Professional Documents
Culture Documents
ผลของการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง โยธิน - 61203305 Neww
ผลของการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง โยธิน - 61203305 Neww
โยธิน ใคร่กระโทก
วิจัยในชั้นเรียนเสนอมหาวิทยาลัย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา
หลักสูตรปริญญาการศึกษาบัณฑิต
สาขาวิชาการศึกษา แขนงวิชาคณิตศาสตร์
ลิขสิทธิ์เป็นของมหาวิทยาลัยพะเยา
ก
บทคัดย่อ
การวิจัยในชั้นเรียนเรื่องผลของการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง
(Brainstorming Method) ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง สถิติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 2/10 โรงเรียนบุญวัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ในวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน 4 เรื่องสถิติ ด้วยการ
จัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง โดยการเปรียบเทียบคะแนนระหว่างก่อนเรียน
และหลังเรียน กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10 โรงเรียนบุญวัฒนา อำเภอเมือง จังหวัด
นครราชสีมา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 43 คน เป็นห้องเรียนตามสภาพจริง ซึ่งได้มาโดยการเลือก
แบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการทำวิจัย ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง สถิติ โดยการ
จัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง จำนวน 6 แผน รวม 6 คาบ และแบบทดสอบ
วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และผลต่างระหว่างค่าเฉลี่ย
ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์
ผลการศึกษาพบว่ามีคะแนนเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน จึงสรุปได้ว่า
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง มี
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ในวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน 4 เรื่องสถิติ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
ข
กิตติกรรมประกาศ
การวิจัยในชั้นเรียนเรื่องผลของการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง
(Brainstorming Method) ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง สถิติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 2/10 โรงเรียนบุญวัฒนา เล่มนี้ ผู้วิจัยได้รับความกรุณาและสนับสนุนจากบุคคลหลายฝ่ายเป็นอย่างดี ทำให้
วิจัยในชั้นเรียนเรื่องนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
การวิจัยในชั้นเรียนเรื่องผลของการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง
(Brainstorming Method) ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง สถิติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 2/10 โรงเรียนบุญวัฒนา เล่มนี้ สำเร็จลุล่วงสมบูรณ์ได้ด้วยความกรุณาจากอาจารย์นิเทศ
ผศ.ดร.วิไลภรณ์ ฤทธิคุปต์ ที่ให้ความกรุณาสละเวลาอันมีค่าในการให้คำแนะนำต่าง ๆ ในการทำวิจัย ครูพี่เลี้ยง
นายวิฑูรย์ นินาลาด นางสาวสาวิตรี บรรจงรอด และนางสาวเบญจภรณ์ ไพรพฤกษ์ ที่กรุณาให้คำชี้แนะเรื่อง
แผนการจัดการเรียนรู้ และเป็นผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องสถิติ ขอขอบคุณหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ นายสุบรรณ ตั้งศรีเสรี ที่คอย
ให้ความช่วยเหลือด้านต่าง ๆ ในการทำวิจัย และขอขอบคุณคณะครูกลุ่มสาระคณิตศาสตร์ทุกท่าน ที่คอยอำนวย
ความสะดวกในการทำวิจัย ขอขอบพระคุณทุกท่านเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้
ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูทั้งร่วมสถาบันและต่างสถาบัน ที่ช่วยให้คำแนะนำในด้าน
การดำเนินวิจัยต่าง ๆ และขอขอบใจนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10 ทุกคน ที่ให้ความร่วมมือในการจัดกิจกรรม
ต่าง ๆ จนทำให้สำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์
โยธิน ใคร่กระโทก
ค
สารบัญ
เรื่อง หน้า
บทคัดย่อ ก
กิตติกรรมประกาศ ข
สารบัญ ค
สารบัญตาราง ฉ
สารบัญรูปภาพ ช
บทที่ 1 บทนำ 1
ที่มาและความสำคัญ 1
วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2
สมมติฐานการวิจัย 2
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 2
ขอบเขตการวิจัย 2
กรอบแนวคิด 3
นิยามศัพท์เฉพาะ 3
บทที่ 2 เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง 4
การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบ STAD 5
ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ 5
องค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ 6
รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ 6
การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบ STAD 7
ข้อดีและข้อจำกัดของการจัดเรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบ STAD 8
ง
สารบัญ (ต่อ)
เรื่อง หน้า
การจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง 9
ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง 9
ขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง 9
ข้อเสนอแนะของการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง 10
ข้อดีและข้อจำกัดของการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง 10
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 11
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 13
บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย 15
กลุ่มเป้าหมาย 15
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 15
การเก็บรวบรวมข้อมูล 18
การวิเคราะห์ข้อมูล 18
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 19
ตอนที่ 1 วิเคราะห์ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 19
คะแนนก่อนการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10
ตอนที่ 2 วิเคราะห์ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 20
คะแนนหลังการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10
จ
สารบัญ (ต่อ)
เรื่อง หน้า
บทที่ 5 สรุปการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 21
สรุปการวิจัย 21
อภิปรายผล 22
ข้อเสนอแนะ 23
บรรณานุกรม 24
ภาคผนวก 26
ภาคผนวก ก 27
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ ฉบับก่อนหาดัชนีความสอดคล้อง 28
(Index of Item – Objective Congruence : IOC)
ตารางแสดงผลดัชนีความสอดคล้องของข้อคำถามกับจุดประสงค์ (IOC) 32
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ 34
ภาคผนวก ข 36
คะแนนก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง 37
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10
ภาคผนวก ค 39
แผนการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง เรื่อง สถิติ 40
ภาคผนวก ง 111
รูปภาพในระหว่างขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนรู้ 112
แบบระดมสมอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10
ประวัติผู้วิจัย 116
ฉ
สารบัญตาราง
เรื่อง หน้า
ตารางที่ 1 ตารางแสดงการวิเคราะห์ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 19
คะแนนก่อนการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10
ตารางที่ 2 ตารางแสดงการวิเคราะห์ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 20
คะแนนหลังจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10
ตารางที่ 3 ตารางแสดงผลดัชนีความสอดคล้องของข้อคำถามกับจุดประสงค์ (IOC) 32
ตารางที่ 4 ตารางแสดงคะแนนก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับ 37
การจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง ของนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 2/10
ช
สารบัญรูปภาพ
เรื่อง หน้า
รูปภาพที่ 1 รูปภาพแสดงขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับ 16
การจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง
รูปภาพในระหว่างขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับ 112
การจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง ของนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 2/10
1
บทที่ 1
บทนำ
1. ที่มาและความสำคัญ
จากการจัดการเรียนการสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบุญวัฒนา
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา ผู้วิจัยพบปัญหาว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10
ร้อยละ 74 ของห้อง มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน 4 เรื่องการแปลงทางเรขาคณิตไม่ผ่าน
เกณฑ์ และจากข้อมูลบันทึกหลังแผนส่วนใหญ่บันทึกไว้ว่านักเรียนส่วนใหญ่ของห้องนี้ มีพฤติกรรมชอบจับกลุ่มคุย
กันในระหว่างที่เรียน บางส่วนมักอยูไ่ ม่นงิ่ โดยจะหันหลังไปคุยกับเพื่อนอยู่เสมอ หรือเล่นโทรศัพท์ในขณะที่ครูสอน
ซึ่งผู้วิจัยได้ประเมินว่าการจัดการเรียนการสอนแบบเดิมส่งผลให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการจัดการเรียนการ
สอนน้อยมาก และส่วนใหญ่แบบฝึกหัดที่ให้นักเรียนทำจะเป็นการทำงานแบบเดี่ยวซึ่งไม่สอดคล้องกับบริบทของ
ห้องเรียนที่นักเรียนมักจะอยู่กันเป็นกลุ่ม ส่งผลให้นักเรียนไม่ได้แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันเท่าที่ควร จึงทำให้
นักเรียนเกิดความเบื่อหน่ายในการเรียน และหันไปสนใจโทรศัพท์มือถือ นำมาซึ่งผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไม่ผ่าน
เกณฑ์
การจัดการเรียนรู้แบบ STAD (Student Teams-Achievement Division) เป็นรูปแบบการสอนที่พัฒนา
มาจากการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative learning) ซึ่งเป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
เทคนิค STAD ได้จัดให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น 4-5 คน โดยแต่ละกลุ่มประกอบด้วย สมาชิกที่มีความรู้
ความสามารถแตกต่างกัน โดยที่แต่ละคนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการเรียนรู้ ทั้งการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
การแบ่งปันวิธีการคิด และการเป็นกำลังใจแก่กันและกัน อันนำไปสู่ความสำเร็จของกลุ่ม (วัฒนาพร ระงับทุกข์
2542)
การจัดการเรียนการสอนแบบระดมสมอง (Brainstorming Method) เป็นการจัดการเรียนการสอนที่ให้
นักเรียนทุกคน ได้แสดงความคิดเห็นหรือเสนอแนวทางการแก้ปัญหาให้มากที่สุด สามารถออกความคิดได้อย่างเสรี
โดยจดบันทึกความคิดเห็นนั้นไว้ หลังจากนั้นจัดให้มีการอภิปราย ทบทวนความคิดที่บันทึกไว้เพื่อเลือกวิธีการที่
เหมาะสมสำหรับการแก้ปัญหา (จุรีพร คำภักดี 2552)
ดังนั้น ผู้วิจัยจึงสนใจนำการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง มาจัดการ
เรียนการสอน เรื่องสถิติ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เพื่อช่วยแก้ปัญหาผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน 4 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10 โรงเรียนบุญวัฒนา
2
2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ในวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน 4 เรื่องสถิติ ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับ
การจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง โดยการเปรียบเทียบคะแนนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน
3. สมมติฐานการวิจัย
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10 ที่ผ่านการจัดกิจกรรมด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการ
จัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง มีการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ในวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน 4 เรื่องสถิติ หลังเรียนสูงกว่า
ก่อนเรียน
4. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. เพื่อเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะในรายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน 4 เรื่องสถิติ
ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง
2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10 ที่ผ่านการจัดกิจกรรมด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการ
จัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง มีผลสัมฤทธิ์ที่สูงขึ้นในรายวิชาคณิตศาสตร์ 4 (ค22102)
5. ขอบเขตการวิจัย
5.1 กลุ่มเป้าหมาย
กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10 โรงเรียนบุญวัฒนา อำเภอเมือง จังหวัด
นครราชสีมา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 43 คน เป็นห้องเรียนตามสภาพจริง ซึ่งได้มาโดยการเลือก
แบบเจาะจง
5.2 เนื้อหาที่ใช้ในการทดลอง
รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน 4 (ค22102) เรื่องสถิติ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งผู้วิจัยได้เลือกเนื้อหาในเรื่องสถิติ เนื่องจากเป็นเนื้อหาที่ต้องอาศัยการวิเคราะห์และตีความ
เพื่ออ่านค่าข้อมูลทางสถิติ จึงต้องมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหลาย ๆ ด้าน ในการจัดกระทำข้อมูลที่เหมาะสม
5.3 ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย
ดำเนินการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โดยผู้วิจัยดำเนินการสอนด้วยตนเอง
ระยะเวลาในการทดลอง 6 คาบ คาบละ 50 นาที
3
5.4 ตัวแปรที่ศึกษา
1. ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง
2. ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ ในรายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน 4
(ค22102) เรื่องสถิติ
6. กรอบแนวคิด
7. นิยามศัพท์เฉพาะ
1. การจัดการเรียนรู้แบบ STAD หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม
กลุ่มละประมาณ 4-5 คน โดยคละความสามารถและระดับสติปัญญา ได้แก่ นักเรียนที่มีความสามารถสูง 1 คน
ปานกลาง 2-3 คน และอ่อน 1 คน โดยครูเป็นผู้สอนบทเรียนให้กับนักเรียนทั้งชั้น แล้วให้แต่ละกลุ่มทำงานตามที่
ครูมอบหมาย โดยนักเรียนในแต่ละกลุ่มจะต้องช่วยเหลือ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ซึง่ การจัด
การเรียนรู้แบบ STAD มี 5 ขั้นตอน คือ ขั้นนำเสนอบทเรียน ขั้นทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม ขั้นการทดสอบย่อย
ขั้นการพัฒนาตนเอง และขั้นการได้รับการยกย่อง
2. การจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง หมายถึง การจัดการเรียนการสอนที่ให้นักเรียนทุกคนได้แสดงความ
คิดเห็นหรือเสนอแนวทางการแก้ปัญหาให้มากที่สุด สามารถออกความคิดได้อย่างเสรี โดยจดบันทึกความคิดเห็น
นั้นไว้ หลังจากนั้นจัดให้มีการอภิปราย ทบทวนความคิดที่บันทึกไว้เพื่อเลือกวิธีการที่เหมาะสมสำหรับการ
แก้ปัญหา ซึ่งมี 5 ขั้นตอน คือ ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ขั้นระดมสมอง ขั้นอภิปราย ขั้นจัดลำดับความคิด และขั้น
วางแผนเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ
3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนของแบบทดสอบก่อนและหลังการเรียนรู้ เรื่องสถิติ ใน
รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน 4 (ค22102) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10
4
บทที่ 2
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
การวิจัยในชั้นเรียนเรื่อง ผลของการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง
(Brainstorming Method) ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง สถิติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 2/10 โรงเรียนบุญวัฒนา ครั้งนี้ผู้วิจัยได้ค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยมีลำดับตามหัวข้อต่อไปนี้
1. การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบ STAD
1.1 ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ
1.2 องค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ
1.3 รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ
1.4 การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบ STAD
1.5 ข้อดีและข้อจำกัดของการจัดเรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบ STAD
2. การจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง
2.1 ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง
2.2 ขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง
2.3 ข้อเสนอแนะของการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง
2.4 ข้อดีและข้อจำกัดของการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง
3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
5
1. การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบ STAD
1.1 ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ
Slavin (1995 อ้างถึงใน สุพัตรา เกิดทรัพย์ 2564) กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือไว้ว่า การเรียน
แบบร่วมมือกันเป็นวิธีสอนที่นำไปประยุกต์ใช้ได้หลายวิชาและหลายระดับชั้น โดยแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มย่อย
โดยทั่วไปมีสมาชิกในกลุ่ม 4 คน ที่มีความสามารถแตกต่างกัน เป็นนักเรียนเก่ง 1 คน ปานกลาง 2 คน และ
นักเรียนอ่อน 1 คน นักเรียนในกลุ่มต้องเรียนและรับผิดชอบงานของกลุ่มร่วมกัน นักเรียนจะประสบผลสำเร็จก็
ต่อเมื่อเพื่อสมาชิกในกลุ่มทุกคนประสบผลสำเร็จ บรรลุเป้าหมายร่วมกัน จึงทำให้นักเรียนช่วยเหลือจากการพึ่งพา
กันและสมาชิกในกลุ่มจะได้รับรางวัลร่วมกันเมื่อกลุ่มทำคะแนนได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนด
วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2542 อ้างถึงใน สุพัตรา เกิดทรัพย์ 2564) กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือไว้
ว่า เป็นวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นการจัดสภาพแวดล้อมทางการเรียนให้แก่ผู้เรียนได้เรียนรู้ร่วมกัน
เป็นกลุ่มเล็ก ๆ แต่ละกลุ่มประกอบด้วย สมาชิกที่มีความรู้ความสามารถแตกต่างกัน โดยที่แต่ละคนมีส่วนร่วมอย่าง
แท้จริงในการจัดการเรียนรู้ ทั้งโดยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การแบ่งปันทรัพยากรการเรียนรู้ รวมทั้งการเป็น
กำลังใจแก่กันและกัน จนนำไปสู่ความสำเร็จของกลุ่ม ซึ่งสะท้อนความสำเร็จของแต่ละบุคคลรวมไว้ด้วยกัน
ไสว ฟักขาว (2544 อ้างถึงใน พิชยาพร ราชคำ 2563) กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือไว้ว่า เป็น
การจัดการเรียนการสอนที่แบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มเล็ก ๆ สมาชิกในกลุ่มมีความสามารถแตกต่างกัน มีการ
แลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกัน และมีความรับผิดชอบร่วมกันทั้งในส่วนตน และ
ส่วนรวม เพื่อให้กลุ่มได้รับความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนด
สุวิทย์ มูลคำ และอรทัย มูลคำ (2545 อ้างถึงใน สุพัตรา เกิดทรัพย์ 2564) กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้แบบ
ร่วมมือไว้ว่า เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่จัดให้ผู้เรียนได้ร่วมมือและช่วยเหลือกันในการเรียนรู้ โดยแบ่งกลุ่มผู้เรียนที่มี
ความสามารถต่างกันออกเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งเป็นลักษณะการรวมกลุ่มอย่างมีโครงสร้างที่ชัดเจน มีการทำงาน
ร่วมกัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือพึ่งพาอาศัย
อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 อ้างถึงใน พิชยาพร ราชคำ 2563) กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือไว้ว่า
เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถต่างกัน ได้ร่วมมือกันทำงานกลุ่มด้วยความตั้งใจและ
เต็มใจรับผิดชอบในบทบาทหน้าที่ในกลุ่มของตน ทำให้งานของกลุ่มดำเนินไปสู่เป้าหมายของงานได้
สรุป การเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง การจัดการเรียนการสอนที่แบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มเล็ก ๆ สมาชิกใน
กลุ่มมีความสามารถแตกต่างกันอย่างมีโครงสร้างที่ชัดเจน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือสนับสนุน
ซึ่งกันและกัน และมีความรับผิดชอบร่วมกันทั้งในส่วนตนและส่วนรวม จนนำไปสู่ความสำเร็จของกลุ่ม ซึ่งสะท้อน
ความสำเร็จของแต่ละบุคคลรวมไว้ด้วยกัน
6
1.2 องค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ
อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 อ้างถึงใน พิชยาพร ราชคำ 2563) กล่าวถึงองค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้
แบบร่วมมือไว้ดังนี้
1. มีการพึ่งพาอาศัยกัน (Positive Interdependence) หมายถึง สมาชิกในกลุ่มมีเป้าหมายร่วมกัน
มีส่วนรับความสำเร็จร่วมกัน ใช้วัสดุอุปกรณ์ร่วมกัน มีบทบาทหน้าที่ทุกคนทั่วกัน ทุกคนมีความรู้สึกว่างานจะ
สำเร็จได้ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
2. มีปฏิสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดในเชิงสร้างสรรค์ (Face to Face Promotive Interaction) หมายถึง
สมาชิกกลุ่มได้ทำกิจกรรมอย่างใกล้ชิด เช่น แลกเปลี่ยนความคิดเห็นอธิบายความรู้แก่กัน ถามคำถาม ตอบคำถาม
กันและกัน ด้วยความรู้สึกที่ดีต่อกัน
3. มีการตรวจสอบความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละคน (Individual Accountability) เป็นหน้าที่
ของผู้สอนที่จะต้องตรวจสอบว่า สมาชิกทุกคนมีความรับผิดชอบต่องานกลุ่มหรือไม่ มากน้อยเพียงใด เช่น การสุ่ม
ถามสมาชิกในกลุ่ม สังเกตและบันทึกการทำงานกลุ่ม ให้ผู้เรียนอธิบายสิ่งที่ตนเรียนรู้ให้เพื่อนฟัง ทดสอบรายบุคคล
เป็นต้น
4. มีการฝึกทักษะการช่วยเหลือกันทำงานและทักษะการทำงานกลุ่มย่อย (Interdependence and
Small Groups Skills) ผู้เรียนควรได้ฝึกทักษะที่จะช่วยให้งานกลุ่มประสบความสำเร็จ เช่น ทักษะการสื่อสาร
การยอมรับและช่วยเหลือกัน การวิจารณ์ความคิดเห็นโดยไม่วิจารณ์บุคคล การแก้ปัญหาความขัดแย้ง การให้ความ
ช่วยเหลือและการเอาใจใส่ต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน การทำความรู้จักและไว้วางใจผู้อื่น เป็นต้น
5. มีการฝึกกระบวนการกลุ่ม (Group Process) สมาชิกต้องรับผิดชอบต่อการทำงานของกลุ่ม ต้อง
สามารถประเมินการทำงานของกลุ่มได้ว่า ประสบผลสำเร็จมากน้อยเพียงใด เพราะเหตุใด ต้องแก้ไขปัญหาที่ใด
และอย่างไร เพื่อให้การทำงานกลุ่มมีประสิทธิภาพดีกว่าเดิม เป็นการฝึกกระบวนการกลุ่มอย่างเป็นกระบวนการ
1.3 รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ
Slavin (1995 อ้างถึงใน สุพัตรา เกิดทรัพย์ 2564) ได้พัฒนาเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ โดยยึดหลักการ
ที่สำคัญ 3 ประการ คือ รางวัลความสำคัญของแต่ละบุคคล และโอกาสในการช่วยเหลือให้กลุ่มประสบความสำเร็จ
เท่าเทียมกัน รูปแบบการเรียนแบบร่วมมือของ Slavin ที่เป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลาย มีดังนี้
1. STAD (Student Teams Achievement Division) เป็นการจัดสมาชิกกลุ่มละ 4-5 คน แบบคละ
ความสามารถด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยครูจะทำการเสนอบทเรียนให้นักเรียนทั้งชั้นก่อน แล้วให้แต่ละกลุ่ม
ทำงานตามที่กำหนดไว้ในแผนการสอนเมื่อสมาชิกในกลุ่มช่วยกันทำแบบฝึกหัดและทบทวนบทเรียนที่เรียนจบแล้ว
ครูจะให้นักเรียนทุกคนทำแบบทดสอบประมาณ 15-20 นาที คะแนนที่ได้จากการทดสอบจะถูกแปลงคะแนนของ
แต่ละกลุ่ม
7
2. การจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง
2.1 ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง
จุรีพร คำภักดี (2552) ให้ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมองไว้ว่า เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่
ให้ผู้เรียนทุกคน ได้แสดงความคิดเห็นหรือให้ข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาให้มากที่สุด โดยเสนอได้อย่างเสรี ไม่มี
การวิพากษ์วิจารณ์ความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะที่เสนอมา มีการบันทึกความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะทั้งหมดไว้
หลังจากนั้นอาจจะจัดให้มีการอภิปราย ทบทวนความคิดทั้งหมดจัดเป็นหมวดหมู่หรือประเภทและตัดสินเลือก
วิธีการที่สามารถนำไปใช้ในการแก้ปัญหาได้
ซึ่งการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นอย่างเสรี
มีแนวความคิดที่กว้างขวาง และสามารถนำความคิดเหล่านั้นไปสู่การตัดสินใจหรือการแก้ปัญหาได้ดี
องค์ประกอบที่สำคัญสำหรับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง มีดังนี้
1. การแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี
2. การจดบันทึกความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะทั้งหมด
3. การจัดหมวดหมู่หรือประเภทของความคิด
4. การตัดสินใจเลือกวิธีการที่ดีไปใช้แก้ปัญหา
2.2 ขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง
จุรีพร คำภักดี (2552) กล่าวถึงขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง ดังนี้
1. ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน เป็นขั้นที่ผู้สอนอธิบายประเด็นหัวข้อ หรือเรื่องที่ผู้เรียนจะต้องระดมความคิด ซึ่ง
ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ท้าทายหรือเรื่องที่กำลังอยู่ในความสนใจ โดยทั่วไปแล้ว ผู้สอนมักจะเริ่มคำถามนำด้วย “เราจะ
สามารแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร” “เราจะทำอย่างไร” ซึ่งข้อความดังกล่าวผู้สอนควรเขียนไว้บนกระดานเพื่อให้ผู้เรียน
เห็นทุกคน
2. ขั้นระดมสมอง เป็นขั้นที่ระดมความคิดจากผู้เรียนทุก ๆ คน ให้มากที่สุด โดยผู้สอนจะเขียนความคิดที่
ผู้เรียนแต่ละคนเสนอมา ทุก ๆ ความคิด ซึ่งขั้นนี้ยงั ไม่มีการอภิปรายว่า ความคิดของผู้เรียนคนใดดีหรือไม่ดี เป็นไป
ได้หรือเป็นไปไม่ได้ ซึง่ เป็นขั้นที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ
3. ขั้นอภิปรายและคัดสรร เป็นขั้นที่ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันอภิปรายประเด็นต่าง ๆ ที่ผู้เรียนได้นำเสนอ
ว่า เป็นไปได้หรือไม่ เหมาะสมหรือไม่ โดยผู้สอนอาจกำหนดเกณฑ์คร่าว ๆ ไว้ก่อน หลังจากที่กลุ่มได้อภิปรายและ
ประเมินแล้ว ให้กลุ่มเลือกความคิดที่ดีที่สุดมา 2-3 ความคิด
10
3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ปราณี กองจินดา (2549 อ้างถึงใน พิชยาพร ราชคำ 2563) กล่าวว่า ความสามารถหรือผลสำเร็จที่ได้รับ
จากกิจกรรมการเรียนการสอน เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์เรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย
และทักษะพิสัย และยังได้จำแนกประเภทผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ตามลักษณะของวัตถุประสงค์ของการเรียนการ
สอนที่แตกต่างกัน
วิลสัน (Wilson อ้างถึงใน อ้างถึงใน สุพัตรา เกิดทรัพย์ 2564) ได้นำเอาการจำแนกจุดประสงค์ทางการ
ศึกษา ตามแนวคิดของบลูม (Bloom) และคณะ มาแบ่งพฤติกรรมในการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ ทางด้านพุทธ
พิสัย (Cognitive domain) ออกเป็น 4 ระดับ ดังนี้
1. ความรู้ - ความจำเกี่ยวกับการคำนวณ (Computation) หมายถึง ความสามารถในการคิดคำนวณ
ได้แก่ ความรู้ ความจำแบบง่าย ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่ได้เรียนผ่านมาแล้ว พฤติกรรมระดับนี้แบ่งออกเป็น 3 ขั้น คือ
1.1 ความรู้ความจำเกี่ยวกับข้อเท็จจริง หมายถึง การถามเพื่อจะวัดความรู้ความจำเกี่ยวกับ
เนื้อหาวิชาในรูปหรือแบบเดียวกับที่นักเรียนได้รับจากการเรียนการสอนมาแล้ว นอกจากนี้ยังรวมถึงความรู้พื้นฐาน
ซึ่งนักเรียนต้องนำมาใช้เสมอ
1.2 ความรู้เกี่ยวกับศัพท์และนิยาม หมายถึง ความสามารถบอกความหมายคำศัพท์ คำนิยามต่าง ๆ
ที่เคยเรียนมาแล้ว โดยไม่ต้องอาศัยการคิดคำนวณแต่อย่างใด
1.3 ความรู้ความจำเกี่ยวกับการใช้กระบวนการ คิดคำนวณ หมายถึง ความสามารถนำสิ่งที่โจทย์
กำหนดให้มาดำเนินการตามกระบวนการของการคิดคำนวณในแบบที่ได้เคยเรียนมาแล้ว ในขั้นนี้มิได้มุ่งหมายให้
นักเรียนคิดหากระบวนการคิดคำนวณแบบใหม่ด้วยตนเอง
2. ความเข้าใจ (Comprehension) หมายถึง ความสามารถในการนำความรู้ที่รู้แล้วมาสัมพันธ์กับโจทย์
หรือปัญหาใหม่ ตลอดจนสามารถตีความ แปลความ สรุปความ และขยายความได้ ซึ่งการวักพฤติกรรมด้านนี้ แบ่งเป็น
6 ขั้น คือ
2.1 ความรู้เกี่ยวกับมโนคติ หมายถึง ความสามารถในการสรุปความหมายของสิ่งที่ได้เรียนมาตาม
ความเข้าใจของตนเอง รู้จักนำข้อเท็จจริงของเนื้อหาที่เรียนมาสัมพันธ์กัน โดยการนำมาสรุปความหมายของสิ่งนั้นอีก
ครั้งหนึ่งหรืออาจจะกล่าวได้ว่า มโนคติเป็นเซตของสิ่งที่เกี่ยวกับความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริง
2.2 ความรู้เกี่ยวกับหลักการ กฎ และการทำให้เป็นกรณีทั่วไป เป็นความสัมพันธ์ระหว่างมโนคติและ
ตัวปัญหา ซึ่งนักเรียนควรจะรู้หลังจากที่เรียนเรื่องนั้นจบไปแล้ว คำถามในระดับนี้บางครั้งอาจะเป็นการวัดพฤติกรรม
ในขั้นการวิเคราะห์ก็ได้
12
บทที่ 3
วิธีดำเนินการวิจัย
การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสัมฤทธิ์ในรายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน 4 เรื่องสถิติ ด้วยการ
จัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10 โรงเรียน
บุญวัฒนา ซึ่งผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัยตามหัวข้อดังต่อไปนี้
1. กลุ่มเป้าหมาย
2. เครื่องมือในการวิจัย
3. การเก็บรวบรวมข้อมูล
4. การวิเคราะห์ข้อมูล
1. กลุ่มเป้าหมาย
กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10 โรงเรียนบุญวัฒนา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 43 คน เป็นห้องเรียนตามสภาพจริง ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง
2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
2.1 แผนการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง สถิติ โดยการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการจัดการ
เรียนรู้แบบระดมสมอง ผู้วิจัยดำเนินการสร้างและตรวจสอบคุณภาพ ดังนี้
2.1.1 ศึกษาตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง
พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
2.1.2 ศึกษาทฤษฎี หลักการ และแนวคิดในการจัดการเรียนรู้แบบ STAD และการจัดการเรียนรู้แบบ
ระดมสมอง
2.1.3 ศึกษาสาระการเรียนรู้จากหนังสือแบบเรียน และคู่มือครูสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ของ
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แล้วแบ่งเนื้อหาออกเป็นข้อย่อย ๆ วิเคราะห์จุดประสงค์การ
เรียนรู้ เพื่อสร้างแผนการจัดการเรียนรู้
2.1.4 เขียนแผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องสถิติ ที่ใช้การจัดการเรียนรู้
แบบ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง โดยมีขั้นตอนดังนี้
1. ขั้นเตรียม เป็นการทบทวนเนื้อหาเดิม เพื่อปูพื้นฐานสำหรับการรับความรู้ใหม่ที่จะเรียน
16
3. การเก็บรวบรวมข้อมูล
ผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้
3.1 ทำการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์
ใช้เวลา 50 นาที
3.2 ดำเนินการสอน ตามแผนการจัดการเรียนรู้ ระหว่างภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ใช้เวลาสอน
ทั้งหมด 6 คาบ คาบละ 50 นาที
3.3 เมื่อสิ้นสุดการทดลองสอนครบทั้ง 6 แผน ได้มีการทดสอบหลังเรียน โดยให้นักเรียนทำแบบทดสอบ
วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ฉบับเดียวกับก่อนเรียน
4. การวิเคราะห์ข้อมูล
4.1 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่องสถิติ ระหว่างก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้
แบบ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง โดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และผลต่างระหว่าง
ค่าเฉลี่ยระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน
19
บทที่ 4
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
ในการวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ในวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน 4 เรื่องสถิติ ด้วยการ
จัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10 โรงเรียน
บุญวัฒนา ซึ่งผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้
1. วิเคราะห์ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน คะแนนก่อนการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการ
จัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10
2. วิเคราะห์ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน คะแนนหลังจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการ
จัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
เมื่อเก็บรวบรวมข้อมูลครบถ้วนตามแผนการวิจัยที่กำหนดไว้แล้ว ผู้วิจัยนำข้อมูลมาวิเคราะห์ ซึ่งปรากฏผล
ดังต่อไปนี้
ตอนที่ 1 วิเคราะห์ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน คะแนนก่อนการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับ
การจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10
ตารางที่ 1 ตารางแสดงการวิเคราะห์ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน คะแนนก่อนการจัดการเรียนรู้
แบบ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10
คะแนนจากการทำแบบทดสอบก่อนเรียน
N Mean Std. Deviation
43 5.2093 1.85880
จากตารางที่ 1 พบว่า คะแนนจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ในวิชา
คณิตศาสตร์พื้นฐาน 4 เรื่องสถิติ ก่อนการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง มี
ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 5.2093 และมีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.85880
20
บทที่ 5
สรุปการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
การวิจัยในชั้นเรียนเรื่อง ผลของการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง
(Brainstorming Method) ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง สถิติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 2/10 โรงเรียนบุญวัฒนา ผู้วิจัยกล่าวถึงสรุปการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะดังนี้
1. สรุปการวิจัย
1.1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1.1.1 เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ในวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน 4 เรื่องสถิติ ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ
STAD ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง โดยการเปรียบเทียบคะแนนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน
1.2 สมมติฐานการวิจัย
1.2.1 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10 ที่ผ่านการจัดกิจกรรมด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ STAD
ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง มีการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ในวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน 4 เรื่องสถิติ หลังเรียน
สูงกว่าก่อนเรียน
1.3 วิธีดำเนินการวิจัย
1.3.1 กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10 โรงเรียนบุญวัฒนา อำเภอเมือง
จังหวัดนครราชสีมา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 43 คน เป็นห้องเรียนตามสภาพจริง ซึ่งได้มาโดย
การเลือกแบบเจาะจง
1.3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง สถิติ โดย
การจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนวิชาคณิตศาสตร์
1.3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล
1) ทำการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา
คณิตศาสตร์ ใช้เวลา 50 นาที
2) ดำเนินการสอน ตามแผนการจัดการเรียนรู้ ระหว่างภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565
ใช้เวลาสอนทั้งหมด 6 คาบ คาบละ 50 นาที
3) เมื่อสิ้นสุดการทดลองสอนครบทั้ง 6 แผน ได้มีการทดสอบหลังเรียน โดยให้นักเรียนทำ
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ฉบับเดียวกับก่อนเรียน
22
บรรณานุกรม
จุรีพร คำภักดี. (2555). วิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์
เรื่องเลขยกกำลัง โดยการจัดการเรียนรู้แบบการระดมสมอง (Brainstorming Method)
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/6 โรงเรียนลาดปลาเค้าพิทยาคม.
มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม. สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ.
สืบค้นเมื่อ 9 กรกฎาคม 2565. จาก https://shorturl.asia/kMrLY
ธิดารัตน์ พลหนองคูณ. (2557). การพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ตามแนวทฤษฎี
คอนสตรัคติวิสต์ โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือ รูปแบบ STAD เรื่อง พืน้ ที่ผิวและปริมาตร
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร.
พิชยาพร ราชคำ. (2563). การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้านร่วมกับ
การเรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบ STAD เรื่อง พหุนามและการแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสอง
สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร.
สืบค้นเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2565. จาก https://shorturl.asia/wlgBZ
มาลีวรรณ แก่นแก้ว. (2558). ผลการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4
ที่เรียนโดยวิธี STAD. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
วัฒนาพร ระงับทุกข์. (2542). การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง. กรุงเทพมหานคร:
เลิฟแอนด์เลิฟเพรส.
วัลยา บุญอากาศ. (2556). ผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
และทักษะการคิดวิเคราะห์วิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6.
มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี.
สุพัตรา เกิดทรัพย์. (2564). ผลการใช้กิจกรรมการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ STAD.
มหาวิทยาลัยรามคำแหง. สืบค้นเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2565. จาก https://shorturl.asia/LWNFo
สุวิทย์ มูลคำ และอรทัย มูลคำ. (2545). 21 วิธีจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาระบบความคิด. กรุงเทพมหานคร:
ภาพพิมพ์.
โสรยา บรรเลง. (2564). การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ร่วมกับเทคนิค STAD
ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เส้นขนาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2.
มหาวิทยาลัยรามคำแหง. สืบค้นเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2565. จาก https://shorturl.asia/K6F82
ไสว ฟักขาว. (2544). หลักการสอนสำหรับการเป็นครูมืออาชีพ. กรุงเทพฯ: เอมพันธ์.
25
ภาคผนวก
27
ภาคผนวก ก
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ ฉบับก่อนหาดัชนีความสอดคล้อง
(Index of Item – Objective Congruence : IOC)
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้
ตารางแสดงผลดัชนีความสอดคล้องของข้อคำถามกับจุดประสงค์ (IOC)
แบบทดสอบรายจุดประสงค์ หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง สถิติเบื้องต้น (ฉบับก่อนหาค่าดัชนีความสอดคล้อง) 28
วิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน 4 รหัสวิชา ค22102 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ปีการศึกษา 2565
แบบทดสอบเป็นแบบปรนัย ชนิด 4 ตัวเลือก
คะแนนเต็ม 8 คะแนน เวลา 50 นาที
.............................................................................................................................................................................
คำชี้แจง ให้นักเรียนกาเครื่องหมาย X ทับข้อที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียวลงในกระดาษคำตอบ
6. จำนวนคนที่มีอายุเท่ากันมากที่สุดมีจำนวนเท่าใด
1. นักเรียนชั้น ม.2 ห้องนี้ มีจำนวนตรงกับข้อใด ก. 4 คน ข. 5 คน
ก. 48 คน ข. 49 คน ค. 6 คน ง. 8 คน
ค. 50 คน ง. 51 คน 7. พิสัยของอายุของคนกลุ่มนี้ตรงกับข้อใด
2. นักเรียนทำคะแนนเท่ากันมากที่สุดตรงกับข้อใด ก. 6 ปี ข. 7 ปี
ก. 24 คะแนน ข. 26 คะแนน ค. 8 ปี ง. 9 ปี
ค. 28 คะแนน ง. 40 คะแนน 8. คนที่มีอายุตั้งแต่ 23 ปีขึ้นไป คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของคน
3. นักเรียนที่ทำคะแนนได้ 26 คะแนน มีจำนวนตรงกับข้อใด กลุ่มนี้
ก. 3 คน ข. 4 คน ก. 20% ข. 21%
ค. 5 คน ง. 6 คน ค. 24% ง. 25%
4. พิสัยของคะแนนสอบของนักเรียนห้องนี้ตรงกับข้อใด จุดประสงค์ที่ 2 นักเรียนสามารถวิเคราะห์ข้อมูล
ก. 27 คะแนน ข. 28 คะแนน จากแผนภาพต้น-ใบได้
ค. 29 คะแนน ง. 30 คะแนน จงใช้แผนภาพต้นใบต่อไปนี้ตอบคำถามข้อ 9-12
5. ถ้าเกณฑ์ในการสอบผ่านวิชานี้คือ 20 คะแนน จะมี แผนภาพต้นใบแสดงน้ำหนักของคน 30 คน หน่วย
นักเรียนห้องนี้สอบไม่ผ่านคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ เป็นกิโลกรัม
ก. 15 % ข. 18 %
ค. 19 % ง. 20 %
29
18. มีนักเรียนเข้าสอบทั้งหมดกี่คน
ก. 12 คน ข. 13 คน
ค. 24 คน ง. 25 คน
13. คะแนนสอบที่นักเรียนได้เท่ากันมากที่สุดตรงกับข้อใด 19. ฐานนิยมของคะแนนสอบของนักเรียนทั้งหมดเท่ากับข้อ
ก. 28 คะแนน ข. 45 คะแนน ใด
ค. 48 คะแนน ง. 58 คะแนน ก. 55 คะแนน ข. 58 คะแนน
ค. 61 คะแนน ง. 74 คะแนน
14. นักเรียนส่วนใหญ่ได้คะแนนอยู่ในช่วงใด
ก. 20-29 คะแนน ข. 30-39 คะแนน 20. คะแนนเฉลี่ยของคะแนนสอบของนักเรียนทั้งหมดเท่ากับ
ค. 40-49 คะแนน ง. 50-59 คะแนน ข้อใด
ก. 55 คะแนน ข. 58 คะแนน
ค. 59 คะแนน ง. 61 คะแนน
30
27. ช่วงคะแนนใดที่มีนักเรียนสอบได้มากที่สุด
ก. 50-59 ข. 60-69
ค. 70-79 ง. 80-89
28. ช่วงคะแนนใดที่มีนักเรียนสอบได้น้อยที่สุด
ก. 40-49 ข. 70-79
ค. 80-89 ง. 90-99
29. ถ้านักเรียนสอบได้คะแนน 80 คะแนนขึ้นไป ถือว่าได้
เกรด 4 อยากทราบว่ามีนักเรียนได้เกรด 4 กี่คน
23. คอนโดมิเนียมแห่งนี้มีกี่ห้อง ก. 25 ข. 15
ก. 35 ห้อง ข. 45 ห้อง ค. 10 ง. 5
ค. 100 ห้อง ง. 200 ห้อง 30. จากข้อที่ 10 นักเรียนที่ได้เกรด 4 คิดเป็นร้อยละเท่าใด
24. ฐานนิยมของข้อมูลเท่ากับข้อใด ของนักเรียนทั้งหมด
ก. 3 คน ข. 4 คน ก. ร้อยละ 25 ข. ร้อยละ 15
ค. 35 ห้อง ง. 100 ห้อง ค. ร้อยละ 10 ง. ร้อยละ 5
รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ ดังนี้
1. นางสาวสาวิตรี บรรจงรอด ตำแหน่ง หัวหน้าสายชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รายวิชาคณิตศาสตร์ 4 (ค22102)
2. นายวิฑูรย์ นินาลาด ตำแหน่ง ครูพี่เลี้ยง และปฏิบัติการสอนร่วมในรายวิชาคณิตศาสตร์ 4 (ค22102)
3. นางสาวเบญจภรณ์ ไพรพฤกษ์ ตำแหน่ง ครูปฏิบัติการสอนร่วมในรายวิชาคณิตศาสตร์ 4 (ค22102)
จากผลการประเมินความตรงตามเนื้อหา พบว่ามีข้อคำถามที่ใช้ได้จำนวน 30 ข้อ ข้อสอบที่ใช้ได้/ปรับปรุง
จำนวน 8 ข้อ และข้อสอบที่ต้องตัดทิ้ง จำนวน 4 ข้อ และผู้วิจัยได้เลือกข้อคำถามจำนวน 18 ข้อ ที่ไม่มีหมายเหตุ
จากผู้เชี่ยวชาญ นำมาจัดทำแบบทดสอบรายจุดประสงค์ หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง สถิติเบื้องต้น
แบบทดสอบรายจุดประสงค์ หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง สถิติเบื้องต้น 34
วิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน 4 รหัสวิชา ค22102 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ปีการศึกษา 2565
แบบทดสอบเป็นแบบปรนัย ชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 18 ข้อ
คะแนนเต็ม 8 คะแนน เวลา 50 นาที
.............................................................................................................................................................................
คำชี้แจง ให้นักเรียนกาเครื่องหมาย X ทับข้อที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียวลงในกระดาษคำตอบ
จงใช้แผนภาพต้นใบต่อไปนี้ตอบคำถามข้อ 4-7
แผนภาพต้นใบแสดงน้ำหนักของคน 30 คน หน่วยเป็น
กิโลกรัม
8. ช่วงคะแนนใดที่มีนักเรียนสอบได้มากที่สุด
ก. 50-59 ข. 60-69
ค. 70-79 ง. 80-89
35
ภาคผนวก ข
คะแนนก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10
37
ภาคผนวก ค
แผนการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง เรื่อง สถิติ
40
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิชาคณิตศาสตร์ 4 (ค22102) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่องสถิติ จำนวน 8 ชั่วโมง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565
เรื่อง แผนภาพจุด เวลา 50 นาที
1. มาตรฐานและตัวชี้วัด
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ค 3.1 เข้าใจกระบวนการทางสถิติ และใช้ความรู้ทางสถิติในการแก้ปัญหา
ตัวชี้วัด
ค 3.1 ม.2/1 เข้าใจและใช้ความรู้ทางสถิติในการนำเสนอข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลจากแผนภาพจุด
แผนภาพต้น-ใบ ฮิสโทแกรม และค่ากลางของข้อมูล และแปลความหมายผลลัพธ์ รวมทั้งนำสถิติไปใช้ในชีวิตจริง
โดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม
2. สาระสำคัญ
แผนภาพจุด (dot plot) เป็นรูปแบบหนึ่งของการนำเสนอข้อมูลเชิงปริมาณที่ทำได้ไม่ยาก โดยจะเขียน
จุดแทนข้อมูลแต่ละตัวไว้เหนือเส้นในแนวนอนที่มีสเกล ให้ตรงกับตำแหน่งที่แสดงค่าของข้อมูลนั้น แผนภาพจุด
ช่วยให้เห็นภาพรวมของข้อมูล ได้รวดเร็วกว่าพิจารณาจากข้อมูลโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสนใจจะพิจารณา
ลักษณะของข้อมูลว่ามีการกระจายมากน้อยเพียงใด
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
3.1 นักเรียนสามารถเขียนแสดงข้อมูลในรูปแผนภาพจุดได้ (P)
4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
4.1 ความสามารถในการสื่อสาร
4.2 ความสามารถในการคิด
5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
5.1 มีวินัย
5.2 มุ่งมั่นในการทำงาน
6. สาระการเรียนรู้
แผนภาพจุด
7. ภาระงาน / ชิ้นงาน
7.1 โจทย์การวาดแผนภาพจุดจากข้อมูลที่ครูกำหนดให้
41
2. ครูรับฟังความคิดเห็นจากนักเรียนและพิจารณาความเป็นไปได้
ขั้นนำเสนอข้อมูล
3. หลังจากที่ครูรับฟังความคิดเห็นของนักเรียนแล้ว ครูจึงนำเสนอแผนภาพจุดของข้อมูลข้างต้น ดังรูป
4. ครูสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนว่าแผนภาพจุดที่ครูนำเสนอง่ายต่อการอ่านหรือไม่อย่างไร
5. ครูนำเสนอขั้นตอนการวาดแผนภาพจุด ดังนี้
5.1 เขียนเส้นในแนวนอน กำหนดสเกลเป็นช่วง ช่วงละเท่า ๆ กัน พร้อมทั้งกำหนดชื่อ เพื่อให้
ทราบว่า ข้อมูลเหล่านี้เกี่ยวข้องกับสิ่งใด ดังรูป
42
ขั้นนำเสนอปัญหา
6. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม (กลุ่มละ 4-5 คน คละตามความสามารถ) มารับโจทย์ที่ครูทำขึ้นมา โดยแต่ละ
กลุ่มจะได้รับข้อมูลที่แปลกใหม่และแตกต่างกัน
7. ตั้งคำถามให้ทุกกลุ่มว่า “เราจะสามารถเขียนแผนภาพจุดจากข้อมูลที่ได้รับนี้อย่างไร” “ซึ่งสมาชิกใน
กลุม่ ทุกคนจะต้องร่วมมือกันวาดแผนภาพจุดนี้ให้ได้
ขั้นการทำงานร่วมกันเป็นทีม
8. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม ร่วมกันแสดงความคิดเห็นและระดมภายในกลุ่ม โดยให้สมาชิกภายในกลุ่ม
เลือกความคิดที่ดีที่สุดและน่าจะเป็นไปได้ที่สุดไว้ 1-3 ความคิด ซึ่งครูเป็นผู้ควบคุมและชี้แนะอยู่ด้านข้าง
ขั้นอภิปราย คัดสรร และลงมือปฏิบัติ
9. ครูนักเรียนแต่ละกลุ่มนำความคิดที่เลือกไว้ 1-3 ความคิดนั้น มาอภิปรายและลงความเห็นว่า จะใช้
ความคิดใดในการลงมือแก้ปัญหา หลังจากนั้นลงมือวาดแผนภาพจุดขึ้นมาให้เสร็จสมบูรณ์
ขั้นตัดสินผลงานของกลุ่ม
10. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอผลงานและวิธีคิดหน้าชั้นเรียนให้กระชับที่สุด (ใช้เวลากลุ่มละ
1 นาที) และตัดสินว่าผลงานนี้ถูกต้องหรือไม่ (ใช้หลักการเสริมแรงทางบวก เช่น การให้กำลังใจและชื่นชม)
11. ครูให้นักเรียนทั้งห้องสะท้อนคิด ขั้นตอนของการวาดแผนภาพจุดที่ได้จากการทำกิจกรรม
9. สื่อการเรียนรู้/แหล่งการเรียนรู้
9.1 หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 2 (สสวท.)
9.2 แบบฝึกหัดรายวิชาพื้นฐาน คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 2 (MACeducation)
43
10. การวัดและประเมินผล
สิ่งที่ประเมิน วิธีประเมิน เครื่องมือประเมิน เกณฑ์การประเมิน
1. นักเรียนสามารถเขียนแสดง ตรวจการวาดแผนภาพ โจทย์การวาดแผนภาพ นักเรียนวาดแผนภาพ
ข้อมูลในรูปแผนภาพจุดได้ (P) จุดจากข้อมูลที่ครู จุดจากข้อมูลที่ครู จุดได้ถูกต้อง ถือว่า ผ่าน
กำหนดให้ กำหนดให้
2. ความสามารถในการสื่อสาร สังเกตพฤติกรรม แบบสังเกต ระดับ พอใช้
(สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน) นักเรียน ความสามารถในการ ถือว่า ผ่าน
สื่อสาร
3. ความสามารถในการคิด ตรวจการวาดแผนภาพ โจทย์การวาดแผนภาพ นักเรียนวาดแผนภาพ
(สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน) จุดจากข้อมูลที่ครู จุดจากข้อมูลที่ครู จุดได้ถูกต้อง ถือว่า ผ่าน
กำหนดให้ กำหนดให้
4. มีวินัย สังเกตพฤติกรรม แบบสังเกตความมีวินัย ระดับ พอใช้
(คุณลักษณะอันพึงประสงค์) นักเรียน ถือว่า ผ่าน
5. มุ่งมั่นในการทำงาน สังเกตพฤติกรรม แบบสังเกตความมุ่งมั่น ระดับ พอใช้
(คุณลักษณะอันพึงประสงค์) นักเรียน ในการทำงาน ถือว่า ผ่าน
44
45
46
47
48
49
50
51
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิชาคณิตศาสตร์ 4 (ค22102) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่องสถิติ จำนวน 8 ชั่วโมง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565
เรื่องแผนภาพต้น-ใบ เวลา 50 นาที
1. มาตรฐานและตัวชี้วัด
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ค 3.1 เข้าใจกระบวนการทางสถิติ และใช้ความรู้ทางสถิติในการแก้ปัญหา
ตัวชี้วัด
ค 3.1 ม.2/1 เข้าใจและใช้ความรู้ทางสถิติในการนำเสนอข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลจากแผนภาพจุด
แผนภาพต้น-ใบ ฮิสโทแกรม และค่ากลางของข้อมูล และแปลความหมายผลลัพธ์ รวมทั้งนำสถิติไปใช้ในชีวิตจริง
โดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม
2. สาระสำคัญ
แผนภาพต้น-ใบ (Stem-and-leaf plot) เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการนำเสนอข้อมูลเชิงปริมาณที่มีการ
เรียงลำดับข้อมูลและช่วยให้เห็นภาพรวมของข้อมูลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น หลักการง่าย ๆ ในการนำเสนอข้อมูลด้วย
แผนภาพต้น-ใบ คือ การแบ่งตัวเลขที่แสดงข้อมูลเชิงปริมาณออกเป็นสองส่วนที่เรียกว่า ส่วนลำต้น และ ส่วนใบ
โดยในที่นี้ส่วนใบจะเป็นตัวเลขที่อยู่ขวาสุด ส่วนตัวเลขที่เหลือจะเป็นส่วนต้น เช่น 159 จะมี 9 เป้นส่วนใบ และมี
15 เป็นส่วนลำต้น
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
3.1 นักเรียนสามารถเขียนแสดงข้อมูลในรูปแผนภาพต้น-ใบได้ (P)
4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
4.1 ความสามารถในการสื่อสาร
4.2 ความสามารถในการคิด
5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
5.1 มุ่งมั่นในการทำงาน
6. สาระการเรียนรู้
แผนภาพต้น-ใบ
7. ภาระงาน / ชิ้นงาน
7.1 โจทย์การวาดแผนภาพต้น-ใบจากข้อมูลที่ครูกำหนดให้
52
ขั้นนำเสนอปัญหา
5. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม (กลุ่มละ 4-5 คน คละตามความสามารถ) มารับโจทย์ที่ครูทำขึ้นมา โดยแต่ละ
กลุ่มจะได้รับข้อมูลที่แปลกใหม่และแตกต่างกัน
6. ตั้งคำถามให้ทุกกลุ่มว่า “เราจะสามารถเขียนแผนภาพต้น-ใบจากข้อมูลที่ได้รับนี้อย่างไร” “ซึ่งสมาชิก
ในกลุ่มทุกคนจะต้องร่วมมือกันวาดแผนภาพต้น-ใบนี้ให้ได้
ขั้นการทำงานร่วมกันเป็นทีม
7. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม ร่วมกันแสดงความคิดเห็นและระดมภายในกลุ่ม โดยให้สมาชิกภายในกลุ่ม
เลือกความคิดที่ดีที่สุดและน่าจะเป็นไปได้ที่สุดไว้ 1-3 ความคิด ซึ่งครูเป็นผู้ควบคุมและชี้แนะอยู่ด้านข้าง
ขั้นอภิปราย คัดสรร และลงมือปฏิบัติ
8. ครูนักเรียนแต่ละกลุ่มนำความคิดที่เลือกไว้ 1-3 ความคิดนั้น มาอภิปรายและลงความเห็นว่า จะใช้
ความคิดใดในการลงมือแก้ปัญหา หลังจากนั้นลงมือวาดแผนภาพต้น-ใบขึ้นมาให้เสร็จสมบูรณ์
ขั้นตัดสินผลงานของกลุ่ม
9. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอผลงานและวิธีคิดหน้าชั้นเรียนให้กระชับที่สุด (ใช้เวลากลุ่มละ
1 นาที) ) และตัดสินว่าผลงานนี้ถูกต้องหรือไม่ (ใช้หลักการเสริมแรงทางบวก เช่น การให้กำลังใจและชื่นชม)
10. ครูให้นักเรียนทั้งห้องสะท้อนคิด ขั้นตอนของการวาดแผนภาพต้น-ใบที่ได้จากการทำกิจกรรม
9. สื่อการเรียนรู้/แหล่งการเรียนรู้
9.1 หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 2 (สสวท.)
9.2 แบบฝึกหัดรายวิชาพื้นฐาน คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 2 (MACeducation)
54
10. การวัดและประเมินผล
สิ่งที่ประเมิน วิธีประเมิน เครื่องมือประเมิน เกณฑ์การประเมิน
1. นักเรียนสามารถเขียนแสดง ตรวจโจทย์การวาด โจทย์การวาดแผนภาพ นักเรียนวาดแผนภาพ
ข้อมูลในรูปแผนภาพต้นใบได้ (P) แผนภาพต้น-ใบจากข้อมูล ต้น-ใบจากข้อมูลที่ครู ต้น-ใบได้ถูกต้องครบถ้วน
ที่ครูกำหนดให้ กำหนดให้ ถือว่า ผ่าน
2. ความสามารถในการสื่อสาร สังเกตพฤติกรรม แบบสังเกต ระดับ พอใช้
(สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน) นักเรียน ความสามารถในการ ถือว่า ผ่าน
สื่อสาร
3. ความสามารถในการคิด ตรวจโจทย์การวาด โจทย์การวาดแผนภาพ นักเรียนวาดแผนภาพ
(สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน) แผนภาพต้น-ใบจากข้อมูล ต้น-ใบจากข้อมูลที่ครู ต้น-ใบได้ถูกต้องครบถ้วน
ที่ครูกำหนดให้ กำหนดให้ ถือว่า ผ่าน
4. มุ่งมั่นในการทำงาน สังเกตพฤติกรรม แบบสังเกตความมุ่งมั่น ระดับ พอใช้
(คุณลักษณะอันพึงประสงค์) นักเรียน ในการทำงาน ถือว่า ผ่าน
55
56
57
58
59
60
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิชาคณิตศาสตร์ 4 (ค22102) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่องสถิติ จำนวน 8 ชั่วโมง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565
เรื่อง ฮิสโทแกรม เวลา 50 นาที
1. มาตรฐานและตัวชี้วัด
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ค 3.1 เข้าใจกระบวนการทางสถิติ และใช้ความรู้ทางสถิติในการแก้ปัญหา
ตัวชี้วัด
ค 3.1 ม.2/1 เข้าใจและใช้ความรู้ทางสถิติในการนำเสนอข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลจากแผนภาพจุด
แผนภาพต้น-ใบ ฮิสโทแกรม และค่ากลางของข้อมูล และแปลความหมายผลลัพธ์ รวมทั้งนำสถิติไปใช้ในชีวิตจริง
โดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม
2. สาระสำคัญ
การสร้างฮิสโทแกรม ทำได้ดังนี้
1. แบ่งข้อมูลออกเป็นช่วง ช่วงละเท่า ๆ กัน ในกรณีของข้อมูลเชิงปริมาณแบบไม่ต่อเนื่องที่มีจำนวนไม่มาก ใช้
ข้อมูลแต่ละตัวในการสร้างได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องแบ่งเป็นช่วงก็ได้
2. นับจำนวนข้อมูลแต่ละตัวในแต่ละช่วง จำนวนดังกล่าวจะเป็นความถี่ของข้อมูลช่วงนั้น แล้วสร้างตารางระบุ
ความถี่ของข้อมูลในช่วงนั้น ๆ ซึ่งเรียกว่า ตารางแจกแจงความถี่
3. เขียนแสดงค่าของข้อมูลหรือจุดปลายของช่วงบนแกนนอน แล้วเขียนแท่งสี่เหลี่ยมมุมฉากบนตำแหน่งที่แสดงค่า
ของข้อมูล โดยให้ความสูงของแท่งเท่ากับความถี่หรือเปอร์เซ็นต์ของความถี่
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
3.1 นักเรียนสามารถเขียนแสดงข้อมูลในรูปฮิสโทแกรมได้ (P)
4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
4.1 ความสามารถในการสื่อสาร
4.2 ความสามารถในการคิด
5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
5.1 ใฝ่เรียนรู้
5.2 อยู่อย่างพอเพียง
5.3 มีจิตสาธารณะ
61
6. สาระการเรียนรู้
ฮิสโทแกรม
7. ภาระงาน / ชิ้นงาน
7.1 โจทย์การวาดฮิสโทแกรมจากข้อมูลที่ครูกำหนดให้
8. กิจกรรม/กระบวนการจัดการเรียนรู้ (การจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง)
ขั้นเตรียม
1. ครูทบทวนเรื่องการวาดแผนภาพต้น-ใบ ดังนี้
แผนภาพต้น-ใบ คือ การแบ่งตัวเลขที่แสดงข้อมูลเชิงปริมาณออกเป็นสองส่วนที่เรียกว่า ส่วนลำต้น และ
ส่วนใบ โดยในที่นี้ส่วนใบจะเป็นตัวเลขที่อยู่ขวาสุด ส่วนตัวเลขที่เหลือจะเป็นส่วนต้น เช่น 159 จะมี 9 เป็นส่วนใบ
และมี 15 เป็นส่วนลำต้น
2. ครูนำเข้าสู่บทเรียนด้วยการนำเสนอภาพฮิสโทแกรม ที่มักปรากฏในสื่อออนไลน์ ดังรูป
จากนั้นเขียนแสดงจำนวนข้อที่นักเรียนตอบถูกบนแกนนอน แล้วเขียนแท่งสี่เหลี่ยมมุมฉากแสดงความถี่
ของจำนวนข้อที่นักเรียนตอบถูก ซึ่งจะได้ฮิสโทแกรม ดังรูป
ขั้นนำเสนอปัญหา
5. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม (กลุ่มละ 4-5 คน คละตามความสามารถ) มารับโจทย์ที่ครูทำขึ้นมา โดยแต่ละ
กลุ่มจะได้รับข้อมูลที่แปลกใหม่และแตกต่างกัน
63
10. การวัดและประเมินผล
สิ่งที่ประเมิน วิธีประเมิน เครื่องมือประเมิน เกณฑ์การประเมิน
1. นักเรียนสามารถเขียนแสดง ตรวจโจทย์การวาดฮิส โจทย์การวาดฮิสโทแกรม นักเรียนสามารถวาด
ข้อมูลในรูปฮิสโทแกรมได้ (P) โทแกรมจากข้อมูลที่ครู จากข้อมูลที่ครูกำหนดให้ ฮิสโทแกรมได้ถูกต้อง
กำหนดให้ ครบถ้วน ถือว่า ผ่าน
2. ความสามารถในการสื่อสาร สังเกตพฤติกรรม แบบสังเกต ระดับ พอใช้
(สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน) นักเรียน ความสามารถในการ ถือว่า ผ่าน
สื่อสาร
3. ความสามารถในการคิด ตรวจโจทย์การวาดฮิส โจทย์การวาดฮิสโทแกรม นักเรียนสามารถวาด
(สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน) โทแกรมจากข้อมูลที่ครู จากข้อมูลที่ครูกำหนดให้ ฮิสโทแกรมได้ถูกต้อง
กำหนดให้ ครบถ้วน ถือว่า ผ่าน
4. ใฝ่เรียนรู้ สังเกตพฤติกรรม แบบสังเกตความใฝ่ ระดับ พอใช้
(คุณลักษณะอันพึงประสงค์) นักเรียน เรียนรู้ ถือว่า ผ่าน
4. อยู่อย่างพอเพียง สังเกตพฤติกรรม แบบสังเกตการอยู่ ระดับ พอใช้
(คุณลักษณะอันพึงประสงค์) นักเรียน อย่างพอเพียง ถือว่า ผ่าน
4. มีจิตสาธารณะ สังเกตพฤติกรรม แบบสังเกตความมีจิต ระดับ พอใช้
(คุณลักษณะอันพึงประสงค์) นักเรียน สาธารณะ ถือว่า ผ่าน
65
66
67
68
69
70
71
72
73
74
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิชาคณิตศาสตร์ 4 (ค22102) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่องสถิติ จำนวน 8 ชั่วโมง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565
เรื่อง การวิเคราะห์ข้อมูลจากแผนภาพ เวลา 50 นาที
1. มาตรฐานและตัวชี้วัด
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ค 3.1 เข้าใจกระบวนการทางสถิติ และใช้ความรู้ทางสถิติในการแก้ปัญหา
ตัวชี้วัด
ค 3.1 ม.2/1 เข้าใจและใช้ความรู้ทางสถิติในการนำเสนอข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลจากแผนภาพจุด
แผนภาพต้น-ใบ ฮิสโทแกรม และค่ากลางของข้อมูล และแปลความหมายผลลัพธ์ รวมทั้งนำสถิติไปใช้ในชีวิตจริง
โดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม
2. สาระสำคัญ
แผนภาพจุด (dot plot) เป็นรูปแบบหนึ่งของการนำเสนอข้อมูลเชิงปริมาณที่ทำได้ไม่ยาก โดยจะเขียน
จุดแทนข้อมูลแต่ละตัวไว้เหนือเส้นในแนวนอนที่มีสเกล ให้ตรงกับตำแหน่งที่แสดงค่าของข้อมูลนั้น แผนภาพจุด
ช่วยให้เห็นภาพรวมของข้อมูล ได้รวดเร็วกว่าพิจารณาจากข้อมูลโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสนใจจะพิจารณา
ลักษณะของข้อมูลว่ามีการกระจายมากน้อยเพียงใด
แผนภาพต้น-ใบ (Stem-and-leaf plot) เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการนำเสนอข้อมูลเชิงปริมาณที่มีการ
เรียงลำดับข้อมูลและช่วยให้เห็นภาพรวมของข้อมูลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น หลักการง่าย ๆ ในการนำเสนอข้อมูลด้วย
แผนภาพต้น-ใบ คือ การแบ่งตัวเลขที่แสดงข้อมูลเชิงปริมาณออกเป็นสองส่วนที่เรียกว่า ส่วนลำต้น และ ส่วนใบ
โดยในที่นี้ส่วนใบจะเป็นตัวเลขที่อยู่ขวาสุด ส่วนตัวเลขที่เหลือจะเป็นส่วนต้น เช่น 159 จะมี 9 เป้นส่วนใบ และมี
15 เป็นส่วนลำต้น
ฮิสโตแกรม (Histogram) เป็นแผนภูมิแท่งที่บอกถึงความถี่ที่เกิดขึ้นในแต่ละอันตรภาคชั้น โดยแต่ละ
แท่งจะวางเรียงติดกัน แกนนอนจะกำกับด้วยค่าขอบบนและขอบล่างของชั้นนั้น หรือใช้ค่ากลาง (Midpoint)
แกนตั้งเป็นค่าความถี่ในอันตรภาคชั้น ดังนั้นความสูงของแต่ละแท่งจะขึ้นอยู่กับความถี่
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
3.1 นักเรียนสามารถวิเคราะห์ข้อมูลและอ่านค่าจากแผนภาพจุดได้ (P)
3.2 นักเรียนสามารถวิเคราะห์ข้อมูลและอ่านค่าจากแผนภาพต้น-ใบได้ (P)
3.3 นักเรียนสามารถวิเคราะห์ข้อมูลและอ่านค่าจากฮิสโทแกรมได้ (P)
75
4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
4.1 ความสามารถในการคิด
4.2 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
5.1 รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
6. สาระการเรียนรู้
แผนภาพจุด แผนภาพต้น-ใบ ฮิสโทแกรม
7. ภาระงาน / ชิ้นงาน
7.1 แบบฝึกหัดที่ 1 หน่วยที่ 1 เรื่องสถิติ (2) ข้อ 3-5
7.2 แบบฝึกหัดที่ 2 หน่วยที่ 1 เรื่องสถิติ (2) ข้อ 2-3
7.3 แบบฝึกหัดที่ 3 หน่วยที่ 1 เรื่องสถิติ (2) ข้อ 1-2
8. กิจกรรม/กระบวนการจัดการเรียนรู้
ขั้นเตรียม
1. ครูทบทวนการวาดฮิสโทแกรม ดังนี้
การสร้างฮิสโทแกรม ทำได้ดังนี้
1. แบ่งข้อมูลออกเป็นช่วง ช่วงละเท่า ๆ กัน ในกรณีของข้อมูลเชิงปริมาณแบบไม่ต่อเนื่องที่มี
จำนวนไม่มาก ใช้ข้อมูลแต่ละตัวในการสร้างได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องแบ่งเป็นช่วงก็ได้
2. นับจำนวนข้อมูลแต่ละตัวในแต่ละช่วง จำนวนดังกล่าวจะเป็นความถี่ของข้อมูลช่วงนั้น แล้ว
สร้างตารางระบุความถี่ของข้อมูลในช่วงนั้น ๆ ซึ่งเรียกว่า ตารางแจกแจงความถี่
3. เขียนแสดงค่าของข้อมูลหรือจุดปลายของช่วงบนแกนนอน แล้วเขียนแท่งสี่เหลี่ยมมุมฉากบน
ตำแหน่งที่แสดงค่าของข้อมูล โดยให้ความสูงของแท่งเท่ากับความถี่หรือเปอร์เซ็นต์ของความถี่
2. ครูนำเข้าสู่บทเรียน ด้วยการสนทนาดังนี้ “หลังจากที่นักเรียนรู้จักวิธีการสร้างแผนภาพจุด แผนภาพ
ต้น-ใบ และฮิสโทแกรมแล้ว สิ่งสำคัญต่อมาคือการวิเคราะห์ข้อมูลจากแผนภาพเหล่านี้ ให้ออกมาเป็นข้อมูลที่เรา
อยากรู้ ซึ่งเราจะได้เรียนรู้ในวันนี”้
ขั้นนำเสนอข้อมูล
3. ครูนำเสนอขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูลของแผนภาพจุด โดยนำเสนอโจทย์ดังนี้
76
จากนั้นครูพานักเรียนสังเกตลักษณะของแผนภาพจุด และตอบคำถามต่อไปนี้
3.1 ในคาบเรียนนี้มีนักเรียนทั้งหมดกี่คน
3.2 พิสัยของอัตราการเต้นของหัวใจนักเรียนเป็นเท่าใด โดยครูอธิบายว่า พิสัยคือผลต่างระหว่างข้อมูล
สูงสุดและข้อมูลต่ำสุด จากนั้นให้นักเรียนหาข้อมูลสูงสุดและต่ำสุดจากแผนภาพจุดและตอบคำถาม
3.3 นักเรียนส่วนใหญ่มีอัตราการเต้นของหัวใจเป็นเท่าใด
4. ครูนำเสนอขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูลของแผนภาพต้น-ใบ โดยนำเสนอโจทย์ดังนี้
ตัวอย่างที่ 2 พิจารณาข้อมูลที่ได้จากการสอบถามจำนวนหนังสือ (เล่ม) ที่นักเรียนในห้องหนึ่งอ่านได้ในระยะเวลา
1 ปี ดังรูป
จากนั้นครูพานักเรียนสังเกตลักษณะของแผนภาพต้น-ใบ และตอบคำถามต่อไปนี้
4.1 กลุ่มตัวอย่างที่เก็บรวบรวมข้อมูลมีทั้งหมดกี่คน
4.2 นักเรียนอ่านหนังสือได้น้อยที่สุดกี่เล่ม และมากที่สุดกี่เล่ม และพิสัยของข้อมูลชุดนี้คือเท่าใด
4.3 จำนวนหนังสือที่นักเรียนส่วนใหญ่อ่านได้อยู่ในช่วงใด
5. ครูนำเสนอขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูลของฮิสโทแกรม โดยนำเสนอโจทย์ดังนี้
77
ขั้นตัดสินผลงานของกลุ่ม
10. ครูสุ่มนักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอธีคิดและแก้ปัญหาโจทย์ในแต่ละข้อ ที่หน้าชั้นเรียนให้กระชับ
ที่สุด (ใช้เวลากลุ่มละ 1 นาที) และตัดสินว่าผลงานนี้ถูกต้องหรือไม่ (ใช้หลักการเสริมแรงทางบวก เช่น การให้
กำลังใจและชื่นชม)
11. ครูให้นักเรียนทั้งห้องสะท้อนคิด ถึงหลักการในการสังเกตแผนภาพจุด แผนภาพต้น-ใบ ฮิสโทแกรม ที่
ได้จากการทำแบบฝึกหัด
9. สื่อการเรียนรู้/แหล่งการเรียนรู้
9.1 หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 2 (สสวท.)
9.2 แบบฝึกหัดรายวิชาพื้นฐาน คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 2 (MACeducation)
80
10. การวัดและประเมินผล
สิ่งที่ประเมิน วิธีประเมิน เครื่องมือประเมิน เกณฑ์การประเมิน
1. นักเรียนสามารถวิเคราะห์ ตรวจแบบฝึกหัดที่ 1 แบบฝึกหัดที่ 1 หน่วย ได้มากกว่าหรือเท่ากับ
ข้อมูลและอ่านค่าจากแผนภาพ หน่วยที่ 1 เรื่องสถิติ (2) ที่ 1 เรื่องสถิติ (2) ข้อ 3-5 2 คะแนน ถือว่า ผ่าน
จุดได้ (P) ข้อ 3-5
2. นักเรียนสามารถวิเคราะห์ ตรวจแบบฝึกหัดที่ 2 แบบฝึกหัดที่ 2 หน่วย ได้มากกว่าหรือเท่ากับ
ข้อมูลและอ่านค่าจากแผนภาพ หน่วยที่ 1 เรื่องสถิติ (2) ที่ 1 เรื่องสถิติ (2) ข้อ 2-3 1 คะแนน ถือว่า ผ่าน
ต้น-ใบได้ (P) ข้อ 2-3
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิชาคณิตศาสตร์ 4 (ค22102) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่องสถิติ จำนวน 8 ชั่วโมง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565
เรื่อง ค่ากลางของข้อมูล เวลา 50 นาที
1. มาตรฐานและตัวชี้วัด
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ค 3.1 เข้าใจกระบวนการทางสถิติ และใช้ความรู้ทางสถิติในการแก้ปัญหา
ตัวชี้วัด
ค 3.1 ม.2/1 เข้าใจและใช้ความรู้ทางสถิติในการนำเสนอข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลจากแผนภาพจุด
แผนภาพต้น-ใบ ฮิสโทแกรม และค่ากลางของข้อมูล และแปลความหมายผลลัพธ์ รวมทั้งนำสถิติไปใช้ในชีวิตจริง
โดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม
2. สาระสำคัญ
ค่าเฉลี่ยเลขคณิต คือ จำนวนที่ได้จากการหารผลบวกของข้อมูลทั้งหมดด้วยจำนวนข้อมูล
มัธยฐาน คือ ค่าค่าหนึ่งซึ่งเมื่อเรียบเรียงข้อมูลจากน้อยไปมากหรือมากไปน้อยแล้ว จำนวนของข้อมูลที่
น้อยกว่าหรือเท่ากับค่านั้น จะเท่ากับ จำนวนของข้อมูลที่มากกว่าหรือเท่ากับค่านั้น
ฐานนิยม คือ ข้อมูลที่มีความถี่สูงสุดในข้อมูลชุดหนึ่ง ๆ
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
3.1 นักเรียนสามารถแสดงการหาค่าเฉลี่ยเลขคณิตได้ (P)
3.2 นักเรียนสามารถแสดงการหาค่ามัธยฐานได้ (P)
3.3 นักเรียนสามารถแสดงการหาค่าฐานนิยมได้ (P)
4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
4.1 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
4.2 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
5.1 มีจิตสาธารณะ
6. สาระการเรียนรู้
ค่าเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน ฐานนิยม
87
7. ภาระงาน / ชิ้นงาน
7.1 โจทย์การหาค่าเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน ฐานนิยม จากข้อมูลที่ครูกำหนดให้
8. กิจกรรม/กระบวนการจัดการเรียนรู้
ขั้นเตรียม
1. ครูนำเข้าสู่บทเรียนดังนี้ “ในหัวข้อที่ผ่านมา นักเรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับการนำเสนอข้อมูลและวิเคราะห์
ข้อมูลเชิงปริมาณ ที่ช่วยให้เห็นภาพรวมคร่าว ๆ ทั้งหมดของข้อมูลว่ามีลักษณะอย่างไรมาแล้ว ในหัวข้อที่จะเรียนนี้
นักเรียนจะได้เรียนรู้วิธีการวิเคราะห์หาตัวแทนที่ดีของข้อมูลว่ามีวิธีการอย่างไรบ้าง”
ขั้นนำเสนอข้อมูล
2. ครูนำเสนอสถานการณ์ให้นักเรียนพิจารณาดังต่อไปนี้
“เมื่อต้องการทราบว่า “นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ของโรงเรียน มีความสูงประมาณเท่าใด” หลังจาก
การเก็บรวบรวมข้อมูลแล้ว จะใช้ข้อมูลใดเป็นตัวแทนที่เหมาะสม ซึ่งมีตัวเลือกดังต่อไปนี้
1. ใช้ความสูงของนักเรียนที่สูงน้อยที่สุด
2. ใช้ความสูงของนักเรียนที่มากที่สุด
3. รวมความสูงของนักเรียนทุกคน แล้วหารด้วยจำนวนทั้งหมด
4. เรียงลำดับความสูงจากน้อยไปมาก แล้วเลือกเอาความสูงที่อยู่ตรงกลสง
5. นักเรียนส่วนใหญ่มีความสูงเท่าใด ก็ใช้ความสูงนั้น”
โดยครูรับฟังความคิดเห็นของนักเรียนในการแสดงความคิดเห็น
3. ครูอธิบายให้นักเรียนเห็นภาพว่า “หากนักเรียนเลือกตัวแทนข้อมูลข้อที่ 1 และ 2 เราจะได้ตัวแทนที่ไม่
เหมาะสม เพราะเป็นค่าที่น้อยที่สุดและมากที่สุด เมื่อเทียบกับอีกหลาย ๆ ค่า ในทางปฏิบัติทั่วไปในวิชาสถิติ การ
เลือกตัวแทนที่เหมาะสม จะทำได้โดยวิธีที่ 3 หรือ 4 หรือ 5 ตามความเหมาะสม ซึ่งค่าที่ได้จากวิธีที่ 3 หรือ 4 หรือ
5 เรียกว่า ค่ากลางของข้อมูล”
4. ครูนำเสนอค่ากลางของข้อมูล ซึ่งมี 3 อย่างดังนี้
ค่าเฉลี่ยเลขคณิต คือ จำนวนที่ได้จากการหารผลบวกของข้อมูลทั้งหมดด้วยจำนวนข้อมูล
มัธยฐาน คือ ค่าค่าหนึ่งซึ่งเมื่อเรียบเรียงข้อมูลจากน้อยไปมากหรือมากไปน้อยแล้ว จำนวนของข้อมูลที่
น้อยกว่าหรือเท่ากับค่านั้น จะเท่ากับ จำนวนของข้อมูลที่มากกว่าหรือเท่ากับค่านั้น
ฐานนิยม คือ ข้อมูลที่มีความถี่สูงสุดในข้อมูลชุดหนึ่ง ๆ
5. ครูนำเสนอตัวอย่างข้อมูลดังต่อไปนี้ เพื่อแสดงถึงวิธีการหาค่ากลางของข้อมูลทั้ง 3 อย่าง
ค่าเฉลี่ยเลขคณิต คือ จำนวนที่ได้จากการหารผลบวกของข้อมูลทั้งหมดด้วยจำนวนข้อมูล
88
จงหามัธยฐานของข้อมูลชุดนี้
จงหาว่าคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ใช้รองเท้าเบอร์ใด
ขั้นนำเสนอปัญหา
6. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม (กลุ่มละ 4-5 คน คละตามความสามารถ) มารับโจทย์ที่ครูทำขึ้นมา โดยแต่ละ
กลุ่มจะได้รับข้อมูลที่แปลกใหม่และแตกต่างกัน
90
10. การวัดและประเมินผล
สิ่งที่ประเมิน วิธีประเมิน เครื่องมือประเมิน เกณฑ์การประเมิน
1. นักเรียนสามารถแสดงการหา ตรวจวิธีการหา โจทย์การหาค่าเฉลี่ยเลข นักเรียนสามารถหา
ค่าเฉลี่ยเลขคณิตได้ (P) ค่าเฉลี่ยเลขคณิต จาก คณิต มัธยฐาน ฐานนิยม ค่าเฉลี่ยเลขคณิตจาก
ข้อมูลที่ครูกำหนดให้ จากข้อมูลที่ครูกำหนดให้ ข้อมูลที่กำหนดให้ได้
ถูกต้อง ถือว่า ผ่าน
2. นักเรียนสามารถแสดงการหา ตรวจวิธีการหา โจทย์การหาค่าเฉลี่ยเลข นักเรียนสามารถหา
ค่ามัธยฐานได้ (P) มัธยฐาน จากข้อมูลที่ครู คณิต มัธยฐาน ฐานนิยม มัธยฐานจากข้อมูลที่
กำหนดให้ จากข้อมูลที่ครูกำหนดให้ กำหนดให้ได้ถูกต้อง
ถือว่า ผ่าน
3. นักเรียนสามารถแสดงการหา ตรวจโจทย์การหา โจทย์การหาค่าเฉลี่ยเลข นักเรียนสามารถหา
ค่าฐานนิยมได้ (P) ฐานนิยม จากข้อมูลที่ครู คณิต มัธยฐาน ฐานนิยม ฐานนิยมจากข้อมูลที่
กำหนดให้ จากข้อมูลที่ครูกำหนดให้ กำหนดให้ได้ถูกต้อง
ถือว่า ผ่าน
4. ความสามารถในการใช้ทักษะ สังเกตพฤติกรรม แบบสังเกต ระดับ พอใช้
ชีวิต นักเรียน ความสามารถในการใช้ ถือว่า ผ่าน
(สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน) ทักษะชีวิต
5. ความสามารถในการใช้ สังเกตพฤติกรรม แบบสังเกต ระดับ พอใช้
เทคโนโลยี นักเรียน ความสามารถในการใช้ ถือว่า ผ่าน
(สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน) เทคโนโลยี
6. มีจิตสาธารณะ สังเกตพฤติกรรม แบบสังเกตความมีจิต ระดับ พอใช้
(คุณลักษณะอันพึงประสงค์) นักเรียน สาธารณะ ถือว่า ผ่าน
92
93
94
95
96
97
98
99
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิชาคณิตศาสตร์ 4 (ค22102) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่องสถิติ จำนวน 8 ชั่วโมง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565
เรื่อง ค่ากลางของข้อมูลและการประยุกต์ เวลา 50 นาที
1. มาตรฐานและตัวชี้วัด
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ค 3.1 เข้าใจกระบวนการทางสถิติ และใช้ความรู้ทางสถิติในการแก้ปัญหา
ตัวชี้วัด
ค 3.1 ม.2/1 เข้าใจและใช้ความรู้ทางสถิติในการนำเสนอข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลจากแผนภาพจุด
แผนภาพต้น-ใบ ฮิสโทแกรม และค่ากลางของข้อมูล และแปลความหมายผลลัพธ์ รวมทั้งนำสถิติไปใช้ในชีวิตจริง
โดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม
2. สาระสำคัญ
ค่าเฉลี่ยเลขคณิต คือ จำนวนที่ได้จากการหารผลบวกของข้อมูลทั้งหมดด้วยจำนวนข้อมูล
มัธยฐาน คือ ค่าค่าหนึ่งซึ่งเมื่อเรียบเรียงข้อมูลจากน้อยไปมากหรือมากไปน้อยแล้ว จำนวนของข้อมูลที่
น้อยกว่าหรือเท่ากับค่านั้น จะเท่ากับ จำนวนของข้อมูลที่มากกว่าหรือเท่ากับค่านั้น
ฐานนิยม คือ ข้อมูลที่มีความถี่สูงสุดในข้อมูลชุดหนึ่ง ๆ
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
3.1 นักเรียนสามารถใช้ความรู้ค่าเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน และฐานนิยมแก้โจทย์ปัญหาได้ถูกต้อง (P)
4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
4.1 ความสามารถในการคิด
4.2 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
5.1 ใฝ่เรียนรู้
5.2 มุ่งมั่นในการทำงาน
6. สาระการเรียนรู้
ค่าเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน ฐานนิยม
7. ภาระงาน / ชิ้นงาน
7.1 แบบฝึกหัดที่ 4 หน่วยที่ 1 เรื่องสถิติ (2) ข้อ 1-5
7.2 แบบฝึกหัดที่ 5 หน่วยที่ 1 เรื่องสถิติ (2) ข้อ 2-6
100
8. กิจกรรม/กระบวนการจัดการเรียนรู้
ขั้นเตรียม
1. ครูนำเข้าสู่บทเรียนดังนี้ “ในหัวข้อที่ผ่านมา นักเรียนได้เรียนรู้ค่ากลางของข้อมูลอะไรบ้าง และมีการใช้
งานค่ากลางแต่ละค่าอย่างไร”
2. ครูให้นักเรียนช่วยกันแสดงความคิดเห็นและใช้การเสริมแรงทางบวกกระตุ้น
ขั้นนำเสนอข้อมูล
3. ครูทบทวนความหมายของค่ากลางของข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน ฐานนิยม ดังนี้
ค่าเฉลี่ยเลขคณิต คือ จำนวนที่ได้จากการหารผลบวกของข้อมูลทั้งหมดด้วยจำนวนข้อมูล
มัธยฐาน คือ ค่าค่าหนึ่งซึ่งเมื่อเรียบเรียงข้อมูลจากน้อยไปมากหรือมากไปน้อยแล้ว จำนวนของข้อมูลที่
น้อยกว่าหรือเท่ากับค่านั้น จะเท่ากับ จำนวนของข้อมูลที่มากกว่าหรือเท่ากับค่านั้น
ฐานนิยม คือ ข้อมูลที่มีความถี่สูงสุดในข้อมูลชุดหนึ่ง ๆ
ขั้นนำเสนอปัญหา
4. ครูนำเสนอแบบฝึกหัดที่ 4 หน่วยที่ 1 เรื่องสถิติ (2) ข้อ 1-5 และแบบฝึกหัดที่ 5 หน่วยที่ 1 เรื่องสถิติ
(2) ข้อ 2-6 และตั้งคำถามให้ทุกกลุ่มว่า “เราจะสามารถหาค่าเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน ฐานนิยม ของโจทย์ปัญหาที่
ได้รับนี้อย่างไร” “ซึง่ สมาชิกในกลุ่มทุกคนจะต้องร่วมมือกันหาคำตอบนี้ให้ได้
ขั้นการทำงานร่วมกันเป็นทีม
5. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม ร่วมกันแสดงความคิดเห็นและระดมภายในกลุ่ม โดยให้สมาชิกภายในกลุ่ม
เลือกความคิดที่ดีที่สุดและน่าจะเป็นไปได้ที่สุดไว้ 1-3 ความคิด ซึ่งครูเป็นผู้ควบคุมและชี้แนะอยู่ด้านข้าง
ขั้นอภิปราย คัดสรร และลงมือปฏิบัติ
6. ครูนักเรียนแต่ละกลุ่มนำความคิดที่เลือกไว้ 1-3 ความคิดนั้น มาอภิปรายและลงความเห็นว่า จะใช้
ความคิดใดในการลงมือแก้ปัญหา หลังจากนั้นลงแก้โจทย์ปัญหาให้เสร็จสมบูรณ์ ดังรูป
101
102
103
ขั้นตัดสินผลงานของกลุ่ม
7. ครูและนักเรียนร่วมกันเฉลยแบบฝึกหัด โดยให้แต่ละกลุ่มสลับกันออกมาพูดวิธีคิด แนวคิดอย่างคร่าว ๆ
หน้าชั้นเรียน เพื่อแสดงแนวคิดที่หลากหลายในการทำ
8. ครูและนักเรียนร่วมกันทบทวนการหาค่ากลางของข้อมูลอีกครั้งเพื่อความแม่นยำ
9. สื่อการเรียนรู้/แหล่งการเรียนรู้
9.1 หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 2 (สสวท.)
9.2 แบบฝึกหัดรายวิชาพื้นฐาน คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 2 (MACeducation)
10. การวัดและประเมินผล
สิ่งที่ประเมิน วิธีประเมิน เครื่องมือประเมิน เกณฑ์การประเมิน
1. นักเรียนสามารถใช้ความรู้ ตรวจแบบฝึกหัดที่ 4 แบบฝึกหัดที่ 4 หน่วย ได้มากกว่าหรือเท่ากับ
ค่าเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน และ หน่วยที่ 1 เรื่องสถิติ (2) ที่ 1 เรื่องสถิติ (2) ข้อ 1-5 3 คะแนน ถือว่า ผ่าน
ฐานนิยมแก้โจทย์ปัญหาได้ ข้อ 1-5
ถูกต้อง (P) ตรวจแบบฝึกหัดที่ 5 แบบฝึกหัดที่ 5 หน่วย ได้มากกว่าหรือเท่ากับ
หน่วยที่ 1 เรื่องสถิติ (2) ที่ 1 เรื่องสถิติ (2) ข้อ 2-6 3 คะแนน ถือว่า ผ่าน
ข้อ 2-6
2. ความสามารถในการคิด ตรวจแบบฝึกหัดที่ 4 แบบฝึกหัดที่ 4 หน่วย ได้มากกว่าหรือเท่ากับ
(สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน) หน่วยที่ 1 เรื่องสถิติ (2) ที่ 1 เรื่องสถิติ (2) ข้อ 1-5 3 คะแนน ถือว่า ผ่าน
ข้อ 1-5
ตรวจแบบฝึกหัดที่ 5 แบบฝึกหัดที่ 5 หน่วย ได้มากกว่าหรือเท่ากับ
หน่วยที่ 1 เรื่องสถิติ (2) ที่ 1 เรื่องสถิติ (2) ข้อ 2-6 3 คะแนน ถือว่า ผ่าน
ข้อ 2-6
3. ความสามารถในการใช้ สังเกตพฤติกรรม แบบสังเกต ระดับ พอใช้
ทักษะชีวิต นักเรียน ความสามารถในการใช้ ถือว่า ผ่าน
(สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน) ทักษะชีวิต
4. ใฝ่เรียนรู้ สังเกตพฤติกรรม แบบสังเกตความใฝ่ ระดับ พอใช้
(คุณลักษณะอันพึงประสงค์) นักเรียน เรียนรู้ ถือว่า ผ่าน
5. มุ่งมั่นในการทำงาน สังเกตพฤติกรรม แบบสังเกตความมุ่งมั่น ระดับ พอใช้
(คุณลักษณะอันพึงประสงค์) นักเรียน ในการทำงาน ถือว่า ผ่าน
104
105
106
107
108
109
110
111
ภาคผนวก ง
รูปภาพในระหว่างขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบระดมสมอง
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10
112
113
114
115
116
ประวัติผู้วิจัย