ เป็ นที่เรี ยบร้อยแล้ว
เมื่อแจ้งข้อเรี ยกร้องแล้ว ทั้งสองฝ่ ายต้องเริ่ มเจรจาต่อรองกันภายใน 3 วันนับแต่วนั ที่ได้รับข้อเรี ยก ร้อง
โดยแต่ละฝ่ ายตั้งผูแ้ ทนผูเ้ ข้าร่ วมในการเจรจา1ได้ฝ่ายละไม่เกิน 7 คน และอาจตั้งที่ปรึ กษา2 ได้ฝ่ายละ
ไม่เกิน 2 คน (ที่ปรึ กษา2เป็ นบุคคลภายนอกได้ ไม่จาเป็ นต้องเป็ นลูกจ้างที่เกี่ยวข้องกับข้อเรี ยกร้องนั้น)
ผูเ้ ข้าร่ วมในการเจรจา1ต้องมีคุณสมบัติดงั นี้
40
บทที่ 9
ตอนที่ 9.1 ข้อพิพาทแรงงาน
“ข้อพิพาทแรงงาน” หมายความว่า ข้อขัดแย้งระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างเกี่ยวกับสภาพการจ้าง
ข้อพิพาทแรงงานทัว่ ไป เกิดขึ้นจากความขัดแย้งกันในเรื่ องที่เกี่ยวกับสิ ทธิหรื อผลประโยชน์ระหว่าง
นายจ้างกับลูกจ้าง หรื อองค์กรของแต่ละฝ่ าย แบ่งเป็ น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. ข้อพิพาทแรงงานเกี่ยวกับสิ ทธิ เช่น ข้อพิพาทแรงงานอันเกิดจากข้ออ้างที่วา่ นายจ้างไม่ยอมจ่ายค่า
ล่วงเวลาให้แก่ลูกจ้างตาม กฎหมายคุม้ ครองแรงงาน หรื อ สัญญาจ้างแรงงาน
2. ข้อพิพาทแรงงานเกี่ยวกับผลประโยชน์ เช่น ข้อพิพาทแรงงานอันเกิดจากการที่ลูกจ้างยืน่ ข้อเรี ยกร้อง
ให้นายจ้างจัดสวัสดิการในเรื่ องต่างๆ และนายจ้างไม่ยอมให้ตามที่เรี ยกร้อง
ข้อพิพาทแรงงานตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ เกิดจาก 2 กรณี คือ
(1) กรณี ที่ไม่มีการเจรจากันภายใน 3 วัน นับแต่วนั ที่ได้รับข้อเรี ยกร้อง หรื อ
(2) กรณี ที่มีการเจรจากันแล้ว แต่คู่กรณี ตกลงกันไม่ได้ไม่วา่ ด้วยเหตุใดๆ
ข้อแตกต่างที่สาคัญคือ ข้อพิพาทเกี่ยวกับสิ ทธิ อาศัยมูลฐานจากการไม่ปฏิบตั ิตามกฎหมายหรื อสัญญา
แต่ขอ้ พิพาทเกี่ยวกับผลประโยชน์ อาศัยมูลฐานมาจากมาจากความต้องการของฝ่ ายหนึ่งและอีกฝ่ าย
หนึ่งให้ไม่ได้
***ศาลแรงงานไทยมีอานาจพิจารณาพิพากษาคดีเฉพาะ ข้อพิพาทฯเกี่ยวกับ สิ ทธิ เท่านั้น
***ส่วนข้อพิพาทแรงงานตามกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ จะเป็ นข้อพิพาทฯเกี่ยวกับ ผลประโยชน์
เท่านั้น
ตอนที่ 9.2 วิธีการระงับข้อพิพาทแรงงาน
การระงับข้อพิพาทแรงงานที่ใช้กนั ในทางสากลนั้น มีอยูห่ ลายวิธีคือ การประชุมหาข้อยุติ การค้นหา
และแสดงข้อเท็จจริ ง การไกล่เกลี่ย การชี้ขาดข้อพิพาทแรงงาน ทั้งโดยสมัครใจและโดยบังคับ การ
เสนอข้อพิพาทแรงงานต่อศาล การปิ ดงานและการนัดหยุดงาน
การระงับข้อพิพาทแรงงานตามกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ของไทยมีอยู่ 2 วิธีคือ
1. การไกล่เกลี่ย คือ โดยพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานซึ่งเป็ นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็ นคนกลางเข้า
ช่วยเหลือแนะนาชักจูงให้ท้งั สองฝ่ ายตกลงกัน ภายในระยะเวลา 5 วัน
2. การชี้ขาด คือ การมอบข้อพิพาทแรงงานให้บุคคลหรื อคณะบุคคลที่กาหนดไว้เป็ นผูต้ ดั สิ นชี้ขาด และ
คู่กรณี ตอ้ งปฏิบตั ิตามคาชี้ขาดนั้น (เป็ นที่สุด) มี 2 วิธีคือ โดยสมัครใจ และ โดยบังคับ
การชี้ขาดโดยบังคับ : (1) ในกรณี ที่เป็ นกิจการสาคัญ ได้แก่ บริ การสาธารณะอันจาเป็ น, รัฐวิสาหกิจ
43
บทที่ 10
ตอนที่ 10.1 สภาพการจ้าง
“สภาพการจ้าง” แบ่งออกได้เป็ น ๖ ประการคือ
1. เงื่อนไขการจ้าง หรื อ การทางาน 2. กาหนดวันและเวลาทางาน 3. ค่าจ้าง 4. สวัสดิการ
5. การเลิกจ้าง 6. ประโยชน์อื่นของนายจ้างหรื อลูกจ้างอันเกี่ยวกับการจ้างหรื อการทางาน
นายจ้างกับลูกจ้างจะต้องผูกพันกันตามสภาพการจ้างเสมอ ไม่วา่ การจ้างนั้นได้ทาสัญญาเป็ นลายลักษณ์
อักษรหรื อไม่ การใด (ข้อเรี ยกร้องใด) ที่ไม่ใช่สภาพการจ้างก็ไม่อาจจะบังคับให้อีกฝ่ ายหนึ่งต้องยอมรับ
หรื อปฏิบตั ิตาม และจะเป็ นข้อเรี ยกร้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย, สภาพการจ้างมีความสาคัญยิง่ ใน พ.ร.บ.
แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 เนื่องจาก
1. สภาพการจ้างเป็ นที่มาของข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง
2. ถ้าไม่ใช่สภาพการจ้าง นายจ้างไม่มีอานาจบังคับบัญชาหรื อลงโทษได้ (เช่น เรื่ องส่วนตัวของลูกจ้าง)
3. ข้อเรี ยกร้องต้องเกี่ยวกับสภาพการจ้าง, ถ้าไม่เกี่ยวกับสภาพการจ้าง จะไม่ชอบด้วยกฎหมาย
(1) ฝ่ ายรับข้อเรี ยกร้องมีสิทธิไม่เจรจาตกลงด้วย
(2) พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานก็จะไม่เจรจาไกล่เกลี่ยให้
(3) แม้มีการตกลงกันแล้ว นายทะเบียนจะไม่ยอมจดทะเบียนให้
(4) คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ไม่มีอานาจสัง่ การ ถ้ามีคาสัง่ ก็จะถูกฟ้องเพิกถอนได้
(5) ถ้ามีการปิ ดงานหรื อนัดหยุดงาน จะเป็ นการกระทาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
1. สภาพการจ้างต้องเป็ นเงื่อนไขหรื อประโยชน์เกี่ยวกับการจ้างหรื อการทางาน
1.1 เงื่อนไขหรื อประโยชน์ฯ ในเวลาทางานปกติ และ นอกเวลาทางานปกติ
1.2 เงื่อนไขหรื อประโยชน์ฯ ของลูกจ้างประจา กับ ลูกจ้างชัว่ คราว
2. ต้องเป็ นเงื่อนไขหรื อประโยชน์เกี่ยวกับการจ้างหรื อการทางานระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างเท่านั้น
ตอนที่ 10.2 ประเภทของข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง
ข้อตกลงฯ ที่ไม่ได้เกิดจากการแจ้งข้อเรี ยกร้องมีสาระสาคัญ คือ เป็ นข้อตกลงฯ ที่มีผลผูกพันกันตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ ตามหลักนิติกรรมและสัญญา โดยไม่ได้เกิดจากข้อเรี ยกร้องของ
นายจ้างหรื อลูกจ้างตามมาตรา13 แห่งพรบ.แรงงานสัมพันธ์ฯ ไม่ตอ้ งทาเป็ นหนังสื อเสมอไป เว้นแต่
ข้อตกลงฯ ตามพรบ.แรงงานสัมพันธ์ มาตรา 10 เท่านั้นที่ตอ้ งทาเป็ นหนังสื อ มีที่มาคือ :
1. ข้อตกลงฯ เกิดจาก บทบัญญัติของกฎหมาย
1.1 นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 20 คนขึ้นไป ต้องจัดให้มีขอ้ ตกลงโดยไม่ตอ้ งมีฝ่ายใดแจ้งข้อเรี ยกร้อง (ม.
45
ใหม่ให้แตกต่างจากข้อตกลงเดิมได้
แต่ถา้ ข้อตกลงเดิม เป็ นข้อตกลงฯ ที่เกิดจากการแจ้งข้อเรี ยกร้อง นายจ้างไม่สามารถทาสัญญาจ้างลูกจ้าง
ใหม่ให้แตกต่างไปจากข้อตกลงฯ เดิม เว้นแต่จะให้ประโยชน์หรื อเป็ นคุณมากกว่า
48
บทที่11
ตอนที่ 11.1 ความหมาย หลักการ และลักษณะ
1. “การปิ ดงาน” หมายความว่า การที่นายจ้างปฏิเสธไม่ยอมให้ลูกจ้างทางานชัว่ คราวเนื่องจากข้อพิพาท
แรงงาน
2. “การนัดหยุดงาน” หมายความว่า การที่ลูกจ้างร่ วมกันไม่ทางานชัว่ คราวเนื่องจากข้อพิพาทแรงงาน
3. การปิ ดงานและการนัดหยุดงาน เป็ นมาตรการทางด้านแรงงานสัมพันธ์ที่นายจ้างและลูกจ้างอาจใช้
เป็ นเครื่ องมือในการบีบบังคับให้อีกฝ่ ายหนึ่งยอมรับในข้อเสนอหรื อความประสงค์ของฝ่ ายนั้นในการ
เจรจาต่อรองเพื่อทาข้อตกลงฯ ฝ่ ายที่ปิดงานหรื อนัดหยุดงานไม่จาเป็ นต้องเป็ นฝ่ ายแจ้งข้อเรี ยกร้อง
4. สัญญาจ้างแรงงานเป็ นสัญญาต่างตอบแทน ระหว่างการปิ ดงานหรื อการนัดหยุดงาน เข้าหลักปลอด
สัญญา แต่ละฝ่ ายไม่มีนิติสมั พันธ์กนั จึงไม่ตอ้ งทางานให้กนั และไม่ตอ้ งจ่ายค่าจ้างหรื อผลประโยชน์
ให้ แต่ท้งั สองฝ่ ายยังมีความสัมพันธ์ในฐานะนายจ้างและลูกจ้างกันอยู,่ ในระหว่างนั้นลูกจ้างจะไป
ทางานอื่น หรื อนายจ้างจะจ้างลูกจ้างอื่นมาทางานแทนก็ได้, ระยะเวลาการปิ ดงานหรื อการนัดหยุดงาน
นั้น ไม่มีกาหนดแน่นอน อาจจะเป็ นคราวเดียว หรื อแบ่งเป็ นช่วงๆ ได้, เมื่อข้อพิพาทแรงงานยุติลงไม่วา่
เพราะเหตุใด ลูกจ้างก็จะกลับเข้าทางานตามเดิม
5. ถ้าไม่มีขอ้ ตกลงฯ เดิมอยู่ การปิ ดงานหรื อนัดหยุดงานจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ แต่ถา้ มี จะต้องรอการ
สิ้นสุดอายุของข้อตกลงฯ เดิมก่อน, การปิ ดงานหรื อนัดหยุดงานก็จะเกิดขึ้นในช่วงที่มีการเจรจาเพื่อต่อ
อายุหรื อทาข้อตกลงใหม่น้ นั ไม่ประสบผลสาเร็จ และครบขั้นตอนตามกฎหมายแล้ว
6. การนัดหยุดงาน จะได้รับการคุม้ ครองไม่ถูกฟ้องคดีแพ่งและคดีอาญา แต่จะต้องไม่เป็ นการละเมิด
สิ ทธินายจ้างหรื อบุคคลอื่น มิฉะนั้นอาจต้องรับผิดทางแพ่งและอาญา นอกจากนั้นจะต้องไม่ผดิ สัญญา
จ้าง หรื อเป็ นการละทิ้งหน้าที่ หรื อเป็ นการจงใจทาให้นายจ้างได้รับความเสี ยหาย
7. การนัดหยุดงานด้วยเหตุอื่นที่มิใช่เกี่ยวกับข้อพิพาทแรงงาน ลูกจ้างอาจมีความผิดตามกฎหมายอื่น
เช่น ปอ.117 “ผูใ้ ดยุยงหรื อจัดให้เกิดการร่ วมกันหยุดงาน การร่ วมกันปิ ดงานงดจ้าง เพื่อให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดิน เพื่อบังคับรัฐบาลหรื อเพื่อข่มขู่ประชาชน ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกิน
7 ปี หรื อปรับไม่เกิน 1หมื่นบาท หรื อทั้ง 2 อย่าง, ผูใ้ ดทราบความมุ่งหมายดังกล่าว และเข้าไปมีส่วน
หรื อเข้าช่วยในการร่ วมกันหยุดงาน การร่ วมกันปิ ดงานงดจ้าง ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกิน 3 ปี หรื อ
ปรับไม่เกิน 6 พันบาท หรื อทั้งจาทั้งปรับ”
49
บทที่ 12
ตอนที่ 12.1 การคุม้ ครองสิ ทธิเสรี ภาพของนายจ้างและลูกจ้าง
ตามหลักสากลและการกระทาอันไม่เป็ นธรรมตามกฎหมายเก่าของไทย
บทบัญญัติวา่ ด้วยการกระทาอันไม่เป็ นธรรม เป็ นบทบัญญัติที่มุ่งคุม้ ครองสิ ทธิเสรี ภาพของฝ่ ายนายจ้าง
และฝ่ ายลูกจ้างที่ได้รับการรับรองและคุม้ ครองตามหลักสากลและโดยกฎหมายแรงงานภายในประเทศ
เพื่อให้ท้งั สองฝ่ ายสามารถใช้สิทธิเสรี ภาพนั้นๆ ได้อย่างเต็มที่ โดยปราศจากการรังแกหรื อกลัน่ แกล้งซึ่ง
กันและกัน ประเทศไทยได้บญั ญัติบทคุม้ ครองการใช้สิทธิเสรี ภาพของทั้งสองฝ่ ายไว้ในกฎหมาย
แรงงานตั้งแต่ฉบับแรกจนกระทัง่ ฉบับปัจจุบนั
การคุม้ ครองสิ ทธิเสรี ภาพของนายจ้างและลูกจ้างตามหลักสากล
สิ ทธิและเสรี ภาพของนายจ้างและลูกจ้างที่ได้รับการยอมรับและคุม้ ครองโดยปฏิญญาสากลว่าด้วยสิ ทธิ
มนุษยชน โดยกติกาสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิ ทธิมนุษยชนและโดยอนุสญ ั ญาต่างๆ ขององค์การ
แรงงานระหว่างประเทศ โดยเฉพาะสิ ทธิเสรี ภาพในการก่อตั้งและเข้าร่ วมกับองค์กรของฝ่ ายตน สิ ทธิ
ในการเจรจาต่อรองร่ วมเพื่อบรรลุซ่ ึงการทาข้อตกลงร่ วมหรื อข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างนั้น ถือว่า
เป็ นสิ ทธิข้นั มูลฐานของทั้งสองฝ่ ายซึ่งต่างฝ่ ายจะล่วงละเมิดมิได้
การศึกษาบทคุม้ ครองสิ ทธิเสรี ภาพของนายจ้างและลูกจ้างตามหลักสากล มีความสาคัญและจาเป็ นต่อ
การศึกษาตามบทบัญญัติเรื่ องการกระทาอันไม่เป็ นธรรม รวมทั้งบทบัญญัติต่างๆ ของกม.แรงงาน
เพราะถือว่าบทคุม้ ครองสิ ทธิเสรี ภาพของนายจ้างและลูกจ้างตามหลักสากล เช่น ปฏิญญาสากลว่าด้วย
สิ ทธิมนุษยชน กติกาสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิ ทธิมนุษยชน และอนุสญ ั ญาต่างๆ ขององค์การ
แรงงานระหว่างประเทศเป็ นที่มาที่สาคัญที่สุดทางหนึ่งของกฎหมายแรงงานของนานาประเทศ
โดยเฉพาะอนุสญ ั ญาฉบับที่ 98 ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ เป็ นอนุสญ ั ญาที่อาจถือได้วา่ เป็ น
ที่มาที่สาคัญและเกี่ยวข้องกับบทบัญญัติเรื่ องการกระทาอันไม่เป็ นธรรมอย่างมาก เพราะเป็ นอนุสญ ั ญา
ที่ให้ความคุม้ ครองป้องกันสิ ทธิเสรี ภาพของผูใ้ ช้แรงงานในเรื่ องสหภาพแรงงานให้พน้ จากการกลัน่
แกล้งต่างๆ ของนายจ้าง เช่น การเลิกจ้าง หรื อการไม่รับเข้าทางานเพราะเหตุที่ลูกจ้างนั้นเป็ นสมาชิก
สหภาพแรงงาน เป็ นต้น ทั้งยังกาหนดให้รัฐสมาชิกกาหนดมาตรการที่เหมาะสมเพื่อส่งเสริ มให้มีการ
เจรจาด้วยความสมัครใจทั้ง2ฝ่ าย เพื่อบรรลุซ่ ึงการทาข้อตกลงร่ วมหรื อข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง
การกระทาอันไม่เป็ นธรรมตามกฎหมายเก่าของไทย
- พรบ.แรงงาน พ.ศ.2499 เป็ น กม.แรงงานฉบับแรกของไทยที่สมบูรณ์ที่สุด โดยเฉพาะบทบัญญัติที่ให้
สิ ทธิแก่ลูกจ้างในการก่อตั้งสหภาพแรงงาน, สิ ทธิในการเจรจาต่อรองร่ วมกับฝ่ ายนายจ้าง
51
ข้อเรี ยกร้อง
(4) ละทิ้งหน้าที่เป็ นเวลา 3 วันทางานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอนั สมควร
(5) กระทาการใดๆ เป็ นการยุยง สนับสนุน หรื อชักชวนให้มีการฝ่ าฝื นข้อตกลงฯ หรื อคาชี้ขาด
ในกรณี ที่นายจ้างมีปัญหาทางเศรษฐกิจ ประสบกับการขาดทุนจนต้องยุบหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง
หรื อต้องเลิกกิจการเพื่อความอยูร่ อด นายจ้างสามารถเลิกจ้างลูกจ้างซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรี ยกร้องได้ โดย
ไม่ถือว่าเป็ นการกระทาอันไม่เป็ นธรรม ถึงแม้วา่ เหตุผลในการเลิกจ้างจะไม่เข้าข้อยกเว้นอนุมาตรา (1)-
(5) เลยก็ตาม เพราะ ม.123 มุ่งคุม้ กันมิให้นายจ้างกลัน่ แกล้งลูกจ้างโดยการเลิกจ้าง แต่ถา้ นายจ้างเลิกจ้าง
ลูกจ้างเพราะความจาเป็ น โดยมิได้มีเจตนากลัน่ แกล้งลูกจ้าง จึงไม่ถือว่าเป็ นการเลิกจ้างโดยการกระทา
อันไม่เป็ ธรรม
*** ลูกจ้างซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรี ยกร้อง หมายถึง ลูกจ้างทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการเรี ยกร้องให้มีการ
กาหนด หรื อให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงฯ ตั้งแต่เริ่ มตระเตรี ยม การเจรจา จนกระทั้งการทาข้อตกลง
ซึ่งลูกจ้างนั้นไม่จาเป็ นต้องลงชื่อสนับสนุนในข้อเรี ยกร้องเสมอไป เพียงแต่มีส่วนในการเลือกตั้งผูแ้ ทน
เพื่อเข้าร่ วมเจรจา หรื อเป็ นผูน้ าลูกจ้างในการนัดชุมนุ มเพื่อเตรี ยมการยืน่ ข้อเรี ยกร้อง หรื อเพียงแต่เป็ น
สมาชิกของสหภาพฯ ซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรี ยกร้อง ก็ถือว่าเป็ นลูกจ้างซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรี ยกร้องแล้ว
คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ มีอานาจวินิจฉัยชี้ขาดในเบื้องต้นเมื่อมีการกระทาอันไม่เป็ นธรรม
เกิดขึ้น โดยผูเ้ สี ยหายต้องยืน่ คาร้องกล่าวหาผูฝ้ ่ าฝื นภายในกาหนด 60 วัน นับแต่วนั ที่มีการฝ่ าฝื น และ
คณะกรรมการฯ จะวินิจฉัยชี้ขาดและออกคาสัง่ ภายใน 90 วัน ให้ผฝู ้ ่ าฝื นปฏิบตั ิตามคาวินิจฉัยชี้ขาดนั้น
ถ้าหากผูเ้ สี ยหายหรื อผูถ้ ูกกล่าวหาฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ่งไม่เห็นด้วยกับการวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการฯ
ก็อุทธรณ์คาสัง่ ของคณะกรรมการฯ ได้โดยการนาคดีข้ ึนฟ้องต่อศาลแรงงาน โดยฟ้องคณะกรรมการฯ
เป็ นจาเลย และอีกฝ่ ายหนึ่ง (ลูกจ้างหรื อนายจ้าง) เป็ นจาเลยร่ วม
ศาลแรงงานมีอานาจวินิจฉัยชี้ขาดการกระทาอันไม่เป็ นธรรม เมื่อผูเ้ สี ยหายหรื อผูถ้ ูกกล่าวหาไม่เห็น
ด้วยกับคาวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการฯ ก็อาจฟ้องคดีอุทธรณ์คาสัง่ คณะกรรมการฯ ให้ศาลมีคา
พิพากษาว่าเป็ นการกระทาอันไม่เป็ นธรรม เมื่อคณะกรรมการฯสัง่ 1ยกคาร้อง หรื อฟ้องคดีให้ศาล2เพิก
ถอนคาสัง่ คณะกรรมการฯ หรื อฟ้องคดีให้ศาล3เปลี่ยนแปลงแก้ไขคาสัง่ ของคณะกรรมการฯ
การฟ้องคดีต่อศาลแรงงานเรื่ องการกระทาอันไม่เป็ นธรรมกับการเลิกจ้างโดยไม่เป็ นธรรม มีลกั ษณะ
แตกต่างกันในสาระสาคัญเกี่ยวกับขั้นตอนการฟ้องและการพิจารณาพิพากษาคดี ดังนี้
1. ถ้าเป็ นการกระทาอันไม่เป็ นธรรมจะนาคดีข้ ึนฟ้องร้องต่อศาลแรงงานในทันทีไม่ได้ แต่ถา้ เป็ นการ
เลิกจ้างโดยไม่เป็ นธรรมย่อมสามารถนาคดีข้ นึ ฟ้องร้องต่อศาลได้ทนั ที
54
บทที่ 13
ตอนที่ 13.1 การบังคับใช้กฎหมายคุม้ ครองแรงงาน
การบังคับใช้ กม.คุม้ ครองแรงงาน เพื่อให้ลูกจ้างได้รับผลตามสิ ทธิของ กม.คุม้ ครองแรงงานอย่าง
แท้จริ งในกรณี ลูกจ้างไม่กล้าร้องเรี ยนกล่าวหานายจ้าง ได้แก่ การตรวจแรงงาน และตรวจความ
ปลอดภัยในการทางาน โดยพนักงานเจ้าหน้าที่ผมู ้ ีอานาจ ถ้าในการตรวจปรากฏว่าเป็ นความผิดของ
นายจ้าง และได้ให้คาตักเตือนแล้วภายในเวลาอันสมควร นายจ้างฝ่ าฝื นไม่ปฏิบตั ิตามจะถูกดาเนินคดี
การตรวจแรงงาน
มาตรการที่สาคัญของรัฐในการ...**คุมให้การใช้แรงงานเป็ นไปตาม กม.คุม้ ครองแรงงาน คือ การตรวจ
แรงงานโดยพนักงานตรวจแรงงานซึ่งกระทรวงฯ แต่งตั้ง ทาหน้าที่ ตรวจตรา ...**คุม แนะนา ชี้แจง ให้
นายจ้างปฏิบตั ิตาม กม.คุม้ ครองแรงงาน รวมทั้งให้ความรู ้ความเข้าใจในการปฏิบตั ิตาม กม.คุม้ ครอง
แรงงานแก่นายจ้าง ลูกจ้าง อันจะเป็ นผลให้ลูกจ้างได้รับการปฏิบตั ิจากนายจ้างตามมาตรฐานที่กฎหมาย
กาหนดไว้ (การตรวจปกติ และ การตรวจพิเศษ)
การใช้อานาจหน้าที่ในการตรวจแรงงาน
1. ออกตรวจตราและสอบถามการใช้แรงงานของลูกจ้าง ณ สถานที่ที่ลูกจ้างทางาน เพื่อให้ได้ขอ้ เท็จจริ ง
ว่านายจ้างปฏิบตั ิต่อลูกจ้างตาม กม.คุม้ ครองแรงงานหรื อไม่ ถ้าไม่สามารถตรวจสอบและสอบถามได้
ณ สถานที่ทางานของลูกจ้าง ก็จาเป็ นต้องมีหนังสื อเรี ยกบุคคลและเอกสารที่เกี่ยวข้องมาสอบถามและ
ตรวจสอบ ณ ที่ทาการของพนักงานตรวจแรงงาน หากผูถ้ ูกเรี ยกขัดขืน ก็จะเสนอข้อเท็จจริ งและ
หลักฐานต่อผูบ้ งั คับบัญชาเพื่อพิจารณาดาเนินคดีฐานขัดคาสัง่ เจ้าพนักงาน
2. ในกรณี ที่พบว่านายจ้างยังปฏิบตั ิไม่ถูกต้องก็จะชี้แจง แนะนา รวมทั้งให้ความรู ้ความเข้าใจเกี่ยวกับ
การปฏิบตั ิตามกฎหมาย เพื่อให้นายจ้างมีโอกาสแก้ไขปรับปรุ งให้ถูกต้อง
3. หลังจากนั้น จะทาการตรวจติดตามผล หากพบว่านายจ้างยังไม่ปฏิบตั ิตามกฎหมาย ก็จะมีคาเตือนให้
นายจ้างปฏิบตั ิให้ถูกต้องภายในระยะเวลาอันสมควร เมื่อครบกาหนดคาเตือนแล้ว ยังตรวจพบว่า
นายจ้างยังฝ่ าฝื นหรื อไม่ปฏิบตั ิตาม ก็จะเสนอผูบ้ งั คับบัญชาให้ดาเนินคดีอาญานายจ้างต่อไป
4. ในกรณี ที่มีการร้องเรี ยนว่านายจ้างปฏิบตั ิไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และตรวจสอบตามวิธีการในข้อ 1.
แล้วพบว่านายจ้างปฏิบตั ิไม่ถูกต้องตามคาร้องเรี ยนจริ ง ก็จะเสนอให้ผบู ้ งั คับบัญชาดาเนินคดีอาญา
นายจ้างโดยไม่ตอ้ งออกคาเตือนก่อน เพราะการร้องทุกข์ของลูกจ้างย่อมแสดงว่าลูกจ้างต้องการความ
ช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่แล้ว
การตรวจความปลอดภัยในการทางาน
56
บทที่ 14
ตอนที่ 14.1 ความเป็ นมาและการจัดตั้งศาลแรงงาน
เหตุผลในการประกาศใช้ พรบ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 คือ คดีแรงงาน
เป็ นคดีอนั มีลกั ษณะพิเศษแตกต่างไปจากคดีแพ่งและคดีอาญาทัว่ ไป เพราะเป็ นข้อขัดแย้งระหว่าง
นายจ้างกับลูกจ้าง ซึ่งควรได้รับการพิจารณาในศาลพิเศษที่มีกระบวนการพิจารณาคดีแตกต่างจากศาล
อื่น โดยผูพ้ ิพากษาซึ่งมีความรู ้ความเข้าใจในปัญหาแรงงาน ร่ วมกับผูพ้ ิพากษาสมทบฝ่ ายนายจ้างและ
ฝ่ ายลูกจ้าง ทั้งการดาเนินคดีควรเป็ นไปโดยสะดวก ประหยัด รวดเร็ว เสมอภาค และเป็ นธรรม เพื่อให้
คู่ความมีโอกาสประนีประนอมยอมความและสามารถกลับไปทางานร่ วมกันโดยไม่รู้สึกเป็ นอริ ต่อกัน
จาเป็ นต้องยกเว้นขั้นตอนและวิธีการต่างๆ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวยิง่ ขึ้น
การจัดตั้งศาลแรงงาน
กระบวนการพิจารณาคดีในศาลยุติธรรมทัว่ ไป ยังมีข้นั ตอนและวิธีการต่างๆ ซับซ้อนมาก ไม่เหมาะ
สาหรับคดีแรงงาน จึงจาเป็ นต้องจัดตั้งศาลแรงงานขึ้นเพื่อพิจารณาคดีแรงงานโดยเฉพาะ โดย
กาหนดให้กระบวนพิจารณาคดีแรงงานเป็ นไปโดยสะดวก คล่องตัวและเรี ยบง่าย
ศาลแรงงานมี 3 ประเภท แต่ละประเภทมีเขตอานาจดังนี้
(1) ศาลแรงงานกลาง มีเขตอานาจใน กรุ งเทพมหานคร สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม นนทบุรี
ปทุมธานี และในขณะที่ยงั ไม่มีศาลแรงงานภาค หรื อ ศาลแรงงานจังหวัดในท้องที่ใด ศาลแรงงานกลาง
ก็มีเขตอานาจในท้องที่น้ นั ด้วย
(2) ศาลแรงงานภาค มีเขตอานาจในท้องที่ที่กาหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งศาลแรงงานภาคนั้น
(3) ศาลแรงงานจังหวัด มีเขตอานาจในท้องที่ที่กาหนดไว้ในพระราชบัญญัติจดั ตั้งศาลแรงงานจังหวัด
นั้น
**** บรรดาศาลทั้งหลายจะตั้งขึ้นได้กแ็ ต่โดย “พระราชบัญญัติ” เพียงแต่วา่ จะเปิ ดดาเนินการเมื่อใดก็
จะต้องออก “พระราชกฤษฎีกา” ระบุวนั เปิ ดทาการเท่านั้น ****
ตอนที่ 14.2 ผูพ้ ิพากษาในศาลแรงงาน
ผูพ้ ิพากษาศาลแรงงาน
ผูพ้ ิพากษาของศาลแรงงาน จะต้องเป็ น “ข้าราชการตุลาการ” ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการตุลา
การ และ “เป็ นผูม้ ีความรู ้ความเข้าใจในปัญหาแรงงาน”
อธิบดีผพู ้ ิพากษาศาลแรงงานกลาง และอธิบดีผพู ้ ิพากษาศาลแรงงานภาค ศาลละ 1 คน
60
บทที่ 15
ตอนที่ 15.1 กระบวนพิจารณาในวันนัดพิจารณา
การนัดพิจารณา
ในคดีแรงงาน เมื่อโจทก์นาคาฟ้องหรื อคาร้องตั้งต้นคดีเป็ นหนังสื อมายืน่ ต่อศาลแรงงานแล้ว หากศาล
พิจารณาให้มีคาสัง่ รับฟ้องแล้ว ศาลจะสัง่ รับคดีไว้พิจารณา แล้วจะดาเนินกระบวนการพิจารณาต่อไป
โดยศาลต้องกาหนดวันเวลาในการพิจารณาคดีโดยเร็ว และออกหมายเรี ยกจาเลยให้มาศาลตามกาหนด
พร้อมกับสัง่ ให้โจทก์มาศาลในวันเวลาเดียวกันนั้นด้วย
การยืน่ คาให้การ
ในคดีแรงงาน จาเลยไม่จาต้องยืน่ คาให้การภายในระยะเวลาเช่นคดีแพ่งธรรมดา แต่จะยืน่ คาให้การเป็ น
หนังสื อ ก่อนวันเวลาที่ศาลแรงงานนัดให้มาศาลก็ได้ หรื ออาจจะให้การเป็ นหนังสื อหรื อด้วยวาจาในวัน
นัดพิจารณาก็ได้
การไกล่เกลี่ย
คดีแรงงานมีมูลเหตุพิพาทมาจากนายจ้างกับลูกจ้าง ซึ่งโดยปกติตอ้ งทางานร่ วมกัน ต้องพึ่งพาอาศัยกัน
ตลอดเวลา จึงสมควรที่จะให้ขอ้ พิพาทยุติลงโดยเร็วและด้วยความพอใจด้วยกันทั้งสองฝ่ าย เมื่อคู่ความ
มาศาลพร้อมกันในวันนัดพิจารณา ศาลจะไกล่เกลี่ย เนื่องจากกฎหมายมี
วัตถุประสงค์ จะให้คู่กรณี ตกลงปรองดองกัน แทนที่จะเอาชนะกันในทางคดี
วิธีการไกล่เกลี่ย ศาลอาจดาเนินการเป็ นการลับเฉพาะต่อหน้าคู่ความก็ได้
ผลการไกล่เกลี่ย ถ้าคู่ความตกลงกันได้ ศาลจะทาสัญญาประนีประนอมยอมความ หรื อให้โจทก์ถอน
ฟ้อง เพื่อให้คดีเสร็จไป ถ้าตกลงกันไม่ได้ ศาลจะกาหนดประเด็นข้อพิพาท และพิจารณาคดีต่อไป
การกาหนดประเด็นข้อพิพาท
การกาหนดประเด็นข้อพิพาทนั้น ศาลจะจดประเด็นที่คู่ความโต้เถียงกันไว้เป็ นประเด็นข้อพิพาท แล้ว
กาหนดให้โจทก์หรื อจาเลยนาพยานมาสื บก่อนหรื อหลัง โดยถือหลักที่วา่ คู่ความฝ่ ายใดกล่าวอ้าง
ข้อเท็จจริ งใด ฝ่ ายนั้นมีหน้าที่ตอ้ งนาสื บข้อเท็จจริ งนั้นก่อน
กรณี คู่ความไม่มาศาลในวันนัดพิจารณา
ถ้าโจทก์ไม่มาศาลในวันนัดพิจารณา กฎหมายถือว่าโจกท์ไม่ประสงค์จะดาเนินคดีต่อไปและศาลจะสัง่
จาหน่ายคดี (มิใช่ยกฟ้อง ซึ่งโจทก์อาจฟ้องคดีใหม่ได้ภายในกาหนดอายุความ) แต่ถา้ จาเลยให้ศาล
ดาเนินการพิจารณาต่อไป (จาเลยแค่แถลงต่อศาล ไม่ตอ้ งทาคาร้อง) และศาลพิพากษาหรื อมีคาสัง่ ให้
จาเลยชนะคดีแล้ว โจทก์จะรื้ อร้องฟ้องในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอีกไม่ได้ ถ้า
65
การพิจารณาคดีเลิกจ้างไม่เป็ นธรรม
การกระทาอันไม่เป็ นธรรม จะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่ องสหภาพแรงงาน การนัดชุมนุม ทาคาร้อง ยืน่ ข้อ
เรี ยกร้อง เจรจา ฯลฯ เป็ นสาคัญ ทั้งนี้เพื่อมิให้นายจ้างกลัน่ แกล้งลูกจ้าง หรื อใช้อานาจเผด็จการต่อ
ลูกจ้างมากเกินไป,
การนาคดีไปสู่ศาล ต้องปฏิบตั ิตามขั้นตอนและวิธีการที่กฎหมายบัญญัติไว้ (ภายใน 60 วัน) สภาพ
บังคับทั้งทางแพ่ง และอาญา
ส่วนการเลิกจ้างที่ไม่เป็ นธรรม เป็ นกรณี ที่นายจ้างเลิกจ้างโดยไม่มีสาเหตุ หรื อไม่ถูกขั้นตอน หรื อไม่ใช่
สาเหตุที่จาเป็ นหรื อสมควร ซึ่งอาจจะไม่ได้ฝ่าฝื นข้อห้ามใดๆ ของกฎหมายก็ได้ แต่เป็ นที่เห็นได้วา่ การ
เลิกจ้างนั้นไม่เป็ นธรรมต่อลูกจ้าง,
การนาคดีไปสู่ศาลได้โดยไม่ตอ้ งร้องเรี ยน หรื อปฏิบตั ิการอย่างใดก่อน
สภาพบังคับทางแพ่งอย่างเดียว คือ ศาลอาจสัง่ ให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทางานต่อไป ในตาแหน่งที่
ลูกจ้างมีความรู ้ความสามารถจะทาได้และในระดับเดียวกับตาแหน่งเดิม (แต่อาจไม่ใช่ตาแหน่งเดิมก็
ได้) ในอัตราค่าจ้างที่ได้รับในขณะเลิกจ้าง หรื ออาจให้นายจ้างชดใช้ค่าเสี ยหายแทนการรับกลับเข้า
ทางานก็ได้ หรื อให้นายจ้างจ่ายเงินค่าชดเชยที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับ การวินิจฉัยว่าการเลิกจ้างรายใดเป็ น
การเลิกจ้างโดยไม่เป็ นธรรม ย่อมต้องวินิจฉัยถึงข้อเท็จจริ งเป็ นเรื่ องๆ ไป, การเลิกจ้างไม่เป็ นธรรมมีอายุ
ความ 10 ปี
พฤติการณ์ที่ไม่ถือว่าเป็ นการเลิกจ้างไม่เป็ นธรรมคือ พฤติการณ์ที่ไม่น่าไว้วางใจและมีผลงานไม่เป็ นที่
พอใจ, ความจงใจหรื อประมาทเลินเล่อ, การหย่อนสมรรถภาพในการทางาน, ยุบหน่วยงาน แล้วเลิกจ้าง
ลูกจ้างหมดทั้งหน่วยงานไม่มียกเว้น และไม่ปรากฏว่าเป็ นเหตุกลัน่ แกล้ง
ตอนที่ 15.3 การอุทธรณ์คาพิพากษาของศาลแรงงาน
คดีที่จะอุทธรณ์ได้
ก. คดีแรงงานอุทธรณ์ได้แต่เฉพาะคดีที่มีปัญหาข้อกฎหมาย และมีลกั ษณะไม่ตอ้ งห้ามอุทธรณ์
ปัญหาข้อเท็จจริ ง ได้แก่ ปัญหาเกี่ยวกับการโต้เถียงกันว่า มีการกระทาหรื อละเว้นกระทาจริ งดังที่ฝ่ายใด
ฝ่ ายหนึ่งกล่าวอ้างหรื อโต้แย้งหรื อไม่ รวมทั้งปัญหาที่เกี่ยวกับการใช้ดุลพินิจของศาลตามรู ปคดี
(ดุลพินิจที่ตอ้ งฟังข้อเท็จจริ งก่อนเท่านั้น) เช่น ข้อที่วา่ สุจริ ตหรื อไม่ พยานหลักฐานฝ่ ายใดมีน้ าหนัก
ดีกว่ากัน – การจะวินิจฉัยปัญหา จะต้องฟังพยานหลักฐานของคู่ความอยูอ่ ีก
ปัญหาข้อกฎหมาย ได้แก่ 1) ปัญหาเกี่ยวกับการตีความตามตัวบทกฎหมาย 2) ปัญหาเกี่ยวกับการแปล
ข้อความในเอกสาร 3) ปัญหาเกี่ยวกับการปรับบทกฎหมายเข้ากับข้อเท็จจริ งในคดี,
67