Professional Documents
Culture Documents
ปริ้นเล่มสีคู่มือเตรียมสอบนักวิชาการสาธารณสุขปฏิบัติการ ปี 2567 โดย แก้ว ญาณิศา
ปริ้นเล่มสีคู่มือเตรียมสอบนักวิชาการสาธารณสุขปฏิบัติการ ปี 2567 โดย แก้ว ญาณิศา
ประวัติการศึกษา
ประวัติการสอบ
ข้าราชการรุ่นสอบบรรจุ ปี พ.ศ.2560
สอบภาค ก ของ สำนัก ก.พ. ผ่านรอบแรก ในปี พ.ศ. 2559
สอบภาค ข ของสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผ่านรอบแรก ในปี พ.ศ. 2560
ขึ้นบัญชีรายชื่อลำดับที่ 3 ของเขตสุขภาพที่ 5 (โควตา 25 อัตรา)
ได้เลือกสถานที่ทำงานคนแรก เนื่องจากลำดับที่ 1 และ 2 สละสิทธิ์
สอบผ่านใบประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขรุ่นแรก ปี พ.ศ.2562
ประวัติการทำงาน
1 มิถุนายน พ.ศ.2559 – 31 กรกฎาคม พ.ศ.2561 ทำงานที่โรงพยาบาลเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี
1 สิงหาคม พ.ศ.2561 – 12 กันยายน พ.ศ.2561 รับราชการที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรี
13 กันยายน พ.ศ.2561 – 7 กันยายน พ.ศ.2563 รับราชการที่ รพ.สต.บ้านรางจิก จังหวัดเพชรบุรี
8 กันยายน พ.ศ.2563 – ปัจจุบัน รับราชการที่ รพ.สต.บ้านวังยาว จังหวัดเพชรบุรี
สารบัญ
เรื่อง หน้า
ความรู้ความสามารถพื้นฐานด้านสาธารณสุข
1 การประเมินสุขภาพและการวินิจฉัยอนามัยชุมชน 1
2 การวางแผนแก้ไขปัญหาสาธารณสุขชุมชน และการติดตามประเมินผล 10
3 ระบบข้อมูลข่าวสารและสารสนเทศ 16
4 การคุ้มครองผู้บริโภคด้านสาธารณสุข 23
5 ประชากรศาสตร์ 29
6 เศรษฐศาสตร์สาธารณสุข 33
7 ชีวสถิติ 36
ความรู้ความสามารถ ทักษะ สมรรถนะ การประยุกต์ความรู้ทางด้านสาธารณสุข
8 สถิติและการวิจัยทางด้านสาธารณสุข 41
9 ระบาดวิทยา การป้องกันและการควบคุมโรค 51
10 บริหารสาธารณสุข 72
11 อนามัยสิ่งแวดล้อม 77
12 อาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน 89
13 กฎหมายและจรรยาบรรณวิชาชีพการสาธารณสุข 99
18 ความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของระบบสาธารณสุขและสุขภาพ 130
19 ความรู้เกี่ยวกับสสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข 132
--- การประเมินสุขภาพและวินิจฉัยอนามัยชุมชน ---
ความรู้ความสามารถพื้นฐานด้านสาธารณสุข
ชุดวิชาที่ 1 การประเมินสุขภาพและวินิจฉัยอนามัยชุมชน
1. เพื่อวัดสภาวะสุขภาพของประชาชนในชุมชน
2. เพื่อวิเคราะห์ปัญหาสุขภาพที่สำคัญของประชาชน แนวโน้มของปัญหา รวมทั้งการกำหนดวิธีการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพ
3. เพื่อใช้ในการวางแผนแก้ปัญหาหรือให้การดูแล หรือจัดโครงการสุขภาพแก่ชุมชนหรือเพื่อคาดประมาณการใช้
บริการ และค่าใช้จ่ายอันเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินความเสี่ยงในการจัดบริการบางอย่างเช่น การประกันสุขภาพ
หลักการสำคัญของการวินิจฉัยชุมชน
1. เป็นกระบวนการรวบรวมข้อมูล วินิจฉัยปัญหาและความต้องการ การวางแผนแก้ไข ปฏิบัติตามแผนและประเมินผล
2. นำไปสู่การแก้ปญ
ั หาถูกจุด
3. เป้าหมายสูงสุดเพื่อให้ชุมชนเข้มแข็ง ยืนหยัดพึ่งตนเองได้ เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน
4. การมีส่วนร่วมของประชาชน ชุมชน และองค์กรทุกขัน
้ ตอน
5. ทางราชการให้การสนับสนุนและให้คำแนะนำ
6. กระตุ้นให้ชุมชนมีส่วนร่วม
**กระบวนการประเมินสุขภาพและวินิจฉัยอนามัยชุมชน
โจทย์ชอบถามขัน
้ ตอนแรกของการประเมิน
สุขภาพ/วินิจฉัยชุมชน ตอบ เตรียมชุนชน
JUM!! - เก็บรวบรวมข้อมูล
- วิเคราะห์แปรผลข้อมูล
เคยออกข้อสอบปี 56 วางแผน ดำเนิน ประเมิน
ขั้นตอนการวินิจฉัย - ระบุปัญหา
โครงการ โครงการ ผล
ชุมชน - จัดลำดับความสำคัญของปัญหา
-ศึกษาสาเหตุของปัญหา
2. การเตรียมประชาชน
1. การเตรียมเจ้าหน้าที่
1.1 ผู้นำ/องค์กรชุมชน ➔ ฝึกอบรม ประชุม ศึกษาดูงาน
1.1 เตรียมใจ ➔ มีทัศนคติและจิตสำนักที่ดีเหมาะสำหรับ
1.2 หัวหน้ากลุ่มบ้าน (ละแวกบ้าน)
การทำงานกับชุมชน
1.3 กำลังคนในชุมชน ➔ อสม. กลุ่มแม่บ้าน เกษตรหมู่บ้าน
1.2 เตรียมความรู้&ทักษะ
1.4 มวลชน ➔ สมาชิกทุกคนในครอบครัว
- ทั ก ษ ะแนวใหม่ : เน้ น เชิ ง รุ ก บุ ก ทุ ก ที่ มี ป ั ญ หา
หาข้อเท็จจริง อ้างอิงทฤษฎี √√
1.3 สร้างแรงจูงใจในการทำงานตามแนวทางใหม่
3. การเตรียมการสนับสนุน
➔ รู้บทบาทของตนเอง เชื่อมั่นในพลังกลุ่ม และการมี
- การสร้างงานและการตลาด - ความรู้/เทคโนโลยี
ส่วนร่วมของชุมชนในกระบวนการพัฒนา
- ข้อมูลข่าวสาร - สนับสนุนเจ้าหน้าที่
- บริการของรัฐ - องค์กรอาสาสมัครต่าง ๆ
การประเมินชุมชน
ข้อมูลที่จำเป็นในการประเมินภาวะอนามัยชุมชน
1. ข้อมูลทรัพยากร ความพร้อม ความเข้มแข็ง การมีส่วนร่วม จุดอ่อน จุดแข็งของชุมชนเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจ
2. ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ
3. ข้อมูลความเป็นอยู่ พฤติ กรรมเสี่ยงค่ านิ ยม ความเชื่อปัญหาสุ ขภาพ เพื่อสร้างสั มพั นธภาพและความคุ ้ นเคย
กับประชาชนในชุมชน
4. ข้อมูลที่ทำให้ทราบปัจจัยเสริม ปัญหา อุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น
เครื่องมือประเมินชุมชน
1. เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินชุมชนโดยวิธีทางมานุษยวิทยา **เคยออกสอบ
➔ เครื่องมือ 7 ชิ้น (โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์, 2550) ประกอบด้วย 1) แผนที่เดินดิน 2) ผังเครือญาติ 3) การจัดทำผัง
โครงสร้างองค์กรชุมชน 4) ระบบสุขภาพชุมชน 5) ปฏิทินชุมชน 6) ประวัติศาสตร์ชุมชน 7) ประวัติชีวิตบุคคลในชุมชน
--- คู่มือเตรียมสอบนักวิชาการสาธารณสุข โดย แก้ว ญาณิศา --- 3
--- การประเมินสุขภาพและวินจิ ฉัยอนามัยชุมชน ---
การวินิจฉัยปัญหาอนามัยชุมชน
การเก็บรวบรวมข้อมูล
➔ ต้องมีความชัดเจนว่าจะเก็บข้อมูลอะไร จากใคร ช่วงเวลาใด และจะนำข้อมูลนั้นมาทำอะไร
• แหล่งข้อมูลปฐมภูมิ (Primary data) หมายถึง ข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลโดยตรงโดยการสำรวจ การสอบถาม การ
สังเกต หรือการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น สำมะโนประชากร การสำรวจจากตัวอย่าง การสัมภาษณ์เป็นต้น **ออกสอบปี 64-65
• แหล่งข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary data) หมายถึง ข้อมูลที่ได้จากแหล่งที่มีการบันทึกข้อมูลไว้แล้ว เช่น ข้อมูลทะเบียน
ราษฎร์ ข้อมูลจากแฟ้มผู้ป่วย ข้อมูลจากโรงพยาบาล ข้อมูลจากระเบียนรายงานของหน่วยงานสาธารณสุขในระดับพื้นที่
เทคนิคการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการประเมินสุขภาพชุมชน ได้แก่
1. การสังเกต
1.1 การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Participant observation)
- การเข้าไปร่วมโดยสมบูรณ์ (Complete participant) ผู้ถูกสังเกตไม่รู้ตัว ข้อมูลที่ได้มีคุณค่ามาก
- การเข้าไปร่ วมโดยไม่สมบู รณ์ (Incomplete participant) ผู้สังเกตจะเข้ าร่วมกิ จกรรม เพื่อสร้างความสั มพันธ์ กั บ
ผู้ถูกสังเกต นิยมใช้กันมากในการศึกษาชุมชน
ข้อดีของการสังเกต ข้อเสียของการสังเกต
1. ได้ข้อเท็จจริงได้ด้วยวิธีการตรง 1. ผลการสังเกตขึ้นกับความสามารถของผู้สังเกต
ถ้าไม่มีความรู้ดีพอ การสังเกตจะได้ผลน้อย
2. รวบรวมข้อมูลบางชนิดที่ผู้ถูกสังเกตไม่เต็มใจบอก 2. เสียเวลามาก เพราะพฤติกรรมบางอย่างที่ต้องการสังเกต
อาจไม่เกิดขึ้นในระยะเวลาอันสั้น
3. ทำให้ได้ข้อมูลเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่ได้โดยวิ
3.ธเหตุ
ีอื่น การณ์บางอย่างยากที่จะเข้าไปสังเกต
4. ช่วยให้ได้ข้อเท็จจริงบางอย่างที่เป็นผลพลอยได้ 4. ผู ้ ถู กสั งเกตอาจรู ้ ตั ว จะพยายามทำพฤติ กรรมที่ ไม่ ตรง
(By product) ซึ่งอาจเกิดขึ้น กับความจริง ข้อมูลที่ได้จะผิดพลาด
ข้อดีของการสัมภาษณ์ ข้อเสียของการสัมภาษณ์
1. ช่วยให้รู้ข้อเท็จจริงบางอย่างขณะสัมภาษณ์ 1. ค่าใช้จ่ายสูง
2. สามารถรวบรวมข้อมูลได้จากบุคคลทุกประเภท 2. ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้สัมภาษณ์เป็นหลัก
แม้ผู้ที่อ่านหนังสือไม่ออก
3. สามารถสืบสวนหาข้อเท็จจริงที่ยุ่งยากซับซ้อนได้ 3. อาจมีความลำเอียงของผู้สัมภาษณ์
4. มีโอกาสทำความเข้าใจให้ตรงกันได้ถ้าไม่เข้าใจคำถาม 4. ต้องใช้เวลา และแรงงาน
ข้อดีของแบบสอบถาม ข้อเสียของแบบสอบถาม
1. ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ไม่ต้องเดินทางไปเก็บ 1. ได้แบบสอบถามกลับคืนมาน้อย ไม่ครบตามจำนวนที่
รวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง ต้องการ
2. ผู้ตอบมีอิสระในการตอบ 2. ผู้ตอบอาจไม่ได้ตอบด้วยตนเอง อาจให้ผู้อื่นตอบแทน
3. สะดวกในกรณีต้องรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 3. ใช้ได้จำกัด เฉพาะผู้ที่อ่านออกเขียนได้
เป็นจำนวนมาก
4. มีหลักฐานของข้อมูลเป็นลายลักษณ์อักษร เก็บได้ 4. ผู้ตอบอาจไม่เข้าใจคำถามจึงไม่ตอบ หรือตอบไม่ตรง
นาน และตรวจสอบได้ กับความเป็นจริง
5. ไม่จำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการเก็บ 5. สังเกตปฏิกิริยาของผู้ตอบไม่ได้ จึงไม่แน่ใจว่าข้อมูลที่
ได้มาจากใจจริงหรือไม่
การวิเคราะห์ข้อมูล
นำข้ อ มู ล ดิ บ ที่ ไ ด้ จ ากการเก็ บ รวมรวมข้ อ มู ล ไม่ ว ่ า โดยวิ ธี ใ ดก็ ต าม เช่ น การสั ง เกต สั ม ภาษณ์ สอบถาม
มาประมวลผลข้อมูลและทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้หลักการทางสถิติ ให้มองเห็นได้งา่ ย และใช้ประโยชน์ต่อไปได้
สถิติที่จะใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ส่วนมากนิยมใช้การวิเคราะห์ด้วยการแจกแจงความถี่ การหาค่าสัดส่วน
การวัดค่าตัวกลาง การวัดค่าการกระจาย
การวิเคราะห์ข้อมูลตามแนวคิดพฤติกรรมศาสตร์
1. ปัจจัยภายในตัวบุคคล (ปัจจัยนำ) : ความรู้ การรับรู้ ความเชื่อ ค่านิยม ทัศคติ ทักษะ **ออกสอบปี 65-66
2. ปัจจัยภายนอกตัวบุคล (ปัจจัยเอื้อ) : ปัจจัยทางกายภาพ ระบบริการสุขภาพ
3. ปัจจัยเสริม : ปัจจัยทางสังคม กฎระเบียบ มาตรฐานสังคม วัฒนธรรม
การนำเสนอข้อมูล
1) การนำเสนอในรูปบทความหรือบรรยาย ➔ เหมาะสำหรับรายการข้อมูลน้อย นำเสนอเป็นคำบรรยายสั้น ๆ
ปนไปกับตัวเลข
1. การระบุปญ
ั หาอนามัยชุมชน (Identify problem) JUM!! เคยออกสอบ ปี 56
1) เจ็บป่วย (disease)
2) ตาย (death) ** หากพบเพียง 1 D ก็ถือว่าพบปัญหา ยิ่ง D มากยิ่งเพิ่มขนาดของปัญหา
3) พิการ (disability)
4) ความไม่สะดวกสบาย (discomfort)
5.) ความไม่พึงพอใจ (dissatisfaction)
1.2 เปรียบเทียบกับเกณฑ์หรือค่ามาตรฐาน เช่น องค์การอนามัยโลก หรือตัวชี้วัดของประเทศ จังหวัด อำเภอ หรือ
เปรียบเทียบกับข้อมูลในอดีตที่เคยเกิดขึ้น
1.3 กระบวนการกลุ่ม (nominal group process) โดยให้ชุมชน ผู้นำ หรือประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ (ระบุ)
ว่าอะไรเป็นปัญหา เสนอเสียงสนับสนุนรับรองปัญหา Nominal Group Technique คือ Listing TTechnique นำมาใช้ประเมินความ
ต้องการเพื่อสำรวจสภาพปัญหาและจัดลำดับความสำคัญ **ออกสอบปี 66
ความรุนแรงของปัญหา คะแนนความรุนแรง
ไม่มีเลย 0 คะแนน
มากกว่า 0- 15% 1 คะแนน
16 – 50% 2 คะแนน
51 – 75% 3 คะแนน
76-100% 4 คะแนน
2.2 ความยากง่ายในการจัดกิจกรรมแก้ไขปัญหา
ค. ความยากง่ า ยในการแก้ ไขปั ญ หา การดำเนิ น กิ จ กรรมดั ง กล่ า วจะทำได้ ห รื อ ไม่ ไ ด้ ขึ้ น อยู ่ กั บ ความรู้
ความก้าวหน้าทางวิชาการ เทคโนโลยี ทรัพยากรเพียงพอหรือไม่ คำนึงถึง คน เงิน ของ ระยะเวลา เพียงพอหรือไม่
ขัดแย้งกับข้อกฎหมายหรือศีลธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี หรือไม่
ระดับความยากง่ายในการแก้ไขปัญหา คะแนนความยากง่าย
ไม่มีทางทำได้เลย 0 คะแนน
ยากมาก น้อยกว่า 0 -25% 1 คะแนน
ยาก 26-50% 2 คะแนน
ง่าย 51-70% 3 คะแนน
ง่ายมาก 71-100% 4 คะแนน
ร้อยละของความตระหนัก/สนใจในปัญหา คะแนนความตระหนัก/สนใจ
ไม่มีเลย /ไม่สนใจเลย 0 คะแนน
มากกว่า 0- 25% / สนใจน้อย 1 คะแนน
26 – 50% / สนใจปานกลาง 2 คะแนน
51 – 75% / สนใจมาก 3 คะแนน
76-100% / สนใจมากที่สุด 4 คะแนน
** หลักการให้ระดับคะแนนในการระบุปญ
ั หา เมื่อได้คะแนนทั้งหมดมาแล้ว หาคะแนนมารวมกันได้ 2 วิธี คือ
1. วิธีบวก มองเห็นความแตกต่างแต่ละปัญหาน้อย
2. วิธีคูณ มองเห็นความแตกต่างของปัญหากว้าง
➔ อาจจะให้น้าหนักของเกณฑ์แต่ละเกณฑ์เท่ากัน หรือแตกต่างกัน เช่น ในขณะนี้เรามุ่งเรื่องการช่วยชุมชนให้สามารถ
ช่วยตนเองได้ ดังนั้น เราอาจให้ความสำคัญของเกณฑ์ในหัวข้อความตระหนักในปัญหาของชุมชนในสัดส่วนที่สูงกว่า เช่น
ขนาดของปัญหาให้น้าหนัก 20 % ความรุนแรงของปัญหาให้น้าหนัก 20 % ความเป็นไปได้ในการแก้ปัญหาให้น้าหนัก 25 %
และความตระหนักของชุมชนให้น้าหนัก 35 % เมื่อรวมน้าหนักของเกณฑ์ทั้ง 4 แล้ว ต้องเท่ากับ 100 %
➔ หลังจากให้คะแนนกับทุกปัญหาไปทีละเกณฑ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว การจะตัดสินว่าปัญหาใดควรจะให้คะแนนเท่าใด
ก็ให้เอาคะแนนที่ให้ไปคูณกับน้าหนักของเกณฑ์ที่กำหนดไว้ (ถ้ามีการถ่วงน้าหนักด้วย) แล้วนำผลรวมของการคูณที่ได้ของ
แต่ละปัญหาในแต่ละเกณฑ์ไปบวกหรือคูณกันจนครบทั้ง 4 เกณฑ์ แล้วนำปัญหาทั้งหมดมาจัดเรียงใหม่ตามคะแนนรวมที่ได้
จากการบวก หรื อคู ณ ตามแต่ จะตกลงกั นในที่ ประชุ มว่ าจะเรี ยงตามวิ ธี การบวกหรื อคู ณ (ปกติ นิ ยมเรี ยงตามผลคู ณ)
เป็นตัวตัดสินขั้นสุดท้ายของการจัดลำดั บความสำคัญของปัญหา ปัญหาใดได้คะแนนสูงสุ ด ปัญหานั้นก็จะเป็นปัญหา
ที่มีความสำคัญเป็นอันดับแรก ดังตัวอย่าง
3. การศึกษาสาเหตุของปัญหาอนามัยชุมชน
➔ หลังจากได้ป ัญหาอนามัยชุ มชน และจั ดเรียงลำดั บความสำคัญของปัญหาแล้ว สิ่งที่ต้องดำเนินการต่อไป คื อ
การวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา หาข้อมูลสนับสนุนปัญหาเพิ่มเติม เพื่อให้รู้สาเหตุที่แท้จริง ปัจจัยส่งเสริมที่ทำให้
เกิดปัญหานั้น และการการะจายของปัญหา ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมาย จะทำให้สามารถ
วางแผนแก้ปัญหาได้ตรงตามความจริง
การเขียนโยงใยสาเหตุของปัญหา (Web of Causation) ขั้นตอนดังนี้
• เขียนปัจจัยต่างๆ ก่อนทั้งคุณลักษณะส่วนบุคคล ปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ และปัจจัยเสริม
• เขียนปัญหาที่ต้องการแก้ไขไว้ตรงกลาง
• เขียนพฤติกรรมที่เป็นสาเหตุของปัญหาไว้ใกล้ปัญหา
• เขียนปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ และปัจจัยเสริม ที่สอดคล้องกับพฤติกรรนั้น ๆ
• เขียนคุณลักษณะส่วนบุคคลไว้กรอบนอก
• ขีดเส้นเชื่อมโยงระหว่างปัจจัย หางลูกศรเป็นเหตุ หัวลูกศรเป็นผล
• พิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ที่เขียนไว้อยู่ในโยงใยทั้งหมดแล้วหรือไม่
ชุดวิชาที่ 2 การวางแผนแก้ไขปัญหาสาธารณสุขชุมชนและการติดตามประเมินผล
1. การวางแผนแก้ไขปัญหาในชุมชน
ขั้นตอนในการเขียนโครงการ
1. ขั้นการเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์สภาพการณ์ (วิเคราะห์ปัญหา)
2. ขั้นการตั้งวัตถุประสงค์/เป้าหมายของโครงการ
3. ขั้นการทำแผนปฏิบัติงาน
4. ขั้นการดำเนินงานตามแผน
5. ขั้นการประเมินและติดตามผล
JUM !! โจทย์อาจถาม ลักษณะโครงการที่ดี ??
ลักษณะโครงการที่ดี
1. สามารถตอบสนองความต้องการหรือแก้ปัญหาของชุมชนได้
2. มีวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ชัดเจน สามารถดำเนินงานและปฏิบัติได้
3. รายละเอียดของโครงการต้องสอดคล้องและสัมพันธ์กัน
4. รายละเอียดของโครงการสามารถเข้าใจง่าย สะดวกต่อการดำเนินงานตามโครงการ
5. เป็นโครงการที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง และสามารถติดตามประเมินผลได้
6. โครงการต้องกำหนดขึ้นจากข้อมูลเป็นความจริงและได้รับจากการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ
--- คู่มือเตรียมสอบนักวิชาการสาธารณสุข โดย แก้ว ญาณิศา --- 10
--- การวางแผนแก้ไขปัญหาและการติดตามประเมินผล ---
หัวข้อการเขียนโครงการ
1. โครงการอะไร ชื่อโครงการ
2. ทำไมต้องทำโครงการนี้ หลักการและเหตุผล
3. ทำเพื่ออะไร วัตถุประสงค์
4. ทำกับใคร ปริมาณเท่าใด เป้าหมาย
5. สอดคล้องกับนโยบายและยุทธศาสตร์ใด ความสอดคล้องกับนโยบาย
6. ทำอย่างไร วิธีดำเนินการ
7. ทำเมื่อใดและนานแค่ไหน ระยะเวลาดำเนินการ
8. ทำทีไ่ หน สถานทีด
่ ำเนินการ
9. กิจกรรมนั้นทำในช่วงเวลาใด แผนการดำเนินงาน/กิจกรรม
10. ใช้ทรัพยากรอะไรเท่าใดและได้จากไหน งบประมาณ/ทรัพยากร
11. ทำได้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายหรือไม่ การประเมินผล
12. เกิดอะไรขึ้นเมื่อสิ้นสุดโครงการ ผลที่คาดว่าจะได้รับ
13. เกณฑ์การประเมินว่าทำได้บรรลุหรือไม่ ตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการ
14. ใครทำ หน่วยงานใด ผู้รับผิดชอบโครงการ
4. เป้าหมาย
✓ ระบุเป็นประเภทลักษณะและปริมาณให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์
✓ เชิงปริมาณ = ใคร จำนวนเท่าใด
5. ความสอดคล้องกับนโยบายและยุทธศาสตร์ สอดคล้องกับ
✓ ยุทธศาสตร์กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2557 >> ด้านใด แผนงาน และโครงใด
✓ นโยบายกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2557 >> ประเด็นใด
✓ ภารกิจพื้นฐานของหน่วยงาน >> แผนงานใด
(แผนงาน /โครงการ และตัวชี้วัดกระทรวงสาธารณสุข ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567)
6. วิธีดำเนินการ
✓ กิจกรรมที่กำหนดขึ้นเป็นขั้นตอนตามลำดับก่อนหลัง
✓ โดยจะนำวัตถุประสงค์มาจำแนกเป็นกิจกรรมย่อยหลายกิจกรรม ดังนี้
6.1 การเตรียมโครงการ
6.2 กิจกรรมของวัตถุประสงค์ข้อ 1
6.3 กิจกรรมของวัตถุประสงค์ข้อ 2
7. ระยะเวลาดำเนินการ และสถานที่ดำเนินการ
✓ ระบุระยะเวลาตั้งแต่เริ่มต้นโครงการจนกระทั่งถึงเวลาสิ้นสุดโครงการ
เช่น เดือนตุลาคม พ.ศ.2566 – เดือนกันยายน พ.ศ.2567
✓ ระบุสถานที่ที่จะดำเนินโครงการ
8. แผนการดำเนินงาน/กิจกรรม ขั้นเตรียมงานและขั้นดำเนินงาน
JUM !! ปี 59 การประเมิน
9. งบประมาณ ระบุถึงจำนวนเงิน วัสดุครุภัณฑ์ที่จำเป็นต่อการดำเนินโครงการ
แผนงานโครงการช่วงไหนบ้าง
10. การประเมินผลโครงการ ตอบ ก่อน ระหว่าง และ หลัง
✓ ระบุวิธีการที่ใช้ในการควบคุมและประเมินผลโครงการให้ชัดเจน
✓ บอกรูปแบบการประเมินผลโครงการ เช่น ประเมินก่อนดำเนินการ ระหว่างดำเนินการ หลังการดำเนินการ หรือ
ประเมินทุกระยะ 3 เดือน เป็นต้น
11. ผลที่คาดว่าจะได้รับ
✓ เป็นการบอกว่าเมื่อโครงการสิ้นสุดลง จะมีผลกระทบในทางที่ดีที่คาดว่าจะเกิดขึ้นโดยตรงและโดยอ้อม
✓ ระบุให้ชัดเจนว่าใครจะได้รับผลประโยชน์และผลกระทบนั้น
✓ ได้รับในลักษณะใด ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ
เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวานและญาติได้รับความรู้และทักษะในการดูแลเท้าที่ถูกต้อง
ผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนและไม่เกิดแผลที่เท้า
12. ตัวชี้วัดความสำเร็จโครงการ
JUM !! โจทย์อาจให้วัตถุประสงค์มา แล้วให้เรากำหนดตัวชี้วัด
✓ มีเกณฑ์ตัวชี้วัดชัดเจนในเชิงปริมาณ
เช่น ร้อยละ 90 ของผู้ป่วยโรคเบาหวานหลังจากได้รับความรู้จากการอบรมแล้วสามารถบริหารเท้าตนเองได้อย่างถูกต้อง
13. ผู้รับผิดชอบโครงการ
✓ ระบุว่าเป็นใคร ตำแหน่งใด หรือหน่วยงานใด
การเสริมสร้างพลังอำนาจของชุมชน
** 1. กระบวนการวางแผนอย่างมีส่วนร่วม (Appreciation Influence Control : AIC) **ออกสอบปี 65
➔ เป็นวิ ธี การสร้างงาน โดยเน้ นการมองอนาคต เปิดโอกาสให้ ผู้ เข้าร่ วมประชุ ม ได้แลกเปลี่ ยนประสบการณ์
การเรียนรู้ เพื่อทำความเข้าใจในปัญหา ค้นหาวิธีการแก้ปัญหา และปฏิบัติการแก้ปัญหาเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน
ประกอบด้วยขั้นตอนหลัก ๆ 3 ขั้นตอน ดังนี้
A. Appreciation : ขั้นตอนการสร้างความรู้ เพื่อการสร้างความตระหนักในปัญหาของหมู่บ้านร่วมกัน โดยใช้
เทคนิคการวาดภาพหมู่บ้าน และการสร้างอนาคตที่พึงประสงค์รวมกันของผู้เข้าร่วมประชุม
I. Influence : เป็นการระดมความคิดกิจกรรมโครงการที่จะให้บรรลุตามชุมชนที่ปรารถนาจัดกลุ่ม/ประเภท
ของกิจกรรม และจัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมโครงการ
C. Control : การประชุมสร้างแนวทางปฏิบัติ การแบ่งความรับผิดชอบ และสร้างแผนปฏิบัติการ และเข้าสู่
การดำเนินงานตามแผน
1. ขั้นตอนการสร้างความรู้ (Appreciation : A)
1) การวิเคราะห์สถานการณ์ของหมูบ
่ ้านในปัจจุบัน (A1)
2) การกำหนดอนาคตของหมู่บ้านต้องการพัฒนาในทิศทางใด (A2)
2. ขั้นตอนการสร้างแนวทางการพัฒนา (Influence : I)
1) การคิดโครงการที่จะให้บรรลุวัตถุประสงค์ (I1)
2) การคัดเลือกและจัดลำดับความสำคัญของโครงการ (I2)
3. ขั้นตอนการสร้างแนวทางปฏิบัติ (Control : C)
1) แบ่งกลุ่มรับผิดชอบ (C1)
2) การตกลงในรายละเอียดในการดำเนินงาน (C2)
รูปแบบการประเมินโครงการที่นิยมใช้
รูปแบบการประเมินโครงการแบบซิปป์ ของสตัฟเฟิลบีม (Stufflebeam’s CIPP Model) **ออกสอบปี 64,65
1. การประเมินสภาวะแวดล้อม (Context Evaluation : C) ช่วยในการตัดสินใจวางแผนโครงการ
2. การประเมินปัจจัยนำเข้า/ปัจจัยป้อน (Input Evaluation : I) ช่วยกำหนดโครงสร้างหรือกิจกรรมของโครงการ
3. การประเมินกระบวนการ (Process Evaluation : P) ช่วยในการตัดสินใจนำโครงการไปปฏิบัติ
4. การประเมินผลผลิต (Product Evaluation : P) เพื่อให้รู้ว่าควรดำเนินโครงการต่อไปหรือล้มเลิก
ชุดวิชาที่ 3 ระบบข้อมูลข่าวสารและสารสนเทศ
ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
“ นพ.สุรัคเมธ มหาศิริมงคล ”
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบข้อมูลสารสนเทศสุขภาพ
ข้อมูล (Data) ➔ ข้อความจริงเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งซึ่งบอกสภาพการณ์หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้ว
มีความหมายและสามารถใช้ประกอบการตัดสินใจในเรื่องหนึ่ง ๆ
สารสนเทศ (Information) ➔ ข้อมูลต่างๆ ที่ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงหรือมีการประมวลหรือวิเคราะห์ผลสรุปด้วยวิธีการ
ต่างๆ ให้อยู่ในรูปแบบที่มีความสัมพันธ์กัน มีความหมายมีคุณค่าเพิ่มขึ้นและมีวัตถุประสงค์ในการใช้งาน สามารถนำไปใช้
ประโยชน์ได้ สารสนเทศที่ดี มีดังนี้ ออกสอบ
- ตรงตามวัตถุประสงค์ของผู้ใช้ - มีความถูกต้องและทันสมัย -มีความเป็นมาตรฐาน
- มาจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ - มีความเที่ยงตรง - มีความครบถ้วน
**ออกสอบปี 63 ข้อแตกต่างระหว่าง ข้อมูล และ สารสนเทศ
**ออกสอบปี 56 สารสนเทศหมายถึงอะไร ??
ระบบข้อมูลสารสนเทศ (Information System) ➔ เป็นกระบวนการรวบรวม บันทึก ประมวลผล ข้อมูลให้เป็น
สารสนเทศ โดยอาศัยบุคคล และเทคโนโลยีสารสนเทศในการดำเนินการ เพื่อประมวลผล และปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัย
ใช้งานได้อย่างรวดเร็ว
ระบบสารสนเทศสุขภาพ (Health Information) ➔ สารสนเทศที่เกี่ยวกับสุขภาพอนามัยของประชาชน รวมถึง
ข้อมูลด้านทรัพยากรสาธารณสุข และกิจกรรมสาธารณสุข สารสนเทศสุขภาพ มี 5 ประเภท ได้แก่ ข้อมูลด้านประชากร
เศรษฐกิจและสังคม ข้อมูลด้านสถานสุขภาพ ข้อมูลด้านทรัพยากรสาธารณสุข ข้อมูลด้านกิจกรรมสาธารณสุข และ
ข้อมูลด้านการบริหารจัดการ
ประโยชน์ของสารสนเทศสุขภาพ >> ทำให้ทราบข้อมูลสถานสุขภาพ ปัญหาสุขภาพ ปัญหาสุขภาพอนามัยของประชากร
ปั ญหาและอุ ปสรรคในการให้ บริ การสาธารณสุ ข ประสิ ทธิ ภาพและประสิ ทธิ ผลของการดำเนิ นงานบริ การสาธารณสุ ข
เพื่อใช้เป็นแนวทางในการวางแผนเพื่อแก้ปัญหาสาธารณสุขได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
การจัดระบบสารสนเทศสุขภาพ
ขั้นตอนในการสร้างสารสนเทศในระบบสารสนเทศ มี 9 ขั้นตอน ได้แก่
1. กำหนดผู้ใช้ 6. กำหนดแหล่งหรือวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
2. กำหนดความต้องการของผู้ใช้ และพิจารณาคุณภาพของข้อมูล
3. กำหนดวัตถุประสงค์ของระบบสารสนเทศ 7. สร้างฐานข้อมูลและจัดการฐานข้อมูล
4. กำหนดสารสนเทศที่ต้องการจากระบบ 8. วิเคราะห์ข้อมูล
5. กำหนดรายการข้อมูลที่จำเป็น 9. กำหนดรูปแบบการนำเสนอสารสนเทศ
องค์ประกอบที่สำคัญในการสร้างสารสนเทศ ประกอบด้วย ความรู้ในศาสตร์รวมทั้งสาขาที่เกี่ยวข้อง เทคโนโลยี
คอมพิวเตอร์ และการสื่อสารโทรคมนาคม และสถิติศาสตร์
ระบบสารสนเทศสาธารณสุข จำแนกตามภารกิจแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. ระบบสารสนเทศสาธารณสุขเพื่อการบริหาร
➔ เพื่อ การบริหารของหน่ว ยงานและจัดการข้อมูลเพื่อการวางแผนระบบที่ใช้ทั่วไปได้แก่ ระบบสารบรรณ
ระบบบัญชี ระบบคลัง ระบบบริหารงานบุคคล ระบบเงินเดือน ระบบรับผู้ป่วย ระบบจองห้อง ระบบคิดเงินและจัดเก็บ
เงินในการรักษาพยาบาล ระบบสารสนเทศเพื่อการวางแผนกลยุทธ์ ระบบสารสนเทศเพื่อการควบคุมและการจัดการ
ระบบสารสนเทศเพื่อการควบคุมด้านการปฏิบัติงาน
ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุขที่สำคัญ
1. ระบบติดตามการบริหารยุทธศาสตร์ด้านสุขภาพ (Strategic Management System : SMS)
➔ เพื่อติดตามการกำกับงบประมาณและผลการดำเนินงานประจำปีตามกรอบยุทธศาสตร์ 4 Excellences
➔ รายงานข้อมูลการเบิกจ่ายงบประมาณ และความก้าวหน้าของแผนปฏิบัติราชการ
2. ระบบวัดผลการดำเนินงานรายตัวชี้วัด (Health KPI)
JUM !! ออกปี 65 โจทย์จะให้ข้อมูลมาแล้วถามว่า
➔ เพื่อรายงานผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัดที่กระทรวงได้กำหนดไว้
รายงานตามระบบใด เช่น ข้อมูลผลการดำเนินงาน
3. ระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์ (HDC) กระทรวงสาธารณสุข ตามตัวชี้วด
ั รายงานตามระบบใด ตอบ HDC
➔ มี 3 ระดับ ได้แก่ ระดับจังหวัด, ระดับเขต และระดับกระทรวง
➔ เป็น ระบบฐานข้อ มูลกลางด้านสุขภาพ ซึ่งรวบรวมข้อ มูลสาธารณสุขของสถานบริก ารภายใต้ส ำนัก งาน
สาธารณสุขจังหวัดทุกแห่ง เป็นระบบฐานข้อมูลเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการและการตัดสินใจของผู้บริหารระดับ
ต่างๆ ในกระทรวงสาธารณสุข โดยใช้ข้อมูลตามโครงสร้างมาตรฐาน 43 แฟ้ม ส่งจากหน่วยบริการสาธารณสุขมายัง
ฐานข้อมูลกลางระดับจังหวัด (HDC ระดับจังหวัด) เพื่อตรวจสอบและประมวลผลตามขั้นตอนการประมวลผลที่สร้าง
จากส่วนกลาง และข้อมูลที่ถูกประมวลผล และส่งมายังฐานข้อมูลกลางระดับกระทรวงแบบอัตโนมัติ
➔ระบบฐานข้อมูลกลาง (HDC) ระดับจังหวัดเปิดให้บริการ Web Service คืนข้อมูลด้านความครอบคลุม เช่น ANC,
EPI ให้กั บโปรแกรมในสถานบริ การ เช่น JHCIS, JHOS ฯลฯ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมู ลด้ านการแพทย์ ของผู้ป ่วยให้ มี
ความต่อเนื่องในการไปรับบริการรักษาพยาบาลในจังหวัดเดียวกันได้ โดยแบ่งข้อมูลเป็น 2 กลุ่ม คือ
1. ข้อมูลตัวชี้วัด เป็นข้อมูลตัวชี้วัดตามยุทธศาสตร์ ในระดับกระทรวง ระดับกรม ระดับเขต และระดับจังหวัด
แบ่งตามกลุ่ม สตรีและเด็ก ปฐมวัย วัยเรียน วัยทำงาน และผู้สูงอายุ
2. ข้อมูลด้านสุขภาพ เป็นข้อมูลสุขภาพของประชาชนทั้งประเทศ เช่น อัตราป่วย
❖ แฟ้มบริการ
1. 12-FUNCTIONAL : ข้อมูลการตรวจประเมินความบกพร่องทางทางสุขภาพของผู้พิการและผู้สูงอายุ
2. 13-ICF : ข้อมูลการประเมินสภาวะสุขภาพ ความสามารถ กลุ่มเป้าหมายที่มารับบริการในโรงพยาบาล ของผู้พิการ
3. 14-SERVICE : ข้อมูลการมารับบริการฯและการให้บริการนอกสถานพยาบาล
4. 15-DIAGNOSIS_OPD : ข้อมูลการวินิจฉัยโรคของผู้ปว่ ยนอกและผู้มารับบริการ
5. 16-DRUG_OPD : ข้อมูลการจ่ายยาสำหรับผู้ป่วยนอกและผู้มารับบริการ
6. 17-PROCEDURE_OPD : ข้อมูลการให้บริการหัตถการและผ่าตัดของผู้ป่วยนอกและผู้มารับบริการ
7. 18-CHARGE_OPD : ข้อมูลค่าใช้จ่ายของบริการแต่ละรายการสำหรับผู้ป่วยนอกและผู้มารับบริการ
8. 19-SURVEILLANCE : ข้อมูลรายงานทางระบาดวิทยา
9. 20-ACCIDENT: ข้อมูลผู้มารับบริการที่แผนกฉุกเฉิน (ER) ของ รพ. และแผนกทั่วไปของ รพ.สต.
10. 23-ADDMISSION : ข้อมูลประวัติการรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล
11. 24-DIAGNOSIS_IPD : ข้อมูลการวินิจฉัยโรคของผู้ป่วยใน
12. 25-DRUG_IPD : ข้อมูลการจ่ายยาสำหรับผู้ป่วยใน
13. 26-PROCEDURE _IPD : ข้อมูลการให้บริการหัตถการและผ่าตัดของผู้ป่วยใน
14. 27-CHARGE_IPD : ข้อมูลค่าใช้จ่ายของบริการแต่ละรายการสำหรับผู้ป่วยใน
15. 28-APPOINTMENT : ข้อมูลการนัดมารับบริการครั้งต่อไปของผู้มารับบริการ
16. 29-DENTAL : ข้อมูลการตรวจสภาวะทันตสุขภาพของฟันทุกซี่ และข้อมูลการวางแผนการส่งเสริม ป้องกัน รักษา
(หญิงตั้งครรภ์,เด็กในโรงเรียน,ผู้รับบริการ)
17. 42-COMMUNITY_ACTIVITY : ข้อมูลกิจกรรมในชุมชนที่อยู่ในเขตรับผิดชอบ
18. 43-COMMUNITY_SERVICE : ข้อมูลการให้บริการในชุมชนสำหรับกลุ่มเป้าหมายในเขตรับผิดชอบและผู้ป่วยนอกเขตรับผิดชอบ
19. 44-CARE_REFER : ข้อมูลประวัติการได้รับยาของผู้ป่วยที่ได้รับการส่งต่อ ส่งกลับ หรือตอบกลับ
20. 45-CLINICAL_REFER : ข้อมูลการประเมินทางคลินิกของผู้ป่วยที่ได้รับการส่งต่อ ส่งกลับ หรือตอบกลับ
21. 46-DRUG_REFER : ข้อมูลรหัสยา 24 หลัก หรือรหัสยา TMT
22. 47-INVESTIGATION_REFER : ข้อมูลการตรวจทางห้องปฏิบัติการและตรวจวินิจฉัยอื่นๆของผู้ป่วยที่ได้รับการส่ง
ต่อ ส่งกลับ หรือตอบกลับ
23. 48-PROCEDURE_REFER : ข้อมูลประวัติการได้รับการทำหัตถการและผ่าตัดของผู้ป่วยที่ได้รับการส่งต่อ ส่งกลับ
หรือตอบกลับ
24. 49-REFER_HISTORY : ข้อมูลประวัติการส่งส่งต่อผู้ป่วย
25. 50-REFER_RESULT : ข้อมูลการตอบรับการส่งต่อ/ส่งกลับผู้ป่วย
โปรแกรมระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตน สำหรับเจ้าหน้าที่ของหน่วยบริการใช้พิสูจน์และยืนยันตัวตน
ของผู้มารับบริ การ เพื่อเข้าถึงข้อมูลประวัติการเข้ารับการรักษาของผู้รับบริก ารในหน่วยบริการด้าน
การแพทย์ แ ละสาธารณสุ ข ที่ ส ่ ง ข้ อ มู ล เข้ า มายั ง ระบบระเบี ย นสุ ข ภาพอิ เ ล็ ก ทรอนิ ก ส์ ส ่ ว นบุ ค คล
(Personal Health Record : PHR) บนแอปพลิเคชันหมอพร้อม
1. เครือข่า ยส่วนบุคคล (PAN : Personal Area Network) ➔ เครือ ข่ายขนาดเล็ก ที่มีช อบเขตระยะสั้น
ประมาณไม่เกิน 10 เมตร มีจุดเด่นที่สะดวก คล่องตัว สามารถใช้งานได้แทบทุกที่ แต่จะมีข้อจำกัดเรื่องระยะทาง
ความเร็วในการเชื่อมต่อ และการรองรับอุปกรณ์ที่จำกัด
ตัวอย่าง คุณใช้โทรศัพท์มือถือในการปล่อย Hotspot ให้ laptop หรือ iPad ใช้งานภายในห้องนอนของคุณ
การเชื่อมต่อแบบนี้เรียกว่า PAN
2. เครือข่ายท้องถิ่น (LAN : Local Area Network) ➔ เครือข่ายขนาดกลางที่ครอบคลุมในระดับองค์กรหรือ
ระยะทางประมาณไม่เกิน 10 กิโลเมตร จุดเด่นที่มีความเร็วสูงมาก รองรับการทำงานร่วมกันของอุปกรณ์ได้หลาย
ชนิ ด เหมาะสำหรั บ การใช้ ง านภายในบริ ษัท องค์ ก ร หรื อ สำนั ก งานขนาดเล็ ก ถึ ง ขนาดกลาง ส่ ว นข้ อ จำกั ด คื อ
Software ที่พัฒนาไว้ใช้สำหรับระบบ LAN ส่วนใหญ่เป็น Software เฉพาะทาง ซึง่ มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับ
ระบบเครือข่ายชนิดอื่น
ตั ว อย่ า ง เพื่ อ นในบริษัท สั่ง ปริ้น จากโต๊ะ ทำงานของเขา ไปยั ง Printer บนโต๊ ะ ทำงานของคุ ณในออฟฟิศ
เดียวกัน การเชื่อมต่อแบบนี้เรียกว่า LAN
3. เครือข่ายระดับเมือง (MAN : Metropolitan Area Network) ➔ เครือข่ายขนาดใหญ่ มีระยะครอบคลุมใน
ระดับเมือ งหรือ ประมาณไม่เกิ น 100 กิ โ ลเมตร เป็นการเชื่อ มต่อ LAN หลายๆ LAN เข้าด้ว ยกั น เพื่อ เพิ่ม
ระยะทาง โดยจะมีจุดเด่นที่ ระยะทางการเชื่อมต่อไกลกว่า LAN ทำให้สามารถแชร์ทรัพยากรได้กว้างขึ้น ช่วยลด
ค่าใช้จ่ายที่ไม่ต้องซื้ออุปกรณ์ซ้าซ้อนลงได้ เหมาะสำหรับการใช้งานภายในบริษัท องค์กร หรือสำนักงานขนาดใหญ่
ที่มีสาขาหรือตึกกระจายอยู่ภายในระยะที่กำหนด แต่เนื่องจากมีระยะที่ไกลขึ้น ทำให้ต้องเพิ่มอุปกรณ์ส ำหรับ
เชื่อมต่อเข้าไป จึงมีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้สูงขึ้น
ตัวอย่าง บริษัทของคุณกำลังจะเปิดสาขาใหม่ในจังหวัดใกล้เคียง และต้องการใช้ทรัพยากรหรือบริการจาก
บริษัทแม่ การเชื่อมต่อแบบนี้เรียกว่า MAN
4. เครือข่ายบริเวณกว้าง (WAN : Wide Area Network) ➔ เครือข่ายขนาดใหญ่มากที่มีระยะครอบคลุมทั่ว
โลก โดยภายในจะประกอบไปด้วย LAN และ MAN จำนวนมหาศาล มีจุด เด่น ที่สามารถเข้าถึ งข่าวสารได้สะดวก
รวดเร็ว และข้อจำกัดคือ ต้องใช้อุปกรณ์หลายชิ้น ทำให้มีราคาสูงกว่าเครือข่ายแบบอื่น
ตัวอย่าง คุณใช้ Video Call โทรหาเพื่อนที่อยู่ต่างประเทศ เรียกการเชื่อมต่อแบบนี้ว่า WAN
ชุดวิชาที่ 4 การคุ้มครองผู้บริโภคด้านสาธารณสุข
ผู้บริโภค ➔ ผู้ซื้อหรือผู้ได้รับบริการจากผู้ประกอบธุรกิจหรือผู้ซึ่งได้รับการเสนอหรือการชักชวนจากผู้โดยชอบ
แม้มิได้เป็นผู้เสียค่าตอบแทนก็ตาม
จุดมุ่งหมายในการคุ้มครองผู้บริโภค
1. เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค ไม่ให้เสียเปรียบผู้ผลิต
2. เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการโฆษณา
3. เพื่อควบคุมสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ปลอดภัย หรือเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค
4. เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ระหว่างผู้ซื้อ และผู้ขาย
การคุ้มครองผู้บริโภคด้านสาธารณสุข
➔ การปกป้ อ งดูแ ล และการดำเนินการเพื่ อ ให้ ป ระชาชนได้ บ ริ โ ภคผลิ ต ภั ณ ฑ์สุข ภาพที่มี คุ ณ ภาพและมาตรฐาน
ปลอดภัย และสมประโยชน์ เป็นภารกิจที่สำคัญของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่
ตามกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานคณะกรรรมการอาหารและยา (อย.)
สามารถจำแนกออกเป็น 2 ด้านหลัก คือ
1. การคุ้มครองผู้บริโภคด้านบริการสาธารณสุข ประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่ บริการในด้านการส่งเสริมสุขภาพ
การป้องกันโรค การรักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสุขภาพ
2. การคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ กำหนดหน้าที่รับผิดชอบไว้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพที่สำคัญ มี
8 ประเภท ได้แก่ อาหาร ยา ยาเสพติดให้โทษ วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์ วัตถุ
อันตราย และสารระเหย
--- คู่มือเตรียมสอบนักวิชาการสาธารณสุข โดย แก้ว ญาณิศา --- 23
--- การคุ้มครองผู้บริโภคด้านสาธารณสุข ---
ความหมายการจดทะเบียนอาหาร การแจ้งรายละเอียดอาหารและเลขสารบบอาหาร
การจดทะเบียนอาหาร ➔การขอรับเลขสารบบอาหาร ของอาหารกำหนดคุณภาพหรือมาตรฐาน
การแจ้งรายละเอียดอาหาร ➔การขอรับเลขสารบบอาหารของอาหารที่ต้องมีฉลากและอาหารทั่วไป
เลขสารบบอาหาร ➔ ตัวเลข 13 หลักที่ได้รับอนุญาตในส่วนของสถานที่และผลิตภัณฑ์อาหารประกอบไปด้วย เลขสถานที่
ประกอบการ 8 หลักแรก XX-X-XXXXX และ เลขผลิตภัณฑ์อาหาร 5 หลักหลัง Y-YYYY
การขอเลขสถานที่ประกอบการ 8 หลัก ➔ ประกอบไปด้วย เลขจังหวัดที่ตั้งของสถานที่ผลิต, สถานะของหน่วยงานที่ขอ
อนุญาต, เลขประจำสถานที่ผลิต, เลขท้ายของปีพ.ศ.ที่อนุญาต
พระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510
องค์ประกอบฉลากยา : มาตรา 25(3)
1. ชื่อยา 3.ปริมาณของยาที่บรรจุ
2. เลขที่/รหัสใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยา 4. ชื่อ/ปริมาณ/ความรุนแรงของสารออกฤทธิ์
**ต้องมีคำเตือนการใช้ยาไว้ในฉลากและที่เอกสารกำกับยา
บทลงโทษ : ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 2,000 – 10,000 บาท
พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ.2558
สาระสำคัญ : ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางทุกชนิดเป็นเครื่องสำอางควบคุม
การจดแจ้ง
มาตรา 14 ผู้ใดประสงค์จะผลิตเพื่อขาย นำเข้าเพื่อขาย หรือรับจ้างผลิตเครื่องสำอางต้องจดแจ้งรายละเอียดของ
เครื่องสำอางต่อผู้รับจดแจ้ง และเมื่อผู้รับจดแจ้งออกใบรับจดแจ้งให้แล้วจึงจะผลิตหรือนำเข้าเครื่องสำอางนั้นได้
การควบคุมเครื่องสำอาง
มาตรา 27 ห้ามมิให้ผู้ใดผลิตเพื่อขาย นำเข้าเพื่อขาย รับจ้างผลิตหรือขายเครื่องสำอางดังต่อไปนี้
(1) เครื่องสำอางที่ไม่ปลอดภัยในการใช้ (3) เครื่องสำอางผิดมาตรฐาน
(2) เครื่องสำอางปลอม (4) เครื่องสำอางที่รัฐมนตรีประกาศห้ามตามมาตรา 6 (1)
(5) เครื่องสำอางที่ถูกสั่งเพิกถอนใบรับจดแจ้งตามมาตรา 36 หรือมาตรา 37
พ.ร.บ.เครื่องสำอาง ฉบับ 2 พ.ศ.2559
สาระสำคัญ : มาตรา 3 ให้เพิ่มบทนิยามคำว่า “กระบวนการพิจารณาเครื่องสำอาง” ➔ การพิจารณาคำขอการ
ตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารการประเมินเอกสารทางวิชาการ การตรวจวิเคราะห์ การตรวจสถานที่ผลิตนำเข้า
ขาย หรื อ เก็ บ รั ก ษาเครื่ อ งสำอาง หรื อ การตรวจสอบเพื่ อ ออกใบรับ จดแจ้ ง ตลอดจนการพิ จ ารณาใด ๆ เกี่ ย วกั บ
เครื่องสำอาง
ประกาศ เรื่องการใช้ส่วนของกัญชง/กัญชาในเครื่องสำอาง พ.ศ. 2564 ลงวันที่ 11 พฤษภาคม 2564
“สารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล ” (Tetrahydrocannabinol หรือ THC ) ➔ผลรวมของสารในกลุ่ม THC
“ส่วนของกัญชง” หมายความว่า (1) เปลือก ลำต้น เส้นใย กิ่งก้าน และราก (2) ใบ ซึ่งไม่มียอดหรือช่อดอกติดมาด้วย
(3) เมล็ดกัญชง/กัญชา (4) กากหรือเศษที่เหลือจากการสกัดกัญชง/กัญชา
** ต้องมีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (tetrahydrocannabinol, THC) ไม่เกินร้อยละ 0.2 โดยน้าหนัก
ประกาศ ชื่อวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง พ.ศ. 2566 วันที่ 22 มิถุนายน 2566 ➔ 1,610 ชนิด
**สารห้ามใช้ทส
ี่ ำคัญ : สารประกอบชองปรอท ไฮโรควิโนน กรดเรทิโนอิก (กรดวิตามินเอ) กรกอะเซลาอิก
ชุดวิชาที่ 5 ประชากรศาสตร์
ประชากรศาสตร์
➔ การศึกษาเกี่ยวกับขนาดหรือจำนวนคนที่มีอยู่ในแต่ละสังคม ภูมิภาคและระดับโลก
➔ ศึกษาการเปลี่ยนแปลง การกระจายตัว และองค์ประกอบต่าง ๆ ของประชากร ได้แก่ การตาย การเจริญพันธุ์
และการย้ายถิ่น
ขอบข่ายของประชากรศาสตร์
- ประชากรศาสตร์เชิงแบบ การศึ ก ษาเกี่ ยวกั บการใช้ ร ะเบีย บวิ ธีทางสถิ ติในการวั ด และวิ เคราะห์ ปรากฏการณ์ทาง
(Formal demography) ประชากร โดยอาศัยตัวแปรทางประชากรเป็นหลัก
- ประชากรศาสตร์สังคม การศึ ก ษาปรากฏการณ์ ต ่ า งๆทางประชากรที่ สั ม พั น ธ์ กั บ ศาสตร์ ส ่ ว นอื่ น ๆ เช่ น
(Social demography) เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ กฎหมาย ประวัติศาสตร์ และศาสตร์ในแขนงสังคมศาสตร์
- ประชากรศาสตร์ทางการแพทย์ การประยุกต์หลักการแบบจำลองและเทคนิคของ ประชากรศาสตร์เพื่อวิเคราะห์เกี่ยวกับ
(Medical demography) ปรากฏการณ์ของภาวการณ์ เจ็บป่วย ภาวะทุพพลภาพ และภาวะการตาย
สรุปประเด็นหลักในการศึกษาประชากรศาสตร์
1. เพื่อหาขนาดหรือจำนวนประชากร (Population size) ในแต่ละพื้นที่ และรูปแบบการเปลี่ยนแปลงขนาดประชากร
การเปลี่ยนแปลงขนาดประชากร (Population Dynamics) ➔ภาวะประชากรทุกด้านเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
ทฤษฎีประชากร ➔ ทฤษฎีที่สร้างขึ้นเพื่ออธิบายปรากฏการณ์และพฤติกรรมทางประชากรในลักษณะต่างๆ
สรุปแนวคิดทางทฤษฎีประชากรได้ดังนี้
1. ทฤษฎีทางประชากรของมัลธัส ประชากรขึ้นอยู่กับเครื่องยังชีพ ประชากรจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อเครื่อ ง
**ออกสอบ ปี 56,59 ยังชีพเพิ่มมากขึ้น ยกเว้นจะมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาควบคุม ได้แก่ ข้อห้าม
ทางศีลธรรม ความเสื่อมและความยากแค้น
จุดอ่อน ข้อมูลที่นำมาเป็นพื้นฐานของอเมริกา จึงไม่อาจจะนำมาเป็น
รูปแบบของประเทศต่าง ๆ ได้ทุกประเทศ
2. ทฤษฎีทางด้านวัฒนธรรม การจำกั ด อั ต ราการเกิ ด ขึ้ น อยู ่ กั บ ความคิ ด ทางด้ า นจิ ต ใจมากกว่ า
ทางด้านเศรษฐศาสตร์ บุคคลชั้นสูงมีบุตรน้อยกว่าพวกกรรมกร
เพราะต้องการสร้างความเจริญมั่งคั่งให้กับครอบครัวและสังคม
จุดอ่อน คำว่า “วัฒนธรรม” มีความหมายกว้างขวางมาก ยากที่จะหา
ขอบเขตแน่นอน
3. ทฤษฎีทางด้านชีววิทยา Sadler ได้ตั้งกฎเกี่ยวกับประชากรไว้ 2 ข้อ ในหนังสือ The Lawof
Population คือ
(1) ภาวะเจริญพันธุ์ผกผันกับความหนาแน่นของประชากร
(2) อัตราตาย และอัตราเกิดจะผันแปรตามกัน กล่าวคือถ้าพื้นที่ใดมี
อัตราตายสูงก็จะมีอัตราเกิดสูง และถ้าที่ใดมีอัตราเกิดก็จะมีอัตราตาย
4. ทฤษฎีประชากรทางด้านคณิตศาสตร์ เมื่อภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น อัตราเพิม
่ ประชากรจะสูงขึ้น ต่อมาอัตราเพิม
่
นี้จะลดลง จนในที่สุดก็เข้าสู่สภาพคงที่จนกว่าจะระบบเศรษฐกิจใหม่
5. ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงประชากร การเปลี่ยนแปลงประชากรตามธรรมชาติเท่าที่เป็นไปตามธรรมชาติ
**อาจออกสอบ JUM!! เท่าที่เป็นไปได้ มีอยู่ 4 ลักษณะ คือ
(1) อัตราเกิดสูง อัตราตายสูง (เรียกว่า High Potential Growth)
(2) อัตราเกิดสูง อัตราตายต่า (เรียกว่า Transitional Growth)
(3) อัตราเกิด อัตราตาย (เรียกว่า Incipient Decline)
(4) อัตราเกิด อัตราตายสูง (อัตราเพิม ่ ประชากรจะติดลบ)
โครงสร้างประชากรไทย ปี 2565-2573
ปี 2565
ปี 2573
ปี 2566 ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
➔ ประชากรรวมทั้งหมด 66,060,036 คน จำนวนประชากรสูงอายุ 60 ปีขึ้นไป รวม 12,533,117 คน คิดเป็น 18.97%
แนวคิดมูลฐานทางประชากรศาสตร์
ประชากรกลางปี (Mid-year population)
➔ เนื่ อ งจากปรากฏการณ์ ท างประชากรเกิ ด ขึ้ น ตลอดเวลา
จึงต้องการ “กลุ่มประชากรในข่ายที่จะมีเหตุการณ์นั้น ๆ เกิดขึ้นเฉลี่ย
ตลอดปี ” มาเป็ นฐานในการคำนวณ ได้ แก่ จำนวนคน-ปีที่มีชีวิตอยู่
ใน 1 ปีปฏิทินของประชากร และ ประชากรกลางปี
การวิเคราะห์ข้อมูลทางประชากร
• สถิติชีพ (vital statistics)
➔ ข้อ มูล ข่าวสารที่เกี่ ยวกั บ การดำรงชีวิ ตของประชาชน เพื่อ ให้ท ราบถึ งสภาพการณ์ของสุขภาพอนามัยของ
ประชาชน และการเปลี่ยนแปลงของประชากรที่อาจจะเกิ ด ขึ้น และสามารถนำมาพิจารณาเปรียบเทียบกั น ได้ ได้แก่
ประชากรการเกิด การตาย การย้ายถิ่นฐาน และการหย่าร้าง
➔ เป็นแขนงทีส ่ ำคัญแขนงหนึ่งของสถิติเชิงพรรณนา (descriptive statistics)เพื่อเป็นหลักสำคัญในการอธิบาย
สภาวะสุขภาพ และอนามัยของประชากร โดยมีการอธิบายรูปแบบของตัวเลข หรืออัตราต่างๆ
ดัชนีอนามัยที่สำคัญ
1. อัตราตายอย่างหยาบ (Crude death Rate) ***ออกสอบปี 56 ให้ ปชก.กลางปีมา ถามอัตราตายอย่างหยาบ
➔ จำนวนคนตายด้วยสาเหตุต่างๆ ทั้งหมดต่อจำนวนประชากน 1,000 คนต่อปี
จำนวนคนตายทั้งหมดในระหว่างปี
อัตราตายอย่างหยาบ = x 1,000
จำนวนประชากรกลางปีในปีเดียวกัน
จำนวนมารดาตายจากตั้งครรภ์ การคลอดและหลังคลอด
อัตราตายมารดา = x 100,000
จำนวนทารกเกิดมีชีพปีเดียวกัน
จำนวนทารกที่เสียชีวิต ≤28วัน
อัตราตายทารกแรกเกิด = x 1,000
จำนวนทารกแรกเกิดมีชีพ
ชุดวิชาที่ 6 เศรษฐศาสตร์สาธารณสุข
การวิเคราะห์ต้นทุน ตามแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์สุขภาพ
การประเมินทางเศรษฐศาสตร์บริการสุขภาพ ใช้การประเมิน 4 รูปแบบ คือ
1. การวิเคราะห์ต้นทุนต่า (Cost Minimization Analysis : CMA)
2. การวิเคราะห์ต้นทุนประสิทธิผล (Cost Effectiveness Analysis: CEA)
3. การวิเคราะห์ต้นทุนผลได้ (Cost Benefit Analysis: CBA)
4. การวิเคราะห์ต้นทุนอรรถประโยชน์ (Cost Utility Analysis: CUA)
อุปสงค์/ความจำเป็นและพฤติกรรมการบริโภคบริการสุขภาพ
อุปสงค์ (Demand) คือ ความต้องการ (Want) ในสินค้าหรือบริการ โดยผู้ซื้อจะต้องมีอำนาจซื้อ
อุปทาน (Supply) คือ ปริมาณสินค้าที่ผู้ผลิตยินดีจะทำออกเสนอขายในตลาด ณ ระดับราคาแตกต่างกันของ
สินค้าเช่น หน่วยบริการสุขภาพ บุคลากรสุขภาพ ยา วัคซีน **ออกข้อสอบ 65
บุคลากรทางสาธารณสุข เป็นอุปทาน (supply)
ผู้รับบริการ (ประชาชน) เป็นอุปสงค์ (demand) **ออกข้อสอบ
ลักษณะของอุปสงค์ที่มีต่อบริการสุขภาพ
➔ เป็นอุปสงค์ต่อเนื่อง (Derived Demand)
➔ เป็นอุปสงค์อันเนื่องมาจากการชักนำโดยอุปทาน (Supply Induced Demand)
➔ เป็นอุปสงค์ที่เกี่ยวข้องกับความไม่แน่นอน (Certainly)
ความสำคัญของการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค
1. การกำหนดนโยบายการคลัง (Financing Policy) มีผลต่อพฤติกรรมการใช้บริการ
2. การบริโภคหรือไม่บริโภคบริการสุขภาพมีผลกระทบต่อผู้อื่นด้วย (มีผลกระทบภายนอก)
3. พฤติกรรมสุขภาพของประชาชน มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการยกระดับสถานะสุขภาพ
พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เป็นปัญหาต่อการยกระดับสถานะสุขภาพ
➔ พฤติกรรมเกี่ยวกับอนามัยครอบครัว และโภชนาการ.
➔ พฤติกรรมการบริโภคบริการสุขภาพไม่ถูกต้อง เช่น การซื้อยากินเอง
➔ พฤติกรรมที่ทำให้เกิดโรคทางสังคม เช่น การติดแอลกอฮอล์ และสารเสพติด โรคประสาท และความพิการจากอุบัติเหตุ
พฤติกรรมของผู้ผลิตที่เป็นปัญหาต่อการยกระดับสถานะสุขภาพ
การแสวงหากำไรเกินควรของสถานพยาบาล และร้านขายยา และนำมาซึ่ง
➔ การใช้ยาเกินจำเป็น
➔ การใช้ยาที่ไม่ถูกต้องเพื่อผลระยะสั้น
➔ การตรวจรักษาที่เกินกว่าเหตุ
➔ การตรวจรักษาด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ที่แพงโดยไม่จำเป็น
ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีต่อบริการสุขภาพ
ประเด็นที่ 1 อุปสงค์ภายนอก และ อุปสงค์ของสังคมต่อบริการสุขภาพ
- เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับบริการ จะมีคนอื่นๆที่ยินดีจ่ายบางอย่างเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับบริการ เรียกว่า อุปสงค์ภายนอก
ประเด็นที่ 2 คุณภาพบริการมีผลต่ออุปสงค์ เช่น คุณภาพสูง อุปสงค์เพิ่ม คุณภาพต่า อุปสงค์ลดลง
ประเด็นที่ 3 ความไม่ใส่ใจของผู้บริโภคเกี่ยวกับผลการรักษาที่มีต่อสุขภาพ
ประเด็นที่ 5 ต้นทุน ประกอบด้วย ค่ารักษา ต้นทุนค่าเสียเวลา ความต้องการรับบริการสุขภาพของประชาชน
หน่วยงานประกัน (insurance) เป็นผู้ซื้อบริการโดยทำหน้าที่บริหารงบประมาณใช้มาตรการทางการเงินแก่ผู้ให้
บริการควบคุมให้มีมาตรฐานสาธารณสุข
ประเทศไทยมีระบบหลักประกันสุขภาพหลัก 3 กลุ่มตามสิทธิ ได้แก่ (1) ระบบประกันสังคม (2)ระบบสวัสดิการ
รักษาพยาบาลข้าราชการ และ (3) ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สป.สช.) และแบบประชาชนจ่ายเองหรือ
ซื้อประกันสุขภาพจากเอกชน
ชุดวิชาที่ 7 ชีวิสถิติ
กระบวนการทางสถิติ
สถิติมี 2 ประเภท
ประเภทข้อมูล
➔ ข้อมูล (Data) หมายถึง ข้อเท็จจริงที่เก็บรวบรวมได้จากตัวอย่างหรือประชากร
• แบ่งตามลักษณะข้อมูล ได้ 2 ประเภท ดังนี้
1. ข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative Data) ➔ เป็นข้อมูลที่แสดงข้อเท็จริงสามารถวัดออกมาเป็นตัวเลขได้ เช่น รายได้
อายุ ความสูง อุณหภูมิ น้าหนัก ซึ่งแบ่งได้ 2 แบบ คือ
1.1 ข้อมูลแบบต่อเนื่อง (Continuous Data) : ข้อมูลเป็นจำนวนจริง เช่น 0-1 ซึ่งมีค่ามากมายนับไม่ถ้วน และเป็น
เส้นจำนวนแบบไม่ขาดตอน
1.2 ข้ อ มู ล แบบไม่ต ่อ เนื่ อง (Discrete Data) : ข้ อ มู ล ที่ มี ค ่ า เป็ น จำนวนเต็ ม หรื อ จำนวนนั บ เช่ น 0,1,2,….หรือ
0.1,0.2,0.3,... ซึ่งไม่มีค่าอื่นใดมาแทรก
2. ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Data) ➔ เป็นข้อมูลที่ไม่ วัดออกมาเป็น ตัว เลขก็ได้ เช่น เพศ ระดับการศึกษา
อาชีพ ทัศนคติ เป็นต้น
• แบ่งตามแหล่งที่มาของข้อมูล ได้ 2 ประเภท ดังนี้ **ออกสอบทุกปี ถามว่าเป็นข้อมูลแบบไหน ประเภทไหน
1. ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data) ➔ เป็นข้อมูลที่มาจากแหล่งข้อมูลโดยตรงที่ผู้ใช้ไปเก็บรวบรวมข้อมูลเอง เช่น
แบบสอบถาม สัมภาษณ์ การทดลองในห้องปฏิบัติการ
2. ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) ➔ เป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งที่มีการเก็บรวบรวมไว้แล้ว เช่น สำมะโนประชากร
ประชากรและการสุ่มตัวอย่าง
แผนภูมิ
3. แผนภูมิวงกลม ➔ ใช้แ จกแจงข้อมูล กลุ่ม (Nominal or Ordinal scale) ใช้พื้น ที่ในแต่ละสัด ส่ว นของวงกลม
บอกสัดส่วนของแต่ละลักษณะ (ต้องไม่เกิน 100%) เหมาะกับข้อมูลไม่หลากหลายมากเกินไป เช่น เพศ อาชีพ การศึกษา
การวิเคราะห์ข้อมูล
➔ เป็นขั้นตอนการประมวลผลข้อมูลซึ่งในการวิเคราะห์จำเป็นต้องใช้สูตรทางสถิติต่างๆหรือใช้การอ้างอิงทางสถิติ
ขึ้นกับวัตถุประสงค์ของงานนั้นๆ เช่น การวิเคราะห์แนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง การวัดการกระจาย เป็นต้น
หาค่ากลาง หาตำแหน่งข้อมูล การกระจายข้อมูล ความสัมพันธ์ข้อมูล เปรียบเทียบ
ความแตกต่าง
1. ค่าเฉลี่ย (Mean) 1. ควอไทล์ (Quartiles) 1. พิสัย (Range) 1.การทดสอบไคสแควร์ 1. Independent T-
2. ฐานนิยม (Mode) 2. เดไซล์ (Deciles) 2. ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Chi-Square Test) Test
3. มัธยฐาน(Median) 3. เปอร์เซ็นไทล์ (Standard Deviation) 2.การทดสอบแบบเอฟ 2. Paired Samples
4.ค่ามากสุด (Max) (Percentiles) 3. ค่าความแปรปรวน (F-Test)
T-Test
ค่าน้อยสุด (Min) (Variance) 3.สหสัมพันธเชิงอันดับ
3. Analysis of
**ออกสอบทุกปี 4.สัมประสิทธิก์ ารกระจาย ของสเปียรแมน
Variance (ANOVA)
(Coefficient of Variation) (Spearman Rank
4. Z-test
5.การวัดความเบ้ Correlation)
วัดการแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง
**อาจออกสอบปี 66
**แต่ถ้าทุกจำนวนมีความถี่เท่ากัน
ข้อมูลชุดนั้นไม่มีฐานนิยม
การวัดหาตำแหน่งข้อมูล วัดการแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง
การแจกแจงข้อมูล
ชุดวิชาที่ 8 สถิติและการวิจัยทางด้านสาธารณสุข
ความหมายของการวิจัย
การวิจัย ➔ การค้นหาคำตอบว่าความจริงแต่ละเรื่องเป็นอย่างไร ด้วยวิธีการที่มีระบบระเบียบแบบแผนที่แน่นอน
มีความเชื่อถือได้ตามความวิธีการทางวิทยาศาสตร์ โดยมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน (จิตราภา กุณฑลบุตร, 2550)
การวิจัยทางด้านสาธารณสุข ➔ การศึกษาค้นคว้า หาความรู้ หาวิธีการใหม่ๆ คิดค้นหาเทคโนโลยีที่เหมาะสมและมี
ประสิทธิภาพในการป้องกันและรักษาโรค รวมทั้งในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ในการปฏิบัติงานทางด้านสาธารณสุข เพื่อให้
ประชาชนมีสุขอนามัยที่ดี สามารถดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุข (ธวัชชัย วรพงศธร, 2543)
ประโยชน์ของการวิจัย
1. สร้างองค์ความรูใ้ หม่
2. อธิบายสภาพปัญหา สถานการณ์ ปรากฏการณ์ และปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
3. พัฒนาวิธีการ แนวทาง เทคโนโลยีใหม่ๆในการแก้ปัญหา หรือ พัฒนางาน
4. กำหนดนโยบาย วางแผน ประเมินผล สรุป และตัดสินใจ
กระบวนการวิจัย **ออกสอบปี 66 ข้อใดไม่ใช่ขั้นตอนการวิจัย
1. ชื่อเรื่องและกำหนดปัญหาการวิจัย 7. เครื่องในการวิจัย
2. ทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 9. การเก็บรวบรวมข้อมูล
3. ตั้งคำถามและวัตถุประสงค์การวิจัย 10. การวิเคราะห์ข้อมูล
4. สมมติฐานการวิจัย 11. สรุปและแปรผล
5. กำหนดตัวแปร 12. การเขียนรายงานการวิจัย
6. การออกแบบการวิจัย 12. นำเสนอและเผยแพร่ผลงานวิจัย
1. การกำหนดปัญหาในการวิจัยทางด้านสาธารณสุข ข้อมูลที่มีความตรง(Validity) และความเที่ยง(Reliability)
1. ความสำคัญของประเด็นปัญหาการวิจัย ✓ 2. ความรุนแรงของปัญหา
✓ ขนาดของปัญหา ✓ ผลกระทบต่อสุขอนามัยของประชาชน
✓ อยู่ในแผน/ นโยบายเร่งด่วนของประเทศ ✓ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ
✓ ให้ความรู้ใหม่ทน
ี่ ่าสนใจ ✓ แนวโน้มทีเ่ พิ่มขึ้นในอนาคต
✓
3. ความเป็นไปได้ในการทำวิจัย 4. ไม่ซ้าซ้อนงานวิจัยที่ทำมาแล้ว
✓ ระดับของปัญหา(ไม่กว้าง ไม่ซับซ้อนเกินไป) ✓ ปัญหาการวิจัย
✓ ความสามารถและทักษะของผู้วิจัย ✓ สถานที่
✓ ทรัพยากรบุคคล งบประมาณ ระยะเวลา ✓ ระยะเวลา
✓ วิธีการวิจัย อุปกรณ์ เครื่องมือวิจัย ✓ ระเบียบวิธีวิจัย
การเขียนวรรณกรรม มี 3 แบบ
1) เขียนแบบตัดต่อ ➔ นำแนวคิด ทฤษฎี แต่ละคนมาต่อๆกันภายในเรื่อง/หัวข้อเดียวกัน ไม่มีการสรุปแต่ละข้อ
2) เขียนแบบตัดต่อเหมือนกับแบบแรก แต่มีการสรุป/สังเคราะห์ข้อความเข้าด้วยกัน นิยมเขียน
3) เขียนในรูปแบบสรุปความหรือแบบสังเคราะห์ข้อความ เป็นวิธีการเขียนที่ดีที่สุด แต่มีน้อยมาก
3. ตั้งคำถามและวัตถุประสงค์การวิจัย
➔ คำถามที่นักวิจัยกำหนดขึ้นเพื่อหาคำตอบ ซึง่ จะนำไปสู่วิธีการแก้ไขปัญหาการวิจัย
➔ นิยมตั้งคำถามวิจัยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรตั้งแต่สองตัวขึ้นไป มีลักษณะอย่างไร
ตั้งคำถามการวิจัยด้วยหลัก PICO
Population (P) เราสนใจบุคคลหรือปัญหาในการศึกษา?
Intervention (I) สิ่งที่จะใส่ในการศึกษา
Comparison (C) การเปรียบเทียบ (ตัวแปร)
Outcome (O) เราคาดหวังอะไรจากผลลัพธ์การศึกษานี้?
กำหนดวัตถุประสงค์การวิจัย **ออกสอบ 56,59
1. เขียนในรูป “เป้าหมาย” การวิจัยไม่ใช่ วิธีการ
2. ต้องสอดคล้องกับชื่อเรื่องวิจัย
3. สั้น กะทัดรัด ชัดเจนว่าศึกษาอะไร ในแง่มุมใด
วัตถุประสงค์ของการวิจัยที่สอดคล้องกับประเภทงานวิจัย JUM!!
ประเภทของงานวิจัย วัตถุประสงค์ของการวิจัย
งานวิจัยเชิงสำรวจ เพื่อศึกษาสภาพเหตุการณ์ทั่วๆ ไป ของ
งานวิจัยเชิงบรรยายเพื่อทำนาย เพื่อศึกษาปัจจัยที่มี/ส่งผล/ผลกระทบ/อิทธิพลต่อ.........
งานวิจัยเชิงอธิบาย เพื่อศึกษา/หาสาเหตุของ...........
งานวิจัยเชิงบรรยายเพื่อหาความแตกต่าง เพื่อเปรียบเทียบ......................
งานวิจัยเชิงทดลอง เพื่อศึกษาอิทธิพลของ................. โดยควบคุม)
งานวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ เพื่อบรรยายเหตุการณ์........ที่เกิดขึ้นในอดีต
งานวิจัยประเมินผล เพื่อตรวจสอบตามเกณฑ์ที่สร้างขึ้น
งานวิจัยเชิงวิจัยและพัฒนา เพื่อพัฒนาขึ้น
4. ขั้นตอนการตั้งสมมติฐาน (มีหรือไม่ก็ได้)
สมมติฐาน ➔ ข้อความที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ที่คาดหวังระหว่างตัวแปร (Variables) หรือข้อความคิด
(concept) ตั้งขึ้นเพื่อให้พิสูจน์ว่า “ยอมรับ” หรือ “ไม่ยอมรับ
1) เป็นการคาดคะเนคำตอบของปัญหาการวิจัย
2) เขียนในลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป คำตอบที่ได้อาจถูกต้อง/ไม่ถูกต้องก้ได้
3) สมมติฐานที่ตั้งขึ้น ต้องพิสูจน์หรือทดสอบได้ด้วยข้อมูลและหลักฐาน
4) การวิจัยเชิงคุณภาพ ตั้งหรือไม่ตั้งสมมติฐานการวิจัยไว้ก่อนก็ได้
--- คู่มือเตรียมสอบนักวิชาการสาธารณสุข โดย แก้ว ญาณิศา --- 42
--- สถิติและการวิจัยทางด้านสาธารณสุข ---
ประเภทของสมมติฐาน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. สมมติฐานทางวิจัย (research hypothesis) ข้อความที่แสดงถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรที่ศึกษา โดยใช้ข้อมูลเชิง
ประจักษ์จากการสังเกตและสัมภาษณ์ ใช้ในการเขียนรายงานการวิจัย เช่น
>> ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในเหตุผลของการตั้งสมมติฐาน ➔ มีความเชื่อมั่นค่อนข้างสูง
2. สมมติ ฐ านทางสถิ ติ ข้ อ ความที่ เขี ย นเพื่ อ ใช้ ในการทดสอบสมมติ ฐ านการวิ จั ย เขี ย นในรู ป สั ญ ลั ก ษณ์ ท าง
คณิตศาสตร์เกี่ยวกับค่าพารามิเตอร์ของประชากร เช่น 𝜇 (มิว) : ค่าเฉลี่ย
2.1 สมมุติฐานว่าง หรือ สมมติฐานหลัก (Null Hypothesis) เขียนให้ไม่มีความแตกต่างหรือไม่มีความสัม พัน ธ์
ระหว่างตัวแปรทั้ง 2 ตัว มีลักษณะเงือ
่ นไขที่เท่ากันหรือเป็นกลาง สมมติฐานศูนย์ สัญลักษณ์ H0
2.2 สมมุติฐานทางเลือก หรือ สมมุติฐานรอง (Alternative Hypothesis : H1) โดยระบุถึงความสัมพันธ์ของตัวแปร
ว่าไม่ความสัมพันธ์กันทางใด แตกต่างกันหรือไม่เท่ากัน มากกว่า น้อยกว่า สัญลักษณ์ H1 , Ha
1) สมมติฐานแบบมีทิศทาง ➔ สมมติฐานที่เขียนแสดงถึงความสัมพันธ์หรือความแตกต่างของตัวแปรไปใน
ทิศทางใดทิศทางหนึ่ง มีคำว่า มากกว่า หรือ น้อยกว่า **ออกสอบปี 59,65 ข้อใดเป็นการตั้งสมมติฐานแบบมีทิศทาง
การทดสอบสมมติฐาน
ปฏิเสธ H0 ไม่ปฏิเสธ H0
H0 เป็นจริง Type I error (𝜶) ถูกต้อง
ข้อผิดพลาดแบบที่ 1
H0 ไม่เป็นจริง ถูกต้อง Type II error (𝜷)
ข้อผิดพลาดแบบที่ 2
ข้อผิดพลาดแบบที่ 1 ข้อผิดพลาดแบบที่ 2
ตัวแปรอิสระ/ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม
ส่งผล (ผล)
(เหตุ)
ตัวแปรเกิน
ตัวแปรแทรกซ้อน
ขอบเขตของการวิจัย การเขียนมีขอบเขตดังนี้
1. ขอบเขตของสถานที่ทำการวิจัย (Place) 3. ขอบเขตของเนื้อหาสาระที่ศึกษา (Variable)
2. ขอบเขตของประชากรที่ศึกษา (People) 4. ขอบเขตของเวลา (Time) ระยะเวลาที่ใช้ในการทำวิจัย กี่ปี
6. การออกแบบงานวิจัย
การออกแบบการวิจัย (Research Design) ➔ การวางแผนและการจัดการโครงการวิจัย ตั้งแต่การกำหนดปัญหา
การวิ จัยจนกระทั่งการเขียนรายงานและการเผยแพร่ โดยเกี่ ยวข้อ งกั บ แนวคิ ด 4 ประการได้แก่ 1) กลยุท ธ์ก ารวิจัย
2) กรอบแนวคิด 3) ข้อมูล และ 4) เครื่องมือวิธีการเก็บรวบรวมและการวิเคราะห์ข้อมูล (Punch, 1998 : 66)
วัตถุประสงค์ของการออกแบบการวิจัย ➔ ควบคุมตัว/ขจัดตัวแปรที่ไม่ต้องการศึกษาให้หมดไป เพื่อได้ทราบว่า
ตัวแปรตามเป็นผลมาจากตัวแปรอิสระอย่างแท้จริง ได้คำตอบปัญหาการวิจัยที่ต้องถูกต้องแม่นยำ
--- คู่มือเตรียมสอบนักวิชาการสาธารณสุข โดย แก้ว ญาณิศา --- 44
--- สถิติและการวิจัยทางด้านสาธารณสุข ---
การออกแบบการวิจัยโดยยึดหลัก “MAX-MIN-CON Principle”*** อาจออกสอบปี 66
1. เพิ่มความแปรปรวนที่เป็นระบบให้มากที่สุด (Max : Maximized systematic variance)
➔ เป็นการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน เพิ่มความแปรปรวนระหว่างกลุ่ม หรือความแปรปรวนเนื่องมาจากการทดลองให้สูงสุด
➔ กำหนดวิธีการทดลองให้กับกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมให้แตกต่างและเป็นอิสระซึ่งกันและกัน
➔ ควบคุมเวลาและสภาวะของการทดลองให้เหมาะสม ให้สามารถจัดกระทำกับตัวแปรอิสระให้ส่งผลต่อตัวแปรตามมากที่สุด
2. ลดความแปรปรวนของความคลาดเคลื่อน (Min : Minimized error variance)
➔ ทำให้ค่าความแปรปรวนของความคลาดเคลื่อนมีค่าน้อยที่สุดหรือเป็นศูนย์ ซึ่งความคลาดเคลื่อน (Error) แบ่งได้
เป็น 2 ชนิดได้แก่ ความคลาดเคลื่อนอย่างมีระบบ และ ความคลาดเคลื่อนอย่างสุ่ม
3. ควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนที่ส่งผลอย่างมีระบบ (Con : Control extraneous systematic variance)
➔ ควบคุมหรือขจัดให้ตัวแปรอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องออกให้หมด ให้ตัวแปรตามที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากตัวแปรอิสระเท่านั้น
1) การสุ่ม (Randomization) วิธีนี้ถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด
2) การเพิ่มตัวแปร (Add to the design) เพิ่มตัวแปรเข้าไปโดยถือว่าเป็นตัวแปรอิสระที่จะต้องศึกษาด้วย
3) การจับคู่ (Matching) เป็นการใช้กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่มีคุณสมบัติเหมือนกัน
4) การใช้สถิติ (Statistical control) การวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม (Analysis of covariance)
5) การตัดทิ้ง (Elimination) เป็นการขจัดตัวแปรที่คิดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทดลองออกไป
รูปแบบการศึกษาวิจัย -ออกสอบปี 64 จำนิยาม
การสุ่มตัวอย่าง
1. การสุ่มแบบไม่ใช้หลักความน่าจะเป็น
1.1 การสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ (Accidental sampling) เก็บข้อมูลโดยไม่มีกฎเกณฑ์แน่นอน เจอใครก็เอาเลย
1.2 การสุ่มแบบเจาะจง (Purposive sampling) ผู้วิจัยใช้เหตุผลในการเลือกเพื่อความเหมาะสมในการวิจัย
1.3 การสุ่มตัวอย่างแบบโควตา (Quata sampling) เป็นการสุ่มกำหนดโควตาหรือจำนวนตัวอย่างให้กับกลุ่มประชากรที่มีหลายลักษณะ
1.4 Volunteer sampling การสุ่มตัวอย่างโดยอาสาสมัคร
1.5 Snowball Sampling การสุ่มแบบลูกโซ่ เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบโยงกันเป็นทอดๆ คล้ายลุกโซ่
2. การสุ่มแบบใช้หลักการความน่าจะเป็น **ออกข้อสอบ ปี 2564 ข้อใดเป็นการสุ่มที่ใช้ความน่าจะเป็น
1.สุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) 2.การสุ่มแบบมีระบบ (Systematic Sampling)
➔ ทุกหน่วยมีโอกาสถูกสุม
่ เลือกเท่า ๆกัน ➔ สุ่มเป็นช่วงๆโดยมีบัญชีรายชื่อประชากรทุกหน่วย
➔ เหมาะสำหรับประชากรมีความคล้ายคลึงกัน ทำการสุ่มหาตัวสุ่มเริ่มต้น แล้วนับไปตามช่วงการสุม
่
• จับฉลาก เช่น การเรียงแถวละ 10 คน แล้วคัดเลือกจากคนที่ 10 ของแต่
• ใช้ตารางเลขสุ่ม ละแถว เป็นต้น
• ใช้คอมพิวเตอร์ Random
3. การสุ่มแบบชั้นภูมิ (Stratified Sampling) 4. การสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster sampling)
ค่าระดับนัยสำคัญทางสถิติ และค่าช่วงความเชื่อมั่น
1. ระดับนัยสำคัญ (Significance level) ➔ มีความเป็นไปได้ที่สิ่งที่ต้องการพิสูจน์เป็นจริง มีนัยสำคัญทางสถิติ
ค่า p-value ➔ ค่าที่บ่งชี้ที่จะยอมรับหรือปฏิเสธสมมติฐาน นิยมให้รายงานผลการทดสอบ สมมติฐานเป็นค่า p ที่
ตรงตามตำแหน่งจริงของค่าสถิติเช่น p=0.027 มากกว่าที่จะเขียนว่ามีนัยสำคัญ(p< 0.05) หรือไม่มีนัยสำคัญ (p>0.05)
โดยปกติทั่วไปแล้ววารสารมักจะกำหนดให้ผู้วิจัยนำเสนอค่า p-value เป็นเลข 3 หลัก
**ออกสอบปี 56 ระดับ p value 0.093 สัมพันธ์กับปัจจัยหรือไม่
หลักคิดที่สำคัญของระบาดวิทยา ➔ การอธิบายธรรมชาติของการเกิดโรคสาเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
ลักษณะอาการ กลุ่มเสี่ยง การเกิดโรค การกระจายของโรคสถานที่ และเวลา ซึง่ เรียกว่า 3 D ทางระบาดวิทยา
1. องค์ประกอบของการเกิดโรค (Determinants) Host Agents Environment
2. ธรรมชาติของโรค (Disease nature) การเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสภาพ
3. การกระจายของโรค (Distribution) บุคคล (Person) เวลา (Time) สถานที่ (Place)
1. สภาวะที่สมดุล : ไม่ทำให้เกิดโรค
➔ จุดสังเกตว่าการเสียสมดุลของ Epidemiologic Triad เป็น กรณีใด คือ
• กรณี A หรือ H เสียสมดุล จุดกึ่งกลางของคานอยู่ที่เดิม เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง
• กรณี E เสียสมดุล จุดกึ่งกลางของคานเลื่อนไปทางทีส ่ นับสนุน เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง
4. สิ่งแวดล้อมสนับสนุนให้เกิดโรค
ก. Environment เปลีย่ นแปลงสนับสนุนให้มี Agent เพิ่มขึน้ ทำให้คนป่วย เช่น
• ฤดูฝนทำให้มีแหล่งเพาะพันธุ์ยงุ มากขึ้น ไข้เลือดออกระบาดมากขึ้น
• อากาศร้อนทำให้เชื้ออาหารเป็นพิษเจริญเติบโตได้ดี
• สภาพอากาศปิด ทำให้ฝน ุ่ PM 2.5 ฟุ้งกระจายเกินมาตรฐาน มีโอกาสเกิดโรคระบบ
ทางเดินหายใจเพิ่มขึ้น
ก.
**ออกสอบปี 65 Climate change ทำให้คานใดเสียสมดุล ตอบ Agent
ระดับการป้องกันโรคตามธรรมชาติการเกิดโรค
ออกสอบ JUM!!
ตัวอย่างการศึกษาเชิงพรรณนา
● กรณีศึกษา (Case study) : รายงานสอบสวนเฉพาะรายผู้ป่วยเข้าข่ายโรคคอตีบ
วันที่ 30 เม.ย. 55 พบผู้ป่วยสงสัยเป็นโรคคอตีบสัญชาติลาว 1 ราย ทีม SRRTจังหวัดA ร่วมกับทีม สปป.ลาว ได้ออก
สอบสวนและควบคุมโรค เพื่อยืนยันการวินิจฉัย ศึกษาปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรค ค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติม และเพื่อหา
แนวทาง มาตรการในการป้องกันและควบคุมโรคร่วมกัน โดยทบทวนแฟ้มประวัติผู้ป่วย ค้นหาผู้ป่วยที่สงสัยและผู้สัมผัส
ใกล้ชิด ในชุมชน ศึกษาข้อมูลการเฝ้าระวังโรคคอตีบและรายงานความครอบคลุมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคคอตีบใน
จังหวัดA และสปป.ลาวโซนนั้น
● สำรวจ ณ จุดเวลาใดเวลาหนึง่ Cross-sectional Survey) : ศึกษาความชุกของโรคจิตเวชในประเทศไทย
การสำรวจระดับชาติ ปี 2546 การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความชุกและการกระจายตามเพศและกลุ่มอายุ
ของโรคจิตเวชที่สำคั ญใน ประชากรไทย เป็นการสำรวจแบบภาคตัดขวาง 2 ขั้น ตอน 1.คั ด กรองด้ว ยแบบคั ดกรอง
สุขภาพจิตในชุมชน 2.ประเมินด้วย MiniInternational Neuropsychiatric Interview (M.I.N.I.) ตัวอย่างทั้งชายและหญิง
อายุระหว่าง 15 -59 ปี 11,700 คน ซึ่งได้จากการสุ่ม จากประชากรทั้ง 4 ภาค
● การศึกษาย้อนหลังเชิงพรรณนา : การทบทวนการใช้ยา Olanzapine รักษาผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลXหลังจากมีรายงานการเกิด
อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาolanzapine ในการรักษาโรคทางจิตเวช ผู้รายงานจึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเกิดอาการ
ไม่พึงประสงค์ในผู้ป่วยโรคทางจิตเวชวิธีการศึกษา ทบทวนการใช้ยา olanzapine จากเวชระเบียนผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลX
ที่ได้รับการรักษาด้วยยาolanzapine ในช่วง ธ.ค. 61
การวัดทางระบาดวิทยา
ชนิดของการวัดทางระบาดวิทยา
• การวัดการเกิดโรคในชุมชน (Measures of Disease Frequency) ได้แก่ อัตราอุบัติการณ์ ความชุก เป็นต้น
• การวัดเพื่อหาความสัมพันธ์ (Measures of Association) ได้แก่ Odd Ratios, Relative Risk เป็นต้น
• การวัดผลกระทบที่เกิดขึ้นในชุมชน (Measures of Potential Impact) ได้แก่ Population attributable risk (PAR)
ประโยชน์ของการเฝ้าระวัง ขั้นตอนการเฝ้าระวัง
• ตรวจจับการระบาดของโรค • ติดตามแนวโน้มของโรคต่างๆ
• พยากรณ์การเกิดโรค • วางแผน กำนโยบายการปฏิบัติงาน
• ประเมินมาตรการการป้องกันควบคุมโรค
ประเภทของระบบเฝ้าระวังระบาดวิทยา
1. การเฝ้าระวังเชิงรับ (Passive Surveillance)
➔ เป็นระบบเฝ้าระวังที่มีการรายงานเป็นปกติประจำ (ต่อเนื่อง) ตามเวลาที่กำหนด ใช้แบบฟอร์มรวบรวมข้อมูล คือ รง.506
รง.507 รง.506/1 **ออกสอบปี 64
2. การเฝ้าระวังเชิงรุก (Active Surveillance)
➔ การค้นหาการเกิดโรคเชิงรุก มุ่งเน้นให้ระบบสามารถตรวจจับโรคได้อย่างครบถ้วน ใช้เมื่อมีการเฝ้าระวังโรคเกิดใหม่หรื อ
มีนโยบายที่จะกำจัดหรือกวาดล้าง เช่น โรคติดเชื้อไวรัสซิกา, AFP
3. การเฝ้าระวังเฉพาะกลุ่มพื้นที่ (Sentinel Surveillance)
➔ คล้ายการเฝ้าระวังพิเศษ ในเฉพาะบางพื้นที่ หรือบางบางกลุ่มประชากรหรือบางระดับความรุนแรงของโรคเท่านั้น
➔ เลือกกลุ่มตัวอย่างจำเพาะพื้นที่ เช่น การเฝ้าระวังเอชไอวีเฉพาะพื้นที่ การเฝ้าระวังพฤติกรรมเสี่ยง
4. การเฝ้าระวังพิเศษ (Special Surveillance)
➔ เพื่อค้นหาการเกิดโรคใหม่ๆ หรือที่อยู่ภาวะความเสี่ยงของการเกิดโรค เพื่อทราบสถานการณ์ทแ ี่ ท้จริงอย่างทันเวลา มักทำ
การเฝ้าระวังตามเหตุการณ์หรือเวลาสั้นๆ
➔ รูปแบบคล้ายการเฝ้าระวังเชิงรับ แต่เข้มข้นกว่า เช่น การเฝ้าระวังพิเศษในภัยพิบัติ โดยตั้งระบบเฝ้าระวังโรคหลังจากเกิดน้าท่วม
3. การเฝ้ า ระวั ง กลุ ่ ม อาการ (รายงานเป็ น จำนวนผู ้ ป ่ ว ย) ลั ก ษณะข้ อ มู ล เป็ น แบบการรายงานข้ อ มู ล ที่นั บ จำนวนผู้ ป่ วยตาม
กลุ่มอาการที่มารับบริการที่โรงพยาบาล โดยใช้ ICD-10 เป็นตัวแปรในการนับจำนวนจากฐานข้อมูลของโรงพยาบาล ประกอบด้วย
โรคต่าง ๆ ดังนี้ โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน โรคตาแดงจากไวรัส โรคอัมพาตกล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียกเฉียบพลัน เหตุการณ์ไม่พึง
ประสงค์ภายหลังได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ไข้ไม่ทราบสาเหตุ ไข้ออกผื่นจากการติดเชื้อไวรัส
โรคที่ ตัด ออกจากการรายงาน 506 ได้ แก่ วั ณโรคทุ ก ระบบ และ โรคเรื้ อ น ให้ รายงานเป็ น ทะเบี ยนผู ้ ป ่ วยในฐานข้ อมูลที่
กรมควบคุมโรคกำหนด โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากพยาธิ ไข้ดำแดง โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ที่ไม่ระบุ โรคลิชมาเนีย
และโรคเท้าช้าง ให้สอบสวนผู้ป่วยตามเกณฑ์การสอบสวนการระบาด เช่น พบผู้ป่วยเป็นกลุ่มก้อนหรือเป็นโรคที่พบใหม่ในพื้นที่
และรายงาน เป็นเหตุการณ์ผิดปกติทางระบาดวิทยา
1. การสอบสวนผู้ป่วยเฉพาะราย 2. การสอบสวนทางระบาดวิทยา
(Individual case investigation) (Outbreak Investigation)
ผู้ป ่ว ยและผู้สัมผัส ออกสอบสวนเมื่อ พบเพี ย ง การที่มีจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคเดียวกันมากกว่า
1 ราย ซึ่ ง เป็ น โรคติ ด ต่ อ อั น ตราย เป็ น ปั ญ หา ป ก ติ ใน พื้ น ที่ ห นึ่ ง ๆ แ ล ะ ใน ช ่ ว ง เว ล า ห นึ่ ง ๆ
สำคัญที่ต้องการกวาดล้างโรคที่เคยควบคุ มหรือ พบผู้ป่วยตั้งแต่ 2 รายขึ้นไป ในระยะเวลาอันสั้น
กำจัดได้แล้ว รายที่ผิดปกติของโรคที่พบทั่วไปที่มี เห็นเป็นกลุ่มก้อน (cluster) หลังจากร่วมกิจกรรม
ความรุนแรงเสียชีวิต โรคอุบัติใหม่ /โรคอุบัติซ้า ด้วยกันมา เช่น รับประทานอาหารใน งานเลี้ยง
หรือเป็นเหตุการณ์ที่น่าสนใจ การอยู่ร่วมกันในค่ายพัก
➔ เพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรค ➔ เพื่อยืนยันการระบาดและค้นหาผู้เกี่ยวข้อง
➔ ป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่กระจายของโรคต่อไป
ความหมายของคำว่า Epidemic and Outbreak เมื่อไร ??? จึงจะเรียกว่ามีการระบาด
• Epidemic
➔ การที่มีจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคเดียวกัน มากกว่าปกติในพื้นที่หนึ่งๆและในช่วงเวลาหนึง่ ๆ
➔ กรณีที่พบมีจำนวนผูป ้ ่วยมากกว่าจำนวนผูป้ ่วยในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนๆ หรือสูงกว่าค่า mean +2SD
• Outbreak
➔ ถ้าพบผูป ้ ่วยมากกว่า 2 รายขึ้นไปในช่วงเวลาสั้นหลังจากมีกจิ กรรมร่วมกัน
3. เมื่อดำเนินการสอบสวนโรคแล้วเสร็จ ให้เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อแจ้งและรายงานตามที่กำหนดไว้
➔ จัดทำสรุปรายงานการสอบสวนโรคและแจ้งไปยังคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดหรือคณะกรรมการ
โรคติดต่อกรุงเทพมหานคร และส่งรายงานสถานการณ์ประจำวัน
➔ ส่ งรายงานให้ แก่ กรมควบคุ มโรค ภายใน 48 ชั่ วโมงนั บแต่ พบผู ้ ที่ เป็ นหรื อมี เหตุ อั นควรสงสั ยว่ าเป็ นโรคติ ดต่อ
อันตรายหรือโรคระบาด และส่งรายงานอย่างน้อยวันละ 1 ครั้งจนกว่าสภาวการณ์ของโรคจะสงบลง และให้ดำเนินการ ดังนี้
1) ทบทวนและจัดทำสรุปผลการดำเนินการสอบสวนโรคของหน่วยปฏิบัติการควบคุมโรคติดต่อ (After Action
Review) อย่างเป็นระบบ
2) เฝ้าระวังอาการของตนเองภายในหนึ่งระยะฟักตัวสูงสุดของโรคนั้น ๆ หากมีอาการป่วยหรือมีเหตุอันควร
สงสัยว่าป่วย ต้องแจ้งต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อที่มีหน้าที่รับแจ้ง กรณีมีโรคติดต่ออันตราย หรือโรคระบาด
เกิดขึ้นหรือมีเหตุสงสัยว่าได้เกิดขึ้น
การป้องกันโรค (Prevention)
➔ การควบคุมและป้องกันโรค ได้มีการพัฒนามาโดยต่อเนื่องเริ่มด้วยการนำเอาข้อสังเกตและสมมติฐานจากลักษณะ
การเกิดโรค การแพร่กระจายของโรค และอาการสำคัญของผู้ป่วยในชุมชนมาใช้ประกอบการควบคุมและป้องกันโรค ต่อมา
ได้มีการนำความรู้ความเข้าใจที่ได้จากการค้นคว้า ศึกษา และวิจัยในส่วนที่เกี่ยวกับเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรค คน สัตว์ และ
ภาวะสิ่งแวดล้อม มาพัฒนาการควบคุมและป้องกันโรคให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเป็นลำดับ จนสามารถกำจัดและกวาดล้าง
โรคติดต่อที่ร้ายแรงบางโรคให้หมดไปได้ ซึ่งสามารถแบ่งการควบคุมและป้องกันโรคออกได้เป็น 3 ระดับ ดังนี้
ระดับที่ 1 การป้องกันโรคล่วงหน้า (Primary Prevention)
ระดับที่ 2 การป้องกันในระยะมีโรคเกิด (Secondary Prevention)
ระดับที่ 3 การป้องกันการเกิดความพิการและการไร้สมรรถภาพ (Tertiary Prevention)
มาตรการในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออกจะเกิดขึ้นได้ต้องมีองค์ประกอบหลัก 3 ประการ คือ
1. คน คือ บุคคลที่เสี่ยงต่อการเกิดโรค ได้แก่ เด็กที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีลงมาเป็นส่วนใหญ่
2. เชื้อ คือ ไวรัสเดงกี มี 4 ชนิด คือ 1, 2, 3 และ 4 ซึ่งมีในกระแสเลือดผู้ป่วยก่อนมีไข้ 1 วัน และ ระยะมีไข้ประมาณ 2 – 4 วัน
3. ยุงลาย คือ ยุงลายที่มีเชื้อจากการที่ไปกัดผู้ป่วย จะเป็นยุงพาหะนำเชื้อมาสู่คน
หากชุมชนใดมีอ งค์ป ระกอบทั้ง 3 ประการอยู่ค รบถ้วน โรคไข้เลือ ดออกก็ส ามารถเกิ ด และระบาดในชุมชนได้
ในขณะนี้ วั ค ซีน ป้อ งกั น โรคไข้ เ ลือ ดออกยั งอยู ่ในระหว่ างการพัฒนาสำหรับ เชื้อ ไวรัส ยังไม่มี ยาฆ่ าเชื้อ โดยเฉพาะได้
ดังนั้น กลวิธีควบคุมโรคไข้เลือดออกในปัจจุบัน คือ การควบคุมยุงพาหะนำโรคให้น้อยลง ซึ่งทำได้โดยการ ควบคุม
แหล่งเพาะพันธุ์ และการกำจัดยุงตัวเต็มวัย
➢ หลักการควบคุมโรคไข้เลือดออก แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ การป้องกันโรคล่วงหน้า และการควบคุมเมื่อมีการระบาด
**ออกสอบบ่อย ถามว่ามีกี่ระยะ
มาตรการป้องกันโรคล่วงหน้า
การป้องกันโรคล่วงหน้า เป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันโรคไข้เลือดออกเกิดขึ้นก่อนที่จะถึงฤดูกาลระบาด
โดยลดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ายุงลายและยุงตัวเต็มวัยให้เหลือจำนวนน้อยที่สด ุ การป้องกันโรคล่วงหน้ามีกิจกรรม ดังนี้
1. ให้ความรู้กับประชาชน ในเรื่องปัจจัยที่ก่อให้เกิดการป่วย การจัดการบ้า นเรือนของตนไม่ให้มีแหล่งเพาะพั นธุ์
ยุงลาย และวิธีการปฏิบัติเมื่อสงสัยว่าจะป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก อาจจะทำได้หลายช่องทางด้วยกัน คือ
• ทางสื่อมวลชน เช่น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เสียงตามสาย และหอกระจ่ายข่าว
• ทางโรงเรียน โดยให้ความรู้เรื่องโรคไข้เลือดออกแก่นักเรียน เพื่อให้นักเรียนนำความรู้ไปถ่ายทอด และไปปฏิบัติที่บ้าน
• แจกเอกสาร เช่น แผ่นพับ คู่มือ
• ขอความร่วมมือจากหน่วยงานราชการในท้องที่ ให้เผยแพร่ความรู้เรือ่ งโรคไข้เลือดออก
• ขอความร่วมมือจากผู้น าท้องถิ่น/พระ ในการประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือประชาชน
2. การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยงุ ลาย (HI≤ 5, CI=0)
2.1 วิธีทางกายภาพ ได้แก่
• ปิดภาชนะเก็บน้า เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงวางไข่
• เปลี่ยนน้าในภาชนะ ทุกๆ 7 วัน เพื่อไม่ให้กลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย
• จัดการสิ่งแวดล้อม เช่น กำจัดแหล่งขยะที่มีภาชนะน้าขังได้
มาตรการ 5 ป 1 ข ป้องกันและลดการแพร่ระบาดของไข้เลือดออก
ป ที่ 1 ➔ ปิดภาชนะใส่น้ากินน้าใช้ให้มิดชิด หลังการตักน้ามาใช้ทุกครั้ง
ป ที่ 2 ➔ เปลี่ยนน้าในแจกัน ถังเก็บน้า ทุกๆ 7 วัน
ป ที่ 3 ➔ ปล่อยปลากินลูกนา้ ยุงลายในภาชนะที่ใส่น้าถาวร
ป ที่ 4 ➔ ปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ให้ปลอดโปร่ง โล่ง สะอาด ลมพัดผ่าน ไม่เป็นที่เกาะพักของยุงลาย
ป ที่ 5 ➔ ปฏิบัติเป็นประจำสม่าเสมอจนเป็นนิสัย
1ข ➔ ขัดไข่ยุงลาย บริเวณขอบภาชนะ โดยใช้แปรงขัดชนิดนุ่ม แล้วเทน้าขัดล้างลงบนพืน ้ ดิน ปล่อยให้ไข่แห้งตาย
2.2 วิธีทางชีวภาพ ได้แก่ การปล่อยปลากินลูกน้า
2.3 วิธีทางเคมี ได้แก่
• ใส่ทรายอะเบท (ทรายทีมีฟอส 1%)
• การพ่นเคมีกำจัดยุงตัวเต็มวัย เป็นวิธีควบคุมยุงลายที่ได้ผลดี แต่ให้ผลเพียงระยะสัน้ (เพียง 3 - 5 วัน)
นอกจากนี้ยังมีข้อด้อย คือ ราคาแพง จึงใช้วิธีนี้เมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น ดังนี้
• สำหรับประชาชนทั่วไป ซื้อเคมีภัณฑ์กำจัดยุงที่มีขายตามท้องตลาดมาใช้ฉีดฆ่ายุงในบ้านเป็นครั้งคราว
• สำหรับเจ้าหน้าที่ หากพบผู้ป่วยในพื้นที่ให้ดำเนินการพ่นเคมีภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อตัดวงจรการแพร่เชือ้
โดยพ่นในบ้านผู้ป่วยและพื้นทีร่ อบบ้านผู้ป่วยในรัศมีอย่างน้อย 100 เมตร และพ่น 2 ครั้ง ห่างกัน 7 วัน
แนวทางการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกในช่วงระบาดของโรค
เมื่อ มีผู้ป ่วยโรคไข้เลือดออกในหมู่บ ้าน/ชุมชน เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการควบคุ มโรคร่วมกั บภาคีเครือข่ายด้วย
วิ ธี ต ่ า งๆ เพื่ อ ให้ โรคสงบโดยเร็ ว ที่ สุ ด ไม่ ให้ ร ะบาดติ ด ต่ อ ไปยั ง ชุ ม ชนอื่ น หากเริ่ ม ดำเนิ นการควบคุ ม ช้ า โรคอาจ
แพร่กระจายออกไปวงกว้างจนเกินที่จะควบคุม สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการควบคุมการระบาด คือ
1. ประกาศเตือนประชาชนให้ทราบว่ามีโรคไข้เลือดออกระบาดในชุมชนนั้น พร้อมกับให้สุขศึกษาแก่ประชาชน
ให้รู้จัก วิ ธี ก ารป้อ งกั น ตนเองและครอบครัว ไม่ให้ยุงลายกั ด ให้ค วามรู้ป ฏิบั ติเมื่อ เด็ก ป่ว ยหรือ สงสัยว่าป่ว ยเป็น โรค
ไข้เลือดออก และวิธีการควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ยุ งลายในบ้าน และขอให้ประชาชนให้ความร่วมมือกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์
ยุงลายที่อาจมีหลงเหลืออยู่ในชุมชนให้หมดไป
2. การกำจัดลูกน้ายุงลายในบ้านผู้ป่วย และบริเวณรอบบ้านผู้ป่วยควรดำเนินการในรัศมีอย่างน้อย 100 เมตร
และประเมินค่าดัชนีลูกน้ายุงลายในพื้นที่ที่เกิดโรคหลังการควบคุม ควรมีค่า HI ≤ 5
3. การพ่นเคมีกำจัดยุ งตั วเต็ มวัย วิ ธี ก ารนี้จะลดจำนวนยุงลายที่มีเชื้อไข้เลือ ดออกในชุมชน หากพ่น เคมีต้อ ง
ครอบคลุมพื้นที่ จะช่วยตัดวงจรการระบาดของโรคลงได้
การสำรวจลูกน้ายุงลาย
วัตถุประสงค์ของการสำรวจลูกน้ายุงลาย
• เพื่อตรวจสอบแหล่งที่อยู่ของลูกน้า และเพื่อพิจารณาว่า ความชุกชุมของลูกน้าเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่หลังจาก
ดำเนินการควบคุมแล้ว
• เป็นวิธีการสำรวจที่ใช้เป็นมาตรฐาน โดยการแนะนำจากองค์กรอนามัยโลก (WHO) คือวิธีสำรวจแบบ Visual Larval
Survey มีจุดประสงค์เพียงสำรวจและนับจำนวนภาชนะที่มีน้าขัง ว่าพบหรือไม่พบลูกน้า ไม่ว่าจะพบลูกน้ายุงลายระยะ
ใดก็ตาม รวมทั้งตัวโม่ง 1 ตัว ก็ให้ถือว่าภาชนะนั้นมีลูกน้า
ดัชนีวัดความชุกชุมของลูกน้ายุงลาย ที่ใชในการวิเคราะห์และแปลผลจากการสำรวจ
ดัชนี สูตรคำนวณ แปลผล
House Index (HI) HI ≥ 5 จัดเป็นพื้นที่เสี่ยงสูงต่อโรคไข้เลือดออก
ร้อยละของบ้านที่สำรวจพบลูกน้ายุงลาย HI < 1 จัดเป็นพื้นที่เสี่ยงต่า
สำหรับโรงเรือน(บ้าน/ชุมขน) ➔ ต้องมี HI ≤ 5
สำหรับบ้านพักเจ้าหน้าที่ 6 ร.➔ HI = 0
Container Index (CI) CI = 0 มีความเสี่ยงต่าที่จะเกิดการแพร่โรค
ร้อยละของภาชนะขังน้าที่พบลูกน้ายุงลาย สำหรับโรงเรือน(บ้าน/ชุมขน) ➔ ต้องมี CI ≤ 5
สำหรับรพ./รพ.สต. โรงเรียน โรงงาน โรงธรรม
และโรมแรม ค่า CI = 0
Breteau Index (BI) BI > 50 จัดเป็นพื้นที่เสี่ยงสูงต่อโรคไข้เลือดออก
จำนวนภาชนะขังน้าที่พบลูกน้ายุงลาย BI < 5 จัดเป็นพื้นที่เสี่ยงต่า
ตอบ้าน 100 หลังคาเรือน
**ออกข้อสอบบ่อย จำนิยาม สูตรคำนวณ และการแปลผลให้แม่น
**ออกสอบปี 63 ➔
**ออกสอบปี 59
**ออกสอบปี 65 ➔
มาตรฐานการดำเนินงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค
➔ ตู้เย็นทีใ่ ช้ในการเก็บวัคซีนควรจัดเก็บวัคซีนเพียงอย่างเดียว ไม่ควรเก็บยาชนิดอืน
่ วางตู้เย็นตัง้ ตรงและห่างจากฝาผนัง
แต่ละด้านไม่ต่ากว่า 6 นิ้ว **ออกสอบปี 65
วัคซีนที่ไวต่อความร้อน
มีป้ายแสดงชื่อวัคซีนแต่ละชนิด และมีช่องว่างให้ความเย็น • OPV เก็บในช่องแช่แข็ง (Freezer)
• MMR/MR, BCG LAJE และ Rota เก็บอุณหภูมิ +2 ถึง +8 องศาเซลเซียส กรณีชั้นเก็บชั้นที่ 1
ไม่เพียงพอ สามารถเก็บชั้นที่ 2 ได้อีก 1 ชั้น (ห้ามเก็บในถาดรองใต้ช่องแช่แข็ง เพื่อป้องกัน
กล่อง วัคซีนเปียกน้าหรือฉลากหลุดลอก) **ออกสอบบ่อย
วัคซีนไวต่อความเย็นจัด
• DTP, DTP-HB-Hib, HB, dT, IPV, HPV, Influenza, JE เชื้อตายและRabies เก็บอุณหภู มิ
+2 ถึง +8 องศาเซลเซียส เท่านั้น (ที่ไม่ใช่ชั้นที่ 1 )
• น้ายาทำละลายวัคซีนให้เก็บในอุณหภูมิ +2 ถึง +8 องศาเซลเซียส (ในระดับคลังวัคซีน
สามารถจัดเก็บนอกตู้เย็นได้ที่อุณหภูมิห้อง (+25 องศาเซลเซียส))
วัคซีนที่ไวต่อแสง
• BCG, MMR/MR, LAJE และ Rota ให้เก็บไว้ในกล่องทึบแสง เช่น กล่องวัคซีน/กล่องกระดาษ
.
หรือ ซองยาสีชาที่ป้องกันแสง
ชุดวิชาที่ 10 บริหารสาธารณสุข
การบริหารสาธารณสุข (Public Health Administration)
การจัดการ ผู้บริหารใช้ทรัพยากรทั้งหมดขององค์การ
คือกระบวนการของการวางแผน การจัดองค์การ การสั่งการ เพื่ อ ความสำเร็ จ ในเป้ า หมายขององค์ ก าร
และการควบคุ มสมาชิกขององค์ การ และใช้ ทรั พ ยากรอื่นๆ คนเป็ น ทรั พ ยากรที่ มี ค วามสำคั ญ ที่ สุ ด ของ
เพื่อความสำเร็จในเป้าหมายขององค์การที่กำหนดไว้ องค์การการบริหาร
การบริหารครอบคลุมสาระสำคัญ ดังนี้
• ต้องมีวัตถุประสงค์ (Objective) • ต้องมีประสิทธิภาพ (Effectiveness)
• ต้องมีทรัพยากร (Resource) • มีการประสมประสานกัน (Integration and Coordination
แนวคิด ทฤษฎีทางการบริหาร
การบริหารงาน แบบ POSDCORB Model ➔ ลูเธอร์ กลูวล
ิ ค์ ( Luther Gulick ) **ออกสอบปี 56,59 ข้อใดไม่ใช่
P = Planning การจั ด วางโครงการและแผนการปฏิ บั ติ งานขององค์ การไว้ล่ วงหน้า ว่ า จะต้ องทำอะไรบ้างและ
การวางแผน ทำอย่างไร เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้
O = Organizing การกำหนดโครงสร้างขององค์การ การแบ่งส่วนงาน การจัดสายงาน การกำหนดตำแหน่งและ
การจัดองค์การ หน้าที่อย่างชัดเจน
S = Staffing การบริหารงานบุคคลในด้านต่างๆ ขององค์การ จัดคนให้เหมาะสมกับงาน (Put the right man on
การจัดตัวบุคคล the right job) **ออกสอบปี 65
D = Directing การวินิจฉัยสั่งการของผู้บริหารองค์การ ในการตัดสินใจ การควบคุมบังคับบัญชาและควบคุ มการ
การอำนวยการ ปฏิบัติงาน
Co = Co-ordinating การติดต่อประสานงานที่เชื่อมโยงงานของทุกคน ทุกฝ่ายทั้งภายในและภายนอก เพื่อให้งานคำเนิน
การประสานงาน ไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้
R = Reporting การรายงานผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานให้ผู้บริหารและสมาชิกขององค์การได้ทราบความ
การรายงาน เคลื่อนไหวและความเป็นไปของหน่วยงาน
B = Budgeting การจัดทำงบประมาณ การทำบัญชี การใช้จ่ายเงินและการควบคุมตรวจสอบด้า นการเงิ น และ
การงบประมาณ ทรัพย์สินขององค์การ
การบริหารงานตามแนวคิด ของ Henri Fayol
➔มุ่งเน้นที่การจัดการองค์กรในภาพรวมทั้งองค์การ
กำหนดหน้าที่การบริหาร 5 ประการ (POCCC)
•การวางแผน (Planning) •การจัดองค์การ (Organizing) •การสั่งการ (Commanding)
•การประสานงาน (Co-ordinating) •การควบคุม (Controlling)
กำหนดหลักการบริหาร 14 ประการ
ทรัพยากรในการบริหาร 5Ms
1.คน (Man) 2.เงิน (Money) 3.ของ/วัสดุ (Materials) 4.เครื่องจักร (Machin) 5.วิธีการปฏิบัติ (Method)
ขั้นตอนในการวางแผนยุทธศาสตร์
องค์ประกอบของแผนยุทธศาสตร์
วิสัยทัศน์(Vision) ภาพในอนาคตขององค์กรที่ผู้นำและสมาชิกทุกคนร่วมกันวาดฝันหรือจินตนาการขึ้น
**ออกสอบบ่อย จำนิยาม โดยมีพื้นฐานอยู่บนความเป็นจริงในปัจจุบันเชือ่ มโยง
บอกสิ่งทีห
่ น่วยงาน วิสัยทัศน์ที่ดีจะต้อง AIM AT
ต้องการจะเป็นในอนาคต A = Aspirational บอกถึง ความปรารถนา อยากได้ อยากจะเป็น
บอกเส้นทางเดินของ I = Inspirational ก่อให้เกิด แรงบันดาลใจ
หน่วยงานในอนาคต M = Measurable บอกถึงความสำเร็จในการบรรลุวส ิ ัยทัศน์ทวี่ ด
ั ได้
A = Attainable สามารถบรรลุความสำเร็จที่ต้องการได้
T = Time-Based ใช้ระยะเวลาทีเ่ หมาะสม
พันธกิจ (Mission) บอกขอบเขตการดำเนินงานขององค์กร บทบาทหน้าที่ที่องค์กรจะต้องทำ
เพื่อสนับสนุนให้บรรลุวิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้
เป้าหมาย/เป้าประสงค์ • การระบุหรือบอกให้ทราบเกี่ยวกับสิ่งที่องค์กรจะทำให้ได้ หรือสิ่งที่องค์กรต้องการจะ
(Goal) เป็นสำหรับระยะเวลาใดเวลาหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป เช่น อาจจะเป็น 3 ปีถึง 5 ปีก็ได้
• สามารถวัดได้ให้อยู่ในรูปของดัชนีชี้วัดผลงาน ➔ KPI (Key Performance Indicator)
กำหนดค่าเป้าหมายที่ชัดเจนในเชิงปริมาณตามห้วงเวลาเป็นรายปี รายไตรมาส หรือรายเดือน
ประเด็นยุทธศาสตร์ ประเด็ น หลั ก ที่ ต้ อ งคำนึ ง ถึ ง ต้ อ งพั ฒ นา ตองมุ ่ ง เน้ น ให้ บ รรลุ ต ามพั น ธกิ จ และ
(Strategic Issues) เป้าประสงค์
กลยุทธ์/แผนงาน กลวิธีที่ได้จากความริเริ่ม ซึง่ เป็นแนวทางพัฒนางานขององค์การให้ได้ผลตาม
(Plan) ค่าเป้าหมายของดัชนีชี้วัดที่ได้กำหนดไว้
ตัวอย่าง
การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใน การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอก
(1) Strengths (จุดแข็ง) (3) Opportunities (โอกาส)
1. หน่วยงานมีการร่วมกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ ค่านิยม 1. สถานการณ์โรคโควิด-19 ตามนโยบายของรัฐบาลและ
ขององค์กร และถ่ายทอดสู่การปฏิบัติทำให้เกิดการ กระทรวงสาธารณสุข ทำให้บุคลากรได้รับการบรรจุเข้า
กำหนด แผนการดำเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน รับราชการ
2. มีโครงสร้างภายในที่ครอบคลุมระบบบริการทำให้การ 2. สถานการณ์โรคโควิด-19 ทำให้ประชาชนทัว่ ประเทศ
ดำเนินงานชัดเจนและมีประสิทธิภาพ สนใจและตระหนักในการดูแลสุขภาพจิตของตนเองและ
3. ผู้บริหารมีความรู้ความสามารถในการกำหนดทิศทาง ครอบครัวมากขึ้น
บทบาท ภารกิจของหน่วยงานตามนโยบาย/โครงการ 3. มีเครือข่ายที่เข้มแข็งทั้งในและนอกหน่วยงาน ทำให้
ขับเคลื่อนฯ ที่สำคัญ เกิดการบูรณาการงานด้านองค์รวม
4. มีบุคลากรรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถ สมรรถนะ 4. สถานการณ์โรคโควิด-19 ทำให้มีการนำเทคโนโลยีที่
และมีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติงาน ทันสมัย มาใช้ในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ
(2) Weaknesses (จุดอ่อน) (4) Threats (อุปสรรค)
1. การสื่อสารในองค์กรยังไม่ครอบคลุม 1. ระบบ internet ไม่เสถียรส่งผลต่อการปฏิบัติงานทั้ง
2. มีการบูรณาการงานได้บางส่วน ทำให้งานขาดการ ด้านบริหารจัดการและวิชาการ
เชื่อมโยงและต่อยอด 2. จำนวนอัตรากำลังตามกรอบกับจำนวนทีป ่ ฏิบัติงาน
3. บุคลากรมีภาระงานมาก ทำให้ขาดโอกาสในการพัฒนา จริงไม่สอดคล้องกัน
ความรู้ ทักษะ และสมรรถนะ 3. มีงบประมาณจำกัดในการสนับสนุนการดำเนินงาน
4. การจัดสรรอัตรากำลังบุคลากร ไม่สอดคล้องกับ 4. สถานการณ์โควิด 19 ส่งผลต่อรูปแบบการปฏิบัติงาน
โครงสร้าง/ภาระกิจของหน่วยงาน ทำให้ไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนด เกิดความล่าช้า
การกำหนดกลยุทธ์ขององค์กร
TOWS Matrix ➔ เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำหรับการสร้างกลยุทธ์ใหม่จากสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ปัจจุบันของ
องค์กร ที่มีการต่อยอดมาจาก SWOT Analysis ด้วยการจับคู่ระหว่างปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกขององค์กร
ความสำคัญของการวางแผน
➔เป็ น เครื่อ งมื อ และแนวทางในการจั ด สรรทรัพ ยากรในองค์ ก ร การวางแผนจะบอกว่ าภารกิ จ ใดที่อ งค์ ก รจะต้อ ง
ดำเนินการเพื่อให้องค์กรสามารถดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายของแผนได้
➔ เป็นแนวทางในการจัดระบบ การควบคุมตรวจสอบและติดตามผลการดำเนินงานขององค์การว่าบรรลุตามเป้าหมาย
ที่วางไว้หรือไม่
ประเภทของแผน แบ่งตามระยะเวลาของแผน
1. แผนระยะสั้น (Short range plan) แผนที่มีการกำหนดระยะเวลาในการดำเนินงานที่ใช้เวลาน้อยกว่า 1 ปี มีการ
กำหนดรายละเอียดของงานหรือกิจ กรรมไว้อย่างละเอียด เกี่ยวกับเวลาที่จะต้องใช้ในการดำเนินงาน ได้แก่ เวลาที่
เริ่มต้นและสิ้นสุด จำนวนคน จำนวนงบประมาณ ตลอดจนกิจ กรรมต่า งๆ ที่จะต้อ งมีก ารจัด ลำดับ ในการดำเนิน
กิจกรรมว่าจะดำเนินกิจกรรมใดก่อน-หลัง เรียกว่า “แผนปฏิบัติการ”
2. แผนระยะกลาง (Intermediate range plan) แผนที่มีการกำหนดระยะเวลาในการดำเนินงานที่มีระยะเวลาในการ
ดำเนินงานมากกว่า 1 ปี โดยปกติจะมีระยะเวลาในการดำเนินงาน 3-5 ปี แผนระยะปานกลางจะมีความสอดคล้องกับแผน
ระยะยาวและกลยุทธ์ขององค์กร การจัดทำแผนระยะปานกลางเพื่อที่จะทำให้แผนในการทำงานมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึน ้
ซึ่งแผนระยะปานกลางจะเป็นแผนงานที่ เชื่อมแผนระยะยาวกับแผนระยะสั้นเข้าไว้ด้วยกัน เช่น แผนพัฒนาการศึกษา
แห่งชาติ ฉบับที่ 10 ➔ แผนกลยุทธ์
3. แผนระยะยาว (Long range plan) แผนที่มีระยะเวลาในการดำเนินงานตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป เป็นแผนที่ครอบคลุม
การทำงานที่จะเกิ ด ขึ้น ในอนาคต การจัด ทำแผนระยะยาวจะเกี่ ยวข้อ งกั บ ระยะเวลาที่ยาวนาน เงิน ลงทุน ที่มาก และ
เป็น เรื่อ งที่จะต้อ งมีก ารวิ เคราะห์สภาพแวดล้อมทางด้านเศรษฐกิ จ การเมือ ง สังคม คู ่แข่งขัน และเทคโนโลยีอ ย่าง
ละเอียด เพื่อที่จะให้องค์กรสามารถปรับการดำเนินงานในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น รายละเอียดในแผนระยะ
ยาวจะระบุถึงการทำงานในลักษณะที่กว้างๆ เพื่อให้มีความยืดหยุ่นสูงในการปรับการทำงานให้เข้ากับสภาพแวดล้อ ม
ภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 15 ปี เป็นต้น
ชุดวิชาที่ 11 อนามัยสิ่งแวดล้อม
ความสำคัญของงานอนามัยสิ่งแวดล้อม
⚫ เป็นงานที่ค้นหาสาเหตุของการเกิดสิ่งอันตรายต่อสุขภาพตั้งแต่แหล่งกำเนิด (Health hazard identification)
ความปลอดภัยของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ
แหล่งน้า
1) แหล่งน้าจากบรรยากาศ น้าฝน น้าค้าง หิมะ หมอก ไอน้า
2) แหล่งน้าผิวดิน แม่น้า ลำคลอง ทะเลสาบ ทะเล และ มหาสมุทร
3) แหล่งน้าใต้ดิน นำบ่อ น้าบาดาล
คุณภาพของน้าสำหรับอุปโภคบริโภค
ทางกายภาพ ทางเคมี ชีวภาพ
1.ความขุ่น(Turbidity) 1.ค่า DO แบคทีเรียที่ปนอยู่ในน้า
2.สี (Color) 2.ค่า BOD 1.พวกที่ก่อโรคในคน
3.กลิ่น (Odor) 3.ค่า COD 2.พวกทีไ่ ม่เป็นอันตราย
4.รส (Taste) 4.ค่า pH อ ยู ่ ใน ล ำ ไ ส ้ ค น C o l i f o r m
5.อุณหภูมิ (temperature) 5.ความเป็นกรด Bacteria
6.ความเป็นด่าง
7.ความกระด้างของน้า
8.แร่ธาตุอื่นๆ
การกำหนดมาตรฐานคุณภาพน้าในแหล่งน้าผิวดิน
“แหล่งน้าผิวดิน” แม่น้า ลำคลอง หนอง บึง ทะเลสาบ อ่างเก็บน้า และแหล่งน้าสาธารณะอื่นๆ ที่อยู่ภายใน
ผืนแผ่นดิน รวมถึงแหล่งน้าสาธารณะที่อยู่ในผืนแผ่นดินบนเกาะด้วย แต่ไม่รวมถึงน้าบาดาล
เป้าหมายในการกำหนดมาตรฐานคุณภาพในแหล่งน้าผิวดิน
➔ แบ่งประเภทแหล่งน้าโดยมีมาตรฐานระดับที่เหมาะสมและสอดคล้องกับการใช้ประโยชน์ของแหล่งน้า
➔ มีมาตรฐานคุณภาพน้าและวิธีการตรวจสอบที่เป็นหลักสำหรับการวางโครงการต่างๆ คำนึงถึงแหล่งน้าเป็นสำคัญ
➔ รักษาคุณภาพแหล่งน้าตามธรรมชาติ ให้ปราศจากการปนเปื้อนจากกิจกรรมใดๆ ทั้งสิ้น
ประเภทและมาตรฐานคุณภาพน้าในแหล่งน้าผิวดิน แบ่งออกเป็น 5 ประเภท คือ
ประเภท การใช้ประโยชน์
ประเภทที่ 1 แหล่ ง น้ า ที่คุ ณ ภาพน้า ตามธรรมชาติ ปราศจากน้ า ทิ้ ง จากกิ จ กรรมทุ ก ประเภทและ
สามารถเป็นประโยชน์เพื่อ
(1) การอุปโภคและบริโภค ต้องผ่านการฆ่าเชื้อโรคตามปกติก่อน
(2) การขยายพันธุ์ตามธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตระดับพื้นฐาน
(3) การอนุรก ั ษ์ระบบนิเวศน์ของแหล่งน้า
**ประเภทที่ 2 แหล่งน้าที่ได้รับน้าทิ้งจากกิจกรรมบางประเภท และสามารถเป็นประโยชน์เพื่อ
นิยมใช้ (1) การอุปโภค-บริโภค ผ่านการฆ่าเชื้อโรคตามปกติ + ผ่านปรับปรุงคุณภาพน้า
(2) การอนุรักษ์สัตว์น้า (3) การประมง (4) การว่ายน้าและกีฬาทางน้า
ประเภทที่ 3 แหล่งน้าประเภทที่ 2 + การเกษตร
ประเภทที่ 4 แหล่งน้าประเภทที่ 2 + การอุตสาหกรรม
ประเภทที่ 5 เพื่อการคมนาคม
การเฝ้าระวังคุณภาพน้าประปา ออกข้อสอบทุกสนาม !!
1. ปริมาณคลอรีนอิสระคงเหลือในน้า ณ บ้านผู้ใช้น้า อปท.ตรวจคลอรีนอิสระคงเหลือ ➔ 0.2-0.5 มิลลิกรัม/ลิตร
2. คลอรีนอิสระคงเหลือ (Residual Free Chlorine) กำหนดให้มีที่ปลายเส้นท่อ ➔ 0.2 – 0.5มิลลิกรัม/ลิตร
3. ปริมาณคลอรีนในสถานการณ์โรคระบาด ➔ 0.5-10 มิลลิกรัม/น้า 1 ลิตร (0.5-10 ppm)
4. การจัดการคุณภาพน้าในสระว่ายน้า คลอรีนอิสระ (Free chlorine) ➔ 0.6 – 10 มิลลิกรัม/น้า1 ลิตร (ppm)
5. คลอรีนที่รวมกับสารอื่น (Combined chlorine) ➔ 0.5 -10 มิลลิกรัม/น้า 1 ลิตร (ppm)
--- คู่มือเตรียมสอบนักวิชาการสาธารณสุข โดย แก้ว ญาณิศา--- 79
--- อนามัยสิ่งแวดล้อม ---
ระบบการผลิตน้าประปา
1. สูบน้าผิวดินหรือน้าดิบจากแหล่งน้าธรรมชาติ ซึ่งจะมีความขุ่นและ
มีสารละลายต่างๆ รวมถึงโลหะหนักเจือปนอยู่
2. ปรั บ ปรุ ง คุ ณภาพน้ า ดิ บ โดยการใส่ ส ารส้ มหรื อปู น ขาวลงไ ปในน้ า
เพื่อช่วยให้เกิดการตกตะกอนและปรับค่าความเป็น กรด-ด่างของน้าดิบ
3. การตกตะกอนโดยน้ า ที่ ผ สมสารส้ ม หรื อ ปู น ขาวแล้ ว จะไหลเข้ า สู่
ถังตกตะกอน เพื่อให้ตะกอนที่มีขนาดเล็กรวมตัวกันเป็นตะกอนขนาดใหญ่
และตกลงสู่ก้นถังจนได้น้าที่มีความใสสะอาด
4. กรองเพื่ อ กำจั ด ตะกอนหรื อ สิ่ ง ปนเปื ้ อ นที่ มี ข นาดเล็ ก มากอี ก ครั้ ง
โดยการกรองด้ วยทรายกรอง กรวดกรอง เพื่ อให้ ไ ด้น้ า ที่มีความใสสะอาด
อย่างแท้จริง การกรองแบบ Reverse Osmosis (R.O.)
5. ฆ่าเชื้อโดยการใส่คลอรีนในอัตราส่ วนที่พอเหมาะ ให้สัมผัสน้าอย่างน้ อย 30
นาที และไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย แล้วนำไปเก็บไว้ในถังน้าใสเพื่อรอการสูบจ่าย
**Break point chlorination = ปริมาณคลอรีนที่พอดี กับการทำปฏิกิริยากับสิ่งสกปรก
6. ตรวจสอบและควบคุมคุณภาพน้าประปาทีผ ่ ลิตได้
7. ปล่อยน้าจากหอถังสูงหรือสูบอัดน้าเข้าไปในระบบท่อจ่ายน้าเพื่อเพิ่มแรงดันน้า
การกำจัดความกระด้างของน้า **ออกสอบบ่อย
น้ากระด้าง หมายถึง น้าที่มีหินปูนเจือปนอยู่ในน้า เกิดจากแคลเซียมและแมกนีเซียม
1. น้ากระด้างชั่วคราว ➔ น้าที่สามารถกำจัดความกระด้างให้หายไปด้วยการวิธีการดังนี้
นำไปต้ม ซึ่งความร้อนจะทำให้ไบคาร์บอเนตของแคลเซียมและแมกนีเซียมโมเลกุลของน้าระเหยไป และทำให้เกิด
ตะกอน สามารถแก้ไขได้ด้วยการกรอง
2. น้ากระด้างถาวร โดยวิธีการตกผลึก ทำให้แคลเซียมและแมกนีเซียมละลายอยู่ในน้ากลายเป็นตะกอน
การเติมปูนขาว และ โซดาแอช ➔ กระบวนการกำจัดความกระด้างด้วยปูนโซดา (Lime-soda softening)
โครงการจัดหาน้าสะอาดของการประปาส่วนภูมิภาค
(Water Safety Plan : WSP) 5 ระยะ 11 ขั้นตอน
2. การบำบัดน้าเสีย ประเภทของน้าเสีย
1.น้าเสียขากชุมชน 2.น้าเสียจากอุตสาหกรรม
3.น้าเสียจากการเกษตร 4.น้าเสียจากฝน
มาตรฐานน้าทิ้งจากระบบบำบัดน้าเสียรวมของชุมชน
ดัชนีคุณภาพน้า หน่วย ค่ามาตรฐาน
1. ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) - 5.5 – 9.0
2. บีโอดี (BOD) มก./ล. ≤ 20*
3. ของแข็งแขวนลอย (SS) มก./ล. ≤ 30
กรณีหน่วยบำบัดสุดท้ายเป็นบ่อปรับ ≤ 50
เสถียร หรือบ่อผึ่ง
อาคาร ประเภท ก.
4. น้ามันและไขมัน (Oil and Grease) มก./ล. ≤5
≤ 20
5. ไนโตรเจนทั้งหมด (TN) มก./ล. ≤ 20
6. ฟอสฟอรัสทั้งหมด (TP) มก./ล. ≤2
เฝ้าระวังด้านความสะอาดส้วมสาธารณะ
ดำเนินการตรวจหาเชื้อฟีคัลโคลิฟอร์มแบคทีเรีย (Fecal Coliform bacteria) บนจุดสัมผัสร่วมด้วยวิธีการ
ป้ายเชื้อ (Swab) ในห้องส้วม 7 จุด ได้แก่ กลอนประตู/ลูกบิด ทีร่ องนัง่ ส้วม ที่จับสายฉีดน้าชำระ ทีก
่ ดโถส้วม
ทีก
่ ดโถปัสสาวะ ก๊อกน้าและราวจับ โดยทำการสุ่มตัวอย่างทั้งห้องส้วมชาย ห้องส้วมหญิง และห้องส้วมคน
พิ การ อย่ างน้ อยประเภทละ 1 แห่ ง ด้ ว ยวิ ธี การ Swab ในจุ ด ที่ก ำหนด ส่ ง ทางห้ องปฏิบัติการ หรื อใช้
ชุดทดสอบภาคสนามตรวจสุขลักษณะของห้องส้วม (อ 11)
หลักเกณฑ์และวิธก
ี ารประเมินรับรองมาตรฐานด้านสุขาภิบาลอาหารในสถานประกอบกิจการด้านอาหาร (ฉบับปรับปรุงปี 2564)
4.ระบบการจัดการมูลฝอย
พ.ร.บ.การสาธารณสุข 2535 + ฉบับที่ 2 2550 และกฎกระทรวงว่าด้วยการกำจัดมูลฝอยติดเชื้อ 2545
ระบบการจัดการมูลฝอยในโรงพยาบาล
➔ มูลฝอยจากกระบวนการการรักษา มูลฝอยจากการประกอบอาหาร มูลฝอย จากระบบบำบัดน้าเสีย ฯลฯ
➔ มูลฝอยที่เกิดจากผู้มารับบริการและญาติ
➔ จำแนกได้ 4 ประเภท ได้แก่ มูลฝอยทั่วไป มูลฝอยอันตราย มูลฝอยติดเชื้อ และมูลฝอยรีไซเคิล
มูลฝอยติดเชื้อ
➔ มูลฝอยที่มีเชื้อโรคปะปนอยู่ ถ้ามีการสัมผัสหรือใกล้ชิดกับมูลฝอยนั้นแล้ว สามารถทำให้เกิดโรคได้
มูลฝอยทั้งหมด
การคัดแยกมูลฝอยติดเชื้อ นำหลัก 3R (Reduce Reuse and Recycle) มาเป็นหลักการจัดการ
ประเภท การจัดการ
มูลฝอยติดเชื้อประเภท เข็ม ใบมีด กระบอกฉีดยา หลอดแก้ว ภาชนะที่ทำด้วยแก้ว สไลด์และแผ่นกระจกปิดสไลด์
วัสดุของมีคม ต้ องทิ้ง ลงกล่ องหรื อถั ง ที่ท ำจากวั สดุ แข็ ง แรง ทนทานต่ อการแทงทะลุ และการกั ด กร่ อนของ
สารเคมีและสามารถป้องกันการรัว่ ไหลของของเหลวภายในได้
บรรจุมูลฝอย ติดเชื้อไม่เกิน 3 ใน 4 ส่วนของความจุภาชนะ แล้วปิดฝาให้แน่นก่อนเคลื่อนย้าย
การกำจัดมูลฝอยติดเชื้อ
1) การทำลายเชื้อโรค เป็นการทำลายเชื้อโรคที่มีอยู่ในมูลฝอยติดเชื้อด้วยวิธีมาตรฐาน ตามที่กระทรวงสาธารณสุข
กำหนดไว้ ในกฎกระทรวงว่าด้วยการกำจัดมูลฝอยติดเชื้อ พ.ศ. 2545 ดังต่อไปนี้
• การเผาในเตาเผา ต้อ งมีห ้อ งเผามูลฝอยติด เชื้อ เผาที่อุณหภูมิ ≥ 760 0C และห้อ งเผาควั น และก๊าซพิษ ที่
อุณหภูมิ ≥1,000 0C
• การทำลายเชื้อด้วยไอน้า เป็นการฆ่าเชื้อโรคที่มีองค์ประกอบดังนี้ ไอน้า ที่ ความดัน ≥15 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว
อุณหภูมิ ≥ 121 0C ระยะเวลา ≥ 1 ชั่วโมง ซึ่งองค์ประกอบแต่ละตัวจะมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
2) การกำจัดขั้นสุดท้าย เป็นการนำมูลฝอยติดเชื้อที่ผ่านการทำลายเชื้อจนมั่นใจว่า ปลอดภัย แล้วนำไปกำจัดด้วย
วิธีการที่ถูกหลักสุขาภิบาล เช่น การฝังกลบอย่างถูกหลักสุขาภิบาล การกำจัดมูลฝอยติดเชื้อของโรงพยาบาล มี
รูปแบบการดำเนินการที่สำคัญ ได้แก่ การดำเนินการกำจัดมูลฝอยติดเชื้อเอง และส่งต่อให้หน่วยงานอื่นนำไป
กำจัดนอกโรงพยาบาล
--- คู่มือเตรียมสอบนักวิชาการสาธารณสุข โดย แก้ว ญาณิศา --- 85
--- อนามัยสิ่งแวดล้อม ---
5. การจัดการสัตว์และแมลงนำโรค
➔ สัตว์และแมลงนำโรคหลายชนิดที่นำเชื้อโรคมาสู ่คน โดยเชื้อโรคจะติดมากับลำตัว ปีก ขน หรือปะปนมากั บ
น้าลายปัสสาวะ อุจจาระของสัตว์และแมลงดังกล่ าว เมื่อสัตว์เหล่านั้นไปไต่อาหารที่ปรุงสุกแล้วและไม่มีก ารปกปิดหรือ
ป้องกันให้มิดชิด ก็จะทำให้ออาหารปนเปื้อนเชื้อโรคและสิ่งสกปรกได้ ถ้านำอาหารนั้นมากินอาจเกิด การเจ็บป่ว ยได้
สัตว์และแมลงนำโรคที่พบบ่อย ได้แก่ หนู แมลงวัน และแมลงสาบ **ออกสอบบ่อย
สัตว์และแมลงนำโรค การควบคุมป้องกัน
หนู ➔ เป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคทีส
่ ำคัญ และทำให้เกิดการระบาดของโรคบางชนิดมาสู่คนและสัตว์เลี้ยงได้
4 พันธุ์ ที่พบบ่อย เช่น กาฬโรค โรคไข้หนูกัด โรคเลปโตสไปโรซีส โรคพิษสุนัขบ้า โรคบิดมีตัว โรคพยาธิต่าง ๆ เช่น
หนูนอเวย์ หนูท้องขาว โรคพยาธิตัวตืด โรคพยาธิแส้ม้า เป็นต้น
หนูจี๊ด หนูหริ่ง ➔ สำรวจประชากรหนู โดยวิธีมาร์ค-รีแคพเจอร์ (Mark-recapture method) ใช้กรงจับหนูเป็นๆ
มาทำเครื่องหมายบนตัวก่อนที่จะปล่อยไป
➔ การควบคุมป้องกันมี 2 วิธี คือ
1. การป้องกันไม่ให้มีแหล่งเพาะพันธุ์ แหล่งอาหาร และแหล่งที่อยู่อาศัยของหนู ได้แก่
โดยอุดช่องทางที่หนูจะเข้าบ้านด้วยวัสดุที่ป้องกันการกัดแทะของหนู เช่น คอนกรีต อิฐ หิน กระเบื้องหนาๆ
รวบรวมและกำจัดขยะมูลฝอย เพือ ่ ทำลายแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยของหนู
จัดบ้านเรือนและบริเวณบ้านให้สะอาดไม่เป็นที่หลบซ่อนหรือเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของหนู
2. การทำลายหนูโดยตรง
การใช้ กั บ ดั ก เช่ น กั บ ดั ก และกรงดั ก ใช้ เหยื่ อ ประเภทปลา เนื้ อ มะพร้ า วอ่ อ น เมื่ อ ใช้ กั บ ดั ก แล้ ว
ควรทำลายกลิ่นหนู ใช้น้าร้อนลวก+ล้างให้สะอาด จมูกหนูไวมากถ้าได้กลิ่นคนจะไม่กินเหยื่อเลย
การใช้สารเคมี ได้แก่ การรมควัน การวางยาเบื่อ ควรเลือกชนิดที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์น้อยที่สุด
การควบคุมกำจัดหนูในชุมชนใหญ่ๆ คำนึงถึงความร่วมมือของประชาชน โดยมีการกำจัดอย่างสม่าเสมอ
เพือ
่ ป้องกันหนูอพยพจากหมู่บ้านหนึ่งไปหมู่บ้านใกล้เคียง
แมลงวัน ➔ มักพบมากในบริเวณกองขยะเศษอาหาร ซากสัตว์ อุจจาระ ทำให้ เกิดเชื้อโรคต่าง ๆ เช่น บิด ไทฟอยด์
อหิวาตกโรค รวมทั้งไข่พยาธิต่าง ๆ ติดมากับแมลงวันได้ โดยติดมากับขนตามลำตัว ขนขา หรือเชื้อโรคปนมา
แมลงหวี่
กับของเหลวในกระเพาะอาหารของแมลงวัน
➔ การสำรวจแมวงวันที่นิยมมากที่สุด “การใช้ตะแกรงนับจำนวน”
การควบคุมและกำจัดมีหลักใหญ่ ๆ 3 ประการคือ
1. การปรับปรุงสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม
เก็บเศษอาหาร+ขยะในถังที่มีฝาปิดมิดชิด ไม่รั่ว/ซึมน้า นำไปกำจัด : เผา ฝัง หมักทำปุ๋ย ถมที่ หรือเลี้ยงสัตว์
จัดให้มีและใช้ส้วมทีถ
่ ูกสุขลักษณะ
ควรมีตู้เก็บอาหารหรือมีภาชนะปกปิดอาหาร เช่น ฝาชี เพือ ่ ป้องกันไม่ให้แมลงวันตอมอาหาร
2. การทำลายตัวอ่อนของแมลงวัน ใช้ความร้อนจากแสงแดดในการทำลายไข่แมลงวัน หรือใช้สารเคมีทำลาย
หนอนแมลงวัน เช่น การใช้ปูนคลอรีนหรือปูนขาวโรยฆ่าตัวหนอน เป็นต้น
3. การทำลายตัวแก่ของแมลงวัน
วิธีกล ได้แก่ ใช้กาวจับแมลงวัน ใช้ไม้ตีแมลงวัน เป็นต้น
วิธีทางเคมี ได้แก่ การใช้วัตถุมีพิษฆ่าแมลงวันในบ้าน ควรเลือกชนิดที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์น้อยที่สุด
แมลงสาบ ➔ เป็นพาหะนำโรค อหิวาตกโรค แอนแทรกซ์ วัณโรค โรคพยาธิปากขอ พยาธิเส้นด้าย พยาธิตัวตืด
ชอบออกหากินกลางคืน ➔ การควบคุมกำจัดแมลงสาบ แบ่งได้เป็น 2 วิธี คือ
ชอบกัดทำลายสิ่งของ 1. การทำลายแมลงสาบและไข่แมลงสาบ
เครื่องใช้ภายในบ้าน การใช้กับดัก : วางเหยื่อที่แมลงสาบชอบไว้ภายในกับดัก เช่น อาหารประเภทแป้งและน้าตาล ซึ่งเมื่อจับได้
มีกลิ่นเฉพาะตัว เป็นจำนวนมาก นำไปฆ่าโดยการแช่น้าหรือตากแดด
เชื้อโรคที่ติดมาตามตัว/ การใช้สารเคมี : ใช้วัตถุมีพิษฆ่าแมลงสาบในบ้าน ด้วยการฉีดพ่น หรือใช้เหยื่อพิษ
อยู่ในกระเพาะแมลงสาบ 2. การปรับปรุงสุขาภิบาลที่อยู่อาศัย
หมั่นทำความสะอาดห้องครัว อย่าให้มีเศษอาหารตกค้างซึ่งอาจเป็นอาหารของแมลงสาบ
ต้องมีตู้เก็บอาหารหรือภาชนะปกปิดมิดชิด ป้องกันไม่ให้แมลงสาบมากินอาหารได้
หมั่นทำความสะอาดห้องน้าห้องส้วมอย่างสม่าเสมอ
ควรบรรจุอาหารแห้งต่าง ๆ เช่น แป้ง น้าตาล ในโหลที่มีฝาปิดมิดชิด และเก็บใส่ตู้
ควรมีถังขยะที่มีฝาปิดมิดชิด ไม่รั่ว ไม่ซึม และนำขยะไปกำจัดอย่างถูกวิธี
หลักการและแนวคิด
กรมอนามัยได้มีการดำเนินงานเพื่อให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2555-2559)
เป้าหมายหลัก คือ ลดการเจ็บป่วยเนื่องจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ประกอบกับนโยบายยุทธศาสตร์เมืองไทย เมืองสะอาด (Clean Cities)
“ส่งเสริมและร่วมใจ ทำเมืองไทยให้สะอาด” โดยเน้นการจัดการส้วมสาธารณะและสิ่งปฏิกูล อาหารสะอาด คุณภาพน้าดื่มได้มาตรฐาน
และการจัดการมูลฝอยในชุมชน จัดทำโครงการบ้านสะอาด อนามัยดี ชีวีสมบูรณ์ ใช้แบบประเมิน 34 ข้อ
เกณฑ์ : ระดับหลังคาเรือน ต้องผ่านทุกข้อ ระดับหมู่บ้าน/ชุมชน ต้องผ่าน 60 %ขึ้นไปของหลังคาเรือนทั้งหมด
**ออกสอบทุกปี จำลำดับ
ขั้นตอน และนิยาม
8.การจัดการเหตุรำคาญ
เหตุรำคาญ (มาตรา 25 พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535) ➔ เหตุหนึ่งเหตุใดอันอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนของ
ประชาชนผู้ที่ อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
อำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานสาธารณสุข
เจ้ า พนั กงานสาธารณสุ ข ➔ เจ้ าพนั ก งานซึ่ ง ได้ รั บ แต่ ง ตั้ ง จาก รั ฐมนตรี ว่ า การกระทรวงสาธารณสุ ข ให้ ป ฏิ บั ติ ก ารตาม
พระราชบัญญัติการ สาธารณสุข พ.ศ. 2535
ระบบการทำงาน ประกอบด้วย 1. ระบบปฏิบัติการ ได้แก่ •ระบบรับเรื่องร้องเรียน • ระบบสอบสวนเหตุรำคาญ • ระบบการตรวจวิเคราะห์
ชุดวิชาที่ 12 อาชีวอนามัยและความปลอดภัย
อันตรายจากสภาพแวดล้อมในการทำงาน 4 ด้าน
ด้านกายภาพ อุณหภูมิที่ผิดปกติ (temperature)
(PHYSICAL ความร้อน เกิดจากการถ่ายเทความร้อนจากแหล่งกำเนิด การนำ การพา และการแผ่รังสีความร้อน
HAZARDS) ผดผื่น (Rash) ตะคริว (Cramp) อ่อนเพลีย (Exhaustion) หน้ามืด/วิงเวียน (Syncope (fainting)
ลมแดด (Heat Stroke) ถึงขั้นเสียชีวิต อาการสำคัญ : ตัวร้อน T ร่างกาย 41 0C การสูญเสียเหงื่อ
เครื่องวัดความร้อน WBGT ➔ คุณสมบัติตรงตามมาตรฐาน ISO 7243
ระดับความร้อนทางการทำงาน
หลักการป้องกันและควบคุม
1.แหล่งกำเนิดของความร้อน เช่น การใช้ฉนวน ฉากป้องกัน
รังสี ระบบระบายอากาศ ใช้พัดลมเฉพาะจุด
2.ความร้อนจากทางผ่าน เป็นการระบายความร้อนภายในพื้นที่
ทำงาน เช่น ออกแบบพื้นที่ให้ flow อากาศดี
3.การป้องกันที่ตัวคนงาน เช่น การปรับให้เคยชินกับความ
ร้อน จัดเตรียมน้าดื่ม การใส่ PPE
เสียง (Noise)
อันตราย : สมรรถภาพการได้ยินลดลง สาเหตุโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง กระเพาะอาหาร ประสิทธิภาพ
การทำงานลดลง/อุบัติเหตุ
มาตรฐานระดับเสียงในที่ทำงาน 8 ชั่วโมง - ไม่เกิน 85 dBA **ออกสอบบ่อย
WHO เสียงอันตราย = เสียงดัง ≥ 85 dBA ให้สถานประกอบการจัดโครงการอนุรักษ์การได้ยิน
เสียงดัง > 90 dBA อันตรายต่อระบบการได้ยิน หูหนวก เครียด โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง
*เสียงกระทบ/กระแทก ≤ 140 dBA เช่น เสียงตอกเสาเข็ม เสียงระเบิด
*เสียงดังต่อเนื่องแบบคงที่ ≤ 115 dBA เช่น เสียงเครื่องทอผ้า
เครื่องวัดระดับความดังของเสียง หลักการป้องกันและควบคุม
1. แยกคนงานห่างจากบริเวณต้นกำเนิดเสียงให้มากที่สุด
2. ลดการสั่นสะเทือนของเครื่องจักร นิยม ใช้ง่าย ประสิทธิภาพ
3. ใช้วัสดุดูดซับเสียง
4.หาเครื่องจักรที่มีเสียงดังน้อยเข้ามาทดแทน
6. ลดระยะเวลาในการสัมผัสกับเสียง
วัดเสียงได้ตั้งแต่ 40-140 dB 7. ใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล ที่อุดหู(ear pug) / ที่ครอบหู(earmuff)
ด้านกายภาพ ความสั่นสะเทือน (Vibration) ยึดหลัก พัก 20 นาที ทุกๆ 2 ชม. ไม่ทำงานเกินกว่า 2-4 ชม./วัน
ความสั่นสะเทือนทั้งร่างกาย (Whole-Body Vibration) เช่น นั่งในเครื่องจักร
ความสั่นสะเทือนเฉพาะส่วน เช่น ที่มือและแขน (Hand-Arm Vibration) เช่น เจาะผนังถ้า การขุดเจาะถนน
ทำให้การไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อปลายมือขัดข้อง เนื้อเยื่อขาดเลือดไปเลี้ยง เนื้อเยื่อตาย มีอาการชา ปวด
➔ เกิดโรค White finger syndrome / Raynaud’s syndrome
รังสี (Radiation) การ x-ray ช่องท้อง 1 ครั้ง ได้รับ รังสีเฉลี่ย ประมาณ 15 มิลลิซีเวิร์ต
การได้รับรังสีอาจมีผลต่อร่างกายได้เป็น 2 แบบ คือ
1.เกิดการเปลี่ยนแปลงและมีอาการป่วยทางรังสี ( Acute หรือ Deterministic Effect) เมื่อได้รับรังสีเป็นปริมาณมาก
( สูงกว่า 10 แรด ในครั้งเดียว ) อวัยวะสำคัญของร่างกายที่จะเปลี่ยนแปลงเมื่อได้รับรังสี คือ • ไขกระดูก
• ทางเดินอาหาร • ผิวหนัง แสบร้อน ผิวดำคล้า เหมือนตากแดด ได้รับปริมาณมาก แดงขึ้น พองออกเป็นถุงน้าใส
เมื่อถุงน้าแตกออกจะเห็นเป็นเนื้อแดงเหมือนถูกไฟไหม้ • อวัยวะสืบพันธ์ • ระบบสมองและประสาทส่วนกลาง • ปอด
2.มีผลระยะยาว ( Delayed หรือ Stochastic Effect) การเป็นโรคมะเร็งและผลกระทบต่อพันธุกรรม
มาตรฐานการสัมผัสรังสี
ประชาชนทั่วไป ควรได้รับไม่เกิน 1 มิลลิซีเวิร์ต/ปี
ผู้ปฏิบัติงาน ควรได้รับไม่เกิน 50 มิลลิซีเวิร์ต/ปี
หลักการป้องกันและควบคุม
**ออกสอบบ่อย อันตรายจากเบนซีน
◆ องค์ประกอบความเสี่ยง
โอกาสของการเกิด Probability / ความไม่แน่นอน Uncertainly
เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ Consequence
◆ ขั้นตอนการประเมินความเสี่ยง มีดังนี้
1.การระบุสิ่งคุกคาม แหล่งกำเนิดของอันตรายมีหรือไม่ ใครที่ได้รับอันตราย อันตรายจะเกิดขึ้นอย่างไร
(Hazard Identification)
2. การประเมินขนาด การเกิดพิษเฉียบพลัน (acute) เกิดอาการหลังได้รับสารเพียงครั้งเดียว /หลายครั้งภายใน 24 ชม.
สัมผัสกับการ ก่อให้เกิดอาการ เช่น ตาย อาเจียน มึนงง ชัก มักเกิดจากการได้รับสารในปริมาณมาก
ตอบสนอง (Dose การเกิดพิษเรื้อรัง (chronic) เกิดอาการหลังได้รับสารปริมาณน้อยๆติดต่อกันมากว่า 3 เดือน
response assessment การเกิดมะเร็ง การกลายพันธุ์หรือการผ่าเหล่า
Toxicity assessment) การเกิดลูกวิรป ู การผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
3.การประเมินการ เป็นการประมาณหรือวัดขนาดของสิ่งคุกคามที่ได้รับจากสิ่งแวดล้อม
สัมผัส (Exposure) 1. ปริมาณขนาดการสัมผัส 2. ระยะเวลาการสัมผัส 3. ช่องทางการสัมผัส
การกิน (Ingestion) การหายใจ (Inhalation) การดูดซึม (Absorption) การฉีด (Injection)
4. การอธิบายลักษณะ โดยบอกขนาด ปริมาณ หรือลักษณะของสิ่งคุกคามนั้น ว่ามีโอกาสก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ
ของความเสีย่ ง (Risk มากหรือน้อย
Characterization) ใครเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงสูงสุด ระดับความเสี่ยงอยู่ที่ระดับใด
กิจกรรม/พฤติกรรมทีก ่ ่อให้เกิดความเสี่ยงสูง ความเสี่ยงเฉลี่ยของทั้งกลุ่มประชากรเป็นอย่างไร
เทคนิค 1. รู้จักความเสี่ยงของตัวเอง 2. เข้าใจผลกระทบของความเสี่ยงนั้น
3. วางแผนในการลดผลกระทบ 4. ตรวจวัด ติดตาม Monitor
5. ดำเนินการตามแผน 6. ดึงผู้มีส่วนได้เสียเข้ามามีส่วนร่วม
◆ โรคจากฝุ่นซิลิกาหรือซิลิโคสิส (Silicosis)
◆ โรคที่เกิดขึ้นจากสารเคมี (โรคและการป้องกันมลพิษภายใต้พันธะและอนุสัญญาระหว่างประเทศ)
อุบัติเหตุในการประกอบอาชีพ
◆ อุ บั ติ เหตุ (Accident) ➔ เหตุ ก ารณ์ ที่ เกิ ด ขึ้ น โดยมิ ไ ด้ ค าดการณ์ ไว้ ล ่ ว งหน้ า
การใช้ถังดับเพลิง **ออกสอบบ่อย
7 เทคนิควิธี การชี้บ่งอันตรายใช้สำหรับการประเมินความเสี่ยง
วิธีการ สภาพการณ์
แบบตรวจสอบ Checklist ตรวจสอบว่าได้ปฏิบัติตามมาตรฐานหรือกฎหมายหรือไม่
JSA “Job Safety Analysis” วิ เ คราะห์ อั น ตรายที่ อ าจเกิ ด ขึ้ น ในแต่ ล ะขั้ น ตอนของการทำงาน คนจะสั ม ผั ส กั บ อะไร
จนทำให้บาดเจ็บ/เจ็ปป่วย
FTA “Fault Tree Analysis” วิเคราะห์หาสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุหรืออุบัติภัยร้ายแรง โดยเริ่มวิเคราะห์จากอุบัติเหตุ
หรืออุบัติภัยร้ายแรงที่เกิดขึ้นแล้ว หรือคาดว่าจะเกิดขึ้นเพื่อพิจารณาหาสาเหตุ
ETA “Event Tree Analysis” วิเคราะห์และประเมินผลลัพธ์หรือผลกระทบทีเ่ กิดขึ้นต่อเนื่อง เพื่อให้ทราบว่าจะมีเหตุการณ์
อะไรเกิดขึ้นต่อเนื่องจากเหตุการณ์แรกบ้าง และจะเกิดได้อย่างไร มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นมาก
น้อยเพียงใด รวมทั้งเป็นการตรวจสอบระบบความปลอดภัยทีม ่ ีอยู่ว่ามีปัญหาหรือไม่อย่างไร
FMEA “Failure Mode And Effect วิเคราะห์ในรูปแบบความล้มเหลวและผลที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นการตรวจสอบชิ้นส่วนเครื่องจักร
Analysis” อุปกรณ์ในแต่ละส่วนของระบบ แล้วนำมาวิเคราะห์หาผลที่เกิดขึ้น เมื่อเกิดความล้มเหลว
ของเครื่องจักรอุปกรณ์
HAZOP “Hazard And วิเคราะห์หาอันตรายและปัญหาของระบบต่างๆ ซึ่งอาจจะเกิดจากความไม่สมบูรณ์ในการ
Operability Studies” ออกแบบที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ด้วยการตั้งคำถามที่สมมติสถานการณ์ของการผลิตใน
ภาวะต่างๆ ความบกพร่องและความผิดปกติในการทำงาน
What If วิเคราะห์ และทบทวนเพื่อชี้บ่งอันตรายโดยการใช้คำถาม “จะเกิดอะไรขึ้น ....... ถ้า .........”
ชุดวิชาที่ 13 กฎหมายและจรรยาบรรณวิชาชีพการสาธารณสุข
นิยาม ความหมาย
วิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน วิชาชีพที่กระทำต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ในชุมชนเกี่ยวกับ (6 เรื่อง)
การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การควบคุมโรค
การตรวจประเมินและการบำบัด โรคเบื้องต้น
การดูแลให้ความช่วยเหลือผู้ป่วย การฟื้นฟูสภาพ
การอาชีวอนามัยและอนามัยสิ่งแวดล้อม
แต่!! ไม่รวมการประกอบโรคศิลปะ หรือการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ และการสาธารณสุขอื่น
การประกอบวิชาชีพการ การกระทำการสาธารณสุขต่อบุคคล ครอบครัว ชุมชน และอนามัยสิ่งแวดล้อม (4 ด้าน)
สาธารณสุขชุมชน 1) การส่ ง เสริ ม การเรี ย นรู ้ การแนะนำและให้ ค ำปรึ ก ษาเกี่ ย วกั บ การส่ ง เสริ มสุ ข ภาพ
การป้ อ งกั น โรค การควบคุ ม โรค การบำบั ด โรคเบื้ อ งต้ น และการฟื ้ น ฟู ส ภาพ ต่ อบุ คคล
ครอบครัว และชุมชน โดยการผสมผสานต่อเนื่อง และเชื่อมโยงเป็นองค์รวม
2) การประยุ ก ต์ ห ลั ก วิ ท ยาศาสตร์ โดยการกระทำด้ า นการอาชี ว อนามั ย และอนามั ย
สิ่งแวดล้อม เพื่อการควบคุมป้องกันปัจจัยที่ทำให้เกิดโรค และลดความเสี่ยง การเจ็บป่วยต่อ
บุคคล ครอบครัว และชุมชน
**3) การตรวจประเมินและการบำบัดโรคเบื้องต้ น การดู แลให้ค วามช่ว ยเหลือผู้ป่วย
การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค และการวางแผนครอบครัว
**4) การตรวจประเมินอาการเจ็บป่วย และการช่วยเหลือผู้ป่วยเพื่อการส่ง
ผู้ประกอบวิชาชีพการ บุคคลที่ได้ขึ้นทะเบียน + รับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน
สาธารณสุขชุมชน ➔ จากสภาการสาธารณสุขชุมชน
อำนาจหน้าทีข
่ องสภาการสาธารณสุขชุมชน
รับขึ้นทะเบียนและออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ขอเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน
ให้ความเห็นชอบหลักสูตรในระดับอุดมศึกษาของสถาบันการศึกษาที่จะทำการสอน
รับรองวุฒใิ นวิชาชีพฯของสถาบันต่าง ๆ
รับรองหลักสูตรต่างๆ ที่จะทำการสอน และฝึกอบรมวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน
รับรองวิทยฐานะของสถาบันที่ทำการสอนและฝึกอบรม
จัดทำแผนการดำเนินงานและรายงานผลเสนอต่อสภานายกพิเศษอย่างน้อย ปีละ 1 ครั้ง
ดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของสภาการสาธารณสุขชุมชน !!!
รายได้ของสภาการสาธารณสุขชุมชน
(1) เงินอุดหนุนจากงบประมาณแผ่นดิน
(2) ค่าขึ้นทะเบียนสมาชิก ค่าบำรุง และค่าธรรมเนียมตามพระราชบัญญัตินี้
(3) ผลประโยชน์จากการจัดการเงินและทรัพย์สิน และการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด ในมาตรา 6
(4) เงินและทรัพย์สินที่มีผู้ให้แก่สภาการสาธารณสุขชุมชน
(5) ดอกผลของเงินและทรัพย์สินตาม (1) (2) (3) และ (4)
--- คู่มือเตรียมสอบนักวิชาการสาธารณสุข โดย แก้ว ญาณิศา --- 99
--- กฎหมายและจรรยาบรรณวิชาชีพ ---
ใบอนุญาตมีอายุ ≤ 5 ปีนับแต่วน
ั ที่ออกใบอนุญาต ต่ออายุได้เท่ากับอายุใบอนุญาต ไม่เกินครั้งละห้าปี
คณะกรรมการสภาการสาธารณสุขชุมชน
กรรมการซึ่งเป็นคณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์ กำไรหรื อ รายได้ มาแบ่ ง ปั นกั น ซึ่ ง มี วั ต ถุ ป ระสงค์ เกี่ ย วกับ การคุ ้ ม ครอง
เที ย บเท่ า คณะ หรื อ หั ว หน้ า ภาควิ ช า หรื อ หั ว หน้า กรรมการผู ้ ท รงคุ ณวุ ฒิ ซึ่ ง รั ฐ มนตรี แ ต่ ง ตั้ ง จากบุ ค คลที่ มี ค วามรู้
สถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งละหนึ่งคน ด้านละ 1 คน
เลือกกันเองให้เหลือสองคน
กรรมการซึ่งได้รับเลือกตั้งโดยสมาชิกมีจำนวนเท่ากับกรรมการใน (1) (2)
(3) (4) (5) (6) และ (7) รวมกัน
บทลงโทษ
ลักษณะการกระทำผิด กำหนดโทษ
ประกอบวิชาชีพที่โดยไม่ได้รับใบอนุญาต/ทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิด จำคุกไม่เกิน 3 ปี /ปรับไม่เกิน 60,000 บาท /ทั้งจำทั้งปรับ
ฝ่าฝืนขณะอยู่ในระหว่างพักใช้ใบอนุญาต
ผู้ซงึ่ สมาชิกภาพสิ้นสุดลง แต่ไม่ส่งคืนใบอนุญาตต่อเลขาธิการ ภายใน ปรับไม่เกิน 20,000 บาท
15 วันนับแต่วันที่ทราบการสิ้นสุดสมาชิกภาพ
ผูไ้ ม่มาให้ถ้อยคำ/ไม่ส่งเอกสาร/วัตถุใด ๆ ตามที่เรียกหรือแจ้งให้ส่ง จำคุกไม่เกิน 1 เดือน /ปรับไม่เกิน 1,000 บาท /ทั้งจำทั้งปรับ
--- คู่มือเตรียมสอบนักวิชาการสาธารณสุข โดย แก้ว ญาณิศา --- 100
--- กฎหมายและจรรยาบรรณวิชาชีพ ---
ข้อบังคับสภาการสาธารณสุขชุมชน ว่าด้วยข้อจำกัดและเงือ
่ นไขในการประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน พ.ศ. 2564
ประกาศสภา 13 มกราคม 2564 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 20 มกราคม 2564 มีผลบังคับใช้ 21 มกราคม 2564
ประกาศสภา 9 พฤษภาคม 2565 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 18 พฤษภาคม 2565 มีผลบังคับใช้ 18 พฤษภาคม 2564
หมวด 1 หลักทั่วไป
ข้อ 5 ต้องดำรงตนให้สมควรในสังคมโดยธรรม เคารพต่อกฎหมายของบ้านเมือง
ข้อ 6 ต้องประกอบวิชาชีพด้วยเจตนาดี โดยไม่คำนึงถึงฐานะ เพศ อายุ เชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา ลัทธิ สังคม การเมือง
ข้อ 7 ต้องไม่ประพฤติหรือกระทำการใด ๆ อันอาจเป็นเหตุให้เสื่อมเสีย เกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ
หมวด 2 การประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน
ข้อ 8 ต้องรักษามาตรฐานของการประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน
ข้อ 9 ต้องไม่จูงใจหรือชักชวนให้ผู้ใดมารับบริการทางวิชาชีพ เพื่อผลประโยชน์ของตน
ข้อ 10 ต้องปฏิบัติต่อผู้ป่วยหรือผู้รับบริการโดยสุภาพและปราศจาก การบังคับขู่เข็ญ
ข้อ 11 ต้องไม่หลอกลวงผู้ป่วยหรือผู้รับบริการให้หลงเข้าใจผิดในการ ประกอบวิชาชีพเพื่อผลประโยชน์ของตน
ข้อ 12 ต้องประกอบวิชาชีพโดยคำนึงถึงความปลอดภัยและความสิ้นเปลือง ที่เกินความจ าเป็นของผู้ป่วยหรือผู้รับบริการ
ข้อ 13 ต้องไม่รับรองหรือให้ความเห็นเกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพ อันเป็นเท็จ
ข้อ 14 ต้องไม่เปิดเผยความลับของผู้ป่วยหรือผู้รับบริการซึ่งตนทราบมา เนื่องจากการประกอบวิชาชีพ เว้นแต่ได้รับความยินยอมของผู้ป่วย
หรือผู้รับบริการหรือเมื่อต้องปฏิบัติ ตามกฎหมายหรือตามหน้าที่
ข้อ 15 ต้องไม่ปฏิเสธการช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในระยะอันตรายจากการเจ็บป่วย เมื่อได้รับคำขอร้องและตนอยู่ในฐานะที่จะช่วยได้
ข้อ 16 ต้องไม่ประกอบวิชาชีพในที่หรือทางสาธารณะ เว้นแต่เหตุฉุกเฉิน หรือเป็นการปฐมพยาบาล หรือการปฏิบัติตามหน้าที่
ข้อ 17 ต้องไม่ใช้หรือสนับสนุนให้มีการประกอบวิชาชีพโดยผิดกฎหมาย
หมวด 3 การปฏิบัติด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม
ข้อ 18 ต้องไม่ให้ความเห็นเพื่อประกอบการอนุญาตของราชการส่วนท้องถิ่นในด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมที่เป็นเท็จ
ข้อ 19 ต้องประเมินปัจจัยเสี่ยงด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมเสนอหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขไม่ให้เกิดโรคและภัยสุขภาพ
ข้อ 20 ต้องติดตามและประเมิ นปั จจั ย เสี่ย งด้ า นอนามัย สิ่ งแวดล้ อมที่มี ผลกระทบต่ อสุข ภาพอย่ างต่ อเนื่ อ งและกำหนดแนวทางฟื ้ น ฟู
สภาพแวดล้อมเพื่อลดความเสี่ยงจากการเจ็บป่วยในชุมชน
ข้ อ 21 ต้ อ งตรวจสอบ เสนอแนะและให้ ค วามเห็ นต่ อ หน่ ว ยงานที่ เกี่ ย วข้ อ ง เพื่ อ ดำเนิ นการแก้ ไขปั ญ หาหรื อ ระงั บ เหตุ โ ดยเร่ ง ด่ ว นใน
สถานการณ์ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบ ต่อสุขภาพกับการดำรงชีวิตของประชาชนอย่างร้ายแรง
ข้อ 22 ต้องประกอบวิชาชี พโดยให้ความสำคัญ ต่อ ความปลอดภั ย สุขอนามัย และสวั สดิภาพของสาธารณชน ตลอดจนทรัพย์สิ น และ
สิ่งแวดล้อมอันเป็นสาธารณะ
--- คู่มือเตรียมสอบนักวิชาการสาธารณสุข โดย แก้ว ญาณิศา --- 101
--- กฎหมายและจรรยาบรรณวิชาชีพ ---
หมวด 6 การปฏิบัติเกี่ยวกับสถานพยาบาล
ข้อ 29 ต้องปฏิบัติตนเกี่ยวกับสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วย สถานพยาบาล
หมวด 7 การศึกษาวิจัย
ส่วนที่ 1 การศึกษาวิจัยและการทดลองในมนุษย์
ข้อ 30 ผู้ที่จะทำการวิจัยหรือการทดลองในมนุษย์และการอาชีวอนามัยหรืออนามัยสิ่งแวดล้อม ต้องปฏิบัติตามหมวดนี้
ข้อ 31 ต้องได้รับความเห็นชอบอนุมัติหรือรับรองจากคณะกรรมการด้านจริยธรรมการวิจัยที่เกี่ยวข้องแล้วเท่านั้น
ข้อ 32 ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ถูกทดลองเป็นลายลักษณ์อักษรและ ต้องพร้อมที่จะป้องกันผู้ถูกทดลองจากอันตรายที่อาจ
เกิดขึ้นจากการทดลองนั้น
ข้อ 33 ต้องปฏิบัติต่อผู้ถูกทดลองเช่นเดียวกับการปฏิบัติต่อผู้ป่วยหรือผู้รับบริการ
ข้อ 34 ต้องรับผิดชอบต่ออันตรายหรือผลเสียหายเนื่องจากการทดลองที่เกิดขึ้นต่อผู้ถูกทดลองอันมิใช่ความผิดของผู้ถูกทดลอง
ข้อ 35 ต้องให้ผู้ถูกทดลองบอกเลิกหรือถอนตัวจากการร่วมเป็นผู้ถูกทดลองเมื่อใดก็ได้
ข้อ 36 ต้องปฏิบัติตามแนวทางจริยธรรมของการศึกษาวิจัยและการทดลองในมนุษย์และจรรยาบรรณของนักวิจัย
ส่วนที่ 2 การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับข้อมูลหรือเอกสาร
ข้อ 37 ผู้ที่ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับข้อมูลหรือเอกสาร ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลหรือเจ้าของเอกสารเป็นลายลักษณ์
อักษรด้วย และต้องรักษาความลับของข้อมูลดังกล่าว
ส่วนที่ 3 การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการอาชีวอนามัยหรืออนามัยสิ่งแวดล้อม
ข้อ 38 ผู้ที่ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการอาชีวอนามัยหรืออนามัยสิ่งแวดล้อม ในสถานที่ใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมจากหน่วยงาน
หรือผู้รับผิดชอบสถานที่นั้นเป็นลายลักษณ์อักษร
ข้อ 39 ผู้ที่ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการอาชีวอนามัยหรืออนามัยสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ในสถานที่ใด ๆ ต้องได้รับความ
ยินยอมจากหน่วยงานหรือผู้รับผิดชอบสถานที่นั้น และบุคคลที่ได้รับผลกระทบเป็นลายลักษณ์อักษร
ข้อ 40 ผู้ประกอบวิชาชีพที่ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการอาชีวอนามัยหรืออนามัยสิง่ แวดล้อม ตามข้อ 38 และข้อ 39 ต้องรับผิดชอบ
ต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมหรือบุคคลที่ได้รับ ผลกระทบที่เป็นผลมาจากการศึกษาวิจัยนั้น
หมวด 8 การโฆษณา
ข้อ 41 ต้องไม่โฆษณา ใช้ จ้าง หรือยินยอมให้ผู้อื่นโฆษณาการประกอบวิชาชีพ ความรู้และความชำนาญในการประกอบวิชาชีพของตน
เว้นแต่ ในกรณีต่อไปนี้
41.1 การแสดงผลงานในวารสารทางวิชาการ หรือในการประชุมวิชาการด้านการแพทย์ และสาธารณสุข
41.2 การแสดงผลงานในหน้าที่หรือการแสดงเพื่อให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ
41.3 การแสดงผลงานหรือความก้าวหน้าทางวิชาการด้านการสาธารณสุขเพื่อ การศึกษาของมวลชน
41.4 การประกาศเกียรติคุณโดยสถาบัน สมาคมหรือมูลนิธิ
ข้อ 42 สามารถแสดงข้อความเกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพของตน ณ สถานที่ทำการประกอบวิชาชีพได้ เฉพาะข้อความดังต่อไปนี้
42.1 ชื่อ นามสกุล ตำแหน่งทางวิชาการ ฐานันดรศักดิ์
42.2 ชื่อปริญญาซึ่งตนได้รับ
42.3 ใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนของตน
42.4 ชื่อหน่วยบริการหรือสถานพยาบาล ที่อยู่หรือที่ตั้ง หมายเลขโทรศัพท์ หรือสื่ออื่น ๆ
42.5 เวลาทำการ
ข้อ 43 ผู้ที่ให้ข้อมูลทางวิชาการหรือตอบปัญหาเกี่ยวกับวิชาชีพทางสื่อมวลชน ให้แสดงตนว่าเป็นผู้ประกอบวิชาชีพและแจ้งสถานที่
ทำการประกอบวิชาชีพได้
แก้ไข 14 ธันวาคม 2560 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 5 เมษายน 2535 มีผลบังคับใช้ 6 เมษายน 2535
**ออกสอบบ่อย เป็นอำนาจของหน่วยงานใด
หลักการ
1.คุ้มครอง 2.กระจาย 3.ให้มีคณะกรรมการ 4.ให้มีเจ้าพนักงานด้านวิชาการ 5.ให้ประชาชนมีสิทธิ
ประชาชน อำนาจสู่ ให้การสนับสนุนและ เป็นทีป
่ รึกษาช่วยเหลือตรวจตรา โต้แย้งการใช้อำนาจของ
ท้องถิน
่ ติดตามกำกับดูแล แนะนำแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่น เจ้าพนักงานได้
**ออกสอบปี 59 เหตุรำราญอยูห
่ มวดใด
การประเมินสภาพผู้ป่วยเบื้องต้น การปฐมพยาบาลเบื้องต้น
การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค
การตรวจร่างกายเพื่อค้นหาสาเหตุภาวะคุกคาม
การวางแผนครอบครัว
การประเมินสภาพทั่วไปและการบาดเจ็บของผู้ป่วย
การฟื้นฟูสภาพบุคคล ครอบครัวและชุมชน
การประเมินระดับความรู้สึกตัว
การประเมินการหายใจเมื่อปรากฏว่าผู้ป่วยมีอาการไม่ปกติ
การบำบัดโรคเบื้องต้น ➔ การตรวจประเมินอาการเจ็บป่วยและการบำบัดเบื้องต้น เพื่อ แก้ป ัญ หาการเจ็บป่วย
การบาดเจ็บ การบรรเทาความรุนแรงหรืออาการของโรค ให้ผู้ป่วยพ้นจากภาวะการเจ็บป่วยหรือภาวะวิกฤต
ภาวะวิกฤต ➔ การเจ็บป่วยที่มีความรุนแรงถึงขั้นที่อาจทำให้ผู้ปว่ ยถึงแก่ชวี ิต หรือพิการได้
การส่งต่อผู้ป่วย ➔ การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจากหน่วยบริการหนึ่งเพื่อไปรับการรักษาต่อยังอีกหน่วยบริการหนึ่ง
กรณีผู้ป่วยมีอาการเจ็บป่วยรุนแรงเกินศักยภาพ ทำการช่วยเหลือผู้ป่วยใน
ให้การบำบัดโรคเบื้องต้นในภาวะปกติแล้ว เบื้องต้นก่อน แล้วให้ประสาน
ผู้ป่วยมีอาการไม่ทุเลาหรือมีความรุนแรงจากการเจ็บป่วยมากขึ้น เพื่อการส่งต่อไปยังหน่วยบริการ
อาจทำให้ผู้ป่วยได้รับอันตรายต่อร่างกายและชีวิต อื่นที่มีศักยภาพสูงกว่า
การสำรวจสภาพทั่วไป ภาวะสุขภาพทั่วไปที่ปรากฏ
(General Survey) ส่วนสูงและรูปร่างสัดส่วน โครงสร้างร่างกาย
ลักษณะท่าทาง การเคลื่อนไหวและการทรงตัว
ลักษณะใบหน้า สังเกตการแสดงออกทางสีหน้า ลักษณะของรูปหน้า
การแปลผตรวจทางห้องปฏิบัติการ JUM!!
◆ ระดับน้าตาลในเลือด (อ้างอิง ตัวชี้วัดกระทรวง ปี 67)
การคัดกรองเฝ้าระวังสุขภาพ
◆ การคัดกรองมะเร็งปากมดลูก : สตรีกลุ่มเป้าหมาย อายุ 30 - 60 ปี
ขาว เขียวอ่อน
โปรแกรมตรวจสุขภาพประจำปี
โครงสร้างที่ทำให้ปวดศีรษะ การซักประวัติ
• หนังศีรษะ กล้ามเนื้อ • อายุ • การเริม
่ ต้นปวด (onset)
• ตา หู จมูก ไซนัส ฟัน กระดูก • เพศ • ระยะเวลา (duration)
• เยื่อหุ้มสมอง – เส้นประสาท • อาชีพ • ตำแหน่งที่ปวด การร้าว
• เส้นเลือดแดง • ประวิติครอบครัว • การดำเนินของอาการปวด
• โพรงหลอดเลือดดำ • ยาที กินประจำ • ปัจจัยที่กระตุ้นให้ปวดมากขึ้น
• อาการที พบร่วม • ปัจจัยที่ทำให้ทุเลาลง
• ประวัติอุบัติเหตุสมอง • ความรุนแรง
2. ไข้ (Fever)
การที่อุณหภูมิในร่างกายเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ (37.6 0C ขึ้นไป)
มักจะมีสาเหตุมาจากความเจ็บป่วยหรือโรคภัยต่าง ๆ ที่พบบ่อยจากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย
เป็นสัญญาณบ่งบอกความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นในร่างกาย
สาเหตุของไข้
การติดเชื้อที่มีการอักเสบเฉพาะที่ เช่น คออักเสบ ลำไส้อักเสบ ข้ออักเสบ การติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และโปรโตซัว
เช่น ไข้หวัด ไข้มาลาเรีย ไข้จากแผล ฝีหนอง
การติดเชื้อซึ่งไม่มีอาการเฉพาะที่ เช่น ไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่ ไข้ไทฟอยด์ โรคติดเชื้อจาก แบคทีเรีย รา ไวรัส
ยีสต์ โปรโตซัว เป็นต้น
การกระตุ้นจากเหตุผิดปกติบางอย่างในร่างกายที่ไม่ใช่การติดเชื้อ เช่น มะเร็งต่อมน้าเหลือง ซึ่งจะมีไข้ร่วมกับ
อาการอื่น เช่น ต่อมน้าเหลืองโต เกิดจากการอักเสบ เนื้องอกหรือมะเร็ง
3. อาการไอ (Cough)
ไอเฉียบพลัน (Acute Cough) ไอไม่ถึง 1 สัปดาห์
ไอเรื้อรัง (Chronic Cough) ไอติดต่อกันนานเกิน 3 สัปดาห์ เช่น โรคระบบทางเดินหายใจ ปอดอักเสบ วัณโรค
อาการ/อาการแสดง ตรวจร่างกาย โรค
ไข้ เจ็บคอ คอแดง คออักเสบ Acute pharyngitis
ไข้ แสบจมูก น้ามูกใส tender sinus area Ac. Sinusitis ไซนัส
ไข้ไอ เสมหะเขียวหรือไอแห้ง ๆ ไม่หอบ rhonchi หรือ coarse crepitation Acute bronchitis
ไข้ไอ หอบ เจ็บหน้าอกเวลาหายใจ crepitation Pneumonia โรคปอดอักเสบ
ไอช่วงกลางคืน หายใจหอบ มีเสียงวีด
้ wheeze Asthma โรคหอบหืด
นอนราบไม่ได้ หัวใจห้องล่างซ้ายล้มเหลว Lt. side HF
4. ปวดท้องเฉียบพลัน
5. อาการท้องเดิน
ท้องเดิน อาการทีถ
่ ่ายอุจจาระเหลวเป็นน้า ท้องร่วง อาการทีท
่ ้องเดินอย่างแรง
ท้องเสีย อาการทีเ่ กิดจากระบบการย่อยอาหารไม่ดี
6. ผื่น
การปฐมพยาบาลเบื้องต้น
➔ การให้การช่วยเหลือเบื้องต้นเมื่อพบอุบัติเหตุแก่ผู้บาดเจ็บ ก่อนนำส่งโรงพยาบาล เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการ
บาดเจ็บเพิ่มขึ้น พิการ หรือเสียชีวิต (กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, 2560)
การเจ็บป่วยฉุกเฉิน คืออะไร ?
➔ การได้รับบาดเจ็บหรือมีอาการเจ็บป่วยกะทันหันที่มีผลต่อชีวิตหรือการทำงานของอวัยวะสำคัญ จำเป็นต้องได้รับ
การตรวจและรักษาอย่างทันท่วงทีเพื่อป้องกันการเสียชีวิตหรืออาการเจ็บป่วยบาดเจ็บรุนแรงขึ้น
ลักษณะอาการฉุกเฉินที่ควรแจ้งโทร 1669 คือ ขั้นตอนการแจ้งเหตุ 1669
การคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความเร่งด่วนและการส่งตรวจสามารถจำแนกได้ 5 ระดับตามสีดังนี้
1. สีแดง คือ ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ต้องได้รับการตรวจ
รักษาทันทีเพื่อช่วยชีวิต
2. สีชมพู คือ ผู้ป่วยฉุกเฉินหนัก ตรวจหลังสีแดงหรือ
ภายใน 10 นาที
3. สีเหลือง คือ ผู้ป่วยฉุกเฉินเร่งด่วน ตรวจหลังสีชมพู
หรือภายใน 30 นาที
4. สีเขียว คือ ผู้ป่วยไม่รุนแรง ตรวจหลังสีเหลืองหรือ
ภายใน 60 นาที
5. สีขาว คือ ผู้ป่วยทั่วไป เข้ารับการตรวจ OPD ในเวลา
ราชการ
1. หมดสติ ไม่มีการตอบสนองเมือ่ ถูกปลุกเหรอเรียก
2. หยุดการหายใจ ไม่มีการเคลือ
่ นไหวของทรวงอก/หน้าท้อง
3. หัวใจหยุดเต้น ไม่มีสัญญาณการไหลเวียนโลหิต คือ
ไม่มีการหายใจ ไม่มีการไอ และไม่มีการเคลื่อนไหวของร่างกาย
ขั้นตอน รายละเอียด
R : response 1.เมื่อพบคนหมดสติ ให้ตรวจดูความปลอดภัยก่อนเช้าไปช่วยเหลือ เช่น
การตอบสนอง ระวังอุบัติเหตุ ไฟช็อตหรือความเสี่ยงที่อาจเกิดซ้า
2.ปลุกเรียกผู้ป่วยด้วยเสียงที่ดังและตบไหล่ทั้งสองข้าง หากผู้ปว่ ยรู้สก
ึ ตัว
หายใจเองได้ ให้จัดท่านอนตะแคง แต่หากยังไม่หายใจ ให้ทำตามขั้นตอนต่อไป
3.โทรขอความช่วยเหลือทีส ่ ายด่วน 1669
4.ประเมินผู้ป่วยหากไม่รู้สกึ ตัว ไม่หายใจ ให้ทำการช่วยเหลือฟื้นคืนชีพทันที
มองหน้าอก/หน้าท้อง ว่ามีการขยับขึ้นลงหรือไม่ ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 5 วินาที ≥ 10 วินาที
C : Chest compression CPR ในผู้ใหญ่ (อายุ >8ปี)
การกดหน้าอก 5.จั ด ท่ า ให้ ผู ้ ป ่ ว ยนอนหงาย ให้ ใช้ ส ้ น มื อ ข้ า งหนึ่ ง วางลงบนกึ่ ง กลางหน้ า อก
(กึ่งกลางระหว่างหัวนมทั้งสองข้าง) แล้วใช้มืออีกข้างหนึ่งวางทับด้านบน แขนทั้ง
สองข้างเหยียดตรง ไหล่ของผู้ช่วยเหลือตั้งฉากกับหน้าอกของผู้ป่วย ใช้ข้อสะโพก
เป็นจุดหมุน เวลาในการกดและปล่อยมือขึ้นต้องเท่ากัน
1. กดให้ลึก กดหน้าอกจากหน้าอกโดยปกติให้ลึกลงไป 5-6 ซม.
2. กดให้รอ้ ย อัตราความเร็ว 100 ถึง 120 ครั้งต่อ 1 นาที
3. ปล่อยให้สุด เมื่อกดหน้าอกยุบลงไป 5-6 ซม.แล้วให้ปล่อยให้อกกลับมาฟู
เหมือนปกติทุกครั้งก่อนกดใหม่
4. อย่าหยุดกด อย่าทำการหยุดการกดหน้าอก จนกว่าเครื่อง AED มาถึง และ
พร้อมใช้งาน หรือมีบุคลากรทางการแพทย์เข้ามาดูแลผู้ป่วย
กดหน้าอกสลับการช่วยหายใจครบ 5 รอบ (30:2) แล้วประเมินซ้า
CPR ในเด็ก (อายุ 1-8ปี)
กดหน้าอกโดยใช้สน ั มือวางลงตรงกึ่งกลางหน้าอก ใช้มือเพียงมือเดียวหรือสองมือ
ก็ได้ขึ้นอยู่กับขนาดตัวเด็ก กดลึกลงไปประมาณ ⅓ ของความลึกทรวงอก (หรือ
ประมาณ 5 ซม.หรือ 2 นิ้ว)
CPR ในเด็ก (อายุ < 1 ปี)
ให้กดหน้าอกลึกลงไปประมาณ ⅓ ของความลึกทรวงอก (หรือ 4 ซม.หรือ 1.5 นิ้ว)
โดยการใช้2 นิ้วมือ หรือ 2 นิ้วโป้ง อัตราเร็ว 100 - 120 ครั้ง
A : Airway การเปิดทางเดินหายใจให้โล่ง เพราะผู้บาดเจ็บที่หมดสติจะมีภาวะโคนลิ้นและ
กล่องเสียงตกลงไปอุดทางเดินหายใจส่วนบน
- หากผู้ป่วยไม่มีการบาดเจ็บทีศ
่ ีรษะหรือคอ จะใช้วธิ ีการแหงนหน้าและเชยคาง
(Head tilt - Chin lift)
ช่วยหายใจ (เป่าปาก) มากกว่า 1 วินาทีในแต่ละครั้ง
B : Breathing ใช้อัตราการกดหน้าอก 30 ครั้งต่อการช่วยหายใจ 2 ครั้ง (30:2)
ผู้ช่วยเหลือมีความเสี่ยงต่อการติดโรคจากการช่วยหายใจ เช่น โรคโควิด-19
ไวรัสตับอักเสบเอ ผู้ช่วยเหลือจึงสามารถเลือกการช่วยฟืน
้ คืนโดยการกดหน้าอก
อย่างเดียวต่อเนื่อง 200 ครั้ง หรือประมาณ 2 นาที แล้วประเมินซ้า
(สถาบันฉุกเฉินทางการแพทย์,2563)
ผู้ป่วยชัก
ภาวะช็อก
กรณีเกิดอุบัติรุนแรง หรือตกจากที่สูง
แผลกระดูกหัก
แผลฉีกขาด
แผลอวัยวะถูกตัดขาด
ยาพื้นฐานที่ใช้ใน รพ.สต.
ยา วิธีใช้
Paracetamol สำหรับผู้ใหญ่ และเด็กที่สามารถทานยาเม็ดได้และมีน้าหนักตัว 40 กก. ขึ้นไป
325,500 mg./Tab ➔ 10-15 มิลลิกรัม/น้าหนักตัว 1 กิโลกรัม
บรรเทาอาการปวด รับประทานทุก 4-6 ชั่วโมง หรือเมือ่ มีอาการ
ไม่ควรกินเกิน 8 เม็ด/วัน หรือ 4,000 มก./วัน ในผู้ใหญ่
ลดไข้
**ออกสอบปี 66 สามารถกินก่อนหรือหลังอาหารก็ได้
ให้ทานทันทีที่นึกได้ เม็ดต่อไปหลังจากนั้น 4–6 ชั่วโมง โดยไม่ต้องทานทีเดียว 2 เท่า
Paracetamol syr. ยาน้าสำหรับเด็ก
แบบหยด มีตัวยา 60มก./0.6 มล. หรือ 80 มก./0.8 มล. เด็กอ่อนน้าหนักตัวไม่ถึง 10กก.(อายุ <1ปี)
แบบยาน้าเชื่อม มีตัวยา 120, 125มก./ช้อนชา เด็กน้าหนักตัว 12 – 15 กก. (อายุ <2ปี)
แบบยาน้าเชื่อม มีตัวยา 160 มก./ช้อนชา เด็กน้าหนักตัว 16 – 24 กก. (อายุประมาณ 3-7ปี)
แบบยาน้าเชื่อม มีตัวยา 250 มก./ช้อนชา เด็กน้าหนักตัว 25-40 กก. (อายุประมาณ 8-10ปี)
ยาสมุนไพร ใช้ทดแทนยาแผนปัจจุบัน
การวางแผนครอบครัว
วิธีคุมกำเนิด รายละเอียด
การวางแผนครอบครัวแบบชั่วคราว
ยาเม็ด ยาคุมฉุกเฉิน 1 กล่อง จะมีตัวยา 2 เม็ด ประกอบด้วยตัวยาที่เป็นฮอร์โมนขนาดสูง คือ ลีโวนอร์เจสเตรล
คุมกำเนิด (levonorgestrel) เม็ดละ 750 ไมโครกรัม
ฉุกเฉิน กินเม็ดแรกให้เร็วทีส
่ ุดหลังจากมีเพศสัมพันธ์ทไี่ ม่ได้ป้องกันทันที โดยไม่ควรเกิน 72 ชั่วโมง และจะต้องกิน
ยาเม็ดที่ 2หลังจากกินเม็ดแรกไม่เกิน 12 ชั่วโมง
ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 75% หากเริ่มยาภายใน 24ชั่วโมงหลังการมีเพศสัมพันธ์ จะให้ประสิทธิภาพในการ
ป้องกันการตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นเป็น 85%
ยาเม็ด • เป็นชนิดฮอร์โมนรวม(เอสโตรเจนและโปรเจสติน) ระงับการตกไข่ และทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่
คุมกำเนิด เหมาะกับการฝังตัวของไข่ที่ถูกผสมแล้ว และทำให้มูกที่ปากมดลูกเหนียวข้นอสุจผ
ิ ่านเข้าผสมไข่ยาก
ประสิทธิภาพ • สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนที่มีความรุนแรงได้
97% • ควรเริ่มกินเม็ดแรกภายใน 5 วันแรกของรอบเดือน และควรกินหลังอาหารในเวลาเดียวกันทุกวัน
(ยาคุมชนิด 28 เม็ด ให้กินเรียงตามลูกศรติดต่อกันทุกวัน)
ชนิด 28 เม็ด มีฮอร์โมน 21 เม็ด และ 7 เม็ดเป็นวิตามิน เพื่อป้องกันการลืมกินยา
ชนิด 21 เม็ด เป็นฮอร์โมนทั้ง 21 เม็ด เมื่อกินหมดแผงแล้ว รอ7วันจึงเริ่มยาแผงใหม่
ลืมกิน 1 เม็ด ให้กินเม็ดนั้นทันทีที่นึกได้
ลืมกิน 2 เม็ดให้กินวันละ 2 เม็ด 2 วัน โดยกินเพิ่ม1 เม็ดหลังอาหารเช้า 2วัน และมื้อเย็น หรือ
ก่อนนอน กินเหมือนเดิม
ลืมใน 1-7 เม็ดแรก ต้องใช้วิธีการคุมกำเนิดชนิดอืน ่ ร่วมด้วย เช่น การใช้ถุงยางอนามัย
ลืมกิน 3 เม็ด ให้หยุดยาเพื่อรอให้ประจำเดือนมา และให้ใช้วิธีคุมกำเนิดอืน่ รอเช่น ถุงยางอนามัย
เมื่อประจำเดือนมาแล้วให้เริ่มกินแผงใหม่ภายใน 5 วันแรกของประจำเดือน
ถ้ายาเม็ดที่ลืมกิน เป็นเม็ดที่ 15-21 ของแผงซึ่งเป็นฮอร์โมน เมื่อกินยาจนหมดไม่ต้องเว้นระยะ 7
วันและควรใช้วธิ ีการคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วยเช่น การใช้ถุงยางอนามัย
ยาฉีด ที่นิยม Depot MedroxyProgesterone Acetate (DMPA) ออกฤทธิ์นาน 3 เดือน
คุมกำเนิด ควรเริ่มฉีดภายในวันที่ 1-5 ของรอบเดือน
กรณีหลังคลอดบุตร ให้ฉีดภายหลังคลอด 4-6 สัปดาห์ หรืออาจฉีดทันทีหลังคลอด โดยพบว่า
ยาฉีด DMPA ไม่ทำให้ปริมาณน้านมลดลง และไม่มีผลต่อการพัฒนาการของทารก
ภายหลังจากการฉีดเข็มแรกควรฉีดเข็มต่อไปทุก 12 สัปดาห์ หรือ 84 วัน
อาการข้างเคียง ทำให้เลือดออกกระปริดกระปรอย ซึ่งมักพบใน 3 เดือนแรกหลังฉีดยา หลังจาก
นั้นเลือดทีอ่ อกจะน้อยลง เมื่อฉีดเข็มต่อๆ ไป
มีประสิทธิภาพสูง ป้องกันการตั้งครรภ์ได้นาน และอาการค้างเคียงต่า
ถุงยาง ช่วยป้องกันโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธุ์ (STI)รวมทังเอชไอวี เป็นวิธคี ุมกำเนิดแบบเดียวที่ป้องกัน
อนามัย ได้ทั้ง 2 อย่างคือการตั้งครรภ์และการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ได้ • ต้องใช้ถุงยางอนามัยชายอย่าง
(condom) ถูกต้องทุกครั้งทีมีเพศสัมพันธ์
• ไม่ทำให้ผู้ชายเป็นหมัน หมดสมรรถภาพทางเพศ หรือร่างกายอ่อนแอ
การวางแผนครอบครัวแบบกึ่งถาวร
การใส่ห่วง • สตรีที่ต้องการคุมกำเนิดนานๆ อาจใส่หลังคลอดหรือช่วงประจำเดือนมา คุมได้นานประมาณ 3 ปี
อนามัย (IUD) • การใส่ห่วงอนามัยต้องอาศัยบุคลากรทีผ ่ ่านการอบรม เพราะห่วงจะต้องใส่เข้าไปอยู่ในโพรงมดลูก
• ไม่เหมาะกับคนที่มีโอกาสติดเชื้อง่าย เช่น เป็นโรคเบาหวาน มะเร็ง หรือกินยากดภูมิอยู่
วิธีคุมกำเนิด รายละเอียด
การวางแผนครอบครัวแบบชั่วคราว
ยาฝัง วิธีคุมกำเนิดแบบชัว่ คราวที่มีประสิทธิภาพสูง 99.05%
คุมกำเนิด โดยใช้หลอดยาขนาดเล็กฝังเข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณใต้ท้องแขนของแขนท่อนบน
(Implant) คุมกำเนิดนานประมาณ 3-5 ปี
เหมาะสำหรับผู้มีบุตรเพียงพอแล้ว หรือต้องการเว้นระยะห่างของการมีบุตรนานๆ
สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ในทันที หากฝังในช่วง 5 วันแรกของการมีประจำเดือน
แต่หากฝังยาในวันถัดไปหรือวันอื่น ๆ ของรอบประจำเดือน จะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้
หลังฝังยา 7 วันขึ้นไป ต้องคุมวิธีอื่นร่วมด้วย
หลังจากที่คลอด/แท้งบุตร หรือให้นมบุตร สามารถฝังยาคุมกำเนิดได้ทน ั ทีและไม่เป็นอันตราย
ข้อเสีย ส่งผลทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ ซึ่งเป็นอาการปกติของปีแรกที่ฝังยา
การวางแผนครอบครัวแบบถาวร
ทำหมัน ผู้หญิง ทำหลังจากคลอดขณะอยู่โรงพยาบาลภายใน 1 สัปดาห์แรก ➔ หมันเปียก
ประสิทธิภาพ สะดวกสำหรับผู้ที่มีบุตรพอเพียง การผ่าตัดใช้เวลาไม่นาน โดยทำการผูก และตัดท่อนำไข่
95% การทำวิธีนอี้ าจทำร่วมกับผ่าตัดช่องท้องอย่างอื่น หรือทำช่วงไหนก็ได้ ➔ หมันแห้ง
ผู้ชาย โดยการตัดท่อนำอสุจิ
ทำเวลาไหนก็ได้ทรี่ ่างกายสมบูรณ์ แข็งแรง แผลเล็ก ใช้เวลาสั้น
หลังจากทำแล้วต้องชี้แจงให้ทราบว่า ยังคงมีเชื้ออสุจิค้างอยู่ในท่อนำน้าเชื้อ จึงต้องใช้วธิ ีคุมกำเนิด
อย่างอื่น โดยรอจนนานกว่า 3 เดือน
การให้น้าเกลือผู้ป่วยอาเจียนจากการสูญเสียสมดุลของสารน้าในร่างกาย
น้าเกลือ ➔ สารละลายที่มีองค์ประกอบเกลือแร่ต่างๆ โซเดียมคลอไรด์ ไบคาร์บอนเนต ฟอสเฟต หรือบางชนิดก็
มีโพแทสเซียม มีน้าตาล ในปริมาณสัดส่วนต่างๆกัน ขึ้นกับชนิดของน้าเกลือ
ทำไมต้องให้น้าเกลือ
ช่วยผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะขาดน้าอย่างรุนแรง สามารถทดแทนน้าทีร่ ่างกายเสียไปได้อย่างรวดเร็ว
ช่วยชดเชยพลังงานเวลาที่ผู้ป่วยอ่อนเพลียได้ เพราะน้าเกลือมีระดับความเข้มข้นเท่ากับที่ร่างกายต้องการ
ผู้ป่วยที่ต้องให้น้าเกลือหรือสารน้าทางหลอดเลือดดำ
ผู้ป่วยทีไ่ ม่สามารถรับประทานอาหารทางปากได้ หรือกินข้าวและน้าไม่ได้นาน ๆ
ผู้ป่วยทีส่ ูญเสียน้าและเกลือแร่ปริมาณมากๆ รวมถึงผู้ป่วยที่มีภาวะไม่สมดุลของอิเล็กโทรไลต์ (Electrolyte)
ผู้ป่วยที่ขาดน้า ท้องเดิน อาเจียนรุนแรง
ภาวะช็อกจากการสูญเสียสมดุลของสารน้าในร่างกาย
ความดันโลหิตต่า หายใจเร็วตื้น ชีพจรเบาเร็ว ผิวหนังซีด เย็น เหงือ
่ ออก เขียว
กล้ามเนื้ออ่อนแรง มึนงง วิงเวียน สับสน กระสับกระส่าย หมดสติ
ปัสสาวะน้อยหรือไม่มี เจ็บแน่นหน้าอก
ภาวะ hypovolemic shock
➔ เป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ควรได้รับการรักษาทันที เนื่องจากการที่อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายมีปริมาณ
เลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ อาจส่งผลให้อวัยวะของผู้ป่วยหยุดทำงานจนอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้
➔ จะเกิ ด ขึ้น เมื่อ ปริมาณเลือ ดในร่างกายลดลงอย่างมาก หรือ มากกว่าประมาณ 15% โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย
เช่น การได้รับบาดเจ็บจากอุบั ติเหตุอ ย่างรุนแรง การเกิดแผลไหม้ เลือดออกภายในร่างกาย การใช้ยาขับปัสสาวะ
รวมไปถึงภาวะผิดปกติต่าง ๆ เช่น การอาเจียนเป็นปริมาณมาก ท้องเสียอย่างรุนแรง ไข้สูง มีเหงื่อออกมากผิดปกติ
ลำไส้อุดตัน ภาวะขาดน้าขั้นรุนแรง ภาวะท้องนอกมดลูก (Ectopic Pregnancy) โรคไต
➔ ควรให้สารน้าปริมาณสูงในช่วงแรกของการรักษาโดยอาจให้ได้เร็วถึง 3 ลิตรใน 1/2 ชั่วโมง
--- คู่มือเตรียมสอบนักวิชาการสาธารณสุข โดย แก้ว ญาณิศา --- 118
--- ส่งเสริมสุขภาพ ---
ชุดวิชาที่ 15 ส่งเสริมสุขภาพ
การส่งเสริมสุขภาพ กระบวนการที่ประชาชนสามารถเพิ่มความสามารถในการควบคุมและปรับปรุงสุขภาพให้
บรรลุถึงความสมบูรณ์จิตใจ สังคม กลุ่มชุมชน และบุคคลต้องเข้าใจรู้ปัญหาความอยากได้
องค์การนามัยโลก (WHO),1986 ความต้องการ และการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของสังคมและธรรมชาติ
การส่งเสริมสุขภาพตามกลุ่มวัย
หญิงหลังคลอดได้รับการดูแลครบ 3 ครั้งตามเกณฑ์
2. กลุ่มเด็กวัย การส่งเสริมโภชนาการและการเฝ้าระวงัการเจริญเติบโตในนักเรียน
เรียน (5-14ปี) สุขบัญญัติแห่งชาติพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของคนไทย
การเสริมสร้างสุขภาพจิตในเด็กวัยเรียนและเยาวชน
การส่งเสริมและป้องกัน สุขภาพช่องปากของเด็กวัยเรียน
การส่งเสริมพฤติกรรมการออกกำลังกาย
JUM!! ออกสอบบ่อย
การส่งเสริมความปลอดภัยในโรงเรียน
ส่งเสริมเด็กวัยเรียนให้แข็งแรงและฉลาด
3. กลุ่มเด็ก ส่งเสริมพฤติกรรมอนามัยการเจริญพันธุ์ที่เหมาะสมสำหรับวัยรุ่น
วัยรุน
่ (15-21ปี)
4. กลุ่มวัย ส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพวัยทำงานที่พึงประสงค์
ทำงาน
(15-59ปี)
กลุ่มวัย การส่งเสริมสุขภาพ
5.กลุ่มวัย ส่งเสริมผู้สูงอายุไทยเพือ
่ เป็นหลักชัยของสังคม
สูงอายุ
(60 ปีขึ้นไป)
Immobility
Nutrition
Medications
ออกสอบปี 56 วัตถุประสงค์การเยีย่ มบ้าน
Examinations JUM!! หลักเยี่ยมบ้าน IN-HOME-SSS
Service
s
Safety
Spiritual health
การสร้างเสริมพลังอำนาจด้านสุขภาพ (Empowerment)
การสร้างเสริมพลังอำนาจ ➔ กระบวนการส่งเสริมและพัฒนาให้บุคคล องค์กรและชุมชนมีการเสริมสร้างความสามารถ
ของตนเอง โดยเน้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมตั้ งแต่การระบุปัญหาของ ตนเองวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาและเกิดพลงัรู้สึกว่า
ตนเองมีพลงัอำนาจสามารถควบคุมความเป็นอยู่ หรือชีวิตของตนเองได้ **ออกสอบปี 59 ข้อใดคือ Empowerment จำนิยาม
ชุดวิชาที่ 16 สุขศึกษาและพฤติกรรมศาสตร์
ประเภทของสื่อสุขศึกษา
ประเภท คุณลักษณะ จุดเด่น จุดด้อย
สื่อบุคคล สื่อสารสองทางเป็นทั้งเชิงรุกและเชิงรับ มีอิทธิพลต่อการโน้มน้าวใจมีปฏิสัมพันธ์ ความรู้ความเข้าใจเนื้อหาอาจไม่เท่ากัน
สื่อมวลชน สื่อสารทางเดียว สื่อสารกับมวลชนช่วยจุดประกาย สร้าง ถูกแทรกแซงด้วยอิทธิพลธุรกิจ
วิทยุกระจายเสียงออกข้อสอบ กระแส
สื่อใหม่ สื่อดิจิทัลสื่อสารสองทาง ช่วยจุดประกาย สร้างกระแสรวดเร็ว เข้าไม่ถึงคนทุกกลุม
่ เนื้อหามาก
ปรับแต่งเนื้อหาได้งา่ ย
สื่อเฉพาะกิจ มีความเจาะจงในประเด็น ตรงประเด็น เมื่อเปลีย่ นพื้นที่ เวลาอาจไม่ได้ผล
เนื้อหา/ พื้นที่ เวลา
สื่อพื้นบ้าน ให้ค วามรู้สึก ใกล้ชิดมีค วามเป็นศิลปะและ มีปราชญ์ เป็นภูมิปัญญาชุมชน เริม
่ สูญหาย
วัฒนธรรม
สื่อชุมชน ให้ความรู้สึกใกล้ชิด มีอยู่ในชุมชน หอกระจายข่าววิทยุ สื่อสารได้เฉพาะในชุมชน
ปัจจัยทีม
่ ีผลต่อพฤติกรรมสุขภาพ ทั้งทีอ
่ ยู่ภายในและ ภายนอกตัวบุคคล แบ่งออกเป็น 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่
1. ปัจจัยนำ (Predisposing Factors) เป็นปัจจัยพื้นฐานทีเ่ ป็นแรงกระตุ้นให้บุคคลแสดงออกทางพฤติกรรมและเป็นความ
พอใจส่วนบุคคลที่เกิดจากประสบการณ์การเรียนรู้และอาจนำไปสู่การส่งเสริมหรือยับยั้งการแสดงออกทางพฤติกรรมสุขภาพ
นั้นๆ ซึ่งได้แก่ ความรู้ ทัศนคติ ความเชื่อ ค่านิยม และการรับรู้รวมถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น สถานภาพทางเศรษฐกิจและ สังคม อายุ
เพศ การศึกษา และขนาดของครอบครัว **ออกสอบปี 65 อะไรคือปัจจัยนำ
2. ปัจจัยเอื้อ (Enabling Factors) ปัจจัยสนับสนุนซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรที่จำเป็นต่อการมีพฤติกรรมสุขภาพต่างๆ
เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่าย เวลา ระยะทาง การเดินทาง ชั่วโมง การให้บริการ และอื่นๆ ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้การแสดง
พฤติกรรมสุขภาพนั้นๆ เป็นไปได้ง่ายยิ่งขึ้น
3. ปัจจัยเสริม (Reinforcing Factors) เป็นปัจจัยที่แสดงถึงการสนับสนุนให้บุคคลแสดงออกทางพฤติกรรมสุขภาพที่ดี
หรืออาจช่วยยับยั้งพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสม โดยการให้รางวัล ให้การยอมรับ หรือการลงโทษ ซึ่งปัจจัยเสริมเหล่านี้
ได้แก่ บุคลากรทางสาธารณสุข ครอบครัว คู่สมรส เพื่อน หรือบุคคลแวดล้อมอื่นๆ ทีอ
่ าจจะมีอิทธิพลให้เกิดพฤติกรรมนั้นๆ
ความรอบรูด
้ ้านสุขภาพ (Health Literacy : HL) **ออกสอบหลายข้อ จำนิยาม ระดับ องค์ประกอบ
เราจะทำงานให้เข้าถึงผู้ป่วยและครอบครัวอย่างไร
ทฤษฎีแบบแผนความเชือ
่ ทางสุขภาพ (health belief model)
แนวคิดของทฤษฎีนี้เริ่มแรกสร้างขึ้นจากทฤษฎีเกี่ยวกับ “อวกาศของชีวิต” (Life Space) ซึ่งได้คิดขึ้นครั้งแรกโดยนักจิตวิทยา Kurt Lewin
องค์ประกอบของแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ
1. การรับรู้ตอ่ โอกาสเสีย่ งของการเป็นโรค (Perceived Susceptibility)
2. การรับรู้ความรุนแรงของโรค (Perceived Severity)
3. การรับรู้ถึงประโยชน์ของการรักษา ป้องกันโรค
( Perceived Benefits ) และการรับรู้ต่ออุปสรรค ( Perceived
Barriers )
4. ปัจจัยร่วม (Modifying Factors)
(อาภาพร เผ่าวัฒนา และคณะ ,2554)
ระบบบริการสาธารณสุข
โครงสร้างของระบบบริการสาธารณสุขประกอบด้วย ระบบต่างๆ 6 ด้าน คือ
1) ระบบบริการ ได้แก่ การบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิทุติยภูมิและตติยภูมิ
2) กำลังคนด้านสุขภาพ
3) ระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ
4) เทคโนโลยีด้านการแพทย์ ได้แก่ ยา และเวชภัณฑ์ เครื่องมือตรวจวินิจฉัยโรค และเครื่องมือในการรักษา
5) งบประมาณค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ
6) ภาวะผู้นำและธรรมาภิบาลของระบบ
มีเป้าหมายที่ต้องการบรรลุ อยู่ 4 ประการ คือ
1. เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างประชากรกลุ่มต่างๆ ในการได้รับบริการ และการมีสุขภาวะที่ดี
2. เพื่อทำให้มั่นใจว่าการบริการสุขภาพนั้นได้ตอบสนองความต้องการของประชาชนในระดับที่น่าพอใจ
3. เพื่อให้มั่นใจว่ามีระบบป้องกันความเสี่ยงด้านสังคมและการเงินจากค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ
4. เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการบริการในด้าน การจัดสรรทรัพยากรและเทคโนโลยี
การบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ต้องคำนึงถึง การเข้าถึงบริการ และความครอบคลุมของบริการสาธารณสุข และ
บริการต่างๆ ที่มีคุณภาพได้ มาตรฐานและมีความปลอดภัย
สรุปการถ่ายโอนภารกิจปีงบประมาณ 2566
➔ การถ่ายโอนโรงพยาบาลสุขภาพตำบล ปีงบประมาณ 2566 ที่ผ่านมา สรุปล่าสุด มี อบจ. ทั่วประเทศส่งหนังสือ
มาขอรับการถ่ายโอน ทั้งหมด 49 อบจ. โดยผ่านการประเมินระดับดีเลิศ 45 อบจ. และอยู่ในระดับดีมาก 4 อบจ. และ
มี รพ.สต. ถ่ายโอนไป อบจ. ในรอบแรก 1 ต.ค. 2565 (ปีงบประมาณ 2566) รวม 3,384 แห่ง มีจำนวนข้าราชการที่ประสงค์
ขอถ่ายโอน 12,037 คน จำนวนพนักงานกระทรวงสาธารณสุขและลูกจ้างขอถ่ายโอน 9,862 คน รวมบุคลากรประสงค์
ถ่ายโอน 21,899 คน
ความรู้เกี่ยวกับสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข
วิสัยทัศน์ (Vision)
เป็นหน่วยงานหลักในการกำหนดทิศทาง กำกับดูแล ขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข
สู่การปฏิบัติ บริหารจัดการทรัพยากร และจัดบริการสุขภาพอย่างมีส่วนร่วมและเป็นธรรม เพื่อประชาชนสุขภาพดี
พันธกิจ (Mission)
ค่านิยมองค์กร
**ออกสอบปี 65
นิยามไทย-อังกฤษ
อำนาจหน้าที่
มี ภารกิ จเกี่ ยวกั บการพั ฒนายุ ทธศาสตร์ และแปลงนโยบายของกระทรวงเป็ นแผนการปฏิ บั ติ ราชการ ตลอดจน
จัดสรรทรัพยากรและบริหารราชการประจำทั่วไปของกระทรวง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายและเกิดผลสัมฤทธิ์ตามภารกิจของกระทรวง
JUM!! อาจจอกสอบ
นโยบายและยุทธศาสตร์
4 ยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับเปลี่ยนค่านิยมและวัฒนธรรม การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม
เป้าหมาย ➔ ให้ความสำคัญกับการดึงเอาพลังของภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาคเอกชน ประชาสังคม ชุมชน ท้องถิ่น มาร่วม
ขับเคลื่อน
การลดความเหลื่อมล้า สร้างความเป็นธรรมในทุกมิติ
สร้างความเป็นธรรมในการเข้าถึงบริการสาธารณสุข โดยเฉพาะสำหรับผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มผู้ด้อยโอกาส
เพิ่มขีดความสามารถของชุมชนท้องถิ่นในการพัฒนาการพึ่งตนเองและการจัดการตนเอง
สร้างการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อสร้างประชาธิปไตยชุมชน
แผนระดับที่ 2
แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561-2580 ประกาศในราชกิจจานุเบกขา วันที่ 18 เม.ย. 2562
เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติให้บรรลุตาม เป้าหมายที่วางไว้ในปี 2580 มีทั้งสิ้น 23 ฉบับ
มี 14 ประเด็นที่เกี่ยวข้องด้านสาธารณสุข ประเด็นหลัก 2 ประเด็นคือ 13 และ 17
13 ประเด็นการเสริมสร้างให้คนไทยมีสุขภาวะที่ดี 17 ประเด็นความเสมอภาคและหลักประกันทางสังคม
เป้าหมาย คนไทยมีสุขภาวะทีด ่ ีขึ้น และมีความเป็นอยู่ดี เป้าหมาย คนไทยทุกคนได้รบ ั การคุ้มครองและ
ตัวชี้วัด อายุคาดเฉลี่ยของการมีสุขภาพดี เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง มีหลักประกันทางสังคมเพิ่มขึ้น
ปี 61-65 ปี 66-70 ปี 71-75 ปี 76-80 ตัวชี้วดั สัดส่วนประชากรไทยทั้งหมดทีไ่ ด้รับความ
≥ 68 ปี ≥ 70 ปี ≥ 72 ปี ≥ 75 ปี คุ้มครองตามมาตรการคุ้มครองทางสังคม
ประกอบด้วย 5 แผนย่อย ดังนี้ เจ็บป่วย คลอดบุตร ตาย ทุพพลภาพ/พิการ
1. การสร้างความรอบรูด ้ ้านสุขภาวะและการป้องกันและ เงินช่วยเหลือ ครอบครัว/บุตร ชราภาพ ว่างงาน
ควบคุมปัจจัยเสี่ยงที่คุกคามสุขภาวะ ผู้อยู่ในอุปการะ การบาดเจ็บจากการทำงาน
3. การพัฒนาระบบบริการสุขภาพที่ทันสมัยสนับสนุนการ
สร้างสุขภาวะที่ดี 2. มาตรการแบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะกลุม
่
4. การกระจายบริการสาธารณสุขอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ
5. การพัฒนาและสร้างระบบรับมือปรับตัวต่อโรคอุบัติใหม่
และอุบัติซา้ ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลง
การพัฒนาระบบปฐมภูมิ
ระบบสุขภาพปฐมภูมิ ประกอบด้วย
➢ ระบบบริการปฐมภูมิ ที่บูรณาการกับการสาธารณสุข (การจัดการความเสี่ยงด้านสุขภาพ การสร้างเสริมสุขภาพ
ป้ อ งกั น โรค และเหตุ ฉุ ก เฉิ น ทางสุ ข ภาพ) โดยมี ก ารทำงาน(บริ ก าร) แบบที่ เรี ย กว่ า “ประชาชนเป็ น ศู น ย์ ก ลาง”
(PCU/NPCU)
➢ การมีส่วนร่วมจากภาคส่วนต่างๆ ผ่านกลไกนโยบาย และมาตรการต่างๆ เพื่อจัดการปัจจัยกำ หนดสุขภาพ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัจจัยทางสังคม และเศรษฐกิจ (พชอ.)
➢ การเสริมพลังอำนาจประชาชนและชุมชน ให้สามารถดูแลตนเองได้ (health literacy) โดยผ่านกลไก เช่น
การขับเคลื่อนนโยบาย การเป็นผู้ร่วมในการออกแบบและให้บริการการดูแลตนเอง และการเป็นนักบริบาล
เป้าหมายการพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิ
1. มุ่งพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิ พ.ร.บ.ระบบสุขภาพปฐมภูมิ 2562 (PCU/NPCU)
มีหน่วยบริการปฐมภูมิ 2,500 ทีม ดูแลประชากร 25 ล้านคน 40%ของประชากรเขตชนบท 50%ของประชากรเขตเมือง
(ลดความแออัด) 100 หน่วยบริการปฐมภูมิในกทม. (รพ.สต.ผ่านเกณฑ์มาตรฐานรพ.สต.ติดดาว 75%) เน้น การดูแล
ผู้ป่วยติดเตียงระยะกึ่งเฉียบพลัน (imc) ระยะท้าย palliative) ได้รับการดูแลอย่างเป็นองค์รวม
2. นโยบาย 3 หมอ **ออกสอบปี 66
คนไทยทุกครอบครัว มีหมอประจำตัว 3 คน หมอครอบครัว หมอสาธารณสุข หมอประจำบ้าน(อสม.)
25 ล้านคน มี 3 หมอ 40 ล้านคนมี 2 หมอ ให้คำปรึกษาและประสานการ
ส่งต่อ อย่างสะดวกและรวดเร็ว
3. พัฒนาระบบบริการทุติยภูมิให้เป็นจุดเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพ
1 จังหวัด รพช.1 อำเภอต้นแบบ (60% ในแต่ละเขต) มีหน่วยบริการปฐมภูมิ
หรือทีมหมอครอบครัวเต็มพื้นที่เชื่อมโยงการให้บริการการส่งต่อที่มีคุณภาพ
สู่โรงพยาบาลระดับทุติยภูมิและระดับทุติยภูมิทั้งส่งไปและส่งกลับ
4. ดูแลสุขภาพองค์รวมทั้งร่างกายจิตใจ สังคม พชอ. บูรณาการการ
ใช้ทรัพยากรร่วมกันในดูแลประชาชนตามบริบทของพื้นที่อย่างมีส่วนร่วมตาม
ปั ญ หาของแต่ ล ะอำเภอ อย่ า งน้ อ ย 2 ประเด็ น เช่ น ผู ้ สู ง อายุ คนพิ ก าร
อุบัติเหตุ ขยะสิ่งแวดล้อม และกลุ่มเปราะบาง 10 ล้านคน (พชอ.ผ่านเกณฑ์
คุณภาพ 75%)
ระบบบริการสุขภาพ มี 3 ระดับดังนี้
คลินิกหมอครอบครัว
(primary care cluster. PCC)
วันสำคัญทางด้านสาธารณสุข **ออกสอบบ่อย
20 มีนาคม วันอาสาสมัครสาธารณสุข 26 มิถุนายน วันต่อต้านยาเสพติด 12 พฤศจิกายน วันคนพิการแห่งชาติ
7 เมษายน วันอนามัยโลก 14 กรกฎาคม วันงดดื่มสุราแห่งชาติ 14 พฤศจิกายน วันเบาหวานโลก
30 เมษายน วันคุ้มครองผู้บริโภคไทย 14 กันยายน วันหมออนามัยแห่งชาติ 27 พฤศจิกายน วันสถาปนาการสาธารณสุข
28 พฤษภาคม วันสุขบัญญัติแห่งชาติ 24 กันยายน วันมหิดล/วันหัวใจโลก 1 ธันวาคม วันเอดส์โลก
31 พฤษภาคม วันงดสูบบุหรี่โลก 28 กันยายนวันป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโลก 4 ธันวาคม วันสิ่งแวดล้อมไทย
5 มิถุนายน วันสิ่งแวดล้อมโลก 15 ตุลาคม วันล้างมือโลก 10 ธันวาคม วันต่อต้านโรคมะเร็งแห่งชาติ