Professional Documents
Culture Documents
E 047 e 16 B 58777844 D 98 e
E 047 e 16 B 58777844 D 98 e
การอ่านและพิจารณาวรรณคดี เรือง
สามัคคีเภทคาฉันท ์
วิชญาดา วรรณะ
เลขที่ 22
ชญาภรณ์ เหล่าวัฒนช ัย เลขที่ 8
อภิษฎา ฉัตร ์ชลบุษย ์
เลขที่ 3
้
การอ่านและพิจารณาเนื อหา
และกลวิธใี นวรรณคดีและวรรณกรรม
้ อง
1.เนื อเรื ่
่ ราชคฤห ์เป็ นเมืองหลวง ทรงมีพระประสงค ์จะ
พระเจ ้าอชาตศัตรู กษัตริย ์ผูป้ กครองแคว ้นมคธ ทีมี
้ นอยู
่
ขยายอาณาจักรให ้กว ้างขวาง โดยหมายตาแคว ้นวัชชีของ กษัตริย ์ลิจฉวี อันปกครองและตังมั ใ่ น
่ ยกว่า อปริหานิ ยธรรม คือธรรมอันไม่ เป็ นทีตั
ธรรมทีเรี ่ งแห่
้ งความ เสือมซึ
่ ่ นความสามัคคีเป็ นหลัก
งเน้
ดังนั้นการจะทาสงครามจึงต ้องใช ้ ปัญญามิใช่กาลัง อย่างไรก็ตามพระเจ ้าอชาตศัตรูทรงมีปโุ รหิตทีปรึ
่ กษา
คนสนิ ทชือ่ วัสสการพราหมณ์ เนื่ องด ้วย วัสสการพราหมณ์ เป็ นผูร้ อบรู ้ด ้านศิลปศาสตร ์และมีสติปัญญา
้
อันเฉี ยบแหลมทังสองจึ ่
ง ปรึกษาเพือหากลอุ
บายทาลายความสามัคคีของกษัตริย ์ลิจฉวีโดยการเนรเทศ
่ นทางไปยังเมืองเวสาลี
วัสสการพราหมณ์ออกจากแคว ้นมคธเพือเดิ
่ นผู ้มีวาทศิลป์ รู ้จักใช ้เหตุผลโน้มน้าวใจ จึงทาให ้เหล่ากษัตริย ์ร ับ วัสสการพ
ด ้วยความทีเป็
่ จารณาคดีความและถวาย พระอักษรเหล่าพระกุมาร
ราหมณ์ไว ้ในราชสานักโดยให ้ทาหน้าทีพิ
้
ทังหลายจนเป็ ่ ้ใจ ครนได
นทีไว ้ั ้โอกาสคาดคะเนว่าพวกกษัตริย ์ไว ้ วางใจตน ก็เริมท
่ าอุบายให ้ศิษย ์
ู สิน้ เมือนั
ผ่านไป ๓ ปี สามัคคีธรรมในหมู่กษัตริย ์ ลิจฉวีก็สญ ่ ้นพระเจ ้าอชาตศัตรูจงึ ได ้กรีธาทัพสู่
้ั
ในครงโบราณกาล กษัตริย ์องค ์หนึ่ งมีพระประสงค ์จะขยายอาณาจักรออกไปยังแคว ้นทีมี
่ ความเข ้มแข็ง
เพราะมีคณ ุ ธรรมในความสามัคคี พระองค ์จึงส่งปุโรหิตคนสนิ ทเข ้าไปยุแหย่ให ้เหล่ากษัตริย ์ผูป้ กครอง
แคว ้นเกิดความแตกแยกและขัดแย ้งกัน ท ้ายทีสุ ่ ดแล ้วแผนการก็สาเร็จ
3. ตัวละคร
พระเจ้าอชาตศ ัตรู
่
จากเรืองสามั
คคีเภทคาฉันท ์ ตอนพระเจ ้าอชาตศัตรูยกทัพมาตีแคว ้นวัชชี ชีให ้ ้เห็นว่าพระองค ์ทรงมี
่ าให ้ความต ้องการทีจะแผ่
ความเฉลียวฉลาด มีความแข็งแกร่ง รู ้จักใช ้คนทีท ่ พระบรมเดชานุภาพของตนเองสาเร็จ
ผล
“จอมทัพมาคธราษฎร ์ธ ยาตรพยุหกรี
ี่
เป็ นผูท้ ยอมเสี ่
ยสละ ออกจากบ ้านเมืองมายาวนานและเสียงไปอยู ่ในหมู่ศต
ั รู ต ้องใช ้ความอดทน
และร ักษาความลับเพือให ่ ้อุบายสัมฤทธิผล
์ เพราะจากคาประพันธ ์ข ้างต ้น แผนการนี ยาวนานถึ
้ ง ๓ ปี
่ วงสามปี ประมาณมา
“ครันล่ สหกรณประดา
ลิจฉวีรา ้
ชทังหลาย
สามัคคีธรรมทาลาย มิตรภิทนะกระจาย
่
สรรพเสือมหายน์ ก็เป็ นไป”
ี่ ความรอบคอบไม่ประมาท เมือแผนการคาดว่
เป็ นผูท้ มี ่ าจะสัมฤทธิผล ์ เพราะสังเกตเห็น ความ
แตกแยกและต ้องการตรวจสอบว่ากษัตริย ์ลิจฉวีแตกสามัคคีกน ั อย่าแท ้จริง จึงลอง ตีกลองนัดประชุม
ปรากฏว่าไม่มก ่
ี ษัตริย ์องค ์ใดเข ้ามาประชุมเลย จึงทาให ้มันใจได ้ว่า เหล่ากษัตริย ์ต่างมีความขุน
่ เคืองให ้
อีกฝ่ ายอย่างแท ้จริง
“วัชชีภม
ู ผ
ี อง สดับกลองกระหึมขาน
ทุกไท้ไป่ เอาภาร ่
ณ กิจเพือเสด็ จ
ไป
่ า
ต่างทรงรับสังว่ จะเรียกหาประชุมไย
เราใช่คนใหญ่ใจ ก็ขลาดกลัวบก
จากนั้นจึงรีบกราบทูลพระเจ ้าอชาตศัตรู แสดงให ้เห็นว่า
มีคณ
ุ สมบัตท ี่ ายกย่องด ้านการจงร ักภักดีตอ
ิ น่ ่ พระเจ ้าอชาตศัตรูและบา้ นเมือง
่
ไม่เชือใจซึ ่ นและกัน และสามารถถูกยุแหย่ได ้ง่าย สามารถเห็นได ้จากการ ทีพระโอรสองค
งกั ่ ่
์อืนๆไม่ ่ ง่
เชือสิ
่
ทีพระโอรสองค ์หนึ่ งทีถู ่ิ ตร
่ กเรียกเข ้าไปคุยกับ วัสสการพราหมณ์พูด แมส้ งที ่ ัสมาเหล่านั้นจะเป็ นเรืองจริ
่ งทุก
ประการ
้
“กุมารนันสนองสา รวากย ์วาทตาม
เลา
เฉลยพจน์กะครูเสา วภาพโดยคดี
มา
่
กุมารอืนสงสั
ย ่
มิเชือในพระ
วาจา
สหายราช ธ พรรณนา และต่างองค ์ก็พาที
ไฉนเลยพระครูเรา จะพูดเปล่า
ประโยชน์มี
กษัตริย ์ลิจฉวี
่ ความสามัคคีและตังมั
เป็ นตัวอย่างของหมู่เหล่าทีมี ้ นในอปริ
่ ่ ท ี่
หานิ ยธรรม ประดุจกิงไม้
่
รวมกันเป็ นกา ซึงยากที ่
ใครจะหั กทาลายลงได ้ ดังคาประพันธ ์ทีว่่ า
ิ่
“แม้มากผิกงไม้ ผิวใครจะใคร่ลอง
้
มัดกากระนันปอง พลหักก็เต็มทน”
“ขุ่นมนเคือง ่
เรืองนฤสาร
เช่นกะกุมาร ก่อนก็ระดม
เลิกสละแยก แตกคณะกลม
เกลียว บ นิ ยม คบดุจเดิม”
้
จากบทประพันธ ์ข ้างต ้น เป็ นฉากหลังเสร็จสินการเรี
ยนกับวัสสการพราหมณ์ เหล่ากุมารก็ ปรึกษาหารือ
่
ถามไถ่ว่าพระอาจารย ์พูดเรืองอะไรบ ่ นเพราะคิด แล ้วไม่สมเหตุสมผล แต่ละ
้าง ต่างตอบตามความจริง แต่ไม่เชือกั
่ น
องค ์เริมขุ ่ นและกัน และไม่สนิ ทสนมกลมเกลียวกันเหมือน แต่กอ
่ เคืองใจซึงกั ้ เกิ
่ น ทังนี ้ ดเป็ นจุดเริมต
่ ้นของความ
ขัดแย ้ง จนกระทั่ง
“ต่างองค ์นาความมิงามทูล พระชนกอดิศรู
แห่ง ธ โดยมูล
์
ปวัตติความ
แตกร ้าวกร ้าวร ้ายก็ป้ายปาม ลุวรบิดรลาม
ทีละน้อยตาม ณ
เหตุผล
่ อเชือนั
ฟันเฝื ่ ยดนัยตน นฤวิเคราะห
เสาะสน
สืบจะหมองมล
เพราะหมายใด”
่
โอรสแต่ละองค ์นาเรืองกราบทู ลชนกของตน ความแตกสามัคคีคอ ่ี างขาด
่ ยๆลามไปถึงบรรดา กษัตริย ์ ทต่
่
วิจารณญาณและเชือในค าของโอรสย่างไร ้ข ้อกังขา
จนท ้ายทีสุ ่
่ ดเมือพระเจ ่
้าอชาตศัตรูยกทัพมา เหล่ากษัตริย ์ลิจฉวีก็มาถึงซึงความล่
มจม เหตุเพราะความ
่ ่ ่ ่
่
4. ฉากท้องเรือง
่
สามัคคีเภทคาฉันท ์เป็ นเรืองราวจากอิ ่ เค ้าโครงเรืองจากพระไตรปิ
นเดีย ซึงมี ่ ฎกในสมัย พระเจ ้าอชาตศัตรูแห่งแคว ้น
มคธ กวีของอินเดียจึงพรรณนาฉากให ้เข ้ากับบ ้านเมืองในสมัยนั้น อย่างไรก็ตามเมือไทยร
่ ่ เข
ับวรรณคดีเรืองนี ้ ้ามา นายชิต
บุรทัต ผูซ ่ึ นกวีไทย ได ้ปรับแต่งฉากให ้มีความ เป็ นไทย ตัวอย่างฉากจากวสันตดิลก ฉันท ์ ๑๔
้ งเป็
ิ ระยิง่
“ภาพเทพพนมวิจต นรสิงหะลายอง
ครุฑยุตภุชงค ์วิยะผยอง และเผยอขยับ
ผัน”
บทร ้อยกรองข ้างต ้นพรรรณนาถึงความสวยงามของภาพบนผนัง มีการกล่าวถึงนรสิงห ์และ ครุฑยุดนาคที่
ประหนึ่ งว่ากาลังขยับบินอย่างองอาจ
“โดยรอบมหานคระเล่ หะสิเนรุปราการ
่
มันคงอริ
นทระจะราญ ก็ระย่อแล ้วท้อ
หนี ”
“เนื องแน่ นขนัดอัศวะพา หนะชาติกญ
ุ ชร
ชาญศึกสมรรถะณสมร ชยะ
เพิกริปูภน
ิ ทร ์”
“สามยอดตลอดระยะระยับ วะวะวับสลับพรรณ
ช่อฟ้ าตระการกลจะหยัน ่ ฆม
จะเยาะยัวทิ ั พร”
่ นสิงที
มีการกล่าวถึง “ช่อฟ้ า” ซึงเป็ ่ อยู
่ บ
่ ริเวณยอดสุดของหน้าบันในสถาปัตยกรรมไทย เนื่ องจากช่อฟ้ า
่
เป็ นนัยทีหมายถึงการบูชาพระร ัตนตร ัย และทวยเทพบนสวรรค ์เหตุนีพญานาค ้ จึงถูกใช ้เป็ นส่วนต่างๆใน
ศิลปะการก่อสร ้างของไทยเนื่ องจากมีความเชือที ่ ว่่ าเป็ นสัตว ์ทีคุ
่ ้มครองพระพุทธศาสนา
“บานบัฏพระบัญชรสลัก ฉลุลก
ั ษณ์เฉลาลาย
เพดานก็ดารกะประกา ระกะดาษประดิษฐ ์ดี”
่ ้ร ับการสลักอย่างสวยงาม อีกทังยั
มีการกล่าวถึงหน้าต่างแบบไทยทีได ้ งมีดวงดาวต่างๆ บนเพดานเหมือน
ในวัดไทย
นอกจากนี ยั้ งมีการบรรยายฉากถึงความวุน ่
่ วายเมือแคว ้นของพระเจ ้าอชาตศัตรู
่
เดินทางมาถึงเมืองเวสาลี ประชาชนต่างแตกตืนและหลบเข ้าป่ า มีสว่ นทาให ้ผูอ้ า่ น คล ้อยตาม
และสัมผัสถึงความหวาดกลัวทีแผ่ ่ กระจายไปทัวทั
่ งเมื
้ อง ชาวบ ้านต่าง พากันอพยพครอบคร ัว
่
เพือหนี ้ ้านเรือนเข ้าไปหลบหนี ในป่ า
ภยั ทิงบ
“ข่าวเศิกเอกอึง ทราบ
ถึงบัดดล
ในหมู่ผค
ู้ น ชาวเว
สาลี
่
แทบทุกถินหมด ชนบท
บูร ี
่ ญหนี
อกสันขวั
่
หวาดกลัวทัวไป
5. บทเจรจาหรือราพึง
ราพัน
“เอออุเหม่นะมึงชิชา
่ งกระไร
้
ทุทาสสถุลฉะนี ไฉน ก็มาเป็ น
ศึกบ่ถงึ และมึงก็ยงั มิเห็น
จะน้อยจะมากจะยากจะเย็น ประการใด
อวดฉลาดและคาดแถลงเพราะใจ
้ ทน
ขยาดขยันมิ ั อะไร ่ ”
ก็หมินกู
่ นฉากจากอีทส
จากตัวอย่างข ้างต ้น ซึงเป็ ่ี ความ
ิ งั ฉันท ์ ๒๐ สามารถวิเคราะห ์ได ้ว่าพระเจ ้าอชาตศัตรู เป็ นผูท้ มี
เฉลียวฉลาด ท่านทรงรับฟังกลอุบายตามคากราบทูลของวัสสการพราหมณ์ ทรงกระทาเหมือนว่าทรงขัดเคืองพระ
้
ราชหฤทัยได ้สมจริง ทรงเกรียวกราดเเละตวาดด ่ า เกรงขาม ทาใหัคนเชือได
้วยเสียงทีน่ ่ ้ง่าย
่ า
“ต่างทรงรับสังว่ จะ
เรียกหาประชุมไย
เราใช่เป็ นใหญ่ใจ ก็
ขลาดกลัว บ กล ้าหาญ
่ นใหญ่
ท่านใดทีเป็ และ
กล ้าใครมิเปรียบปาน
พอใจใคร่ในการ
ประชุมชอบก็เชิญเขา
ปรึกษาหารือกัน ไฉน
้ ทาเนา
นันก็
จักเรียกประชุมเรา บ แล
่
6. แก่นเรือง
่
เเก่นหลักของเรืองสามัคคีเภทคาฉันท ์คือโทษของการเเตกความสามัคคีซงท ึ่ าให ้เกิดความหายนะ ในหมู่คณะ
่
แก่นเรืองรองอื ่
นๆที ่ บสนุ นเเก่นเรืองหลั
สนั ่ กให ้เด่นชัดมีหลายประการ ได ้เเก่
่ี สติปัญญาหลักเเหลมเเละสามารถคิดกลอุบาย
บทประพันธ ์ข ้างต ้นเเสดงให ้เห็นว่าวัสสการพราหมณ์เป็ นผูท้ มี
่
ได ้เเยบยล ซึงเเสดงให ้เห็นว่าพระเจ ้าอชาตศัตรูเลือกใช ้บุคคลได ้เหมาะสม
กับงานทาให ้สุดท้ายเเล ้วประสบผลสาเร็จ
การใช ้สติปัญญาเอาชนะฝ่ ายศัตรูโดย
ไม่ต ้องเสียเลือดเนื อ้
“ไป่ พักต ้องจะกะเกณฑ ์นิ กายพหลโรย
แรงเปลืองระดมโปรย
ประยุทธ ์ การถือความคิดของตนเป็ นใหญ่และทะนงตนว่าดีกว่า
่ื อมทาให ้เกิดความเสียหายต่อส่วนรวม
ราบคาบเสร็จ ธ เสด็จลุราชคฤหอุต ผูอ้ นย่
้ นเพราะผั
“เหียมนั ้ นแผก คณะแตกและ
ดมเขตบุเรศดุจ
ณ เดิม” ต่างม
ถือทิฐมิ านสา หสโทษ
จากบทประพันธ ์ข ้างต ้นเเสดงให ้เห็นว่ากลอุบาย พิโรธจอง
ของวัสสการพราหมณ์ ทาให ้ฝ่ ายกษัตริย ์ลิจฉวี แตกความ
สามัคคีกน ่
ั เมือกองทั
พของ พระเจ ้าอชาตศัตรูมาถึงก็ แยกพรรคสมรรคภิน ้
ทนสินบปรองดอง
สามารถยึดครองแคว ้น ได ้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต ้องเสีย ขาดญาณพิจารณ์ตรอง ตริมลักประจักษ ์
เลือดเสียเนื อ้
เจือ”
จากบทประพันธ ์ข ้างต ้นเเสดงให ้เห็นถึงการเเตกสามัคคี ต่างคน
่ ดสินใจทาสิงใดย่
การใช ้วิจารณญาณใคร่ครวญก่อนทีจะตั ่ อม
เป็ นการดี
่
“เชืออรรถยุ บลเอา รสเล่าก็
ง่ายเหลือ
เหตุหากธมากเมือ คติโมหเป็ นมูล
่
จึงดาลประการหา ยนภาว
อาดูร
เสียแดนไผทสูญ ยศศักดิ
่
เสือมนาม ”
การอ่านและพิจารณาการใช้
ภาษาในวรรณคดีและวรรณกรรม
1. การสรรคา
่
เลือกใช ้คาให ้เหมาะสมกับเรืองและฐานะของบุ ่
คคลในเรือง
“เอออุเหม่นะมึงชิชา
่ งกระไร
้
ทุทาสสถุลฉะนี ไฉน ก็มาเป็ น
ศึกบ่ถงึ และมึงก็ยงั มิเห็น
จะน้อยจะมากจะยากจะเย็น ประการใด
อวดฉลาดและคาดแถลงเพราะใจ
้ ทน
ขยาดขยันมิ ั อะไร ่ ”
ก็หมินกู
่ นฉากจากอีทส
จากตัวอย่างข ้างต ้น ซึงเป็ ่ี ความ
ี งั ฉันท ์ ๒๐ สามารถวิเคราะห ์ได ้ว่าพระเจ ้าอชาตศัตรู เป็ นผูท้ มี
เฉลียวฉลาด ท่านทรงรับฟังกลอุบายตามคากราบทูลของวัสสการพราหมณ์ ทรงกระทาเหมือนว่าทรงขัดเคืองพระ
้
ราชหฤทัยได ้สมจริง ทรงเกรียวกราดเเละตวาดด ่ าเกรงขาม ทาให ้คนเชือได
้วยเสียง ทีน่ ่ ้ง่าย
“อาพนพระมนทิรพระราช สุนิวาสน์วโรฬาร ์
อัพภันตรไพจิตรและพา หิรภาคก็พงึ ชม
่
เล่ห ์เลือนชะลอดุ สติ ฐา นมหาพิมานรมย ์
มารังสฤษฏ ์พิศนิ ยม ผิจะเทียบก็เทียมทัน
สามยอดตลอดระยะระยับ วะวะวับสลับพรรณ
ช่อฟ้ าตระการกลจะหยัน ่ ฆม
จะเยาะยัวทิ ั พร
บราลีพล ิ าศศุภจรูญ นภศูลประภัสสร
หางหงส ์ผจงพิจต ิ รงอน ดุจกวักนภาลัย”
่ ลล
มีการใช ้คาทีมี ่
ี านุ่ มนวลในการแต่งบทชมต่างๆเพือพรรณนาภาพอั
นงดงาม เช่น บทชมเมืองราชคฤห ์ใน
แคว ้นมคธของพระเจ ้าอชาตศัตรู
เลือกใช ้โดยคานึ งถึงเสียง ่ นเสียงหนักเบา
คาทีเล่
คาเลียนเสียงธรรมชาติ ในการแต่งกาพย ์สุรางคนางค ์ ๒๘ นายชิต บุรทัต ได ้เพิม่
้
“วัชชีภม
ู ผ
ี อง ลักษณะบังคับ ใช ้คาครุ แต่งสลับกับคาลหุ ทาให้มีเสียงสันยาวเป็ น
จังหวะคล ้ายฉันท ์ ตัวอย่างเช่น
สดับกลองกระหึมขาน
ทุกไท้ไป่ เอาภาร ณ กิจเพือ่
“สะพรึบสะพรัง่ ณ หน้าและหลัง
เสด็จไป”
จากบทประพันธ ์ข ้างต ้น มีการใช ้คาเลียนเสียง ณ ซ ้ายและขวา ละหมู่ละหมวด
่ คอื เสียง “กระหึม” ตอนตีกลองเรียกประชุม ก็ตรวจก็ตรา
ธรรมชาติ ซึงก็ ประมวลกะ
่ อให ้เกิด ความรู ้สึกฮึกเหิม
เป็ นคาทีก่ มา
่ นเสียงสัมผัส
สิมากประมาณ”
คาทีเล่
้ ้ คาพ้องเสียงและคาซา้
ผูป้ ระพันธ ์เลือกสรรถ ้อยคาแล ้วนามาเรียงร ้อยอย่างดี ทังนี
ทาให ้เกิด เสียงอันไพเราะเนื่ องจากการเล่นเสียงสัมผัสใน อีก “สามยอดตลอดระยับระยับ วะวะวับสลับ
้ ยงสัมผัส พยัญชนะและสัมผัสสระ เช่น
ทังเสี พรรณ
“แตกร ้าวกร ้าวร ้ายก็ป้ายปา ช่อฟ้ าตระการกลจะหยัน
ลุวรบิดรลาม ่ ฆมั พร”
จะเยาะยัวทิ
ทีละน้อยตาม
มีการใช ้สัมผัสพยัญชนะและสัมผัสสระ รวมถึง
2. การเรียบเรียงคา
้ นเพราะผั
“เหียมนั ้ นแผก คณะแตกและต่างมา
ถือทิฐมิ านสา หสโทษพิโรธจอง
แยกพรรคสมรรคภิน ทนสิน้ บ ปรองดอง
ขาดญาณพิจารณ์ตรอง ตริมหลักประจักษ ์เจือ
่
เชืออรรถยุ
บลเอา รสเล่าก็งา่ ยเหลือ
เหตุหาก ธ มากเมือ คติโมหเป็ นมูล
่
จึงดาลประการหา ยนภาวอาดูร
เสียแดนไผทสูญ ่
ยศศักดิเสือมนาม ”
่
บทประพันธ ์ข ้างต ้นเป็ นส่วนขอคติธรรม ทีแสดงล าดับเหตุการณ์ทส ี่ าคัญโดยเริมการที
่ ่ ตริย ์ แต่ละองค ์ยึดมันใจความคิ
กษั ่ ดของตน
่ จารณาไตร่ตรองและเชือถ
ขาดปัญญาทีจะพิ ่ ้อยคาของพระโอรสอย่างง่ายดาย เมือความโกรธเข
่ ่
้าควบคุม ก็นามาซึงความฉิ บหาย เสีย
้ นดิน และชือเสี
ทังแผ่ ่ ยงเกียรติยศทีเคยมี
่ ้
มา โดยสรุปแล ้วเป็ น การสรุปเนื อหาจากตอนต ่ นต ้นเหตุของความโกรธเคือง จนถึงตอน
้นซึงเป็
่ ายแพใ้ ห้กบั กรุงราชฤห ์
จบทีพ่
้
4. เรียบเรียงประโยคให้เนื อหาเข้ ้
มข้นขึนไปตามลาดับแต่คลายความเข้มข้นลงในช่วงหรือประโยค สุดท้าย
อย่างฉับพลัน
นายชิต บุรทัต ประพันธ ์โดยใช ้การเรียบเรียงประโยคไปตามลาดับ เพือให ่ ้ผู ้อ่านติดตามลาดับของ เหตุการณ์ และเข ้าใจเนื อ้
่
เรืองได ้
้ดีมากขึนแต่ ่
ทว่าผู ้เขียนได ้มีการตัดบทหรือคลายความเข ้มข ้นของ เรืองในตอนท ่
้ายอย่างฉับพลัน ดังทีปรากฏในบทประพั นธ ์
้ ่ ้ ่
นี โดยตอนแรกกล่าวถึงการทีวัสสาการพราหมณ์ นันน่ าชืมชนในด ้านการทาอุบายครอบครอง แคว ้นวัชชีซงเกิ ่
ึ ดความวุน่ วายใน
เมืองเป็ นอย่างมาก หากแต่บรรทัดต่อมาได ้คลายความเข ้มข ้นลงโดยมีการกล่าวถึง พระพุทธเจ ้า และผลแห่งความพร ้อมเพรียงกัน
“อย่าติและหลู่ ครูจะเฉลย
เธอน่ ะเสวย ภัตกะอะไร
ในทินนี ่ ดี ฤ ไฉน
พอหฤทัย ่
ยิงละกระมั
ง”
้ นบททีวั่ สสการพราหมณ์ถามเหล่ากุมาร ซึงเป็
บทเจรจานี เป็ ่ ได ้ต ้องการคาตอบแต่อย่างใด
่ นบทเจรจาทีไม่
วัสสาการพราหมณ์ใช ้ความสามารถทางวาทศิลป์ ของตนเองในการเสนอแนวคิดของเรืองทั่ ่วไปให ้กับพระกุมาร ซึงเป็
่ นส่วนหนึ่ ง
ของอุบายดังปรากฎในตัวอย่างข ้างต ้น
3. การใช้โวหาร
อุปมาโวหาร
“กุมารลิจฉวีขต
ั ติย ์ ก็ร ับอรรถอออือ
กสิกเขากระทาคือ ประดุจคาพระอาจารย ์”
่
จากบทร ้อยกรองข ้างต ้นเป็ นฉากทีพระกุ ่ นด ้วยว่าชาวนาก็คงจะกระทาดังคาของพระอาจารย ์ซึงก็
มารลิจฉวีก็รบั สังเห็ ่ คอื วัสสา
่ เป็
การพราหมณ์ ในทีนี ้ นการเปรียบเทียบว่าการกระทาประดุจดังคาพระอาจารย ์
“ขุน
่ มนเคือง ่
เรืองนฤสาร
เช่นกะกุมาร ก่อนก็ระดม
เลิกสละแยก แตกคณะกลม
เกลียว บ นิ ยม คบดุจเดิม”
้
จากบทร ้อยกรองข ้างต ้นพระกุมารลิจฉวีตา่ งระแวงใจในกันและกัน ต่อมาก็แตกความสามัคคีและไม่มเี ป็ นนาหนึ ่ง
้
นาใจเดี
ยวกันเหมือนแต่กอ ่ เป็
่ น ในทีนี ้ นการเปรียบเทียบว่าความสามัคคีนั้นไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
บุคคลวัต
“วัชชีภม
ู ผ
ี อง สดับกลองกระหึมขาน
ทุกไท ้ไปเอาภาร ่
ณ กิจเพือเสด็ จไป”
กริยา “ขาน” นั้นหมายถึง การกล่าวเรียก ซึงเป็่ นกริยาของมนุ ษย ์ โดยบทประพันธ ์ได ้นากริยานี มาใช
้ ่ นสิงของ
้กับกลองซึงเป็ ่ ที่
ไม่มช
ี วี ต ่
ิ แต่หากทากริยาดังเช่นมนุ ษย ์เพือสร ้างจินตภาพ ให้เห็นว่าเสียงของกลองสามารถใช ้เรียกหรือพูดให้ผู ้ฟังได ้ยินอย่างช ัดเจน
สัญลักษณ์
ิ่
“แม้มากผิกงไม้ ผิวใครจะใคร่ลอง
มัดกากระนั้นปอง พลหักก็เต็มทน
เหล่าไหนผิไมตรี สละลี ้ ณ หมู่ตน
กิจใดจะขวายขวน บ มิพร ้อมมิเพียงกัน”
่
โดยธรรมชาติแล ้วกิงไม้กิ ่ ยวสามารถหักได ้ง่ายด ้วยมือเปล่า หากแต่มด
งเดี ั รวมกันแล ้ว การใช ้กาลังมหาศาลก็มอ
ิ าจ
่ ่ ้ ่ ้ ่
ทาลายได ้ ดังเช่นในบรรทัดทีกล่าวว่า “มัดกากระนันปอง พลหักก็เต็มทน” ในทีนี ผูเ้ ขียนได ้นากิงไม้มาใช ้เป็ นสัญลักษณ์ของความ
สามัคคี ช่วยอธิบายให้เห็นว่า หากมีความสามัคคีในหมู่คณะ เมือร่ ่ วมมือกันก็จะแข็งแกร่ง แม้แต่กาลังภายนอกก็ไม่สามารถทาลาย
้
ความเป็ นนาหนึ ่ งนาใจเดี
้ ้
ยวกันนี ลงได ้
อติพจน์
่
“ตืนตาหน้
าเผือด หมดเลือดสันกาย่
้ ตาย
หลบลีหนี วุน ่
่ หวันพร ่ั
นใจ
ซุกครอกซอกครัว ซ่อนตัวแตกภัย
เข ้าดงพงไพร ้ านบ ้านตน”
ทิงย่
่
บทประพันธ ์ข ้างต ้นมาจากตอนทีพระเจ ่ าวว่า “ตืน
้าอชาตศัตรูยกทัพมาตีแคว ้นวัชชี โดยวรรคทีกล่ ่
่
ตาหน้าเผือด หมดเลือดสันกาย” ่ื
หมายความว่า ชาววัชชีตนตกใจกั บการรุกรานของพระเจ ้า อชาตศัตรูเป็ นอย่าง
่ นการกล่าวเกินจริง แต่หากช่วยทาให ้เห็นภาพทีชัดเจนและเข
มากจนหน้าซีดเหมือนเลือดหมดตัว ซึงเป็ ่ ้าถึง
้ องมากขึ
อารมณ์ของเนื อเรื ่ น้
การอ่านและพิจารณาประโยชน์
หรือคุณค่าในวรรณคดีและ
วรรณกรรม
1. คุณค่าด้านอารมณ์
“พวกราชมัลโดย พลโบยมิใช่เบา
ดหัตถแห่งเขา ขณะหวดสิพงึ กลัว
้ เนื อเต
บงเนื อก็ ้ ้น พิศเส ้นสรีร ์รัว
่ างและทังตั
ทัวร่ ้ ว ก็ระริกระริวไหว
แลหลังละลามโล หิตโอ ้เลอะหลังไป่
เพ่งผาดอนาถใจ ระกะร่อยเพราะรอยหวาย
่ บอเนกแนว
เนื องนั ระยะแถวตลอดลาย
่
เฆียนครบสยบกาย สิรพ
ิ บั พะกับคา”
่ นสิงที
บทประพันธ ์ข ้างต ้นมีการใช ้คาหนักเบาของฉันท ์ลักษณ์ได ้เข ้ากันกับอารมณ์ ซึงเป็ ่ ช่
่ วยดึงอารมณ์
ของผูอ้ า่ นให ้เข ้ากับสถานการณ์ เหตุการณ์ดงั กล่าวเป็ นตอนทีวั่ สสการพราหมณ์โดนสังโบย่ ทาให ้เกิดภาพของ
่
แผ่นหลังทีโดนโบย ้ ้นระริก เลือดไหลเปรอะไปทัวจนเป็
มองเห็นเนื อเต ่ ้
นริวรอยน่ าอนาถใจ จึงทาให ้ผูอ้ า่ นเห็นภาพ
แล ้วก็เกิดความรู ้สึกเจ็บปวดและสงสารในสิงที ่ วั่ สสการพราหมณ์โดนกระทา
1. คุณค่าด้านคุณธรรม