Professional Documents
Culture Documents
หนังสือชีววิทยาปี63ครูโหน่ง
หนังสือชีววิทยาปี63ครูโหน่ง
สรุปชีววิทยา ม.ปลาย
นันท์นภัส ธิลาวรกาญจน์
คำนำ
นันท์นภัส ธิลาวรกาญจน์
เรียบเรียง
สารบัญ
บทที่ เรื่อง หน้ า
1 ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต 1
2 เคมีท่เี ป็ นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต 7
3 เซลล์ของสิ่งมีชีวิต 24
4 ยีนและโครโมโซม 53
5 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม 74
6 เทคโนโลยีทาง DNA 85
7 วิวัฒนาการ 93
8 การสืบพันธุข์ องพืชดอกและการเจริญเติบโต 105
9 โครงสร้ างและหน้ าที่ของพืชดอก 116
10 การลาเลียงของพืช 132
11 การสังเคราะห์ด้วยแสง 139
12 การควบคุมการเจริญเติบโตและการตอบสนองของพืช 156
13 ระบบย่อยอาหาร 161
14 ระบบหายใจ 172
15 ระบบหมุนเวียนเลือดและระบบนา้ เหลือง 179
16 ระบบภูมิค้ มุ กัน 189
17 ระบบขับถ่าย 192
18 ระบบประสาทและอวัยวะรับสัมผัส 198
19 การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต 221
20 ระบบต่อมไร้ ท่อ 230
21 การสืบพันธุแ์ ละการเจริญเติบโต 238
22 พฤติกรรม 255
23 ความหลากหลายทางชีวภาพ 259
24 ระบบนิเวศและประชากร 289
25 มนุษย์กบั ความยั่งยืนของสิ่งแวดล้ อม 311
แบบทดสอบทบทวนความรู้ 321
บทที่ 1 : ธรรมชาติของสิง่ มีชีวิต
1.1 สิง่ มีชีวิตคืออะไร
1) มีการสืบพันธุ ์
➢ แบ่งออกเป็ น การสืบพันธุแ์ บบอาศัยเพศ - ใช้ เซลล์สบื พันธุ์ : เกิดความแปรผันทางพันธุกรรม
การสืบพันธุแ์ บบไม่อาศัยเพศ - ใช้ เซลล์ร่างกาย : ได้ ลักษณะเหมือนต้ นแบบ
2) ต้องการสารอาหารและพลังงาน โดยอาศัยกระบวนการเมตาบอลิซึม
➢ กระบวนการเมตาบอลิซึม (Metabolism) : ปฏิกริ ิยาเคมีท่เี กิดขึ้นในสิง่ มีชีวิต แบ่งเป็ น
Catabolism ; การสลายโมเลกุลของสารจากขนาดใหญ่ให้ เล็กลง
Anabolism ; การสังเคราะห์สารจากโมเลกุลขนาดเล็กให้ ใหญ่ข้ ึน
4) มีการรักษาดุลยภาพของร่างกาย
➢ พารามีเซียม : ใช้ Contractile Vacuole
➢ พืช : ใช้ การคายนา้ ออกทางปากใบบริเวณเซลล์คุม
➢ ปลานา้ จืด : รักษาเกลือแร่ แต่ ขับนา้ ออก
➢ ปลานา้ เค็ม : รักษานา้ แต่ ขับเกลือแร่ออก
➢ สัตว์เลือดเย็น : อุณหภูมใิ นร่างกายจะเปลี่ยนแปลงไปตาม
สิง่ แวดล้ อม (ปลา ครึ่งบกครึ่งนา้ เลื้อยคลาน) (A) สัตว์เลือดอุ่น (B) สัตว์เลือดเย็น
➢ สัตว์เลือดอุ่น : อุณหภูมิในร่างกายคงที่ ไม่ เปลี่ยนแปลง
ไปตามสิ่งแวดล้ อม (สัตว์ปีก, เลี้ยงลูกด้ วยนม)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 1
สิ่งมีชีวิต มีองค์ประกอบและคุณสมบัติ (ต่อ)
5) มีการตอบสนองต่อสิง่ เร้า
➢ สัตว์ ใช้ ระบบประสาท แต่ พืชใช้ การตอบสนองต่อปัจจัยภายนอก เช่น แสง อุณหภูมิ ฯลฯ
6) มีลกั ษณะจาเพาะ
➢ สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีลักษณะเฉพาะตัวเป็ นเอกลักษณ์ ทาให้ สามารถบอกความแตกต่างได้
➢ นักชีววิทยาใช้ ลักษณะจาเพาะของสิ่งมีชีวิตจัดจาแนกสิ่งมีชีวิตออกเป็ น 5 อาณาจักร คือ…
Monera Protista Fungi Plantae Animalia
7) มีการจัดระบบ
➢ Cell Tissue Organ System Body
ภาพแสดงการจัดระบบของสิ่งมีชีวิต
ที่มา ; Solomon, Berg, Martin (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 2
ภาพแสดงความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตซึ่งแต่ละชนิดจะมีลักษณะจาเพาะ
ที่มา ; Reece et al. (2011)
1.2 ชีววิทยาคืออะไร
แขนงวิชาหลัก
❖ สัตววิทยา (Zoology)
❖ พฤกษศาสตร์ (Botany)
❖ จุลชีววิทยา (Microbiology)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 3
แขนงวิชาย่อย
❖ Anatomy (กายวิภาคศาสตร์) ❖ Physiology (สรีรวิทยา)
❖ Morphology (สัณฐานวิทยา) ❖ Embryology (วิทยาเอ็มบริโอ)
❖ Protozoology (โปรโตซัววิทยา) ❖ Entomology (กีฏวิทยา)
❖ Ichthyology (มีนวิทยา) ❖ Ornithology (ปักษีวิทยา)
❖ Mammalogy (เลี้ยงลูกด้ วยนม) ❖ Genetics (พันธุศาสตร์)
❖ Bryophyte (พืชไม่มีท่อลาเลียง) ❖ Virology (ไวรัสวิทยา)
❖ Vascular plant (พืชมีท่อลาเลียง) ❖ Mycology (ราวิทยา)
❖ Bacteriology (แบคทีเรียวิทยา) ❖ Phycology (สาหร่ายวิทยา)
❖ Ecology (นิเวศวิทยา) ❖ Evolution (วิวัฒนาการ)
❖ Paleontology (บรรพชีวนิ วิทยา) ❖ Ethology (พฤติกรรมวิทยา)
❖ Cytology (วิทยาเซลล์) ❖ Parasitology (ปรสิตวิทยา)
1.3 การศึกษาชีววิทยา
ภาพแสดงตัวอย่างขั้นตอนของวิธกี ารทางวิทยาศาสตร์
ที่มา ; Solomon, Berg, Martin (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 4
➢ ในการศึกษาชีววิทยา ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการศึกษา ประกอบด้ วย
การตั้งปัญหา ; เกิดจากการสังเกต
(ไอสไตน์ : การตั้งปัญหาย่อมสาคัญกว่าการแก้ ปัญหา)
การรวบรวม และ
หาความสัมพันธ์ของข้ อมูล เพื่อนาไปสรุปผล
วิเคราะห์ข้อมูล
การสรุปผล
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 5
➢ ความรูท้ างวิทยาศาสตร์ ได้ จากการใช้ วิธกี ารทางวิทยาศาสตร์ ประกอบด้ วย
1.4 ชีวจริยธรรม
การใช้ อาวุธชีวภาพ
การโคลนมนุษย์
การทาแท้ง
สิ่งมีชีวิต GMOs
ทัวร์อวสานชีวิต/การุณพิฆาต
..................................................................
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 6
บทที่ 2 : เคมีที่เป็ นพื้ นฐานของสิง่ มีชีวิต
สิง่ ที่ควรทราบ...
➢ ภายในสิง่ มีชีวิตมีสารเคมีท่เี ป็ นองค์ประกอบ สามารถแบ่งได้ 2 ประเภท
❖ สารอนินทรีย์ นา้ และ แร่ธาตุ
❖ สารอินทรีย์ : มีธาตุองค์ประกอบหลัก คือ C, H, O และมีหมู่ฟังก์ชันที่แสดงสมบัติเฉพาะของสารนั้น
คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ลิพิด วิตามิน และกรดนิวคลีอกิ
➢ สารที่ให้ พลังงานแก่ร่างกาย คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และลิพิด
2.1 สารอนินทรีย ์
นา้
สารอนินทรีย์ในสิ่งมีชวี ิต
แร่ธาตุ
นา้ (H2O)
พันธะโคเวเลนต์ระหว่างอะตอมของนา้ พันธะไฮโดรเจนระหว่างโมเลกุลของนา้
ที่มา ; Solomon, Berg, Martin (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 7
แร่ธาตุ
ตารางแสดงแร่ธาตุแต่ละชนิด
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 8
2.2 สารอินทรีย ์
ภาพแสดงหมู่ฟังก์ชันของสารอินทรีย์
ที่มา ; Solomon, Berg, Martin (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 9
คาร์โบไฮเดรต
Oligosaccharide
Polysaccharide
➢ การทดสอบคาร์โบไฮเดรต
❖ นา้ ตาล + สารละลายเบเนดิกต์ ต้ ม ตะกอนสีแดงอิฐ
❖ แป้ ง + ไอโอดีน สีนา้ เงินแกมม่วง
➢ Monosaccharide
❖ สูตรทั่วไป (CH2O)n โดยมีจานวนคาร์บอนตั้งแต่ 3–7 อะตอม
❖ ได้ แก่ Triose Tetrose Pentose Hexose Heptose
❖ กลุ่ม Hexose C6H12O6 ที่ควรรู้จัก คือ … Glucose Fructose Galactose
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 10
➢ Oligosaccharide
❖ เกิดจาก Monosaccharide มาต่อกัน 2–10 โมเลกุลด้ วยพันธะไกลโคซิดิก
❖ ตัวอย่าง Oligosaccharide ที่ควรรู้จักคือ Disaccharide
➢ Polysaccharide
❖ เกิดจาก Monosaccharide ตั้งแต่ 11 โมเลกุลมาต่อกัน
❖ ที่ควรรู้จัก คือ…
Starch (แป้ งในพืช) ; Amylose และ Amylopectin
Glycogen (แป้ งสะสมในสัตว์ : ตับกับกล้ ามเนื้อ)
Cellulose (ผนังเซลล์พืช)
Pectin (เปลือกสีขาวในส้ มโอ)
Chitin (เปลือกกุ้ง ปู)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 11
NOTE ; พันธะไกลโคซิดกิ
1) มอลโทส (Maltose) ; เกิดจากการสร้ างพันธะไกลโคซิดิกระหว่างคาร์บอนตาแหน่งที่ 1 ของ α–D–กลูโคส
โมเลกุลหนึ่งกับคาร์บอนตาแหน่งที่ 4 ของ α– หรือ β–D–กลูโคส อีกโมเลกุลหนึ่ง
3) แลกโทส (lactose) ; เกิด จากการสร้ า งพั น ธะไกลโคซิ ดิ กระหว่ า งคาร์ บอนตาแหน่ ง ที่ 1 ของ β–D–
กาแลกโทสโมเลกุลหนึ่งกับคาร์บอนตาแหน่งที่ 4 ของ α– หรือ β–D–กลูโคส
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 12
โปรตีน
➢ โปรตีนเกิดจากกรดอะมิโนมาต่อกันด้ วยพันธะเปปไทด์
➢ การทดสอบโปรตีน
❖ โปรตีน + ไบยูเร็ต (คอปเปอร์ซัลเฟต + เบส) สีม่วง
❖ โปรตีน + ไนตริกเข้ มข้ น สีเหลือง + แอมโมเนียมไฮดรอกไซด์ สีส้ม
ภาพแสดงโครงสร้ างของกรดอะมิโน
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 13
พันธะเพปไทด์ (Peptide bond)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 14
ลิพิด
➢ เป็ นตัวทาละลายวิตามิน A D E K
➢ การทดสอบไขมัน
❖ ไขมัน + ถูกบั กระดาษ กระดาษ “โปร่งแสง”
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 15
ภาพแสดงโครงสร้ างของ triglyceride
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 16
วิตามิน
➢ บางชนิดเป็ น Coenzyme
ตารางแสดงประโยชน์และอาการขาดวิตามิน
วิตามิน แหล่งอาหาร ประโยชน์ อาการเมื่อขาดวิตามิน
1. ละลายในไขมัน
นม เนย ไข่แดง ตับ
A บารุงสายตา บารุงผิว ไม่สามารถมองเห็นในที่สลัว
นา้ มันตับปลา ผักและผลไม้
(retinol)
นา้ มันตับปลา ไข่ ตับ นม เนย
D ดูดซึมแคลเซียมและ
ร่างกายสร้ างจากคอเลสเตอรอล กระดูกอ่อน ฟันผุในเด็ก
(calciferal) ฟอสฟอรัสในลาไส้เล็ก
ใต้ ผิวหนังเมื่อได้ แสงแดด
เม็ดเลือดแดงแข็งแรง เป็ นหมัน แท้งง่ายในหญิงมีครรภ์
E ผักสีเขียว ไขมันพืช
สลายโมเลกุลของกรดไขมัน เกิดโรคโลหิตจางในเด็กชาย
(α-tocopheral) เมล็ดพืช
ช่วยสร้ างเอนไซม์ อายุ 6 เดือน ถึง 2 ขวบ
ผักและตับ
K ช่วยสร้ างสารที่จาเป็ น
สามารถสร้ างได้ จาก เลือดแข็งตัวช้า
(α-phylloquinone) ในการแข็งตัวของเลือด
แบคทีเรียในลาไส้
2. ละลายในนา้
ข้ าวซ้ อมมือ ตับ บารุงระบบประสาทและ
B1 โรคเหน็บชา
ไข่ ถั่ว มันเทศ การทางานของระบบหัวใจ
(thiamine)
B2 ไข่ นม การเจริญเติบโตปกติ
โรคปากนกกระจอก
(riboflavin) ผัก ถั่วเหลือง บารุงผิวหนัง ลิ้น ตา
เนื้อสัตว์ ตับ ถั่ว ข้ าวซ้ อมมือ บารุงประสาท
B3 ข้ าวสาลี ยีสต์ และร่างกาย ช่วยในปฏิกริ ิยาการหายใจ ระบบย่อยอาหารและ
(niacin) สร้ างได้ เองจากกรดอะมิโน เป็ นตัวช่วยสร้ างพลังงาน ประสาทผิดปกติ
บางชนิด และสังเคราะห์สาร
บารุงผิวหนังและประสาท
B6 นม ตับ เนื้อ ถั่วลิสง ถั่วเหลือง
ช่วยการทางานของ ประสาทเสื่อม
(pyridoxine) ข้ าวซ้ อมมือ
ระบบย่อยอาหาร
ช่วยในการสร้ างเม็ดเลือดแดง
B12
ไข่ เนยแข็ง ตับ สมอง เนื้อสัตว์ ของไขกระดูก และการทางาน โลหิตจาง เม็ดเลือดผิดปกติ
(cyanocobalamin)
ของระบบประสาท
C ส้ม มะขามป้ อม ฝรั่ง มะนาว ผนังเส้นเลือดเหนียวและ เลือดออกตามไรฟัน ผนังเส้นเลือด
(Ascorbic acid) มะเขือเทศ กะหล่าปลี ผักสีเขียว แข็งแรง บารุงฟันและเหงือก ฝอยเปราะ ภูมิต้านทานลดลง
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 17
กรดนิวคลีอกิ
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 18
ภาพแสดงโครงสร้ างของกรดนิวคลีอกิ
ที่มา ; Reece et al. (2011)
➢ ปฏิกิริยาเคมีในเซลล์ของสิง่ มีชีวิต
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 19
เอนไซม์ (Enzyme)
➢ สมบัติของเอนไซม์
❖ เป็ นสารประเภทโปรตีนรูปทรงกลม (Globular Protein) ละลายได้ ในนา้ และกลีเซอรอล
❖ เมื่อได้ รับความร้ อนสูงหรือ pH ไม่เหมาะสม จะเสียสภาพ (Denature) เร่งปฏิกริ ิยาไม่ได้
❖ มีความจาเพาะเจาะจงต่อปฏิกริ ิยา (Specificity)
❖ หลังเร่งปฏิกริ ิยาแล้ วมีคุณสมบัติเหมือนเดิมจึงสามารถเร่งปฏิกริ ิยาใหม่ได้
กราฟแสดงการทางานของเอนไซม์
(a) อุณหภูมิท่เี หมาะสมต่อการทางานของเอนไซม์บางชนิด (b) ค่าpH ที่เหมาะสมต่อการทางานของเอนไซม์บางชนิด
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 20
➢ การทางานของเอนไซม์
❖ มีความจาเพาะเจาะจงต่อสารตั้งต้ น (Substrate) เป็ นไปตาม…
ภาพแสดงการทางานของเอนไซม์
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 21
เอนไซม์บางชนิดต้ องการโมเลกุลของสารอื่นเป็ นตัวร่วมในการทางาน ทาให้ เอนไซม์
➢ โคแฟกเตอร์ของเอนไซม์
ทางานได้ ดีข้ นึ
ประกอบด้ วย
ส่วนทีเ่ ป็ นเอนไซม์ เรียกว่า อะโปเอนไซม์ (apoenzyme)
โดย 2 ส่วนนี้ ต้องรวมกัน
ถึงทางานได้ดี
ส่วนที่ไม่ใช่เอนไซม์ เรียกว่า โคแฟกเตอร์ (co-factor)
เรียกว่า “Holoenzyme”
ทาให้ เอนไซม์ทางานได้ ดีข้ นึ
แบ่งเป็ น
ประเภทของเอนไซม์
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 22
➢ ตัวยับยั้งเอนไซม์ (Inhibitor)
ยับยั้งการทางานของเอนไซม์ มี 2 แบบ
(a) แสดงการทางานของเอนไซม์ตามปกติ
โดยมีสารตั้งต้ นจับกับเอนไซม์บริเวณ
ที่เรียกว่า บริเวณเร่ง หรือ “Active site”
(c) แสดงการทางานของตัวยับยั้งเอนไซม์แบบไม่แข่งขัน
โดยตัวยับยั้งจะเข้ าจับกับเอนไซม์ (ทั้งสารตั้งต้ นและ
ตัวยับยั้งสามารถจับกับเอนไซม์ได้ โดยไม่มีอทิ ธิพลต่อกัน)
ภาพแสดงการทางานของตัวยับยั้งเอนไซม์ (Inhibitor)
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 23
บทที่ 3 : เซลล์ของสิง่ มีชีวิต
3.1 เซลล์ และทฤษฎีเซลล์
1) แบบส่องผ่าน : เห็นทะลุทะลวงหมด
(Transmission electron microscope : TEM)
2. กล้ องจุลทรรศน์แบบอิเล็กตรอน
2) แบบส่องกราด : เห็นภาพแบบ 3 มิติ
(Scanning electron microscope : SEM)
ภาพแสดงส่วนประกอบของกล้ องจุลทรรศน์
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 24
ตารางเปรียบเทียบกล้ องจุลทรรศน์แบบใช้ แสง กับ กล้ องจุลทรรศน์อเิ ล็กตรอน
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 25
➢ การคานวณเกี่ยวกับกล้องจุลทรรศน์
1) หากาลังขยายของกล้อง
กาลังขยายของกล้ อง = กาลังขยายของเลนส์ใกล้ ตา X กาลังขยายของเลนส์ใกล้ วัตถุ
2) หากาลังขยายของภาพ
ขนาดของภาพ
กาลังขยายของภาพ =
ขนาดของวัตถุ
3) หาเส้นผ่านศูนย์กลางของจอภาพ
กาลังขยายเลนส์ต่าสุด × เส้นผ่านศูนย์กลางจอภาพกาลังขยายต่าสุด
เส้นผ่านศูนย์กลางของจอภาพ =
กาลังขยายของเลนส์ท่กี าลังศึกษา
ตัวอย่างการคานวณ
40 ×4 ×10−3 𝑚
= = 0.4 × 10−3 𝑚
400
สาหร่ายต่อกัน 8 เซลล์ จึงจะเต็มจอภาพ
0.4 ×10−3 𝑚
ดังนั้น ความยาวของสาหร่าย 1 เซลล์ = = 0.05 × 10−3 𝑚
8
= 50 ไมโครเมตร
3.2 โครงสร้างของเซลล์ที่ศึกษาด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 26
➢ โครงสร้างของเซลล์ยูคาริโอต โดยทั่วไป แบ่งเป็ น 3 ส่วน คือ ส่วนที่ห่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาสซึม นิวเคลียส
(1) ส่วนที่ห่อหุ้มเซลล์
- พบในเซลล์พืช รา ยีสต์
(พืชโครงสร้ างเป็ น Cellulose, แบคทีเรียบางชนิดเป็ น Peptidoglycan,
เห็ดเป็ น Chitin)
- สร้ างความแข็งแรงทาให้ เซลล์คงรูปร่างอยู่ได้
- ยอมให้ โมเลกุลของสารเกือบทุกชนิดผ่านเข้ าออกได้ อย่างอิสระ
Cell wall ในพืชมี 3 ชั้น คือ
ผนังเซลล์ 1) Middle lamella มี Pectin เปลี่ยนแปลงมาจาก cell plate
(Cell Wall) (แผ่นกั้นเซลล์) = แคลเซียมเพกเต็ต
2) Primary wall (ผนังเซลล์ปฐมภูมิ)
- Cellulose fiber + hemicellulose
- มีความยืดหยุ่นและบาง อยู่ถัดเข้ ามาจาก middle lamella
3) Secondary wall (ผนังเซลล์ทุติยภูมิ)
- Cellulose + hemicellulose
- เกิดเมื่อเซลล์หยุดเจริญแล้ วอยู่ด้านในสุด เพิ่มความแข็งแรง
- พบในเซลล์สง่ิ มีชีวิตทุกชนิด
เยื่อหุ้มเซลล์ - ควบคุมการผ่านเข้ าออกของสาร เพราะมีสมบัติเป็ นเยื่อเลือกผ่าน
(Cell Membrane) (Semipermeable Membrane)
- ประกอบด้ วยไขมัน (Phospholipid) และโปรตีนอยู่รวมกันเป็ นโครงสร้ าง
เรียกว่า Fluid Mosaic Model
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 27
ภาพแสดง Fluid Mosaic Model ของเยื่อหุ้มเซลล์
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 28
ชนิดผิวขรุขระ (Rough Endoplasmic Reticulum ; RER)
มีไรโบโซมเกาะที่ผิวด้ านนอก
พบมากในเซลล์ท่มี ีการสังเคราะห์โปรตีนหรือเอนไซม์ต่างๆ เช่น เซลล์ในตับอ่อน
1. ร่างแหเอนโดพลาสซึม
ชนิดผิวเรียบ (Smooth Endoplasmic Reticulum ; SER)
(Endoplasmic Reticulum)
ไม่มีไรโบโซมเกาะที่ผิวด้ านนอก
หน้ าที่สงั เคราะห์ไขมันหรือสารสเตียรอยด์ และยังทาหน้ าที่กาจัดสารพิษ พบใน
เซลล์ตับ ต่อมหมวกไต อัณฑะ รังไข่ เป็ นต้ น
เป็ นแหล่งบรรจุและขนส่งสารต่างๆ ไปใช้
2. กอลจิคอมเพล็กซ์
เติมหมู่คาร์โบไฮเดรตให้ กบั โปรตีนหรือลิพิดที่มาจาก ER แล้ วบรรจุใส่ถุง
(Golgi Complex)
Vesicle
เป็ นก้ อนกลมรี มีเยื่อหุ้มชั้นนอกทาหน้ าที่ควบคุมการผ่านเข้ าออกของสาร
3. ไมโทคอนเดรีย และเยื่อชั้นในพับย่นไปมายื่นเข้ าข้ างใน เรียก “คริสตี” (Cristae) และ
(Mitochondria) มีของเหลวภายใน เรียก “เมทริกซ์” (Matrix)
มีหน้ าที่สร้ างพลังงานให้ แก่เซลล์ในรูป ATP
ลิวโคพลาสต์ (Leucoplast) ไม่มีสี มีหน้ าที่สะสมแป้ ง นา้ มัน หรือโปรตีน
โครโมพลาสต์ (Chromoplast)
4. พลาสทิด - มีสสี ้ มแดง เพราะมีรงควัตถุพวกแคโรทีน (Carotene) หรือ
(Plastid) - มีสนี า้ ตาลเหลือง เพราะมีรงควัตถุพวกแซนโทฟิ ลล์ (Xanthophyll)
คลอโรพลาสต์ (Chloroplast) มีสเี ขียว จะมีรงควัตถุพวกคลอโรฟิ ลล์
(Chlorophyll) มีความสาคัญในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
ฟูดแวคิวโอล (Food Vacuole) ใช้ สะสมอาหาร พบในสิง่ มีชีวิตเซลล์เดียว
คอนแทร็กไทล์แวคิวโอล (Contractile Vacuole) ทาหน้ าที่ขับนา้ ออกจากเซลล์
5. แวคิวโอล ควบคุมสมดุลของสารละลายภายในเซลล์ พบในสิง่ มีชวี ิตเซลล์เดียว เช่น
(Vacuole) พารามีเซียม
แซปแวคิวโอล (Sap Vacuole) เป็ นแวคิวโอลที่สะสมสารละลายต่างๆ เช่น
โปรตีน นา้ ตาล เกลือแร่ และรงควัตถุท่ที าให้ เกิดสีต่างๆ ได้ แก่ แอนโทไซยานิน
ซึ่งทาให้ เซลล์กลีบดอกไม้ มีสี เช่น ชบา
มีเอนไซม์สาหรับย่อยสลายสารต่างๆ ภายในเซลล์
6. ไลโซโซม ย่อยสลายเนื้อเยื่อหรือเซลล์ท่หี มดอายุ เช่น การย่อยสลายคอร์ปัสลูเทียมหลัง
(Lysosome) การตกไข่ การย่อยสลายหางลูกอ๊อดก่อนกลายเป็ นกบ เรียกกระบวนการนี้ว่า
“ออโตไลซิส” (Autolysis)
7. ไรโบโซม
มีหน้ าที่สงั เคราะห์โปรตีนสาหรับใช้ ภายในเซลล์และส่งออกไปใช้ นอกเซลล์
(Ribosome)
ประกอบด้ วยไมโครทิวบูล 9 กลุ่ม กลุ่มละ 3 ท่อ เรียงกันเป็ นวงกลมเรียกว่า
8. เซนทริโอล
9+0 มีหน้ าที่สร้ างเส้นใยสปิ นเดิล (Spindle Fiber) ดึงโครโมโซมในขณะ
(Centriole)
ที่มีการแบ่งเซลล์
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 29
ในพืช มีบทบาทสาคัญ คือ เปลี่ยนกรดไขมันที่สะสมอยู่ในเมล็ดพืช ให้ เป็ น
คาร์โบไฮเดรตสาหรับใช้ เป็ นแหล่งพลังงานในการงอกของเมล็ด
9. เพอร็อกซิโซม ในสัตว์ พบมากในตับและไต บรรจุ Enzyme ที่เกี่ยวข้ องกับการสังเคราะห์
(Peroxisome) ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (H2O2) โดยที่ประมาณ 40% เป็ นเอนไซม์
คะตะเลส (Catalase)
* peroxisome จะทางานได้ ดีเกี่ยวกับ Metabolism ของไขมัน และการกาจัด
สารพิษ เช่น เอทานอล
ไมโครฟิ ลาเมนท์ (Microfilament)
เกิดจากเส้ นใยโปรตีนแอกทิน
มีหน้ าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนทีข่ องเซลล์ เช่น อะมีบา เซลล์เม็ดเลือดขาว
มีหน้ าที่คา้ จุน พบใน microvilli เยื่อบุลาไส้ เล็ก
การแบ่งไซโทพลาสซึมในการแบ่งเซลล์
10. ไซโทสเกเลตัน ไมโครทิวบูล (Microtubule)
(Cytoskeleton) ประกอบด้ วยโปรตีนพวกทิวบูลินเรียงต่อกันเป็ นวงเห็นเป็ นท่อ
เป็ นโครงร่างคา้ จุนของเซลล์ มีหน้ าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของเซลล์
(เป็ นส่วนประกอบของซิเลียและแฟลเจลลัม : 9+2)
อินเทอร์มีเดียทฟิ ลาเมนท์ (Intermediate filament)
จัดเรียงตัวเป็ นร่างแหตามรูปร่างของเซลล์ พบที่โปรตีนเคอราทินที่ผิวหนัง ขน
และเล็บ
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 30
(3) นิวเคลียส (Nucleus) ถือว่าเป็ นศูนย์กลางควบคุมการทางานของเซลล์
สิง่ ที่ควรทราบ :
NOTE ;
“Ri – Cen – Cy = ไม่มีเยื่อหุ้ม” : ไรโบโซม เซนทริโอล และไซโทสเกเลตัน ไม่มีเยื่อหุ้มออร์แกเนลล์
“ไม - ขอ – 2” : ไมโทคอนเดรีย และคลอโรพลาสต์มีเยื่อหุ้มออร์แกเนลล์ 2 ชั้น
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 31
ภาพแสดงเซลล์พืช
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 32
ภาพแสดงเซลล์สตั ว์
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 33
➢ การลาเลียงสารผ่านเซลล์
1) การลาเลียงสารแบบผ่านเยื่อหุ้มเซลล์
2) การลาเลียงสารแบบไม่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์
1. เอนโดไซโทซิส (Endocytosis)
2. เอกโซไซโทซิส (Exocytosis)
➢ การลาเลียงแบบไม่ใช้พลังงาน
ภาพแสดงการแพร่ของสาร
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 34
2. ออสโมซิส (Osmosis)
อาจกล่ า วได้ ว่ า เป็ นการแพร่ ข องน้า (ซึ่ ง ท าหน้ า ที่เ ป็ นตั ว ทาละลาย) ผ่ า นเยื่ อเลื อ กผ่ า น ( Semipermeable
Membrane) จากบริเวณที่มีความเข้ มข้ นต่าไปยังบริเวณที่มีความเข้ มข้ นสูง ซึ่งการออสโมซิสของน้าทาให้ ปริมาตรของ
เซลล์เปลี่ยนแปลงได้
ภาพแสดงการออสโมซิส
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 35
ภาพแสดงการเปลี่ยนแปลงของสารละลาย
ที่มา ; Reece et al. (2011)
ภาพแสดงการแพร่แบบฟาซิลิเทต
ที่มา ; Solomon, Berg, Martin (2011)
➢ การลาเลียงแบบใช้พลังงาน
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 36
ภาพแสดงการแพร่แบบแอกทีฟทรานสปอร์ต
ที่มา ; Solomon, Berg, Martin (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 37
ภาพแสดงการนาสารเข้ าสู่เซลล์แบบ Phagocytosis
ภาพแสดงกระบวนการนาสารออกจากเซลล์ (Exocytosis)
ที่มา ; Solomon, Berg, Martin (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 38
การแบ่งเซลล์
มี 2 ขั้นตอน
ไมโทซิส (Mitosis)
การแบ่งนิวเคลียส (Karyokinesis)
ไมโอซิส (Meiosis)
การแบ่งไซโทพลาสซึม (Cytokinesis)
ภาพแสดงวัฏจักรของเซลล์
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 39
➢ ไมโทซิส (Mitosis)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 40
NOTE ; สรุป ลักษณะโครโมโซม
Inter – จาลอง Pro – หดตัว Meta – กึ่งกลาง Ana – ดึง Telo – คลาย
ภาพแสดงการแบ่งเซลล์แบบ Mitosis
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 41
➢ ไมโอซิส (Meiosis)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 42
ภาพแสดงการแบ่งเซลล์แบบ Meiosis
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 43
3.3 การสือ่ สารระหว่างเซลล์
➢ กรณีท่เี ซลล์อยู่ไกลกัน
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 44
3.4 การหายใจระดับเซลล์
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 45
ภาพแสดงการหายใจแบบใช้ ออกซิเจนเพื่อให้ ได้ พลังงาน
ที่มา ; Reece et al. (2011)
1) Glycolysis
1. ไกลโคไลซิส (Glycolysis)
- เกิดที่ไซโทซอล
- มีการสลายกลูโคส 1 โมเลกุลเป็ นกรดไพรูวิก 2 โมเลกุล
- เกิด 4 ATP แต่ใช้ ไป 2 ATP ตอนเริ่มต้ นในการเติมหมู่ฟอสเฟต จึงได้ สทุ ธิ 2 ATP
- 2 NAD+ รับอิเล็กตรอนเป็ น 2 NADH เข้ าสู่กระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอน
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 46
2. การสร้างแอซีติลโคเอนไซม์ เอ (Acetyl Coenzyme A) และวัฏจักรเครบส์ (Kreb’s Cycle)
2.1 การสร้างแอซีติลโคเอนไซม์ เอ (Acetyl Coenzyme A)
2 Co.A 2 CO2
2 Pyruvic â (C3) 2 Acetyl Co.A (C2)
2 NAD+ 2 NADH
- ถ้ าใช้ กลูโคส 1 โมเลกุล เมื่อผ่านวัฏจักรเครบส์ จะเกิด 4 CO2, 2 ATP มี NAD+ และ FAD มารับ
อิเล็กตรอนกลายเป็ น 6 NADH และ 2 FADH2 เพื่อเข้ าสู่กระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอน
แผนภาพแสดงวัฏจักรเครบส์ (หรือวัฏจักรกรดซิตริก)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 47
3. การถ่ายทอดอิเล็กตรอน (Electron Transport System)
- เกิดที่ Cristae ของไมโทคอนเดรีย และถ่ายทอดอิเล็กตรอนบริเวณ intermembrane space
- เป็ นปฏิกริ ิยา Redox มีการรับส่งอิเล็กตรอนและปลดปล่อย ATP เรียก Oxidative phosphorylation
- มี O2 เป็ นตัวรับอิเล็กตรอนตัวสุดท้ายทาให้ เกิดนา้ ขึ้นจากปฏิกริ ิยา
- หาก NAD+ เป็ นตัวรับอิเล็กตรอนเป็ น NADH จะเกิด 3 ATP ต่อ 1 โมเลกุล และ
FAD เป็ นตัวรับอิเล็กตรอนเป็ น FADH2 จะเกิด 2 ATP ต่อ 1 โมเลกุล
- ผลจากการสลายกลูโคส 1 โมเลกุล เมื่อผ่านการถ่ายทอดอิเล็กตรอน จะเกิด 32-34 ATP
การถ่ายทอดอิเล็กตรอนเกิดขึ้นที่เยื่อหุ้มชั้นในของไมโทคอนเดรียตรงส่วนที่เรียกว่า คริสตี (cristae)
โดยจะเกิดขึ้นเป็ นทอดๆ ผ่านตัวนาอิเล็กตรอน ซึ่งเป็ นกลุ่มของโปรตีน (protein complex)
ที่ฝังตัวอยู่บนเยื่อหุ้มชั้นในของไมโทคอนเดรีย
กลุ่มโปรตีนเหล่านี้ ได้ แก่ complex I, II, III และ IV นอกจากกลุ่มโปรตีน 4 กลุ่มนี้แล้ ว
บนเยื่อหุ้มชั้นในของไมโทคอนเดรีย ยังมีโคเอนไซม์ Q และไซโตโครม c
ซึ่งสามารถเคลื่อนทีไ่ ด้ เพื่อช่วยในการถ่ายทอดอิเล็กตรอนระหว่างกลุ่มโปรตีนเหล่านั้น
เมื่ออิเล็กตรอนถูกส่งไป ก็จะมีออกซิเจน (O2) มาทาหน้ าที่รับอิเล็กตรอนเป็ นตัวสุดท้าย
ได้ ผลิตภัณฑ์เป็ นนา้ (H2O)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 48
ภาพแสดง Oxidative phosphorylation
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 49
การสลายลิพิด : ลิพิดจะถูกเอนไซม์ไลเพสสลายเป็ นกลีเซอรอลและกรดไขมัน จากนั้น
1. กลีเซอรอล เปลี่ยนเป็ น ฟอสโฟกลีเซอรอลดีไฮด์ (PGAL) หรือ G3P จะเข้ าสู่ไกลโคลิซิสต่อไป
2. กรดไขมัน ถูกสลายโดยกระบวนการ β-Oxidation เกิดเป็ นแอซิติลโคเอนไซม์เอ เข้ าสู่วัฏจักรเครบส์
การสลายโปรตีน : กรดอะมิโนจะถูกสลายโดยกระบวนการ Oxidative Deamination เกิดเป็ นแอมโมเนีย (NH3) ซึ่งเป็ นสารพิษ จึงถูก
กาจัดออกนอกร่างกายในรูปของยูเรีย หรือกรดยูริก
การย่อยโปรตีน
H O
NH2-C-C-OH
R
ขับถ่าย
การย่อยลิพิด
กรดไขมัน + กลีเซอรอล
PGAL
เข้ า glycolysis
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 50
ภาพแสดงผังสรุปการสลายสารอาหารระดับเซลล์ของสารอาหารแต่ละชนิด
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 51
ภาพแสดงการหมักแอลกอฮอล์ (Alcohol Fermentation)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 52
บทที่ 4 : ยีนและโครโมโซม
4.1 การถ่ายทอดยีนและโครโมโซม
การถ่ายทอดยีนและโครโมโซม
ภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างยีนและโครโมโซม
ที่มา ; http://www.csus.edu/indiv/l/loom/lect%2026-27%20s07.htm
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 53
4.2 การค้ นพบสารพันธุกรรม
การค้ นพบสารพันธุกรรม
➢ เฟรดริ ช มิ เ ชอร์ (Friedrich Miescher) ได้ ศึ ก ษาส่ ว นประกอบในนิ ว เคลี ย สของเซลล์ เ ม็ด เลื อ ดขาวที่ติ ด มากับ
ผ้ าพันแผล พบว่า มีธาตุไนโตรเจนและฟอสฟอรัสเป็ นองค์ประกอบ จึงเรียกสารที่สกัดจากนิวเคลียสว่า นิวคลีอิน ( nuclein)
ต่อมาอีก 20 ปี ได้ มีการเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า กรดนิวคลีอกิ
➢ โรเบิร์ต ฟอยล์แกน (Robert Feulgen) พัฒนาสีฟุคซิน (fuchsin) ย้ อมติด DNA ให้ สีแดง พบว่าสีจะติดที่นิวเคลียส
และรวมตัวหนาแน่นที่โครโมโซม จึงสรุปว่า DNA อยู่ท่โี ครโมโซม
ดังนัน้ สรุปได้ ว่า แบคทีเรียสายพันธุ์ S ที่ตายด้ วยความร้ อนสามารถเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ R ให้ กลายเป็ นสายพันธุ์ S ได้
ดังนั้น สรุปได้ ว่า ; สารที่เปลี่ยนแปลง Bacteria สายพันธุ์ R ให้ เป็ นสายพันธุ์ S คือ DNA
แอเวอรีจงึ สรุปว่า กรดนิวคลีอกิ ชนิด DNA เป็ นสารพันธุกรรม ไม่ใช่ โปรตีน
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 54
4.3 โครโมโซม
ภาพแสดงโครโมโซมของมนุษย์
ที่มา ; http://learn.genetics.utah.edu/content/basics/diagnose/
ภาพแสดงรูปร่างของโครโมโซมแต่ละประเภท
ที่มา ; http://www.suggest-keywords.com
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 55
4.3.2 ส่วนประกอบของโครโมโซม
โครโมโซมของยูคาริโอต
จะพบว่าประกอบด้ วย
Histone = เป็ นโปรตีนที่มีกรดอะมิโนที่มีสภาพเป็ นประจุบวก (basic amino acid) เช่น ไลซีน, อาร์จีนีน
ไปเกาะกับ
ภาพแสดงโครงสร้ างของโครโมโซม
ที่มา ; Reece et al. (2011)
➢ สาหรับในโพรคาริโอต
มีสารพันธุกรรมเป็ นรูปวงแหวน เรียกว่า Plasmid อยู่ในไซโทพลาสซึม ประกอบด้ วย DNA 1 โมเลกุล
และไม่มีฮิสโตนเป็ นองค์ประกอบ
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 56
4.4 องค์ประกอบทางเคมีของ DNA
➢ เป็ นกรดนิ ว คลิ อิ ก ชนิ ด หนึ่ ง ซึ่ ง เป็ น พอลิ เ มอร์ (polymer) สายยาวประกอบด้ ว ย มอนอเมอร์
(monomer) ที่เรียกว่า นิวคลีโอไทด์ (nucleotide) โดยจะมีการเชื่อมของนิวคลีโอไทด์ท่ีเกิดจากการสร้ าง
พันธะฟอสโฟไดเอสเตอร์ (phosphodiester bond) ระหว่างหมู่ฟอสเฟตซึ่งอยู่ท่คี าร์บอนตาแหน่งที่ 5 ของ
นา้ ตาลในนิวคลีโอไทด์หนึ่งกับคาร์บอนตาแหน่งที่ 3 ของนา้ ตาลในอีกนิวคลีโอไทด์หนึ่ง
➢ มัวริส เอช เอฟ วิลคินส์ (Maurice H. F. wilkins) และ โรซาลินด์ แฟรงคลิน (Rosalind Franklin) นักฟิ สิกส์
ชาวอังกฤษ ทาการศึกษาโครงสร้ างของ DNA ในสิ่งมีชีวิต โดยใช้ เทคนิคเอกซ์เรย์ดิฟแฟรกชัน (X-ray
diffraction) แปลผลได้ ว่า โครงสร้ างของ DNA ประกอบด้ วย พอลินิวคลีโอไทด์มากกว่า 1 สาย มีลักษณะ
เป็ นเกลียว โดยเกลียวแต่ละรอบมีระยะห่างเท่าๆ กัน
➢ เจมส์ ดี วอตสัน (James D. Watson) นักชีวเคมีชาวอเมริกัน และฟราสชิส คริก (Francis Crick) นักฟิ สิกส์
ชาวอังกฤษ ได้ เสนอแบบจาลองโครงสร้ างโมเลกุลของ DNA ที่สมบูรณ์ท่สี ุด พยายามหาพันธะเคมีท่เี ชื่อม
พอลินิวคลีโอไทด์ 2 สายให้ ติดกัน ต่อมาได้ พบว่าพันธะดังกล่าว คือ พันธะไฮโดรเจน ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างคู่
เบส พบว่า ระหว่าง A กับ T เกิดพันธะไฮโดรเจน 2 พันธะ ระหว่าง C กับ G เกิด 3 พันธะ
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 57
v
4.6 สมบัติของสารพันธุกรรม
สมบัติของสารพันธุกรรม
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 58
4.6.1 การสังเคราะห์ DNA
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 59
เอนไซม์ Helicase สลายพันธะไฮโดรเจน
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 60
ภาพแสดงลักษณะของเซลล์เม็ดเลือดแดงปกติและเมล็ดเลือดแดงชนิด sickle cell
ที่มา ; http://nigeriahealthwatch.com/can-your-love-survive-the-genotype-test/
DNA : ข้ อมูลทางพันธุกรรม
RNA กาหนดการจัดเรียงตัวของกรดอะมิโน
โปรตีนทาให้ เกิดการแสดงลักษณะทางพันธุกรรม
➢ DNA ส่งผ่ านข้ อมูลพันธุกรรมให้ กับ RNA เพื่อสังเคราะห์ โปรตีนโดยอาศัยไรโบโซม สอดคล้ องกับ
สมมติฐานของ ฟรองชัว จาค็อบ (Francois Jacob) และ จาค โมนอด (Jacques Monod) ที่ได้ เสนอว่า ตัวกลาง
ที่อยู่ระหว่าง DNA กับ ไรโบโซมคือ RNA
➢ RNA มีลักษณะเป็ นพอลิเมอร์ส ายยาวของนิว คลี โอไทด์ท่ีเ ชื่อมต่ อกันด้ ว ยพัน ธะโควาเลนต์ ระหว่ า ง
หมู่ฟอสเฟตและหมู่ไฮดรอกซิลของโมเลกุลนา้ ตาล เช่นเดียวกับ DNA แต่ใน RNA จะแตกต่างจาก DNA
คือ น้าตาลเพนโทสที่ประกอบขึ้นเป็ น RNA นั้น จะเป็ นน้าตาลชนิดไรโบส และจะไม่ พบเบสไทมีน (T)
เป็ นองค์ประกอบ แต่จะพบเบสยูราซิล (U) แทน
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 61
ตารางการเปรียบเทียบระหว่าง DNA และ RNA
ข้อเปรียบเทียบ DNA RNA
Polynucleotide 2 สาย 1 สาย
โครงสร้ าง บิดเกลียว ไม่บิดเกลียว
เบส A T C G A U C G
นา้ ตาล Deoxyribose Ribose
หน้ าที่ เป็ นสารพันธุกรรม เกี่ยวข้ องกับการสังเคราะห์โปรตีน
เกิดการถอดรหัส (transcription)
ได้
mRNA
เกิดการแปลรหัส (translation)
โดยอาศัย Ribosome
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 62
ภาพแสดงการเกิด transcription and translation
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 63
ภาพแสดงการเกิดการถอดรหัส (transcription)
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 64
ตารางการเปรียบเทียบกระบวนการ DNA Replication และกระบวนการ Transcription
ภาพแสดงองค์ประกอบของการแปลรหัส (translation)
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 65
การแปลรหัส (Translation) มีข้นั ตอนดังนี้
ไรโบโซมมาจับกับ mRNA
ไรโบโซมจะเริ่มแปลรหัสเมื่ออ่าน mRNA เจอรหัสเริ่มต้ น (Start codon) คือ AUG
tRNA นากรดอะมิโนตัวแรกมาจับกับรหัสเริ่ม AUG ของ mRNA นั่นคือ กรดอะมิโนเมไทโอนีน
(วิธีการจับนั้น tRNA จะใช้ anticodon จับกับ codon ของ mRNA)
tRNA โมเลกุลที่ 2 ที่มี anticodon เป็ นคู่สมกับ codon ถัดไปของ mRNA
นากรดอะมิโนตัวที่ 2 เข้ ามาเรียงต่อกับกรดอะมิโนตัวแรก แล้ วสร้ างพันธะเพปไทด์เชื่อมระหว่างกรดอะมิโนทั้งสอง
ไรโบโซมจะเคลื่อนที่ไปยัง codon ถัดไปในทิศทางจากปลาย 5’ ไปยังปลาย 3’
ซึ่ง tRNA โมเลกุลแรกจะหลุดออกไปจากไรโบโซมและสาย mRNA
tRNA โมเลกุลที่ 3 ที่มี anticodon เป็ นคู่สมกับ codon ลาดับถัดไป
นากรดอะมิโนตัวที่ 3 เข้ าจับกับ mRNA ตรง codon ที่ว่าง
แล้ วสร้ างพันธะเพปไทด์ระหว่างกรดอะมิโนตัวที่ 2 กับกรดอะมิโนตัวที่ 3
ไรโบโซมจะเคลื่อนที่ต่อไปทีละ codon ตามลาดับ
กระบวนการต่างๆ จะดาเนินต่อไป จนได้ สายที่มีกรดอะมิโนต่อกันเป็ นสายยาวเรียกว่า พอลิเพปไทด์
เมื่อไรโบโซมเคลื่อนที่ต่อไปบน mRNA จนพบกับรหัสหยุดรหัสใดรหัสหนึ่ง
ได้ แก่ UAA UAG UGA จะไม่มี tRNA เข้ ามาจับกับรหัสหยุด
ทาให้ หยุดการแปลรหัสพอลิเพปไทด์
ไรโบโซมหน่วยย่อยขนาดเล็กและหน่วยย่อยขนาดใหญ่จะแยกออกจากกัน
และ mRNA จะหลุดออกจากไรโบโซม
➢ กระบวนการสังเคราะห์โปรตีนส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นจากการทางานของไรโบโซมหลายโมเลกุลที่อยู่บน mRNA
สายเดียวกัน ไรโบโซมแต่ละโมเลกุลจะสังเคราะห์พอลิเพปไทด์ท่สี มบูรณ์และเกิดขึ้นได้ พร้ อมๆ กัน จะเรียก mRNA ที่มี
ไรโบโซมหลายๆ โมเลกุล ที่กาลังแปลรหัสอยู่น้ วี ่า พอลิโซม (polysome) หรือ พอลิไรโบโซม (polyribosome)
ภาพแสดงการแปลรหัสของไรโบโซมหลายตาแหน่ง (Polyribosome)
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 66
ภาพแสดง Genetic code เพื่อใช้ ในการแปลรหัส (translation)
ที่มา ; Reece et al. (2011)
ภาพแสดงการเกิดการแปลรหัส (translation)
ที่มา ; http://hyperphysics.phy-astr.gsu.edu/hbase/Organic/translation.html
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 67
ภาพแสดงการแปลรหัสจาก mRNA เป็ น tRNA และได้ กรดอะมิโน
ที่มา ; http://hyperphysics.phy-astr.gsu.edu/hbase/Organic/translation.html
ภาพแสดงความสัมพันธ์ของกระบวนการถอดรหัสและแปลรหัส
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 68
➢ บทบาทและหน้าที่ของโปรตีนมีหลายอย่าง เช่น
ทาหน้ าที่เกี่ยวข้ องกับระบบภูมิค้ ุมกัน เช่น อิมมู โนโกลบูลิน (Immunoglobulin) ในสัตว์ หรือ ซิ สเทมิน
(systemin) และ โปรติเนส อินฮิบิเตอร์ (proteinase inhibitor) ในพืช เป็ นต้ น
DNA สายแม่แบบ 3’ TAC CTT AAG GGA TTA CCG TCT ATG ATC 5’
โคดอนของ mRNA AUG GAA UUC CCU AAU GGC AGA UAC UAG
แอนติโคดอนของ tRNA UAC CUU AAG GGA UUA CCG UCU AUG -
กรดอะมิโน Met Glu Phe Pro Asn Gly Arg Tyr -
พอลิเพปไทด์ Met – Glu – Phe – Pro – Asn – Gly – Arg – Tyr
ภาพสรุปการสังเคราะห์โปรตีน
ที่มา ; Solomon, Berg, Martin (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 69
4.7 มิวเทชัน
การกลายหรือมิวเทชัน (mutation)
หากบริเวณดังกล่าวมีความสาคัญต่อการเกิดรูปร่างของโปรตีน หรือมีความจาเพาะต่อการทางานของโปรตีน
ชนิดนั้น จะมีผลต่อฟี โนไทป์ ของสิ่งมีชีวิตนั้น
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 70
ภาพแสดงการเกิดมิวเทชันโดยการแทนที่ค่เู บสที่ทาให้ เกิด sickled cell
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 71
Mutation
➢ การเปลี่ยนแปลงจานวนโครโมโซมเป็ นชุดจากจานวนดิพลอยด์
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 72
ตัวอย่างความผิดปกติท่เี กิดจากการเปลี่ยนแปลงจานวนโครโมโซม
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 73
บทที่ 5 : การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
5.1 การศึกษาพันธุศาสตร์ของเมนเดล
พันธุศาสตร์ (Genetics)
เมนเดลเลื อกถั่ ว ลั น เตา (Pisum sativum L.) เป็ นพื ช ทดลอง เพราะมี ลั กษณะที่เ หมาะสมหลาย
ประการ เช่น
- อายุส้นั ปลูกง่าย ให้ ลูกหลานจานวนมาก เจริญเติบโตเร็ว
- มีหลายพันธุ์ มีลักษณะที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
- เป็ นดอกสมบูรณ์เพศ และมีกลีบดอกปิ ดป้ องกันไม่ให้ เรณูจากดอกอื่นเข้ าผสมกับเซลล์ไข่
ดั ง นั้ น ในธรรมชาติ จึ ง มี การผสมภายในดอกเดี ย วกัน (self-pollination) จะได้ ลู กที่เ ป็ นลั กษณะ
พันธุ์แท้ (pure line) เหมาะสมต่อการควบคุมการทดลองทาให้ เกิดการผสมข้ าม (cross-pollination)
ได้ ง่าย
อัตราส่วนของลักษณะ
ลักษณะ รุ่นพ่อแม่ (P) ลักษณะของรุ่น F1 ลักษณะและจานวนของรุ่น F2
ในแต่ละคู่ในรุ่น F2
ความสูงของลาต้ น สูง เตี้ย สูงทั้งหมด สูง 787 เตี้ย 277 2.84 : 1
รูปร่างของฝัก อวบ แฟบ อวบทั้งหมด อวบ 882 แฟบ 299 2.95 : 1
รูปร่างของเมล็ด กลม ขรุขระ กลมทั้งหมด กลม 5,474 ขรุขระ 1,850 2.96 : 1
สีของเมล็ด เหลือง เขียว เหลืองทั้งหมด เหลือง 6,022 เขียว 2,001 3.01 : 1
ตาแหน่งของดอก ดอกทีก่ ่งิ ดอกที่ยอด ดอกทีก่ ่งิ ทั้งหมด ดอกทีก่ ่งิ 651 ดอกที่ยอด 207 3.14 : 1
สีของดอก ม่วง ขาว ม่วงทั้งหมด ม่วง 705 ขาว 224 3.15 : 1
สีของฝัก เขียว เหลือง เขียวทั้งหมด เขียว 428 เหลือง 152 2.82 : 1
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 74
จากผลการทดลอง เมนเดลได้ สรุปว่า ลักษณะของถั่วลันเตาจะต้ องมีหน่วยควบคุม เมนเดลเรียกหน่วย
ควบคุมลักษณะเหล่านี้ว่า แฟกเตอร์ (factor) ซึ่งอยู่เป็ นคู่และจะถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปสู่ลูก ต่อมานักวิทยาศาสตร์
ได้ เปลี่ยนคาว่า แฟกเตอร์ มาใช้ คาว่า ยีน (gene) แทน นิยมใช้ อักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่ แทนยีนเด่นและ
ตัวพิมพ์เล็กแทนยีนด้ อย
จีโนไทป์ (Genotype)
คาศัพท์ท่คี วรทราบในการศึกษาพันธุศาสตร์
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 75
ภาพแสดง allele ที่อยู่บน homologous chromosome
ที่มา ; Reece et al. (2011)
5.2 กฎของความน่าจะเป็ น
1. กฎการคูณ ใช้ กบั เหตุการณ์ต่างๆ ที่สามารถเกิดขึ้นได้ พร้ อมกัน เหตุการณ์ใดๆ ที่ต่างเป็ นอิสระต่อกัน โอกาส
ที่เหตุการณ์เหล่านั้นจะเกิดขึ้นได้ พร้ อมกันมีค่าเท่ากับผลคูณของโอกาสที่จะเกิดขึ้นแต่ละเหตุการณ์ เช่น
เมล็ดกลมมีโอกาสปรากฏ 3/4 เมล็ดขรุขระมีโอกาสปรากฏ 1/4
เมล็ดสีเหลืองมีโอกาสปรากฏ 3/4 เมล็ดสีเขียวมีโอกาสปรากฏ 1/4
ดั้งนั้นโอกาสที่จะเกิด มีดังนี้
เมล็ดกลม-สีเหลือง = 3/4 x 3/4 = 9/16
เมล็ดกลม-สีเขียว = 3/4 x 1/4 = 3/16
เมล็ดขรุขระ-สีเหลือง = 1/4 x 3/4 = 3/16
เมล็ดขรุขระ-สีเขียว = 1/4 x 1/4 = 1/16
5.3 กฎแห่งการแยกและกฎแห่งการรวมกลุ่มอย่างอิสระ
กฎของเมนเดล
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 76
5.3.1 กฎแห่งการแยก (law of segregation)
รุ่น F1 Bb : Bb : Bb : Bb
(ถั่วลันเตาฝักสีเขียว)
F1 X F1 Bb X Bb
เซลล์สบื พันธุ์
B b B b
รุ่น F2 BB : Bb : Bb : bb
อัตราส่วนจีโนไทป์ ในรุ่น F2 ; 1 BB : 2 Bb : 1 bb
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 77
5.3.2 กฎแห่งการรวมกลุ่มอย่างอิสระ (law of independent assortment)
ตัวอย่าง กระต่ายขนสีดาเป็ นลักษณะเด่น (B) ขนสีนา้ ตาลเป็ นลักษณะด้ อย (b) และขนสั้นเป็ นลักษณะเด่น (S)
ขนยาวเป็ นลักษณะด้ อย (s) ในการผสมระหว่างกระต่ายฮอมอไซกัสขนยาวสีดา และฮอมอไซกัสกัสขนสั้น
สีนา้ ตาล จงหาอัตราส่วนของฟี โนไทป์ ต่างๆ ในรุ่น F1 และอัตราส่วนของฟี โนไทป์ ต่างๆ ในรุ่น F2
รุ่นพ่อแม่เป็ นกระต่ายฮอโมไซกัสขนสีดาและขนยาว ดังนั้นจึงเขียนจีโนไทป์ ได้ เป็ น BBss และ กระต่าย
ฮอมอไซกัสขนสีนา้ ตาลและขนสั้น เขียนจีโนไทป์ ได้ เป็ น bbSS
เมื่อผสมกัน จะได้ ร่นุ F1 และ F2 ดังนี้
F1 x F1 BbSs x BbSs
เซลล์สบื พันธุ์
B Bs bS bs B Bs bS bs
S S
เพศผู้
BS Bs bS bs
เพศเมีย
BS BBSS BBSs BbSS BbSs
Bs BBSs BBss BbSs Bbss
bS BbSS BbSs bbSS bbSs
bs BbSs Bbss bbSs bbss
อัตราส่วนฟี โนไทป์ ในรุ่น F2 ; ขนสีดาและขนสั้น (B_S_) = 9/16
ขนสีดาและขนยาว (B_ss) = 3/16
ขนสีนา้ ตาลและขนสั้น (bbS_) = 3/16
ขนสีนา้ ตาลและขนยาว (bbss) = 1/16
ขนสีดาและขนสั้น : ขนสีดาและขนยาว : ขนสีนา้ ตาลและขนสั้น : ขนสีนา้ ตาลและขนยาว = 9 : 3 : 3 : 1
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 78
NOTE ; สูตรการหาเซลล์สบื พันธุ์
จานวนเซลล์สบื พันธุ์ = 2n (เมื่อ n คือ จานวน heterozygous gene)
เช่น จากจีโนไทป์ AaBbCCDd สามารถสร้ างเซลล์สบื พันธุไ์ ด้ ก่แี บบ
= 2n = 23 = 8 แบบ
Aa Aa : aa
(ลูกที่ได้ ลักษณะเด่นทั้งหมด) (ลูกที่ได้ ลักษณะเด่น : ด้ อย = 1 : 1)
แสดงว่า รุ่นพ่อแม่ท่ตี ้ องการทราบ คือ AA แสดงว่า รุ่นพ่อแม่ท่ตี ้ องการทราบ คือ Aa
5.5.1 ความเด่นไม่สมบูรณ์
: คือ อัลลีลหนึ่งไม่สามารถข่มอีกอัลลีลหนึ่งได้ อย่างสมบูรณ์ ทาให้ ฟีโนไทป์ ที่ได้ อยู่ระหว่างฟี โนไทป์ ของรุ่นพ่อแม่
ที่เป็ นฮอมอไซกัส ลักษณะดังกล่าวนี้เป็ นความเด่นไม่สมบูรณ์ (incomplete dominance)
ลักษณะของสีดอกลิ้นมังกร
กาหนดให้ ยีน R ควบคุมลักษณะดอกสีแดง และ
ยีน R’ ควบคุมลักษณะดอกสีขาว
ดังนั้น จีโนไทป์ RR แสดง ลักษณะดอกสีแดง
จีโนไทป์ R’R’ แสดง ลักษณะดอกสีขาว
จี โนไทป์ RR’ แสดง ลักษณะดอกสีชมพู
ดอกลิ้นมังกรสีชมพู
(RR’)
ภาพแสดงตัวอย่างความเด่นไม่สมบูรณ์
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 79
ลักษณะเส้ นผมในคน
กาหนดให้ ยีน H ควบคุมลักษณะผมหยิก และยีน H’ ควบคุมลักษณะผมเหยียดตรง
ดังนั้น จีโนไทป์ HH แสดง ลักษณะผมหยิก
จีโนไทป์ H’H’ แสดง ลักษณะผมเหยียดตรง
จี โนไทป์ HH’ แสดง ลักษณะผมหยักศก
5.5.2 ความข่มร่วม
: คือยีนควบคุมในสภาพฮอมอไซกัสโดมิแนนท์ท้ังคู่ อัลลีลทั้งสองอัลลีล จะสามารถแสดงลักษณะเด่นได้ เท่าๆ กัน
จึงแสดงออกร่วมกันเรียกว่า ความข่มร่วม (codominance) เช่น หมู่เลือด AB ในระบบหมู่เลือด ABO และหมู่เลือด
ในระบบ MN เป็ นต้ น
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 80
5.5.4 พอลียีน (Polygene)
: เป็ นลักษณะทางพันธุกรรมที่ควบคุมด้ วยยีนมากกว่า 2 คู่ ในหลายตาแหน่ง ยีนเด่นแต่ละคู่แสดงผลต่อลักษณะ
เท่าๆ กัน เช่น เมล็ดข้ าวสาลี สีผิว ความสูง เป็ นต้ น
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 81
5.5.5 ยีนบนโครโมโซมเพศ
: การถ่ายทอดยีนที่อยู่บนโครโมโซมเพศเรียกว่า ยีนที่เกี่ยวเนื่องกับเพศ (sex-linked gene) ลักษณะที่ควบคุมด้ วย
ยีนที่อยู่บนโครโมโซมเพศในคนมีมากกว่า 100 ลักษณะ ลักษณะเหล่านี้มีท้ังยีนเด่นและยีนด้ อย ซึ่งส่วนมากที่พบ
มักจะเป็ นยีนด้ อยมากกว่า
ยีนที่มีตาแหน่งอยู่บนโครโมโซม X สาหรับยีนบนโครโมโซม Y
เรียกว่า ยีนที่เกี่ยวเนื่องกับ X (X-linked gene) บาง ส่วนใหญ่ เป็ นยีนที่เกี่ยวข้ องกับการควบคุมลักษณะของ
ยี น อาจก่ อ ให้ เกิ ด โรคหรื อ ลั ก ษณะผิ ด ปกติ เช่ น เพศชาย เนื่ อ งจากโครโมโซม Y มี ข นาดเล็ ก จึ ง มี ยี น
ตาบอดสี ฮี โ มฟี เลี ย กล้ ามเนื้ อแขนขาลี บ และ อยู่ ด้ ว ยจ านวนน้ อ ย การถ่ า ยทอดยี น บนโครโมโซม Y
ภาวะพร่ องเอนไซม์ G–6–PD (ส่วนใหญ่ ผิดปกติ จะถ่ า ยทอดจากพ่ อ ไปยั ง ลู ก ชาย จากลู ก ชายไปยั ง
ที่ยีนด้ อย) หลานชาย และถ่ายทอดต่อๆ ไปยังเพศชายทุกคนที่ได้ รับ
โครโมโซม Y ยี น ที่ อ ยู่ บ นโครโมโซม Y เรี ย กว่ า ยี น ที่
เกี่ยวเนื่องกับ Y (Y-linked gene)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 82
5.5.6 ยีนบนโครโมโซมเดียวกัน
: ในปี พ.ศ. 2446 วอลเตอร์ ชัตตัน (Walter Shutton) ได้ เสนอความเห็นไว้ ว่า โครโมโซมเป็ นแหล่งรวมของยีนใน
โครโมโซมหนึ่งน่าจะมียีนอยู่เป็ นจานวนมาก การที่ยีน 2 โลคัสหรือมากกว่า 2 โลคัส มีการถ่ายทอดไปด้วยกัน
พร้อมๆ กัน ยีนเหล่านั้น เรียกว่า ลิงค์เกจ (linkage)
วิธพี ิจารณา ;
ภาพแสดงตาแหน่งของยีนเปรียบเทียบระหว่างยีนที่อยู่ไกลกันและยีนที่อยู่ใกล้ กนั
ที่มา ; http://learn.genetics.utah.edu/content/pigeons/geneticlinkage/
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 83
5.5.7 ลักษณะที่อยู่ภายใต้ อทิ ธิพลของเพศ
ลักษณะบางลักษณะที่แสดงออกในสิ่งมีชีวิตชั้นสูงถูกควบคุมด้ วยยีนเด่ นในออโตโซมแต่ ยีนจะแสดงออกใน
แต่ละเพศได้ ไม่เท่ากัน โดยมีฮอร์โมนเพศเป็ นตัวควบคุมตัวอย่างที่พบในคน ได้ แก่ ลักษณะคนศีรษะล้ าน ลักษณะที่
ถูกควบคุมด้ วยยีนที่แสดงลักษณะเด่นในเพศหนึ่งและแสดงลักษณะด้ อยในอีกเพศหนึ่งเรียกว่า ลักษณะที่อยู่ภายใต้
อิทธิพลของเพศ (sex-influenced traits)
5.5.8 พันธุกรรมจากัดเพศ
ลักษณะพันธุกรรมที่ควบคุมด้ วยยีนบนออโตโซม บางลักษณะขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้ อมภายในร่างกายของแต่ละเพศ
เช่น อาจมีฮอร์โมนเพศมาเกี่ยวข้ อง ลักษณะทางพันธุกรรมที่แสดงออกเฉพาะในเพศใดเพศหนึ่งนี้เรียกว่า ลักษณะ
พันธุกรรมจากัดเพศ (sex-limited traits) ตัวอย่างในคน เช่ น ยีนควบคุมการผลิตน้านม จะแสดงออกเฉพาะเพศ
หญิง ส่วนในเพศชายจะไม่มีการผลิตนา้ นมแม้ ว่าจะมียีนนี้กต็ าม ส่วนตัวอย่างที่พบในสัตว์ เช่น การมีเขายาวหรือเขา
สั้นของวัว ปริมาณการผลิตนา้ นมของแม่วัว เป็ นต้ น
ตัวอย่าง ลักษณะขนหางของไก่
กาหนดให้ H คือ ยีนควบคุมลักษณะขนหางสั้น
h คือ ยีนควบคุมลักษณะขนหางยาว
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 84
บทที่ 6 : เทคโนโลยีทาง DNA
เทคโนโลยีชีวภาพ
เทคโนโลยีชีวภาพ (biotechnology)
➢ ในปั จ จุ บัน มนุ ษ ย์ ส ามารถปรั บ แต่ ง ยี น และเคลื่ อนย้ า ยยี น ข้ า มชนิ ด ของสิ่ง มี ชี วิ ต อย่ า งที่วิ ธี การตาม
ธรรมชาติไม่สามารถทาได้ รวมทั้งการนาไปประยุกต์ใช้ ในด้ านอื่นๆ เช่น ทางด้ านการเกษตรกรรม การแพทย์
ตลอดจนการใช้ ประโยชน์ทางสังคม เช่น ใช้ ในการตรวจสอบหลักฐานอาชญากรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น เป็ นต้ น
6.1 พันธุวิศวกรรม
เอนไซม์ตัดจาเพาะ
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 85
➢ จุดตัดจาเพาะที่เกิดขึ้นจะได้ สาย DNA หลังจากถูกตัดแล้ วใน 2 รูปแบบ
6.1.3 การโคลนยีน
เป็ นเทคนิคการเพิ่มจานวนของ DNA ที่เหมือนๆ กัน หาก DNA บริเวณดังกล่าวเป็ นยีนก็อาจจะเรียกว่า โคลนยีน
(gene cloning) ซึ่งสามารถทาให้ recombinant DNA คงอยู่ และเพิ่มจานวนเพื่อใช้ ในการศึกษาว่าสาย DNA เหล่านั้น
มียีนอะไรและควบคุมการสร้ างโปรตีนชนิดใด
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 86
การโคลน DNA แบ่งออกได้ เป็ น 2 แบบ
การโคลนยีนโดยอาศัยพลาสมิดของแบคทีเรีย
เป็ นการเพิ่มปริมาณของ DNA ที่ต้องการ โดยอาศัย DNA พาหะ หรือเวกเตอร์ (vector) เช่น
พลาสมิด (plasmid) ของแบคทีเรีย
การโคลนยีนในหลอดทดลองโดยเทคนิคพอลิเมอเรสเซนรีแอกชัน
เป็ นเทคนิคที่ใช้ ในปัจจุบัน โดยอาศัยเครื่องมือที่เรียกว่าเครื่องมือเพิ่มปริมาณ DNA อัตโนมัติ
หรือ เทอร์มอลไซเคลอร์ (thermal cycler) ซึ่งเป็ นเครื่องควบคุมอุณหภูมิให้ ปรับเปลี่ยนได้ อย่าง
รวดเร็ว รวมทั้งกาหนดจานวนรอบและเวลาสาหรับปฏิกริ ิยาในแต่ละขั้นตอนได้ อย่างอั ตโนมัติ
ภาพแสดงการโคลนยีนโดยอาศัยพลาสมิดของแบคทีเรีย
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 87
การโคลนยีนโดยเทคนิคพอลิเมอเรสเชนรีแอกชัน (polymerase chain reaction ; PCR)
- การเกิดปฏิกิริยาในหลอดทดลองต้องอาศัยองค์ประกอบต่อไปนี้
1) DNA แม่แบบ ซึ่งเป็ นส่วนของ DNA ที่ต้องการโคลน
2) ไพรเมอร์ (primer) เป็ น DNA สายสั้นๆ ที่จะเกาะกับส่วนของ DNA ที่ต้องการ
เพื่อเป็ นจุดเริ่มต้ นและกาหนดบริเวณของการสร้ างสาย DNA
3) นิวคลีโอไทด์ท้งั 4 ชนิด
4) เอนไซม์ DNA polymerase
เริ่มด้ วยเพิ่มอุณหภูมใิ ห้ สงู จนสาย DNA แม่แบบที่เป็ น DNA สายคู่แยกออกเป็ น DNA สายเดี่ยว
ลดอุณหภูมิลงเพื่อให้ เกิดการจับกันระหว่างไพรเมอร์และสาย DNA แม่แบบในบริเวณที่ต้องการเพิ่มจานวน
ปรับอุณหภูมิให้ เหมาะสมต่อการทางานของเอนไซม์ DNA polymerase
ทาให้ เกิดการจาลองตัวของสาย DNA ในบริเวณที่ต้องการ
ดาเนินกิจกรรมเช่นเดิม ทาเช่นนี้ซา้ หลายๆ รอบ
ได้ โมเลกุลของ DNA ที่ต้องการเป็ นจานวนมาก
1) การเพิ่ มปริ มาณของ DNA จากซากของวู ลลีแ มมมอธ (woolly mammoth) ซึ่ ง สูญ พั น ธุ์ไปแล้ ว
แต่ถูกแช่แข็งไว้ ท่ไี ซบีเรียเมื่อสี่หมื่นปี ก่อน ทาให้ มีโอกาสศึกษาเชิงวิวัฒนาการในสิ่งมีชีวิตที่สญ
ู พันธุ์
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 88
6.2 การวิเคราะห์ DNA และการศึกษาจี โนม
การวิเคราะห์ DNA
นามาแยกขนาดภายใต้ สนามไฟฟ้ า
โดยให้ DNA ผ่านตัวกลางที่เป็ นแผ่นวุ้น เช่น อะกาโรสเจล (agarose gel)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 89
ภาพแสดงขั้นตอนการทา เจลอิเล็กโทรโฟริซิส (gel electrophoresis)
ที่มา ; Reece et al. (2011)
การศึกษาจี โนม
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 90
6.3 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทาง DNA
6.3.1 การประยุกต์ใช้ในเชิงการแพทย์และเภสัชกรรม
- การวินิจฉัยโรค
- การบาบัดด้ วยยีน
- การสร้ างผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรม เช่น การผลิตอินซูลิน
6.3.2 การประยุกต์ใช้ในเชิงนิติวิทยาศาสตร์
6.3.3 การประยุกต์ใช้ในเชิงการเกษตร
พืชดัดแปรพันธุกรรม
2) พื ชดัด แปรพัน ธุ ก รรมที่ ต ้า นทานต่ อ โรค เช่ น การทาให้ มะละกอต้ า นทานต่ อโรคใบด่ างจุ ด
วงแหวน ซึ่งเกิดจากไวรัสชนิดหนึ่ง โดยนายีนที่สร้างโปรตีนเปลือกไวรัส (coat virus protein gene)
ถ่ายฝากเข้ าไปในเซลล์มะละกอ แล้ วชักนาให้ เป็ นต้ นมะละกอที่สร้ างโปรตีนดังกล่ าว ทาให้ สามารถ
ต้ านทานต่อเชื้อไวรัสได้
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 91
พืชดัดแปรพันธุกรรม (ต่อ)
3) พืชดัดแปรพันธุกรรมที่สามารถต้านทานสารปราบวัชพืช โดยนายีนที่ต้านทานสารปราบวัชพืช
ใส่เข้ าไปในพืช เช่น ถั่วเหลือง ข้ าวโพด ฝ้ าย ทาให้ สามารถต้ านทานสารปราบวัชพืช
สิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ท่สี ามารถดัดแปรพันธุกรรมได้ น้ ี
เรียกว่า สิง่ มีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม (genetically modified organism ; GMOs)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 92
บทที่ 7 : เรื่อง วิวฒ
ั นาการ
7.1 หลักฐานที่บง่ บอกถึงวิวฒ
ั นาการของสิง่ มีชีวิต
หลักฐานที่บ่งบอกถึงวิวฒ
ั นาการของสิง่ มีชีวิต
7.1.2 หลักฐานจากกายวิภาคเปรียบเทียบ
7.1.3 หลักฐานจากวิทยาเอ็มบริโอเปรียบเทียบ
7.1.4 หลักฐานด้านชีววิทยาระดับโมเลกุล
➢ หลั ก ฐานทางชี ว วิ ท ยาระดั บ โมเลกุ ล ใช้ บ อกถึง ความสัม พั น ธ์ ท่ีใ กล้ ชิ ด กัน ทางวิ วั ฒ นาการของสิ่ง มี ชี วิ ต ได้
ดังตัวอย่างการเปรียบเทียบจานวนตาแหน่งกรดอะมิโนในสายพอลิเพปไทด์ของฮีโมโกลบินที่แตกต่างกัน ระหว่าง
มนุษย์กบั ลิงรีซัส หนู ไก่ กบ และปลาปากกลม แสดงได้ ดังตาราง
สิ่งมีชีวิต จานวนตาแหน่งกรดอะมิโนในฮีโมโกลบินที่แตกต่างจากมนุษย์
มนุษย์ 0
ลิงรีซัส 8
หนู 27
ไก่ 42
กบ 67
ปลาปากกลม 125
จะเห็นว่ามนุษย์น่าจะมีความสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการที่ใกล้ ชดิ กันกับลิงรีซัสมากกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น
7.1.5 หลักฐานทางชีวภูมิศาสตร์
➢ เช่น จากการศึกษาการแพร่ กระจายของนกฟิ นช์ (finch) ชนิดต่างๆ ในหมู่เกาะกาลาปากอส พบว่า นกฟิ นช์
ในหมู่ เ กาะกาลาปากอสมี ลั ก ษณะคล้ า ยคลึ ง กั บ นกฟิ นช์ ท่ีอ าศั ย บนทวี ป อเมริ ก าใต้ ม ากกว่ า นกฟิ นช์ ท่ี อ าศั ย
อยู่ ใ นหมู่เ กาะต่ า งๆ อาจเป็ นไปได้ว่า ...บรรพบุ รุ ษของนกฟิ นช์ไ ด้มีก ารอพยพมาจากทวีป อเมริ กาใต้แ ละ
ได้แพร่กระจายดารงชีวิตอยู่บนเกาะต่างๆ จนกระทัง่ มีวิวฒ ั นาการเป็ นนกฟิ นช์หลากหลายสปี ชีส ์
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 93
7.2 แนวคิดเกี่ยวกับวิวฒ
ั นาการของสิง่ มีชีวิต
7.2.1 แนวคิดเกี่ยวกับวิวฒ
ั นาการของลามาร์ก
2) กฎแห่งการถ่ายทอดลักษณะที่เกิดขึ้ นมาใหม่
(law of inheritance of acquired characteristic)
7.2.2 แนวคิดเกี่ยวกับวิวฒ
ั นาการของดาร์วิน
ดาร์วิน
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 94
➢ ในช่วงเวลาต่อมา อัลเฟรด รัสเซล วอลเลช (Alfred Russel Wallace) นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษได้ เสนอผลงาน
ที่มีเนื้อหาตรงกันกับแนวคิดของดาร์วินที่ว่า วิวัฒนาการเกิดจากกระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติ
➢ เอินส์ เมียร์ (Ernst Mayr) ได้ วิเคราะห์ทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ทาให้ เกิดข้ อสรุปต่างๆ ดังนี้
ข้อสรุปข้อที่ สอง การอยู่รอดของสมาชิกในสิ่งแวดล้ อ มไม่ ได้ เกิดขึ้นอย่า งสุ่ม แต่เป็ นผลมาจากลัก ษณะทางพันธุก รรม
ที่แตกต่างกันของสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเหมาะสมกับสิ่งแวดล้ อมซึ่งมีโอกาสอยู่รอดจะให้ กาเนิดลูกหลานได้ มากกว่า
สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะไม่เหมาะสมกับสิ่งแวดล้ อม
➢ เป็ นแนวคิด วิ วั ฒ นาการยุ คใหม่ รวบรวมความรู้ ท างด้ า นต่ า งๆ เช่ น บรรพชี วิน วิท ยา (paleontology) อนุ กรมวิธ าน
(taxonomy) ชีวภูมิศาสตร์ (biogeography) ชีววิทยาระดับโมเลกุล (molecular biology) รวมถึง พันธุ ศาสตร์ประชากร
(population genetics) เป็ นต้ น
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 95
7.3 พันธุศาสตร์ประชากร
ประชากร
➢ หมายถึง...สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันที่อาศัยอยู่รวมกันในพื้นที่หนึ่งๆ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
พันธุศาสตร์ประชากร
640
= = 0.64
1000
จานวนจีโนไทป์ 𝑅𝑟
ความถี่จีโนไทป์ Rr =
จานวนจีโนไทป์ ทั้งหมด
320
= = 0.32
1,000
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 96
จานวนจีโนไทป์ 𝑟𝑟
ความถี่จีโนไทป์ rr =
จานวนจีโนไทป์ ทั้งหมด
40
= = 0.04
1,000
จานวนอัลลีล 𝑅
ดังนั้น ความถี่อลั ลีล R =
จานวนอัลลีล 𝑅+𝑟
1,280+320
= = 0.8
2,000
จานวนอัลลีล 𝑟
ความถี่อลั ลีล r =
จานวนอัลลีล 𝑅+𝑟
320+80
= = 0.2
2,000
7.3.2 กฏของฮาร์ดี-ไวน์เบิรก์
ก็อดฟรีย์ ฮาโรลด์ ฮาร์ดี (Godfrey Harold Hardy) และ วิลเฮล์ม ไวน์เบิร์ก (Wilhelm Weinberg)
โดยกล่ า วว่ า ความถี่ข องอัลลีล และความถี่ข องจี โ นไทป์ ในยีน พู ลของประชากรจะมี ค่ าคงที่ใน
ทุกๆ รุ่น ถ้ าไม่ มีปัจจัยบางอย่ างมาเกี่ยวข้ อง เช่ น มิวเทชัน การคัดเลือกโดยธรรมชาติ การเลือกคู่
ผสมพันธุ์ การเปลี่ยนความถี่ยีนอย่างไม่เจาะจง (random genetic drift) และการถ่ายเทเคลื่อนย้ ายยีน
(gene flow)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 97
7.3.3 การประยุกต์ใช้กฎของฮาร์ดี - ไวน์เบิรก์
กฎของฮาร์ดี - ไวน์เบิร์ก
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 98
ตัวอย่าง 3 ; ถ้ าประชากรประเทศหนึ่ง มีหมู่เลือดที่มีแอนติเจนเป็ น Rh+ อยู่ 84% ความถี่ของอัลลีลเด่นของ Rh+
มีค่าเท่าไร (กาหนดให้ Rh+ ควบคุมด้ วยอัลลีล R ซึ่งเป็ น dominant gene)
จากโจทย์ Rh+ ควบคุมด้ วยอัลลีล R (อัลลีลเด่น)
ดังนั้น บุคคลที่มี Rh+ อาจมี genotype เป็ น RR หรือ Rr รวมกัน 84 %
ส่วนบุคคลที่มี Rh- ก็ต้องมี genotype เป็ น rr เหลือ 16 %
โจทย์ให้ หาความถี่ของอัลลีล R
แนวคิด จาก rr = 16 % หรือ 16 / 100 = 0.16 ดังนั้น r = √0.16 = 0.4
จากสมดุลของ ฮาร์ดี – ไวน์เบิรก์ ➢ p+q =1
R+r =1
ดังนั้น R =1–r
= 0.6
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 99
ปั จจัยที่ทาให้เกิดการเปลีย่ นแปลงความถีข่ องอัลลีล (ต่อ)
ในธรรมชาติท่วั ไปพบว่าสมาชิกในกลุ่มประชากรมักจะมีการเลือกคู่ผสมพันธุ์
หรือ การผสมพัน ธุ ์ไ ม่เ ป็ นแบบสุ่ ม (non-random mating) ท าให้ สมาชิก
3) การเลือกคู่ผสมพันธุ ์ บางส่วนของประชากรไม่มีโอกาสได้ ผสมพันธุ์ จึงมีผลต่อการเปลี่ยนแปลง
ความถี่ของอัลลีลในยีนพูลของประชากรในรุ่นต่อไป
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 100
7.5 กาเนิดของสปี ชีส ์
สปี ชีสท์ างด้ านชีววิทยา หมายถึง สิ่งมีชีวิตที่สามารถผสมพันธุ์กนั ได้ ในธรรมชาติและให้ กาเนิดลูกที่ไม่เป็ นหมัน
กลไกการแยกกันทางการสืบพันธุ ์ กลไกการแยกกันทางการสืบพันธุ ์
ก่อนระยะไซโกต หลังระยะไซโกต
1.1 ถิน่ ที่อยู่อาศัย เช่น กบป่ าอาศัยอยู่ในแอ่งนา้ ซึ่งเป็ นแหล่งนา้ จืดขนาดเล็ก ส่วนกบบูลฟรอกอาศัยอยู่ใน
หนองนา้ หรือบึงขนาดใหญ่ท่มี ีนา้ ตลอดทั้งปี กบทั้ง 2 สปี ชีสน์ ้ อี าศัยและผสมพันธุ์อยู่ในแหล่งนา้ ที่แตกต่างกัน
ทาให้ ไม่มีโอกาสจับคู่ผสมพันธุก์ นั
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 101
; เป็ นกลไกป้ องกันไม่ให้ ลูกผสมสามารถ
2) กลไกการแยกกันทางการสืบพันธุห์ ลังระยะไซโกต เจริญเติบโตเป็ นตัวเต็มวัยหรือสืบพันธุ์ต่อไปได้
2.2 ลูกผสมเป็ นหมัน เช่ น การผสมระหว่างม้ ากับลา จะได้ ล่อ ซึ่งเป็ นหมัน ไม่สามารถให้ กาเนิดลูกในรุ่น
ต่อไปได้
2.3 ลูกผสมล้มเหลว เช่ น การผสมระหว่างดอกทานตะวัน (Layia spp.) 2 สปี ชีส์ พบว่า ลูกผสมที่เกิดขึ้น
สามารถเติบโตและให้ ลูกผสมในรุ่น F1 ได้ แต่ลูกในรุ่น F2 เริ่มอ่อนแอ และเป็ นหมันประมาณร้ อยละ 80
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 102
7.6 วิวฒ
ั นาการของมนุษย์
7.6.1 ออสตราโลพิเทคัส
ออสตราโลพิเทคัส
คล้ ายคลึงกับมนุษย์มากที่สุด เรียกซากนั้นว่า ลูซ่ี (Lucy) เป็ นเพศหญิง รู้จักใช้ เครื่องมือ แต่สร้ างเครื่องมือไม่ได้ หรือ
อาจสร้ างได้ แบบหยาบๆ เนื่องจากต้ องล่าสัตว์ และกินเนื้อเป็ นอาหาร
7.6.2 โฮโม
โฮโม
➢ Homo sapiens
เป็ นมนุษย์ในสปี ชีส์ H. sapiens neanderthalensis
มีลักษณะสาคัญ คือ กะโหลกด้ านข้ างพองออกมีความจุสมองมากกว่า
มนุษย์นีแอนเดอร์ทลั
มนุ ษย์ ปั จ จุ บั น เริ่ม มี อ ารยธรรม เช่ น ประเพณีฝังศพ บู ช าเทพเจ้ า
(Neanderthal man)
ใช้ เ ครื่ อ งมื อ พวกหอกมี ด้ า ม และพบเครื่ อ งมื อ มี ด ของหิ น ยุ ค เก่ า
ตอนปลายปะปนอยู่ด้วย
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 103
นักบรรพชีวินและนักมานุษยวิทยา ได้ ต้งั สมมติฐานของ
➢ กาเนิดของมนุษย์ปัจจุบนั
การกาเนิดมนุษย์ในยุคปัจจุบัน
แบ่งออกเป็ น 2 แนวทาง
กล่าวว่า…
สมมติฐานแรก มนุษย์ในปัจจุบันที่อาศัยอยู่ตามบริเวณต่างๆ ของโลก มีวิวัฒนาการมา
จาก H. erectus ที่แพร่กระจายไปอาศัยอยู่ตามที่ต่างๆ โดยมีวิวัฒนาการ
แบบขนานมาเป็ นมนุษย์ในยุคปัจจุบัน
กล่าวว่า...
มนุ ษ ย์ ใ นปั จจุ บันมี วิ วัฒนาการครั้ งที่ส อง โดยมี การแพร่ กระจายของ
H. erectus ไปอาศั ย ตามบริ เ วณต่ า งๆ และได้ สูญ พั น ธุ์ไ ปหมด ท าให้
สมมติฐานที่สอง เหลื อ เพีย ง H. erectus ในแถบแอฟริกาเท่ านั้นที่มีวิวัฒนาการไปเป็ น
H. sapiens จากสมมติฐานนี้แสดงว่ามนุษย์ในยุคปัจจุบันมี กาเนิดมาจาก
บรรพบุ รุ ษ เดี ย วกันคื อ H. sapiens ที่ไ ด้ อพยพออกจากแถบแอฟริกา
เมื่อประมาณ 1 แสนปี ที่ผ่านมานั่นเอง
ภาพแสดงวิวฒ
ั นาการของมนุษย์
ที่มา ; Solomon, Berg, Martin (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 104
บทที่ 8 : การสืบพันธุข์ องพืชดอกและการเจริญเติบโต
8.1 วัฏจักรชีวิต และการสืบพันธุแ์ บบอาศัยเพศของพืชดอก
2) ระยะแกมีโทไฟต์ (gametophyte)
ภาพแสดงวงจรชีวิตสลับของพืชดอก
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 105
8.1.1 โครงสร้ างของดอกและการสร้ างสปอร์
โครงสร้ างของดอก
➢ เกสรเพศผู้ประกอบด้ วยส่วนสาคัญ 2 ส่วน คือ อับเรณู (anther) และก้ านชูอบั เรณู (filament)
➢ ถ้ าพิจารณาจากตาแหน่งของรังไข่ เมื่อเทียบกั
สามารถแบ่
บตาแหน่งดอกไม้
วงกลีบได้ ดังนี้
1) ดอกประเภทที่มีรังไข่เหนือวงกลีบ เช่น ดอกมะเขือ จาปี ยี่หุบ บานบุรี พริก ถั่ว มะละกอ ส้ม เป็ นต้ น
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 106
➢ ถ้ าใช้ จานวนดอกที่อยู่บนก้ านดอกเป็ นเกณฑ์ สามารถแบ่งดอกไม้ ได้ ดังนี้
1) ดอกเดี่ยว (solitary flower) คือ ดอกที่มีดอกเพียง 1 ดอกบนก้านดอก เช่น กุหลาบ บัว เป็ นต้ น
NOTE :
➢ ดอกของพืชบางชนิดที่เป็ นดอกช่อ แต่มักมีความเข้ าใจว่าเป็ นดอกเดี่ยว เช่น ทานตะวัน ดาวเรือง ดาวกระจาย บานชื่น เป็ นต้ น เนื่องจาก
ก้านช่อดอกของพืชเหล่านี้จะหดสั้น และขยายแผ่ออกเป็ นวงคล้ ายจานเรียกฐานดอกร่วม (common receptacle)
➢ กลีบเลี้ยงโดยปกติมักมีสเี ขียวทาหน้ าที่ป้องกันส่วนประกอบอื่นๆ ของดอกที่อยู่ด้านในเอาไว้
➢ กลีบดอกมักมีรูปร่างและสีสนั สวยงามเพื่อดึงดูดแมลงหรือสัตว์อ่นื ๆ
➢ อับเรณูของเกสรเพศผู้จะพบช่องลักษณะค่อนข้ างกลม โดยทั่วไปพบ 4 ช่อง เรียก โพรงอับเรณู (pollen sac) ภายในมีไมโครสปอร์
มาเทอร์เซลล์ (microspore mother cell) อยู่เป็ นจานวนมาก ที่พร้ อมจะแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสเพื่อสร้ างไมโครสปอร์ต่อไป
➢ ออวุลภายในรังไข่ของเกสรเพศเมีย ประกอบด้ วย เนื้อเยื่อที่เรียกว่า นิวเซลลัส (nucellus) ซึ่งถูกหุ้มล้ อมด้ วยเนื้อเยื่อที่เรียกว่า ผนังออวุล
(integument) ยกเว้ น บริเวณส่วนปลายที่ผนังออวุ ลหุ้ม ไม่ รอบจึ งเกิดเป็ นช่อ งเล็กๆ เรียกว่า ไมโครไพล์ (micropyle) ภายในนิวเซลลั ส
จะพบเซลล์ขนาดใหญ่กว่าเซลล์อ่นื จานวน 1 เซลล์ทาหน้ าที่เป็ นโครงสร้ างที่เรียกว่า เมกะสปอร์มาเทอร์เซลล์ (megaspore mother cell) ซึ่งจะ
แบ่งเซลล์แบบไมโอซิสเพื่อสร้ างเมกะสปอร์จานวน 4 เซลล์
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 107
➢ การสร้างเซลล์สืบพันธุเ์ พศผู ้ (Male gametophyte)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 108
➢ การถ่ายเรณู และการงอกหลอดเรณู
➢ การปฏิสนธิ
8.1.3 ผลและเมล็ด
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 109
ผลอาจแบ่งได้ เป็ น 3 ประเภท
➢ การเจริญและพัฒนาภายหลังการปฏิสนธิค่ขู องพืชดอก
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 110
หลังการปฏิสนธิ ออวุลจะเจริญไปเป็ นเมล็ด โดยผนังออวุลจะเปลี่ยนแปลงไปเป็ น
➢ เมล็ดและเอ็มบริโอ เปลือกเมล็ด (seed coat) ไปหุ้มล้ อมเอ็มบริโอและเอนโดสเปิ ร์ม แต่ส่วนเนื้อเยื่อ
นิวเซลลัสจะหายไป
ประกอบด้ วย
เป็ นเนื้ อเยื่ อ ที่ ท าหน้ า ที่ เ ก็บ สะสมอาหารส าหรั บ การเจริ ญ เติ บ โตของเอ็ม บริ โ อ
อาหารที่สะสมอาจจะเป็ นแป้ ง โปรตีน หรือไขมันขึ้นอยู่ กับชนิดของพืช เช่ น ข้ าว
3. เอนโดสเปิ ร์ม ข้ าวโพด ละหุ่ง เป็ นต้ น เมล็ดพืชบางชนิดอาจมีเอนโดสเปิ ร์มเกิดขึ้นเพียงเล็กน้ อย
หรือเอนโดสเปิ ร์มอาจไม่พัฒนา ดังนั้นเมื่อเมล็ดเจริญเต็มที่ไม่พบเอนโดสเปิ ร์ม เช่น
ถั่วต่างๆ
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 111
ภาพแสดงโครงสร้ างของเมล็ดพืชแบบต่างๆ (a) เมล็ดถั่ว : พืชใบเลี้ยงคู่ท่มี ีใบเลี้ยงหนา
(b) เมล็ดละหุ่ง : พืชใบเลี้ยงคู่ทม่ี ีใบเลี้ยงลีบบาง (c) เมล็ดข้ าวโพด : พืชใบเลี้ยงเดี่ยว
ที่มา ; Reece et al. (2011)
8.1.4 การงอกของเมล็ด
การงอกของเมล็ดพืช แบ่งออกเป็ น
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 112
➢ ปัจจัยที่มีผลต่อการงอกของเมล็ด แบ่งเป็ น
2) ปัจจัยภายในที่มีผลต่อการงอกของเมล็ด
ได้ แก่ สภาพพักตัวของเมล็ด (Dormancy)
- พืชบางชนิดมีสภาพพักตัวสั้นมาก เช่น ขนุน มะละกอ มะขามเทศ เมล็ดงอกได้ ขณะที่ยังอยู่ในผล
- ในขณะที่โกงกางไม่มีสภาพพักตัวของเมล็ดเลย
- พืชบางชนิดอาจมีสภาพพักตัวที่ยาวนาน
เมล็ด พื ช ทั่ ว ไปเมื่ อ ได้ รั บ สิ่ ง แวดล้ อมที่ เ หมาะสม สภาพพั ก ตั ว จะหมดไป ท าให้ เ อ็ม บริ โ อ
เจริญเติบโตต่อไปได้ แต่พืชบางชนิดแม้ ได้ รับสภาพแวดล้ อมที่เหมาะสม เมล็ดยังคงอยู่ในสภาพพักตัว ซึ่ง
เกิดจากปัจจัยภายในบางประการของเมล็ดเอง สภาพพักตัวนี้สามารถแก้ ไขได้ โดยกลไกตามธรรมชาติหรือ
โดยการช่วยเหลือของมนุษย์
สาเหตุบางประการของการพักตัวและการแก้ ไขสภาพพักตัวของเมล็ด
- โดยปกติ เมื่ อเมล็ด ได้ รับ น้า ที่เ พียงพอเปลือ กเมล็ด จะนุ่มลง
1. เปลือกเมล็ด อาจเกิดจาก แต่เมล็ดพืชบางชนิดมีเปลือกเมล็ดที่หนาหรือแข็งมากทาให้ นา้
ไม่สามารถผ่านเข้ าสู่ภายในเมล็ดได้ ในธรรมชาติจะมีการทาลาย
สภาพพักตัวแบบนี้ได้ โดยการย่อยสลายของจุลินทรีย์ในดิน เช่น
มะม่วง ปาล์ม หรือโดยการที่เมล็ดผ่านเข้ าไปในระบบย่อยอาหาร
ของสัตว์เลี้ยงลูกด้ วยนา้ นม หรือนก และถ่ายเป็ นมูลออกมา เช่น
เมล็ดโพธิ์ ไทร ตะขบ หรือโดยการทาให้ เปลือกเมล็ดแตกออก
1.1 เปลือกเมล็ดที่หนาและแข็ง ต้ อ งการถู ก ไฟเผา เช่ น เมล็ด พื ช วงศ์ ห ญ้ า วงศ์ ไ ผ่ บ างชนิ ด
ตะเคียน สัก เป็ นต้ น
- มนุ ษย์ สามารถช่ ว ยแก้ สภาพพักตั วของเมล็ด ที่ เ ปลือ กเมล็ด
หนาและแข็งได้ หลายวิธี เช่น โดยการแช่เมล็ดในนา้ ร้ อน หรือแช่
ในสารละลายกรด เพราะจะทาให้ เปลือกเมล็ดอ่อนนุ่ม การใช้ วิธี
กลโดยการทาให้ เปลือกเมล็ดแตกออก เช่น การปาด เฉือน หรือ
กะเทาะเปลือกแข็งของเมล็ดมะม่วง หรือนาไปให้ ความร้ อนโดย
การเผา เช่น เมล็ดมะค่าโมง เป็ นต้ น
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 113
สาเหตุบางประการของการพักตัวและการแก้ ไขสภาพพักตัวของเมล็ด (ต่อ)
: เอ็ม บริโ อที่ยั งเจริญ ไม่ เ ต็ม ที่ ท าให้ เ มล็ด ไม่ สามารถจะงอกได้ ต้อ งรอเวลาช่ ว งหนึ่ง เช่น
2. เอ็มบริโอ
มะพร้ าว หมาก ปาล์มนา้ มัน เป็ นต้ น
: ในพืช บางชนิด มี สารเคมี ท่ียั บ ยั้ งการงอกของเมล็ด เช่ น กรดแอบไซซิก ที่มี สมบั ติ ยั บ ยั้ ง
การทางานของเอนไซม์ท่ีเ กี่ยวข้ องกับการงอกเคลือบอยู่ และพบว่าใบเลี้ยงของพืชบางชนิด
เช่น พีช (peach) มีการสร้ างกรดแอบไซซิกในปริมาณสูง ซึ่งมีผลไปยับยั้งการงอกของเมล็ด
4. สารเคมี ในสภาพธรรมชาติการแก้ สภาพพักตัวของเมล็ดเหล่านี้เกิดขึ้นได้ เมื่อฝนตกลงมาชะล้ างสาร
ที่เคลือบเมล็ดออกไป ทาให้ เมล็ดงอกได้ ตามปกติ อาจแก้ ไขสภาพพักตัวของเมล็ดพืช โดยใช้
สารเร่งการงอก เช่น จิบเบอเรลลิน (gibberellins ; GA) หรือการตัดใบเลี้ยงของเอ็มบริโอของ
พืชจะช่วยให้ เมล็ดงอกได้ เร็วขึ้น
➢ การตรวจสอบคุณภาพของเมล็ดพันธุ์
- การวัดดัชนีการงอกของเมล็ดพันธุ์ อาศัยหลักการว่าเมล็ดพันธุใ์ ดที่มีความแข็งแรงมากย่อมจะงอกได้ เร็วกว่า
เมล็ดพันธุท์ ่มี ีความแข็งแรงน้ อย
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 114
8.2 การสืบพันธุแ์ บบไม่อาศัยเพศของพืชดอกและการขยายพันธุพ์ ืช
➢ การสืบพันธุแ์ บบไม่อาศัยเพศของพืช
8.3 การวัดการเจริญเติบโตของพืช
การวัดการเจริญเติบโต
➢ การเจริญ เติ บ โตของพืช ตั้งแต่ งอกออกจากเมล็ด จนโตเต็ม ที่ แล้ ว ออกดอก ออกผล จะมี ลัก ษณะคล้ า ยกับ
สิ่งมีชีวิตทั่วๆ ไป สามารถเขียนกราฟของการเจริญเติบโตเป็ นรูปตัว S (S-shaped curve)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 115
บทที่ 9 : โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก
9.1 เนื้อเยื่อพืช
➢ เนื้อเยื่อพืช (plant tissue) ประกอบด้ วยเซลล์ท่มี ีลักษณะแตกต่างกันไป ลักษณะร่วมที่สาคัญประการหนึ่ง
ของเซลล์พืชคือ การมีผนังเซลล์ (cell wall) ให้ ความแข็งแรงต่อโครงสร้ างเซลล์พืช
ผนังเซลล์ (cell wall)
ภาพแสดงเนื้อเยื่อพืชแต่ละชนิด
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 116
9.1.1 เนื้อเยื่อเจริญ
- ถ้ า อยู่ ร ะหว่ า งเนื้ อเยื่ อท่ อล าเลี ย งน้า และเนื้ อเยื่ อท่ อล าเลี ย งอาหารจะ
เรียกว่า วาสคิวลาร์แคมเบียม (vascular cambium) ซึ่งเมื่อแบ่งเซลล์ทาให้
เกิดเนื้อเยื่อท่อลาเลียง (vascular tissue)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 117
9.1.2 เนื้อเยื่อถาวร
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 118
5) ไซเล็ม (xylem) เป็ นเนื้อเยื่อที่ทาหน้ าที่ลาเลียงนา้ และธาตุอาหารไปสู่ส่วนต่างๆ ของพืช
เซลล์ท่ที าหน้ าที่ลาเลียงนา้ และแร่ธาตุ มี 2 ชนิด ได้ แก่
- เทรคีด (tracheid) เป็ นเซลล์ท่มี ีรูปร่างยาว ปลายค่อนข้ างแหลม
- เวสเซลเมมเบอร์ (vessel member) มีรูปร่ างสั้นกว่าเทรคีด และมักมีขนาดใหญ่ กว่า และ
ที่ด้านหัวและท้ายของเซลล์มีช่องทะลุถึงกัน
- นอกจากนี้ ไซเล็มประกอบด้ วยเซลล์ชนิดอื่นๆ เช่น ไฟเบอร์ และเซลล์พาเรงคิมา เป็ นต้ น
โครงสร้ างพืชที่กล่าวถึงในบทเรียนนี้
ราก
โครงสร้ างตามยาวและตามขวาง
ลาต้ น
หน้ าที่หลักและหน้ าที่พิเศษ
ใบ
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 119
9.2.1 โครงสร้ างและหน้ าที่ของราก
➢ โครงสร้ างและการเจริญเติบโตของราก
2. บริ เ วณการแบ่ ง เซลล์ (region of cell division) ส่ ว นนี้ มี ก ารแบ่ ง เซลล์ แ บบไมโทซิ ส
ซึ่ ง เซลล์ ส่ ว นหนึ่ ง จะมี การเปลี่ ย นแปลงไปเป็ นเซลล์ ใ นหมวกราก แต่ เ ซลล์ ส่ ว นใหญ่ จ ะมี
การเจริญเปลี่ยนแปลงไปเป็ นส่วนประกอบต่างๆ ของโครงสร้ างราก
โครงสร้างรากตามยาว
3. บริ เ วณที่ ยืด ตามยาวของเซลล์ (region of cell elongation) โดยทั่ว ไปเซลล์ บริ เ วณนี้
จะยืดตามยาวทาให้ ความยาวของรากเพิ่มขึ้น
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 120
โครงสร้ างของรากตามขวาง สามารถแยกเป็ นบริเวณหรือชั้นต่างๆ ตามลักษณะเซลล์ท่เี ห็นได้ เป็ น 3 บริเวณ
โครงสร้ าง ลักษณะ
1. เอพิเดอร์มิส - อยู่รอบนอกสุดโดยทั่วไปประกอบด้ วยเซลล์ผิว และเซลล์ขนรากเรียงเป็ นแถวเดียว
- เป็ นบริเวณที่ประกอบด้ วยเซลล์หลายแถวอยู่ระหว่างเอพิเดอร์มิส และบริเวณสตีล
- พบเซลล์พาเรงคิมา ทาหน้ าที่สะสมนา้ และอาหาร
2. คอร์เทกซ์
- ด้ านในสุดของคอร์เทกซ์ มักเห็นเซลล์เรียงเป็ นแถวเรียก เอนโดเดอร์มิส (endodermis) ซึ่งจะ
เห็นชัดเจนในรากพืชใบเลี้ยงเดี่ยว มีแถบ Casparian Strip (สารซูเบอรินสะสมอยู่)
- ประกอบด้ วยเซลล์พาเรงคิมาเรียงเป็ นวงโดยรอบ อาจมีช้ันเดียวหรือ
3.1 เพอริไซเคิล หลายชั้นแล้ วแต่ชนิดพืช สามารถเปลี่ยนสภาพกลับไปเป็ นเนื้อเยื่อเจริญ
แบ่งเซลล์แบบไมโทซิสเพื่อสร้ างเนื้อเยื่อที่เป็ นต้ นกาเนิดของรากแขนง
- เกิดขึ้นในการเติบโตปฐมภูมิ
1) ไซเล็ม ในรากประกอบด้ วยเซลล์หลายชนิด ทาหน้ าที่ลาเลียง
น้าและสารอาหาร ได้ แก่ เวสเซลเมมเบอร์ เทรคีด อาจมีไฟเบอร์ และ
เซลล์พาเรงคิมา นา้ สามารถผ่านเวสเซลเมมเบอร์จากเซลล์หนึ่งไปยังอีก
เซลล์หนึ่งได้ ทางช่องทะลุด้านหัวท้ายของเซลล์ และผ่านผนังเซลล์ด้านข้ าง
3.2 กลุ่มท่อลาเลียง
3. สตีล บริเวณที่ยังบางอยู่ สาหรับเทรคีดนา้ สามารถผ่านจากเซลล์หนึ่งไปยังอีก
เซลล์หนึ่งได้ ทางผนังด้ านข้ างบริเวณที่ยังบางอยู่
2) โฟลเอ็ม ในรากมั กประกอบด้ ว ยเซลล์ ห ลายชนิ ด ได้ แ ก่
ซีฟทิวบ์เมมเบอร์ เซลล์คอมพาเนียน อาจมีเซลล์พาเรงคิมาและไฟเบอร์
การลาเลียงอาหารเกิดขึ้นในซีฟทิวบ์เมมเบอร์ โดยอาหารจะถูกลาเลียง
ผ่านรูของซีฟเพลตและบริเวณคล้ ายรูบนผนังเซลล์ด้านข้ าง
- เป็ นบริเวณตรงกลางของรากหรือลาต้ นที่ไม่ใช่ ไซเล็มปฐมภูมิ ในราก
3.3 พิธ พื ช ใบเลี้ ยงเดี่ ย วบางชนิด เช่ น ข้ า วโพด พบว่ า พิ ธประกอบด้ ว ยเซลล์
พาเรงคิมาอยู่เป็ นบริเวณกว้ าง แต่มักไม่พบพิธในรากพืชใบเลี้ยงคู่
ตารางเปรียบเทียบรากของพืชใบเลี้ยงคู่ และรากของพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
รากพืชใบเลี้ ยงคู่ รากพืชใบเลี้ ยงเดี่ยว
1. กลุ่มเซลล์ในไซเล็ม เห็นเรียงเป็ นแฉกมี 4 แฉก 1. ไซเล็มมีจานวนแฉกเกินกว่า 10 แฉก
2. ชั้นเอนโดเดอร์มิสเห็นไม่ชัดเจน 2. ชั้นเอนโดเดอร์มิสเห็นชัดเจน
3. ตรงกลางเป็ นไซเล็ม 3. ตรงกลางเป็ นพิธ
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 121
ภาพแสดงโครงสร้ างของรากพืชตัดตามขวาง (a) รากพืชใบเลี้ยงคู่ (b) รากพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
ที่มา ; Reece et al. (2011)
ภาพแสดงโครงสร้ างของรากพืช
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 122
การเติบโตทุติยภูมิของรากพืชใบเลี้ ยงคู่ (สาหรับรากพืชใบเลี้ยงเดี่ยวส่วนใหญ่จะไม่พบการเติบโตทุติยภูมิ)
➢ หน้ าที่และชนิดของราก
หน้ าที่ของราก
1) ช่วยยึดต้ นให้ ติดแน่นกับพื้นดิน
2) ช่วยดูดนา้ และธาตุอาหารจากพื้นดิน และลาเลียงไปยังส่วนต่างๆ
3) เปลี่ยนแปลงไปทาหน้ าที่พิเศษ เช่น
หน้ าที่พิเศษของราก ตัวอย่างพืช
รากคา้ จุนลาต้ น ข้ าวโพด ข้าวฟ่ าง โกงกาง เตย ลาเจียก
รากหายใจ แสม ลาพู ลาแพน
รากยึดเกาะและดูดซับความชื้นในอากาศ กล้ วยไม้ ไทร
รากสะสมอาหาร มันแกว กระชาย แครอท มันเทศ มันสาปะหลัง ต้ อยติ่ง
รากทาหน้ าที่เป็ นทุ่นลอย แพงพวยนา้
รากยึดเกาะ พลูด่าง พริกไทย
รากสังเคราะห์ด้วยแสง กล้ วยไม้
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 123
9.2.2 โครงสร้ างและหน้ าที่ของลาต้ น
1. เอพิเดอร์มิส
- อยู่ช้นั นอกสุด ประกอบด้ วยเซลล์ผิวเซลล์คุม และอาจมีขนซึ่งมีลักษณะต่างๆ
โครงสร้างลาต้นตามขวาง (Cross Section)
2. คอร์เทกซ์
- ประกอบด้ วยเซลล์หรือเนื้อเยื่อหลายชนิด ส่วนใหญ่เป็ นพาเรงคิมา และมักมีคอลเลงคิมาอยู่
ติดเอพิเดอร์มิส และมักอยู่ตามบริเวณสันของลาต้ น ในพืชบางชนิดอาจเห็นไม่ชัดเจน เช่น
พืชใบเลี้ยงเดี่ยว
3. สตีล
- เป็ นบริเวณที่อยู่ถัดชั้นคอร์เทกซ์เข้ าไปประกอบด้ วย …
3.1 กลุ่มท่อลาเลียง อยู่เป็ นกลุ่มๆ หลายกลุ่มเรียงตัวเป็ นวงในพืชใบเลี้ยงคู่ แต่ละกลุ่มมี
เนื้อเยื่อท่อลาเลียงด้ านในเป็ นไซเล็ม และด้ านนอกเป็ นโฟลเอ็มเรียงตัวในแนวรัศมีเดียวกัน
3.2 วาสคิวลาร์เรย์ (vascular ray) เป็ นพาเรงคิมาที่อยู่ระหว่างกลุ่มท่อลาเลียงพบในพืชใบ
เลี้ยงคู่
3.3 พิธ อยู่ช้ันในสุดที่ใจกลางของลาต้ นถัดจากแนวกลุ่มท่อลาเลียง อาจสะสมแป้ งหรือสาร
ต่างๆ ได้ มาก
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 124
ลาต้ นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
ภาพแสดงโครงสร้ างของลาต้ นพืชตามขวาง (ซ้ าย) ลาต้ นพืชใบเลี้ยงคู่ (ขวา) ลาต้ นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 125
การเติบโตทุติยภูมิของลาต้ นพืชใบเลี้ยงคู่
การเจริญเติบโตทุติยภูมิ
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 126
ภาพสรุปการเจริญขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 ของพืชใบเลี้ยงคู่
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 127
ภาพแสดงการเจริญขั้นที่ 2 (ทุตยิ ภูมิ) ของลาต้ นพืชใบเลี้ยงคู่
ที่มา ; Reece et al. (2011)
➢ หน้ าที่และชนิดของลาต้ น
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 128
9.2.3 โครงสร้ างและหน้ าที่ของใบ
➢ โครงสร้ างและการเจริญเติบโตของใบ
- ก้ านใบ (petiole)
- ใบของพืชส่วนใหญ่ - แผ่นใบ (blade)
ประกอบด้ วย… - ใบอาจมีหูใบ (stipule) ที่บริเวณโคนก้ านใบ
- ในพืชใบเลี้ยงเดี่ยวใบมักไม่มีก้านใบ แต่จะมีกาบใบ
(leaf sheath)
- ในการสัง เกตว่ า โครงสร้ า งที่เ ห็น คื อ ใบที่ติ ด อยู่ บ นกิ่ง หรื อ เป็ นใบย่ อ ยของใบ
ประกอบ อาจใช้ หลักง่ายๆ โดยดูจากตาตามซอกของใบ ใบประกอบนั้นที่ซอกของใบ
ย่อยจะไม่มีตาตามซอกของใบเกิดขึ้น ใบประกอบที่เจริญเต็มที่แล้ วจะประกอบด้ วย
แผ่นใบย่อยที่มีลักษณะความอ่อนแก่ท่สี ม่าเสมอทั่วกันทั้งใบ
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 129
➢ โครงสร้ างภายในของใบ
โครงสร้ าง ลักษณะ
- อยู่ช้นั นอกสุดประกอบด้ วยเซลล์ผิว เซลล์คุม และอาจมีขน
- ใบจะมีเอพิเดอร์มิสทั้งด้ านบนและด้ านล่าง
1. เอพิเดอร์มิส - โดยทั่วไปพบปากใบที่ผิวใบด้ านล่างมากกว่าด้ านบน
- พืชบางชนิดมีจานวนปากใบทั้งด้ านบนและด้ านล่างใกล้ เคียงกัน เช่น ข้ าวโพด
- พืชที่ใบลอยปริ่มนา้ เช่น บัวสาย จะมีปากใบอยู่เฉพาะทางด้ านบนของใบเท่านั้น
- พืชที่จมอยู่ใต้ นา้ เช่น สาหร่ายหางกระรอก จะไม่มีปากใบ
- อยู่ระหว่างชั้นเอพิเดอร์มิสทั้งสองด้ าน ประกอบด้ วยเซลล์พาเรงคิมาที่มีคลอโรพลาสต์อยู่
เป็ นจานวนมาก จึงมีหน้ าที่สงั เคราะห์ด้วยแสง โดยทั่วไปพบเซลล์ท่มี ีรูปร่างแตกต่างกัน
แบ่งเป็ น 2 แบบ คือ
2. มีโซฟิ ลล์ 2.1 แพลิเซดมีโซฟิ ลล์ (palisade mesophyll) พบอยู่ติดกับเอพิเดอร์มิสด้ านบน เป็ นเซลล์
(mesophyll) รูปร่างยาว
2.2 สปันจีมีโซฟิ ลล์ (spongy mesophyll) อยู่ถัดจากแพลิเซดมีโซฟิ ลล์ ลงมาถึงเอพิเดอร์มิส
ด้ านล่าง เซลล์มีรูปร่างไม่แน่นอนเรียงตัวในทิศทางต่างกัน ภายในมีคลอโรพลาสต์น้อย
กว่าแพลิเซดมีโซฟิ ลล์
- อยู่ตรงบริเวณที่เป็ นเส้ นกลางใบ เส้ นใบ และเส้ นใบย่อยจึงมีขนาดใหญ่เล็กแตกต่างกัน
3. กลุ่มท่อลาเลียง ประกอบด้ วยไซเล็มและโฟลเอ็ม
- พืชบางชนิดกลุ่มท่อลาเลียงจะล้ อมรอบด้ วยเยื่อหุ้มเรียกว่า บันเดิลชีท (bundle sheath)
ภาพแสดงโครงสร้ างของใบพืช
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 130
➢ หน้ าที่ของใบ
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 131
บทที่ 10 : การลาเลียงของพืช
10.1 การลาเลียงนา้ ของพืช
ภาพแสดงการลาเลียงนา้ ระหว่างเซลล์
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 132
การลาเลียงนา้ ในพืช
การแลกเปลี่ยนแก๊สและการคายนา้ ของพืช
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 133
➢ ปัจจัยที่มีผลต่อการปิ ดเปิ ดของปากใบและการคายนา้ ของพืช
2) ความชื้ น ถ้ าความชื้นในอากาศลดลงน้าระเหยออกทางรูปากใบมากขึ้นเกิดการคายน้า
เพิ่มมากขึ้น
10.3 การลาเลียงสารของพืช
➢ กระบวนการลาเลียงสารอาหารในรากมี 2 วิธี คือ...
การลาเลียงแบบไม่ใช้พลังงาน เป็ นการลาเลียงสารอาหารจากบริเวณที่มีความเข้ มข้ นสูงกว่า
(passive transport) ไปยังบริเวณที่มีความเข้ มข้ นต่ากว่า
การลาเลียงแบบใช้พลังงาน เป็ นการลาเลียงสารอาหารจากบริเวณที่มีความเข้ มข้ นต่ากว่า
(active transport) ไปยังบริเวณที่มีความเข้ มข้ นสูงกว่าโดยอาศัยพลังงาน
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 134
➢ ธาตุอาหารที่เป็ นโครงสร้ างพืช ประกอบด้ วย...
1) องค์ประกอบหลัก 96% ธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน
2) สารอาหาร 4% 2.1 สารอาหารหลัก 3.5 % ได้ แก่
- ไนโตรเจน - โพแทสเซียม - แคลเซียม
- ฟอสฟอรัส - แมกนีเซียม - กามะถัน
2.2 สารอาหารรอง 0.5% ได้ แก่
- คลอรีน - เหล็ก - โบรอน
- สังกะสี - แมงกานีส - ทองแดง
- โมลิบดินัม
3) ธาตุจาเป็ นต่อกระบวนการเมตาบอลิซึมและการเจริญเติบโตของพืชโดยตรง
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 135
➢ หน้ าที่ของธาตุบางชนิดและอาการตอบสนองหรืออาการที่พืชแสดงออก
ธาตุ ขาดธาตุ
ไนโตรเจน ใบมีสเี หลืองทั้งใบ จะเริ่มเหลืองที่ใบแก่ก่อน ลาต้ นแคระแกร็น
โพแทสเซียม ใบเหลือง ขอบใบและปลายใบไหม้ เนื้อเยื่อใบตายเป็ นจุดๆ โดยเกิดที่ใบแก่ก่อน
ฟอสฟอรัส การเจริญเติบโตชะงัก ใบแก่มีสเี ขียวเข้ ม ก้ านใบหรือใบอาจมีสแี ดงหรือสีม่วง
แคลเซียม เนื้อเยื่อเจริญปลายยอดและปลายรากตาย ใบอ่อนหงิกงอ ปลายใบ ขอบใบเหี่ยว
แมกนีเซียม ใบมีสเี หลืองบริเวณระหว่างเส้นใบ เกิดที่ใบแก่ก่อน เกิดจุดสีแดงบนใบ ปลายและขอบใบม้ วน
กามะถัน ใบเหลืองทั้งใบ โดยเกิดที่ใบอ่อนก่อน หรือเกิดใบเหลืองทั้งต้ น
เหล็ก ใบเหลืองระหว่างเส้ นใบ แต่เส้นใบมีสเี ขียว เกิดที่ใบอ่อนก่อน ถ้ าขาดอย่างรุนแรงใบอ่อนซีดขาว
ภาพแสดงอาหารขาดธาตุอาหารแต่ละชนิด
ที่มา https://www.kasetorganic.com
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 136
10.4 การลาเลียงอาหารของพืช
การศึกษาการเคลื่อนย้ ายอาหารในพืช
- มี ผ้ ูศึก ษาการลาเลีย งน้า ตาลในพืช โดยใช้ คาร์บ อนไดออกไซด์ ท่ีมี ธาตุ กัม มั นต์ C-14 เป็ นองค์ป ระกอบ โดยเตรีย ม
คาร์บอนไดออกไซด์ในรูปของสารละลายแล้ วนาไปทาการทดลอง ต่อมาคาร์บอนไดออกไซด์ในรูปสารละลายจะกลายเป็ น
แก๊ส ซึ่งพืชจะนาไปใช้ ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
- หลังการทดลองให้ พืชได้ รับแสงเป็ นเวลา 35 นาที แล้ วนาเนื้อเยื่อต่างๆ มาทาให้ แ ห้ งโดยการแช่แข็งและตัดเป็ นชิ้นบางๆ
นาไปวางบนแผ่นฟิ ล์มถ่ายรูปในห้ องมืด เพื่อตรวจสอบนา้ ตาลที่มี C-14
-- การทดลองชุดที่ 1 พบนา้ ตาลที่มี C-14 ที่ส่วนล่างของลาต้ น
-- การทดลองชุดที่ 2 พบ C-14 ที่ส่วนยอดของพืช
-- การทดลองชุดที่ 3 พบ C-14 ที่ส่วนบนและส่วนล่างของพืชหรือทุกส่วนของพืช ส่วนใหญ่จะพบ C-14 ในซีฟทิวบ์
สรุปได้ ว่า พืชใช้ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ท่รี ับเข้ ามาทางรูปากใบเพื่อใช้ ในการสร้ างอาหาร อาหารที่พืชสร้ างขึ้นจะลาเลีย ง
ไปยังแหล่งที่สร้ างอาหารได้ น้อย เช่น ยอดหรือแหล่งที่สร้ างอาหารไม่ได้ เช่น ราก การลาเลียงอาหารจะลาเลียงทางโฟลเอ็ม
มีทิศทางขึ้นไปสู่ยอดและลงไปสู่ราก ซึ่งแตกต่างจากการลาเลียงนา้ และสารอาหารที่ลาเลียงทางไซเล็มและมีทิศทางจากราก
ไปสู่ยอดและใบเท่านั้น
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 137
10.4.2 กระบวนการลาเลียงอาหาร
ภาพแสดงการลาเลียงอาหารของ E. Munch
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 138
บทที่ 11 : การสังเคราะห์ดว้ ยแสง
11.1 การค้ นคว้ าที่เกี่ยวข้ องกับการสังเคราะห์ด้วยแสง
➢ ฌอง แบบติสท์ เวน เฮลมองท์ (Jean Baptiste Van Helmont) ปลูกต้ นหลิวหนัก 5 ปอนด์ ในถังใบใหญ่
ที่บรรจุ ดินซึ่งทาให้ แห้ งสนิทหนัก 200 ปอนด์ แล้ วปิ ดฝาถัง ระหว่างทาการทดลองได้ รดน้าต้ นหลิวที่ปลูกไว้ ทุกๆ วัน
เป็ นระยะเวลา 5 ปี ปรากฏว่าต้ นหลิวสูงขึ้น และหนัก 169 ปอนด์ 3 ออนซ์
➢ แจน อินเก็น ฮูซ (Jan Ingen Housz) ได้ ทาการทดลองคล้ ายกับพรีสต์ลีย์ และพิสูจน์ให้ เห็นว่าการทดลอง
ของพรีสต์ลีย์จะเกิดขึ้นได้ ดีกต็ ่อเมื่อพืชได้ รับแสง และค้ นพบว่าพืชเก็บธาตุคาร์บอนไว้ ในรูปของสารอินทรีย์
จากความรู้ทางเคมีซ่งึ พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ในระยะใกล้ เคียงกับที่พรีสต์ลีย์และฮูซทดลองนั้น พบว่าแก๊สที่เกิด
จากการลุกไหม้ และแก๊สที่เกิดจากการหายใจออกของสัตว์เป็ นแก๊สชนิดเดียวกัน คือ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ส่วนแก๊สที่
ช่ วยในการลุกไหม้ และใช้ ในการหายใจของสัตว์ คือ แก๊สออกซิเจน แสดงให้ เห็นว่ าเมื่อพืชได้ รับแสง พืชจะนาแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์เข้ าไปและปล่อยแก๊สออกซิเจนออกมา
➢ นิ โ คลาส ธี โ อดอร์ เดอ โซซู ร์ (Nicolas Theodore de Soussure) แสดงให้ เห็ น ว่ า พื ช มี ก ารดู ด แก๊ ส
คาร์บอนไดออกไซด์ไปใช้ ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงสอดคล้ องกับฮูซ และพบว่านา้ หนักของพืชที่เพิ่มขึ้นมากกว่า
นา้ หนักของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ท่พี ืชได้ รับ นา้ หนักของพืชที่เพิ่มขึ้นบางส่วนเป็ นนา้ หนักของนา้ ที่พืชได้ รับ
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 139
➢ จากการทดลองโดยการวิเคราะห์ทางเคมีในเวลาต่อมาพบว่าสารอินทรีย์ท่ีได้ จากการสร้ างอาหารของพืช
คือ สารประเภทคาร์โบไฮเดรต และจากผลการศึกษาค้ นคว้ าทดลองจึงเขียนสรุปกระบวนการสร้ างอาหารของพืชได้
➢ ในเวลาต่อมานักวิทยาศาสตร์ได้ เรียกกระบวนการสร้ างอาหารของพืชที่อาศัยแสงนี้ว่า การสังเคราะห์ด้วยแสง
(photosynthesis)
➢ แซม รูเบน (Sam Ruben) และมาร์ติน คาเมน (Martin Kamen) ได้ ทาการทดลองใช้ น้าที่ประกอบด้ วย
ออกซิเจน ดังนี้
1) เมื่อให้ ออกซิเจนในโมเลกุลนา้ เป็ นออกซิเจนหนัก (18O) พบว่าแก๊สออกซิเจนที่ปล่อยออกมาเป็ นออกซิเจนหนัก
2) เมื่อให้ ออกซิเจนในโมเลกุลนา้ เป็ นออกซิเจนปกติ (16O) พบว่าแก๊สออกซิเจนที่ปล่อยออกมาเป็ นออกซิเจนปกติ
➢ แดเนี ย ล อาร์ น อน (Daniel Arnon) ได้ ท าการทดลองต่ อ จากฮิ ล ล์ พบว่ า การสั ง เคราะห์ ด้ ว ยแสง
ประกอบด้ วย 2 ขั้นตอน คือ
- ปฏิกริ ิยาที่ต้องใช้ แสง (Light reaction)
- ปฏิกริ ิยาการตรึงแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 fixation)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 140
11.2 กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
➢ การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชเกิดขึ้นที่คลอโรพลาสต์
มี 2 ขั้นตอน คือ
1) ปฏิกริ ิยาแสง (Light reaction)
คลอโรพลาสต์
(Chloroplast)
โครงสร้ างประกอบด้ วย
เยื่อหุ้ม 2 ชั้น
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 141
ภาพแสดงโครงสร้ างของ chloroplast
ที่มา ; Reece et al. (2011)
ภาพแสดงขั้นตอนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 142
11.2.2 สารสีในปฏิกริ ิยาแสง
ตั ว อย่ า งเช่ น คลอโรฟิ ลล์ แคโรทีนอยด์ (carotenoid) ไฟโคบิ ลิน (phycobilin) และแบคเทอริโ อคลอโรฟิ ลล์
(bacteriochlorophyll) พืช และสาหร่ า ยเป็ นสิ่งมี ชีวิ ต ประเภทยู คาริโ อต จะพบสารสีต่ า งๆ อยู่ ใ นคลอโรพลาสต์
ส่วนสิ่งมีชีวิตประเภทโพรคาริโอตจะพบสารสีต่างๆ อยู่ในเยื่อหุ้มเซลล์ หรือองค์ประกอบอื่นที่เปลี่ยนแปลงมาจาก
เยื่อหุ้มเซลล์
ในพืชและสาหร่ายสีเขียว มีคลอโรฟิ ลล์ 2 ชนิด คือ คลอโรฟิ ลล์เอ และคลอโรฟิ ลล์บี นอกจากคลอโรฟิ ลล์แล้ ว ยังมี
แคโรทีนอยด์ซ่งึ พบในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด และพบว่าในสาหร่ายสีแดง และไซยาโนแบคทีเรียมีไฟโคบิลินด้ วย
กลุ่ม สารสีเ หล่ า นี้ฝังตั ว อยู่ ใ นกลุ่ม ของโปรตี นบนเยื่ อ ไทลาคอยด์ เรีย กว่ า แอนเทนนา (antenna) ท าหน้ า ที่รับ
พลังงานแสงแล้ วส่งต่อไปตามลาดับจนถึงคลอโรฟิ ลล์เอโมเลกุลพิเศษที่เป็ นศูนย์กลางปฏิกิริยา (reaction center)
ของระบบแสง
ภาพแสดงความยาวคลื่นของสารสีท่ใี ช้ ในการสังเคราะห์ด้วยแสง
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 143
เมื่อโมเลกุลของสารสีดูดพลังงานจากแสง
ทาให้ อเิ ล็กตรอนที่อยู่ในสถานะปกติหรือสถานะพื้น (ground state) ถูกกระตุ้นให้ มีพลังงานมากขึ้น
อิเล็กตรอนจะเคลื่อนสู่ระดับที่มพี ลังงานสูงขึ้น
ซึ่งเรียกว่าอิเล็กตรอนอยู่ในสถานะถูกกระตุ้น (excited state) จะมีสภาพไม่คงตัว
อิเล็กตรอนจะถ่ายทอดพลังงานที่ถูกกระตุ้นจากโมเลกุลของสารสีหนึ่งไปยังสารสีโมเลกุลอื่นต่อๆ ไป
จนสู่คลอโรฟิ ลล์เอโมเลกุลพิเศษที่เป็ นศูนย์กลางปฏิกริ ิยา
เมื่อคลอโรฟิ ลล์เอโมเลกุลพิเศษได้ รับพลังงานทีเ่ หมาะสม
จะทาให้ อเิ ล็กตรอนหลุดออกจากโมเลกุล และมีตัวรับอิเล็กตรอนมารับ
แล้ วมีการถ่ายทอดพลังงานโดยอิเล็กตรอนตัวนี้ไปยังตัวรับอิเล็กตรอนอื่นๆ อีกหลายตัว
ซึ่งขั้นตอนนี้เป็ นขั้นตอนการเปลี่ยนพลังงานแสงเป็ นพลังงานเคมี
➢ แอนเทนนาแต่ ล ะโมเลกุ ล จะรั บพลั งงานแสงแล้ วส่ งต่ อตามล าดับไปยั งคลอโรฟิ ลล์ เอที่เป็ นศูนย์ กลาง
ปฏิกิริยา แอนเทนนา และศูนย์กลางปฏิกิริยาจะฝังตัวอยู่ในกลุ่มของโปรตีนที่เยื่อไทลาคอยด์ ซึ่งจะมีตัวรับอิเล็กตรอนที่
รับอิเล็กตรอนจากศูนย์ปฏิกริ ิยารวมอยู่ด้วย เรียกกลุ่มของโปรตีนสารสีน้ วี ่า ระบบแสง (photosystem ; PS)
เป็ นระบบแสงที่มี คลอโรฟิ ลล์เ อเป็ นศูนย์ ก ลางปฏิกิริย า โดยจะรับ พลังงานแสงได้ ดี ท่ีสุด ที่มี
ระบบแสง I ความยาวคลื่น 700 นาโนเมตร เรียกศูนย์กลางปฏิกริ ิยาของระบบแสง I นี้ว่า P700
ระบบแสง II
เป็ นระบบแสงที่มี คลอโรฟิ ลล์เ อเป็ นศูนย์ ก ลางปฏิกิริย า โดยจะรับ พลังงานแสงได้ ดี ท่ีสุด ที่มี
ความยาวคลื่น 680 นาโนเมตร เรียกศูนย์กลางปฏิกริ ิยาของระบบแสง II นี้ว่า P680
ภาพแสดงโครงสร้ างของระบบแสงบนไทลาลอยด์
ที่มา ; http://legacy.owensboro.kctcs.edu/gcaplan/bio/notes/07_08aPhotosElectronFlow_L.jpg
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 144
11.2.3 ปฏิกริ ิยาแสง
➢ เกิ ด ขึ้ นที่ เ ยื่ อ ไทลาคอยด์ โ ดยจะมี ร ะบบแสง I ระบบแสง II และโปรตี น หลายชนิ ด ที่ ท าหน้ า ที่ รั บ และถ่ า ยทอด
อิเล็กตรอนต่อๆ ไป ตามลาดับ
ภาพแสดงการเกิดปฏิกริ ิยาแสงบริเวณไทลาคอยด์
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 145
➢ การถ่ายทอดอิเล็กตรอนดังกล่าวข้ างต้ นเกิดขึ้นได้ 2 ลักษณะ คือ…
เกิ ดกระบวนการ
Photophosphorylation
เกิ ดกระบวนการ
Photophosphorylation
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 146
➢ กระบวนการ Photophosphorylation เกิด Chemiosmosis
ภาพแสดงการเกิด photophosphorylation
ที่มา ; Reece et al. (2011)
NOTE ;
- ไดยูรอน เป็ นสารกาจัดวัชพืชทีย่ ับยั้งการถ่ายทอดอิเล็กตรอนในระบบแสง II จึงยับยั้งการสังเคราะห์ด้วยแสง
- พาราควอต เป็ นสารกาจัดวัชพืชอีกชนิดหนึ่ง มีกลไกการทางานโดยแย่งรับอิเล็กตรอนที่ระบบแสง I จะส่งต่อไปยัง NADP+ แล้ ว
รีดิวซ์ออกซิเจนให้ กลายเป็ น superoxide ซึ่งสามารถทาปฏิกริ ิยากับสารหลายชนิดในคลอโรพลาสต์ จึงมีผลยับยั้งการสังเคราะห์ด้วยแสง
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 147
11.2.4 การตรึงคาร์บอนไดออกไซด์
รีเจเนอเรชัน (Regeneration)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 148
➢ การสร้ าง G3P ให้ มากเพียงพอที่จะสามารถไปสร้ าง RuBP ขึ้นมาใหม่น้ันต้ องตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ 3 โมเลกุล
จึงได้ ผลิตภัณฑ์เป็ น G3P รวม 6 โมเลกุล G3P จานวน 5 โมเลกุล จะถูกนากลับไปสร้ างเป็ น RuBP อีกได้ 3 โมเลกุล เพื่อ
รับคาร์บอนไดออกไซด์จนครบ 3 โมเลกุล ส่วน G3P ที่เหลือ 1 โมเลกุล จากวัฏจักรเคลวินถูกนาไปสร้ างเป็ นกลูโคสและ
สารประกอบอินทรีย์อ่นื ๆ
11.3 โฟโตเรสไพเรชัน
➢ โฟโตเรสไพเรชัน (photorespiration)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 149
ภาพแสดงการเกิด Photorespiration
➢ ใบพื ช C4 พบว่ า มี โ ซฟิ ลล์ ป ระกอบด้ ว ยเซลล์ ท่ีมีลั กษณะเหมื อนกัน มี ค ลอโรพลาสต์ ใ นมี โ ซฟิ ลล์และ
บันเดิลชีทชัดเจน พืช C4 มักพบในเขตร้ อนหรือกึ่งร้ อนมีประมาณ 1,500 ชนิด เช่น ข้ าวโพด ข้ าวฟ่ าง อ้ อย หญ้ าแพรก
หญ้ าแห้ วหมู ผักโขมจีน และบานไม่ร้ โู รย เป็ นต้ น
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 150
11.4.2 การตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ของพืช C4
ตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ในรูปของสารประกอบอนินทรีย์ของไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออน (HCO-3)
กับฟอสโฟอีนอลไพรูเวต (phosphoenolpyruvate) หรือกรดฟอสโฟอีนอลไพรูวิก (phosphoenolpyruvic acid)
หรือใช้ สญ
ั ลักษณ์ย่อว่า PEP ซึ่งเป็ นสารที่มีคาร์บอน 3 อะตอม
ได้ เป็ นออกซาโลแอซิเตต (oxaloacetate) หรือกรดออกซาโลแอซิติก (oxaloacetic acid)
หรือใช้ สญ
ั ลักษณ์ย่อว่า OAA ซึ่งมีคาร์บอน 4 อะตอม สารชนิดนี้เป็ นสารประกอบเสถียรชนิดแรก
ที่ได้ จากการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ จึงเรียกพืชที่มีกระบวนการเช่นนี้ว่า พืช C4
จากนั้น OAA จะถูกเปลี่ยนเป็ น มาเลต (malate) หรือกรดมาลิก (malic acid)
แล้ วลาเลียงผ่านพลาสโมเดสมาตาเข้ าสู่เซลล์บันเดิลชีท
➢ พืชซีเอเอ็ม (Crassulacean acid metabolism plant ; CAM) เช่น กระบองเพชร กล้ วยไม้ ศรนารายณ์ ลิ้นมังกร ว่าน
หางจระเข้ สับปะรด และพืชวงศ์แครสซูลาซี (Crassulacenae) ได้ แก่ กุหลาบหิน คว่าตายหงายเป็ น เป็ นต้ น จะมีการตรึง
คาร์บอนไดออกไซด์ 2 ครั้ง ในเวลาต่างกัน
ในเวลากลางคืน มีอุณหภูมิต่าลงและความชื้นสูงขึ้น
รูปากใบของพืชกลุ่มนี้จะเปิ ด เพื่อตรึงแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ท่เี ข้ าทางรูปากใบ
ในรูปของไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออนในเซลล์มีโซฟิ ลล์โดยสารประกอบ PEP
ซึ่งจะได้ เป็ น OAA ซึ่งต่อไปจะเปลี่ยนเป็ นกรดมาลิกสะสมไว้ ในแวคิวโอล
ในเวลากลางวัน กรดมาลิกจะเปลี่ยนเป็ นกรดไพรูวิกและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
และถูกลาเลียงเข้ าสูว่ ัฏจักรเคลวินต่อไป
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 151
ภาพเปรียบเทียบการตรึงแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ของพืช C4 และพืช CAM
ที่มา ; Reece et al. (2011)
ตารางเปรียบเทียบการตรึงแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ของพืชแต่ละชนิด
ข้ อเปรียบเทียบ พืช C3 พืช C4 พืช CAM
1. จานวนการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ 1 ครั้ง 2 ครั้ง 2 ครั้ง
2. เวลาที่เกิดการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์
- กลางวัน กลางคืน
โดยสาร PEP
3. การเกิดวัฏจักรเคลวิน เกิด เกิด เกิด
ครั้งแรก PEP ครั้งแรก PEP
4. สารที่ใช้ ตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ RuBP
ครั้งที่สอง RuBP ครั้งที่สอง RuBP
ทุกเซลล์ ทุกเซลล์
5. แหล่งสร้ าง G3P หรือ PGAL เซลล์บันเดิลชีท
ที่มีคลอโรพลาสต์ ที่มีคลอโรพลาสต์
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 152
11.5 ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการสังเคราะห์ด้วยแสง
11.5.2 แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
➢ ถ้ าหากความเข้ มข้ นของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ต่ามาก จะทาให้ พืชสังเคราะห์ด้วยแสงได้ น้อย เพราะพืชจะ
ขาดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ เมื่อความเข้ มข้ นของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศเพิ่มขึ้น พืชจะสามารถตรึง
คาร์บอนไดออกไซด์ได้ มากขึ้น
➢ คาร์บอนไดออกไซด์ คอมเพนเซชันพอยท์ (carbondioxide compensation point) คือ ค่าความเข้ มข้ นของ
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ระดับหนึ่งที่เพิ่มขึ้น ที่ทาให้ อัตราการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยกระบวนการสังเคราะห์ แสง
เท่ากับ อัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการหายใจ
➢ จุ ด อิ่ ม ตั ว ของคาร์ บ อนไดออกไซด์ (carbondioxide saturation point) คื อ จุ ด ที่ ค่ า ความเข้ มข้ นของ
คาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศเพิ่มมากขึ้นถึงจุดหนึ่งจนอัตราการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์สทุ ธิไม่เพิ่มขึ้น
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 153
ภาพแสดง CO2 compensation point
ที่มา ; https://my.dek-d.com/hammy100/writer/viewlongc.php?id=948160&chapter=8
11.5.3 อุณหภูมิ
➢ อุณหภูมิมีอิทธิพลต่อการสังเคราะห์ แสงของพืช เนื่องจากอุณหภูมิมีผลต่อการทางานของเอนไซม์ต่ างๆ
ดังนั้นถ้ าอุณหภูมิเหมาะสมต่อการทางานของเอนไซม์ อาจทาให้ พืชมีอตั ราสังเคราะห์แสงสูง
➢ เมื่ออุณหภูมิสงู ขึ้นถึงระดับหนึ่งมีผลต่อการสังเคราะห์ด้วยแสง ดังนี้
1) อัตราการสังเคราะห์แสงลดลง เพราะอัตราการหายใจ และอัตราการเกิดโฟโตเรสไพเรชันเพิ่มขึ้น จึงทาให้
อัตราการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์จึงลดลง
2) เมื่ ออุ ณ หภูมิสูง หรื อต่ า กว่ า อุ ณหภูมิท่ี เ หมาะสมต่ อการสังเคราะห์ ด้ วยแสงมากๆ จะมี ผ ลทาให้ สมบัติ
การเป็ นเยื่ อเลื อกผ่ า นของเยื่ อหุ้ ม ออร์ แ กเนลล์ ต่ า งๆ ที่จ าเป็ นต่ อการทางานของระบบการสัง เคราะห์ แ สงสู ญ เสี ย
ความสามารถไปด้ วย
3) เมื่ออุณหภูมิสงู จะทาให้ เอนไซม์ท่เี กี่ยวข้ องกับกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงเสียสภาพ
11.5.4 อายุใบ
➢ ในพืชที่อ่อนหรือแก่เกินไป จะทาให้ พืชมีความสามารถในการสังเคราะห์ด้วยแสงต่ากว่าใบพืชที่เจริญเติบโต
เต็มที่ เพราะว่าใบที่อ่อนเกินไปการพัฒนาของคลอโรพลาสต์ยังไม่เจริญเต็มที่ ส่วนใบที่แก่เกินไปจะมีการสลายตัวของ
กรานุมและคลอโรฟิ ลล์มีผลทาให้ การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชลดลงไปด้ วย
11.5.6 สารอาหาร
➢ สิ่งมีชีวิตที่สังเคราะห์ด้วยแสงจะต้ องมีสารสีท่ใี ช้ ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง โดยเฉพาะคลอโรฟิ ลล์
และยังต้ องมีธาตุอาหารที่จาเป็ นต่อกระบวนการสังเคราะห์คลอโรฟิ ลล์
➢ ธาตุแมกนีเซียมและไนโตรเจนเป็ นธาตุสาคัญในองค์ประกอบของคลอโรฟิ ลล์ การขาดธาตุเหล่านี้ส่งผลให้
พืชเกิดอาการใบเหลืองซีดที่เรียกว่า คลอโรซิส (chlorosis) เนื่องจากใบขาดคลอโรฟิ ลล์
➢ ธาตุเหล็กจาเป็ นต่อกระบวนการสร้ างคลอโรฟิ ลล์ และเป็ นองค์ประกอบของไซโทโครมซึ่งเป็ นตัวถ่ายทอด
อิเล็กตรอน ส่วนธาตุแมงกานีสและคลอรีนจาเป็ นต่อกระบวนการแตกตัวของนา้ ในปฏิกริ ิยาการสังเคราะห์ด้วยแสง
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 154
11.6 การปรับตัวของพืชเพื่อรับแสง
การปรับตัวของพืชเพื่อรับแสง
การปรับตัวโดยการจัดเรียงใบ
➢ เช่น ใบหูกวาง จะมีก่งิ ก้ านสาขามาก มีการปรับตัวโดยจะ
เพื่อแข่งขันในการรับแสงของพืชที่ข้ นึ
จัดเรียงกิ่งโดยรอบลาต้ น เพื่อให้ ใบแต่ละใบรับแสงได้ เต็มที่
ในบริเวณเดียวกัน
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 155
บทที่ 12 : การควบคุมการเจริญเติบโตและการตอบสนองของพืช
12.1 สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช
สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช
ในปี พ.ศ. 2423 ชาลส์ ดาร์วิน (charles darwin) และฟรานซิส ดาร์วิน (francis darwin) ได้ ทดลองกับ
ต้ นกล้ าของหญ้ า พบว่าปลายยอดหรือโคลีออพไทล์เป็ นส่วนรับแสงทาให้ ต้นกล้ าเอนเข้ าหาแสงได้
ในปี พ.ศ. 2469 ฟริตส์ เวนต์ (frits went) ได้ ตัดปลายของโคลีออพไทล์ของต้ นกล้ าข้ าวโอ๊ต นาไปวาง
บนวุ้นที่ตัดเป็ นแผ่นเล็กๆ ไว้ สักครู่หนึ่ง แล้ วนาชิ้นวุ้นไปวางลงบนต้ นกล้ าอีกต้ นหนึ่งที่เอาโคลีออพไทล์
ออกไปแล้ ว โดยทาการทดลองในที่มืด ทาให้ ทราบว่าปลายโคลีออพไทล์สามารถสร้ างสารบางชนิดที่ทาให้
ปลายของโคลีออพไทล์โค้ งงอได้ และเวนต์เรียกสารนั้นว่า ออกซิน (auxin)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 156
สารควบคุมการเจริญของพืช (Plant hormone)
ประกอบด้ วย
ออกซิน (Auxin)
ไซโทไคนิน (Cytokinin)
จิบเบอเรลลิน (Gibberellin)
เอทิลีน (Ethylene)
ออกซิน (Auxin)
เมื่ อ สร้ า งแล้ ว จะแพร่ จ ากปลายยอดไปยั ง ส่ ว นอื่น ๆ ที่อ ยู่ ด้ า นล่ า ง โดยจะไปกระตุ้ น ให้ เ ซลล์ บ ริ เ วณที่มี ก ารยื ด ตั ว
(cell elongation) ขยายขนาดขึ้นทาให้ เจริญเติบโตสูงขึ้นขนาดใหญ่ข้ นึ
การทางานของออกซินขึ้นอยู่กบั สิ่งเร้ าต่างๆ เช่น แสงสว่าง แรงโน้ มถ่วงของโลก อุณหภูมิ สิ่งสัมผัสต่างๆ เป็ นต้ น
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 157
ไซโทไคนิน (Cytokinin)
จิบเบอเรลลิน (Gibberellin)
เอทิลีน (Ethylene)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 158
กรดแอบไซซิก (Abscisic acid)
สรุป สารควบคุมการเจริญของพืช
สารควบคุมการเจริญของพืช แหล่งสร้ าง หน้ าที่
- เนื้อเยื่อเจริญปลายยอด - กระตุ้นการขยายตัวตามยาวของเซลล์
- ใบอ่อน - กระตุ้นการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของราก
ออกซิน
- เอ็มบริโอ - ยับยั้งการเจริญของตาข้ าง
- พัฒนารังไข่เป็ นผลโดยไม่ต้องได้ รับการปฏิสนธิ
- เนื้อเยื่อเจริญเหนือข้อของ - กระตุ้นให้ เซลล์แบ่งตัวและเซลล์ขยายตัวตามยาว
พืชใบเลี้ยงเดี่ยว - กระตุ้นการงอกของเมล็ด
จิบเบอเรลลิน
- เนื้อเยื่อเจริญปลายยอด - กระตุ้นการออกดอกของพืชบางชนิด
- เอ็มบริโอ - พัฒนารังไข่เป็ นผลโดยไม่ต้องได้ รับการปฏิสนธิ
- เนื้อเยื่อเจริญปลายราก - กระตุ้นการแบ่งเซลล์
ไซโทไคนิน
- ผลอ่อน - กระตุ้นการเกิดตาข้าง
- เนื้อเยื่อผลไม้ ใกล้ สกุ - เร่งการสุกของผลไม้
เอทิลีน - ใบแก่ - กระตุ้นการหลุดร่วงของใบ
- บริเวณข้ อ - กระตุ้นการออกดอกของพืชบางชนิด
- ลาต้ น - ยับยั้งการเจริญเติบโตของตา
- ผลดิบ - การปิ ดเปิ ดของปากใบ
กรดแอบไซซิก
- ราก - กระตุ้นการหลุดร่วงของใบ
- ใบแก่ - ยับยั้งการงอกของเมล็ด
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 159
12.2 การตอบสนองของพืชต่อสิง่ แวดล้ อม
การตอบสนองของพืช
การตอบสนองเนื่องจากสิ่งเร้ า
(Stimulus Movement)
เป็ นการเคลื่อนไหวที่ไม่มีทิศทางจาเพาะ เช่น การบานของ
1. Nasty หรือ Nastic Movement ดอกกุหลาบ หรือดอกจาปี เนื่องมาจากเซลล์ด้านในเติบโต
มากกว่าด้ านนอก
การตอบสนองเนื่องจากแรงดันเต่ง
(Turgor Movement)
การหุบของใบไมยราบที่ตอบสนองต่อการสัมผัส ซึ่งการเคลื่อนไหวแบบนี้เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของแรงดันเต่ง
ภายในเซลล์ เมื่ อ น าโคนก้ า นของไมยราบมาศึ ก ษาพบว่ า ที่โ คนก้ า นใบมี ลั ก ษณะพองออกเป็ นกระเปาะเรี ย กว่ า
พัลไวนัส (pulvinus) มีความไวสูงต่อสิ่งเร้ าที่มากระตุ้น เช่น การสัมผัส มีผลทาให้ แรงดันเต่งเซลล์กลุ่มนี้เปลี่ยนแปลง
อย่างรวดเร็ว คือ เซลล์จะสูญเสียนา้ ให้ กบั เซลล์ข้างเคียงใบจึงหุบทันที เมื่อเวลาผ่านนา้ จากเซลล์ข้างเคียงจะแพร่กลับเข้ า
มาในเซลล์อกี ครั้งหนึ่งทาให้ เซลล์เต่งและใบกางออกดังเดิม และพบในพืชกับดักแมลง
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 160
บทที่ 13 : ระบบย่อยอาหาร
13.1 การย่อยอาหารของสัตว์
พบในสิ่งมีชีวิตที่มีระบบทางเดินอาหาร และพวกผู้ย่อยสลาย
การย่อยอาหารภายนอกเซลล์ อินทรียสาร เช่ น เห็ด โดยเซลล์จะมีการหลั่งเอนไซม์ออกมา
(Extracellular Digestion) ย่ อ ยอาหารภายนอกเซลล์ แ ล้ ว ดู ด ซึ ม อาหารที่ ย่ อ ยแล้ ว เข้ า
สู่เซลล์
➢ การย่อยอาหารของจุลินทรีย์ เช่น รา
➢ การย่อยอาหารของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว
อะมีบา
อาหาร เข้ าสู่ cell โดยอาศัยวิธี Phagocytosis (ของแข็ง) เก็บไว้ ท่ี food vacuole
Pinocytosis (ของเหลว)
พารามีเซียม
ใช้ ซิเลียพัดโบกอาหาร ผ่าน oral groove เก็บที่ food vacuole แล้ วมีเอนไซม์
สารอาหารลาเลียงไปใช้ ท่วั เซลล์ จาก lysosome เข้ ามาย่อย
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 161
➢ การย่อยอาหารของสัตว์ไม่มกี ระดูกสันหลัง มี เ ซลล์คอยดั ก จั บ อาหาร หรือ อินทรีย สารขนาดเล็ก ที่ลอยในน้า
แบ่งเป็ น …
1) Choanocyte (Collar cell ; เซลล์ ป ลอกคอ) มี Flagellum ยื่ น
ไม่มีทางเดินอาหาร ฟองนา้ ออกมาใช้ ย่อยอาหารพวก Bacteria และสารอินทรีย์ขนาดเล็กไม่เกิน
1 ไมโครเมตร
2) Amoebocyte (คล้ ายอะมีบา) ใช้ ย่อยอาหารขนาดใหญ่ประมาณ
5–50 ไมโครเมตร
ทางเดินอาหารแบบไม่สมบูรณ์
ทางเดินอาหารแบบสมบูรณ์
ภาพแสดงโครงสร้ างของฟองนา้
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 162
ภาพแสดงโครงสร้ างทางเดินทางอาหารของไฮดรา (ซ้ าย) และพลานาเรีย (ขวา)
ที่มา ; Solomon, Berg, Martin (2011)
ภาพแสดงทางเดินอาหารของสัตว์เคี้ยวเอื้อง
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 163
➢ การย่อยอาหารของสัตว์เคี้ยวเอื้อง
วัว ควาย จะมีกระเพาะอาหาร 4 ส่วน คือ รูเมน เรติควิ ลัม โอมาซัม และอะโบมาซัม
13.2 การย่อยอาหารของมนุษย์
การย่อยอาหารในสัตว์
ชั้นสูง
มี 2 วิธี คือ
การย่อยเชิงกล
เช่น การบดเคี้ยวของฟัน การบีบตัวของทางเดินอาหาร (Peristalsis)
(Mechanical Digestion)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 164
ภาพแสดงทางเดินอาหารของมนุษย์
ที่มา ; Solomon, Berg, Martin (2011)
ภาพแสดงโครงสร้ างของฟัน
ที่มา ; Solomon, Berg, Martin (2011)
2. ลิ้ น (Tongue) : มีต่อมรับรส 5 รส คือ ขม เปรี้ยว เค็ม หวาน อูมามิ
3. ต่อมน้ าลาย (Salivary Gland) : มีเอนไซม์อะไมเลสย่อยแป้งให้เป็ นน้ าตาลมอลโทส
มีอยู่ 3 คู่ ใต้ ล้ นิ ข้ างกกหู (ติดเชื้อ : คางทูม) ใต้ ขากรรไกร
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 165
❖ คอหอย (Pharynx) : เป็ นทางผ่านของอาหาร ไม่มีการย่อย
ภาพแสดงการเกิด peristalsis
ที่มา ; Solomon, Berg, Martin (2011)
Pepsinogen , Prorenin
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 166
➢ การย่อยในกระเพาะอาหาร : ย่อยเชิงกล และทางเคมี
มีฮอร์โมน Gastrin กระตุ้นให้ เซลล์ท่ผี นังกระเพาะอาหารหลั่ง HCl
Polypeptide Peptide
ภาพแสดงโครงสร้ างของกระเพาะอาหาร
ที่มา ; Solomon, Berg, Martin (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 167
- ผนังชั้นในของลาไส้ เล็กเป็ นปุ่ มเล็กๆ จานวนมาก เรียกว่า “วิลไล” (Villi) ทาหน้ าที่ช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวใน
การย่อยและดูดซึมสารอาหาร
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 168
❖ น้ าดีจากตับ
ตับสร้ างนา้ ดี เก็บไว้ ท่ถี ุงนา้ ดี ย่อยไขมัน ไขมันแตกตัว
นา้ ดี ประกอบด้ วย
1) Bile Salt เกลือนา้ ดี ทาให้ ไขมันแตกตัว
2) Bile pigment รงควัตถุน้าดี เกิดจากการสลายตัวของ Hemoglobin เป็ นแหล่ งทาลายและกาจัดออก
จากเซลล์เม็ดเลือดแดง Hemoglobin รวมตัวเป็ น Bile pigment เรียกว่า Bilirubin ทาให้ น้าดีมีสีเหลืองหรือเขียว
อ่อน และเป็ นสีเหลืองแกมนา้ ตาลโดยแบคทีเรียในลาไส้ ใหญ่เกิดเป็ นสีของอุจจาระ
3) Cholesterol ถ้ า มี ม ากเกิ น ไปจะท าให้ เกิ ด นิ่ ว ในถุ ง น้า ดี และอุ ด ตั น ที่ ท่ อ น้า ดี เ กิ ด เป็ นโรคดี ซ่ า น
(Janudice) ทาให้ การย่อยไขมันบกพร่อง
ภาพแสดงโครงสร้ างของตับและตับอ่อน
ที่มา ; Solomon, Berg, Martin (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 169
การย่อยโปรตีน กรดอะมิโน
ย่อย Peptide
Procaboxypeptidase Carboxypeptidase
ตับอ่อน สร้ าง Chymotrypsinogen Chymotrypsin
(inactive Enz.) (active Enz.)
การย่อยคาร์โบไฮเดรต
ตับอ่อน สร้ าง Amylase ย่อยแป้ ง ไกลโคเจน และเดกซ์ตริน นา้ ตาลมอลโทส
เซลล์ผนังด้านในลาไส้เล็ก สร้ าง Maltase ย่อย Maltose Glucose + Glucose
Sucrase ย่อย Sucrose Glucose + Fructose
Lactase ย่อย Lactose Glucose + Galactose
การย่อยลิพิด
ตับ สร้ าง นา้ ดี (เก็บที่ถุงนา้ ดี) ไขมันแตกตัว กรดไขมัน + กลีเซอรอล
ลาไส้เล็ก และ ตับอ่อน สร้ าง Lipase
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 170
❖ ลาไส้ใหญ่ (Large Intestine)
- ทาหน้ าที่ดูดซึม Vitamin เกลือแร่ นา้
- มีความยาว 1.5 m. ประกอบด้ วย
1) Caecum (ซีกมั ) มีไส้ ต่งิ (Vermiform Appendix) อยู่
2) Colon (โคลอน) ยาวมากที่สดุ
3) Rectum (เรคตัม) ยาวประมาณ 12-15 cm.
- ภายในลาไส้ ใหญ่จะมี Bacteria เรียกว่า E. coli (อยู่แบบภาวะพึ่งพา) สังเคราะห์ Vitamin K,
Vitamin B12, กรดโฟลิก, ไบโอติน ทาให้ เกิดแก๊สมีเทน และไฮโดรเจนซัลไฟด์ จากการย่อยสลายอาหาร
❖ ทวารหนัก (Anus)
- มีความยาว 28-35 cm.
- มีกล้ ามเนื้อหูรูด 2 ชั้น ควบคุมการขับถ่ายอุจจาระ
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 171
บทที่ 14 : ระบบหายใจ
14.1 การแลกเปลีย่ นแก๊สของสัตว์
สัตว์ การแลกเปลี่ยนแก๊ส
แมลง มีท่อลม (Trachea) ซึ่งแตกเป็ นท่อลมฝอยขนาดเล็กที่มีผนังบางมาก
แทรกไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย และไปสิ้นสุดทีเ่ ซลล์ของเนื้อเยื่อ
อากาศจะผ่านช่องหายใจ ซึ่งเป็ นรูเล็กๆ อยู่ด้านข้ างลาตัวบริเวณส่วนท้องเข้ าสู่ท่อลม
ท่อลมเล็กและมีผนังบางมาก การแลกเปลี่ยนแก๊สจะเกิดขึ้นระหว่าง
ปลายท่อลมฝอยขนาดเล็กกับเซลล์โดยตรง
นอกจากนี้แมลงที่บินได้ บางชนิดยังมีถุงลม (Air sac) ซึ่งติดต่อกับช่องหายใจ
ที่อยู่ภายในส่วนท้องจานวนมาก เพื่อสารองอากาศไว้ ใช้ ในขณะบิน
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 172
ภาพแสดงโครงสร้ างในการแลกเปลี่ยนแก๊สของแมลง
ที่มา ; Reece et al. (2011)
สัตว์ การแลกเปลี่ยนแก๊ส
แมงมุม มีท่อลมซ้ อนเป็ นชั้นพับไปมา มีหลอดเลือดนาแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
มาแลกเปลี่ยนที่แผงท่อลมนี้แล้ วรับออกซิเจน
จึงเรียกว่า ปอดแผง (Book lung)
สัตว์นา้ ได้เปรียบสัตว์บกเพราะบริเวณแลกเปลี่ยนแก๊สมีความชุ่มชื้นเนื่องจากสัมผัสกับนา้ โดยตรง
แต่มีขอ้ เสียเปรียบ คือ ในนา้ มีปริมาณออกซิเจนละลายอยู่น้อยมาก แพร่ในนา้ ช้ ากว่าในอากาศ
ประมาณ 1,000 เท่า ถ้ าอุณหภูมิของนา้ สูงขึ้นออกซิเจนก็จะละลายในนา้ ได้ น้อยลง
แต่สตั ว์นา้ ก็สามารถรับออกซิเจนได้ เพียงพอต่อความต้ องการ เนื่องจากมีการจัดเรียงเนื้อเยื่อ
อวัยวะทีใ่ ช้ แลกเปลี่ยนแก๊สให้ มพี ้ นื ที่มากสาหรับการแลกเปลี่ยนแก๊ส
เช่น เหงือก (Gill) ของปลา และกุ้งจะมีลักษณะเป็ นซี่ๆ เรียงกันเป็ นแผง
แต่ละซี่จะมีขนาดเล็กมากประกอบด้ วยเซลล์ท่เี รียงตัวเป็ นชั้นบางๆ หุ้มหลอดเลือดฝอย
ทาให้ แก๊สสามารถแพร่ผ่านเข้ าไปได้ ง่าย
สัตว์สะเทินนา้ ขณะเป็ นลูกอ๊อดหายใจด้ วยเหงือก เรียกว่า external gill เมื่อโตเต็มวัยกบจะหายใจด้ วยปอด
สะเทินบก เช่น กบ (Lung) และผิวหนัง กบมีปอด 1 คู่ ไม่มีกะบังลม ไม่มีซ่โี ครงและกล้ ามเนื้อกระดูกซี่โครง
สัตว์ปีก จะมีปอดที่เจริญดีทาให้ สามารถแลกเปลี่ยนแก๊สได้ ดี และนาออกซิเจนทีไ่ ด้ ไปใช้ ในการสลาย
เช่น นก สารอาหารเพื่อให้ ได้ พลังงานสาหรับใช้ ในกิจกรรมต่างๆ ใช้ ในการบิน
ซึ่งเป็ นกิจกรรมที่ต้องใช้ พลังงานมาก
ปอดของนกมีท่อเชื่อมต่อกับถุงลม (Air sac) ซึ่งมีถึง 9 ถุง เพื่อสารองอากาศไว้ ใช้ ขณะบิน
เมื่อหายใจเข้ าครั้งที่ 1 ถุงลมส่วนหลังขยายตัว อากาศภายนอกเข้ าสู่ท่อลมไปยังถุงลมส่วนหลัง
เมื่อหายใจออกครั้งที่ 1 ถุงลมส่วนหลังจะหดตัว อากาศจากถุงลมส่วนหลังจะเคลื่อนเข้ าสูป่ อด
เมื่อหายใจเข้ าครั้งที่ 2 ถุงลมส่วนหน้ าขยายตัว อากาศจากปอดจะเคลื่อนเข้ าสู่ถุงลมส่วนหน้ า
เมื่อหายใจออกครั้งที่ 2 ถุงลมส่วนหน้ าจะหดตัว ขับอากาศออกสู่ภายนอกทางท่อลม
ดังนั้น แต่ละรอบของการหายใจเพื่อให้ อากาศครบวงจร
นกจะมีการหายใจเข้ าและหายใจออก 2 ครั้ง
สัตว์เลี้ยงลูก มีปอดเป็ นโครงสร้ างที่ใช้ ในการแลกเปลี่ยนแก๊สอยู่ภายในร่างกาย
ด้ วยนม
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 173
ภาพแสดงโครงสร้ างในการแลกเปลี่ยนแก๊สของปลา ภาพแสดงโครงสร้ างในการแลกเปลี่ยนแก๊สของนก
ที่มา ; Reece et al. (2011) ที่มา ; Reece et al. (2011)
14.2 อวัยวะและโครงสร้างในระบบหายใจของมนุษย์
ภาพแสดงโครงสร้ างทางเดินหายใจของมนุษย์
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 174
โครงสร้ างที่ใช้ ในการแลกเปลี่ยนแก๊สของคน
อากาศเข้ าสูป่ อด เริ่มที่... รูจมูก โพรงจมูก คอหอย กล่องเสียง ท่อลม หลอดลม ปอด
(ซ้ ายและขวา) ซึ่งจะแตกแขนงเล็กลงเรื่อยๆ เรียกว่า หลอดลมฝอย ถุงลม
ภาพแสดงกราฟที่ได้จากการใช้เครื่องสไปโรมิเตอร์
ที่มา : http://fat.surin.rmuti.ac.th/teacher/songchai/respiratory%20web/respire%20exam.htm
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 175
14.3 การแลกเปลีย่ นแก๊สและการลาเลียงแก๊ส
การแลกเปลี่ยนแก๊ส
การแลกเปลี่ยนแก๊สที่ปอด
เป็ นการแลกเปลี่ยนแก๊สระหว่างถุงลมกับหลอดเลือดฝอย ;
โดยแก๊สออกซิเจนจากถุงลมจะแพร่เข้ าสู่หลอดเลือดฝอยรอบๆ ถุงลม และจับกับฮีโมโกลบิน (Hb) ที่ผิวเม็ดเลือดแดง
กลายเป็ นออกซีฮีโมโกลบิน (Oxyhemoglobin) ซึ่งมีสแี ดงสด
เลือดที่มีออกซีฮีโมโกลบินนี้จะเข้ าสู่หัวใจและสูบฉีดไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกาย
ที่เซลล์ของเนื้อเยื่อ ; ออกซีฮีโมโกลบินจะเปลี่ยนเป็ นแก๊สออกซิเจนและฮีโมโกลบิน
แก๊สออกซิเจนจะแพร่เข้ าสู่เซลล์ทาให้ เซลล์ของเนื้อเยื่อได้ รับออกซิเจน
ขณะที่เซลล์ได้ รับแก๊สออกซิเจนนั้น แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ท่เี กิดขึ้นในเซลล์จะแพร่เข้ าสู่หลอดเลือดฝอย
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ส่วนใหญ่จะทาปฏิกริ ิยากับนา้ ในเซลล์เม็ดเลือดแดงเกิดเป็ นกรดคาร์บอนิก
ซึ่งจะแตกตัวได้ ไฮโดรเจนไอออน และไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออน
แล้ วไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออนจะถูกลาเลียงสูน่ า้ เลือดหรือพลาสมาโดยการแพร่แบบฟาซิลิเทต
เมื่อเลือดที่มีไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออน และไฮโดรเจนไอออนมากไหลเข้ าสู่หัวใจ
เลือดจะถูกสูบฉีดต่อไปยังหลอดเลือดฝอยรอบถุงลม ไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออน และไฮโดรเจนไอออน
จะรวมตัวกันเป็ นกรดคาร์บอนิกแล้ วจึงสลายเป็ นแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
เมื่อแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในหลอดเลือดฝอยสูงกว่าในถุงลม จึงเกิดการแพร่ออกจากหลอดเลือดฝอยเข้ าสู่ถุงลม
1. การแลกเปลี่ยนออกซิเจน
Hb + O2 HbO2
2. การแลกเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 176
ภาพแสดงการแลกเปลี่ยนแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 177
➢ การควบคุมการหายใจ
- เป็ นการหายใจที่ไม่สามารถบังคับได้
1. การควบคุมแบบอัตโนมัติ
โดยสมองส่วนพอนส์และเมดัลลาออบลองกาตา
- เป็ นการหายใจที่สามารถบังคับได้
2. การควบคุมภายใต้ อานาจจิตใจ
โดยสมองส่วนเซรีบรัลคอร์เทกซ์ เซรีเบลลัม และไฮโพทาลามัส
โรคและความผิดปกติ สาเหตุและอาการ
เกิดจากเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสเข้ าไปในหลอดลม และเข้ าสู่เนื้อเยื่อปอดทาให้ เกิดการอักเสบ
1. โรคปอดบวม
และทาให้ พ้ นื ที่ผิวในการแลกเปลี่ยนแก๊สลดลง
เกิดจากการสูบอากาศที่เป็ นพิษเป็ นเวลานาน ถุงลมและหลอดลมฝอยส่วนปลาย
ถูกทาลาย ทาให้ ความสามารถในการนาเอาอากาศเข้าปอดและพื้นที่ผิวสาหรับแลกเปลี่ยนแก๊ส
2. โรคถุงลมโป่ งพอง
ลดลง ผู้ป่วยจึงต้ องเพิ่มการหายใจทาให้ เกิดการเหนื่อยหอบ และหัวใจทางานหนักขึ้น
จนอาจมีอาการหัวใจวายได้
เกิดจากการได้ รับสิ่งกระตุ้น เช่น เกสรดอกไม้ ฝุ่น ควันบุหรี่ อากาศเปลี่ยนแปลง และสารเคมี เป็ น
3. โรคภูมิแพ้ ต้ น สิ่งเหล่านี้ทาให้ เกิดการหดของกล้ ามเนื้อท่อลม เป็ นเหตุให้ ท่อลมตีบกว่าปกติ จนผู้ป่วยหายใจ
ไม่สะดวก หรือหายใจไม่ทนั เกิดอาการหอบหืด และอาจเสียชีวิตได้ ในที่สดุ
การวัดอัตราการหายใจ
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 178
บทที่ 15 : ระบบหมุนเวียนเลือดและระบบน้ าเหลือง
15.1 การลาเลียงสารในร่างกายของสัตว์
การลาเลียงสารในร่างกายของสัตว์
ระบบหมุนเวียนเลือดแบบเปิ ด ➢ แมลง
(Open Circulatory System) มีหลอดเลือดใหญ่อยู่ทางด้ านหลังของลาตัว หัวใจ
เลือดไหลออกจากเส้นเลือดเข้ าสู่ช่องว่างในลาตัว ท าหน้ า ที่สูบ ฉีด เลือ ดไปตามหลอดเลือด บางช่ ว ง
และที่ว่างอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย (Hemocoel) เลือดจะออกจากหลอดเลือดแทรกซึมตามช่องว่าง
มีของเหลว เรียกว่า Hemolymph พบในสัตว์ ภายในลาตัว
พวกหอย และอาร์โทรพอด (แมลง)
➢ ไส้เดือนดิน
มี ห ลอดเลื อ ดทอดยาวตลอดล าตั ว ทั้ ง ด้ านบน
ระบบหมุนเวียนเลือดแบบปิ ด
และด้ า นล่ า ง หลอดเลื อ ดทางส่ ว นหั ว มี ลั ก ษณะ
(Closed Circulatory System)
เป็ นห่วงหลอดเลือดรอบบริเวณหลอดอาหารติดต่อ
เลือดไหลอยู่ในเส้นเลือดตลอดเวลา จะพบใน
ระหว่างหลอดเลือดด้ านบนและด้ านล่าง ทาหน้ าที่
สัตว์พวกแอนเนลลิด (ไส้เดือนดิน) หมึก และ
สูบ ฉี ด เลื อ ดไปตามหลอดเลื อ ดเหมื อ นกับ หั ว ใจ
ในพวกสัตว์มกี ระดูกสันหลัง
จึงเรียกว่าห่ วงหลอดเลือดบริเวณนี้ว่า หัวใจเทียม
(pseudoheart)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 179
ภาพแสดงหัวใจของของสัตว์ชนิดต่างๆ
ที่มา ; Solomon, Berg, Martin (2011)
15.2 การลาเลียงสารในร่างกายของมนุษย์
การลาเลียงสารในร่างกายของมนุษย์
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 180
➢ หัวใจ หัวใจของคน และสัตว์เลี้ยงลูกด้ วยนา้ นมชนิดต่างๆ มีโครงสร้ างที่คล้ ายกัน คือ...
ภาพแสดงโครงสร้ างของหัวใจมนุษย์
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 181
ภาพแสดงการหมุนเวียนเลือดของมนุษย์
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 182
➢ หลอดเลือด
ชนิดของหลอดเลือด ลักษณะ
- เป็ นหลอดเลือดที่มีขนาดเล็ก ผนังบางมาก สานกันเป็ นร่ างแหแทรกอยู่ ตามเนื้อเยื่อทั่ว
หลอดเลือดฝอย ร่างกาย
(Capillary) - เชื่อมระหว่างอาร์เทอรีกบั เวน
- หน้ าที่แลกเปลี่ยนสารภายในหลอดเลือดกับเซลล์
- เป็ นหลอดเลือดขนาดใหญ่มีผนังหนา ยืดหยุ่นได้ ดี มีความดันเลือดสูง
หลอดเลือดอาร์เทอรี
- เป็ นหลอดเลือดที่ออกจากหัวใจ
(Artery)
- ส่วนใหญ่จะมี O2 สูง ยกเว้ น Pulmonary Artery จะมี CO2 สูง
- มีผนังบางกว่าอาร์เทอรีจึงมีความยืดหยุ่นน้ อยกว่า ความดันเลือดต่ากว่าอาร์เทอรี
หลอดเลือดเวน
- เป็ นหลอดเลือดที่นาเลือดเข้ าสู่หัวใจ
(Vein)
- ส่วนใหญ่จะมี CO2 สูง ยกเว้ น Pulmonary Vein จะมี O2 สูง
ภาพแสดงโครงสร้ างของหลอดเลือด
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 183
➢ เลือดและส่วนประกอบของเลือด : เลือดถูกแยกออกมาเป็ น 2 ส่วน คือ พลาสมา กับ เซลล์เม็ดเลือดและ
เกล็ดเลือดหรือเพลตเลต ส่วนของพลาสมานั้นมีประมาณร้ อยละ 55
ของปริมาณเลือดทั้งหมด ส่วนทีเ่ หลืออีกร้ อยละ 45 เป็ นเซลล์เม็ดเลือด
และเพลตเลต
- ทาหน้ าที่ลาเลียงสารอาหารที่ย่อยแล้ ว แร่ธาตุ ฮอร์โมน และแอนติบอดีไปให้ เซลล์
ส่วนต่างๆ ของร่างกาย
- พลาสมาเป็ นของเหลวค่อนข้ างใส มีสเี หลืองอ่อน ประกอบด้ วยนา้ ร้ อยละ 90-93
พลาสมา และโปรตีนที่สาคัญ คือ ไฟบริโนเจน อัลบูมิน และโกลบูลิน และประกอบด้ วยแร่ธาตุ
(Plasma) หรือไอออนต่างๆ สารอาหารโมเลกุลเล็ก เอนไซม์ ฮอร์โมน และของเสีย ได้ แก่ ยูเรีย
- ถ้ าเจาะเลือดออกมาวางไว้ ให้ แข็งตัวแล้ วปั่นแยกเอาเฉพาะแอนติบอดี เรียกว่า ซีรัม
- ทาหน้ าที่รับส่งแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และแก๊สออกซิเจน
- เมื่อเจริญเต็มที่รูปร่างกลมแบน ตรงกลางบุ๋มไม่มีนิวเคลียส และไม่มีไมโทคอนเดรีย
- การที่เซลล์เม็ดเลือดแดงมีสแี ดง เนื่องจากภายในเซลล์ประกอบด้ วยฮีโมโกลบิน
ซึ่งเป็ นโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีธาตุเหล็กเป็ นองค์ประกอบ ทาให้ มีความสามารถในการจับ
กับแก๊สต่างๆ เช่น ออกซิเจน คาร์บอนมอนอกไซด์
เซลล์เม็ดเลือดแดง - ในระยะเอ็มบริโอ เซลล์เม็ดเลือดแดงเป็ นเซลล์ท่ีมีนิวเคลียส สร้ างจากตับ ม้ าม และ
ไขกระดูก แต่ในทารกระยะใกล้ คลอดจนเติบโตเป็ นผู้ใหญ่จะสร้ างเฉพาะในไขกระดูก
(Erythrocyte)
โดยเซลล์เม็ดเลือดแดงที่สร้ างขึ้นใหม่ๆ เป็ นเซลล์ท่มี ีนิวเคลียส มีอายุประมาณ
100 - 150 วัน หลังจากนั้นจะถูกทาลายที่ตับและม้ าม
- เพศชายมีประมาณ 5-5.5 ล้ านเซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร ส่วนเพศหญิงจะมี
ประมาณ 4.5-5 ล้ านเซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 184
ภาพแสดงองค์ประกอบของเลือด
ที่มา ; Reece et al. (2011)
ภาพแสดงชนิดของเซลล์เม็ดเลือด
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 185
กลไกการแข็งตัวของเลือดเมื่อเกิดบาดแผล
ภาพแสดงกลไกการแข็งตัวของเลือดเมื่อเกิดบาดแผล
ที่มา ; Reece et al. (2011)
➢ ความดันเลือด ; เกิดจากการบีบตัวของหัวใจ
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 186
หมู่เลือดและการให้ เลือด
➢ ระบบเลือด ABO
❖ หมู่เลือดตามระบบ ABO จะจาแนกตามชนิดของไกลโคโปรตีน หรือแอนติเจนที่เยื่อหุ้มเซลล์ของเม็ดเลือดแดง
❖ โดยจาแนกได้ เป็ นเลือดหมู่ A B AB O ตามลาดับ
* การให้ เลือด มีหลักการ คือ แอนติเจนของผู้ให้ ตอ้ งไม่ตรงกับแอนติบอดีของผู้รับ
* หมู่เลือด AB รับเลือดได้ ทุกหมู่ (Universal Recipient)
* หมู่เลือด O ให้ เลือดได้ ทุกหมู่ (Universal Donor)
➢ ระบบเลือด Rh
❖ มีแอนติเจนชนิดเดียวคือ แอนติเจน Rh ไม่มีแอนติบอดีซ่งึ เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ (ยกเว้ นจะได้ รับการกระตุ้น)
❖ คนที่มีแอนติเจน Rh ถือว่ามีหมู่เลือด Rh+
❖ คนที่ไม่มีแอนติเจน Rh ถือว่ามีหมู่เลือด Rh-
❖ หากคนที่มีหมู่เลือด Rh- ได้ รับเลือดจากคนที่มีหมู่เลือด Rh+ พบว่า แอนติเจน Rh จะกระตุ้นให้ คนที่มีหมู่เลือด
Rh- สร้ างแอนติบอดี Rh ขึ้นมาได้ ดังนั้นการให้ เลือดในครั้งต่อๆ ไป เลือดจะตกตะกอนจนถึงแก่ชีวิตได้
❖ แม่ Rh- รับเลือดจากลูกในครรภ์ท่มี ี Rh+ ทาให้ แม่สร้ าง Antibody Rh หากแม่ต้งั ครรภ์ลูกคนที่ 2 ที่มี Rh+
จะทาให้ เกิดอาการแท้ง เรียกว่า Erythroblastosis fitalis
ที่มา : https://www.britannica.com/science/erythroblastosis-fetalis
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 187
15.3 ระบบน้ าเหลือง
ระบบนา้ เหลือง ➢ ประกอบด้ วย นา้ เหลือง และหลอดนา้ เหลือง ทาหน้ าที่ลาเลียงนา้ เหลือง ในบางช่วง
นา้ เหลืองจะผ่านเข้ าไปในต่อมนา้ เหลือง ซึ่งจะมีหลอดนา้ เหลืองหลายๆ หลอดเข้ ามายัง
ต่อมนา้ เหลือง
ได้ แก่
- พบทั่วร่างกายภายในมีลิมโฟไซต์อยู่เป็ นกระจุก
1. ต่อมนา้ เหลือง (Lymph - ต่อมนา้ เหลืองบริเวณคอ เรียกว่า “ทอนซิล”
Node) (Tonsil) มีหน้ าที่ป้องกันจุลินทรีย์ท่ผี ่านมาใน
อากาศไม่ให้ เข้ าสู่หลอดอาหาร
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 188
บทที่ 16 : ระบบภูมคิ มุ ้ กัน
16.1 กลไกการต่อต้านหรือทาลายสิง่ แปลกปลอม
➢ การทางานของเซลล์ที (T-cell)
ทาลายเซลล์แปลกปลอม
เช่น มะเร็ง เซลล์ติดเชื้อไวรัส
และ อวัยวะที่ถูกปลูกถ่าย
กระตุ้น
ชิ้นส่วนของ Antigen กระตุ้น
ที่ถูกย่อย Helper T – cell ; CD4+
โดยวิธี Phagocytosis
➢ การทางานของเซลล์บี (B-cell)
กระตุ้น
Antigen เข้ าสู่ร่างกาย B – cell
แบ่งเซลล์เป็ น
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 189
NOTE ; การทางานของ Lymphocyte
ลิ ม โฟไซต์ (Lymphocyte) มี ค วามส าคั ญ ในการสร้ างแอนติ บ อดี (Antibody) เพื่ อตอบสนองต่ อ
สิ่งแปลกปลอมอย่างจาเพาะ ลิมโฟไซต์ท่เี จริญบริเวณต่อมไทมัส เรียกว่า “T-Lymphocyte” หรือ “T-cell” มีหน้ าที่
ต่ อต้ านเชื้อโรค สิ่งแปลกปลอม และอวัยวะที่ปลูกถ่ ายจากผู้อ่ืน ส่วนลิมโฟไซต์ท่ีเจริญบริเวณไขกระดูก เรียกว่ า
“B-Lymphocyte” หรือ “B-Cell” มีหน้ าที่สร้ างแอนติบอดี
T-Cell แบ่งเป็ น…
1) Helper T-Cell หรือ CD4+ : ช่วยการทางานของ B-cell
2) Cytotoxic T-Cell หรือ CD8+: ทาลายเซลล์แปลกปลอม
3) Suppressor T-Cell : กดการทางานของ T-cell และ B-Cell
➢ ภูมิค้ มุ กันของร่างกายมนุษย์
2.1.1 เป็ นภูมิค้ มุ กันก่อเองทีเ่ กิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น เคยเป็ นโรคนั้น ทาให้ ร่างกาย
สร้ างภูมิค้ มุ กันขึ้นมา
2.1.2 เป็ นภูมิค้ มุ กันที่ทาขึ้นแล้ วนาเข้ าสู่ร่างกาย ให้ ร่างกายสร้ างภูมิค้ มุ กัน
- เกิดจากการนาแอนติเจนหรือ “วัคซีน” (Vaccine) มาฉีด หรือกิน เพื่อกระตุ้น
ให้ ร่างกายสร้ างแอนติบอดีต่อต้ านเชื้อนั้นๆ
- วัคซีนที่เป็ นสารพิษและหมดความเป็ นพิษแล้ วเรียกว่า “ทอกซอยด์” (Toxoid)
สามารถกระตุ้นให้ สร้ างภูมิค้ มุ กันได้ เช่น วัคซีนคุ้มกันโรคคอตีบ บาดทะยัก
- วัคซีนที่ได้ จากจุลินทรีย์ท่ตี ายแล้ ว เช่น โรคไอกรน ไทฟอยด์ อหิวาตกโรค
- วัคซีนที่ได้ จากจุลินทรีย์ท่ยี ังมีชวี ิต เช่น วัณโรค หัด โปลิโอ คางทูม หัดเยอรมัน
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 190
2.2 ภูมิค้ มุ กันรับมา (Passive Immunization)
2.2.2 เป็ นภูมิ ค้ ุ ม กัน ชนิ ด ที่รั บ มาที่เ รี ย กว่ า ซี รั ม (Serum) ที่มี แ อนติ บ อดี อ ยู่ แล้ ว
มาฉีดให้ ผ้ ูป่วย ทาให้ ได้ รับภูมิค้ ุมกันโดยตรงต่อต้ านโรคได้ ทันที ใช้ รักษาโรครุนแรง
เฉียบพลัน เช่น คอตีบ บาดทะยัก พิษงู พิษสุนัขบ้ า ฯลฯ
- ซีรัม ผลิตจากการฉีดเชื้อโรคที่อ่อนกาลังเข้ าในสัตว์แล้ วนาซีรัมที่มีแอนติบอดี ม า
รักษาโรคในคน
เป็ นภูมิค้ มุ กันรับมารักษาโรคได้ ทนั ที แต่อยู่ได้ ไม่นานและผู้ป่วยอาจแพ้
ซีรัมสัตว์กไ็ ด้
…………………………………………………………………………………………………………………………………….
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 191
บทที่ 17 : ระบบขับถ่าย
17.1 ระบบขับถ่ายของสัตว์
การขับถ่าย (excretion)
เป็ นกระบวนการสาคัญอย่างหนึ่งที่จะช่วยรักษาดุลยภาพของร่างกาย
ภายในเซลล์ของสิง่ มีชีวิตมีปฏิกริ ิยาเคมีต่างๆ หรือ Metabolism เกิดขึ้น ผลที่ได้ คือ ของเสีย (waste)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 192
NOTE ;
ปลาน้าจืด อาศัยอยู่ ในน้าซึ่งมีความเข้ มข้ นต่ ากว่าสารละลายภายในร่ างกาย ทาให้ น้าแพร่ เข้ าสู่ร่างกาย
ตลอดเวลา โดยเฉพาะบริเวณเหงือกซึ่งสัมผัสนา้ ตลอดเวลา จึงปรับตัว ดังนี้
- มีเกล็ดหรือผิวหนังหนาเพื่อป้ องกันไม่ให้ นา้ ซึมผ่านได้
- ไตขับปัสสาวะมีความเข้ มข้ นน้ อยหรือเจือจาง และปัสสาวะบ่อย
- บริเวณเหงือกมีเซลล์พเิ ศษดูดแร่ธาตุท่จี าเป็ นกลับสู่ร่างกาย
ปลานา้ เค็ม อาศัยอยู่ในนา้ ซึ่งมีความเข้ มข้ นสูงกว่าสารละลายภายในร่างกาย จึงต้ องพยายามปรับตัว ดังนี้
- ปลาฉลาม ปลากระเบน มี Rectal Gland กาจัดเกลือที่เกินความต้ องการ
- ปลากระดูกแข็ง เซลล์ท่เี หงือกขับเกลือแร่ (ด้ วยวิธี Active transport) และขับปัสสาวะที่มีความเข้ มข้ นสูง
นกทะเล จะมีการกาจัดเกลือออกโดยใช้ ต่อมนาซัล (Nasal Gland)
➢ การขับของเสียที่มีไนโตรเจนเป็ นองค์ประกอบ
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 193
ภาพแสดงการขับของเสียที่มีไนโตรเจนเป็ นองค์ประกอบ
ที่มา ; Reece et al. (2011)
การขับถ่ายของคน
1) โกลเมอรูลัส (glomerulus)
เป็ นกลุ่มหลอดเลือดฝอย โดยผนังของหลอดเลือดฝอยจะชิดกับผนังด้ านในของโบว์แมนส์แคปซูล
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 194
ภาพแสดงระบบขับถ่ายและไตของมนุษย์
ที่มา ; Reece et al. (2011)
ภาพแสดงการดูดกลับสารบริเวณท่อหน่วยไต
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 195
การกรองและดูดกลับสารที่หน่วยไต
ไตกับการรักษาสมดุลของนา้ และสารต่างๆ
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 196
➢ กลไกการดูดนา้ กลับที่ท่อหน่วยไต สามารถแสดงได้ ดังแผนผัง ดังนี้
ท่อหน่วยไต
ดื่มนา้
เลือดเจือจางลง
ความดันเลือดสูงขึ้นเป็ นปกติ ทาให้
เกิดการดูดนา้ กลับ
แรงดันออสโมซิสลดต่าลงเป็ นปกติ
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 197
บทที่ 18 : ระบบประสาทและอวัยวะรับสัมผัส
18.1 การรับรูแ้ ละการตอบสนอง
สิ่งมีชีวิตจะมีกลไกในการรับรู้และตอบสนอง ดังนี้
เซลล์ประสาท
สิ่งเร้ า หน่วยรับความรู้สกึ รับความรู้สกึ
หน่วยแปลความรู้สกึ
เซลล์ประสาท
การตอบสนอง หน่วยปฏิบัติงาน สั่งการ
การตอบสนอง
สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 198
ภาพแสดงโครงสร้ างที่ใช้ ในการตอบสนองของสัตว์ชนิดต่างๆ
ที่มา ; Reece et al. (2011)
18.2 เซลล์ประสาท
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 199
ภาพแสดงโครงสร้ างของเซลล์ประสาท
ที่มา ; Solomon, Berg, Martin (2011)
➢ เซลล์ประสาทจาแนกตามหน้ าที่
เป็ นเซลล์ประสาทที่รับกระแสประสาทจากหน่วยรับความรู้สึกแล้ ว
เซลล์ประสาทรับความรู้สกึ
(sensory neuron) ถ่ายทอดกระแสประสาทไปยังเซลล์ประสาทสั่งการ ตัวเซลล์ประสาท
รับความรู้สกึ อยู่ท่ปี มประสาทรากบนของไขสันหลัง
ภาพแสดงประเภทเซลล์ประสาทจาแนกตามหน้ าที่
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 200
➢ เซลล์ประสาทจาแนกโดยใช้ จานวนเส้นใยประสาทต่อหนึ่งเซลล์ประสาท
ภาพแสดงประเภทของเซลล์ประสาท
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 201
18.3 การทางานของเซลล์ประสาท
18.3.1 การเกิดกระแสประสาท
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 203
➢ โซเดียมโพแทสเซียมปั๊ม (Na+-K+ Pump)
ทาหน้ าที่ปรับความเข้ มข้ นของ Na+ และ K+ ในเซลล์ให้ คงที่ โดย Na+ ที่ผ่านเข้ าไปในเซลล์ถูกขับ
ออกไป และดึง K+ กลับเข้ ามาในเซลล์ดังเดิม
NOTE ;
ในเซลล์ประสาทที่ไม่มีเยื่อไมอีลินหุม้ การนากระแสประสาทจะเกิดต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จากจุ ดกระตุ้นไปตลอดจนถึงปลายแอกซอน
โดยเกิดการเปลี่ยนแปลงประจุในจุดถัดไป เมื่อผ่านไปแล้ วจุดนั้นก็จะกลับคืนสู่สภาวะปกติ
กรณีเซลล์ประสาทที่มีเยือ่ ไมอีลินหุม้ เยื่อไมอีลินจะทาหน้ าที่เป็ นฉนวนกั้นประจุไฟฟ้ าที่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ ดังนั้นแอกซอนตรงบริเวณที่ มี
เยื่อไมอีลินหุ้มจะไม่มีแอกชันโพเทนเชียลเกิดขึ้น แอกชันโพเทนเชียลจะเคลื่อนที่จากบริเวณโนดออฟเรนเวียร์หนึ่งข้ ามไปยังอีกโนดออฟเรน
เวียร์หนึ่งตลอดความยาวของเส้นใยประสาท ดังนั้นการเคลื่อนที่ของกระแสประสาทในเส้นใยประสาทที่มีเยื่อไมอีลินหุ้มจึงเป็ นเสมือนกระโดด
จากโนดออฟเรนเวียร์หนึ่งไปยังอีกโนดออฟเรนเวียร์หนึ่ง
ความเร็วของกระแสประสาทในแอกซอนที่ไ ม่มีเ ยื่อไมอีลินหุ้ มอยู่กับขนาดเส้ นผ่านศูนย์ก ลางของเส้ นใยประสาท ถ้ าเส้ นใยประสาท
มีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดใหญ่จะนากระแสประสาทได้ เร็วกว่าขนาดเล็ก แอกซอนที่มีเยื่อไมอีลินหุ้มที่มีระยะห่างของโนดออฟเรนเวียร์มากกว่า
จะมีการเคลื่อนที่ของกระแสประสาทได้ เร็วกว่า
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 204
18.3.2 การถ่ายทอดกระแสประสาทระหว่างเซลล์ประสาท
ภาพแสดงการส่งกระแสประสาทระหว่างเซลล์ประสาทบริเวณ synapse
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 205
18.4 ศูนย์ควบคุมระบบประสาท
➢ โครงสร้ างของระบบประสาท
ระบบประสาท
ระบบประสาทส่วนกลาง ระบบประสาทรอบนอก
ซิมพาเทติก
พาราซิมพาเทติก
ภาพแสดงโครงสร้ างของระบบประสาท
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 206
➢ ศูนย์ควบคุมระบบประสาทของคน คือ สมอง และไขสันหลัง ซึ่งพัฒนาและเปลี่ยนแปลงมาจากโครงสร้ างเดียวกัน
คือ นิวรัลทิวบ์ (neural tube)
➢ ส่วนของด้ านหน้ าที่พองออกนี้จะพัฒนาไปเป็ นสมอง 3 ส่วน คือ สมองส่วนหน้ า สมองส่วนกลาง และสมองส่วนหลัง
ทั้งสมองและไขสันหลังจะอยู่ภายในเยื่อหุ้ม ซึ่งเยื่อหุ้มนี้เป็ นเยื่อ 3 ชั้น ได้ แก่
1) ชั้นนอกมีลักษณะหนาเหนียวและแข็งแรง ทาหน้ าที่ป้องกันการกระทบกระเทือนแก่ส่วนที่เป็ นเนื้อสมองและไขสันหลัง
2) ชั้นกลางเป็ นเยื่อบางๆ
3) ชั้นในแนบสนิทไปตามรอยโค้ งเว้ าของสมองและไขสันหลัง จะมีหลอดเลือดมาหล่อเลี้ยงอยู่มาก เพื่อนาสารอาหารและ
แก๊สออกซิเจนมาเลี้ยงเซลล์ช้นั ในของสมองและไขสันหลัง
➢ ระหว่างเยื่อหุ้มสมองชั้นกลางกับชั้นในจะมี น้ าเลี้ ยงสมองและไขสันหลัง (cerebrospinal fluid; CSF)
สมอง (Brain)
➢ สมองของสัตว์มีกระดูกสันหลังส่วนนอกเห็นเป็ นเนื้ อสีเทา (gray matter) มีตัวเซลล์ประสาทและแอกซอนไม่มีเยื่อไมอีลิน
แต่ส่วนในของสมองหลายแห่งมีเส้นใยประสาทที่มีเยื่อไมอีลินหุ้มจึงเห็นเป็ นเนื้ อสีขาว (white matter)
➢ สมองของคนนับว่ามีพัฒนาการสูงที่สดุ เพราะมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับนา้ หนักตัวและมีรอยหยักบนสมองมากกว่า สัตว์อ่นื
➢ สมองคนแบ่งออกเป็ น 3 ส่วน ได้ แก่ สมองส่วนหน้ า สมองส่วนกลาง และสมองส่วนหลัง
1) สมองส่วนหน้า (forebrain) ประกอบด้ วย 4 ส่วน ได้ แก่ ออลแฟกทอรีบลั บ์ (olfactory bulb) เซรีบรัม (cerebrum)
ไฮโพทาลามัส (hypothalamus) และทาลามัส (thalamus)
2) สมองส่วนกลาง (midbrain) สมองส่วนนี้ประกอบด้ วยบริเวณต่างๆ ที่ประสานเกี่ยวกับรีเฟล็กซ์ของการมองเห็นและ
การได้ ยิน ในสัตว์มีกระดูกสันหลังที่ไม่ใช่สตั ว์เลี้ยงลูกด้ วยนา้ นม สมองส่วนนี้จะทาหน้ าที่เป็ นศูนย์กลางการมองเห็น
ซึ่งเรียกว่า ออพติกโลบ (optic lobe)
3) สมองส่วนหลัง (hindbrain) ประกอบด้ วย พอนส์ (pons) เมดัลลาออบลองกาตา (medulla oblongata) และ
เซรีเบลลัม (cerebellum)
ภาพแสดงโครงสร้ างของศูนย์ควบคุมระบบประสาทของคน
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 207
NOTE ; หน้าที่ของสมองแต่ละส่วน
1. สมองส่วนหน้า (Forebrain หรือ Prosencephalon) ประกอบด้ วย
1.1 เซรีบรัม (Cerebrum) ; ความคิด ความจา การเคลื่อนไหว
1.2 ออลแฟกทอรีบลั บ์ (Olfactory Bulb) ; การดมกลิ่น
1.3 ทาลามัส (Thalamus) ; ศูนย์กลางกระแสประสาท
1.4 ไฮโพทาลามัส (Hypothalamus) ; อารมณ์ ความรู้สกึ สมดุลร่างกาย
2. สมองส่วนกลาง (Midbrain หรือ Mesencephalon) ; การมองเห็น การปิ ด-เปิ ดม่านตา
3. สมองส่วนท้าย (Hind Brain หรือ Rhombencephalon) อยู่ท้ายสุดติดต่อกับไขสันหลัง ประกอบด้ วย
3.1 เซรีเบลลัม (Cerebellum) ; การทรงตัว การเคลื่อนไหว
3.2 พอนส์ (Pons) ; เคลื่อนไหวใบหน้ า
3.3 เมดัลลาออบลองกาตา (Medulla Oblongata) ; การหายใจ
ควบคุมเกี่ยวกับบุคลิกภาพ
ควบคุมความฉลาดระดับสูง
สมาธิ วางแผน ตัดสินใจ
ความเข้ าใจและการใช้
คาพูด
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 208
ไขสันหลัง (Spinal cord)
ภาพแสดงโครงสร้ างของไขสันหลัง
ที่มา ; Solomon, Berg, Martin (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 209
เส้ นประสาท (Nerve)
แบ่งเป็ น
เส้นประสาทไขสันหลัง 31 คู่ ประกอบด้ วย
- บริเวณคอ 8 คู่ - บริเวณอก 12 คู่
- บริเวณเอว 5 คู่ - บริเวณกระเบนเหน็บ 5 คู่
- บริเวณก้ นกบ 1 คู่
ภาพแสดงเส้ นประสาทในร่างกายมนุษย์
ที่มา ; https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Nervous_system_diagram-en.svg
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 210
เส้ นประสาทสมองและการทางาน
➢ การทางานของระบบประสาทสั่งการ
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 211
กิริยารีเฟล็กซ์ (Reflex) คือ การทางานนอกอานาจจิตใจโดยไม่ต้องผ่านสมอง เพียงแต่นาส่งกระแสประสาทจาก
อวัยวะรับความรู้สึกต่างๆ ผ่านเข้ าไขสันหลัง และนาคาสั่งออกไปยังอวัยวะหรือกล้ ามเนื้อ เช่น เมื่อถูกเคาะที่หัวเข่าแล้ ว
ขาจะกระตุก
ภาพแสดงตัวอย่างการเกิดกิริยารีเฟล็กซ์
ที่มา ; Reece et al. (2011)
เซลล์ประสาทประสานงาน
เซลล์ประสาทสั่งการ
(ไขสันหลัง หรือสมอง)
หน่วยปฏิบัติงาน การตอบสนอง
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 212
❖ ระบบประสาทอัตโนวัติ (autonomic nervous system หรือ ANS)
- เกิดกับหน่วยปฏิบัติงานที่บังคับไม่ได้
- การควบคุมการทางานโดยระบบประสาทซิมพาเทติก และระบบประสาทพาราซิมพาเทติก
- การทางานของระบบประสาททั้งสองจะทางานในสภาวะตรงข้ ามกัน เพื่อควบคุมการทางานของ
อวัยวะภายในของร่างกาย เป็ นระบบประสาทที่ควบคุมการทางานของอวัยวะภายใน โดยควบคุม
กล้ ามเนื้อเรียบ และกล้ ามเนื้อหัวใจ
การทางานของระบบประสาทซิมพาเทติกและระบบประสาทพาราซิมพาเทติก
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 213
ภาพแสดงโครงสร้ างของระบบประสาทอัตโนวัติ (ANS)
ที่มา ; Reece et al. (2011)
18.6 อวัยวะรับความรูส้ กึ
18.6.1 นัยน์ตากับการมองเห็น
➢ นัยน์ตาของคนมีรูปร่างค่อนข้ างกลมอยู่ภายในเบ้ าตา ผนังลูกตาเรียงจากด้ านนอกเข้ าไปด้ านในตามลาดับ
คือ สเคลอรา (sclera) โครอยด์ (choroid) และเรตินา (retina)
ภาพแสดงโครงสร้ างของตา
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 214
ส่วนประกอบของตา
- เป็ นชั้นที่มีหลอดเลือดมาเลี้ยงและมีสารสี
- ด้ านหน้ าของเลนส์ตามี ม่านตา (iris) ยื่นลงมาจากด้ านบนและด้ านล่าง
2) โครอยด์ ของผนังโครอยด์ ควบคุมปริมาณแสงที่ผ่านเข้ าสู่นัยน์ตา
- ช่องกลางมีลักษณะกลมเรียกว่า รูม่านตา (pupil) จะเห็นส่วนที่เป็ นสีดา
ประกอบด้ วยกล้ ามเนื้อวง และกล้ ามเนื้อที่เรียงตัวตามแนวรัศมี
ภาพแสดงโครงสร้ างและการทางานของตา
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 215
➢ บริเวณของเรตินาที่เรียกว่า โฟเวีย (fovea) จะมีเซลล์รูปกรวยหนาแน่นกว่าบริเวณอื่น ดังนั้นแสงที่ตกบริเวณนี้
จึงเกิดเป็ นภาพได้ ชัดเจน
➢ บริเวณของเรตินาที่มีแต่แอกซอนออกจากนัยน์ตาเพื่อเข้ าสู่เส้ นประสาทตาจะไม่มีเซลล์รูปแท่งและเซลล์รูปกรวยอยู่
ดังนั้น แสงที่ตกบริเวณนี้จึงไม่เกิดเป็ นภาพเรียกบริเวณนี้ว่า จุดบอด (blind spot)
➢ เลนส์ตา (lens) เป็ นเลนส์นูนมีของเหลวใสเรียกว่านา้ เลี้ยงลูกตาบรรจุอยู่ ทาให้ ความดันนัยน์ตาเป็ นปกติ นา้ เลี้ยง
ลูกตาที่อยู่ในช่องหน้ าเลนส์ทาหน้ าที่ให้ สารอาหาร และแก๊สออกซิเจนแก่กระจกตา ส่วนนา้ เลี้ยงลูกตาที่อยู่ท่ชี ่องหลัง
เลนส์ช่วยให้ ลูกตาคงรูปอยู่ได้ เลนส์ตาจะถูกยึดด้ วย เอ็นยึดเลนส์ (suspensory ligament) ซึ่งอยู่ติดกับ
กล้ามเนื้ อยึดเลนส์ (ciliary muscle)
➢ กลไกการมองเห็น
เยื่อหุ้มเซลล์รูปแท่งจะมีสารสีม่วงแดงชื่อ โรดอพซิน (rhodopsin) ฝังตัวอยู่
สารชนิดนี้ประกอบด้ วยโปรตีนออพซิน (opsin) รวมกับสารเรตินอล (retinol) ซึ่งไวต่อแสงและจะมีการเปลี่ยนแปลง
เมื่อมีแสงมากระตุ้นเซลล์รูปแท่ง โมเลกุลของเรตินอลจะเปลี่ยนแปลงไปจนเกาะกับโมเลกุลของออพซินไม่ได้
จะเกิดกระแสประสาทเดินทางไปยังเส้นประสาทสมองคู่ท่ี 2 เพื่อส่งไปยังสมองให้ แปลเป็ นภาพ
NOTE ;
➢ คนสายตาสั้น แก้ ไขได้ โดยการใส่แว่นตาที่ประกอบด้ วยเลนส์เว้ า
➢ คนสายตายาว แก้ ไขได้ โดยการใส่แว่นตาที่ประกอบด้ วยเลนส์นูน
➢ คนสายตาเอียงเกิดจากความโค้ งกระจกตาในแนวต่างๆ ไม่เท่ากันทาให้ เห็นเส้ นในแนวหนึ่งแนวใดไม่ชัดเจน
แก้ ไขได้ โดยใช้ เลนส์ทรงกระบอก (cylindrical lens)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 216
18.6.2 หูกบั การได้ ยนิ
ส่วนประกอบของหู
ประกอบด้ วย ใบหูและช่องหู ตรงรอยต่อระหว่างหูส่วนนอกกับหูส่วนกลาง มีเยื่อ
บางๆ กั้น อยู่เรียกว่า เยื่อแก้วหู (ear drum หรือ tympanic membrane) ซึ่งสามารถ
1) หูสว่ นนอก สั่นได้ เมื่อได้ รับคลื่นเสียง หูส่วนนอกจึงทาหน้ าที่รับคลื่นเสียงและเป็ นช่องให้ คลื่น
เสียงผ่าน
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 217
ภาพแสดงโครงสร้ างและหน้ าที่ของหู
ที่มา ; Reece et al. (2011)
18.6.3 จมูกกับการดมกลิ่น
ภาพแสดงโครงสร้ างของจมูก
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 218
18.6.4 ลิ้นกับการรับรส
➢ ด้ านบนของผิวลิ้นจะมีปมเล็
ุ่ กๆ มากมาย ปุ่ มเหล่านี้คือ พาพิลลา (papilla) มีต่อมรับรส (taste bud) หลายต่อม
ทาหน้ าที่รับรส
ภาพแสดงต่อมรับรสของลิ้น
ที่มา ; Reece et al. (2011)
➢ รสพื้ นฐาน 5 รส คือ รสหวาน รสขม รสเปรี้ยว รสเค็ม และรสอร่ อยหรืออูมามิ (umami) การรับรสทั้ง
5 รส สามารถรับได้ ท่ัวไปตลอดลิ้น เซลล์รับรสแต่ละเซลล์สามารถรับรสได้ เพียงรสเดียว แต่ในต่อมรับรสแต่ละต่ อม
ประกอบด้ วยเซลล์รับรสชนิดต่างๆ ปะปนกัน
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 219
18.6.5 ผิวหนัง
ภาพแสดงโครงสร้ างของผิวหนัง
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 220
บทที่ 19 : การเคลือ่ นที่ของสิง่ มีชีวิต
19.1 การเคลือ่ นที่ของสิง่ มีชีวติ เซลล์เดียว
1. เอกโทพลาสซึม (Ectoplasm)
เป็ นไซโทพลาสซึมที่อยู่ด้านนอก เป็ นสารกึ่งแข็งกึ่งเหลว เรียกว่า เจล (gel)
2. เอนโดพลาสซึม (Endoplasm)
เป็ นไซโทพลาสซึมที่อยู่ด้านใน ลักษณะค่อนข้ างเหลว เรียกว่า โซล (sol)
ยูกลีนา และพารามีเซียม
โครงสร้างของซิเลีย และแฟลกเจลลัม
พบว่าภายในคา้ จุนด้ วยไมโครทิวบูล เรียงตัวเป็ นวง 9 กลุ่ม กลุ่มละ 2 หลอด ตรงแกนกลางมีอีก 2 หลอด
ไมโครทิว บู ล ที่เ รี ย งอยู่ ต รงกลางจะมี เ ยื่ อ หุ้ ม เซลล์ ล้ อ มรอบ ส่ ว นไมโครทิว บู ล ที่เ รี ย งเป็ นวงอยู่ โ ดยรอบ
จะมี โ ปรตี นไดนีน (Dynein) เป็ นเสมื อ นแขนที่เ กาะกับ ไมโครทิว บู ล เรีย กว่ า ไดนีนอาร์ม (Dynein arm)
ซึ่งโครงร่างคา้ จุนเหล่านี้ช่วยให้ ซิเลีย และแฟลกเจลลัม โค้ งงอและสามารถโบกพัดได้
บริเ วณโคนของแฟลกเจลลัม และซิเ ลีย จะยึ ด ติ ด กับ โครงสร้ า งภายในเซลล์ท่ีเรีย กว่ า Basal body หรือ
Kinetosome ซึ่งเป็ นไมโครทิวบูลเรียงแบบ 9+0 ถ้ าตัดส่วนนี้พบว่า ซิเลียและแฟลกเจลลัมจะเคลื่อนไหวไม่ได้
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 221
19.2 การเคลือ่ นที่ของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
การเคลื่อนที่ของแมงกะพรุนเกิดจากการหดตัวของเนื้อเยื่อบริเวณขอบกระดิ่งและที่ผนังลาตัว
แมงกะพรุน สลับกัน ทาให้ เกิดแรงดันของน้าผลักตัวแมงกะพรุนให้ พุ่งไปในทิศทางตรงข้ ามกับน้าที่พ่น
ออกมา (ไม่ใช่ Antagonism)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 222
ภาพแสดงท่อ Siphon ของหมึก ภาพแสดงระบบท่อนา้ (Water vascular system) ของดาวทะเล
ภาพแสดงการเคลื่อนที่ของปี กแมลง
ภาพแสดงการเคลื่อนที่ไส้ เดือนดิน
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 223
19.3 การเคลือ่ นที่ของสัตว์มกี ระดูกสันหลัง
ภาพแสดงระบบโครงกระดูกของมนุษย์
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 224
กระดูก (Skeleton)
กะโหลกศีรษะ
เป็ นกระดูกที่เป็ นแผ่ นเชื่อมติดกัน ภายในมีลักษณะเป็ นโพรงสาหรับบรรจุ สมอง
ทาหน้ าที่ป้องกันสมองไม่ให้ ได้ รับอันตราย
กระดูกซี่โครง
มีท้งั หมด 12 คู่ กระดูกซี่โครงทุกๆ ซี่จะไปต่อกับด้ านข้ างของกระดูกสันหลังบริเวณ
ทรวงอก โดยปลายอีกด้ านหนึ่งเชื่อมกับกระดูกอก ยกเว้ นกระดูกซี่โครงคู่ท่ี 11 และ
12 จะเป็ นซี่ส้นั ๆ ไม่เชื่อมต่อกับกระดูกอกเรียกว่า “ซี่โครงลอย”
กระดูกสันหลัง
ทาหน้ าที่ช่วยค้าจุนและรองรับน้าหนักของร่ างกายประกอบด้ วยกระดูกที่มีลักษณะ
เป็ นข้ อๆ ต่อกันระหว่างกระดูกสันหลังแต่ละข้ อจะมีแผ่นกระดูกอ่อน (cartilage)
หรื อที่เ รี ย กกว่ า หมอนรองกระดู ก (intervertebral disc) ทาหน้ า ที่ร องและเชื่อม
กระดูกสันหลังแต่ละข้ อเพื่อป้ องกันการเสียดสี
กระดู กรยางค์ มีท้งั หมด 126 ชิ้น ได้ แก่ กระดูกแขน กระดูกขา รวมไปถึงกระดูก
สะบัก กระดูกไหปลาร้ า และกระดูกเชิงกราน ซึ่งเป็ นที่ยึดเกาะของแขนและขา
เอ็น
Ligament : ยึดระหว่างกระดูก 2 ท่อน เชื่อมติดกัน
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 225
ข้ อต่อ (joint) คือ ตาแหน่งที่กระดูก 2 ชิ้นมาต่อกัน
ระบบกล้ ามเนื้อ เป็ นกล้ ามเนื้อที่เกาะติดกับโครงกระดูก เช่น กล้ ามเนื้อแขน และขา จึงทา
หน้ าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของร่างกายโดยตรง เมื่อนาเซลล์กล้ ามเนื้อ
เหล่านี้มาศึกษาด้ วยกล้ องจุลทรรศน์จะมองเห็นเป็ นแถบสีอ่อนและสีเข้ ม
กล้ ามเนื้อโครงร่าง สลับ กันเป็ นลาย เซลล์ข องกล้ า มเนื้อนี้มี ลักษณะเป็ นทรงกระบอกยาว
(skeletal muscle) แต่ละเซลล์มีหลายนิวเคลียส ร่างกายสามารถบังคับได้ หรืออาจกล่าวว่า
อยู่ในอานาจจิตใจ
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 226
ภาพแสดงประเภทของกล้ ามเนื้อ
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 227
การทางานของกล้ ามเนื้อโครงร่าง
แต่ละมัดประกอบด้ วย เส้นใยกล้ ามเนื้อ (muscle fiber) หรือเซลล์กล้ ามเนื้อ (muscle cell) ภายในเส้น
ใยกล้ ามเนื้อประกอบด้ วย เส้นใยกล้ ามเนื้อเล็ก (myofibril) มีลักษณะเป็ นท่อนยาวเรียงซ้ อนกัน
เอ็ช อี ฮักซ์ลีย์ และชอง แฮนสัน (H.E. Huxley และ Jean Hanson) ได้ เสนอสมมติฐานการเลื่อนของ
ฟิ ลาเมนท์ (sliding filament hypothesis) ว่า การหดตัวของกล้ามเนื้ อเกิดจากการเลื่อนของแอกทิน เข้า
หากันตรงกลาง การเลื่อนของแอกทินดังกล่าวต้ องอาศัย ATP และแคลเซียมทาให้ เส้นใยกล้ ามเนื้อหดตัว
การหดตั ว ของกล้ า มเนื้ อ เกิด จากการกระตุ้ นโดยเซลล์ ป ระสาทที่ม ายั ง เซลล์ ก ล้ า มเนื้ อ แล้ ว จึ งเกิด
การกระตุ้นให้ หลั่งแคลเซียมที่สะสมไว้ ในเอนโดพลาสมิกเรติคิวลัมแบบผิวเรียบของเซลล์กล้ ามเนื้อที่เรียกว่า
ซาร์โคพลาสมิกเรติคิวลัม (sarcoplasmic reticulum; SR) ออกมาในไซโทพลาสซึม
ในสภาวะปกติไมโอซินไม่สามารถจับกับแอกทินได้ เนื่องจากมีโปรตีนควบคุมการหดตัวขัดขวางอยู่
เมื่อระดับแคลเซียมที่สงู ขึ้นจนเหมาะสมจะไปจับกับโปรตีนควบคุม
ทาให้ ไมโอซินสามารถจับกับแอกทินได้
เกิดการเลื่อนของแอกทินและเกิดการหดตัวของกล้ ามเนื้อ
จากนั้นแคลเซียมจะถูกดึงกลับสู่ SR โดยแคลเซียมปั๊มซึ่งต้ องใช้ ATP
การลดลงของระดับแคลเซียมนี้ทาให้ โปรตีนควบคุมกลับไปจับกับแอกทินเหมือนเดิม
ไมโอซินจึงไม่สามารถจับกับแอกทินได้
กล้ ามเนื้อจึงคลายตัว
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 228
ภาพแสดงกลไกการหดและคลายตัวของกล้ ามเนื้อโครงร่าง
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 229
บทที่ 20 : ระบบต่อมไร้ท่อ
20.1 ต่อมไร้ ท่อ
ฮอร์โมน (hormone)
ภาพแสดงต่อมไร้ ท่อในมนุษย์
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 230
20.2 ฮอร์โมนจากต่อมไร้ ท่อและอวัยวะที่สาคัญ
1. ต่อมไพเนียล
➢ ต่อมไพเนียล (pineal gland) ของสัตว์เลือดเย็น ตัวอย่างเช่น ปลาปากกลม สัตว์สะเทินนา้ สะเทินบก และ
สัตว์เลื้อยคลานบางชนิดไม่สร้ างฮอร์โมน แต่เป็ นกลุ่มของเซลล์รับแสง (photoreceptor cell) ที่มีลักษณะคล้ ายกับกลุ่ม
เซลล์รับแสงในชั้นเรตินาของนัยน์ตา ต่อมไพเนียลของคนจะอยู่ระหว่างเซรีบรัมซีกซ้ ายและซีกขวา
2. ต่อมใต้ สมอง
➢ ต่อมใต้ สมอง (pituitary gland) เป็ นต่อมไร้ ท่อที่ติดอยู่กับส่วนล่างของสมองส่วนไฮโพทาลามัส แบ่งได้ เป็ น
3 ส่วน คือ ต่อมใต้ สมองส่วนหน้ า ส่วนกลาง และส่วนหลัง
ต่อมใต้ สมองส่วนหน้ า
สร้ างฮอร์โมน
Growth hormone ; GH
มี หน้ า ที่สาคัญ คือ ควบคุม การเจริญเติบ โตทั่วๆ ไปของร่ า งกาย อาจเรีย กอีกชื่อหนึ่งว่ า somatotrophin หรือ
somatotrophic hormone ; STH
- หากมีมากเกินไปในวัยเด็กจะทาให้ ร่างกายสูงผิดปกติหรือสภาพร่างยักษ์ (gigantism)
- หากร่างกายขาดฮอร์โมนนี้ในวัยเด็กจะมีลักษณะเตี้ยแคระหรือสภาพแคระ (dwarfism)
- หาก GH สูงภายหลังที่โตเต็มวัย ทาให้ เกิดความผิดปกติของกระดูกตามบริเวณใบหน้ า นิ้วมือ นิ้วเท้ า เรียก
ลักษณะดังกล่าวนี้ว่า อะโครเมกาลี (acromegaly)
- ผู้ใหญ่ท่ขี าด GH จะมีระดับนา้ ตาลในเลือดต่ากว่าคนปกติ จึงทาให้ ร่างกายไม่สามารถทนต่อความเครียดต่างๆ
ทางอารมณ์ได้ ถ้ าเครียดมากๆ อาจทาให้ สมองได้ รับอันตรายได้ ง่าย เพราะได้ รับสารอาหารไม่เพียงพอ
(หญิง) กระตุ้นการตกไข่
2) Luteinizing hormone ; LH
(ชาย) กระตุ้นอินเตอร์สติเชียลเซลล์ให้ หลั่งเทสโทสเตอโรน
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 231
ต่อมใต้ สมองส่วนหน้ า (ต่อ)
ต่อมใต้ สมองส่วนกลาง
- ทาให้ สตั ว์มีการเปลี่ยนสีผิวเข้ มขึ้นได้ ตามสภาพแวดล้ อม
Melanocyte stimulating hormone ; MSH
(ในสัตว์ครึ่งบกครึ่งนา้ และสัตว์เลื้อยคลาน)
ท าให้ ก ล้ า มเนื้ อ เรี ย บที่ ม ดลู ก บี บ ตั ว จึ ง เป็ นฮอร์ โ มนที่ แ พทย์ ฉี ด เพื่ อ ช่ ว ยใน
Oxytocin การคลอดของมารดาที่มีฮอร์โ มนชนิด นี้น้อยกว่า ปกติ กระตุ้นกล้ า มเนื้อรอบๆ
ต่อมนา้ นมให้ หดตัวเพื่อขับนา้ นมออกมาเลี้ยงลูกอ่อน
NOTE :
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 232
3. ต่อมหมวกไต
➢ ต่อมหมวกไต (adrenal gland) ประกอบด้ วนเนื้อเยื่อ 2 ชั้น เนื้อเยื่อชั้นนอก เรียกว่า ต่อมหมวกไตส่วนนอก
(adrenal cortex) และเนื้อเยื่อชั้นในเรียกว่า ต่อมหมวกไตส่วนใน (adrenal medulla)
ต่อมหมวกไตส่วนใน
สร้ าง
มี 2 ชนิด ได้ แก่ …
ฮอร์ โ มนทั้ ง 2 ชนิ ด ออกฤทธิ์ เ หมื อ นกั น มี ผ ลท าให้ น้ า ตาลในเลื อ ดเพิ่ ม มากขึ้ น
- Adrenaline นอกจากนี้ยังกระตุ้นให้ หัวใจเต้ นเร็วขึ้น ความดันเลือดสูง
- Noradrenaline
4. รก
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 233
5. ตับอ่อน
➢ ซี เอช เบสต์ (C.H. Best) ได้ พบหลักฐานบางประการที่ทาให้ ทราบว่า ไอส์เลต ออฟ ลังเกอร์ฮันส์ ผลิตสารควบคุมระดับ
นา้ ตาลในเลือด
➢ ไอส์เลต ออฟ ลังเกอร์ฮันส์ สร้ างฮอร์โมนที่สาคัญ 2 ชนิด คือ อินซูลิน (insulin) และกลูคากอน (glucagon)
Insulin (จาก 𝛽 – cell) หน้ าที่สาคัญ คือ ลดระดับนา้ ตาลในเลือดให้ เป็ นปกติ
6. ต่อมไทรอยด์
- แมกนัส เลวี (Magnus Levy) นาต่อมไทรอยด์ของแกะมาทาให้ แห้ งและบดละเอียดแล้ วให้ คนปกติ กิน
ปรากฏว่าทาให้ อตั ราเมตาบอลิซึมของร่างกายสูงขึ้น
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 234
ฮอร์โมนที่สร้ างจากต่อมไทรอยด์
- มีไอโอดีนเป็ นองค์ประกอบ
- แหล่งที่สร้ างไทรอกซินในต่อมไทรอยด์คือ กลุ่มเซลล์ไทรอยด์ฟอลลิเคิล (thyroid follicle)
- ควบคุม Metabolism ของร่างกาย
สามารถกระตุ้นเมตามอร์ฟอซิสของสัตว์สะเทินนา้ สะเทินบกได้
(ถ้ าตัดต่อมไทรอยด์ของสัตว์กลุ่มนี้ออก ลูกอ๊อดจะไม่เกิดเมตามอร์ฟอซิสไปเป็ นตัวเต็มวัย)
Calcitonin
หน้ าที่ : กระตุ้นการสะสมแคลเซียมที่ก ระดูก ลดการดูดกลับแคลเซียมที่ไต และลดการดู ด ซึม
แคลเซียมที่ลาไส้เล็ก
7. ต่อมพาราไทรอยด์
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 235
8. อวัยวะเพศ
เพศชาย
เซลล์เลย์ดิกจะได้ รับการกระตุ้นโดย LH จากต่อมใต้ สมองส่วนหน้ าให้ สร้ างฮอร์โมนเพศ
ชายเรียกว่า แอนโดรเจน (androgens) ประกอบด้ วยฮอร์โมนหลายชนิด ที่สาคัญที่สุด
Testosterone
คื อ เทสโทสเทอโรน มี ห น้ า ที่ ท าให้ เพศชายมี ค วามสามารถในการสื บ พั น ธุ์ แ ละ
มีลักษณะของการแตกเนื้อหนุ่ม เช่น มีลูกกระเดือกเห็นได้ ชัด มีขนตามบริเวณรักแร้
ขา และอวัยวะเพศ ไหล่กว้ าง สะโพกแคบ กล้ ามเนื้อเจริญเติบโตเป็ นมัด เป็ นต้ น
เพศหญิง
สร้ า งจากคอร์ ปั ส ลู เ ทีย ม เพื่ อ ช่ ว ยกระตุ้ น การเจริ ญ ของเยื่ อ บุ ช้ัน ในของผนั งมดลูก
Progesterone ให้ หนาขึ้น เพื่อรองรับการฝังตัวของเอ็มบริโอ และมีส่วนกระตุ้นต่อมน้านมให้ เ จริญ
แต่ไม่กระตุ้นการสร้ างนา้ นม
9. ไทมัส
➢ ไทมัส (thymus) เป็ นอวัยวะที่มีลักษณะเป็ นพู มีหน้ าที่สร้ างเซลล์เม็ดเลือดขาว คือ ลิมโฟไซด์ชนิดที หรือเซลล์ที
ฮอร์โมนที่สร้าง หน้าที่
Thymosin เป็ นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้ องกับการสร้ างภูมิค้ ุมกันของร่ างกาย เกี่ยวข้ องกับการแบ่งเซลล์
และพัฒนาการของลิมโฟไซต์ชนิดที
ฮอร์โมนที่สร้าง หน้าที่
Gastrin สร้ างจากกระเพาะอาหาร มีหน้ าที่กระตุ้นการหลั่งเอนไซม์และกรดไฮโดรคลอริก
Secretin สร้ างจากบริเวณลาไส้ เล็กส่วนดูโอดินัม กระตุ้นตับอ่อนให้ หลั่ง NaHCO3
Cholecystokinin สร้ างจากดูโอดินัม กระตุ้นการบีบตัวของถุงนา้ ดีและตับอ่อนให้ หลั่งเอนไซม์
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 236
20.3 การรักษาดุลยภาพของร่างกายด้ วยฮอร์โมน
➢ ร่างกายมีระบบควบคุมการหลั่งฮอร์โมนของต่อมไร้ ท่อ โดยระบบควบคุมอาจเป็ นปริมาณของฮอร์โมนเอง หรือระดับ
สารเคมีอ่นื ๆ ในเลือด การหลั่งฮอร์โมนยังถูกควบคุมโดยวิธกี ารการควบคุมแบบป้ อนกลับ (feedback control)
ฮอร์ โ มนที่ ห ลั่ ง ออกมาจะมี ผ ลไปยั บ ยั้ ง อวั ย วะที่ ห ลั่ ง ฮอร์ โ มนนั้ น เช่ น
เมื่อระดับ Ca2+ ในเลือดของร่างกายลดลงกว่าปกติ ต่อมพาราไทรอยด์จะหลั่ง
การควบคุมแบบป้ อนกลับยับยั้ง พาราทอร์โมนเข้ าสู่กระแสเลือดเพื่อออกฤทธิ์ท่เี ซลล์เป้ าหมาย โดย Ca2+ จะถูก
(negative feedback) สลายออกมาจากกระดูกเพิ่มขึ้นจนถึงระดับปกติ เมื่อระดับ Ca2+ อยู่ในเกณฑ์
ปกติ ก็จะไปควบคุมต่อมพาราไทรอยด์ให้ ยับยั้งการหลั่งพาราทอร์โมน เป็ นต้ น
20.4 ฟี โรโมน
➢ ฟี โรโมน (pheromone)
สัต ว์ เ ลี้ย งลูก ด้ ว ยน้า นมเพศเมี ย ที่อ ยู่ใ นระยะพร้ อ มที่จ ะผสมพันธุ์จ ะปล่ อยฟี โรโมนออกมา เมื่ อ เพศผู้ไ ด้ รับ
ฟี โรโมน ก็จะตามกลิ่นมาเพื่อที่จะผสมพันธุ์
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 237
บทที่ 21 : การสืบพันธุแ์ ละการเจริญเติบโต
21.1 การสืบพันธุข์ องสัตว์
แบ่งเป็ น
แบบไม่อาศัยเพศ โดยการแบ่ ง ตั ว เป็ น 2 ส่ ว น (Binary fission) ได้ ลั ก ษณะเหมื อ นกัน เช่ น
ยูกลีนา พารามีเซียม
การสืบพันธุข์ องสัตว์
Hermaphrodite
เป็ นการสืบพันธุ์ของสัตว์ท่มี ี 2 เพศอยู่ในตัวเดียวกัน เช่น พลานาเรีย
ไส้เดือนดิน ไฮดรา ต้ องผสมข้ ามตัว เนื่องจากไข่และอสุจิมีการเจริญ
แบบอาศัยเพศ ไม่พร้ อมกัน
Fertilization
การสืบพันธุ์ของสัตว์แยกเพศโดยอาศัยการปฏิสนธิ
- ปฏิสนธิภายนอก เช่น ปลา กบ
- ปฏิสนธิภายใน ออกลูกเป็ นตัว เช่น สัตว์เลี้ยงลูกด้ วยนม
ออกลูกเป็ นไข่ เช่น สัตว์ปีก สัตว์เลื้อยคลาน
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 238
21.2 การสืบพันธุข์ องมนุษย์
การสืบพันธุข์ องมนุษย์
ชาย หญิง
สร้ าง Sperm (n) + สร้ าง Egg (n)
Zygote (2n)
Embryo (2n)
➢ ระบบสืบพันธุเ์ พศชาย
อวัยวะ หน้าที่
องคชาติ
ใช้ ในการร่วมเพศ เป็ นทางผ่านของอสุจิ
(penis)
ถุงหุ้มอัณฑะ ควบคุมอุณหภูมิของอัณฑะให้ เหมาะแก่การสร้ างอสุจิ
(scrotum sac) ประมาณ 34 องศาเซลเซียส
หลอดสร้ างตัวอสุจิ
ทาหน้ าที่สร้ างอสุจิไปเก็บที่ epididymis
(seminiferous tubule)
อินเตอร์สติเชียลเซลล์
สร้ างฮอร์โมน testosterone
(Interstitial cell หรือ Leydig cell)
หลอดเก็บอสุจิ
ทาหน้ าที่เก็บอสุจิ
(epididymis)
ท่อนาอสุจิ
ทางเดินของอสุจิ
(vas deferens)
ต่อมสร้ างนา้ เลี้ยงอสุจิ สร้ าง seminal fluid ประกอบด้ วยนา้ ตาลฟรักโตส
(seminal vesicle) โปรตีนพวก globulin และวิตามินซี
ต่อมลูกหมาก สร้ างสารมีฤทธิ์เป็ นด่างอ่อนทาลายกรดในปัสสาวะ
(prostate gland) และ สร้ างสารที่ทาให้ อสุจิแข็งแรงและว่องไว
ต่อมคาวเปอร์ อยู่ใต้ ต่อมลูกหมาก ทาหน้ าที่สร้ างสาร
(cowper’s gland) ไปหล่อลื่นท่อปัสสาวะ
เซอร์ทอร์ไล เซลล์ นาสารอาหารจากหลอดเลือดไปเลี้ยงเซลล์สบื พันธุ์
(sertoli cell) เป็ นเซลล์คา้ จุนตัวอสุจิในหลอดสร้ างอสุจิ
ท่อปัสสาวะ ทางผ่านของอสุจิ และนา้ ปัสสาวะ
(urethra) (ถือว่าเป็ นอวัยวะทั้งในระบบขับถ่ายและระบบสืบพันธุ์)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 239
➢ การสร้ างเซลล์สบื พันธุเ์ พศชาย
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 240
ภาพแสดงอวัยวะเพศชาย (ด้ านหน้ า) ภาพแสดงโครงสร้ างของอสุจิ
ที่มา ; Reece et al. (2011) ที่มา ; Solomon, Berg, Martin (2011)
➢ ระบบสืบพันธุเ์ พศหญิง
อวัยวะ หน้าที่
คริตอลิส
เป็ นตาแหน่งที่ไวต่อความรู้สกึ เนื่องจากมีปลายประสาทมาก
(clitoris)
แคมใหญ่
ป้ องกันสิง่ แปลกปลอมที่จะเข้ ามาในอวัยวะเพศหญิง
(labia majora)
แคมเล็ก
มีต่อมไขมันจานวนมาก เพื่อเป็ นสารหล่อลื่น
(labia minorra)
รังไข่
สร้ างไข่ และฮอร์โมน
(ovary)
มดลูก
เป็ นที่ฝงั ตัวของตัวอ่อนที่ได้ รับการปฏิสนธิ
(uterus)
ช่องคลอด
เป็ นทางผ่านของอสุจิ
(vagina)
ท่อนาไข่
ทางผ่านของไข่ และเป็ นทีป่ ฏิสนธิ
(oviduct)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 241
ภาพแสดงอวัยวะเพศหญิง
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 242
ภาพแสดงรังไข่ของเพศหญิง
ที่มา ; Solomon, Berg, Martin (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 243
ไข่จะพัฒนาพร้ อม ๆ กับ การเปลี่ยนแปลงของรังไข่ และ Follicle
ไปกระตุ้นต่อมใต้ สมองส่วนหน้ า
การปฏิสนธิ
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 244
ขั้นตอนที่อสุจิจะเข้ าไปผสมกับไข่
การตั้งครรภ์
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 245
เมื่อนิวเคลียสของเซลล์ไข่และอสุจิรวมตัวกันที่ท่อนาไข่
Zygote
แบ่งเซลล์เพื่อเพิ่มจานวน
Embryo
ภาพแสดงการฝังตัวของตัวอ่อนบริเวณมดลูก
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 246
ประจาเดือน (Menstruation)
เป็ นเลือดที่เกิดจากการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก
แต่ ล ะรอบเดื อนจะมี ช่ ว งเวลาประมาณ 26-30 วั น ขึ้ น อยู่ กับแต่ ล ะบุ ค คล จึ ง ทาให้
ประจาเดือนเกิดขึ้นเฉลี่ยเดือนละ 1 ครั้ง
ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้ องกับรอบเดือน
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 247
ภาพแสดงฮอร์โมนชนิดต่างๆ ในแต่ละรอบเดือน
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 248
21.3 การเจริญเติบโตของสัตว์
การเจริญเติบโตของสัตว์
➢ เกิดจาก ;
❖ การเพิ่มจานวนเซลล์ (Cell Multiplication)
❖ การขยายขนาดเซลล์ (Growth)
❖ การเปลี่ยนแปลงของเซลล์ไปทาหน้ าทีเ่ ฉพาะ (Cell Differentiation)
❖ การเกิดรูปร่างที่แน่นอน (Morphogenesis)
ภาพแสดงตัวอย่างการแบ่งเซลล์เพื่อการเจริญเติบโตของสัตว์
ที่มา ; Solomon, Berg, Martin (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 249
➢ การเจริญเติบโตของสัตว์ : การเจริญเติบโตในระยะเอ็มบริโอ เริ่มจากอสุจิปฏิสนธิกบั ไข่กลายเป็ นไซโกต
(Zygote) ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็ นระยะต่างๆ ดังนี้
ระยะบลาสทูเลชัน
เซลล์เรียงตัวเป็ นชั้นอยู่รอบนอก ภายในกลวง เรียกว่า Blastocoel
(Blastulation)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 250
➢ ชนิดของไข่
➢ การเจริญเติบโตของกบ
Sperm + Egg
มีว้ นุ หุ้ม
ด้ านบน : สีเทา มี embryo มีการแบ่ง cell เรียกด้ าน “Animal pole”
แบ่งเซลล์ → Cleavage → Blastulation → Gastrulation →
Organogenesis → ลูกอ๊อด → Metamorphosis → Adult
ด้ านล่าง : สีเหลือง มีไข่แดง (Yolk) ซึ่งเป็ นอาหาร เรียกด้ าน “Vegital pole”
ภาพแสดงการเจริญเติบโตของกบ
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 251
➢ การเจริญเติบโตของไก่
Sperm + Egg
Embryo
มีปริมาณไข่แดงมาก (Telolecithal egg)
มีเปลือกหุ้ม ป้ องกันอันตราย แก้ปัญหาจากการสูญเสียนา้ ของ Cell ไข่
มีเยื่อหุ้ม 2 ชั้น
ชั้นนอก = ถุงคอเรียน (Chorion) : แลกเปลี่ยนแก๊ส
ชั้นใน ถุงนา้ คร่า (Amnion)
(มีนา้ คร่า : ป้ องกันการกระทบกระเทือน ไม่ให้ ตวั อ่อนแห้ ง)
ถุงแอลแลนทอยส์ (Allantois)
(แลกเปลี่ยนแก๊สกับภายนอก เก็บของเสียพวกกรดยูริก)
ภาพแสดงโครงสร้ างของไข่ไก่
ที่มา ; Solomon, Berg, Martin (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 252
➢ การเจริญเติบโตของคน
ภาพแสดงตัวอ่อนของคน
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 253
❖ หากช่วงตั้งครรภ์ 2 เดือนแรก ได้ รับสิ่งแปลกปลอมอาจทาให้ ทารกผิดปกติได้ เช่น
ยากล่อมประสาทพวก Thalidomide : ทาให้ แขนและขาไม่เจริญ
แอลกอฮอล์ : ทาให้ อวัยวะผิดปกติและแท้งได้
หัดเยอรมัน : ทาให้ เกิดอันตรายต่อการเจริญของสมอง หัวใจ เลนส์ตา และหูส่วนใน
รังสีเอกซ์ : การเจริญผิดปกติ
❖ รก (Placenta) : มีหน้ าที่แลกเปลี่ยนแก๊สและรับอาหารจากแม่
❖ ถุงนา้ คร่า (Amnion) : เป็ นเยื่อบางใสบรรจุนา้ คร่า (Amniotic Fluid) ช่วยป้ องกันการกระทบกระเทือน
ควบคุมอุณหภูมิให้ คงที่และทาให้ เอ็มบริโอเคลื่อนตัวได้ สะดวก
❖ สายสะดือ (Umbilical Cord) : เชื่อมต่อระหว่างรกกับเอ็มบริโอ
❖ ครบ 280 วัน นับจากวันแรกของการมีประจาเดือนครั้งสุดท้าย ฮอร์โมน Oxytocin จะกระตุ้นให้ มดลูกบีบตัวถี่ข้ นึ
จนถุงนา้ คร่าแตก ทารกจะคลอดออกมา จากนั้นจึงมีการหายใจเกิดขึ้นเป็ นครั้งแรกของชีวิต
➢ กระบวนการ Metamorphosis
เป็ นการเจริญเติบโตที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง
1. Ametamorphosis
ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างขณะเจริญเติบโต
พบในสัตว์ช้นั สูงและแมลงบางชนิด เช่น แมลงสามง่าม, แมลงหางดีด
2. Gradual Metamorphosis
มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างทีละน้ อยๆ ในขณะเจริญเติบโต
ตัวอ่อนมีอวัยวะบางอย่างไม่ครบ เรียกว่า “นิมพ์” (Nymph)
พบในแมลงพวกตั๊กแตน แมลงสาบ จิ้งหรีด เรือด เหา ไรไก่ ปลวก จักจั่น เพลี้ย
3. Incomplete Metamorphosis
มีการเปลี่ยนรูปร่างเด่นชัด มีตัวอ่อนในนา้ หายใจโดยเหงือกเรียก “ไนแอด” (Naiad)
พบในแมลงปอ ชีปะขาว
4. Complete Metamorphosis
มีการเปลี่ยนรูปร่างครบ 4 ขั้น (egg lava pupa adult)
พบในแมลงส่วนใหญ่ เช่น ผีเสื้อ ยุง แมลงวัน ด้ วง ผึ้ง ต่อ แตน มด ไหม ฯลฯ
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 254
บทที่ 22 : พฤติกรรมสัตว์
22.1 กระบวนการเกิดพฤติกรรม
➢ พฤติกรรมของสัตว์ เป็ นการตอบสนองต่อสิ่งเร้ าทั้งภายในและภายนอกร่างกาย
➢ กลไกการเกิดพฤติกรรม แสดงได้ ดังนี้
สิ่งเร้ า หน่วยรับความรู้สกึ ระบบประสาทส่วนกลาง หน่วยปฏิบัติงาน พฤติกรรม
22.2 ประเภทของพฤติกรรม
➢ พฤติ กรรมที่มีมาแต่ กาเนิด (Inherited behavior) เป็ นพฤติกรรมแบบง่ ายๆ เพื่อตอบสนองต่ อสิ่งเร้ าอย่ างหนึ่ง
จะปรับปรุงให้ ดีข้ นึ และเหมาะสมขึ้นเมื่อสัตว์ได้ เรียนรู้มากขึ้น
พฤติกรรมที่มีมาแต่กาเนิด
เป็ นการเคลื่อนที่เข้ าหาหรือหนีส่งิ เร้ า โดยมีทศิ ทางไม่แน่นอน
1. พฤติกรรมแบบไคนีซีส พบในพวกโพรทิสต์ และสัตว์ท่ยี ังไม่มีระบบประสาทเจริญ
ตัวอย่างเช่น
(Kinesis)
- การเคลื่อนที่เข้ าหาฟองแก๊ส CO2 ของพารามีเซียม
- การเคลื่อนที่หนีแสงสว่างของอะมีบา
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 255
➢ พฤติกรรมที่ได้จากการเรี ยนรู ้ (Learned behavior) เป็ นพฤติกรรมที่ซับซ้ อน และสัตว์ต้องมีระบบประสาท ถ้ ามี
ระบบประสาทดีกย็ ่งิ มีโอกาสได้ เรียนรู้มากขึ้น ในพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้ วยนมจะมีพฤติกรรมแบบนี้ดีท่สี ดุ แบ่งเป็ น …
พฤติกรรมการเรียนรู้
เป็ นพฤติ ก รรมที่เ กิด จากประสบการณ์ แ รกเกิด โดยมี พั น ธุ ก รรมเป็ น
ตัวกาหนด มีช่วงเวลาจากัด (ระยะวิกฤต) การเรียนรู้ทาให้ เกิดความผูกพัน
1. การฝังใจ
ระหว่างสัตว์และวัตถุ ทาให้ เกิดความฝังใจ
(Imprinting) ตัวอย่างเช่น
- การเดินตามวัตถุท่เี คลื่อนไหวเป็ นสิ่งแรกที่ลูกห่านมองเห็น
- การกลับไปวางไข่บริเวณทีต่ นเองเคยฟักออกจากไข่ของปลาแซลมอน
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 256
ตารางแสดงวิวฒ
ั นาการของพฤติกรรมในสิ่งมีชวี ิตที่สมั พันธ์กบั ระบบประสาท
ภาพแสดงระดับของพฤติกรรมที่พบในสัตว์
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 257
22.3 การสือ่ สารของสัตว์
การสื่อสารของสัตว์
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 258
บทที่ 23 : ความหลากหลายทางชีวภาพ
23.1 ความหลากหลายทางชีวภาพ
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 259
23.2.2 ชื่อของสิง่ มีชีวิต
โดยการสร้ างเครื่องมือสาหรับตรวจหาและระบุชนิดหรือกลุ่มของสิ่งมีชีวิต
23.2.3 การระบุชนิด เครื่องมือหนึ่งที่ใช้ ในการระบุชนิดหรือกลุ่มของสิ่งมีชีวิตคือ ไดโคโตมัสคีย ์
(dichotomous key)
ภาพแสดงตัวอย่างการระบุชนิดของสิ่งมีชีวิตโดยใช้ ไดโคโตมัสคีย์
ที่มา ; https://www.studyblue.com/notes/note/n/ch-10-classification-of-microorganisms-exam-2/deck/13905850
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 260
นักธรณีวิทยา (geologist) และนักบรรพชีวิน (paleontologist) ได้ พยายามสร้ างตารางเวลาเพื่อบันทึกลาดับ
เหตุการณ์กาเนิดของสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ ในช่ วงเวลาที่ผ่านมา โดยใช้ หลักฐานของซากดึกดาบรรพ์ (fossil) ที่สามารถ
คานวณอายุได้ ดังแสดงในตารางธรณีกาล (geologic time scale) ดังนี้
พลิโอซีน 5 เริ่มปรากฏบรรพบุรุษของมนุษย์
ซีโนโซอิก
ในช่วงปลายยุคนี้
จูแรสซิก (Jurassic) 206 พบพืชเมล็ดเปลือยและไดโนเสาร์จานวนมากและเป็ นสิ่งมีชีวิตกลุ่มเด่นในยุคนี้
ไทรแอสซิก (Triassic) 245 พบพืชเมล็ดเปลือยและการแพร่กระจายของไดโนเสาร์
มีการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตทั้งในทะเล และบนพื้นดินจานวนมาก
เพอร์เมียน (Permian) 290 มีการแพร่กระจายของสัตว์เลื้อยคลาน เริ่มพบสัตว์เลี้ยงลูกด้ วยนา้ นม และ
เริ่มพบแมลงที่มีในยุคปัจจุบัน
พบพืชมีท่อลาเลียงจานวนมาก เริ่มพบพืชมีเมล็ด กาเนิดสัตว์เลื้อยคลานและ
พาลีโอโซอิก
(Paleozoic)
2,700 ปริมาณออกซิเจนในบรรยากาศเพิ่มมากขึ้น
3,500 ซากดึกดาบรรพ์ของเซลล์โพรคาริโอต
3,800 เริ่มพบร่องรอยของสิ่งมีชีวิต
4,600 ช่วงเวลาโดยประมาณกาเนิดโลก
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 261
23.3 กาเนิดของชีวติ
แนวคิดเกี่ยวกับการกาเนิดของสิ่งมีชีวิต
จากแนวคิดของโอพาริน :
นั ก วิ ท ยาศาสตร์ สัน นิ ษ ฐานว่ า กรดนิ ว คลิ อิก ชนิ ด แรกที่เ กิด คื อ RNA
เมื่ อ RNA มี วิ วั ฒ นาการขึ้ นมาแล้ ว การสั ง เคราะห์ DNA จึ ง เกิ ด ขึ้ น
ภายหลัง
ทาการทดลองเพือ่ พิสูจน์แนวคิดของโอพาริน :
โดยแสดงให้ เห็นว่าสารประกอบอย่างง่ายของสิ่งมีชีวิต เช่น กรดอะมิโน
สแตนเลย์ มิลเลอร์ กรดอินทรีย์ ช นิด อื่นรวมทั้งสารอินทรีย์ เช่ น ยู เ รีย สามารถเกิด ขึ้นได้
(Stanley Miller) ภายในชุดการทดลองที่คาดว่าเป็ นสภาวะของโลกในระยะเวลานั้น คือไม่มี
แก๊สออกซิเจนแต่มีแก๊สมีเทน แอมโมเนีย นา้ และ แก๊สไฮโดรเจน โดยมี
แหล่งพลังงานจากไฟฟ้ า
ซิดนีย์ ฟอกซ์
แสดงให้ เ ห็นว่ า เซลล์เ ริ่ม แรกเกิดจากกรดอะมิ โนได้ รับ ความร้ อนและ
(Sidney Fox)
มีการรวมกลุ่มกัน
นักชีวเคมีชาวอเมริกนั และคณะ
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 262
23.3.1 กาเนิดของเซลล์โพรคาริโอต
23.3.2 กาเนิดของเซลล์ยูคาริโอต
เกิดจากการเจริญของเยื่อหุ้มเซลล์เข้ าไปในเซลล์พวกโพรคาริโอตที่ล้อมรอบบริเวณที่มีสารพันธุกรรมอยู่
แล้ วมีการพัฒนาเป็ นนิวเคลียสเกิดขึ้น
ทาให้ ได้ เซลล์ยูคาริโอตและมีเอนโดพลาสมิกเรติคิวลัม
ไมโทคอนเดรียและคลอโรพลาสต์
เกิดจากเซลล์โพรคาริโอตขนาดเล็กเข้ าไปอาศัยอยู่ภายในเซลล์โพรคาริโอตขนาดใหญ่
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 263
23.4 อาณาจักรของสิง่ มีชีวิต
Archea (อาร์เคีย)
: Bacteria ที่ชอบอุณหภูมิสงู , กรดจัด, เค็มจัด และสร้ างมีเทนได้
Bacteria (แบคทีเรีย) ประกอบด้ วย
Microplasma (ไมโครพลาสมา)
Cyanobacteria (ไซยาโนแบคทีเรีย)
Agrobacteria (อะโกรแบคทีเรีย)
Enterobacteria (เอนเทอโรแบคทีเรีย)
Eukarya (ยูคาร์ยา) ประกอบด้ วย
Protist ; Protozoa (โปรทิสต์)
Algae (สาหร่าย)
Fungi (ฟังไจ ได้ แก่ เห็ด รา)
Plant (พืช)
Animal (สัตว์)
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 264
23.4.1 อาณาจักรมอเนอรา
ลักษณะรูปร่างและการดารงชีวิตของแบคทีเรีย
ความหลากหลายของแบคทีเรีย
เป็ นแบคที เ รี ย ที่ ผ นั ง เซลล์ ไ ม่ มี ส ารเพปทิ โ ดไกลแคน
1) ซับคิงดอมอาร์เคียแบคทีเรีย ดารงชีวิ ต ได้ ใ นบริเ วณน้า พุร้อ น ในทะเลที่มี น้า เค็ม จั ด
(Archeabacteria) ในบริเวณที่มีความเป็ นกรดสูง และในบริเวณทะเลลึก
2) ซับคิงดอมยูแบคทีเรีย
(Eubacteria)
2.1 กลุ่มโพรทีโอแบคทีเรีย
(Proteobacteria)
2.3 กลุ่มสไปโรคีท
(Spirochetes)
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 265
ซับคิงดอมยูแบคทีเรีย
(Eubacteria)
- เป็ นยูแบคทีเรียแกรมลบที่พบมากที่สดุ และมีกระบวนการเมตาบอลิซึมที่หลากหลาย
- บางกลุ่มสามารถสร้ างอาหารเองได้ คล้ ายพืช โดยใช้ ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) และให้ ซัลเฟอร์
กลุ่มโพรทีโอแบคทีเรีย
ในกระบวนการสังเคราะห์สารเคมี เช่น เพอเพิลซัลเฟอร์แบคทีเรีย (purple sulfur bacteria)
(Proteobacteria)
- บางกลุ่มมีบทบาทช่วยตรึงแก๊สไนโตรเจนในอากาศมาสร้ างเป็ นสารประกอบไนโตรเจนในดิน
ซึ่งเป็ นประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของพืช เช่น Rhizobium sp. ในพืชวงศ์ถ่วั เป็ นต้ น
ภาพแสดง Cyanobacteria
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 266
23.4.2 อาณาจักรโพรทิสตา
ลักษณะรูปร่างและการดารงชีวิตของโพรทิสต์
- โพรทิสต์เป็ นยูคาริโอตกลุ่มแรกที่มีวิวัฒนาการมาจากเซลล์โพรคาริโอตเมื่อประมาณ 2 พันล้ านปี ท่ผี ่านมา
- โพรทิสต์พบได้ ท่วั ไปในบริเวณที่ช้ นื แฉะ แหล่งนา้ จืด และในมหาสมุทร
- มีการใช้ ออกซิเจนในกระบวนการเมตาบอลิซึม ยกเว้ นบางกลุ่มที่อยู่ในสภาพแวดล้ อมที่ไม่มีแก๊สออกซิเจน
- กระบวนการเมตาบอลิซึมต่างๆ ของโพรทิสต์ จะเกิดขึ้นภายในโครงสร้ างที่มีเยื่อหุ้ม
- โพรทิสต์บางชนิดมีกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
- การดารงชีวิตมีท้งั แบบอิสระหรืออาจอยู่ร่วมกันแบบภาวะพึ่งพา (mutualism) หรืออาจดารงชีวิตแบบ
ภาวะปรสิต (parasitism) ซึ่งพวกที่ดารงชีวิตแบบภาวะปรสิตบางชนิดทาให้ เกิดโรคที่สาคัญ เช่น
โรคมาลาเรีย
ความหลากหลายของโพรทิสต์
ไดอะตอม (Diatoms)
5) สาหร่ายสีแดง (Rhodophyta)
6) สาหร่ายสีเขียว (Chlorophyta)
7) ไมซีโทซัว (Mycetozoa)
8) กลุ่มไรโซโพดา (Rhizopoda)
ภาพแสดงตัวอย่างโปรทิสต์ในกลุ่มยูกลีนา
ที่มา ; Solomon, Berg, Martin (2011)
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 267
Protista เป็ นเซลล์ยูคาริโอตที่มีแต่นิวเคลียสและไรโบโซม ยังไม่มีออร์แกเนลล์
อื่น ๆ เช่ น ไม่ มี ไ มโทคอนเดรี ย ร่ า งแหเอนโดพลาสมิ ก เรติ คิ ว ลั ม
กอลจิคอมเพล็กซ์ และเซนทริโอล
- ไดโพลโมแนด (diplomonads) มีแฟลเจลลาหลายเส้ น มีนิวเคลียส
ไดโพลโมนาดิดา (Diplomonadida) และ 2 อัน เช่น เกียร์เดีย (Giardia lambia) เป็ นปรสิตในลาไส้ของคน
พาราบาซาลา (Parabasala) - พาราบาซาลิ ด (pharabasalids) มี แ ฟลเจลลาเป็ นคู่ และผิ ว เยื่ อ
หุ้ มเซลล์ มี ลั ก ษณะเป็ นรอยหยั ก คล้ ายคลื่ น เช่ น ไตรโคนิ ม ฟา
(Trichonympha sp.) อาศัย อยู่ในลาไส้ ป ลวกจะดารงชีวิต แบบภาวะ
พึ่งพาโดยสร้ า งเอนไซม์ ย่ อ ยสลายเซลลูโ ลสในไม้ ใ ห้ กับ ปลวก และ
ไตรโคโมแนส (Trichomonas vaginalis) ซึ่งเป็ นโพรทิสต์ท่ีทาให้ เกิด
อาการติดเชื้อในช่องคลอด เป็ นต้ น
แอลวีโอลาตา
มีช่องว่างเล็กๆ ใต้ เยื่อหุ้มเซลล์ท่เี รียกว่า แอลวีโอไล (alveoli)
(Alveolata)
ไดโนแฟลเจลเลต (Dinoflagellate)
แอพิคอมเพลซา (Apicomplexa)
ซิลิแอด (Ciliates)
เป็ นโพรทิสต์ท่ใี ช้ ซิเลียในการเคลื่อนที่ อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้ อมที่มีนา้ หรือมีความชื้นสูง มีความหลากหลายสปี ชีส์
มากที่สดุ เช่น พารามีเซียม (Paramecium sp.) วอร์ติเซลลา (Vorticella sp.)
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 268
เป็ นโพรทิสต์ท่ีมีก ระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงจึ งเรียกโพรทิสต์
สตรามีโนไพลส์
กลุ่ ม นี้ ว่ า สาหร่ า ย (algae) มี ลั ก ษณะร่ ว มกั น คื อ เซลล์ สื บ พั น ธุ์
(Stramenopiles)
มีแฟลเจลลา 2 เส้น คือ เส้นที่มีขนและเส้นที่ไม่มีขน
ไดอะตอม (Diatoms)
เป็ นสาหร่ายที่มีสารสีชนิดเดียวกับที่พบในสาหร่ายสีนา้ ตาล ทาให้ มีสเี หลือง หรือสีนา้ ตาลแกมเหลือง มีผนังเซลล์
ประกอบด้ วยซิลิกา ไดอะตอมพบมากทั้งในแหล่งน้าจืด และน้าเค็ม เป็ นแหล่งอาหารที่สาคัญของสิ่งมีชีวิตใน
ระบบนิเวศในนา้ มีการสะสมอาหารไว้ ในรูปของนา้ มัน ซากของไดอะตอมที่ตายทับถมกันนานๆ จะกลายเป็ นส่วน
ของพื้นดิ นใต้ แหล่ งน้า (Diatomaceous Earth) เป็ นแหล่ งรวมของแร่ ธาตุ และน้ามั น ซึ่งนามาใช้ ป ระโยชน์ใน
การทาไส้กรองและยาขัดต่างๆ
มี ส ารสีไ ฟโคอีรี ท ริ น (phycoerythrin) คลอโรฟิ ลล์ แ ละแคโรที น อยด์ แตกต่ า งจากสาหร่ า ยกลุ่ ม อื่น คื อ ไม่ มี ร ะยะที่ มี
แฟลเจลลา ส่วนใหญ่พบในทะเลหรือในแหล่งนา้ จืด ที่ร้ จู ักกันดีกค็ ือ จีฉ่ายหรือพอร์ไฟรา (Porphyra sp.) นามาทาเป็ นอาหาร
สาหร่ายผมนางหรือกราซิลาเรีย (Gracilaria sp.) ใช้ ผลิตวุ้น
มี ลั ก ษณะคล้ า ยพื ช ทั้ง ในแง่ โ ครงสร้ า ง มี ผ นั ง เซลล์ แ ละส่ ว นประกอบของสารสีคื อ คลอโรฟิ ลล์ เ อ คลอโรฟิ ลล์ บี และ
แคโรทีนอยด์ เรียกกลุ่มนี้ว่า คลอโรไฟต์ (chlorophyte) ที่สาคัญได้ แก่ คลอเรลลา (Chlorella sp.) เป็ นสาหร่ายสีเขียวเซลล์
เดียวที่มีโปรตีนสูงจึงนิยมนามาผลิตเป็ นอาหารเสริม เทานา้ หรือสไปโรไจรา (Spirogyra sp.) อยู่รวมกันเป็ นกลุ่มพบบริเวณ
ผิว น้า ของแหล่ งน้า สะอาดที่ไ หลช้ า หรือ น้า นิ่ ง มี คลอโรพลาสต์ เ ป็ นแผ่ น แบนบิ ด เป็ นเกลีย วอยู่ ใ นเซลล์ สาหร่ า ยสีเ ขี ย ว
อีกกลุ่มหนึ่ง ได้ แก่ คาโรไฟต์ (charophyte) เชื่อว่ามีความสัมพันธ์ท่ใี กล้ ชิดกันทางวิวัฒนาการกับพืชในด้ านชีววิทยาของเซลล์
เช่น สาหร่ายไฟ (Chara sp.)
ไมซีโทซัว (Mycetozoa)
กลุ่มของราเมือก มี 2 กลุ่ม คือ ราเมือกชนิดพลาสโมเดียม (plasmodial slime molds) ซึ่งเป็ นเซลล์ท่มี ีหลายนิวเคลียส และ
ราเมือกชนิดเซลลูลาร์ (Cellular slime molds) เป็ นเซลล์ท่ีมีหนึ่งนิวเคลียสและอยู่ได้ อิสระ ราเมือกมีบทบาทเป็ นผู้สลาย
สารอินทรีย์ท่ีสาคัญในระบบนิเวศ ตัวอย่างได้ แก่ สเตโมนิทิส (Stemonitis sp.) ช่วยย่อยสลายขอนไม้ และใบไม้ ไฟซารัม
(Physarum sp.) ทาให้ เกิดโรคยืนต้ นตายในพืชหรือที่เรียกว่า โรคไฟซารัม เป็ นต้ น
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 269
23.4.3 อาณาจักรพืช
- การปรับตัวด้า นองค์ประกอบทางเคมี โดยพืช สามารถสังเคราะห์สารพวกลิก นิน คิว ทิน เพื่อ ให้ พืช มี
ความแข็งแรงและทนทานต่อสภาพแวดล้ อม และสารพวกคิวทินที่ปกคลุมผิว ของลาต้ นและใบเพื่อป้ องกัน
การสูญเสียน้า เป็ นต้ น นอกจากนี้ยังมีการสร้ างสารสปอโรพอลเลนิน (sporopollenin) เคลือบผิวสปอร์ เพื่อ
ป้ องกันการสูญเสียนา้ จึงทาให้ สปอร์ของพืชสามารถกระจายพันธุ์บนบกและอยู่รอดได้ มากขึ้น
- การปรับตัวด้า นการสื บพัน ธุ ์ พืช จะมี โ ครงสร้ า งที่ใ ช้ สร้ า งเซลล์สืบ พันธุ์ (gametangium) ประกอบด้ ว ย
เซลล์สบื พันธุ์ (gamete) และเนื้อเยื่อที่เป็ นหมัน (sterile jacket cells) ล้ อมรอบเซลล์สบื พันธุ์ เนื้อเยื่อนี้สามารถ
ป้ องกันอันตรายให้ แก่เซลล์ภายในและป้ องกันการสูญเสียนา้ ได้ และเซลล์สืบพันธุ์ยังมีการปรับตัวให้ ใช้ นา้ น้ อย
หรือไม่อาศัยนา้ เป็ นตัวกลางในการผสมพันธุ์
ลัก ษณะของพื ช พื ช จะมี ว งจรชี วิ ต แบบสลั บ (alternation of generation) นั่ น คื อ มี ร ะยะแกมี โ ทไฟต์
(gametophyte) ที่มีการสร้ างเซลล์สบื พันธุ์ สลับกับระยะสปอโรไฟต์ (sporophyte) ซึ่งมีการสร้ างสปอร์
ภาพแสดงวงจรชีวิตแบบสลับของพืช
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 270
ความหลากหลายของพืช
พืชไม่มีท่อลาเลียง พืชมีท่อลาเลียง
Anthocerophyta Lycophyta
Gymnosperm Angiosperm
Bryophyta Pterophyta
Anthophyta
Cycadophyta
Gnetophyta
Ginkgophyta
Coniferophyta
ภาพแสดงความหลากหลายของพืช
ที่มา ; Solomon, Berg, Martin (2011)
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 271
1) กลุ่มพืชไม่ มีท่อลำเลียง (nonvascular plant)
เป็ นพืช บกพวกแรกที่ มีวิวฒ ั นาการเกิ ด ขึ้ น ในยุค ออร์ โดวิ เ ชี ยน เมื่ อประมาณ 475 ล้านปี ที่ ผ่านมา พื ช กลุ่ มนี้ มี ช่ วงระยะ
แกมีโทไฟต์ยาว แต่ช่วงระยะสปอโรไฟต์ส้ ันเจริ ญอยู่บนต้นแกมีโทไฟต์ ปั จจุบนั พืชที่ไม่มีท่อลาเลียงแบ่งออกได้เป็ น 3 ไฟลัม
โดยใช้โครงสร้างและรู ปร่ างเป็ นเกณฑ์
พืช กลุ่ม นี้ ไม่มีท่อล าเลียง จะยึ ดเกาะกับ ดิ น ดู ด น้ าและสารอาหารโดยโครงสร้ างคล้า ยรากที่ เ รี ยกว่ า ไรซอยด์ (rhizoid)
มีก ารล าเลียงน้ าและสารอาหารด้วยการแพร่ ส่ วนที่ เ ป็ นแผ่นคล้ายใบมีช้ ันคิวทิ เคิลบางมาปกคลุม การปฏิ ส นธิ ต้องอาศัยน้ า
เป็ นตัวกลางให้สเปิ ร์มเคลื่อนที่ไปผสมกับเซลล์ไข่ภายในโครงสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศเมียของแกมีโทไฟต์ จากนั้นไซโกตจะเจริ ญ
เป็ นเอ็มบริ โอและสปอโรต์ต่อไป
ประโยชน์ของกลุ่มพืชที่ไม่มีท่อลาเลียง เช่น ข้าวตอกฤๅษี หรื อสแฟกนัมมอส (Sphagnum sp.) เป็ นพืชที่ทนต่อการสู ญเสี ยน้ า
ได้ดีและเกษตรกรนิยมนามาใช้เป็ นวัสดุคลุมหน้าดินเพื่อรักษาสภาพความชื้นในดินและนามาใช้ในการเพาะปลูกพืช
ไฟลัม ลักษณะ
แกมี โ ทไฟต์ มีท้ัง ที่เ ป็ นต้ นที่มีส่ วนคล้ ายใบ และที่เ ป็ นแผ่ น บางๆ ซึ่ ง ภายในเซลล์จะมี
ไฟลัมเฮปาโทไฟตา
หยดน้ามันอยู่ด้วย ส่วนสปอโรไฟต์มีก้านชู อับสปอร์ท่ียาว อับสปอร์เมื่อแก่จะแตกออก
(Phylum Hepatophyta)
เพื่อปล่อยสปอร์กระจายพันธุ์ ตัวอย่างของพืชกลุ่มนี้ ได้ แก่ ลิเวอร์เวิร์ท
แกมีโทไฟต์มีลักษณะเป็ นแผ่นมีรอยหยักที่ขอบ มักมีคลอโรพลาสต์เพียง 1 อันต่อเซลล์
ไฟลัมแอนโทซีโรไฟตา
และสปอโรไฟต์มีอับสปอร์ลักษณะเรียวยาว เมื่อแก่ปลายจะแตกออกเป็ น 2 แฉก เช่ น
(Phylum Anthocerophyta)
ฮอร์นเวิร์ท
แกมี โ ทไฟต์ มี ส่ ว นคล้ า ยต้ น และใบที่ เ รี ย งวนรอบแกนกลาง ส่ ว นสปอโรไฟต์ มีก้า นชู
ไฟลัมไบรโอไฟตา
อับสปอร์ อับสปอร์มีโครงสร้ างช่วยในการกระจายสปอร์หรือมีช่องเปิ ดเพื่อกระจายสปอร์
(Phylum Bryophyta)
เช่น มอส
ภาพแสดงกลุ่มพืชที่ไม่มีท่อลาเลียง
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 272
2) กลุ่มพืชที่มีท่อลาเลียง
Gymnosperm
2.2 กลุ่มพืชที่มีท่อลาเลียง
และมีเมล็ด
angiosperm
2.1 กลุ่มพืชที่มีท่อลาเลียงที่ไร้เมล็ด
จากหลักฐานซากดึกดาบรรพ์ของพืช คือ คุกโซเนีย (Cooksonia sp.) มีอายุประมาณ 400 ล้ านปี ในช่วงต้ นยุคซิลูเรียน
สันนิษฐานว่าเป็ นกลุ่มพืชที่มีท่อลาเลียงกลุ่มแรก และมีวิวัฒนาการกลายเป็ นกลุ่มพืชที่มีท่อลาเลียงอื่นๆ
กลุ่มพืชที่มีท่อลาเลียงที่ไร้ เมล็ดประกอบด้ วย เฟิ นแท้ และกลุ่มใกล้ เคียงเฟิ น พืชกลุ่มนี้มีราก ลาต้ น และใบที่แท้ จริง
แกมีโทไฟต์และสปอโรไฟต์เจริญแยกกันหรืออยู่รวมกันในช่วงเวลาสั้นๆ โดยแกมีโทไฟต์จะมีช่วงชีวิตสั้นกว่าสปอโรไฟต์
ประโยชน์ของกลุ่มพืชมีท่อลาเลียงที่ไร้เมล็ด
- นิยมนามาใช้ เป็ นอาหาร เช่น ผักแว่น กูดนา้ กูดแดง กูดเกี๊ยะ
- เฟิ นบางชนิดนามาเป็ นสมุนไพร เช่น ว่านลูกไก่ทอง : ใช้ ในการดูดซับห้ ามเลือด, กูดแดง : ใช้ เป็ นยาแก้โรคผิวหนัง
- นามาใช้ ทาเครื่องจักสาน เช่น ย่านลิเภา
- แหนแดงในนาข้ าวเพื่อเพิ่มปริมาณปุ๋ ยไนโตรเจนให้ กบั ต้ นข้ าว
- เฟิ นหลายชนิด ที่นิย มนามาปลูกเป็ นไม้ ป ระดั บ ไม้ ตั ด ใบ เช่ น เฟิ นใบมะขาม เฟิ นนาคราช ข้ า หลวงหลังลาย และ
ชายผ้ าสีดา เป็ นต้ น
- กูดเกี๊ยะนามาใช้ ประโยชน์ได้ มากมาย โดยใบแห้ งใช้ มุงหลังคาและทาฟื น เถ้ าจากใบยังเป็ นแหล่งโพแทสเซียมใช้ ใน
อุตสาหกรรมแก้ วและสบู่ เหง้ านามาใช้ ฟอกหนังและย้ อมผ้ าขนสัตว์ให้ เป็ นสีเหลือง นอกจากนี้ยังมีศักยภาพเป็ นแหล่ง
สกัดสารฆ่าแมลงและพลังงานชีวภาพ ช่วยเพิ่มสารอาหารให้ กบั ดิน โดยเฉพาะไนโตรเจน ฟอสเฟต และโพแทสเซียม
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 273
พืชมีท่อลาเลียงที่ไร้ เมล็ดที่พบในปัจจุบัน แบ่งออกเป็ น 2 ไฟลัม ดังนี้
ไฟลัม ลักษณะ
เป็ นพืชที่มีลาต้ น และใบที่แท้จริง ใบมีขนาดเล็ก มีเส้นใบ 1 เส้นที่ไม่แตกแขนง ที่ปลายกิ่งจะมีกลุ่มของ
ใบทาหน้ าที่สร้ างอับสปอร์ โดยอับสปอร์เจริญที่โคนใบ พืชกลุ่มนี้ ได้ แก่
- ไลโคโพเดียม (Lycopodium) เช่น สามร้ อยยอด หางสิงห์
ไฟลัมไลโคไฟตา
- ซีแลกจิเนลลา (Selagenella) เช่น ตีนตุก๊ แก
(Phylum Lycophyta) - ไอโซอีเทส (Isoetes) เช่น กระเทียมนา้
สามร้ อยยอด และหางสิงห์มีการสร้ างสปอร์ชนิดเดียว
ตีนตุก๊ แก และกระเทียมนา้ มีการสร้ างสปอร์ 2 ชนิดที่มีขนาดแตกต่างกัน
- หวายทะนอยหรือไซโลตัม (Psilotum sp.) เป็ นพืชที่ไม่มีรากและใบ มีเพียงลาต้ นที่อยู่เหนือดินและ
ใต้ ดิ น ที่เ รี ย กว่ า ไรโซม (rhizome) ล าต้ น เหนื อ ดิ นขนาดเล็ก สูง ประมาณ 30 เซนติ เ มตร มี ล าต้ น
เป็ นเหลี่ยมและแตกกิ่งขนาดเท่ากันเป็ นคู่ๆ ที่ลาต้ นมีส่วนยื่นออกไปเป็ นเส้ นหรือเป็ นแผ่นขนาดเล็ก
ซึ่งไม่ใช่ใบ มีอบั สปอร์ลักษณะเป็ นพู 3-5 พู อยู่ท่กี ่งิ สั้นๆ ทางด้ านข้ าง มีไรซอยด์ทาหน้ าที่คล้ ายราก
- หญ้าถอดปล้อง หรืออีควิเซตัม (Equisetum sp.) ซึ่งเป็ นกลุ่มพื ชที่มีราก ลาต้ น และใบที่แท้ จ ริง
ที่ลาต้ นมีข้อปล้ องชัดเจน มีท้ังลาต้ นตั้งตรงบนดินและลาต้ นใต้ ดิน ลักษณะลาต้ นมีสัน มีร่อง ใบเป็ น
เกล็ดที่เชื่อมต่อกันเป็ นวงรอบข้ อ แต่ละใบมีเส้ นใบ 1 เส้ น อับสปอร์เกิดเป็ นกระจุ กที่ปลายกิ่งสั้นๆ
ไฟลัมเทอโรไฟตา เรีย กว่ า สปอร์แรงจิ โ อฟอร์ (sporangiophore) ซึ่งอยู่ รอบแกนกลางร่ ว มกันเป็ นโครงสร้ า ง เรีย กว่า
(Phylum Pterophyta) สโตรบิลัส (strobilus) และสร้ างสปอร์ชนิดเดียว
- เฟิ น (Fern) พบประมาณ 12,000 สปี ชีส์ เริ่มมีการแพร่ กระจายตั้งแต่ยุคดีโวเนียนจนถึงปัจจุบัน
พืช กลุ่ม นี้มี ราก ลาต้ น และใบที่แท้ จ ริง ลัก ษณะที่พ บทั่ว ไปคือ ใบอ่อ นม้ ว นจากปลายใบสู่โ คนใบ
ใบของเฟิ นมีหลายแบบ อาจเป็ นใบเดี่ยวหรือใบประกอบ โดยมีเส้ นใบที่แตกแขนง เฟิ นจะสร้ างอับ
สปอร์รวมกันเป็ นกลุ่มอยู่ทางด้ านล่างของแผ่นใบ เรียกว่า ซอรัส (sorus) ซึ่งมีรูปร่างแตกต่างกันและ
สามารถใช้ ในการจาแนกชนิดของเฟิ นได้ เฟิ นส่วนใหญ่สร้ างสปอร์ชนิดเดียว ยกเว้ นเฟิ นน้าบางจีนัส
สร้ า งสปอร์ ส องชนิ ด ได้ แ ก่ เฟิ นใบมะขาม เฟิ นก้ า นด า ข้ า หลวงหลั ง ลาย ชายผ้ า สีด า ย่ า นลิ เ ภา
แหนแดง จอกหูหนู ผักแว่น กูดเกี๊ยะ
2.2 กลุ่มพืชมีท่อลาเลียงที่มีเมล็ด
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 274
2.2.1 Gymnosperm
ไฟลัม ลักษณะ
เป็ นพืชที่มีการกระจายพันธุ์ในบริเวณที่แห้ งแล้ งได้ ดี ประเทศไทยพบเพียง 10 สปี ชีส์ อยู่ในจีนัสไซแคส
(Cycas) เช่น ปรง ปรงป่ า ปรงเขา เป็ นต้ น มีลักษณะใบที่มีขนาดใหญ่เป็ นใบประกอบแบบขนนกชั้น
ไฟลัมไซแคโดไฟตา
เดียว แผ่นใบย่อยเมื่อเป็ นใบอ่อนมีการม้ วนจากปลายใบไปสู่โคนใบ มีการสร้ างโคนเพศผู้และโคนเพศ
(Phylum Cycadophyta) เมียแยกต้ นกัน โดยโคนเพศเมียมีออวุลหลายออวุลติดอยู่บนแผ่นใบ ซึ่งเรียงซ้ อนกันแน่น แต่มักไม่
เป็ นสโตรบิลัส
เป็ นไม้ ต้นขนาดใหญ่ และผลัดใบ มีต้นแยกเพศกัน ต้ นเพศผู้สร้ างโคนเพศผู้เป็ นกลุ่ม แบบหลวมๆ
บนปลายกิ่งสั้น และต้ น เพศเมี ย จะมี ก ารสร้ า งโคนเพศเมี ย ซึ่ ง มี อ อวุ ล ติ ด อยู่ บ นก้ า นชูอ อวุ ลบนกิ่ง
ไฟลัมกิงโกไฟตา ก้ านละ 2 ออวุล แต่จะมีเพียง 1 ออวุลเท่านั้นที่เจริ ญไปเป็ นเมล็ด ปั จจุ บันมีเหลือเพียงสปี ชีส์เดีย ว
(Phylum Ginkgophyta) คื อ Ginkgo biloba Linn. มี ช่ ื อ สามั ญ ว่ า แปะก๊ว ย มี ใ บสีเ ขี ย วเข้ ม ที่แ ผ่ ค ล้ า ยพั ด โดยปลายใบเว้ า
ตรงกลางทาให้ เห็นเป็ น 2 ลอน จัดเป็ นซากดึกดาบรรพ์ท่มี ีชีวิตเพราะเหลือเพียงชนิดเดียวในโลกที่มี
ลักษณะใกล้ เคียงกับพืชที่สญ ู พันธุ์ไปแล้ ว
เป็ นพืชที่มีความหลากหลายมากที่สุดในพืชกลุ่มเมล็ดเปลือย ทั้งในด้ านลักษณะของต้ นและโครงสร้ าง
ของอวัยวะสืบพันธุ์ท่รี ้ จู ักกันทั่วไป คือ สน (pine) เป็ นไม้ ต้นขนาดใหญ่ท่ไี ม่ผลัดใบ สร้ างโคนเพศผู้และ
ไฟลัมโคนิเฟอโรไฟตา
โคนเพศเมียบนต้ นเดียวกัน โคนเพศผู้ประกอบด้ วยแผ่นใบขนาดเล็กที่มีลักษณะแข็ง สร้ างอับสปอร์
(Phylum Coniferophyta) แผ่ นละ 2 อับ สปอร์ ในประเทศไทยที่พ บ คือ สนสองใบ และ สนสามใบ หรือ เรีย กกันว่า สนเกี๊ยะ
สนสามพันปี และพญาไม้
พบเวสเซลในท่อลาเลียงนา้ และมีลักษณะคล้ ายพืชดอกมาก คือ มีสโตรบิลัสแยกเพศ สโตรบิลัสเพศเมีย
แต่ ละอันจะสร้ า งกิ่ง สั้น ๆ เรีย งรอบข้ อ เป็ นชั้นๆ เรีย งรอบข้ อ เป็ นชั้นๆ แต่ ละกิ่งสั้นจะสร้ า งออวุ ล
ไฟลัมนีโทไฟตา 2 ออวุล สโตรบิลัสเพศผู้แต่ละอันจะมีก่งิ สั้นเรียงรอบข้ อเช่นเดียวกัน แต่ละกิ่งสั้นสร้ างอับสปอร์คล้ าย
(Phylum Gnetophyta) เกสรเพศผู้ของไม้ ดอก 2 อับสปอร์ พืชในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็ นไม้ พ่มุ หรือไม้ เถาเนื้อแข็งที่ข้อและก้ านใบ
พองบวมเห็น ชัด เจน ปั จ จุ บั น พบในประเทศไทยมี เ พีย งจี นั ส เดี ย ว คื อ จี นั ส นี ตั ม (Gnetum) เช่ น
มะเมื่อย และผักเหลียง เป็ นต้ น
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 275
ประโยชน์ของพืชเมล็ดเปลือย
- ปรง นิยมนามาจัดสวน
- แปะก๊ว ยสามารถน าเมล็ด มารั บ ประทาน นอกจากนี้ ส ารสกัด จากใบแปะก๊ว ยเชื่ อ ว่ า จะช่ ว ยป้ องกัน และรั ก ษา
ความสมบูรณ์ของผนังหลอดเลือดฝอย และปรับระบบหมุนเวียนเลือด ต่อต้ านการอั กเสบ การบวมได้ และเนื่องจาก
สารสกัดจากใบแปะก๊วยมีความเป็ นพิษต่ามาก จึงนิยมใช้ ในผู้ป่วยที่เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอหรือมีผนังหลอด
เลือดแดงทางานผิดปกติ เพื่อป้ องกันการเกิดอัมพาตและใช้ กบั โรคที่เกี่ยวกับความชรา เป็ นต้ น
ภาพแสดงวงจรชีวิตของ gymnosperm
ที่มา ; Reece et al. (2011)
จากการศึก ษาด้ า นบรรพชีวินวิ ทยามี การค้ นพบหลักฐานซากดึ กดาบรรพ์ท่ีเชื่อว่ าเป็ นพืชดอกที่อยู่ ในตอนต้ นของ
ยุคครีเทเชียส คือ แฟมิลีอาคีฟรักเทซี (Archaefructaceae)
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 276
23.4.4 อาณาจักรฟังไจ
ลักษณะรูปร่างและการดารงชีวิตของฟังไจ
- ฟั งไจส่วนใหญ่มีลักษณะเป็ นเส้ นใยเรียกว่า ไฮฟา (hypha) เส้ นใยอาจมีเยื่อกั้นทาให้ เป็ นเซลล์หรือ ไม่ มี
เยื่อกั้น กลุ่มของเส้ นใยไฮฟาเรียกว่า ไมซีเลียม (mycelium) ทาหน้ าที่ยึดเกาะอาหารและส่งเอนไซม์ไปสลาย
อาหารภายนอกเซลล์และดูดซับสารอาหารที่ย่อยแล้ วกลับเข้ าสู่เซลล์
บทบาทของฟังไจ
- ฟังไจไม่น้อยกว่าร้ อยละ 30 ที่เป็ นปรสิต ก่อให้ เกิดโรคต่างๆ ในพืช เช่น ราเขม่าดา (Ustilago coicis) ทาให้
เกิด โรคราเขม่ า ดาในเมล็ด เดื อ ย ราน้า ค้ า ง (Plasmopara viticola) ท าให้ เ กิด โรคราน้า ค้ า งในองุ่น ราสนิม
(Puccinia graministritici) ทาให้ เกิดโรคราสนิมในใบพืช
- ราบางชนิด ท าให้ เ กิด โรคในคน เช่ น ราแอสเพอจิ ลลัส (Aspergillus avus) ที่พ บในเมล็ด ถั่ว และธัญ พืช
จะสร้ า งสารพิ ษอะฟลาทอกซิ น (aflatoxin) ซึ่ ง เป็ นสารก่ อ มะเร็ง ถ้ า สะสมไว้ ใ นร่ า งกายมากๆ ท าให้ เ กิด
โรคมะเร็งในตับได้ และฟังไจบางชนิดสามารถนาสารพิษมาผลิตทอกซอยด์ (toxoid) เพื่อใช้ ในการรักษาโรค
ความดันโลหิตสูง
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 277
ความหลากหลายของฟังไจ ; นักอนุกรมวิธานได้ จาแนกสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรฟังไจออกเป็ น 4 ไฟลัม ดังนี้
ไฟลัม ลักษณะ
- มีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ โดยการสร้ างเซลล์สบื พันธุ์ท่มี ีแฟลเจลลาที่ใช้ ในการเคลื่อนที่
- เรียกกันทั่วไปว่า ไคทริด ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในนา้ จืดและในดิน
- บางสปี ชีสเ์ ป็ นผู้สลายสารอินทรีย์ บางสปี ชีสเ์ ป็ นปรสิตในโพรทิสต์ ในฟังไจ พืชและสัตว์
ไฟลัมไคทริดิโอไมโคตา
- ไคทริดเป็ นกลุ่มฟังไจที่มีความสัมพันธ์ในรูปแบบภาวะพึ่งพากัน โดยไคทริดที่ดารงชีวิตแบบภาวะ
(Phylum Chytridiomycota)
ไม่ใช้ ออกซิเจนหรือเป็ นแอนแอโรบิก จะอาศัยอยู่ในทางเดิ นอาหารของสัตว์จาพวกแกะและวัว โดย
ช่วยย่อยสลายสารที่เป็ นองค์ประกอบในพืชที่ตกค้ างอยู่ในทางเดินอาหารของสัตว์เหล่านี้ ทาให้ สัตว์
ได้ รับสารอาหารและใช้ ในการเจริญเติบโตได้ เป็ นต้ น
เป็ นฟั ง ไจที่ ด ารงชี วิ ต บนพื้ นดิ น ฟั ง ไจกลุ่ ม นี้ ไฮฟาไม่ มี เ ยื่ อ กั้ น ปกติ จ ะสร้ า งสปอร์ ใ นอั บ สปอร์
ไฟลัมไซโกไมโคตา เพื่อขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ แต่ในสภาพแวดล้ อมที่ไม่เหมาะสมจะมีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ
(Phylum Zygomycota) โดยการสร้ างไซโกสปอร์ (zygospore) ตัวอย่างของฟังไจกลุ่มนี้ เช่น ราขนมปัง (Rhizopus sp.) และรา
ดา (Mucor sp.) เป็ นต้ น
เป็ นฟั งไจที่มีจานวนมากที่สุด พบทั้งในทะเล แหล่งน้าจืด และบนพื้นดิน มีรู ปร่ างทั้งเซลล์เดียว เช่น
ยีสต์ และหลายเซลล์ เช่น โมเรล ทรัฟเฟิ ล และราแดง เป็ นต้ น ฟังไจกลุ่มนี้มีไฮฟาที่มีเยื่อกั้น แต่มีช่อง
ไฟลัมแอสโคไมโคตา ระหว่างเซลล์ท่ตี ิดกันเพื่อลาเลียงสารอาหารระหว่างเซลล์ได้ มีการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศโดยสร้ าง
(Phylum Ascomycota) สปอร์ บางชนิด สร้ างสปอร์ใ นอับ สปอร์ และบางชนิด สร้ างสปอร์ท่ีไม่ อยู่ในอับสปอร์ มี ก ารสืบพันธุ์
แบบอาศัยเพศโดยการสร้ างแอสโคสปอร์ (ascospore) ในถุงเรียกว่า แอสคัส (ascus) ซึ่งอยู่เป็ นกลุ่ม
ในโครงสร้ างที่เกิดจากเส้นใยทาให้ เกิดเป็ นฟรุตติงบอดีรูปถ้ วย หรือรูปกลม
ฟังไจกลุ่มนี้มีไฮฟาที่มีเนื้อเยื่อกั้นอย่างสมบูรณ์ มีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศโดยการสร้ างเบสิดิโอสปอร์
(Basidiospore) บนปลายเส้ นใยที่มีลักษณะโป่ งพองเหมือนกระบอง อยู่ทางด้ านล่างของฟรุตติ งบอดี
ไฟลัมเบสิดิโอไมโคตา ขนาดใหญ่ เรียก เบสิเดียม (basidium) รากลุ่มนี้สามารถย่ อยสลายสารพอลิเมอร์แบบต่างๆ ได้ เช่น
(Phylum Basidiomycota) ลิกนิน เป็ นต้ น ตัวอย่างได้ แก่ ราสนิม ราเขม่าดา เห็ดชนิดต่างๆ เช่น เห็ดโคน เห็ดฟาง เห็ดนางรม เห็ด
เป๋ าฮื้อ เห็ดหูหนู เห็ดหอม และตัวอย่างที่เป็ นไมคอร์ไรซา เช่น เห็ดถอบหรือเห็ดเผาะ พบในป่ าเต็งรัง
ทางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 278
23.4.5 อาณาจักรสัตว์
1) เนื้ อเยื่อ : แบ่งออกเป็ น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ไม่มีเนื้อเยื่อที่แท้ จริง ได้ แก่ ฟองนา้
และกลุ่มที่มีเนื้อเยื่อที่แท้จริงซึ่งเป็ นลักษณะของสัตว์ส่วนใหญ่
4) การเจริญในระยะตัวอ่อน : จะพบในสัตว์กลุ่มที่มีช่องปากแบบโพรโทสโทเมีย
ซึ่งแบ่ งออกเป็ น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีระยะตัวอ่อนแบบโทรโคฟอร์ (trochophore)
พบในสัตว์พวกหนอนตัวแบน ไส้ เดือนดิน ปลิง หอย หมึก เป็ นต้ น และแบบเอคได
โซซัว (ecdysozoa) เป็ นกลุ่มที่มีการลอกคราบขณะเจริญเติบโต ซึ่งพบในหนอนตัว
กลมและอาร์โทรพอด
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 279
ความหลากหลายของสัตว์
ไม่มีเนื้อเยื่อแท้จริง มีเนื้อเยื่อแท้จริง
Porifera สมมาตรแบบรัศมี
Cnidaria
Protostomia Deuterostomia
Mollusca Arthropoda
Annelida
ภาพแสดงความหลากหลายของสัตว์
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 280
กลุ่มที่ไม่มีเนื้ อเยือ่ ที่แท้จริง
ไฟลัม ลักษณะ
มีโครงสร้ างร่างกายไม่ซับซ้ อน ไม่มีเนื้อเยื่อที่แท้ จริง ตัวอย่างของสัตว์ในไฟลัมนี้ ได้ แก่
ไฟลัมพอริเฟอรา
ฟองน้าแก้ ว ฟองน้า หิ นปูน ฟองน้า ถูตั ว ซึ่ ง โครงสร้ างค้าจุ นที่แ ทรกอยู่ ในตัวฟองน้า
(Phylum Porifera)
เรียกว่า สปิ คุล (spicule) ใช้ จาแนกชนิดของฟองนา้
ภาพแสดงสัตว์ในกลุ่ม Porifera
ที่มา ; http://www.tutorvista.com/content/biology/
กลุ่มที่มีสมมาตรตามรัศมี
ไฟลัม ลักษณะ
มี เ นื้ อเยื่ อ 2 ชั้ น ส่ ว นใหญ่ อ าศั ย อยู่ ใ นน้า เค็ม เช่ น ซี แ อนี โ มนี ปะการั ง กั ล ปั ง หา
แมงกะพรุน บางชนิดอาศัยอยู่ในนา้ จืด เช่น ไฮดรา แมงกะพรุน เป็ นต้ น สัตว์ในไฟลัมนี้
มีรูปร่าง 2 แบบ คือ แบบโพลิบ (polyp) เป็ นรูปร่างคล้ ายทรงกระบอก และแบบเมดูซา
ไฟลัมไนดาเรีย
(medusa) มีลักษณะคล้ ายร่มหรือระฆัง มีช่องเปิ ดออกจากลาตัวช่องเดียว มีการล่าเหยื่อ
(Phylum Cnidaria)
โดยใช้ เทนตาเคิ ล (tentacle) ที่ เ รี ย งอยู่ ร อบช่ อ งปาก ที่ เ ทนตาเคิ ล มี ไ นโดไซต์
(cnidocyte) เมื่อมีเหยื่อมาสัมผัสไนโดไซต์จะปล่ อยเข็มพิษ (nematocyst) ใช้ จับเหยื่อ
หรือป้ องกันตัว
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 281
; กลุ่มที่มีสมมาตรด้ านข้ าง แบ่งออกเป็ น 2 กลุ่มใหญ่ คือ...
กลุ่มที่มีสมมาตรด้านข้าง
กลุ่มโพรโทสโทเมีย และ กลุ่มดิวเทอโรสโทเมีย
1) กลุ่มที่มีตัวอ่อนแบบโทรโคฟอร์ ประกอบด้ วย
ไฟลัม ลักษณะ
มีเนื้อเยื่อ 3 ชั้น มีทางเดินอาหารแบบไม่สมบูรณ์ และไม่มีโพรงลาตัว (noncoelom) สัตว์ในไฟลัมนี้
ไฟลัมแพลทีเฮลมินทิส
บางชนิดดารงชีวิตเป็ นอิสระ เช่น พลานาเรีย แต่ส่วนใหญ่ดารงชีวิตเป็ นปรสิต เช่น พยาธิใบไม้ และ
(Phylum Platyhelminthes)
พยาธิตัวตืด เป็ นต้ น
ได้ แก่ หอยทาก ทากเปลือย หอยนางรม หอยกาบ หอยงวงช้ าง หมึกยักษ์ หมึกกระดอง และหมึกกล้ วย
ไฟลัมมอลลัสคา
ซึ่งเป็ นสัตว์ท่ีมีลาตัวนิ่ม แต่สามารถสร้ างเปลือกแข็งที่มีสารประกอบแคลเซียมคาร์บอเนตหุ้ม ลาตั ว
(Phylum Mollusca)
หมึกกล้ วย และหมึกยักษ์ไม่มีเปลือกแข็ง เนื่องจากเปลือกแข็งได้ หายไปในระหว่างการเกิดวิวัฒนาการ
ไฟลัมแอนเนลิดา เช่น แม่เพรียง ไส้เดือนดิน ปลิงนา้ จืด ทากดูดเลือด เป็ นต้ น สัตว์ในไฟลัมนี้ลักษณะลาตัวแบ่งออกเป็ น
(Phylum Annelida) ปล้ องเห็นได้ ชัดเจน ภายในมีเยื่อกั้น
ภาพแสดงสัตว์ในกลุ่ม Mollusca
ที่มา ; http://www.tutorvista.com/content/biology/
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 282
2) กลุ่มที่ตัวอ่อนมีการลอกคราบ สัตว์ส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้มีหลายไฟลัม เช่น
ไฟลัม ลักษณะ
เช่น ไส้ เดือนฝอย พยาธิไส้ เดือน พยาธิปากขอ พยาธิเส้ นด้ าย เป็ นต้ น เป็ นสัตว์ท่ีมีลาตัวรูปทรงกระบอก
ไฟลัมนีมาโทดา ไม่มีปล้ องบริเวณลาตัว จึงเรียกสัตว์กลุ่มนี้ว่า หนอนตัวกลม (round worm) มีการลอกคราบในระหว่ า ง
(Phylum Nematoda) การเจริญ เติ บ โต ลาเลีย งสารอาหารโดยของเหลวภายในโพรงลาตั วเทียม (pseudocoelom) พบเฉพาะ
กล้ ามเนื้อตามยาว
มีระยางค์เป็ นข้ อๆ ต่อกัน ระยางค์เป็ นลักษณะพิเศษที่ปรับเปลี่ยนให้ ทาหน้ าที่ได้ หลายอย่าง เช่น ใช้ เดิน
จับอาหาร รับความรู้สึก ผสมพันธุ์ และป้ องกันอันตราย มีโครงร่างภายนอกเป็ นเปลือกแข็งที่ประกอบด้ วย
ไคทิน ในการเจริญเติบโตจะมีการลอกคราบจากระยะตัวอ่อนเป็ นตัวเต็มวัย ซึ่งสัตว์ในไฟลัมอาร์โทรโพดา
ที่พบในปัจจุบันมีดังนี้
1) คลาสเมอโรสโตมาตา (Class Merostomata) ได้ แก่ แมงดาทะเล พบอยู่ตามบริเวณนา้ ตื้น ในป่ า
ชายเลน มีลาตัวแบ่งออกเป็ น 2 ส่วน คือ ส่วนหัวและส่วนอกรวมกัน และส่วนท้อง มีขาเดิน 5 คู่
ในประเทศไทยมีแมงดาทะเล 2 สปี ชีส์ คือ แมงดาทะเลหางเหลี่ยมหรือแมงดาจาน และแมงดา
ทะเลหางกลมหรือแมงดาถ้ วยหรือเหรา
2) คลาสอะแรคนิดา (Class Arachnida) ส่วนหัวและส่วนอกรวมกัน มีรยางค์ 6 คู่ โดยรยางค์ค่ทู ่ี 1
และคู่ท่ี 2 ใช้ จั บ อาหารและรับ ความรู้สึก และมี ข าเดิ น อีก 4 คู่ สัต ว์ ใ นคลาสนี้ ตั ว อย่ า งเช่ น
แมงมุม แมงป่ อง เห็บ ไร เป็ นต้ น
3) คลาสไดโพลโพดา (Class Diplopoda) ลาตัวมีปล้ องจานวนมาก มีรยางค์ปล้ องละ 2 คู่ บริเวณ
ไฟลัมอาร์โทรโพดา หัวมีหนวด 1 คู่ สัตว์ในคลาสนี้ เช่น กิ้งกือ ตะเข็บ เป็ นต้ น
(Phylum Arthropoda) 4) คลาสชิโลโพดา (Class Chilopoda) ลาตัวแบน มี รยางค์ปล้ องละ 1 คู่ บริเวณหัวมีหนวด 1 คู่
ปล้ อ งแรกของล าตั ว มี เ ขี้ ย วพิ ษ 1 คู่ แนบกับ ส่ ว นหั ว จะปล่ อ ยพิ ษ ท าให้ เ หยื่ อ เป็ นอัม พาต
สัตว์ในคลาสนี้ เช่น ตะขาบ เป็ นต้ น
5) คลาสอินเซ็คตา (Class Insecta) เป็ นสัตว์ท่มี ีจานวนสปี ชีสม์ ากที่สุด ได้ แก่ พวกแมลงชนิดต่างๆ
แมลงแบ่งออกเป็ น 3 ส่วน คือ ส่วนหัว ส่วนอก และส่วนท้ อง มีหนวด 1 คู่ มีขา 3 คู่ อยู่บริเวณ
ส่วนอก บางชนิดอาจมีปีก 1-2 คู่ แมลงมีความเกี่ยวข้ องกับมนุษย์มาก เป็ นพาหะนาโรค เช่น
ยุงลาย ยุงก้ นปล่อง เป็ นปรสิตของคน เช่น เรือด เหา และเป็ นปรสิตของสัตว์เลี้ยง เช่น ไรไก่
หมัด เหลือบ เป็ นต้ น
6) คลาสครัสเทเซีย (Class Crustacea) มีรยางค์จานวนมาก ทาหน้ าที่พิเศษหลายอย่าง เช่น ใช้ เดิน
ว่ายนา้ หรือเปลี่ยนแปลงเป็ นหนวดและส่วนประกอบของปากมีหนวด 2 คู่ มีรยางค์ ที่ส่วนอกทา
หน้ าที่เป็ นขาเดิน และมีรยางค์ท่สี ่วนท้ องสาหรับว่ายนา้ หรือปรับเปลี่ยนไปทาหน้ าที่เฉพาะ เช่น
แลกเปลี่ยนแก๊ส เป็ นที่เกาะของไข่ เป็ นต้ น สัตว์ในคลาสนี้ได้ แก่ กุ้ง กั้ง ปู ไรนา้ ส่วนใหญ่ยังคง
อาศัยอยู่ในทะเลหรือแหล่งนา้ จืด เป็ นต้ น
NOTE ;
➢ ตัวเบียน (parasite) หมายถึง แมลงที่เบียดเบียนเหยื่อ หรือเกาะกินอยู่กับเหยื่อจนกระทั่งเหยื่อตาย และการเป็ น
ตัวเบียนนั้นจะเป็ นเฉพาะในช่วงที่เป็ นตัวอ่อนเท่านั้น เช่น แตนเบียนไข่ หนอนกระทู้ผัก เป็ นต้ น
➢ ตัวห้ า (predator) หมายถึง แมลงที่กนิ แมลงชนิดอื่นๆ เป็ นอาหาร สามารถทาลายเหยื่อได้ ทุกระยะในวัฏจักรชีวิต เช่น
ตั๊กแตนตาข้ าว มวนเพชฌฆาต เป็ นต้ น
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 283
ภาพแสดงสัตว์ในกลุ่ม Nematoda
ภาพแสดงสัตว์ในกลุ่ม Arthropoda
ที่มา ; http://www.tutorvista.com/content/biology/
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 284
กลุ่มดิวเทอโรสโทเมีย ประกอบด้ วย
ภาพแสดงสัตว์ในกลุ่ม Echinodermata
ที่มา ; http://www.tutorvista.com/content/biology/
ไฟลัม ลักษณะ
พบดารงชีวิตอยู่ในทะเลทั้งหมด เป็ นสัตว์ท่มี ีโครงร่างแข็ง ผิวชั้นนอกบางเป็ นชั้นคิวทิน ผิวชั้นในถัดมา
ไฟลัมแอไคโนเดอร์มาตา
เป็ นผนั ง หนาที่ป ระกอบด้ ว ยแผ่ น แคลเซี ย มคาร์ บ อเนตหุ้ ม โครงร่ า งแข็ง สิ่ง มี ชี วิ ต ในกลุ่ ม นี้ เช่ น
(Phylum Echinodermata)
ปลิงทะเล ดาวทะเล พลับพลึงทะเล ดาวขนนก ดาวมงกุฎหนาม
มีลักษณะสาคัญที่พบในวัฏจักรชีวิตในระยะเอ็มบริโอ ดังนี้
1) มีโนโทคอร์ด (notochord) ลักษณะเป็ นแท่งยาวตลอดความยาวของลาตัว ยืดหยุ่นตัวดีอยู่ระหว่าง
ท่อทางเดินอาหารและท่อประสาท
2) มีท่อประสาทกลวงที่ด้านหลัง ซึ่งเจริญมาจากเนื้อเยื่อชั้นเอ็ก โทเดิร์ม พบบริเวณด้ านหลังเหนือ
ไฟลัมคอร์ดาตา
โนโทคอร์ดในระยะเอ็มบริโอ ซึ่งจะพัฒนาต่อไปเป็ นสมองและไขสันหลังในระยะตัวเต็มวัย
(Phylum Chordata)
3) มีช่องเหงือกอยู่บริเวณคอหอย ทาหน้ าที่กรองอาหารในนา้ ที่ไหลผ่านเข้ ามา พบในระยะตัวอ่อน
ของสัตว์กลุ่มนี้ทุกชนิด และมีการปรับเปลี่ยนไปทาหน้ าที่ อ่นื ๆ ในระยะตัวเต็มวัยต่อไป เช่น เป็ นท่อ
ยูสเตเชียน ต่อมทอนซิล ต่อมไทรอยด์ และพาราไทรอยด์ในคน เป็ นต้ น
4) มีหาง เป็ นส่วนที่อยู่ถัดจากทวารหนักบริเวณท้ายลาตัว พบในสัตว์ส่วนใหญ่ในไฟลัมนี้
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 285
สัตว์มีกระดูกสันหลังที่มีขากรรไกร
คลาสคอนดริคไทอิส (Class Chondrichthyes) เรียกสัตว์ในคลาสนี้ว่า ปลากระดูกอ่อ น มีขากรรไกรและครีบคู่ท่เี จริญดี เช่น กระเบน
และฉลาม มีการปฏิสนธิภายในและออกลูกเป็ นตัว
คลาสออสติอิคไทอิส (Class Osteicthyes) เรียกสัตว์ในคลาสนี้ว่า ปลากระดูกแข็ง มีครีบ 2 คู่ คือ ครีบอกและครีบสะโพก หายใจโดยใช้
เหงือก มีแผ่นปิ ดเหงือก (operculum) มีถุงลม (air bladder) ช่วยควบคุมการลอยตัวในนา้ ส่วนใหญ่มีการปฏิสนธิภายนอก ปลากระดูกแข็ง
ส่วนใหญ่ท่พี บในปัจจุบันดารงชีวิตในนา้ โดยอาศัยแก๊สออกซิเจนที่ละลายในนา้ หายใจ แต่มีการกระดูกแข็ง 2 กลุ่ม คือ ปลาที่มีครีบเนื้อ และ
ปลาปอดที่สามารถหายใจจากอากาศได้ ในช่วงเวลาสั้นๆ
คลาสแอมฟิ เบีย (Class Amphibia) เรียกสัตว์ในคลาสนี้ว่า สัตว์สะเทินนา้ สะเทินบก (amphibian) แบ่งออกเป็ น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มกบ
กลุ่มงูดิน และกลุ่มซาลามานเดอร์
คลาสเรปทิ เ ลี ย (Class Reptilia) เรี ย กสัต ว์ ใ นคลาสนี้ ว่ า สัต ว์ เ ลื้ อยคลาน (reptile) ซึ่ ง จั ด เป็ นสัต ว์ มี ก ระดู ก สัน หลั ง กลุ่ ม แรกที่มี
การดารงชีวิตบนบกอย่างแท้ จริง สัตว์เลื้อยคลานในอดีตที่ร้ ูจักกันดี คือ ไดโนเสาร์ (dinosaurs) สัตว์เลื้อยคลานจะมีผิวหนังปกคลุมด้ วยสาร
เคราทิน (keratin) เพื่อป้ องกันการสูญเสียนา้ ออกจากร่างกาย มีการหายใจโดยใช้ ปอด มีการปฏิสนธิภายในร่างกายเพศเมีย และสร้ างเปลือก
มาห่อหุ้มและวางไข่นอกร่างกายเพศเมีย สัตว์เลื้อยคลานที่พบในปัจจุบัน เช่น เต่า ตะพาบนา้ จิ้งจก ตุก๊ แก จิ้งเหลน และจระเข้
คลาสเอวีส (Class Aves) สัตว์ในคลาสนี้ คือ สัตว์ปีก จากหลักฐานพบซากดึกดาบรรพ์ของ อาร์คีออพเทริ กซ์ (Archaeopteryx) ที่มี
ลักษณะเหมือนสัตว์เลื้อยคลาน คือ มีเกล็ดที่ขา กรงเล็บ ฟัน และหางยาว เป็ นต้ น แต่มีขนเหมือนขนนก
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 286
ไพรเมต (primate)
เป็ นสัตว์ท่ีอาศัยอยู่บนต้ นไม้ เป็ นส่วนใหญ่ ได้ แก่ ลิงลม กระแต ลิง ชะนี อุรังอุตัง ชิมแปนซี และมนุษย์
สัตว์กลุ่มนี้มีมือและเท้ าสาหรับการยึดเกาะ นิ้วหัวแม่มือพับขวางได้ มีสมองขนาดใหญ่ มีขากรรไกรสั้น
ทาให้ ใบหน้ าแบน มีตาที่ใช้ มองไปข้ างหน้ า มีเล็บแบนทั้งนิ้วมือและนิ้วเท้า มีพฤติกรรมในการเลี้ยงลูกอ่อน
และพฤติกรรมทางสังคมที่ซับซ้ อนขึ้นกว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้ วยนา้ นมกลุ่มอื่น
NOTE ;
จอกหูหนู แหนแดง จัดเป็ น เฟิ น (Pterophyta)
จอก แหน สาหร่ายหางกระรอก จัดเป็ น พืชดอก (Anthophyta)
แม่เพรียง จัดเป็ น Annelida
เพรียงคอห่าน เพรียงหิน จัดเป็ น Arthropoda
เพรียงหัวหอม จัดเป็ น Chordata
ซาลามานเดอร์ (จิ้งจกนา้ ; กระท่าง) งูดิน จัดเป็ น สัตว์สะเทินนา้ สะเทินบก (Amphibian)
แบคทีเรีย ปอดบวม วัณโรค โรคเรื้อน บาดทะยัก อหิวาตกโรค คอตีบ ไอกรน ไทฟอยด์ บิด ซิฟิลิส แอนแทรกซ์
โปรโตซัว ไข้ มาลาเรีย บิดมีตัว
รา กลาก เกลื้อน ชันตุ
ไวรัส ไข้ เลือดออก ไข้ เหลือง เริม อีสกุ อีใส ไข้ หวัดใหญ่ คางทูม หวัด ฝี ดาษ โปลิโอ พิษสุนัขบ้ า หัดเยอรมัน เอดส์
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 287
23.5 ความหลากหลายทางชีวภิ าพในประเทศไทย
ในประเทศไทยมีความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตจานวนมาก
เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งมีชีวิตบนโลกสามารถแสดงได้ ดังตารางต่อไปนี้
จานวนสปี ชีส์
ประเภทของสิง่ มีชีวิต
โลก ประเทศไทย ร้ อยละ
เฟิ น 10,000 591 5.9
สน 529 25 4.7
พืชใบเลี้ยงเดี่ยว 50,000 1,690 3.4
พืชใบเลี่ยงคู่ 170,000 7,750 4.6
ปลา 19,056 2,401 12.6
สัตว์สะเทินนา้ สะเทินบก 4,187 123 2.9
สัตว์เลื้อยคลาน 3,600 318 5.0
นก 9,040 962 10.6
สัตว์เลี้ยงลูกด้ วยนา้ นม 4,000 292 7.3
23.6 การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
ตัวอย่างการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศไทย เช่น
พืชป่ าหลายชนิดจัดอยู่ในสภาวะหายากและใกล้ สญ
ู พันธุ์ โดยเฉพาะกล้ วยไม้ ป่าต่างๆ เช่น รองเท้านารี
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 288
บทที่ 24 : ระบบนิเวศและประชากร
➢ คานิยามศัพท์เกี่ยวกับระบบนิเวศ
1. ประชากร (Population) คือ สิง่ มีชีวิตชนิดเดียวกัน อาศัยอยู่ในแหล่งที่อยู่เดียวกันในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
2. กลุ่มของสิ่งมีชีวิต (Community) คือ สิ่งมีชีวิตตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป มาอาศัยอยู่ร่วมกัน
3. ระบบนิเวศ (Ecosystem) คือ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชวี ิตกับแหล่งที่อยู่
4. โลกของสิ่งมีชีวิต (Biosphere) คือ ระบบนิเวศที่มีขนาดใหญ่ท่สี ดุ “โลกของเรา”
24.1 ระบบนิเวศ
ระบบนิเวศ
ระบบนิเวศในนา้ ระบบนิเวศบนบก
ป่ าดิบเขา
ป่ าสนเขา
ป่ าชายเลน
ป่ าพรุ
ระบบนิเวศในน้ า
มีเกลือน้ อยกว่าร้ อยละ 0.1 แบ่งเป็ น 3 บริเวณ คือ
1) บริเวณชายฝั่ง (littoral zone) พบพืชนา้ ที่รากหยั่งลึกในดิน และพืชที่ลอยนา้
แหล่งนา้ จืด 2) บริเวณผิวนา้ (limnetic zone) ถัดมาจากชายฝั่ง ยังได้ รับแสงส่องผ่านลงมา
3) บริเวณน้าชั้นล่าง (profundal zone) อยู่ต่ากว่าระดับผิวน้าถึงพื้นท้ องน้า (benthic zone)
แสงส่องผ่านไปไม่ถึง
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 289
ระบบนิเวศบนบก
เป็ นป่ าที่มี น้า ขั งตลอดปี เป็ นดิ นอินทรีย์ มี ความเป็ นกรดสูง พบหวาย
ป่ าพรุ หมากแดง หลุมพี พบทางภาคใต้ เช่น พรุโต๊ะแดง จ.นราธิวาส
จัดเป็ นป่ าผลัดใบ มักพบไม้ หลัก 5 ชนิด ได้ แก่ สัก มะค่า แดง ประดู่
ป่ าเบญจพรรณ
และชิงชัน
ป่ าเต็งรัง หรือป่ าแดง ป่ าแพะ เป็ นป่ าผลัดใบ พบในที่แห้ งแล้ ง พบไม้ เต็ง ไม้ รัง ไผ่
เหียง มะขามป้ อม พะยอม ประดู่แดง พลวง เป็ นต้ น
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 290
ความสัมพันธ์ในระบบนิเวศ
ความสัมพันธ์ในระบบนิเวศ
ปัจจัยทางกายภาพ ปัจจัยทางชีวภาพ
ความชื้น ภาวะพึ่งพา
แสงสว่าง ภาวะอิงอาศัย
แก๊ส ภาวะการล่าเหยื่อ
ความพันธ์ระหว่างสิง่ มีชีวิต
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 291
2) แบบปฏิปักษ์ต่อกัน (Antagonism)
เป็ นการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิต 2 ชนิด ที่ทาให้ ฝ่ายหนึ่งฝ่ ายใดเสียประโยชน์หรือเสียประโยชน์ท้งั สองฝ่ าย ได้ แก่
เป็ นการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตโดยฝ่ ายหนึ่งจับอีกฝ่ ายหนึ่งเป็ นอาหาร เรียกว่า ผู้ล่า (predator)
2.1 ภาวะล่าเหยือ่ ส่วนฝ่ ายที่ถูกจับเป็ นอาหารหรือถูกล่า เรียกว่า เหยื่อ (prey) เช่น
(Predation : +, -) - กบกับแมลง
- เหยี่ยวกับหนู
เป็ นการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิต 2 ชนิด โดยฝ่ ายหนึ่งได้ ประโยชน์ เรียกว่า ปรสิต (parasite) อีก
2.2 ภาวะปรสิต ฝ่ ายหนึ่งเสียประโยชน์เรียกว่า ผู้ถูกอาศัย (host) เช่น
(Parasitism : +, -) - เห็บ เหา ไร หมัด บนร่างกายสัตว์
- พยาธิ : จัดเป็ นปรสิตภายใน (endoparasite)
2.3 ภาวะแข่งขัน เป็ นการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตที่มีการแก่งแย่งปัจจัยในการดารงชีพเหมือนกัน ทาให้ เสียประโยชน์
(Competition : -, -) ทั้งสองฝ่ าย เช่น พืชหลายชนิดที่อยู่ในบริเวณเดียวกันแข่งขันเจริญขึ้นหาแสง เป็ นต้ น
เป็ นการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตที่ฝ่ายใดฝ่ ายหนึ่งหลั่งสารมายับยั้งการเจริญของอีกฝ่ ายหนึ่ง เช่น
2.4 ภาวะหลังสารยั
่ บยั้งการเจริญ
สาหร่ายสีเขียวแกมนา้ เงินบางชนิดหลั่งสารพิษ เรียกว่า hydroxylamine ทาให้ สัตว์นา้ ในบริเวณนั้น
(Antibiosis : 0, -)
ได้ รับอันตราย
การถ่ายทอดพลังงานและการหมุนเวียนสารในระบบนิเวศ
องค์ประกอบของระบบนิเวศ
ระบบนิเวศ
กลุ่มสิ่งไม่มชี ีวิต กลุ่มสิ่งมีชีวิต
ผู้ผลิต ผู้บริโภค ผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์
ผู้บริโภคพืช
ผู้บริโภคสัตว์
ผู้บริโภคพืชและสัตว์
ผู้บริโภคซากพืชและสัตว์
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 292
บทบาทของสิง่ มีชีวิต
2) ผู้บริโภค (Consumer) เป็ นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถสร้ างอาหารเองได้ (Heterotrophic Organism) จะต้ องได้ รับจาก
ผู้ผลิตด้ วยการบริโภคเพื่อให้ ได้ พลังงาน ตัวอย่างเช่น สัตว์ โดยสามารถแบ่งได้ เป็ น 4 ประเภท คือ
2.1 ผู้บริโภคพืช (Herbivore) ได้ แก่ ช้ าง ม้ า วัว ควาย
2.2 ผู้บริโภคสัตว์ (Carnivore) ได้ แก่ เสือ สิงโต
2.3 ผู้บริโภคพืชและสัตว์ (Omnivore) ได้ แก่ คน นก เป็ ด ไก่
2.4 ผู้บริโภคซากพืชซากสัตว์ (Dentritivore) ได้ แก่ แร้ ง
การถ่ายทอดพลังงานในสิง่ มีชีวิต
ความสัมพันธ์เชิงอาหารที่มีการถ่ายทอดพลังงานเคมี โดยการกิน
กันเป็ นทอดๆ จากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค และจากผู้บริโภคไปยัง
โซ่อาหาร ผู้บริโภคลาดับถัดไป
(Food Chain) เช่น ผักกาด หนอน นก คน
ห่ วงโซ่ อาหาร แบ่ งเป็ น 3 ประเภท คือ แบบจับกิน แบบปรสิต
และแบบดีไทรทัส (การย่อยสลาย)
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 293
ภาพแสดงสายใยอาหาร (food web)
ที่มา ; Reece et al. (2011)
NOTE :
กฏ 10% ผู้บริโภคได้ รับพลังงานจากการกินผู้ผลิต โดยพลังงานส่วนหนึ่งจะใช้ ไปในการประกอบกิจกรรม บางส่วนกลายเป็ น
กากอาหารขับถ่ายทิ้งไป แต่ส่วนใหญ่จะกลายเป็ นพลังงานความร้ อนในกระบวนการหายใจ พลังงานที่ผ้ บู ริโภคสามารถนาไป
สร้ างเนื้อเยื่อของตนเองจึงเหลือเพียง 10% ของพลังงานศักย์ท้งั หมดในสิ่งมีชีวิตที่เป็ นอาหารของตน
พีระมิดแสดงพลังงาน จะเป็ นพีระมิดหัวตั้งเสมอ (ฐานกว้ างยอดแหลม เพราะเป็ นไปตามกฏ 10%)
ในห่วงโซ่อาหาร พลังงานจะลดลงจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคตามกฏ 10% ดังนั้นผู้บริโภคลาดับหลังๆ จะได้ รับพลังงานน้ อยลง
ในห่วงโซ่อาหาร หากมีการสะสมสารพิษ จะมีการสะสมสารพิษมากขึ้นเรื่อยๆ จากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค ดังนั้นผู้บริโภคลาดับ
สุดท้ายจะได้ รับสารพิษมากที่สดุ
1) พีระมิดแสดงจานวน
2) พีระมิดแสดงมวลชีวภาพ
3) พีระมิดแสดงพลังงาน
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 294
ภาพแสดงพีระมิดนิเวศวิทยา
ที่มา ; https://biologydictionary.net/ecological-pyramid/
การหมุนเวียนของสารในระบบนิเวศ
แบ่งเป็ น
วัฏจักรแบบสมบูรณ์ (ผ่านดิน นา้ อากาศ) เช่น นา้ ไนโตรเจน คาร์บอน กามะถัน
1) วัฏจักรน้ า : แบ่งเป็ นวัฏจักรย่อย 2 วัฏจักร คือ (1) ผ่านสิ่งมีชวี ิต กับ (2) ไม่ผ่านสิง่ มีชีวิต ดังนี้
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 295
ภาพแสดงวัฏจักรนา้
ที่มา ; Solomon, Berg, Martin (2011)
ภาพแสดงวัฏจักรคาร์บอน
ที่มา ; Solomon, Berg, Martin (2011)
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 296
3) วัฏจักรไนโตรเจน : แบ่งเป็ น 4 ขั้นตอน คือ ...
ภาพแสดงวัฏจักรไนโตรเจน
ที่มา ; Solomon, Berg, Martin (2011)
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 297
4) วัฏจักรฟอสฟอรัส : เป็ นธาตุท่จี าเป็ นสาหรับเซลล์ เนื่องจากเป็ นส่วนประกอบของกรดนิวคลีอกิ เช่น
DNA RNA และเป็ นส่วนประกอบของสารให้ พลังงานสูง เช่น ATP โดยฟอสฟอรัส
นั้นจะไม่ผ่านบรรยากาศ จึงเป็ นวัฏจักรที่ไม่สมบูรณ์
ภาพแสดงวัฏจักรฟอสฟอรัส
ที่มา ; Solomon, Berg, Martin (2011)
ภาพแสดงวัฏจักรกามะถัน
ที่มา ; http://clinicalgate.com/microorganisms-in-the-environment-and-environmental-safety/
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 298
24.2 ไบโอม
ประกอบด้ วย
ไบโอมบนบก
ชนิดของไบโอม ลักษณะสาคัญ
พบบริเวณเส้นศูนย์สตู ร ปริมาณนา้ ฝนเฉลี่ย 200-400 เซนติเมตรต่อปี
ป่ าดิบชื้น
มีฝนตกตลอดปี มีความหลากหลายทางชีวภาพมาก
มีปริมาณนา้ ฝนเฉลี่ย 100 เซนติเมตรต่อปี อากาศค่อนข้ างเย็น
ป่ าผลัดใบในเขตอบอุ่น
พบในเขตละติจูดกลาง ป่ าผลัดใบก่อนฤดูหนาว และผลิใบหลังพ้ นฤดูหนาว
เขียวชะอุ่มตลอดปี พบในแคนาดา อเมริกา และเขตละติจูด 45-67 องศาเหนือ
ป่ าสน
มีพืชเด่น คือ ไพน์ เฟอ สพรูซ เฮมลอค
มีนา้ ฝนเฉลี่ย 25-50 เซนติเมตรต่อปี รู้จักกันดี เช่น ทุ่งหญ้ าแพรี่ (อเมริกาเหนือ)
ทุง่ หญ้ าเขตอบอุ่น และทุ่งหญ้ าสเตปส์ (รัสเซีย) เหมาะต่อการกสิกรรมและปศุสตั ว์
เพราะดินอุดมสมบูรณ์
พบได้ ในแอฟริกา อเมริกาใต้ ออสเตรเลีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สะวันนา
อากาศร้ อน พืชส่วนใหญ่เป็ นหญ้ า ฤดูร้อนเกิดไฟป่ าอยู่เสมอ
มีนา้ ฝนเฉลี่ยน้ อยกว่า 25 เซนติเมตรต่อปี บางแห่งร้ อนมาก อุณหภูมิเหนือพื้นดิน
ทะเลทราย สูงถึง 60 องศาเซลเซียส ใบพืชจะลดรูปเป็ นหนาม ลาต้ นอวบนา้ รู้จักกันดี เช่น
ทะเลทรายโกบี (จีน) ซาฮารา (แอฟริกา) โมฮาวี (อเมริกา)
มีฤดูหนาวยาวนาน ลักษณะเด่น คือ ชั้นดินด้ านล่างจะจับตัวเป็ นนา้ แข็งอย่างถาวร
ทุนดรา
พบทางตอนเหนือของอเมริกา ยุโรป เอเชีย มักพบไม้ ดอก ไม้ พ่มุ และไลเคน
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 299
24.3 การเปลีย่ นแปลงแทนที่
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 300
24.4 ประชากร
ความหนาแน่นและการแพร่กระจายของประชากร
หมายถึง กลุ่มของสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันที่อาศัยอยู่รวมกันในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง
ประชากร ในช่วงเวลาหนึ่ง
(population) (องค์ประกอบต้ องครบ 3 ส่วน คือ สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน + แหล่งที่อยู่ + ช่วงเวลา)
เป็ นวิธีการประมาณจานวนประชากรโดยการวางแปลงสุ่มตัวอย่างสิ่งมีชีวิต
1) สุ่มตัวอย่างแบบวางแปลง บางส่ว นในบริเ วณที่ศึก ษา แล้ ว นามาคิด คานวณเทีย บกับ พื้นที่ท้ัง หมด
(quadrat sampling method) เพื่อหาความหนาแน่น ซึ่งเหมาะสาหรับ สิ่งมีชีวิตที่ค่อนข้ างอยู่กับที่ เช่น
พืช เพรียงทะเล เป็ นต้ น
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 301
การแพร่กระจายของประชากร
ปัจจัยจากัดที่มีผลต่อการแพร่กระจายของประชากร
; ในแต่ละพื้นที่ท่มี ีส่งิ มีชีวิตชนิดเดียวกันหรือต่างชนิดกันอาศัยอยู่ร่วมกันในปริมาณที่แตกต่างกันนี้ เนื่องจาก
มีปัจจัยจากัด (limiting factor) บางประการที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดที่ไม่เหมือนกัน และเป็ นสาเหตุ
ที่ทาให้ เกิดการแพร่กระจายของประชากรเกิดขึ้นซึ่งปัจจัยดังกล่าวนั้น ได้ แก่
รูปแบบการแพร่กระจายของประชากร
การแพร่กระจายแบบสุ่ม
(random distribution)
การแพร่กระจายแบบรวมกลุ่ม
(clumped distribution)
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 302
ขยายความ : รูปแบบการแพร่กระจายของประชากร
พบมากในกลุ่มของประชากรที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติ โดยเฉพาะ
ประชากรที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมือนกันและไม่ค่อย
การแพร่กระจายแบบสุ่ม เปลีย่ นแปลง จึงไม่มีการแก่งแย่งแข่งขันระหว่างสมาชิกและไม่มี
(random distribution) การรวมกลุ่มของสมาชิก เช่ น การแพร่ กระจายของพืชที่มีเมล็ด
ปลิวไปกับลม หรือสัตว์ท่ีกินผลไม้ และขับถ่ายอุจจาระทิ้งไว้ ตาม
ที่ต่างๆ และในอุจจาระนั้นมีเมล็ดพืชปะปนอยู่ จึงงอกกระจาย
ทั่วๆ ไป
มักพบในบริ เวณที่มีปัจจัยทางกายภาพบางประการจากัดใน
การเจริญเติบโต ได้ แก่ ความชื้น อุณหภูมิ และลักษณะของดิน
เป็ นต้ น เช่ น การแย่งน้าเพื่อการเจริญเติบโตของกระบองเพชร
การแพร่กระจายแบบสมา่ เสมอ ยั ก ษ์ (saguaro) ที่ ข้ ึ นในทะเลทรายของรั ฐ อริ โ ซนา ประเทศ
(uniform distribution) สหรั ฐ อเมริ ก า การปลิ ว ของเมล็ ด ยางไปตกห่ า งจากต้ น แม่
โดยเว้ น ระยะห่ างของพื้ นที่ในการเจริ ญเติ บโต เพื่ อหลี กเลี่ยง
การแก่งแย่ งความชื้นและแสง หรือการที่ต้นไม้ บางชนิดมี ร าก
ที่ผ ลิ ต สารพิ ษ ซึ่ ง สามารถป้ องกัน การงอกของต้ น กล้ า ให้ เป็ น
บริเวณห่างรอบๆ ลาต้ น
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 303
ขนาดของประชากร
การเปลี่ยนแปลงขนาดของประชากร
รูปแบบการเพิม่ ของประชากร
ประชากรของสิง่ มีชีวิต
1) การเพิ่มประชากรโดยที่สมาชิกของประชากรนั้นมีการสืบพันธุเ์ พียงครั้งเดียวในช่วงชีวิต
(single reproduction)
2) การเพิ่มประชากรโดยที่สมาชิกของประชากรนั้นมีการสืบพันธุไ์ ด้ หลายครั้งในช่วงชีวิต
(multiple reproduction)
สิ่งมีชีวิตเหล่ านี้ ได้ แก่ สัตว์มีกระดูกสันหลัง เช่ น สุนัข แมว มนุษย์ ไม้ พุ่ม เช่ น ชบา แก้ ว เข็ม และ
ไม้ ยืนต้ น เช่น มะม่วง ขนุน ส้ ม ลาไย เป็ นต้ น
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 304
1) การเพิม่ ของประชากรแบบเอ็กโพเนนเชียล (exponential growth)
ภาพแสดงกราฟการเพิ่มประชากรแบบ Exponential
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 305
2) การเพิม่ ของประชากรแบบลอจิ สติก (logistic growth)
ภาพแสดงกราฟการเพิ่มประชากรแบบ Logistic
ที่มา ; Reece et al. (2011)
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 306
การรอดชีวิตของประชากร
การรอดชีวิตของประชากร
ภาพแสดงกราฟการรอดชีวิตของประชากร
ที่มา ; Reece et al. (2011)
ประชากรมนุษย์
ประชากรมนุษย์
ประชากรมนุ ษย์ ใ นโลกมี แนวโน้ ม เพิ่ม ขึ้นเรื่อ ยๆ ลัก ษณะการเพิ่ม ของประชากรมนุ ษย์ มี แบบแผนการเพิ่ม
เป็ นแบบเอ็กโพเนนเชียล โดยมีกราฟการเพิ่มของประชากรเป็ นรูปตัวเจ
ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงขนาดประชากรของมนุษย์ ; ในการเปลี่ยนแปลงขนาดของประชากรสิ่งมีชีวิต
ขึ้นอยู่กับอัตราการเกิด อัตราการตาย และอัตราการอพยพ ในประชากรมนุษย์กเ็ ช่นเดียวกันพบว่าในการศึกษา
เรื่ อ งประชากรมนุ ษ ย์ (demography) นั ก ประชากรศาสตร์ จ ะใช้ อัต ราการเกิด หรื อ อัต ราการเกิด เชิ ง ประเมิ น
(crude birth rate) และอัตราการตายหรืออัตราการตายเชิงประเมิน (crude death rate) ในการนาเสนอข้ อมูลใน
ภาพรวมอย่างคร่าวๆ
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 307
อัตราการเกิดเชิงประเมิน
อัตราการตายเชิงประเมิน
โครงสร้ างอายุประชากรมนุษย์
ภาพแสดงพีระมิดโครงสร้ างอายุประชากรมนุษย์
ที่มา ; https://th.m.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C:DTM_Pyramids.svg
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 308
จากภาพพีระมิดโครงสร้ างอายุประชากรมนุษย์
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 309
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 310
บทที่ 25 : มนุษย์กบั ความยังยื
่ นของสิง่ แวดล้อม
25.1 ทรัพยากรธรรมชาติ การใช้ประโยชน์ ปั ญหา และการจัดการ
25.1.1 ทรัพยากรน้ า
แหล่งที่มาของนา้ เสีย
1) จากธรรมชาติ 2) จากแหล่งชุมชน
3) จากโรงงานอุตสาหกรรม 4) จากการเกษตรและการเลี้ยงสัตว์
5) จากการทาเหมืองแร่
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 311
การตรวจสอบมลพิษทางนา้
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 312
การจัดการทรัพยากรนา้
25.1.2 ทรัพยากรดิน
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 313
25.1.2 ทรัพยากรดิน (ต่อ)
25.1.3 ทรัพยากรอากาศ
องค์ประกอบของอากาศ
: พบว่าร้ อยละ 78 เป็ นแก๊สไนโตรเจน ร้ อยละ 21 เป็ นแก๊สออกซิเจน และที่เหลืออีกร้ อยละ 1 เป็ นแก๊ส
อื่นๆ เช่น แก๊สอาร์กอน แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ เป็ นต้ น
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 314
สาเหตุของการเกิดมลพิษทางอากาศ
สารมลพิษที่ปนเปื้ อนในอากาศ
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 315
1) ผลกระทบทางด้ านเศรษฐกิจ
ผลกระทบที่เกิดขึ้น 2) ผลกระทบด้ านสุขภาพอนามัย
จากมลพิษทางอากาศ 3) ผลกระทบต่อพืช
1) กาหนดนโยบายและวางแผนหรือควบคุมมลพิษทางอากาศ
2) ให้ การศึกษาและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์
การจัดการและแนวทาง
3) ปรับปรุงสภาพการจราจร
ในการแก้ ไขมลพิษทางอากาศ
4) ปรับปรุงคุณภาพนา้ มันเชื้อเพลิง
5) จัดตั้งศูนย์ตรวจสอบและบารุงรักษายานพาหนะ
6) พัฒนาเทคโนโลยีท่ใี ช้ พลังงานรูปแบบใหม่ๆ ที่ไม่ก่อให้ เกิดมลพิษ
1) การปฏิบัติตามนโยบายแห่งชาติ
2) การให้ ความรู้แก่ประชาชน
การจัดการ
3) การส่งเสริมการปลูกป่ าและการป้ องกันการบุกรุกป่ า
ทรัพยากรป่ าไม้
4) การใช้ ไม้ อย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ
5) การกาหนดพื้นทีป่ ่ าอนุรักษ์
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 316
ป่ าอนุรักษ์ในประเทศไทยที่สาคัญ
ชนิดของป่ า ลักษณะที่สาคัญ
เป็ นพื้นที่ธรรมชาติท่ียัง มีความอุด มสมบูร ณ์แ ละความหลากหลายทางธรรมชาติ
ต้ องมีพ้ ืนที่ไม่น้อยกว่า 10 ตารางกิโลเมตรหรือ 6,250 ไร่ ในปัจจุบันประเทศไทยมี
อุทยานแห่งชาติ อุ ท ยานแห่ ง ชาติ ร วม 119 แห่ ง มี พ้ ื นที่ 38,200,000 ไร่ ซึ่ ง อุ ท ยานแห่ ง ชาติ
(national park) แห่งแรกของไทย คือ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา อุทยานแห่งชาติ
อื่นๆ เช่น อุทยานแห่งชาติออบหลวง จังหวัดเชียงใหม่ อุทยานแห่งชาติเขาสก และ
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็ นต้ น
วนอุทยาน เป็ นพื้นที่ขนาดเล็กที่อยู่ ไม่ ห่างไกลจากชุ มชนมากนัก ส่วนใหญ่ อยู่ในเขตป่ าสงวน
(forest park) แห่งชาติ วนอุทยานแห่งแรกของไทย คือ วนอุทยานนา้ ตกกะเปาะ จังหวัดชุมพร
สวนพฤกษศาสตร์ เป็ นสถานที่รวบรวมพันธุ์ไม้ นานาชนิดทั้งในและนอกประเทศ สวนพฤกษศาสตร์
(botanical garden) แห่งแรกของไทย คือ สวนพฤกษศาสตร์พุแค จังหวัดสระบุรี
เป็ นสวนที่ มี พ้ ื นที่ น้ อ ยกว่ า สวนพฤกษศาสตร์ เป็ นแหล่ ง รวบรวมพั น ธุ์ ไ ม้ ด อก
สวนรุกขชาติ
ท้ องถิ่นและต้ นไม้ ท่ีมีค่าทางเศรษฐกิจ เช่ น สวนรุกขชาติห้วยแก้ ว จังหวัดเชียงใหม่
(arboretum)
สวนรุกขชาติแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย
เขตรักษาพันธุส์ ตั ว์ป่า เป็ นพื้ นที่ ท่ี ก าหนดขึ้ นเพื่ อ การคุ้ มครองสั ต ว์ ป่ าให้ เป็ นที่ อ ยู่ อ าศั ย ของสั ต ว์ ป่ า
(wildlife sanctuary) อย่างปลอดภัย เช่น เขตรักษาพันธุส์ ตั ว์ป่าอุ้มผาง จังหวัดตาก เป็ นต้ น
พื้ นที่อนุรกั ษ์ธรรมชาติ เป็ นพื้นที่ธรรมชาติ เช่น เกาะ แก่ง ภูเขา ทะเลสาบ ซากดึกดาบรรพ์ท่คี วรอนุรักษ์ไว้
(natural conservation area) เพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ และสังคม
เป็ นพื้นที่ท่ีกาหนดขึ้นเพื่อรักษาความหลากหลายทางพันธุกรรมของพืชและสัตว์
พื้ นที่สงวนชีวาลัย
เพื่อเป็ นแหล่ งศึกษาวิจัยทางด้ านวิทยาศาสตร์ เช่ น ป่ าสะแกราช อาเภอปั กธงชัย
(biosphere reserve)
จังหวัดนครราชสีมา เป็ นต้ น
เป็ นพื้ นที่ท่ีมีทรั พ ยากรธรรมชาติ ท่ีมีค วามเด่ น ระดั บโลก โดยได้ รั บการประกาศ
จากยู เนสโก (UNESCO) ประเทศไทยมีพ้ ืนที่มรดกโลก 5 แห่ ง โดย 3 แห่ งแรก
พื้ นที่มรดกโลก เป็ นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม ได้ แก่ เมืองประวัติศาสตร์สโุ ขทัยและเมืองบริวาร
(world heritage) นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุ ธยาและเมืองบริวาร แหล่ งโบราณคดีบ้านเชียง
และอีก 2 แห่ ง เป็ นมรดกโลกทางธรรมชาติ ได้ แก่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่
นเรศวรและห้ วยขาแข้ ง จังหวัดอุทยั ธานี และผืนป่ าดงพญาเย็น-เขาใหญ่
ป่ าชายเลนอนุรกั ษ์ เป็ นป่ าชายเลนที่สงวนไว้ เพื่อสภาพแวดล้ อมและระบบนิเวศ เป็ นแหล่งเพาะพันธุพ์ ืช
(conservation mangrove forest) และสัตว์นา้ เศรษฐกิจ
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 317
25.1.5 ทรัพยากรสัตว์ป่า
หมายถึ ง สัต ว์ ป่ าหายาก มี ท้ัง หมด 15 ชนิ ด คื อ แรด กระซู่ กู ป รี หรือ
โคไพร ควายป่ า ละองหรือละมั่ง สมัน กวางผา เลียงผา นกเจ้ าฟ้ าหญิง
สิ ริ น ธร สมเสร็ จ นกแต้ ว แร้ ว ท้ อ งด า นกกระเรี ย น แมวลายหิ น อ่ อ น
สัตว์ป่าสงวน เก้ ง หม้ อ พะยู น หรื อหมู น้า สัต ว์ ป่ าทั้ง 15 ชนิ ด นี้ ห้ า มล่ า โดยเด็ด ขาด
เว้ นแต่จะทาเพื่อการศึกษาหรือเพื่อกิจการของสวนสัตว์สาธารณะโดยต้ อง
ขออนุญาตจากกรมป่ าไม้ ซากของสัตว์ป่าเหล่ านี้จึงห้ ามมีไว้ ครอบครอง
ยกเว้ นจะได้ รับอนุญาตจากทางราชการ
สัตว์ป่าคุ้มครอง
1) การทาลายแหล่งที่อยู่อาศัย
2) การล่าสัตว์
สาเหตุท่ที าให้ สตั ว์ป่าลดจานวนลง
3) การลักลอบค้ าสัตว์ป่า
4) ภัยธรรมชาติ
1) การกาหนดพื้นที่อนุรักษ์
2) การจัดตั้งศูนย์เพาะเลี้ยงและขยายพันธุส์ ตั ว์ป่า
แนวทางการอนุรักษ์สตั ว์ป่า
3) การจัดตั้งศูนย์การศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่า
4) การจัดตั้งสถานีวิจัยสัตว์ป่า
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 318
25.2 หลักการอนุรกั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
1) การเก็บกัก (storage)
พื ช หลายชนิ ด ที่มีต้ น กาเนิ ด มาจากต่ า งประเทศ แบ่ ง เป็ นกลุ่ มพื ช อาหาร เช่ น ข้ า วโพด
ข้ าวฟ่ าง กลุ่มพืชเส้ นใย เช่น ฝ้ าย ปอสา ปอฝ้ าย กลุ่มพืชเศรษฐกิจต่างๆ เช่น มันสาปะหลัง อ้ อย
ถั่วลิสง ยางพารา ตลอดจนกลุ่มผลไม้ ต่างๆ เช่น สาลี่ แอปเปิ้ ล บ๊วย ท้อ พลับ และพลัม
แนวทางในการดาเนินการแก้ ไข มีดังนี้
1) การระมัดระวัง
2) แนวทางบั น ไดสามชั้ น ได้ แ ก่ การป้ องกัน ไม่ ใ ห้ น าเข้ า ของชนิ ด พั น ธุ์ ต่ า งถิ่ น
การสื บ พบ เป็ นองค์ ป ระกอบที่ส าคั ญ ในการป้ องกัน ในระยะต้ น เพื่ อน าไปสู่
การกาจัด ซึ่งเป็ นขั้นสุดท้ายในการป้ องกันการรุกรานของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่เข้ ามา
ในประเทศ
3) แนวทางเชิงระบบนิเวศ
4) ความรับผิดชอบของคนในสังคม
5) การวิจัยและติดตาม
6) การให้ การศึกษาและเสริมสร้ างความตระหนักแก่สาธารณชน
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 319
ตารางแสดงชนิดพันธุต์ ่างถิน่ ทีน่ าเข้าประเทศไทย
BIOLOGY By Kru’Nhong
PAGE 320
แบบทดสอบทบทวนความรู้ 1
พื้นฐานทางชีววิทยา
ธรรมชาติของสิง่ มีชีวิตและการศึกษาชีววิทยา
1) คุณสมบัติข้อใดของสิ่งมีชีวิตไม่ถกู ต้ อง
1. พารามีเซียมมีคอนแทร็กไทล์แวคิวโอลไว้ เพื่อรักษาสมดุลของนา้ ในเซลล์
2. แบคทีเรียสร้ างสปอร์ไว้ เพื่อขยายพันธุ์
3. หนอนไหมมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้ าง ขนาด และรูปร่างขณะเจริญเติบโต
4. พืชไร่มีอายุเพียงหนึ่งฤดูกาลเพาะปลูก
2) ข้ อใดไม่ใช่เกณฑ์ท่นี ักชีววิทยาใช้ ในการกาหนดคุณสมบัติของสิง่ มีชีวิต
1. มีลักษณะที่จาเพาะ 2. มีววิ ัฒนาการ
3. มีการจัดระบบ 4. มีการสืบพันธุ์
3) จากการทดลองฉีดพ่นต้ นกล้ าถั่วลันเตาด้ วยฮอร์โมนจิบเบอเรลลินความเข้ มข้ น 10 ppm เปรียบเทียบกับฉีดพ่น
นา้ กลั่น พบว่าความยาวของต้ นถั่วลันเตาไม่มีความแตกต่างกัน การทดลองนี้สรุปผลได้ อย่างไร
1. ความเข้ มข้ นของฮอร์โมนจิบเบอเรลลินที่ใช้ ไม่เหมาะสม
2. ฮอร์โมนจิบเบอเรลลินไม่มีผลต่อการยืดยาวของลาต้ นถั่วลันเตา
3. การทดลองไม่เหมาะสมเพราะไม่มีชุดควบคุมเชิงบวก
4. การทดลองผิดพลาดเนื่องจากฮอร์โมนเสื่อมสภาพ
4) ข้ อใดเป็ นการตั้งสมมติฐานทางวิทยาศาสตร์ท่ดี ีท่สี ดุ
1. ถ้ าหอยเป็ นผู้ท่กี นิ ตะกอนของซากอินทรีย์ดังนั้นในแหล่งนา้ ที่มีหอยอาศัยอยู่มากย่อมมีความสะอาด
มากกว่า
2. ถ้ าความชื้นในดินมีผลต่อการเจริญของพืชดังนั้นพืชที่ได้ รับความชื้นเพียงพอย่อมเจริญเติบโตได้ ดกี ว่าพืช
ที่อาศัยในดินที่แห้ ง
3. ถ้ าการมีพืชปกคลุมดินมีผลต่อปริมาณแมลงในดินดังนั้นดินที่มีพชื ปกคลุมจะพบความหนาแน่นประชากร
ของแมลงมากกว่าดินทีไ่ ม่มีอะไรปกคลุม
4. ถ้ าการให้ วิตามินเสริมมีผลต่อการพัฒนาสติปัญญาดังนั้นหนูทดลองที่ได้ รับวิตามินเสริมอย่างต่อเนื่องจะมี
ความฉลาดมากกว่าหนูท่ไี ม่ได้ รับวิตามินเสริม
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 321
6) หมู่ฟังก์ชันกลุ่มใดที่พบในโปรตีน
ก. ไฮดรอกซิล ข. คาร์บอกซิล
ค. ซัลล์ไฮดริล ง. อะมิโน
จ. คีโตน
1. ก, ข, ค
2. ข, ค, ง
3. ค, ง, จ
4. ข, ง, จ
7) การทดลองใช้ เอนไซม์อะไมเลสทีเ่ ตรียมจากแบคทีเรียที่มีคุณสมบัติทาง pH เป็ นกลาง ย่อยแป้ งในเวลา 10 นาที
จานวน 6 หลอด โดยแต่ละหลอดมีความเข้ มข้ นของกรดมากไปหาน้ อย (10, 10-1, 10-2, 10-3, 10-4, 10-5
ตามลาดับ) หลังจากนั้นแบ่งสารละลายออกเป็ นสองส่วน นาไปทดสอบแป้ งที่เหลือ โดยการหยดนา้ ยาไอโอดีน และ
ทดสอบนา้ ตาลที่เกิดขึ้นโดยการเติมสารละลายเบเนดิกซ์แล้ วนาไปต้ ม จะพบผลการทดลองเป็ นอย่างไร
1. หลอดที่มีความเข้ มข้ นของกรดมากที่สดุ มีสขี องสารละลายเป็ นสีอฐิ หรือสีส้ม
2. หลอดที่มีความเข้ มข้ นของกรดน้ อยที่สดุ มีสขี องสารละลายเป็ นสีนา้ เงิน
3. หลอดที่มีความเข้ มข้ นของกรดน้ อยที่สดุ มีสขี องสารละลายเป็ นสีอฐิ หรือสีส้ม
4. ไม่มีหลอดใดเกิดการเปลี่ยนแปลง
8) ข้ อใดกล่าวไม่ถูกต้ องเกี่ยวกับกรดนิวคลีอกิ
1. เป็ นสารที่ให้ พลังงาน
2. ทาหน้ าที่เก็บข้ อมูลทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต
3. ทาหน้ าที่ควบคุมการเจริญเติบโตและกระบวนการต่างๆ ของสิง่ มีชีวิต
4. มีนา้ ตาลคาร์บอน 6 อะตอม เป็ นส่วนประกอบ
9) จากตัวเลือกที่กาหนดให้ ข้ อใดมีความสัมพันธ์กบั มอลโทสมากที่สดุ
ก. ไกลโคเจน
ข. เดกซ์ทริน
ค. ฟรักโทส
ง. มอลเทส
1. ก, ข 2. ข, ค
3. ค, ง 4. ก, ค
10) ข้ อใดกล่าวถึงปริมาณสารที่พบในร่างกายมนุษย์ได้ ถูกต้ อง
1. นา้ คือสารอินทรีย์ท่มี ีปริมาณมากที่สดุ
2. แร่ธาตุคือสารอนินทรีย์ท่มี ีปริมาณมากที่สดุ
3. ไขมันคือสารชีวโมเลกุลที่มีปริมาณน้ อยที่สดุ
4. โปรตีนคือสารชีวโมเลกุลที่มีปริมาณมากที่สดุ
11) ข้ อใดจับคู่กบั หมู่ฟังก์ชันกับสารชีวโมเลกุล ไม่ถูกต้ อง
1. ไฮดรอกซิล - นา้ ตาล
2. คาร์บอกซิล - กรดนิวคลีอกิ
3. แอลดีไฮด์ - นา้ ตาล
4. ซัลฟ์ ไฮดริล - โปรตีน
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 322
12) จากกราฟความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการเกิดปฏิกริ ิยากับความเข้ มข้ นของสารตั้งต้ นเหตุใดเส้นกราฟช่วงท้ายจึงคงที่
1. มีสารยับยั้งเกิดขึ้นในปฏิกริ ิยา
2. มีการใช้ พลังงานกระตุ้นคงที่
3. บริเวณเร่งของเอนไซม์อ่มิ ตัวด้ วยสารตั้งต้ น
4. สารตั้งต้ นถูกเปลี่ยนเป็ นผลิตภัณฑ์หมดแล้ ว
13) เมื่อทดลองใช้ เอนไซม์อะไมเลสย่อยแป้ งในสภาพแวดล้ อมที่เป็ นกรดต่างๆ กันปรากฏผลดังนี้
การทดลองนี้สรุปผลอย่างไร
1. เอนไซม์ย่อยสารได้ ช้าที่สดุ ที่ค่าพีเอช 3
2. เอนไซม์ย่อยสารได้ ช้าที่สดุ ค่าพีเอชประมาณ 10
3. เอนไซม์ถูกทาลายและสลายตัวหากค่าพีเอชเกิน 7.5
4. เอนไซม์ทางานได้ ดีท่สี ดุ ค่าพีเอชประมาณ 7.5
เซลล์ของสิง่ มีชีวิต
14) ออร์แกเนลล์ใดที่มีลักษณะเยื่อหุ้มของโครงสร้ างแบบเดียวกัน
1. ไรโบโซม และเอนโดพลาสมิกเรติคูลัม
2. คลอโรพลาสต์ และไลโซโซม
3. กอลจิคอมเพลกซ์ และเอนโดพลาสมิกเรติคูลัม
4. ไมโทคอนเดรีย และไรโบโซม
15) ออร์แกเนลล์ใดที่ไม่มีเยื่อหุ้มและไม่พบในเซลล์พืช
1. ไรโบโซม
2. เซนทริโอล
3. ไลโซโซม
4. กอลจิบอดี
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 323
16) ข้ อใดไม่ถูกต้ อง
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 324
21) เมื่อนาตัวอักษร ข ไปส่องดูด้วยกล้ องจุลทรรศน์ และเลื่อนสไลด์ไปทางด้ านซ้ าย ลักษณะของภาพที่เห็นและ
ทิศทางการเคลื่อนที่ของอักษร ข ข้ อใดถูกต้ อง
1. 2.
3. 4.
22) ข้ อใดถูกต้ อง
1. กล้ องจุลทรรศน์อเิ ล็กตรอนมีกาลังขยายสูงสุดถึง 50,000 เท่า
2. ภาพที่เกิดขึ้นกับกล้ องจุลทรรศน์อเิ ล็กตรอนแบบส่องกราดต้ องผ่านการเคลือบด้ วยทองคา
3. ตัวอย่างที่ต้องการนามาส่องด้ วยกล้ องจุลทรรศน์อเิ ล็กตรอนแบบส่องกราดต้ องผ่านการเคลือบด้ วยทองคา
4. เอิร์น รุสกา และคณะ เป็ นนักวิทยาศาสตร์กลุ่มแรกที่สร้ างกล้ องจุลทรรศน์อเิ ล็กตรอนแบบส่งกราด
23) ข้ อใดเป็ นการใช้ กล้ องจุลทรรศน์แบบใช้ แสงที่ไม่ถูกต้ อง
1. การปรับไดอะแฟรมช่วยทาให้ เห็นภาพวัตถุได้ ชัดเจนขึ้น
2. การเปลี่ยนเลนส์ใกล้ วัตถุ ควรหมุนที่แป้ นยึดเลนส์ใกล้ วัตถุ
3. การเปลี่ยนกาลังขยาย 10X เป็ น 40X จะต้ องเลื่อนแท่นวางวัตถุลงก่อน
4. การใช้ เลนส์วัตถุกาลังขยาย 100X ต้ องหยดนา้ มันลงบนแผ่นกระจกปิ ดสไลด์
24) กล้ องจุลทรรศน์ท่ใี ช้ มีกาลังขยายเป็ น 40 เท่า 100 เท่า และ 400 เท่า เมื่อใช้ ไม้ บรรทัดใสวัดเส้นผ่านศูนย์กลาง
กาลังต่าได้ 2.5 มิลลิเมตร เมื่อนาไดอะตอมไปตรวจด้ วยกล้ องจุลทรรศน์น้ ที ่กี าลังขยาย 400 เท่า พบว่าไดอะตอม
มีความยาวประมาณ 1/5 ของเส้นผ่านศูนย์กลาง ไดอะตอมเซลล์น้ มี ีความยาวกี่มิลลิเมตร
1. 0.05
2. 0.25
3. 0.50
4. 2.50
25) ต้ องการวาดภาพขนาดขยาย 400 เท่า ของพารามีเซียม ซึ่งมีความยาว 250 ไมโครเมตร ภาพทีว่ าดนี้จะมี
ความยาวกี่ cm
1. 6.25 2. 10.00
3. 16.00 4. 20.00
26) กระบวนการลาเลียงสารแบบใดที่ลาไส้ เล็กใช้ ในการดูดซึมสารเข้ าสู่ร่างกาย
1. กรดไขมันใช้ วิธกี ารแพร่ กรดอะมิโนและกลูโคสใช้ วิธกี ารลาเลียงแบบแอคทีฟทรานสปอร์ต
2. กรดไขมันใช้ วิธกี ารแพร่ กรดอะมิโนและกลูโคสใช้ วิธกี ารแพร่แบบฟาซิลิเทต
3. กรดไขมันและกรดอะมิโนใช้ วิธกี ารแพร่แบบฟาซิลิเทต กลูโคสใช้ วิธกี ารลาเลียงแบบแอคทีฟทรานสปอร์ต
4. กรดไขมัน กรดอะมิโน และกลูโคสใช้ การแพร่แบบฟาซิลิเทต
27) คาศัพท์ใดไม่เกี่ยวข้ องกับกระบวนการนาอาหารเข้ าสูเ่ ซลล์และหรือการย่อยอาหาร
1. พิโนไซโตซิส 2. ฟาโกไซโตซิส
3. เอกโซไซโตซิส 4. ไฮโดรไลซิส
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 325
28) เมื่อนาชิ้นมันฝรั่งลงในสารละลายนา้ ตาลความเข้ มข้ นต่างๆ เป็ นเวลานาน 2 ชั่วโมง แล้ วนาไปชั่งหานา้ หนักของ
ชิ้นมันฝรั่ง กราฟข้ อใดแสดงความสัมพันธ์ความเข้ มข้ นของสารละลายกับนา้ หนักมันฝรั่งหลังแช่
1. 1 5 6 9 10 2. 9 5 11 3 2
3. 8 5 3 7 2 4. 1 9 4 6 10
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 326
33) เซลล์ท่อี ยู่ในระยะใด ที่ 1 โครโมโซมมี 1 โครมาติด
ก. เมทาเฟส ข. แอนาเฟส
ค. เทโลเฟส ง. G1 อินเตอร์เฟส
จ. G2 อินเตอร์เฟส
1. ก และ ค 2. ข และ จ
3. ข ค และ ง 4. ก ง และ จ
34) เซลล์ในข้ อใดที่สามารถเจริญเข้ าสู่วัฎจักรของเซลล์ได้ อย่างต่อเนื่อง
ก. เซลล์ไข่ (ovum) ข. เซลล์ประสาท
ค. เซลล์ผิวหนัง ง. เซลล์ไขกระดูก
1. ก 2. ข
3. ก และ ข 4. ค และ ง
---------------------------------
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 327
แบบทดสอบทบทวนความรู้ 2
ชีวิตและกระบวนการดารงชีวิตของสัตว์
การย่อยอาหารและการสลายสารอาหารระดับเซลล์
1) ข้ อใดกล่าวถูกต้ องเกี่ยวกับซีครีตนิ
ก. กระตุ้นการหดตัวของท่อนา้ ดี ข. กระตุ้นให้ ตับอ่อนหลั่งอินซูลนิ
ค. สร้ างมาจากลาไส้ ส่วนดูโอดีนัม ง. กระตุ้นให้ กระเพาะอาหารหลั่งแกสตริน
1. ก และ ข 2. ก และ ค
3. ข และ ค 4. ข ค และ ง
2) หากต้ องการจาลองสภาวะการย่อยในกระเพาะอาหารของคนมาไว้ ในหลอดทดลอง ข้ อใดจะเกิดการย่อยได้ ดีท่สี ดุ
1. ใส่ pepsinogen + หมูบด ในหลอดทดลอง
2. ใส่ pepsinogen + HCl + หมูบด ในหลอดทดลอง
3. ใส่ pepsinogen + gastrin + NaHCO3 + หมูบด ในหลอดทดลอง
4. ใส่ pepsinogen + gastrin + HCl + ในหลอดทดลอง นาไปต้ มนา้ เดือดแล้ วเติมหมูบด
3) ข้ อใดเป็ นจริงเกี่ยวกับการทางานของแบคทีเรียในกระเพาะอาหารของสัตว์เคี้ยวเอื้อง
ก. ย่อยสลายเซลลูโลสได้ แอมโมเนียและกลูโคส
ข. สังเคราะห์กรดอะมิโนจากแอมโมเนีย
ค. สร้ างวิตามินเคและบี 12
1. ก , ข 2. ข , ค
3. ก , ค 4. ก , ข , ค
4) ผู้ป่วยมะเร็งตับอ่อนจะมีผลกระทบต่อระบบใดบ้ าง
ก. การย่อยนา้ ตาลแลคโตส
ข. การควบคุมระดับนา้ ตาล
ค. การย่อยอาหารพวกโปรตีน
1. ก , ข 2. ข , ค
3. ก , ค 4. ก , ข , ค
5) เอนไซม์อะไมเลสจะพบได้ ท่ที างเดินอาหารส่วนใดของร่างกาย
1. ช่องปาก
2. ช่องปากและกระเพาะอาหาร
3. ช่องปากและลาไส้เล็ก
4. ช่องปาก กระเพาะอาหารและลาไส้ เล็ก
6) เอนไซม์อะไมเลสย่อยอะไมโลสได้ แต่ไม่สามารถย่อยเซลลูโลสได้ เพราะสาเหตุใด
1. เซลลูโลสประกอบด้ วยกลูโคสที่ต่อกันด้ วยพันธะไกลโคซิดิกแบบ 1-4
2. เซลลูโลสประกอบด้ วยกลูโคสที่ต่อกันด้ วยพันธะไกลโคซิดิกแบบ 1-4
3. อะไมโลสประกอบด้ วยกลูโคสที่ต่อกันด้ วยพันธะไกลโคซิดิกแบบ 1-4
4. อะไมโลสประกอบด้ วยกลูโคสที่ต่อกันด้ วยพันธะไกลโคซิดิกแบบ 1-4
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 328
7) โรคหัวใจขาดเลือดอาจมีผลจากการรับประทานอาหารข้ อใดมากเกินไป
1. นา้ มันจากปาล์ม
2. นา้ มันจากข้ าวโพด
3. นา้ มันจากถั่วเหลือง
4. นา้ มันจากเมล็ดทานตะวัน
8) การสลายโมเลกุลกรดไพรูวิกให้ กลายเป็ นคาร์บอนไดออกไซด์เกิดขึ้นที่ส่วนใดของเซลล์ กระบวนการนี้เรียกว่า
อย่างไร และในกระบวนการนี้จะได้ พลังงานรวมทั้งหมดเท่าใด
1. ไมโทคอนเดรีย, วัฎจักรเครบส์, NADH 6 โมเลกุล FADH2 2 โมเลกุล ATP 2 โมเลกุล
2. ไซโทซอลและไมโทคอนเดรีย, ไกลโคไลซิสและวัฎจักรเครบส์, NADH 8 โมเลกุล FADH2 2 โมเลกุล
ATP 2 โมเลกุล
3. ไมโทคอนเดรีย, โคเอนไซม์ เอ และวัฎจักรเครบส์, NADH 8 โมเลกุล FADH2 2 โมเลกุล ATP 2
โมเลกุล
4. ไมโทคอนเดรีย, ไกลโคไลซิส, FADH2 2 โมเลกุล ATP 4 โมเลกุล
9) ข้ อใดคือตัวรับอิเล็กตรอนตัวสุดท้ายในกระบวนการหมักของแบคทีเรีย
1. NAD+ 2. กรดไพรูวิก
3. แอซิตัลดีไฮด์ 4. ข้ อ 1 และ 2
10) เมื่อสิ้นสุดกระบวนการไกลโคไลซิส คาร์บอนจากนา้ ตาลกลูโคสจะอยู่ท่ใี ด
1. รวมตัวกับ O2 เกิดเป็ น CO2 2. รวมตัวกับ ADP แล้ วเกิดเป็ น ATP
3. ถูกปลดปล่อยในรูปของ CO2 4. ถูกเปลี่ยนไปอยู่ในโมเลกุลของ pyruvate
11) เมื่อนายีสต์ท่เี คยเลี้ยงในสภาพ aerobic มาเลี้ยงในสภาพ anaerobic ยีสต์ต้องมีอตั ราการใช้ กลูโคสเปลี่ยนไปอย่างไร
เพื่อที่จะให้ สามารถผลิต ATP ได้ เท่าเดิมเหมือนในสภาพ aerobic
1. เพิ่มขึ้น 2 เท่า 2. ลดลง 2 เท่า
3. เพิ่มขึ้น 19 เท่า 4. ลดลง 19 เท่า
12) ข้ อใดถูกต้ องเกี่ยวกับการสลายโมเลกุลสารอาหาร
1. ผลลัพธ์ของไกลโคลิซิสคือ 4ATP + 2NADH + 2 pyruvic acid
2. กลีเซอรอลและกรดไขมันถูกเปลี่ยนเป็ นสารตัวกลางในวัฎจักรเครบส์
3. ATP ถูกใช้ กระบวนการไกลโคไลซิสเท่านั้น
4. กรดอะมิโนทุกชนิดถูกเปลี่ยนเป็ นกรดไพรูวิกเพื่อเข้ าสูไ่ กลโคไลซิส
13) ในคนทีไ่ ด้ รับสารไซยาไนด์ การสลายมอลโทส 1 โมเลกุลโดยเซลล์ตับจะได้ พลังงานที่อยู่ในรูป ATP ทั้งหมด
กี่โมเลกุล
1. 4 2. 8
3. 38 4. 76
การสืบพันธุแ์ ละการเจริญเติบโตของสัตว์
14) โครงสร้ างใดทาหน้ าทีใ่ นทั้งระบบขับถ่ายและระบบสืบพันธุเ์ พศชาย
1. Urethra
2. Ureter
3. Seminiferous tubule
4. Vas deferens
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 329
15) จากรูป เป็ นแผนภาพการแบ่งเซลล์สบื พันธุใ์ นรังไข่ของผู้หญิงก่อนวัยเจริญพันธุจ์ ะพบในเซลล์ใด
1. 1
2. 2
3. 3
4. 4
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 330
23) ข้ อใดกล่าวไม่ถูกต้ องเกี่ยวกับการสืบพันธุข์ องสัตว์
1. สัตว์มีกระดูกสันหลังบางชนิดมีการปฏิสนธินอกตัว
2. สัตว์มีกระดูกสันหลังส่วนใหญ่มอี วัยวะเพศแยกกันอยู่คนละตัว
3. สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังบางชนิดมีอวัยวะเพศทั้งสองเพศในตัวเดียวกัน
4. สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังไม่มีชนิดการสอดใส่อวัยวะเพศผู้เข้ าสู่อวัยวะเพศเมีย
ดุลยภาพของสิง่ มีชีวิต
24) การแลกเปลี่ยนแก๊สของสัตว์ในข้ อใดไม่ต้องอาศัยถุงลม (alveolus)
1. กิ้งก่า งูดิน วาฬ
2. ปลาดุก นกเอี้ยง ดาวทะเล
3. ลูกอ๊อดกบ ม้ านา้ คางคก
4. งูดิน ค้ างคาว นกกระจอก
25) ปฏิกริ ิยา CO2 + H2O H2CO3 พบได้ ทใ่ี ด
1. พลาสมาในเส้นเลือดฝอยรอบถุงลมปอด
2. พลาสมาในเส้นเลือดฝอยรอบเซลล์ร่างกาย
3. เม็ดเลือดแดงในเส้ นเลือดฝอยรอบถุงลมปอด
4. เม็ดเลือดแดงในเส้ นเลือดฝอยรอบเซลล์ร่างกาย
26) เมื่อเลือดมีฤทธิ์เป็ นกรด ข้ อความใดมีผลสอดคล้ องกันมากที่สดุ
1. จะกระตุ้นสมองส่วนพอนส์และเมดัลลาให้ ส่งสัญญาณประสาทไปกระตุ้นกล้ ามเนื้อที่เกี่ยวข้ องกับ
การหายใจให้ หายใจเร็วขึ้น
2. จะกระตุ้นสมองส่วนพอนส์และเมดัลลาให้ ส่งสัญญาณประสาทไปกระตุ้นกล้ ามเนื้อที่เ กี่ยวข้ องกับ
การหายใจให้ หายใจช้ าลง
3. จะกระตุ้นสมองส่วนซีรีบรัลคอร์เทกซ์ ไฮโปทัลลามัสและซีรีเบลลัมให้ ส่งสัญญาณประสาทไปกระตุ้น
กล้ ามเนื้อที่เกี่ยวข้ องกับการหายใจให้ หายใจเร็วขึ้น
4. จะกระตุ้นสมองส่วนซีรีบรัลคอร์เทกซ์ ไฮโปทัลลามัสและซีรีเบลลัมให้ ส่งสัญญาณประสาทไปกระตุ้น
กล้ ามเนื้อที่เกี่ยวข้ องกับการหายใจให้ หายใจช้ าลง
27) สิ่งที่กาหนดให้ ข้ อใดที่มีความจาเป็ นต่อการแลกเปลี่ยนแก๊สในสัตว์
ก. การแพร่ ข. ผนังบาง และมีผิวเปี ยกขึ้น
ค. เซลล์เม็ดเลือดแดง ง. ฮีโมโกลบิน
1. ก และ ข
2. ค และ ง
3. ก ข และ ค
4. ข ค และ ง
28) สัตว์ในข้ อใดมีการกาจัดของเสียที่เป็ นสารประกอบไนโตรเจนชนิดเดียวกัน
1. วาฬ ฉลาม คางคก
2. กบ จิ้งจก ไส้ เดือนดิน
3. ฟองนา้ หอยทาก พลานาเรีย
4. ปลานิล จิ้งหรีด ไส้ เดือนดิน
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 331
29) ข้ อใดถูกเกี่ยวกับการขับถ่ายที่ไตของคน
ก. ยูเรียจะถูกขับออกมาในปัสสาวะทั้งหมด
ข. การกรองที่โกลเมอรูลัสลดลงในเวลากลางคืน
ค. HCO3 จะถูกดูดกลับที่ท่อขดส่วนต้ นและที่ท่อรวม
ง. การดูดกลับของ Na และ H2O เกิดได้ ทุกส่วนของท่อหน่วยไต
1. ก และ ข 2. ก และ ค
3. ข และ ง 4. ข ค และ ง
30) อวัยวะหรือออร์แกเนลล์ชนิดใดที่ไม่ได้ ใช้ ขับของเสียพวกสารประกอบไนโตรเจนจากร่างกาย
1. เฟลมเซลล์ 2. เนฟริเดียม
3. ท่อมัลพิเกียน 4. คอนแทร็กไทล์แวคิวโอล
31) เมื่อเราเข้ าห้ องอบไอนา้ นานๆ จะไม่มีปรากฎการณ์ใดเกิดขึ้น
1. ขนลุก 2. เหงื่อออก
3. ตัวร้ อนกว่าปกติ 4. หน้ าแดง ตัวแดง
32) คนที่รับประทานยาลดความดันทีม่ ีคุณสมบัติเป็ นกรดไดยูเรติก ควรได้ รับการแนะนาให้ รับประทานผักและผลไม้
ที่กาหนดในข้ อใด
ก. กล้ วย ข. แตงโม
ค. ผักโขม ง. ใบชะพลู
1. ก และ ข
2. ค และ ง
3. ก และ ค
4. ข ค และ ง
33) สารที่กาหนดให้ ข้ อใดพบในของเหลวที่กรองผ่านโกลเมอรูลัสของสัตว์เลี้ยงลูกด้ วยนม
ก. เกลือแร่ ข. ยูเรีย
ค. กลูโคส ง. กรดอะมิโน
จ. โปรตีนในนา้ เลือด
1. ค และ จ 2. ก ง และ จ
3. ก ข ค และ ง 4. ก ข ค และ จ
34) ข้ อใดไม่ใช่การปรับตัวสู่สภาวะเดิมของร่างกาย เมื่อ pH ของเลือดลดลง
1. อัตราการหายใจเพิ่มขึ้น
2. การขับ H+ ออกทางไตเพิ่มขึ้น
3. ความดัน CO2 ของเลือดเพิ่มขึ้น
4. ตัวรับสารเคมีของเลือดแดงถูกกระตุ้น
35) สารใดไม่จาเป็ นต่อการแข็งตัวของเลือดในร่างกายของคน
1. แคลเซียม 2. วิตามิน เค
3. ไฟบริโนเจน 4. โปแตสเซียม
36) อวัยวะใดที่ไม่เกี่ยวข้ องกับระบบหมุนเวียนเลือด ระบบนา้ เหลืองและระบบภูมิค้ มุ กัน
1. ต่อมทอนซิล 2. ต่อมไทมัส
3. ต่อมไทรอยด์ 4. ไขกระดูก
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 332
37) สัตว์ในข้ อใดมีระบบเลือดแบบเดียวกัน
ก. ไส้ เดือน ข. แมลงสาบ
ค. กุ้ง ง. ปลา
จ. กบ
1. ก, ข, ค 2. ก, ง, จ
3. ข, ค, จ 4. ค, ง, จ
38) การตรวจเลือดในผู้ป่วยเอดส์จะพบเม็ดเลือดขาวชนิดใดน้ อยที่สดุ
1. eosinophil
2. basophil
3. neutrophil
4. lymphocyte
39) ข้ อใดเกี่ยวกับการรักษาสมดุลของระดับแคลเซียมในร่างกายมนุษย์
1. วิตามินดี 2. วิตามินอี
3. วิตามินซี 4. วิตามินเอ
40) สารในข้ อใดมีความจาเป็ นต่อสารแข็งตัวของเลือด
1. แคลเซียม เฮปาริน โปรทอมบิน
2. เฮปาริน โปรทอมบิน วิตามินเค
3. แคลเซียม โปรทอมบิน วิตามินเค
4. แคลเซียม เฮปาริน โปรทอมบิน วิตามินเค
41) เพราะเหตุใดจึงต้ องนาเอาทารกที่คลอดก่อนกาหนดไปเลี้ยงต่อในตู้อบระยะหนึ่งก่อน
ก. ระบบหายใจยังไม่ทางาน
ข. ระบบขับถ่ายยังไม่ทางาน
ค. ระบบหมุนเวียนโลหิตยังไม่ทางาน
ง. ระบบควบคุมอุณหภูมิยังไม่ทางาน
1. ก และ ค 2. ข และ ค
3. ก และ ง 4. ข ค และ ง
42) สตรีท่กี าลังตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการได้ รับวัคซีนในข้ อใด
ก. คางทูม ข. ไทฟอยด์
ค. โปลิโอ ง. หัดเยอรมัน
จ. อหิวาตกโรค
1. ก ข และ ค 2. ก ค และ ง
3. ข ง และ จ 4. ค ง และ จ
43) การฉีดวัคซีนและการฉีดเซรุ่มเข้ าสู่ร่างกายมีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
1. เหมือนกัน เพราะต่างก็เป็ นการฉีดแอนติบอดีเข้ าสู่ร่างกายเพื่อต้ านเชื้อโรค
2. เหมือนกัน เพราะต่างก็เป็ นการกระตุ้นให้ ร่างกายสร้ างภูมิค้ มุ กันขึ้นมาเพื่อต้ านเชื้อโรค
3. ต่างกัน เพราะวัคซีนเป็ นการฉีดแอนติเจน ส่วนซีรัมเป็ นการฉีดแอนติบอดีเข้ าสู่ร่างกาย
4. ต่างกัน เพราะวัคซีนเป็ นการฉีดแอนติบอดี ส่วนซีรัมเป็ นการฉีดแอนติเจนเข้ าสู่ร่างกาย
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 333
การเคลือ่ นที่ของสิง่ มีชีวิต
44) สัตว์ในข้ อใดที่อาศัยระบบการเคลื่อนที่แบบเดียวกัน
1. ไส้ เดือนดิน วาฬ หมึก
2. หมึก ดาวทะเล หอยกาบ
3. ไฮดรา ดอกไม้ ทะเล แมลงดานา
4. หนอนตัวกลม พลานาเรีย แมงกะพรุน
45) การทางานของกล้ ามเนื้อแบบแอนตาโกนิซึม พบในสัตว์ชนิดใดบ้ าง
1. ไส้ เดือนดิน ตั๊กแตน ไฮดรา
2. ตั๊กแตน ไฮดรา ดอกไม้ ทะเล
3. ไส้ เดือนดิน ตั๊กแตน พลานาเรีย
4. ไส้ เดือนดิน ดอกไม้ ทะเล พลานาเรีย
46) ข้ อต่อระหว่างกระดูกข้ อนิ้วมือเป็ นการต่อแบบใด
1. แบบเดือย 2. แบบอานม้ า
3. แบบสไลด์ 4. แบบบานพับ
47) ข้ อใดเรียงลาดับขนาดได้ ถูกต้ อง
1. muscle fiber > myofibril > myosin
2. muscle cell > muscle fiber > myosin
3. myofibril > muscle fiber > myosin
4. myofibril > muscle cell > myosin
48) ข้ อต่อกระดูกที่ใดที่เคลื่อนไหวไม่ได้
1. ซี่โครง
2. กะโหลกศีรษะ
3. กระดูกสันหลัง
4. กระดูกปลายแขนต่อกับมือ
49) ข้ อความข้ อใดผิด
1. เมื่อกล้ ามเนื้อไบเซพหดตัวและไตรเซพคลายตัวทาให้ แขนเหยียดออก
2. การหดตัวของกล้ ามเนื้อเกิดจากการเคลื่อนตัวของแอกตินเข้ าหากันตรงกลาง
3. เซลล์ของกล้ ามเนื้อหัวใจจะมีรูปร่างทรงกระบอก มีลาย แต่ตอนปลายของเซลล์มีการแตกแขนงและ
เชื่อมโยงติดต่อกันกับเซลล์ข้างเคียง
4. เมื่อกล้ ามเนื้อหดตัวจะเกิดแรงดึงให้ กระดูกทั้งท่อนเคลื่อนไหวได้ เพราะระหว่างกล้ ามเนื้อกับกระดูกมีเอ็น
ยึดกระดูกยึดอยู่ด้วยกัน
ระบบประสาทและการตอบสนองของสิง่ มีชีวิต
50) การดื่มเหล้ าแล้ วเสียการทรงตัว เนื่องจากการควบคุมของสมองส่วนใด
1. cerebrum
2. cerebellum
3. medulla oblongata
4. brain stem
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 334
51) คนที่ฉลาดแก้ ไขปัญหาเก่ง จะมีเซลล์ประสาทในข้ อใดมาก
52) สัตว์มีกระดูกสันหลังประเภทใดที่มีสมองส่วนซีรีบรัมเจริญมากทีส่ ดุ
1. นก 2. ปลา
3. สัตว์เลื้อยคลาน 4. สัตว์เลี้ยงลูกด้ วยนม
53) สารใดไม่จัดเป็ น neurotransmitter
1. Acetylene 2. Acetylcholine
3. Endorphin 4. Norepinephrine
54) CN VII และ CN IX จะทาหน้ าที่ร่วมกันรับความรู้สกึ ที่อวัยวะใด
1. หู 2. จมูก
3. ผิวหนัง 4. ลิ้น
55) ข้ อใดถูกต้ อง
ก. ขนาดของกระแสประสาทขึ้นอยู่กบั ความแรงของการกระตุ้น
ข. ความเร็วของกระแสประสาทจะเพิ่มขึ้นเมื่อความแรงของการกระตุ้นเพิ่มขึ้น
ค. จานวนของเส้นใยประสาทที่ถูกกระตุ้นจะเพิ่มขึ้นเมื่อความแรงของการกระตุ้นเพิ่มขึ้น
ง. ความเร็วของการส่งกระแสประสาทขึ้นอยู่กบั ขนาดเส้ นผ่านศูนย์กลางของแอกซอน
1. ก และ ข 2. ค และ ง
3. ก ข และ ค 4. ก ข ค และ ง
56) ข้ อใดเป็ นเหตุการณ์ทเ่ี กิดกับเซลล์ประสาทที่มีศักย์ไฟฟ้ า = +50 มิลลิโวลต์
1. เกิดรีโพราไรเซซั่น (repolarization) และมี Na+ ภายในเซลล์มากกว่านอกเซลล์
2. เกิดรีโพราไรเซซั่น (repolarization) และมี Na+ ภายนอกเซลล์มากกว่าในเซลล์
3. เกิดดีโพราไรเซซั่น (depolarization) และมี Na+ ภายในเซลล์มากกว่านอกเซลล์
4. เกิดดีโพราไรเซซั่น (depolarization) และมี Na+ ภายนอกเซลล์มากกว่าในเซลล์
57) “การยกมือขึ้นไปปัดมดที่ไต่บนใบหน้ า” มีลาดับเหตุการณ์เกิดขึ้นตรงกับข้ อใด
ก. ผิวหนัง ข. กล้ ามเนื้อแขน
ค. ไขสันหลัง ง. สมอง
จ. กล้ ามเนื้อมือ
1. ก ค ข จ 2. ก ง ค จ
3. ก ข ค ง จ 4. ก ง ค ข จ
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 335
58) ข้ อใดเป็ นสาเหตุให้ คนที่รับประทานยาบ้ า หรือ แอมเฟตามีน มีอาการตื่นตัวและหัวใจเต้ นเร็ว
1. แอมเฟตามีนเข้ าไปแย่งจับกับตัวรับได้ ดีกว่าสารสื่อประสาท
2. แอมเฟตามีนทาให้ มีการสร้ างตัวรับที่จะจับกับสารสื่อประสาทมากขึ้น
3. แอมเฟตามีนไปยับยั้งการทางานของเอนไซม์ท่จี ะสลายสารสื่อประสาท
4. แอมเฟตามีนไปกระตุ้นให้ แอกซอนปล่อยสารสื่อประสาทออกมามากยิ่งขึ้น
ระบบต่อมไร้ท่อ
59) ต่อมไร้ ท่อในข้ อใดที่ไม่ได้ รับอิทธิพลจากต่อมใต้ สมอง
1. ไทมัส รังไข่ ตับอ่อน 2. ไพเนียล ตับอ่อน พาราไทรอยด์
3. รังไข่ ไทรอยด์ ต่อมหมวกไตชั้นนอก 4. ไพเนียล ไทรอยด์ ต่อมหมวกไตชั้นใน
60) ฮอร์โมนใดที่ไม่เกี่ยวข้ องกับการรักษาระดับนา้ ตาล
1. Calcitonin 2. Epinephrine
3. Glucagons 4. Insulin
61) ข้ อใดไม่ใช่ความผิดปกติท่เี กิดขึ้นที่ต่อมไทรอยด์
1. Simple goiter 2. Myxedema
3. Cushing’s syndrome 4. Cretinism
62) หญิงคนหนึ่งมีประจาเดือนครั้งสุดท้ายวันที่ 25 – 28 พฤศจิกายน ถ้ าตรวจระดับฮอร์โมน LH ของหญิงคนนี้
จะพบปริมาณสูงสุดในวันทีเ่ ท่าไร
1. 1 - 13 ธันวาคม 2. 6 - 8 ธันวาคม
3. 11 - 12 ธันวาคม 4. 21 - 23 ธันวาคม
63) ฮอร์โมนชนิดใดที่ไม่ได้ ผลิตจากต่อมใต้ สมอง
1. Growth hormone 2. Gonadotrophin
3. Melatonin 4. Prolactin
64) ขณะที่หญิงสาวมีการตกไข่ ระดับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศของหญิงในข้ อใดถูกต้ องที่สดุ
1. ระดับฮอร์โมนของ FSH, LH, เอสโตรเจน โพรเจสเทอโรสต่าทีส่ ดุ
2. ระดับฮอร์โมนของ FSH, LH, เอสโตรเจน โพรเจสเทอโรสสูงทีส่ ดุ
3. ระดับฮอร์โมนของ FSH, LH, เอสโตรเจนต่าที่สดุ โพเจสเทอโรสเริ่มสูง
4. ระดับฮอร์โมนของ FSH, LH, เอสโตรเจนสูงที่สดุ โพรเจสเทอโรนเริ่มลดต่าลง
65) แพทย์ฉีดฮอร์โมนชนิดใดเพิ่มให้ แก่หญิงมีครรภ์ท่มี ีปัญหาขณะคลอด
1. prolactin
2. progesterone
3. vasopressin
4. oxytocin
66) แมลงสาบตัวเมียสามารถปล่อยฟี โรโมนเพื่อดึงดูดตัวผู้ให้ มาผสมพันธุไ์ ด้ แมลงสาบตัวผู้รับพีโรโมนนี้ผ่านทางใด
1. การกิน
2. การได้ ยิน
3. การดูดซึม
4. การดมกลิ่น
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 336
พฤติกรรมของสัตว์
67) พฤติกรรมใดเป็ นการตอบสนองต่อสิ่งเร้ าภายใน
1. สมชายถึงกับกลืนนา้ ลาย เมื่อนึกถึงข้ าวหมูแดง
2. กลิ่นเน่าของซากหมู ทาให้ สมชายรู้สกึ คลื่นไส้
3. สมหญิงรีบเดินไปซื้ออาหาร หลังจากทนหิวในห้ องประชุมนานกว่า 2 ชั่วโมง
4. สมศรีหน้ าซีด เมื่อพยาบาลแจ้ งว่าระดับนา้ ตาลในเลือดของเธอสูงกว่าปกติ
68) บ้ านหลังหนึ่งตั้งอยู่บริเวณท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เจ้ าของบ้ านเลี้ยงสุนัขไว้ หนึ่งตัว ทุกครั้งที่เครื่องบินผ่านบ้ าน
สุนัขตัวนี้จะวิ่งเข้ าไปอยู่ใต้ โต๊ะ เมื่อเวลา 3 เดือนผ่านไป สุนัขตัวนี้กไ็ ม่ว่งิ หนีอกี ต่อไป เป็ นพฤติกรรมแบบใด
1. habituation 2. imprinting
3. reasoning 4. trial and error
69) ถ้ านาลูกสุนัขตัวผู้มาเลี้ยงไว้ ในห้ องทดลองตัวเดียว โดยไม่เคยพบสุนัขตัวอื่นเลยตั้งแต่อายุ 3 เดือน จนอายุ 10 ปี
จึงนาสุนัขตัวเมียที่พร้ อมจะผสมพันธุม์ าอยู่ด้วยกัน สุนัขตัวผู้มีพฤติกรรมแบบใด
1. สามารถผสมพันธุส์ าเร็จ เนื่องจากเป็ นสัญชาตญาณ
2. สามารถผสมพันธุส์ าเร็จ เนื่องจากเรียนรู้ได้ เร็ว
3. ไม่สามารถผสมพันธุไ์ ด้ เนื่องจากไม่สามารถเรียนรู้ได้ (ไม่เคยเห็นตัวอย่างมาก่อน)
4. ไม่สามารถผสมพันธุไ์ ด้ เนื่องจากไม่สามารถเรียนรู้ได้ (อายุมากเกินกว่าระยะการฝังใจ)
70) พฤติกรรมแบบรีเฟล็กซ์ต่อเนื่องไม่พบในสัตว์ท่กี าหนดให้ ข้อใด
ก. นก ข. โปรติสต์
ค. หนอนตัวแบน ง. กระต่าย
1. ก 2. ข
3. ข และ ค 4. ก และ ง
71) ปลาว่ายนา้ ในลักษณะที่หลังตั้งฉากกับแสงอาทิตย์ และคางคกไม่ยอมกินแมลงที่มีรูปร่างคล้ ายผึ้งคือพฤติกรรม
ข้ อใด ตามลาดับ
1. orientation , habituation
2. orientation , trial and error
3. conditioning , learning behavior
4. learning behavior , trial and error
72) ข้ อใดไม่ใช่พฤติกรรมที่มีมาแต่กาเนิด
1. คางคกเลือกกินเฉพาะแมลงที่ไม่มีพิษ
2. ปลาแซลมอนว่ายทวนนา้ กลับไปวางไข่ในแม่นา้
3. นกเขาตัวผู้และตัวเมียช่วยกันสร้ างรังก่อนที่ตวั เมียจะวางไข่
4. ปลากัดตัวผู้แสดงพฤติกรรมการต่อสู้ได้ ดีกว่าปลากัดตัวเมีย
73) การสื่อสารระหว่างสัตว์มีก่รี ูปแบบ ได้ แก่อะไรบ้ าง
1. 4 รูปแบบ ได้ แก่ การสื่อสารด้ วยเสียง กระแสไฟฟ้ าหรือแม่เหล็กโลก การสัมผัส และสารเคมี
2. 4 รูปแบบ ได้ แก่ การสื่อสารด้ วยเสียง ภาพหรือท่าทาง สารเคมี และการสัมผัส
3. 5 รูปแบบ ได้ แก่ การสื่อสารด้ วยเสียง กลิ่น กระแสไฟฟ้ าหรือแม่เหล็กโลก การสัมผัส และสารเคมี
4. 5 รูปแบบ ได้ แก่ การสื่อสารด้ วยเสียง กลิ่น ภาพหรือท่าทาง การสัมผัส และสารเคมี
---------------------------------
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 337
แบบทดสอบทบทวนความรู้ 3
ชีวิตและกระบวนการดารงชีวิตของพืช
โครงสร้างของพืชดอก
1) เนื้อเยื่อชนิดใดของต้ นสักที่นามาเป็ นไม้ กระดานและเสาบ้ าน
1. คอร์ก 2. คอร์เทกซ์
3. ไซเล็ม 4. โฟลเอ็ม
2) ข้ อใดเป็ นจริงกับเนื้อเยื่อผิวใบ
1. ผิวใบด้ านบนของบัวไม่มีปากใบ
2. เฉพาะเซลล์คุมเท่านั้น ที่มีคลอโรพลาสต์
3. เซลล์ทุกเซลล์ของเนื้อเยื่อผิวใบ มีคลอโรพลาสต์
4. ผิวใบด้ านบนของชบามีจานวนปากใบมากกว่าด้ านล่าง
จากลักษณะของพืชต่อไปนี้ จงตอบคาถามข้อ 3 และข้อ 4
A = มีเอนโดเดอมิส B = ไม่มีเอนโดเดอมิส
C = จานวนแฉกของไซเล็ม ไม่เกิน 5 D = มีจานวนแฉกของไซเล็ม เกิน 10
E = มัดท่อลาเลียงมี 1 มัด อยู่ตรงกลาง F = มัดท่อลาเลียงมีหลายมัดเรียงเป็ น 1 วง
G = มัดท่อลาเลียงมีหลายมัดเรียงกระจัดกระจาย H = มีเพริไซเคิล
I = ไม่มีเพริไซเคิล J = มีวาสคิวลาร์แคมเบียม
K = ไม่มีวาสคิวลาร์แคมเบียม
3) รากพืชใบเลี้ยงเดี่ยว มีลักษณะตรงกับข้ อใด
1. A, C, G, I 2. B, D, E, H
3. C, G, I, J 4. D, E, H, K
4) ลาต้ นพืชใบเลี้ยงคู่ มีลักษณะตรงกับข้ อใด
1. A, F, I, J 2. D, E, H, K
3. B, F, I, J 4. C, F, I, K
5) เนื้อเยื่อใดที่ใช้ ย้อมซาฟรานีนแล้ วติดสีแดง
1. ไซเล็มขั้นแรก พิธ โฟลเอ็มขั้นแรก
2. ไซเล็มขั้นแรก โฟลเอ็มขั้นที่สอง คอร์กแคมเบียม
3. ไซเล็มขั้นแรกและขั้นที่สอง โฟลเอ็มขั้นแรก สเคอเรงคิมา
4. ไซเล็มขั้นแรกและขั้นที่สอง โฟลเอ็มขั้นแรกและขั้นที่สอง ไฟเบอร์
6) โครงสร้ างในภาพ พบที่ส่วนใดของพืช
1. ใบของพืชใบเลี้ยงคู่
2. ลาต้ นของพืชใบเลี้ยงคู่
3. ใบของพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
4. ลาต้ นของพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 338
7) เมื่อสิบปี ที่แล้ ว ได้ ตอกตะปูลงบนต้ นลาไยขนาดใหญ่ต้นหนึ่งที่ระดับสูงจากพื้นดิน 1 เมตร ในปัจจุบันตะปูน้ัน
อยู่ตาแหน่งใด และต้ นไม้ มีลักษณะเป็ นอย่างไร
1. ตาแหน่งเดิม ต้ นไม้ สงู ขึ้น และลาต้ นกว้ างขึ้น
2. ตาแหน่งเดิม ต้ นไม้ สงู ขึ้น แต่ลาต้ นกว้ างเท่าเดิม
3. ตาแหน่งสูงกว่าเดิม ต้ นไม้ สงู ขึ้น และลาต้ นกว้ างขึ้น
4. ตาแหน่งสูงกว่าเดิม ต้ นไม้ สงู ขึ้น แต่ลาต้ นกว้ างเท่าเดิม
8) ข้ อใดถูกต้ องที่สดุ
1. รากแขนงเกิดจากผิวด้ านนอกของเซลล์ท่ยี ืดยาวออกมา
2. ส่วนที่อยู่ปลายสุดของรากพืชที่เป็ นเนื้อเยื่อเจริญ
3. เทรคีดจัดเป็ นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อไซเล็ม
4. ขนรากเจริญมาจากเพอริไซเคิล
9) ข้ อใดไม่ใช่รากที่สะสมอาหาร
1. มันฝรั่ง
2. มันสาปะหลัง
3. หัวไชเท้า
4. กระชาย
10) ธาตุอาหารทุกตัวในข้ อใดเป็ นธาตุอาหารที่พืชต้ องการในปริมาณมาก (macronutrients)
1. C, H, O, Zn
2. N, P, K, Mn
3. Mg, K, S, Ca
4. P, Ca, Mg, Cl
11) ธาตุอาหารชนิดใดมีบทบาทสาคัญในการรักษาสมดุลของไอออนภายในเซลล์
1. N 2. P
3. K 4. Na
12) ข้ อใดไม่ถูกต้ องในเรื่องการลาเลียงในพืช
1. ขนาดของท่อไซเล็มใหญ่กว่าท่อโฟลเอ็ม
2. ไม่มีท่อโฟลเอ็มและท่อไซเล็มในขนรากที่ดูดนา้
3. พืชลาเลียงนา้ ทางท่อไซเล็ม และลาเลียงซูโครสทางท่อโฟลเอ็ม
4. พืชลาเลียงแป้ งที่สร้ างจากใบไปสะสมที่ราก และลาเลียงนา้ ตาลไปใช้ ท่ยี อดทางท่อโฟลเอ็ม
13) การจัดเรียงตัวของเนื้อเยื่อชนิดใดในใบที่มีผลต่ออัตราการสังเคราะห์ด้วยแสง
1. พาลิเสดเซลล์และปากใบ
2. สปันจีเซลล์และปากใบ
3. เนื้อเยื่อลาเลียงและพาลิเสดเซลล์
4. พาลิเสดเซลล์และสปันจีเซลล์
14) เมื่อทดลองปลูกต้ นมะเขือเทศในสารละลายเป็ นเวลานาน 3 เดือน พบว่าใบอ่อนหงิกงอ ต้ นผลมีรอยบุ๋มและมีสดี า
ต้ นมะเขือเทศนี้ขาดธาตุอาหารชนิดใด
1. คลอรีน 2. แคลเซียม
3. ฟอสฟอรัส 4. โพแทสเซียม
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 339
15) นา้ ที่พืชดูดขึ้นไปจากดินนั้น ส่วนใหญ่แล้ วพืชนาไปใช้ ในกระบวนการอะไร
1. การลาเลียงอาหาร และ การสังเคราะห์ด้วยแสง
2. การลาเลียงอาหาร และ การลดอุณหภูมิของใบ
3. การลดอุณหภูมิของใบ และ การคายนา้
4. การคายนา้ และ การสังเคราะห์ด้วยแสง
16) ข้ อใดอธิบายเกี่ยวกับการลาเลียงของพืชได้ ถูกต้ อง
1. ในพืชพบธาตุแคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ในปริมาณชนิดละมากกว่า 1%
2. การเคลื่อนที่ของนา้ ผ่านทางช่องว่างระหว่างผนังเซลล์เรียกซิมพลาส
3. การลาเลียงสารอาหารเกิดขึ้นโดยผ่านทางโฟลเอ็ม ซึ่งมีทศิ ทางการลาเลียงจากรากขึ้นสู่ยอด
4. ถ้ าตัดต้ นมะม่วงบริเวณปลายยอด ของเหลวที่ค่อยๆ ซึมออกมาจากรอยตัดเกิดขึ้น เนื่องจากแรงดันราก
การสังเคราะห์ดว้ ยแสง
17) สิ่งใดต่อไปนี้พบได้ ในคลอโรพลาสต์
ก. สโตรมา ข. ไทลาคอยด์
ค. DNA ง. ไรโบโซม
จ. ไมโทคอนเดรีย
1. ก, ข
2. ก, ข, ค
3. ก, ข, ค, ง
4. ก, ข, ค, ง, จ
18) ปัจจุบันมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ท่เี พิ่มขึ้นจากการใช้ เชื้อเพลิงไฮโดรคาร์บอน
ถ้ าหากปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นเป็ นสองเท่าของปัจจุบนั เรื่องใดที่ได้ รับผลกระทบน้ อยที่สดุ
1. อัตราการสร้ าง ATP และ NADPH
2. อัตราการสังเคราะห์ oxaloacetate ของพืช C4
3. อัตราการสังเคราะห์ phosphoglycerate ของพืช C3
4. อัตราการเกิดโฟโตเรสไพเรชันของพืช C3
19) สารคู่ใดเป็ นสารที่มีคาร์บอน 3 อะตอม
1. phosphoglycerate ribulose bisphosphate
2. glyceraldehydes-3-phosphate, pyruvic acid
3. oxaloacetic acid, phosphoglycerate
4. pyruvic acid, malic acid
20) ข้ อใดไม่ถูกต้ อง
1. กล้ วยไม้ และว่านหางจระเข้ เป็ นพืชแบบ CAM
2. ใบด้ านบนของข้ าวโพดมีสเี ข้ ม เนื่องจากเป็ นที่อยู่ของชั้นพาลิเซดมีโซฟิ ลล์
3. ในวัฎจักรคาร์บอนของพืช C4 ขั้นตอนการเปลี่ยนกรดไพรูวิกเป็ น PEP จะต้ องใช้ พลังงานจาก ATP
4. สับปะรดสามารถสังเคราะห์แสงโดยใช้ วัฎจักรคัลวินเพียงอย่างเดียวหรือสามารถสังเคราะห์แสง
แบบพืช CAM ได้
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 340
21) จากแผนภาพการสังเคราะห์ด้วยแสงของข้ าวโพด สาร ก และ ค คือสารใดตามลาดับ
การสืบพันธุข์ องพืชดอก
26) ในพืชชนิดหนึ่งมี megaspore mother cells และ microspore mother cells จานวน 6 เซลล์เท่าๆ กัน เมื่อสิ้นสุด
กระบวนการสร้ างเซลล์สบื พันธุใ์ น embryo จะมีก่ี nuclei จะได้ pollen กี่อนั
1. 24 , 12 2. 12 , 12
3. 48 , 24 4. 48 , 48
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 341
27) เซลล์ในระยะใดเรียกได้ เป็ น แกมีโตไฟต์เพศผู้ (male gametophyte)
1. ระยะไมโครสปอร์มาเทอร์เซลล์
2. ระยะไมโครสปอร์ (2n)
3. ระยะไมโครสปอร์ (1n)
4. ระยะเป็ น generative nucleus และ tube nucleus
28) ข้ อใดคือ male gametophyte
1. anther 2. pollen grain
3. microspore 4. microspore mother cell
29) จากภาพไดอะแกรมนี้ จานวนชุดโครโมโซมข้ อใดถูกต้ อง
1. หมายเลข 5 = n หมายเลข 2 = 3n
2. หมายเลข 4 = 2n หมายเลข 3 = 2n
3. หมายเลข 3 = n หมายเลข 5 = 2n
4. หมายเลข 1 = 2n หมายเลข 2 = n
30) การปฏิสนธิซ้อนของพืชดอกหมายถึงข้ อใด
1. microspore อันหนึ่งผสมกับเซลล์ไข่ และอีกอันหนึ่งผสมกับเซลล์โพลาร์นิวคลีไอ
2. สเปิ ร์มนิวเคลียส อันหนึ่งผสมกับเซลล์ไข่ และอีกอันหนึ่งผสมกับเซลล์โพลาร์นิวคลีไอ
3. ทิวป์ นิวเคลียสผสมกับเซลล์ไข่ และสเปิ ร์มนิวเคลียสผสมกับเซลล์โพลาร์นวิ คลีไอ
4. สเปิ ร์มนิวเคลียสผสมกับเซลล์ไข่ และทิวป์ นิวเคลียสผสมกับเซลล์โพลาร์นวิ คลีไอ
31) เมล็ดพืชในข้ อใดที่จัดเป็ นผล (fruit) ทั้งหมด
1. เมล็ดข้ าวเจ้ า เมล็ดข้ าวโพด เมล็ดถั่วเหลือง
2. เมล็ดข้ าวโพด เมล็ดงา เมล็ดถั่วเขียว
3. เมล็ดดอกทานตะวัน เมล็ดข้ าวเจ้ า เมล็ดงา
4. เมล็ดดอกทานตะวัน เมล็ดข้ าวเจ้ า เมล็ดข้ าวโพด
32) ข้ อใดถูกต้ อง
1. ข้ าวแต่ละเม็ด คือ 1 ผล (fruit)
2. ข้ าวแต่ละเม็ด คือ 1 เมล็ด (seed)
3. แกลบ คือ เปลือกหุ้มเมล็ด (seed coat)
4. แกลบ คือ ส่วนทีเ่ จริญมาจากผนังรังไข่ (ovary)
33) พืชในข้ อใดที่ดอกแต่ละดอกมีหลายรังไข่ (ovary)
1. ฟักทอง กล้ วย ขนุน 2. ยอ สับปะรด หม่อน
3. การเวก ทุเรียน บัวหลวง 4. จาปา กระดังงา สตรอเบอรี
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 342
34) ข้ อใดเรียงลาดับ ผลเดี่ยว ผลกลุ่ม ผลรวม ได้ ถูกต้ องทั้งหมด
1. ทุเรียน น้ อยหน่า ขนุน 2. ลาไย สับปะรด สตรอเบอรี่
3. สตรอเบอรี่ ลิ้นจี่ ขนุน 4. เงาะ ขนุน สับปะรด
35) เมล็ดถั่วเขียวและเมล็ดละหุ่งมีความเหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไร
1. เหมือนกัน เพราะมีใบเลี้ยงทาหน้ าที่สะสมอาหาร
2. เหมือนกัน เพราะมีเอนโดสเปิ ร์มทาหน้ าที่สะสมอาหาร
3. ต่างกัน ถั่วเขียวสะสมอาหารในเอนโดสเปิ ร์ม ละหุ่งสะสมอาหารในใบเลี้ยง
4. ต่างกัน ถั่วเขียวสะสมอาหารในใบเลี้ยง ละหุ่งสะสมอาหารในเอนโดสเปิ ร์ม
36) ขณะที่เมล็ดถั่วเขียวเริ่มงอกเป็ นต้ น โครงสร้ างส่วนใดที่โผล่พ้นดินขึ้นมาเป็ นอับดับแรก
1. ใบเลี้ยง 2. เอพิคอทิล
3. ไฮโพคอทิล 4. ยอดแรกเกิด
การควบคุมการเจริญเติบโตและการตอบสนองของพืช
37) มีฮอร์โมนพืชชนิดใดบ้ างที่เกี่ยวกับการควบคุมการงอกของเมล็ดข้ าว
1. ออกซิน จิบเบอเรลลิน ไซโทโคนิน 2. จิบเบอเรลลิน ไซโทไคนิน กรดแอบไซซิก
3. ไซโทไคนิน กรดแอบไซซิก เอทิลีน 4. กรดแอบไซซิก ออกซิน จิบเบอเรลลิน
38) สารเคมีชนิดใดที่พชื สังเคราะห์ข้ นึ มาเพื่อทาให้ ปากใบปิ ด
1. ออกซิน 2. ไซโทไคนิน
3. จิบเบอเรลลิน 4. กรดแอบไซซิก
39) ข้ อใดเป็ นหน้ าที่ของจิบเบอเรลลิน
ก. ยับยั้งการเจริญของตาข้ าง
ข. กระตุ้นการงอกของเมล็ด
ค. กระตุ้นการเกิดของตาข้ าง
ง. กระตุ้นการออกดอกของพืชบางชนิด
จ. พัฒนารังไข่ไปเป็ นผลโดยไม่ต้องปฏิสนธิ
1. ก, ข, ง 2. ข, ง, จ
3. ข, ง, ค 4. ค, ง, จ
40) ข้ อใดไม่ใช่การเคลื่อนไหวของพืชที่เป็ นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของแรงดันเต่งภายในพืช
1. การพันหลักของต้ นพลูด่าง
2. การหุบและกางใบของไมยราบ และการปิ ด-เปิ ดของปากใบ
3. การแตกของผลต้ อยติ่งเมื่อถูกฝน และการนอนของใบพืชตระกูลถั่ว
4. การบานของดอกกุหลาบ และการหุบของใบกาบหอยแครง
41) ข้ อใดไม่ใช่ทรอปิ กมูฟเมนต์
1. ดอกมะลิบานรับแสงตอนเช้ า
2. รากของต้ นถั่วเขียวงอกเข้ าหาดินที่มีความชื้นสูง
3. การงอกของหลอดละอองเรณูเข้ าหารังไข่
4. มือเกาะของต้ นตาลึงพันกับรั้วลวดหนาม
-----------------------------------------------
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 343
แบบทดสอบทบทวนความรู้ 4
พันธุศาสตร์และความหลากหลายทางชีวภาพ
การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
1) สัตว์ชนิดหนึ่งมีจีโนไทป์ เป็ น Aabb จีโนไทป์ ของสเปอร์มาโทโกเนียมของสัตว์ตวั นี้คือข้ อใด
1. Aabb 2. AAbb
3. Ab และ ab 4. Aa และ bb
2) ในการผสมพันธุห์ นูระหว่างตัวผู้ท่มี ีจีโนไทป์ AaBbCcDD กับตัวเมียที่มีจีโนไทป์ AabbCcDd และยีนแต่ละคู่ต้งั บน
โครโมโซมคนละแท่ง โอกาสที่จะได้ ลูกที่มีจีโนไทป์ เป็ น AaBbCcDd มีก่ตี วั ถ้ าลูกที่เกิดจากการผสมพันธุม์ ีท้งั หมด
2,560 ตัว
1. 10 2. 80
3. 160 4. 640
3) หมู่เลือดระบบ ABO ในคนควบคุมด้ วยยีนบนออโตโซม โรคตาบอดสีควบคุมด้ วยยีนด้ อยบนโครโมโซมเพศ
พ่อและแม่มีหมู่เลือด A และตาปกติท้งั คู่ มีลูกชายคนหนึ่งมีหมู่เลือด O และตาบอดสี จงหาอัตราส่วนของ
ฟี โนไทป์ ที่จะได้ ลูกสาวของพ่อแม่ค่นู ้ มี ีหมู่เลือด O และตาปกติ
1. 1/4
2. 3/4
3. 1/2
4. 1/8
4) หมู่เลือดในคนควบคุมด้ วยยีนบนออโตโซม โรคตาบอดสีควบคุมด้ วยยีนด้ อยบนโครโมโซมเพศ พ่อและแม่มี
หมู่เลือด B และตาปกติท้งั คู่ มีลูกชายคนหนึ่งมีหมู่เลือด O และตาบอดสี จงหาอัตราส่วนของฟี โนไทป์ ที่จะได้
ลูกชายที่มีหมู่เลือด B และตาปกติ
1. 1/10
2. 3/16
3. 1/8
4. 3/8
5) หญิงคนหนึ่งตาปกติ มีพ่อเป็ นโรคตาบอดสี แต่งงานกับชายตาบอดสี มีลูกชายหนึ่งคนและลูกสาวหนึ่งคนจงหา
ร้ อยละของลูกชายและลูกสาวทั้งสองคนนี้ท่ตี าบอดสี ตามลาดับ
1. 25 และ 25
2. 25 และ 50
3. 50 และ 25
4. 50 และ 50
6) ผู้ชายหมู่เลือดเอ ตาสีฟ้า แต่งงานกับผู้หญิงหมู่เลือดบี ตาสีนา้ ตาล ซึ่งมีพ่อตาสีฟ้า โอกาสที่สามีภรรยาคู่น้ จี ะมีลูก
ที่มีหมู่เลือดโอ และตาสีฟ้าเป็ นร้ อยละเท่าไร
1. 1.0 2. 6.25
3. 12.5 4. 4.25
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 344
7) ถ้ านามะเขือเทศที่มีลักษณะผลสีเหลือง ไปผสมกับมะเขือเทศที่มีลักษณะผลสีแดงต้ นที่หนึ่ง และมะเขือเทศที่มี
ลักษณะผลสีแดงต้ นที่สอง พบว่าลูก F1 ของมะเขือเทศต้ นที่หนึ่ง มีลักษณะผลสีแดงและผลสีเหลืองในอัตราส่วน
เท่าๆ กัน ส่วนลูก F1 ของมะเขือเทศต้ นที่สอง มีลักษณะผลสีแดงทั้งหมด ข้ อใดไม่ถูกต้ อง
1. ยีนลักษณะสีผลของมะเขือเทศต้ นที่หนึ่งเป็ นเฮเทอโรไซกัส
2. ลักษณะผลสีแดงของมะเขือเทศเป็ นยีนเด่น
3. ลักษณะผลสีเหลืองเป็ นฮอโมไซกัส
4. มะเขือเทศที่มีลักษณะผลสีแดงต้ นที่หนึ่งและต้ นที่สองมีจีโนไทป์ เหมือนกัน
8) ข้ อใดกล่าวไม่ถูกต้ อง
1. ลูกสาวหัวล้ านต้ องมีพ่อหัวล้ าน
2. แม่หัวล้ านจะมีลูกชายหัวล้ านเสมอ
3. แม่ปกติอาจจะมีลูกชายหัวล้ าน
4. แม่ปกติจะมีลูกชายปกติเสมอ
9) หญิงศีรษะไม่ล้านแต่งงานกับชายศีรษะล้ าน ได้ ลูกสาวศีรษะล้ าน โอกาสที่ลูกสาวและลูกชายจะมีศีรษะล้ านเป็ น
อย่างไร
1. โอกาสที่ลูกชายและลูกสาวจะมีศรี ษะล้ านได้ เท่าๆ กัน
2. โอกาสที่ลูกชายมีศีรษะล้ าน 50% ส่วนลูกสาวมีโอกาส 25%
3. โอกาสที่ลูกชายมีศีรษะล้ าน 75% ส่วนลูกสาวมีโอกาส 25%
4. โอกาสที่ลูกชายมีศีรษะล้ าน 100% ส่วนลูกสาวมีโอกาส 25%
10)
P สุนัขพันธุพ์ ุดเดิ้ลสีดา (พันธุแ์ ท้) x สุนัขพันธุพ์ ุดเดิ้ลสีขาว (พันธุแ์ ท้)
F1 สุนัขพันธุพ์ ุดเดิ้ลสี________
F2 (นา F1 ผสมกันเอง)
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 345
ยีนและโครโมโซม
12) ข้ อใดกล่าวถูกต้ องเกี่ยวกับองค์ประกอบของดีเอ็นเอ
1. ไนโตรจีนัสเบสเชื่อมกับนา้ ตาลที่คาร์บอนตาแหน่งที่ 1
2. มีหมู่ฟอสเฟสเชื่อมกับนา้ ตาลที่คาร์บอนตาแหน่งที่ 3
3. นิวคลีโอไทด์ประกอบด้ วยนา้ ตาลเพนโตสคือนา้ ตาลไรโบส
4. มีไนโตรจีนัสเบสพิวรีน ได้ แก่ อะดีนนี ไทมีน และไพริมิดีน ได้ แก่ กวานีน ไซโทซีน
13) ดีเอ็นเอโมเลกุลหนึ่งพบปริมาณของ G C เป็ นร้ อยละ 52 และจากลาดับเบสของยีนบนดีเอ็นเอโมเลกุลนี้พบว่า
มีสดั ส่วนระหว่าง A กับ T เป็ น 1 : 3 mRNA ที่ถอดรหัสจากยีนบนดีเอ็นเอโมเลกุลนี้จะมี U อยู่ร้อยละเท่าไร
1. 12
2. 16
3. 24
4. 36
14) โมเลกุลของ DNA ของสัตว์ X และสัตว์ Y ประกอบด้ วย 1,500 นิวคลีโอไทด์เท่ากัน และมีอตั ราส่วนของ
เบส A เท่ากับ 28% และ 32% ตามลาดับ ข้ อใดถูกต้ อง
ก. โมเลกุล DNA ของสัตว์ X มีจานวนของเบส G มากกว่าสัตว์ Y
ข. โมเลกุล DNA ของสัตว์ X มีจานวนของเบส G น้ อยกว่าสัตว์ Y
ค. โมเลกุล DNA ของสัตว์ X มีอุณหภูมิการหลอมเหลวสูงกว่าสัตว์ Y
ง. โมเลกุล DNA ของสัตว์ X มีอุณหภูมิการหลอมเหลวต่ากว่าสัตว์ Y
1. ก และ ค 2. ก และ ง
3. ข และ ค 4. ข และ ง
15) กระบวนการข้ อใดไม่มีดีเอ็นเอเกี่ยวข้ อง
1. ทราบสคริบชันในยูคาริโอต 2. ทรานสเลชันในยูคาริโอต
3. ทรานสคริบชันในโปรคาริโอต 4. ทรานสเลชันในโปรคาริโอต
16) รหัสพันธุกรรมคืออะไร
1. ลาดับเบสของยีน
2. ยีนทั้งหมดที่อยู่บนโครโมโซม
3. การแสดงออกทางพันธุกรรมหรือการทางานของยีน
4. กฎที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างลาดับนิวคลีโอไทด์กบั กรดอะมิโน
17) กาหนดให้ สายดีเอ็นเอเป็ นดังนี้ 5’ ACGTCAG 3’ เมื่อถอดรหัสเป็ น mRNA จะมีลาดับเป็ นอย่างไร
1. 3’ CTGUCGT 5’ 2. 3’ CUGACGU 5’
3. 5’ CTGUCGT 3’ 4. 5’ CUGACGU 3’
18) ถ้ าเกิด non-disjunction ที่เซลล์สบื พันธุข์ องแม่ จะมีโอกาสเกิดลูกที่ผิดปกติแบบใดบ้ าง
ก. XO ข. OY
ค. XXX ง. XXY
1. ก, ข 2. ข, ค
3. ค, ง 4. ก, ข, ค, ง
19) Down syndrome เกิดมาจากสาเหตุใด
1. จานวนโครโมโซมคู่ท่ี 21 เกิน 1 แท่ง 2. จานวนโครโมโซมคู่ท่ี 21 ขาด 1 แท่ง
3. จานวนโครโมโซมคู่ท่ี 22 เกิน 1 แท่ง 4. จานวนโครโมโซมคู่ท่ี 22 ขาด 1 แท่ง
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 346
20) คนป่ วยที่แสดงอาการคริดูชาร์ต (Cri du chat) มีจานวนชุดโครโมโซมแบบใด
1. 44 + XO 2. 44 + OY
3. 44 + XY 4. 45 + XX
เทคโนโลยีทางพันธุศาสตร์และดีเอ็นเอ
21) เทคนิคพอลิเมอเรสเชนรีแอกชันเป็ นเทคนิคทีเ่ ลียนแบบกระบวนการใดที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
1. เรพลิเคชัน
2. ทรานสคริบชัน
3. ทรานสเลชัน
4. ไลเกชัน
22) ผลผลิตดีเอ็นเอที่ได้ หลังจากการทาปฏิกริ ิยาพีซีอาร์น้นั ตรงกับกราฟข้ อใดมากที่สดุ โดยให้ แกนตั้งเป็ นปริมาณ
ดีเอ็นเอที่ได้ ในปฏิกริ ิยา ส่วนแกนนอนเป็ นจานวนรอบของการใช้ อุณหภูมิในปฏิกริ ิยา
1. 2.
3. 4.
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 347
วิวฒ
ั นาการ
26) ในประชากรจานวนหนึ่งพบว่าลักษณะห่อลิ้นได้ เป็ นลักษณะเด่น และมีคนห่อลิ้นได้ ร้อยละ 91 แอลลีลเด่นและ
แอลลีลด้ อย มีความถี่เป็ นร้ อยละเท่าใดในประชากรกลุ่มนี้
1. 70 , 30 2. 30 , 70
3. 91 , 9 4. 9 , 91
27) สารวจการมีต่งิ หูในประชากรภาคเหนือ พบว่าในทุกๆ 100 คน จะมีต่งิ อยู่ 64 คน ในจานวนนี้จะมี heterozygous
กี่คน
1. 16 2. 32
3. 42 4. 48
28) ประชากรมนุษย์ในสมดุลฮาร์ดี - ไวน์เบิร์ก เป็ นคนเผือกซึ่งเป็ นลักษณะด้ อย 1% นอกนั้นเป็ นคนปกติซ่งึ มี
ลักษณะเด่น จงหาว่าประชากร 1,000 คน จะเป็ น heterozygous กี่คน
1. 90 2. 180
3. 400 4. 810
29) การศึกษาสาขาใดที่ทาให้ ทราบถึงแนวคิดทฤษฎีวิวฒ ั นาการสังเคราะห์ได้ ดีท่สี ดุ
1. ชีวภูมิศาสตร์ 2. อนุกรมวิธาน
3. บรรพชีวินวิทยา 4. พันธุศาสตร์ประชากร
30) ปรากฎการณ์คอขวดมีความสาคัญอย่างไร
1. ได้ ลักษณะทางพันธุกรรมที่ดีย่งิ ขึ้นในประชากรรุ่นใหม่
2. ทาให้ ประชากรที่ย้ายไปที่อยู่ใหม่มีความถี่ของอัลลีลเปลี่ยนไป
3. ส่งผลต่อการถ่ายเทเคลื่อนย้ ายยีนระหว่างประชากรต่างกลุ่มในทีต่ ่างๆ
4. ทาให้ โครงสร้ างพันธุกรรมประชากรเปลี่ยนไปเพราะประชากรมีขนาดเล็กลง
31) ผู้ป่วยรายหนึ่งกินยาปฏิชวี นะติดต่อกันเป็ นเวลานาน จนเกิดการดื้อยาทาให้ ต้องเปลี่ยนยาให้ แรงขึ้นไปเรื่อยๆ
เหตุการณ์น้ เี กิดขึ้นเนื่องจากปรากฎการณ์ใด
ก. Adaptation ข. Mutation
ค. Natural selection ง. Convolution
1. ก, ข 2. ข, ค
3. ค, ง 4. ก, ข, ค
32) ข้ อใดไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ทาให้ ความถี่ของอัลลีลเปลี่ยนแปลง
1. ประชากรลดลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากแผ่นดินไหว
2. การอพยพย้ ายถิ่นระหว่างฐานประชากร
3. สัตว์เพศเมียเลือกเพศผู้ท่มี ีสสี ดใส
4. ลูกผสมที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตต่างสปี ชีสก์ นั
33) การสารวจนกแซวสวรรค์ในประเทศไทย พบว่า มีท้งั ชนิดสีขาวและสีนา้ ตาล โดยเฉพาะชนิดสีขาวอยู่ทางภาคใต้
มากกว่าภาคเหนือ ถ้ านักเรียนเป็ นนักสารวจจะสรุปว่านกแซวสวรรค์ท้งั สองสีท่พี บในภาคใต้ และภาคเหนือเป็ น
นกชนิดเดียวกัน จะต้ องพิจารณาจากข้ อใด
1. กินแมลงชนิดเดียวกัน
2. อยู่ในป่ าแบบชื้นเหมือนกัน
3. สามารถผสมพันธุก์ นั และออกลูกได้
4. มีลักษณะของตัวอ่อนในไข่เหมือนกัน
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 348
34) ในการเกิดสปี ชีสใ์ หม่ปัจจัยข้ อใดที่มีผลน้ อยที่สดุ
1. สภาพภูมิศาสตร์ 2. จานวนโครโมโซม
3. พฤติกรรมการผสมพันธุ์ 4. ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
35) มนุษย์กลุ่มใดที่เริ่มทาให้ เริ่มเกิดการสูญเสียความหลายทางชีวภาพ
1. มนุษย์ปักกิ่ง 2. มนุษย์ปัจจุบนั
3. มนุษย์โครแมนยัง 4. มนุษย์นีแอลเดอร์ทลั
ความหลากหลายทางชีวภาพ
36) โลกของเราเริ่มมีมนุษย์ปรากฎขึ้นมาในยุคใด
1. มหายุคมีโซโซอิก ยุคไทรแอสซิก
2. มหายุคมีโซโซอิก ยุคครีเทเชียส
3. มหายุคซิโนโซอิก ยุคควอเทอนารี
4. มหายุคซีโนโซอิก ยุคเทอเทียรี
37) ชื่อวิทยาศาสตร์ในข้ อใดเขียนได้ ถูกต้ องที่สดุ
1. Craseonycteris Tonglongyai Hill
2. Momordica charantia Linn.
3. Dugong dugon Muller
4. Tapirus inducus Desmarest, 1819
38) ลาดับขั้นการจัดหมวดหมู่ของสิง่ มีชีวิตข้ อใดผิด
1. phylum > class > family > species
2. division > family > order > genus
3. phylum > class > genus > species
4. division > class > order > species
39) ข้ อใดถูกต้ องเมื่อกล่าวถึงโดเมนในการจัดหมวดหมู่ส่งิ มีชวี ิต
1. โดเมนสร้ างจากข้ อมูลกายวิภาคที่ได้ จากซากฟอสซิล
2. ไมโครสปอริเดียและดิโพลโมแนดอยู่ในโดเมนเดียวกัน
3. ประกอบด้ วยโดเมนหลักและโดเมนย่อยอีกหลายโดเมน
4. เอนเทอโรแบคทีเรียจัดอยู่ในโดเมนกลุ่มที่สร้ างมีเทน
40) สิ่งมีชีวิตกลุ่มใดที่สามารถสร้ างอาหารเองได้ คล้ ายพืช
1. โพรทีโอแบคทีเรียและไซยาโนแบคทีเรีย
2. คลาไมเดียและสไปโรคีท
3. โพรทีโอแบคทีเรียและสไปโรคีท
4. คลาไมเดียและไซยาโนแบคทีเรีย
41) ปรากฎการณ์ “ขี้ปลาวาฬ” เกิดขึ้นจากสาเหตุในข้ อใด
1. แบคทีเรียแกรมบวกย่อยสลายของเสียจากสิง่ มีชีวิตในแหล่งนา้
2. ยูกลีโนซัวเพิ่มจานวนอย่างรวดเร็วเนื่องจากปรากฎการณ์โลกร้ อน
3. ไดโนแฟลคเจลเลตเพิ่มจานวนอย่างรวดเร็วเนื่องจากในนา้ มีสารอาหารสูง
4. สาหร่ายสีเขียวเพิ่มจานวนอย่างรวดเร็วเมื่อมีแสงแดดเพียงพอ
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 349
42) ข้ อใดไม่ถูกต้ อง
1. ระยะแกมีโทไฟต์ของไซแคโดไฟตาสั้นกว่าแอนโทซีโรไฟตา
2. ฟังไจมีความสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการที่ใกล้ ชิดพืชมากกว่าสัตว์
3. สัตว์ในไฟลัมอาร์โทรโพดามีการกระจายตัวอยู่แทบทุกแห่งบนโลกเนื่องจากปรับตัวได้ ดี
4. สัตว์ในคลาสออสติดไทอิสส่วนใหญ่มีการปฏิสนธิภายนอกและมีความสาคัญทางเศรษฐกิจ
43) ข้ อใดคือลักษณะของยูกลีนา
ก. สังเคราะห์ด้วยแสงได้ คล้ ายสาหร่าย
ข. ดูดซับสารอินทรีย์จากสิ่งแวดล้ อมได้ คล้ ายรา
ค. เคลื่อนที่ได้ และประกอบด้ วยหลายเซลล์คล้ ายสัตว์
1. ก และ ข 2. ข และ ค
3. ก และ ค 4. ก ข และ ค
44) ข้ อใดคือลักษณะที่พบทั้งในมอสและปรง
ก. มีเนื้อเยื่อลาเลียง
ข. มีต้นแกมีโทไฟต์และสปอโรไฟต์
ค. สเปิ ร์มใช้ แฟลคเจลลัมในการเคลื่อนที่และอาศัยนา้ ในการปฏิสนธิ
1. ก และ ข 2. ข และ ค
3. ก และ ค 4. ก ข และ ค
45) ลาดับขั้นการจัดหมวดหมู่ของสิง่ มีชีวิตข้ อใดถูกต้ อง
1. มอส > ปรง > ตีนตุก๊ แก > บัว
2. ตีนตุก๊ แก > มอส > ปรง > บัว
3. ตีนตุก๊ แก > ปรง > มอส > บัว
4. มอส > ตีนตุก๊ แก > ปรง > บัว
46) ข้ อใดเป็ นลักษณะร่วมของฟังไจ
1. สร้ างไฮฟา 2. สร้ างสปอร์ท่มี ีแฟลกเจลลา
3. สร้ างฟรุตติง บอดี 4. ผนังเซลล์มีไคทิน
47) สัตว์ในกลุ่มใดที่สมมาตรแตกต่างกัน
1. มอลลัสกา อาร์โทรโพดา แอนเนลิดา 2. นีมาโทดา แอเนลิดา คอร์ดาตา
3. อาร์โทรโพดา คอร์ดาตา มอลลัสกา 4. นีมาโทดา ไนดาเรีย อาร์โทรโพดา
48) สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวหรืออยู่รวมกันเป็ นโคโลนี ไม่มเี ยื่อหุ้มนิวเคลียส อาจมีหรือไม่มีคลอโรฟิ ลล์จัดอยู่ใน
Kingdom ใด
1. Animalia 2. Fungi
3. Monera 4. Protista
49) สิ่งมีชีวิตมีลักษณะลาตัวเรียวยาว แหลมหัวแหลมท้าย ไม่มีปล้ องที่แท้ จริง มีช่องว่างในลาตัวแบบเทียม
(pseudocoelom) จัดอยู่ใน phylum ใด
1. Annelida 2. Coelenterata
3. Echinodermata 4. Nematode
50) สิ่งมีชีวิตชนิดใดที่คาดว่าทาให้ บรรยากาศของโลกในอดีต มีปริมาณออกซิเจนมากขึ้น
1. ไซยาโนแบคทีเรีย 2. ไดอะตอม
3. สาหร่ายสีเขียว 4. พืชไม่มีท่อลาเลียง
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 350
51) สิ่งมีชีวิตในไฟลัมใดที่สามารถย่อยสลายลิกนินในซากพืชได้ ดี
1. ไคทริดิโอไมโคตา 2. เบสิดิโอไมโคตา
3. แอสโคไมโคตา 4. ไซโกไมโคตา
52) ข้ อใดเป็ นลักษณะของฟองนา้ ถูตวั
1. สมมาตรแบบด้ านข้ าง
2. โครงร่างเป็ นเส้นใยโปรตีน
3. ตัวอ่อนมีรูปร่างแบบเมดูซาว่ายนา้ เป็ นอิสระ
4. มีช่องตรงกลางลาตัวเป็ นช่องนา้ เข้ าขนาดใหญ่
53) “.....ชายหนุ่มถูกหมัดกัดก่อนพบตะขาบฝอยที่อาศัยอยู่ใต้ กระถางต้ นไม้ ...” จากคากล่าวนี้มีสตั ว์ในคลาสใดบ้ าง
1. อินเซ็คตา แมมมาเลีย ชิโลโพดา
2. ชิโลโพดา อะแรคนิดา แมมมาเลีย
3. แมมมาเลีย ไดโพลโพดา อะแรคนิดา
4. อะแรคนิดา ไดโพลโพดา อินเช็คตา
54) โรคเอดส์หรือโรคที่มีอาการของภูมิค้ มุ กันบกพร่อง อันเกิดจากเชื้อไวรัสชนิด HIV มีสารพันธุกรรมเป็ นแบบใด
ซึ่งเมื่อเข้ าสู่เซลล์จะสร้ างสารพันธุกรรมในรูปใด และแทรกเข้ าไปอยู่ในส่วนใดของเซลล์ตามลาดับ
1. DNA RNA และ RNA
2. RNA DNA และ DNA
3. RNA RNA และ DNA
4. RNA DNA และ RNA
55) ข้ อใดเป็ นลักษณะสาคัญของสิง่ มีชีวิตในอาณาจักรมอเนอรา
1. สามารถดารงชีวิตในสภาพแวดล้ อมที่มีชีวิตอื่นไม่สามารถทนได้
2. มีผนังเซลล์เป็ นสารประกอบเพปทิโดไกลแคน
3. มีรูปร่างเป็ นทรงกลม ทรงท่อน และทรงเกลียว
4. สารพันธุกรรมในเซลล์ไม่มีเยื่อหุ้ม
56) ข้ อใดไม่ใช่สง่ิ มีชีวิตในอาณาจักรโพรทิสตา
1. สาหร่ายผมนาง 2. สาหร่ายหางกระรอก
3. สาหร่ายไฟ 4. สาหร่ายสีนา้ ตาล
57) ข้ อใดเป็ นพืชที่มีเมล็ด
1. หญ้ าถอดปล้ อง 2. หญ้ าคา
3. ย่านลิเภา 4. ผักแว่น
58) ข้ อใดเป็ นสัตว์เลือดอุ่น
1. จระเข้ 2. ตุ่นปากเป็ ด
3. ซาลามานเดอร์ 4. จิ้งเหลน
-------------------------------------------------
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 351
แบบทดสอบทบทวนความรู้ 5
ชีวิตและสิ่งแวดล้ อม
ระบบนิเวศ
1) ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชวี ิตในข้ อใดที่เป็ นการแก่งแย่งแข่งขัน
1. ต้ นไทรที่เจริญอยู่บนต้ นสัก 2. ต้ นกกและปลานิลในสระนา้
3. ดอกไม้ ทะเลที่เกาะอยู่บนหลังของปูเสฉวน 4. กาฝากบนต้ นมะม่วง
2) นกกาเหว่ามักจะวางไข่ของตัวเองในรังนกกา นกทั้งสองชนิดมีความสัมพันธ์กนั ในลักษณะใด
1. ภาวะปรสิต 2. ภาวะอิงอาศัย
3. ภาวะพึ่งพาอาศัยกัน 4. การแก่งแย่งแข่งขัน
3) การแบ่งไบโอม (Biome) บนบกใช้ เกณฑ์ใดเป็ นตัวกาหนด
1. ปริมาณนา้ ฝนและความชื้นสัมพัทธ์
2. ปริมาณนา้ ฝนและอุณหภูมิ
3. อุณหภูมิและความสูงจากระดับนา้ ทะเล
4. อุณหภูมิและปริมาณความชื้น
4) ไบโอมทุนดรามีลักษณะพิเศษทีต่ ่างจากไบโอมอื่นอย่างไร
1. พบพรุในบางบริเวณ 2. มีปริมาณนา้ ฝนตลอดทั้งปี
3. อุณหภูมิต่าในช่วงหน้ าร้ อน 4. พบชั้นของดินเป็ นนา้ แข็งอย่างถาวร
5) ป่ าดิบชื้นพบมากในบริเวณใดของประเทศไทย
1. ภาคเหนือ 2. ภาคตะวันตก
3. ภาคตะวันออก 4. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
6) เหตุใดจึงพบปะการังเฉพาะบริเวณนา้ ตื้น
1. มีออกซิเจนสูงเหมาะแก่การดารงชีวิต
2. มีแสงเพียงพอต่อการสร้ างสารอาหาร
3. มีแพลงตอนสัตว์ทเ่ี ป็ นอาหารของปะการังจานวนมาก
4. มีอุณหภูมิอบอุ่นเหมาะต่อการสร้ างโครงสร้ างหินปูน
7) พีระมิดทางนิเวศวิทยา (ecological pyramid) ของระบบนิเวศแบบใดที่บางครั้งกลับหัวโดยมียอดแหลมอยู่ด้านล่าง
1. พีระมิดพลังงาน
2. พีระมิดจานวน
3. พีระมิดมวลชีวภาพของระบบนิเวศป่ า
4. พีระมิดมวลชีวภาพของระบบนิเวศนา้
8) วัฎจักรสารในข้ อใด ที่ต้องอาศัยจุลินทรีย์ในการรักษาสมดุลของวัฎจักรมากที่สดุ
1. คาร์บอน 2. ไนโตรเจน
3. ฟอสฟอรัส 4. นา้
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 352
9) ข้ อใดเกิดการแทนที่แบบทุติยภูมิ (secondary succession)
1. พื้นที่หลังการระเบิดของภูเขาไฟ
2. การเจริญของกลุ่มจุลินทรียใ์ นนา้ ต้ มฟางข้ าว
3. พื้นที่หลังการละลายของธารนา้ แข็ง
4. บริเวณไร่เลื่อนลอย
ประชากร
10) การจัดตั้งพื้นทีเ่ พื่อการอนุรักษ์สง่ิ มีชีวิตที่ประสบผลสาเร็จมากที่สดุ ควรเป็ นแบบใด
1. มีความหลากหลายของถิ่นอาศัยสูง
2. มีขนาดเล็ก กระจายอยู่บริเวณต่างๆ
3. มีรูปทรงเป็ นสี่เหลี่ยมผืนผ้ า
4. มีถนนตัดผ่านเพื่อความสะดวกในการดูแล
11) การสารวจจานวนประชากรโดยวิธกี ารจับซา้ (capture and recapture method) มีข้อแม้ อย่างไร
1. ประชากรต้ องมีจานวนมากและเป็ นกลุ่มใหญ่
2. ประชากรต้ องมีการอพยพเข้ าและอพยพออก
3. ประชากรแต่ละตัวมีโอกาสตายและถูกจับเท่ากัน
4. ประชากรต้ องมีอตั ราการเกิดสูง
12) ในการสารวจประชากรต้ นหญ้ าคาในพื้นที่ขนาด 100 ตารางเมตร โดยใช้ กรอบนับประชากรขนาดกว้ าง 2 เมตร
ยาว 2 เมตร สุ่มนับต้ นหญ้ าคาได้ ดังนี้
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 353
14) ข้ อใดถูกต้ องที่สดุ
1. การทาปิ รามิดอายุประชากรของแมลง ประชากรที่มีอายุมากที่สดุ อยู่ท่ฐี านของปิ รามิด
2. หากปิ รามิดอายุของประชากรแมลงเป็ นรูปโกศ แสดงว่าประชากรมีอตั ราการเกิดสูง
3. ระยะวัยหลังการเจริญพันธุข์ องแมลง เป็ นระยะที่สาคัญในการทาปิ รามิดอายุ
4. แมลงส่วนใหญ่มีระยะวัยก่อนเจริญพันธุย์ าวนานกว่าระยะอื่น
15) ในปัจจุบันแผนภาพโครงสร้ างอายุของประชากร (Age structure diagram) ซึ่งแสดงในรูปพีระมิดของประเทศไทย
เป็ นแบบใด และถ้ าในอีก 20 ปี ข้ างหน้ าอัตราการเกิดลดลงอย่างมากและมีกลุ่มผู้สงู อายุเพิ่มมากขึ้น รูปพีระมิดจะ
เปลี่ยนเป็ นแบบใด
1. ฐานกว้ างยอดแหลม เปลี่ยนเป็ นรูประฆังคว่า
2. รูประฆังคว่า เปลี่ยนเป็ นรูปกรวยปากแคบ
3. รูปกรวยปากแคบ เปลี่ยนเป็ นรูปดอกบัวตูม
4. รูปกรวยปากแคบ เปลี่ยนเป็ นรูประฆังคว่า
มนุษย์กบั ความยังยื
่ นของสิง่ แวดล้อม
16) แนวทางบันไดสามขั้นเพื่อป้ องกันการแพร่ระบาดของชนิดพันธุต์ ่างถิ่นที่มีผลต่อระบบนิเวศและสิง่ แวดล้ อมคือข้ อใด
1. การป้ องกัน การระมัดระวัง และการกาจัด
2. การป้ องกัน การสืบพบ และการกาจัด
3. การระมัดระวัง การสืบพบ และการกาจัด
4. การระมัดระวัง การป้ องกัน และการวิจัย
17) ปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาวในปัจจุบันเกิดมาจากสารชนิดใดทีป่ นเปื้ อนในนา้ ทะเล
1. ครีมกันแดด 2. ผงซักฟอก
3. สารกาจัดศัตรูพืชและแมลง 4. นา้ มันและคราบนา้ มัน
18) ข้ อใดเป็ นปัญหาที่น่าเป็ นห่วงมากที่สดุ ของพื้นที่ทางทะเลและชายฝั่งของเอเชียและแปซิฟิก
1. การคุกคามพื้นที่ปะการัง
2. การเพาะเลี้ยงสัตว์นา้ ขยายตัวมากขึ้น
3. การปล่อยของเสียลงไปในชายฝั่งและทะเล
4. การจับปลาในนา้ เกินกาลังการทดแทนตามธรรมชาติ
19) หากโลกยังมีอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น นา้ แข็งที่ข้วั โลกจะละลายมากยิ่งขึ้น ผลกระทบร้ ายแรงที่จะเกิดขึ้นคือข้ อใด
1. ปริมาณนา้ ทะเลจะเพิ่มขึ้น
2. ความหลากหลายทางชีวภาพลดลง
3. ระบบนิเวศชายฝั่งและปะการังถูกทาลาย
4. ก๊าซ CH4 จะถูกปลดปล่อยออกมามากขึ้นและจะทาให้ โลกร้ อนยิ่งขึ้น
20) วัฎจักรข้ อใดได้ รับผลกระทบมากที่สดุ จากปรากฎการณ์โลกร้ อน
ก. ไนโตรเจน ข. นา้
ค. คาร์บอน ง. ซัลเฟอร์
1. ก และ ข 2. ข และ ค
3. ค และ ง 4. ก และ ง
-------------------------------------------
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 354
เฉลยแบบทดสอบทบทวนความรู ้
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 355
เฉลยแบบฝึ กหัดทบทวนความรู ้ 3 ชีวิตและกระบวนการดารงชีวิตของพืช
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 356
บรรณานุกรม
โครงการตาราวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มูลนิธิ สอวน. ชีววิทยา 1. กรุงเทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ์ จากัด. 2552.
โครงการตาราวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มูลนิธิ สอวน. ชีววิทยา 2. กรุงเทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ์ จากัด. 2552.
โครงการตาราวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มูลนิธิ สอวน. ชีววิทยา สัตววิทยา 1. กรุงเทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ์ จากัด. 2552.
โครงการตาราวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มูลนิธิ สอวน. ชีววิทยา สัตววิทยา 2. กรุงเทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ์ จากัด. 2552.
โครงการตาราวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มูลนิธิ สอวน. ชีววิทยา สัตววิทยา 3. กรุงเทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ์ จากัด. 2552.
ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, สถาบัน. กระทรวงศึกษาธิการ. คู่มือครู รายวิชาพื้ นฐานชีววิทยา สาหรับนักเรียน
ที่เน้นวิทยาศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้ าว. 2553.
ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, สถาบัน. กระทรวงศึกษาธิการ. คู่มือครู รายวิชาเพิม่ เติม ชีววิทยา เล่ม 1.
พิมพ์ครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้ าว. 2553.
ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, สถาบัน. กระทรวงศึกษาธิการ. คู่มือครู รายวิชาเพิม่ เติม ชีววิทยา เล่ม 2.
พิมพ์ครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้ าว. 2554.
ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, สถาบัน. กระทรวงศึกษาธิการ. คู่มือครู รายวิชาเพิม่ เติม ชีววิทยา เล่ม 3.
พิมพ์ครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้ าว. 2554.
ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, สถาบัน. กระทรวงศึกษาธิการ. คู่มือครู รายวิชาเพิม่ เติม ชีววิทยา เล่ม 4.
พิมพ์ครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้ าว. 2554.
ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, สถาบัน. กระทรวงศึกษาธิการ. คู่มือครู รายวิชาเพิม่ เติม ชีววิทยา เล่ม 5.
พิมพ์ครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้ าว. 2555.
ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, สถาบัน. กระทรวงศึกษาธิการ. หนังสือเรียน รายวิชาพื้ นฐาน ชีววิทยา
สาหรับนักเรียนที่เน้นวิทยาศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้ าว. 2553.
ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, สถาบัน. กระทรวงศึกษาธิการ. หนังสือเรียน รายวิชาเพิม่ เติม ชีววิทยา
เล่ม 1. พิมพ์ครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้ าว. 2553.
ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, สถาบัน. กระทรวงศึกษาธิการ. หนังสือเรียน รายวิชาเพิม่ เติม ชีววิทยา
เล่ม 2. พิมพ์ครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้ าว. 2554.
ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, สถาบัน. กระทรวงศึกษาธิการ. หนังสือเรียน รายวิชาเพิม่ เติม ชีววิทยา
เล่ม 3. พิมพ์ครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้ าว. 2554.
ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, สถาบัน. กระทรวงศึกษาธิการ. หนังสือเรียน รายวิชาเพิม่ เติม ชีววิทยา
เล่ม 4. พิมพ์ครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้ าว. 2554.
ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, สถาบัน. กระทรวงศึกษาธิการ. หนังสือเรียน รายวิชาเพิม่ เติม ชีววิทยา
เล่ม 5. พิมพ์ครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้ าว. 2554.
Reece, Jane B., et al. Campbell biology. Boston: Pearson, 2011.
Solomon, Eldra P., Linda R. Berg, and Diana W. Martin. "Biology (9th edn)." Brooks/Cole,
Cengage Learning: USA, 2011.
BIOLOGY By Kru’Nicknhong
PAGE 352