You are on page 1of 17

นักเรียนระดับมัธยมศึ กษาตอนปลายของรรนี้ ส่ วนใหญ่ต้องการออกไปประกอบอาชี พเมื่อจบการศึ กษาแล้ว(เหตุผล)

ดังนั้นรรจึงควรเปิดรายวิชาเลือก วิชาพื้นฐานอาชี พเท่าที่หลักสูตรเปิดช่ องให้ มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

(ข้อสรุ ปหรือข้อเสนอทรรศนะ)

เรายังไม่เคยได้สารวจอย่างเป็นกิจจะลักษณะเลยแม้แต่ครั้งเดียว ว่าเมื่อจบการศึ กษาแล้วนรของเราในระดับมัธยมศึ กษาตอนปลา


มุ่งหมายที่จะทาอะไรต่อไป จะมีกแ็ ต่การคาดคะเนเอาเองตามความรู ้สึกส่ วนตัว (เหตุผล)

ฉะนั้นเราอาจประสบความล้มเหลวก็ได้ถ้าเรามุง่ ที่จะเปิดวิชาพื้นฐานอาชี พให้มากยิง่ ขึ้นกว่าที่เคยเปิดมา(ข้อสรุ ปหรือข้อโต้แย้ง


ทรรศนะที่1)
เนื่องจากหัวข้อและเนื้อหาของการโต้แย้งไม่มีขอบเขตจากัด จึงควรกาหนดให้ชัดเจนว่าจะโต้แย้งกันในหัวข้อใด จะ
พิจารณากันในประเด็นอะไรบ้าง เนื้อหาโต้แย้งก็ต้องคล้อยตามหัวข้อโต้แย้งกันให้ตรงประเด็นไม่ออกนอกเรื่อง
ในการโต้แย้งนั้น ผู้ริเริม่ การโต้แย้งควรเสนอสิ่ งที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่งฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็
พยายามหาเหตุผล หลักฐานต่างๆ มาคัดค้าน เพื่อชี้ ไห้เห็นว่าข้อเสนอนั้นไม่เหมาะสม ไม่มีประโยชน์
การที่คนถามคาถามขึ้นมา และเมื่อคาตอบมีความแตกต่างกันทั้งสองฝ่าย คาถามนั้นก็กลายเป็นหัวข้อการโต้แย้ง
ได้ทันที เพราะฉะนั้น ในกรณีที่คาถามนั้นมีแค่คาตอบเดียว มันก็จะไม่เป็นประเด็นการโต้แย้ง การที่ผู้โต้แย้งรู ้จักถึง
หลักการตั้งประเด็นเป็นสิ่ งที่สาคัญ เพราะมีบ่อยครั้งที่การโต้แย้งมีการออกนอกประเด็น หรือเป็นประเด็นจะไม่
เหมาะสมกับการโต้แย้ง
1. การโต้แย้งเกีย่ วกับนโยบายหรือข้อเสนอเพื่อให้เปลี่ยนแปลงสภาพเดิม
- มองจุดแข็งและจุดอ่อนของข้อโต้แย้งให้ออก
- เปลี่ยนแปลงมันตามความเหมาะสม
- เมื่อเปลี่ยนแปลงข้อโต้แย้งแล้วต้องตระหนักถึงประโยชน์ของมันด้วย
1. การโต้แย้งเกีย่ วกับข้อเท็จจริง
- ตรวจสอบให้ม่นั ใจว่าข้อเท็จจริงที่พูดนั่นเป็นความจริง/มีอยู่จริงหรือไม่
- ตรวจสอบแหล่งข้อมูลที่อ้างอิง
- ความน่าเชื่ อถือ
1. การโต้แย้งเกีย่ วกับคุณค่า
- เป็นการโต้แย้งที่ใช้ อารมณ์ ความรู ้สึกร่วม
- การกาหนดความหมายของคาหลักๆในการโต้แย้ง เพื่อที่จะได้ไม่โต้แย้งไปคนละทิศคนละทาง โดยที่เริม่ โดยการ
อธิบายหัวข้อที่จะโต้แย้งกับแบบคร่าวๆ

วิธีการนิยามคา

- อาศั ยพจนานุกรม
- ยกตัวอย่าง
- ใช้ คาอธิบาย

เช่ น ชมรมภาษาไทยควรจัดนาสมาชิ กไป


’ทัศนะศึ กษา’ข้ามคืนตามที่ประทานชมรมเสนอ
● ค้นหาจากการ อ่าน, การฟัง, การสั มภาษณ์ และ สั งเกตด้วยตัวเอง
ค้นหาข้อมูลด้วยตัวเอง
● จดบันทึก
● คัดเลือกหมวดหมู่ และ เรียบเรียง
● ต้องการทาให้ผู้อ่านและผู้ฟังที่เกี่ยวข้องเข้าใจทรรศนะของเราได้อย่างชั ดเจน
● แสดงข้อสนับสนุน และ บ่งชี้ ให้ชัดเจน
● นาเสนอในปริมาณที่เหมาะสม
● อย่ากล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอย หรือ บิดเบือนข้อมูลจริง
โดยปกติ จุดอ่อนของทรรศนะบุคคล จะอยู่ที่

● การนิยามคาสาคัญ
● ปริมาณและความถูกต้องของข้อมูล
● สมมุติฐานและวิธีการอนุมาน
● นาเอาคาที่จะนิยามไปบรรจุไว้ในข้อความที่นิยาม เช่ น งานประดิษฐ์ หมายถึง งานที่นักเรียนได้ประดิษฐ์ขึ้นด้วย
ความคิดของตัวเอง, ผลผลิตที่เกิดจากความคิดริเริม่ และการลงมือทาด้วยตนเอง
● ข้อความที่ใช้ ประกอบด้วยถ้อยคาซึ่ งเข้าใจยาก เช่ น สิ่ งแวดล้อม หมายถึง สรรพสิ่ งที่เป็นปรากฏการณ์ทาง
ธรรมชาติ และปรากฎการณ์ที่มนุษย์ได้สร้างสรรค์หรือพัฒนาขึ้น, สิ่ งใดๆก็ตามที่อยู่รอบตัวมนุษย์ ทั้งสิ่ งที่เกิดขึ้น
เองและมนุษย์สร้างขึ้น
● นิยามโดยอคติ ซึ่ งอาจถึงแก่บิดเบือนความหมายของคา เช่ น หาบเร่ หมายถึง การนาสิ นค้าไป โดยที่ผู้ขายต้อง
หาบสิ นค้าเหนือบ่าและเคลื่อนที่ไปตลอดเวลา ยกเว้นเมื่อมีผู้ขอซื้ อสิ นค้านั้นๆ ซึ่ งหมายความว่า หากผู้ขายวาง
สิ นค้าลง ก็ไม่ถือว่าเป็นหาบเร่ นี่เป็นการนิยามคาด้วยเจตนาที่จะเอาประโยชน์เข้าฝ่ายตัวเอง
เช่ น มีผู้แสดงทรรศนะว่า ควรยุบสถานที่อ่านหนังสื อประจาหมู่บ้าน เพราะมีผู้ใช้ บริการน้อยมาก และยังได้อ้างว่า ตน
และเพื่อนได้ไปเห็นสถานที่ และตลอดวันไม่เห็นมีใครมานั่งอ่าน หนังสื อเลย ซึ่ งเห็นได้ว่าข้อมูลที่อ้างนั้นน้อยมาก อีกทั้ง
ช่ วงเวลาที่ไปสั งเกตการณ์ อาจเป็นช่ วงที่คนไม่ว่าง หรือ มีงานทาก็ได้
ข้อสรุ ปของทรรศนะใดๆก็ตาม ต้องสื บเนื่องมาจากสมมุติฐานหรือหลักทั่วไปเสี ยก่อน เช่ น

พวกเราทุกคนได้ประกาสแล้วว่า จะต่อสู้ เพื่อความถูกต้องและยุติธรรม และพวกท่านทุกคนก็เช่ นเดียวกัน ได้


ประกาศแล้วว่าจะต่อสู้ เพื่อความถูกต้องและยุติธรรมทุกวิถีทาง ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าเรามีหลักการอันเดียวกัน เราไม่มี
อะไรขัดแย้งกันเลย ภารกิจที่เราจะกระทาทุกอย่าง จึงสามารถทาร้วมกันได้ โดยไม่มีปญ
ั หาใดๆ ทั้งสิ น

แม้จะเป็นความจริงโดยไม่มีผู้ใดคัดค้านก็ตาม แต่การอนุมานจากสมมุติฐานนี้ ว่าเรามีหลักการเดียวกัน ไม่มีอะไร


ขัดแย้งกันเลย ก็ไม่มีเหตุผล เพราะการทางานเพื่อไปสู่ ความถูกต้องและยุติธรรมก็ไม่จาเป็นที่ต้องมีหลักการ
เดียวกัน
การวินิจฉัยทรรศนะของอีกฝ่ายมีได้สองแบบ

1.พิจารณาเฉพาะเนื้อหาสาระที่อีกฝ่ายเสนอ ผู้วินิจฉัยจะไม่ใช้ ความรู ้ส่วนตัวมาใช้ เลย การตัดสิ นใจแบบนี้ส่วนมากจะใช้


ในการโต้วาที ผู้ตัดสิ นจะวางตัวเป็นกลาง

2.วินิจฉัยโดยใช้ ดุลยพินิจของตนพร้อมกับพิจารณาคาโต้แย้งของทั้งสองฝ่ายโดยละเอียด เป็นการโดยบุคคลทั่วๆไป


หากเรารู ้สึกว่าเรามีเหตุผลมากกว่าก็จะนาเสนอข้อโต้แย้งไป
1. ควรหลีกเลี่ยงการใช้ อารมณ์ ตามปกติมนุษย์ย่อมมีอารมณ์ โดยการโต้แย้งนั้นจะต้องยุติลงด้วยการแพ้ชนะกันเสมอ คาว่า แพ้ ในการโต้แย้ง
หมายถึง ทรรศนะที่เสนออกไปไม่ได้รับการยอมรับ ต่างกับการแพ้ในการแข่งขันหรือสู้ด้วยพละกาลัง ซึ่ งผู้โต้แย้งจึงต้องระมัดระวังควบคุมอารมณ์
ของตน ทาใจให้เป็นกลางและยอมรับผลรับ

1. มีมารยาทในการใช้ ภาษา ในระหว่างที่โต้แย้งกับบุคคลอื่น การเสนอทรรศนะนั้นจาเป็นต้องใช้ ภาษาให้เหมาะแก่ระดับของบุคคลที่มีส่วนรวมในการ


โต้แย้ง และ ที่สาคัญที่สุด การโต้แย้งในที่สาธารณะ ไม่ว่าจะด้วยการเขียนหรือการพูด จาเป็นต้องระมัดระวังมารยาทในการใช้ ภาษาให้ถกู ต้อง
เหมาะสม

1. ผู้โต้แย้งควรรู ้จักเลือกประเด็น ประเด็นบางประเด็นไม่อาจโต้แย้งกันได้ ถ้าโต้แย้งกันไปแล้วไม่กอ่ ให้เกิดประโยชน์ ผู้โต้แย้งจะต้องระวังว่า บาง


ประเด็นอารกระทบกระเทือนแก่ผู้อ่ ืน หรือเป็นสิ่ งที่บุคคลจานวนมากนับถือ

You might also like