You are on page 1of 108

DESIGN THINKING

SUVITA KAEWAREELAP
SCHOOL OF LANGUAGES AND GENERAL EDUCATION
WALAILAK UNIVERSITY
What is Design Thinking?

Design Thinking is an approach used for practical and creative problem-solving. It is


based heavily on the methods and processes that designers use, Design Thinking can
also be applied to any field; it doesn’t necessarily have to be design-specific.

Design Thinking is extremely user-centric. It focuses on humans first and foremost,


seeking to understand people’s needs and come up with effective solutions to meet
those needs. It is what we call a solution-based approach to problem-solving.

Design Thinking เป็นแนวทางที่ใช้สาหรับการแก้ปัญหาเชิงปฏิบัติและสร้างสรรค์ ขึ้นอยู่กับวิธีการและกระบวนการที่นักออกแบบใช้อย่างมาก


Design Thinking สามารถนาไปใช้กับทุกสาขาได้ ไม่จาเป็นต้องออกแบบเฉพาะ
Design Thinking มีผู้ใช้เป็นศูนย์กลางอย่างมาก โดยมุ่งเน้นไปที่มนุษย์เป็นอันดับแรกและสาคัญที่สุดคือพยายามเข้าใจความต้องการของผู้คน
และคิดหาวิธีแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้น เป็นสิ่งที่เราเรียกว่าวิธีการแก้ปัญหาตามแนวทางการแก้ปัญหา
What is Design Thinking? (And What
Are The 5 Stages Associated With it?)
Design Thinking คืออะไร? (และ 5 ขัน้ ตอนที่เกี่ยวข้องกับมันคืออะไร?)
Innovative Design = Design + Function
https://news.siamphone.com/news-15213.html.html
We are talking about design in
its broadest meaning.
"Design thinking is a human centered and collaborative
approach to problem solving, using a designed mindset
to solve complex problems."
“ การคิดเชิงออกแบบเป็นแนวทางที่มนุษย์เป็นศูนย์กลางและทางานร่วมกัน
ในการแก้ปัญหาโดยใช้ความคิดที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อนปัญหา”

Tim Brown (British Industrial Designer & President of IDEO)


Design Thinking
เข้าใจปัญหา เข้าถึงผู้คนและพื้นที่ แนวทางการแก้ปัญหา ทดสอบ

ระบุความต้องการ พัฒนาต้นแบบ

Design Thinking is a process to understand the causes of the


problems/users/customers and looking for the most possible solution for that
Design Thinking เป็ นกระบวนการในการทาความเข้าใจสาเหตุของปั ญหา / ผูใ้ ช้ / ลูกค้าและมองหาทางออกที่เป็ นไปได้มากที่สดุ สาหรับสิง่ นัน้

การตอบโจทย์ลกู ค้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่ตอ้ งการ


Design Thinking is an iterative cyclic process.
เป็นกระบวนการท้าซ้้า, วนซ้้า
Key elements องค์ประกอบสาคัญ

1. People-centered
2. Highly creative
3. Hands-on
4. Iterative
Design thinking is a user-centered approach
to problem solving. Empathy is key.
การคิดเชิงออกแบบเป็นแนวทางที่เน้นผู้ใช้เป็นศูนย์กลางในการแก้ปัญหา การเอาใจใส่เป็นสิ่งสาคัญ

Design thinking is especially helpful


for “wicked” problems.
การคิดเชิงออกแบบมีประโยชน์อย่างยิ่งสาหรับปัญหา "ชั่วร้าย"

Design thinking is a step-by-step process


that is repeated over multiple iterations.
การคิดเชิงออกแบบเป็นกระบวนการทีละขั้นตอนที่ทาซ้าหลายครั้ง

Design thinking is about doing.


Let’s start together today.
การคิดเชิงออกแบบคือการทา เริ่มต้นด้วยกันตั้งแต่วันนี้
1. People-centered
มีคนเป็นศูนย์กลาง

You start from what people, users, customers,


consumers, (…) need or want to do. Their motivations
and the problems they are trying to solve.
คุณเริ่มจากสิ่งทีผ่ ู้คน, ผู้ใช้, ลูกค้า, ผู้บริโภค ต้องการหรือต้องการทา …..แรงจูงใจและปัญหาที่พวกเขาพยายามแก้ไข

Empathy is key. It’s not about you. You need the ability
to understand and share the feelings of others.
การเอาใจใส่เป็นสิ่งสาคัญแม้ไม่เกี่ยวกับคุณ คุณต้องเข้าอกเข้าใจใจและร่วมแบ่งปันความรู้สกึ ของผู้อื่น
2. Highly creative
มีความคิดสร้างสรรค์สูง

Design thinking stimulates you to look at situations


differently and come up with new solutions, that go
beyond and improve existing alternatives.
การคิดเชิงออกแบบช่วยกระตุ้นให้คุณมองสถานการณ์ที่แตกต่างออกไปและคิดหาวิธีแก้ปัญหาใหม่ ๆ ที่เหนือกว่าและปรับปรุงทางเลือกที่มีอยู่

Integrative thinking is key. You need the ability to look


at all the different aspects of a problem
การคิดเชิงบูรณาการเป็นกุญแจสาคัญ คุณต้องมีความสามารถในการมองปัญหาในแง่มุมต่างๆ
3. Hands-on
ลงมือทา

Stop discussing, start working. Make ideas tangible.


Prototyping is thinking with your hands. Test your
hypnotises.
หยุดคุยและเริ่มทางาน สร้างความคิดที่จับต้องได้ การสร้างต้นแบบกาลังคิดด้วยมือของคุณ ทดสอบการสะกดจิตของคุณ

Failure is a (necessary) part of the process in order to


succeed. Experiments with trial and error are key.
ความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเพื่อให้ประสบความสาเร็จ การทดลองแบบลองผิดลองถูกเป็นกุญแจสาคัญ
4. Iterative ลงมือทา

The road to success does not follow a straight line. The


more you are able to loop through “understand > create >
learn” cycle, the higher chance you have for good results.
เส้นทางสู่ความสาเร็จไม่ได้เป็นไปตามเส้นตรง ยิ่งคุณสามารถทาซ้ากระบวนการ “ เข้าใจ> สร้าง> เรียนรู้” ได้มากเท่าไหร่คณ
ุ ก็จะมีโอกาสได้ผลลัพธ์ที่ดีมากขึ้นเท่านั้น
How the design thinking feels?
When can design
thinking be helpful?
การคิดเชิงออกแบบจะเป็นประโยชน์เมื่อใด
‘Wicked’ problems ปัญหาพยศ

Problems that are ill-defined: both problem and solution are unknown at
the beginning. A large part of the problem solving is actually defining the
problem.
ปัญหาที่ไม่ได้กาหนดไว้: ไม่ทราบทั้งปัญหาและวิธีแก้ปัญหาในตอนต้น ส่วนใหญ่ของการแก้ปัญหาคือการกาหนดปัญหา

And/or tricky: it involves quite a bit of risk, as you are leaving the comfort
zone of the organisation.
เป็นเรื่องของความเสี่ยงที่ไม่ได้อยู่ในแผนขององค์กร ปัญหาพยศ (Wicked Problems) มีจานวนต้นเหตุมากมาย
จนไม่สามารถจะนับได้ ยากที่จะอธิบาย เพราะตัวปัญหาเองไม่
มีคาตอบที่ถูกต้อง ตัวอย่าง เช่น การเสื่อมโทรมของ
สิ่งแวดล้อม การก่อการร้าย ความยากจน เรื่องราวเหล่านี้เป็น
ปัญหาพยศในระดับ Classic ปัญหาพยศเหล่านี้เป็นเรื่องที่
ตรงกันข้ามกับปัญหาที่ยาก ซึ่งปัญหาที่ยากนั้นเราสามารถ
แก้ปัญหาได้ภายในระยะเวลาที่กาหนดไว้ด้วยการประยุกต์
เทคนิคการแก้ปัญหาแบบธรรมดา
ไม่เพียงแต่กระบวนการแบบดั้งเดิมจะไม่สามารถจัดการกับ
ปัญหาพยศได้ แต่ยังทาให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีกด้วยการ
ทาให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดตามมาอีก
Not every problem ปัญหาแก้ไม่ได้ทุกเรื่อง

Design thinking (creative, intuitive, emotional) is


not the answer to every single problem.
ไม่มีกระบวนการหรือชุดเครื่องมือเดียวที่รองรับทุกกรณี มีกระบวนการและเครื่องมือมากมายที่ผู้คนปรับแต่งเพื่อตอบสนอง
ความต้องการของพวกเขา

For some question you will need rational


thinking, spreadsheets, powerpoint and
wo/men in suits to come to a valid answer.
>> e.g. acquiring a local competitor
No ‘one size fits all’ approach ไม่ใช่เสื้อโหล

There is not one single proces or toolkit that serves every single case.
There is a wide variety of processes and tools that people customise
to serve their needs. ไม่มีกระบวนการหรือชุดเครื่องมือเดียวที่รองรับทุกกรณี มีกระบวนการและเครื่องมือมากมายที่ผู้คนปรับแต่งเพื่อตอบสนองความต้องการของพวกเขา

The five step process from Stanford


Design School is a model that is
broadly used and has proven its value.
Zoom in to the
Design thinking Process
What Is Design Thinking?
Design Thinking is a solution-focused, problem-solving methodology that helps
companies, and individuals alike to get a desired outcome on an inner problem, or to
work forward on a future plan. Design Thinking allows for the user of the system to have
a more structured plan for understanding innovation and to grow more as a company.

Design Thinking เป็นวิธีการแก้ปัญหาที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาซึ่งช่วยให้ บริษัท และบุคคลต่างๆได้รับผลลัพธ์ที่


ต้องการสาหรับปัญหาภายในหรือเพื่อดาเนินการตามแผนในอนาคต Design Thinking ช่วยให้ผู้ใช้ระบบมีแผน
โครงสร้างมากขึ้นเพื่อทาความเข้าใจนวัตกรรมและเติบโตในฐานะ บริษัท มากขึ้น
Design Thinking คือ
“การคิดในเชิงของการออกแบบ”
แต่เป็นการนากระบวนการคิดโดยให้ความสาคัญต่อบุคคล และ
การนาเครื่องมือต่างๆมาใช้อย่างเหมาะสม เพื่อใช้ในการแก้ปัญหา
และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆขึ้นมา โดยไม่จาเป็นจะต้องเป็นการ
ออกแบบผลิตภัณฑ์ ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆเท่านั้น แต่สามารถนา
หลักการของ Design Thinking มาใช้ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ
เพื่อพัฒนาในเชิงธุรกิจ หรือ การให้บริการก็ได้เช่นกัน
หลักสูตร Design Thinking ของ d.school จะเน้นไปที่ 5 สิ่งหลักๆ คือ
Empathy การทาความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด เจาะลึกไปให้เห็นถึงปัญหาที่แท้จริง
Define การวิเคราะห์ข้อมูล ตั้งคาถามและผลักดันให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ โดยไม่ตีกรอบความคิดใดๆ
Ideate การระดมความคิดสร้างสรรค์จานวนมากโดยเน้นไปที่การหาแนวคิดที่จะแก้ปัญหาให้ได้มากที่สุด หลากหลายที่สุด
Prototype สร้างต้นแบบ ทดสอบและตั้งคาถามเพื่อให้เห็นถึงข้อผิดพลาดให้เร็วที่สุด
Test นาแบบจาลองที่ผ่านการทดสอบ ไปให้กลุ่มเป้าหมายจริงๆ ได้ทดลอง และนาผลตอบรับ หรือข้อแนะนาต่างๆ มาปรังปรุงต่อไป
หลักการของ Design Thinking

หลักสูตร Design Thinking ของ d.school จะเน้นไปที่ 5 สิ่งหลักๆ คือ


Empathy การทาความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด เจาะลึกไปให้เห็นถึงปัญหาที่แท้จริง
Define การวิเคราะห์ข้อมูล ตั้งคาถามและผลักดันให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ โดยไม่ตีกรอบความคิดใดๆ
Ideate การระดมความคิดสร้างสรรค์จานวนมากโดยเน้นไปที่การหาแนวคิดที่จะแก้ปัญหาให้ได้มากที่สุด หลากหลายที่สุด
Prototype สร้างต้นแบบ ทดสอบและตั้งคาถามเพื่อให้เห็นถึงข้อผิดพลาดให้เร็วที่สุด
Test นาแบบจาลองที่ผ่านการทดสอบ ไปให้กลุ่มเป้าหมายจริงๆ ได้ทดลอง และนาผลตอบรับ หรือข้อแนะนาต่างๆ มาปรังปรุงต่อไป
https://www.youtube.com/watch?v=_r0VX-aU_T8&feature=youtu.be
Step 1. Empathise
Understand the experience, situation and emotion of
the person who you are working for
การทาความเข้าใจ ศึกษาค้นหา Insight ของเหตการณ์และบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อข้อมูลที่ต้องการ

• Observe users and their behaviour in the context of their lives.


• Engage with people in conversations and interviews. Ask why.
• Watch and listen: ask someone to complete a task and tell you what they are doing
• สังเกตผู้ใช้และพฤติกรรมของพวกเขาในบริบทของชีวิต
• มีส่วนร่วมกับผู้คนในการสนทนาและการสัมภาษณ์ ถามว่าทาไม
• ดูและฟัง: ขอให้ใครบางคนทางานให้เสร็จและบอกคุณว่าพวกเขากาลังทาอะไรอยู่
Student Assignment in class.
Step 2. Define
Process and synthesise the findings in order to form a user
point of view that you will address
การน้าข้อมูลมาวิเคราะห์และตีความหาประเด็นส้าคัญที่สนใจ ส้าหรับมาใช้ในการคิดแก้ปัญหาต่อไป ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนการจัดล้าดับความส้าคัญของปัญหา

• User: develop an understanding of the type of person you are designing


• Needs: synthesise and select a limited set of needs that you think are important to fulfil
• Insights: express insights you developed and define principles
• ผู้ใช้: พัฒนาความเข้าใจเกี่ยวกับประเภทของบุคคลที่คุณกาลังออกแบบ
• ความต้องการ: สังเคราะห์และเลือกชุดความต้องการที่ จากัด ซึ่งคุณคิดว่าสาคัญต่อการเติมเต็ม
• ข้อมูลเชิงลึก: แสดงข้อมูลเชิงลึกที่คุณพัฒนาและกาหนดหลักการ
Step 3. Ideate
Focus on idea generation. You translate problems into solutions. Explore a wide variety
and large quantity of ideas to go beyond the obvious solutions to a problem.
การสร้างไอเดีย หรือการต่อยอดไอเดียจากหลากหลายมุมมองของคนภายในทีม เพื่อสร้างสรรค์ไอเดียนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การแก้ไขปั ญหานัน้ ๆ

• Creativity: combine the un/conscious with rational thoughts and imagination


• Group synergy: leverage the group to reach out new ideas an build upon other’s ideas
• Separate the generation and evaluation of ideas to give imagination a voice
• ความคิดสร้างสรรค์: รวมเอาความคิดและจินตนาการที่มีเหตุผลเข้าไว้ด้วยกัน
• การทางานร่วมกันของกลุ่ม: ใช้ประโยชน์จากกลุ่มเพื่อเข้าถึงแนวคิดใหม่ ๆ ต่อยอดความคิดของ
• ผู้อื่นแยกการสร้างและการประเมินความคิดเพื่อให้จินตนาการเป็นเสียง
Step 4. Prototype
Build to think. A simple, cheap and fast way to shape ideas so you can experience and interact
with them. สร้างโมเดลจากความคิด ด้วยวิธีที่ง่ายราคาถูกและรวดเร็วในการกาหนดแนวคิดเพื่อให้คุณได้สัมผัสและโต้ตอบกับลูกค้าหรือทีม
• Start building: Create an artefact in low resolution. This can be a physical object or a
digital clickable sketch. Do it quick and dirty.
• Storyboard: create a scenario you can role play in a physical environment and let people
experience your solution •• เริสร้่มาสร้งสถานการณ์ าง: สร้างสิ่งประดิษฐ์แบบง่ายๆ และรวดเร็ว
ที่คุณสามารถสวมบทบาทในสภาพแวดล้อมทางกายภาพและให้ผู้คนได้สัมผัสกับโซลูชันของคุณ
Step 5. Test
Ask for feedback on your prototypes. Learn about your user, reframe your view and refine
your prototype. ทดลองกับกลุ่มเป้าหมาย รับ Feedback เพื่อนาไปพัฒนาต้นแบบ จนกระทั6งกลุ่มเป้าหมายพึงพอใจ แล้วนาเอานวัตกรรมนั้นไปใช้จริง
• Show: let people use your prototype. Give it in their hands and let them use it.
Listen to what they say.
• Create experiences: let people talk about how they experience it and how they feel
แสดง: ให้ผู้คนใช้ต้นแบบของคุณ มอบไว้ในมือและปล่อยให้พวกเขาใช้ ฟังสิ่งที่พวกเขาพูด
สร้างประสบการณ์: ให้ผู้คนพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์และความรู้สึกของพวกเขา
a question that you will put to the test during the testing stage. Make sure your users know what the prototype
and test is about, but do not over-explain how the prototype works.
คาถามที่คุณจะนาไปทดสอบระหว่างขั้นตอนการทดสอบ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ใช้ของคุณทราบว่าต้นแบบและ
การทดสอบเกี่ยวกับอะไร แต่อย่าอธิบายมากเกินไปว่าต้นแบบทางานอย่างไร
Design Thinking จุดเริ่มต้นของนวัตกรรมเปลี่ยนโลก
การสร้างนวัตกรรมด้วยกระบวนการคิดแบบ Design Thinking มักเริ่ม
ด้วยการหา “ปัญหา” เจาะลึกลงไป และสร้างสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อแก้ไข
ปัญหาเหล่านั้น และเมื่อนวัตกรรมนั้นเกิดขึ้น มันจึงไม่ใช่แค่ “สินค้า”
หนึ่งชิ้น แต่เป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนได้
(เมาส์รุ่นแรกของโลก สร้างโดย ดักลาส เองเกลบาร์ท เครดิตภาพ www.history-computer.com) (เมาส์รุ่นแรกของ Apple เปิดตัวครั้งแรกกับคอมพิวเตอร์ Lisa และได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในช่วงที่
Apple เปิดตัว Apple Macintosh เครดิตภาพ www.ideo.com)

Apple มองเห็นปัญหาและความยุง่ ยากของการใช้เมาส์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งทาให้การใช้งานคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นเรื่องไกลตัวคนทั่วไปมากขึน้ กว่าเดิม จนใน


ที่สุด Apple ก็สามารถออกแบบเมาส์ที่ทาให้คนทั้งโลกเปลีย่ นวิธีใช้คอมพิวเตอร์ไปตลอดกาล
เมาส์ของ Apple ถูกดีไซน์ออกมาให้ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน และ “ช่วย” ให้การใช้งานคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นเรื่องง่ายตามไปด้วย จนเป็นที่มาที่ไปของการที่
คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหลังจากนั้น ไม่ว่าจะแบรนด์ไหนก็ต้องมีเมาส์มาให้กับผู้ใช้ด้วย และคนที่ออกแบบเมาส์รุ่นแรกของ Apple ก็คือ “ทิม บราวน์”
(บานพับที่เป็นเอกลักษณ์ของ Apple Macbook ทุกรุ่น)

สถาบัน d.school ของ Stanford นับเป็นที่ที่สร้างคน สร้างนวัตกรรมให้กับโลกมากมาย โดยผลสารวจจากหลายสถาบันให้ข้อมูลว่า 60% ของ


Founder ที่สร้าง Start up ระดับ Unicorn ที่อยู่ใน Silicon Valley จบจาก Stanford
ใน "Empathy Map" หรือ "แผนที่การเข้าใจลูกค้า " มีส่วนประกอบดังนี้
1. Think and Feel ลูกค้าคิดและรู้สึกอย่างไร?
- ทาความเข้าใจว่า ในความคิดและความรู้สึกของลูกค้าอะไรคือสิ่งที่สาคัญสาหรับกลุ่มเป้าหมาย
- ความรู้สึก คุณค่า ที่ให้ ความกลัว ความเชื่ออะไรที่มีผลต่อลูกค้า
- ความฝันหรือความต้องการลึกๆของลูกค้าคืออะไร
2. Hear ลูกค้าได้ยินอะไร?
- ลูกค้าได้ยินเรื่องราวต่างๆจากใครบ้าง
- เรื่องราวที่ได้ยิน คืออะไร
- สื่อด้านไหน Social media อะไรที่เขาได้ยิน (และมีผลต่อความคิดและการกระทาของเขา)
3. See ลูกค้ามองเห็นอะไร?
- ในทุกวัน ลูกค้าเห็นอะไรบ้าง
- เห็นจากที่ไหนหรือสื่อออะไร
- สิ่งที่เห็นมีผลอะไรต่อตัวเขา
- ปัญหาอะไรที่ลูกค้ามักจะเห็นเป็นประจา
4. Say and Do ลูกค้าพูดและท้าอะไรบ้าง?
- อะไรคือพฤติกรรมที่ลูกค้าแสดงออก หรือพูดออกมา
- ลูกค้าพูดถึงเรื่องอะไรบ้าง
- เล่าเรื่องอะไรให้คนอื่นฟังบ้าง
- อยากให้คนอื่นพูดถึงตัวเองอย่างไรบ้าง
- และทาอะไรบ้าง
5. Pain จุดเจ็บปวด หรือปัญหาของคุณลูกค้าคืออะไร
- อะไรคือปัญหา หรือสิ่งที่ทาให้เกิดความเจ็บปวดกับลูกค้ามากที่สุด
6. Gain สิ่งที่ลูกค้าต้องการได้รับคืออะไร
- อะไรที่ลูกค้าต้องการ อยากได อยากมี หรืออยากสาเร็จในชีวิต
การหาความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ท้าได้หลายวิธีได้แก่
- ระดมสมอง
- การสัมภาษณ์
- การส่งแบบสอบถาม
- การเข้าไปอยู่ในสภาวะของกลุ่มเป้าหมาย
- การทดสอบและรายงานปัญหา
- การพูดคุยกับทีมงาน
- การรับปัญหา/โจทย์จากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
- การสังเกตการณ์
- การท้า Workshop
- การท้าตัวอย่างทดสอบก่อน
- การใช้ข้อมูลทางสถิติ เช่น Big Data เป็นต้น
- Research
ฯลฯ
ลองใช้ Design Thinking การออกแบบโดยใช้คนเป็นศูนย์กลางดูค่ะ
Step ง่าย ๆ ทาตามกันเลย
1. DISCOVER 🔍
(1.1) ไปเข้าใจปัญหา เข้าใจคนที่ใช้งาน เช่น เด็ก ๆ ที่เราอยากออกแบบการสอนให้เขาเข้าใจมาก
ขึ้น (Emphatize)
(1.2) ตั้งเป้าหมาย (Define) ว่าเราอยากทาอะไร เช่น สื่อการสอนเรื่องศัพท์ภาษาจีน หมวด
ร่างกาย สาหรับเด็ก ม.4
2. IDEATE 💡
ขั้นนี้แบ่งเป็น 2 ขั้นเหมือนกัน ห้ามทาข้ามนะคะ ไม่งั้นมันจะไม่มีประสิทธิภาพ
(2.1) โยนไอเดีย : เขาว่ากันว่า เราจะหาไอเดียดี ๆ ได้เมื่อเรามีไอเดียเยอะ ดังนั้นโยนไอเดีย
ออกมาเลย ไม่ว่ามันจะดูเป็นไปได้หรือไม่ ดีเลิศแค่ไหนไม่สน เน้นปริมาณไว้ก่อน สัก 100 ไอเดีย
– อาจจะเล่น เห้ยเจ๋งว่ะ ! เพื่อช่วยให้ไอเดียไหลออกมา
(2.2) เลือกไอเดีย : คัดอันเด็ด ๆ ออกมา
3. PROTOTYPE 🔨
ทาแบบจาลองของสิ่งนั้นออกมาเลย เน้นใช้งานได้ เน้นเร็ว ไม่เน้นสวย
4. TEST 💬
(4.1) เอาสิ่งนั้นไปลองใช้กับผู้ใช้จริง
(4.2) ให้คนที่ลองใช้ให้ Feedback หน่อยว่าดีหรือยัง ควรปรับอะไรไหม (I like…, I wish…) เช่น
“หนูเล่นแล้วหนูว่ามันยังไม่เรียนรู้เรื่องศัพท์เลย หนูอยากให้เพิ่มเนื้อหาอีกนิดค่ะ”
สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ Design Thinking
#1 เวลาที่ทาขั้นตอน Ideate ส่วนระดมสมอง สิ่งที่สาคัญคือความหลากหลายของความคิด หากเราสามารถหาคนจากหลายระดับผู้บริหาร หรือหลาย
ตาแหน่งหน้าที่การงาน เราก็จะสามารถสร้างไอเดียที่หลากหลายและแตกต่างได้เยอะมากกว่า

#2 อีกหนึ่งประเด็นของ Design Thinking ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ ‘คนด้าเนินงาน’ ในกรณีที่คนส่วนมากไม่เคยทา Design Thinking มาก่อน เราควรจะมีคน
กลางหนึ่งคนไว้ดาเนินงานเพื่อผลักดันให้แต่ละคนสามารถออกความคิดเห็นหรือมองในมุมมองคนอื่นที่ตัวเองอาจจะไม่ได้คิดมาก่อน แล้วก็เป็น
พิธีกรรายการ Design Thinking ก็ได้

#3 อีกจุดที่สาคัญในการทา Design Thinking ก็คือ ‘ความเร็ว’ เช่นเราควรจากัดเวลาให้คนออกไอเดีย ให้คนระดมสมอง เพื่อบังคับให้คน ‘ไม่กรองความคิด’


ตัวเองออกไปก่อนที่จะแบ่งบันกันคนอื่น และขั้นตอนการทาแบบจาลองและการทดสอบก็ควรจะทาให้เร็วเพื่อให้เราสามารถนาข้อมูลมาพัฒนาต่อได้เร็วที่สุด
เช่นกัน

#4 ‘เด็ก’ เป็นคนที่เหมาะสาหรับการจับมาเข้าร่วม Design Thinking มาก เพราะเป็นคนที่มี empathy กับความคิดสร้างสรรค์เยอะ และไม่ถูกจ้ากัดด้วยค้า


ว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ และ ‘ไม่น่าจะท้าได้’

#5 หลายองค์กรนา Design Thinking มาใช้พัฒนาการจัดการการด้าเนินงานและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพราะ สองส่วนนี้มีปัจจัยมนุษย์เยอะ


ทาให้เหมาะกับการระดมสมอง สร้างไอเดียใหม่ (Operations Management & Human Resource Development)
EMPATHIZE : อากาศที่ร้อนขึ้นทุกๆวัน บรรยากาศที่ไม่อยากเดินทางไปไหน ทาให้เจ้าของธุรกิจต่างๆก็ต้องปิดกิจการลงเพราะไม่มีผู้บริโภค Remix Desert Coffee ก็
ประสบกับปัญหานี้ ในช่วงเวลากลางวันจานวนคนที่เข้าร้านจะน้อยมากๆหรือบางวันไม่มคี นเข้าเลย
DEFINE : ปัญหาที่เกิดจากบรรยากาศที่ร้อนภายนอก ทาให้คนไม่อยากออกไปข้างนอก จึงหลีกเหลี่ยงการเดินทาง
IDEATE : ออกแบบตัวช่วยแก้ปัญหานี้ ที่ทาให้คนไม่ต้องเดินทางไปซื้อเองแต่ก็ยังได้รับสินค้าสบายๆอยูท่ ี่บ้าน ได้ทั้งผู้ค้ากับผู้บริโภค
PROTOTYPE : ทาการออกแบบแอพพลิเคชั่น สารวจความต้องการและลงพื้นที่ด้วยตัวเอง เพื่อที่จะได้เข้าใจให้มากต่อการออกแบบ เริ่มตั้งแต่คิดฟังก์ชั่นการใช้งานและ
คานึงถึงความเข้าใขในการใช้แอพพลิเคชั่น
TEST : ได้ทาการสอบถามความคิดเห็นจากผู้อื่นของหน้าแอพพลิเคชั่นซึ่งพบว่ามีความเข้าใจและสะดวกต่อการใช้งาน

Student Assignment in class.


Benefit of Design Thinking
• Design thinking help you innovate,
• Helps you differentiate from competitors,
• Helps you increase customer satisfaction.
• การคิดเชิงออกแบบช่วยให้คณ ุ สร้างสรรค์ส่งิ ใหม่ ๆ
• ช่วยให้คณุ แตกต่างจากคูแ่ ข่ง
• ช่วยเพิ่มความพึงพอใจให้กบั ลูกค้า
But it has it’s limits…
1. It’s good to skip endless research, meetings and strategy
sessions, but under-thinking is as bad as over-thinking.
2. Great ideas that benefit consumers require a viable
business strategy built into an idea.
3. Every problem is different. There is not one proces or
toolset to standardise design thinking.
• การคิดน้อยเกินไปก็แย่พอ ๆ กับการคิดมากเกินไป
• ความคิดที่ดีท่ีเป็ นประโยชน์ตอ่ ผูบ้ ริโภคจาเป็ นต้องใช้กลยุทธ์ทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ
• ทุกปัญหามีความแตกต่างกัน ไม่มีกระบวนการหรือชุดเครื่องมือเพียงชุดเดียวในการสร้างมาตรฐานการคิดเชิงออกแบบ
Student assignments:
1) Individual assignment is as indicated in the ppt-handout on each step of a design thinking.
Each student must be submitted their work to the lecturer in their group via the channel that
the teacher had been assigned. The deadline of submission will be 1 day after your online
class.
2) 2) The group assignment for the Design Thinking Topic is that the students (in a group) need to
apply the design thinking process (5 steps) to design your group-pitching’s product or service.
And Please submit your group assignment to the teacher in your group not later than 1 week
of your online class.
ตัวอย่าง: การแก้ไข้ปัญหาในธุรกิจร้านอาหารที่ต้องการขยายสาขา และ food delivery
1. (Empathy)
ต้องเข้าใจว่าธุรกิจ food delivery มีความต้องการที่จะส่งมอบอาหารให้ถึงมือผู้บริโภค แบบ สดใหม่ ปลอดภัยและรวดเร็ว ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทาย
อย่างมาก เมื่อ food delivery ต้องเจอกับปัญหาที่ร้านอาหารมีคิวยาว หรืออยู่ห่างไกลจากผู้บริโภคท้าให้ระยะเวลาในการขนส่งล่าช้า และท้าให้อาหารไม่
สดใหม่ หรือไม่อร่อยเท่ากับทานที่ร้านและส้าหรับร้านอาหารเอง ที่ต้องการจะสเกลหรือขยายสาขาก็ต้องพบกับปัญหาต้นทุนที่สูง
2. (Define)
ปัญหาจริงๆของ Food delivery คือความรวดเร็วในการส่งอาหารให้ถึงมือผู้บริโภคเพราะถ้าสามารถส่งอาหารได้รวดเร็ว ก็จะไม่มีปัญหาเรื่องความสดใหม่
และปัญหาจริงๆของ ร้านอาหารที่ต้องการขยายสาขา คือการเพิ่มยอดขายและการเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้นเพราะฉะนั้น เราจะมีวิธีแก้ไขปัญหานี้อย่างไร
เพื่อที่จะช่วยให้ทั้ง 2 ธุรกิจนี้ มีขีดความสามารถเพิ่มขึ้น?
3. (Ideate)
จากปัญหาความรวดเร็วในการส่งอาหารของ Food delivery และการเพิ่มยอดขายให้กับร้านอาหารเราต้องคิดหลายๆวิธีการเพื่อน้าไปทดสอบและต่อยอด
เช่น การใช้โดรนในการส่งอาหาร เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรและเพิ่มจ้านวนการส่งอาหารหรือ การท้า Cloud Kitchen (ครัวที่ใช้ร่วมกัน) เพื่อลดต้นทุนใน
การขยายสาขาและยังเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น
4. (Prototype)
น้าไอเดียข้อที่แล้วมาสร้างเป็นต้นแบบคือ สร้างโดรนขนส่งอาหาร และ เช่าพื้นที่ท้า Cloud Kitchen
5. (Test)
น้าต้นแบบโดรน ไปใช้กับร้านอาหารจริงๆและ ให้ร้านอาหารเข้ามาใช้พื้นที่ท้าครัวใน Cloud Kitchenเพื่อทดสอบว่า แนวคิดแบบไหนตอบโจทย์มากกว่า
กันและเมื่อได้รับ feedback จากผู้ใช้ก็น้ามาปรับปรุงแก้ไข และพัฒนาเพื่อให้เกิดขึ้นจริง
Customer need

SUVITA KAEWAREELAP
SCHOOL OF LANGUAGES AND GENERAL EDUCATION
WALAILAK UNIVERSITY
NEED

การศึกษา + ประสบการณ์
Who are the customers? คิดว่าใครคือลูกค้าเรา

• Customer defined multiple ways ลูกค้ากาหนดหลายวิธี

– End user ผู้ใช้

– Those affecting the buying decision ผู้ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ

– Those interacting with the product ผู้ที่มีปฏิสัมพันธ์กับผลิตภัณฑ์

• Understanding who the customers are is important การทาความเข้าใจว่าใครคือลูกค้าเป็นสิ่งสาคัญ

– Design specs focus on needs of critical customers รายละเอียดการออกแบบมุ่งเน้นไปทีค่ วามต้องการของลูกค้าที่สาคัญ

• Example: Smart phone (consumer product) ตัวอย่าง: สมาร์ทโฟน (สินค้าอุปโภคบริโภค)

– End user and purchaser are the same person ? critical customer
– Seller ผู้ขาย ผู้ใช้ และผู้ซื้อเป็นบุคคลเดียวกันหรือไม่ ใครคือลูกค้าที่สาคัญ

– Service provider, etc. ผู้ให้บริการ


Who are the customers?
• Commercial products have broader set of customers
• Consider an excavator:
– Name some of the customers
– What is important to them?
Who are the customers?
Consider as many customers as practical.
The relative importance of their wants and
needs will be determined later. พิความส
จารณาความต้องการเค้าให้มากที่สุด
าคัญของความต้องการจะเป็นตัวกาหนดในภายหลัง
A better way to determine needs…
• Determine who the customers are
• Determine what information should be gathered from customers
• Determine how that information should be gathered

And then, translate that information into product


requirements and engineering specifications
Step 1: Gathering Customer Information
• Interviews
• “On the job” observations
• Surveys
• Focus groups

Gather and report raw data; no interpretations… yet!


Interviews

• Great for getting lots of information quickly


• Ideally, interviews should be done with all “customers”
• Have an interview script. Review it with your team and advisor, but “go with the flow” if the
interviewee is providing useful information.
• Suppress preconceived hypotheses about the product technology. Focus on wants and needs.
• Be alert for surprises and the expression of latent needs.
1.สัมภาษณ์ลูกค้า (Customer Interviews) สอบถามถึงปัญหาที่ลูกค้าพบ และลูกค้าต้องการสินค้า/บริการที่มีคุณลักษณะอย่างไร โดยวิธีการนี้สามารถใช้เทคนิคการตั้งคาถาม 5 Whys ซึ่งเป็นวิธีที่นามาใช้
ในการวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา โดยเจาะลึกให้ถึงรากแก่นที่แท้จริงของปัญหานั้น ๆ ผ่านการถามคาถาม 5 คาถามที่เจาะลึกลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งจะช่วยให้เราทราบความต้องการที่ซ่อนอยู่ของลูกค้าได้ สิ่ง
สาคัญที่จะทาให้เราสามารถเจาะลึกเข้าไปถึงแก่นของความต้องการลูกค้าได้ คือ ทักษะของผู้สัมภาษณ์ที่จะทาให้ได้คาตอบที่เจาะลึกและตรงจุดที่สุด
Individual Interviews
An individual interview can be conducted over the phone, Skype, or in
person. The idea is to ask your ideal user (or an existing customer) a
series of questions and follow-ups to learn what motivates them to buy
a product like yours.
You should go into the interview with some questions prepared ahead of
time, but don’t feel like you need to stick to a script. If they say
something interesting, ask followup questions that dig deeper. Really try
to put yourself in their shoes, and try to figure out what makes them tick.
Here are a few initial questions you could ask:
• What frustrates you in regard to [your topic]?
• If I had a magic wand and could give you anything you want, what
do you most desire? https://optinmonster.com/qualitative-research-methods-for-understanding-your-user/
• What do you lose sleep over at night?
• Have you bought [your type of product] before?
• If so, what motivated you to buy it?
he interviews are used to understand:
1. What are the customer’s business issues (if applicable)?
2. What is the customer’s problem / need?
3. How will the product solve the customer’s problem or
customer need?
4. What are the specific customer needs that must be satisfied
to address the customer’s problem?
5. What are the priorities of these needs? What’s most
important to the customer in making a buying decision?
6. What are the strengths and weaknesses of our product(s) vs.
the competition?
https://thegrowthmaster.com/blog/how-to-do-customer-interview-to-gain-more-insight
• “On the job” observations

An in-person observation of shopping behavior (or a “shop-along”) allows you to actually watch the consumer react to your product in-store. This way,
you get to see their actual shopping behavior, as opposed to just what they would claim on a written survey.

One way that this is useful is by highlighting challenges that arise from shelf display issues, clutter, or out of stock issues. You may also
interact with consumers to get deeper insights during the shopping process, to get feedback on package design, for example.
Surveys
• Hard to create a good questionnaire
• Keep it short
• Minimize essay questions (interview instead)
• Need large sample size for quantitative data
• Screen respondents…you want the right sample
• Web surveys…only if you direct people to it
• Mail surveys…time scale w

https://www.omniconvert.com/customer-satisfaction-surveys/
Surveys
https://medium.com/@teamarcstechnologies/what-is-the-customer-satisfaction-survey-in-the-world-of-business-d7f5653b34d5
Focus Groups
Focus groups are generally conducted in-person. These groups are meant
to provide a safe and comfortable environment for your users to talk
about their thoughts and feelings surrounding your product.
The advantage of using in-person focus groups is that you get to see the
consumer’s verbal and non-verbal reaction to your product or advertising. The
other advantage is that the different members of the group can bounce off
each other’s thoughts and ideas, which means you’ll get even greater insights.
You can use focus groups to:
• Test product usage or tasting
• Explore the general concept for your product
• Evaluate your advertising copy and imagery
• Explore new packaging ideas
Online Focus Groups
Online focus groups are similar to in-person focus groups, except that they are more cost-efficient and allow you to reach more people.
Use social media to your advantage by creating communities of people who are interested in your topic, and fostering a conversation.
Then, simply observe the dialogue. You’ll gain a lot of interesting insights!

กลุ่มโฟกัสออนไลน์คล้ายกับกลุ่มโฟกัสแบบตัวต่อตัวยกเว้นว่าจะคุ้มค่ากว่าและช่วยให้คุณเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น
What to do with the information…
• Collect information as raw data; do not interpret as you take notes
• See the text for methods to organize and translate raw data into
information you can use to guide the design of your product
• Always check information against your common sense
Step 2: Translating into Customer Needs
General Guidelines
• What not How
• Preserve detail
• Positive, not Negative
• Attributes of the product: “The rescue spreader is lightweight”
• Avoid Must and Should
CRM คืออะไร ขั้นตอนการท้า CRM ?

CRM ย่อมาจาก Customer Relationship Management ถ้าให้แปลตรงตัวก็คือการบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า ซึ่งก็


คือการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าโดยมุ่งเน้นให้ลูกค้าเกิดความภักดี (Loyalty) ต่อแบรนด์ สินค้า บริการ หรือองค์กร
โดยที่เป้าหมายของการทา CRM ไม่ใช่แค่เพียงแต่เน้นการขายและการบริการลูกค้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเก็บข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าในการเลือกซื้อสินค้าและความ
ต้องการของลูกค้า จากนั้นสามารถนาข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และใช้ให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาและปรับปรุงแผนการตลาด สินค้าหรือบริการในอนาคตอีกด้วย
Collecting information
When collecting information about customers, try to find out what your customers
are buying, why they are buying, and how often they are buying. Include any
การรวบรวมข้อมูล
potential customers who have made enquiries about your goods or services. ในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าพยายาม
ค้นหาว่าลูกค้าของคุณซื้ออะไรทาไมจึงซื้อและซื้อ
There are many ways to collect information on your customers, including: บ่อยเพียงใด รวมถึงผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าที่
• order forms สอบถามเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของคุณ
มีหลายวิธีในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าของ
• enquiries คุณ ได้แก่ :
• แบบฟอร์มการสั่งซื้อ
• complaints • สอบถามข้อมูล
• warranty cards • ร้องเรียน
• ใบรับประกัน
• customer rewards programs • โปรแกรมตอบแทนลูกค้า
• แบบสารวจความพึงพอใจของลูกค้า
• customer satisfaction surveys • การ์ดความคิดเห็น
• feedback cards • การแข่งขันของลูกค้า
• เว็บไซต์ของคุณ.
• customer competitions
• your website.
โดยที่ระบบ CRM จัดว่าเป็นหนึ่งในส่วนประกอบ (Modules) ที่
ส้าคัญของระบบ ERP ถ้าพูดให้มองเห็นภาพง่ายๆ ก็คือ “CRM
นั้นเป็นหนึ่งใน Subset ของระบบ ERP นั่นเองครับ”
ซึ่งวัตถุประสงค์หลักของการท้า CRM คือ เพื่อเพิ่มยอดขาย
และขยายฐานลูกค้าในระยะยาว รักษาฐานลูกค้าที่ส้าคัญ เพื่อ
สร้างทัศนคติที่ดีต่อสินค้าหรือบริการของบริษัท เพื่อให้กระตุ้นให้
ลูกค้าเกิดความจงรักภักดี (Loyalty) ต่อบริษัท สินค้า หรือ
บริการ ไม่หนีไปใช้สินค้าหรือสินค้าทดแทนของคู่แข่งในตลาด
และเพื่อให้ลูกค้าเก่าแนะนาสินค้าและการบริการต่อไปยังผู้อื่น
หรือที่เราเรียกกันว่าการตลาดแบบ “ปากต่อปาก” นั่นเอง
(Mount-to-Mount Marketing)

CRM คือ หนึ่งในส่วนประกอบทีส่ ้าคัญของฟังก์ชั่นการท้างานในองค์กร


หลักการท้างานของ CRM แบ่งออกเป็น 4 ส่วนด้วยกัน
Get out of the Box….
Individual assignment.
- Create the question(s) for the assigned topic of “a dream coffee” to
test with your market.
- Ask the question(s) with your target customer (another people in
the class) for 5 people.
- Define those answers and categorize them into a group.
- Design the total solution for your question (as a dream coffee look
like) which refer to those customer need, and submitted via e-
learning.
MOODBORD
ประโยชน์ของ Moodboard
1. Moodboard จะเป็นตัวรวบรวมความคิด
และแรงบันดาลใจก่อนที่จะเริ่มต้นลงมือทางาน ซึ่งมันจะประหยัดเวลา โดยเฉพาะเวลาที่คิดอะไรไม่ออก มอง
เพียงหน้าจออันว่างปล่าว

2. ช่วยในการน้าเสนอ
Moodboard ช่วยในการนาเสนองานให้ลูกค้าดู ช่วยให้ลูกค้าของคุณรับรู้ถึงอารมณ์ของงานและแนวทางที่ควร
จะเป็น หลีกเลี่ยงการเข้าใจไม่ตรงกันระหว่างคนทางานกับลูกค้า บางทีการพยายามอธิบายแนวคิดการออกแบบ
ด้วยคาพูด ลูกค้าอาจจะยังมองไม่ภาพไม่ออกซึ่ง Moodboard จะช่วยคุณได้มาก
Moodboard techniques
1. Do it yourself

สี

ตัวอักษร

รูปภาพ

โลโก้

องค์ประกอบในงานออกแบบจะไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นองค์ประกอบใน Moodboard ก็จะไม่เหมือนกัน คุณจะต้องใส่องค์ประกอบที่จะใช้ในงานออกแบบของคุณ


ลงไปให้ได้ทั้งหมด เช่น ในการออกแบบเว็บไซต์จะต้องประกอบไปด้วย สี , ตัวอักษร , รูปภาพ เมื่อคุณนาองค์ประกอบทุกส่วนลงไปใน Moodboard เรียบร้อยจะทา
ให้ลูกค้ามองเห็นภาพรวมของงานได้โดยง่าย
2. Add something to it

summer Fall / winter


บางที Moodboard อาจจะมีองค์ประกอบของอะไรบางอย่างที่ไม่ได้ใช้ในงานออกแบบของคุณ แต่เพียงมันสามารถสื่ออารมณ์ของงานออกแบบของ
คุณได้มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณกาลังจะออกแบบงานเว็บไซต์ที่ดูอบอุ่น คุณก็ลองหาภาพที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างภาพถ่ายในช่วงฤดูรอ้ น ภาพ
ผู้คนในเทศกาลหน้าร้อน ภาพเบียร์ ซึ่งเมื่อเรามอง Moodboard โดยรวมเราจะรับรู้ถึงความรู้สึกของงานออกมาได้
3. Do more than one

Moodboard อันแรกที่ดูสะอาด vintage-modern และใช้สีที่ดูอบอุ่น Moodboard อันที่ 2 ที่ดูย้อนยุคมากขึ้นและใช้สีที่ดูสดใสมากขึ้น Moodboard 3 ที่ใช้รูปทรงสี่เหลี่ยมมากขึ้น ใช้รูปทรงของสถาปัตยกรรม

หลายครั้งที่เราออกแบบงานแล้วมีแนวคิดอันหลากหลายออกมา เพราะฉะนั่นทามันออกมาให้หมดก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้งานสาเร็จออกมาได้อย่างดี บางที


Moodboard อันหนึ่งอาจจะเหมาะสมกับอีกงานหนึ่ง การทาออกมาหลายอันให้ลูกค้าได้เลือกก็เป็นวิธีที่ดีเยี่ยมอย่างหนึ่ง
4. Made from the real thing

Moodboard by William Yarbrough

บางที่เราอาจจะได้แรงบันดาลใจจากสิ่งของที่มีอยู่จริง อย่างตัวอย่าง William Yarbrough นักออกแบบคนหนึ่งสนใจงานออกแบบในช่วงยุค 1950 ถึง 60 ซึ่งเป็นยุค


ทองของการเดินทางทางอากาศ เขาจึงนาป้าย tags ติดกระเป๋าและ postcards ในช่วงเวลานั้นมาใช้ทา Moodboard โดยได้ทั้งไอเดียตัวอักษรและคู่สีมาใช้งานจริง
5. Don't limit yourself

Moodboard by Carolyn Farino

การจะหาอะไรมาสื่ออารมณ์ของ Moodboard ไม่จาเป็นจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับงานที่เราจะทา อย่างเช่นนักออกแบบนามว่า Carolyn Farino กาลังออกแบบ


UI ของงานงานหนึ่งโดยกาหนดไว้ว่ามันจะต้องดู fresh & light ซึ่ง Carolyn ก็ได้นาแรงบันดาลใจจาก บรรจุภัณฑ์อาหาร , งานศิลปะ ซึ่งเธอบอกว่าเราจะใช้อะไร
มาทา Moodboard ก็ได้ขอแค่ให้มันช่วยสร้างทิศทางของการออกแบบของคุณ
6. Bring something designed to do

Moodboard by Matt Cole


Moodboard คือสิ่งที่คุณต้องการจะให้มันเป็น หลังจากที่เราผ่านการ brainstorm กันมาแล้ว วิธีหนึ่งที่คุณจะสร้าง Moodboard ขึ้นมาคือการลองนาองค์ประกอบ
ของงานมาใส่ใน Moodboard ซึ่งคุณจะมองเห็นเลยว่าอะไรที่ดูแปลกแยกออกมา อะไรที่ดูไม่เข้ากัน อย่างในตัวอย่างเป็น Moodboard เกี่ยวกับการออกแบบ
เว็บไซต์ เขาก็ได้นาปุ่มต่างๆ ตัวอักษร รูปแบบข้อมูลต่างๆ มาลง
7. Cover elements

วิธีที่ทาให้ Moodboard ของคุณสมบูรณ์แบบก็คือ ใส่องค์ประกอบ ชิ้นส่วนทั้งหมดในงานออกแบบลงไปใน Moodboard เพื่อทาให้ลูกค้าของคุณคิดว่าคุณมีการ


วางแผนที่ดีต่องานในทุกจุด ถ้าสังเกตุในภาพตัวอย่างจะพบว่าใน Moodboard นี้มีองค์ประกอบของงานทั้งหมดเช่น ตัวอักษร , icon , UI , สี , ภาพ , เมนู และอีก
หลายๆ อย่างในงาน เมื่อคุณนา Moodboard นี้ให้ลูกค้าดู มันก็ง่ายที่จะบอกเล่าถึงวิธีการออกแบบที่เราได้ทามา
8. Think a lot.

อย่าปิดกันแนวคิดการออกแบบที่มีอยู่ในตัวเรา ลองแสดงมันออกมา บางที Moodboard ก็เป็นตัวช่วยให้งานของเราดูเด่นขึ้นมา อย่างเช่นงานออกแบบโลโก้ดัง


ตัวอย่าง เพียงนามาประกอบกับภาพถ่ายที่สื่อถึงอารมณ์ทเี่ ราต้องการ หรือใส่ขั้นตอนวิธีการคิดเข้าไปสักนิด ก็จะช่วยเพิ่มมูลค่างานได้อีกมากโข
9. demonstration

Moodboard ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่เอาไว้สื่อถึงอารมณ์งาน แต่ก็เป็นเหมือนการทดลองแนวคิดของเรา ลองหยิบนู้น หยิบนี่มาใส่ใน Moodboard มันจะง่ายกว่าการ


ทดลองในงานจริงมาก เพราะเราจะมองเห็นภาพรวมของงานได้อย่างรวดเร็ว
10. Add a description

ถ้าคุณอยากจะนา Moodboard ไปให้ลูกค้าดูในรูปแบบเต็ม ก็ควรออกแบบ จัดวางมันให้สวยงาม และสิ่งสาคัญคือคาอธิบายว่าทาไมถึงเลือกใช้อารมณ์งานแบบนี้


ลองเพิ่มประโยคอธิบายสั้นๆ ลงไป จัดวาง Moodboard ให้สวยงาม
11. Mix ideas

ลองนาไอเดีย ผลงานอื่นที่เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบของคุณมาวางเรียงเพื่อให้เกิดไอเดียใหม่ๆ คุณจะมองได้ทันทีเลยว่า ไอเดียไหนเหมาะสม หรือไอเดียไหน


ดูไม่เข้ากัน เพื่อให้เจอไอเดียที่คุณกาลังค้นหา
12. Choose a clear pattern

ลองทา Moodboard ของคุณให้มีรูปแบบที่ชัดเจนไปเลย เพราะมันจะดูโดดเด่น เข้าใจได้ทันทีเลยว่างานคุณสไตล์ไหน อย่างในตัวอย่างที่เลือกสไตล์งานแบบ flat design


AESTHETIC
เรื่องของความงาม สุนทรียะ
วัตถุประสงค์การเรียนรู้

สามารถสืบค้น ค้นคว้า รวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องตามหัวข้อเรื่องเราสนใจ ใน module ต่าง ๆ ทั้ง 5 modules ได้ งานกลุ่มหรือ
งานรายบุคคล รายกลุ่ม สัดส่วนคะแนนรายกลุ่ม 5%

ข้อกาหนดในงาน รายงานสรุปการสืบค้นจะต้องประกอบด้วย
1. มีองค์ประกอบครบตามกระบวนการ Design Thinking ทั้ง 5 องค์ประกอบ
2. แสดงถึงการเชื่อมโยงของข้อมูล และการวิเคราะห์ในแต่ละขั้นตอน ที่ชัดเจน
3. ผลิตภัณฑ์หรือบริการทีได้จะต้องเป็นนวัตกรรม และมีความสอดคล้องกับปัญหา กาหนดส่ง…….

หมายเหตุ
1. เนื้อหาอ่านประกอบในการใช้กระบวนการคิดแบบ design thinking ให้ดูในเอกสารแนบ value creation handbook หน้า 20-41
2. ตัวอย่างการใช้กรอบแนวคิด design thinking เรื่องการทาธุรกิจร้านกาแฟ ให้ดูในเอกสารแนบ value creation handbook หน้า 42-52
3. ให้ นศ จัดทารูปแบบการนาเสนอ template เป็นไฟล์ pdf จานวน 5 แผ่น ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้นตอนตามกระบวนการ design thinking
4. ศึกษาเพิ่มเติมในเอกสารชื่อ Design Thinking Learning by Doing ที่ได้แนบมาในคาสั้งงานนี
่ ้แล้ว
วัตถุประสงค์การเรียนรู้
ให้นักศึกษาจัดท้าแนวคิดทางการออกแบบเพื่อใช้ในการสื่อสาร การน้าเสนอ รวมถึงการวางแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยจัดท้า mood board โดยใช้เทคนิคใดก็ได้จ้านวน 1
แผ่น ต่อ 1 กลุ่มโดยมีประกอบด้วยองค์ประกอบดังนี้

งานกลุ่มรายกลุ่ม สัดส่วนคะแนน 5% ข้อก้าหนดในงาน

รายงานสรุปการสืบค้นจะต้องประกอบด้วย
1. มีองค์ประกอบครบและแสดงให้เห็นการประยุกต์ใช้หลัการที่เรียนมาได้ชัด
2. มีการระบุถึงคุณค่าของผลิตภัณฑ์/บริการที่ออกแบบได้อย่างชัดเจน
3. มีความเชื่อมโยง และข้อมูลประกอบการทดสอบแนวความคิดของผลิตภัณฑ์/บริการทีช่ ัดเจน ***องค์ประกอบที่ควรมีในการท้า mood-board 1. ภาพ User Image 2.
ภาพสินค้าหรือบริการ ที่สื่อถึง product & service ที่จะใช้ท้าในโครงการ
4. ภาพลักษณ์ในเชิงสัญลักษณ์ โลโก้(ไม่จ้าเป็นต้องออกแบบใหม่) บรรจุภัณฑ์ สื่อประชาสัมพันธ์ รูปแบบหน้าร้าน เว็บไซด์ หรือ application 4. keyword เพื่อสื่อ
ความหมาย

***ทั้งหมดให้จัดรวบรวมสื่อสารลงเป็นภาพ mood board ***1. ภาพ User Image 2. ภาพสินค้าหรือบริการ ที่สื่อถึง product & service ที่จะใช้ท้าในโครงการ 3.
ภาพลักษณ์ในเชิงสัญลักษณ์ โลโก้(ไม่จ้าเป็นต้องออกแบบใหม่) บรรจุภัณฑ์ สื่อประชาสัมพันธ์ รูปแบบหน้าร้าน เว็บไซด์ หรือ application 4. keyword เพื่อสื่อความหมาย

ทั้งหมดให้จัดรวบรวมสื่อสารลงเป็นภาพ mood board โดยมีวีดีโอคลิปและเอกสารตัวอย่างแนบไว้ให้ตามเอกสารแนบ


aesthetic

Contact : line id suvita


Email : suvita.ph@mail.wu.ac.th

You might also like