Professional Documents
Culture Documents
การใช้สิทธโดยสุจริต ศึกษาเฉพาะกรณีผู้รับประกนภัยรับช่วงสิทธิมาเรียกค่าสินไหมทดแทน
การใช้สิทธโดยสุจริต ศึกษาเฉพาะกรณีผู้รับประกนภัยรับช่วงสิทธิมาเรียกค่าสินไหมทดแทน
: ศึกษาเฉพาะกรณีผรู้ ับประกันภัยรับช่วงสิทธิมาเรียกค่าสินไหมทดแทน
นายตรัณ ขมะวรรณ
รายงานการศึกษาส่วนบุคคลนีเ้ ป็นส่วนหนึ่งของการอบรม
หลักสูตร”ผูพ้ พิ ากษาผูบ้ ริหารในศาลชัน้ ต้น” รุน่ ที่ ๑4
สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุตธิ รรม สํานักงานศาลยุตธิ รรม
พ.ศ.๒๕๕8
การใช้สิทธิโดยสุจริต
: ศึกษาเฉพาะกรณีผู้รับประกันภัยรับช่วงสิทธิมาเรียกค่าสินไหมทดแทน
นายตรัณ ขมะวรรณ
ก
สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม
ผลงานส่วนบุคคล เรื่อง การใช้สิทธิโดยสุจริต : ศึกษาเฉพาะกรณีผู้รับประกันภัย
รับช่วงสิทธิมาเรียกค่าสินไหมทดแทน
ชื่อผู้ศึกษา : นายตรัณ ขมะวรรณ
_______________________ประธานกรรมการอํานวยการอบรม
(นายชัยยุทธ ศรีจํานงค์ )
ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา
________________________กรรมการอํานวยการอบรมและกรรมการที่ปรึกษา
(นายอนุวัตร มุทิกากร)
ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์
ข
สารบัญ
หน้า
บทที่ ๑ ความเป็นมาและความสําคัญของปัญหา
๑.๑ ความเป็นมาและความสําคัญของปัญหา ๑
๑.๒ วัตถุประสงค์ของการศึกษา 1
๑.๓ ขอบเขตงานวิจัย ๒
๑.๔ วิธีดําเนินการศึกษา 2
๑.๕ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการศึกษา 2
บทที่ ๒ หลักสุจริตในกฎหมายแพ่ง
๒.๑ ที่มาของแนวคิดสุจริต 3
๒.๒ ลักษณะทั่วไปของหลักสุจริตที่ปรากฏเป็นบทบัญญัติของกฎหมาย 4
๒.2.๑ เป็นกฎหมายยุติธรรม 4
๒.3 มีลักษณะไม่ชัดแจ้งและบัญญัติเป็นหลักทั่วไป 5
๒.4 ลักษณะการปรับใช้ตามเหตุผลของเรื่อง 5
๒.5 เป็นหลักกฎหมายที่มีมาตรฐานทางศีลธรรมสูง 5
๒.6 เป็นหลักกฎหมายทั่วไปที่เป็นมาตรฐานความเป็นธรรมในสังคม 5
บทที่ ๓ รูปแบบที่สําคัญของหลักสุจริต
๓.๑ หลัก Exceptio doli 6
๓.๑.๑ หลักสุจริตในสัญญาฝ่ายเดียว 6
๓.๑.๒ หลักสุจริตในสัญญาสองฝ่าย 6
๓.๒ หลักกฎหมายปิดปากโดยความประพฤติ 7
๓.๓ หลักความผูกพันย่อมเป็นไปตามพฤติการณ์ 8
๓.๔ หลักความรับผิดก่อนสัญญา 10
๓.๕ รูปแบบการใช้สิทธิในทางไม่ชอบ 10
บทที่ ๔ หลักสุจริตในกฎหมายต่างประเทศที่สําคัญ
๔.๑ หลักสุจริตในประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมัน 12
4.1.๑ กรณีที่นําหลักสุจริตมากําหนดหน้าที่เพิ่มเติมแก่คู่สัญญา 12
4.1.๒ กรณีนําหลักสุจริตมาปรับใช้กับเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง 12
4.1.๓ การนําหลักสุจริตมากําหนด การใช้สิทธิของบุคคลในกรณีต่างๆ 13
๔.๓ หลักสุจริตในประมวลกฎหมายแพ่งฝรั่งเศส 15
ค
สารบัญ (ต่อ)
หน้า
บทที่ ๕ ขอบเขตแนวความหมายการใช้สิทธิโดยสุจริต 17
ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทย
บทที่ 6 ลักษณะแนวทางการปรับใช้หลักสุจริตของศาลไทย 19
บทที่ 7 บทสรุปและข้อเสนอแนะ 24
บรรณานุกรม
ประวัติผู้ศึกษา
๑
บทที่ ๑
ความเป็นมาและความสําคัญของปัญหา
ในคดี แ พ่ ง ข้ อ หาละเมิ ด การกํ า หนดค่ า เสี ย หายเป็ น ดุ ล ยพิ นิ จ ของศาล ตามประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๓๘ ในขณะเดียวกันการนําคดีขึ้นสู่ศาล เป็นการใช้สิทธิ
เรียกร้องทางศาลอยู่ภายใต้บังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕ ซึ่งมีที่มาจาก
หลักสุจริต (good faith) อันเป็นหลักทั่วไปที่ยอมรับกันในนานาประเทศว่า เป็นพื้นฐานของระบบ
กฎหมายแพ่ง มีวัตถุประสงค์ให้ศาลปรับใช้ในการแก้ไขความเคร่งครัดของกฎหมาย และสัญญา
ให้มีความยืดหยุ่นสามารถเข้ากับข้อเท็จจริงที่สังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป หลักสุจริตมีแนวคิด
ทางกฎหมายมาตั้ ง แต่ ใ นยุ ค ของระบบกฎหมายโรมั น อั น เป็ น ต้ น แบบของระบบกฎหมาย
Civil Law ซึ่งต่อมาได้รับการพัฒนาต่อเนื่องในระบบกฎหมายของประเทศต่างๆที่รับอิทธิพลมา
จากกฎหมายโรมัน ได้แก่ เยอรมัน สวิสเซอร์แลนด์และฝรั่งเศส
ประเทศไทยได้รับเอาหลักสุจริตผ่านมาทางประมวลกฎหมายแพ่งสวิส มาตรา ๒ โดย
นํา มาบั ญญั ติ ไ ว้ ใ นมาตรา ๕ และมาตรา ๔๒๑ ในส่ ว นของการใช้ต ามประมวลกฎหมายแพ่ ง
มาตรา ๔๒๑ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบทบัญญัติเรื่องหลักสุจริตในบททั่วไปในมาตรา ๕ ศาลไทยได้
ปรับใช้มาหลายกรณี แต่ในส่วนของหลักทั่วไปตาม มาตรา ๕ กลับมีการปรับใช้น้อยกว่ามาก
ซึ่งจากประสบการณ์ในการทํางานของผู้วิจัยพบว่ามีหลายกรณีที่โจทก์นําคดีมาสู่ศาลโดยไม่สุจริต
เช่น ในคดีละเมิดที่ผู้รับประกันภัยรับช่วงสิทธิจากเจ้าของรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้มาเป็นโจทก์
ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจําเลยผู้ทําละเมิดขับรถชนกับรถที่โจทก์รับประกัน แต่โจทก์เอา
พยานเอกสารบางส่วนที่เป็นเท็จ มาส่งศาลเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการเรียกค่าสินไหมทดแทนที่สูง
เกินจริง จึงเกิดประเด็นปัญหาว่าศาลควรวินิจฉัยคดี โดยให้จําเลยชําระค่าเสียหายเฉพาะส่วน
ที่เกิดขึ้นจริง หรือควรจะยกฟ้องโจทก์โดยอ้างหลักสุจริต ผู้วิจัยจึงทํางานวิจัยชิ้นนี้ขึ้นเพื่อที่จะ
ศึกษาว่ากฎหมายเรื่องหลักสุจริตมีที่มาอย่างไร การใช้หลักสุจริตของศาลในประเทศที่ใช้ระบบ
civil law มีขอบเขตการใช้อย่างไร ศาลไทยได้ใช้หลักสุจริตในมาตรา ๕ ในขอบเขตอย่างไรบ้าง
และ กรณีตามปัญหาเป็นกรณีที่ต้องปรับใช้หลักสุจริตหรือไม่รวมถึงมีข้อขัดข้องในการใช้หลัก
สุจริตอย่างไร
วัตถุประสงค์ของการศึกษา
1. เพื่อศึกษาให้ทราบถึงหลักเกณฑ์ แนวคิดและทฤษฎีพื้นฐานของหลักสุจริต
2. เพื่อศึกษาหลักเกณฑ์และแนวทางของกฎหมายต่างประเทศในเรื่องหลักสุจริต
3. เพื่อศึกษาหลักเกณฑ์ของหลักสุจริตตามกฎหมายของไทย และแนวทางการใช้หลัก
สุจริตของศาลฎีกาไทย
4. เพื่อสนับสนุนให้มีการคิดและพัฒนาหลักสุจริตอย่างเป็นระบบ และส่งเสริมให้มีการใช้
เพื่ออํานวยความยุติธรรมได้อย่างกว้างขวาง
๒
ขอบเขตงานวิจัย
งานวิ จั ยชิ้ นนี้ มุ่ งศึ กษาขอบเขตการใช้ห ลัก สุ จริ ตใน มาตรา ๕ โดยศึก ษาทฤษฎี ค วาม
เป็นมา ลักษณะทั่ว ๆ ไป จากหลักกฎหมายโรมัน และกฎหมายของต่างประเทศ เพื่อเปรียบเทียบ
กับหลักสุจริตใน มาตรา ๕ ที่ใช้และตีความโดยศาลฎีกา เพื่อทราบของเขตการใช้ของศาลไทยว่า
เหมือนหรือแตกต่างกับของต่างประเทศอย่างไร และขอบเขตการใช้ที่ปรากฏอยู่ สามารถนํามา
ปรับใช้กับกรณีที่โจทก์นําพยานหลักฐานเท็จมาเสนอศาลเพื่อเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนความ
เสียหายที่สูงเกินจริงจากจําเลยได้หรือไม่ หากปรับใช้ได้จะได้ผลทางกฎหมายอย่างไร
วิธีดําเนินการศึกษา
วิธีการค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลเป็นแบบวิจัยเอกสาร ซึ่งจะศึกษาจากประมวลกฎหมาย
ตํ า รากฎหมายและคํ า พิ พ ากษาของศาล ส่ ว นการศึ ก ษาใช้ วิ ธี พิ จ ารณาและวิ เ คราะห์ ใ นการ
เปรียบเทียบข้อมูลการใช้ของต่างประเทศกับของศาลฎีกาไทย
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย
รายงานวิจัยนี้จะทําให้เข้าใจบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕
ได้กระจ่างชัดขึ้นในที่มา ขอบเขตความหมาย ขอบเขตการใช้ นําไปสู่การทําความเข้าใจร่วมกันถึง
ปัญหาการใช้หลักสุจริต ความร่วมมือในการแก้ปัญหา ความร่วมมือในการศึกษา เผยแพร่และ
พัฒนาหลักสุจริต ซึ่งจะทําให้การใช้หลักสุจริตโดยตัวของมันเองหรือการใช้กฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์ในเรื่องอื่น ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนหลักสุจริต มีความถูกต้องและสามารถอํานวยความยุติธรรม
ได้อย่างแท้จริง
๓
บทที่ ๒
2.1 ที่มาของแนวคิดสุจริต
แนวคิดทางกฎหมายเรื่องสุจริตมีมานานตั้งแต่มีสังคมมนุษย์ จากนั้นได้พัฒนามามีบทบาท
ในระบบกฎหมายโรมัน และพัฒนาต่อมาในระบบกฎหมายของประเทศต่างๆในภาคพื้นยุโรป
โดยในระยะเริ่มแรกของสังคมมนุษย์ มนุษย์ยอมรับว่าต้องมีกฎกฎเกณฑ์เพื่อให้สังคมดํารงอยู่
จุดมุ่งหมายเช่นนี้ได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นบ่อเกิดของหลักสุจริต ตามแนวคิดนี้สมาชิกในสังคม
ต่ า งคาดหมายให้ ผู้ อื่ น ปฏิ บั ติ ต่ อ ตนเหมื อ นที่ ต นปฏิ บั ติ ต่ อ ตนเอง หลั ก สุ จ ริ ต ในระยะแรกจึ ง มี
ความหมายเพียง การปฏิบัติตามสัจจะสัญญาที่ตนได้ให้ไว้ แก่ผู้อื่น และหลักสัญญาต้องได้รับการ
ปฏิบัติและเคารพจากคู่สัญญา หลักนี้มีชื่อเรียกว่า “หลักสัญญาต้องเป็นสัญญา” (pacta sunt servanda)
หลักสัญญาต้องเป็นสัญญานี้ มีลักษณะเป็นความผูกพันทางจริยธรรมของผู้คนในสังคม มากว่าจะ
เป็นกฎเกณฑ์ ทางกฎหมายซึ่งมีรูปแบบที่ชัดเจนเป็นทางการ
ในสมัยโรมัน ซึ่งความสัมพันธ์ของบุคคลเป็นไปตามกฎหมายที่มีลักษณะเคร่งครัดตายตัว
หรือที่เรียกกันในภาษาลาตินว่า Jus strictum นักกฎหมายโรมันก็ได้พัฒนาหลักสุจริตขึ้น เรียกกัน
ในภาษาลาตินว่า bona fides เพื่อปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเดิมให้มีความยืดหยุ่นและเป็นธรรมขึ้น
เดิมทีเดียวหลักข้อนี้ใช้เป็นกฎหมายวิธีสบัญญัติ ซึ่งศาลโรมันเริ่มใช้ราว ๔๕๐ ปีก่อ น
คริสต์ศักราช กล่าวคือ ในกรณีที่โจทก์ฟ้องร้องขอให้ศาลบังคับตามสิทธิในสัญญา ที่ได้ทําตาม
แบบที่กฎหมายกําหนด ซึ่งโดยปกติศาลจะบังคับให้เป็นไปตามสิทธิของโจทก์เสมอ เพราะยึด
รูปแบบของสัญญาที่ถูกต้องตามกฎหมายเป็นหลัก แต่ต่อมาจําเลยได้กล่าวอ้างว่าสัญญาที่ทําขึ้น
นั้นเกิดเพราะถูกฉ้อฉล หรือสําคัญผิด ข้อต่อสู้ของจําเลยนี้ เรียกว่า exceptio doli หรือข้อต่อสู้
เกี่ยวกับการฉ้อโกง Praetor ซึ่งเป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ที่ทําหน้าที่บริหารกฎหมายในกรุงโรม เป็นผู้
กําหนดรูปแบบคดีจะทําบทสรุปคําฟ้องให้ผู้พิพากษาที่ได้รับเลือกวินิจฉัยไปตามรูปคดีที่เรียกว่า
รูปคดีแบบสุจริต bona fide action และหากศาลเห็นว่าการบังคับให้ตามสัญญาจะไม่เป็นธรรมก็
จะใช้หลักสุจริตมาปรับแต่งข้อตกลงนั้นและบังคับให้เท่าที่เห็นเป็นธรรม
หลักข้อนี้ต่อมาได้มีการพัฒนากลายเป็น กฎหมายสารบัญญัติ คือในกรณีที่ไม่มีกฎหมาย
ลายลักษณ์อักษรรับรองสิทธิไว้ ก็สามารถฟ้องคดีได้ เช่นการฟ้องให้ชําระหนี้ที่ก่อขึ้นโดยไม่ได้ทํา
ตามแบบ ตามหลักกฎหมายบ้านเมืองของโรมัน (Jus civil) ที่ตามปกติใช้บังคับกับกรณีทํานองนี้
อย่างเคร่งครัดจะบังคับกันไม่ได้ เพราะเมื่อไม่ทําตามแบบก็อ้างสิทธิไม่ได้ แต่ชาวโรมันเห็นว่ามี
หลักเหตุผล Praetor จึงประกาศรับรองให้มีการฟ้องกันได้ตามหลักสุจริต โดยให้เหตุผลประกอบ
ว่าเป็นหลักกฎหมายที่แพร่หลายให้หมู่นานาชาติ (jus gentum) และประกาศใช้เป็นส่วนหนึ่งของ
กฎหมายโรมัน ซึ่งเรื่องดังกล่าวได้เกิดขึ้นในช่วงราว ๒๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยในระยะแรก
สัญญาที่บังคับกันได้ในฐานะข้อยกเว้น คือผูกพันได้แม้ไม่ทําตามแบบ ได้แก่ สัญญาซื้อขาย สัญญา
เช่า สัญญาจ้างแรงงาน และจ้างทําของ สัญญาเข้ากันเป็นหุ้นส่วน การมอบอํานาจ เป็นต้น
๔
กฎหมายยุติธรรมนี้มักปรากฏในรูปของกฎหมายที่ยกเว้นกฎหมายทั่วไป การใช้ดุลพินิจ
เป็นอํานาจของผู้พิพากษาที่จะหยิบยกขึ้นปรับใช้ได้เอง การใช้ในฐานะข้อยกเว้นจึงมีเฉพาะกรณี
พิเศษ อันเป็นการใช้อย่างจํากัด และมีลักษณะเป็นการตัดสินตามหลักความเป็นธรรมเป็นเรื่องๆ ไป
๒.3 มีลักษณะไม่ชัดแจ้งและบัญญัติเป็นหลักทั่วไป
เนื้อความของหลักสุจริต เป็นเนื้อความที่เป็นลักษณะทั่วไป อันเป็นมาตรฐานทั่วไป ที่ใช้
เป็นเครื่องวัดความประพฤติของมนุษย์ในสังคมทุกๆ กรณีอันไม่อาจจะอธิบายให้ชัดเจนกระจ่างใน
รายละเอียดได้ทั้งหมด เนื่องจากมีลักษณะเป็นนามธรรมที่นับวันจะมีแต่คลี่คลายต่อไป การที่
หลักการนี้ปรากฏตัวออกมาเป็นหลักปลีกย่อยที่พออธิบายได้อย่างชัดเจนนั้นก็เป็นเพียงบางส่วน
เท่านั้น
๒.4 ลักษณะการปรับใช้ตามเหตุผลของเรื่อง
การปรับใช้ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์สภาพแวดล้อมของคดี เป็นหน้าที่ของผู้ใช้กฎหมายต้องใช้
วิจารณญาณและดุลยพินิจในการไตร่ตรองเพื่อให้ได้ความเป็นธรรม การปรับใช้จากกรณีเกิดขึ้น
จริง เป็นการพัฒนาหลักกฎหมายที่เกิดจากคดีจริง ทําให้เกิดบรรทัดฐานในการปรับใช้ต่อไป
แต่การปรับใช้กับเรื่องใดต้องใช้อย่างจํากัด คือ ใช้ในกรณีที่การนํากฎหมายที่มีอยู่มาปรับใช้แล้วจะ
ทําให้เกิดความไม่เป็นธรรม หรือปรับใช้เมื่อไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายที่จะนํามาปรับใช้กับ
ข้อเท็จจริงได้ การนําหลักสุจริตมาใช้จึงเป็นการใช้อย่างข้อยกเว้น ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ผู้พิพากษาใช้
หลักเกณฑ์นอกเหนือจากบทบัญญัติของกฎหมายมากเกินไป
๒.5 เป็นหลักกฎหมายที่มีมาตรฐานทางศีลธรรมสูง
หลักสุจริตเป็นเรื่องของความไว้เนื้อเชื่อใจกันในระหว่างคนในสังคม ซึ่งศาลเป็นผู้กําหนด
ขอบเขต ตามเหตุผลของเรื่อง ตามกาละ เทศะ หรือกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง หลักสุจริตไม่ใช่เรื่อง
ของข้ อ ห้ า มซึ่ ง เป็ น กฎเกณฑ์ ท างศี ล ธรรม จึ ง เป็ น หลั ก ที่ มี ม าตรฐานสู ง กว่ า หลั ก ศี ล ธรรมอั น ดี
เพราะหลักศีลธรรมอันดีเป็นเครื่องกํากับเงื่อนไขความมีผลแห่งนิติกรรม นิติกรรมที่ขัดต่อความ
สงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีจึงไม่มีผลบังคับ แต่หลักสุจริตเป็นเครื่องกํากับการใช้สิทธิหรือการ
ชําระหนี้ตามนิติกรรม บางกรณีการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตอาจไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีได้ เช่น เจ้า
มรดกทําพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้คู่สมรส เป็นนิติกรรมที่ไม่ได้ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือ
ศีลธรรมอันดี แต่ต่อมาปรากฏว่าคู่สมรสนั้นปกปิดหลักฐานที่ใช้มัดตัวผู้ฆ่าเจ้ามรดก ดังนี้การใช้
สิทธิตามพินัยกรรมย่อมขัดต่อหลักสุจริตคดีครอบครัว
๒.6 เป็นหลักกฎหมายทั่วไปที่เป็นมาตรฐานความเป็นธรรมในสังคม
เนื่องจากหลักสุจริตเป็นบทบัญญัติที่เป็นประตูแห่งศีลธรรมของระบบกฎหมายแพ่ง หลัก
สุจริตจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการนําเอาหลักมาตรฐานศีลธรรมในแต่ละยุคสมัย ของแต่ละสังคม มา
ทําให้ปรากฏในเป็นรูปธรรมโดยคําพิพากษาของศาล
๖
บทที่ ๓
รูปแบบที่สําคัญของหลักสุจริต
๓.๑ หลัก Exceptio doli
หลักการนี้ใช้เป็นข้อต่อสู้พิเศษ ยกเว้นความรับผิดตามสัญญาของจําเลยในระบบกฎหมาย
หนี้ของโรมัน โดยหลักการนี้เป็นการนําเอาแนวความคิดเรื่องความเป็นธรรมหรือ เอควิตี้ (Equity)
ตั้งเป็นข้อยกเว้นผ่อนคลายความเคร่งครัดของตัวบทกฎหมาย โดยเน้นว่าความสุจริตเป็นข้อยกเว้น
ของบทบั ญญัติทั้งปวง โดยตั้งอยู่ บนพื้นฐานแนวคิ ดของอริสโตเติ้น (Aristotle) และซิเซโร (Cicero)
ซึ่งมีแนวความคิดว่า กฎหมายเป็นหลักการทั่วไปใช้ปรับกับกรณีทั้งหลาย แต่อาจมีปัญหาการปรับ
ในกรณีเฉพาะเรื่องได้ แต่ด้วยกฎหมายโดยตัวมันเอง คือเหตุผลอันปราศจากกิเลส คือเหตุผลที่ถูกต้อง
ดังนั้นกฎหมายย่อมเป็นธรรมเสมอเมื่อเกิดความไม่เป็นธรรมในการปรับใช้ ตัวบทกฎหมายย่อม
อนุญาตให้นําหลักความเป็นธรรมเข้ามาปรุงแต่งกฎหมายได้
ในทางปฏิบัติมีการใช้หลักการนี้ในการพิจารณาคดีเกี่ยวกับสัญญาใน ๒ รูปแบบ คือ
๓.๑.๑ หลักสุจริตในสัญญาฝ่ายเดียว
ในระบบกฎหมายหนี้โรมัน กําหนดให้สัญญาที่มีการชําระหนี้อยู่ฝ่ายเดียวเป็นหนี้เคร่งครัด
ตามกฎหมาย การบังคับจะเป็นไปตามถ้อยคําข้อตกลงในสัญญาอย่างเคร่งครัด แม้ข้อตกลงจะถูก
ทําขึ้นโดยสําคัญผิด โดยถูกฉ้อฉล หรือข่มขู่ สัญญาฝ่ายเดียวนี้ได้แก่สัญญาให้ยืมเงิน ต่อมาได้มีการ
นําหลักสุจริตมาเยียวยา กรณีที่ลูกหนี้อ้างว่าสัญญาเกิดโดยกลฉ้อฉล หรือโดยคู่สัญญาถูกข่มขู่ หรือ
โดยคู่สัญญาสําคัญผิด praetor จะนําหลัก exception doli บรรจุในบทสรุปคําฟ้อง เรียกว่า
รูปแบบคําฟ้องฉ้อฉล ซึ่งศาลที่ได้รับเลือกมามีอํานาจใช้หลักความเป็นธรรมเข้ามาวินิจฉัยคดีได้
โดยไม่ต้องยึดติดกับตัวอักษรตามสัญญา แต่สามารถพิจารณาหาเจตนาที่แท้จริง หรือความหมาย
ที่แท้จริงแห่งสัญญาได้ด้วย
๓.๑.๒ หลักสุจริตในสัญญาสองฝ่าย
สัญญาสองฝ่ายเป็นสัญญาที่อาศัยความยินยอมของคู่สัญญา เป็นสัญญาที่ไม่ต้องทําตาม
แบบที่เคร่งครัด ในช่วงแรกของการกําเนิดสัญญาที่ไม่เคร่งครัดตามแบบ มีแนวคิดเริ่มที่จะให้
คู่สัญญาไม่จําต้องยึดติดอยู่กับรูปแบบวิธีฟ้องร้องที่เคร่งครัดตามแบบอีก และได้ให้การวินิจฉัยคดี
เป็นไปตามหลักสุจริตเป็นธรรม โดยไม่จําต้องยึดอยู่กับกฎหมายลายลักษณ์อักษร จึงได้กําหนด
รูปแบบฟ้องร้องคดีแบบสุจริตขึ้น อันเป็นรูปแบบของหลักสุจริตในสัญญาสองฝ่ายโดยให้ใช้กับ
สั ญ ญาสองฝ่ า ยในกฎหมายโรมั น ได้ แ ก่ สั ญ ญาซื้ อ ขาย สั ญ ญาเช่ า ทรั พ ย์ สั ญ ญาห้ า งหุ้ น ส่ ว น
และสัญญาตัวแทน รูปแบบวิธีพิจารณานี้ ศาลมีอํานาจที่จะพิจารณาโดยเพ่งเล็งเจตนาที่แท้จริง
ของคู่สัญญา โดยไม่ยึดติดที่จะพิจารณาแค่ตามตัวอักษรหรือข้อตกลงในสัญญา และศาลจะพิพากษา
ให้ คู่ ค วามปฏิ บั ติ ต่ อ กั น ไปตามหลั ก ความเป็ น ธรรม ที่ ส อดคล้ อ งกั บ มาตรฐานศี ล ธรรมอั น ดี
วัฒนธรรม ประเพณีในสมัยนั้น
๗
4
กิตติศักดิ์ หน้า ๑๒๓
๑๐
๓.๔ หลักความรับผิดก่อนสัญญา
(pre – contractual fault : culpa in contrahendo)
แนวคิ ด ของหลั ก การนี้มี ว่ า ในระหว่ า ง การเจรจาต่ อ รองเพื่ อ ทํ า สั ญ ญา คู่ สั ญ ญาควร
กระทําด้วยความซื่อสัตย์และไว้วางใจซึ่งกันและกันโดยไม่คํานึงว่าสัญญาจะได้มีการทําขึ้นหรือไม่
ดังนั้นหากในช่วงเจรจาต่อรองทําสัญญา และการเจรจาล้มเหลว เนื่องจากการที่คู่เจรจาฝ่ายหนึ่ง
แสดงออกให้คู่เจรจาอีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจว่า เขามีความประสงค์ทําสัญญาจริง แต่ความเป็นจริงเขาไม่
มีความประสงค์ เมื่อสัญญาไม่เกิดขึ้น ฝ่ายที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงโดยมุ่งหวังจะทําสัญญา ย่อมได้รับความ
เสียหาย ฝ่ายที่ไม่สุจริตต้องรับผิดชอบ
ความเสี ย หายที่ ต้ อ งชดใช้ ต ามหลั ก ดั ง กล่ า วจํ า กั ด เฉพาะค่ า ใช้ จ่ า ยและการสู ญ เสี ย
ที่เกี่ยวกับ การเจรจาเท่านั้น เช่น ค่าเดินทาง ค่าทําแผนงาน ค่าทนาย เป็นต้น รวมทั้งค่าเสีย
โอกาสที่ดีกว่าที่จะไปทําสัญญากับคู่สัญญาอื่นอีกด้วย ความรับผิดดังกล่าว มีเฉพาะการเจรจาทํา
สัญญาโดยไม่สุจริต ทําให้การเจรจาทําสัญญานั้นไม่ประสบความสําเร็จเท่านั้น
ในปัจจุบันหลักการนี้ได้มีการขยายขอบเขตออกไป ให้รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลที่สําคัญต่อ
การตัดสินใจในการทําสัญญาด้วย กล่าวคือหากคู่เจรจาปกปิดข้อมูลดังกล่าว ทําให้คู่สัญญาอีกฝ่าย
หนึ่ ง ไม่ ท ราบข้ อ มู ล สํ า คั ญ อั น มี ผ ลต่ อ การตั ด สิ น ใจและด้ ว ยความไม่ รู้ ไ ด้ เ ข้ า ทํ า สั ญ ญาขึ้ น เมื่ อ
ภายหลังได้รู้ข้อมูลดังกล่าวและการไม่รู้ข้อมูลที่ถูกปกปิดนั้นทําให้คู่สัญญาที่ไม่รู้ได้รับความเสียหาย
คู่สัญญาฝ่ายนั้นมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายได้
๓.๕ รูปแบบการใช้สิทธิในทางไม่ชอบ (Abuse of right ; abus d’un droit)
หลักการใช้สิทธิโดยไม่ชอบ มีจุดมุ่งหมายเพื่อควบคุมการใช้สิทธิของบุคคลไม่ให้ทําความ
เสียหายแก่บุคคลอื่น อันเป็นแนวคิดสังคมนิยม (The Socialist Conception) เพื่อเป็นการจํากัด
สิทธิของปัจเจกชนโดยการควบคุมการใช้สิทธิของบุคคลนั้นต้องตระหนักถึงผลประโยชน์ของสังคม
อันเป็นไปตามแนวคิดของ Louis Josserand ที่กล่าวว่า “การใช้สิทธิของบุคคลต้องถูกควบคุม
โดยเจตนารมณ์ของสังคมตามหลักนิติรัฐ ซึ่งกําหนดสิทธินั้นให้บุคคล กฎหมายนั้นกําหนดสิทธิเพื่อ
ประโยชน์ของสังคม ไม่ใช่กําหนดเพื่อประโยชน์ส่วนบุคคล” ศาลฝรั่งเศสได้พัฒนาหลักกฎหมาย
ที่ทําให้เกิดความเป็นธรรมที่มีลักษณะทั่วไป (จากบทบัญญัติมาตรา 1382 ในเรื่องละเมิด)
อันมีลักษณะเป็นหลักศีลธรรม (Moral basic) ในการวินิจฉัยว่าพฤติกรรมใดเป็นการใช้สิทธิในทาง
มิชอบ ซึ่งจะเป็น การกระทําอันเป็นละเมิดหรือไม่ (committed a fault) ศาลฝรั่งเศสได้ยอมรับ
มาตรฐานที่เป็นธรรมอันสอดคล้องกับผลประโยชน์ของสังคมเข้ามาวินิจฉัย ตามแต่กรณีๆ ไป ทําให้
เห็นว่าไม่มีความจําเป็นใดๆที่ต้องบัญญัตินิยามของคําว่า fault ให้ชัดเจนในกฎหมายละเมิดว่า
การกระทําใดๆบ้างเป็นความผิดที่ต้องชดใช้ความเสียหาย
หลักเกณฑ์ที่ศาลฝรั่งเศสใช้วินิจฉัย คือการใช้สิทธิโดยมีเจตนาไม่สุจริต (maliclousimtention)
ทําให้บุคคลเสียหาย คือ เป็นการจงใจกลั่นแกล้งทําให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย และศาลฝรั่งเศส
ยังตีความไปถึงกรณีแม้ไม่มุ่งร้าย แต่หากกระทําไปโดยไม่ระวัง ก็ถือว่าเป็นการจงใจต้องรับผิดใน
การกระทําเช่นกัน นอกจากนี้การใช้สิทธิโดยไม่คํานึงถึงบุคคลอื่นในสังคม เช่นการใช้สิทธิที่ตน
๑๑
ไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร แต่กลับทําให้ผู้อื่นเดือดร้อนหรือการใช้สิทธินั้นจะได้รับประโยชน์อยู่
บ้าง แต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่สังคม หรือการใช้สิทธิที่ฝ่าฝืนต่อความรู้สึกของคนทั่วไป ล้วน
เป็นการใช้สิทธิโดยไม่คํานึกถึงประโยชน์ส่วนรวม หากก่อให้เกิดความเสียหายย่อมเป็นความผิด
(fault) ซึ่งผู้ใช้สิทธิต้องรับผิดชอบ
๑๒
บทที่ ๔
หลักสุจริตในกฎหมายต่างประเทศที่สําคัญ
ในภาคพื้นยุโรปซึ่งใช้ระบบประมวลกฎหมายล้วนมีรากฐานทางกฎหมายมาจากระบบ
กฎหมายโรมันทั้งสิ้น เมื่อมีการจัดทําประมวลกฎหมายขึ้นมาใช้ในหลายๆประเทศ ได้มีการนําหลัก
สุ จ ริ ต มาบั ญ ญั ติ ไ ว้ ใ นตั ว บทกฎหมาย และได้ พั ฒ นาการใช้ จ นเป็ น ลั ก ษณะเฉพาะของระบบ
กฎหมายในแต่ละประเทศนั้นๆ
๔.๑ หลักสุจริตในประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมัน
บทบัญญัติที่เป็นแม่บทคือ มาตรา ๒๔๒ มีเนื้อความว่า
“the debtor is obliged to perform in such a maner as good faith requires ,
regard being paid to general practice”
“ ลูกหนี้ต้องปฏิบัติการให้เป็นไปตามหลักสุจริต ทั้งนี้จะต้องคํานึงถึงปกติประเพณีด้วย”
แม้เนื้อหาของมาตรา ๒๔๒ จะเป็นเพียงการกําหนดให้ลูกหนี้ต้องปฏิบัติชําระหนี้โดยสุจริต
เท่านั้น แต่ในแนวคิดของ ศาลเยอรมัน ได้นําเอาหลักกฎหมายธรรมชาติ และหลักสิทธิมนุษย์ชน
มาใช้ผ่าน การตีความ (judicial interpretation) ตัวบท อันเป็นการปรับใช้หลักสุจริตให้เกิดความ
เป็นธรรมแก่กรณีต่างๆ ได้แก่
4.1.๑ กรณีที่นําหลักสุจริตมากําหนดหน้าที่เพิ่มเติมแก่คู่สัญญา
กรณีแรก โจทก์เป็นผู้เช่าตึกทํากิจการเกี่ยวกับ jewelry จําเลยเป็นผู้ให้เช่า เป็นเจ้าของตึก
๒ ห้อง หลังจากจําเลยให้โจทก์เช่าประกอบการแล้ว จําเลยได้นําตึกอีกหลังให้ผู้ประกอบการ
jewelry เช่า โจทก์ฟ้องให้จําเลยเลิกสัญญาเช่ารายนี้ ศาลเยอรมันตัดสินว่า ผู้ให้เช่ามีสัญญาเช่า
โดยปริยาย (implied promise) ที่จะไม่ให้ผู้อื่นที่ทํากิจการเดียวกับโจทก์มาเช่า แม้ในสัญญาจะ
ไม่ได้กําหนดไว้ก็ตาม
กรณีต่อไปเป็นกรณีที่ผู้ซื้อที่ดินทําการซื้อที่ดินในราคาสูงกว่าปกติ เนื่องจากทําเลที่ตั้ง
สามารถชมทัศนียภาพได้อย่างชัดเจน ต่อมาผู้ขายที่ดินจะทําการก่อสร้างอาคารขึ้นมาใหม่บดบัง
ทัศนียภาพของที่ดิน ในกรณีนี้ศาลเยอรมันกําหนดให้เจ้าของที่ดินห้ามทําการก่อสร้างอาคารบดบัง
ทัศนียภาพ ทั้งที่ไม่ได้กําหนดไว้ในสัญญา
กรณี ข้ า งต้ น เป็ น เรื่ อ งที่ ศ าลเยอรมั น ใช้ บ ทบั ญ ญั ติ มาตรา ๒๔๒ อย่ า งอิ ส ระ ค้ น หา
เจตนารมณ์ของสัญญาเพื่อกําหนดสิทธิหน้าที่เพิ่มเติม นอกเหนือจากที่คู่สัญญาได้ตกลงกันไว้
4.1.๒ กรณีนําหลักสุจริตมาปรับใช้กับเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง
ศาลเยอรมันได้นําหลักสุจริตในมาตรา ๒๔๒ มาแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงผลของสัญญา
ซึ่งเป็นการนําแนวคิด Clausula rebus sic stantibus เข้ามาปรับใช้ให้เกิดความเป็นธรรมใน
กรณี ที่ เ กิ ด สถานการณ์ พิ เ ศษนอกเหนื อ ความคาดหมายขณะทํ า สั ญ ญาขึ้ น ซึ่ ง หากบั ง คั บ ตาม
ข้อตกลงเดิมจะทําให้เกิดภาระอันหนักหน่วงแก่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่ง ศาลจึงเข้ามาแก้ไขสัญญาใหม่
๑๓
๔.๒ หลักสุจริตในประมวลกฎหมายแพ่งสวิส
หลักสุจริตถูกนํามาบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งสวิส ในบทบัญญัติทั่วไปในมาตรา ๒
ความว่า “ Every person is bound to exercise his rights and fulfill his obligations
according to the principle of good faith.
The law does not sanction the evident abuse of man’s right.”
“ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี ในการชําระหนี้ก็ดี ท่านว่าบุคคลทุกคนต้องทําการโดยสุจริต
การใช้สิทธิโดยไม่ชอบโดยชัดแจ้ง ย่อมไม่ได้รับความช่วยเหลือจากกฎหมาย”
บทบัญญัติในวรรคหนึ่งเป็นเรื่องการใช้สิทธิโดยสุจริต อันเป็นแนวทางกว้างๆ ส่วนในวรรค
สอง เป็นกรณีการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต กฎหมายห้ามการกระทําเช่นนี้และไม่รับรองบังคับให้ ใน
วรรคนี้ทําหน้าที่ขยายความของการใช้สิทธิโดยสุจริตให้มีความกระจ่างขึ้น ในทางปฏิบัติศาลสวิส
นําบทบัญญัตินี้มาใช้น้อยมาก ศาลจะเน้นว่าจะใช้เฉพาะกรณีมี่บทบัญญัติเฉพาะเรื่องปรับใช้
เท่านั้น คือ นํามาใช้อย่างจํากัดกรณียกเว้น อย่างจําเป็นเท่านั้น เพราะหากนํามาใช้มากเกินไปก็จะ
ทํ า ให้ ผู้ พิ พ ากษามี ค วามรู้ สึ ก ว่ า ได้ วิ นิ จ ฉั ย โดยใช้ ห ลั ก กฎหมายที่ น อกเหนื อ จากบทบั ญ ญั ติ ใ น
กฎหมาย ซึ่งทําให้ระบบกฎหมายขาดความแน่นอนศาลสวิสได้นําหลักสุจริตมาปรับใช้แก่กรณี
ต่างๆหลายกรณี เช่น
- ใช้ในกรณีค้นหาเจตนารมณ์ข องคู่สัญญา เป็นการกําหนดหน้าที่เ พิ่มเติมให้คู่สัญ ญา
ปฏิบัติ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของสัญญา เช่น คดี PerinoV.Zeuchมีข้อเท็จจริงว่า จําเลย
เป็นผู้ขายกิจการให้แก่โจทก์และตกลงกันว่าจะไม่ประกอบการค้าแข่งในระยะเวลาที่กําหนด
แต่จําเลยกลับไปเข้าร่วมงานกับบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งประกอบกิจการเช่นเดียวกับโจทก์ กรณีนี้ศาล
สวิสถือว่า ผู้ขายกิจการกระทําโดยไม่สุจริต หรือ คดี Dr.Weber V.Heymann ซึ่งมีข้อเท็จจริงว่า
โจทก์เป็นแพทย์เข้าทําสัญญากับเจ้าของกิจการโรงพยาบาล โดยตกลงค่าตอบแทนเป็นเงินเดือน
และค่าตอบแทนอีกส่วนหนึ่งคิดจากค่าธรรมเนียมจํานวนคนไข้ที่เข้ารับบริการ เมื่อโจทก์เข้า
ปฏิบัติงานพบว่าอุปกรณ์การรักษาพยาบาลที่ต้องใช้ ไม่พร้อมให้บริการครบถ้วน จํานวนคนไข้ที่
เข้ า รั บ การรั ก ษาจึ ง น้ อ ย ทํ า ให้ ค่ าตอบแทนที่ คิ ด จากจํ า นวนคนไข้ น้ อ ยลง โจทก์ จึ ง ฟ้ อ งเรี ย ก
ค่าเสียหาย ศาลวินิจฉัยว่า พฤติกรรมของจําเลยที่ปล่อยให้อุปกรณ์การทํางานของโจทก์มีความ
ไม่พร้อม เท่ากับจําเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาโดยสุจริต ให้จําเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ โดยศาล
ได้วางหลักไว้ว่า คู่สัญญาต้องไม่ทําการใดๆ ที่ทําให้อีกฝ่ายเสียประโยชน์ในอันที่เขาควรจะได้จาก
การปฏิบัติตามสัญญา
- ใช้ในกรณีระงับหน้าที่ของคู่สัญญาเมื่อ มีพฤติการณ์พิเศษเกิดขึ้น เป็นกรณีที่ศาลใช้
มาตรา ๒ มาปรับใช้ในกรณีที่คู่สัญญาได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงพฤติการณ์ต่างๆที่
เกิดขึ้น เช่น ในคดี St. JEAN Brewery C.D. V.Hindenberger มีข้อเท็จจริงว่า โจทก์ให้จําเลยเช่า
กิจการทําร้านอาหารเป็นเวลา ๑๐ ปี พร้อมกับเงื่อนไขว่าจําเลยต้องซื้อเบียร์จากโรงงานโจทก์
ตลอดอายุสัญญาเช่า ตามราคาที่ตกลงกัน ต่อมาเกิดภาวะสงคราม ทําให้ราคาเบียร์สูงขึ้นมาก
ในระยะแรกจําเลยไม่คัดค้านการขึ้นราคา แต่ภายหลังคัดค้าน โจทก์จึงงดส่งเบียร์ให้จําเลย แต่ฟ้องให้
จําเลยซื้อเบียร์จากโจทก์ตามสัญญา จําเลยให้การปฏิเสธอ้างว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้จําเลยไม่
๑๕
และต้องใช้สิทธิในทางที่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของสังคม ศาลฝรั่งเศสได้ปรับใช้หลักสุจริต
ในหลายกรณี เช่น
- หลักสุจริตในขั้นตอนการเจรจาตกลงทําสัญญา ศาลฝรั่งเศสได้พัฒนาหลักความรับผิด
ก่อนสัญญา โดยอาศัยบทบัญญัติมาตรา ๑๓๘๒ ซึ่งจะทําให้คู่สัญญาในขึ้นตอนการเจรจาต้อง
ปฏิ บั ติ ด้ ว ยความซื่ อ สั ต ย์ สุ จ ริ ต แม้ ไ ม่ มี บ ทบั ญ ญั ติ ใ ดๆ ในประมวลกฎหมายแพ่ ง ฝรั่ ง เศส
ที่กําหนดให้ปฏิบัติตามหลักสุจริตในขึ้นตอนเจรจาทําสัญญาก็ตาม เช่น กรณีจําเลยเป็นผู้แทน
จําหน่ายเครื่องจักรที่ทําในสหรัฐอเมริกาแต่เพียงผู้เดียว โจทก์แสดงความประสงค์จะซื้อเครื่องจักร
จากจํ า เลย ในระหว่ า งการเจรจา โจทก์ แ ละจํ า เลยได้ เ ดิ น ทางไปสหรั ฐ อเมริ ก าดู ช นิ ด ต่ า งๆ
ของเครื่อ งจักร เพื่อ จะได้ นํามาประกอบการตั ดสิน ใจของโจทก์ แต่เมื่อ โจทก์ ตกลงใจซื้ อ และ
ขอข้อมูลเพิ่มเติมเครื่องจักรที่โจทก์จะซื้อจากจําเลย จําเลยกลับไม่ตอบรับคําขอ และได้ระงับสั่ง
เครื่องจักรจากอเมริกา หลังจากนั้นเพียงสองสัปดาห์ จําเลยทําสัญญาที่จะส่งมอบเครื่องจักร
ดั ง กล่ า วให้ แ ก่ อี ก บริ ษั ท หนึ่ ง ซึ่ ง เป็ น คู่ แ ข่ ง ของโจทก์ โดยมี ข้ อ ตกลงว่ า ห้ า มจํ า เลยจํ า หน่ า ย
เครื่องจักรชนิดนั้นอีก ภายใน ๔๒ เดือน โจทก์จึงมาฟ้องเรียกค่าเสียหาย ศาลฝรั่งเศสได้นําหลัก
สุจริตมาปรับใช้และตัดสินว่า การที่จําเลยระงับการส่งสินค้าให้โจทก์ ทําให้โจทก์ได้รับความ
เสียหาย เป็นการทําให้การเจรจานั้นไม่บรรลุผลทั้งที่ใกล้บรรลุข้อตกลงตามสัญญาแล้ว โดยจําเลย
ตระหนักดีว่าโจทก์ได้เสียค่าใช้จ่ายในการเจรจาต่อรองไปแล้วจํานวนมาก การกระทําของจําเลย
เป็ น การกระทํ า ผิ ด ต่ อ หลั ก สุ จ ริ ต ในทางการค้ า และเป็ น ละเมิ ด ต้ อ งชดใช้ ค่ า สิ น ไหมทดแทน
หลักความรับผิดก่อนสัญญานี้ เป็นส่วนหนึ่งของหลักการใช้สิทธิโดยไม่ชอบ เพราะการเจรจา
ต่อรองเป็นการใช้สิทธิอย่างหนึ่ง หากก่อให้เกิดความเสียหาย ย่อมเป็นการใช้สิทธิโดยไม่ชอบ
(Abuse of rights)
- หลักสุจริตในขึ้นตอนการเจรจาทําสัญญา ในขั้นตอนนี้ศาลฝรั่งเศสจะไม่เข้าไปแทรกแซง
จะปล่อยให้คู่สัญญาตกลงกันอย่างไรก็ปฏิบัติตามนั้น ตามหลักสัญญาย่อมเป็นตามสัญญา เว้นแต่
ในการปฏิบัติตามสัญญา ก่อให้เกิดความเสียหาย จะถือเสมือนละเมิด และอนุญาตให้เรียกร้อง
ค่าเสียหายจากการใช้สิทธิตามสัญญาอันเป็นความผิดตามมาตรา ๑๓๓๒ ศาลฝรั่งเศสใช้หลักการ
ละเมิดตามมาตรา ๑๓๓๒ ในการวินิจฉัยว่าการใช้สิทธิไม่ว่าจะตามกฎหมายหรือสัญญา ไม่ว่าจะ
จงใจหรือประมาท หากเกิดความเสียหายย่อมต้องรับผิดในค่าเสียหายนั้น เช่นกรณีสัญญาซื้อขาย
รถที่มีเงื่อนไขว่าหากผู้ขายไม่ส่งมอบรถ ผู้ซื้อมีสิทธิเรียกเงินมัดจําคืนจากผู้ขาย ต่อมาปรากฏว่า
ราคาการผลิตรถยนต์สูงขึ้นเกินกว่าที่ผู้ขายจะขายได้ ทําให้ผู้ขายขาดทุนจึงขอให้ผู้ซื้อเอาเงินมัดจํา
คืนไป กรณีนี้ศาลฝรั่งเศสถือว่าเป็นการใช้สิทธิโดยไม่ชอบ
- นอกจากหลักการใช้สิ ทธิ โ ดยไม่ช อบจะถูก นํามาใช้ ในการพิ จารณาคดีส่ วนแพ่ งแล้ ว
ศาลฝรั่งเศสยังนํามาปรับใช้กับกฎหมายวิธีพิจารณาความ ซึ่งศาลวินิจฉัยว่า การใช้สิทธิฟ้องร้อง
หรือการใช้สิทธิต่อสู้คดี หรือการใช้สิทธิอุทธรณ์ หรือในการบังคับคดีอาจเป็นการใช้สิทธิโดย
ไม่ชอบได้ หากมีความเสียหายเกิดขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นการกระทําละเมิดตามมาตรา ๑๓๘๒
๑๗
บทที่ ๕
ขอบเขตแนวความหมายการใช้สิทธิโดยสุจริตในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทย
บทบัญญัติของหลักสุจริตเป็นกฎหมายยุติธรรม (jus aequum) ที่พัฒนามาตั้งแต่สมัย
โรมันและได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบกฎหมายแพ่งของไทย โดยบัญญัติไว้ในบรรพ ๑ อันเป็น
บรรพทั่วๆไป ซึ่งบัญญัติในเรื่องกรณีการใช้สิทธิของบุคคล ไม่ว่าเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายหรือ
ตามสัญญา ล้วนต้องกระทําโดยสุจริต ในการบัญญัติมีต้นแบบมาจากกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
สวิส มาตรา ๒5 โดยในมาตรา ๒ วรรค ๑ นํามาบัญญัติเป็นบทบัญญัติมาตรา ๕ และมาตรา ๒
วรรค ๒ นํามาบัญญัติเป็นบทบัญญัติ มาตรา ๔๒๑ ซึ่งทั้งสองมาตราถือเป็นแม่บทของหลักสุจริต
ในประมวลกฎหมายแพ่งของไทย
ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ปรากฏคําว่า “สุจริต” มีอยู่ในบทบัญญัติกรณีต่างๆ
มากมายหลายที่ เช่ น ในกรณี ก ารคื น ทรั พ ย์ ที่ ไ ด้ ม าโดยลาภมิ ค วรได้ ในส่ ว นที่ เ ป็ น จํ า นวนเงิ น
ในมาตรา ๔๑๒ นั้น กรณีจะต้องคืนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าในขณะคืนผู้นั้นได้ทราบข้อเท็จจริงที่ว่าตน
มีสิทธิได้รับหรือไม่ ถ้ารู้ว่าไม่มีสิทธิที่จะรับแล้วยังขืนรับไว้อีกก็เป็นการไม่สุจริต ในกรณีตามมาตรา
๑๓๑๒ สร้างโรงเรือนรุกล้ําเข้าไปในที่ดินของบุคคลอื่น ความหมายของคําว่า สุจริต ในกรณีนี้ มีคํา
พิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๕๑ /๒๕๑๗ กล่าวว่า หมายถึงการสร้างโรงเรือนรุกล้ําเข้าไปในที่ของผู้อื่น
โดยเข้าใจว่าเป็นที่ดินของตนหรือของผู้อื่นที่ตนมีสิทธิสร้างได้ กรณีย่อมเป็นการสร้างโรงเรือนรุก
ล้ําเข้าไปในที่ดินของผู้อื่น โดยสุจริต แต่ถ้าสร้างโดยทราบอยู่แล้วว่าไม่ใช่ที่ดินของตนหรือของผู้อื่น
ที่ตนไม่มีสิทธิปลูกสร้าง กรณีเช่นนี้ก็เป็นการสร้างโรงเรือนลุกล้ําเข้าไปในที่ดินของบุคคลอื่นโดยไม่สุจริต
กรณีเหล่านี้จะเป็นเรื่องสุจริตเฉพาะเรื่องซึ่งใช้ในความหมายแคบๆ เฉพาะกรณีที่คู่กรณีที่
เกี่ยวข้องนั้นมีความรู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริงเรื่องนั้นหรือไม่เท่านั้น หากได้ทราบย่อมเป็นบุคคลผู้ไม่
สุจริตในเรื่องนั้นๆ ซึ่งถือว่าเป็นเพียงแง่มุมหนึ่งของหลักสุจริตเท่านั้น แต่หลักสุจริตตามที่ปรากฏ
ในมาตรา ๕ เป็นหลักกฎหมายทั่วไป ซึ่งเป็นรากฐานของกฎหมายแพ่งทั้งระบบ ความมุ่งหมาย
ของการบัญญัติมาตรา ๕ ตามรายงานการประชุมร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้กล่าว
ไว้ว่า “เพื่อวางหลักในการที่บุคคลจะได้ปฏิบัติต่อกันให้เป็นไปโดยความเรียบร้อย ให้ถือเอาความ
สุจริตเป็นหลัก”6 เกี่ยวกับหลักสุจริตในมาตรา ๕ นี้ มีนักกฎหมายให้ความเห็นถึง ความสําคัญ
ความหมาย วัตถุประสงค์การใช้และขอบเขตการใช้ไว้หลายท่านเช่น ดร.ปรีดี เกษมทรัพย์ ได้กล่าว
ว่า “หลักสุจริต” เป็นรากฐานของกฎหมายแพ่งไทยทั้งระบบ จุดหมายหรือเจตนารมณ์เพื่อสร้าง
ความเป็นธรรมให้แก่สังคม โดยนําหลักมาตรฐานศีลธรรมทางสังคมมาเป็นกลไกควบคุมความ
ประพฤติของบุคคลในสังคมทุกๆกรณีที่จะประพฤติปฏิบัติต่อกัน และการใช้สิทธิโดยสุจริตนี้ เป็น
มาตรฐานทั่วไปที่ กฎหมายได้บัญญัติไว้ให้เป็นเครื่องวัดความประพฤติของมนุษย์ในกรณีต่างๆ ว่า
การกระทําเหล่านั้นอยู่ในกรอบที่ระบบกฎหมายนั้นจะสนับสนุนหรือประณามหรือไม่ มาตรฐานที่
5
ปรีดี เกษมทรัพย์, หนังสืออนุสรณ์พระราชทานงานศพ รศ.ดร.สมศักดิ์ สิงหพันธุ์ , หน้า ๗
6
รายงานการประชุมร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และบันทึกประกอบ (มาตรา ๑-๔๓) บทบัณฑิต ๒๐ (ตุลาคม ๒๕๗๕ : ๘๖๗)
๑๘
7
ปรีดี เกษมทรัพย์ ,หลักสุจริตในแง่กฎหมายเปรียบเทียบ, หน้า๗-๘
8
หยุด แสงอุทัย , รวมหมายเหตุท้ายฎีกา , หน้า ๔๑
๑๙
บทที่๖
ลักษณะแนวทางการปรับใช้หลักสุจริตของศาลไทย
บทบัญญัติการใช้สิทธิโดยสุจริตในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทย อันได้แก่
มาตรา ๕ ซึ่ ง เป็ น แม่ บ ทอยู่ ใ นบรรพทั่ ว ไป และมาตรา ๔๒๑ เป็ น บทสื บ ต่ อ จากมาตรา ๕
จากการศึกษาคําพิพากษาศาลฎีกา พบแนวการปรับใช้สอดคล้องกับวิธีการบัญญัติข้างต้น คือ
ศาลฎี ก าไทยยอมรั บ ว่ า หลั ก เกณฑ์ ทั่ ว ไปคื อ การใช้ สิ ท ธิ ห รื อ อ้ า งสิ ท ธิ ต ามที่ ก ฎหมายรั บ รอง
ตามปกติเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต เว้นแต่มีพฤติการณ์เจตนาหรือจงใจกลั่นแกล้งทําให้บุคคลอื่น
เสียหาย (ตามมาตรา ๔๒๑) อย่างไรก็ตามศาลฎีกาได้ยอมรับหลักกฎหมายทั่วไป เรื่องกฎหมาย
ปิดปากโดยความประพฤติ ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งของการปรับใช้หลักสุจริตมาใช้ในการพิพากษาคดีด้วย
จากการศึกษาพอจะสรุปแนวทางโดยรวมในการปรับใช้หลักสุจริตของศาลฎีกาได้หลาย
กรณี ดังต่อไปนี้
กรณี แ รก ใช้ เ ป็ น กฎหมายปิ ด ปาก เพื่ อ ป้ อ งกั น พฤติ ก รรมที่ มี ก ารอ้ า งกฎหมายเพื่ อ
ประโยชน์ตนเอง แนวทางดังกล่าวมีแนวคิดพื้นฐานมาจากหลัก Estoppel by conduct หรือหลัก
กฎหมายปิดปากโดยความประพฤติ ตามกลักกฎหมายโรมันที่ว่า “ บุคคลย่อ มต้องห้ามไม่ให้
กระทําการใดๆอันขัดต่อการกระทําครั้งก่อนของตน ” เช่น คําพิพากษาฎีกาที่ ๓๗๔๘/๒๕๓๓
มีข้อเท็จจริงว่า โจทก์ฟ้องว่าในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗ จําเลยตกลงขายรถยนต์ให้โจทก์และรับ
เงินไปครบถ้วนแล้ว วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๒๗ จําเลยส่งมอบรถให้โจทก์ และรับว่าจะมอบให้โจทก์
ไปดําเนินการโอนทางทะเบียนเอง โดยจะนําทะเบียนรถมามอบให้ในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๒๗
แต่จําเลยปฏิเสธ ขอให้บังคับจําเลยโอนทะเบียนรถให้จําเลยขาดนัดยื่นคําให้การและขาดนัด
พิจารณา แต่มีผู้ร้องสอดร้องสอดว่า ในวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์จําเลยได้ขายรถยนต์ให้ผู้ร้องสอด
จําเลยได้รับเงินไปครบถ้วนพร้อมมอบทะเบียนรถให้ผู้ร้องสอดไปดําเนินการโอน โดยรับว่าจะนํา
รถมาให้ในภายหลัง โจทก์ทราบการซื้อขายระหว่างผู้ร้องสอดและจําเลยมาตลอด เมื่อผู้ร้องสอด
ไปยื่นคําร้องขอเปลี่ยนแปลงชื่อในทะเบียนรถโจทก์ไปยื่นคําร้องคัดค้าน ผู้ร้องสอดขอให้โจทก์ถอน
คําคัดค้านและส่งมอบรถแก่ผู้ร้องสอดคดีมีประเด็นว่า ระหว่างผู้ร้องสอดกับโจทก์ใครมีสิทธิใน
รถดีกว่ากัน ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ในวันที่ผู้ร้องนําเงินค่ารถมาชําระแก่จําเลย โจทก์อยู่ด้วย
และรับเงินค่ารถดังกล่าวไปจากจําเลย การที่โจทก์รู้แต่ต้นว่าจําเลยจะต้องโอนรถคันพิพาทให้แก่ผู้
ร้องสอด แต่กลับรับรถพิพาทไว้ก่อนจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ครอบครองรถพิพาทโดยสุจริต ส่วนขอที่
โจทก์อ้างว่า โจทก์ได้ซื้อรถจากจําเลยเสร็จเด็ดขาด กรรมสิทธิ์ในรถโอนมาเป็นของโจทก์แล้ว
จําเลยไม่มีสิทธินํารถของโจทก์ออกขาย ศาลฎีกาตัดสินว่า การที่โจทก์ไม่แจ้งเรื่องนี้ให้แก่ผู้ร้อง
สอดทราบตั้งแต่เวลาที่ผู้ร้องสอดทําสัญญาซื้อขายรถและชําระราคาแก่จําเลย ทําให้ผู้ร้องสอด
สําคัญผิดว่า จําเลยมีกรรมสิทธิ์สามารถขายรถได้ การที่โจทก์มาอ้างว่ารถตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ
โจทก์ก่อน จําเลยไม่มีสิทธิโอนรถให้แก่ผู้ร้องสอด เป็นเรื่องไม่ชอบตามธรรนองคลองธรรม เป็นการ
ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ผู้ร้องสอดมีสิทธิในรถดีกว่าโจทก์ จากคําพิพากษาศาลฎีกาเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า
โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในรถมาก่อนผู้ร้องสอดจริงตามข้ออ้าง โจทก์ย่อมมีสิทธิตาม ป.พ.พ.มาตรา
๒๐
ไม่ชอบด้วยทํานองคลองธรรม จึงเป็นทํานองว่าเมื่อโจทก์กระทําโดยจงใจให้ผู้ซื้อหลงผิดดังกล่าว
ย่อมเข้าหลัก กฎหมายปิดปาก เพราะเป็นเรื่องการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
กรณีที่สอง ใช้เป็นหลักกฎหมายทั่วไปวินิจฉัยพฤติกรรมอันไม่ชอบหรือฉ้อฉลของคนใน
สังคม กรณีดังกล่าวมีแนวคิดพื้นฐานมาจากหลักที่ว่า “ไม่มีผู้ใดอาจถือเอาประโยชน์จากการ
กระทําผิดหรือมิชอบของตนได้” (Nullus CommodumCaperepotest de injuriasuapropria)
มีจุดมุ่งหมายมิให้ผู้กระทําผิดได้รับประโยชน์จากการกระทําผิดของตนเอง ซึ่งหากปล่อยให้ผู้กระทํา
มิชอบได้รับประโยชน์จากการกระทํานั้น ย่อมเป็นเสมือนการส่งเสริมให้คนทําการฉ้อฉลคดโกงกัน
แนวคิดดังกล่าวนี้สอดคล้องกับหลักกฎหมายปิดปาก และศาลฎีกาได้นํามาเป็นหลักวินิจฉัยใน
กรณีต่างๆ ได้แก่
คําพิพากษาฎีกาที่ ๑๕๓๘/๒๕๐๘ โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จําเลยออกจากเรือนซึ่งโจทก์รับ
ซื้อฝากจากจําเลยและพ้นกําหนดไถ่ถอนแล้ว จําเลยต่อสู้ว่าได้ติดต่อขอไถ่คืนภายในกําหนดแล้ว
แต่โจทก์เบี่ยงบ่ายจนพ้นกําหนดอายุขายฝากทั้งเมื่อพ้นกําหนดแล้วจําเลยขอไถ่ โจทก์ก็ยินยอม
และรับเงินสินไถ่บางส่วนไปแล้ว ดังนี้ ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ดังข้อต่อสู้ของจําเลย กรรมสิทธิ์ในเรือน
พิพาทก็จะต้องกลับคืนไปเป็นของจําเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 492
โจทก์ไม่มีอํานาจฟ้องขับไล่ คดีจึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามข้อต่อสู้ของจําเลยต่อไป จะงดสืบพยาน
เสียมิชอบ
คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๗๘๕/๒๕๓๐ รถยนต์ของกลางเป็นรถยนต์ที่สามีจําเลยเช่าซื้อจาก
ผู้ร้องเมื่อจํ าเลยนําไปใช้ ในการกระทําผิ ดต่อ พระราชบัญ ญัติป่ าไม้ค รั้งแรกผู้ร้ อ งได้ร้องขอคื น
รถยนต์มาแล้วก็นํามาให้จําเลยและสามีจําเลยครอบครองต่อไปแทนที่จะเลิกสัญญาพฤติการณ์
ดังกล่าวแสดงว่าผู้ร้องประสงค์เพียงค่าเช่าซื้อเท่านั้น จําเลยและสามีจําเลยจะนํารถยนต์ไปใช้
อย่างไรก็ได้จําเลยนํารถยนต์ของกลางไปใช้งานในการกระทําผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้อีก จึงเข้า
ลักษณะผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทําผิดของจําเลย ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนรถยนต์ของ
กลางการโอนหุ้นชนิดระบุชื่อลงในใบหุ้นที่ยังไม่ได้จดแจ้งการโอนลงในทะเบียนผู้ถือหุ้นจะนํามาใช้
ยันแก่บริษัทไม่ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1129 วรรคสามนั้น หมายถึงกรณีที่ผู้โอนและผู้รับโอน
โอนหุ้นกันเองโดยบริษัทมิได้ร่วมรู้เห็นอยู่ด้วยกฎหมายจึงบัญญัติให้ถือตามที่ปรากฏอยู่ในทะเบียน
ผู้ถือหุ้น
คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๕๓๑/๒๕๓๘ ขณะโอนขายหุ้นกัน ส. ผู้รับโอนเป็นกรรมการผู้มี
อํานาจกระทําการแทนบริษัทจําเลย แม้ ส.จะรับโอนหุ้นไว้ในฐานะส่วนตัวก็ต้องถือว่าบริษัทจําเลย
ร่วมรู้เห็นและยินยอมให้มีการโอนหุ้นแล้ว บริษัทจําเลยจึงมีหน้าที่ต้องดําเนินการจดแจ้งการโอน
ลงในทะเบียนผู้ถือหุ้นโดยไม่จําต้องให้ผู้โอนหรือผู้รับโอนคนหนึ่งคนใดแจ้งให้ดําเนินการอีก การที่
บริษัทจําเลยไม่ดําเนินการจดแจ้งการโอนลงในทะเบียนผู้ถือหุ้นจึงเป็นความผิดของบริษัทจําเลย
เอง นอกจากนี้ยังเป็นที่เห็นได้ว่า การที่บริษัทจําเลยมีหน้าที่จดแจ้งการโอนลงในทะเบียนผู้ถือหุ้น
แต่กลับละเลยเพิกเฉยไม่ จดแจ้งการโอนแล้วจะกลับมายกเหตุที่ไม่มีการจดแจ้งการโอนขึ้นเป็น
ข้ออ้างเพื่อให้ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้โอนรับผิดเช่นนี้ย่อมเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตตาม ป.พ.พ. มาตรา 5
๒๒
อีกด้วย บริษัทจําเลยหรือผู้คัดค้านจะเรียกให้ผู้ร้องชําระเงินค่าหุ้นที่ยังค้างชําระโดยอ้างเหตุว่าการ
โอนหุ้นไม่สมบูรณ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1129 วรรคสาม ไม่ได้
คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๓๗๔/๒๕๓๒ การที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของบัญชีกระแสรายวันเป็น
ผู้จัดหรือรู้เห็นในการจัดให้มีการทําปลอมเช็คพิพาท โดยใช้วิธีการลอกทาบแบบลายมือชื่อโจทก์
แล้วให้ผู้อื่นนําเช็คพิพาทมาเบิกเงินในบัญชีกระแสรายวันของโจทก์จากธนาคารจําเลยนั้น ถือได้ว่า
โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตในการนําเช็คพิพาทปลอมมาเรียกร้องให้จําเลยรับผิดใช้เงินตามเช็คโดย
อ้างว่าลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายเป็นลายมือชื่อปลอม โจทก์จึงไม่มีอํานาจฟ้อง
กรณีที่สาม ใช้เป็นหลักกฎหมายทั่วไปในการป้องกันพฤติกรรมการเข้าถือประโยชน์ทั้งๆที่
รู้อยู่แล้วว่า ตนเองไม่มีสิทธิ์ กรณีนี้ศาลได้นําความหมายของคําว่า “สุจริต ” ตามแนวฎีกาของไทย
มาเป็ น หลั ก ในการวิ นิ จ ฉั ย ดั ง นั้ น การใช้ สิ ท ธิ ทั้ ง ที่ ต นได้ ท ราบว่ า ข้ อ เท็ จ จริ ง เป็ น อย่ า งไรแล้ ว
กรณีดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๗๑/๒๕๓๔ ขณะรับโอนเช็คพิพาทโจทก์รู้ข้อตกลงระหว่างจําเลย
ที่ 1 กับที่ 2 อยู่แล้วว่าจําเลยทั้งสองได้ตกลงกันให้เช็คพิพาทเป็นเพียงเช็คค้ําประกันเงินกู้ มิให้นํา
เช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินและไม่ให้โอนไปยังผู้อื่น การที่โจทก์รับโอนเช็คพิพาทไว้จากจําเลยที่ 2
ทั้ง ๆ ที่ทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวเช่นนี้ จึงเท่ากับโจทก์กระทําโดยไม่สุจริต ถือได้ว่าโจทก์รับโอน
เช็คไว้โดยคบคิดกันฉ้อฉลกับจําเลยที่ 2 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 916 ประกอบด้วยมาตรา 989
โจทก์จึงไม่มีอํานาจนําเช็คพิพาทมาฟ้องเรียกเก็บเงินจากจําเลยที่ 1 จําเลยที่ 1 ผู้สั่งจ่ายไม่ต้องรับ
ผิดชดใช้เงินตามเช็คพิพาทให้โจทก์.
คํ า พิ พ ากษาศาลฎี ก าที่ ๒๘๔๔/๒๕๑๖ โจทก์ จ ดทะเบี ย นเครื่ อ งหมายการค้ า คํ า ว่ า
TELLME อยู่ภายในวงรีสําหรับสินค้าจําพวก 48 ทั้งจําพวก ได้แก่ เครื่องหอม เครื่องสําอางโดย
โจทก์ได้คิดประดิษฐ์ขึ้นใช้กับสินค้าของโจทก์ไว้ก่อน ต่อมาจําเลยจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคํา
ว่า TELLME สําหรับสินค้าจําพวก 38 ทั้งจําพวก ได้แก่ เครื่องนุ่งห่มและแต่งกายเครื่องหมาย
การค้าของโจทก์จําเลยเป็นคําประดิษฐ์ใช้ภาษาอังกฤษซึ่งเป็นอักษรโรมันคําเดียวกัน ต่างกันแต่
เพียงว่าของโจทก์เป็นตัวเขียน ของจําเลยเป็นตัวพิมพ์ แม้ของโจทก์จะอยู่ในวงกลมรูปรีของจําเลย
ไม่มีเส้นกรอบ ก็หาใช่เป็นข้อแตกต่างที่เห็นเด่นชัดอย่างใด ไม่สําเนียงที่เรียกขานไม่ว่าจะเป็น
ตัวพิมพ์หรือตัวเขียนก็อ่านว่า “เทล”มีอย่างเดียวกัน และปรากฏว่าสินค้าเครื่องหมายการค้าของ
โจทก์เป็นที่แพร่หลาย โจทก์ได้แพร่ภาพโฆษณาทางโทรทัศน์ ภาพยนตร์ เอกสารสิ่งพิมพ์และ
กระจายเสียงทางวิทยุซึ่งจําเลยมิได้ทําเลย ดังนี้ถือว่าเครื่องหมายการค้าทั้งสองมีลักษณะเหมือน
หรือคล้ายกันอันอาจทําให้ประชาชนหลงผิด แม้จําเลยจะจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของ
จําเลยในสินค้าต่างจําพวกกับสินค้าของโจทก์ ซึ่งใช้เครื่องหมายการค้านั้นอยู่ก่อนแล้ว ก็ย่อมทําให้
โจทก์เสียหายเพราะผู้ซื้อหรือใช้สินค้าอาจหลงผิดว่าสินค้าของจําเลยเป็นสินค้าของโจทก์ผลิตขึ้น
การกระทําของจําเลยจึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต โจทก์มีสิทธิห้ามจําเลยใช้เครื่องหมายการค้า
ดังกล่าวต่อไปได้
กรณีที่สี่ ใช้เป็นหลักการใช้สิทธิโดยไม่ชอบ (Abuse of right) เพื่อป้องกันพฤติการณ์
การใช้สิทธิที่ทําให้บุคคลเสียหาย กรณีดังกล่าวเป็นที่เห็นได้ชัดเจนว่ามีแนวทางเดียวกับหลักการใช้
๒๓
บทที่ ๗
บทสรุปและข้อเสนอแนะ
บทสรุป
นักนิติศาสตร์โรมันเป็นผู้เริ่มศึกษาและพัฒนาแนวคิดสุจริต เนื่องจากการพิจารณาคดีที่ยึด
ติดกับกฎหมายที่เคร่งครัดกับรูปแบบพิธี ทําให้เกิดช่องว่าง ในกรณีที่คู่สัญญาถูกฉ้อฉล ข่มขู่ให้ทํา
สัญญา นักกฎหมายโรมันได้สังเคราะห์แนวคิดนามธรรมเรื่องความเป็นธรรม ความยุติธรรม ความ
ซื่อสัตย์ ความไว้วางใจ ผสมกับแนวคิดประเพณีของชาวโรมัน จนเกิดเป็นหลักกฎหมายทั่วไปเรื่องหลัก
สุจริต และนําเข้าแก้ไขปัญหา โดยกํากําหนดเป็นรูปแบบคําฟ้องฉ้อฉลเพื่อให้ผู้พิพากษาสามารถใช้
หลักสุจริตเข้าคลี่คลายความเคร่งครัดของตัวบทกฎหมายและสัญญาฝ่ายเดียวได้ และยังเปิด
โอกาสให้จําเลยอ้างว่าถูกฉ้อฉล หรือข่มขู่ให้เข้าทําสัญญาสามารถยกเรื่องดังกล่าวขึ้นปฏิเสธความ
รับผิดตามสัญญาสองฝ่ายได้ โดยกําหนดเป็นรูปแบบคําฟ้องสุจริต เพื่อให้ผู้พิพากษาต้องพิจารณา
ข้อกล่าวอ้างของจําเลย หลักสุจริตจึงเป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันการ
กระทําที่ คดโกง ฉ้อฉล ทุจริต หรือการกระทําที่ไม่ชอบต่างๆ ในสังคมโรมัน จากลักษณะดังกล่าว
ทําให้หลักสุจริตถือเป็นกฎหมายที่เป็นรากฐานของระบบกฎหมายแพ่งทั้งระบบ ทั้งยังมีนัยเป็น
การประกาศเจตนารมณ์ แ ก่ สั ง คมว่ า บุ ค คลในสั ง คมต้ อ งปฏิ บั ติ ต่ อ กั น ด้ ว ยความซื่ อ สั ต ย์ แ ละ
ไว้วางใจต่อกั น จึงจะได้รั บการคุ้มครองทางกฎหมาย หลักสุจริตจึ งเป็น เป็นกฎแห่งศีลธรรม
จัดเป็นกฎหมายยุติธรรม มีเนื้อหาที่กว้างขวาง เป็นอุดมคติ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้พิพากษาสามารถ
นํ า เอาหลั ก ความเป็ น ธรรมและจารี ต ประเพณี เข้ า แก้ ไ ขปั ญ หาข้ อ ขั ด ข้ อ งในการใช้ ก ฎหมาย
ได้ตลอดเวลา หลักสุจริตจึงมีฐานะที่สูงกว่าบทกฎหมายเฉพาะเรื่อง หากการใช้บทกฎหมายเฉพาะ
เรื่องทําให้ไม่เกิดความเป็นธรรม ผู้พิพากษาย่อมสามารถใช้หลักสุจริตเข้าปรับแก้กฎหมาย เพื่อให้
การปรับใช้ตัวบทกฎหมายสามารถอํานวยความยุติธรรมได้อย่างแท้จริง การปรับใช้หลักสุจริต
เข้ากับข้อเท็จจริงต่างๆทําให้เกิดรูปแบบการใช้หลักสุจริต จนเกิดเป็นหลักกฎหมายทั่วไปขึ้น ๕ กรณี
๑ หลัก Exceptio doli ในกฎหมายแพ่งโรมัน เป็นข้อต่อสู้ของจําเลยในกรณีที่เจ้าหนี้
คดีแพ่งฟ้องให้ลูกหนี้ชําระหนี้ตามสัญญาฝ่ายเดียว มีผลให้ลูกหนี้อาจไม่ต้องรับผิดตามสัญญา
หากพบว่าเจ้าหนี้ใช้กลฉ้อฉล หรือหลอกให้ลูกหนี้เข้าทําสัญญา ข้อต่อสู้ดังกล่าวอยู่ในรูปแบบ
คําฟ้องคดีฉ้อฉล เป็นการป้องกันการใช้สิทธิที่ฝ่าฝืนหลักสุจริตในกฎหมายหนี้โรมัน โดยถือหลัก
ความเป็นธรรมเป็นข้อยกเว้นบทบัญญัติกฎหมายทั้งปวง
๒ หลักกฎหมายปิดปากโดยความประพฤติ (Estopel by Conduct) หมายถึง การที่คู่สัญญา
ไม่อาจใช้สิทธิซึ่งตนมีอยู่ได้ ถ้าหากพฤติกรรมในปัจจุบันเป็นพฤติกรรมที่ขัดแย้งในอดีต แล้วต่อมา
จะยกอ้างเอาความประพฤตินั้นเป็นข้อแก้ตัว เพื่อให้ตนเองได้รับประโยชน์นั้นย่อมไม่เป็นธรรม
เป็นการปิดปากผู้ที่ได้กระทําการที่ขัดแย้งกับพฤติกรรมในอดีตของตนไม่ให้ถือเอาประโยชน์จาก
ข้ออ้างนั้นได้
๒๕
9
คําพิพากษาของศาลแขวงนครปฐม คดีหมายเลขแดงที่ ๒๖๓๗/๒๕๕๑
10
คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๗ คดีหมายเลขแดงที่ ๑๖๑๔/๒๕๕๓
๒๘
11
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๓ ถ้าส่วนหนึ่งส่วนใดของนิติกรรมเป็นโมฆะ นิติกรรมนั้นย่อมเป็นโมฆะทั้งสิ้น เว้น
แต่จะพึงสันนิษฐานได้ตามพฤติการณ์แห่งกรณีว่า คู่กรณีเจตนาจะให้ส่วนที่ไม่เป็นโมฆะนั้น แยกออกจากส่วนที่เป็นโมฆะได้
๒๙
ข้อเสนอแนะ
เนื่องจากหลักสุจริต เป็นกฎหมายยุติธรรม (Jus aeguum)ซึ่งธรรมชาติของบทบัญญัติเป็น
นามธรรม มีลักษณะเป็นอุดมคติการใช้กฎหมาย และการประพฤติปฏิบัติต่อกันของบุคคลในสังคม
มีแตกต่างจากบทบัญญัติทั่วไป (jus strictum) ซึ่งเป็นบทบัญญัติกฎที่มีความชัดเจน บัญญัติถึง
เงื่อนไขของการปฏิบัติต่อกันและผลของการปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กฎหมายกําหนด การปรับใช้หลัก
สุจริตจึงมีความแตกต่างจากการปรับใช้บทกฎหมายในบททั่วไปอื่นๆ และด้วยเหตุที่บทบัญญัติ
ของหลักสุจริตมีเนื้อหากว้างๆ เป็นเสมือนประตูให้ผู้พิพากษาไปค้นหาความยุติธรรม เพื่อนํามา
ปรับใช้กับกรณีที่บทบัญญัติของกฎหมายที่ปรากฏไม่สามารถให้คําตอบที่เป็นธรรมหรือการบังคับ
ตามบทบัญญัติของกฎหมายจะก่อให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบกัน การนําหลักสุจริตมาปรับใช้จึง
ต้องมีมุมมองการใช้กฎหมายเพื่อความเป็นธรรม เพื่อสถาปนาความเป็นอยู่ร่วมกันของบุคคลใน
สังคมให้ปฏิบัติต่อกันอย่างจริงใจ และตรงไปตรงมาต่อกัน มากกว่าจะใช้กฎหมายเพื่อตอบปัญหา
ประเด็นตามคําคู่ความที่ปรากฏเฉพาะหน้า ซึ่งการปรับใช้หลักสุจริตของศาลฎีกาไทย ได้ปรับใช้ไป
ในขอบวัตถุประสงค์ของหลักสุจริตและมีแนวทางของการปรับใช้เช่นเดียวกับที่ปรากฏในประเทศ
ภาคพื้นยุโรป ผู้วิจัยเห็นว่าสังคมไทยมีความซับซ้อนมากขึ้น บุคคลอาศัยความไม่รู้กฎหมายและ
ความไม่ เ ท่า เที ยมกั นทางเศรษฐกิ จ ของบุ ค คลอื่ น มาเป็น ช่ องทางในการเอารั ด เอาเปรีย บกั น
ศาลซึ่งเป็นองค์กรที่มีห น้าที่ใช้กฎหมายเพื่อสร้ างสมดุลของสังคม จึงควรที่จะส่งเสริมความรู้
ส่งเสริมการใช้เรื่องหลักสุจริต โดยผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะดังนี้
๑ .การส่งเสริมความรู้เรื่องหลักสุจริต ผู้วิจัยเห็นว่า ควรมีการจัดสัมมนาให้ความรู้เรื่อง
หลักสุจริต ให้ผู้พิพากษาเข้าใจบทบาทของตนกับ หลักสุจริตในฐานะที่เป็นกฎหมายทั่วไป ซึ่งผู้ร่าง
กฎหมายมีวัตถุประสงค์ให้ผู้พิพากษาเท่านั้นที่มีอํานาจใช้และชี้ขาดถึงขอบเขตของกฎหมายเรื่องนี้
ในการให้ ก ารศึ ก ษาพึ ง ให้ ค วามรู้ ถึ ง ประวั ติ ศ าสตร์ ข องหลั ก สุ จ ริ ต แนวทางการใช้ ข องศาล
ต่างประเทศ เปรียบเทียบกับศาลฎีกาของไทย
๒. ส่งเสริมให้มีการนําหลักสุจริตไปใช้ เพื่ออุดช่องว่างของกฎหมาย เพื่อควบคุมพฤติกรรม
ของบุคคลในสังคมให้อยู่ในระเบียบของการปฏิบัติต่อกันอย่างตรงไปตรงมาและจริงใจต่อกัน
โดยให้สํานักงานอธิบดีภาคต่างๆ ออกระเบียบขอตรวจร่างที่ผู้พิพากษาตัดสินคดีด้วยหลักสุจริต
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๕ และ ให้สํานักงานอธิบดีภาค ในแต่ละภาคเป็น
หน่วยในการรวบรวมคําพิพากษาที่ตัดสินดังกล่าว และเผยแพร่ให้ผู้พิพากษาในทุกภาคทราบถึง
แนวทางการใช้หลักสุจริต ซึ่งวิธีการดังกล่าวจะทําให้ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น เห็นแนวทางการนํา
หลักสุจริตมาปรับใช้กับข้อเท็จจริงในแง่มุมต่างๆกัน ทําให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์และเกิดการ
เรียนรู้ร่วมกัน อันนํามาซึ่งการพัฒนาการปรับใช้หลักสุจริตอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว เพราะการ
รอการปรับใช้จากคําพิพากษาศาลฎีกาเพียงอย่างเดียว อาจไม่ครอบคลุมสถานการณ์ความไม่เป็น
ธรรมที่เกิดขึ้นอย่างหลากหลายได้
๓. ส่งเสริมให้มีการเผยแพร่หลักสุจริตต่อสังคม โดยให้สํานักงานศาลยุติธรรมรวบรวม
แนวทางการปรั บใช้ หลั กสุจริต และนํ าออกเผยแพร่ แก่ สั งคม ทั้ งในภาคของราชการและภาคเอกชน
๓๐
เพื่อให้ตระหนักรู้ร่วมกันถึงผลร้ายที่เกิดจากการปฏิบัติฝ่าฝืนต่อหลักสุจริต โดยมีเป้าประสงค์ให้
บุคคลในสังคมมีความระมัดระวังในการปฏิบัติต่อกันด้วยความไว้วางใจอย่างตรงไปตรงมา อันจะ
เป็นผลให้สังคมมีความสงบสุข ซึ่งเป็นเป้าหมายของการใช้กฎหมายอย่างแท้จริง
บรรณานุกรม
ตําแหน่งปัจจุบัน ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลจังหวัดตลิ่งชัน
ประสบการณ์ทํางาน ผู้พิพากษาศาลจังหวัดสิงห์บุรี
ผู้พิพากษาศาลอาญาธนบุรี
ผู้พิพากษาศาลแขวงนครปฐม
ผู้พิพากษาศาลจังหวัดนครปฐม
ผู้พิพากษาศาลจังหวัดตลิ่งชัน