Professional Documents
Culture Documents
03 - งานสนามครั้งที่ 2 การรังวัดระยะทางและการ
03 - งานสนามครั้งที่ 2 การรังวัดระยะทางและการ
3.2 หลักการ
การรังวัดระยะทางด้วยแถบวัดระยะหรือโซ่ (Linear surveying or chain surveying) เป็นวิธีการ
รังวัดระยะทางบนพื้นที่ระนาบขั้นพื้นฐานที่นิยมกันมาก แบ่งเป็น (1) การรังวัดด้วยแถบวัดระยะธรรมดา
1 1
(Ordinary taping) มีความระเอียด (Precision) ตั้งแต่ ถึง สำหรับใช้ในงานรังวัดทั่วไป งาน
1,000 5,000
ทำแผนผังและงานก่อสร้าง (2) การรังวัดด้วยแถบวัดระยะอย่างระเอียด (Precise Taping) มีความละเอียด
1 1
(Precision) ตั้ง แต่ ถึง สำหรับ ใช้ในงานรัง วัดที่ดินที่ม ีร าคาสูง มาก (Excellent Land
10,000 30,000
Survey) งานการก่อสร้างอย่างละเอียด (Precise Construction Work) และงานรังวัดในเมือง (City survey)
และ (3) งานรัง วัดเส้นฐานด้วยแถบวั ดระยะ (Base line taping) มีความละเอียด (Precision) ) ตั้ง แต่
1 1
ถึง สำหรับใช้ในงานรังวัดขั้นสูงอย่างละเอียด ซึ่งเป็นรังวัดควบคุม ในงานโครงข่าย
100,000 1,000,000
ระดับชาติ และเนื่องจากในปั จจุบันเรามีเครื่องมือวัดระยะสมัยใหม่ ได้แก่ การวัดระยะทางอิเล็กทรอนิกส์
(Electronic Distance Measurement: EDM) และการรังวัดพิกัดด้วยระบบดาวเทียมนำหนพิภพ (Global
Navigation Satellite System: GNSS) วิธีการรังวัดด้วยแถบวัดระยะแบบที่ (1) แบบที่ (2) และ แบบที่ (3)
จึงถูกใช้แทนด้วยเครื่องมือสมัยใหม่ดังกล่าว อย่างไรก็ตามแถบวัดระยะแบบที่ (1) ยังคงนิยมใช้งานโดยทั่วไป
ในการปฏิบัติงานนี้ เป็นการรังวัดระยะทางและทำแผนที่อาณาเขตหรือแผนผัง (Planimetric map)
โดย การใช้แถบวัดระยะแบบที่ (1) เท่านั้น ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่นำไปสู่แบบที่ (2) และ แบบที่ (3) ข้างต้น
3.4 วิธีการ
3.4.1 เปรียบเทียบการรังวัดระยะทางด้วยแถบวัดระยะกับระยะมาตรฐาน
ให้ นำแถบวัดระยะไปรัง วัดและเปรียบเทียบกับระยะมาตรฐานซึ่ง ได้จ ัดทำไว้หน้าตึกปฏิบัติ การ
วิศวกรรมโยธา แล้วให้ศึกษาและวิจารณ์ค่าคลาดเคลื่อนต่าง ๆ
3.4.2 การทำแผนที่อาณาเขตหรือแผนผังโดยใช้แถบวัดวัดระยะ
(1) งานแรกที่นักสำรวจจะต้องปฏิบัติเมื่อไปยังพื้นที่ที่จะทำแผนผัง คือการสำรวจสังเขปบริเวณ
ที่จะทำการสำรวจเพื่อที่จะทำแผนผัง โดยการเดินให้บริเวณและเขียนภาพร่างบริเวณ ในการสำรวจพื้นที่
จะต้องกำหนดหมุดควบคุมทางราบให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม เพื่อใช้เป็นแนวควบคุม (หรือเรียกอีกอย่าง
หนึ่งว่าแนวสำรวจ) โดยแบ่งพื้นที่ย่อยเป็นรูปสามเหลี่ยมหลาย ๆ รูป แต่ละรูปให้มีมุมไม่เล็กกว่า 30º และไม่
เกินกว่า 120º จึงเป็นสภาวะที่เหมาะสม (Well-conditioned) โดยแต่ละรูปสามเหลี่ยมที่แต่ละหมุดจะต้อง
มองเห็นอีก 2 หมุดด้วย และให้มีเส้นตรวจสอบ (Checked Line) ด้วยถ้าแบ่งเป็นรูปสามเหลี่ยมไม่ได้ ให้สร้าง
เส้นตรงค้ำระหว่างแนวเส้นควบคุมเป็นรูปสามเหลี่ยม โดยมุมระหว่างแนวเส้นควบคุมไม่ควรเล็กกว่า 30º และ
ไม่เกินกว่า 120º ดังแสดงในรูปที่ 3.1 และรูปที่ 3.2 แนวเส้นควบคุมควรอยู่ในแนวที่รังวัดได้สะดวก ไม่เป็นที่
สูงชันหรือเป็นป่ารก จะได้รังวัดได้ง่าย และควรอยู่ใกล้รายละเอียดที่จะเก็บให้มากที่สุดและควรอยู่ห่างเกิ น 1
ช่วงของแถบวัดระยะ ถ้าห่างเกิน 1 ช่วง จะต้องมีอุปกรณ์อย่างเครื่องส่องฉาก (Optical Square) ดังรูปที่ 3.3
อย่างไรก็ตาม การวัดโดยใช้ ทฤษฎีบทพีทาโกรัส ผ่านการใช้กฎ 3-4-5 ในการสร้างมุม ฉากของสามเหลี่ยมก็
สามารถนำมาใช้ทดแทนเครื่องมือดังกล่าวในการสร้างมุมฉากผ่านการวัดระยะในสนามได้เช่นกัน
(ก) (ข)
รูปที่ 3.3 (ก) เครือ่ งส่องฉาก (Optical Square) ซึ่งจะเรียกว่า Double Pentaprism
โดย (ข) มีไว้สำหรับช่วยเล็งแนวฉาก
3.5 การเขียนแผนที่อาณาเขตหรือแผนผัง
จากข้อมูลแนวเส้นควบคุมแนวเส้นควบคุม (หรือแนวสำรวจ) และข้อมูลบันทึกรายละเอียด ให้เขียน
แผนที่ลงในกระดาษตามมาตราส่วนที่เหมาะสม โดยเขียนแนวเส้นควบคุมทุกเส้นรวมทั้งเส้นตรวจสอบด้วย
และจากแนวเส้นควบคุมแต่ละเส้นให้เขียนรายละเอียดจากข้อมูลบันทึกรายละเอียดโดยเขียนตามลำดับดังเช่น
ที่บันทึกในสมุดสนาม ก็จะได้ต้นร่างแผนที่ (เขียนด้วยดินสอ) ตามที่สำรวจมา และให้ตรวจสอบสนามเพื่อ
ตรวจสอบความถูกต้องของแผนที่ด้วย หลังจากนั้นให้ลงหมึกแสดงรายละเอียดต่าง ๆ แสดงสัญญาลักษณ์แผน
ที่ แสดงทิศเหนือ ให้ลูก ศรขี้ขึ้นด้านบนของกระดาษเขียนแผนที่ แสดงมาตราส่วนแ ผนที่แบบเส้นกราฟ
(Graphical Scale) และแบบอัตราส่วนหรือแบบเศษส่วน และเขียนชื่อแผนที่ ไม่ให้ลงหมึกแสดงแนวเส้นของ
แผนที่ (แนวเส้นควบคุมได้เขียนด้วยดินสอที่ต้นร่างแผนที่แล้ว) ก็จะได้แผนที่ตามต้องการดัง แสดงในตัวอย่าง
แผนที่ในรูปที่ 3.6