You are on page 1of 39

การอ่านและพิจารณาวรรณคดี เรือง

สามัคคีเภทคาฉันท ์
วิชญาดา วรรณะ
เลขที่ 22
ชญาภรณ์ เหล่าวัฒนช ัย เลขที่ 8
อภิษฎา ฉัตร ์ชลบุษย ์
เลขที่ 3

การอ่านและพิจารณาเนื อหา
และกลวิธใี นวรรณคดีและวรรณกรรม
้ อง
1.เนื อเรื ่
่ ราชคฤห ์เป็ นเมืองหลวง ทรงมีพระประสงค ์จะ
พระเจ ้าอชาตศัตรู กษัตริย ์ผูป้ กครองแคว ้นมคธ ทีมี
้ นอยู

ขยายอาณาจักรให ้กว ้างขวาง โดยหมายตาแคว ้นวัชชีของ กษัตริย ์ลิจฉวี อันปกครองและตังมั ใ่ น
่ ยกว่า อปริหานิ ยธรรม คือธรรมอันไม่ เป็ นทีตั
ธรรมทีเรี ่ งแห่
้ งความ เสือมซึ
่ ่ นความสามัคคีเป็ นหลัก
งเน้
ดังนั้นการจะทาสงครามจึงต ้องใช ้ ปัญญามิใช่กาลัง อย่างไรก็ตามพระเจ ้าอชาตศัตรูทรงมีปโุ รหิตทีปรึ
่ กษา

คนสนิ ทชือ่ วัสสการพราหมณ์ เนื่ องด ้วย วัสสการพราหมณ์ เป็ นผูร้ อบรู ้ด ้านศิลปศาสตร ์และมีสติปัญญา

อันเฉี ยบแหลมทังสองจึ ่
ง ปรึกษาเพือหากลอุ
บายทาลายความสามัคคีของกษัตริย ์ลิจฉวีโดยการเนรเทศ
่ นทางไปยังเมืองเวสาลี
วัสสการพราหมณ์ออกจากแคว ้นมคธเพือเดิ
่ นผู ้มีวาทศิลป์ รู ้จักใช ้เหตุผลโน้มน้าวใจ จึงทาให ้เหล่ากษัตริย ์ร ับ วัสสการพ
ด ้วยความทีเป็
่ จารณาคดีความและถวาย พระอักษรเหล่าพระกุมาร
ราหมณ์ไว ้ในราชสานักโดยให ้ทาหน้าทีพิ

ทังหลายจนเป็ ่ ้ใจ ครนได
นทีไว ้ั ้โอกาสคาดคะเนว่าพวกกษัตริย ์ไว ้ วางใจตน ก็เริมท
่ าอุบายให ้ศิษย ์

แตกร ้าวกัน จนเกิดการวิวาท แล ้วนาความนั้นขึนกราบ


้ ่ นเช่นนั้นความร ้าว
ทูลชนกของตน เมือเป็
่ อถ
รานก็ลามไปถึงบรรดากษัตริย ์ทีเชื ่ ้อยคาโอรส ของตนโดยปราศจากการไตร่ตรองใดๆ จนกระทัง่

ู สิน้ เมือนั
ผ่านไป ๓ ปี สามัคคีธรรมในหมู่กษัตริย ์ ลิจฉวีก็สญ ่ ้นพระเจ ้าอชาตศัตรูจงึ ได ้กรีธาทัพสู่

เมืองเวสาลีและสามารถปราบแคว ้น วัชชีลงได ้อย่างง่ายดาย


2. ่
โครงเรือง

้ั
ในครงโบราณกาล กษัตริย ์องค ์หนึ่ งมีพระประสงค ์จะขยายอาณาจักรออกไปยังแคว ้นทีมี
่ ความเข ้มแข็ง
เพราะมีคณ ุ ธรรมในความสามัคคี พระองค ์จึงส่งปุโรหิตคนสนิ ทเข ้าไปยุแหย่ให ้เหล่ากษัตริย ์ผูป้ กครอง
แคว ้นเกิดความแตกแยกและขัดแย ้งกัน ท ้ายทีสุ ่ ดแล ้วแผนการก็สาเร็จ
3. ตัวละคร
พระเจ้าอชาตศ ัตรู

จากเรืองสามั
คคีเภทคาฉันท ์ ตอนพระเจ ้าอชาตศัตรูยกทัพมาตีแคว ้นวัชชี ชีให ้ ้เห็นว่าพระองค ์ทรงมี
่ าให ้ความต ้องการทีจะแผ่
ความเฉลียวฉลาด มีความแข็งแกร่ง รู ้จักใช ้คนทีท ่ พระบรมเดชานุภาพของตนเองสาเร็จ
ผล

“จอมทัพมาคธราษฎร ์ธ ยาตรพยุหกรี

ธาสูวสิ าลี นคร


โดยทางอันพระทวารเปิ ดนรนิ กร
ฤารอจะต่อรอน อะไร”

บทประพันธ ์นี แสดงให ่ พแห่งแคว ้นมคธกรีฑาทัพเข ้าเมืองเวสาลี ประตูเมืองนั้นก็เปิ ด
้เห็นว่าเมือจอมทั
อยู่โดยไม่มผ
ี ูค้ นหรือทหารต่อสู ้ประการใด
เพราะความละเอียดรอบคอบเช่นนี ้ ทาให ้การยึดแค ้วนวัชชีเป็ นไปอย่างง่ายดาย โดยทีทั ่ พของตนไม่
ต ้องเสียเลือดเสียเนื อ้ หรือเปลืองแรงในการต่อสู ้ พระองค ์มีความ สามารถในการนารบ เมือ


ปราบปรามแล ้วก็เสด็จยังเมืองราชคฤห ์อันยิงใหญ่ ดงั เดิม

“ไป่ พักต ้องจะกะเกณฑ ์นิ กายพหลโรย


แรงเปลืองระดมโปรย ประยุทธ ์
ราบคาบเสร็จ ธ เสด็จลุราชคฤหอุต
ดมเขตบุเรศดุจ ณ เดิม”
วัสสการพราหมณ์

ี่
เป็ นผูท้ ยอมเสี ่
ยสละ ออกจากบ ้านเมืองมายาวนานและเสียงไปอยู ่ในหมู่ศต
ั รู ต ้องใช ้ความอดทน
และร ักษาความลับเพือให ่ ้อุบายสัมฤทธิผล
์ เพราะจากคาประพันธ ์ข ้างต ้น แผนการนี ยาวนานถึ
้ ง ๓ ปี

่ วงสามปี ประมาณมา
“ครันล่ สหกรณประดา
ลิจฉวีรา ้
ชทังหลาย
สามัคคีธรรมทาลาย มิตรภิทนะกระจาย

สรรพเสือมหายน์ ก็เป็ นไป”
ี่ ความรอบคอบไม่ประมาท เมือแผนการคาดว่
เป็ นผูท้ มี ่ าจะสัมฤทธิผล ์ เพราะสังเกตเห็น ความ
แตกแยกและต ้องการตรวจสอบว่ากษัตริย ์ลิจฉวีแตกสามัคคีกน ั อย่าแท ้จริง จึงลอง ตีกลองนัดประชุม
ปรากฏว่าไม่มก ่
ี ษัตริย ์องค ์ใดเข ้ามาประชุมเลย จึงทาให ้มันใจได ้ว่า เหล่ากษัตริย ์ต่างมีความขุน
่ เคืองให ้
อีกฝ่ ายอย่างแท ้จริง

“วัชชีภม
ู ผ
ี อง สดับกลองกระหึมขาน
ทุกไท้ไป่ เอาภาร ่
ณ กิจเพือเสด็ จ
ไป
่ า
ต่างทรงรับสังว่ จะเรียกหาประชุมไย
เราใช่คนใหญ่ใจ ก็ขลาดกลัวบก
จากนั้นจึงรีบกราบทูลพระเจ ้าอชาตศัตรู แสดงให ้เห็นว่า
มีคณ
ุ สมบัตท ี่ ายกย่องด ้านการจงร ักภักดีตอ
ิ น่ ่ พระเจ ้าอชาตศัตรูและบา้ นเมือง

“เห็นเชิงพิเคราะห ์ช่อง ชนะคล่องประสบสม


พราหมณ์เวทอุดม ธ ก็ลอบ
แถลงการณ์
ให้วลั ลภ ชน คม ดลประเทศฐาน
กราบทูลนฤบาล อภิเผ้า มคธไกร”
้ งเป็ นเลิศและน่ าชืนชมในด
นอกจากนี ยั ่ ้านการทาอุบาย ดังคาประพันธ ์ที่ กล่าวไว ้
หลังจากพระเจ ้าอชาตศัตรูได ้แผ่นดินวัชชีอย่างง่ายดาย
เหล่าโอรสของกษัตริย ์ลิจฉวี


ไม่เชือใจซึ ่ นและกัน และสามารถถูกยุแหย่ได ้ง่าย สามารถเห็นได ้จากการ ทีพระโอรสองค
งกั ่ ่
์อืนๆไม่ ่ ง่
เชือสิ

ทีพระโอรสองค ์หนึ่ งทีถู ่ิ ตร
่ กเรียกเข ้าไปคุยกับ วัสสการพราหมณ์พูด แมส้ งที ่ ัสมาเหล่านั้นจะเป็ นเรืองจริ
่ งทุก
ประการ

“กุมารนันสนองสา รวากย ์วาทตาม
เลา
เฉลยพจน์กะครูเสา วภาพโดยคดี
มา

กุมารอืนสงสั
ย ่
มิเชือในพระ
วาจา
สหายราช ธ พรรณนา และต่างองค ์ก็พาที
ไฉนเลยพระครูเรา จะพูดเปล่า
ประโยชน์มี
กษัตริย ์ลิจฉวี
่ ความสามัคคีและตังมั
เป็ นตัวอย่างของหมู่เหล่าทีมี ้ นในอปริ
่ ่ ท ี่
หานิ ยธรรม ประดุจกิงไม้

รวมกันเป็ นกา ซึงยากที ่
ใครจะหั กทาลายลงได ้ ดังคาประพันธ ์ทีว่่ า

ิ่
“แม้มากผิกงไม้ ผิวใครจะใคร่ลอง

มัดกากระนันปอง พลหักก็เต็มทน”

เหล่ากษัตริย ์ร่วมกันปกครองแคว ้นวัชชีมานานทรงมีฐานะเสมอกันและยกย่ องให ้เกียรติ


กันเสมอ ก่อนกระทากิจใดๆย่อมต ้องมีการปรึกษาหารือ จนมีพละกาลังดัง่ “มัดกากิงไม้”

่ สสการพราหมณ์ดาเนิ นการยุยงเหล่าโอรส
ถึงแม ้จะรักษาความสามัคคีมาช ้านาน เมือวั

“ขุ่นมนเคือง ่
เรืองนฤสาร
เช่นกะกุมาร ก่อนก็ระดม
เลิกสละแยก แตกคณะกลม
เกลียว บ นิ ยม คบดุจเดิม”

จากบทประพันธ ์ข ้างต ้น เป็ นฉากหลังเสร็จสินการเรี
ยนกับวัสสการพราหมณ์ เหล่ากุมารก็ ปรึกษาหารือ

ถามไถ่ว่าพระอาจารย ์พูดเรืองอะไรบ ่ นเพราะคิด แล ้วไม่สมเหตุสมผล แต่ละ
้าง ต่างตอบตามความจริง แต่ไม่เชือกั
่ น
องค ์เริมขุ ่ นและกัน และไม่สนิ ทสนมกลมเกลียวกันเหมือน แต่กอ
่ เคืองใจซึงกั ้ เกิ
่ น ทังนี ้ ดเป็ นจุดเริมต
่ ้นของความ
ขัดแย ้ง จนกระทั่ง
“ต่างองค ์นาความมิงามทูล พระชนกอดิศรู
แห่ง ธ โดยมูล

ปวัตติความ
แตกร ้าวกร ้าวร ้ายก็ป้ายปาม ลุวรบิดรลาม
ทีละน้อยตาม ณ
เหตุผล
่ อเชือนั
ฟันเฝื ่ ยดนัยตน นฤวิเคราะห
เสาะสน
สืบจะหมองมล
เพราะหมายใด”

โอรสแต่ละองค ์นาเรืองกราบทู ลชนกของตน ความแตกสามัคคีคอ ่ี างขาด
่ ยๆลามไปถึงบรรดา กษัตริย ์ ทต่

วิจารณญาณและเชือในค าของโอรสย่างไร ้ข ้อกังขา

จนท ้ายทีสุ ่
่ ดเมือพระเจ ่
้าอชาตศัตรูยกทัพมา เหล่ากษัตริย ์ลิจฉวีก็มาถึงซึงความล่
มจม เหตุเพราะความ
่ ่ ่ ่

4. ฉากท้องเรือง

สามัคคีเภทคาฉันท ์เป็ นเรืองราวจากอิ ่ เค ้าโครงเรืองจากพระไตรปิ
นเดีย ซึงมี ่ ฎกในสมัย พระเจ ้าอชาตศัตรูแห่งแคว ้น
มคธ กวีของอินเดียจึงพรรณนาฉากให ้เข ้ากับบ ้านเมืองในสมัยนั้น อย่างไรก็ตามเมือไทยร
่ ่ เข
ับวรรณคดีเรืองนี ้ ้ามา นายชิต
บุรทัต ผูซ ่ึ นกวีไทย ได ้ปรับแต่งฉากให ้มีความ เป็ นไทย ตัวอย่างฉากจากวสันตดิลก ฉันท ์ ๑๔
้ งเป็
ิ ระยิง่
“ภาพเทพพนมวิจต นรสิงหะลายอง
ครุฑยุตภุชงค ์วิยะผยอง และเผยอขยับ
ผัน”
บทร ้อยกรองข ้างต ้นพรรรณนาถึงความสวยงามของภาพบนผนัง มีการกล่าวถึงนรสิงห ์และ ครุฑยุดนาคที่
ประหนึ่ งว่ากาลังขยับบินอย่างองอาจ

“โดยรอบมหานคระเล่ หะสิเนรุปราการ

มันคงอริ
นทระจะราญ ก็ระย่อแล ้วท้อ
หนี ”
“เนื องแน่ นขนัดอัศวะพา หนะชาติกญ
ุ ชร
ชาญศึกสมรรถะณสมร ชยะ
เพิกริปูภน
ิ ทร ์”

่ านาญสงคราม เผยให ้เห็นถึงความสนุ กสนาน ในแผ่นดิน


เมืองเนื องแน่ นไปด ้วยม้าศึก และช ้างศึกทีช
อันรุง่ เรืองและงดงาม

“สามยอดตลอดระยะระยับ วะวะวับสลับพรรณ
ช่อฟ้ าตระการกลจะหยัน ่ ฆม
จะเยาะยัวทิ ั พร”

่ นสิงที
มีการกล่าวถึง “ช่อฟ้ า” ซึงเป็ ่ อยู
่ บ
่ ริเวณยอดสุดของหน้าบันในสถาปัตยกรรมไทย เนื่ องจากช่อฟ้ า

เป็ นนัยทีหมายถึงการบูชาพระร ัตนตร ัย และทวยเทพบนสวรรค ์เหตุนีพญานาค ้ จึงถูกใช ้เป็ นส่วนต่างๆใน
ศิลปะการก่อสร ้างของไทยเนื่ องจากมีความเชือที ่ ว่่ าเป็ นสัตว ์ทีคุ
่ ้มครองพระพุทธศาสนา
“บานบัฏพระบัญชรสลัก ฉลุลก
ั ษณ์เฉลาลาย
เพดานก็ดารกะประกา ระกะดาษประดิษฐ ์ดี”

่ ้ร ับการสลักอย่างสวยงาม อีกทังยั
มีการกล่าวถึงหน้าต่างแบบไทยทีได ้ งมีดวงดาวต่างๆ บนเพดานเหมือน
ในวัดไทย
นอกจากนี ยั้ งมีการบรรยายฉากถึงความวุน ่
่ วายเมือแคว ้นของพระเจ ้าอชาตศัตรู

เดินทางมาถึงเมืองเวสาลี ประชาชนต่างแตกตืนและหลบเข ้าป่ า มีสว่ นทาให ้ผูอ้ า่ น คล ้อยตาม
และสัมผัสถึงความหวาดกลัวทีแผ่ ่ กระจายไปทัวทั
่ งเมื
้ อง ชาวบ ้านต่าง พากันอพยพครอบคร ัว

เพือหนี ้ ้านเรือนเข ้าไปหลบหนี ในป่ า
ภยั ทิงบ
“ข่าวเศิกเอกอึง ทราบ
ถึงบัดดล
ในหมู่ผค
ู้ น ชาวเว
สาลี

แทบทุกถินหมด ชนบท
บูร ี
่ ญหนี
อกสันขวั

หวาดกลัวทัวไป
5. บทเจรจาหรือราพึง
ราพัน
“เอออุเหม่นะมึงชิชา
่ งกระไร

ทุทาสสถุลฉะนี ไฉน ก็มาเป็ น
ศึกบ่ถงึ และมึงก็ยงั มิเห็น
จะน้อยจะมากจะยากจะเย็น ประการใด

อวดฉลาดและคาดแถลงเพราะใจ
้ ทน
ขยาดขยันมิ ั อะไร ่ ”
ก็หมินกู
่ นฉากจากอีทส
จากตัวอย่างข ้างต ้น ซึงเป็ ่ี ความ
ิ งั ฉันท ์ ๒๐ สามารถวิเคราะห ์ได ้ว่าพระเจ ้าอชาตศัตรู เป็ นผูท้ มี
เฉลียวฉลาด ท่านทรงรับฟังกลอุบายตามคากราบทูลของวัสสการพราหมณ์ ทรงกระทาเหมือนว่าทรงขัดเคืองพระ

ราชหฤทัยได ้สมจริง ทรงเกรียวกราดเเละตวาดด ่ า เกรงขาม ทาใหัคนเชือได
้วยเสียงทีน่ ่ ้ง่าย
่ า
“ต่างทรงรับสังว่ จะ
เรียกหาประชุมไย
เราใช่เป็ นใหญ่ใจ ก็
ขลาดกลัว บ กล ้าหาญ
่ นใหญ่
ท่านใดทีเป็ และ
กล ้าใครมิเปรียบปาน
พอใจใคร่ในการ
ประชุมชอบก็เชิญเขา
ปรึกษาหารือกัน ไฉน
้ ทาเนา
นันก็
จักเรียกประชุมเรา บ แล

6. แก่นเรือง

เเก่นหลักของเรืองสามัคคีเภทคาฉันท ์คือโทษของการเเตกความสามัคคีซงท ึ่ าให ้เกิดความหายนะ ในหมู่คณะ

แก่นเรืองรองอื ่
นๆที ่ บสนุ นเเก่นเรืองหลั
สนั ่ กให ้เด่นชัดมีหลายประการ ได ้เเก่

การรู ้จักเลือกใช ้บุคคลให ้เหมาะสมกับงานจะทาให ้งานสาเร็จด ้วยดี


“ทิชงค ์ชาติฉลาดยล คะเนกลคะนึ งการ
กษัตริย ์ลิจฉวีวาร ระวังเหือดระแวงหาย
เหมาะแก่การณ์จะเสกสรร ปวัตน์วญ
ั จโนบาย
มล ้างเหตุพเิ ฉทสาย ์
สมัครสนธิสโมสร ”

่ี สติปัญญาหลักเเหลมเเละสามารถคิดกลอุบาย
บทประพันธ ์ข ้างต ้นเเสดงให ้เห็นว่าวัสสการพราหมณ์เป็ นผูท้ มี

ได ้เเยบยล ซึงเเสดงให ้เห็นว่าพระเจ ้าอชาตศัตรูเลือกใช ้บุคคลได ้เหมาะสม
กับงานทาให ้สุดท้ายเเล ้วประสบผลสาเร็จ
การใช ้สติปัญญาเอาชนะฝ่ ายศัตรูโดย
ไม่ต ้องเสียเลือดเนื อ้
“ไป่ พักต ้องจะกะเกณฑ ์นิ กายพหลโรย
แรงเปลืองระดมโปรย
ประยุทธ ์ การถือความคิดของตนเป็ นใหญ่และทะนงตนว่าดีกว่า
่ื อมทาให ้เกิดความเสียหายต่อส่วนรวม
ราบคาบเสร็จ ธ เสด็จลุราชคฤหอุต ผูอ้ นย่
้ นเพราะผั
“เหียมนั ้ นแผก คณะแตกและ
ดมเขตบุเรศดุจ
ณ เดิม” ต่างม
ถือทิฐมิ านสา หสโทษ
จากบทประพันธ ์ข ้างต ้นเเสดงให ้เห็นว่ากลอุบาย พิโรธจอง
ของวัสสการพราหมณ์ ทาให ้ฝ่ ายกษัตริย ์ลิจฉวี แตกความ
สามัคคีกน ่
ั เมือกองทั
พของ พระเจ ้าอชาตศัตรูมาถึงก็ แยกพรรคสมรรคภิน ้
ทนสินบปรองดอง
สามารถยึดครองแคว ้น ได ้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต ้องเสีย ขาดญาณพิจารณ์ตรอง ตริมลักประจักษ ์
เลือดเสียเนื อ้
เจือ”
จากบทประพันธ ์ข ้างต ้นเเสดงให ้เห็นถึงการเเตกสามัคคี ต่างคน
่ ดสินใจทาสิงใดย่
การใช ้วิจารณญาณใคร่ครวญก่อนทีจะตั ่ อม
เป็ นการดี


“เชืออรรถยุ บลเอา รสเล่าก็
ง่ายเหลือ
เหตุหากธมากเมือ คติโมหเป็ นมูล

จึงดาลประการหา ยนภาว
อาดูร
เสียแดนไผทสูญ ยศศักดิ

เสือมนาม ”
การอ่านและพิจารณาการใช้
ภาษาในวรรณคดีและวรรณกรรม
1. การสรรคา

เลือกใช ้คาให ้เหมาะสมกับเรืองและฐานะของบุ ่
คคลในเรือง

“ราชาลิจฉวี ไป่ มีสกั องค ์


อันนึ กจานง ่ กเสด็จไป
เพือจั
ต่างองค ์ดารัส เรียกนัดทาไม
ใครเป็ นใหญ่ใคร กล ้าหาญเห็นดี”
จากคาประพันธ ์ข ้างต ้น มีการใช ้คาราชาศัพท ์ ซึงก็ ่ คอื คาว่า “ดารัส” ทีแปลว่
่ าการพูดของกษัตริย ์ และคาว่า

“เสด็จ”ทีหมายถึ ่ นฉากทีกษั
ง ไป ซึงเป็ ่ ตริย ์ลิจฉวีแสดงความคิดเห็นว่าเหตุใดพระองค ์จึงต ้องไปรวมตัวประชุม แม้วา่ เสียงกลองนัด
จะดังขึน้ ตัวอย่างนี ชี
้ ให
้ ้เห็นว่าผูแ้ ต่งใช ้คาราชาศัพท ์ ได ้อย่างถูกต ้องและเหมาะสมกับฐานะ และสถานภาพของกษัตริย ์ เนื่ องจาก
้ มี
เป็ นชนชันที ่ คาศัพท ์เฉพาะตน
เลือกใช ้คาให ้เหมาะสมแก่ลก
ั ษณะของคาประพันธ ์

“เอออุเหม่นะมึงชิชา
่ งกระไร

ทุทาสสถุลฉะนี ไฉน ก็มาเป็ น
ศึกบ่ถงึ และมึงก็ยงั มิเห็น
จะน้อยจะมากจะยากจะเย็น ประการใด
อวดฉลาดและคาดแถลงเพราะใจ
้ ทน
ขยาดขยันมิ ั อะไร ่ ”
ก็หมินกู
่ นฉากจากอีทส
จากตัวอย่างข ้างต ้น ซึงเป็ ่ี ความ
ี งั ฉันท ์ ๒๐ สามารถวิเคราะห ์ได ้ว่าพระเจ ้าอชาตศัตรู เป็ นผูท้ มี
เฉลียวฉลาด ท่านทรงรับฟังกลอุบายตามคากราบทูลของวัสสการพราหมณ์ ทรงกระทาเหมือนว่าทรงขัดเคืองพระ

ราชหฤทัยได ้สมจริง ทรงเกรียวกราดเเละตวาดด ่ าเกรงขาม ทาให ้คนเชือได
้วยเสียง ทีน่ ่ ้ง่าย
“อาพนพระมนทิรพระราช สุนิวาสน์วโรฬาร ์
อัพภันตรไพจิตรและพา หิรภาคก็พงึ ชม

เล่ห ์เลือนชะลอดุ สติ ฐา นมหาพิมานรมย ์
มารังสฤษฏ ์พิศนิ ยม ผิจะเทียบก็เทียมทัน
สามยอดตลอดระยะระยับ วะวะวับสลับพรรณ
ช่อฟ้ าตระการกลจะหยัน ่ ฆม
จะเยาะยัวทิ ั พร
บราลีพล ิ าศศุภจรูญ นภศูลประภัสสร
หางหงส ์ผจงพิจต ิ รงอน ดุจกวักนภาลัย”

่ ลล
มีการใช ้คาทีมี ่
ี านุ่ มนวลในการแต่งบทชมต่างๆเพือพรรณนาภาพอั
นงดงาม เช่น บทชมเมืองราชคฤห ์ใน
แคว ้นมคธของพระเจ ้าอชาตศัตรู
เลือกใช ้โดยคานึ งถึงเสียง ่ นเสียงหนักเบา
คาทีเล่
คาเลียนเสียงธรรมชาติ ในการแต่งกาพย ์สุรางคนางค ์ ๒๘ นายชิต บุรทัต ได ้เพิม่

“วัชชีภม
ู ผ
ี อง ลักษณะบังคับ ใช ้คาครุ แต่งสลับกับคาลหุ ทาให้มีเสียงสันยาวเป็ น
จังหวะคล ้ายฉันท ์ ตัวอย่างเช่น
สดับกลองกระหึมขาน
ทุกไท้ไป่ เอาภาร ณ กิจเพือ่
“สะพรึบสะพรัง่ ณ หน้าและหลัง
เสด็จไป”
จากบทประพันธ ์ข ้างต ้น มีการใช ้คาเลียนเสียง ณ ซ ้ายและขวา ละหมู่ละหมวด
่ คอื เสียง “กระหึม” ตอนตีกลองเรียกประชุม ก็ตรวจก็ตรา
ธรรมชาติ ซึงก็ ประมวลกะ
่ อให ้เกิด ความรู ้สึกฮึกเหิม
เป็ นคาทีก่ มา
่ นเสียงสัมผัส
สิมากประมาณ”
คาทีเล่
้ ้ คาพ้องเสียงและคาซา้
ผูป้ ระพันธ ์เลือกสรรถ ้อยคาแล ้วนามาเรียงร ้อยอย่างดี ทังนี
ทาให ้เกิด เสียงอันไพเราะเนื่ องจากการเล่นเสียงสัมผัสใน อีก “สามยอดตลอดระยับระยับ วะวะวับสลับ
้ ยงสัมผัส พยัญชนะและสัมผัสสระ เช่น
ทังเสี พรรณ
“แตกร ้าวกร ้าวร ้ายก็ป้ายปา ช่อฟ้ าตระการกลจะหยัน
ลุวรบิดรลาม ่ ฆมั พร”
จะเยาะยัวทิ
ทีละน้อยตาม
มีการใช ้สัมผัสพยัญชนะและสัมผัสสระ รวมถึง
2. การเรียบเรียงคา

่ ่ ความสาค ัญเท่าๆกัน เคียงขนานกันไป


2. เรียงคา วลี หรือประโยคทีมี
1. เรียงข้อความทีบรรจุ สารสาค ัญไว้ทา้ ยสุด
้ ่ ว่่ า ความ
ผูเ้ ขียนต ้องการเน้นยาถึงใจความสาคัญของเรืองที
หวาดระแวงเป็ นสิงส ่ าคัญทีจะท
่ าใหแ้ ผนการยึดครองแคว ้นวัชชี “ต่างทรงสาแดง ความแขง
้ ้นด ้วยแผน
ของพระเจ ้าอชาตศัตรูสาเร็จ จึงขึนต
่ จะส่
่ งผลให ้
อานาจ
อันชาญฉลาดของวัสสการพราหมณ์เพราะเป็ นสิงที
ความสามัคคีน้ันเหือดหายไป สามัคคีขาด
แก่งแย่งโดยมาน
“ทิชงค ์ชาติฉลาดยล คะเนกลคะนึ ง ภูมศิ ลิจฉวี วัชชีรฐั บาล
การ บ่ ชุมนุ มสมาน
กษัตริย ์ลิจฉวีวาร ระวัง แม้แต่สกั องค”์
เหือดระแวงหาย”
ผูป้ ระพันธ ์ใช ้คาว่า “สาแดง” “ความแขงอานาจ” และ “สามัคคีขาด”
ตามลาดับ เนื่ องจากทุกคาส่งผลไปในเชิงลบ และมีความหมายเท่ากันๆ เพราะคา
ว่าสาแดงหมายถึง การแสดง หรือทาใหเ้ ห็นฤทธิของตน์ เป็ นการไม่ยอมกันเหมือน

ความแขงอานาจ หรือถืออานาจทีตนเองเป็ นใหญ่ไม่ผ่อนปรนให ้กัน เหล่ากษัตริย ์
ต่างแสดงความเพิกเฉย ปราศจากความสามัคคี ปรองดองในจิตใจ

3.เรียบเรียงประโยคให้เนื อหาเข้ ้
มข้นขึนไปตามล ้ นไดจนถึงขันสุ
าด ับดุจขันบั ้ ดท้ายทีส
่ าค ัญทีสุ
่ ด

้ นเพราะผั
“เหียมนั ้ นแผก คณะแตกและต่างมา
ถือทิฐมิ านสา หสโทษพิโรธจอง
แยกพรรคสมรรคภิน ทนสิน้ บ ปรองดอง
ขาดญาณพิจารณ์ตรอง ตริมหลักประจักษ ์เจือ

เชืออรรถยุ
บลเอา รสเล่าก็งา่ ยเหลือ
เหตุหาก ธ มากเมือ คติโมหเป็ นมูล

จึงดาลประการหา ยนภาวอาดูร
เสียแดนไผทสูญ ่
ยศศักดิเสือมนาม ”


บทประพันธ ์ข ้างต ้นเป็ นส่วนขอคติธรรม ทีแสดงล าดับเหตุการณ์ทส ี่ าคัญโดยเริมการที
่ ่ ตริย ์ แต่ละองค ์ยึดมันใจความคิ
กษั ่ ดของตน
่ จารณาไตร่ตรองและเชือถ
ขาดปัญญาทีจะพิ ่ ้อยคาของพระโอรสอย่างง่ายดาย เมือความโกรธเข
่ ่
้าควบคุม ก็นามาซึงความฉิ บหาย เสีย
้ นดิน และชือเสี
ทังแผ่ ่ ยงเกียรติยศทีเคยมี
่ ้
มา โดยสรุปแล ้วเป็ น การสรุปเนื อหาจากตอนต ่ นต ้นเหตุของความโกรธเคือง จนถึงตอน
้นซึงเป็
่ ายแพใ้ ห้กบั กรุงราชฤห ์
จบทีพ่

4. เรียบเรียงประโยคให้เนื อหาเข้ ้
มข้นขึนไปตามลาดับแต่คลายความเข้มข้นลงในช่วงหรือประโยค สุดท้าย
อย่างฉับพลัน

นายชิต บุรทัต ประพันธ ์โดยใช ้การเรียบเรียงประโยคไปตามลาดับ เพือให ่ ้ผู ้อ่านติดตามลาดับของ เหตุการณ์ และเข ้าใจเนื อ้

เรืองได ้
้ดีมากขึนแต่ ่
ทว่าผู ้เขียนได ้มีการตัดบทหรือคลายความเข ้มข ้นของ เรืองในตอนท ่
้ายอย่างฉับพลัน ดังทีปรากฏในบทประพั นธ ์
้ ่ ้ ่
นี โดยตอนแรกกล่าวถึงการทีวัสสาการพราหมณ์ นันน่ าชืมชนในด ้านการทาอุบายครอบครอง แคว ้นวัชชีซงเกิ ่
ึ ดความวุน่ วายใน
เมืองเป็ นอย่างมาก หากแต่บรรทัดต่อมาได ้คลายความเข ้มข ้นลงโดยมีการกล่าวถึง พระพุทธเจ ้า และผลแห่งความพร ้อมเพรียงกัน

“ควรชมนิ ยมจัด คุรวุ สั สการพราหมณ์


เป็ นเอกอุบายงาม กลงากระทามา
พุทธาทิบณั ฑิต คิดพินิจปรา
รภสรรเสริญสา ธุสมัครภาพผล
ว่าอาจจะอวยผา สุกภาวมาดล
ดีสหู่ ณ หมู่ตน บ นิ ราศนิ รนั ดร
หมู่ใดผิสามัค คยพรรคสโมสร
5. เรียบเรียงถ้อยคาให้เป็ นประโยคคาถามเชิงวาทศิลป์
“ลุหอ
้ งหับรโหฐาน ก็ถามการณ์ ณ ทันใด
ี ้ บอะไรใน
มิลลั กถาเช่น ธ ปุจฉา
จะถูกผิดกระไรอยู่ มนุ ษย ์ผูก้ ระทานา
และคูโ่ คก็จงู มา ประเทียบไถมิใช่หรือ”

“อย่าติและหลู่ ครูจะเฉลย
เธอน่ ะเสวย ภัตกะอะไร
ในทินนี ่ ดี ฤ ไฉน
พอหฤทัย ่
ยิงละกระมั
ง”
้ นบททีวั่ สสการพราหมณ์ถามเหล่ากุมาร ซึงเป็
บทเจรจานี เป็ ่ ได ้ต ้องการคาตอบแต่อย่างใด
่ นบทเจรจาทีไม่
วัสสาการพราหมณ์ใช ้ความสามารถทางวาทศิลป์ ของตนเองในการเสนอแนวคิดของเรืองทั่ ่วไปให ้กับพระกุมาร ซึงเป็
่ นส่วนหนึ่ ง
ของอุบายดังปรากฎในตัวอย่างข ้างต ้น
3. การใช้โวหาร

อุปมาโวหาร
“กุมารลิจฉวีขต
ั ติย ์ ก็ร ับอรรถอออือ
กสิกเขากระทาคือ ประดุจคาพระอาจารย ์”


จากบทร ้อยกรองข ้างต ้นเป็ นฉากทีพระกุ ่ นด ้วยว่าชาวนาก็คงจะกระทาดังคาของพระอาจารย ์ซึงก็
มารลิจฉวีก็รบั สังเห็ ่ คอื วัสสา
่ เป็
การพราหมณ์ ในทีนี ้ นการเปรียบเทียบว่าการกระทาประดุจดังคาพระอาจารย ์

“ขุน
่ มนเคือง ่
เรืองนฤสาร
เช่นกะกุมาร ก่อนก็ระดม
เลิกสละแยก แตกคณะกลม
เกลียว บ นิ ยม คบดุจเดิม”


จากบทร ้อยกรองข ้างต ้นพระกุมารลิจฉวีตา่ งระแวงใจในกันและกัน ต่อมาก็แตกความสามัคคีและไม่มเี ป็ นนาหนึ ่ง

นาใจเดี
ยวกันเหมือนแต่กอ ่ เป็
่ น ในทีนี ้ นการเปรียบเทียบว่าความสามัคคีนั้นไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
บุคคลวัต
“วัชชีภม
ู ผ
ี อง สดับกลองกระหึมขาน
ทุกไท ้ไปเอาภาร ่
ณ กิจเพือเสด็ จไป”

กริยา “ขาน” นั้นหมายถึง การกล่าวเรียก ซึงเป็่ นกริยาของมนุ ษย ์ โดยบทประพันธ ์ได ้นากริยานี มาใช
้ ่ นสิงของ
้กับกลองซึงเป็ ่ ที่
ไม่มช
ี วี ต ่
ิ แต่หากทากริยาดังเช่นมนุ ษย ์เพือสร ้างจินตภาพ ให้เห็นว่าเสียงของกลองสามารถใช ้เรียกหรือพูดให้ผู ้ฟังได ้ยินอย่างช ัดเจน

สัญลักษณ์
ิ่
“แม้มากผิกงไม้ ผิวใครจะใคร่ลอง
มัดกากระนั้นปอง พลหักก็เต็มทน
เหล่าไหนผิไมตรี สละลี ้ ณ หมู่ตน
กิจใดจะขวายขวน บ มิพร ้อมมิเพียงกัน”


โดยธรรมชาติแล ้วกิงไม้กิ ่ ยวสามารถหักได ้ง่ายด ้วยมือเปล่า หากแต่มด
งเดี ั รวมกันแล ้ว การใช ้กาลังมหาศาลก็มอ
ิ าจ
่ ่ ้ ่ ้ ่
ทาลายได ้ ดังเช่นในบรรทัดทีกล่าวว่า “มัดกากระนันปอง พลหักก็เต็มทน” ในทีนี ผูเ้ ขียนได ้นากิงไม้มาใช ้เป็ นสัญลักษณ์ของความ
สามัคคี ช่วยอธิบายให้เห็นว่า หากมีความสามัคคีในหมู่คณะ เมือร่ ่ วมมือกันก็จะแข็งแกร่ง แม้แต่กาลังภายนอกก็ไม่สามารถทาลาย

ความเป็ นนาหนึ ่ งนาใจเดี
้ ้
ยวกันนี ลงได ้
อติพจน์


“ตืนตาหน้
าเผือด หมดเลือดสันกาย่
้ ตาย
หลบลีหนี วุน ่
่ หวันพร ่ั
นใจ
ซุกครอกซอกครัว ซ่อนตัวแตกภัย
เข ้าดงพงไพร ้ านบ ้านตน”
ทิงย่


บทประพันธ ์ข ้างต ้นมาจากตอนทีพระเจ ่ าวว่า “ตืน
้าอชาตศัตรูยกทัพมาตีแคว ้นวัชชี โดยวรรคทีกล่ ่

ตาหน้าเผือด หมดเลือดสันกาย” ่ื
หมายความว่า ชาววัชชีตนตกใจกั บการรุกรานของพระเจ ้า อชาตศัตรูเป็ นอย่าง
่ นการกล่าวเกินจริง แต่หากช่วยทาให ้เห็นภาพทีชัดเจนและเข
มากจนหน้าซีดเหมือนเลือดหมดตัว ซึงเป็ ่ ้าถึง
้ องมากขึ
อารมณ์ของเนื อเรื ่ น้
การอ่านและพิจารณาประโยชน์
หรือคุณค่าในวรรณคดีและ
วรรณกรรม
1. คุณค่าด้านอารมณ์
“พวกราชมัลโดย พลโบยมิใช่เบา
ดหัตถแห่งเขา ขณะหวดสิพงึ กลัว
้ เนื อเต
บงเนื อก็ ้ ้น พิศเส ้นสรีร ์รัว
่ างและทังตั
ทัวร่ ้ ว ก็ระริกระริวไหว
แลหลังละลามโล หิตโอ ้เลอะหลังไป่
เพ่งผาดอนาถใจ ระกะร่อยเพราะรอยหวาย
่ บอเนกแนว
เนื องนั ระยะแถวตลอดลาย

เฆียนครบสยบกาย สิรพ
ิ บั พะกับคา”
่ นสิงที
บทประพันธ ์ข ้างต ้นมีการใช ้คาหนักเบาของฉันท ์ลักษณ์ได ้เข ้ากันกับอารมณ์ ซึงเป็ ่ ช่
่ วยดึงอารมณ์
ของผูอ้ า่ นให ้เข ้ากับสถานการณ์ เหตุการณ์ดงั กล่าวเป็ นตอนทีวั่ สสการพราหมณ์โดนสังโบย่ ทาให ้เกิดภาพของ

แผ่นหลังทีโดนโบย ้ ้นระริก เลือดไหลเปรอะไปทัวจนเป็
มองเห็นเนื อเต ่ ้
นริวรอยน่ าอนาถใจ จึงทาให ้ผูอ้ า่ นเห็นภาพ
แล ้วก็เกิดความรู ้สึกเจ็บปวดและสงสารในสิงที ่ วั่ สสการพราหมณ์โดนกระทา
1. คุณค่าด้านคุณธรรม

คุณค่าทางด้านสามัคคีซงเป็ ่ึ นคุณค่าหลักของวรรณคดีเรืองนี ่ ้ ไม่ว่าจะเป็ นบ ้านเมืองหรือผูค้ นในสังคม หาก



สูญเสียคุณค่าด ้านนี ไปก็ ยากประสบความสาเร็จ เพราะการจะทาการใดในชีวต ิ นั้นไม่สามารถทาได ้ด ้วยตัวคนเดียว
ตัวอย่างเช่น คาประพันธ ์ต่อไปนี ้ ซึงเป็
่ นฉากทีกองทั
่ พของพระเจ ้าอชาตศัตรูเอาชนะแคว ้นวัชชีได ้โดยไม่ต ้อง
เปลืองแรง และทาให ้กษัตริย ์ลิจฉวีเสียบ ้านเมืองไปอย่างง่ายดาย เนื่ องจากสูญเสียความสามัคคีทร่ี ักษาไว ้มานาน
“ไป่ พักต ้องจะกะเกณฑ ์นิ กายพหลโรย
แรงเปลืองระดมโปรย ประยุทธ ์
ราบคาบเสร็จธเสด็จลุราชคฤตอุต
ดมเขตบุเรศดุจ ณเดิม”

มีความหนักแน่ ไม่เชือคนง่่ าย เช่น กษัตริย ์ถูกวัสสการพรามหณ์ใช ้อุบายยุแหย่ให ้แตกความสามัคคี


ก็พ่ายแพ้ศต
ั รูได ้โดยง่ายดาย
“ครูวส
ั สการแส่ กลแหย่ยด ุ พ
ี อ
่ วน บ เหลือหลอ
ปันป่ จะมิร ้าวมิรานกัน”
ความแตกสามัคคีทาให ้บ ้านเมืองไม่สงบสุขเเม้ว่าจะทากิจอันใดก็ย่อมไม่ประสบผลสาเร็จ เช่น
ความแตกสามัคคีกน
ั ในราชวงศ ์ทาให ้บ ้านเมืองไม่สงบและทาให ้ข ้าศึกโจมตีไดง้ ่าย
“เหล่าไหนผิไมตรี สละลี ้ณ หมู่ตน
กิจใดจะขวายขวน บ มิพร ้อมมิเพรียงกัน
อย่าปรารถนาหวัง ้ ญอัน
สุขทังเจริ
มวลมาอุบตั บ
ิ รร ลุไฉน บ ได ้มี”

หลักธรรมอปริหานิ ยธรรม7ซึงเป็ ่ นหลักธรรมทีส่่ งผล ให ้เกิดความเจริญของหมู่คณะ ปราศจาก



ความเสือมได ่ อนและตรงกัน และ
้ เช่น การเข ้าประชุมโดยพร ้อมเพรียงกัน ทาให ้ทราบข ้อมูลทีเหมื
ไม่ทาให ้เกิดการความเข ้าใจผิดกัน
“ควรชนประชุมเช่น คณะเป็ นสมาคม
ขอบคุณค่ะ

You might also like