Professional Documents
Culture Documents
พระประธานในพระอุโบสถ
2
หลวงพ่อเพชรมีชยั
พระประธานในวิหารหลวง
3
สัมโมทนียกถา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้วา่ “ดูกอ่ นภิกษุทงั้ หลาย เราไม่
เล็งเห็นเหตุอนื่ แม้อย่างหนึง่ ทีเ่ ป็นไปเพือ่ ประโยชน์ใหญ่ เหมือนความ
เป็นผูม้ มี ติ รดี เมือ่ บุคคลมีมติ รดี กุศลธรรมทีย่ งั ไม่เกิด ย่อมเกิดขึน้
และอกุศลธรรมทีเ่ กิดขึน้ แล้ว ย่อมเสือ่ มไป” พระเดชพระคุณพระราช-
พัชราภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์ นับเป็นพระแท้ผรู้ กั ในการฝึกฝน
อบรมตนเอง เพียบพร้อมทั้งด้านปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เทศนา
6
7
สารบัญ
ประวัติ พระเทพรัตนกวี (สุรนิ ทร์ ชุตนิ ธฺ โร ป.ธ.๗)
พุทธภาษิตสะกิดใจ
๑ คนอืน่ ชนะง่ายแต่ใจชนะยาก
๒ คนอืน่ ชอบฝึกฝน แต่ใจตนไม่ชอบฝึก
๓ อบรมดี สังคมจะมีแสงสว่าง
๔ ป่าพึง่ ฝน คนพึง่ หลัก
๕ เกิดเป็นคน ต้องฝนให้ถงึ ดี
๖ รักตัว ต้องกลัวเสีย
๗ คนอยูท่ คี่ า่ ราคาอยูท่ สี่ ำเร็จ
๘ อันความดี จะมีได้ทใี่ จเรา
๙ รักดีตอ้ งหนีชวั่ รักตัวต้องอบรม
๑๐ เห็นแก่ตน เป็นคนสกปรก
๑๑ จะเป็นบัณฑิต ต้องติดฝึกตน
๑๒ ทีพ่ งึ่ สีห่ ลัก ต้องประจักษ์แก่ตน
๑๓ หุน่ เหมือนกาย ใจเหมือนคนเชิด
๑๔ รักตัวให้ผกู รักถูกให้ต
ี
๑๕ บริสทุ ธิเ์ ป็นบัณฑิต ผิดเป็นพาล
๑๖ สอนเขา เราต้องทำ
๑๗ ติดกี อ่ ตัว ติชวั่ ทำลาย
๑๘ พิจารณาตน จะไม่เป็นคนถูกหลอก
๑๙ อบายมุขสุขติด จะล่อจิตให้ตกหล่ม
๒๐ คนดีตอ้ งฝึกตน เกิดเป็นคนต้องพยายาม
๒๑ คนชัว่ ร้าย คือตายทัง้ เป็น
๒๒ สติตามคือยามใจ
๒๓ คนดี ต้องไม่มปี ล่อยใจ
๒๔ นักเสียสละ ต้องละชัว่
8
๒๕ ลืมตนลมตาย เห็นอบายเป็นของดี
๒๖ ชัว่ เขาชอบสน ชัว่ ตนไม่สนใจ
๒๗ รักดีตอ้ งแก้ไข ถ้าปล่อยไปจะแก้ตวั
๒๘ ติตวั ได้ จะใช้ตวั เป็น
๒๙ โรคประมาท จะระบาดถึงตาย
๓๐ ความไม่ประมาท เป็นสมบัตเิ ศรษฐี
๓๑ ถ้ามีสตู รวัด จะมัดให้เป็นคนดี
๓๒ คนเมือ่ ตาย จะไปทีช่ อบ
๓๓ อายชัว่ กลัวบาป เป็นเครือ่ งประดับคนดี
๓๔ ดีหรือไม่ดี เป็นวิธแี ก้ปญั หา
๓๕ บัณฑิตปรากฏ ทีป่ ระโยชน์สองทาง
๓๖ ทำดีตามวัย ทำใจตามฝึก
๓๗ คนบาปหนา เทวดาก็ชว่ ยไม่ได้
๓๘ เครือ่ งหมายดี อยูท่ กี่ ลัวบาป
๓๙ หลักทำงาน อยูท่ กี่ ารเอาจริง
๔๐ คนไม่กลัว จะชัว่ ตลอดชาติ
๔๑ ทำยากให้งา่ ย จะสบายทัง้ ชาติ
๔๒ ดีสามประเภท จะสร้างประเทศรุง่ เรือง
๔๓ บาปกลิน่ เหม็น แต่คนเห็นว่าดี
๔๔ ราคาของคน อยูท่ ตี่ นไม่ทำชัว่
๔๕ โกงชาตินี้ จะใช้หนีช้ าติหน้า
๔๖ โต้ตอบชัว่ เป็นตัวศัตรู
๔๗ สุขลวง คือบ่วงอบาย
๔๘ คนดีมรี าคา ชัว่ ช้าราคาตก
๔๙ เป็นให้เป็น จะเห็นประโยชน์
๕๐ สุขไม่มผี ล แก่คนทำชัว่
๕๑ กรรมสร้างทุน คุณสร้างคน
๕๒ กรรมลิขติ เราขีดกันเอง
9
๕๓ สติตวั นำ ตัง้ ใจทำตัวสำเร็จ
๕๔ แผลกรรม ทำคืนไม่ได้
๕๕ คนชัง่ ผลัด จะตัดประโยชน์
๕๖ ทำจริงพึง่ พิงได้
๕๗ เชือ่ ไม่ดี จะมีกรรมเวร
๕๘ ปากไวใจโกรธ จะหมดความดี
๕๙ เร็วช้าถ้าดี ต้องมีสติ
๖๐ ถ้าดีจริง ต้องดีตอบจะขอบยิง่
๖๑ ซือ่ ปัญญา จะพาเจริญ
๖๒ เสือเป็นเหตุ ให้กเิ ลสเข้าบ้าน
๖๓ โรคไม่กลัว จะเกิดชัว่ ร้ายแรง
๖๔ ถ้าปล่อยตามใจ จะอยากได้ไม่รจู้ บ
๖๕ ถ้าเชือ่ สาม ก. จะพอไม่เป็น
๖๖ ความพอดี จะมีตรงกลาง
๖๗ ถ้าหลงกาม จะได้นามว่าหลงกล
๖๘ รูจ้ กั พอ จะก่อสุข
๖๙ มุทติ า จะพาสบาย
๗๐ คนโลภมาก จะอยากไม่หยุด
๗๑ อำนาจเสพติด มีพษิ สารพัด
๗๒ ชัว่ ในใจ คือไฟเผาผลาญ
๗๓ โลภโรคร้าย ทำลายโลก
๗๔ ถ้าไร้นำ้ ใจ จะกลายเป็นเศษคน
๗๕ หลงเหยือ่ ตัณหา จะเหมือนปลาติดเบ็ด
๗๖ หลงกับติด เป็นมิตรกับคนเมา
๗๗ อยากพร่องบุญ คุณพร่องเวร
๗๘ บุญเป็นของเรา ถ้าเว้นเขาทัง้ สี
่
๗๙ หลงเพราะรู้ น่าอดสูยงิ่ นัก
๘๐ โกรธไวเหมือนไฟชอร์ต
10
๘๑ สนิมใจ เกิดได้จากความโกรธ
๘๒ จุดระเบิด จะเกิดทีโ่ กรธ
๘๓ เศษไฟกิเลส เป็นเหตุหายนะ
๘๔ ยักษ์สามหน้า ผูฆ้ า่ ตัวเรา
๘๕ จะหมดเหตุรา้ ย ด้วยโซ่ใจขันตี
๘๖ ปัญญาพาคนให้พน้ ทุกข์
๘๗ ทะเลาะวิวาท คือประกาศความชัว่
๘๘ ยักษ์ยมิ้ เมือ่ คนยอม
๘๙ รูถ้ กู รูผ้ ดิ แต่ตดิ ทีพ่ ดู ไม่ได้
๙๐ ครอบครัวดีเด่น จะเป็นวิมาน
๙๑ อารมณ์เก็บกด จะมีกำหนดระเบิด
๙๒ โกรธมี ความดีหมด
๙๓ จน ทุกข์ โทษ ลดคนให้หม่นหมอง
๙๔ ทุกข์ดหี มดภัย ทุกข์รา้ ยเสียคน
๙๕ คนใจไวนิสยั เสีย
๙๖ โกรธพาหลง โกงพาโลภ
๙๗ เมาโกรธ ยศพินาศ
๙๘ จนกับโกรธ ระวังโทษจะเกิดมี
๙๙ รูใ้ จเข้าใจ คือสายใยครอบครัว
๑๐๐ กิเลสเข้าสิง ของจริงจะไม่เห็น
11
ประวัติ
พระเทพรัตนกวี (สุรนิ ทร์ ชุตนิ ธฺ โร ป.ธ.๗)
เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ เจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์
R
๑. ตำแหน่ง
ชือ่ พระเทพรัตนกวี ฉายา ชุตนิ ธฺ โร อายุ ๗๒ พรรษา ๕๐
วิทยฐานะ น.ธ.เอก ป.ธ.๗ วัดมหาธาตุ (พระอารามหลวง)
ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์
ปัจจุบนั ดำรงตำแหน่ง
๑. เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ (พระอารามหลวง)
๒. เจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์
๓. พระอุปชั ฌาย์
๒. สถานะเดิม
๑๕
ชือ่ สุรนิ ทร์ นามสกุล แย้มสุข เกิด ๓ ฯ ๓ ค่ำ ปีฉลู ตรง
กับวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๘๐ บิดา นายนาค แย้มสุข
มารดา นางมณี แย้มสุข บ้านเลขที่ ๓๗ หมูท่ ี่ ๑ ตำบลพยุหะ
อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์
13
๓. บรรพชา
๑๓
วัน ๒ ฯ ๑ ค่ำ ปีเถาะ วันที่ ๑๑ เดือน ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๔
วัดเนินเหล็ก ตำบลเนินเหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดอุทยั ธานี
พระอุปชั ฌาย์ พระอุดมธรรมาภาณ (สม สุนทฺ รธมฺโม) วัด
ทับทัน ตำบลทับทัน จังหวัดอุทยั ธานี
๔. อุปสมบท
๔
วันที่ ๑ ฯ ๕ ค่ำ ปีเถาะ วันที่ ๒๗ เดือน เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๒
ณ วัดเนินเหล็ก ตำบลเนินเหล็ก อำเภอเมือง จังหวัด
อุทยั ธานี
พระอุปชั ฌาย์ พระครูอทุ ยั ธรรมวินจิ (จิว๋ สุขาจาโร ป.ธ.๓)
วัดเนินเหล็ก ตำบลโนนเหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดอุทยั ธานี
พระกรรมวาจาจารย์ พระครูอกุ กฤตสุตการ (อำนวย ป.ธ.๔)
วัดหนองเต่า จังหวัดอุทยั ธานี
พระอนุสาวนาจารย์ พระสมุหบ์ ญ ุ ธรรม วัดเนินเหล็ก จังหวัด
อุทยั ธานี
๕. วิทยฐานะ
(๑) พ.ศ. ๒๕๐๘ สำเร็จการศึกษาชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ ๖
จังหวัดอุทยั ธานี
14
(๒) พ.ศ. ๒๔๙๖ สอบไล่ได้ น.ธ.เอก สำเรียนคณะจังหวัด
จังหวัดอุทยั ธานี
(๓) พ.ศ. ๒๕๑๔ สอบไล่ได้ ป.ธ. ๗ สำนักเรียนคณะจังหวัด
จังหวัดเพชรบูรณ์
(๔) พ.ศ.๒๕๔๕ ได้รบั ปริญญาคุรศุ าสตร์มหาบัณฑิต-
กิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยราชภัฎ-
เพชรบูรณ์
(๕) พ.ศ.๒๕๔๙ ได้รบั ปริญญาพุทธศาสตร์มหาบัณฑิต-
กิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ-
ราชวิทยาลัย
(๖) การศึกษาพิเศษ สอบได้จฬู อภิธรรมิกตรี
สอบได้วชิ าครูมลู ภาษาไทย
จังหวัดนครสวรรค์
(๗) ความชำนาญการ การแสดงพระธรรมเทศนา
การปาฐกถาธรรม การบรรยายธรรม
และการเขียนบทความธรรมะ
การแต่งบทกลอน
๖. งานปกครอง
(๑) พ.ศ.๒๕๐๙ เป็นผูช้ ว่ ยเจ้าอาวาสวัดโกรกพระใต้
อำเภอโกรกพระ จังหวัดนครสวรรค์
(๒) พ.ศ.๒๕๑๓ เป็นผูช้ ว่ ยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ
อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์
15
(๓) พ.ศ.๒๕๑๔ เป็นเจ้าคณะอำเภอเมืองเพชรบูรณ์
(๔) พ.ศ.๒๕๑๘ เป็นพระอุปชั ฌาย์
(๕) พ.ศ.๒๕๑๙ เป็นรองเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ
(๖) พ.ศ.๒๕๑๙ เป็นรองเจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์
(๗) พ.ศ.๒๕๒๔ เป็นเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ (วัดราษฎร์)
(๘) พ.ศ.๒๕๒๗ เป็นเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ (พระอารามหลวง)
(๙) พ.ศ.๒๕๔๐ เป็นเจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์
๗. งานการศึกษา
(๑) พ.ศ.๒๕๐๒ เป็นครูสอนปริยตั ธิ รรม แผนกบาลี
สำนักศาสนศึกษา วัดโพธาราม
อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์
พ.ศ.๒๕๑๐ เป็นครูสอนปริยตั ธิ รรม แผนกบาลี
สำนักศาสนศึกษา วัดโกรกพระใต้
อำเภอโกรกพระ จังหวัดนครสวรรค์
พ.ศ.๒๕๑๓ เป็นครูสอนปริยตั ธิ รรม แผนกบาลี
จังหวัดเพชรบูรณ์
พ.ศ.๒๕๑๔ เป็นผูอ้ ำนวยการสอบธรรมสนามหลวง
คณะสงฆ์ภาค ๔ โดยพระบัญชาของสมเด็จ
พระสังฆราช
พ.ศ.๒๕๒๔ เป็นเจ้าสำนักศาสนศึกษาวัดมหาธาตุ
อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ เป็นครูใหญ่โรงเรียน
จังหวัดเพชรบูรณ์
พ.ศ.๒๕๓๗ เป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนปริยตั ธิ รรม
จังหวัดเพชรบูรณ์
พ.ศ.๒๕๔๐ - ปัจจุบนั เป็นประธานสนามสอบบาลี
สนามหลวง สำนักเรียนคณะจังหวัดเพชรบูรณ์
พ.ศ.๒๕๔๕ - ปัจจุบนั เป็นกรรมการอบรมบาลีกอ่ นสอบ
สนามหลวง คณะสงฆ์ภาค ๔
พ.ศ.๒๕๔๙ - ปัจจุบนั ประธานกรรมการบริหาร
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลังกรณราชวิทยาลัย
ห้องเรียนจังหวัดเพชรบูรณ์
เป็นอาจารย์พเิ ศษ มหาวิทยาลัยมหาจุฬา-
เพชรบูรณ์
เป็นกรรมการออกข้อสอบธรรมสนามหลวง
17
๘. งานเผยแผ่
(๑) พ.ศ.๒๕๐๙ เป็นพระธรรมทูต สายที่ ๓
จังหวัดนครสวรรค์
(๒) พ.ศ.๒๕๑๔ เป็นพระธรรมทูต สายที่ ๓
จังหวัดเพชรบูรณ์
(๓) พ.ศ.๒๕๔๐ เป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการ
อบรมประชาชนประจำจังหวัดเพชรบูรณ์
(๔) เป็นหัวหน้าพระธรรมทูตจังหวัดเพชรบูรณ์
(๕) พ.ศ.๒๕๔๕ เป็นเจ้าสำนักปฏิบตั ธิ รรมประจำ
จังหวัดเพชรบูรณ์
(๖) พ.ศ.๒๕๔๗ เป็นประธานศูนย์พฒ ั นาคุณธรรม
จังหวัดเพชรบูรณ์
(๗) ดำเนินการจัดงานพิธเี นือ่ งในวันมาฆบูชาเป็นประจำทุกปี
(๘) ดำเนินการจัดงานพิธเี นือ่ งในวันวิสาขบูชาเป็นประจำทุกปี
(๙) ดำเนินการจัดงานพิธเี นือ่ งในวันอัฎฐมีบชู าเป็นประจำทุกปี
(๑๐) ดำเนินการจัดงานพิธเี นือ่ งในวันอาสาฬหบูชาเป็นประจำทุกปี
(๑๑) ดำเนินการจัดโครงการ “อุโบสถสัญจร” ในเขตอำเภอ-
เมืองเพชรบูรณ์ ตลอดพรรษา
(๑๒) ดำเนินการจัดโครงการ “ธรรมสัญจร” ในเขตอำเภอเมือง
เพชรบูรณ์ ตลอดพรรษา
(๑๓) ดำเนินการโครงการ “สร้างพระสูโ่ รงเรียน เฉลิมพระเกียรติ”
๖๗ โรงเรียน
18
(๑๔) ดำเนินการโครงการ “สงฆ์อาทร” ร่วมกับคณะสงฆ์
จังหวัดเพชรบูรณ์สร้างบ้านให้ประชาชนผูข้ ดั สน
และช่วยเหลือให้มอี าชีพสุจริต
๙. งานเจ้าคณะ
ได้ดำเนินการในหน้าที่เพื่อความเรียบร้อยดีงามของคณะสงฆ์
และการพระศาสนาตามตำแหน่งทีไ่ ด้รบั มอบหมายด้วยความเรียบร้อย
ทุกประการ โดยเฉพาะงานในหน้าทีห่ ลักของเจ้าคณะปกครอง ๒ ประการ
ดังนี
้
(๑) งานตรวจการคณะสงฆ์ ในเขตปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๐ – ๒๕๕๑ ได้ออกตรวจการคณะสงฆ์
เจ้าคณะอำเภอเมืองเพชรบูรณ์
(๒) พ.ศ.๒๕๑๘ เป็นประธานอำนวยการสอบธรรมสนามหลวง
อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ ตามคำสั่งเจ้าสำนัก
เรียนคณะจังหวัดเพชรบูรณ์
(๓) เป็นกรรมการควบคุมการสอบบาลีสนามหลวง
คณะจังหวัดเพชรบูรณ์
(๔) พ.ศ.๒๕๒๕ เป็นกรรมการร่วมประชุมเตรียมการรับเสด็จฯ
ทรงเปิดอนุสาวรียส์ มเด็จพระนเรศวรมหาราช
อำเภอวิเชียรบุรี
20
(๕) เป็นกรรมการร่วมประชุมวางศิลาฤกษ์
อำเภอหล่มสัก
(๖) พ.ศ.๒๕๒๙ ได้รบั พัดวัดพัฒนาตัวอย่างดีเด่น
จากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
สกลมหาสังฆปริณายก
(๗) ได้รบั เข็มเกียรติคณ
ุ นักพัฒนาแผ่นดินธรรม-
ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี
(๘) พ.ศ.๒๕๓๐ เป็นทีป่ รึกษาเตรียมงานรับเสด็จฯ
เพชรบูรณ์
(๙) พ.ศ.๒๕๓๒ เป็นกรรมการทีป่ รึกษาเตรียมการรับเสด็จฯ
เปิดตึกอำนวยการโรงพยาบาลจังหวัดเพชรบูรณ์
(๑๐) พ.ศ.๒๕๓๔ เป็นพระสังฆานุรกั ษ์สงิ่ แวดล้อม
จากกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี
และพลังงานแห่งชาติ
(๑๑) พ.ศ.๒๕๓๕ เป็นกรรมการพิจารณาเรือ่ ง
การขออนุญาตสร้างวัดในจังหวัดเพชรบูรณ์
เป็นกรรมการพิจารณาขออนุมตั เิ งิน
อุดหนุนบูรณะวัด
เป็นกรรมการทีป่ รึกษายุวพุทธิกสมาคม
จังหวัดเพชรบูรณ์
21
(๑๒) พ.ศ.๒๕๓๖ เป็นกรรมการควบคุมศูนย์เด็กก่อนเกณฑ์
ของวัดในจังหวัดเพชรบูรณ์
(๑๓) พ.ศ.๒๕๓๗ เป็นกรรมการร่วมพิจารณาคุณสมบัต
ิ
ผูท้ ำคุณประโยชน์ตอ่ พระศาสนา
เสนอขอรับพระราชทานเสาเสมาธรรมจักร
(๑๔) พ.ศ.๒๕๔๐ ได้รบั เสมาธรรมจักร จากสมเด็จพระเทพ-
รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
(๑๕) พ.ศ.๒๕๔๒ ได้รบั โล่ผมู้ ผี ลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม
จังหวัดเพชรบูรณ์ จากรัฐมนตรีวา่
การกระทรวงศึกษาธิการ
๑๑. สมณศักดิ์
(๑) พ.ศ.๒๔๑๗ ได้รบั พระราชทานสมณศักดิเ์ ป็นพระราชาคณะ-
พระศรีพชั โรดม
(๒) พ.ศ.๒๔๔๓ ได้รบั พระราชทานเลือ่ นสมณศักดิเ์ ป็น
พระราชาคณะชัน้ ราชในราชทินนามที่
พระราชพัชราภรณ์
(๓) พ.ศ.๒๔๕๑ ได้รบั พระราชทานเลือ่ นสมณศักดิเ์ ป็น-
พระราชาคณะชัน้ เทพในราชทินนามที่
พระเทพรัตนกวี
R
22
พุทธภาษิตสะกิดใจ
เล่ม ๑
โดย พระศรีพชั โรดม
k
๑
คนอืน่ ชนะง่ายแต่ใจชนะยาก
R
อตฺตา หเว ชิตํ เสยฺโย
ชนะตนเท่านัน้ เป็นการดี
เป็นธรรมดาของคน ย่อมไม่มใี ครอยากจะเป็นผูแ้ พ้ ทุกคนต่าง
ก็มงุ่ หวังจะเป็นผูช้ นะทัง้ นัน้ แม้แต่เด็กทีย่ งั เล็ก ก็ยงั หวังว่า ตอนนีส้ ไู้ ม่
ได้ แต่ถา้ โตขึน้ ไปในอนาคตยังไม่แน่ อาจจะชนะได้
การชนะศัตรูทเี่ อาเปรียบกัน เป็นต้น นับว่าเป็นการชนะทีย่ งั
กลับแพ้ได้ และมีโทษอันมหันต์ เช่นมีการฆ่าล้างแค้น หรือมีการ
ทะเลาะวิวาทบาดหมางกัน ตลอดจนถึงเกิดการอิจฉาริษยา อาฆาตเข่น
ฆ่ากัน เป็นต้น ส่วนหนึง่ จะมาจากการเอาชนะกันนีเ้ อง เป็นเหตุให้เกิด
การวุน่ วายในปัจจุบนั
ธรรมดาของคน ย่อมมีเรือ่ งแปลกอยูอ่ ย่างหนึง่ คือชอบชนะ
คนอืน่ ดังกล่าวแล้ว ทัง้ ๆ ทีก่ ร็ วู้ า่ จะก่อโทษก่อศัตรู เป็นอันตรายทีจ่ ะ
ต้องคอยระมัดระวังอยูเ่ สมอ แต่ไม่คอ่ ยมีใครคิดจะชนะตัวเอง
หรือมีก็น้อย เช่น “ข้าพเจ้าติดสุรามาหลายปีแล้ว ต่อไปนี้
ข้าพเจ้าจะเอาชนะใจตัวเอง จะเลิกอย่างเด็ดขาด” ส่วนใหญ่จะไม่คอ่ ยมี
ใครคิดกัน แต่กลับไปยอมแพ้เขาอย่างเต็มใจ โดยไปคิดเข้าข้างเขาว่า
ถ้าขาดสุราก็จะขาดเพือ่ น เป็นต้น และมีขอ้ อ้างอีกหลายๆ อย่าง การ
อ้างดังกล่าว เป็นเหตุให้ผดิ ศีลข้อ ๕
24
และยังไม่เคยเห็นผู้ใดหรือสถาบันใด เข้าไปทำสถิติดูว่า การ
ตายหมูห่ รือการฆ่ากันตาย เป็นต้น ในเรือ่ งเหล่านัน้ จะมีการผิดศีลข้อ ๕
เข้าไปเกีย่ วข้องด้วยสักกีเ่ ปอร์เซ็นต์ ทีไ่ ม่มกี เี่ ปอร์เซ็นต์ แต่ยงั ดีหน่อยที่
มีการรณรงค์ให้เลิกสูบบุหรี่ การสูบหรีอ่ ย่างจะตายก็ตายเพียงคนเดียว
คือคนสูบ แต่วา่ การผิดศีลข้อ ๕ จะเป็นสุรา หรือเมรัย หรือมัชชะมียาบ้า
เป็นต้น อย่างนี้ตายหลายคน เวลานี้ เบียร์หรือสุราก็คือเครื่องดื่ม
ธรรมดา ทัง้ ๆ ทีเ่ มืองไทยเป็นเมืองพุทธศาสนา ทีก่ ล่าวนีม้ ไิ ด้มคี วาม
ประสงค์จะติเตียนผูใ้ ด ขอแค่ สะกิดใจ ตามหัวข้อรายการว่าพุทธภาษิต
สะกิดใจเท่านัน้ อย่าได้คดิ เป็นอย่างอืน่
เพราะฉะนัน้ อย่าคิดแต่วา่ จะเอาชนะคนอืน่ อย่างเดียว เพราะ
การชนะนัน้ ยังกลับแพ้ได้ แต่ถา้ หันมาช่วยกันรณรงค์การเอาชนะใจตัวเอง
ดูบา้ ง ก็จะทำให้ระเบียบสังคมดีขนึ้ ขอให้คดิ ว่า
๑. ชนะอืน่ ศัตรูลน้ ชนะตนศัตรูหาย ถ้ารูจ้ กั ชนะ สังคมจะสบาย
๒. ชนะคนอืน่ มากมี แต่ความดีชนะไม่ได้ ถ้าไม่กลับตัว จะชัว่
ไปจนตาย
R
25
๒
คนอืน่ ชอบฝึกฝน แต่ใจตนไม่ชอบฝึก
R
อตฺตา หิ กิร ทุททฺ โม
ได้ยนิ ว่าตนแล ฝึกได้ยาก
การฝึกตน หมายถึงการทำตนให้อยูใ่ นอำนาจ กล่าวคือการทำตน
ให้ดำรงอยูใ่ นแนวทางทีถ่ กู ต้อง ดีงาม เจริญก้าวหน้ายิง่ ๆ ขึน้ ไป จน
สามารถจะละกิเลสได้ การทำอย่างนี้ มิใช่ว่าจะทำได้ง่าย เพราะจิต
ของคนที่ยังมิได้ฝึก จะกลับกลอกไปตามอารมณ์ที่เกิดขึ้น และมักจะ
ยินดีในอารมณ์ฝา่ ยต่ำเสมอ เป็นเหตุกอ่ ให้เกิดความทุกข์โทษ เศร้าหมอง
อยูร่ ำ่ ไป ดังนัน้ การฝึกตนเองให้ชนะอารมณ์ดงั กล่าว เพือ่ ดำรงอยูใ่ น
ทางดีอย่างเดียว นับว่าทำได้ยาก แต่กเ็ ป็นหน้าทีข่ องคนทีจ่ ะต้องทำ
ความเป็นจริง การฝึกตนนัน้ ถ้าจะให้ตนฝึกตนเอง จะเป็นการ
ยากมาก แต่ถา้ หากเปลีย่ นเป็นให้คนอืน่ มาฝึก จะทำได้งา่ ยกว่า เช่น
31
๕
เกิดเป็นคน ต้องฝนให้ถงึ ดี
R
อตฺตา หิ อตฺตโน คติ
ตนเท่านัน้ เป็นคติของตน
คติ ในทีน่ ี้ หมายถึง ข้อคิดทีไ่ ด้จากประสพการณ์ชวี ติ จาก
ของคนและของคนอืน่ ทัง้ ทีด่ แี ละไม่ดี ทัง้ ทีส่ ำเร็จและล้มเหลว แล้วนำ
มาประกอบเข้าเป็นบทเรียนแห่งชีวติ เพือ่ นำมาดำเนินทางชีวติ ของตน
ทีไ่ หนดีนำมาใช้ ทีไ่ หนไม่ดใี ห้หลบหลีก ซึง่ หมายถึงทัง้ ภพนีแ้ ละภพหน้า
ถ้าในทางพระพุทธศาสนา หมายถึงทางสองสาย คือสายทุคติ ได้แก่
การทำชัว่ ทีจ่ ะพาตัวไปสูค่ วามเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์
ดิรจั ฉาน ให้หลบหลีกสายนี้ และสายสุคติ ได้แก่ การทำความดีทจี่ ะพา
ตัวไปสูค่ วามเป็นมนุษย์ สวรรค์ พรหม และสุดท้ายคือนิพพาน ให้เดิน
ทางสายนีเ้ ป็นหลัก
มีคำพูดที่เคยพูดกันอยู่เสมอว่า ผิดเป็นครู รู้เป็นวิชา ท่าน
หมายความว่า ประสพการณ์ชีวิตของแต่ละคน ที่เคยผ่านไปแล้วนั้น
มีคุณค่าควรแก่การศึกษาและปฏิบัติ ข้อใดที่เคยผิดพลาดมาแล้ว
39
๙
รักดีตอ้ งหนีชวั่ รักตัวต้องอบรม
R
อตฺตนา ว กตํ ปาปํ อตฺตนา สงฺกลิ สิ สฺ ติ
ทำชัว่ เอง เศร้าหมองเอง
ความชัว่ ทุกชนิด เรียกว่า บาป ในทางพระพุทธศาสนา อันมี
มูลเหตุมาจาก ความโลภอยากได้ในทางที่ผิด ความโกรธดุร้าย เมื่อ
ความอยากนัน้ ไม่สมหวัง และความหลงว่าผิดเป็นถูก ซึง่ เป็นต้นเหตุให้
เกิด ความโลภและความโกรธนัน้ และบาปดังกล่าวนี้ จะแสดงออกมา
ทางกาย โดยการฆ่า หรือทำร้ายร่างกายกัน การลักขโมยหรือโกงกัน
และการประพฤติผิดทางเพศ และทางวาจา โดยการพูดเท็จ พูดคำ
หยาบ พูดส่อเสียดใส่รา้ ย หลอกลวงกัน และแสดงออกทางใจ โดยการ
โลภอยากได้ของเขา พยาบาทปองร้ายเขา และเห็นผิดจากทำนอง
ครองธรรม
ความชัว่ ท่านเปรียบด้วย กลิน่ เหม็น ส่วนความดีทา่ นเปรียบ
ด้วย กลิน่ หอม กลิน่ ตามปรกติจะใช้ลมนำไป แต่กลิน่ ความดีความชัว่
จะอาศัยข่าวเป็นผูน้ ำไป สำหรับกลิน่ แห่งคันธชาติ จะหอมหรือเหม็นไม่
นานก็จะหายไป มีได้ในระยะใกล้และฟุง้ ไปตามลมเท่านัน้
กลิน่ ของความดีและความชัว่ จะฟุง้ กระจายไปได้ไกลมาก ยิง่
ในปัจจุบันนี้เป็นยุคแห่งข่าวสารกว้างไกล สามารถจะไปได้ทั่วโลกใน
เวลาอันไม่นาน กลิน่ เหม็นถ้าเกิดกับบุคคลใด บุคคลนัน้ จะกลายเป็นคน
40
เสียคนไปตลอดชาติ จะเข้าไปในสังคมไหน ก็จะมีแต่คนรังเกียจ คนที่
ทำชัว่ ด้วยวิธกี ารไหน ขบวนการสือ่ สารก็จะตีแผ่ไปทัว่ โลก อย่าไปเชือ่
ตัวเองว่า ไม่เป็นไร ไม่มใี ครรูห้ ลอก หรือเราจำเป็นจะต้องทำ คนอืน่
เขาก็ทำกันทัง้ นัน้ ดังนี้ ต้องทำความเข้าใจว่า หากใครมีขา่ วในทางไม่ดี
จะไปตามแก้กบั คนทัว่ โลกนับเป็นการยาก ทางทีด่ คี วรจะหลบหลีก อย่า
เข้าใกล้สงิ่ ทีช่ วั่ หรือคนชัว่ ได้ จะดีมาก
อีกอย่างหนึง่ การทำความชัว่ นัน้ ถึงแม้จะไม่มใี ครจับได้ ผูท้ ำก็
จะเกิดได้ใจ หาโอกาสทำต่อๆ ไป และก็จะต้องมีสกั ครัง้ หนึง่ ทีเ่ ขาจับได้
เหมือนของเหม็น จะนำไปเก็บซ่อนไว้ตรงไหน กลิน่ เหม็นก็จะต้องออก
มาปรากฏให้คนได้กลิน่ จนได้
เพราะฉะนัน้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ความชัว่ ไม่ทำเสียเลยดีกว่า
ก็เพราะว่าความชั่วมีกลิ่นเหม็น ทุกคนย่อมจะไม่ชอบคนชั่ว และ
นอกจากนัน้ ก็เป็นการสร้างเวรภัยให้แก่ตวั เองด้วย ขอให้คดิ ว่า
๑. รักดีตอ้ งหนีชวั่ รักตัวต้องอบรม จงละความชัว่ อย่าทำตัว
ให้โสมม
๒. สะอาดนอกทำง่าย สะอาดใจทำยาก อยากเป็นคนดี ต้องมี
ลำบาก
R
41
๑๐
เห็นแก่ตน เป็นคนสกปรก
R
อตตตถปญญา อสุจี มนุสสา
คนทีเ่ ห็นแก่ประโยชน์ตน เป็นคนสกปรก
การเห็นแก่ประโยชน์ตน หมายถึง ประโยชน์ที่ตนได้รับนั้น
ไปกระทบกับคนอืน่ ทำให้คนอืน่ ได้รบั ความทุกข์รอ้ น ส่วนตนเองได้รบั
ความสุข บางทีเรียกคนประเภทนีว้ า่ หากินบนหลังคน และคนทีเ่ ห็น
แก่ประโยชน์ตนนี้ จะมีนสิ ยั ทีเ่ รียกว่า เสียไม่ใช้ได้เป็นเอา ขาดเมตตาธรรม
เป็นคนใจดำอำมหิต พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นคนสกปรก หมายถึงเป็นคน
อันหาได้ยาก
อันธรรมดาที่พึ่ง ของคนที่ยังไม่ถึงขั้นนิพพาน ทุกคนที่เป็น
ปุถุชน ต่างก็ดิ้นรนเพื่อความอยู่ดีกินดีด้วยกันทั้งนั้น ที่พึ่งดังกล่าวนี้
หมายถึง ทีพ่ งึ่ สีห่ ลัก คือ ทรัพย์ – วิชา – ปัญญา – บารมี
ในเบือ้ งต้นจะต้องมีหลักทรัพย์กอ่ น แต่หลักทรัพย์ในตอนนี้ จะ
มีมากมีนอ้ ยไม่สำคัญ มีพอให้เป็นค่าเล่าเรียนก็ใช้ได้ หลักทีส่ องคือวิชา
หมายถึงการศึกษาเล่าเรียน เมื่อเรียนจบแล้ว จะต้องใช้หลักที่สาม
53
๑๖
สอนเขา เราต้องทำ
R
อตฺตานญฺเจ ตถา กยิรา, ยถญฺมนุสาสติ,
ถ้าสอนเขาอย่างไร ก็ตอ้ งทำตนอย่างนัน้
คนที่มีหน้าที่สอนคน ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ปกครองแต่ละระดับ
หรือนักสอนศาสนา รองลงมาก็เป็นครูอาจารย์ คนทีส่ อนคนนัน้ คน
โบราณจะเรียกว่า แนะนำพร่ำสอน ซึ่งมิได้หมายถึงสอนอย่างเดียว
จะต้องมี แนะ – นำ – พร่ำ เข้ามาประกอบด้วย
แนะ ได้แก่บอกให้ทำ นำ ได้แก่ทำให้เขาดู เช่น แนะไม่ให้เขา
สูบบุหรี่ คนแนะก็จะต้องไม่สบู ด้วย อย่างนีเ้ ป็นต้น พร่ำ หมายถึง จะ
ต้องคอยตักเตือนอยู่บ่อยๆ ถ้าเขายังไม่ทำตาม หรือเขาทำตามแต่
55
๑๗
ติดกี อ่ ตัว ติชวั่ ทำลาย
R
อตฺตนา โจทยตฺตานํ
จงเตือนตนด้วยตนเอง
การตักเตือนกัน นัน้ ส่วนใหญ่เรามักจะใช้ในการตักเตือนคนอืน่
การเตือนตนเองมิได้พดู ถึงไว้ แต่ในทางคณะสงฆ์ มีสงั ฆกรรมประเภทหนึง่
เรียกว่า ปวารณา ได้แก่ให้พระภิกษุได้ปวารณาแก่กนั แลกัน หมายถึง
ยอมอนุญาตให้ตกั เตือนกันได้ เมือ่ ใครรู้ เห็น หรือสงสัยว่าอีกฝ่ายหนึง่
ทำความผิ ด มั ว แต่ เ ตือ นแต่ค นอื่น บางคนเลยลืมเตือนตัวเองไป
แท้จริง พระพุทธเจ้าจึงตรัสให้เตือนตัวเองก่อน แล้วค่อยไปเตือนคนอืน่
มิฉะนัน้ จะคิดไปว่าตัวเองดีกว่าเขา
การเตื อ นตนเอง ได้ แ ก่ ก ารเตื อ นให้ รู้ จั ก บาปบุ ญ คุ ณโทษ
ประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ เพราะธรรมชาติแห่งจิตใจของคน มักจะรู้
กันว่า ชอบจะเข้ากับตนเองเสมอ ไม่วา่ จะผิดหรือถูก ถ้าเป็นคนอืน่
จะรูไ้ ด้ดวี า่ คนไหนดี คนไหนไม่ดี คนไหนมีนสิ ยั อย่างไร ชอบวิจารณ์
คนอืน่ มากกว่าวิจารณ์ตวั เอง
มีเรื่องเล่ากันมาว่า มีฝรั่งคนหนึ่ง แกไปนอนอยู่ใต้ต้นมะม่วง
มองขึ้นไปบนต้น เห็นผลมะม่วงห้อยอยู่ที่ขั้ว แกคิดตำหนิในใจว่า
พระเจ้าชัง่ ไม่ยตุ ธิ รรมเสียเลย มะม่วงต้นออกใหญ่เบ้อเร่อ แต่สร้างลูก
นิดเดียว ส่วนแตงโมต้นนิดเดียว แถมลำต้นก็ไม่แข็งแรง แต่สร้างลูก
56
เสียใหญ่โต ขณะทีแ่ กนอนตำหนิอยูน่ นั้ บังเอิญผลมะม่วงผลหนึง่ ได้
ร่ ว งลงมาถู ก หั ว แกพอดี แกจึ ง รี บ ลุ ก ขึ้ น มาขอขอบคุ ณ พระเจ้ า ว่ า
พระเจ้าสร้างถูกแล้ว นีถ่ า้ พระเจ้าสร้างผลมะม่วงใหญ่เท่ากับผลแตงโม
ข้าพเจ้าจะต้องแย่ยงิ่ กว่านี้ หรือไม่กอ็ าจจะถึงแก่ความตายเป็นแน่
ทีย่ กตัวอย่างมานี้ เป็นการชีใ้ ห้เห็นว่า การมองคนอืน่ นัน้ ชอบ
จะมองถึงโทษ ถ้านำเอาข้อนีม้ ามองตัวเองดูบา้ งว่า เรามีจดุ เสียทีค่ วร
แก้อยูต่ รงไหน แล้วหาวิธแี ก้ไข และสร้างจุดดีให้เกิดขึน้
เพราะฉะนัน้ ทุกคนเกิดมาแล้วก็ตอ้ งตาย จะต้องหมัน่ ตักเตือน
ตนเองทำความดีไว้ เพื่อทำความดีฝากไว้ให้แก่คนรุ่นหลัง และเพื่อ
ความสุขของตนในภพหน้า เพราะเรื่องอย่างนี้ ทุกคนจะต้องทำเอง
เมือ่ มองคนอืน่ อย่างไร ก็ให้หนั มามองตนเองอย่างนัน้ จะดีมาก ขอให้
คิดว่า
๑. ติดกี อ่ ตัว ติชวั่ ทำลาย ควรติตนเอง ให้เกรงชัว่ ร้าย
๒. เตือนตนได้ เป็นวิสยั ของบัณฑิต ถ้าปล่อยตามใจ จะไปกับผิด
R
57
๑๘
พิจารณาตน จะไม่เป็นคนถูกหลอก
R
ปฎิมเํ สตมตฺตนา
จงพิจารณาตนด้วยคนเอง
การพิจารณา หมายถึง การใช้สติปญ ั ญาเข้าไปตรวจดู เพือ่ ให้
เกิดความรูช้ ดั ถ้าพิจารณาตน ก็หมายความว่า ยกร่างกายตัวตนของ
ตนขึน้ มาตัง้ แล้วเริม่ พิจารณา สุดแต่จะพิจารณาไปในแง่ไหน
การพิจารณาตนนัน้ จะพิจารณาในแง่ ไม่เทีย่ ง – เป็นทุกข์ –
เป็นอนัตตา ทัง้ นี้ เพือ่ จะค้นหาหลักความจริงจากตัวเราเอง โดยไม่ตอ้ ง
ใช้ครูทไี่ หนมาสอน จะยกตัวอย่างในการพิจารณาดังนีค้ อื
สังขารไม่เทีย่ งทีเ่ รียกว่า อนิจจัง ให้นกึ ย้อนไปในอดีต นับตัง้ แต่
แรกเกิดมา กล่าวคือในสมัยทีย่ งั เป็นเด็กทารก ต่อมาเป็นเด็กโตขึน้ วิง่
เล่นได้แล้ว จากนัน้ ก็เป็นหนุม่ เป็นสาว นับไปจนถึงปัจจุบนั แค่นี้ ท่านก็
เห็นอนิจจังเพียงหยาบๆ แล้ว เมือ่ เห็นความเปลีย่ นแปลงตรงนี้ ก็จะ
คิดได้วา่ ไม่ชา้ เราก็ตอ้ งตายอย่างแน่แท้ ไม่วา่ จะเป็นคนเช่นไร กล่าว
คือ เป็นคนยากจนหรือเป็นเศรษฐี ตายแล้วก็เหลือแต่กระดูก ทำไมใน
เวลาที่มีชีวิตอยู่จึงว่า คนนั้นดีกว่าคนนี้ คนนี้ดีกว่าคนนั้น แท้จริง
ภัยจะลุกลาม
R
63
๒๑
คนชัว่ ร้าย คือตายทัง้ เป็น
R
อตฺตานญฺจ น ฆาเตสิ
อย่าฆ่าตนเอง
มีบางคนพูดว่า เกิดมาเพือ่ ใช้กรรม แท้จริงก็ถกู บ้าง แต่ทถี่ กู
67
๒๓
คนดี ต้องไม่มปี ล่อยใจ
R
อตฺตานํ น ทเท โปโส
บุรษุ ไม่พงึ ให้ซงึ่ ตน
คำว่า ไม่พึงให้ซึ่งตน หมายถึง ทุกคน ไม่ควรปล่อยกาย
วาจา และใจ ไปตามอารมณ์ที่ตนต้องการ เพราะธรรมชาติของใจ
71
๒๕
ลืมตนลมตาย เห็นอบายเป็นของดี
R
อตฺตานํ นาติวตฺเตยฺย
บุคคล ไม่ควรลืมตน
ลืมตน หมายถึง การลืมด้วยอำนาจของโมหะ คือความ
หลงลืม ไม่รเู้ ท่าทันความเป็นจริง หรือรูเ้ หมือนกัน แต่ทนไม่ไหว เรียกว่า
ลืมเพราะหลง ความจริงมีอยู่ แต่ไม่ได้คดิ
ในสังขารร่างกายของเรา เต็มไปด้วยของไม่สะอาด ถ้านำเอา
มีดมาผ่าร่างกายดูแล้ว จะเห็นสิ่งภายในร่างกายว่า มีแต่ความน่า
เกลียดน่ากลัว ท่านทีเ่ ป็นหนุม่ เป็นสาว เมือ่ พบเห็นกัน จะมองเห็นว่า
ผูห้ ญิงสวย ผูช้ ายหล่อ มองแล้วจะเกิดความรักใคร่ ติดเนือ้ ต้องใจซึง่
กันแลกัน หรือเกิดความหลงไหลกันขึน้ ในทีส่ ดุ ก็จะทำให้พฤติกรรม
ของคนทัง้ สอง ต้องเปลีย่ นแปลงไปตามกระแสของตัณหา ถ้าไม่ระวัง
ตัว ก็จะทำให้เกิดปัญหาการประทุษร้ายทางเพศ และจะมีความเสียหาย
ตามมา ทีย่ กมากล่าวนี้ เพือ่ ให้มองเห็นว่า ทุกคนจะติดอยูใ่ นของหลอก
มองไม่เห็นของจริง เรียกตรงนีว้ า่ ลืมตน
การลืมมีอยู่ ๒ อย่างคือ ลืมด้วยไม่ตงั้ ใจ กับ ลืมด้วยตัง้ ใจ
ลืมด้วยไม่ตงั้ ใจนัน้ เช่น วางกระเป๋าเงินไว้ตรงนี้ เวลาไปก็ทงิ้ ไว้ตรงนัน้
หรือไปพบกับเพือ่ นเก่าคนหนึง่ นึกไม่ออกว่าเพือ่ นคนนีช้ อื่ อะไรเป็นต้น
การลืมอย่างนีบ้ างครัง้ เสียหาย บางครัง้ ถึงจะเสียหายก็ยงั ให้อภัยกันได้
72
แต่ถา้ เป็นการลืมทีจ่ ะต้องทำให้เสียเงินหรือเสียชือ่ เสียง ก็จะไม่ดี ทางที่
ดีควรจะระวังไม่ให้ลมื ได้เป็นการดี
การลืมด้วยตัง้ ใจ อย่างทีส่ องนี้ ร้ายมาก ไม่นา่ ให้อภัย เช่น
คนที่มีความโกรธ เกิดการทะเลาะวิวาท จนถึงลงมือทำร้ายร่างกาย
หรือถึงกับฆ่ากันตาย ถ้าจะถามว่าการกระทำนัน้ ผิดไหม ก็ตอ้ งตอบว่าผิด
คนทำก็รวู้ า่ ผิด ดังนีเ้ ป็นต้น การลืมอย่างนี้ เรียกว่า ลืมตัว หรือจะ
เรียกว่า ลืมเพราะกิเลสพาไปก็ไม่ผดิ ทัง้ ลืมตนและลืมตัว ทัง้ สองอย่างนี้
จะต้องควรระวังเป็นอย่างยิง่
เพราะฉะนัน้ ชาวโลกทีม่ เี รือ่ งวุน่ วาย เกิดความเดือดร้อนกัน
อยูท่ กุ วันนี้ ก็เพราะอำนาจของโมหะ เข้ามาครอบงำทำให้เห็นผิดเป็นถูก
เห็นถูกเป็นผิด เกิดความลืมตัวลืมตน ถ้าเรามาระวังเข้าไว้บา้ ง ถึงจะ
เกิดมีในบางครัง้ ก็ควรจะมีการยับยัง้ ให้เบาบางลงจะดีมาก ขอให้คดิ ว่า
๑. ลืมตัวลืมตาย เห็นอบายกลายเป็นดี ถ้าแก้ไม่ได้ จะกลาย
เป็นผี
๒. ถ้าหลงชัว่ จะลืมตัวลืมตาย ทางทีด่ ี ควรสร้างดีเข้าไว้
R
73
๒๖
ชัว่ เขาชอบสน ชัว่ ตนไม่สนใจ
R
อตฺตทตฺถํ ปรตฺเถน, พหุนาปิ น หาปเย
ไม่พงึ ทำประโยชน์ตนให้เสียหาย เพือ่ ประโยชน์ผอู้ นื่ แม้มาก
ประโยชน์ ในทีน่ ี้ หมายถึงสมบัตทิ จี่ ะพึงได้มา รวมทัง้ ความรู้
ยศศักดิ์ชื่อเสียง มีทั้งประโยชน์ในภพนี้ ประโยชน์ในภพหน้า และ
ประโยชน์อย่างสูง ได้แก่พระนิพพาน ประโยชน์ดังกล่าวนี้ แบ่งออก
เป็น ๒ อย่าง คือ ประโยชน์ตนและประโยชน์ผอู้ นื่
ในประโยชน์ทงั้ สองนัน้ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ทำประโยชน์ตน
ก่อน และขณะเดียวกันนัน้ หากเพือ่ นบ้านหรือในสังคม มีกจิ การอะไรที่
พอจะช่วยได้ ก็ให้ชว่ ยเหลือกันไปตามกำลัง ทีจ่ ะช่วยเหลือได้ แต่จะ
ต้องเป็นการช่วยเหลือในทางทีด่ ี และสุจริตด้วย หากการช่วยเหลือนัน้
อาจจะทำให้เกิดความเสียหาย เช่นไปค้ำประกัน กับคนทีไ่ ม่นา่ ไว้วางใจ
เป็นต้น อย่างนี้ พระพุทธเจ้าทรงห้าม
การทำประโยชน์เพือ่ คนอืน่ เป็นความดีและควรทำ แต่จะต้อง
คำนึงดูวา่ เมือ่ ทำแล้ว จะเกิดความเสียหายอะไรไหม ดังกล่าวข้างต้น
ในทีน่ จี้ ะเน้นในเรือ่ งของการทำบุญ มีการทอดกฐินหรือผ้าป่า เป็นต้น
ซึง่ พุทธศาสนิกชนผูใ้ จบุญจะทำกันอยูเ่ สมอ แต่บางครัง้ อาจจะถูกหลอก
เป็นต้นว่า เมือ่ มีคนทีไ่ ม่รจู้ กั มาบอกว่า จะนำกฐิน หรือไม่กผ็ า้ ป่า มาทอด
ที่วัดนี้ จะขอตราวัดไปด้วย เพื่อนำไปประทับที่ซองและใบฎีกาเรี่ยไร
74
พร้อมกับขอชื่อเจ้าอาวาสและพระอื่นๆ รวมทั้งทายกทายิกาในวัดนี้
เพื่ อไปลงพิ ม พ์ ใ นฎี ก าบอกบุ ญ และได้ บ อกวั น เวลาที่ จ ะมาทอดไว้
เรียบร้อย พอถึงวันกำหนดดังกล่าว ปรากฏว่า ไม่มใี ครนำมาทอด นัน่
ก็หมายความว่า เขานำเอาชือ่ วัด ชือ่ เจ้าอาวาสพร้อมทัง้ ทายกทายิกา
ไปหากินทางทุจริต ผู้ที่ทำบุญก็หลงผิด คิดว่าเป็นจริง จึงทำบุญไป
การช่วยเหลืออย่างนี้ เหมือนเป็นการช่วยเหลือโจร ให้ไปปล้นคนอื่น
โดยใช้บญ ุ บังหน้า เรือ่ งนีข้ อให้ชาววัดชาวบ้าน จงช่วยกันแก้ไข
เพราะฉะนัน้ เรือ่ งจริงทีก่ ล่าวมาข้างต้น พระพุทธเจ้าจึงทรง
เน้นว่า อย่าทำประโยชน์ตนให้เสียเพือ่ ประโยชน์ผอู้ นื่ การช่วยเหลือคน
อืน่ ในทางทุจริตก็ดี ร่วมกันทำทุจริตกับคนอืน่ ก็ดี หรือตนทำทุจริตเสีย
เองก็ดี ประโยชน์ที่ได้ในภพนี้ ไม่คุ้มค่าความทุกข์ทรมานในภพหน้า
ขอให้คดิ ว่า
๑. ช่วยคนอื่นสน แต่ช่วยตนไม่เหลียวแล ถ้าช่วยตนได้ จะ
สบายดีแท้
๒. ช่วยคนอืน่ ช่วยได้ แต่อย่าให้เสียตน ถ้าเรือ่ งเสียหาย ต้อง
หลีกไปให้พน้
R
75
๒๗
รักดีตอ้ งแก้ไข ถ้าปล่อยไปจะแก้ตวั
R
อตฺตานญฺเจ ปิยํ ชญฺา, น นํ ปาเปน สสํยเุ ช
ถ้ารูว้ า่ ตนเป็นทีร่ กั ไม่ควรทำตนให้เป็นคนชัว่
การประพฤติปฏิบตั ติ นของคนเรานัน้ ท่านแบ่งเป็นสีป่ ระเภท คือ
๑. ต้นตรง – ปลายคด คือคนทีป่ ฏิบตั ติ นเป็นคนดี ทัง้ เบือ้ ง
ต้นและเบือ้ งปลายชีวติ
๒. ต้นตรง – ปลายคด คือแต่เดิมเป็นคนดี แต่มาภายหลัง
กลับประพฤติตนเป็นคนชัว่
๓. ต้นคด – ปลายตรง คือแต่เดิมเป็นคนชัว่ แต่มาภายหลัง
กลับตัวมาเป็นคนดี
๔. ต้นคด – ปลายคด คือแต่เดิมก็เป็นคนชัว่ แต่กลับตัวไม่ได้
ตลอดไปจนถึงตาย
ในที่นี้ หมายความว่า คนที่เคยทำดี จงทำความดีตลอดไป
หรือคนทีท่ ำความชัว่ ก็ให้กลับ ตัวเป็นคนดีตลอดไป ดังบุคคลประเภท
ที่ ๑ และ ๓ ส่วนบุคคลประเภทที่ ๒ และ ๔ ไม่ควรนำมาใช้
ธรรมดาว่าพืน้ เดิมแห่งจิตใจของคนทัว่ ไป ต้องการจะเป็นคนดี
ต่างก็รงั เกียจคนชัว่ แต่เอาเข้าจริง พอไปพบกับสิง่ แวดล้อมทีไ่ ม่ดี เช่น
คบกับเพือ่ นทีไ่ ม่ดี เป็นต้น เพือ่ นก็ชกั ชวนไปในทางไม่ดี กลับลืมพืน้ เดิม
76
เสียสิน้ ไปเมามัวกับเขา ถ้าถามว่ายาเสพติดดีไหม ทุกคนต้องตอบว่า
ไม่ดี เมือ่ รูว้ า่ ไม่ดี จะไปเสพทำไม ตรงนี้ มักจะตอบกันว่า เพราะเกิด
ปัญหาครอบครัวบ้าง เพราะถูกเพือ่ นชักชวนบ้าง เพราะความสนุกบ้าง
นัน่ เขาเรียกกันว่า แก้ตวั คนเราถ้ารักดีจริงจะต้อง แก้ไข ไม่ใช่แก้ตวั
ไม่วา่ จะอ้างเหตุลน้ ฟ้าขนาดไหน คนเขาฟังออก ถ้าเอาแต่แก้ตวั ก็จะ
กลายเป็นคน ค้นคด – ปลายคด หรือหากเมือ่ ก่อนเคยเป็นคนชัว่ แต่
หันมาแก้ไขตัวเอง หลีกความชัว่ ทัง้ หลาย กลับมาทำความดี อย่างนี้
ถึงจะต้นคด แต่ปลายตรง สังคมจะยังให้อภัย ก็ยงั จัดเข้าในประเภทคนดี
สังคมไม่รังเกียจ จัดอยู่ในประเภทว่า คนดีชอบแก้ไข คนทั่วไปจะ
ยกย่องสรรเสริญ
เพราะฉะนัน้ คนเราทุกคน ต้องยอมรับว่า ก็ชวั่ บ้างดีบา้ ง จะ
ให้ดอี ย่างเดียวหรือชัว่ อย่างเดียวย่อมจะมีนอ้ ย แต่ถา้ มาคิดว่าดีกผ็ า่ น
มาแล้วชัว่ ก็ผา่ นมาแล้ว พอกันทีตอ่ ไปนีก้ ลับมาทำความดี ทำบุญกุศล
เพื่อช่วยตนของตนทั้งชาตินี้และชาติหน้า และทำอย่างจริงจัง ก็จะดี
มิใช่นอ้ ย ขอให้คดิ ว่า
๑. คนดีจะแก้ไข คนเหลวไหลจะแก้ตวั ถ้ารูอ้ ย่างนี้ จงหลบหนี
ความชัว่
๒. ถ้ารักตัวมี ต้องทำดีให้มาก อย่าหมกมุ่นเมามัว ทำตัวให้
ลำบาก
R
77
๒๘
ติตวั ได้ จะใช้ตวั เป็น
R
ยทตฺตครหี ตทกุพพฺ มาโน
ตำหนิตวั เองอย่างไร ไม่ควรทำอย่างนัน้
การจะตำหนิตวั เองนัน้ ก่อนอืน่ ควรวางตนให้เป็นกลางเสียก่อน
กล่าวคือจะต้องไม่ลำเอียงเข้าข้างตน จากนัน้ จงมาตรวจทีก่ ายก่อน ว่า
กายของเราชอบทำผิดอะไรบ้าง เมือ่ ตรวจพบความผิดทีก่ ายก็ให้จำไว้
ต่อจากนั้นก็ไปตรวจที่วาจาว่าปากที่เราพูดออกไปนั้น มีตรงไหนที่ควร
แก้ไขบ้าง จากนัน้ ก็มาถึงจุดสำคัญคือมาตรวจทีใ่ จ ว่าชอบมีความคิดที่
ไม่ดตี รงไหนบ้าง สำหรับใจนี้ จะมีจดุ ทีน่ า่ คิดอยูม่ าก และเมือ่ เห็นแล้ว
ก็หาวิธแี ก้ โดยจะแก้เป็นอย่างๆ ไปก็ได้ สิง่ ทีน่ ำออกมาดูนี้ ให้ถอื เป็น
ครูของเรา แต่ละอย่างทีแ่ ก้ได้แล้ว ก็เหมือนกับนักเรียนทีไ่ ด้เรียนผ่าน
บทนีไ้ ปแล้ว และก็ไปเรียนบทอืน่ ต่อไป ถ้าใครทดลองทำอย่างนีไ้ ด้ ก็จะ
ดีมใิ ช่นอ้ ย
ตามปรกติคนทุกคน ส่วนใหญ่ มักจะชอบติคนอืน่ แต่ไม่ชอบติ
ตัวเอง ทั้งๆ ที่การตินั้น บางครั้งตัวเองก็ยังทำไม่ได้ ที่กล่าวมานี้
เป็นการติในทางเสีย ถ้าติให้เขาทำดี อย่างนีเ้ รียกว่า ตักเตือน แต่คนเรา
มักจะไม่เข้าใจ นำเอาติเตียนกับตักเตือนไปปนกัน เช่นนายเรียกลูกน้อง
ไปตักเตือน คนก็จะพูดกันว่า นายคนนัน้ ถูกนายเรียกไปตำหนิ เมือ่
เป็นเช่นนี้ ลูกน้องทำผิด นายก็ไม่กล้าตักเตือน เพราะเกรงว่าลูกน้อง
78
จะเสียประวัติ ในทีส่ ดุ ก็กลายเป็นว่า ให้รกู้ นั เอง ตรงนีก้ เ็ ป็นจุดเสียหาย
แต่ในพระพุทธภาษิตนี้ พระพุทธเจ้าทรงเน้นแต่เพียง ติตวั เอง ไม่กว้าง
ออกไปถึงติคนอืน่ ว่า ติตวั เองอย่างไร ไม่ควรทำอย่างนัน้ เช่นติวา่ เรา
เป็นคนใจน้อย หรือเป็นคนใจดำ ซึง่ เรือ่ งนี้ ก็เคยเสียหายมาแล้ว เมือ่
ตัวเองติตวั เองอย่างนี้ ก็จะต้องหาทางแก้ไข อย่าไปคิดว่า เราจะทำเรา
ของอย่างนีห้ รือ เราทำของเราดีแล้ว คนอืน่ อย่ามายุง่ เกีย่ ว แท้จริง
ถึงจะทำดีจริง ก็ตอ้ งฟังเสียงสังคมดูบา้ ง
เพราะฉะนัน้ พระพุทธเจ้าทรงภาษิตข้อนีไ้ ว้ ก็เพือ่ เตือนสติวา่
อย่ามัวไปติคนอื่นเสียจนเพลิน เลยลืมติตัวเองไป การติคนอื่น ถ้า
เป็นการ ติเพือ่ ก่อ ก็เป็นการดี อย่าไปติ เพือ่ ทำลาย อย่างนีเ้ ป็นเรือ่ ง
เสียหาย ทางทีด่ ที สี่ ดุ ก็คอื ให้ตติ วั เองไว้เป็นลำดับหนึง่ ติเพือ่ ก่อเป็น
ลำดับลองลงมา ขอให้คดิ ว่า
๑. ติเขาอย่างไร ต้องทำได้อย่างติ ถ้ารักตัวดี จะไม่มตี ำหนิ
๒. ติตวั อย่างไร ต้องห่างไกลสิง่ นัน้ ถ้าชัว่ ต้องไม่ อย่าทำใจผูกพัน
R
79
๒๙
โรคประมาท จะระบาดถึงตาย
R
อปฺปมาโท อมตํ ปทํ
ความไม่ประมาท เป็นหนทางแห่งความไม่ตาย
ประมาท หมายถึง ความหลงมัวเมา ในลาภ ยศ สรรเสริญ
สุข และเมาในวัย ในชีวติ เป็นต้น บุคคลประเภทนี้ ตกอยูใ่ นอำนาจ
ของโมหะ คือความหลงผิด ติดอยูใ่ นอารมณ์ทนี่ า่ ใคร่ น่าปรารถนา แต่
ในพระพุทธภาษิตนี้ ระบุถงึ ความไม่ประมาท ก็หมายถึงสิง่ ทีต่ รงกันข้าม
กล่าวคือ ผูไ้ ม่หลงมัวเมา ไม่ตดิ อยูใ่ นอารมณ์ ทีจ่ ะดึงดูดจิตใจให้ใฝ่ตำ่
มีสติในการทำ การพูด และการคิด ใช้ปญ ั ญาเป็นเครือ่ งนำทาง ดังนัน้
คนประเภทนี้ จึงต้องทำแต่ความดีอย่างเดียว ไม่ทำสิง่ ทีใ่ ห้เสียเกียรติยศ
ชือ่ เสียง ทัง้ ตนและวงศ์ตระกูล รวมไปถึงส่วนรวมคือประเทศชาติบา้ น
เมือง เมือ่ มีกนั อย่างนีท้ กุ คน ตนเอง วงศ์ตระกูลและประเทศชาติ ก็จะ
ไม่ตาย กล่าวคือจะมีแต่ความเจริญรุง่ เรืองเท่านัน้
จะย้ อ นกล่ า วถึ ง ความประมาท เพื่ อ จะชี้ ใ ห้ เ ห็ นโทษ จาก
อุบัติเหตุบนท้องถนน อันเนื่องมาจากคนขับรถ มีความประมาท จน
ทำให้เกิดโรค ๓ อย่างคือ
๑. โรคไม่เป็นไร คือ ตัวเองจะคิดว่าไม่เป็นไร เช่นสัง่ ว่า เมา
ไม่ขบั ก็คดิ ว่าไม่เป็นไร เราก็เคยกินมาหลายครัง้ แล้ว ไม่เห็นมีอะไรสักที
หรือขับรถแซงกับคันอืน่ ในระยะกระชัน้ ชิด ก็คดิ ว่าคนอย่างเราเชือ่ มือได้
80
เมือ่ ประมาทอย่างนี้ สักวันหนึง่ ทีค่ ดิ ว่าไม่เป็นไร อาจจะเป็นขึน้ มาได้
๒. โรคช่างปะไร คือ คิดว่าชัง่ ปะไร เช่นเห็นรถข้างหน้าหรือ
ข้างหลังเขาแซงกันมา ในระยะคับขัน แทนทีจ่ ะหลีกทางให้เขา ก็คดิ ว่า
ชัง่ ประไร เราเป็นฝ่ายถูก
๓. โรคเหม่อลอย คือขับรถใจลอย หรือไม่กง็ ว่ งนอน แต่ไม่
ยอมหยุดพัก
เพราะฉะนัน้ ในโรคทัง้ ๓ โรคนี้ เป็นโรคความประมาททัง้ สิน้
โรคนี้ หากไม่รักษา มีหวังตายอย่างเดียว หรือไม่ตายก็อาจจะพิการ
เป็นภาระของครอบครัว ต้องเสียเงินทอง เสียเวลาการทำมาหากิน
ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า เป็นหนทางแห่งความตาย ถ้าไม่ตาย
จากชีวติ ก็ตายจากคุณความดี กลายเป็นคนเสียไป ขอให้คดิ ว่า
๑. ประมาทเมามัว จะทำตัวให้ถงึ ตาย ไม่ตายจากชีวี ก็ตาย
ความดีจนได้
๒. เมือ่ ได้ความดี อย่าได้มปี ระมาท ความชัว่ ล่อใจ อย่าหลงไป
อย่างเด็ดขาด
R
81
๓๐
ความไม่ประมาท เป็นสมบัตเิ ศรษฐี
R
อปฺปมาทญฺจ เมธาวี ธนํ เสฏฺ€ํ ว รกฺขติ
ปราชญ์จะรักษาความไม่ประมาท เหมือนทรัพย์อนั ประเสริฐสุด
นักปราชญ์ คือผูท้ มี่ ปี ญั ญา เฉลียวฉลาดรอบรู้ ในสิง่ อันเป็น
ประโยชน์ และสิง่ ทีเ่ ป็นโทษ ดำรงตนอยูใ่ นความสุจริต ไม่ประพฤติผดิ
ด้วยอำนาจแห่งความหลงมัวเมา ประกอบกิจการของตนอยูด่ ว้ ยความ
ไม่ประมาท บุคคลประเภทนีจ้ ะมองเห็นว่า ความไม่ประมาท เป็นสุด
ยอดของธรรมทัง้ ปวงหมายความว่า ความดีทงั้ หมด จะมารวมลงอยูท่ ี่
ความไม่ประมาททัง้ สิน้ รักษาความไม่ประมาทอย่างเดียว ก็เท่ากับว่า
ได้ปฏิบัติธรรมทั้งหมด ความไม่ประมาท จึงเป็นเหมือนทรัพย์อัน
ประเสริฐ ทัง้ ทรัพย์ภายนอก และทรัพย์ภายใน สำหรับทรัพย์นอกนัน้
คนไม่ประมาทก็ยอ่ มจะขยันทำมาหากิน จนเกิดมีทรัพย์สนิ เงินทอง และ
ไม่ประมาทในการใช้จา่ ย รูจ้ กั เก็บรูจ้ กั ปลูกสร้าง ก็จะกลายเป็นเศรษฐีได้
ทุกคนที่เกิดมาในโลก ล้วนแต่อยากจะเป็นคนดีด้วยกันทั้งนั้น
แม้แต่เด็กทีร่ อ้ งไห้อยู่ พอพ่อหรือแม่ปลอบว่า นิง่ เสียคนดี เด็กก็จะนิง่
ทัง้ ๆ ทีเ่ ด็กทีย่ งั ไร้เดียงสาอยู่ สำหรับผูท้ เี่ ป็นนักปราชญ์ ย่อมจะมอง
ออกว่า คนทีย่ ากจน เป็นเพราะความประมาท เนือ่ งจากความประมาท
เป็นหนทางแห่งความเสียเงิน เสียชือ่ เสียง หรือบางครัง้ อาจจะถึงกับ
เสียชีวติ เช่นขับรถด้วยความประมาท เมือ่ เกิดอุบตั เิ หตุขนึ้ อย่างน้อย
82
ก็จะต้องเสียเงินซ่อม เป็นต้น คนเมาสุรา ประมาท ไปมีเรือ่ งทะเลาะใน
วงสุรา ถึงกับฆ่า หรือทำร้ายกัน ก็ตอ้ งเสียเงิน เสียเกียรติยศชือ่ เสียง
และยังมีอกี หลายอย่าง นีก้ เ็ ป็นเพราะความประมาท คนทีเ่ ข้าไปวุน่ วาย
ในเรื่องอบายมุข ก็มาจากความประมาท มีตัณหาเป็นตัวล่อให้เกิด
ความคึกคะนอง มองเห็นว่า อบายมุขเป็นหนทางให้เกิดความสุข เป็น
หนทางคลายเครียด เป็นต้น เมือ่ เป็นอย่างนี้ ก็ตอ้ งเสียเงินไปเพราะ
อบายมุข ถ้าไม่ยงุ่ เกีย่ วก็จะไม่เสียเงิน สามารถเป็นเศรษฐีได้
เพราะฉะนัน้ ความชัว่ ทัง้ หลาย เป็นตัวท้าทายให้คนเกิดความ
ประมาท มีอบายมุขเป็นต้น ถ้าไม่หลงตน แล้วตั้งตนในคุณความดี
ขยันหา ขยันเก็บ นำเอาตัวไม่ประมาทเป็นเครือ่ งนำทาง ไม่ชา้ ก็อาจจะ
ร่ำรวยเป็นเศรษฐีได้ ขอให้คดิ ว่า
๑. ขยันรักษาคบหาประหยัด เป็นสมบัติเศรษฐี เกิดเป็นคน
ต้องทำจนให้เป็นมี
๒. เมือ่ มีเงินอย่างัน ต้องป้องกันความประมาท ถ้าทำไม่ดี จะ
เกิดมีพนิ าศ
R
83
๓๑
ถ้ามีสตู รวัด จะมัดให้เป็นคนดี
R
อปฺปมาทํ ปสํสนฺติ
บัณฑิต ย่อมสรรเสริญความไม่ประมาท
บัณฑิต หมายถึง ผูร้ อบรูส้ งิ่ ทีเ่ ป็นประโยชน์ และสิง่ ทีไ่ ม่เป็น
ประโยชน์ แล้วเลือกปฏิบตั ิ แต่สงิ่ ทีจ่ ะทำให้เกิดประโยชน์ฝา่ ยเดียว จะ
ละเลิกสิง่ ทีไ่ ม่เป็นประโยชน์ สร้างตนเองให้เจริญขึน้ โดยอาศัยสิง่ ทีเ่ ป็น
ประโยชน์นนั้ เขาย่อมจะมองเห็นว่า ความประมาทเป็นทางเสือ่ มเสีย
เงินทองข้าวของทีม่ อี ยู่ จะเสือ่ มสูญไปได้ ก็เพราะความประมาทอย่างเดียว
และจะกลายเป็นคนหมดอนาคตไปในทีส่ ดุ ด้วยเหตุนี้ บัณฑิตทัง้ หลาย
จึงสรรเสริญความไม่ประมาท
มีคำพูดทีเ่ ป็นหลักวิชาพิสจู น์คนอยูป่ ระโยคหนึง่ ว่า คนดีทำดีงา่ ย
และ คนชัว่ ทำชัว่ ง่าย นอกจากนีย้ งั มีคำพูดทีต่ รงกันข้ามว่า คนดีทำ
ชัว่ ยาก และ คนชัว่ ทำดียาก ด้วยเหตุนี้ เราสามารถจะพิสจู น์ตนเอง
ได้วา่ เราเป็นคนดีหรือคนชัว่ ตามสูตรทัง้ ๔ ดังกล่าวแล้ว
อันทีจ่ ริง ในตัวเราคนเดียวนี้ อาจจะเป็นได้ถงึ สองคน กล่าว
คือเป็นคนดีกไ็ ด้ ในเมือ่ ตนยังรักษากาย วาจา ใจ ให้ดำรงอยูใ่ นความดี
ปฏิบตั ติ นอยูใ่ นความไม่ประมาท ไม่ปล่อยตัวให้ตกไปอยูใ่ นอำนาจของ
ความอยาก ความฉุนเฉียว ความหลงผิด เป็นต้น แต่ถา้ เวลาใด ท่าน
เผลอหรือจงใจ ไปทำความชัว่ ขึน้ ดำรงตนอยูใ่ นความประมาท ท่านก็
84
จะเปลีย่ นแปลงไปเป็นคนชัว่ ทันที
แบบฝึกหัดเบือ้ งต้น ควรจะใช้สตู รทีว่ า่ คนดีทำดีงา่ ย ทุกคน
อาจจะยอมรับว่า บางครั้งก็ทำง่าย บางครั้งก็ทำยาก ก่อนอื่นควร
ทำความเข้าใจว่า เรือ่ งง่ายหรือยากนัน้ อยูท่ เี่ ราคนเดียว ถ้าตัง้ ใจจะทำ
คงไม่เหลือวิสยั ข้อสำคัญจะต้องนำเอาหลักทีว่ า่ คนดีชอบแก้ไข คน
จัญไรชอบแก้ตวั มาใช้อย่างจริงจังด้วย ควรจะหาวิธแี ก้ไขมาใช้ แล้ว
ฝึกให้เกิดความเคยชิน จะเห็นว่า ความดีทำไม่ยากอย่างคิด
เพราะฉะนัน้ ความชัว่ ทัง้ หลาย จะมาจากความประมาท และ
ตรงกันข้าม กล่าวคือความดีทงั้ หลาย มาจากความไม่ประมาท บัณฑิต
คือคนดี จึงสรรเสริญความไม่ประมาท ใครทีย่ งั เชือ่ ว่า ทำดีได้ดี ทำชัว่
ได้ชวั่ แล้วพยายามปฏิบตั ติ าม คนนัน้ ก็คอื บัณฑิต ขอให้คดิ ว่า
๑. คนดีทำชัว่ ยาก คนชัว่ มากทำดีไม่ไหว เกิดมาทัง้ ที ต้องทำดี
ให้ได้
๒. คนดีตอ้ งป้องกัน คนพาลต้องแนะนำ ถ้าทำอย่างนี้ จะเป็น
คนดีเลิศล้ำ
R
85
๓๒
คนเมือ่ ตาย จะไปทีช่ อบ
R
อปฺปมาเท ปโมทนฺติ
บัณฑิต ย่อมบันเทิงในความไม่ประมาท
ขึน้ ชือ่ ว่า บัณฑิต ย่อมจะเป็นผูไ้ ม่ประมาท มีสติคอยรอบรูอ้ ยู่
ทุกอิรยิ าบถ ตืน่ ตัวอยูเ่ สมอ คอยหมัน่ ตรวจตราใจของตน ถ้าเห็นว่า
กำลังจะเอียงลงต่ำ ก็จะดึงขึน้ สูท่ สี่ งู และจะคอยระวังระดับจิต ให้อยู่
ในระดับนี้ตลอดไป โดยสม่ำเสมอ ไม่เผลอเรอหรือยอมแพ้ต่อกิเลส
โดยจะยึดเอาความไม่ประมาท มาเป็นเครือ่ งตัดสิน จะไม่ปล่อยให้กาล
เวลาล่วงไป โดยปราศจากประโยชน์ สิง่ ใดอันจะเป็นเหตุให้เกิดความ
ทุกข์ ความเดือดร้อนต่อตน ต่อวงศ์ตระกูล ตลอดถึงต่อประเทศชาติ
บ้านเมือง จะไม่เข้าไปแตะต้องสิ่งนั้นอย่างเด็ดขาด ดังนั้น ท่านจึงมี
ความสนุกเพลิดเพลินกับการทำความดี
มีคำทีค่ นชอบถามกันว่า คนเราตายแล้วไปไหน ตอบว่า ไปสู่
ทีช่ อบ หมายความว่า ยังมีชวี ติ อยู่ เขาชอบทำดี หรือชอบทำชัว่ ถ้า
ชอบทำดีกจ็ ะไปเกิดในสุคติ หรือ ถ้าชอบทำชัว่ ก็จะเกิดในทุคติ ข้อนี้
สามารถจะนำมาตรวจสอบกับตัวเราได้เป็นอย่างดี ว่าตัวเราเองตาย
แล้วจะไปเกิดทีไ่ หน
ในปัจจุบนั นี้ มีบคุ คลอยู่ ๓ กลุม่ คือ
กลุ่มที่หนึ่ง ชอบทำบุญ ที่ไหนมีการให้ทาน รักษาศีล และ
86
ปฏิบตั ธิ รรม จะพากันไปทีน่ นั่ โดยไม่เห็นแก่ความเหนือ่ ยยากลำบากใดๆ
ทัง้ สิน้ เรียกกลุม่ นีว้ า่ กลุม่ แสวงบุญ มีความสนุกเพลิดเพลินในการ
ทำบุญ หรือเรียกว่า กลุม่ เสพติดบุญ
กลุ่ ม ที่ ส อง ชอบทำบาป ชอบรวมหั ว กั น ทำความชั่ ว
สนุกสนานเฮฮาไปกับอบายมุข ไม่ชอบทำบุญ เห็นคนทำบุญเป็นคนล้าสมัย
คนหัวโบราณ พวกนีเ้ รียกว่า เสพติดบาป
กลุ่มที่สาม เป็นกลางๆ บุญก็ไปได้ บาปก็ไปได้ แล้วแต่สิ่ง
แวดล้อมจะพาไป
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า บัณฑิตย่อมบันเทิงใน
ความไม่ ป ระมาท คื อ มี ค วามชอบในความไม่ประมาท เป็นบุคคล
ประเภทกลุ่มที่หนึ่ง ส่วนบุคคลประเภทกลุ่มที่เหลือ หากฝึกหัดตนให้
กลับมาเป็นอย่างประเภททีห่ นึง่ ได้ ก็จะได้ชอื่ ว่าบัณฑิตได้ ขอให้คดิ ว่า
๑. คนพาลชอบปล่อยจิต บัณฑิตชอบรักษา ชัว่ ทำง่าย แต่ภยั
จะตามมา
๒. คนเราตาย จะไปสูท่ ชี่ อบ เมือ่ อยูช่ อบอย่างไร เมือ่ ตายจะมี
คำตอบ
R
87
๓๓
อายชัว่ กลัวบาป เป็นเครือ่ งประดับคนดี
R
อปฺปมตฺตา น มียนฺติ
คนไม่ประมาท ย่อมไม่ตาย
ประมาท หมายถึง เมาทัว่ กล่าวคือจะมัวเมาในความชัว่ ได้ทกุ
แบบ สิง่ ใดทีท่ ำให้เกิดความเมา ถ้าเสพสิง่ นัน้ บ่อยๆ จะเกิดการ ติด
หากเสพสุราบ่อยๆ ก็จะกลายเป็นคนติดสุรา สูบบุหรีบ่ อ่ ยๆ ก็จะกลาย
เป็นคนติดบุหรี่ ติดยาบ้า ติดยาอี ติดกัญชา ก็เช่นกัน หรือนอกจากนี้
อย่างคนทีช่ อบผูห้ ญิง ไปหาบ่อยๆ ก็เรียกว่าติดผูห้ ญิง ถ้าเล่นการพนัน
ก็ตดิ การพนัน เป็นต้น คนทุกคน ลงได้มคี วามประมาทอย่างเดียว จะ
ติดได้สารพัด แต่แรกเสพใหม่ๆ ก็มคี วาม ประมาทว่าไม่ตดิ เช่นคนที่
ชอบเทีย่ วผูห้ ญิง ก็ประมาทว่า ครัง้ เดียวคงจะไม่เป็นโรคเอดส์ คนที่
เป็นโรคเอดส์ แต่แรกก็จะคิดอย่างนีแ้ หละ แต่ในทีส่ ดุ ก็ตดิ มาให้เห็น
เสียจนได้ คนประมาทก็เหมือนปลาติดเบ็ด มีแต่จะตายทางเดียว
เท่านัน้
มีคนสงสัยว่า คนไม่ตายก็มดี ว้ ยหรือ ตอบว่า มี ตัวอย่างเช่น
พระพุทธเจ้า หรือสาวกของพระองค์ เมือ่ นิพพานไปแล้วจะไม่กลับมา
เกิดอีก หากไม่มกี ารเกิด ก็ยอ่ มไม่มกี ารตาย อีกพวกหนึง่ คือพวกที่
รักษาความดีของตนไว้ได้ตลอดชีวติ พวกนีก้ ไ็ ม่ตาย คือ ไม่ตายจาก
ความดี
88
มีคาถาทีเ่ สกคนให้เป็นคนดีอยู่ ๔ คำ คือ อายชัว่ กลัวบาป
รับรองว่า หากใครปฏิบตั ติ ามคาถานี้ คนนัน้ จะต้องเป็นคนดี และจะ
เป็นคนดีตลอดไป เพราะว่า เมือ่ คนอายต่อความชัว่ เสียแล้ว ก็ยอ่ มจะ
ไม่ทำความชัว่ ครัน้ จะทำความชัว่ ก็กลัวว่าจะเดือดร้อน มีเรือ่ งร้ายถึง
ถูกติดคุก และเมือ่ ตายไป ก็กลัวว่าจะไปตกนรก เป็นต้น เมือ่ กลัวบาป
ก็จะไม่ทำบาป บางคนทีเ่ ป็นคนหัวสมัยใหม่ มักจะเข้าใจว่า นรกสวรรค์
ไม่มี เพราะไม่มีหลักพิสูจน์ เมื่อคิดอย่างนี้ก็จะทำความชั่วได้ง่าย
เนือ่ งจากความชัว่ คนจะอยากทำอยูแ่ ล้ว เพราะมีสนุกเป็นเครือ่ งล่อ ถ้า
เป็นเช่นนัน้ คนทำดีจะหายาก ชัว่ ก็จะมีเต็มโลก
เพราะฉะนัน้ คนไม่ประมาท จะมีอายชัว่ กลัวบาปเป็นเส้นทางชีวติ
เมือ่ เดินทางสายนีแ้ ล้ว หากยังไม่ถงึ พระนิพพาน ก็จะเป็นคนทีไ่ ม่ตาย
จากชือ่ เสียงคุณความดี มีแต่คนยกย่องสรรเสริญว่าเป็นคนดี จะทำให้
สังคมมีแต่ความสุขสบาย ท้ายทีส่ ดุ ก็จะถึงนิพพานได้ ขอให้คดิ ว่า
๑. อายชัว่ กลัวบาป เป็นระดับคนดี ถ้ามีไว้ ความตายจะไม่มี
๒. ถ้าตัดเมาได้ ก็จะหายเรือ่ งยุง่ ถ้าเมาไม่มี จะเป็นคนดีชนั้ สูง
R
89
๓๔
ดีหรือไม่ดี เป็นวิธแี ก้ปญ
ั หา
R
อปฺปมตฺโต หิ ฌายนฺโต, ปปฺโปติ วิปลุ ํ สุขํ
ผูไ้ ม่ประมาท พินจิ อยู่ ย่อมถึงสุขอันไพบูลย์
ตามธรรมดาของคนทีไ่ ม่ประมาท ในเวลาทีจ่ ะประกอบกิจการ
อันใด ย่อมจะต้องใช้ความพินจิ พิจารณา วิเคราะห์หาเหตุผลให้ถว้ นถี่
คำนึงถึงผลได้ผลเสีย อย่างสุขมุ รอบคอบ ชนิดว่าละเอียดทุกขัน้ ตอน
กิจการอันใดก็ตาม หากลงมือทำไปแล้ว เมือ่ เกิดความผิดพลาดขึน้ มา
จะเกิดการสูญเสีย แก้ได้ยาก หรือ ก็ได้เหมือนกัน แต่จะเพิม่ ความเสีย
หายเข้าไปอีก เช่นการก่อสร้างตึกใหญ่ๆ หลายชัน้ ถ้าคำนวณผิดพลาด
หรือคำนวณไม่เป็น เมือ่ สร้างไปแล้ว เกิดการพังลงมา เงินทีล่ งทุนไปนัน้
ก็จะเกิดการสูญเปล่า เสียเวลาทีจ่ ะมาทุบทิง้ อีกด้วย
ในทำนองเดียวกันนี้ ทุกคนทีเ่ กิดมาในโลก ซึง่ จะต้องดำเนินชีวติ
ต่อสูก้ บั วิถที างบนพืน้ โลกมากมายหลายชนิด จึงจำเป็นจะต้องเตรียมตัว
เพือ่ ต่อสูก้ บั ปัญหาชีวติ ทีแ่ ก้ได้กด็ ไี ป หากแก้ไม่ได้ บางครัง้ อาจจะ
ทำให้เสียอนาคตไปเลยก็มี
ดังนัน้ ก่อนจะทำอะไร หรือจะตัดสินปัญหาอะไร ทางพระพุทธ-
ศาสนาสอนให้มสี ติเสียก่อน หรือจะใช้คาถากำกับลงไป คาถาทีว่ า่ นีม้ ี
อยู่ ๔ คำ คือ ดีหรือไม่ดี เช่นมีคนมายืนด่าเราทีห่ น้าบ้าน ตามปรกติ
ด้วยอำนาจของความโกรธ ก็จะต้องออกไปรับตอบสนองคำท้าทายนัน้
90
ทันทีทไี่ ด้ยนิ เสียง ก่อนจะลงจากบ้าน ให้ตงั้ จิตเป็นสมาธิ แล้วภาวนา
คาถาว่า ดีหรือไม่ดี เมือ่ กล่าวคาถาแล้ว จะเกิดความคิดขึน้ มาว่า เมือ่
เรารับคำท้าเขา เรากับเขาก็จะทะเลาะวิวาทกัน เมือ่ ทะเลาะก็จะต้องมีการ
ชกต่อยทำร้ายร่างกายกัน เรากับเขาก็จะร่วมกันเป็นอาชญากร เสีย
ทรัพย์เสียชือ่ เสียง เมือ่ คิดได้อย่างนี้ จะมีโอกาสให้ได้สติวา่ ควรจะทำ
ด้วยความไม่ประมาท หาวิธกี ารตกลงเป็นอย่างอืน่ ทีไ่ ม่เสียหาย
เพราะฉะนัน้ การทำงานหรือการตัดสินใจ ในทุกอย่าง ย่อมจะ
ต้องอาศัยความไม่ประมาทเป็นพื้นฐานเสียก่อน อย่าเชื่อตัวยุ พินิจ
พิจารณาหาเหตุผล ทั้งฝ่ายบวกและฝ่ายลบ อย่าให้ เก่งกาย เป็น
เครือ่ งตัดสิน ต้องใช้ เก่งปัญญา ตัดสิน จะไม่เกิดการเสียหาย ขอให้
คิดว่า
๑. ปัญญาแก้ปญ ั หาชีวติ คนทุจริตชีวติ จะเป็นหมัน ถ้าปล่อย
ตามใจ จะแก้ไขไม่ทนั
๒. ดีไม่ดเี รารูอ้ ยูแ่ ก่ใจ แต่ทำไมจึงหลงตัว ถ้าคิดได้อย่างนี้ จะ
เป็นคนดีกนั ทัว่
R
91
๓๕
บัณฑิตปรากฏ ทีป่ ระโยชน์สองทาง
R
อปฺปมตฺโต อุโภ อตฺเถ, อธิคคฺ ณฺหาติ ปณฺฑโิ ต
บัณฑิตผูไ้ ม่ประมาท ย่อมได้ประโยชน์ทงั้ สองทาง
ประโยชน์ หมายถึง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อันเป็นสิ่ง
สำคัญในการดำเนินชีวติ คนทุกคน ต่างก็ดนิ้ รนแสวงหาไขว่คว้า เมือ่
นำมาเป็นสมบัตขิ องตน บางครัง้ ผลประโยชน์เกิดไปขัดกันขึน้ ก็อาจจะ
ทำให้เกิดการเดือดร้อน วุน่ วายไม่รจู้ กั จบสิน้
แต่ผลประโยชน์ทงั้ ๔ มีลาภเป็นต้น พระพุทธเจ้าทรงให้ชอื่ ว่า
โลกธรรม หมายความว่า เป็นสมบัติของโลก ที่มาอยู่กับเราได้นั้น
เป็นเพียงสมมุติ กล่าวคือเป็นของทีม่ ไี ด้เสือ่ มได้ ถ้าบุคคลใดทำความดี
รักษาได้ดี ก็จะอยู่กับเราไปนาน แต่ถ้ากระทำความชั่ว ไม่รู้จักรักษา
93
๓๖
ทำดีตามวัย ทำใจตามฝึก
R
อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ
จงยังความไม่ประมาท ให้ถงึ พร้อม
พระบรมศาสดาของเราทั้งหลาย พระองค์ได้ทรงมีพระมหา-
กรุณาธิคณ ุ ทรงใช้เวลาถึง ๔๕ พระพรรษา ได้ทรงประกาศพระสัจธรรม
คำสอนของพระองค์ ตราบเท่าจนถึงใกล้จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน
ทรงมีพทุ ธประสงค์จะสรุปคำสอนทัง้ หมด จึงตรัสเรียกภิกษุทงั้ หลายมา
แล้วได้ทรงตรัสไว้ตอนหนึง่ ว่า พวกเธอทัง้ หลาย จงยังความไม่ประมาท
ให้ถงึ พร้อม เรียกว่าเป็นพระดำรัส ทิง้ ทวน หมายความว่า ต่อไปนี้
พระองค์สอนใครไม่ได้อกี แล้ว เพราะธรรมะทัง้ หมด จะรวมอยูท่ คี่ วาม
ไม่ประมาท ถ้าคนไม่ประมาทอย่างเดียว ความดีทงั้ หลายจะมีอยูแ่ ก่คนนัน้
อย่างครบถ้วนบริบรู ณ์
ถ้ากล่าวกันตามธรรมชาติของคนแล้ว ความยินดี พอใจ จะ
เป็นไปตามวัย กล่าวคือในปฐมวัย จะเรียกว่า วัยปัจจุบนั หมายความว่า
คนในวัยนี้ ส่วนมากจะยินดีสนใจ ในกาลปัจจุบัน กล่าวคือ ยังชอบ
สนุกสนานมากกว่าจะมาสนใจในธรรมะ มัชฌิมวัย เรียกว่า วัยอนาคต
คือคนวัยนี้ จะสนใจแต่เรือ่ งอนาคตว่า ต่อไปจะทำงานอะไรดีจงึ จะรวย
มีเงินใช้ เป็นวัยผจญภัย และวัยทีส่ ามคือปัจฉิมวัย เรียกว่า วัยอดีต
คือคนวัยนี้ ได้ผา่ นร้อนผ่านหนาวมาโชกโชนแล้ว ทำให้ชอบหวนคิดถึง
94
อดีต ประกอบกับร่างกายก็ชราภาพลงแล้ว วัยนีเ้ รียกอีกอย่างหนึง่ ว่า
วัยสงบ หรือ วัยเข้าวัด
แต่พระพุทธศาสนา สอนให้คนทุกวัย ต้องมีสติไม่ประมาท
กล่าวคือ เด็กทีอ่ ยูใ่ นวัยสนุก ก็ตอ้ ง สนุกอย่างมีสติ ไม่ประมาทเกิด
เรือ่ งทะเลาะ จนถึงขัน้ ทำร้ายร่างกายกัน ผูใ้ หญ่ทอี่ ยูใ่ นวัยผจญภัย ก็
จะต้องมีความ สุจริตถูกต้อง เป็นพืน้ ฐาน ส่วนคนแก่ในวัยสงบ ก็จะต้อง
รักษาความสงบเข้าไว้ให้เป็นพืน้ ฐาน ควรจะหันหน้า เข้าวัดปฏิบตั ธิ รรม
เพราะไม่ชา้ ก็จะตายแล้ว
เพราะฉะนัน้ การจะทำอะไรทุกครัง้ จะต้องนึกในใจว่า อย่า
ประมาท เพราะสิ่งแวดล้อมรอบข้างตัวของเรา จะเต็มไปด้วยกิเลส
ซึ่งมีตัณหาเป็นตัวชักนำ อย่าให้ตัณหาจูงจมูกเราไป ตกอยู่ในอำนาจ
ของความหลง ต้องทนให้ไหว อย่าไปยอมแพ้อย่างเด็ดขาด ขอให้คดิ ว่า
๑. ทำดีตามวัย ทำใจตามฝึก จะเป็นคนดี ต้องมีสำนึก
๒. สิง่ ดีตอ้ งพอใจ สิง่ ร้ายต้องออกห่าง จะเป็นวัยไหน ก็ตอ้ งให้
ระวัง
R
95
๓๗
คนบาปหนา เทวดาก็ชว่ ยไม่ได้
R
อปฺปมาทรตา โหถ
จงยินดี ในความไม่ประมาท
พระพุทธเจ้าทรงห่วงใย พุทธบริษทั ว่า ในวาระสุดท้ายภายหลัง
ทีพ่ ระองเสด็จดับขันธ์ปรินพิ พานไปแล้ว ประชาชนรุง่ หลัง จะเกิดการ
ไม่เอาใจใส่ ในการประพฤติปฏิบัติธรรม จึงตรัสย้ำไม่ให้ทิ้งความไม่
ประมาท และจงยินดี สนใจพอใจ อยูเ่ สมอ เพราะว่า เมือ่ ขาดสติ ไป
ตกอยูใ่ นอำนาจของความประมาทแล้ว จะฉุดดึงขึน้ ยาก เพราะความ
ชัว่ ทีเ่ รียกว่า กิเลส มีแรงดึงดูดมากกว่าความดี จึงตรัสให้ ทำความ
ยินดีกบั ความไม่ประมาทเข้าไว้ จะมีทางป้องกันได้
คนโบราณมักจะพูดว่า “อย่าหลงประมาทมัวเมา” ซึง่ หมายความ
ว่า อย่าหลงผิดจนเผลอสติ ทำให้เกิดความ มืดมัว และสุดท้ายก็คอื
เมา หมายถึงจมอยูใ่ นสิง่ ทีห่ ลงผิดนัน้ จนโงหัวไม่ขนึ้ เหมือนคนดืม่ สุรา
เมือ่ แรกดืม่ ก็ยงั มืนๆ พอมืนได้ทแี่ ล้วก็ เมา คือบังคับใจตัวเองให้ทำดี
ไม่ได้ เมาอย่างอืน่ ก็เช่นเดียวกันนี้ ในข้อนี้ มีเรือ่ งต่อไปนีเ้ ป็นตัวอย่าง
มีสหายสองคนรักกันมาก คนหนึง่ ชอบทำความดี ส่วนอีกคน
หนึ่งชอบทำความชั่ว ครั้นอยู่ต่อมา สหายทั้งสองนั้นได้สิ้นชีวิตลง
ปรากฏว่า คนทีช่ อบทำความดี ไปเกิดเป็นเทพบุตรอยูใ่ นสวรรค์ ส่วน
คนที่ชอบทำความชั่ว ไปเกิดเป็นหนอนอยู่ที่เว็จกุฎี คือสุขาของพระ
96
ในสมัยโบราณ เทพบุตรนั้นเกิดความสงสารเพื่อน วันหนึ่งจึงไปชวน
หนอน เพือ่ ให้กลับมาทำความดี เมือ่ ตายแล้วจะได้มาเป็นเทพบุตรด้วยกัน
หนอนย้อนถามเทพบุตรว่า “เทวดาดีอย่างไร” เทวดาก็ตอบว่า บน
สวรรค์นนั้ มีอาหารทิพย์ อยากจะกินอะไรก็จะมีมาตามทีน่ กึ หนอนตอบ
ปฏิเสธว่า ยังดีสเู้ ราไม่ได้ อาหารของเราไม่ตอ้ งนึก มีอยูร่ อบตัวแล้ว
เราขอเป็นหนอนต่อไป เทพบุตรจึงหมดปัญญาทีจ่ ะช่วยเพือ่ นได้
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า คนประมาทเหมือนคน
ตายแล้ว คือตายจากความดี จะชักชวนอย่างไร เขาจะไม่ยอมฟัง
เหมือนลูกทีไ่ ม่เชือ่ ฟังพ่อแม่ จึงเอาดีไม่ได้ เป็นดุจนิทานเรือ่ งทีก่ ล่าวมา
เป็นตัวอย่าง คนทีม่ คี วามประมาท แม้แต่เทวดาก็ยงั ช่วยไม่ได้ ขอให้คดิ ว่า
๑. คนไม่เชื่อฟัง จะเป็นดุจดังหนอนกับเทวดา ต้องตายจาก
ความดี หมดราศีคณ ุ ค่า
๒. กรรม ยุตธิ รรมทีส่ ดุ จะแยกแบ่งตัด ให้เป็นสัตว์หรือมนุษย์
R
97
๓๘
เครือ่ งหมายดี อยูท่ กี่ ลัวบาป
R
กมฺมํ สตฺเต วิภชติ, ยทิทํ หีนปฺปณีตตาย
กรรม ย่อมจำแนกสัตว์ ให้ทรามหรือประณีต
กรรม เป็นคำกลางๆ แปลว่า การกระทำ ถ้าทำดีเรียกว่า
กุศลกรรม และทำชั่วเรียกว่า อกุศลกรรม มีการทำอยู่สามทางคือ
ทางกายเรียก กายกรรม ทางวาจาเรียก วจีกรรม และทางใจเรียกว่า
มโนกรรม จะเป็นกรรมดีกต็ าม กรรมชัว่ ก็ตาม เมือ่ บุคคลทำแล้ว ย่อม
ได้รับผลตอบแทนทั้งนั้น มิได้หายไปไหน แต่จะได้ผลตอบแทนเป็น
101
๔๐
คนไม่กลัว จะชัว่ ตลอดชาติ
R
สานิ กมฺมานิ นยนฺติ ทุคคฺ ตึ
กรรมชัว่ ของตน จะนำผลสูท่ คุ ติ
กรรมชัว่ หมายถึง การทำทุจริตทางกาย มีการฆ่าหรือทำร้าย
ร่างกาย การลักขโมย การประพฤติผดิ ประเวณีกนั ทำทุจริตทางวาจา
มีการกล่าวคำเท็จ โกหกหลอกลวง การทะเลาะด่าว่ากันการใส่ร้าย
ป้ายสีกนั การพูดล้อเล่นจนทำให้เกิดเรือ่ งกันขึน้ และทำทุจริตทางใจ มี
การโลภอยากได้ของเขา คิดพยาบาทปองร้ายเขา มีความเห็นผิดจาก
ทำนองครองธรรม กรรมชัว่ เหล่านี้ อย่างใดอย่างหนึง่ มากหรือน้อย
เมื่อบุคคลทำแล้ว หากยังไม่ตายก็จะทำให้เกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย
เกิดเวรภัย จะอยูไ่ ม่เป็นสุข และถ้าตายไปแล้ว ก็จะไปสูท่ คุ ติ คือ นรก
– เปรต – อสุรกาย – สัตว์ดริ จั ฉาน
สิง่ ทีค่ นกลัวทีส่ ดุ คือ สิง่ ทีม่ องไม่เห็น เรากลัวตกนรก เพราะ
นรกมองไม่เห็น ถ้าสิง่ ทีเ่ รากลัวนัน้ เกิดไปเห็นเข้าจริงๆ เห็นเสียจนชิน
ก็อาจจะกลายเป็นเรือ่ งไม่กลัวไปได้ เช่น โรคเอดส์ แต่กอ่ นนี้ คนไทย
เรากลัวมาก เพราะในเมืองไทยยังไม่มีใครเป็นโรคนี้ แต่ในปัจจุบันนี
้
มีให้เห็นจนดาดดืน่ แทนทีค่ นไทยจะกลัว เลยกลายเป็นเรือ่ งไม่กลัวกันไป
ทำไมจึงเป็นอย่างนัน้ ลองคิดกันดู
ความเป็นจริง เรือ่ งทีค่ นกลัว ก็อยูท่ คี่ นนัน่ แหละ ถ้าใครกลัว
102
เป็นโรคเอดส์ คนนัน้ จะไม่เป็น โรคนีจ้ ะเป็นกับคนไม่กลัว มีปญ ั หาว่า
อะไรทำให้คนไม่กลัว ตัวทีท่ ำให้คนไม่กลัวนัน้ คือ ตัวเสพติด เช่นสุรา
หรือยาเสพติดทุกประเภท โรคเสพติดบางประเภททำให้คนไม่กลัว เมือ่
เสพแล้วจะทำให้เกิดความกล้าขึน้ มา เช่นสุรา เป็นต้น หรือกามราคะ
103
๔๑
ทำยากให้งา่ ย จะสบายทัง้ ชาติ
R
สุกรํ สาธุนา สาธุ
คนดี ทำดีได้งา่ ย
คนดี ในความหมายนี้ หมายถึงคนทีท่ ำดีได้งา่ ย ซึง่ ตรงข้าม
กับคนชั่ว ที่ทำความชั่วได้ง่าย การทำความดีความชั่ว ท่านเปรียบ
เทียบไว้วา่ “ทำดี เหมือนกลิง้ ครกขึน้ เขา ทำชัว่ เหมือนกลิง้ ครกลง
เขา” ครกในทีน่ ี้ หมายถึงครกตำข้าว ซึง่ ใช้ไม่ซงุ ทัง้ ต้น มาตัดเป็นท่อน
แล้วขุดให้เป็นหลุม ใช้สำหรับตำข้าวเปลือกให้เป็นข้าวสาร คนดี
ประเภทนีเ้ รียกว่า ทำดีได้งา่ ย
การกลิง้ ครกขึน้ เขา ซึง่ ทัง้ สูงและชัน จะต้องใช้ความพยายาม
มาก ท่านเปรียบด้วยการทำความดี จะต้องใช้ความอดทน ได้แก่
อดทนไม่ทำความชัว่ ซึง่ นับว่าเป็นของยาก แต่จะต้องฝึกทำจนเคยชิน
ให้กลายเป็นของง่าย ถ้าฝึกทำได้แล้ว จะเรียกคนนัน้ ว่า คนดี
โดยส่วนลึกแห่งจิตใจของทุกคน มักจะยอมรับกันว่า ความดี
นัน้ ทำได้ยาก ข้อนีเ้ ป็นความจริง เหมือนอย่างคนทีย่ งั พิมพ์ดดี สัมผัสไม่
เป็น จะคิดว่าการพิมพ์ดีดเป็นการยาก ต่อเมื่อตนเองใช้เวลาไปเรียน
พิมพ์ดดี สัมผัสจนสำเร็จแล้ว ก็จะเปลีย่ นความคิดใหม่วา่ พิมพ์ดดี สัมผัส
ทำได้งา่ ย เวลาพิมพ์หนังสือ นิว้ จะทำหน้าทีข่ องเขาเอง โดยไม่ตอ้ งใช้
สายตาดูทมี่ อื ขณะพิมพ์ นีเ้ รียกว่า ทำของยากให้งา่ ย
104
การทำความดี แม้จะเป็นของยาก ถ้าฝึกหัดทำจริงๆ ก็ไม่เหลือ
วิสยั กล่าวคือจะต้องทำความดีให้ตดิ กาย ติดวาจา และติดใจ เหมือน
กับคนที่เรียนพิมพ์ดีดฉะนั้น และเมื่อทำเป็นแล้ว ก็จะต้องคอยรักษา
109
๔๔
ราคาของคน อยูท่ ตี่ นไม่ทำชัว่
R
ปจฺฉา ตปฺปติ ทุกกฺ ฎํ
ความชัว่ ย่อมเผาผลาญในภายหลัง
ความชั่ว ในที่นี้ หมายถึง เหตุที่ทำให้เกิดความเศร้าหมอง
เดือดร้อน ความชัว่ ทุกประเภท จะขึน้ ต้นด้วยความสดชืน่ สนุกสนาน
เพลิดเพลิน ทำใจให้รา่ เริงเบิกบาน เป็นดุจยาบำรุง ทีบ่ ำรุงให้เกิดกำลังใจ
เหมาะกับบรรยากาศที่จะคลายเครียด ซึ่งคนทั้งหลายจะเห็นว่า เรา
ทำงานเหนือ่ ยมาทัง้ วัน ควรจะได้พกั ผ่อน หาอาหารใจมาชดเชย เป็น
รางวัลแก่ตวั เรา ซึง่ ข้อนี้ ก็ไม่ถอื ว่าเป็นความผิด ทีเ่ ป็นความผิดก็คอื ที่
ถลำลงลึกไปกว่านั้น เช่น ไปหลงอยู่ในความสุขของอบายมุข กลาย
เป็นการติดอยูใ่ นความชัว่ จนเป็นการสะสมความเดือดร้อน เก็บไว้ใน
ภายหลัง
ความชัว่ ในทางพระพุทธศาสนา ท่านเปรียบด้วยไฟ ความโลภ
หรือราคะ เหมือนไฟหน้าหนาว ถึงจะร้อนแต่คนก็ชอบ ความโกรธ
เหมือนไฟไหม้ฟาง เกิดไวดับไว ความหลงเหมือนไฟสุมขอน ติดแล้วดับยาก
ขึ้นชื่อว่าไฟก็ต้องร้อน นอกจากร้อนแล้ว ก็เป็นประเภทที่
ทำลาย แต่ให้ผลเป็นความเดือนร้อน ไฟมีอำนาจในการเปลีย่ นแปลง
สิง่ ทีม่ รี าคาให้เป็นสิง่ ไร้ราคา เช่นนำเอาธนบัตรแต่ใบ ทีม่ รี าคาต่างกัน
มารวมกันทัง้ หมด แล้วนำไปเผาไฟ ธนบัตรเหล่านัน้ เมือ่ ไหม้ไฟแล้ว
110
จะกลายเป็นเถ้าถ่าน หมดราคาไปทันที ไม่วา่ จะเป็นธนบัตรละร้อยหรือ
ใบละพัน
ไฟคือกิเลสก็เช่นเดียวกัน ลงได้เผาผลาญใครแล้ว ไม่วา่ คนนัน้
จะเป็นคนมีหน้ามีตา หรือคนชัว่ ช้า ไม่วา่ จะเป็นเศรษฐีหรือยาจก จะ
เป็นบัณฑิตหรือคนพาล จะมีสภาพเหมือนกันหมดคือ คนเลว สังคม
รังเกียจ แต่คนอืน่ เขาจะไม่แสดงออก ถือว่า วัวของใครก็ให้เข้าคอก
ของคนนัน้
เพราะฉะนัน้ อย่าไปหลงในความชัว่ ทีท่ า่ นเปรียบด้วยรสหวาน
แต่พอคนทานเข้าไปแล้ว จะเกิดการเดือนร้อนในภายหลัง เหมือนคนที่
หลงระเริงในกามราคะ เป็นนักเลงหญิง หลงความสุขในราคะ ต่อมา
ภายหลังกลับไปติดโรคเอดส์ นัน่ แหละคือเดือดร้อนละ ขอให้คดิ ว่า
๑. สุขมาก่อน จะร้อนภายหลัง เพราะสุขกิเลส จะมีเหตุกรรมบัง
๒. ราคาของคน อยูท่ ตี่ นไม่ทำชัว่ ถ้าชัว่ หมองหม่น ตนของตน
ก็หมองมัว
R
111
๔๕
โกงชาตินี้ จะใช้หนีช้ าติหน้า
R
กตญฺจ สุกตํ เสยฺโย
ทำความดีไว้ จะดีกว่า
ความดี จะเรียกอีกอย่างหนึง่ ว่า บุญ ได้แก่ธรรมชาติทขี่ จัดขัดถู
หรือชำระล้าง กิเลสตรงกันข้าม กล่าวคือ ความโลภ ทำให้คนเห็นแก่ได้
เห็นแก่ตวั มิใยว่าคนอืน่ จะเป็นอย่างไร ขอให้ฉนั สบายเป็นใช้ได้ จะต้อง
ชำระด้วย ทาน คือการให้แบ่งปันกัน ช่วยเหลือเจือจุนกัน ความโกรธ
ทำให้คนร้อนรุม่ กลุม้ ใจ จะต้องชำระด้วย ศีล เพราะศีลจะทำให้คนมี
ใจเย็นลง ความหลง ทำให้คนมัวเมา ติดอยูใ่ นอารมณ์ทดี่ งึ ดูด เห็นผิด
เป็นชอบ จะต้องชำระด้วย ภาวนา คือทำดวงปัญญาให้เกิด ด้วยการ
อบรมใจ หรือด้วยการฟังธรรม เพือ่ ตนของตนจะได้เกิดความรูส้ กึ
มีคำถามว่า ทำไมทุกคนในโลกจึงเกิดมาไม่เหมือนกัน ในข้อนี้
คงจะต้องตอบว่า เพราะเมือ่ ชาติกอ่ น เราทำบุญมาไม่เหมือนกัน แม้แต่
ในชาตินี้ คนที่ทำกรรมไม่เหมือนกัน ก็ยังมีความเป็นอยู่ไม่เหมือนกัน
สมมุติว่า มีลูกอยู่สองคน คนหนึ่งขยันเรียนหนังสือดี ขยันทำงาน
เอาใจใส่ในการทำความดี ส่วนอีกคนหนึง่ ตรงกันข้าม กล่าวคือเป็นคน
เกียจคร้าน เรียนหนังสือไปก็เลิกเสียกลางคัน ชอบทำความเสียหาย
ต่างๆ ลูกทัง้ สองคนนี้ ทัง้ ๆ ทีเ่ กิดมาจากท้องมารดาเดียวกัน แต่จะ
ต้องมีอนาคตแตกต่างกันแน่นอน ทีย่ กตัวอย่างมานี้ เพียงชาตินี้ ยัง
112
มิได้กล่าวถึงกรรมในชาติกอ่ น
จริงอยู่ บางคนอาจจะค้านว่า คนโน้นเขาหากินทางทุจริต
ทำไมเขาจึงร่ำรวย ตอบว่า ทีเ่ ขาร่ำรวยนัน้ เพราะบุญเก่าเมือ่ ชาติกอ่ น
ตามมาให้ผล แต่ความชัว่ ทีเ่ ขาทำอยูข่ ณะนี้ ยังมิได้ให้ผล อาจจะตาม
ให้ผลในชาติต่อไป ถ้าชาตินี้กฎหมายยังตามจับเขาไม่ได้ แต่หากเขา
ตายไปแล้ว จะพบกันแน่นอน และเมือ่ กรรมชัว่ เสวยแล้ว กลับมาเกิดอีก
เขาจะเป็นคนชัว่ ตลอดชาติ เพราะชัว่ จะเข้าสนับสนุนให้ชวั่
เพราะฉะนัน้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ทุกคน ทำความดีไว้ดกี ว่า
119
๔๙
เป็นให้เป็น จะเห็นประโยชน์
R
ยํ เว หิตญฺจ สาธุญจฺ , ตํ เว ปรมทุกกฺ รํ
กรรมใดแล เป็นประโยชน์ดว้ ย ดีดว้ ย กรรมนัน้ ทำยากยิง่
การงานทีเ่ ป็นประโยชน์ หมายถึง เป็นประโยชน์ทตี่ นเองจะ
พึง่ ได้ โดยไม่กระทบตนและผูอ้ นื่ และ บางครัง้ อาจจะเป็นประโยชน์แก่
ผูอ้ นื่ ด้วย ขึน้ อยูก่ บั ระดับของงาน กล่าวคือ เป็นงานของตัวเอง เช่น
การทำมาหากิน งานระดับสังคมแต่ละชั้น ตั้งแต่ชั้นต่ำถึงชั้นสูง คือ
ระดับประเทศชาติบ้านเมือง รวมไปถึงเป็นประโยชน์ทั้งภพนี้ และ
ประโยชน์ในภพหน้า งานที่ดี หมายความว่า งานที่กล่าวข้างต้นนั้น
ต้องเป็นงานสุจริต และมิใช่งานทีอ่ าศัยสุจริตบังหน้า แต่เบือ้ งหลังเพือ่
ประโยชน์ของตน นอกจากดีแล้ว ก็จะต้องชอบด้วย หมายถึง จะต้อง
ให้ถกู กาละเทสะ คือถูกต้องด้วย และ ถูกใจด้วย
มีคำพูดอยูป่ ระโยคหนึง่ ว่า “ถ้าจะเป็นต้องเป็นให้เป็น ถ้าเป็น
ไม่เป็นอย่าไปเป็น” หรือ “ถ้าจะเป็นให้เป็น ต้องหัดให้เป็น”
เรือ่ ง เป็น ของคนเรานัน้ มีอยูส่ องเป็น คือ เป็นในหน้าทีก่ บั
เป็นนอกหน้าที่ เป็นในหน้าที่ นัน้ เช่น เป็นข้าราชการ ก็จะต้องปฏิบตั ิ
ในระเบียบวินยั ของข้าราชการ เป็นพระ ก็จะต้องปฏิบตั อิ ยูใ่ นวินยั ของพระ
เป็นต้น เป็นนอกหน้าที่ เช่น ตืน่ เช้าเราถือไม้กวาดไปกวาดบ้าน ตอนนี้
เป็นคนใช้ พอถึงเวลาขับรถออกไปซือ้ กับข้าว ตอนนีเ้ ป็นโชเฟอร์ พอกลับ
120
ถึงบ้าน ก็เข้าครัวทำอาหาร ตอนนีเ้ ป็นพ่อครัว เป็นต้น และยังมีอกี
หลายเป็น ที่ยกมานี้ เพียงตัวอย่างเท่านั้น รวมความว่า ตอนนั้น
122
ทีต่ ายก็ตายไป เมือ่ ตายไปแล้วก็ตอ้ งไปเสวยทุกข์ในอบาย ส่วนทีบ่ าดเจ็บ
ก็ตอ้ งไปเสวยทุกข์กนั ทีโ่ รงพยาบาล
บางพวกพอเมาได้ที่แล้ว ยังสุขไม่พอ พากันไปเที่ยวผู้หญิง
123
๕๑
กรรมสร้างทุน คุณสร้างคน
R
กลฺยาณการี กลฺยาณํ, ปาปการี จ ปาปกํ
ทำดีได้ดี ทำชัว่ ได้ชวั่
การทำความดีและทำความชัว่ นัน้ ย่อมได้ผลของการทำ ตามที่
คนกระทำ เหมือนการทำนา ก็ยอ่ มได้ขา้ ว ปลูกแตงโม ก็ยอ่ มได้แตงโม
เป็นต้น การกระทำนั้น ใครจะรู้เห็นหรือไม่ แต่ตนจะต้องรู้ก่อนแล้ว
และได้รบั ผลของการกระทำนัน้ จะเป็นเวลาเร็วหรือช้า ก็ตอ้ งได้รบั แน่
ไม่ชาตินกี้ ช็ าติหน้า
เรือ่ งวิบากของกรรมนี้ ถ้ากรรมมีตวั ตน เราจะเห็นว่า กรรมดี
และกรรมชั่วที่จะเข้ามาเสวยนั้น เข้าคิวรอกันยาวเหยียดมิใช่น้อย
บางคนไปทอดกฐินหรือทอดผ้าป่า ซึ่งเป็นการทำความดีแท้ๆ แต่พอ
เวลาขากลับ เกิดอุบตั เิ หตุรถชนกันจนถึงบาดเจ็บ อย่างนี้ เพราะขณะ
ทำบุญนัน้ พอดีกรรมชัว่ ทีเ่ กาะติดหลังอยูใ่ ห้ผลเสียก่อน ส่วนกรรมดีที่
ทำอยูใ่ นวันนี้ ยังไม่ถงึ คิว นีย้ กขึน้ มาเป็นตัวอย่าง
พระมหาโมคคัลลาน์ ในอดีตชาติ เคยทำร้ายมารดาบิดา
ขอให้คดิ ว่า
๑. กรรมบังตา ราคามีคณ ุ กรรมสร้างทุน คุณสร้างคน
๒. คนชัว่ ทำตัวต่ำ กรรมเอาแน่ ถึงยามแก่จะนึกได้ เมือ่ ภายหลัง
R
125
๕๒
กรรมลิขติ เราขีดกันเอง
R
กมฺมนุ า วตฺตตี โลโก
สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม
กงกรรมกงเกวียน คำนีส้ ว่ นใหญ่ คนเราจะรูก้ นั ได้ดี ว่าคนทุกคน
จะต้องวนไปตามกรรม เกวียนที่เทียมด้วยโค หรือรถที่เทียมด้วยม้า
127
๕๓
สติตวั นำ ตัง้ ใจทำตัวสำเร็จ
R
นิสมฺม กรณํ เสยฺโย
ใคร่ครวญก่อน แล้วจึงทำจะดีกว่า
การทำงานทุกอย่าง จะต้องอาศัยความละเอียดถี่ถ้วน มีสติ
ตรวจตราหาเหตุ ผ ล ถ้ า เป็ น งานใหญ่ จะต้ อ งมี ก ารวางแผนงาน
จึงจะเข้าวัด”
อยูต่ อ่ มาวันหนึง่ ขณะทีท่ า่ นสมภารนัง่ อยูใ่ นวัด เห็นประชาชน
กลุม่ หนึง่ พากันหามศพมาวัด ท่านสมภารจึงเข้าไปถามว่าศพใคร มีคน
หนึง่ ตอบว่า “ ศพนางผลัดครับ” สมภารได้แต่ปลงอนิจจังว่า
“ผลัดเอ๊ย เองผลัดสมชือ่ ตอนนี้ ไม่ตอ้ งผลัดแล้ว เข้ามาเอง”
เพราะฉะนัน้ สิง่ ใดทีเ่ ห็นว่าเป็นประโยชน์ จะต้องรีบทำสิง่ นัน้ ขืนผลัดไป
หากตายเสียก่อนจะเสียโอกาส หนุม่ สาวบางคน มักชอบพูดว่า ตอนนี้
ยังสนุกอยู่ ตอนแก่หมดสนุกจึงจะเข้าวัด บางคนก็ไม่รู้เรื่องเอาเลย
อย่างนีเ้ รียกว่า เสียโอกาส บางคนเสียโอกาสจนตายไปเสียก่อน ขอให้
คิดว่า
๑. ผลัดงานยังพอทำ ผลัดกรรมทำไม่ได้ จงสร้างกรรมดี จะไม่มี
อันตราย
๒. รู้ว่าดีมีประโยชน์ รีบกำหนดปฏิบัติ ถ้ามัวหลงตัว จะถูก
ความชัว่ เข้าตัด
R
133
๕๖
ทำจริงพึง่ พิงได้
R
กยิราเถว กยิรานํ
ถ้าจะทำ ต้องทำให้จริง
การทำงานทุกประเภท จะต้องเป็นคนมีความจริงใจต่องาน
หากลงมือทำแล้ว ต้องทำให้เสร็จ และมีประสิทธิภาพด้วย จึงจะเรียกว่า
คนเอาจริง คนที่ทำอะไรไม่จริงนั้น จะมีประวัติที่ไม่ดีแก่ตัวเอง เช่น
เป็นนักเรียน มัวเกเรเสีย เลยเรียนไม่จบ ต้องอกกจากโรงเรียนเสีย
กลางคัน เว้นไว้แต่ทมี่ เี หตุสดุ วิสยั การเรียนหนังสือไม่จบ โดยปราศ
จากเหตุผล สังคมจะมองเด็กคนนีใ้ นแง่ลบ แปลว่า มีประวัตไิ ม่สดใส
เป็นเด็กทีม่ ปี มด้อย ก็ตอ้ งไปดูตอนเป็นผูใ้ หญ่ มีครอบครัวแล้วอีกครัง้
ครั้นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ยังทำอะไรไม่จริง หรือทำไม่ได้ทำไม่เป็น
ก็เป็นอันว่า ต้องหมดโอกาสไปตลอดชีวติ
คนทุกคน จะมีชวี ติ อยูไ่ ด้ในสังคม เพราะมีอาชีพทีส่ จุ ริต และ
อาชี พ นั้ น จะเป็ น อาชี พ ประเภทไหนก็ ต าม ขอให้ ท ำจริ ง ทำโดย
สม่ำเสมอ และทำอย่างซือ่ สัตย์สจุ ริต ก็สามารถจะยึดเป็นหลักอาชีพได้
มีตวั อย่างทีเ่ คยออกทางโทรทัศน์วา่ แม่คา้ กล้วยปิง้ มีอาชีพเพียงแค่ปงิ้
กล้วยขาย สามารถส่งลูกเรียนถึงจบปริญญาได้ อย่างนีเ้ รียกว่า เอาจริง
ทางกล้วยปิง้ นีย้ กมาเป็นตัวอย่าง
ส่วนคนทีท่ ำไม่จริง ก็มตี วั อย่างเหมือนกัน เล่ากันมาว่า มีคน
134
ทำอาชีพถีบสามล้อรับจ้างคนหนึง่ เกิดโชคดีขนึ้ มา ไปถูกหวยรางวัลที่ ๑
จากนั้นก็เลิกทำอาชีพถีบสามล้อ กลายเป็นเศรษฐีไปทันที ต่อมา
135
๕๗
เชือ่ ไม่ดี จะมีกรรมเวร
R
กเรยฺย วากฺยํ อนุกมฺปกานํ
ควรทำตามคำของผูเ้ อ็นดู
ผูเ้ อ็นดู หมายถึง บุคคลทีม่ คี วามปรารถนาดีตอ่ เรา มีความรัก
มีความสงสาร มีความห่วงใย มีความปรารถนาจะให้เรามีความสุข
137
๕๘
ปากไวใจโกรธ จะหมดความดี
R
กาลานุรปู ํ ว ธุรํ นิยญ
ุ เฺ ช
พึงประกอบธุระ ให้เหมาะกาลเวลาเท่านัน้
กาลเวลาที่เหมาะสม ในที่นี้ ตรงกับหลักของกาลัญญุตา
139
๕๙
เร็วช้าถ้าดี ต้องมีสติ
R
รกฺเขยฺย อตฺตโน สาธุ,ํ ลวณํ โลณตํ ยถา
พึงรักษาความดีของตนไว้ เหมือนเกลือรักษาความเค็ม ฉะนัน้
ธรรมดาว่าเกลือ จะต้องเค็ม ไม่มอี ะไรจะมาทำให้เกลือไม่เค็มได้
อยูท่ ไี่ หนก็เค็มทีน่ นั่ แต่บางครัง้ เกลือถูกนำไปใช้กบั คนใจดำ จนเห็นแก่ตวั
ทีเ่ รียกว่า คนเค็ม ก็มี และเกลือก็มคี ณ ุ สมบัตพิ เิ ศษอีกอย่างหนึง่ คือ
ไม่เน่า ไม่บดู เก็บไว้นานๆ ก็ไม่เสียหาย นอกจากไม่เสียหายแล้ว ยัง
สามารถทำของเน่าเสีย ให้เป็นของดีได้ เช่น ปลาร้า น้ำปลา เป็นต้น
การรักษาความดีนนั้ ท่านให้ทำตนเหมือนเกลือ กล่าวคือ จะอยู่
ทีไ่ หนก็ไม่เลิกละความดี ไม่มกี ารเปลีย่ นใจไปเข้ากับคนชัว่ และสามารถ
จูงเอาคนชัว่ ให้กลับมาทำความดีได้อกี ด้วย
การรักษาความดีนั้น นับว่าเป็นงานหลักของคนทั่วไป หาก
เผลอเมือ่ ไร ระวังใจจะตกต่ำ ถ้ากล่าวสำนวนนักเทศน์ ท่านกล่าวว่า
หากเกิดความโกรธ จะต้องระงับด้วย ธรรมะ ๔ น เข้าไว้กอ่ น คือ
นิง่ – นัง่ – นอน – หนี
ตัวอย่างเช่น พ่อบ้านกำลังอารมณ์ไม่ดี พอกลับถึงบ้าน ถูกแม่
บ้านด่าซ้ำเข้าไปอีก ตอนนี้ ถ้าพ่อบ้านจะพูดอะไรออกไป คงจะต้อง
ทะเลาะกันแน่ อย่างนีจ้ ะต้องใช้ น.ที่ ๑ คือ นิง่ ต้องอดทนเอาหน่อย
เพื่อความสงบเรียบร้อย ครั้นนิ่งแล้ว แม่บ้านก็ไม่ยอมหยุด ต้องใช้
140
น.ที่ ๒ คือ นัง่ คือนัง่ ลงเสียก่อน ทำใจให้สงบเข้าไว้ หากไม่นงั่ อาจจะ
เผลอไปตบตีกนั ได้ ถ้านัง่ แล้วยังไม่ยอมหยุดอีก จะต้องใช้ น.ที่ ๓ คือ นอน
เข้าเรือนนอนไปเลย ถ้าหลับได้ยงิ่ ดี หากนอนแล้วก็ยงั ไม่ยอมหยุดอีก
จะต้องใช้ น.ที่ ๔ คือ หนี หมายถึงลงจากเรือนหนีไปเลย ถ้าไม่หนี
อาจจะเกิด น.ที่ ๕ คือ น่วม หมายถึงตีกนั น่วมไปเลย ทัง้ หมดดัง
กล่าวมานี้ เป็นเพียงวิธหี นึง่ บางคนอาจจะมีวธิ ที ดี่ กี ว่านีก้ ไ็ ด้ เสนอไว้
เพือ่ คิด
เพราะฉะนั้น คนทุกคน หากจะเป็นคนดี จะต้องหานโยบาย
ประคับประคองตัวเอง อย่าปล่อยไปตามอารมณ์ที่ต้องการ ให้นึกถึง
เกลือ ว่าเกลือไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน จะต้องเค็ม คนดี จะอยู่ในสภาพ
อย่างไร ก็จะต้องรักษาความดีไว้ให้มนั่ คง ไม่หวัน่ ไหว ขอให้คดิ ว่า
๑. เร็วช้าถ้าดี ต้องมีสติ ถ้าปล่อยตามใจ จะเกิดภัยทิฐิ
๒. การรักษาความดี จะต้องมีทุกเมื่อ เหมือนเกลืออยู่ไหน
ไม่ไร้เค็ม
R
141
๖๐
ถ้าดีจริง ต้องดีตอบจะชอบยิง่
R
กิจจฺ านุกพุ พฺ สฺส กเรยฺย กิจจฺ ํ
พึงทำกิจ แก่ผชู้ ว่ ยทำกิจ
ทุกคนที่เกิดมาแล้ว จะอยู่คนเดียวในโลกย่อมเป็นไปไม่ได้
จำเป็นต้องมีการอยูร่ ว่ มกัน เป็นหมูค่ ณะ และการอยูร่ ว่ มกันนัน้ ก็จะ
ต้องมีการช่วยเหลือเกือ้ กูลซึง่ กันแลกัน หรือบางครัง้ ก็จะต้องทำประโย
ชนร่วมกัน คนไหนทีเ่ คยทำประโยชน์ให้แก่เรา จะต้องจดจำไว้ เมือ่ ถึง
คราวเขามีงานอะไร พอที่เราจะช่วยได้ ก็อย่านิ่งดูดาย เข้าไปช่วย
ทำงานนั้น อย่างเต็มใจและเต็มความสามารถ อย่างนี้จึงจะทำให้เกิด
ความรักใคร่ เกิดความเห็นใจต่อกัน การอยู่ร่วมบ้านใกล้เรือนเคียง
143
๖๑
ซือ่ ปัญญา จะพาเจริญ
R
นานตฺถกามสฺส กเรยฺย อตฺถํ
ไม่พงึ ทำประโยชน์ แก่ผมู้ งุ่ ความพินาศ
บุ ค คลผู้ มุ่ ง ความพิ น าศ หมายถึ ง คนที่ ไ ม่ ห วั ง ดี ต่ อ เรา
145
๖๒
เสือเป็นเหตุ ให้กเิ ลสเข้าบ้าน
R
มา จ สาวชฺชมาคมา
อย่ามาถึงกรรมอันมีโทษเลย
คนส่วนใหญ่แทบจะทุกคน เวลามีความสุขสบาย ไม่ค่อยได้
นึกถึงอะไร พอเกิดเคราะห์รา้ ยได้ทกุ ข์ ก็จะยกมือท่วมหัว เรียกพ่อแก้ว
แม่แก้ว เจ้าป่าเจ้าเขา หลวงพ่อศักดิส์ ทิ ธิ์ มาช่วยปัดเคราะห์ปดั โศก
บางทีบญ ุ กุศลก็ไม่คอ่ ยได้ทำ แต่พอถึงคราวเกิดเหตุตรงนีข้ นึ้ มา ก็เรียก
หากันใหญ่
ด้วยเหตุนี้ ทุกคนควรจะปฏิบตั ดิ แู ลพ่อแม่ให้ดี เพือ่ จะได้รบั ผล
บุญตรงนี้ และหมัน่ ทำความดี ไหว้พระสวดมนต์เจริญพระกรรมฐานอยู่
ประจำ ถึงวันพระก็หาโอกาสไปทำบุญบ้าง อย่างนีจ้ ะเป็นการสร้างทีพ่ งึ่
เราจะเรียกให้คณ ุ พระมาช่วย แต่เราไม่เคยทำอะไรกับพระเลย นับว่า
เอาเปรียบยิง่
คนทีใ่ ช้มดี ถากไม้ เอาทางคมมีดถากเข้าหาตัว คนโบราณเรียกว่า
เสือเข้าบ้าน เป็นข้อห้ามอย่างหนึง่ ของคนสมัยก่อน ทีจ่ ริงก็คอื มีดนัน้
จะฟันเอาตัวเองนัน่ เอง
ในทำนองเดียวกันนี้ การทีค่ นเราเทีย่ วไปหาเรือ่ ง ทะเลาะกับ
คนนอกบ้าน ทำให้เกิดความเดือดร้อนมาสูค่ รอบครัว อย่างนีจ้ ะเรียกว่า
เสือเข้าบ้านข้างก็คงไม่ผดิ เพราะความเดือดร้อนนัน้ บางครัง้ จะต้อง
146
เสียเงิน ขึ้นโรงศาล ตกเป็นอาชญากร เมื่อคนในบ้านเป็นอย่างนี
้
ถ้าเป็นลูก พ่อแม่กจ็ ะต้องเป็นฝ่ายเสียเงิน ในครอบครัวนีก้ จ็ ะเสือ่ มเสีย
ชือ่ เสียง สมมุตวิ า่ ปีหนึง่ ๆ คนในครอบครัว ไปหาเรือ่ งดังกล่าว คนละ ๑
เรือ่ ง ถ้ามี ๕ คน ก็รวมเป็น ๕ เรือ่ ง นัน่ หมายถึง ครอบครัวนี้ นำ
เสือเข้าบ้านปีละ ๕ ตัว จะเกิดเดือดร้อนยุง่ เหยิงขนาดไหน แต่ละ
เรือ่ งส่วนใหญ่กจ็ ะเป็นการเสียเงิน เช่นไปทำร้ายร่างกายเขา แล้วถูก
เขาทำร้ายตอบ ต้องเสียเงินเข้าโรงพยาบาล จะต้องเสียเงินในการเดิน
เรื่อง ซึ่งจะเสียมากเสียน้อย ขึ้นอยู่กับเรื่องนั้นๆ หรือเสือตัวนั้น
นอกจากเสียเงินแล้ว ก็ยงั จะต้องเสียชือ่ เสียงด้วย
เพราะฉะนัน้ ความเดือดร้อน อันเกิดจากเวรภัย ทีบ่ คุ คลไปก่อขึน้
แต่ละปีมใี ช่นอ้ ย เงินทีจ่ ะต้องเสียไปเพราะเรือ่ งนี้ ถ้ารวมกันแล้วก็จะมี
มากมหาศาล พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ ก็เพือ่ มิให้ทกุ คน ต้องไปเรียกเสือ
เข้าบ้าน เรือ่ งของโทษต้องไม่ดแี น่ เชือ่ พระพุทธเจ้าเถิด ขอให้คดิ ว่า
๑. เสือเป็นเหตุ ให้กเิ ลสเข้าบ้าน ถ้าเป็นเสือความโกรธ จะมี
โทษมหาศาล
๒. จงเดินตามทาง ที่เขาวางไว้ดี ถ้าโทษอย่าลอง เดินตาม
คลองวิถี
R
147
๖๓
โรคไม่กลัว จะเกิดชัว่ ร้ายแรง
R
สงฺกปฺปราโค ปุรสิ สฺส กาโม
ความกำหนัดเพราะดำริ เป็นกามของคน
เป็นธรรมดาของสัตว์โลกทัว่ ไป เมือ่ เกิดมาแล้ว จะมีกามราคะ
ติดมาแต่กำเนิด เรียกว่าเป็นกิเลสขัน้ อนุสยั ทีน่ อนเนือ่ งมากับสันดาน
สำหรับคนจะแตกต่างกับสัตว์ดิรัจฉาน ตรงที่มีศีลเป็นขอบเขต มีหิร
ิ
โอตตัปปะ คืออายชั่วกลัวบาป เป็นเครื่องหมายขีดเส้นแดน ชาย
151
๖๕
ถ้าเชือ่ สาม ก. จะพอไม่เป็น
R
กาเมสุ โลกมฺหิ น อตฺถิ กิตตฺ ิ
ความอิม่ ด้วยกามทัง้ หลาย ไม่มใี นโลก
ความอยากทีเ่ รียกว่ากามนัน้ เป็นสิง่ ทีต่ ดิ ตัวเรามาตัง้ แต่แรกเกิด
ทีเ่ รียกว่าคน ทุกคนเกิดอยูใ่ นท่ามกลางของความอยาก ซ้ำร้ายไปกว่านัน้
บางคนมีอย่างนีแ้ ล้ว พอมีอยูไ่ ม่นานก็เกิดเบือ่ อยากจะมีอย่างอืน่ อีก
ต่อไป และเป็นอยูอ่ ย่างนีเ้ สมอมา ไม่รจู้ กั จบสิน้
พระพุ ท ธเจ้ า จึ ง ตรั ส ว่ า ความอิ่ ม ในกามไม่ มี แต่ นั่ น เป็ น
ธรรมชาติของใจ หมายความว่า ถ้าใครปล่อยใจไปตามความอยาก
ความอยากก็จะพาไปอย่างนัน้ เรียกว่าอยูภ่ ายใต้อำนาจของกิเลส ถ้าคน
มีสติคอยเตือน ให้เกิดความรูส้ กึ ว่าอะไรดีอะไรชัว่ และมีปญ ั ญาพิจารณา
ให้เห็น จะบันเทาได้บา้ ง
อันที่จริง คนที่ยุ่งกันอยู่ในปัจจุบันนี้ก็เพราะ ยักษ์สาม ก.
กล่าวคือ ก.กิน ก.กาม ก.เกียรติ
ก.กิน ตามปรกติก็จะกินกันอยู่ในครอบครัว ซึ่งจะมีความสิ้น
เปลืองน้อย ต่อมาก็เห็นว่ากินไม่อร่อย ต้องไปกินในภัตตาคาร ทีม่ อี าหาร
แพงๆ ได้บรรยากาศดี ทำให้เสียเงินมากโดยไม่จำเป็น
ก.กาม ปรกติก็มีอยู่แล้วในครอบครัว คือสามีหรือภรรยา
152
ก็เช่นเดียวกันนัน้ แหละ ชอบออกไปหากามนอกบ้าน จนเป็นเหตุให้เกิด
การแตกร้าวในครอบครัว หรือไม่กอ็ าจจะไปติดโรคเอดส์มาได้
ก.เกียรติ ตรงนีก้ ส็ ำคัญ เศรษฐีมอี ะไร คนจนก็มไี ด้ ถึงจะไม่มเี งิน
ก็ใช้วธิ ผี อ่ นส่งเอาก่อน เมือ่ บุคคลไม่รจู้ กั อิม่ ในสาม ก. หาเงินไม่พอใช้
ก็จะต้องหาในทางทุจริต อาจจะมี ก.โกงเข้ามาร่วมด้วย
ด้วยเหตุตรงนี้ จึงเรียกสาม ก.นีว้ า่ ยักษ์ คนรูจ้ กั ยักษ์ในข้อทีว่ า่
ชอบจับคนกินเป็นอาหาร ในทำนองเดียวกันนี้ ยักษ์สาม ก. นี้ ก็ชอบ
ควักเงินในกระเป๋าของคนกินเป็นอาหาร หรือไม่กจ็ บั คนทีห่ ลงผิด ให้
ตกอยูใ่ นอำนาจยองตน ทำให้ตายจากความดี ทีเ่ รียกว่า ตายทัง้ เป็น
เพราะฉะนัน้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนว่า ความอิม่ ด้วยกามไม่มี
นี้กล่าวโดยธรรมชาติ ถ้าบุคคลมาพิจารณาให้เห็นความจริงของความ
อยากแล้ว พึงกำหนดจิตให้รจู้ กั สำรวมในกาม ในการบริโภคและอุปโภค
จิตก็จะบันเทาความอยากลงได้บา้ ง จนมองเห็นความจริง ขอให้คดิ ว่า
๑. เชือ่ สาม ก. ความพอจะไม่มี เกียรติ กาม กิน ทำให้สนิ้
ความดี
๒. กามตัวนี้ จะไม่มกี ารพอ ถ้าปล่อยตามใจ ไม่มอี ะไรเหลือหลอ
R
153
๖๖
ความพอดี จะมีตรงกลาง
R
น กหาปนวสฺเสน, ติตตฺ ิ กาเมสุ วิชชฺ ติ,
ความอิม่ ในกามย่อมไม่มี เพราะฝนคือกหาปนะ
คนเราทุกวันนี้ จะต้องดิน้ รนในการประกอบอาชีพทำมาหากิน
เพราะสิง่ ทีจ่ ะต้องเสียไปทุกวัน คือการใช้จา่ ย ในการบริโภคและอุปโภค
เพือ่ หารายได้มาชดเชยสิง่ ทีเ่ สียไป บางคนทำงานเท่าไร ก็ไม่ยอมมีเงิน
เก็บสักที กลับต้องไปกูห้ นีย้ มื สินเขามา ตกเป็นทาสของดอกเบีย้ ไม่รจู้ บ
นี้เรียกว่า กินไม่รู้จักอิ่ม บางทีทำงานวันหนึ่ง ก็ได้เงินเพียงพอที่จะ
เหลือเก็บ แทนที่จะเก็บไว้บ้าง กลับนำเอาไปใช้จ่าย ในสิ่งที่ไม่เป็น
ประโยชน์ เช่น นำเอาไปเล่นการพนันบ้าง นำเอาไปซื้อสุราบ้าง
เป็นต้น คนอย่างนี้ จะมีเงินมากขนาดไหน ก็จะไม่มเี งินเหลือ
บุคคลทั่วไป จะเป็นโรคประเภทหนึ่ง คือโรค ไม่พอ ได้แก่
หากินไม่พอใช้ หาได้ไม่พอเสีย ก็เพราะความไม่รจู้ กั พอของตัวเอง จึง
หากินไม่พอใช้ พอหาเงินมาได้ แทนทีจ่ ะแบ่งเก็บไว้บา้ ง กลับไปนึกเสียว่า
เราจะนำเงินไปใช้อะไรดี พ่อค้าผูฉ้ ลาด เขาพยายามหาสินค้า ทีล่ อ่ ตา
ล่อใจหลายชนิด วางไว้ในร้าน และมีรสไสบริการ คนซื้อจะไสรถไป
อยากได้อะไรก็หยิบใส่รถไส เห็นอะไรก็อยากได้ไปเสียหมด แล้วนำมาให้
ทางร้านคิดราคา พอคิดราคาแล้ว จะต้องจ่ายเงินมิใช่นอ้ ยเลย พอกลับ
ถึงบ้าน ตอนแรกๆ ก็ยงั พอใจยินดี ในสิง่ ของทีซ่ อื้ มาใหม่นนั้ แต่พอ
154
หลายวันต่อมา ชักจะหายอยากเกิดเบือ่ ขึน้ มา และอยากจะได้ของใหม่
อีกต่อไป ก็ไปหาซือ้ เหมือนอย่างเดิมอีก บางคนเฉพาะเสือ้ ผ้าอย่างเดียว
มีออกเต็มตู้ จนไม่รจู้ ะใส่เสือ้ ตัวไหน อย่างนีเ้ รียกว่า เกินพอดี ท่าน
กล่าวว่า ดีอยูต่ รงกลาง หมายความว่า ให้เป็นมัชฌิมาปฏิปทา หรือ
พอดี เช่นพูดว่า หญิงคนนีส้ วย ถ้าจะถามว่าสวยทีต่ รงไหน ก็ตอ้ งตอบว่า
สวยทีพ่ อดี กล่าวคือสูงต่ำพอดี สีผวิ พรรณพอดี ดวงตาใหญ่หรือเล็ก
พอดี เป็นต้น
เพราะฉะนัน้ ขอให้เข้าใจว่า ดีอยูท่ คี่ วามพอดี ถ้าหย่อนดีหรือ
เกินดี นัน่ คือไม่ดี เมือ่ เข้าใจอย่างนี้ ก็นำมาใช้กบั การดำเนินชีวติ เช่น
การใช้จา่ ยก็ให้พอดี กล่าวคือ ไม่ฟมุ่ เฟือยเกินไป และไม่ฝดื เคืองเกินไป
ทำอย่างไรคือพอดี คนเราจะรูอ้ ยูแ่ ก่ใจ ไม่จำเป็นต้องอธิบาย ขอให้คดิ ว่า
๑. ถ้าดีพอ ต้องพอดี ถ้าพอไม่มี ดีไม่มา ความพอดีอยูท่ คี่ วาม
พอใจ ถ้าพอไม่ได้กไ็ ร้คณ ุ ค่า
๒. ประหยัดสันโดษ เป็นข้อกำหนดของคนดี ถ้าไม่มีข้อนี้
สมบัตมิ กี จ็ ะหมด
R
155
๖๗
ถ้าหลงกาม จะได้นามว่าหลงกล
R
นตฺถิ กามา ปรํ ทุกขฺ ํ
ทุกอืน่ ยิง่ กว่ากาม ไม่มี
ความอยาก เป็นตัวบังคับให้บคุ คล ต้องดิน้ รนไปหามา เพือ่
ตอบสนองความต้องการของใจ การดิน้ รนไปหามานัน้ ก็เป็นทุกข์อยูแ่ ล้ว
เมือ่ หามาได้ตามความปรารถนาก็ดไี ป ถ้าไม่ได้สมดังปรารถนา ก็เป็น
ทุกข์อกี หรือเมือ่ ได้มาแล้ว ภายหลังเกิดพลัดพรากจากกัน ก็เป็นทุกข์
ในการปกปักรักษา สิง่ ทีห่ ามาได้นนั้ ก็เป็นทุกข์ ดังนัน้ ขึน้ ชือ่ ว่ากามแล้ว
จะต้องเป็นทีม่ าของความทุกข์ตลอดไป ควรจะได้ใช้ปญ ั ญาพิจารณา ให้
เห็นโดยถ่องแท้ แล้วบันเทาความอยากลง อย่าไปติดแน่นอยู่ในกาม
จิตจะสงบไม่ดิ้นรน แต่การทำอย่างนี้ จะต้องอาศัยการศึกษาฝึกหัด
ปฏิบตั ดิ ว้ ย
ความเป็ น อยู่ ใ นปั จ จุ บั น นี้ คนเราจะตกอยู่ ใ นความเครี ย ด
เพราะการดำเนินชีวติ ของทุกคน จะต้องทำงานแข่งกับเวลา เมือ่ เกิด
ความเครียดเกิดขึน้ มา ก็มกั จะไปหาวิธคี ลายความเครียด วิธดี งั กล่าวนี้
ก็หนีไม่พน้ ไปจาก สุรา นารี เพราะทัง้ สองอย่างนี้ คนจะคิดว่าเป็นการ
สร้างบรรยากาศ ทีจ่ ะทำให้เกิดความสุขสุดยอด ซึง่ ธรรมชาติหยิบยืน่ มาให้
แต่แท้ทจี่ ริง สุรา นารี เป็นเพียงความสนุก เมือ่ หันไปพึง่ สุรา นารี
157
๖๘
รูจ้ กั พอ จะก่อสุข
R
นตฺถิ ตณฺหาสมา นที
แม่นำ้ เสมอด้วยตัณหาไม่มี
ตัณหา แปลว่า ความอยาก เป็นตัวทีเ่ ป็นเหตุให้เกิดความทุกข์
มี ๓ อย่าง ได้แก่ กามตัณหา คือ ความอยากในอารมณ์ทนี่ า่ ใคร่
159
๖๙
มุทติ า จะพาสบาย
R
อิจฉฺ า โลกสฺมิ ทุชชฺ หา
ความอยาก ละได้ยากในโลก
ความอยากในทางทีช่ วั่ เป็นตัวตัณหา บุคคลจะละได้อย่างยากยิง่
เพราะว่า ตัณหาเป็นธรรมชาติที่ติดอยู่กับใจของคนเรามาแต่กำเนิด
นับตัง้ แต่ในอดีตชาติทลี่ ว่ งมาแล้ว นับเป็นร้อยชาติพนั ชาติ จะตามเรา
ไปทุกๆ ชาติ ไม่วา่ จะไปอยูท่ ไี่ หน หรือไปเกิดเป็นอะไร
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ละได้ยาก หมายความว่า ละได้
เหมือนกัน แต่จะต้องใช้เวลานาน โดยเริม่ จากทำจิตมิให้ไปยึดมัน่ เห็น
ใครเขาได้ดีอะไร ก็ทำใจให้ยินดีไปกับเขา อย่าได้มีการอิจฉาริษยา
ทำใจเป็นนักเสียสละ บันเทาความอยากลง และหาโอกาสฝึกหัดจิตให้มี
ความสงบ
โดยธรรมชาติของความอิจฉา ซึ่งหมายถึงความอยากนั่นเอง
แต่ความอยากในทีน่ ี้ หมายถึง ความอยาก ทีจ่ ะให้คนนัน้ คนนี้ ด้อย
หรือต่ำกว่าตน ในเมือ่ เขาผูน้ นั้ กำลังจะเกินหน้าตน ในกรณีทมี่ คี วาม
เป็นอยูเ่ ท่าเทียมกัน
ความอิจฉานี้ ตามปรกติของปุถุชน ย่อมจะมีได้เป็นเรื่อง
ธรรมดา แต่ถา้ ผูใ้ ดได้ฝกึ จิตให้รจู้ กั ยินดี ในเมือ่ คนอืน่ เขาได้ดี ผูน้ นั้ ก็จะ
มีจติ ใจสงบ ไม่มคี วามอิจฉาริษยาเขาได้ คนโบราณได้เคยปฏิบตั กิ นั มาว่า
160
เมือ่ รูห้ รือเห็นคนอืน่ ได้ดี ให้ยกมือขึน้ ประนมแล้วเปล่งคำว่า สาธุ แล้ว
พู ด ต่ อไปว่ า ขอให้ จ ำเริ ญ จำเริ ญ เถิ ด นี้ เ รี ย กตามภาษาพระว่ า
อนุโมทนาด้วย
การกระทำดังกล่าวมานี้ ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า แผ่มทุ ติ า
หากว่าบุคคลใดยังทำไม่ได้ กล่าวคือ ใจของตนยังคอยอิจฉาริษยาเข้าอยู่
ให้เก็บไว้ในใจก่อน อย่าแสดงออกมาภายนอกให้เขารู้ เข้าทำนองว่า
น้ำขุน่ ไว้ใน น้ำใสไว้นอก และต่อไปก็จงพยายามทำน้ำขุน่ นัน้ ให้คอ่ ยๆ
ใสลง
เพราะฉะนั้น ธรรมชาติของปุถุชน ย่อมจะมีความอยากเป็น
ของธรรมดา ถ้าบุคคลมาเริม่ ฝึกหัดใจของตน ให้บนั เทาความอยากลงบ้าง
ก็ยอ่ มจะทำได้ไม่เหลือวิสยั คิดเสียว่า จะอยากหรือโลภโมโทสันกันไปถึง
ไหน ไม่ชา้ เราก็ตอ้ งตาย สมบัตนิ นั้ ก็นำไปไม่ได้เลยสักอย่าง ขอให้คดิ ว่า
๑. อิจฉาพาใจร้าย แต่มทุ ติ าพาสบาย ถ้าอ่อนน้อมสงบ จะพบ
สุขใจ
๒. ความอยากละได้ยากในโลก จงรูเ้ ข้าไว้ อย่าทำใจให้สกปรก
R
161
๗๐
คนโลภมาก จะอยากไม่หยุด
R
อิจฉฺ า หิ อนนฺตโคจรา
ความอยาก มีอารมณ์หาทีส่ ดุ มิได้
ธรรมดาของคน นับตัง้ แต่ตนื่ นอนในตอนเช้า จนถึงเข้านอนใน
ตอนกลางคืน ระหว่างเวลาดังกล่าวนี้ คนส่วนใหญ่ จะมีความอยาก
มากกว่าอย่างอืน่ เมือ่ ตืน่ นอนแล้ว อยากล้างหน้าแปลงฟัน อยากแต่งตัว
อยากถ่ายอุจจาระปัสสาวะ อยากรับประทานอาหาร ฯลฯ จนถึงอยากนอน
อยากหลับ
แต่อยากบางอย่างไม่เกิดความเสียหาย กล่าวคือไม่มโี ทษ เช่น
อยากอาบน้ำ อยากรับประทานอาหาร เป็นต้น ควรระวังแต่อยากทีม่ โี ทษ
เช่นอยากเล่นการพนัน อยากดืม่ สุรา เป็นต้น อยากอย่างนี้ จงห้ามไว้
ก่อน อย่าทำตาม ความอยากมีมากอย่างนี้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า มี
อารมณ์หาทีส่ ดุ มิได้
ธรรมดาของความอยาก ย่อมจะเกิดจากใจของแต่ละคน และ
ใจนั้นก็ย่อมจะท่องเที่ยวไปได้ทุกหนทุกแห่ง โดยไม่มีขอบเขต เพราะ
เหตุนี้ ความอยากจึงไม่มที สี่ นิ้ สุดอย่างไร้ขอบเขต เนือ่ งจากความอยาก
นีไ้ ปกับใจ แต่ถา้ ใจทีท่ อ่ งเทีย่ วไปนัน้ ไม่พกเอาความอยากไปด้วย ความ
อยากนัน้ ก็จะไม่มี สำหรับการฝึกนัน้ ควรจะต้องมีสติตามไปกับความ
อยากด้วย จึงจะแก้กนั ได้บา้ ง
162
ความอยากดังกล่าวนี้ หมายถึงความอยากในทางไม่ดี เช่นแต่
เดิมมีภรรยาอยูแ่ ล้ว ทนความอยากไม่ไหว ไปพาเอาหญิงอืน่ มาเป็น
ภรรยาอีกหนึง่ คน เป็นต้น เมือ่ รูว้ า่ ความอยากไม่ดี กำลังเกิดขึน้ กับใจตน
ก็จงบอกกับตัวเองว่า หยุด
ครั้ ง หนึ่ ง สมเด็ จ พระพุ ฒ าจารย์ (โต) เข้ าไปเทศน์ ใ นวั ง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั รัชกาลที่ ๕ ทรงรับสัง่ ว่า “ขรัวโต วันนี้
เทศน์สนั้ ๆ หน่อย กำลังมีราชกิจอยู”่ สมเด็จฯ พอขึน้ ธรรมาสน์ ตัง้
นโมจบแล้ว ก็เทศน์เพียงคำเดียวว่า หยุด แล้วต่อด้วย เอวังก็มดี ว้ ย
ประการฉะนี้
เพราะฉะนัน้ หยุด คำเดียวเท่านัน้ เป็นคำทีศ่ กั ดิส์ ทิ ธิ์ เราเคย
สั่งคนอื่นให้หยุดได้ ทดลองสั่งตัวเองบ้างก็ดีเหมือนกัน ท่านกล่าวว่า
อยากคือยุ่ง หยุดอยากก็หยุดยุ่ง ความจริงก็เป็นอย่างนั้น ความ
อยากหากมีพอดี และเป็นไปในทางดีดว้ ย ก็ควรอยาก เช่นอยากทำบุญ
เป็นต้น ขอให้คดิ ว่า
๑. ถ้าหยุดจะหมดอยาก ถ้าโลภมากอยากไม่พอ ถ้าอยากทางดี
จะดีจริงหนอ
๒. อิจฉาพาใจให้รมุ่ ร้อน จงทำใจให้สขุ ความทุกข์จะลดหย่อน
R
163
๗๑
อำนาจเสพติด มีพษิ สารพัด
R
อิจฉฺ า นรํ ปริกสฺสติ
ความอยาก ย่อมเสือกใสนรชน
ความอยาก ในที่นี้ หมายถึง ความปรารถนา หรือความ
ต้องการของจิต อันเป็นไปในทางทุจริต ได้แก่ กายทุจริต วจีทุจริต
และมโนทุจริต และความอยากนี้ เมื่อเกิดขึ้นแก่บุคคลใดแล้ว หาก
บุคคลนั้นไม่ระงับยับยั้งไว้ ก็จะถูกเขาสั่งให้ไปทำตาม ในสิ่งที่เขา
ต้องการนัน้
ตามปรกติ คนส่วนใหญ่จะเป็นเหมือนหุน่ ให้ตณ ั หาเขาเชิด เขา
จะชักนำไปอย่างไร ก็ตอ้ งทำตามเขาหมด เช่น เกิดไม่พอใจใครขึน้ มา
ใจอยากจะไปด่าหรือทำร้ายเขาผูน้ นั้ ก็ตอ้ งไปด่าหรือทำร้ายเขา ตามที่
ตัณหาสั่งนั้น แต่ด่าหรือทำร้ายเขาแล้ว เราเองเป็นผู้เดือดร้อน
ตัณหาเขาไม่รบั รูด้ ว้ ย
ในบรรดาความอยากทั้งหลาย ยาเสพติด ไม่ว่าจะเป็นสุรา
กัญหา ยาบ้า นับว่าเป็นภัยร้ายแรงอย่างมหันต์ เมือ่ ถึงเวลาอยากเสพ
หากไม่ ไ ด้ ส มความอยาก เขาจะเปลี่ ย นแปลงจากคน เข้าไปสวม
วิญญาณของสั ต ว์ ดุ ร้ า ย จะฆ่ าได้ แ ม้ แ ต่ ผู้ มี พ ระคุณ มีบิดามารดา
เป็นต้น ดังทีม่ ขี า่ วทางโทรทัศน์วา่ ลูกชายติดยาบ้า วันนัน้ ยังไม่ได้เสพ
เกิดอาการอยากขึน้ มา จึงไปขอเงินจากพ่อ แต่บงั เอิญพ่อไม่มเี งิน จึง
164
ตอบปฏิเสธ พร้อมกับด่าว่าสัง่ สอนไปในตอนนัน้ ด้วยอำนาจของความ
อยากเสพ ลูกคว้าไม้ตพี อ่ จนถึงแก่ความตาย พ่อผูม้ พี ระคุณยามปรกติ
คนเราจะฆ่าไม่ได้ แต่คนติดยาบ้าจะฆ่าได้
อีกเรือ่ งหนึง่ พ่อเมาสุรา เกิดตัณหาหน้ามืด ไปข่มขืนลูกในไส้
ของคน ซึง่ เป็นเรือ่ งทีน่ า่ ละอายมากทีส่ ดุ ยามปรกติพอ่ จะข่มขืนลูก
ไม่ได้ แต่คนเมาสุราทำได้
ทัง้ สองเรือ่ ง ซึง่ เป็นเรือ่ งมีจริงทีเ่ ป็นข่าวมาแล้วนี้ ท่านจะเชือ่
หรือยังว่า สิง่ เสพติดสามารถเปลีย่ นจากคน ให้เป็นดุจสัตว์ดริ จั ฉานได้
เมือ่ เป็นเช่นนี้ ท่านจะให้เกียรติเสพติดต่อไปอีกหรือ
เพราะฉะนัน้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสเน้นให้เห็นว่า ความอยากจะ
เสือกไสบุคคล ให้เป็นไปตามอำนาจของเขา ใช้ให้ลกู ไปฆ่าพ่อก็ได้ ใช้ให้
พ่อไปข่มขืนลูกก็ได้ เมือ่ เป็นอย่างนี้ ทำไมคนไทยเราเกือบจะร้อยเปอร
เซ็น เป็นชาวพุทธแต่ยงั ผิดศีลข้อ ๕ กัน เป็นว่าเล่น จะต้องช่วยกัน
แก้ไข ขอให้คดิ ว่า
๑. สิง่ เสพติด ทำชีวติ ให้สลาย ถ้าเสพไม่หยุด สิน้ สุดก็คอื ตาย
๒. อยากทัง้ หลาย จะเสือกไสนรชน ถ้าไม่แก้ไข ประเทศไทย
จะปีป้ น่
R
165
๗๒
ชัว่ ในใจ คือไฟเผาผลาญ
R
นตฺถิ ราคสโม อคฺคิ
ไฟ เสมอด้วยราคะ ไม่มี
ขึ้ น ชื่ อ ว่ า ไฟ จะอยู่ ที่ ไ หนก็ ร้ อ นที่ นั่ น และความร้ อ นนั้ น
สามารถจะเผาผลาญสิง่ อืน่ ให้มอดไหม้พนิ าศไป สิง่ ทีม่ รี าคา หรือสิง่ ที่
สวยงามขนาดไหน เมื่อถูกไฟไหม้แล้ว ก็จะกลายเป็นเถ้าถ่าน หมด
ราคาหมดความสวยงามลงทันที
ไฟดังกล่าวนี้ ถึงจะมีโทษมาก เมือ่ ไฟเผาวอดวายไปแล้วก็ดบั ไป
ไม่เหลือเชือ้ ไว้อกี แต่ไฟคือราคะ มีโทษมากกว่าไฟธรรมดา กล่าวคือ
เผาเรามาแล้วไม่รวู้ า่ กีช่ าติ ขณะนีก้ ย็ งั เผาเราอยู่ และก็จะเผาต่อไป ใน
ชาติหน้าชาติโน้นอีก ไม่รู้ว่านานสักเท่าไรจึงจะดับ ซึ่งไม่มีไฟใดจะ
เปรียบได้
ตามธรรมดาของคนทั่วไป เมื่อเวลาเป็นเด็ก ไฟราคะยังไม่มี
ยังติดพ่อติดแม่อยู่ จะห่างจากพ่อแม่ยงั มิได้ พ่อแม่จะสอนอย่างไร ก็
เชือ่ ฟังและปฏิบตั ติ ามไม่ขดั ขืน แต่พอเติบโตขึน้ มาเป็นวัยรุน่ ไฟราคะ
เริม่ จะมี และรุนแรงขึน้ ตามวัย ความรักพ่อรักแม่ชกั จะเปลีย่ นแปลงไป
เปลีย่ นเป็นรักเพศตรงข้าม และจะเชือ่ ฟังกันดีมาก ถ้าทัง้ คูส่ มหวัง ก็จะ
ไปด้วยกันได้ดี หากเกิดการไม่สมหวังขึน้ มา ก็จะถูกไฟราคะเผาผลาญ
ถึงตอนนี้ ใครจะมาสอนหรือเตือนสติ เขาจะไม่เชือ่ ฟัง บางคนทีใ่ จอ่อน
166
อาจะตัดสินชีวติ ด้วยการฆ่าตัวตายบูชาความรัก
มีบางคนพูดว่า โจรปล้นร้อยครัง้ ยังไม่เท่าไฟไหม้หนึง่ ครัง้ ไฟ
ธรรมดาไหม้หนึง่ ครัง้ ยังไม่เท่าไฟกิเลสไหม้หนึง่ ครัง้ ไฟกิเลสมีสามกอง
คือ ไฟราคะ ไฟโทสะ และ ไฟโมหะ ไฟนัน้ ร้อนจริง แต่ถา้ ใครไม่ไปถูก
ต้อง ก็จะไม่รอ้ น ไฟกิเลส เขาก็อยูข่ องเขาธรรมดา แต่คนเราไปนำเอา
มาเอง จึงทำให้คนต้องร้อน ถ้าใช้ปญ ั ญาพิจารณาให้เห็นความจริง ไฟ
เขาก็ไม่ทำอะไรใคร
เพราะฉะนัน้ ถ้ากลัวไฟว่าร้อน ก็อย่าไปแตะต้องไฟ เท่านัน้ ก็
หมดเรื่องกัน แต่ที่ยังไม่หมดเรื่องก็เพราะ คนชอบไปนำเอาไฟทั้ง ๓
กอง เข้ามาใส่ไว้ในใจ ในการอยูร่ ว่ มกัน ถ้าทุกคนต่างก็มไี ฟ ไม่มใี คร
ยอมใคร ก็จะเกิดการทะเลาะวิวาทกัน ต่างคนต่างนำเอาไฟมาใส่กัน
ขอให้คดิ ว่า
๑. กิเลสในใจ คือไฟเผาผลาญ ถ้าปล่อยไว้ จะมีภยั อยูน่ าน
๒. ราคะกิเลส เป็นเหตุเร่าร้อน จงหมัน่ บันเทา ความมัวเมาจะผ่อน
R
167
๗๓
โลภโรคร้าย ทำลายโลก
R
โลโภ ธมฺมานํ ปริปนฺโถ
ความโลภ เป็นอันตรายแก่ธรรมทัง้ หลาย
ทุกคนที่เกิดมาในโลก ส่วนใหญ่จะมีความโลภด้วยกันทั้งนั้น
ยกเว้นพระอรหันต์ประเภทเดียว สุดแต่วา่ ใครจะระงับยับยัง้ ไว้ ได้มาก
น้อยแค่ไหน หรือใครจะปล่อยให้ความโลภนัน้ พาไป ถ้าทีส่ ดุ ของกิเลส
ตั ว นี้ก็ คื อ การลั ก ขโมย โกงกั น ลั ก ทรั พ ย์ ปล้น แย่ งชิงวิ่ งราว
ช้อราษฎร์บงั หลวง ค้าขายของเถือ่ น เป็นต้น ทัง้ หมดนี้ มีสาเหตุมา
จากความโลภทัง้ สิน้
เมือ่ ตนมีความผิด ก็จะต้องคอยหลบซ่อน บางครัง้ ก็ถกู จับได้
จะเสียงเงินทอง เสียชือ่ เสียง หรือไม่กจ็ ะต้องถึงกับเสียชีวติ ท่านจึง
กล่าวว่าความโลภเป็นอันตรายทัง้ ตนเอง และคนอืน่ ด้วย
ยุคนี้ เรียกว่า ยุคโลกาภิวัฒน์ คือเป็นยุคที่ชาวโลกตื่นตัว
ประชาชนทุกคน จะต้องปรับปรุงให้ทันโลก มิฉะนั้นจะเป็นคนล้าหลัง
คือวิ่งไม่ทันเขา มีหลายคนเป็นห่วงว่า ธรรมะจะวิ่งตามไม่ทันโลก
เพราะว่าคนจะสนใจแต่โลก มองเห็นธรรมเป็นของล้าสมัย มีประโยชน์นอ้ ย
สำหรับในข้อนี้ อาจจะพูดได้วา่ ถ้าไทยยังคงเป็นไทยอยูต่ ราบใด
ธรรมะจะวิง่ ตามทันโลกแน่ แต่ถา้ เมือ่ ใด ไทยตกไปเป็นทาสของโลก
เมือ่ นัน้ โลกจะทำลายธรรม และธรรมก็จะวิง่ ไม่ทนั โลก ในทีส่ ดุ ธรรมก็จะ
168
ถูกโลกเขีย่ ตกเวทีไป หมายความว่า เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ บรรพบุรษุ ไทย
สืบเชือ้ สายมาจากพระพุทธศาสนา ถ้าคนไทยคิดว่า มัวเป็นชาวพุทธอยู่
ก็อดตาย หมายถึงชาวพุทธโกงใครไม่ได้ มัวซือ่ อยูก่ จ็ ะไม่ทนั สมัย เมือ่
ชาวโลกไม่ซอื่ เราก็ตอ้ งไม่ซอื่ ด้วย ความคิดดังกล่าวนี้ คือตัวโลภ ที่
พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นอันตราย เมื่อชาวไทยคิดอย่างนี้ ย่อมเป็นที่
แน่นอนว่า ความเป็นไทยอาจจะกลายเป็นอย่างอืน่ ไป แต่มนั่ ใจว่าทุกวันนี้
ชาวไทยเรายังยึดมัน่ ในพระพุทธศาสนาอยู่ คงไม่มภี ยั แน่
เพราะฉะนัน้ จงทำความเข้าใจว่า โลภเป็นอันตรายของโลก
ถ้าคนมักมากไปด้วยความโลภ สังคมก็จะเป็นสังคมทีเ่ ห็นแก่ตวั เห็นแก่ได้
มีความเป็นอยูแ่ บบตัวใครตัวมัน เมือ่ คนเช่นนีม้ มี ากขึน้ ธรรมะทัง้ หลาย
ก็จะค่อยๆ เสือ่ มสลายลง นัน่ คือ โลภเป็นอันตรายแก่ธรรมทัง้ หลาย
ขอให้คดิ ว่า
๑. โลภมากลากประชา โลกาจะมืดมัว ชิงดีชงิ ได้ เป็นอันตราย
แก่ตวั
๒. โลภทัง้ หลาย จะทำลายยุตธิ รรม ใช้สนั โดษแก้ไข จะสบาย
เลิศล้ำ
R
169
๗๔
ถ้าไร้นำ้ ใจ จะกลายเป็นเศษคน
R
อติโลโภ หิ ปาปโก
ความละโมภ เป็นบาปแท้
ความละโมภ หมายถึง ความอยากความต้องการ ทีม่ อี านุภาพ
สูงกว่าความโลภ ทีว่ า่ สูงกว่า ได้แก่ มีความโลภทีเ่ ป็นนิสยั สันดาน แก้ยาก
เหมือนนักโทษทีม่ คี วามผิดฐานลักทรัพย์ เมือ่ ติดและพ้นโทษออกมาจาก
คุก อยูม่ าไม่กวี่ นั ก็ถกู จับเข้าไปใหม่อกี ในคดีเดียวกันนัน้ แหละ เรียกว่า
ประเภทเข้าๆ ออกๆ คุกอยูเ่ ป็นประจำ จนกว่าจะตายเสียเมือ่ ไร
คนทีม่ คี วามละโมภนี้ ก็ตา่ ยเต้ามาจากความโลภนัน่ แหละ เมือ่
มีความอยาก ก็ปล่อยไปตามอารมณ์ ไม่มกี ารระงับยับยัง้ ก้มหน้าก้มตา
แต่จะโลภอย่างเดียว จนเข้าขัน้ แก้ไม่หาย
ความละโมภ เป็นชื่อของนิสัยคนประเภทหนึ่ง จะเรียกคน
ประเภทนี้ ว่ า เสี ยไม่ ใ ห้ ได้ ต้ อ งเอา เป็ น บุ ค คลที่ สั ง คมรั ง เกี ย จ
เป็นการสร้างเกียรติค่านิยมให้ตกต่ำลง คนที่จะคบหาสมาคมด้วย ก็
เกิดความไม่เชือ่ มัน่ ขาดบุคคลทีจ่ ะเข้ามาอุปถัมภ์คำ้ ชู เป็นคนเสือ่ มเสีย
จนกลายเป็น เศษคน หมายถึง ไม่มใี ครเหลียวแล จะเข้าไปสังคมไหน
เขาก็ใช้วธิ คี ดั ออก โดยไม่ยอมให้รว่ มงานด้วย
คนละโมภนัน้ เมือ่ ถึงคราวเกิดความจำเป็น ทีจ่ ะต้องยืมเงินใคร
สักคนหนึง่ ถ้าคนนัน้ รูป้ ระวัติ เขาอาจจะไม่ให้ยมื หรือหากเขาให้ยมื
170
เมือ่ ยืมแล้วก็ไม่คอ่ ยใช้หนี้ หรือใช้เหมือนกัน แต่ไม่ตรงเวลาทีพ่ ดู ไว้ เมือ่
เป็นเช่นนีส้ กั รายสองราย คนก็จะพูดกันต่อไปว่า คนนี้ เป็นคนหวงหนี้
กล่าวคือเป็นหนีแ้ ล้ว ไม่คอ่ ยใช้ หากถึงคราวจำเป็น ทีจ่ ะต้องขอความ
ช่วยเหลือจากคนอืน่ จะไม่มใี ครให้ความช่วยเหลือ จึงกลายเป็นคนหมด
ทีพ่ งึ่ ในสังคม การอยูใ่ นสังคม เราใช้นำ้ ใจ เป็นเครือ่ งวัด ถ้ายังมีนำ้ ใจ
ต่อกัน ไม่เอาเปรียบกัน ไม่เห็นแก่ได้ อย่างนีก้ จ็ ะไว้ใจกันได้ ถ้าขาด
น้ำใจ จะกลายเป็นเศษคน
เพราะฉะนัน้ จงมองให้เห็นว่า การเอาเปรียบคน การเห็นแก่ได้
ถ้าไปพบคนประเภทนี้ เราจะคบค้าสมาคมกับเขาไหม ก็ตอ้ งตอบว่าไม่
ต้องการ เมือ่ เป็นเช่นนัน้ ถ้าเราเป็นเสียเอง คนอืน่ อยากจะคบกับเราไหม
ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ความละโมภเป็นบาปแท้ ขอให้คดิ ว่า
๑. เห็นแก่ตวั จะลืมตาย เห็นแก่ได้จะลืมตน เห็นแก่คนจะลืมคุณ
๒. คนชัว่ ทำตัวเป็นเศษคน เกิดมาทัง้ ที จงทำดีให้เกิดผล
R
171
๗๕
หลงเหยือ่ ตัณหา จะเหมือนปลาติดเบ็ด
R
นตฺถิ โมหสมํ ชาลํ
ข่าย เสมอด้วยโมหะ ไม่มี
ข่าย เป็นเครื่องดักสัตว์ชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นร่างแห ขึง
ล้อมรอบบริเวณ สัตว์มปี ลา เป็นต้น เมือ่ หลงเข้าไปในข่าย จะหมด
อิสรภาพทันที จะหนีไปไหนก็ไปไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น คนดักข่ายนั้น
ก็ไม่ฟงั ถูกตัณหาชักนำให้เป็นไปตามอำนาจของเขา
หากจะมองไปรอบๆ ตัว แล้วพิจารณาดูให้ดี จะเห็นว่า ทุกคน
ถูกโมหะความหลง ดักข่ายไว้รอบตัว สัตว์ทงั้ หลายทีต่ กไปอยูใ่ นเครือ่ งดัก
เขาเรียกว่า ติด เช่น ปลาติดแห นกติดข่าย เป็นต้น
สาเหตุทจี่ ะมีการติดเกิดขึน้ สิง่ สำคัญคือ เหยือ่ เราเคยคิดใน
ใจว่า “ปลามันโง่ ไม่มีสมอง ไม่มีความคิดเหมือนคน มันจึงติดเบ็ด
173
๗๖
หลงกับติด เป็นมิตรกับคนเมา
R
ภิยโฺ ย จ กาเม อภิปตฺถยนฺติ
ผูบ้ ริโภคกาม ย่อมปรารถนากามยิง่ ๆ ขึน้ ไป
ผูบ้ ริโภคกาม หมายถึง ผูท้ มี่ จี ติ ตกอยูใ่ นอำนาจของความอยาก
ประเภททีเ่ รียกว่า หลง – ติด เหมือนคนทีเ่ สพยาเสพติด เสพจนติดแล้ว
หากถึงเวลามิได้เสพ จะเกิดอาการทุรนทุราย ดิน้ รนกระวนกระวาย ถ้าปล่อย
ไปอาจจะตายได้
แต่เมือ่ เสพเข้าไปแล้ว อาการดังกล่าวจะหายเป็นปรกติ และมี
อารมณ์ที่สดชื่นขึ้นมา ร่างกายก็กระปรี้กระเปร่าขึ้น อาการเช่นนี้
175
๗๗
อยากพร่องบุญ คุณพร่องเวร
R
อูนา ว หุตวฺ า ชหนฺติ เทหํ
ผูบ้ ริโภคกาม ละร่างกายไป จะเป็นผูพ้ ร่อง
กาม แปลว่า ความใคร่ ความปรารถนา หรือความต้องการ
คือต้องการในตัณหา หรือต้องการในความอยาก เช่นอยากยาเสพติด
อยากในเพศตรงข้าม อยากเล่นการพนัน เป็นต้น ความอยากดังกล่าว
มานี้ มีทงั้ ความอยากประเภทธรรมดา และความอยากประเภท หลงติด
ผูบ้ ริโภคกาม หมายถึง ผูเ้ สวยความอยากนัน้ ถ้าเป็นความ
อยากธรรมดา ก็ไม่สเู้ สียหายมากนักแต่ถา้ อยากประเภทหลงติด เช่น
ดืม่ สุรา เสพยาบ้า เคล้านารี เล่นการพนัน เป็นต้น ผูท้ บี่ ริโภคกามเช่นนี้
เมือ่ ตายไปแล้ว จะเป็นผูพ้ ร่องในบุญกุศล มีทางเดียวคือไปเกิดในนรก
เปรต อสุรกาย เป็นต้น
มีคำถามว่า ทำไมคนเราเกิดมาจึงไม่เหมือนกัน หมายถึง รูป
ร่าง นิสยั ใจคอ ฐานะ และอืน่ ๆ จะแตกต่างกัน ตอบว่า เพราะคนที่
เกิดมามีบุญติดมาไม่เหมือนกัน หมายถึงบุญเมื่อชาติก่อน คนที่เคย
ทำบุญมามาก บุญนัน้ จะติดมากับจิตวิญญาณ เมือ่ มาเกิดในชาตินี้ จึง
อยูใ่ นสถานะทีด่ ี ส่วนคนไหนทีท่ ำบุญมาน้อย ก็มาเกิดสมฐานะของบุญ
ถ้ากรรมชัว่ ติดตามมาด้วย ชีวติ ก็จะมีแต่ความเดือดร้อน
และในทำนองเดียวกันนี้ บุญหรือความดี ที่เราทำในชาตินี้
176
ก็จะส่งผลไปถึงชาติหน้า ดังนัน้ พระพุทธเจ้า จึงตรัสว่า ผูบ้ ริโภคกาม
177
๗๘
บุญเป็นของเรา ถ้าเว้นเมาทัง้ สี่
R
โภคตณฺหาย ทุมเฺ มโธ, หนฺติ อญฺเว อตฺตานํ
ผูม้ ปี ญ
ั ญาทราม ย่อมฆ่าตนเองเหมือนฆ่าผูอ้ นื่ เพราะอยากได้โภคะ
ผูม้ ปี ญ
ั ญาทราม หมายถึง ผูโ้ ง่เขลา หรือมิใช่ผโู้ ง่เขลา คนผูม้ ี
ปัญญานัน่ แหละ แต่ใช้ปญ ั ญาไปในทางทีเ่ ลวทราม ทัง้ สองความหมายนี้
รวมแล้วก็มีนิสัยเหมือนกัน กล่าวคือ ชอบทำแต่ความชั่ว ปล่อยตัว
หมกมุน่ มัวเมา เงินทองข้าวของทีม่ อี ยูก่ ผ็ ลาญหมด เอาแต่ เทีย่ ว –
กิน – เล่น บ้านมีนอนก็ไม่นอน ไปเทีย่ วไม่กลับบ้าน หรือ ๒ – ๓ วัน
จะกลับมาสักที เมือ่ เงินหมดก็ตอ้ งพึง่ มิจฉาชีพ ทำอย่างไรก็ได้ ขอให้ได้
เงินมาก็ใช้ได้ นีค้ อื คนที่ ฆ่าตัวเอง ชาตินจี้ ะไม่มโี อกาสโง่ขนึ้ ได้อกี แล้ว
ทีย่ กมานีเ้ ป็นเพียงตัวอย่าง อาจจะทำอย่างอืน่ ทีเ่ ป็นความชัว่ นอกจากนี้
ทีจ่ ะทำให้ตนกลายเป็น คนตายทัง้ เป็น
การฆ่าคนอืน่ กับการฆ่าตนเอง ทัง้ สองอย่างนี้ การฆ่าตนเอง
ง่ายกว่า เพราะการฆ่าคนอืน่ นัน้ ใครเขาก็ไม่ยอมให้ฆา่ หรือถ้าฆ่าแล้ว
ตัวเองก็จะต้องตกเป็นอาชญากร ผิดกฎหมายและศีลธรรม ส่วนการฆ่า
ตัวเอง บางอย่างก็ไม่ผิดกฎหมาย เราพอใจและเราก็เป็นคนทำเอง
หมายถึงทำความชัว่
ตัวอย่างเช่น คนทีเ่ คยเป็นคนดี มีเกียรติยศชือ่ เสียง เคยมีคน
ยกย่องสรรเสริญ แต่พอถูกความเมา ๔ ครอบงำ หมายถึง เมาเพศ
178
หมดราคา – เมาสุราหมดสำคัญ – เมาพนันหมดตัว – เมามิตรชัว่
หมดดี ความดีทมี่ อี ยูก่ ห็ มดไป ทีย่ กมากล่าวเพือ่ ให้มองเห็นถึง การฆ่า
ตนเอง คือความดีนนั้ เอง
แต่ในพระพุทธภาษิตนี้ พระพุทธเจ้าตรัสถึง การฆ่าเพราะ
อยากได้โภคะ ซึง่ หมายถึง ความโลภอยากได้ในทรัพย์ จนถึงกับต้อง
ทำความชั่ว เช่นที่มีข่าวว่า เด็กหญิงวัยรุ่น อยากได้โทรศัพท์มือถือ
เพื่ อ นเขามี กั น ทั้ ง นั้ น แต่ ต นเป็ น คนยากจน ไม่ มี เ งิ น จะซื้ อ กั บ เขา
179
๗๙
หลงเพราะรู้ น่าอดสูยงิ่ นัก
R
อวิชชฺ านิวตุ า โปสา
คนทัง้ หลาย ถูกอวิชชาหุม้ ห่อไว้
อวิชชา คือ ไม่รู้ – รูไ้ ม่ทำ – ทำไม่เป็น หมายความว่า
181
๘๐
โกรธไวเหมือนไฟชอร์ต
R
น หิ สาธุ โกโธ
ความโกรธ ไม่ดแี น่
ความโกรธ หมายถึง การทีม่ อี ารมณ์อนั ไม่พอใจ มากระทบใจ
ทำให้ใจเกิดความรุม่ ร้อน หงุดหงิด กระวนกระวาย เกิดอารมณ์ขนุ่ เคือง
เกรีย้ วกราด ย่อมจะทำความพินาศให้เกิดขึน้ ได้ ทัง้ แก่ตน และคนอืน่
เหมือนไฟ ถ้าอยูก่ บั ตัวเรา เราก็รอ้ น ถ้านำไปใส่คนอืน่ คนอืน่ ก็รอ้ น
ฉะนัน้
ความโกรธนัน้ ถ้าปล่อยให้เกิดถึงทีส่ ดุ อาจจะฆ่าได้แม้แต่ผมู้ ี
พระคุณ เพราะตอนโกรธนัน้ จะเกิดการลืมตัว ลักษณะของความโกรธ
จะแสดงออกมาด้วยความเกรีย้ วกราด ดุดนั โหดร้าย และขณะทีถ่ กู
ความโกรธครอบงำนัน้ จะไม่รจู้ กั บาปบุญคุณโทษ ความโกรธจึงจัดว่า
ไม่ดแี น่
มี ค ำพู ด อยู่ ป ระโยคหนึ่ ง ว่ า “โกรธไว้ เ หมื อ นไฟชอร์ ต ”
ธรรมดาว่ากระแสไฟฟ้าทีล่ ดั วงจร ทำให้เกิดการชอร์ตนัน้ ถ้าชอร์ตใส่
คน จะทำให้คนตาย ถ้าชอร์ตใส่บา้ น ทำให้เกิดไฟไหม้บา้ นฉันใด ความ
โกรธก็เช่นเดียวกันฉันนัน้ ถ้าโกรธใส่คนอาจจะทำให้คนตายได้ ถ้าโกรธ
ใส่สงิ่ ของ ทำให้สงิ่ ของถูกทำลายได้ เช่นคนทีเ่ ดินไปเตะประตู เกิดโทสะ
ตรงไปถีบประตูเสียพังไปเลย ก็ยงั เคยมี
182
บางคน ถูกคนอืน่ ทำร้ายร่างกาย เกิดความโกรธแค้น คว้าเอา
ปืนไปยิงเขาตาย พอหายโกรธจึงนึกขึ้นได้ แต่ก็สายเสียแล้ว เพราะ
สิง่ ทีท่ ำแล้ว ทำคืนไม่ได้ คนดีกต็ อ้ งกลายเป็นเสียไป ชัว่ พริบตาเดียว
บางคนอุ ต ส่ า ห์ ส ร้ า งความดี ม าเป็ น สิ บ ๆ ปี พอโมโหพริ บ ตาเดี ย ว
ต้องกลายเป็นคนเสียไป
คนเรายามปรกติทยี่ งั ไม่มคี วามโกรธ จะฆ่าหรือทำร้ายใครไม่ได้
แต่พอเกิดความโกรธถึงสุดยอด จะลืมตัวดังกล่าวข้างต้น ดังนัน้ ทุกคน
ย่อมจะรู้ดีว่าเป็นอย่างไร ควรจะได้หัดบังคับตัวเอง ในขณะก่อนที่จะ
เกิดความโกรธ เพราะถ้าปล่อยไปตามอารมณ์ ก็จะเกิดเหตุดงั กล่าวมา
ข้างต้นได้
เพราะฉะนัน้ ความโกรธท่านเปรียบเหมือนไฟไหม้ฟาง คือเกิด
ไวดับไว คำว่าไวตรงนี้ ทีท่ ำให้คนตัง้ ตัวไม่ทนั หรือตัง้ สติไม่ทนั พอรูต้ วั
ต่อเมื่อทำไปเสียแล้ว เรื่องของไว จะต้องแก้ด้วยช้า หมายถึงมีสติ
183
๘๑
สนิมใจ เกิดได้จากความโกรธ
R
โกโธ สตฺถมลํ โลเก
ความโกรธ เป็นดังสนิมศัสตราในโลก
ความโกรธ เป็นธรรมชาติทเี่ กิดกับจิต และเมือ่ เกิดแล้วก็ทำให้จติ
ดิน้ รนกระวนกระวาย อยูไ่ ม่เป็นสุข เหมือนกับน้ำทีเ่ ดือดพล่าน สิง่ ใดที่
อยูใ่ นน้ำอันเดือดนัน้ จะไม่อยูก่ บั ที่ กล่าวคือจะพรุง่ ขึน้ พรุง่ ลง บางครัง้
ก็ขนึ้ มาเหนือน้ำ เมือ่ ขึน้ มาแล้วก็จมลงไปอีก เป็นอยูอ่ ย่างนีต้ ลอดไป
หากบุคคลใดปล่อยให้ความโกรธเกิดขึ้นบ่อยๆ จะทำให้จิต
มืดมน บังดวงปัญญา เหมือนสนิมซึง่ ติดทีอ่ งค์พระปฏิมา จะทำให้องค์
พระไม่สวยงาม และถ้าปล่อยไว้นานๆ ก็จะเกิดเป็นสนิมขุม ลึกลงไป
เกาะกินเนือ้ โลหะให้ผพุ งั ไปในทีส่ ดุ
ธรรมดาว่าสนิม ถ้าเริม่ เกาะครัง้ แรกๆ จะต้องรีบขัดถูออกเสีย
ก่อนทีจ่ ะทำให้เสียของ แต่ถา้ ปล่อยไว้นานๆ จนถึงกับลงราก ทีเ่ รียกว่า
สนิมขุมดังกล่าวมา ก็จะกำจัดยาก สิ่งใดก็ตามถ้าแต่เดิมมองดูแล้ว
สวยงาม หากมีมลทินไปแปดเปื้อน เช่นผ้าขาว เป็นต้น ก็จะทำให้
กลายเป็นของไม่นา่ ดูไป
อันความโกรธ ซึ่งเป็นสนิมของใจ ก็มีนัยกันกับที่กล่าวมา
กล่าวคือ ถ้าบุคคลใด ปล่อยให้ความโกรธเข้ามาเป็นเจ้าเรือน จะมีนสิ ยั
หงุดหงิด เจ้าอารมณ์ ชอบหาเรื่องทะเลาะวิวาท บาดหมาง เก็บ
184
อารมณ์ไม่อยู่ ดุรา้ ยโหดเหีย้ ม ไม่มใี ครอยากคบค้าสมาคมด้วย
ถ้าบุคคลสะสมความโกรธนีไ้ วนานๆ ก็เหมือนสนิมทีเ่ กาะโลหะ
นานๆ ไม่เคยเคาะขัดถูเลย ความโกรธก็จะมีมากขึ้นๆ ในที่สุดก็จะ
กลายเป็นบุคคลหมดสภาพ คือเสียคนไปตลอดชาติ และตายไปแล้ว
จะหมดคนนิยม
๒. โกรธไม่ดี จะมีแต่กอ่ พินาศ จงหาทางลดโทษ อย่าให้โกรธ
ระบาด
R
187
๘๓
เศษไฟกิเลส เป็นเหตุหายนะ
R
โกโธ จิตตฺ ปฺปโกปโน
ความโกรธ ทำให้จติ กำเริบขึน้
จิตกำเริบ หมายความว่า อาการทีจ่ ติ เกิดความกล้าหาญ ไม่
เกรงกลัวใคร ถ้าเป็นการทะเลาะกัน จะเห็นว่าคนทัง้ คู่ ต่างคนต่างก็มี
ความโกรธ อย่างเช่นสามีภรรยา ยามปรกติกร็ กั กันมาก เหมือนทีเ่ ขา
เปรียบว่า ปานจะกลืนกิน พอเวลาเกิดความโกรธขึน้ มา ความรักหวาน
ชืน่ หายไปหมด ต่างคนต่างด่า ปราศจากความเคารพยำเกรง ฝ่ายหญิง
ถึงแม้จะมีกำลังน้อยกว่า พอโกรธขึน้ มาก็ไม่กลัว สูไ้ ด้ทงั้ นัน้ เพราะใน
ขณะทีท่ ะเลาะกันนัน้ ความโกรธของแต่ละฝ่าย จะค่อยกำเริบขึน้ ๆ พอ
ถึงจุดสุดยอด ก็เข้าห้ำหัน่ กัน บางครัง้ ถึงกับฆ่ากันตายก็มี
มีคำทีค่ นโบราณกล่าวว่า เศษไฟกับเศษบาป แม้จะเป็นเพียง
เศษ ก็ไม่ควรไว้ใจ ไม่ควรให้มี ไฟทีก่ น้ บุหรีก่ ด็ ี ไฟทีจ่ ดุ ธูปบูชาพระก็ดี
เคยเผาผลาญบ้านเรือน ก่อความพินาศมาแล้วมิใช่นอ้ ย ก็เพราะความ
ประมาทว่า เป็นเพียงเศษไฟนิดหน่อยเท่านัน้
ความกลุม้ ใจ ความไม่สบายใจ ใจคอหงุดหงิด เหล่านีค้ อื เศษ
ของความโกรธ ถ้าปล่อยไว้ ไม่แก้ไข จะค่อยๆ ก่อตัว รุกลามขึน้ เป็น
ลำดับ การแก้ในจุดนี้ คนเรามักจะหันไปพึง่ สุรา หรือยาเสพติด เพราะ
เชือ่ ว่า สิง่ เหล่านี้ สามารถจะปรับเปลีย่ น บรรยากาศแห่งจิตใจ ให้หาย
188
คลายจากความทุกข์ได้ แท้ที่จริง เมื่อเมาแล้ว อาจจะไปก่อขยาย
เรือ่ งเดิม ให้ขยายกลายเป็นหายนะได้
ความจริง สุราหรือยาเสพติด เป็นตัวโมหะ คือเป็นไฟแบบ
เดียวกับโทสะ การแก้ดว้ ยสุราหรือยาเสพติด ก็เท่ากับว่า เอาไฟไปดับไฟ
เท่ากับไปเพิ่มให้เป็น ความร้อนกำลังสอง ที่ถูกควรจะทำใจให้สงบ
หรือไม่กห็ นีไปทีไ่ หน ยอมได้กย็ อมไปก่อน เมือ่ หายโกรธแล้วค่อยปรับ
ความเข้าใจกัน
เพราะฉะนัน้ เศษโกรธก็คอื เศษไฟ ลมปากของคนทีท่ ะเลาะกัน
เท่ากับเป็นลมทีพ่ ดั กระพือเศษไฟเพียงน้อยนิดนัน้ ให้ตดิ เชือ้ กลายเป็น
เหตุเผาผลาญ เศษโกรธไม่ควรจะให้มใี นจิตใจ จะต้องฝึกให้มี การละ
การปรงได้กจ็ ะเป็นการดี นำเอาความใจเย็น มาดับไฟโกรธบ้าง จึงจะถูก
ขอให้คดิ ว่า
๑. เศษไฟเศษกิเลส คือต้นเหตุหายนะ ถ้าจะกำจัด ต้องฝึก
การละ
๒. โกรธไม่กลัว จะทำตัวให้ถึงตาย เมื่อโกรธทุกที อย่าให้มี
ท้าทาย
R
189
๘๔
ยักษ์สามหน้า ผูฆ้ า่ ตัวเรา
R
อนฺธตมํ ตทา โหติ, ยํ โกโธ สหเต นรํ
ความโกรธครอบงำคนเมือ่ ใด ความมืดมนย่อมมีเมือ่ นัน้
สภาพแห่งจิตของคนเรา ถ้าจะเปรียบก็เหมือน น้ำใสทีม่ ตี ะกอน
อยู่ข้างล่าง ความใสของน้ำนั้น ทำให้เรามองเห็นตะกอนที่นอนก้นได้
อย่างชัดเจน เปรียบได้กบั จิตของเรา ในยามทีไ่ ม่มกี เิ ลส มีความโกรธ
เป็นต้น มาบดบัง ทำให้มองเห็นอรรถเห็นธรรม รูจ้ กั บาปบุญคุณโทษ
มองเห็นว่าอย่างไรผิด อย่างไรถูก ได้เป็นอย่างดี แต่พอถูกความโกรธ
ครอบงำ ก็เหมือนกับนำเอาสิ่งของ ไปคนน้ำที่ใสนั้น น้ำที่เคยใส
193
๘๖
ปัญญาพาคนให้พน้ ทุกข์
R
โกโธ ทุมเฺ มธโคจโร
ความโกรธ เป็นอารมณ์ของคนมีปญ ั ญาทราม
คนปัญญาทราม หมายถึง คนทีม่ ปี ญ ั ญานัน่ แหละ แต่นำไปใช้
ในทางที่เลวทราม แท้จริง คนมีปัญญามิใช่คนโง่ จะต้องได้ผ่านการ
ศึกษาอบรมมาเป็นอย่างดีแล้ว อย่างนักเรียนทีก่ ำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่
ก็เรียกว่าปัญญาชนได้แล้ว
ความโกรธย่อมจะมีแก่คนทุกชั้น เมื่อยามปรกติ จะเป็นคนดี
คนที่ชอบสร้างความเจริญให้เกิดขึ้น แก่ครอบครัววงศ์ตระกูล ตลอด
จนถึงประเทศชาติบา้ นเมือง ใช้สติปญ ั ญามองเห็นคุณและโทษ แต่เวลา
ทีถ่ กู ความโกรธครอบงำ ความดีหายไปหมด ปัญญาทีม่ อี ยูถ่ กู นำมาใช้
ในทางเลวทราม นักเรียนบางพวก ถึงกับยกพวกตีกนั นัน่ เป็นเพราะถูก
ความโกรธพาไป จึงใช้ปญ ั ญาไปในทางทีผ่ ดิ
บรรพบุรษุ แต่ครัง้ โบราณ มักจะพูดกันว่า จงมีปญั ญาพาตนให้
พ้นทุกข์ แสดงให้เห็นว่า ปัญญาเป็นคุณสมบัติของนักปราชญ์ แต่
ปัญญาทีน่ ำมาใช้ในปัจจุบนั นี้ จะมีความหมายเป็น ๒ อย่างคือ
ปัญญาแท้ ได้แก่ ความคิดนึก ความรูส้ กึ ทีน่ ำมาใช้ในกิจการใด
กิจการนั้นสำเร็จลง อย่างสุจริตยุติธรรม ซึ่งไม่ก่อให้เกิดความทุกข์
ความเดือนร้อน ทัง้ แก่ตนและคนอืน่ จัดเป็นปัญญาแท้
194
ปัญญาทราม ได้ความคิดนึก ความรูส้ กึ ทีม่ ลี กั ษณะเดียวกัน
แต่นำไปใช้ในทางทีเ่ สือ่ มเสีย ในการทำลาย ก่อให้เกิดความทุกข์เดือดร้อน
เป็นการทุจริตผิดศีลธรรม อย่างนีจ้ ดั เป็นปัญญาทราม
ปัญญาทัง้ สองนัน้ อาจจะมีได้ในคนๆ เดียวกัน กล่าวคือ ยาม
ปรกติคนเราทุกคนจะมีปัญญาแท้ แต่พอถูกกิเลสมีความโกรธเป็นต้น
ครอบงำ ตรงนี้เป็นจุดสำคัญ ถ้าคนที่สามารถจะข่มโทสะได้ หรือไม่
แสดงออกมาเป็นความชัว่ จะเป็นคนดีอย่างเดิม หากไม่รจู้ กั ข่ม ก็เป็น
คนปัญญาทรามไป
เพราะฉะนัน้ คนทีม่ ปี ญ ั ญาทราม จะเป็นคนทีเ่ อาแต่ใจตนเอง
เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว เมื่อไม่ได้ตามที่ปรารถนา ก็จะมีความโกรธ
หรือไม่ก็มีความพยาบาทต่อบุคคลที่เป็นต้นเรื่องนั้น และใช้ปัญญาใน
ทางทีแ่ ก้แค้น นับว่าเป็นการก่อความทุกข์ ถ้าเป็นคนมีปญ ั ญาแท้จะมี
แต่ความสุข ขอให้คดิ ว่า
๑. ปัญญาพาตนให้พน้ ทุกข์ ถ้ามีสขุ ก่อนปัญญา จะพาเขว
๒. โกรธเมือ่ ไร จะทำให้ปญ ั ญาทราม จงข่มความโกรธ อย่าให้
มีโทษรุกลาม
R
195
๘๗
ทะเลาะวิวาท คือประกาศความชัว่
R
โทโส โกธสมุฎ€ฺ าโน
โทสะ มีความโกรธเป็นสมุฏฐาน
คนทุกคน ก่อนทีจ่ ะบันดาลโทสะ บางครัง้ ก็มสี าเหตุมาจากเรือ่ ง
อารมณ์ไม่ดี ไม่คอ่ ยสบายใจ
พอสะสมอารมณ์อย่างนีเ้ ข้าไว้โดยไม่ยอมแก้ไข ก็จะขยายออก
ไปเป็นความกลัดกลุม้ ใจ ต่อจากกลัดกลุม้ ก็หงุดหงิดใจ
ถ้าถึงตอนนี้ ยังไม่ยอมแก้อกี จะเริม่ ออกมาทางวาจาก่อน คำพูด
อาจจะเป็นคำทีพ่ าลหาเรือ่ ง หากไม่ชอบใจใคร ก็จะพาลหาเรือ่ งคนนัน้
ถ้าคนนัน้ ยืน่ เรือ่ งมาให้ ก็จะเกิดบันดาลโทสะ เมือ่ มารูว้ า่ โทสะมีขนั้ ตอน
อย่างนี้ ควรจะหาเรือ่ งเปลีย่ นอารมณ์เสียแต่เมือ่ ยังอ่อน ถ้ารอให้แก่จะ
แก้ไม่ไหว
ความเป็นจริง ความโกรธกับโทสะ ก็เป็นพวกเดียวกัน อยูใ่ น
กองทัพเดียวกันนัน่ แหละ แต่ความโกรธเป็นทัพหน้า โทสะเป็นทัพหลวง
ถ้าเปรียบความโกรธเป็นไม้ขดี โทสะก็เป็นไฟ ถ้าเปรียบความโกรธเป็น
ไฟฟ้าทีร่ ดั วงจร โทสะก็คอื ไฟทีไ่ หม้เผาผลาญ บ้านเรือนเป็นต้น ก่อให้
เกิดความเดือดร้อนเสียหาย พระพุทธเจ้าจึงตรัสให้เห็นว่า ความโกรธ
เป็นต้นเหตุของโทสะ
196
อีกอย่างหนึง่ ความโกรธเกิดจาก ความไว ความรีบร้อน ที่
ขาดสติยบั ยัง้ ขาดปัญญาพิจารณาให้พบความจริง บางคนทำลงไปด้วย
ความลืมตัว แต่พอหายโกรธจึงนึกได้ มักจะบ่นกับตัวเองว่า เราไม่นา่
ทำเลย ถึงคิดได้กส็ ายไปแล้ว เสียหายไปแล้ว เพราะสิง่ ทีท่ ำแล้ว จะทำคืน
ไม่ได้
แท้ทจี่ ริง ความโกรธก็อยูใ่ นตัวเรา และเรานัน่ แหละย่อมจะรูด้ ี
กว่าใครๆ ว่าจะแก้อย่างไร จะแก้ทตี่ รงไหน ถ้าท่านทีก่ ำลังแก้อยู่ ก็จง
ใช้ความอดทนทำต่อไป ท่านทีย่ งั มิได้แก้ ก็ควรจะเริม่ ต้นได้แล้ว แก้ได้
มากน้อยแค่ไหน ก็ยงั ดีกว่าไม่ทำเลย อย่าปล่อยความโกรธครองใจเรา
อยูต่ ลอดไปเลย
เพราะฉะนัน้ ทุกคนย่อมจะรูจ้ กั อุปนิสยั ของตนเองได้ดี ถ้าใคร
คิดว่าทีเ่ ราทำอยูน่ กี้ ด็ แี ล้ว ถ้าดีจริงก็ไม่เป็นไร แต่หากไม่ดี ต้องยอมรับ
ว่าไม่ดี อย่าเข้าข้างตัวเอง อย่างความโกรธทีท่ ำให้มกี ารทะเลาะวิวาท
กันนัน้ ถ้าคิดให้ดจี ะรูว้ า่ ทะเลาะวิวาทคือการประกาศความชัว่ ของตัว
ขอให้คดิ ว่า
๑. แก้โกรธหมดทุกข์ แก้ทกุ ข์หมดภัย มีคนไม่นอ้ ย ชอบปล่อย
ไปตามใจ
๒. ทะเลาะวิวาท เพราะอำนาจความโกรธ ถ้าบันเทาตรงนี้
ความดีจะปรากฏ
R
197
๘๘
ยักษ์ยมิ้ เมือ่ คนยอม
R
นตฺถิ โทสสโม คโห
ผูจ้ บั เสมอด้วยโทสะไม่มี
ตำรวจ มีหน้าทีใ่ นการพิทกั ษ์รกั ษา ความสงบสุขของประชาชน
มีหน้าทีจ่ บั ผูท้ ำความผิดส่งฟ้องศาล ศาลมีหน้าทีพ่ จิ ารณาลงโทษ ให้เข้าไป
อยูใ่ นเรือนจำ นีเ้ ป็นหน้าทีข่ องตำรวจ
โทสะ เป็นตัวสร้างความทุกข์เดือดร้อน ให้แก่ประชาชนผูห้ ลงผิด
มีหน้าที่ จับคนดี บังคับให้เป็นคนชั่ว คอยจับส่งให้ตำรวจอีกทีหนึ่ง
และตำรวจก็จะทำหน้าทีด่ งั กล่าว
ทั้งสองคดีนี้ นักโทษในคุก ยังมีกำหนดวันพ้นโทษ แต่คนที่มี
โทสะ และชอบบันดาลโทสะ ไม่มีกำหนด จะมีโทษคือเสียชื่อเสียง
เสียคนไปตลอดชาติ และเมือ่ ตายไปแล้ว ก็จะต้องไปตกนรก
ในสมัยโบราณ ผูใ้ หญ่มกั จะหลอกเด็กว่า อย่าไปไหนคนเดียว
ประเดี๋ยวจะถูกยักษ์จับกิน บางแห่งก็ปั้นเป็นรูปยักษ์ ตัวใหญ่กว่าคน
ธรรมดา มีเขีย้ วโง้ง มีหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว เด็กเห็นแล้วไม่กล้าเข้า
ใกล้ กลัวจะถูกยักษ์จบั กิน
มาถึงปัจจุบนั นี้ ก็ยงั ไม่ได้ขา่ ว หรือหนังสือพิมพ์ลงข่าว ว่ามีคน
ถูกยักษ์จบั กินทีน่ นั่ ทีน่ ี่ แสดงว่า ยักษ์นี้ ถ้ามีจริง มันคงจะชอบกินคน
198
เป็นอาหาร พอไม่มขี า่ วอย่างนี้ เด็กก็เลยไม่กลัวยักษ์ ลงท้ายก็เชือ่ ว่า
ยักษ์ไม่มจี ริง เขาสร้างสถานการณ์เพือ่ หลอกเด็ก
ยักษ์มนั ก็เลยดีใจ กระหยิม่ ยิม้ ย่อง เพราะคนคิดว่ายักษ์ไม่มี ก็
ไม่ตอ้ งระวังตัว มันจึงไล่จบั คนกินเป็นว่าเล่น จนท้องของมันคือเรือน
จำไม่พอจะใส่ บางจังหวัดต้องมีเรือนจำถึงสองแห่ง และทีน่ อกเรือนจำ
ก็มอี กี มิใช่นอ้ ย แท้ทจี่ ริง ยักษ์กค็ อื ความโกรธนัน้ เอง เพราะส่วนใหญ่
คนจะไม่ค่อยระวังกัน พอมีความโกรธจากคนดี ก็กลายเป็นคนดุร้าย
คือจะเปลีย่ นจากคนมาเป็นยักษ์
เพราะฉะนัน้ ทุกครัง้ ทีเ่ กิดความโกรธ เราจะรูไ้ ด้ดวี า่ มีอาการ
เป็นอย่างไร ความโกรธเปรียบได้เหมือนกับยักษ์ที่คอยจับคนกินเป็น
อาหาร และก็มีสิทธิ์ที่จะจับได้ทุกคนเว้นพระอรหันต์เท่านั้น เพราะ
แต่ละคน ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยระวังตัวในความโกรธ ทางที่ดีควรจะ
ระวังไว้บา้ ง ขอให้คดิ ว่า
๑. โกรธเหมือนยักษ์ รักเหมือนไฟ ถ้ามีอยูก่ บั ตัว จะเมามัววุน่ วาย
๒. คนเกือบหมด จะถูกโกรธจับกิน จงมีสติเข้าไว้ จะห่างไกล
มลทิน
R
199
๘๙
รูถ้ กู รูผ้ ดิ แต่ตดิ ทีพ่ ดู ไม่ได้
R
นตฺถิ โทสสโม กลิ
ความผิด เสมอด้วยโทสะไม่มี
ความชั่วความผิดต่างๆ รวมแล้วมี ๓ พวก คือ พวกของ
ความโลภ พวกของโกรธ และพวกของความหลง พวกของความโกรธ
นับว่าร้ายแรง เกิดบ่อยกว่าเขา ถ้าเป็นคดีกเ็ หมือนคดีอาญา โทสะนี้
เกิดง่ายและไว แต่ดบั ง่าย แต่กว่าจะดับ คนโกรธก็เสียคนไปแล้ว
ความโลภกับความหลงนัน้ ก่อนเกิดจะรูต้ วั ก่อน แต่ตอ้ งหมาย
ถึงเรามีสติ เวลาดับก็ดบั ยาก โดยเฉพาะความหลง ท่านเปรียบด้วยไฟ
สุมขอน คือดับยาก จนกว่าขอนจะถูกไหม้หมดเมือ่ ไร เมือ่ เป็นเช่นนัน้
ก็ควรจะระวังไว้วา่ โทสะเกิดง่ายดับง่าย ถ้าไม่มคี วามอดทน ขาดสติ
จะกลายเป็นคนเสียคนโดยมิได้ตงั้ ใจ เป็นเรือ่ งทีน่ า่ เสียดายอย่างยิง่
ความผิดของคนเรามีอยู่ ๒ อย่าง คือความผิดทีไ่ ร้หลักฐาน
กับความผิดทีม่ หี ลักฐาน ซึง่ ความผิดทัง้ สองอย่าง จะมีอยูใ่ นสังคมทัว่ ไป
อย่างมากมาย
ความผิดไร้หลักฐาน คือความผิดที่รู้กันด้วยใจ ถามใครก็รู้
แต่ไม่มหี ลักฐาน คดีนดี้ บั ยาก บางทีเรียกว่า คดีไม่มใี บเสร็จ ซึง่ สร้าง
ความสับสนวุน่ วาย ให้เกิดกับเจ้าหน้าทีพ่ นักงานสอบสวนมิใช้นอ้ ย บางคน
เราก็เห็นว่าเขาเป็นคนดี รูปร่าง ท่าทาง มิได้บง่ บอกว่าจะเป็นคนเสีย
200
หายตรงไหน แต่ภายในเขามีความผิด โดยทีเ่ ขาปกปิดหลักฐานไว้ ไม่มี
ใครรู้
ความผิดมีหลักฐาน ความผิดนี้ จะเป็นความโกรธเสียส่วนใหญ่
เป็นความผิดเปิดเผย ปิดไม่มดิ เพราะเรือ่ งของโทสะ เป็นเรือ่ งทีจ่ ะต้อง
แสดงท่าทาง แสดงกิรยิ าวาจา ถ้าเขาเป็นคนอดทนสักหน่อยก็จะไม่มี
หลักฐานเหมือนกัน
เพราะฉะนัน้ ความโกรธ จะมีได้แก่คนทุกชัน้ และทุกวัย เมือ่
เกิดความผิด น้อยนักทีค่ วามโกรธไม่เข้าผสมโรง เหมือนคนทีท่ ะเลาะกัน
จะต้องมีสุราเข้าไปผสมด้วยเป็นส่วนมาก แต่คนไหนชั่ว คนไหนผิด
204
หรือถ้าได้มาโดยผ่อนส่ง คือเป็นหนีเ้ ขา โดยวิธสี ง่ ดอกเบีย้ ก็เป็นทุกข์
อีกเช่นกัน
ทีย่ กมาเป็นตัวอย่างนี้ เรียกว่า ทุกข์สะสม ทุกข์เป็นทีม่ าของโทสะ
ถ้าเก็บไว้นานขึ้น เขาจะเรียกว่า อารมณ์เก็บกด จะออกมาในรูป
205
๙๒
โกรธมี ความดีหมด
R
โกธาภิภโู ต กุสลํ ชหาติ
ผูถ้ กู ความโกรธครอบงำ ย่อมจะละความดีเสีย
ผูถ้ กู ความโกรธครอบงำนัน้ จะมีใจเหีย้ มโหด ดุรา้ ย เกรีย้ วกราด
แต่ยังไม่ได้แสดงออกมา คงจะมีแต่อารมณ์ไม่ดี ไม่สบายใจ ใจคอ
หงุดหงิด ใครพูดขวางหูไม่ได้ รอการบันดาลโทสะ ขณะนัน้ ถ้าคนที่
ทำให้โกรธ เข้ามาพูดในลักษณะกวนโทสะ ก็จะบันดาลโทสะออกมาทันที
ในตอนทีเ่ กิดโทสะนัน้ จะไม่นกึ ถึงบาปบุญคุณโทษอะไร เพราะโกรธ
บังใจทำให้ไกลความคิด นึกแต่เพียงว่า จะต้องเอาชนะไห้ได้ ด้วยเหตุนี้
จึงไม่สามารถจะรักษาความดีไว้ได้ นอกเสียจาก คนทีไ่ ด้เคยอบรมจิต
มาแล้ว เขาจะใช้ความอดทนคอยข่มไว้ ไม่ให้แสดงออกมา
ทุกคน จะต้องเคยเห็นคนทะเลาะกัน คนทัง้ คูท่ ที่ ะเลาะกันนัน้
คือคนทีถ่ กู ความโกรธครอบงำ จึงเกิดการทะเลาะกัน และทะเลาะกันนัน้
ก็มอี ยู่ ๒ ประเภท คือ
ทะเลาะเงียบ หมายถึง คนที่มีผลประโยชน์ขัดกัน ต่อหน้า
อาจจะดีต่อกัน หรืออาจจะพูดกันในเชิงเหลี่ยม แต่ความรู้สึกภายใน
บ่งบอกว่ามีการขัดกัน อย่างนีเ้ รียกว่า คนไม่ถกู กัน
ทะเลาะเปิดเผย หมายถึง เกิดอารมณ์โกรธ พูดกระทบ
206
กระเทียบ พูดเสียดสี หรือด่ากัน เป็นคูว่ วิ าทกัน อาจจะทะเลาะด้วยปาก
หรือด้วยกำลังกาย โดยทัง้ สองฝ่าย ก็คดิ ว่าตนเป็นฝ่ายถูก
ก่อนทีจ่ ะทะเลาะกัน ยังเป็นคนดีกนั อยู่ แต่ในขณะทีท่ ะเลาะกันนัน้
ใครมีความดีอย่างไร จะไม่ยกมาพูด จะเลือกคัดจัดสรรมาพูดแต่ความ
ไม่ดขี องแต่ละฝ่าย จริงบ้างไม่จริงบ้าง คนทีไ่ ม่เคยด่าใครก็ดา่ เป็น คนที่
ไม่คอ่ ยชัง่ พูด ก็พดู เก่ง คนทีไ่ ม่เคยทำร้ายหรือฆ่าใคร ก็ทำร้ายเป็นฆ่าได้
พอหายโกรธก็นกึ เสียใจตัวเอง ทีไ่ ม่นา่ จะไปแสดงตัวเองในทางเลวร้าย
คนบันดาลโทสะเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้น บุคคลเมื่อมารู้อย่างนี้ ก็ควรใช้ความอดทน
ฝึกหัดเอาชนะความโกรธให้ได้ จะได้สกั เท่าไรก็ยงั ดี ดีกว่าตกไปเป็นทาส
ของโทสะ โดยไม่ตงั้ ใจ หลีกเลีย่ งการทะเลาะหรือการไม่ถกู กันเสียบ้าง
207
๙๓
จน ทุกข์ โทษ ลดคนให้หม่นหมอง
R
โกธโน ทุพพฺ ณฺโณ โหติ
คนมักโกรธ ย่อมมีผวิ พรรณเศร้าหมอง
คนมักโกรธ ได้แก่ คนชอบโกรธ มีนิสัยเป็นคนเจ้าอารมณ์
จะเข้าจอง
R
209
๙๔
ทุกข์ดหี มดภัย ทุกข์รา้ ยเสียคน
R
ทุกขฺ ํ สยติ โกธโน
คนมักโกรธ ย่อมอยูเ่ ป็นทุกข์
คนมักโกรธ เป็นคนที่ชอบสะสมอารมณ์เสีย หมายความว่า
ชอบเก็บเอาเรือ่ งเล็กๆ น้อยๆ มาคิด บางทีเรือ่ งไม่เป็นเรือ่ ง ก็มาเก็บ
ให้เป็นเรือ่ ง บางที คนเขาพูด หรือตำหนิคนอืน่ ก็เก็บมาคิดว่าเขาพูด
เปรียบปรอยเรา ดังนี้
คนทีช่ อบเก็บเรือ่ งต่างๆ มาเป็นทุกข์ จะเป็นคนทีช่ อบระแวง
เป็นคนคิดมาก ในวันหนึง่ ๆ จะมีแต่ความไม่สบายใจ ตรงนีจ้ ะต้องแก้ไข
ด้วยการละการวาง หัดแผ่เมตตา ทำใจให้สบาย ไม่ยนิ ดีในเรือ่ งร้าย
ไม่เก็บเรือ่ งของใครมาคิด ในเรือ่ งการนินทาสรรเสริญ ให้ถอื เป็นเรือ่ ง
ธรรมดาของโลก
ธรรมดาของคนทั่วไป ย่อมจะรักสุขเกลียดทุกข์ จะเรียกว่า
ทุกข์ไม่ดเี สียเลยก็ใช่ที่ ความทุกข์ทดี่ กี ม็ เี หมือนกัน และทุกข์ชนิดนี้ เป็น
ทุกข์ทเี่ ป็นบันใดแห่งความสำเร็จ กล่าวคือทุกข์ทมี่ สี มุฏฐานเป็นความดี
เช่น ทุกข์เกิดจากความอดทน อดกลัน้ อดออม หรือทุกข์ทเี่ กิดจาก
ความเหนื่อยยาก ลำบากในการเรียนหนังสือ ลำบากในการทำงาน
เป็นต้น แต่พอถึงขั้นความสำเร็จมาถึง ก็จะได้รับความสุข เป็นผล
ตอบแทน ทุกข์อย่างนี้ เป็นทุกข์ดี ควรให้มใี นสันดาน
210
สำหรับความทุกข์ ที่มีสมุฏฐานมาจากความชั่ว มีความโกรธ
เป็นต้น ทุกข์ชนิดนี้ให้ผลเป็นความเดือดร้อน ถึงจะเป็นคนร่ำรวยมา
ฐานะดี มีตำแหน่งหน้าทีก่ ารงานดี มีคนนับหน้าถือตา ก็จะหาความสุข
มิได้เลย ทุกข์อย่างนีไ้ ม่ดี ไม่ควรจะให้มใี นสันดาน
อีกอย่างหนึ่ง ความจนก็เป็นตัวการที่จะทำให้เกิดความทุกข์
เมื่อถูกทุกข์คือไม่มีเงินใช้เข้าครอบงำ ก็จะตัดสินใจหากินในทางทุจริต
ท้ายสุดก็จะได้รบั โทษคือติดคุก ทุกข์นกี้ ต็ อ้ งควรระวัง
เพราะฉะนัน้ ความสุขทีแ่ ท้จริง เป็นสิง่ ทีท่ กุ คนจะค้นคว้าหามา
ให้ได้ จงพยายามออกห่างความโกรธ หมัน่ เจริญเมตตาอยูเ่ สมอ เพราะ
ความโกรธเป็นต้นเหตุของความทุกข์ แต่เมตตาเป็นต้นเหตุของความสุข
แต่จะสุขอย่างไรนัน้ ต้องฝึกหัดกระทำ แล้วจะรูไ้ ด้ดว้ ยตนเอง ขอให้คดิ ว่า
๑. ทุกข์ร้ายเสียคน ทุกข์อดทนเสียคร้าน ทุกข์เพราะขันตี
ควรให้มใี นสันดาน
๒. โกรธเมือ่ ไร จะเร่งใจให้เป็นทุกข์ จะแก่ไวตายไว จิตใจจะไม่สขุ
R
211
๙๕
คนใจไวนิสยั เสีย
R
อโถ อตฺถํ คเหตฺวาน, อนตฺถํ ปฎิปชฺชติ,
คนมักโกรธ ถือเอาประโยชน์แล้ว กลับปฏิบตั ไิ ม่เป็นประโยชน์
คนมักโกรธ เป็นคนประเภทโทสจริต กล่าวคือ เป็นคนใจไว
ทำอะไรชอบมักง่าย ทำอะไรเอาเสร็จเข้าว่า จะดีหรือไม่ดกี แ็ ล้วแต่ ไม่
ชอบงานละเอียด ขาดความสุขุมรอบคอบ เมื่อได้สิ่งที่เป็นประโยชน์
หมายถึง ได้ลาภ ยศศักดิช์ อื่ เสียง คำสรรเสริญ ความสุข ก็ไม่ปฏิบตั ิ
รักษาให้ดี
สิง่ ทีเ่ ป็นประโยชน์ ทีต่ นได้มานัน้ แทนทีจ่ ะนำไปใช้ ในทางที่
เป็นประโยชน์ แก่ตนหรือแก่สงั คม แต่กลับนำไปใช้ในทางทีผ่ ดิ หรือ
รักษาไว้ไม่คงทน เพราะค่าทีต่ นมีใจประกอบด้วยโทสะ ลุอำนาจแห่งโทสะ
ทำให้เงินทองสิง่ ของ รวมทัง้ ชือ่ เสียง ต้องสูญหายไป
คนโบราณมักจะสอนลูกหลานว่า ค่อยคิดค่อยทำ บางครั้ง
216
ตามธรรมดาของปุถุชน ก็มักจะเมากิเลสอยู่แล้ว ถ้าดื่มสุรา
เข้าไป ก็จะเกิดเมาสุราอีก เป็นการซ้ำสอง จึงเรียกตรงนี้ เมากำลังสอง
สมมุตวิ า่ คนทีผ่ ดิ หวังในความรัก นีเ้ รียกว่ากำลังเมารัก เสียใจมากเลย
ไปดืม่ สุรา เพือ่ จะหักห้ามใจมิให้คดิ ถึงคนรัก นีค้ อื เมาสุรา เมาสุราจะ
เข้าไปกระตุน้ เมารัก เมือ่ เกิดขึน้ มาถึงสองเมา อาจจะไปฆ่าคนรักเสีย
ก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะไปฆ่าคนที่มาแย่งรักไปจากตนก็ได้ หรือแม้แต่
217
๙๘
จนกับโกรธ ระวังโทษจะเกิดมี
R
าติมติ ตฺ า สุหชฺชา จ, ปริวชฺเชนฺติ โกธนํ
ญาติมติ รและสหาย ย่อมจะหลีกเลีย่ ง คนมักโกรธ
เป็นธรรมดาของคนและสัตว์ เมื่ออยู่ในวงศ์ญาติมิตรสหาย
ย่อมจะเกิดความอบอุน่ เพราะกระแสแห่งความรักใคร่เยือ่ ใย ทีไ่ ด้มตี อ่ กัน
เมือ่ เกิดความทุกข์รอ้ น ก็จะเข้าไปอาศัย ขอความช่วยเหลือซึง่ กันแลกัน
แต่ถา้ เวลาใด ทีฝ่ า่ ยใดฝ่ายหนึง่ เกิดบันดาลโทสะขึน้ มา ความรัก
ความห่วงใย ในบุคคลผู้โกรธจะไม่มีเลย คนโกรธจะเอาแต่ใจตนเอง
ใครห้ามก็ไม่เชื่อฟัง ควบคุมความดีไว้ไม่อยู่ ชอบแต่จะชวนวิวาท
ท้าทายต่างๆ นาๆ ในทีส่ ดุ ก็จะเกิดการแตกญาติขาดมิตร มีแต่คนกลัว
คนโกรธ ถ้ายิง่ คนโกรธนัน้ เมาสุราด้วย ทุกคนจะรีบออกห่าง เพราะเกรง
จะถูกทำร้าย
โรคทีส่ งั คมชัน้ กรรมกร จะพึงประสพอยูเ่ สมอ ในทุกยุคทุกสมัย
คือโรคความจน เมือ่ โรคนีเ้ กิดขึน้ ในครอบครัวใด บุคคลในครอบครัวนัน้
จะเกิดความทุกข์ เมือ่ มีความทุกข์ จิตใจก็จะมีแต่ความหงุดหงิด กลาย
เป็นคนโกรธง่าย พูดไม่เพราะ ก่อให้เกิดการทะเลาะกันในครอบครัว
บ้างครัง้ เมือ่ ความจนครบงำเข้ามากขึน้ ก็ถงึ กับหากินทางทุจริต เพียง
เพือ่ ความอยูร่ อดไปวันๆ
บางครอบครัวก็มีการหย่าร้าง สร้างปัญหาให้แก่ลูกที่เกิดมา
218
ภายหลัง เมือ่ คนจนมีนสิ ยั เป็นอย่างนีแ้ ล้ว จะหันไปพึง่ ญาติมติ รทีไ่ หน
ก็มีแต่เขาจะออกห่าง ไม่มีคนที่จะให้การช่วยเหลือ เมื่อเป็นเช่นนี
้
ก็ทำให้ความกลัดกลุม้ ทีเ่ คยมีอยูแ่ ล้ว มีปริมาณสูงขึน้ ๆ
ข้อทีค่ วรแก้กค็ อื จะต้องรักษาอารมณ์ อย่าให้เกิดอารมณ์เสีย
หรือถ้าจะเกิดบ้างก็ให้คดิ เสียว่า ทุกคนย่อมเป็นไปตามกรรม หากเรามี
ความพยายาม สักวันหนึง่ จะต้องพบความสำเร็จ
เพราะฉะนั้น เมื่อบุคคลมาเห็นโทษของความโกรธ ที่จะเป็น
ทางเสือ่ มจากญาติมติ รสหาย ก็จะต้องหัดบันเทาความมักโกรธลงเสียบ้าง
โดยคิดถึงอกเขาอกเรา ตัวเราเองก็ไม่ชอบคนมักโกรธฉันใด คนอืน่ เขา
ไม่ชอบเช่นเดียวกัน ควรจะมาผูกมิตร อย่าเอาแต่อารมณ์ตัวเองเป็น
ใหญ่ ขอให้คดิ ว่า
๑. พูดไม่เพราะ เป็นนิสยั ทำลายมิตร ทางทีด่ ี ควรจะมีการฝึกจิต
๒. คนโกรธเป็นนิสยั จะทำลายมิตรภาพ ผูค้ นหลีกหนี จะมีแต่
อาภัพ
R
219
๙๙
รูใ้ จเข้าใจ คือสายใยครอบครัว
R
กุทโฺ ธ อตฺถํ น ชานาติ
คนโกรธ ย่อมไม่รอู้ รรถ
ในยามปรกติของคน เมือ่ ยังไม่มคี วามโกรธ จะรูว้ า่ ทำอย่างไร
ดีทำอย่างไรไม่ดี ทุกคนจะเห็นคนทีเ่ ขาทะเลาะกัน และบางครัง้ เราอาจ
จะเคยไปห้ามคนเขาทะเลาะกัน เคยชี้แจงให้เขาฟังว่า การทะเลาะ
เป็นการไม่ดี อับอายขายหน้าเขา ขอให้ใจเย็นๆ ค่อยพูดค่อยจากันก็ได้
อย่าเอาแต่อารมณ์ววู่ าม จะเป็นศัตรูคพู่ ยาบาทกัน นัน้ คือคำทีเ่ ราเคย
ห้ามเขา
ที่ต้องมีการห้ามคนทะเลาะก็เพราะว่า ความโกรธนั้นเมื่อ
ครอบงำใครแล้ว จะถูกบดบังปัญญา มองไม่เห็นอรรถ คือมองไม่เห็น
บาปบุญคุณโทษ ประโยชน์หรือมิใช่ประโยชน์ กล่าวคือมองไม่เห็นผลที่
จะเกิดว่าตนเองจะมีความเสียอย่างไร จึงจำเป็นจะต้องให้คนอืน่ มองให้
ธรรมดาของการอยู่ร่วมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป จะต้องมีหัวใจ
๔ ต่อกัน จึงจะอยู่ด้วยกันยืด หัวใจ ๔ นั้นคือ รู้ใจ – เอาใจ –
พร้อมใจ – เข้าใจ
การอยูร่ ว่ มกัน จำเป็นจะต้องอ่านใจเขาให้ออกเสียก่อน เมือ่
อ่านออกแล้ว ก็จะได้ปฏิบตั ติ อ่ กันได้ถกู การปฏิบตั ติ อ่ กันนัน้ สิง่ ไหนดีก็
เอาอกเอาใจกัน ให้กำลังใจกัน การเอาใจนัน้ มิใช่มายกยอเสียเกินพอดี
220
เพียงไม่ขดั ใจกัน ในเมือ่ เห็นว่าจะไม่เป็นการเสียหาย ในทำนองว่าเห็นใจ
ก่อนจะทำอะไรควรจะถาม หรือปรึกษาหารือกัน ในเชิงให้ความสำคัญ
แก่เขา และข้อสำคัญสุดท้ายคือ จะต้องเข้าใจกัน การเข้าใจกันนัน้ จะ
เป็นความรูส้ กึ ส่วนทีอ่ อกมาจากใจของเรา
หัวใจ ๔ ดังกล่าวนี้ ถ้าใครเป็นคนมักโกรธ จะไม่เห็นประโยชน์
ในเรื่องนี้เลย เพราะคนมักโกรธชอบแต่จะเอาใจตัวเอง ถ้าถูกก็ดีไป
น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ฉะนัน้
โลหะเป็นของแข็ง หากบุคคลมีความประสงค์จะทำให้เป็นรูปต่างๆ
เช่นการหล่อพระพุทธรูป เป็นต้น จะต้องทำของแข็งนัน้ ให้ออ่ นเสียก่อน
แล้วจึงไปเทใส่เบ้า ทีท่ ำเป็นรูปจำลองไว้นนั้ แล้วรอให้โลหะเย็นลง ก็จะ
ได้รปู ตามทีต่ อ้ งการ ความโกรธเป็นของแข็ง จะต้องใช้เมตตาทำให้ออ่ น
เสียก่อน แล้วจากนัน้ จึงทำความดีตอ่ ไป แต่เมตตานัน้ จะต้องหมัน่
สะสมอยูเ่ สมอ จึงจะเกิดผลประโยชน์
มีกระทาชายนายหนึง่ ได้ไปเรียนศิลปวิทยา ทีม่ หาวิทยาลัยตักศิลา
เมื่ อ เรี ย นจบแล้ ว จึ ง เข้ าไปลาอาจารย์ เพื่ อ จะกลั บ สู่ บ้ า นของตน
อาจารย์ได้ให้โอวาทตอนหนึง่ ว่า “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็น
ไม่เท่ามือคลำ สิบมือคลำไม่เท่าทำให้ในใจ” จากนัน้ เขาได้ลาอาจารย์ไป
ในระหว่างทางได้พบกับเพื่อนเก่าคนหนึ่ง เพื่อนได้บอกว่า
222
“ภรรยาของท่านมีชใู้ หม่แล้ว” เขาจึงเกิดความโกรธขึน้ มา คิดในใจว่า
“จะต้องฆ่าชายชู้และเมียให้ตายทั้งคู่” พอเดินไปถึงบ้านก็เป็นเวลาดึก
มากคนเขานอนหลับกันแล้ว มองเห็นจากแสงไฟก็รวู้ า่ ในมุง้ ของภรรยา
มีคนนอนอยู่ ๒ คน
ในขณะทีจ่ ะลงมือฆ่า จึงคิดถึงคำสอนของอาจารย์วา่ สิบตาเห็น
ไม่เท่ามือคลำ จึงเอามือคลำเข้าไปในมุ้ง ก็รู้ได้ว่า คนสองคนนั้นคือ
ภรรยากับบุตรของตนเองนัน่ เอง จากเรือ่ งตรงนี้ ทำให้เห็นว่า ถ้าชาย
คนนัน้ เชือ่ ความโกรธ ก็จะต้องฆ่าภรรยาและลูกของตนไปแล้ว
เพราะฉะนัน้ บุคคลควรจะมาฝึกหัดบันเทาความโกรธ อย่าถือ
ความโกรธว่าจำเป็นต้องทำ หรือลุอำนาจความโกรธ จะต้องรู้ว่า
แต่ทำดีไม่เป็น
๒. ธรรมะทัง้ หลาย ต้องห่างไกลความโกรธ จงทำให้ดี จะไม่มี
ทางโทษ
R
223
224