Professional Documents
Culture Documents
2.หนังสือ การจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน The STUDIES Model
2.หนังสือ การจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน The STUDIES Model
การปรับปรุงรายวิชา
คณะครุ ศ าสตร์ มหาวิท ยาลัย นครพนม ได้ป รับปรุ งหลัก สู ตรครุ ศาสตรบัณ ฑิ ต พ.ศ.2556 เป็ น
หลัก สู ตรครุ ศาสตรบัณ ฑิ ต ปรับปรุ ง พ.ศ. 2561 และปรับเปลี่ยนรายวิชา การออกแบบการจัดการเรี ยนรู ้
(Instructional Design and Management) เป็ น รายวิ ช าก ารจั ด ก ารเรี ยน รู ้ แ ล ะ ก ารจั ด ก ารชั้ น เรี ย น
(Instructional and Classroom Management) รายละเอี ย ดการปรั บ ปรุ ง คื อ ชื่ อ รายวิ ช า รหั ส วิ ช า จ านวน
ชัว่ โมงในการจัดการเรี ยนการสอน และคาอธิ บายรายวิชา ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพื่อให้สาระและ
สมรรถนะในการเรี ยนรู ้สอดคล้องกับมาตรฐานการจัดการเรี ยนรู ้ที่คุรุสภากาหนด หนังสื อการจัดการเรี ยนรู ้
และการจัดการชั้นเรี ยน : The STUDIES Model เพื่อตอบสนองความต้องการในการเรี ยนรู ้ดงั กล่าว
ตรวจสอบและทบทวน
สื บค้นมาตรฐานวิชาชีพครู ตามข้อบังคับคุรุสภา มาตรฐานวิชาชีพ พ.ศ. 2556 มาตรฐานด้าน
ความรู ้และประสบการณ์วิชาชีพ มาตรฐานที่ 6 การจัดการเรี ยนรู ้และการจัดการชั้นเรี ยนนามากาหนด
จุดหมาย (Goals) ในการศึกษารายวิชาเพื่อการบรรลุมาตรฐานดังกล่าวนี้
Weblink
http://www.ksp.or.th/ksp2013/content/view.php?mid=136&did=1193
รู ปภาพสาหรับ The STUDIES Model พิจิตรา ธงพานิช
จุดหมายการเรียนรู้
จุดหมายการเรี ยนรู ้ (learning Goals) ความปรารถนาอยากเรี ยนรู ้ ความปรารถนาอาจมาจากบุคคล
ประสบการณ์ สถานการณ์ พิ เศษหรื อ อื่ น ๆ David Henry Feldman (อ้างถึ งในอารี สั ณ หฉวี 2546 : 140)
ศาสตราจารย์ส าขาจิต วิท ยาแห่ งมหาวิท ยาลัย ทัฟ ต์ เรี ยกสิ่ งที่ จุดประกายความปรารถนาที่ จะเรี ยนรู ้ น้ ี ว่า
ประสบการณ์ ต กผลึ ก (crystallizing experiences) ประสบการณ์ ป ระทับ ใจหรื อ ประสบการณ์ ต กผลึ ก นี้
จะเป็ นประสบการณ์ที่เป็ นจุดหักเหของชีวิต ถ้าความปรารถนาที่จะเรี ยนรู ้เกิดขึ้นหลังประสบการณ์ตกผลึก
ก็จะต้องมีการพัฒนาฟูมฟั ก Alfred North Whitehead (อ้างถึงในอารี สัณหฉวี 2546 : 141) กล่าวว่าในการ
พัฒ นาฟู ม ฟั ก มี 3 ขั้น เรี ย กว่ า จัง หวะของการศึ ก ษา (rhythm of education) ขั้น ที่ ห นึ่ ง คื อ ระยะหลงรั ก
(romance) ระยะนี้ จะเป็ นความรื่ นเริ ง มี ชี วิ ต ชี ว าที่ จ ะเรี ยนรู ้ ขั้ น ที่ ส อง คื อ ระยะของความแม่ น ย า
(precision)ระยะนี้ จะต้องศึกษาฝึ กหัดฝึ กซ้อมให้ถูกต้องแม่นยาและขั้นที่สาม คือระยะของความคล่องแคล่ว
สามารถนาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตได้ (generalization) การกาหนดจุ ดหมายการเรี ยนรู ้เป็ นแนวทางหนึ่ ง ใน
การพัฒนาปัญญา ซึ่งอาจวางแผนเพื่อพัฒนาปัญญาด้านใดด้านหนึ่งมาศึกษาและฝึ กหัดในการวางแผนพัฒนา
ปั ญญานี้ผทู ้ ี่ถนัดด้านมิติอาจทาเป็ นเส้นเวลาหรื อรู ปภาพผูท้ ี่ถนัดด้านมนุษยสัมพันธ์อาจจะเล่าเรื่ องให้เพื่อน
สนิทฟัง เป็ นต้น
พุทธิพิสัย ทักษะพิสัย
พิสยั
จิตพิสัย
คาศัพท์เดิม คาศัพท์ใหม่
1. ความรู ้ (Knowledge) 1. จา (Remembering)
2. ความเข้าใจ (Comprehension) 2. เข้าใจ (Understanding)
3. การนาไปใช้ (Application) 3. ประยุกต์ใช้ (Applying)
4. การวิเคราะห์ (Analysis) 4. วิเคราะห์ (Analysing)
5. การสังเคราะห์ (Synthesis) 5. ประเมินค่า (Evaluating)
6. การประเมินค่า (Evaluation) 6. คิดสร้างสรรค์ (Creating)
พฤติกรรมที่แสดงออกด้ านพุทธิพสิ ั ย
ในการประเมินด้านพุทธิพิสัย เพื่อให้เป็ นไปตามแนวทางจุดมุ่งหมายของบลูมที่ปรับเปลี่ยน
ข้างต้น ครู ตอ้ งทาความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะของพฤติกรรมที่ปรากฏเป็ นผลผลิตจากการมีความรู ้ความ
เข้าใจในสาระที่สอน นาเสนอคาสาคัญเกี่ยวกับการประเมินและพฤติกรรมผลผลิต ดังนี้
5. ประเมินค่า (Evaluating)
ตรวจสอบ (Checking) ค้นหา เขียนข้อเสนอแนะเพื่อให้เกิดการ
การจัดการเรี ยนรู ้และการจัดการชั้นเรี ยน : The STUDIES Model ผศ.ดร.พิจิตรา ธงพานิช 13
กระบวนการทางปัญญา คาสาคัญ พฤติกรรมและผลผลิต
ค้นหาความไม่สอดคล้องหรื อ ทดสอบ ปรับปรุ งเปลี่ยนแปลง
ความขัดแย้งภายในกระบวนการ
หรื อผลผลิต
วิจารณ์ (Critiquing) ตัดสิ น ตัดสิ นวิธีการ 2 วิธีวา่ วิธีไหนช่วย
ค้นหาความไม่สอดคล้อง แก้ปัญหาได้ดีที่สุด
ระหว่างผลผลิตและเกณฑ์
ภายนอก ค้นหาความเหมาะสม
ของกระบวนการที่มีปัญหา (เช่น
ตัดสิ นว่า 2 วิธี ว่าวิธีใดดีที่สุด)
6. สร้ างสรรค์ (Creating)
ทาให้เกิดขึ้น สมมติฐาน จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นสามารถ
(Generating) การได้ทางเลือก ตั้งสมมติฐานได้อย่างไร
หรื อสมมติฐานที่อยูบ่ นพื้นฐาน
องกฎเกณฑ์หรื อเหตุผล
วางแผน (Planning) การ ออกแบบ ออกแบบสร้างบ้านในฝัน
ดาเนินการตามกระบวนการจนสาเร็ จ เขียนบทละครโทรทัศน์
ผลผลิต (Producing) ก่อตั้ง นาเสนอแนวคิดใหม่ ๆ
สร้าง ประดิษฐ์ชิ้นงานที่สนใจ
จุดมุ่งหมายการศึกษาของมาร์ ซาโน
Marzano,R.,&Kendall,J.(2007) ได้พฒั นาการจัดกลุ่มพฤติกรรมการเรี ยนรู ้ข้ นึ ใหม่ แบ่งเป็ น
1) ระบบปัญญา(Cognitive System) 2) ระบบอภิปัญญา (Meta cognitive System) และ 3) ระบบตนเอง
(Self System) และได้จาแนกอนุกรมวิธานจุดมุ่งหมายทางการศึกษาเป็ น 6 ขั้น
ขั้นที่ 1 การดึงกลับคืนมา (Retrieval) ได้แก่ การระบุขอ้ ความได้ (Recognizing) การระลึกได้
(Recalling) และลงมือปฏิบตั ิได้ (Executing)
ขั้นที่ 2 ความเข้าใจ (Comprehension) ได้แก่ การบูรณาการ (Integration) และการทาให้เป็ น
สัญลักษณ์ (Symbolizing)
ขั้ น ที่ 3 การวิ เคราะห์ (Analysis) ได้ แ ก่ การจั บ คู่ ไ ด้ (Matching) แยกประเภทได้ (Classifying)
วิ เคราะห์ ค วามผิ ด พลาดได้ (Analyzing Error) ติ ด ตามได้ (Generalizing) และชี้ ให้ จ าเพาะเจาะจงได้
(Specifying)
ขั้นที่ 4 การนาความรู ้ไปใช้ (Knowledge Utilizing) ได้แก่ การตัดสิ นใจ (Decision Making)
การแก้ปัญหา (Problem Solving) การทดลองปฏิบตั ิ (Experimenting) และการสื บค้นต่อไปให้เกิดความ
เข้าใจที่ลึกซึ้ง (Investigating)
ขั้นที่ 5 อภิปัญญา (Meta-cognition) ได้แก่ การระบุจุดหมาย (Specifying Goals) การกากับติดตาม
กระบวนการ (Process Monitoring) การท าให้เกิ ดความชัดเจนในการก ากับ ติ ดตาม (Monitoring Clarity)
และการกากับติดตามตรวจสอบความถูกต้องชัดเจน (Monitoring Accuracy)
ขั้นที่ 6 การมีระบบความคิดของตนเอง (Self-System thinking) ได้แก่ การตรวจสอบประสิ ทธิภาพ
(Examining Efficacy) การตรวจสอบการตอบสนองทางอารมณ์ (Examining Emotional Response) และการ
ตรวจสอบแรงจูงใจ (Examining Motivation)
Marzano, (2000) ได้นาเสนอมิติใหม่ทางการศึกษาดังนี้
การจัดการเรี ยนรู ้และการจัดการชั้นเรี ยน : The STUDIES Model ผศ.ดร.พิจิตรา ธงพานิช 16
ตารางที่ 4 มิติใหม่ทางการศึกษา ระบบตนเอง
ระบบตนเอง (Self - System)
ความเชื่อเกี่ยวกับความสาคัญ ความเชื่อเกี่ยวกับประสิ ทธิภาพ อารมณ์ความรู ้สึกที่เกี่ยวพันกับ
ของความรู ้ (Beliefs About the (Beliefs About Efficacy) ความรู ้(Emotions Associated with
Importance of Knowledge) Knowledge )
Marzano, R., & Kendall, J.( 2001) นาเสนอระบบอภิปัญญา (Metacognitive System) เป็ นระบบที่
มุ่งสร้างให้ผเู ้ รี ยนเกิดการเรี ยนรู ้แบบนาตนเอง (Self – Directed Learning) ที่มุ่งให้ผูเ้ รี ยนควบคุมกากับดูแล
การปฏิ บ ัติภ าระงานชิ้ น งาน ตามเป้ าหมายที่ ก าหนด รวมถึ ง การตัดสิ น ใจเกี่ ย วกับ กลยุท ธ์ และข้อมู ล ที่
เกี่ยวข้องการติดตามดูแลปรับปรุ งปรับเปลี่ยนกลยุทธ์วิธีการต่าง ๆ ตามความจาเป็ นและเหมาะสมให้ภาระ
งานชิ้ น งานนั้นลุ ล่ วงตามภารกิ จ ซึ่ งสอดคล้องกับการปฏิ บัติหน้าที่ ครู แนวคิดเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายในด้าน
cognitive domain ตามที่ Marzano Taxonomyได้น าเสนอไว้เมื่ อ น ามาเปรี ย บเที ย บกับ Blooms Taxonomy
และ Marzano Taxonomy ได้ดงั นี้
การกาหนดจุดมุ่งหมายการเรียนการสอน
จุดมุ่งหมาย มี 2 ลักษณะ คือ
จุดมุ่งหมาย (goals) ที่มีลกั ษณะกว้าง ๆ ซึ่งเป็ นจุดมุ่งหมายที่ไม่สามารถวัด หรื อสังเกตได้ทนั ที
จุดมุ่งหมายที่มีลกั ษณะเฉพาะ สังเกตเห็นพฤติกรรมหรื อการปฏิบตั ิของผูเ้ รี ยนได้ บางครั้งเรี ยกว่า
จุดประสงค์การเรี ยนรู ้ (performance objective) จาแนกออกเป็ น 2 ประเภทใหญ่ คือ จุดประสงค์เพื่อ
พัฒนาศักยภาพ (potential performance) จุดประสงค์เพื่อพัฒนาบุคลิกภาพ (typical performance)
การเขียนจุดมุ่งหมายการเรี ยนรู ้ที่ชดั เจนสื่ อความหมายให้เข้าใจนัยเพียงหนึ่งเดียว
การระบุสมรรถภาพให้ชดั เจน ควรได้แสดงให้เห็นว่าเมื่อเรี ยนรู ้จบรายวิชาแล้วมีความสามารถที่
จะทาอะไรได้ โดยก่อนเรี ยนรู ้รายวิชานั้น ๆ ยังไม่สามารถทาได้
การเชื่อมโยงอดีตกับอนาคต ถ้าเป็ นไปได้เน้นย้ามโนทัศน์จากชั้นเรี ยนที่ผา่ นมาพยายามเชื่อมโยง
ให้เห็นความสัมพันธ์กบั มโนทัศน์ที่จะเรี ยนในอนาคต
จุดมุ่งหมายกับการทดสอบ ถ้าเราเขียนจุดมุ่งหมายได้ชดั เจนและครอบคลุมเนื้ อหาจะทาให้สร้าง
แบบทดสอบได้ง่าย ยังสามารถกาหนดกิจกรรมการเรี ยนการสอนได้เป็ นอย่างดี
การเขียนจุดมุ่งหมายตามหลัก ABCD
A แทน Audience หมายถึง ผูเ้ รี ยนที่แสดงพฤติกรรมตามจุดมุ่งหมายและกาหนดเวลา
B แทน Behavior หมายถึง พฤติกรรมที่คาดหวังจากผูเ้ รี ยนโดยเน้นพฤติกรรมที่สังเกตได้
C แทน Conditions หมายถึง สภาพการณ์หรื อเงื่อนไขที่ผเู ้ รี ยนจะต้องปฏิบตั ิหรื อแสดง
พฤติกรรมที่สามารถวัดได้
D แทน Degree หมายถึง ระดับหรื อเกณฑ์การวัดที่กาหนดขึ้นมาให้ผเู ้ รี ยนปฏิบตั ิ
การเขียนจุดมุ่งหมายตามหลัก SMART
1. S - Sensible & Specific จุดมุ่งหมายต้องเฉพาะเจาะจงชัดเจน จุดมุ่งหมายการเรี ยนการสอน
ที่ดีตอ้ งมีความเป็ นไปได้และชี้เฉพาะ
จุดมุ่งหมายการศึกษาอิงมาตรฐาน
Harris and Car (1996 รุ่ งนภา นุตราวงศ์, ผูแ้ ปล 2545: 14-16)ให้คาจากัดความของมาตรฐาน
เนื้อหา (content standard) และมาตรฐานการปฏิบตั ิของผูเ้ รี ยน (student performance standards) ดังนี้
มาตรฐานเนื้ อหา (content standard) ระบุองค์ความรู ้ที่สาคัญ ทักษะและพัฒนาการด้านจิตใจ ดังนี้
1. องค์ความรู ้ที่สาคัญ (essential knowledge) ระบุถึง แนวความคิด ประเด็นปัญหา ทางเลือก
กฎเกณฑ์ และความคิดรวบยอดในวิทยาการต่าง ๆ ที่สาคัญ ตัวอย่างเช่น
ผูเ้ รี ยนสามารถอธิบายช่วงเวลา และเหตุการณ์สาคัญในประวัติศาสตร์ และวิเคราะห์
ช่วงเวลาการเปลี่ยนแปลงในท้องถิ่น ชุมชน ในประทศและในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก
ผูเ้ รี ยนสามารถเข้าใจประวัติความเป็ นมา และโครงสร้างของภาษาอังกฤษ (ประโยค ย่อ
หน้า บทความ)
ผูเ้ รี ยนสามารถเข้าใจธรรมชาติและการทางานของเซลล์ ทั้งการทางานเป็ นเอกเทศและการ
ทางานร่ วมกันเป็ นระบบที่ซบั ซ้อน
2. ทักษะ (Skills) เป็ นวิธีการคิด การทางาน การสื่ อสาร และการศึกษาสารวจ ตัวอย่าง
ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการบรรยาย และอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
ใช้ระเบียบวิธีการทางสถิติในการเก็บรวบรวมข้อมูล ตีความ เปรี ยบเทียบ และสรุ ปผล
เกี่ยวกับเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ในสังคม
มาตรฐานการปฏิบัติของผู้เรียน
มาตรฐานการปฏิบตั ิ (student performance standards) จะบอกถึงคุณภาพ โดยที่มาตรฐานเนื้ อหา
จะระบุถึงสิ่ งใดที่ผเู ้ รี ยนควรรู ้ และทักษะใดที่ผเู ้ รี ยนควรทาได้ มาตรฐานการปฏิบตั ิจะบอกถึงระดับคุณภาพ
และระดับที่ผเู ้ รี ยนต้องรู ้หรื อต้องทาสิ่ งนั้นได้ ตัวอย่าง
กรณี ที่มาตรฐานเนื้ อหาระบุวา่ ผูเ้ รี ยนเรี ยนรู ้และเข้าใจข้อมูลจากสื่ อภาพ และบทอ่านจากสื่ อต่าง ๆ
อย่างหลากหลาย
มาตรฐานการปฏิบตั ิ อาจจะระบุวา่ ผูเ้ รี ยนควรอ่านหนังสื ออย่างน้อยที่สุด 25 เล่ม ต่อปี เลือกอ่าน
บทอ่านที่มีคุณภาพทั้งที่เป็ นเรื่ องอมตะ และเรื่ องราวที่ทนั สมัย จากหนังสื อวรรณกรรมสาหรับเด็ก หรื อจาก
แหล่งข้อมูลอื่น ๆ เช่น จาก นิตยสาร หนังสื อพิมพ์ หนังสื อเรี ยน และสื่ อเทคโนโลยี
Wiggins,G.(1994) จัดกลุ่มมาตรฐานการเรี ยนรู ้ไว้ 4 กลุ่ม คือ
1. มาตรฐานผลลัพ ธ์ ห รื อ ผลกระทบ (Impact) เป็ นมาตรฐานที่ ร ะบุ ผ ลที่ ต้อ งการจากการ
ปฏิบตั ิงานใดงานหนึ่งของผูเ้ รี ยน เช่น กาหนดให้ผเู ้ รี ยนกล่าวสุ นทรพจน์เพื่อให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งต่อ
ผูฟ้ ัง หรื อให้ผเู ้ รี ยนเขียนสื่ อสารกับกลุ่มเป้าหมายที่กาหนดเพื่อผลอย่างใดอย่างหนึ่ง หรื อให้ผเู ้ รี ยนใช้ความรู ้
ทางภูมิศาสตร์ในการวางแผนอนาคต เป็ นต้น
2. มาตรฐานกระบวนการ (Process) เป็ นมาตรฐานที่สะท้อนยุทธวิธี เทคนิค วิธีการที่เหมาะสม
ที่ใช้ในการปฏิบตั ิงาน เช่น มาตรฐานที่กาหนดให้ผูเ้ รี ยนกล่าวสุ นทรพจน์อย่างชัดเจน หรื อให้ผูเ้ รี ยนเขียน
สื่ อสารได้อย่างสละสลวยสัมพันธ์กนั หรื อให้ผเู ้ รี ยนใช้กระบวนการที่เหมาะสมในการสร้างหรื อปรับเปลี่ยน
กฎเกณฑ์
3. มาตรฐานเนื้อหา (content) เป็ นมาตรฐานที่ระบุเนื้ อหาสาระ ความคิดรวบยอด แนวความคิด
และข้อมูลต่าง ๆ เช่น ผูเ้ รี ยนรู ้สมบัติของสสาร มีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับการผลิต การจาหน่าย และความ
ต้องการของตลาด เป็ นต้น
4. มาตรฐานที่แสดงกฎหรื อรู ปแบบ (Rule or form) เป็ นมาตรฐานที่เกี่ยวกับสู ตร กฎเกณฑ์ซ่ ึ ง
มีรูปแบบเฉพาะ ปริ มาตร ปริ มาณ อัตราส่ วน ตัวอย่าง ผูเ้ รี ยนสร้างกราฟ ซึ่ งมีขอ้ มูลกากับและใช้สีได้อย่าง
ถูกต้อง มาตรฐานนี้ เกี่ยวข้องกับ เทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น ให้ผเู ้ รี ยนใช้คอมพิวเตอร์และเครื่ องมือสื่ อสาร
ต่าง ๆ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ
การวางแผนจัดการเรียนการสอนและการเรียนรู้
Joyce and Weil, (1996 : 334) อ้างว่า มีงานวิจยั จานวนไม่นอ้ ยที่ช้ ีให้เห็นว่า การสอนมุ่งเน้นการให้
ความรู ้สึกที่ลึกซึ้ ง ช่วยให้ผเู ้ รี ยนรู ้สึกว่ามีบทบาทในการเรี ยน ทาให้ผเู ้ รี ยนมีความตั้งใจในการเรี ยนรู ้และช่วย
ให้ผูเ้ รี ยนประสบความสาเร็ จในการเรี ยน การเรี ยนการสอนโดยจัดสาระและวิธี การให้ผูเ้ รี ยนอย่างดี ท้ งั
ทางด้า นเนื้ อ หา ความรู ้ และการให้ ผู ้เรี ย นใช้ เวลาเรี ย นอย่ า งมี ป ระสิ ท ธิ ภ าพ (academic learning) เป็ น
ประโยชน์ต่อการเรี ยนรู ้ ของผูเ้ รี ยนมากที่ สุด ผูเ้ รี ยนมี จิตใจจดจ่อกับสิ่ งที่ เรี ยนและช่ วยให้ผูเ้ รี ยนถึ ง 80 %
ประสบความส าเร็ จในการเรี ย น นอกจากนั้นยังพบว่า บรรยากาศการเรี ยนที่ ไม่ ป ลอดภัย ส าหรั บ ผูเ้ รี ย น
สามารถสกัด กั้น ความส าเร็ จของผูเ้ รี ย นได้ ดัง นั้น ผู ส้ อนจึ ง จาเป็ นต้อ งระมัดระวัง ไม่ ท าให้ ผูเ้ รี ย นเกิ ด
ความรู ้สึกในทางลบ เช่น การดุด่าว่ากล่าว แสดงความไม่พอใจ หรื อวิพากษ์วิจารณ์ผเู ้ รี ยน
การเรียนการสอนโดยตรง
การเรี ยนการสอนโดยตรงประกอบด้วยขั้นตอนสาคัญ ๆ 5 ขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 ขั้นนา
1.1 ผูส้ อนแจ้งวัตถุประสงค์ของบทเรี ยน และระดับการเรี ยนรู ้หรื อพฤติกรรมการเรี ยนรู ้ที่
คาดหวังแก่ผเู ้ รี ยน
1.2 ผูส้ อนชี้แจงสาระของบทเรี ยน และความสัมพันธ์กบั ความรู ้และประสบการณ์เดิมของ
ผูเ้ รี ยนอย่างคร่ าว ๆ
1.3 ผูส้ อนชี้ แจงกระบวนการเรี ยนรู ้ และหน้าที่ รับ ผิดชอบของผูเ้ รี ยนในการเรี ย นแต่ ล ะ
ขั้นตอน
ขั้นที่ 2 ขั้นนาเสนอบทเรี ยน
2.1 หากเป็ นการนาเสนอเนื้ อหาสาระ ข้อความรู ้ หรื อมโนทัศน์ ผูส้ อนควรกลัน่ กรองและ
สกัดคุ ณ สมบัติเฉพาะของมโนทัศ น์ เหล่ านั้น และนาเสนออย่างชัดเจน พร้ อมทั้งอธิ บ ายและยกตัวอย่าง
ประกอบให้ผเู ้ รี ยนเข้าใจ ต่อไปจึงสรุ ปคานิยามของมโนทัศน์เหล่านั้น
สาขาวิชา (แนวคิดหลัก)
การประยุกต์ใช้กบั ชีวิตจริ งช่วยเพิ่มความเชื่อมโยงสอดคล้องทฤษฎีและการปฏิบตั ิ
2. วางแผน (Planning)
4. การประเมิน (Assessment)
การประเมินหลังการสอน พัฒนาแผนการสอน
(Make Summative decisions) ออกแบบกลวิธีการสอน
กาหนดคุณลักษณะเฉพาะเครื่ องมือประเมิน
การออกแบบหรื อเลือกเครื่ องมือประเมิน
3. ดาเนินงาน (Implementation)
ภาพประกอบที่ 4 แนวคิดแบบจาลองขับเคลื่อนผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยน
ปรับจาก Chatterji,Madhabi. (2003) Designing and using tools for educational assessment. Pearson
Education, Inc. p.30
จากภาพประกอบที่ 4 ขั้น ที่ 1 ก าหนดจุ ด หมาย (Goal - Setting) ในการก าหนดจุ ด หมายของ
หลักสู ตรเสนอแนะให้นาทักษะในศตวรรษที่ 21 มากาหนดเป็ นจุดหมายของหลักสู ตร ส่ วนการกาหนด
สรุป
ตรวจสอบและทบทวน
ในการเขียนแผนจัดการเรี ยนรู ้ ข้ นั การกาหนดจุ ดหมายการเรี ยนรู ้ ปฏิ บตั ิ การเขียนแผนจัดการ
เรี ยนรู ้ดว้ ยการระบุสาระ มาตรฐานและตัวชี้ วดั จากหลักสู ตรที่ตรงกับสาขาวิชาเอกหรื อกลุ่มสาระที่สนใจ
แล้วเขียนข้อความที่แสดงว่าผูเ้ รี ยนจะเรี ยนรู ้อะไร และสามารถทาอะไรได้ ข้อความที่เป็ นความรู ้ โดยการ
ระบุ ความรู ้ในรู ปของสารสนเทศ (declarative knowledge) เช่น (ผูเ้ รี ยนมีความรู ้ความเข้าใจ เรื่ อง...) และ
ข้อความที่เป็ นการปฏิบตั ิ โดยการระบุทกั ษะ การปฏิ บตั ิ หรื อกระบวนการ(procedural knowledge) ( เช่น
ผูเ้ รี ยนสามารถที่จะปฏิบตั ิหรื อกระทา เรื่ อง...)
Weblink
https://thesecondprinciple.com/teaching-essentials/beyond-bloom-cognitive-taxonomy-revised/
https://eric.ed.gov/?id=EJ1161486
http://thekglawyerblog.com/ptblog/articles/from-bloom-to-marzano-a-new-taxonomy-of-educational-
objectives-for-plt/
https://static1.squarespace.com/static/53e7dd4fe4b0fb1fc62c318a/t/5a4a78ec71c10bd7b34f2880/1514830
066808/Sample_SLG_2.pdf
https://opentextbc.ca/teachinginadigitalage/chapter/11-8-step-six-set-appropriate-learning-goals/
https://sites.santarosa.k12.fl.us/files/LearningGoalsJan.pptxhttps://www.ode.state.or.us/wma/teachlearn/.../
slgg-guidance.doc
การวิเคราะห์ ภาระงาน
การวิ เคราะห์ ภ าระงานคล้า ยคลึ ง กัน กั บ การวิ เคราะห์ ง านแต่ มี ร ะดั บ ของการวิ เคราะห์ อ ยู่
ที่ รายละเอี ย ด-หน่ วยย่อย การวิเคราะห์ ง านท าได้โดยการจาแนกงานออกเป็ นภาระงานหลายภาระงาน
จากนั้ น การวิ เคราะห์ ภ าระงานก็ จ ะวิ เคราะห์ ย่ อ ยลงถึ ง ส่ ว นประกอบ โดยใช้ ค าถามในการวิ เคราะห์
เช่นเดียวกันกับการวิเคราะห์งาน ดังนี้
ส่วนประกอบของแต่ละภาระงานคืออะไร
ส่วนประกอบแต่ละส่วนสามารถนามาเรี ยงลาดับด้วยอะไรได้บา้ ง
ส่วนประกอบแต่ละส่วนต้องใช้เวลาเท่าไร
ขั้นตอนที่จาเป็ น (critical steps) คืออะไร และเส้นทางวิกฤติ (critical paths) คืออะไร
การวิเคราะห์ สาระการเรียนรู้
การวิเคราะห์สาระการเรี ยนรู ้จะเป็ นการจากัดขอบเขตของเรื่ องที่จะนามาสอนกับเรื่ องที่ไม่ตอ้ ง
นามาสอน ซึ่ งมีความสาคัญยิ่งในปั จจุบนั เนื่ องจากหนังสื อเรี ยนบรรจุสาระสนเทศไว้มากเกินกว่าที่จะนามา
สอนอย่างมีประสิ ทธิ ผลในระยะเวลาหนึ่ งภาคเรี ยน ควรยึดหลักว่า เพื่อเป็ นผลดีต่อ การเรี ยนรู ้จริ ง ๆ ของ
ผูเ้ รี ยน สื่ อการเรี ยนรู ้ที่จาเป็ นถึงแม้ว่าจะน้อยแต่ก็ดีกว่าสื่ อการเรี ยนรู ้ ขนาดใหญ่ แต่ไม่ได้ช่วยให้ประสบ
ความสาเร็จในการเรี ยน
วิเคราะห์สาระการเรี ยนรู ้ เนื้ อหาสาระที่ช่วยให้ผูเ้ รี ยนเกิดการเรี ยนรู ้ตามจุดประสงค์ อาจจะแบ่ง
ได้ห ลายลัก ษณะ เช่น Gagne and Briggs (1974 : 53 - 70) กาหนดสาระการเรี ย นรู ้ดงั นี้ 1. ข้อมูล ที่เป็ น
ความรู ้ 2. เจตคติ และ 3. ทัก ษะ ส่ ว น Dececco, John P (1968 : 214 - 447) แบ่ง สาระการเรี ย นรู ้ต าม
จุด ประสงค์เป็ น 1. ทัก ษะ 2. ความรู ้ที่เป็ นข้อ มูล ธรรมดา 3. ความคิด รวบยอดและหลักการและ 4. การ
แก้ปัญหา การคิดสร้างสรรค์และการค้นพบ
การวิเคราะห์เนื้อหาสาระ ควรดาเนินการดังนี้
ตัดสิ นใจให้ได้วา่ สารสนเทศใดมีความจาเป็ นสูงสุด
แบ่งออกเป็ นมโนทัศน์ยอ่ ย ๆ
ขอเสนอแนะให้นาโครงสร้างการจาแนกจุดประสงค์การเรี ยนรู ้มาใช้ในการตัดสิ นใจในการสอน
อาทิ การจาแนกจุดมุ่งหมายการศึกษาของ บลูม (Bloom’s Taxonomy)
การออกแบบและพัฒนาภาระงาน
Herman,J.L.,Aschbacher, P. R., and Winters, L.(1992) อ้างถึงใน ชอบ ลีชอ (2555) (การประเมิน
ตามสภาพจริ ง สานักทดสอบทางการศึกษา กระทรวงศึกษาธิ การ)การออกแบบและพัฒนาภาระงานต้อง
อาศัยหลักวิชาการวิเคราะห์ความคิดสร้างสรรค์และความเชี่ยวชาญในเนื้อหาสาระในระดับมืออาชีพขั้นตอน
การสร้างภาระงานมีดงั ต่อไปนี้
การจัดการเรี ยนรู ้และการจัดการชั้นเรี ยน : The STUDIES Model ผศ.ดร.พิจิตรา ธงพานิช 38
1.การระบุ ความรู้ และทั กษะที่ ผ้ ู เรี ยนจะเรี ยนรู้ จากการปฏิ บั ติ งานโดยเริ่ ม จากพิ จารณาและ
วิเคราะห์ ม าตรฐานการเรี ย นรู ้ ในหลัก สู ต รผลการเรี ย นที่ ค าดหวังหรื อ วัต ถุป ระสงค์ก ารเรี ย นรู ้ เพื่ อ ที่ จะ
สามารถระบุขอบเขตและประเภทของความรู ้ ทักษะและคุณลักษณะที่พึงประสงค์
ผูส้ อนควรตั้งปั ญ หาถามตนเอง 5 ข้อเพื่ อที่ จะระบุ หรื อก าหนดความรู ้ และความสามารถที่
ผูเ้ รี ยนจะได้รับจากการปฏิบตั ิภาระงานคือ
1.ทักษะทางปั ญญาและคุณลักษณะที่สาคัญที่ตอ้ งการให้ผูเ้ รี ยนได้ฝึกและพัฒนาคืออะไร
เช่น การสื่ อสารด้วยการเขียนอย่างชัดเจนและมีประสิ ทธิ ภาพการวิเคราะห์ประเด็นปั ญหาโดยใช้ขอ้ มูลขั้น
ปฐมภูมิและจากเอกสารอ้างอิงการใช้หลักพีชคณิตเพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจาวัน เป็ นต้น
2.ทักษะและคุณลักษณะทางสังคมและจิตพิสัยที่ตอ้ งการพัฒนาให้ผเู ้ รี ยนคืออะไร เช่น การ
ทางานโดยอิสระการปฏิบตั ิโดยร่ วมมือกับผูอ้ ื่นความมัน่ ใจในความสามารถของตนและการรู ้จกั รับผิดชอบ
เป็ นต้น
3.ทักษะความคิดระดับสู งและอภิปั ญญา (Meta-cognition) ที่ ตอ้ งการพัฒนาให้ผูเ้ รี ยนคือ
อะไร เช่น การใคร่ ครวญ ตรึ กตรองทบทวนกระบวนการทางานของตน (ผูเ้ รี ยน) การประเมินประสิ ทธิภาพ
ของกลวิธีที่ตน (ผูเ้ รี ยน) ใช้การพิจารณาและประเมินความก้าวหน้าของตนเอง (ผูเ้ รี ยน) เป็ นระยะๆเป็ นต้น
4.ความสามารถที่ตอ้ งการให้ผเู ้ รี ยนมีความสามารถอะไร เช่น ความสามารถในการวางแผน
ศึกษาค้นเพื่อหาคาตอบให้กบั ประเด็นปัญหาที่กาหนดให้ความสามารถจาแนกประเภทปั ญหาที่สามารถใช้
หลักการทางเรขาคณิตแก้ได้การแก้ปัญหาที่ไม่มีคาตอบที่ถูกต้องแน่ชดั เป็ นต้น
5.หลักการทางวิชาการและความคิดรวบยอดที่ตอ้ งการให้ผูเ้ รี ยนสามารถประยุกต์ใช้คือ
อะไร เช่ น การใช้ห ลัก การทางนิ เวศวิ ท ยาก าหนดแนวปฏิ บัติ ใ นการท่ อ งเที่ ย วเชิ งอนุ รัก ษ์ก ารใช้ห ลัก
คณิ ตศาสตร์ไตรยางค์ในการแก้ปัญหาเรื่ องการซื้ อขาย เป็ นต้น
2. ออกแบบภาระงานที่ผ้ ูเรี ยนต้ องใช้ ความรู้ และทักษะ ลักษณะสาคัญของงานคือต้องกระตุน้
หรื อสร้างแรงจูงใจให้กบั ผูเ้ รี ยนมีความท้าทายแต่ไม่ยากเกินไปจนผูเ้ รี ยนทาไม่ได้ และในขณะเดียวกันต้อง
ครอบคลุ ม สาระส าคัญ ทางวิ ช าและทัก ษะที่ ลึ ก ซึ้ งเพื่ อ ให้ ส ามารถน าผลการประเมิ น ไปใช้ ไ ด้ อ ย่ า ง
สมเหตุสมผลและน่าเชื่อถือ
Herman et al. (1992) ได้เสนอประเด็นคาถามสาคัญเพื่อให้ผสู ้ อนพิจารณาในขั้นตอนนี้คือ
1.เวลาจะต้องใช้เวลาเท่าไรผูเ้ รี ยนจะพัฒนาความรู ้และทักษะที่เป็ นเป้าหมายของการปฏิบตั ิงาน
ในระยะเวลาเท่าไรจึงจะเหมาะสมเนื่ องจากการพัฒนาความคิดรวบยอดที่สาคัญและทักษะกระบวนการคิด
ระดับ สู ง ความรู ้ ท ัก ษะมัก จะใช้ร ะยะเวลาในการเรี ย นรู ้ ย าวนานพอสมควรผูส้ อน/ผู ้อ อกแบบควรจะ
กาหนดเวลาที่เหมาะสมตามประเภทของสาระสาคัญและความลึกซึ้ งของทักษะและวัยระดับชั้นเรี ยนหรื อ
พัฒนาการด้านสติปัญญาของผูเ้ รี ยน
การสอนเพื่อความเข้ าใจ:การออกแบบการเรียนรู้แบบย้อนกลับ
การกาหนดจุดหมายที่พึงประสงค์ในการสอนเพื่อความเข้าใจครู จะพิจารณาว่านักเรี ยนมีความรู ้
พื้นฐานที่เป็ นสิ่ งที่มีคุณค่าและน่าจะรู ้อะไรบ้างแล้ว จากนั้นกาหนดขอบข่ายให้แคบลงว่านักเรี ยนควรมีสิ่งที่
จาเป็ นต้องรู ้และจาเป็ นต้องทา นักเรี ยนควรทาความเข้าใจในเรื่ องใด และควรทาอะไรได้บา้ งควรมีความ
เข้าใจที่ยงั่ ยืนอะไรบ้าง ครู จะต้องพิจารณาวิธีการประเมิน ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นว่ากิจกรรมการเรี ยนการสอน
จะต้องลุ่มลึกกว่าที่ผา่ นมาเป็ นอย่างมาก (ระบุหลักฐานและเกณฑ์ในการประเมินผลให้ชดั เจน) จึงจะสามารถ
พัฒนาให้เกิดความเข้าใจในระดับที่ลึกซึ้ง
การเรียนรู้แบบร่ วมมือ
ประสิ ท ธิ ผ ลของการเรี ย นรู ้ แ บบร่ ว มมื อ ได้ รั บ การยื น ยัน จากการวิ จัย ทั้ ง การศึ ก ษาวิ จัย ใน
ห้องทดลองและในภาคสนาม การศึกษาสหสัมพันธ์ที่แสดงว่าการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือได้ผลในห้องเรี ยน
จริ ง ๆ Johnson and Johnson (1994) สรุ ปว่าการวิจยั เชิงสาธิตแบ่งออกเป็ น 4 กลุ่ม คือ 1. การประเมินผลรวม
ได้ผลว่าการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็ นประโยชน์ 2. การประเมินผลรวมเชิงเปรี ยบเทียบ ได้
ข้อสรุ ปว่ากระบวนการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือดีกว่ากระบวนการเรี ยนรู ้แบบอื่น ๆ 3. การประเมินผลระหว่าง
เรี ยนให้ผลที่จุดมุ่งหมายที่การพัฒนาการการใช้การเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือ และ 4. การศึกษาผลกระทบของการ
เรี ยนรู ้แบบร่ วมมื อที่มีต่อผูเ้ รี ยน การเรี ยนรู ้แบบร่ วมมืออาจใช้ได้ดีกบั ทุกระดับชั้น ทุกเนื้ อหาวิชา และทุก
งาน (ภาระงาน) ด้วยความมัน่ ใจ ความร่ วมมือเป็ นความพยายามของมนุ ษย์โดยทัว่ ไป ซึ่ งส่ งผลกระทบต่อ
ผลลัพ ธ์ ต่ า ง ๆทางการศึ ก ษา ผลลัพ ธ์ น้ ี Johnson and Johnson (1994) สรุ ป ได้เป็ น 3 ประเภท คื อ ความ
พยายามที่จะบรรลุผลสัมฤทธิ์ สัมพันธภาพทางบวกระหว่างบุคคล และสุขภาพจิต ดังภาพประกอบที่ 5
สรุป
ในการจัด การเรี ย นการสอนจะตัด สิ น ใจว่า ปัญ หาในการพัฒ นาศัก ยภาพของผูเ้ รี ย นนั้น เป็ น
ปัญหาที่สามารถแก้ไขด้วยการศึกษา การวางแผนจัด การเรี ยนการสอนจะต้องมีก ารวิเคราะห์เนื้ อหาสาระ
วิเคราะห์งานและภาระงานการวิเคราะห์ภาระงานนาไปสู่ การปฏิบตั ิเพื่อสนองตอบความต้องการการเรี ยนรู ้
กล่าวคือ การทบทวนระบบหรื อกระบวนการเพื่อช่วยให้ผเู ้ รี ยนมีความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น และผูเ้ รี ยนจะได้รับ
ภาระงานสาหรับการเรี ยนการสอน ส่วนภาระงานที่ไม่เกี่ยวข้องก็ควรจะถูกตัดออกหรื อใช้วิธีอื่นที่ไม่ใช่การ
สอนภาระงานที่เลือกมาต้องคานึ งถึงประสิ ทธิ ผลและประสิ ทธิ ภาพ ซึ่ ง การจัดการเรี ยนรู ้ ที่ดีตอ้ งแสวงหา
วิธีการที่ดีที่สุดภายใต้กรอบค่าใช้จ่ายที่ได้รับ (มีประสิ ทธิภาพ) และต้องสนองตอบจุดหมายของการเรี ยนรู ้
(มีประสิ ทธิผล)ไปพร้อมกัน
ตรวจสอบและทบทวน
ในการเขียนแผนจัดการเรี ยนรู ้ข้ นั วิเคราะห์ภาระงาน ปฏิบตั ิการเขียนแผนจัดการเรี ยนรู ้ดว้ ยการ
ระบุงาน และภาระงาน โดยใช้แนวทางการวิเคราะห์ภาระงานของหน่วยการเรี ยนรู ้อิงมาตรฐานแล้วระบุเป็ น
ชิ้ นงานหรื อภาระงานที่ ผูเ้ รี ย นปฏิ บ ัติ การออกแบบภาระงานที่ ผูเ้ รี ยนต้องใช้ความรู ้และทัก ษะ จากขั้น
การก าหนดจุดหมายการเรี ย นรู ้ (setting learning goals) ลัก ษณะส าคัญ ของงานคือต้องกระตุ้น หรื อสร้ าง
แรงจูงใจให้กบั ผูเ้ รี ยนมีความท้าทาย แต่ไม่ยากเกินไปจนผูเ้ รี ยนทาไม่ได้และในขณะเดียวกันต้องครอบคลุม
สาระสาคัญทางวิชาและทักษะที่ ลึกซึ้ งเพื่อให้สามารถนาผลการประเมิ นไปใช้ได้อย่างสมเหตุสมผลและ
น่าเชื่อถือ
การออกแบบการเรี ยนการสอนที่เป็ นสากล (Universal Design for Instruction UDI : U) เป็ นการ
ออกแบบการสอนที่ ผูส้ อนมี บทบาทเป็ นผูด้ าเนิ นการเชิ งรุ ก (proactive) การกระท าโดยไม่ ต้องมี สิ่ งใดมา
กระตุ้น )เกี่ ย วกั บ การผลิ ต และหรื อจัด หาจัด ท าหรื อ ชี้ แนะผลิ ต ภั ณ ฑ์ ก ารศึ ก ษา(educational products
computers, websites, software, textbooks, and lab equipment) แล ะสิ่ งแวดล้ อ ม ก ารเรี ยน รู ้ (dormitories,
classrooms, student union buildings, libraries, and distance learning courses) ที่จะระบุถึงในทุกขั้นตอนของ
การเรี ยนการสอน
การออกแบบการเรี ยนการสอนนาความรู ้จากหลายสาขาวิชามาประยุกต์เข้าด้วยกันเป็ นขั้นตอน
กระบวนการเชิงระบบเพื่อพัฒนาการเรี ยนการสอน โดยพื้นฐานแล้ววิธีการเชิงระบบกาหนดให้ตอ้ งระบุว่า
จะเรี ยนอะไร วางแผนการสอนว่าจะยอมให้การเรี ยนรู ้อะไรเกิดขึ้นวัดผลการเรี ยนรู ้เพื่อตัดสิ นว่า การเรี ยนรู ้
นั้นบรรลุตามจุดประสงค์หรื อไม่และกลัน่ กรองตัวสอดแทรก (intervention) จนกระทัง่ บรรลุจุดประสงค์
จากลักษณะนี้เองจึงทาให้เกิดแบบจาลองการออกแบบการเรี ยนการสอนทัว่ ไป
เกี่ยวกับระบบการเรี ยนการสอนนี้ แฮนนัมและบริ กส์ (Hannum and Briggs) ได้เปรี ยบเทียบการ
เรี ยนการสอนแบบดั้งเดิม และการเรี ยนการสอนเชิงระบบ ดังรายละเอียดในตารางที่ 9
ในการออกแบบการเรี ยนการสอน กระบวนการมีความสาคัญพอ ๆ กับผลิตผล เพราะว่าความ
เชื่อมัน่ ในผลิตผลจะขึ้นอยูก่ บั กระบวนการ ในการที่จะมีความเชื่อมัน่ ในผลิตผล ต้องดาเนินตามขั้นตอนของ
แบบจาลองการออกแบบการเรี ยนการสอน สาหรับในแต่ละขั้นตอนนั้น ลาดับขั้นตอนของแบบจาลองการ
ออกแบบการเรี ยนการสอน สาหรับในแต่ละขั้นตอนนั้น ลาดับขั้นของภาระงานจะต้องแสดงออกมา และผล
ที่ได้รับที่มีความเฉพาะเป็ นพิเศษก็จะเกิดขึ้นดังรายละเอียดในตารางที่ 9
บทบาทของผูอ้ อกแบบการเรี ยนการสอน (designer’s role) สามารถเปลี่ยนแปลงได้ข้ ึนอยู่กบั สิ่ งที่
นาเสนอว่าต้องอาศัยเทคนิ ค หรื อไม่ต้องอาศัยเทคนิ ค และขึ้นอยู่กับ ส่ วนประกอบของที ม การออกแบบ
เนื้ อหาที่ตอ้ งใช้เทคนิ คสู ง ผูอ้ อกแบบจาเป็ นต้องให้คาแนะนาในการออกแบบกับผูช้ านาญการด้านเนื้ อหา
(content expert) ถ้าเนื้ อหานั้นไม่ตอ้ งใช้เทคนิ คที่สูงมากจนเกินไป ผูอ้ อกแบบก็สามารถจัดทาได้อย่างอิสระ
มากขึ้นด้วยความช่วยเหลือของผูช้ านาญการด้านเนื้ อหา ผูอ้ อกแบบสามารถที่จะทางานเป็ นผูใ้ ห้คาปรึ กษา
จากภายนอก และรั บ ผิดชอบภาระงานทั้งหมด เหมื อนกับ เป็ นคนในส านัก งาน (in-house employers) ซึ่ ง
ได้รับความช่วยเหลือจากผูช้ านาญการด้านเนื้อหา บทบาทของผูอ้ อกแบบสามารถมีได้หลากหลาย ขึ้นอยูก่ บั
ที่มา :W.H. Hannum and leslir j. Briggs, “How does Instructional Systems Design Differ from
Traditional Instruction,” Educational Technology 22: 12-13 . 1982
ที่ ม า : Barbara Seels, and Zita Glasgow, Exercises in instructional Design (Columbus, Ohio :
Merrill PubloshingCompany,1990), p. 8.
แบบจาลองการออกแบบ
บทบาทของผู้วิจัย บทบาทผู้ปฏิบัติ
การเรียนการสอนทั่วไป
ขั้นที่ 1 การวิเคราะห์ ศึกษาวิธีการระบุปัญหา ประยุกต์ใช้วิธีการระบุปัญหา
ศึกษาผลของคุณลักษณะของ กาหนดคุณลักษณะของผูเ้ รี ยน
ผูเ้ รี ยน ใช้การวิจยั ในเนื้ อหาตาม
ศึกษาเนื้อหา สาขาวิชา
ขั้นที่ 2 การออกแบบ ศึกษาตัวแปรในการออกแบบ ให้ผปู ้ ฏิบตั ิเป็ นผูอ้ อกแบบการ
ข่าวสาร เรี ยนการสอน
พัฒนากลวิธีการเรี ยนการสอน
ขั้นที่ 3 การพัฒนา ศึกษากระบวนการของทีม ทางานกับผูผ้ ลิตในการพัฒนา
สคริ ป
ขั้นที่ 4 การนาไปใช้ ศึกษาชาติวงศ์วรรณาของตัว ออกแบบและจัดการ
แปรในสิ่ งแวดล้อม สิ่ งแวดล้อมและตัวแปรในการ
เรี ยนการสอน
การระบุตวั แปรของการ
นาไปใช้ให้ได้ผล
ขั้นที่ 5 การประเมินผล ศึกษาข้อถกเถียงที่นาไปสู่การ ประยุกต์ทฤษฎีการ
ประเมินผล ประเมินผล
ที่ ม า :Barbara Seels, and Zita Glasgow, Exercises in instrucnal (Columbus, Ohio : Merrill
PubloshingCompany,1990),p.8.
การจัดการเรียนการสอนที่มีประสิ ทธิภาพ
การจัดการเรี ยนการสอนที่มีประสิ ทธิภาพตามที่มาร์ซาโน (Marzano:2012) ได้นาเสนอกลวิธีการ
จัดการเรี ยนการสอนสรุ ปได้ 3 ส่ วน คือ 1. การสร้างสภาพแวดล้อมการเรี ยนรู ้ (Creating the Environment
for Learning)ซึ่ ง กลวิธี ใ นส่ วนที่ 1 นี้ จะเป็ นพื้ น ฐานส าคัญ ให้ กับ การเรี ย นในทุ ก บทเรี ย น เมื่ อครู ส ร้ า ง
สภาพแวดล้อมการเรี ยนรู ้ ย่อมจูงใจและทาให้ผเู ้ รี ยนเกิดความคาดหวังและเรี ยนรู ้อย่างมีความหมาย โดย
การดู แลให้ขอ้ มู ลย้อนกลับ (Feedback) เพื่ อการพัฒ นาเปิ ดโอกาสให้ผูเ้ รี ย น แลกเปลี่ ยนเรี ยนรู ้ พัฒนา
ความสาคัญของการออกแบบการเรียนการสอนที่เป็ นสากล
การออกแบบการเรี ยนการสอนที่เป็ นสากล (Universal Design forinstructional UDI) คือแนวทาง
การสอนที่ประกอบด้วยการออกแบบเชิงรุ กและใช้กลวิธีการเรี ยนการสอนแบบรวม(inclusive instructional
strategies ) ซึ่ งเป็ นประโยชน์ต่อผูเ้ รี ยนในวงกว้างครู มีบทบาทเป็ นผูด้ าเนิ นการเชิ งรุ ก (proactive) มีความ
รั บ ผิด ชอบ (responsive) และเป็ นผูส้ นับ สนุ น (supportive) การออกแบบการเรี ย นการสอนที่ เป็ นสากล
(Universal Design for Instruction : UDI)ให้ความสาคัญกับหลักสูตรรายวิชาต่าง ๆ เทคโนโลยีและบริ การ
ต่าง ๆ โดยทัว่ ไปที่จดั ให้ผเู ้ รี ยนถูกออกแบบมาให้กบั ผูเ้ รี ยนส่ วนใหญ่โดยเฉลี่ย, แต่ในการออกแบบการเรี ยน
การสอนที่เป็ นสากลจะต้องขยายขอบเขตสาหรับผูเ้ รี ยนที่มีหลากหลายลักษณะ คานึ งถึงผลิตภัณฑ์ทางการ
การจัดการเรี ยนรู ้และการจัดการชั้นเรี ยน : The STUDIES Model ผศ.ดร.พิจิตรา ธงพานิช 58
ศึกษาและสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในการออกแบบดังกล่าวมุ่งที่ผลิตภัณฑ์ในการศึกษาและการจัด
สภาพแวดล้อมเพื่อให้ได้ผลได้มากเท่าที่จะทาได้ "(Story, Mueller, and Mace, 1998)
การออกแบบสากลในการศึกษา
Universal Design (UD) เป็ นการอานวยความสะดวกสาหรับคนทุกคนโดยไม่เฉพาะเจาะจงว่าเป็ น
สาหรับใครคนใดคนหนึ่ ง ดังนั้นการนาหลักการ Universal Design (UD) มาใช้ในการศึกษา จึงสามารถลด
อุปสรรคต่อการเรี ยนรู ้ของผูเ้ รี ยนได้ และสร้างความยืดหยุ่นในการจัดการศึกษา เพื่อให้ ผูท้ ี่มีความแตกต่าง
กันสามารถเรี ยนรู ้ได้อย่างเท่าเทียมกันให้ได้มากที่สุด (Strangeman, Hitchcock, Hall, Meo, & et. al :2006)
จากมหาวิทยาลัยนอร์ทเทิร์นคาโรลาโดได้นาแนวคิดนี้ มาประยุกต์ในการจัดการเรี ยนการสอนใน 2 ลักษณะ
คือ Universal Design for Instruction (UDI) และ Universal Design for Learning (UDL) โดยที่ UDI เป็ นการ
ออกแบบการสอนรวมไปถึงวิธีการสอนการจัดเนื้ อหาการประเมินผลและหลักสู ตร ส่ วน UDL เป็ นเรื่ องที่
เกี่ยวข้องกับออกแบบสภาพการเรี ยนรู ้หรื อสิ่ งแวดล้อมการเรี ยนรู ้ให้แก่ผเู ้ รี ยน
การออกแบบสากลในการศึ ก ษา(Universal Design in Education) ถู ก น าไปใช้ กับ ผลิ ต ภัณ ฑ์
ทางการศึ ก ษาต่ า ง ๆ เช่ น คอมพิ ว เตอร์ เว็บ ไซต์ ซ อฟต์ แ วร์ ต าราและอุ ป กรณ์ ห้ อ งปฏิ บั ติ ก ารรวมถึ ง
สภาพแวดล้อมต่าง ๆ เช่นห้องรับแขกห้องเรี ยนอาคารสหภาพนักศึกษาห้องสมุดและหลักสู ตรการเรี ยน
ทางไกล แตกต่างจากที่ พ กั ส าหรั บ บุ ค คลที่ เฉพาะเจาะจงที่ มี ความสามารถในการเลื อ กปฏิ บัติ UDE ให้
ประโยชน์แก่นกั เรี ยนทุกคนรวมถึงที่พกั ที่เกี่ยวข้องกับคนพิการจากโรงเรี ยน ส่ วนต่อไปนี้ แสดงตัวอย่างการ
ใช้งานทั่วไปในการตั้งค่ าทางการศึ ก ษา: ช่ องว่างทางกายภาพเทคโนโลยีส ารสนเทศ (IT) การสอนและ
บริ การของนักเรี ยนแตกต่างจากที่พกั สาหรับบุคคลที่เฉพาะเจาะจงที่มีความสามารถในการเลือกปฏิบตั ิ UDE
ให้ประโยชน์แก่นักเรี ยนทุกคนรวมถึงผูท้ ี่ไม่ได้รับที่พกั ที่เกี่ยวข้องกับคนพิการจากโรงเรี ยน ส่ วนต่อไปนี้
แสดงตัวอย่างของการใช้งานทัว่ ไปในการตั้งค่าทางการศึกษา: พื้นที่ทางกายภาพเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT)
การสอนและบริ การของนักเรี ยน
ความสาคัญของการออกแบบการเรียนรู้ที่เป็ นสากล
UDL มีความสาคัญอย่างยิ่งในการออกแบบการเรี ยนการสอน ที่ประกอบไปด้วย จุดหมาย (goal)
วิธีการ (method) วัสดุอุปกรณ์ (materials) และการประเมินผลการเรี ยนรู ้ (assessment) สาหรับผูเ้ รี ยนทุกคน
วิธีการใดวิธีการหนึ่งเพียงวิธีเดียวจะไม่เหมาะสมกับทุกการแก้ปัญหา แต่จะเป็ นการออกแบบที่มีวิธีการที่มี
ความยืดหยุ่น สามารถปรับแต่งได้และปรับตามความต้องการของบุคคล แต่ละบุคคลต่างมีความหลากหลาย
ของทักษะ ความต้องการและความสนใจที่จะเรี ยนรู ้ ทางด้านประสาทวิทยากล่าวได้ว่าคล้ายกับระบบการ
ทางานของสมอง 3 ส่ วน ดังนี้ 1. เครื อข่ายการรับรู ้ (Recognition Networks) วิธีการที่เรารวบรวมข้อเท็จจริ ง
และจัดประเภทของสิ่ งที่เรามองเห็นได้ยินและอ่าน ตัวอักษรระบุคาหรื อลักษณะของผูเ้ ขียนเป็ นภาระงานที่
เป็ นการรับรู ้สิ่งที่จะเรี ยน (อะไรคือสิ่ งที่ตอ้ งเรี ยนรู ้:The "what" of learning)2. เครื อข่ายเชิงกลยุทธ์ (Strategic
Networks) การวางแผนและการปฏิบตั ิงาน วิธีการที่เราจัดระเบียบและแสดงหลักฐานทางความคิดของเรา
การเขี ย นเรี ย งความหรื อ การแก้ปั ญ หาทางคณิ ต ศาสตร์ ต่ างถื อ เป็ นงานเชิ ง กลยุท ธ์ (“วิ ธี ก าร” ของการ
เรี ย นรู ้ :The “how” of learning) และ 3. เครื อข่าย (Affective Networks) จะมี วิธี เรี ย นรู ้อย่างไรที่ จะกระตุ้น
ระดับในการออกแบบการเรียนรู้ที่เป็ นสากล
การออกแบบการเรี ยนรู ้ที่เป็ นสากลจัดเป็ น 3 ระดับดังนี้
ระดับที่ 1 การนาเสนอการจัดการเรี ยนรู ้ตามหลักการการออกแบบที่เป็ นสากลเพื่อการเรี ยนรู ้
( UDL)ควรใช้รูปแบบการนาเสนอที่หลากหลายวิธีได้แก่
1. การใช้ขอ้ มูลที่หลากหลายรู ปแบบเช่นข้อมูลภาพข้อมูลเสี ยงหรื อข้อมูลที่สัมผัสได้
2. การใช้ภาษาและสัญลักษณ์ที่หลากหลาย
3. การให้โอกาสผูเ้ รี ยนได้ทาความเข้าใจบทเรี ยนและทบทวนความรู ้น้ นั
ระดับที่ 2 การสื่ อสารการให้ผเู ้ รี ยนได้แสดงออกในการเรี ยนรู ้ ซึ่งมีหลากหลายวิธีการได้แก่
1. การใช้ภาษากาย
2. การพูดการสนทนาโต้ตอบ
3. การใช้การทางานของสมองระดับสูง (Executive Function)
ระดับที่ 3 การมีส่วนร่ วมเป็ นการเสริ มสร้างแรงจูงใจได้แก่
1. การพยายามชักจูงความสนใจโดยให้อิสระในการเลือก
2. สนับสนุนให้ใช้ความพยายามในการทางาน
3. เสริ มสร้างทักษะการกากับตนเอง (Self-regulation)
แบบการสอน
แบบการสอน (Styles of teaching) เป็ นการแสดงคุณค่าของครู แต่ละคน เป็ นปัจจัยส่ วนบุคคลที่
ทาให้ครู คนหนึ่ งแตกต่างไปจากครู คนอื่น ๆ ประกอบด้วยการแต่งกาย ภาษา เสี ยง กริ ยาท่าที ระดับพลัง
การแสดงออกทางสี หน้า แรงจูงใจ ความสนใจในบุคลอื่นความสามารถในการแสดงเชาว์ปัญญาและความ
คงแก่เรี ยน
ครู มีความพร้อมที่จะปรับสไตล์การสอนแบบใดแบบหนึ่งโดยที่รู้สึกตัวหรื อไม่รู้สึกตัวก็ได้ครู เป็ น
เสมือนผูช้ ่วยเหลือ ผูก้ วดขันวินัย นักแสดง เพื่อน ภาพลักษณ์ของพ่อหรื อแม่ ผูป้ กครองที่มีอานาจ จิตรกร
พี่ชายใหญ่ หรื อพี่สาวใหญ่ หรื อแสดงหรื อเป็ นตัวอย่างของรู ปแบบการสอนสไตล์การสอนเป็ น “คุณภาพที่
แผ่ซ่ านอยู่ในพฤติ กรรมของแต่ละบุ คคล เป็ นคุณภาพที่ คงอยู่แม้ว่าเนื้ อหาจะเปลี่ ยนแปลง” (Fischer and
Fischer, 1976 : 245) หรื ออาจกล่าวได้วา่ เป็ นคุณภาพตามเนื้อหาจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร คุณภาพของจะคงอยู่
ฟี สเชอร์ท้ งั สองได้สังเกตว่าครู มีความแตกต่างกันในรู ปแบบการสอน เช่นเดียวกับประธานาธิบดีของรัฐบาล
อเมริ กาแต่ละบุคคลที่มีรูปแบบการพูดที่แตกต่างกัน นักวาดภาพที่มีชื่อเสี ยงก็มีความแตกต่างกันในรู ปแบบ
ของกิจกรรมหรื อนักเทนนิสที่เป็ นที่รู้จกั อย่างกว้างขวางก็มีรูปแบบการเล่นที่เป็ นของตัวเองไม่เหมือนใคร
ครู ที่มีเสี ยงสู งและเสี ยงแบนจะมีความยากในการใช้วิธีสอนแบบบรรยาย ครู ที่แต่งเครื่ องแบบหรื อ
มีท่าทางที่เป็ นทางการจะสามารถจัดการกับห้องเรี ยนที่อึกทึกได้ ครู ที่ขาดความเชื่อมัน่ ในทักษะการจัดการ
Jon Wiles (2009: 56 – 57) สรุ ป ว่ า สิ่ งแวดล้ อ มการเรี ยนรู ้ ( Learning Environment) หมายถึ ง
สภาวะแวดล้อมที่อยู่รอบๆตัวผูเ้ รี ยนทั้งที่ เป็ นรู ปธรรมและนามธรรม ในด้านรู ปธรรมเป็ นสภาพแวดล้อม
ทางกายภาพได้แก่สภาพแวดล้อมในห้องเรี ยน เช่นขนาดการวางผังแสงที่นั่งส่ วนสภาพแวดล้อมภายนอก
ห้องเรี ยนเช่นห้องปฏิบตั ิการทางวิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ หรื อทางภาษา โดยสามารถใช้อาคารในการจัด
พื้นที่และสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการจัดการเรี ยนรู ้โดยเฉพาะจัดสื่ อที่หลากหลาย สาหรับนักเรี ยนแต่ละคน
ตารางที่ 13 คาจากัดความของกลยุทธ์การสอน
คาสาคัญ ความหมาย
1. กาหนดวัตถุประสงค์และให้ขอ้ มูลย้อนกลับ การให้ขอ้ มูลที่เกี่ยวข้องกับทิศทางในการเรี ยนรู ้
(Setting Objectives Feedback) และเป้าหมายในการพัฒนาทักษะการปฏิบตั ิ
2. การเสริ มแรงและสร้างการยอมรับ การส่งเสริ มให้นกั เรี ยนเกิดความเข้าใจในเรื่ อง
(Reinforcing Effort and ProvidingRecognition) ความสัมพันธ์ระหว่างความพยายามและ
ความสาเร็จโดยมุ่งสร้างทัศนคติที่ดีและความ
เชื่อมัน่ ในการเรี ยนรู ้
การจัดการเรี ยนรู ้และการจัดการชั้นเรี ยน : The STUDIES Model ผศ.ดร.พิจิตรา ธงพานิช 73
คาสาคัญ ความหมาย
สามารถให้การยอมรับและเข้าใจอย่างเป็ น
รู ปธรรมหรื อยกย่องในความสาเร็จตามเป้าหมายที่
กาหนดไว้
3. การเรี ยนแบบร่ วมมือ (Cooperative Learning) หมายถึงการจัดการเรี ยนรู ้ให้ผเู ้ รี ยนมีโอกาสในการ
มีปฏิสัมพันธ์กบั ผูอ้ ื่นในการส่งเสริ ม สนับสนุน
การเรี ยนรู ้
4. ให้คาแนะนา,ใช้คาถามและมโนทัศน์ล่วงหน้า คือ ส่งเสริ มให้ผเู ้ รี ยนสามารถจดจา ใช้ และจัดการ
(Cues, Questions and Advance Organizes) กับความรู ้ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ศึกษา
5. การแสดงออกโดยภาษากาย หมายถึง การส่งเสริ มให้ผเู ้ รี ยนสามารถนาเสนอ
(Nonlinguistic Representations) และให้รายละเอียดในการแสดงถึงความรู ้
6. สรุ ปความและจดบันทึก หมายถึง การส่งเสริ มให้ผเู ้ รี ยนสามารถวิเคราะห์
(Summarizing and Note taking) ข้อมูลและจัดการกับข้อมูลโดยการสรุ ปสาระสาคัญ
และข้อมูลสนับสนุน
7. มอบหมายงานและให้ปฏิบตั ิ หมายถึง การให้โอกาสผูเ้ รี ยนได้ฝึกปฏิบตั ิ, ทบทวน
(Assigning Homework and Providing Practice) และประยุกต์ใช้ความรู ้ การสร้างเสริ มให้นกั เรี ยน
ได้เข้าถึงระดับของความเชี่ยวชาญในทักษะหรื อ
กระบวนการที่คาดหวัง
8. ระบุความเหมือนความแตกต่าง หมายถึง การจัดการเรี ยนรู ้ที่ส่งเสริ มให้นกั เรี ยน
(Identifying Similarities and Differences) เข้าใจและสามารถใช้ความรู ้ กระบวนการทาง
ปัญญาในการระบุหรื อจาแนกสิ่ งที่เหมือนและ
แตกต่าง
9. สร้างและทดสอบสมมติฐาน หมายถึงการจัดการเรี ยนรู ้ที่ส่งเสริ มนักเรี ยนเข้าใจ
(Generating and testing Hypotheses) และสามารถใช้ความรู ้และกระบวนการทางปัญญา
ในการสร้างและทดสอบสมมติฐาน
สรุป
ผูส้ อนเป็ นบุ ค คลที่ มี ค วามส าคัญ มากต่อการเรี ย นรู ้ของผูเ้ รี ยนผูส้ อนทุ ก คนต้องตระหนัก และ
ยอมรับเสมอว่าครู มีหน้าที่สอนผูเ้ รี ยนที่มีความแตกต่างกันทุกกลุ่มและทุกรายวิชาไม่ว่าผู ้ เรี ยนจะมีความ
พิการหรื อไม่ก็ตามผูเ้ รี ยนปกติทวั่ ไปก็มีความแตกต่างในความสามารถและลักษณะนิ สัยดังนั้นการคานึ งถึง
การออกแบบที่เป็ นสากล (Universal Design) จึ งมีความจาเป็ นโดยก่ อนอื่ นผูส้ อนต้องสารวจทาความรู ้จกั
ผูเ้ รี ยนที่จะสอนให้ทวั่ ถึงสารวจดูว่ามีผูเ้ รี ยนที่พิการในห้องเรี ยนไหมหรื อมีใครที่มีความต้องการพิเศษทาง
การศึ กษาเช่นทางานช้าเรี ยนรู ้ช้ามี สมาธิ ส้ ันเป็ นต้นและที่ สาคัญต้องสังเกตแบบลี ลาการเรี ยนรู ้ (Learning
Style) ของผูเ้ รี ยนคือผูเ้ รี ยนบางคนสามารถเรี ยนรู ้ได้ดีจากการฟั งบรรยาย ผูเ้ รี ยนบางคนจะเข้าใจได้ดีตอ้ งมี
รู ปภาพประกอบหรื อใช้สื่อตัวอย่างแสดงให้เห็น หรื อผูเ้ รี ยนบางคนต้องลงมือปฏิบตั ิการจัดทาสื่ อการสอน
ควรคานึงถึงผูเ้ รี ยนทุกคนไม่วา่ จะเป็ นผูเ้ รี ยนปกติหรื อพิการเช่นจัด ทาวิดีโอเทปหรื อเพาเวอร์พอยท์ประกอบ
เสี ยงและตัวหนังสื อกากับเป็ นต้นเมื่อรู ้จกั ผูเ้ รี ยนแล้วผูส้ อนจะได้เลือกแบบลีลาการสอน (Teaching Style)
ได้ถูกแบบการสอนมีหลายแบบเพื่อให้เหมาะกับผูเ้ รี ยนหลายประเภทเช่นในบางเนื้ อหาอาจเป็ นการบรรยาย
บางเนื้ อหาอาจให้ลงไปเก็บข้อมูลตามแหล่งเรี ยนรู ้ต่าง ๆ แล้วนามาเสนออภิปรายร่ วมกันเป็ นต้นการเขียน
คาอธิ บายรายวิชาควรมีความชัดเจนว่า ผูส้ อนต้องการให้ผูเ้ รี ยนได้อะไรโดยวิธีใดและคาดหวังอย่างไรควร
เปิ ดโอกาสให้ผเู ้ รี ยนเสนอแนะในสิ่ งที่ตอ้ งการอยากรู ้เพิม่ เติมหรื อปรับกิจกรรมบางส่ วนในรายวิชานั้น ๆ ได้
ด้วย
Weblink
http://www.designshare.com/images/chap6_designing_new_learning_environments.pdf
mams.rmit.edu.au/3f1hxa3uq0goz.pdf
https://research.acer.edu.au/cgi/viewcontent.cgi?article=1003&context=research_conference_2003
https://research.acer.edu.au/cgi/viewcontent.cgi?article...research...
การเรี ยนรู ้จากสื่ อดิจิทลั (Digital Learning : D) เป็ นการเรี ยนรู ้ผ่านเครื อข่าย เช่น เครื อข่ายสังคม
ออนไลน์ (Social networking) การแชร์ภาพ และการใช้อินเทอร์เน็ตแบบเคลื่อนที่ เป็ นต้น การเรี ยนรู ้จากสื่ อ
ดิจิทลั มีนัยมากกว่าการรู ้เกี่ยวกับเทคโนโลยี สารสนเทศ แต่ยงั ครอบคลุมถึงประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับเนื้ อหา
(content) จริ ยธรรมสังคม และการสะท้อน (Reflection) ซึ่งฝังอยูใ่ นการเรี ยนรู ้ การทางานและชีวิตประจาวัน
การเรี ยนรู ้จากสื่ อดิ จิท ัล ผูเ้ รี ยนจะต้องมี ท ัก ษะในศตวรรษที่ 21 คือ ทัก ษะด้านคอมพิ วเตอร์ เทคโนโลยี
สารสนเทศและการสื่ อสาร รู ้เท่าทันดิจิทลั (digital literacy)
พระธรรมปิ ฎก (ป.อ.ปยุตโต 2546 : 9 – 10) กล่าวว่า สังคมข่าวสารข้อมูลหรื อสังคมสารสนเทศ
โลกมีข่าวสารข้อมูลแพร่ กระจายกว้างขวางทัว่ ถึงรวดเร็ วมาก ก็คิดว่าคนจะฉลาด คนจะมีปัญญา จะเข้าสู่ ยุค
แห่ งปั ญญา แต่ที่จริ งการมีขอ้ มูลข่าวสารมากไม่จาเป็ นต้องทาให้คนมีสติปัญญา หากว่าไม่พฒั นาคนให้รู้จกั
รับและใช้ขอ้ มูลนั้น และกล่าวสรุ ปไว้วา่ จาแนกคนได้เป็ น 3 ประเภท ดังนี้
1. กลุ่มที่ตกเป็ นเหยื่อ ในกรณี ที่คนไม่พฒ ั นาสติปัญญาอย่างถูกต้องให้สามารถเข้าถึงข้อมูล
อย่างแท้จริ ง และสามารถถือเอาประโยชน์จากข่าวสารข้อมูลได้ก็จะเป็ นโทษอย่างมาก ข่าวสารข้อมูลจะ
กลายเป็ นเครื่ องมือล่อเร้าและหลอกลวง ทาให้คนเป็ นเหยือ่
2. กลุ่มที่รู้เท่าทัน คนจานวนมากมีความภาคภูมิใจว่าตนตามทันข่าวสารข้อมูล มีข่าวสารข้อมูล
อะไรออกมาก็ตามทันหมด ปรากฏว่าตามทันเท่านั้น แต่ไม่รู้เท่าทัน และก็ถูกกระแสข่าวสารข้อมูลท่วมทับ
พัดพาไป กรณี เช่นนี้ถา้ มีปัญญารู ้เท่าทันก็จะทาให้ดารงอยูท่ ่ามกลางกระแสได้ เป็ นผูท้ ี่ยนื หยัดตั้งหลักอยูไ่ ด้
3. กลุ่มที่อยูเ่ หนื อกระแส การรู ้เท่าทันยังไม่พอ ควรที่จะสามารถทาได้ดีกว่านั้นอีกคือขึ้นไปอยู่
เหนือกระแส เป็ นผูท้ ี่สามารถนาเอาข้อมูลข่าวสารมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างแท้จริ ง คนกลุ่มนี้ สามารถ
จัดการกับกระแส โดยทาการเปลี่ยนแปลงในกระแสหรื อนากระแสให้เดินไปในทิศทางใหม่ที่ถูกต้อง
ศูนย์พฒั นาคุณภาพการศึกษาด้วยเทคโนโลยีการศึกษาทางไกลสานักงานคณะกรรมการการศึกษา
ขั้นพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิ การ (http://www.dlthailand.com/thima-khxng-khorngkar) อ้างอิงงานวิจยั ของ
สถาบันวิจยั เพื่อการพัฒนาประเทศไทยว่าสาเหตุหลักส่ วนหนึ่ งของปั ญหาคุณภาพการศึกษาไทย คือ การที่
ระบบการศึ ก ษาของไทยในปั จ จุ บ ัน เป็ นระบบที่ ไ ม่ เอื้ อ ต่ อ การสร้ างความรั บ ผิ ด ชอบ (Accountability)
หลักสู ตรและตาราเรี ยนของไทยไม่สอดคล้องกับ การพัฒนาทักษะแห่ง ศตวรรษที่ 21 (21st Century Skills)
ซึ่ งมีผ ลท าให้ก ารเรี ยนการสอน ตลอดไปจนถึงการทดสอบยังคงเน้น การจดจาเนื้ อหามากกว่าการเรี ยน
เพื่ อให้มีค วามรู ้ค วามเข้าใจอย่างแท้จริ งอี กทั้งสภาพการจัดการศึ กษาของ ประเทศไทยในปั จจุ บ ัน ก าลัง
การเลือกและพัฒนาสื่ อการเรียนการสอน
คาว่า สื่ อ มีความหมายกว้างมาก การเรี ยนการสอนในบางครั้งอาจเกิดขึ้นจากเสี ยงของผูส้ อน ตารา
เทป วีดิท ัศ น์ ภาพยนตร์ และคอมพิ วเตอร์ (medium) หรื อ (media) มาจาก ภาษาลาติ น หมายถึ ง บางสิ่ ง
บางอย่างที่ อยู่ตรงกลาง (intermediate) หรื อ (middle) หรื อ เครื่ องมือ (instrument) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็ น
วิธีการของการสื่ อสารที่ส่งไปถึงประชาชนเป็ นพาหนะของการโฆษณา ดังนั้น เมื่อพิจารณาในด้านของการ
สื่ อสารแล้ว สื่ อจึงหมายถึง สิ่ งที่เป็ นพาหนะนาความรู ้หรื อสารสนเทศจากแหล่งกาเนิ ดไปสู่ ผรู ้ ับ เช่น วิทยุ
โทรทัศ น์ ภาพยนตร์ รู ป ภาพ วัส ดุ ฉ าย สิ่ งพิ ม พ์ และสิ่ งดังกล่ าวนี้ เมื่ อนามาใช้กับ การเรี ยนการสอน เรา
เรี ยกว่าสื่ อการเรี ยนการสอน
โสตทัศนะ
สามารถจูงใจเป็ นรายบุคคลได้ดี
สื่ อการสอนประเภทใช้เครื่ องฉาย
1.ประเภทเสนอภาพนิ่ง
1.1 เครื่ องฉายภาพทึบแสง สามารถขยายภาพถ่าย ภาพเขียน ต้องใช้เครื่ องในห้องที่มืดสนิ ทจึง
วัสดุทึบแสงให้เป็ นภาพที่มองดูมีขนาด จะเห็นภาพขยายได้ชดั เจน
ใหญ่ได้ เครื่ องมือขนาดใหญ่ทาให้ขนย้าย
เหมาะสาหรับผูเ้ รี ยนกลุ่มใหญ่ ลาบาก
ช่ ว ยลดภาระในการผลิ ต สไลด์
และแผ่นโปร่ งใส
1.2 แผ่นโปร่ งใส สามารถใช้ได้ในที่ ที่มี แสงสว่าง ถ้ า จ ะ ผ ลิ ต แ ผ่ น โป ร่ งใส ที่ มี
เหมาะสาหรับผูเ้ รี ยนกลุ่มใหญ่ ลักษณะพิเศษต้องลงทุนสูง
ผูส้ อนหันหน้าเข้าหาผูเ้ รี ยนได้ ผูเ้ รี ยนไม่มีบทบาทร่ วมในการใช้
ผู ้ ส อ น ส าม าร ถ เต รี ย ม แ ผ่ น อุปกรณ์
โปร่ ง ใสไว้ใ ช้ ล่ ว งหน้ าหรื อ สามารถ
เขี ย นลงไปพร้ อ มท าการบรรยายเพื่ อ
เสริ มสร้างความเข้าใจ
1.3 สไลด์ เหมาะส าหรับ ผูเ้ รี ยนกลุ่ มใหญ่ ต้องฉายในห้องที่ มื ดพอสมควร
และกลุ่มเล็ก ยกเว้นจะมีจอ Daylight Screen
ผลิ ตค่ อนข้างง่ายและทาส าเนา การถ่ายทาชุดสไลด์ที่ดีตอ้ งมีการ
ได้ง่ายเช่นกัน วางแผนท าบทสคริ ป การถ่ ายท าและ
สามารถเปลี่ ยนสลับ รู ปในการ การจัดภาพเป็ นชุด
4.2 ด้านเทคนิควิธีการ
4.2.1 สื่ อ ห ล า ย มิ ติ เสนอข้อ มู ล ในลัก ษณะไม่ เป็ น ต้องใช้โปรแกรมซอฟต์แวร์ ที่ มี
(Hypermedia) เส้นตรงทาให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูล คุณภาพสูงในการผลิตบทเรี ยน
ในที่ต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ต้องอาศัยเชี่ยวชาญในการสร้าง
บทเรี ยน
ต้อ งใช้ ร วมกับ คอมพิ ว เตอร์ ที่
คุณภาพสูงพอควรจึงจะใช้ได้ดี
เนื้ อ หาบทเรี ยนที่ มี ท้ ั ง ภาพนิ่ ง การผลิ ตบทเรี ยนลักษณะนี้ ตอ้ ง
ภาพกราฟิ กเคลื่ อ นไหวภาพวี ดิ ทัศ น์ อาศัยอุปกรณ์ร่วมหลายอย่างเช่นเครื่ อง
เสี ยงพูดเสี ยงดนตรี เสี ยง กล้องวี ดิทัศน์ เครื่ องเล่นแผ่นวีดิ
ผู ้ เ รี ย น ส าม ารถ โต้ ต อ บ กั บ ทัศน์ ฯลฯ
บทเรี ยนและได้รับผลป้อนกลับทันที
สะดวกในการใช้
4.2.2 แผ่นวีดิทศั น์เชิง ใช้ไ ด้กับ ผูเ้ รี ย นกลุ่ ม ใหญ่ ก ลุ่ ม ต้ อ งใช้ อุ ป กรณ์ ร่ วมใน การ
โต้ตอบ (Interactive ย่อยและการศึกษารายบุคคล ทางานหลายอย่าง
Video,Interactive เสนอข้อ มูล ในลัก ษณะไม่ เป็ น ต้องเลือกเนื้อหาในแผ่นวีดิทศั น์
Videodisc) เส้นตรง (Non-linear) มาประกอบบทเรี ย นให้เหมาะสมซึ่ ง
การเสนอเนื้ อหามี ท้ ั ง ภาพนิ่ ง บางครั้ง อาจหาได้ไม่ตรงนัก
ภาพวีดิทศั น์และเสี ยง อุปกรณ์ ต่าง ๆ มี ราคาสู งจึ งท า
ผู ้ เ รี ย น ส าม ารถ โต้ ต อ บ กั บ ให้การเรี ยนแบบนี้ ไม่เป็ นที่นิยมใช้กนั
บทเรี ยนและได้รับผลป้อนกลับทันที มากนัก
บั น ทึ ก ผลการเรี ยนและการ
ที่ ม า : Barbara Seels and Zita Glasgow ,Exercises in Instructional Design(Columbus, Ohio : Merrill
Publishing company,1990),p.182.
ปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลต่อการเลือกสื่ อ
ได้มีการเรี ยนรู ้กฎซึ่งจาเป็ นในการพิจารณา เมื่อมีการเลือกสื่ อการเรี ยนการสอนเป็ นความจาที่มอง
หาปัจจัยอื่น ๆ ซึ่งจะส่งผลต่อการเลือกสื่ อ
Telecommunication-based
Teleconferencing
Telelectures
Microprocessor- based
Computer-assisted instruction
Computer Games
Expert Tutoring Systems
Hypermedia
Interactive Video
Computer-managed Instruction
Compact Disc
ตารางที่ 18 ข้อควรพิจารณาในการเลือกสื่ อ
ปัจจัย ตัวอย่าง
1. สิ่ งแวดล้อมในการเรี ยนรู ้ บ้าน ที่ทางานชั้นเรี ยน ม้านัง่
2. ประสิ ทธิผลในการลงทุน ราคาต่อห้อง และราคาในการดาเนินงาน
3. แหล่ ง วัส ดุ อุ ป กรณ์ ที่ มี ป ระโยชน์ วัส ดุ อุ ป กรณ์ ที่ มี ค วามเหมาะสม มี ร ะเบี ย บ
เพียงพอ การพัฒนาภาพยนตร์ สตูดิโอ การพิมพ์ เรี ยบร้อย
4. ความสะดวกในการใช้ตาแหน่งที่ต้ งั เช่ นใช้มากน้อยเท่าไร บ่อยเท่าไร ขนาดของ
เวลาที่มีสาหรับการเตรี ยมตัว กลุม่
5. สิ่ งที่ไม่จาเป็ น (Non-essentials) สี มี ค วามจ าเป็ นหรื อ ไม่ ต าราเพี ย งพอ หรื อ
สไลด์ที่จะใช้ในการนาเสนอเพียงพอหรื อไม่
6. ทรัพยากรมนุษย์หาได้ง่ายหรื อไม่ ผูช้ านาญการพิ เศษด้านวิธี ก ารผลิ ตสื่ อหาได้
ง่ายหรื อไม่
7. นโยบาย นโยบาย เจตคติ ต่อ ต้านการเปลี่ ย นแปลงข้อ
ขัดแย้งต่างๆ
พัฒนาจุดประสงค์
การเรี ยนการสอน
ระบุสื่อ
เลือกสื่ อ
ประเมินทรัพยากรที่มีประโยชน์
เปรี ยบเทียบคูจ่ ุดประสงค์กลวิธีและ
คุณลักษณะของสื่ อ
ตัดสิ นใจเลือกสื่ อโดยพิจารณา
ราคาและประสิ ทธิภาพ
ระบุการเรี ยนรู ้
สรุป
การพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศจะเปลี่ยนการเรี ยนการสอนแบบเดิมที่ครู เป็ นศูนย์กลางมา
เป็ นการเรี ยนรู ้ที่ใช้เทคโนโลยีเป็ นฐาน การเรี ยนรู ้คือกระบวนการทางสังคม ผูเ้ รี ยนจะต้องการเรี ยนรู ้เพื่อให้
ได้ความรู ้หรื อคาตอบการให้ผเู ้ รี ยนได้เรี ยนรู ้และหาคาตอบจากสื่ อสังคมออนไลน์ การเรี ยนรู ้ออนไลน์ การ
สร้างสภาพแวดล้อมแห่ งการเรี ยนรู ้ใหม่โดยใช้ความสามารถของอิ นเทอร์ เน็ต เว็บสื่ อสังคมออนไลน์เพื่อ
รองรั บ รู ป แบบการเรี ย นการสอนที่ เปลี่ ย นไปสภาพแวดล้อมที่ มี ก ารใช้เทคโนโลยี ส ารสนเทศมากขึ้ น
สารสนเทศคื อส่ วนส าคัญ ของการเรี ย นรู ้ สื่ อดิ จิทัล ท าให้เกิ ด โอกาสในการช่ วยให้ผูเ้ รี ย นรู ้ เข้าถึ งและมี
ปฏิสัมพันธ์กบั แหล่งสารสนเทศและกลุ่มผูเ้ รี ยนรู ้ดว้ ยกันผูส้ อนจะต้องเรี ยนรู ้และพัฒนาเพื่อให้สอดคล้องกับ
สภาพแวดล้อมในปั จจุบนั คือ e-learning and m-learning กล่าวคือจัดให้/ส่ งเสริ มการเรี ยนรู ้อิเล็กทรอนิ กส์
และการเรี ยนรู ้แบบเคลื่อนที่ (Mobile learning) อานวยความสะดวกให้ท้ งั ผูส้ อนและผูเ้ รี ยนเทคโนโลยีที่โดด
เด่นที่กาลังทาให้สิ่งของทุกสรรพสิ่ งบนโลกสามารถเชื่อมต่อกันได้ นั้นคือ Internet of Everything (IoE) ซึ่ ง
จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยจะมีผลต่อระบบเศรษฐกิจ ซึ่ งมีการคาดว่า IoE จะทาให้เกิด
โอกาสมากมาย ด้วยมูลค่าที่สูงถึงระดับล้านล้านเหรี ยญดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะมีมูลค่าเพิ่มสู งขึ้นอย่าง
ต่อเนื่ อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการนา IoE มาใช้ในการปฏิวตั ิ การศึกษาเพื่อสร้างรู ปแบบของการเรี ยนรู ้
ของคนรุ่ นใหม่ จะยิง่ ทาให้เกิดการต่อยอดการเรี ยนรู ้อย่างไม่มีวนั สิ้ นสุ ด
Weblink
http://www.dlthailand.com/thima-khxng-khorngkar
https://techsauce.co/tech-and-biz/why-digital-learning-so-important-for-millennial-workers/
แนวการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการ
การพัฒนาผูเ้ รี ยนตามความสามารถที่แตกต่างกันจาเป็ นต้องพัฒนาความสามารถทุก ด้าน ตาม
แนวคิดของการ์ ดเนอร์ (Gardner อ้างใน วิชยั วงษ์ใหญ่, 2542 : 8 -11) นักจิตวิทยาชาวอเมริ กนั ได้นาเสนอ
ทฤษฎีพหุ ปัญญา (multiple intelligence theory) สรุ ปได้ว่า ผูเ้ รี ยนมีความสามารถทั้ง 8 ด้าน คือ ด้านภาษา
ด้า นตรรกะและคณิ ตศาสตร์ ด้านภาพมิ ติสั มพันธ์ ด้านร่ างกายและการเคลื่ อนไหว ด้านดนตรี ด้านมนุ ษ ย
สั มพันธ์ ด้านการเข้าใจตนเอง และด้านความเข้าใจสภาพธรรมชาติ การเสริ มสร้ างความเก่ งหรื อศัก ยภาพ
ความสามารถด้านต่าง ๆ ที่มีอยู่ในตัวผูเ้ รี ยน ผูส้ อนจะต้องเข้าใจผูเ้ รี ยน รู ้ถึงความถนัด ความสามารถในการ
เรี ยนรู ้ที่หลากหลาย ในการออกแบบกิจกรรมการเรี ยนรู ้เพื่ อจะกระตุน้ ความสามารถด้านต่าง ๆ ที่ มีอยู่ในตัว
ผูเ้ รี ยนให้มีความเด่นชัดปรากฏออกมาด้วยความรู ้ความเข้าใจ ผูส้ อนต้องมีความรู ้ความเข้าใจ มีความอดทนใน
การสั งเกต ประเมิ น จากผลการเรี ย นรู ้ ข องผู ้เรี ย น การพัฒ นาความสามารถผู ส้ อนจึง มีห น้า ที ่ค น้ หา
การเรียนการสอนที่เน้ นกระบวนการ
นักการศึกษาไทยได้พยายามที่จะเสนอ แนวคิดเพื่อการพัฒนาการศึกษาและการเรี ยนการสอนของ
ไทยตลอดมา ในหนังสื อนี้ ได้ประมวลแนวคิดที่ น่าสนใจเกี่ยวกับกระบวนการต่าง ๆ ซึ่ งเกี่ ยวข้องกับการ
เรี ยนการสอนมานาเสนอ ได้แก่
1. กระบวนการแก้ปัญหาตามหลักอริ ยสัจ 4 โดย สาโรช บัวศรี
2. กระบวนการกัลยาณมิตร โดย สุมน อมรวิวฒั น์
3. กระบวนการทางปัญญา โดย ประเวศ วะสี
4. กระบวนการคิด โดย ชัยอนันต์ สมุทวณิช
5. กระบวนการคิด โดย เกรี ยงศักดิ์ เจริ ญวงศ์ศกั ดิ์
6. มิติการคิดและกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดย ทิศนา แขมมณี และคณะ
7. กระบวนการสอนค่านิยมและจริ ยธรรม โดย โกวิท ประวาลพฤกษ์
8. กระบวนการต่าง ๆ โดย กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ
8.1 ทักษะกระบวนการ 9 ขั้น
8.2 กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด
8.3 กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
8.4 กระบวนการแก้ปัญหา
8.5 กระบวนการสร้างความตระหนัก
3. สรุ ป
ให้อภิปรายหาข้อมูลหรื อหลักฐานมาสนับสนุ นคุณค่าของสิ่ งที่จะต้องตระหนักและ
วางเป้าหมายที่จะพัฒนาตนเองในเรื่ องนั้น
8.6 กระบวนการปฏิบัติ
กระบวนการนี้เป็ นกระบวนการที่มุ่งให้ผเู ้ รี ยนปฏิบตั ิจนเกิดทักษะ มีข้นั ตอนดังนี้
1. สังเกตรับรู ้
ให้ผเู ้ รี ยนได้เห็นตัวอย่างหลากหลายจนเกิดความเข้าใจและสรุ ปความคิดรวบยอด
2. ทาตามแบบ
ทาตามตัวอย่างที่แสดงให้เห็นทีละขั้นตอน จากขั้นพื้นฐานไปสู่ งานที่ซบั ซ้อนขึ้น
3. ทาเองโดยไม่มีแบบ
เป็ นการให้ฝึกปฏิบตั ิตามขั้นตอนตั้งแต่ตน้ จนจบด้วยตนเอง
4. ฝึ กให้ชานาญ
ให้ผเู ้ รี ยนปฏิบตั ิดว้ ยตนเองจนเกิดความชานาญหรื อทาได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งอาจเป็ น
งานชิ้นเดิมหรื องานที่คิดขึ้นใหม่
สรุป
การบูรณาการเป็ นการนาศาสตร์สาขาวิชาต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันมาผสมผสานเข้า
ด้ว ยกัน เนื้ อหาวิ ช าต่ าง ๆ ที่ ใ กล้เคี ย งกัน หรื อเกี่ ย วข้อ งกัน ควรน ามาเชื่ อ มโยงกัน เพื่ อ ให้เรี ย นรู ้ อ ย่างมี
ความหมาย ลดความซ้ าซ้อนเชิงเนื้ อหาวิชา แนวคิดสาคัญที่ผสู ้ อนจะนามาใช้เป็ นเทคนิ คในการจัดกิจกรรม
กระตุ้น ให้ผูเ้ รี ยนได้น าข้อมู ล หลากหลายที่ เกิ ดจากการเรี ย นรู ้ ไปสัมพันธ์เชื่ อมโยงก็ คือแนวคิดเกี่ ยวกับ
“การบูรณาการ” เหตุที่ตอ้ งจัดให้มีการบูรณาการหลักสู ตรและการเรี ยนการสอนคือ ในชี วิตของคนเรามี
เรื่ องราวต่าง ๆ ที่สัมพันธ์ซ่ ึงกันและกันไม่ได้แยกออกจากกันเป็ นเรื่ อง ๆ เมื่อมีการบูรณาการเข้ากับชีวิตจริ ง
โดยการเรี ยนรู ้ในสิ่ งที่ใกล้ตวั แล้วขยายกว้างออกไปผูเ้ รี ยนจะเรี ยนรู ้ได้ดีข้ นึ และเรี ยนรู ้อย่างมีความหมาย เปิ ด
โอกาสให้ผเู ้ รี ยนได้ใช้ความรู ้ ความคิด ความสามารถและทักษะที่หลากหลาย
Weblink
https://www.esc.edu/global-learning-qualifications-framework/learning-domains/integrated-knowledge/
https://www.emeraldinsight.com/doi/10.1108/EBS-07-2014-0035
https://kesteven.aero/en/integrated_knowledge
https://www.siemens.com/press/pool/de/materials/sis/2011-04-
sis/whitepaper_integrated_knowledge_management_en_2010.pdf
การประเมินเพื่ อปรับ ปรุ งการสอน (Evaluation to Improve Teaching : E) การประเมิ นการเรี ยนรู ้
ของตนเอง โดยกาหนดค่าคะแนนจากการวิเคราะห์การประเมินการเรี ยนรู ้ดา้ นความรู ้ (Cognitive Domain)
ของบลูม (Bloom’s Taxonomy) การประเมิ นตามสภาพจริ งและการประเมินจากแฟ้ มสะสมงาน เป็ นการ
ตรวจสอบการบรรลุจุดหมายการเรี ยนรู ้การประเมินเพื่อปรับปรุ งการสอนมีวตั ถุประสงค์เพื่อช่วยให้มีความรู ้
ความเข้าใจและทัก ษะในการทบทวนตนเองหลังการสอนซึ่ ง อาจเกิ ด ขึ้ น ได้ท้ ัง ก่ อ นการเรี ย นการสอน
ระหว่างการสอนและหลังจากสอนจบบทเรี ยนแล้ว การจัดกระบวนการพัฒนาการสอนเพื่อพัฒนาการเรี ยนรู ้
ของผูเ้ รี ย น Glickman,Carl D (2002) เสนอแนวคิ ด ในการพัฒ นาโดยใช้วิธี จัดองค์ก รความรู ้ด้านวิชาชี พ
ดังภาพประกอบที่ 7
การทบทวนตนเองหลังการสอนที่มีคุณภาพ
การทบทวนตนเองหลังการสอนเป็ นกระบวนการที่เหมาะกับการปฏิบตั ิงานในอาชีพ เพราะเป็ น
กระบวนการที่ควรปฏิบตั ิ เป็ นการเรี ยนรู ้จากประสบการณ์ กระบวนการนี้มิใช่จะจาเป็ นเฉพาะกับการสอนที่
ดีเท่านั้น แต่ยงั เป็ นความจาเป็ นพื้นฐานสาหรับมนุ ษย์ดว้ ย บอเมสเตอร์ Baumeister,R(1991) กล่าวว่า ชีวิตมี
ความหมายเมื่อเราสนองความต้องการ 4 ประการเหล่านี้ ได้แก่ 1. ด้านวัตถุประสงค์ 2. ด้านค่านิ ยม 3. ด้าน
ประสิ ทธิผล และ 4. ด้านความพึงพอใจในตนเอง
การทบทวนตนเองหลังการสอนช่ วยให้เราเข้าใจการเรี ย นการสอนค าว่า “การท าความเข้าใจ”
Weick,K(1995) กล่าวว่า การทาความเข้าใจเป็ นความคิดและกระบวนการที่ซบั ซ้อน
“ความเข้าใจ” ยังหมายถึง การเพิ่มความระมัดระวังในการมีปฏิสัมพันธ์ในกลุ่มและในสภาวะแวดล้อมที่เรา
สอน ชั้นเรี ยนของเราเป็ นสภาวะแวดล้อมของการเรี ยนการสอนที่พิเศษ เพราะเราสร้างสภาวะแวดล้อมขึ้นมา
และเราก็สามารถแก้ไ ขเปลี่ยนแปลงได้ แต่อย่างไรก็ตามสภาวะแวดล้อมก็มีผลกับวิธีการสอนของเราด้วย
เช่น ในห้องเรี ยนขนาดเล็กและแออัดกิจกรรมที่ทาได้ก็จะเป็ นเพียงประเภทที่ไม่ตอ้ งใช้โต๊ะ
“ความเข้าใจ” มิได้เป็ นเพียงกระบวนการสนทนากับตัวเองเกี่ยวกับเรื่ องการสอนเท่านั้นแต่เกี่ยวข้อง
กับการได้ความรู ้จากการสนทนากับเพื่อนครู ดว้ ยกัน และเปลี่ยนประสบการณ์ กนั และกัน กระบวนการนี้
เป็ นกระบวนการต่อเนื่องที่ตอ้ งการความเป็ นคนช่างสังเกต ต้องสังเกตความเป็ นไปในอาชีพถ้าเห็นว่ามีอะไร
เกิดขึ้น ต้องหาเหตุผลมาอธิ บายเรื่ องที่เกิดขึ้นได้ เช่น ต้องสังเกตเห็นว่าเด็กคนไหนพูดคุยกันอยู่ตลอดเวลา
เด็กคนไหนจับดินสอไม่ถูกวิธี คนไหนรักการอ่าน คนไหนเก่งทดลองวิทยาศาสตร์ และคนไหนใช้เครื่ อง
บันทึกเทปได้เก่ง
สิ่งใดที่ยังขาดตกบกพร่ อง
การประเมินที่ประสบความสาเร็จจะต้ องมีความชัดเจนของจุดมุ่งหมาย
จุดมุ่งหมายในการเรี ยนรู ้ เป็ นข้อความเกี่ยวกับการศึ กษาที่ แสดงถึงความมุ่งมัน่ /เจตนาที่ ต้ งั ใจให้
เกิดขึ้น เช่น ความสามารถในการแก้ปัญหา ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ทักษะด้านการสร้างสรรค์และ
นวัตกรรม เป็ นต้น
วัตถุประสงค์การเรี ยนรู ้ เป็ นข้อความที่มีความเฉพาะให้รายละเอียดที่ได้มาจากจุดมุ่งหมาย ใช้เขียน
บรรยายพฤติกรรมหรื อกิจกรรมที่ผูเ้ รี ยนจะต้องกระทา เช่น ผูเ้ รี ยนจะต้องมีความสามารถในการรวบรวม
จัดการ และวิเคราะห์ขอ้ มูล เพื่อนาไปใช้ในการตัดสิ นใจ ผูเ้ รี ยนสามารถวิเคราะห์เชื่อมโยงข้อมูล
การประเมินผลการเรียนรู้ ตามหลักสู ตร
นิยาม “การประเมินผลการเรียนรู้ ตามหลักสู ตร
การประเมิ นผลการเรี ยนรู ้ตามหลักสู ตร (Curriculum Based Assessment; CBA) คือการให้ผูเ้ รี ยน
เรี ยนรู ้ตามกิจกรรมที่ออกแบบให้สอดคล้องกับหลักสู ตรที่ใช้ จากนั้นนาผลการทดสอบไปใช้ปรับปรุ งการ
เรี ยนการสอนให้ตอบสนองความต้องการจาเป็ นของนักเรี ยน ผูส้ อนนาผลการประเมินตามหลักสู ตรมาใช้
เพื่อปรับเปลี่ยนการสอนของตนเองเพื่อช่วยผูเ้ รี ยนให้พร้อมที่จะเรี ยนเรื่ องต่อไปหรื อกรณี ที่ผเู ้ รี ยนที่มีความ
พร้อมและต้องการก้าวหน้ายิ่งขึ้นนักการศึกษาใช้การประเมินตามหลักสู ตรเพื่อช่วยให้อตั ราการพัฒนาการ
เรี ยนการสอนสู งขึ้นได้ รวมถึงการปรับปรุ งสื่ อการเรี ยนการสอน ด้วยการสังเกตและบันทึกการปฏิบตั ิของ
นักเรี ยนตามที่ ก าหนดไว้ใ นหลัก สู ตรสถานศึก ษา ข้อมูล ต่าง ๆที่ เก็ บรวบรวมได้จะช่ วยในการตัดสิ นใจ
เกี่ยวกับ การเรี ยนการสอน (Deno, 1987, 41).ในการประเมิ นผลการเรี ยนรู ้ตามหลักสู ตรนั้นการตัดสิ นใจ
เกี่ ย วกับ การสอนขึ้ น อยู่กับ ข้อ มู ล ย้อ นกลับ ที่ ไ ด้จากการประเมิ น ความสามารถของผูเ้ รี ย นที่ ร ะบุ ไ ว้ใ น
หลักสู ตร เป้าหมายแรกคือแนวทางในกระบวนการตัดสิ นใจเกี่ยวกับการเรี ยนการสอน ทั้งนี้ เพื่อให้การเรี ยน
การสอนตรงกับความต้องการของผูเ้ รี ยน อันเป็ นการเพิ่มโอกาสที่ประสบความสาเร็ จในการเรี ยนรู ้
การประเมินผลการเรี ยนรู ้ตามหลักสูตรมีจุดเด่นที่บอกถึงภาระงานใดที่ช่วยให้ผเู ้ รี ยนได้พฒั นาความสามารถ
ตามที่หลักสู ตรกาหนด การเลือกภาระงาน และกระบวนการใช้คะแนนมาตรฐาน และการบริ หาร ใช้การ
ประเมินผลการเรี ยนรู ้ตามหลักสู ตรอย่างไรนั้นก็แล้วแต่สถานการณ์ อาจใช้ขอ้ มูลที่ได้จากการประเมินผล
การเรี ยนรู ้ตามหลักสู ตรให้โปรไฟล์ของผูเ้ รี ยนได้ท้ งั ในระดับรายบุคคล ระดับชั้นเรี ยน ระดับสถานศึกษา
และเขตพื้ นที่ การศึ ก ษานอกจากนี้ ข ้อมู ล จากการประเมิ นตามหลัก สู ตรสามารถใช้เป็ นกลุ่ม เปรี ยบเที ย บ
(norm-referenced manner) ที่ ใช้เปรี ยบเที ยบคะแนนของผูเ้ รี ยนรายบุคคล หรื อใช้เป็ นเกณฑ์เปรี ยบเที ย บ
(criterion-referenced manner) ความสามารถของผู ้เรี ย นอัน เป็ นผลมาจากการเรี ย นการสอนที่ สั ม พัน ธ์
สอดคล้องกับความต้องการของผูเ้ รี ยน
การประเมินผลการเรี ยนรู ้ในระดับอุดมศึกษากรอบที่ใช้ในการอ้างอิงทฤษฎีและแนวปฏิบตั ิ ที่เป็ น
ผลการศึกษาวิจยั ของเดวิด นิโคล (David Nicol University of Strathclyde)สรุ ปเป็ นหลักการประเมินผลและ
การให้ขอ้ มูลย้อนกลับที่ดี 10 ข้อดังนี้
การวัดและการประเมินผล
การวัดและการประเมินผลเป็ นภารกิจที่สาคัญอย่างหนึ่งสาหรับผูส้ อน ด้วยเหตุผลที่วา่ การวัดและ
การประเมิ น ผลจะเป็ นวิธี ก ารที่ ป ระเมิ น ความรู ้ ความสามารถของผูเ้ รี ยนตลอดจนใช้เป็ นวิธี ก ารในการ
ตรวจสอบการปฏิบ ัติงานของผูส้ อนได้ว่า ได้ดาเนิ นการสอนให้เป็ นไปตามเป้ าหมายหรื อจุดประสงค์ที่
กาหนดไว้หรื อไม่ ดังนั้นผูส้ อนจึ งจาเป็ นจะต้องมี ความรู ้ ค วามเข้าใจและสามารถดาเนิ นการวัดและการ
ประเมินผลได้เป็ นอย่างดี
การวัดเป็ นกระบวนการเชิงปริ มาณในการกาหนดค่าเป็ นตัวเลขหรื อสัญลักษณ์ที่มีความหมายแทน
คุณลักษณะของสิ่ งที่วดั โดยอาศัยกฎเกณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่ง
ส่ ว นค าว่า “การประเมิ น ผล” นั้ น เป็ นการตัด สิ น เกี่ ย วกับ คุ ณ ภาพหรื อ คุ ณ ค่ า ของวัต ถุ สิ่ ง ของ
โครงการการศึกษาพฤติกรรมการทางานของคนงานหรื อความรู ้ความสามารถของนักเรี ยน
จุดประสงค์ ของการวัดและการประเมินผล
การวัดและการประเมินผลการศึกษาหรื อการเรี ยนการสอนหรื อที่ในปัจจุบนั ใช้คาว่าการจัดการเรี ยนรู ้เ ป็ นไป
เพื่อจุดประสงค์ดงั ต่อไปนี้
1. การจัดตาแหน่ ง (Placement) เป็ นการวัดและการประเมินผลโดยใช้เครื่ องมือต่าง ๆ เพื่อจัดหรื อ
แบ่งประเภทผูเ้ รี ยนแต่ละคนว่ามีความสามารถอยู่ตรงระดับไหนของกลุ่มเก่ง ปานกลาง หรื ออ่อน มากน้อย
เท่าใด ซึ่งสามารถใช้ได้หลาย ๆ กรณี ตัวอย่างเช่น เมื่อจะรับผูเ้ รี ยนเข้าสถานศึกษา ผูเ้ รี ยนแต่ละคนจะมีความ
แตกต่างกันทั้งด้านสติปัญญา ความสนใจ ความถนัด รวมทั้งบุคลิกภาพด้านต่าง ๆ ที่จะต้องมีการคัดเลือกว่า
จะรับผูเ้ รี ยนประเภทใดหรื อไม่รับประเภทใดและถ้ารับเข้ามาแล้วจะจัดแบ่งสาขาวิชาหรื อชั้นเรี ยนอย่างไร
ดังนั้นผูส้ อนหรื อสถานศึ กษาก็จะสามารถใช้การวัดและการประเมิ นผลมาเป็ นเกณฑ์ในการจัดหรื อแบ่ ง
ประเภทได้อย่างยุติธรรม
2. การวินิจฉัย (Diagnosis) จะใช้ในทางการแพทย์ โดยเมื่อแพทย์ตรวจคนไข้แล้ว แพทย์จะต้อง
วินิจฉัยว่าคนไข้เป็ นโรคอะไร หรื อมีสาเหตุอะไรที่ทาให้ไม่สบาย ซึ่ งจะเป็ นการหาสมมติฐานของโรคเพื่อ
นาไปสู่ การรักษา สาหรับในทางการศึกษานั้น การวัดและการประเมินผลที่เป็ นไปเพื่อการวินิจฉัยว่าผูเ้ รี ยน
คนใดมีความสามารถทางด้านใดและเมื่อสอนไปแล้วในแต่ละวิชามี ส่วนใดที่ผูเ้ รี ยนเข้าใจ ชัดเจน ถูกต้อง
หรื อไม่เข้าใจ เข้าใจยังไม่ถูกต้อง ผูส้ อนจะได้สอนหรื อแนะนาทาความเข้าใจใหม่ได้ถูกต้อง
3. การเปรียบเทียบ (Assessment) จุดประสงค์ของการวัดและการประเมิ นผลในข้อนี้ เป็ นไปเพื่อ
การเปรี ยบเทียบความเจริ ญงอกงามหรื อพัฒนาการของการเรี ยนรู ้ของผูเ้ รี ยน โดยการที่ผสู ้ อนอาจจะสอบวัด
ความรู ้ความสามารถของผูเ้ รี ยนไว้ก่อนเมื่อเริ่ มเรี ยนแล้ว หลังจากนั้นเมื่อเลิกเรี ยนไปแล้วระยะหนึ่ง หรื อเมื่อ
การจัดการเรี ยนรู ้และการจัดการชั้นเรี ยน : The STUDIES Model ผศ.ดร.พิจิตรา ธงพานิช 147
เรี ยนไปจนจบแล้วผูส้ อนอาจจะสอบเพื่อวัดและประเมินผลอีกครั้งว่าผูเ้ รี ยนมีความรู ้เพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด
ซึ่ งการกระทาเช่นนี้ เป็ นการแสดงถึงความเจริ ญก้าวหน้าหรื อพัฒนาการเรี ยนรู ้ของผูเ้ รี ยนโดยเปรี ยบเที ยบ
จากผลการสอบก่อนเรี ยนกับผลการสอบหลังจากที่เรี ยนไปแล้ว
4. การพยากรณ์ (Prediction)เป็ นการวัด หรื อประเมิ น ผลเพื่ อ ช่ ว ยในการพยากรณ์ ท านายหรื อ
คาดการณ์ และแนะนาว่าผูเ้ รี ยนคนนั้น ๆ ควรจะเรี ยนอย่างไร จึงจะประสบความสาเร็ จและสอดคล้องกับ
ความสามารถ ความถนัดหรื อความสนใจของแต่ละบุคคล ในทางจิตวิทยาการศึกษานั้นเชื่อกันว่าคนเราทุก
คนมีความแตกต่างกันในหลาย ๆ ด้าน ดังนั้น หากสามารถจัดการศึกษา หรื อการเรี ยนการสอนให้สอดคล้อง
กับความถนัด ความสนใจ หรื อความรู ้ความสามารถของผูเ้ รี ยนแต่ละคนได้ ก็จะทาให้การศึกษาหรื อการ
เรี ยนรู ้ในเรื่ องนั้นๆ ได้รวดเร็ วและประสบความสาเร็ จในการเรี ยนได้เป็ นอย่างดี
5. การป้ อนผลย้ อนกลับ (Feedback) เป็ นการวัดและการประเมินผลเพื่อนาผลประเมินที่ได้ไปใช้
ในการปรับปรุ ง การจัดการเรี ยนการสอนในครั้งต่อ ๆ ไป ผลย้อนกลับนี้ มีได้ท้ งั ส่ วนที่เป็ นของผูส้ อนและ
ส่ วนที่เป็ นของผูเ้ รี ยน ในส่ วนของผูส้ อนเมื่อการจัดการเรี ยนการสอนผ่านไปแต่ละบทเรี ยนหรื อเมื่อจบการ
เรี ยนการสอนแล้ว ผูส้ อนควรมีการวัดและประเมินผลเพื่อดูว่าเทคนิ ค วิธีการสอน สื่ อการเรี ยนการสอน
เนื้ อหาหรื อกิ จกรรมที่ จดั ให้กับ ผูเ้ รี ยนนั้นเกิ ดการเรี ยนรู ้ ตามจุ ดประสงค์หรื อไม่ อย่างไร มี ส่วนใดบ้างที่
จาเป็ นต้อ งปรั บ ปรุ ง แก้ไ ขส่ วนใดบ้า งที่ ดี อ ยู่แ ล้ว ส าหรั บ ในส่ ว นของผู เ้ รี ย นนั้ น เมื่ อ มี ก ารวัด และการ
ประเมินผลแล้ว ผูเ้ รี ยนก็จะได้รับรายงานผลของตนเอง ทาให้ทราบว่าตนเองนั้นมีความรู ้ระดับใด และมีเรื่ อง
ใดบ้างที่เรี ยนรู ้แล้วเข้าใจชัดเจน เรื่ องใดบ้างที่ ยงั ต้องการศึกษาเพิ่มเติมอีก ซึ่ งจะเป็ นประโยชน์อย่างยิ่งแก่
ผูเ้ รี ยนในการศึกษาขั้นสู งต่อ ๆ ไป
6. การเรี ย นรู้ (Learning Experience) เป็ นการวัด และการประเมิ น ผลที่ มี จุ ด ประสงค์ เพื่ อ เป็ น
ตัวกระตุน้ ในรู ปแบบต่าง ๆ ที่ทาให้เกิดการเรี ยนรู ้ที่ดีแล้วยังทาให้เกิดกระบวนการเรี ยนรู ้ที่ดีของผูเ้ รี ยนอีก
ด้วย เนื่ องจากในกรณี ที่ มีก ารสอบเพื่ อวัดและประเมิ นผลนี้ ก่ อนสอบผูเ้ รี ยนจะต้องมี ก ารเตรี ยมตัวสอบ
จะต้องมีการทบทวนเนื้ อหาวิชาที่เรี ยนศึกษาค้นคว้า ทาความเข้าใจให้ถ่องแท้จึงทาให้เกิดการเรี ยนรู ้เพิ่มขึ้น
และถูกต้องชัดเจน และเมื่อผูเ้ รี ยนเข้าทาข้อสอบ โดยที่ขอ้ สอบที่ใช้น้ นั จะเป็ นสภาพการณ์ที่สร้างขึ้น เพื่อให้
ผูเ้ รี ยนตอบแบบที่ตอ้ งใช้ความคิดในหลาย ๆ แง่มุม เช่น คิดแก้ปัญหา คิดคานวณ คิดหาสรุ ป เป็ นต้น ซึ่งการ
คิดเหล่านี้เป็ นกระบวนการที่ก่อให้เกิดการเรี ยนรู ้ที่ดีและมีประสิ ทธิภาพ
การวัดและการประเมินผลนอกจากจะมีจุดประสงค์ดงั กล่าวแล้ว บลูม (Bloom, 1971: 56) ได้เสนอเกี่ยวกับ
จุดประสงค์ที่จะทาการวัดและการประเมินผลโดยเน้นที่จุดประสงค์หรื อพฤติกรรมที่ตอ้ งการวัดได้ ไว้ดงั นี้
1. วัดทางปัญญาหรื อพุทธิพิสัย (Cognitive Domain)
2. วัดทางความรู ้สึกนึกคิดหรื อจิตพิสัย (Affective Domain)
3. วัดความสามารถในการใช้อวัยวะต่าง ๆ หรื อทักษะพิสัย (Psychomotor Domain)
แบบทดสอบแบบอัตนัย/แบบความเรียง แบบทดสอบแบบปรนัย
1. ผูส้ อบมีจานวนไม่มากนัก 1. ผูส้ อบมีจานวนมาก ๆ
2. ต้องการสอบวัดความสามารถที่ซบั ซ้อน 2. ต้องการนาข้อสอบไปวิเคราะห์และเก็บไว้ใช้
3. ต้องการส่งเสริ มทักษะเชิงความคิดและการ อีก
แสดงออก 3. ต้องการสอบวัดรายละเอียดเนื้อหาย่อย ๆ
4. ผูส้ อบต้องมีความสามารถในการเขียนและทักษะ 4. ไม่ตอ้ งการวัดทักษะและความรู ้สึกนึ กคิดอื่น
ทางภาษาที่ดี นอกจากผลสัมฤทธิ์
5. ต้องการวัดทักษะและความรู ้สึกนึกคิดอื่นด้วย 5. มีเวลาออกข้อสอบมากและต้องการผลสอบ
นอกจากวัดผลสัมฤทธิ์ เร็ว
6. มีเวลาออกข้อสอบน้อย แต่มีเวลาตรวจข้อสอบมาก
สรุป
การประเมินผลเพื่อปรับปรุ งการเรี ยนการสอน จะทาให้ท้ งั ผูส้ อนและผูเ้ รี ยนปรับปรุ งตนเองอยูเ่ สมอ
เพราะการประเมินผลเพื่อปรับปรุ งการเรี ยนการสอนอาศัยการประเมินตัวต่อตัว ประเมินกลุ่มย่อยและการ
ทดลองภาคสนาม การออกแบบการเรี ยนการสอนจะทาให้การประเมินในลักษณะนี้ มีความชัดเจนขึ้น และ
ใช้การประเมินแบบอิงเกณฑ์ โดยประเมินผูเ้ รี ยนแต่ละคนเปรี ยบเทียบกับจุดประสงค์ หรื อจุดหมายและ
ระดับคุณภาพ (เกณฑ์) ที่กาหนดไว้นอกจากนี้ยงั เป็ นการเสริ มสร้างนิสัยที่พึงปรารถนาให้แก่ผเู ้ รี ยนอีกด้วยที่
จัดการเรี ยนการสอนแบบร่ วมมือกันเป็ นพื้นฐานแล้วผูเ้ รี ยนจะติดนิสัยการให้ความร่ วมมือกันจะทาให้สังคม
ได้เยาวชนและผูป้ ระกอบวิชาชีพในสาขาต่าง ๆ ที่เห็นแก่ส่วนรวม มีความเป็ นประชาธิ ปไตยยอมรับความ
คิดเห็น และปฏิบตั ิตามมติของกลุ่มแม้ว่าตนเองจะไม่เห็นด้วยรู ้จกั ช่วยให้กลุ่มประสบความสาเร็ จในงาน
เพราะงานบางอย่าง บางประเภทไม่อาจทาสาเร็ จได้โดยลาพังผูเ้ ดียว ต้องอาศัยความร่ วมมือช่วยเหลือซึ่ งกัน
และกันส่ วนกลุ่มที่ มีการแข่งขันกันนั้นควรจะเป็ นการเสริ มแรงทางบวกคือการแข่งขันกับตนเองเพื่อที่ จะ
เอาชนะใจตนเองมีวินยั ในตนเองและพัฒนาตนเองในที่สุด
Weblink
https://trove.nla.gov.au/nbdid/14545086
https://capitadiscovery.co.uk/chi-ac/items/430884
https://www.mheducation.co.uk/openup/chapters/9780335222407.pdf
https://www.qcaa.qld.edu.au/downloads/p_10/ey_lt_reflect_teaching_prac.pdf
http://www.ascilite.org/conferences/melbourne01/pdf/papers/bensonr.pdf
https://www.tandfonline.com/doi/pdf/10.1080/23265507.2014.998159
การประเมินผลและการนิเทศ
Carr, Judy F and Harris, Douglas E. (2001: 153) กล่ าวสรุ ป ไว้ว่า การพัฒ นาวิช าชี พ การนิ เทศ
และการประเมินผล มี จุดหมายเพื่ อให้ผูเ้ รี ยนมี พ ฒ ั นาการเรี ยนรู ้ตามมาตรฐาน และได้น าเสนอหลักการ
ดาเนินการพัฒนาด้านวิชาชีพที่อิงมาตรฐาน 7 ประการ ดังนี้
หลักการที่ 1 ประสบการณ์การพัฒนาวิชาชีพที่มีประสิ ทธิภาพเกิดจากภาพลักษณ์ที่ดีดา้ นการเรี ยน
การสอน การพัฒนาวิชาชีพตามระบบที่เชื่อมโยงด้วยมาตรฐาน มีคาถามที่เกี่ยวข้องเพื่อที่จะบรรลุมาตรฐาน
ดังต่อไปนี้
1. ใครจะรับผิดชอบมาตรฐานใด
2. แนวทางการเรี ยนการสอนจะเป็ นอย่างไร ในชั้นเรี ยนผูส้ อนและผูเ้ รี ยนจะมีบทบาทอย่างไร
3. ระดับผลการเรี ยนรู ้ที่ คาดหวังควรตั้งไว้เท่ าใด ใช้เกณฑ์ใดในการกาหนดผลสัมฤทธิ์ ของ
มาตรฐาน และจะประเมินมาตรฐานอย่างไร
4. ใช้ขอ้ มูลใดบ่งบอกว่าบรรลุมาตรฐาน และอะไรบ้างที่นาไปใช้ในการเรี ยนการสอน
หลักการที่ 2 ประสบการณ์การพัฒนาวิชาชีพที่มีประสิ ทธิภาพให้โอกาสผูส้ อนได้สร้างองค์ความรู ้
และทักษะของตนเอง เป้ าหมายของการวางแผนการสอน มีขอบข่ายเนื้ อหาที่จะปรับปรุ งผลการเรี ยนรู ้ของ
ผูเ้ รี ยนอย่างชัดเจน โดยเชื่ อมโยงลาดับ ความสาคัญของการพัฒนาวิชาชี พกับแผนการสอน กรณี ตวั อย่าง
สถานศึกษากาหนดแผนการพัฒนาประกอบด้วยประเด็นหลัก 3 ประเด็น คือ การวิเคราะห์ผลงานของผูเ้ รี ยน
การจัดทาแฟ้ มสะสมงาน และการพัฒนาวิธีการวัดผลหลังจบหลักสู ตร ในแต่ละประเด็นเน้นการพัฒนา
ความสามารถของผูส้ อนในด้านการสอนและประเมินการแก้ปัญหา โดยเปิ ดโอกาสให้จดั ทาแผนพัฒนา
วิชาชีพระยะยาว
หลักการที่ 3 ประสบการณ์การพัฒนาวิชาชีพที่มีประสิ ทธิภาพใช้หรื อเป็ นตัวแบบกลยุทธ์การสอน
ที่ ผูส้ อนจะใช้กับ ผูเ้ รี ยน การสร้ างตัวแบบเริ่ มโดยเน้นที่ ม าตรฐาน โดยคาดหวังว่าผูส้ อนจะต้องสอนให้
เป็ นไปตามมาตรฐาน การกาหนดโครงการพัฒนาวิชาชี พจึงต้องยึดมาตรฐาน ตัวอย่างเช่น การใช้ผลการ
เรี ยนรู ้ ข องผูเ้ รี ย นเป็ นข้อมู ล พื้ นฐานในการพัฒนาครู ครู ตอ้ งร่ วมกัน วิเคราะห์ ผลการเรี ยนรู ้ ข องนัก เรี ย น
ทบทวนสิ่ งที่ นาไปปฏิ บตั ิ ที่ส่งผลต่อการเรี ยนรู ้ของนักเรี ยนแต่ละคน รวมทั้งศึกษาวิจยั เนื้ อหาสาระและ
วิธีการสอนตามความต้องการของนักเรี ยน สิ่ งต่าง ๆ เหล่านี้ สะท้อนให้เห็นการปฏิบตั ิการสอนที่ดีที่สุดใน
ชั้นเรี ยนที่ยดึ มาตรฐานเป็ นเกณฑ์
การประกันคุณภาพการศึกษา
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 48 “ให้หน่วยงานต้นสังกัด และสถานศึกษา
จัดให้มีระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาและให้ถือว่าการประกันคุณภาพภายใน เป็ น
ส่วนหนึ่งของกระบวนการบริ หารการศึกษาที่ดาเนินการอย่างต่อเนื่อง”
การประกันคุณภาพการศึกษาเป็ นเครื่ องมือสาคัญในการพัฒนาคุณภาพของผูเ้ รี ยนให้ได้มาตรฐาน
ทั้งในระดับอุดมศึกษา และระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งแนวคิดที่เกี่ยวข้องมีดงั ต่อไปนี้
1. การประกั น คุ ณ ภาพเครื อ ข่ า ยมหาวิ ท ยาลั ย อาเซี ย น (ASEAN Cooperation Initiative in
Quality Assurance)
การประกันคุณภาพการศึกษาเป็ นเครื่ องมือที่สาคัญในการสร้างมาตรฐานและเสริ มสร้าง
คุณภาพการศึ กษาของหลักสู ตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบการประกันคุณภาพการศึ กษาระดับในอาเซี ยน
(AUN Quality Assurance - AUN-QA) ที ่ต ระหนัก ถึง ความส าคัญ ของประกัน คุณ ภาพการศึก ษาใน
ระดับอุดมศึกษาและความจาเป็ นในการพัฒนาระบบประกันคุณภาพแบบองค์รวมเพื่อยกระดับมาตรฐาน
การศึ ก ษา ให้ แ ก่ ม หาวิ ท ยาลัย ในเครื อ ข่ า ย AUN เครื อ ข่ า ยมหาวิ ท ยาลัย อาเซี ย น (ASEAN University
Network AUN) ซึ่ งระบบประกันคุณภาพการศึกษาในอาเซี ยน (AUN Quality Assurance – AUN-QA) เป็ น
กลไกการประกันคุณภาพการศึกษาและสร้างมาตรฐานการอุดมศึกษาของมหาวิทยาลัยสมาชิกให้เป็ นไปใน
ทิศทางเดียวกัน การรับรองมาตรฐานระดับหลักสู ตรจะเริ่ มต้นจากความต้องการของผูม้ ีส่วนได้ส่วนเสี ย และ
การจัดการเรี ยนรู ้และการจัดการชั้นเรี ยน : The STUDIES Model ผศ.ดร.พิจิตรา ธงพานิช 171
นามากาหนดไว้ในผลลัพธ์การเรี ยนรู ้ที่คาดว่าจะได้รับ ซึ่ งเป็ นตัวขับเคลื่อนหลักสู ตรการรับรองมาตรฐาน
คุ ณ ภาพระดั บ หลัก สู ต ร ตามเกณฑ์ ASEAN University Network Quality Assurance: AUN-QA โดยมี
เกณฑ์พิจารณา 11 หมวด ได้แก่
1. ผลการเรี ยนรู ้ที่คาดหวังไว้
2. ข้อกาหนดหลักสูตร
3. โครงสร้างหลักสู ตรและเนื้อหา
4. แนวทางการสอนและการเรี ยนรู ้
5. การประเมินผลนักศึกษา
6. คุณภาพบุคลากรสายวิชาการ
7. คุณภาพบุคลากรสายสนับสนุน
8. คุณภาพของนักศึกษาและการสนับสนุน
9. สิ่ งอานวยความสะดวกและโครงสร้างพื้นฐาน
10. การเพิ่มคุณภาพ
11. ผลผลิต
มหาวิทยาลัยในเครื อข่าย AUNได้มีการนาเกณฑ์ดงั กล่าวมาใช้ในการประกันคุณภาพการศึกษา
ระดับ หลัก สู ตร (AUN - QA Assessment)โดยหลัก สู ตรที่ มีความพร้อม มหาวิทยาลัยจะยื่นขอรับรองโดย
AUN-QA ต่อไป
การกาหนดระดับคุณภาพผลการเรียนรู้
The SOLO taxonomy
The SOLO taxonomy เป็ นการจัดระดับเพื่อประโยชน์ในการแสดงคุณสมบัติเฉพาะในระดับต่าง
ๆ กันของคาถาม และคาตอบที่คาดว่าจะได้รับจากผูเ้ รี ยน เป็ นชุดของเกณฑ์การประเมินผลการเรี ยนรู ้ที่เป็ น
ผลงานของ Biggs,J. and Collis,K. (1982). “SOLO, มาจากคาว่า Structure of Observed Learning Outcome,
:เป็ นระบบที่นามาช่วยอธิ บายว่า ผูเ้ รี ยนมีพฒั นาการการปฏิบตั ิที่ซับซ้อนอย่างไร ในการเรี ยนเพื่อรอบรู ้ที่มี
ความหลากหลายของภาระงานทางวิชาการโดยที่นิยามจุดประสงค์ของหลักสูตร ในสภาพที่พึงประสงค์ของ
การปฏิบตั ิ เพื่อประเมินผลการเรี ยนรู ้ของผูเ้ รี ยนแต่ละคนที่ปฏิบตั ิได้จริ ง
การจัดระดับSOLO คาถามและการตอบสนองที่คาดหวังจากผู้เรียน
ระดับโครงสร้างขั้นพื้นฐาน ผูเ้ รี ยนได้รับข้อมูลเป็ นส่วน ๆ ที่ไม่ปะติดปะต่อกัน
(Pre-structural level) ไม่มีการจัดการข้อมูล
ความหมายโดยรวมของข้อมูลไม่ปรากฏ
ระดับโครงสร้างเดี่ยว ผูเ้ รี ยนเชื่อมโยงข้อมูลพื้นฐาน ง่ายต่อการเข้าใจ
(Uni-structural level) ไม่แสดงความหมายของความเกี่ยวโยงของข้อมูล
ระดับโครงสร้างหลากหลาย ผูเ้ รี ยนเชื่อมโยงข้อมูลหลาย ๆ ชนิดเข้าด้วยกัน
(Multi-structural level) ความหมายของความสัมพันธ์ระหว่างความเกี่ยวโยงของ
ข้อมูลไม่ปรากฏ
ระดับความสัมพันธ์ของโครงสร้าง ผูเ้ รี ยนแสดงความสัมพันธ์ของความเกี่ยวโยงของข้อมูลได้
(Relational Level) นักเรี ยนแสดงความสัมพันธ์ของความเกี่ยวโยงของข้อมูล
และภาพรวมทั้งหมดได้
ระดับความต่อเนื่องภาคขยาย นักเรี ยนเชื่อมโยงข้อมูลนอกเหนือจากหัวข้อเรื่ องที่ได้รับ
(Extended Abstract Level) ผูเ้ รี ยนสามารถสรุ ปและส่งผ่านความสาคัญ และแนวคิดที่
ซ่อนอยูภ่ ายใต้กรณีตวั อย่าง
1. ทาให้ ILO ชัดเจนยิง่ ขึ้น (ความมุ่งมัน่ /เจตนา (Intended) การเรี ยนรู ้ (Learning) ผลผลิต
(Outcomes)
2. การทดสอบสมรรถนะ ILO’s การสอน
ครู ผสู ้ อนต้องบอกกระบวนการ ILO ในการบรรลุผลการเรี ยนรู ้ ให้นกั เรี ยนได้รับทราบด้วย
ตรวจสอบและทบทวน
ในการเขียนแผนจัดการเรี ยนรู ้ข้นั การประเมินการเรี ยนรู ้อิงมาตรฐาน ปฏิบตั ิการเขียนแผนจัดการ
เรี ยนรู ้ดว้ ยการเขียนระดับคุณภาพของผลการเรี ยนรู ้ (Rubrics) ซึ่งอาจใช้แนวทางการกาหนดระดับคุณภาพ
ของสมรรถนะตามแนวคิด SOLO Taxonomy การเรี ยนรู ้อย่างลุ่มลึกไม่ใช่เรี ยนแบบผิวเผินหรื อแนวทาง
อื่น ๆ
Weblink
https://sgs.bopp-obec.info/menu/Data/ระเบียบงานวัดผล.pdf
schoolmis.obec.expert/v51_4.pdf
www2.feu.ac.th/admin/pr/download/การวัดผลประเมินผล.pdf
http://202.29.213.20/nkp1news/administrator/modules/mod_photo/myfile/120820161181.pdf
http://www.ascd.org/publications/books/100043/chapters/Standards-
Based_Curriculum_and_Assessment_Design.aspxhttps://www.youtube.com/watch?v=RzKnUQS_mp8
https://www.youtube.com/watch?v=y8Tc2rp3J60
แนวคิดเกีย่ วกับการจัดการชั้นเรียน
Paul Burden (1993) ให้คาอธิบายว่า การจัดการชั้นเรี ยน (Classroom management)เป็ นกลยุทธ์
และการปฏิบตั ิที่ครู ใช้เพื่อคงสภาพความเป็ นระเบียบเรี ยบร้อย
Jere Brophy (1996) ให้ความหมายไว้ว่าการจัดการชั้นเรี ยนคือ การที่ครู สร้างสภาพสิ่ งแวดล้อมใน
การเรี ยนรู ้ที่ ช่วยให้การจัดการเรี ยนการสอนที่ ประสบผลสาเร็ จในด้านสิ่ งแวดล้อมทางกายภาพ (physical
environment) การสร้างกฎระเบียบและการทาให้บทเรี ยนมีความน่ าสนใจรวมทั้งการมีส่วนร่ วมของผูเ้ รี ยน
ในกิจกรรมทางวิชาการในชั้นเรี ยน
Kauchak and Eggen (1998) กล่าวถึง การบริ หารจัดการชั้นเรี ยนว่า ประกอบด้วย การวางแผนและ
การปฏิ บ ัติข องครู ที่ ส ร้ างสรรค์ส ภาพแวดล้อมอย่างเป็ นระบบ เพื่ อ ส่ งเสริ มการเรี ยนรู ้ ของผูเ้ รี ย นโดยมี
เป้าหมายของการบริ หารจัดการ 2 ประการสาคัญคือ
1. สร้างสิ่ งแวดล้อมต่าง ๆ ที่จะส่ งเสริ มให้การเรี ยนรู ้ ของผูเ้ รี ยนให้มีความเป็ นไปได้มากที่สุด
ครู จะสะท้อนการปฏิ บ ัติงานของตนเองด้วยการถามตนเองว่า สามารถการบริ ห ารจัดการเอื้ ออานวยให้
นักเรี ยนได้เรี ยนรู ้อย่างไรและเพียงใด
2. พัฒนาศักยภาพของผูเ้ รี ยนให้สามารถจัดการในการเรี ยนรู ้ได้ดว้ ยตนเองโดยถือว่าการบริ หาร
จัดการชั้นเรี ยนเป็ นเครื่ องมื อในการส่ งเสริ มให้ผูเ้ รี ยนสามารถเรี ยนรู ้และสร้างความเข้าใจได้ด้วยตนเอง
ประเมินตนเองและกากับดูแลตนเองได้เหมาะสมตามวัย
Moore,Kenneth (2001) อธิ บายว่า การบริ หารจัดการชั้นเรี ยนเป็ นกระบวนการของการจัดระบบ
ระเบียบในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ให้ผเู ้ รี ยนได้เรี ยนรู ้ ซึ่ งการบริ หารจัดการชั้นเรี ยนจะเกี่ยวข้องกับการรักษา
ระเบี ย บวิ นั ย และควบคุ ม ชั้น เรี ย น แต่ ย งั มี เรื่ องต่าง ๆ ที่ เกี่ ย วข้องได้แก่ การสร้ างและการดู แลเอาใจใส่
บรรยากาศสิ่ งแวดล้อมของห้องเรี ยนเพื่อให้การจัดการเรี ยนรู ้บรรลุเป้าหมาย
Susan Colville-Hall (1999) ได้กล่าวถึง การจัดการชั้นเรี ยนไว้ว่าเป็ นพฤติ กรรมการสร้างและคง
สภาพเงื่อนไขของการเรี ยนรู ้ เพื่อช่วยให้การเรี ยนการสอนมีประสิ ทธิ ภาพและเกิ ดประสิ ทธิ ผลในชั้นเรี ยน
ซึ่ งถือเป็ นชุมชนแห่ งการเรี ยนรู ้ การจัดการชั้นเรี ยนที่ มีคุณภาพต้องเป็ นกระบวนการที่ ดาเนิ นการไปอย่าง
ต่อเนื่ องโดยสร้างแรงจูงใจในการเรี ยนรู ้ การให้ผลย้อนกลับและการจัดการเกี่ยวกับการปฏิบตั ิกิจกรรมการ
เรี ย นของผูเ้ รี ย น ซึ่ ง ครู ต้องเป็ นผูด้ าเนิ น การเชิ งรุ ก (proactive) มี ค วามรั บ ผิ ดชอบ (responsive) และเป็ น
ผูส้ นับสนุน (supportive)
แนวทางการจัดสภาพแวดล้ อมการเรียนรู้
สุจิตรา ปันดี (2558 :71-74) สรุ ปไว้วา่ การจัดสภาพแวดล้อมทางการเรี ยนรู ้จะช่วยส่งเสริ มให้
ผูเ้ รี ยนเกิดการเรี ยนรู ้อย่างเป็ นกระบวนการ ดังจะอธิบายแนวทางได้ดงั นี้
1.เป้าหมายการเรี ยนรู ้ (Learning Target )
เป็ นสิ่ งแรกที่ผเู ้ รี ยนควรจะได้รู้จุดหมายปลายทางการเรี ยนรู ้ของผูเ้ รี ยนว่าจะเรี ยนอะไร ลึกซึ้ ง
แค่ไหนรวมถึงวิธีที่จะแสดงให้เห็นถึงการเรี ยนรู ้ใหม่ของผูเ้ รี ยน (Moss &Brookhart, 2009) ความคาดหวัง
ตั้งใจของผูเ้ รี ยนเป็ นสิ่ งสาคัญที่ผเู ้ รี ยนควรเรี ยนรู ้มิฉะนั้นอาจจะเป็ นเหมือนการเรี ยนรู ้โดยไร้ทิศทาง
เป้ าหมายการเรี ยนรู ้ ยังมีความหมายดังต่อไปนี้ สาระมาตรฐาน (Content standards) ตัวชี้ วดั
(Benchmarks) ผลที่ คาดหวั ง ตามระดั บ ชั้ น(Grade level expectations) ผลลั พ ธ์ ก ารเรี ยนรู ้ ( Learning
outcomes) วัตถุประสงค์ของบทเรี ยน(Lesson objectives)ฐานการเรี ยนรู ้ (Learning statements)รวมทั้งสาระ
การเรี ยนรู ้ (Essential learning)
สิ่ ง ส าคัญ ในการที่ จะระบุ เป้ า หมายการเรี ย นรู ้ ใ ห้ ชัด เจนนั่น หมายถึ ง ความสามารถในการ
ประเมินการเรี ยนรู ้ดว้ ย ดังนั้นหัวใจสาคัญในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ของผูเ้ รี ยนไม่ได้มุ่งเป้ าไปที่จะประเมินผล
การเรี ยนรู ้อย่างไรแต่ควรจะสนใจสิ่ งที่ใช้ประเมินผลการเรี ยนรู ้น้ นั บทบาทของครู ในการจัดการเรี ยนการ
สอนที่มุ่งมัน่ (intentional teaching) คือ การเรี ยนการสอนและกิจกรรมในชั้นเรี ยนมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป้าหมาย
การเรี ยนรู ้ที่เฉพาะเจาะจงเป็ นการกาหนดเป้ าหมายการเรี ยนรู ้และระบุสิ่งที่จะใช้ประเมินผลการเรี ยนรู ้ การ
วางแผนการสอนและประสบการณ์ การสอนจะช่วยให้ผูส้ อนรู ้ว่าอะไรคือสิ่ งที่ ผูเ้ รี ยนควรเรี ยนและจะจัด
กระบวนการเรี ยนรู ้ให้กบั ผูเ้ รี ยนได้อย่างไรกลยุทธ์การจัดการเรี ยนรู ้ที่จะช่วยพัฒนาผลสัมฤทธิ์ให้ผเู ้ รี ยนคือ
การใช้วิจยั เป็ นฐาน (Research-Based Strategies)
ประโยชน์ของเป้าหมายการเรี ยนรู ้ต่อผูส้ อน
1. รู ้วา่ อะไรคือสิ่ งที่จะประเมิน การคัดเลือกการประเมินที่เหมาะสม
2. ความชัดเจนในกิจกรรมการเรี ยนการสอนเพื่อนาไปวางแผนการสอนที่เฉพาะเจาะจง
3. ความสามารถในสมดุลระหว่างความลึกและความครอบคลุม
Abstract
The purposes of this research were to develop and examine the efficacy of a constructionist
learning model called the STUDIES Model and to evaluate its effectiveness of per the following criteria:
(1) Education students’ knowledge before and after the STUDIES Model had been applied to instruction
and classroom management;(2) their ability to develop lesson plans based on the STUDIES Model;(3)
their ability to put the STUDIES Model into practice; and (4) their opinions on the STUDIES Model.
Using cluster random sampling, the samplecomprised24 students majoring in English at the Faculty of
Education, Nakhon Phanom University, in the second semester of the 2017 academic year. Instruments
used in data collection were the STUDIES Model, lesson plans, tests, an evaluation form for lesson
planning, and an evaluation form for lesson plan application. The information obtained was analyzed
using t-test, mean, standard deviation, and content analysis.
The STUDIES Model-which is an initialism that stands for Setting learning goals, Task analysis,
Universal design for instruction, Digital learning, Integrated knowledge, Evaluation to improve teaching,
and Standard based assessment-met the criterion proficiency standard of 80.56 / 80.68 In terms of its
efficacy, the STUDIES Model produced the intended result: students were found to have an increase in
their knowledge than before the application of the model with a significant statistical difference of .01. In
terms of its effectiveness, the students’ ability to plan lessons using the STUDIES Model was found to be
at a “hight level” while their performance in new situations was found to be at the “Creative-Generative
level.” Their ability to execute their lesson plans using the STUDIES Model was found to be at a
“medium level” as well, while their performance in new situations was found to be at the “Meditative.”
Overall, students “strongly agreed” with the STUDIES model and “moderately agreed” with its benefits,
classroom atmosphere, and classroom activities.
บทคัดย่อ
การศึกษาวิจยั ครั้งนี้ มีวตั ถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาและทดสอบประสิ ทธิ ภาพของ The STUDIES Model
2) ประเมินประสิ ทธิ ผลของ The STUDIES Model ดังนี้ 1) เปรี ยบเทียบผลสัมฤทธิ์ด้านความรู ้เรื่ องการจัดการ
เรี ย นรู ้ แ ละการจัด การชั้ น เรี ย นก่ อ นและหลัง การเรี ย นรู ้ ด้ ว ยรู ป แบบ The STUDIES Model 2) ศึ ก ษา
ความสามารถในการเขี ย นแผนการจัด การเรี ย นรู ้ ต ามรู ป แบบ The STUDIES Model และ 3) เพื่ อ ศึ ก ษา
ความสามารถในการปฏิบตั ิตามแผนการจัดการเรี ยนรู ้รูปแบบ The STUDIES Model 4) ความคิดเห็นของ
นักศึกษาวิชาชีพครู ที่มีต่อการจัดการเรี ยนรู ้ตามรู ปแบบ The STUDIES Model กลุ่มตัวอย่างได้มาจากการ
สุ่ มแบบกลุ่ม คือ นักศึกษาวิชาชี พครู ช้ นั ปี ที่ 2 วิชาเอกภาษาอังกฤษ คณะครุ ศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม
กาลังศึก ษาในภาคเรี ย นที่ 2 ปี การศึ ก ษา 2560 จานวน 24 คน เครื่ องมื อที่ ใช้ในการวิจัย คือ รู ปแบบการ
เรี ย นรู ้ ที่ ผูว้ ิ จัยสร้ างขึ้ น เรี ย กว่า The STUDIES Model แผนการจัดการเรี ย นรู ้ แบบทดสอบความรู ้ แบบ
ประเมินการเขียนแผนจัดการเรี ยนรู ้และแบบประเมินความสามารถในการปฏิบตั ิตามแผนการจัดการเรี ยนรู ้
วิเคราะห์ขอ้ มูลโดยการทดสอบค่าที ค่าเฉลี่ย ส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจยั พบว่า
1) รู ปแบบการเรี ยนรู ้ มีชื่อว่า รู ปแบบ The STUDIES Model มี 7 ขั้นตอน คือ 1) กาหนดจุดหมาย
การเรี ยนรู ้(S) 2) วิเคราะห์ภาระงาน(T) 3) การออกแบบการเรี ยนการสอนที่เป็ นสากล(U) 4) การเรี ยนรู ้จาก
สื่ อดิจิทลั (D) 5) การบูรณาการความรู ้(I) 6) การประเมินเพื่อปรับปรุ งการสอน(E) และ 7) การประเมินอิง
มาตรฐาน(S) รู ปแบบการเรี ยนรู ้ The STUDIES Model มีประสิ ทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 ได้ค่าประสิ ทธิภาพ
E1/E2 = 80.56 / 80.68
2) ประสิ ท ธิ ผลของรู ปแบบ The STUDIES Model มี ดังนี้ 2.1) นักศึก ษาวิชาชี พ ครู มีผลสัมฤทธิ์
ด้า นความรู ้ ห ลัง เรี ย นสู ง กว่ า ก่ อ นเรี ย นด้ว ยรู ป แบบ The STUDIES Model อย่างมี นั ย ส าคัญ ทางสถิ ติ ที่
ระดับ.01 2.2) นักศึกษาวิชาชีพครู ส่วนใหญ่มีความสามารถในการเขียนแผนการจัดการเรี ยนรู ้ในระดับดี/สู ง
คือ การเขี ยนแผนการจัดการเรี ยนรู ้ได้ใ นระดับ สร้ างสรรค์สิ่ งใหม่ (Creative - Generative) 2.3) นัก ศึก ษา
การจัดการเรี ยนรู ้และการจัดการชั้นเรี ยน : The STUDIES Model ผศ.ดร.พิจิตรา ธงพานิช 207
ส่ ว นใหญ่ มี ค วามสามารถในการใช้แ ผนการจัด การเรี ย นรู ้ ได้ใ นระดับ พอใช้ /ปานกลาง คื อ ขั้น ปรั บ
ประยุกต์ใช้ (Meditative) การปฏิบตั ิได้บางส่วนยังไม่ครบถ้วนตามรู ปแบบ The STUDIES Model
3. ความคิดเห็นของนักศึกษาวิชาชีพครู ที่มีต่อรู ปแบบ The STUDIES Model โดยภาพรวมเห็นด้วย
ในระดับมาก โดยด้านประโยชน์ที่ได้รับ เห็นด้วยในระดับมากที่สุด รองลงมาเห็นด้วยในระดับมาก ด้าน
บรรยากาศ และด้านกิจกรรม ตามลาดับ
คาสาคัญ : การพัฒนารู ปแบบ/การจัดการเรี ยนรู ้/การเรี ยนรู ้เน้นผูเ้ รี ยนเป็ นสาคัญ
Abstract
The purposes of this research were to develop and examine the efficacy of a constructionist
learning model called the STUDIES Model and to evaluate its effectiveness of per the following criteria:
(1) Education students’ knowledge before and after the STUDIES Model had been applied to instruction
and classroom management;(2) their ability to develop lesson plans based on the STUDIES Model;(3)
their ability to put the STUDIES Model into practice; and (4) their opinions on the STUDIES Model.
Using cluster random sampling, the samplecomprised24 students majoring in English at the Faculty of
Education, Nakhon Phanom University, in the second semester of the 2017 academic year. Instruments
used in data collection were the STUDIES Model, lesson plans, tests, an evaluation form for lesson
planning, and an evaluation form for lesson plan application. The information obtained was analyzed
using t-test, mean, standard deviation, and content analysis.
The STUDIES Model-which is an initialism that stands for Setting learning goals, Task analysis,
Universal design for instruction, Digital learning, Integrated knowledge, Evaluation to improve teaching,
and Standard based assessment-met the criterion proficiency standard of 80.56 / 80.68 In terms of its
efficacy, the STUDIES Model produced the intended result: students were found to have an increase in
their knowledge than before the application of the model with a significant statistical difference of .01. In
terms of its effectiveness, the students’ ability to plan lessons using the STUDIES Model was found to be
at a “hight level” while their performance in new situations was found to be at the “Creative-Generative
level.” Their ability to execute their lesson plans using the STUDIES Model was found to be at a
“medium level” as well, while their performance in new situations was found to be at the “Meditative.”
Overall, students “strongly agreed” with the STUDIES model and “moderately agreed” with its benefits,
classroom atmosphere, and classroom activities.
Keywords : Model Development / Learning Management / Learner-centered Learning
ขอบเขตการวิจัย
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เป็ นนักศึกษาวิชาชีพครู คณะครุ ศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม ที่ผวู ้ ิจยั
เป็ นผูส้ อน จานวน 4 กลุ่ม รวมจานวน 105 คน กลุ่มตัวอย่างได้มาจากการสุ่ มแบบกลุ่ม (Cluster Sampling)
ได้แก่ นักศึกษาวิชาเอกภาษาอังกฤษ ชั้นปี ที่ 2 คณะครุ ศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม ที่กาลังศึกษาในภาค
เรี ยนที่ 2 ปี การศึกษา 2560 จานวน 24 คน
ขอบเขตด้านเนื้อหา
เนื้ อหาตามมาตรฐานวิชาชีพครู ของคุรุสภา (มาตรฐานที่ 6 การจัดการเรี ยนรู ้และการจัดการชั้นเรี ยน
กาหนดระยะเวลาการเรี ยน 1 ภาคเรี ยน จานวน 16 สัปดาห์
ตัวแปรต้น ได้แก่ การจัดการเรี ยนการสอนตามรู ปแบบ The STUDIES Model เพื่อส่งเสริ ม
ความสามารถในการจัดการเรี ยนรู ้และการจัดการชั้นเรี ยนสาหรับนักศึกษาวิชาชีพครู
ตั ว แปรตามได้ แ ก่ 1) ผลสั ม ฤทธิ์ ด้า นความรู ้ เรื่ อ งการจัด การเรี ย นรู ้ แ ละการจัด การชั้ น เรี ย น
2) ความสามารถในการเขียนแผนการจัดการเรี ยนรู ้ 3) ความสามารถในการปฏิบตั ิตามแผนการจัดการเรี ยนรู ้
และ 4) ความคิดเห็นของนักศึกษาวิชาชีพครู ที่มีต่อรู ปแบบ The STUDIES Model เพื่อส่งเสริ มความสามารถ
ในการจัดการเรี ยนรู ้และการจัดการชั้นเรี ยนส าหรั บนักศึ กษาวิชาชี พ ครู การพัฒนาโครงร่ างรู ปแบบ The
STUDIES Model รายละเอียดดังตารางที่ 1
ปรับปรุ งแก้ไข
ตรวจสอบ/
ปรับปรุ ง
ไม่ผา่ น แก้ไข
ปรับปรุ งแก้ไข ผ่าน
เผยแพร่
ข้อเสนอแนะเพื่อนาผลการวิจัยไปใช้
1. ผลการวิจัยในด้านประสิ ท ธิ ผลของรู ป แบบ The STUDIES Model ที่ พ บว่าการเขียนแผนการ
จัดการเรี ย นรู ้และการปฏิ บ ัติตามแผนการจัดการเรี ยนรู ้ด้วยรู ป แบบ The STUDIES Model ที่ มี 7 ขั้น ตอน
จะต้องปฏิบตั ิให้เชื่อมโยงต่อเนื่องกันไป
2. การนารู ปแบบ The STUDIES Model ไปใช้ผสู ้ อนควรทาความเข้าใจในกระบวนการเรี ยนรู ้แบบ
สร้างความรู ้การออกแบบการเรี ยนรู ้ที่ เป็ นสากล เพราะจะช่วยให้กระบวนการเรี ยนรู ้สามารถดาเนิ นการ
เป็ นไปได้ตรงประเด็น เป็ นระบบและเป็ นไปตามระยะเวลาที่กาหนดไว้
ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยครั้งต่อไป
1. ควรมีก ารวิจยั เปรี ยบเที ยบภายหลังจากการใช้รูปแบบ The STUDIES Model ในสาขาวิชาเอก
จาแนกตามกลุ่มวิทยาศาสตร์และกลุ่มมนุษยศาสตร์หรื อสังคมศาสตร์เป็ นต้น
2. ควรมีการวิจยั เพื่อพัฒนาการจัดการเรี ยนรู ้รูปแบบ The STUDIES Model เพื่อนาไปสู่ การพัฒนา
ระบบอภิปัญญาของผูเ้ รี ยน (Meta-cognitive System)
บรรณานุกรม
กระทรวงศึกษาธิการ. (2554) ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่ อง เรื่ อง มาตรฐานคุณวุฒิระดับ
ปริญญาตรีสาขาครุศาสตร์ และสาขาศึกษาศาสตร์ (หลักสู ตรห้ าปี )ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 128 ตอน
พิเศษ 62 ง 3 มิถุนายน 2554 หน้า 12.
นฤมล ปภัสสรานนท์. (2561) การพัฒนารู ปแบบ DRU เพื่อส่งเสริ ม Meta cognition สาหรับ
นักศึกษาประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี ปี ที่ 12 ฉบับที่
1 มกราคม – มิถุนายน 2561 หน้า 92 – 109.
โครงสร้ าง – แผนการจัดการเรียนการสอน
รายวิชา การจัดการเรี ยนรู ้และการจัดการชั้นเรี ยน
คณะครุ ศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม
เรื่ อง ................................ เวลา 4 ชัว่ โมง
สาระสาคัญ
การจัดการเรี ยนการสอนตามรู ปแบบ The STDUIES Model
วัตถุประสงค์
เพื่อให้นกั ศึกษามีความรู ้และทักษะในประเด็นต่อไปนี้
1. กาหนดจุดหมายการเรี ยนรู ้(S: Setting learning goals)
2. วิเคราะห์ภาระงาน (T: Task analysis )
3. การออกแบบการเรี ยนรู ้ที่เป็ นสากล (U: Universal design for instruction)
4. การเรี ยนรู ้จากสื่ อดิจิทลั (D: Digital learning)
5. การบูรณาการความรู ้ (I: Integrated knowledge)
6. การประเมินเพื่อปรับปรุ งการสอน (E: Evaluation to Improve Teaching)
7. การประเมินอิงมาตรฐาน (S: Standard Based Assessment)
เนื้อหา
สาระความรู ้ ในแต่ละบทเรี ยน (บทที่ 1- 8)
กิจกรรมการเรียนการสอน
ขั้นการนาเข้ าสู่ บทเรียน (15 – 30 นาที)
1.ผูส้ อนใช้คาถาม เพื่อร่ วมกันทาความเข้าใจในการจัดการเรี ยนรู ้ตามรู ปแบบ The STUDIES Model
เริ่ มจากทบทวนประสบการณ์เดิมเกี่ยวกับเรื่ องที่จะเรี ยน การเรี ยนการสอนแบบปกติ และการเรี ยนการสอน
แบบสร้างความรู ้
กิจกรรมดังกล่าวนี้ สามารถใช้กระบวนการกลุ่มร่ วมมือกันเรี ยนรู ้ ให้สมาชิ กในกลุ่ม กาหนดบทบาท
หน้าที่เป็ นประธาน เลขานุการ และสมาชิก
การจัดการเรี ยนรู ้และการจัดการชั้นเรี ยน : The STUDIES Model ผศ.ดร.พิจิตรา ธงพานิช 223
ขั้นสอน (45 - 60 นาที)
2. ผูเ้ รี ยนร่ วมกันวางแผนจัดการเรี ยนรู ้ โดยนาสาระ มาตรฐานและตัวชี้ เพื่อปฏิบตั ิกิจกรรมตามลาดับ
ต่อไปนี้
2.1 กาหนดจุดหมายการเรี ยนรู ้ (S: Setting learning goals)
บทบาทผูส้ อน : ใช้คาถามสร้างความคิดเกี่ยวกับการกาหนดจุดหมายการเรี ยนรู ้ (Learning Goals)
ความรู ้และทักษะ(การปฏิบตั ิ)อะไรที่ผเู ้ รี ยนจะได้รับหลังจากได้เรี ยนรู ้ โดยที่จุดมุ่งหมายการเรี ยนรู ้จะถูก
ระบุวา่ ผูเ้ รี ยนจะต้องเรี ยนรู ้อะไร และหรื อสามารถที่จะทาอะไรได้ การกาหนดจุดหมายการเรี ยนรู ้อาศัย
แนวคิดจุดมุ่งหมายการศึกษาของบลูม (Bloom. 1956) และจุดมุ่งหมายการศึกษาของมาร์ซาโน(Marzano.
2000)
บทบาทผูเ้ รี ยน : ศึกษาความรู ้เกี่ยวกับสมรรถนะ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ในการกาหนดจุดหมาย
การเรี ยนรู ้ของตนเอง โดยเฉพาะจุดมุ่งหมายการศึกษาอิงมาตรฐาน โดยระบุความรู ้ในรู ปของสารสนเทศ
(declarative knowledge) และระบุทกั ษะหรื อกระบวนการ (procedural knowledge)
2.2 วิเคราะห์ภาระงาน (T :Task analysis )
บทบาทผูส้ อน : ใช้คาถามเพื่อช่วยให้ผเู ้ รี ยนมีความชัดเจนทั้งในเรื่ องของจุดมุ่งหมายการเรี ยนรู ้และ
ระดับคุณภาพของการเรี ยนรู ้ ให้ความรู ้ตามแนวคิดของ Clark (2004) และWiggins(1994)
บทบาทผูเ้ รี ยน: ศึกษาความรู ้เกี่ยวกับเกณฑ์คุณภาพของการเรี ยนรู ้ ตามแนวคิดของ Clark (2004) ใน
การวิเคราะห์งาน ภาระงาน และแนวคิดของ Wiggins การออกแบบแบบย้อนกลับ และแนวคิดโดยของ
Biggs and Collis (1982) แนวคิดเกี่ยวกับโครงสร้างการสังเกตผลการเรี ยนรู ้ (Structure of Observed
Learning Outcome : SOLO Taxonomy) เป็ นต้น
สรุ ป ขั้นกาหนดจุดหมายการเรี ยนรู ้(S: Setting learning goals) และขั้นวิเคราะห์ภาระงาน (T :Task
analysis ) นักศึกษาจะต้องระบุจุดมุ่งหมายและกิจกรรมการเรี ยนรู ้เพื่อตอบคาถามเกี่ยวกับความรู ้ที่ได้เรี ยนรู ้
ในส่วนที่เป็ นสาระความรู ้ Declarative knowledge หรื อ What student will understand และส่วนที่เป็ น
ทักษะ Procedural knowledge หรื อ What student will be able to do ในการจัดกิจกรรมทั้งสองขั้นนี้
เสนอแนะกิจกรรมการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือกัน ตามแนวคิด Elizabeth Cohen รู ปแบบ Complex Instruction
คล้ายคลึงกับรู ปแบบ G.I (Group Investigation) ที่ส่งเสริ มให้ผเู ้ รี ยนช่วยกันสื บค้นข้อมูลมาใช้ในการเรี ยนรู ้
ร่ วมกัน เพียงแต่รูปแบบคอมเพล็กจะเน้นการสื บเสาะหาความรู ้เป็ นกลุ่มมากกว่าการทาเป็ นรายบุคคล
3. ผูเ้ รี ยนร่ วมกันจัดทาแผนการจัดการเรี ยนรู ้ ใน ประเด็นเกี่ยวกับ
3.1 ออกแบบการเรี ยนรู ้ที่เป็ นสากล (U :Universal design for instruction) กาหนดผลิตภัณฑ์
(เอกสาร หนังสื อ หรื อสื่ อการเรี ยนรู ้อื่น ๆ )ที่เป็ นสาระการเรี ยนรู ้และเสนอแนะ/การจัดสิ่ งแวดล้อมการ
ตัวอย่างผลงาน
Web Link : https://khanitta2542.blogspot.com/2019/02/studies-model_59.html