Professional Documents
Culture Documents
ทำวัตร-สวดมนต
ฉบับวัดหลวงพอสดธรรมกายาราม
จัดพิมพโดย
วัดหลวงพอสดธรรมกายาราม
อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี
ISBN : 974-86302-4-2
พิมพครัง้ ที่ ๔ : มีนาคม ๒๕๕๐ จำนวน ๓,๐๐๐ เลม
พิมพครัง้ ที่ ๕ : พฤศจิกายน ๒๕๕๐ จำนวน ๓,๐๐๐ เลม
จัดพิมพโดย :
วัดหลวงพอสดธรรมกายาราม
อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี ๗๐๑๓๐
โทรศัพท ๐-๓๒๒๕-๓๖๓๒ กดตอ ๒๒๐/๑๙๑,
๐๘-๓๐๓๒-๘๙๐๗ โทรสาร: ๐-๓๒๒๕-๔๙๕๔
จัดทำรูปเลม/เรียงพิมพ :
กองงานสือ่ สิง่ พิมพ วัดหลวงพอสดฯ
ภัคกร เมืองนิล เพชรเกษมการพิมพ
พิมพที่ :
โรงพิมพ เพชรเกษมการพิมพ
โทรศัพท ๐๓๔-๒๕๙๗๕๙
Õÿ‚∫ ∂«—¥À≈«ßæãÕ ¥∏√√¡°“¬“√“¡
Õ”‡¿Õ¥”‡π‘π –¥«° ®—ßÀ«—¥√“™∫ÿ√’
หลวงพอวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
ผูปฏิบัติและสอนภาวนาตามแนวสติปฏฐาน ๔
ถึงธรรมกายและพระนิพพานของพระพุทธเจา
คติธรรม
ของ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หลวงพอวัดปากน้ำ
รักษรางพอสรางราย รอดตน
ยอดเยีย่ ม “ธรรมกาย” ผล ผองแผว
เลอเลิศลวงกุศล ใดอืน่
เชิญทานถือเอาแกว กองหลา เรืองสกล
•
ไมหยุด ไมถึงพระ ตัวหยุดนีแ่ หละเปนตัวสำเร็จ
•
ผลไมดก นกชุม น้ำเย็น ปลาชอบอาศัย
•
ดวยความหมั่น มัน่ ใจ ไมประมาท
รักษาอาตม ขมใจ ไวเปนศรี
ผูฉลาด อาจตั้งหลัก พำนักดี
อันหวงน้ำ ไมมี มารังควาน
•
ประกอบเหตุ สังเกตผล ทนเอาเถิด ประเสริฐนัก
ประกอบเหตุ สังเกตผล สนใจเถิด ประเสริฐนัก
ประกอบในเหตุ สังเกตในผล สนใจเขาเถิด ประเสริฐดีนัก
ประกอบที่ในเหตุ สังเกตดูในผล สนใจหนักเขาเถิด ประเสริฐดียิ่งนัก
•
ขุดบอลอธารา ใหอุตสาห ขุดร่ำไป
ขุดตืน้ ๆ น้ำบมี ขุดถึงที่ น้ำจึง่ ไหล
•
เกิดมาวาจะมาหาแกว พบแลวไมกำ จะเกิดมาทำอะไร
สิ่งที่อยากก็หลอก สิ่งที่หยอกเขาก็ลวง ทำใหจิตเปนหวงใย
เลิกอยากลาหยอก รีบออกจากกาม เดินตามขันธสามเรื่อยไป
เสร็จกิจสิบหก ไมตกกันดาร เรียกวานิพพานก็ได
•
พระราชญาณวิสฐิ (เสริมชัย ชยมงฺคโล ป.ธ.๖)
เจาอาวาสวัดหลวงพอสดธรรมกายาราม
ผูปฏิบัติและสอนภาวนาตามแนวสติปฏฐาน ๔
ที่หลวงพอวัดปากน้ำฯ ไดปฏิบัติและสั่งสอนถายทอดไว
ประวั ติ ย อ
พระราชญาณวิสฐิ (เสริมชัย ชยมงฺคโล ป.ธ.๖)
ชือ่ ฉายา พระราชญาณวิสฐิ (เสริมชัย ชยมงฺคโล ป.ธ.๖)
นามสกุล พลพัฒนาฤทธิ์
วันเดือนปเกิด วันพฤหัสบดีที่ ๖ มีนาคม พ.ศ.๒๔๗๒
ชาติภูมิเดิม อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย
อุปสมบท ๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๙
ณ พัทธสีมา วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพฯ
พระอุปช ฌาย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย (ฟน ชุตินธรมหาเถระ)
วัดสามพระยา กรุงเทพฯ
พระกรรมวาจาจารย สมเด็จพระพุฒาจารย (เกีย่ ว อุปเสณมหาเถระ) วัดสระเกศ
ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ ในสมั ย ที่ ดำรงสมณศั ก ดิ์ เ ป น ที่
พระพรหมคุณาภรณ
พระอนุสาวนาจารย สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย (ชวง วรปุญญมหาเถระ)
วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพฯ
ในสมัยที่ดำรงสมณศักดิ์เปนที่ พระธรรมธีรราชมหามุนี
พระวิปสสนาจารย พระราชพรหมเถร (วี ร ะ คณุ ต ตโม) รองเจ า อาวาสและ
พระอาจารยใหญฝา ยวิปส สนาธุระ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพฯ
วุฒิการศึกษาภาคปริยัติ ป.ธ.๖, น.ธ.เอก
เปนพระอุปชฌายสามัญ วันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๙
สังกัด พรรษา ๑-๕ (๒๕๒๙-๒๕๓๓) วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพฯ
พรรษา ๖ (๒๕๓๔) ถึงปจจุบนั วัดหลวงพอสดธรรมกายาราม
ประวัตกิ อ นบรรพชาอุปสมบท
วุฒิการศึกษา
รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต (เกียรตินิยม ‘ดี’) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร
ประกาศนียบัตรการศึกษาอบรม “วิชาวิจัยทางสังคมศาสตร” Institute of Social
Research, The University of Michigan, Ann Arbor สหรัฐอเมริกา
ประกาศนียบัตรการศึกษาอบรมหลักสูตรการจัดการคอมพิวเตอร และระบบขาวสาร
ดวยเครือ่ งคอมพิวเตอร จากสำนักแถลงขาวสหรัฐ วอชิงตัน ดีซี ประเทศสหรัฐอเมริกา
หนาทีก่ ารงานประจำ เปนพนักงานประจำสำนักขาวสารอเมริกนั กรุงเทพฯ ในตำแหนง
Research Specialist ลาออกจากสำนักขาวสารอเมริกนั กอนถึงเวลาเกษียณอายุ ๓ ป คือ
เมื่อมีอายุ ๕๗ ป เพื่อบรรพชาอุปสมบท ปฏิบัติพระศาสนา ปจจุบันเปนพนักงานบำนาญของ
รัฐบาลสหรัฐอเมริกา
ผูบรรยายพิเศษ สาขา “วิชาระเบียบวิธีการวิจัยและประเมินผล” แกนักศึกษา
ชั้นปริญญาโท สาขาวารสารศาสตร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร ฯลฯ
คำ นำ
(พระราชญาณวิสิฐ)
เจาอาวาสวัดหลวงพอสดธรรมกายาราม
อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี
สารบัญ
ทำวัตร
ทำวัตรเชา .............................................................................................................................. ๒
รตนัตตยัปปณามคาถา (พุทโธ สุสทุ โธ)........................................................................... ๕
สังเวคปริกติ ตนปาฐะ (อิธะ ตะถาคะโต) ......................................................................... ๖
ธาตุปฏิกลู ปจจเวกขณปาฐะ (ยะถาปจจะยัง) ............................................................... ๙
ตังขณิกปจจเวกขณปาฐะ (ปะฏิสงั ขา โยนิโส) ............................................................ ๑๐
ปตติทานคาถา (ยา เทวะตา) ............................................................................................ ๑๑
วิหารทานคาถา (สีตงั อุณหัง).......................................................................................... ๑๒
ทำวัตรเย็น .......................................................................................................................... ๑๓
อตีตปจจเวกขณปาฐะ (อัชชะ มยา) ............................................................................ ๒๐
กรวดน้ำ (ของเกา) (อิมนิ า ปุญญะกัมเมนะ) ................................................................ ๒๑
พระปริตร
ชุมนุมเทวดา (ผะริตว๎ านะ เมตตัง) ................................................................................... ๒๔
นมการสิทธิคาถา (โย จักขุมา) ....................................................................................... ๒๖
สัมพุทเธฯ ........................................................................................................................... ๒๗
นโมการอัฏฐคาถา (นะโม อะระหะโต) .......................................................................... ๒๘
(๗) มังคลปริตร (อะเสวะนา จะ พาลานัง) ..................................................................... ๒๘
(๗) รัตนปริตร (ยังกิญจิ วิตตัง อิธะ วา หุรงั วา) ........................................................... ๓๑
(๗) กรณียเมตตสูตร (กะระณียะมัตถะกุสะเลนะ) ...................................................... ๓๒
(๗) ขันธปริตร (วิรปู ก เขหิ เม เมตตัง) .............................................................................. ๓๔
(๗) โมรปริตร (อุเทตะยัญจักขุมา) .................................................................................... ๓๕
ฉัททันตปริตร (วะธิสสะเมนันติ) ....................................................................................... ๓๖
(๑๒) วัฏฏกปริตร (อัตถิ โลเก สีละคุโณ) ........................................................................ ๓๗
(๗) ธชัคคปริตร (...อรัญเญ รุกขะมูเล วา) ..................................................................... ๓๘
(๗) อาฏานาฏิยปริตร (วิปส สิสสะ นะมัตถุ) ................................................................... ๔๒
(๗) หมายถึง เปนบทสวดพระปริตรใน ๗ ตำนานและ ๑๒ ตำนาน
(๑๒) หมายถึง เปนบทสวดพระปริตรใน ๑๒ ตำนานเทานั้น
[10]
(๑๒) อังคุลมิ าลปริตร (ยะโตหัง ภะคินิ อะริยายะ) ....................................................... ๔๓
(๑๒) โพชฌังคปริตร (โพชฌังโค สะติสงั ขาโต) ............................................................. ๔๓
(๑๒) อภยปริตร (ยันทุนนิมติ ตัง) ........................................................................................ ๔๕
โส อัตถะลัทโธฯ ................................................................................................................. ๔๕
สักกัตว๎ า พุทธะระตะนัง ................................................................................................. ๔๖
ยังกิญจิ ระตะนัง โลเก ................................................................................................... ๔๖
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง ............................................................................................. ๔๖
ถวายพรพระ (อิตปิ โส ภะคะวา) ................................................................................... ๔๗
พุทธชัยมงคลคาถา (พาหุง) ............................................................................................ ๔๘
(๑๒) ชยปริตร (มะหาการุณโิ ก นาโถ) ............................................................................... ๕๐
มงคลจักรวาฬใหญ (สิรธิ ติ ิมะติเตโช) ............................................................................. ๕๑
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง ................................................................................................... ๕๒
นักขัตตะยักขะภูตานัง .................................................................................................... ๕๓
เทวตาอุยโยชนคาถา (ทุกขัปปตตา จะ นิททุกขา) ....................................................... ๕๓
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ................................................................................................... ๕๔
เมตตานิสงั สสุตตปาฐะ (เมตตายะ ภิกขะเว เจโตวิมตุ ติยา) ........................................ ๖๑
เขมาเขมสรณทีปก คาถา (พะหุง เว สะระณัง ยันติ) .................................................. ๖๓
โอวาทปาฏิโมกขคาถา (สัพพะปาปสสะ อะกะระณัง) ................................................ ๖๔
ปจฉิมพุทโธวาท .................................................................................................................. ๖๔
ปพพโตปมคาถา (ยะถาป เสลา) ...................................................................................... ๖๕
ภัทเทกรัตตคาถา (อะตีตงั นาน๎วาคะเมยยะ) ................................................................. ๖๖
ภารสุตตคาถา (ภารา หะเว ปญจักขันธา) ....................................................................... ๖๖
ทวัตติงสาการะปาฐะ (อาการ ๓๒) (อะยัง โข เม กาโย) ..................................... ๖๗
ปญจอภิณหปจจเวกขณปาฐะ (ชะราธัมโมม๎ห)ิ .......................................................... ๖๘
พระคาถาชินบัญชร (ชะยาสะนาคะตา พุทธา) ............................................................ ๖๙
พระคาถาบูชาพระพุทธเจา ๒,๐๔๘,๑๐๙ พระองค .......................................... ๗๒
มังคลเทวมุนปิ ต ติทานคาถา (โย โส จันทะสะโร เถโร) .............................................. ๘๐
รตนัตตยยัปปภาวสิทธิคาถา (อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ โลกานัง อะนุกมั ปะโก) ............ ๘๑
ภูมพิ ลมหาราชวรัสสะ ชยมังคลวรทานคาถา (ภูมพิ ะโล มะหาราชา) ............... ๘๔
[11]
อนุโมทนาวิธี
อนุโมทนาวิธี (ยะถาฯ สัพพีฯ) ........................................................................................... ๘๘
ระตะนัตนะยานุภาเวนะฯ ............................................................................................... ๘๘
อาฏานาฏิยปริตร (ยอ) (สัพพะโรคะวินมิ ตุ โต) ............................................................. ๘๙
มงคลจักรวาฬนอย (สัพพะพุทธานุภาเวนะ) ................................................................. ๙๐
โภชนทานานุโมทนาคาถา (อายุโท พะละโท) .............................................................. ๙๑
อัคคัปปสาทสูตร (อัคคะโต เว ปะสันนานัง)................................................................... ๙๑
กาลทานสุตตคาถา (กาเล ทะทันติ) ............................................................................... ๙๒
ติโรกุฑฑกัณฑปจฉิมภาค (อะทาสิ เม - อะยัญจะ โข) .............................................. ๙๓
อานุภาพพระปริตร
อานุภาพพระปริตร .......................................................................................................... ๙๔
อานิสงสพระปริตร .......................................................................................................... ๙๔
จำนวนพระปริตร ............................................................................................................. ๙๕
ตำนานพระปริตร
มงคลปริตร ......................................................................................................................... ๙๕
รตนปริตร ............................................................................................................................ ๙๖
กรณียเมตตปริตร ............................................................................................................ ๙๖
ขันธปริตร ........................................................................................................................... ๙๗
โมรปริตร ............................................................................................................................. ๙๘
วัฏฏกปริตร ........................................................................................................................ ๙๙
ธชัคคปริตร ........................................................................................................................ ๙๙
อาฏานาฏิยปริตร ........................................................................................................... ๑๐๐
อังคุลิมาลปริตร .............................................................................................................. ๑๐๐
โพชฌังคปริตร ................................................................................................................ ๑๐๑
อภยปริตร ......................................................................................................................... ๑๐๑
ชยปริตร ............................................................................................................................. ๑๐๑
[12]
ภาคผนวก
คำอาราธนาศีล-ใหศีล
อาราธนาศีล ๕ ................................................................................................................ ๑๐๔
อาราธนาศีล ๘ ................................................................................................................ ๑๐๔
ไตรสรณคมน ................................................................................................................... ๑๐๔
คำสมาทานสิกขาบท ๕ (ศีล ๕) ............................................................................... ๑๐๕
คำสมาทานสิกขาบท ๘ (ศีล ๘) ............................................................................... ๑๐๖
อาราธนาพระปริตร .................................................................................................... ๑๐๗
อาราธนาธรรม ............................................................................................................. ๑๐๗
อานิสงสแหงศีล .............................................................................................................. ๑๐๘
องคแหงศีล ....................................................................................................................... ๑๑๐
ธรรมของอุบาสก-อุบาสิกาแกว (อุบาสก-อุบาสิการตนะ) ............................ ๑๑๓
การคาตองหามสำหรับอุบาสกอุบาสิกา (มิจฉาวณิชชา) ................................... ๑๑๔
คำถวายสังฆทาน
คำถวายภัตตาหาร ......................................................................................................... ๑๑๕
คำถวายขาวสาร ............................................................................................................ ๑๑๕
คำถวายพระพุทธรูป ..................................................................................................... ๑๑๕
คำถวายผาปา (ผาบังสุกลู ) ............................................................................................ ๑๑๖
คำถวายผาอาบน้ำฝน (วัสสิกสาฎก) .......................................................................... ๑๑๖
คำถวายผากฐิน ............................................................................................................... ๑๑๖
คำถวายเสนาสนะ กุฏิ วิหาร .................................................................................. ๑๑๗
คำบูชาขาวพระ ............................................................................................................. ๑๑๗
คำลาขาวพระ ................................................................................................................ ๑๑๗
คำกรวดน้ำแบบสัน้ ..................................................................................................... ๑๑๗
วิธปี ฏิบตั ภิ าวนาเบือ้ งตน ............................................................................................ ๑๑๙
คำบูชาพระกัมมัฏฐาน ................................................................................................. ๑๒๐
คำอธิษฐาน ..................................................................................................................... ๑๒๒
ทำวั ต รเช า 1
ทำวัตรเชา - เย็น
2 ทำวั ต ร-สวดมนต
ทำวัตรเชา
(นำ-วาตาม)
โย โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ, ส๎วากขาโต เยนะ ภะคะวะตา ธัมโม,
สุปะฏิปนโน ยัสสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, ตัมมะยัง ภะคะวันตัง สะธัมมัง
สะสังฆัง อิเมหิ สักกาเรหิ ยะถาระหัง อาโรปเตหิ อะภิปชู ะยามะ.
พระผมู พี ระภาคเจานัน้ พระองคใด เปนพระอรหันต ตรัสรเู องโดยชอบแลว, พระธรรม
เปนธรรมที่พระผูมีพระภาคเจาพระองคใด ตรัสไวดีแลว, พระสงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา
พระองคใด ปฏิบตั ดิ แี ลว, ขาพเจาขอบูชาอยางยิง่ ซึง่ พระผมู พี ระภาคเจาพระองคนน้ั พรอมทัง้
พระสัทธรรม และพระอริยสงฆเจาทัง้ หลาย ดวยเครือ่ งสักการะทัง้ หลายเหลานี้ อันยกขึน้ ตาม
สมควรแลว.
สาธุ โน ภันเต ภะคะวา สุจริ ะปะรินพิ พุโตป ปจฉิมาชะนะตานุกมั ปะมานะสา
อิเม สักกาเร ทุคคะตะปณณาการะภูเต ปะฏิคคัณห๎ าตุ อัมห๎ ากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ
สุขายะ.
ขาแตพระองคผูเจริญ พระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น แมปรินิพพานนานแลวก็ตาม
ยังประโยชนยงิ่ ใหญใหสำเร็จแกขา พเจาทัง้ หลาย ขอจงรับเครือ่ งสักการะอันเปนบรรณาการของ
คนยากทั้ ง หลายเหล า นี้ ด ว ยพระหฤทั ย เพื่ อ จะอนุ เ คราะห ป ระชุ ม ชนผู เ กิ ด แล ว ในภายหลั ง
เพือ่ ประโยชน เพือ่ ความสุข แกขา พเจาทัง้ หลาย สิน้ กาลนานเทอญ.
คำนมัสการ
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา. พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ. (กราบ ๑ ครัง้ )
พระผมู พี ระภาคเจา เปนพระอรหันต ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกขสนิ้ เชิง ตรัสรชู อบไดโดย
พระองคเอง ขาพเจาอภิวาทพระผมู พี ระภาคเจา ผรู ู ผตู นื่ ผเู บิกบาน.
ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม. ธัมมัง นะมัสสามิ. (กราบ ๑ ครัง้ )
พระธรรมเปนธรรมทีพ่ ระผมู พี ระภาคเจา ตรัสไวดแี ลว ขาพเจานมัสการพระธรรม.
สุปะฏิปน โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ. สังฆัง นะมามิ. (กราบ ๑ ครัง้ )
พระสงฆสาวกของพระผมู พี ระภาคเจา ปฏิบตั ดิ แี ลว ขาพเจานอบนอมพระสงฆ.
ทำวั ต รเช า 3
(นำ) หันทะ มะยัง พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปุพพะภาคะนะมะการัง กะโรมะ เส.
ปุพพภาคนมการ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ. (๓ จบ)
ขอนอบนอมแดพระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น ผูไกลจากกิเลส ตรัสรูชอบดวยพระองคเอง
รตนัตตยัปปณามคาถา
(นำ) หันทะ มะยัง ระตะนัตตะยัปปะณามะคาถาโย ภะณามะ เส.
ถาสวดสังเวคปริกติ ตนปาฐะดวย ใหวา นำรวมกันดังนี้
(นำ) หันทะ มะยัง ระตะนัตตะยัปปะณามะคาถาโย เจวะ สังเวคะปะริกติ ตะนะปาฐัญจะ
ภะณามะ เส.
พุทโธ สุสทุ โธ กะรุณามะหัณณะโว
โยจจันตะสุทธัพพะระญาณะโลจะโน
โลกัสสะ ปาปูปะกิเลสะฆาตะโก,
วันทามิ พุทธัง อะหะมาทะเรนะ ตัง.
พระพุทธเจาผบู ริสทุ ธิ์ มีพระกรุณาดุจหวงมหรรณพ พระองคใด มีตาคือญาณอันประเสริฐ
หมดจดถึงทีส่ ดุ เปนผฆู า เสียซึง่ บาป และอุปกิเลสของโลก, ขาพเจาไหวพระพุทธเจาพระองคนนั้
โดยใจเคารพเอื้อเฟอ.
ธัมโม ปะทีโป วิยะ ตัสสะ สัตถุโน
โย มัคคะปากามะตะเภทะภินนะโก
โลกุตตะโร โย จะ ตะทัตถะทีปะโน,
วันทามิ ธัมมัง อะหะมาทะเรนะ ตัง.
พระธรรมของพระศาสดา สวางรงุ เรืองเปรียบดวงประทีป จำแนกประเภท คือ มรรค ผล
นิพพาน สวนใด ซึง่ เปนตัวโลกุตตระ และสวนใดทีช่ แี้ นวแหงโลกุตตระนัน้ , ขาพเจาไหวพระธรรมนัน้
โดยใจเคารพเอื้อเฟอ.
สังโฆ สุเขตตาภ๎ยะติเขตตะสัญญิโต
โย ทิฏฐะสันโต สุคะตานุโพธะโก
โลลัปปะหีโน อะริโย สุเมธะโส,
วันทามิ สังฆัง อะหะมาทะเรนะ ตัง.
พระสงฆเปนนาบุญอันยิง่ ใหญกวานาบุญอันดีทงั้ หลาย เปนผเู ห็นพระนิพพาน ตรัสรตู าม
พระสุคต หมใู ด เปนผลู ะกิเลสเครือ่ งโลเล เปนพระอริยเจา มีปญ ญาดี, ขาพเจาไหวพระสงฆ
หมนู นั้ โดยใจเคารพเอือ้ เฟอ .
6 ทำวั ต ร-สวดมนต
อิจเจวะเมกันตะภิปชู ะเนยยะกัง
วัตถุตตะยัง วันทะยะตาภิสงั ขะตัง
ปุญญัง มะยา ยัง, มะมะ สัพพุปท ทะวา
มา โหนตุ เว ตัสสะ ปะภาวะสิทธิยา.
บุญใด ที่ขาพเจาผูไหวอยูซึ่งวัตถุสาม คือพระรัตนตรัย อันควรบูชายิ่งโดยสวนเดียว
ไดกระทำแลวเปนอยางยิ่งเชนนี้ นี้, ขออุปททวะขัดของทั้งหลาย จงอยามีแกขาพเจาเลย
ดวยอำนาจความสำเร็จ อันเกิดจากบุญนั้น.
สังเวคปริกติ ตนปาฐะ
อิธะ ตะถาคะโต โลเก อุปปนโน อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ. ธัมโม จะ เทสิโต
นิยยานิโก อุปะสะมิโก ปะรินพิ พานิโก สัมโพธะคามี สุคะตัปปะเวทิโต.
พระตถาคตเจาเกิดขึน้ แลว ในโลกนี้ เปนผไู กลจากกิเลส ตรัสรชู อบไดโดยพระองคเอง.
และพระธรรมทีท่ รงแสดง เปนธรรมเครือ่ งออกจากทุกข เปนเครือ่ งสงบกิเลส เปนไปเพือ่ ปรินพิ พาน
เปนไปเพือ่ ความรพู รอม เปนธรรมทีพ่ ระสุคตประกาศ.
มะยันตัง ธัมมัง สุต๎วา เอวัง ชานามะ: ชาติป ทุกขา. ชะราป ทุกขา.
มะระณัมป ทุกขัง. โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาป ทุกขา. อัปปเยหิ
สัมปะโยโค ทุกโข. ปเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข. ยัมปจฉัง นะ ละภะติ, ตัมป ทุกขัง.
พวกเราเมือ่ ไดฟง ธรรมนัน้ แลว จึงไดรอู ยางนีว้ า : แมความเกิดก็เปนทุกข. แมความแก
ก็เปนทุกข. แมความตายก็เปนทุกข. แมความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไมสบายกาย ความไม
สบายใจ ความคับแคนใจ ก็เปนทุกข. ความประสบกับสิง่ ไมเปนทีร่ กั ทีพ่ อใจ ก็เปนทุกข. ความ
พลัดพรากจากสิง่ เปนทีร่ กั ทีพ่ อใจ ก็เปนทุกข. ปรารถนาสิง่ ใด ไมไดสงิ่ นัน้ , นัน่ ก็เปนทุกข.
สังขิตเตนะ ปญจุปาทานักขันธา ทุกขา. เสยยะถีทงั รูปปู าทานักขันโธ เวทะนูปา-
ทานักขันโธ สัญูปาทานักขันโธ สังขารูปาทานักขันโธ วิญญาณูปาทานักขันโธ.
วาโดยยอ อุปาทานขันธทั้ง ๕ เปนตัวทุกข. ไดแกสิ่งเหลานี้ คือ ขันธอันเปนที่ตั้งแหง
ความยึดมั่น คือรูป ขันธอันเปนที่ตั้งแหงความยึดมั่น คือเวทนา ขันธอันเปนที่ตั้งแหงความ
ยึดมัน่ คือสัญญา ขันธอนั เปนทีต่ งั้ แหงความยึดมัน่ คือสังขาร ขันธอนั เปนทีต่ งั้ แหงความยึดมัน่
คือวิญญาณ.
ทำวั ต รเช า 7
เยสัง ปะริญญายะ ธะระมาโน โส ภะคะวา เอวัง พะหุลงั สาวะเก วิเนติ.
เอวัง ภาคา จะ ปะนัสสะ ภะคะวะโต สาวะเกสุ อะนุสาสะนี พะหุลา ปะวัตตะติ.
เพือ่ ใหสาวกกำหนดรอบรอู ปุ าทานขันธเหลานี้ พระผมู พี ระภาคเจานัน้ เมือ่ ยังทรงพระชนม
อยู จึงทรงแนะนำสาวกทัง้ หลาย เชนนีเ้ ปนสวนมาก. อนึง่ คำสัง่ สอนของพระผมู พี ระภาคเจานัน้
ยอมเปนไปในสาวกทัง้ หลาย สวนมาก มีสว นคือการจำแนกอยางนีว้ า
รูปง อะนิจจัง. เวทะนา อะนิจจา. สัญญา อะนิจจา. สังขารา อะนิจจา.
วิญญาณัง อะนิจจัง. รูปง อะนัตตา. เวทะนา อะนัตตา. สัญญา อะนัตตา. สังขารา
อะนัตตา. วิญญาณัง อะนัตตา. สัพเพ สังขารา อะนิจจา. สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ.
รูปไมเที่ยง. เวทนาไมเที่ยง. สัญญาไมเที่ยง. สังขารไมเที่ยง. วิญญาณไมเที่ยง.
รูปไมใชตวั ตน. เวทนาไมใชตวั ตน. สัญญาไมใชตวั ตน. สังขารไมใชตวั ตน. วิญญาณไมใชตวั ตน.
สังขารทัง้ ปวงไมเทีย่ ง. ธรรมทัง้ ปวงไมใชตวั ตน ดังนี.้
เต (ตา)๑ มะยัง โอติณณาม๎หะ ชาติยา ชะรามะระเณนะ โสเกหิ ปะริเทเวหิ
ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ ทุกโขติณณา ทุกขะปะเรตา. อัปเปวะ นามิมสั สะ
เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ อันตะกิรยิ า ปญญาเยถาติ,๒
พวกเราทั้งหลาย เปนผูถูกครอบงำแลว โดยความเกิด โดยความแกและความตาย
โดยความโศกความร่ำไรรำพัน ความไมสบายกายความไมสบายใจ ความคับแคนใจทั้งหลาย
เปนผถู กู ความทุกขหยัง่ เอาแลว เปนผมู คี วามทุกขเปนเบือ้ งหนาแลว. ทำไฉน การทำทีส่ ดุ แหง
กองทุกขทั้งสิ้นนี้ จะพึงปรากฏชัดแกเราได.
จิระปะรินพิ พุตมั ป ตัง ภะคะวันตัง อุททิสสะ อะระหันตัง สัมมาสัมพุทธัง, สัทธา
อะคารัส๎มา อะนะคาริยัง ปพพะชิตา ตัส๎มิง ภะคะวะติ พ๎รัห๎มะจะริยัง จะรามะ.
ภิกขูนัง สิกขาสาชีวะสะมาปนนา.๓ ตัง โน พ๎รัห๎มะจะริยัง อิมัสสะ เกวะลัสสะ
ทุกขักขันธัสสะ อันตะกิรยิ ายะ สังวัตตะตูต.ิ
เราทัง้ หลาย อุทศิ เฉพาะพระผมู พี ระภาคเจา ผไู กลจากกิเลส ตรัสรชู อบได โดยพระองคเอง
แมปรินพิ พานนานแลว พระองคนนั้ เปนผมู ศี รัทธา ออกบวชจากเรือน ไมเกีย่ วของดวยเรือน
แลว ประพฤติอยูซึ่งพรหมจรรย ในพระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น ถึงพรอมดวยสิกขาและ
สาชีพคือธรรมเปนเครือ่ งเลีย้ งชีวติ ของภิกษุทงั้ หลาย. ขอใหพรหมจรรยของเราทัง้ หลายนัน้ จงเปน
ไปเพื่อการทำที่สุดแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้ เทอญ.
๑
สำหรับผหู ญิงสวด
๒
ถาเปนอุบาสก-อุบาสิกา พึงหยุดตรงนี้ แลวสวดตอในวงเล็บ (หนาถัดไป)
๓
สามเณรพึงงดคำวา “ภิกขูนงั สิกขาสาชีวะสะมาปนนา”
8 ทำวั ต ร-สวดมนต
ธาตุปฏิกูลปจจเวกขณปาฐะ
(นำ) หันทะ มะยัง ธาตุปะฏิกลู ะปจจะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส.
ตังขณิกปจจเวกขณปาฐะ
(นำ) หันทะ มะยัง ตังขะณิกะปจจะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส.
ปะฏิสงั ขา โยนิโส จีวะรัง ปะฏิเสวามิ ยาวะเทวะ สีตสั สะ ปะฏิฆาตายะ
อุณ๎หสั สะ ปะฏิฆาตายะ ฑังสะ มะกะสะ วาตา ตะปะ สิรงิ สะปะ สัมผัสสานัง ปะฏิฆาตายะ
ยาวะเทวะ หิรโิ กปนะ ปะฏิจฉาทะนัตถัง.
เรายอมพิจารณาโดยแยบคายแลว นงุ หมจีวร เพียงเพือ่ บำบัดความหนาว เพือ่ บำบัดความ
รอน เพือ่ บำบัดสัมผัสอันเกิดจากเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตวเลือ้ ยคลานทัง้ หลาย เพียงเพือ่
ปกปดอวัยวะอันใหเกิดความละอายเทานั้น.
ปะฏิสังขา โยนิโส ปณฑะปาตัง ปะฏิเสวามิ เนวะ ทะวายะ นะ มะทายะ
นะ มัณฑะนายะ นะ วิภูสะนายะ ยาวะเทวะ อิมัสสะ กายัสสะ ฐิติยา ยาปะนายะ
วิหิงสุปะระติยา พ๎รัห๎มะจะริยานุคคะหายะ อิติ ปุราณัญจะ เวทะนัง ปะฏิหังขามิ
นะวัญจะ เวทะนัง นะ อุปปาเทสสามิ ยาต๎รา จะ เม ภะวิสสะติ อะนะวัชชะตา จะ
ผาสุวหิ าโร จาติ.
เรายอมพิจารณาโดยแยบคายแลว ฉันบิณฑบาต มิใชเพือ่ เลน มิใชเพือ่ ความมัวเมา มิใชเพือ่
ประดับ มิใชเพือ่ ตกแตง แตเพียงเพือ่ ความตัง้ อยไู ด เพือ่ ความเปนไปไดแหงกายนี้ เพือ่ ความสิน้ ไป
แหงความลำบาก เพือ่ อนุเคราะหพรหมจรรย ดวยการทำอยางนี้ เรายอมระงับเสียไดซงึ่ เวทนาเกา
และไมทำเวทนาใหมใหเกิดขึน้ อนึง่ ความเปนไปได และความไมมโี ทษ ความอยผู าสุก จักมีแกเรา.
ปะฏิสังขา โยนิโส เสนาสะนัง ปะฏิเสวามิ ยาวะเทวะ สีตัสสะ ปะฏิฆาตายะ
อุณ๎หสั สะ ปะฏิฆาตายะ ฑังสะ มะกะสะ วาตา ตะปะ สิรงิ สะปะ สัมผัสสานัง ปะฏิฆาตายะ
ยาวะเทวะ อุตุ ปะริสสะยะ วิโนทะนัง ปะฏิสลั ลานารามัตถัง.
เรายอมพิจารณาโดยแยบคายแลว ใชสอยเสนาสนะ เพียงเพือ่ บำบัดความหนาว เพือ่
บำบัดความรอน เพือ่ บำบัดสัมผัสอันเกิดจากเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตวเลือ้ ยคลานทัง้ หลาย
เพียงเพือ่ บรรเทาอันตรายแตฤดู เพือ่ ความเปนผยู นิ ดีในทีห่ ลีกเรน.
ปะฏิสงั ขา โยนิโส คิลานะ ปจจะยะเภสัชชะปะริกขารัง ปะฏิเสวามิ ยาวะเทวะ
อุปปนนานัง เวยยาพาธิกานัง เวทะนานัง ปะฏิฆาตายะ อัพย๎ าปชฌะปะระมะตายาติ.
เรายอมพิจารณาโดยแยบคายแลว บริโภคเภสัชบริขารอันเปนปจจัยสำหรับคนไข เพียงเพือ่
บำบัดเวทนามีอาพาธตางๆ เปนมูล อันเกิดขึน้ แลว เพือ่ ความเปนผไู มมโี รคเบียดเบียนเปนอยางยิง่ .
ทำวั ต รเช า 11
ปตติทานคาถา*
(นำ) หันทะ มะยัง ปตติทานะคาถาโย ภะณามะ เส.
ยา เทวะตา สันติ วิหาระวาสินี เทวดาเหลาใด มีปกติอยูในวิหาร สถิตอยูที่เรือน
ถูเป ฆะเร โพธิฆะเร ตะหิง ตะหิง, พระสถูป ทีเ่ รือนพระโพธิ ในทีน่ นั้ ๆ, เทวดาเหลานัน้
ตา ธัมมะทาเนนะ ภะวันตุ ปูชติ า เป น ผู อั น เราทั้ ง หลายบู ช าแล ว ด ว ยธรรมทาน
โสตถิง กะโรนเตธะ วิหาระมัณฑะเล. จงทำความสวัสดีในวิหารมณฑลนี้.
เถรา จะ มัชฌา นะวะกา จะ ภิกขะโว พระภิกษุทงั้ หลาย ทีเ่ ปนเถระ ทีเ่ ปนปานกลาง ทีย่ งั
สารามิกา ทานะปะตี อุปาสะกา ใหม ก็ดี, อุบาสกอุบาสิกาทัง้ หลาย ผเู ปนทานบดี
คามา จะ เทสา นิคะมา จะ อิสสะรา, พรอมทัง้ อารามิกชนก็ด,ี ชนทัง้ หลายทีเ่ ปนชาวบาน
สัปปาณะภูตา สุขติ า ภะวันตุ เต. ที่เปนชาวเมือง ที่เปนชาวนิคม ที่เปนอิสระก็ดี,
สัตวทมี่ ชี วี ติ ทัง้ หลายเหลานัน้ จงเปนผถู งึ ซึง่ ความสุข.
ชะลาพุชา เยป จะ อัณฑะสัมภะวา แมสตั วเหลาใด ทีเ่ ปนชลาพุชะกำเนิด (เกิดในครรภ)
สังเสทะชาตา อะถะโวปะปาติกา, ทีเ่ ปนอัณฑชะกำเนิด (เกิดในไข) ทีเ่ ปนสังเสทชะกำเนิด
นิยยานิกงั ธัมมะวะรัง ปะฏิจจะ เต (เกิดในไคล) ทีเ่ ปนโอปปาติกะกำเนิด (เกิดผุดขึน้ ) ก็ด,ี
สัพเพป ทุกขัสสะ กะโรนตุ สังขะยัง. สัตวเหลานัน้ อาศัยพระธรรมเปนนิยยานิกธรรมแลว
แมทงั้ หมด จงทำความสิน้ ไปแหงทุกข.
* พระราชนิพนธของพระบาทสมเด็จพระจอมเกลาเจาอยหู วั
12 ทำวั ต ร-สวดมนต
วิหารทานคาถา
สีตงั อุณห๎ งั ปะฏิหนั ติ ตะโต วาฬะมิคานิ จะ
สิรงิ สะเป จะ มะกะเส สิสเิ ร จาป วุฏฐิโย.
ตะโต วาตาตะโป โฆโร สัญชาโต ปะฏิหญ ั ญะติ.
เสนาสนะยอมปองกันเย็นรอน และสัตวรา ย งู และ ยุง ฝนทีต่ งั้ ขึน้ ในสิสริ ฤดู. แตนนั้
ลมและแดดอันกลา ทีเ่ กิดขึน้ แลว ยอมบรรเทาไป.
เลนัตถัญจะ สุขตั ถัญจะ ฌายิตงุ จะ วิปส สิตงุ
วิหาระทานัง สังฆัสสะ อัคคัง พุทเธหิ วัณณิตงั .
การถวายวิหารแกสงฆ เพื่อเรนอยู เพื่อความสุข เพื่อเพงพิจารณา และเพื่อเห็นแจง
พระพุทธเจาทรงสรรเสริญวาเปนทานเลิศ.
ตัสม๎ า หิ ปณฑิโต โปโส สัมปสสัง อัตถะมัตตะโน
วิหาเร การะเย รัมเม วาสะเยตถะ พะหุสสุเต.
เพราะเหตุนนั้ แล บุรษุ บัณฑิต เมือ่ เล็งเห็นประโยชนตน พึงสรางวิหารอันรืน่ รมย ใหภกิ ษุ
ทัง้ หลาย ผเู ปนพหุสตู อยเู ถิด.
เตสัง อันนัญจะ ปานัญจะ วัตถะเสนาสะนานิ จะ
ทะเทยยะ อุชภุ เู ตสุ วิปปะสันเนนะ เจตะสา
อนึง่ พึงถวายขาว น้ำ ผา เสนาสนะ แกทา นเหลานัน้ ดวยน้ำใจอันเลือ่ มใสในทานผซู อื่ ตรง.
เต ตัสสะ ธัมมัง เทเสนติ สัพพะทุกขาปะนูทะนัง
ยัง โส ธัมมะมิธญ
ั ญายะ ปะรินิพพาต๎ยะนาสะโวติ.
เขารูธรรมอันใดในโลกนี้แลว จะเปนผูไมมีอาสวะปรินิพพาน ทานยอมแสดงธรรมนั้น
อันเปนเครือ่ งบรรเทาทุกขทงั้ ปวงแกเขา ดังนีแ้ ล.
ทำวั ต รเย็ น 13
ทำวัตรเย็น
(นำ-วาตาม)
โย โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ, ส๎วากขาโต เยนะ ภะคะวะตา ธัมโม,
สุปะฏิปน โน ยัสสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, ตัมมะยัง ภะคะวันตัง สะธัมมัง สะสังฆัง
อิเมหิ สักกาเรหิ ยะถาระหัง อาโรปเตหิ อะภิปชู ะยามะ.
พระผมู พี ระภาคเจานัน้ พระองคใด เปนพระอรหันต ตรัสรเู องโดยชอบแลว, พระธรรม
เปนธรรมทีพ่ ระผมู พี ระภาคเจา พระองคใด ตรัสไวดแี ลว, พระสงฆสาวกของพระผมู พี ระภาคเจา
พระองคใด ปฏิบตั ดิ แี ลว, ขาพเจาขอบูชาอยางยิง่ ซึง่ พระผมู พี ระภาคเจา พระองคนนั้ พรอมทัง้
พระสัทธรรม และพระอริยสงฆเจาทัง้ หลาย ดวยเครือ่ งสักการะทัง้ หลายเหลานี้ อันยกขึน้ ตาม
สมควรแลว.
สาธุ โน ภันเต ภะคะวา สุจริ ะปะรินพิ พุโตป ปจฉิมาชะนะตานุกมั ปะมานะสา
อิเม สักกาเร ทุคคะตะปณณาการะภูเต ปะฏิคคัณห๎ าตุ อัมห๎ ากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ
สุขายะ.
ขาแตพระองคผูเจริญ พระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น แมปรินิพพานนานแลวก็ตาม
ยังประโยชนยงิ่ ใหญใหสำเร็จแกขา พเจาทัง้ หลาย ขอจงรับเครือ่ งสักการะอันเปนบรรณาการของ
คนยากทั้งหลายเหลานี้ ดวยพระหฤทัยเพื่อจะอนุเคราะหประชุมชนผูเกิดแลวในภายหลัง เพื่อ
ประโยชน เพือ่ ความสุข แกขา พเจาทัง้ หลาย สิน้ กาลนานเทอญ.
คำนมัสการ
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา. พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ. (กราบ ๑ ครัง้ )
พระผมู พี ระภาคเจา เปนพระอรหันต ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกขสนิ้ เชิง ตรัสรชู อบได
โดยพระองคเอง ขาพเจาอภิวาทพระผมู พี ระภาคเจา ผรู ู ผตู นื่ ผเู บิกบาน.
ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม. ธัมมัง นะมัสสามิ. (กราบ ๑ ครัง้ )
พระธรรมเปนธรรมทีพ่ ระผมู พี ระภาคเจา ตรัสไวดแี ลว ขาพเจานมัสการพระธรรม.
สุปะฏิปน โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ. สังฆัง นะมามิ. (กราบ ๑ ครัง้ )
พระสงฆสาวกของพระผมู พี ระภาคเจา ปฏิบตั ดิ แี ลว ขาพเจานอบนอมพระสงฆ.
14 ทำวั ต ร-สวดมนต
พุทธานุสสตินัย
ตัง โข ปะนะ ภะคะวันตัง เอวัง กัลย๎ าโณ กิตติสทั โท อัพภุคคะโต,
ก็กติ ติศพั ทอนั งามของพระผมู พี ระภาคเจา พระองคนนั้ แล ไดฟงุ ไปแลวอยางนีว้ า
อิติป โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปนโน สุคะโต
โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุรสิ ะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ.
แมเพราะเหตุอยางนี้ พระผมู พี ระภาคเจานัน้ เปนผไู กลจากกิเลส เปนผตู รัสรชู อบไดโดย
พระองคเอง เปนผูถึงพรอมแลวดวยวิชชาและจรณะ เปนผูเสด็จไปดีแลว เปนผูรูโลกอยาง
แจมแจง เปนผฝู ก บุรษุ ทีค่ วรฝก ไมมผี อู นื่ ยิง่ กวา เปนครูผสู อนเทวดาและมนุษยทงั้ หลาย เปนผรู ู
ผตู นื่ ผเู บิกบานแลว เปนผจู ำแนกธรรมสัง่ สอนสัตว ดังนี.้
(หมอบกราบลงสวด)
กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา ดวยกายก็ดี ดวยวาจาก็ดี ดวยใจก็ดี กรรมนา
พุทเธ กุกมั มัง ปะกะตัง มะยา ยัง, ติเตียนอันใด ทีข่ า พเจากระทำแลวในพระพุทธเจา,
พุทโธ ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง ขอพระพุทธเจา จงงดซึง่ โทษลวงเกินอันนัน้ เพือ่
กาลันตะเร สังวะริตงุ วะ พุทเธ. การสำรวมระวัง ในพระพุทธเจา ในกาลตอไป.
* สำหรับผหู ญิงสวด
16 ทำวั ต ร-สวดมนต
อตีตปจจเวกขณปาฐ
(นำ) หันทะ มะยัง อะตีตะปจจะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส.
อัชชะ มะยา อะปจจะเวกขิตว๎ า ยัง จีวะรัง ปะริภตุ ตัง, ตัง ยาวะเทวะ สีตสั สะ
ปะฏิฆาตายะ อุณห๎ สั สะ ปะฏิฆาตายะ ฑังสะมะกะสะวาตาตะปะสิรงิ สะปะสัมผัสสานัง
ปะฏิฆาตายะ ยาวะเทวะ หิรโิ กปนะปะฏิจฉาทะนัตถัง.
จีวรใด อันเรานงุ หมแลว มิทนั ไดพจิ ารณาในวันนี้ จีวรนัน้ เรานงุ หมแลวเพียงเพือ่ บำบัด
ความหนาว เพื่อบำบัดความรอน เพื่อบำบัดสัมผัสอันเกิดจากเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว
เลือ้ ยคลานทัง้ หลาย เพียงเพือ่ ปกปดอวัยวะอันใหเกิดความละอายเทานัน้ .
อัชชะ มะยา อะปจจะเวกขิตว๎ า โย ปณฑะปาโต ปะริภตุ โต, โส เนวะ ทะวายะ
นะ มะทายะ นะ มัณฑะนายะ นะ วิภสู ะนายะ ยาวะเทวะ อิมสั สะ กายัสสะ ฐิตยิ า
ยาปะนายะ วิหงิ สุปะระติยา พ๎รหั ม๎ ะจะริยานุคคะหายะ. อิติ ปุราณัญจะ เวทะนัง
ปะฏิหังขามิ นะวัญจะ เวทะนัง นะ อุปปาเทสสามิ. ยาต๎รา จะ เม ภะวิสสะติ
อะนะวัชชะตา จะ ผาสุวหิ าโร จาติ.
บิณฑบาตใด อันเราฉันแลว มิทนั ไดพจิ ารณาในวันนี,้ บิณฑบาตนัน้ เราฉันแลวมิใชเพือ่ เลน มิใชเพือ่
ความมัวเมา มิใชเพือ่ ประดับ มิใชเพือ่ ตกแตง แตเพียงเพือ่ ความตัง้ อยไู ด เพือ่ ความเปนไปไดแหงกายนี้ เพือ่
ความสิน้ ไปแหงความลำบาก เพือ่ อนุเคราะหพรหมจรรย. ดวยการทำอยางนี้ เรายอมระงับเสียไดซงึ่ เวทนา
เกา และไมทำเวทนาใหมใหเกิดขึน้ . อนึง่ ความเปนไปได ความไมมโี ทษ และความอยผู าสุก จักมีแกเรา.
อัชชะ มะยา อะปจจะเวกขิตว๎ า ยัง เสนาสะนัง ปะริภตุ ตัง, ตัง ยาวะเทวะ
สีตสั สะ ปะฏิฆาตายะ, อุณห๎ สั สะ ปะฏิฆาตายะ, ฑังสะมะกะสะวาตาตะปะสิรงิ -สะปะสัมผัส
สานัง ปะฏิฆาตายะ, ยาวะเทวะ อุตปุ ะริสสะยะวิโนทะนัง ปะฏิสลั ลานารามัตถัง.
เสนาสนะอันใด อันเราใชสอยแลว มิทนั ไดพจิ ารณาในวันนี,้ เสนาสนะนัน้ เพียงเพือ่ บำบัด
ความหนาว เพือ่ บำบัดความรอน เพือ่ บำบัดสัมผัสอันเกิดจากเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตวเลือ้ ยคลาน
ทัง้ หลาย เพียงเพือ่ บรรเทาอันตรายแตฤดู เพือ่ ความเปนผยู นิ ดีในทีเ่ รน.
อัชชะ มะยา อะปจจะเวกขิตว๎ า โย คิลานะปจจะยะเภสัชชะปะริกขาโร ปะริภตุ โต,
โส ยาวะเทวะ อุปปนนานัง เวยยาพาธิกานัง เวทะนานัง ปะฏิฆาตายะ, อัพย๎ าปชฌะ-
ปะระมะตายาติ.
เภสัชบริขารอันเปนปจจัยสำหรับคนไขอันใด อันเราบริโภคแลว มิทันไดพิจารณาในวันนี้,
คิลานปจจัยเภสัชบริขารนัน้ เพียงเพือ่ บำบัดเวทนาอันเกิดขึน้ แลว มีอาพาธตางๆ เปนมูล เพือ่ ความ
เปนผไู มมโี รคเบียดเบียนเปนอยางยิง่ .
ทำวั ต รเย็ น 21
บทกรวดน้ำ (ของเกา)
(นำ) หันทะ มะยัง อุททิสสะนาธิฏฐานะคาถาโย ภะณามะ เส.
อิมนิ า ปุญญะกัมเมนะ อุปช ฌายา คุณตุ ตะรา
อาจะริยปู ะการา จะ มาตา ปตา จะ ญาตะกา
(อาจะริยปู ะการา จะ มาตา ปตา) ปยา มะมัง
ดวยบุญกรรมที่ขาพเจากระทำนี้ ขอพระอุปชฌายผูมีพระคุณอันยิ่ง และอาจารยผูมี
อุปการคุณ ทัง้ มารดาบิดา และหมญ ู าติทงั้ หลาย อันเปนทีร่ กั ของขาพเจา
สุรโิ ย จันทิมา ราชา คุณะวันตา นะราป จะ
พ๎รหั ม๎ ะมารา จะ อินทา จะ๑
โลกะปาลา จะ เทวะตา
ตลอดถึงพระอาทิตย พระจันทร และพระราชา และนรชนผูมีคุณงามความดีทั้งหลาย
อีกทัง้ เหลาพรหมและหมมู าร และพระอินทาธิราช ถึงจอมเทพดาผรู กั ษาโลกทัง้ สี่
ยะโม มิตตา มะนุสสา จะ มัชฌัตตา เวริกาป จะ
สัพเพ สัตตา สุขี โหนตุ. ปุญญานิ ปะกะตานิ เม.
และพระยมราช อีกมิตรสหาย ทั้งชนผูวางตนเปนกลาง และผูมีเวรกัน ทานเหลานั้น
ทัง้ ปวง จงเปนผมู คี วามสุข.
สุขงั จะ ติวธิ งั ๒ เทนตุ ขิปปง ปาเปถะ โวมะตัง.
อิมนิ า ปุญญะกัมเมนะ. อิมนิ า อุททิเสนะ จะ
ขิปปาหัง สุละเภ เจวะ ตัณ๎หุปาทานะเฉทะนัง.
ดวยบุญกรรมทีข่ า พเจากระทำไวนี้ จงใหซงึ่ ความสุข ๓ ประการ๒ ใหถงึ สุขอยางยิง่ คือ
อมตมหานิพพาน โดยพลัน. อนึง่ ดวยการอุทศิ สวนบุญนี้ ขอใหขา พเจาพึงไดซงึ่ การตัดขาดตัณหา
อุปาทาน โดยพลัน.
เย สันตาเน หินา ธัมมา ยาวะ นิพพานะโต มะมัง
นัสสันตุ สัพพะทาเยวะ. ยัตถะ ชาโต ภะเว ภะเว
อุชจุ ติ ตัง สะติปญ ญา สัลเลโข วีรยิ มั ห๎ นิ า.
ธรรมชัว่ ในสันดานจงพินาศไป ตราบเทาถึงพระนิพพาน ในกาลทุกเมือ่ เทียว. หากขาพเจา
ยังตองไปเกิดในทีใ่ ดๆ ขอใหมจี ติ ซือ่ ตรง มีสติปญ
ญา มีความเพียร ขัดเกลากิเลส.
๑
บางแหงวา จะตุ- ๒
ไดแก กามสุข ฌานสุข นิพพานสุข
22 ทำวัตร-สวดมนต
มารา ละภันตุ โนกาสัง กาตุญจะ วีรเิ ยสุ เม.
ขอหมมู ารจงอยาไดโอกาสเพือ่ ทำอันตรายในความเพียรของขาพเจาได.
พุทโธ ทีปะวะโร๑ นาโถ. ธัมโม นาโถ วะรุตตะโม.
นาโถ ปจเจกะพุทโธ จะ สังโฆ นาโถตตะโร มะมัง
พระพุทธเจาผูเปนที่พึ่ง ดุจประทีปอันประเสริฐ. พระธรรมเปนที่พึ่งอันประเสริฐสูงสุด.
ทัง้ พระปจเจกพุทธเจา พระสงฆ อันเปนทีพ่ งึ่ อันสูงสุด ของขาพเจา.
เตโสตตะมานุภาเวนะ มาโรกาสัง ละภันตุ มา.
ดวยอานุภาพอันสูงสุดของพระรัตนะ ๓ เหลานัน้ ขอหมมู ารจงอยาไดโอกาส เทอญ.
๑
บางแหงวา พุทธาทิปะวะโร
พระปริตร 23
พระปริตร
24 ทำวัตร-สวดมนต
ชุมนุมเทวดา
[๑] - สะมันตา จักกะวาเฬสุ อัตร๎ าคัจฉันตุ เทวะตา
สัทธัมมัง มุนริ าชัสสะ สุณนั ตุ สัคคะโมกขะทัง.
เหลาเทพยดาจักรวาลทัง้ หลายโดยรอบ ขอจงมาประชุมกันในสถานทีน่ ี้ จงฟงพระสัทธรรม
อันใหสวรรคและพระนิพพาน ของพระสัมมาสัมพุทธเจาผเู ปนราชาแหงมุนเี ถิด.
[๒] - ผะริตว๎ านะ เมตตัง สะเมตตา ภะทันตา
อะวิกขิตตะจิตตา ปะริตตัง ภะณันตุ.
ทานผเู จริญทัง้ หลาย ผมู เี มตตา ขอแผไมตรีจติ อยาไดมจี ติ ฟงุ ซาน ตัง้ ใจสวดพระปริตรเถิด.
[๓] - สะรัชชัง สะเสนัง สะพันธุง นะรินทัง
ปะริตตานุภาโว สะทา รักขะตูต.ิ
ดวยคิดวา ขออานุภาพแหงพระปริตร จงพิทักษรักษา พระราชาผูเปนเจาแหงนรชน
พรอมดวยราชสมบัติ พรอมดวยพระราชวงศ พรอมดวยเสนามาตย ในกาลทุกเมื่อเถิด.
สัคเค กาเม จะ รูเป คิริสิขะระตะเฏ จันตะลิกเข วิมาเน,
ทีเป รัฏเฐ จะ คาเม ตะรุวะนะคะหะเน เคหะวัตถุมห๎ ิ เขตเต,
ภุมมา จายันตุ เทวา ชะละถะละวิสะเม ยักขะคันธัพพะนาคา.
ติฏฐันตา สันติเก ยัง มุนิวะระวะจะนัง สาธะโว เม สุณนั ตุ.
ขอเชิญเหลาเทพยดา ซึง่ สถิตอยใู นสวรรค ชัน้ กามภพก็ดี ชัน้ รูปภพก็ดี และภุมมเทวด
ที่สถิตที่ยอดขุนเขา หุบเหว ในอากาศวิมาน ในเกาะ ในแวนแควน ในบาน ที่ตนไมและปาชัฏ
ในเรือน และในไรนาก็ดี และยักษ คนธรรพ นาคทีส่ ถิตอยใู นน้ำ บนบก และทีอ่ นั ไมเรียบราบก็ดี
อันอยูในที่ใกลเคียงกัน จงมาประชุมพรอมกันในที่นี้. ทานสาธุชนทั้งหลาย จงสดับรับฟง
พระดำรัสของพระมุนีเจาผูประเสริฐ กับขาพเจาเถิด.
ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา.
ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา.
ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา.
ทานผเู จริญทัง้ หลาย เวลานี้ เปนเวลาฟงธรรม.
๑
สำหรับสวด ๑๒ ตำนาน
๒
สำหรับสวด ๗ ตำนาน
๓
ใชเฉพาะในราชการ
พระปริตร 25
ปุพพภาคนมการะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ.
ขอนอบนอมแดพระผมู พี ระภาคเจาพระองคนนั้ ซึง่ เปนผไู กลจากกิเลส ตรัสรชู อบดวยพระองคเอง.
สรณคมนปาฐะ
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ขาพเจาขอถึงพระพุทธเจา-พระธรรม-พระสงฆ วาเปนทีพ่ งึ่ ทีร่ ะลึก.
ทุตยิ มั ป พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุตยิ มั ป ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุตยิ มั ป สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
แมครัง้ ที่ ๒ ขาพเจาขอถึงพระพุทธเจา-พระธรรม-พระสงฆ วาเปนทีพ่ งึ่ ทีร่ ะลึก.
ตะติยมั ป พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยมั ป ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยมั ป สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
แมครัง้ ที่ ๓ ขาพเจาขอถึงพระพุทธเจา-พระธรรม-พระสงฆ วาเปนทีพ่ งึ่ ทีร่ ะลึก.
26 ทำวั ต ร-สวดมนต
นมการสิทธิคาถา*
โย จักขุมา โมหะมะลาปะกัฏโฐ ทานพระองคใด มีพระปญญาจักษุ ขจัดมลทินคือโมหะ
สามัง วะ พุทโธ สุคะโต วิมตุ โต แลว ไดตรัสรเู ปนพระพุทธเจาโดยพระองคเอง เสด็จ
มารัสสะ ปาสา วินโิ มจะยันโต ไปดี พนไปแลว ทรงเปลื้องชุมนุมชนอันเปนเวไนย
ปาเปสิ เขมัง ชะนะตัง วิเนยยัง. จากบวงแหงมาร นำมาใหถึงความเกษม.
พุทธัง วะรันตัง สิระสา นะมามิ ขาพระพุทธเจาขอถวายนมัสการพระพุทธเจาผูบวร
โลกัสสะ นาถัญจะ วินายะกัญจะ. พระองคนนั้ ผเู ปนนาถะและเปนผนู ำแหงโลก. ดวย
ตันเตชะสา เต ชะยะสิทธิ โหตุ เดชพระพุทธเจานั้น ขอความสำเร็จแหงชัยชนะจงมี
สัพพันตะรายา จะ วินาสะเมนตุ. แกทา น และขออันตรายทัง้ มวลจงถึงความพินาศ.
ธัมโม ธะโช โย วิยะ ตัสสะ สัตถุ พระธรรมเจาใด เปนดุจธงชัยแหงพระศาสดาพระองค
ทัสเสสิ โลกัสสะ วิสทุ ธิมคั คัง นั้น แสดงทางแหงความบริสุทธิ์แกโลก เปนคุณอัน
นิยยานิโก ธัมมะธะรัสสะ ธารี นำยุคเข็ญ คุมครองชนผูทรงธรรม ประพฤติดีแลว
สาตาวะโห สันติกะโร สุจณ ิ โณ. นำความสุขมา ทำความสงบ.
ธัมมัง วะรันตัง สิระสา นะมามิ ขาพระพุทธเจาขอถวายนมัสการพระธรรมอันบวรนั้น
โมหัปปะทาลัง อุปะสันตะทาหัง. อันทำลายโมหะ ระงับความเรารอน. ดวยเดชพระ
ตันเตชะสา เต ชะยะสิทธิ โหตุ ธรรมเจานั้น ขอความสำเร็จแหงชัยชนะจงมีแกทาน
สัพพันตะรายา จะ วินาสะเมนตุ. และขออันตรายทั้งมวลจงถึงความพินาศ.
สัทธัมมะเสนา สุคะตานุโค โย พระสงฆเจาใด เปนเสนา ประกาศพระสัทธรรม ดำเนิน
โลกัสสะ ปาปูปะกิเลสะเชตา ตามพระศาสดา ผเู สด็จดีแลว ผจญเสียซึง่ อุปกิเลส
สันโต สะยัง สันตินโิ ยชะโก จะ อันเลวทรามของสัตวโลก (ดวยการสั่งสอนใหละเสีย)
สว๎ากขาตะธัมมัง วิทติ งั กะโรติ. เปนผูสงบเองดวย ประกอบผูอื่นไวในความสงบดวย
ยอมทำพระธรรมอันพระศาสดาตรัสดีแลวใหมผี รู ตู าม.
สังฆัง วะรันตัง สิระสา นะมามิ ขาพระพุทธเจาขอถวายนมัสการพระสงฆเจาผูบวรนั้น
พุทธานุพทุ ธัง สะมะสีละทิฏฐิง. ผตู รัสรตู ามพระพุทธเจา มีศลี และทิฏฐิเสมอกัน. ดวย
ตันเตชะสา เต ชะยะสิทธิ โหตุ เดชพระสังฆเจานัน้ ขอความสำเร็จแหงชัยชนะจงมีแก
สัพพันตะรายา จะ วินาสะเมนตุ. ทาน และขออันตรายทัง้ มวลจงถึงความพินาศ เทอญ.
* พระนิพนธของสมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส.
พระปริตร 27
สัมพุทเธฯ
สัมพุทเธ อัฏฐะวีสญ
ั จะ ท๎วาทะสัญจะ สะหัสสะเก
ปญจะ สะตะ สะหัสสานิ นะมามิ สิระสา อะหัง.
เตสัง ธัมมัญจะ สังฆัญจะ อาทะเรนะ นะมามิหงั .
นะมะการานุภาเวนะ หันต๎วา สัพเพ อุปท ทะเว
อะเนกา อันตะรายาป วินสั สันตุ อะเสสะโต.
ขาพเจาขอนอบนอมพระพุทธเจาทั้งหลายจำนวน ๕๑๒,๐๒๘ พระองค ดวยเศียรเกลา.
ขาพเจาขอนอบนอม พระธรรมดวย พระสงฆดวย แหงพระสัมพุทธเจาเหลานั้น ดวยใจเคารพ.
ดวยอานุภาพแหงการกระทำความนอบนอม จงขจัดเสียซึง่ อุปท วะทัง้ ปวง แมอนั ตรายทัง้ หลาย
เปนอันมาก จงพินาศไปโดยไมเหลือเถิด.
สัมพุทเธ ปญจะปญญาสัญจะ จะตุวีสะติสะหัสสะเก
ทะสะ สะตะ สะหัสสานิ นะมามิ สิระสา อะหัง.
เตสัง ธัมมัญจะ สังฆัญจะ อาทะเรนะ นะมามิหงั .
นะมะการานุภาเวนะ หันต๎วา สัพเพ อุปท ทะเว
อะเนกา อันตะรายาป วินสั สันตุ อะเสสะโต.
ขาพเจาขอนอบนอม พระพุทธเจาทัง้ หลาย จำนวน ๑,๐๒๔,๐๕๕ พระองค ดวยเศียรเกลา.
ขาพเจาขอนอบนอม พระธรรมดวย พระสงฆดวย แหงพระสัมพุทธเจาเหลานั้น ดวยใจเคารพ.
ดวยอานุภาพแหงการกระทำความนอบนอม จงขจัดเสียซึง่ อุปท วะทัง้ ปวง แมอนั ตรายทัง้ หลาย
เปนอันมาก จงพินาศไปโดยไมเหลือเถิด.
สัมพุทเธ นะวุตตะระสะเต อัฏฐะจัตตาฬีสะสะหัสสะเก
วีสะติ สะตะ สะหัสสานิ นะมามิ สิระสา อะหัง.
เตสัง ธัมมัญจะ สังฆัญจะ อาทะเรนะ นะมามิหงั .
นะมะการานุภาเวนะ หันต๎วา สัพเพ อุปท ทะเว
อะเนกา อันตะรายาป วินสั สันตุ อะเสสะโต.
ขาพเจาขอนอบนอม พระพุทธเจาทัง้ หลาย จำนวน ๒,๐๔๘,๑๐๙ พระองค ดวยเศียรเกลา.
ขาพเจาขอนอบนอม พระธรรมดวย พระสงฆดวย แหงพระสัมพุทธเจาเหลานั้น ดวยใจเคารพ.
ดวยอานุภาพแหงการกระทำความนอบนอม จงขจัดเสียซึง่ อุปท วะทัง้ ปวง แมอนั ตรายทัง้ หลาย
เปนอันมาก จงพินาศไปโดยไมเหลือเถิด.
28 ทำวั ต ร-สวดมนต
นโมการอัฏฐกคาถา*
นะโม อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ มะเหสิโน.
ขอนอบนอมแดพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา ผแู สวงหาคุณอันยิง่ ใหญ. (อะ)
นะโม อุตตะมะธัมมัสสะ ส๎วากขาตัสเสวะ เตนิธะ.
ขอนอบนอมแดพระธรรมอันสูงสุด ในพระศาสนานี้ อันพระองคตรัสดีแลว. (อุ)
นะโม มะหาสังฆัสสาป วิสุทธะสีละทิฏฐิโน.
ขอนอบนอมแดพระสงฆหมใู หญ ผมู ศี ลี และทิฏฐิ อันหมดจด. (มะ)
นะโม โอมาต๎ยารัทธัสสะ ระตะนัตต๎ยสั สะ สาธุกงั .
การนอบนอมแดพระรัตนตรัย ทีป่ รารภไวแลววา ‘โอม’ (คือ อะ อุ มะ) ใหสำเร็จประโยชน.
นะโม โอมะกาตีตสั สะ ตัสสะ วัตถุตตะยัสสะป.
ขอนอบนอมแมแตหมวดวัตถุ ๓ [คือพระรัตนตรัย] อันลวงพนโทษต่ำชา นัน้ .
นะโม การัปปะภาเวนะ วิคจั ฉันตุ อุปท ทะวา.
ดวยการประกาศการกระทำความนอบนอม อุปท วะทัง้ หลาย จงปราศจากไป.
นะโม การานุภาเวนะ สุวตั ถิ โหตุ สัพพะทา.
ดวยอานุภาพ แหงการกระทำความนอบนอม ขอความสวัสดีจงมีทกุ เมือ่ .
นะโม การัสสะ เตเชนะ วิธมิ ห๎ ิ โหมิ เตชะวา.
ดวยเดชแหงการกระทำความนอบนอม เราจงเปนผมู เี ดชในมงคลพิธเี ถิด.
มังคลปริตร
เอวัมเม สุตงั . เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยงั วิหะระติ เชตะวะเน
อะนาถะปณฑิกสั สะ อาราเม.
อันขาพเจา คือพระอานันทเถระ ไดสดับมาแลวอยางนี้. สมัยหนึ่ง สมเด็จพระผูมี
พระภาคเจา เสด็จประทับอยทู เี่ ชตวันวิหาร อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกลเมืองสาวัตถี.
* พระราชนิพนธของพระบาทสมเด็จพระจอมเกลาเจาอยหู วั
พระปริตร 29
อะถะ โข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา
เกวะละกัปปง เชตะวะนัง โอภาเสตว๎ า, เยนะ ภะคะวา, เตนุปะสังกะมิ.
ครั้งนั้นแล เทพยดาองคใดองคหนึ่ง ครั้นเมื่อราตรีปฐมยามลวงไปแลว มีรัศมีอันงามยิ่ง
นัก ยังเชตวันทัง้ สิน้ ใหสวาง, พระผมู พี ระภาคเจาเสด็จประทับอยู โดยทีใ่ ด, ก็เขาไปเฝา ณ ทีน่ นั้ .
อุปะสังกะมิต๎วา ภะคะวันตัง อะภิวาเทต๎วา เอกะมันตัง อัฏฐาสิ. เอกะมันตัง
ฐิตา โข สา เทวะตา ภะคะวันตัง คาถายะ อัชฌะภาสิ. (หยุด)
ครัน้ เขาไปเฝาแลว จึงถวายอภิวาทพระผมู พี ระภาคเจา แลวไดยนื อยใู นทามกลางสวนขางหนึง่ .
ครั้นเทพยดานั้นยืนในที่สมควรสวนขางหนึ่งแลวแล ไดทูลพระผูมีพระภาคเจา ดวยคาถาวา
‘พะหู เทวา มะนุสสา จะ มังคะลานิ อะจินตะยุง
อากังขะมานา โสตถานัง พ๎รหู ิ มังคะละมุตตะมัง’.
‘หมเู ทวดาและมนุษย เปนอันมาก ผหู วังความสวัสดี ไดคดิ หามงคลทัง้ หลาย ขอพระองค
โปรดแสดงมงคลอันสูงสุด’.
[พระผมู พี ระภาคไดตรัสตอบวา]
อะเสวะนา จะ พาลานัง ปณฑิตานัญจะ เสวะนา
ปูชา จะ ปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง.
[๑] การไมคบคนพาล [๒] การคบบัณฑิต และ [๓] การบูชาบุคคลทีค่ วรบูชา นีเ้ ปนมงคล
อันสูงสุด.
ปะฏิรปู ะเทสะวาโส จะ ปุพเพ จะ กะตะปุญญะตา
อัตตะสัมมาปะณิธิ จะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง.
[๔] การอยใู นถิน่ ทีอ่ นั สมควร สิง่ แวดลอมดี [๕] การไดทำบุญทำความดีไวกอ น และ [๖]
การตัง้ ตนไวถกู ตอง นีเ้ ปนมงคลอันสูงสุด.
พาหุสจั จัญจะ สิปปญจะ วินะโย จะ สุสกิ ขิโต
สุภาสิตา จะ ยา วาจา เอตัมมังคะละมุตตะมัง.
[๗] การไดฟง ไดอา นมากศึกษามาก [๘] ศิลปะวิทยา [๙] ระเบียบวินยั ทีฝ่ ก ฝนดี และ
[๑๐] วาจาทีก่ ลาวดี นีเ้ ปนมงคลอันสูงสุด.
มาตาปตอุ ปุ ฏ ฐานัง ปุตตะทารัสสะ สังคะโห
อะนากุลา จะ กัมมันตา เอตัมมังคะละมุตตะมัง.
[๑๑] การเลีย้ งดูมารดาบิดา [๑๒-๑๓] การสงเคราะหบตุ รและภรรยา และ [๑๔] การงาน
ทีไ่ มคงั่ คาง นีเ้ ปนมงคลอันสูงสุด.
30 ทำวั ต ร-สวดมนต
กรณียเมตตปริตร
กะระณียะมัตถะกุสะเลนะ, ยันตัง สันตัง ปะทัง อะภิสะเมจจะ.
สักโก อุชู จะ สุหชุ ู จะ สุวะโจ จัสสะ มุทุ อะนะติมานี
กิจนัน้ ใด อันพระอริยเจา บรรลุบทอันสงบ กระทำแลว, กิจนัน้ อันกุลบุตรผฉู ลาดในประโยชน
พึงกระทำ. กุลบุตรนัน้ พึงเปนผอู าจหาญและซือ่ ตรงดี เปนผทู วี่ า งาย ออนโยน ไมมอี ติมานะ
สันตุสสะโก จะ สุภะโร จะ อัปปะกิจโจ จะ สัลละหุกะวุตติ
สันตินท๎รโิ ย จะ นิปะโก จะ อัปปะคัพโภ กุเลสุ อะนะนุคทิ โธ.
เปนผสู นั โดษ เลีย้ งงาย เปนผมู กี จิ ธุระนอย ประพฤติเบากายจิต มีอนิ ทรียอ นั สงบแลว
มีปญ
ญา เปนผไู มคกึ คะนอง ไมพวั พันในตระกูลทัง้ หลาย.
นะ จะ ขุททัง สะมาจะเร กิญจิ เยนะ วิญู ปะเร อุปะวะเทยยุง
สุขโิ น วา เขมิโน โหนตุ ‘สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สุขติ ตั ตา.
วิญูชนติเตียนเหลาชนอืน่ ไดดว ยกรรมใด, ไมพงึ ประพฤติในกรรมอันนัน้ เลย [พึงแผเมตตา
ไปในหมสู ตั ววา ] ‘ขอสัตวทงั้ ปวง จงเปนผมู สี ขุ มีความเกษม มีตนถึงความสุขเถิด.
เย เกจิ ปาณะภูตตั ถิ ตะสา วา ถาวะรา วา อะนะวะเสสา
ทีฆา วา เย มะหันตา วา มัชฌิมา รัสสะกา อะณุกะถูลา
สัตวมชี วี ติ ทัง้ หลายเหลาใดเหลาหนึง่ มีอยู ยังเปนผสู ะดงุ (คือมีตณ
ั หา) หรือเปนผมู นั่ คง
(ไมมตี ณ
ั หา) ทัง้ หมดไมเหลือ เหลาใด ยาว หรือ สัน้ ใหญ หรือ ปานกลาง ผอม หรือ อวน
พระปริตร 33
ทิฎฐา วา เย จะ อะทิฎฐา เย จะ ทูเร วะสันติ อะวิทเู ร
ภูตา วา สัมภะเวสี วา, สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สุขติ ตั ตา,
เหลาใดทีเ่ ราเห็นแลว หรือมิไดเห็น เหลาใด อยใู นทีไ่ กล หรือทีไ่ มไกล ทีเ่ กิดแลว หรือ
กำลังแสวงหาภพก็ด,ี ขอสัตวทงั้ ปวงเหลานัน้ จงเปนผมู ตี นถึงความสุขเถิด.
นะ ปะโร ปะรัง นิกพุ เพถะ. นาติมญ
ั เญถะ กัตถะจิ นัง กิญจิ.
พ๎ยาโรสะนา ปะฏีฆะสัญญา นาญญะมัญญัสสะ ทุกขะมิจเฉยยะ.
สัตวอนื่ อยาพึงขมเหงสัตวอนื่ . อยาพึงดูหมิน่ อะไรๆ เขา ในทีไ่ รๆ เลย. ไมควรปรารถนา
ทุกขแกกนั และกัน เพราะความโกรธและความแคนเคือง.
มาตา ยะถา นิยงั ปุตตัง อายุสา เอกะปุตตะมะนุรกั เข,
เอวัมป สัพพะภูเตสุ มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง.
มารดาถนอมลูกนอยคนเดียว ผเู กิดในตน ดวยยอมพราชีวติ ได ฉันใด, พึงเจริญเมตตา
มีในใจ ไมมปี ระมาณในสัตวทงั้ ปวง แมฉนั นัน้ .
เมตตัญจะ สัพพะโลกัสม๎ งิ มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง
อุทธัง อะโธ จะ ติรยิ ญ
ั จะ อะสัมพาธัง อะเวรัง อะสะปตตัง.
บุคคลพึงเจริญเมตตา มีในใจ ไมมีประมาณ ไปในโลกทั้งสิ้น ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ
เบือ้ งเฉียง เปนธรรมอันไมคบั แคบ ไมมเี วร ไมมศี ตั รู.
ติฏฐัญจะรัง นิสนิ โน วา สะยาโน วา ยาวะ ตัสสะ วิคะตะมิทโธ
เอตัง สะติง อะธิฏเฐยยะ. พ๎รหั ม๎ ะเมตัง วิหารัง อิธะมาหุ.
ผเู จริญเมตตาจิตนัน้ ยืนอยกู ด็ ี เดินไปก็ดี นัง่ แลวก็ดี นอนแลวก็ดี เปนผปู ราศจากความ
งวงนอน เพียงใด ก็ตงั้ สติอนั นัน้ ไวเพียงนัน้ . บัณฑิตทัง้ หลายกลาวกิรยิ าอันนีว้ า เปนพรหมวิหาร
ในพระศาสนานี้.
ทิฏฐิญจะ อะนุปะคัมมะ สีละวา ทัสสะเนนะ สัมปนโน
กาเมสุ วิเนยยะ เคธัง นะ หิ ชาตุ คัพภะเสยยัง ปุนะเรตีต.ิ
บุคคลทีม่ เี มตตา ไมเขาถึงทิฏฐิ เปนผมู ศี ลี ถึงพรอมแลวดวยทัศนะ [คือโสดาปตติมรรค]
นำความหมกมนุ ในกามทัง้ หลายออก ยอมไมถงึ ความนอนในครรภอกี โดยแททเี ดียวแล.
34 ทำวั ต ร-สวดมนต
ขันธปริตร
วิรปู ก เขหิ เม เมตตัง. เมตตัง เอราปะเถหิ เม.
ฉัพย๎ าปุตเตหิ เม เมตตัง. เมตตัง กัณห๎ าโคตะมะเกหิ จะ.
ความเปนมิตรของเรา จงมีกับพญานาคทั้งหลายตระกูลวิรูปกข. ความเปนมิตรของเรา
จงมีกบั พญานาคทัง้ หลายตระกูลเอราบถ. ความเปนมิตรของเรา จงมีกบั พญานาคทัง้ หลายตระกูล
ฉัพยาบุตร. ความเปนมิตรของเรา จงมีกบั พญานาคทัง้ หลายตระกูลกัณหโคตมกะ.
อะปาทะเกหิ เม เมตตัง. เมตตัง ทิปาทะเกหิ เม.
จะตุปปะเทหิ เม เมตตัง. เมตตัง พะหุปปะเทหิ เม.
สัตวไมมเี ทา อยาเบียดเบียนเรา. สัตว ๒ เทา อยาเบียดเบียนเรา. สัตว ๔ เทา อยา
เบียดเบียนเรา. สัตวมากเทา อยาเบียดเบียนเรา.
มา มัง อะปาทะโก หิงสิ. มา มัง หิงสิ ทิปาทะโก.
มา มัง จะตุปปะโท หิงสิ. มา มัง หิงสิ พะหุปปะโท.
ความเปนมิตรของเรา จงมีกบั สัตวทงั้ หลาย ทีไ่ มมเี ทา. ความเปนมิตรของเรา จงมีกบั สัตว
ทั้งหลาย ที่มีสองเทา. ความเปนมิตรของเรา จงมีกับสัตวทั้งหลาย ที่มีสี่เทา. ความเปนมิตร
ของเรา จงมีกบั สัตวทงั้ หลาย ทีม่ เี ทามาก.
สัพเพ สัตตา สัพเพ ปาณา สัพเพ ภูตา จะ เกวะลา
สัพเพ ภัทร๎ านิ ปสสันตุ. มา กิญจิ ปาปะมาคะมา.
ขอสรรพสัตวมชี วี ติ ทัง้ หลาย ทีเ่ กิดมาทัง้ หมด จนสิน้ เชิงดวย จงเห็นซึง่ ความเจริญทัง้ หลาย
ทัง้ ปวงเถิด. โทษเลวทรามใดๆ อยาไดมาถึงแกสตั วเหลานัน้ .
อัปปะมาโณ พุทโธ. อัปปะมาโณ ธัมโม. อัปปะมาโณ สังโฆ. ปะมาณะวันตานิ
สิรงิ สะปานิ อะหิ วิจฉิกา สะตะปะที อุณณานาภี สะระพู มูสกิ า.
พระพุทธเจา ทรงพระคุณไมมปี ระมาณ. พระธรรม ทรงพระคุณไมมปี ระมาณ. พระสงฆ
ทรงพระคุณไมมปี ระมาณ. สัตวเสือกคลานทัง้ หลาย คือ งู แมงปอง ตะเข็บ ตะขาบ แมงมุม ตกุ แก
หนู เหลานี้ ลวนมีประมาณ [มีไมมากเหมือนคุณพระรัตนตรัย].
กะตา เม รักขา. กะตา เม ปะริตตา. ปะฏิกกะมันตุ ภูตานิ. โสหัง นะโม
ภะคะวะโต. นะโม สัตตันนัง สัมมาสัมพุทธานัง.
ความรักษาอันเราทำแลว ความปองกันอันเราทำแลว. หมสู ตั วทงั้ หลายจงหลีกไปเสีย. เรา
นัน้ กระทำการนอบนอมแดพระผมู พี ระภาคอย.ู นอบนอมแดพระสัมมาสัมพุทธเจา ๗ พระองคอย.ู
พระปริตร 35
โมรปริตร
อุเทตะยัญจักขุมา เอกะราชา หะริสสะวัณโณ ปะฐะวิปปะภาโส.
พระอาทิตย เปนดวงตาของโลก เปนเอกราช มีสเี พียงดังสีแหงทอง ยังพืน้ แหงปฐพีใหสวาง
อุทัยขึ้นมา.
ตัง ตัง นะมัสสามิ หะริสสะวัณณัง ปะฐะวิปปะภาสัง.
ตะยัชชะ คุตตา วิหะเรมุ ทิวะสัง.
เพราะเหตุนนั้ ขาขอนอบนอมพระอาทิตยนนั้ ซึง่ มีสเี พียงดังสีแหงทอง ยังพืน้ ปฐพีใหสวาง.
ขาทัง้ หลาย อันทานปกครองแลว ในวันนี้ พึงอยเู ปนสุขตลอดวัน.
เย พ๎ราห๎มะณา เวทะคุ สัพพะธัมเม, เต เม นะโม. เต จะ มัง ปาละยันตุ.
พราหมณทงั้ หลายเหลาใด ผถู งึ ซึง่ เวทในธรรมทัง้ ปวง, พราหมณทงั้ หลายเหลานัน้ ขอจง
รับความนอบนอมของขา. อนึง่ พราหมณทงั้ หลายเหลานัน้ ขอจงรักษาขา.
นะมัตถุ พุทธานัง. นะมัตถุ โพธิยา. นะโม วิมตุ ตานัง. นะโม วิมตุ ติยา.
ความนอบนอมของขา จงมีแดพระพุทธเจาทั้งหลาย. ความนอบนอมของขา จงมีแด
พระโพธิญาณ. ความนอบนอมของขา จงมีแดทา นผหู ลุดพนแลวทัง้ หลาย. ความนอบนอมของขา
จงมีแดวิมุตติธรรม.
อิมงั โส ปะริตตัง กัตว๎ า โมโร จะระติ เอสะนา.
นกยูงนั้นไดทำปริตรอันนี้แลว จึงเที่ยวไปเพื่อการแสวงหาอาหาร.
อะเปตะยัญจักขุมา เอกะราชา หะริสสะวัณโณ ปะฐะวิปปะภาโส.
พระอาทิตย เปนดวงตาของโลก เปนเอกราช มีสีเพียงดังสีแหงทอง ยังพื้นปฐพีใหสวาง
ยอมอัสดงคตไป.
ตัง ตัง นะมัสสามิ หะริสสะวัณณัง ปะฐะวิปปะภาสัง.
ตะยัชชะ คุตตา วิหะเรมุ รัตติง.
เพราะเหตุนนั้ ขาขอนอบนอมพระอาทิตยนนั้ ซึง่ มีสเี พียงดังสีแหงทอง ยังพืน้ ปฐพีใหสวาง.
ขาทัง้ หลาย อันทานปกครองแลว ในวันนี้ พึงอยเู ปนสุขตลอดคืน.
เย พ๎ราห๎มะณา เวทะคุ สัพพะธัมเม, เต เม นะโม. เต จะ มัง ปาละยันตุ.
พราหมณทงั้ หลายเหลาใด ผถู งึ ซึง่ เวทในธรรมทัง้ ปวง, พราหมณทงั้ หลายเหลานัน้ ขอจง
รับความนอบนอมของขา. อนึง่ พราหมณทงั้ หลายเหลานัน้ ขอจงรักษาขา.
36 ทำวั ต ร-สวดมนต
นะมัตถุ พุทธานัง. นะมัตถุ โพธิยา. นะโม วิมตุ ตานัง. นะโม วิมตุ ติยา.
ความนอบนอมของขา จงมีแดพระพุทธเจาทั้งหลาย. ความนอบนอมของขา จงมีแด
พระโพธิญาณ. ความนอบนอมของขา จงมีแดทา นผหู ลุดพนแลวทัง้ หลาย. ความนอบนอมของขา
จงมีแดวิมุตติธรรม.
อิมงั โส ปะริตตัง กัตว๎ า โมโร วาสะมะกัปปะยีต.ิ
นกยูงนัน้ ไดทำปริตรอันนีแ้ ลว จึงสำเร็จความอยแู ล.
ฉัททันตปริตร
‘วะธิสสะเมนันติ ปะรามะสันโต
กาสาวะมัททักขิ ธะชัง อิสนี งั
ทุกเขนะ ผุฏฐัสสุทะปาทิ สัญญา
‘อะระหัทธะโช สัพภิ อะวัชฌะรูโป’
พญาชางฉัททันตโพธิสตั ว ไดจบั พรานไพรดวยคิดวา ‘จักฆามัน’ ครัน้ ไดเห็นผากาสาวพัสตร
อันเปนธงชัยของเหลาผแู สวงหาคุณ. ทัง้ ทีไ่ ดรบั ความทุกข [เพราะถูกนายพรานยิงดวยธนู] ก็เกิด
ความรสู กึ วา ‘ธงชัยแหงพระอรหันตอนั สัตบุรษุ ไมพงึ ทำลาย’.
สัลเลนะ วิทโธ พ๎ยะถิโตป สันโต
กาสาวะวัตถัมหิ มะนัง นะ ทุสสะยิ.
สะเจ อิมงั นาคะวะเรนะ สัจจัง,
มา มัง วะเน พาละมิคา อะคัญฉุนติ.
แมพระโพธิสัตวถูกศร ควรจะหวั่นไหว แตเปนผูสงบระงับได ไมทำใจประทุษรายใน
ผากาสาวพัสตร. ถาคำนีอ้ นั พญาชางกลาวจริงแลว, ขอเหลาพาลมฤคสัตวรา ยในพงไพร อยาได
กล้ำกรายตัวเรา.
พระปริตร 37
วัฏฏกปริตร
อัตถิ โลเก สีละคุโณ. สัจจัง โสเจยยะนุททะยา.
เตนะ สัจเจนะ กาหามิ สัจจะกิรยิ ะมะนุตตะรัง.
คุณแหงศีลมีอยใู นโลก. สัจจะ ความสะอาดกาย และความเอ็นดู มีอยใู นโลก. ดวยสัจจะนัน้
ขาพเจาจักทำสัจจกิริยาอันเยี่ยม.
อาวัชชิตว๎ า ธัมมะพะลัง สะริตว๎ า ปุพพะเก ชิเน
สัจจะพะละมะวัสสายะ สัจจะกิริยะมะกาสะหัง.
ข า พเจ า พิ จ ารณาซึ่ ง กำลั ง แห ง ธรรม และระลึ ก ถึ ง พระชิ น เจ า ทั้ ง หลายในปางก อ น
อาศัยกำลังแหงสัจจะ ขอทำสัจจกิรยิ า.
สันติ ปกขา อะปตตะนา. สันติ ปาทา อะวัญจะนา.
มาตา ปตา จะ นิกขันตา. ชาตะเวทะ ปะฏิกกะมะ.
ปกทัง้ หลายของขามีอยู แตบนิ ไมได. เทาทัง้ หลายของขามีอยู แตเดินไมได. มารดาและ
บิดาของขา ออกไปหาอาหาร. ดูกอ นไฟปา ขอทานจงหลีกไป.
สะหะ สัจเจ กะเต มัยหัง มะหาปชชะลิโต สิขี
วัชเชสิ โสฬะสะ กะรีสานิ อุทะกัง ปตว๎ า ยะถา สิข.ี
ครั้นเมื่อสัจจะ อันเราทำแลว เปลวไฟอันรุงเรืองใหญหลีกไป ๑๖ กรีส พรอมกับสัจจะ
ประหนึ่งเปลวไฟอันตกถึงน้ำ.
สัจเจนะ เม สะโม นัตถิ. เอสา เม สัจจะปาระมีต.ิ
สิง่ ใดเสมอดวยสัจจะของเราไมม.ี นีเ้ ปนสัจจบารมีของเรา.
38 ทำวั ต ร-สวดมนต
ธชัคคปริตร
เอวัมเม สุตงั . เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยงั วิหะระติ เชตะวะเน
อะนาถะปณฑิกสั สะ อาราเม. ตัต๎ระ โข ภะคะวา ภิกขู อามันเตสิ “ภิกขะโวติ.
“ภะทันเตติ เต ภิกขู ภะคะวะโต ปจจัสโสสุง. ภะคะวา เอตะทะโวจะ. (หยุด)
ขาพเจาไดสดับมาแลวอยางนี.้ สมัยหนึง่ พระผมู พี ระภาคประทับอยู ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของทานอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี. ในกาลนัน้ แล พระผมู พี ระภาคตรัสเรียก
ภิกษุทั้งหลายมาวา “ภิกษุทั้งหลาย”. ภิกษุเหลานั้นทูลรับพระดำรัสของพระผูมีพระภาคแลว.
พระผูมีพระภาคตรัสพระพุทธพจนนี้วา
“ภูตะปุพพัง ภิกขะเว เทวาสุระสังคาโม สะมุปพ๎ยุฬ๎โห อะโหสิ. อะถะโข
ภิกขะเว สักโก เทวานะมินโท เทเว ตาวะติงเส อามันเตสิ ‘สะเจ มาริสา เทวานัง
สังคามะคะตานัง อุปปชเชยยะ ภะยัง วา ฉัมภิตตั ตัง วา โลมะหังโส วา. มะเมวะ
ตัส๎มิง สะมะเย ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ. มะมัง หิ โว ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง
ยัมภะวิสสะติภะยัง วา ฉัมภิตตั ตัง วา โลมะหังโส วา โส ปะหิยยิสสะติ. โน เจ เม
ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ อะถะ ปะชาปะติสสะ เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ.
ปะชาปะติสสะ หิ โว เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา
ฉัมภิตตั ตัง วา โลมะหังโส วา โส ปะหิยยิสสะติ. โน เจ ปะชาปะติสสะ เทวะราชัสสะ
ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ. อะถะ วะรุณสั สะ เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ.
วะรุณสั สะ หิ โว เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา
ฉัมภิตตั ตัง วา โลมะหังโส วา โส ปะหิยยิสสะติ. โน เจ วะรุณสั สะ เทวะราชัสสะ
ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ. อะถะ อีสานัสสะ เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ.
อีสานัสสะ หิ โว เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา
ฉัมภิตตั ตัง วา โลมะหังโส วา โส ปะหิยยิสสะตีต.ิ
“ภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแลว. สงครามระหวางเทวดากับอสูรประชิดกันแลว. ภิกษุ
ทัง้ หลาย ครัง้ นัน้ แล ทาวสักกะผเู ปนจอมแหงเทพตรัสเรียกเทวดาชัน้ ดาวดึงสมาสัง่ วา ‘แนะ ทานผู
นิรทุกขทงั้ หลาย หากความกลัวก็ดี ความหวาดเสียวก็ดี ความขนพองสยองเกลาก็ดี จะพึงเกิดขึน้
แกพวกเทวดาผูไปในสงคราม. สมัยนั้น พวกทานพึงแลดูยอดธงของเราทีเดียว. เพราะวาเมื่อ
พวกทานแลดูยอดธงของเราอยู ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุงก็ดี ความขนพองสยองเกลาก็ดี
ทีจ่ กั มีขนึ้ ก็จกั หายไป. ถาพวกทานไมแลดูยอดธงของเรา ทีนนั้ พวกทานพึงแลดูยอดธงของทาว
พระปริตร 39
ปชาบดีเทวราชเถิด. เพราะวาเมือ่ พวกทานแลดูยอดธงของทาวปชาบดีเทวราชอยู ความกลัวก็ดี
ความหวาดสะดงุ ก็ดี ความขนพองสยองเกลาก็ดี ทีจ่ กั มีขนึ้ ก็จกั หายไป. หากพวกทานไมแลดูยอด
ธงของทาวปชาบดีเทวราช. ทีนนั้ พวกทานพึงแลดู ยอดธงของทาววรุณเทวราชเถิด. เพราะวาเมือ่
พวกทานแลดูยอดธงของทาววรุณ เทวราชอยู ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดงุ ก็ดี ความขนพองสยอง
เกลาก็ดี ทีจ่ กั มีขนึ้ ก็จกั หายไป. หากพวกทานไมแลดูยอดธงของทาววรุณเทวราช. ทีนนั้ พวก
ทาน พึงแลดูยอดธงของทาวอีสานเทวราชเถิด. เพราะวาเมือ่ พวกทานแลดูยอดธงของทาวอีสาน
เทวราชอยู ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดงุ ก็ดี ความขนพองสยองเกลา ก็ดี ทีจ่ กั มีขนึ้ ก็จกั หายไป.’
ตัง โข ปะนะ ภิกขะเว สักกัสสะ วา เทวานะมินทัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง
ปะชาปะติสสะ วา เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง วะรุณสั สะ วา เทวะราชัสสะ
ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง อีสานัสสะ วา เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง
ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตตั ตัง วา โลมะหังโส วา โส ปะหิยเยถาป โนป
ปะหิยเยถะ ตัง กิสสะ เหตุ สักโก หิ ภิกขะเว เทวานะมินโท อะวีตะราโค อะวีตะโทโส
อะวีตะโมโห ภิรุ ฉัมภี อุต๎ราสี ปะลายีต.ิ
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อพวกเทวดาแลดูยอดธงของทาวสักกะผูเปนจอมแหงเทพก็ดี แลดูยอด
ธงของทาวปชาบดีเทวราชอยกู ด็ ี แลดูยอดธงของทาววรุณเทวราชอยกู ด็ ี แลดูยอดธงของทาว
อีสานเทวราชอยกู ด็ ี ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดงุ ก็ดี ความขนพองสยองเกลาก็ดี ทีจ่ กั มีขนึ้
พึงหายไปไดบา ง ไมไดบา ง. ขอนัน้ เปนเหตุแหงอะไร. ภิกษุทงั้ หลาย เหตุวา ทาวสักกะผเู ปนจอม
แหงเทพ ยังเปนผไู มปราศจากราคะ ไมปราศจากโทสะ ไมปราศจากโมหะ ยังเปนผกู ลัว หวาดสะดงุ
หนีไป อย.ู
“อะหัญจะ โข ภิกขะเว เอวัง วะทามิ สะเจ ตุมห๎ ากัง ภิกขะเว อะรัญญคะตานัง
วา รุกขะมูละคะตานัง วา สุญญาคาระคะตานัง วา อุปปชเชยยะ ภะยัง วา ฉัมภิตตั ตัง
วา โลมะหังโส วา มะเมวะ ตัส๎มงิ สะมะเย อะนุสสะเรยยาถะ. (หยุด)
“ภิกษุทงั้ หลาย สวนเราแล กลาวอยางนีว้ า ภิกษุทงั้ หลาย หากความกลัวก็ดี ความหวาด
สะดงุ ก็ดี ความขนพองสยองเกลาก็ดี พึงบังเกิดแกพวกเธอผไู ปในปาก็ดี อยทู โี่ คนไมกด็ ี อยใู น
เรือนทีว่ า งเปลาก็ดี ทีนัน้ พวกเธอพึงตามระลึกถึงเรานีแ้ หละวา
‘อิตปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปนโน สุคะโต
โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุรสิ ะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ
มะมัง หิ โว ภิกขะเว อะนุสสะระตัง ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา
โลมะหังโส วา โส ปะหิยยิสสะติ.
40 ทำวั ต ร-สวดมนต
อาฏานาฏิยปริตร
วิปส สิสสะ นะมัตถุ จักขุมนั ตัสสะ สิรมี ะโต.
สิขสิ สะป นะมัตถุ สัพพะภูตานุกมั ปโน.
ความนอบนอมแหงขาพเจา จงมีแดพระวิปส สีพทุ ธเจา ผมู จี กั ษุ ผมู สี ริ .ิ ความนอบนอม
แหงขาพเจา จงมีแมแดพระสิขพี ทุ ธเจา ผมู ปี กติอนุเคราะหแกสตั วโลกทัง้ ปวง.
เวสสะภุสสะ นะมัตถุ น๎หาตะกัสสะ ตะปสสิโน.
นะมัตถุ กะกุสนั ธัสสะ มาระเสนัปปะมัททิโน.
ความนอบนอมแหงขาพเจา จงมีแดพระเวสสภูพุทธเจา ผูมีกิเลสอันลางแลว ผูมีตบะ.
ความนอบนอมแหงขาพเจา จงมีแดพระกกุสันธพุทธเจา ผูย่ำยีมารและเสนา.
โกนาคะมะนัสสะ นะมัตถุ พ๎ราห๎มะณัสสะ วุสมี ะโต.
กัสสะปสสะ นะมัตถุ วิปปะมุตตัสสะ สัพพะธิ.
อังคีระสัสสะ นะมัตถุ สักย๎ ะปุตตัสสะ สิรมี ะโต.
ความนอบนอมแหงขาพเจา จงมีแดพระโกนาคมนพุทธเจา ผูมีบาปอันลอยแลว ผูมี
พรหมจรรยอนั อยจู บแลว. ความนอบนอมแหงขาพเจา จงมีแดพระกัสสปพุทธเจา ผพู น แลวจากกิเลส
ทัง้ ปวง. ความนอบนอมแหงขาพเจา จงมีแดพระอังคีรสพุทธเจา ผเู ปนโอรสแหงสักยราช ผมู สี ริ .ิ
โย อิมงั ธัมมะมะเทเสสิ สัพพะทุกขาปะนูทะนัง,
เย จาป นิพพุตา โลเก ยะถาภูตงั วิปส สิสงุ ,
เต ชะนา อะปสณ ุ า มะหันตา วีตะสาระทา.
พระพุทธเจาพระองคใด ไดทรงแสดงแลวซึง่ ธรรมนี้ เปนเครือ่ งบรรเทาทุกขทงั้ ปวง, อนึง่
พระพุทธเจาเหลาใดก็ดี ที่ดับกิเลสแลวในโลก เห็นแจงธรรมตามความเปนจริง, พระพุทธเจา
เหลานัน้ เปนผไู มมคี วามสอเสียด ผเู ปนใหญ ผปู ราศจากความครัน่ คราม.
หิตงั เทวะมะนุสสานัง ยัง นะมัสสันติ โคตะมัง
วิชชาจะระณะสัมปนนัง มะหันตัง วีตะสาระทัง,
วิชชาจะระณะสัมปนนัง พุทธัง วันทามะ โคตะมันติ.
เทพยดาและมนุษยทั้งหลาย นอบนอมอยู ซึ่งพระพุทธเจาพระองคใด ผูโคตมโคตร
ผเู ปนประโยชนเกือ้ กูลแกเทพยดาและมนุษยทงั้ หลาย ถึงพรอมแลวดวยวิชชาและจรณะ ผเู ปนใหญ
ผปู ราศจากความครัน่ คราม, ขาพเจาทัง้ หลาย ขอนมัสการพระพุทธเจาพระองคนนั้ ผโู คตมโคตร
ผูถึงพรอมแลวดวยวิชชาและจรณะ.
พระปริตร 43
อังคุลิมาลปริตร
ยะโตหัง ภะคินิ อะริยายะ ชาติยา ชาโต, นาภิชานามิ สัญจิจจะ ปาณัง ชีวติ า
โวโรเปตา. เตนะ สัจเจนะ โสตถิ เต โหตุ, โสตถิ คัพภัสสะ.
ดูกอ นนองหญิง ตัง้ แตเราเกิดแลวโดยชาติอริยะ ไมรจู กั แกลง [คือจงใจ] ปลงสัตวมชี วี ติ
จากชีวติ . ดวยคำสัตยนี้ ขอความสวัสดีจงมีแกทา น ขอความสวัสดีจงมีแกครรภของทาน.
โพชฌังคปริตร
โพชฌังโค สะติสงั ขาโต ธัมมานัง วิจะโย ตะถา
วิรยิ มั ปตปิ ส สัทธิ- โพชฌังคา จะ ตะถาปะเร
สะมาธุเปกขะโพชฌังคา สัตเตเต สัพพะทัสสินา
มุนนิ า สัมมะทักขาตา ภาวิตา พะหุลกี ะตา
สังวัตตันติ อะภิญญายะ นิพพานายะ จะ โพธิยา.
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา.
โพชฌงค ๗ ประการ คือ สติสัมโพชฌงค ธรรมวิจยสัมโพชฌงค วิริยสัมโพชฌงค
ปตสิ มั โพชฌงค ปสสัทธิสมั โพชฌงค สมาธิสมั โพชฌงค อุเบกขาสัมโพชฌงค อันพระมุนเี จาผเู ห็น
ธรรมทัง้ ปวง ตรัสไวชอบแลว อันบุคคลมาเจริญ ทำใหมากแลว ยอมเปนไปเพือ่ ความรยู งิ่ เพือ่
นิพพาน และเพือ่ ความตรัสร.ู ดวยความกลาวสัตยนี้ ขอความสวัสดีจงมีแกทา นทุกเมือ่ .
เอกัสม๎ งิ สะมะเย นาโถ โมคคัลลานัญจะ กัสสะปง
คิลาเน ทุกขิเต ทิสว๎ า โพชฌังเค สัตตะ เทสะยิ.
เต จะ ตัง อะภินนั ทิตว๎ า โรคา มุจจิงสุ ตังขะเณ.
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา.
ในสมัยหนึง่ พระโลกนาถเจา ทอดพระเนตรเห็นพระโมคคัลลานะและพระกัสสปะ เปนไข
ถึงทุกขเวทนาแลว ทรงแสดงโพชฌงค ๗ ประการ. ทานทัง้ ๒ ก็เพลิดเพลินภาษิตนัน้ หายจาก
โรคในขณะนัน้ . ดวยความกลาวสัตยนี้ ขอความสวัสดีจงมีแกทา นทุกเมือ่ .
44 ทำวัตร-สวดมนต
เอกะทา ธัมมะราชาป เคลัญเญนาภิปฬิโต
จุนทัตเถเรนะ ตัญเญวะ ภะณาเปต๎วานะ สาทะรัง
สัมโมทิตว๎ า จะ อาพาธา ตัมห๎ า วุฏฐาสิ ฐานะโส.
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา.
ครั้งหนึ่ง แมพระธรรมราชา อันความประชวรเบียดเบียนแลว รับสั่งใหพระจุนทเถระ
แสดงโพชฌงคนนั้ โดยยินดี ก็ทรงบันเทิงพระหทัย หายความประชวรไปโดยฐานะ. ดวยความกลาว
สัตยนี้ ขอความสวัสดีจงมีแกทา นทุกเมือ่ .
ปะหีนา เต จะ อาพาธา ติณณันนัมป มะเหสินงั
มัคคาหะตะกิเลสาวะ ปตตานุปปตติธมั มะตัง.
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา.
ก็อาพาธทัง้ หลายนัน้ อันพระผแู สวงคุณอันใหญทงั้ ๓ องคละไดแลว ถึงความไมบงั เกิดเปน
ธรรมดา ดุจกิเลสอันมรรคกำจัดแลว. ดวยความกลาวสัตยนี้ ขอความสวัสดีจงมีแกทา นทุกเมือ่ .
พระปริตร 45
อภยปริตร
ยันทุนนิมติ ตัง อะวะมังคะลัญจะ
โย จามะนาโป สะกุณสั สะ สัทโท
ปาปคคะโห ทุสสุปน งั อะกันตัง.
พุทธานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ.
ยันทุนนิมติ ตัง อะวะมังคะลัญจะ
โย จามะนาโป สะกุณสั สะ สัทโท
ปาปคคะโห ทุสสุปน งั อะกันตัง.
ธัมมานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ.
ยันทุนนิมติ ตัง อะวะมังคะลัญจะ
โย จามะนาโป สะกุณสั สะ สัทโท
ปาปคคะโห ทุสสุปน งั อะกันตัง.
สังฆานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ.
ลางชัว่ รายอันใด และอวมงคลอันใด เสียงนกเปนทีไ่ มชอบใจอันใด และบาปเคราะหอนั ใด
สุบนิ (ความฝน) ชัว่ อันไมพอใจอันใด มีอย.ู ขอสิง่ เหลานัน้ จงถึงความพินาศไป ดวยอานุภาพ
แหงพระพุทธเจา-พระธรรม-พระสงฆ.
ถวายพรพระ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ. (๓ หน)
อิติป โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปนโน สุคะโต
โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุรสิ ะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ.
พระผมู พี ระภาคเจาพระองคนนั้ เปนพระอรหันต ตรัสรดู โี ดยชอบดวยพระองคเอง ทรงถึง
พรอมดวยวิชชาและจรณะ (ความรแู ละความประพฤติ) เสด็จไปดี (คือไปทีใ่ ดก็ยงั ประโยชนใหทนี่ นั้ )
ทรงรแู จงโลก ทรงเปนสารถีฝก คนทีค่ วรฝก หาผอู นื่ เปรียบมิได ทรงเปนศาสดาของเทวดาและ
มนุษยทงั้ หลาย ทรงเปนผตู นื่ เปนผทู รงจำแนกธรรม.
ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปส สิโก โอปะนะยิโก
ปจจัตตัง เวทิตพั โพ วิญูหตี .ิ
พระธรรมอันพระผมู พี ระภาคเจาตรัสดีแลว อันผปู ฏิบตั เิ ห็นชอบไดดว ยตนเอง ไมประกอบ
ดวยกาลเวลา ควรเรียกมาดูได ควรนอบนอมเขาไปหา อันผรู พู งึ รไู ดเฉพาะตน.
สุปะฏิปน โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชปุ ะฏิปน โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
ญายะปะฏิปน โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจปิ ะฏิปน โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
ยะทิทงั จัตตาริ ปุรสิ ะยุคานิ อัฏฐะ ปุรสิ ะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง
โลกัสสาติ.
พระสงฆสาวกของพระผมู พี ระภาค เปนผปู ฏิบตั ดิ แี ลว พระสงฆสาวกของพระผมู พี ระภาค
เปนผปู ฏิบตั ติ รง พระสงฆสาวกของพระผมู พี ระภาคเปนผปู ฏิบตั เิ พือ่ ความรู พระสงฆสาวกของ
พระผูมีพระภาคเปนผูปฏิบัติชอบ พระสงฆสาวกของพระผูมีพระภาคนั้น จัดเปนบุรุษ ๔ คู
เปนบุคคล ๘ เปนผคู วรบูชา เปนผคู วรรับทิกษิณา เปนผคู วรกราบไหว เปนเนือ้ นาบุญของโลก
หาสิ่งอื่นเปรียบมิได.
48 ทำวั ต ร-สวดมนต
พุทธชัยมงคลคาถา
พาหุง สะหัสสะมะภินมิ มิตะสาวุธนั ตัง พระจอมมุนไี ดชนะพญามารผนู ริ มิตแขนมากตัง้ พัน
ค๎รเี มขะลัง อุทติ ะโฆระสะเสนะมารัง ถืออาวุธครบมือ ขีค่ ชสารครีเมขละ พรอมดวย
ทานาทิธมั มะวิธนิ า ชิตะวา มุนนิ โท. เสนามารโหรอ งกองกึก ดวยธรรมวิธมี ที านบารมี
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ. เปนตน. ขอชัยมงคลทัง้ หลาย จงมีแกทา น ดวย
เดชแหงพระพุทธชัยมงคลนั้น.
มาราติเรกะมะภิยชุ ฌิตะสัพพะรัตติง พระจอมมุนีไดชนะอาฬวกยักษผูมีจิตกระดาง
โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง ปราศจากความอดทน มีฤทธิพ์ ลิ กึ ยิง่ กวาพญามาร
ขันตีสทุ นั ตะวิธนิ า ชิตะวา มุนนิ โท. เขามาตอสยู งิ่ นัก จนตลอดรงุ ดวยวิธที รมาน
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ. เปนอันดีคอื พระขันติ. ขอชัยมงคลทัง้ หลายจงมี
แกทา น ดวยเดชแหงพระพุทธชัยมงคลนัน้
นาฬาคิรงิ คะชะวะรัง อะติมตั ตะภูตงั พระจอมมุนีไดชนะชางตัวประเสริฐชื่อนาฬาคีรี
ทาวัคคิจกั กะมะสะนีวะ สุทารุณนั ตัง เปนชางเมามันยิ่งนัก แสนที่จะทารุณประดุจ
เมตตัมพุเสกะ วิธนิ า ชิตะวา มุนนิ โท. เพลิงปา จักราวุธ และสายฟา ดวยวิธรี ดลงดวย
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ. น้ำคือพระเมตตา. ขอชัยมงคลทัง้ หลายจงมีแก
ทาน ดวยเดชแหงพระพุทธชัยมงคลนัน้ .
อุกขิตตะขัคคะมะติหตั ถะสุทารุณนั ตัง พระจอมมุนีมีพระหฤทัยไปในที่จะกระทำอิทธิ-
ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง ปาฏิ ห าริ ย ได ช นะโจรชื่ อ องคุ ลิ ม าล ๑ แสน
อิทธีภสิ งั ขะตะมะโน ชิตะวา มุนนิ โท. รายกาจมีฝมือ ถือดาบเงื้อวิ่งไลพระองคไปสิ้น
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ. ทางสามโยชน. ขอชัยมงคลทัง้ หลายจงมีแกทา น
ดวยเดชแหงพระพุทธชัยมงคลนั้น
กัตว๎ านะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินยี า พระจอมมุ นี ไ ด ช นะความกล า วร า ยของนาง
จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ จิญจมาณวิกา ทำอาการประดุจวามีครรภ เพราะ
สันเตนะ โสมะวิธนิ า ชิตะวา มุนนิ โท. ทำไมมีสัณฐานอันกลม ใหเปนประดุจมีทอง
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ. ดวยวิธสี มาธิอนั งาม คือความระงับพระหฤทัย.
ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแกทาน ดวยเดชแหง
พระพุทธชัยมงคลนั้น.
๑
ผมู พี วงดอกไมคอื นิว้ มนุษย
พระปริตร 49
สัจจัง วิหายะ มะติสจั จะกะวาทะเกตุง พระจอมมุนรี งุ เรืองแลวดวยประทีปคือพระปญญา
วาทาภิโรปตะมะนัง อะติอนั ธะภูตงั ไดชนะสัจจกนิครนถ ผมู อี ชั ฌาสัยในทีจ่ ะละเสีย
ปญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนนิ โท. ซึ่งความสัตย มีใจในที่จะยกถอยคำของตนใหสูง
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ. ดุจยกธง เปนผมู ดื มนยิง่ นัก ดวยเทศนาญาณวิธี คือ
รอู ชั ฌาสัยแลวตรัสเทศนา. ขอชัยมงคลทัง้ หลาย
จงมีแกทา น ดวยเดชแหงพระพุทธชัยมงคลนัน้ .
นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพธุ งั มะหิทธิง พระจอมมุนี โปรดใหพระโมคคัลลานเถระผูเปน
ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต พุทธชิโนรส นิรมิตกายเปนนาคราชไปทรมาน
อิทธูปะเทสะวิธนิ า ชิตะวา มุนนิ โท. พญานาคชือ่ นันโทปนันทะ ผมู คี วามรผู ดิ มีฤทธิม์ าก
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ. ดวยวิธีอันใหอุปเทศแหงฤทธิ์แกพระเถระ. ขอ
ชั ย มงคลทั้ ง หลายจงมี แ ก ท า น ด ว ยเดชแห ง
พระพุทธชัยมงคลนั้น.
ทุคคาหะทิฏฐิภชุ ะเคนะ สุทฏั ฐะหัตถัง พระจอมมุนีไดชนะพรหมผูมีนามวาพกา ผูมีฤทธิ์
พ๎รหั ม๎ งั วิสทุ ธิชตุ มิ ทิ ธิพะกาภิธานัง ผมู อี นั สำคัญตนวาเปนผรู งุ เรืองดวยคุณอันบริสทุ ธิ์
ญาณาคะเทนะ วิธนิ า ชิตะวา มุนนิ โท. ผู มี มื อ อั น ท า วภุ ช งค คื อ ทิ ฏ ฐิ ที่ ต นถื อ ผิ ด รึ ง รั ด ไว
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ. แนนแฟนแลว ดวยวิธวี างยาอันพิเศษคือ เทศนาญาณ.
ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแกทาน ดวยเดชแหง
พระพุทธชัยมงคลนั้น.
เอตาป พุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถา นรชนใด มีปญ ญาไมเกียจคราน สวดก็ดี ระลึกก็ดี
โย วาจะโน ทินะทิเน สะระเตมะตันที ซึง่ พระพุทธชัยมงคล ๘ คาถาแมเหลานีท้ กุ ๆ วัน.
หิตว๎ านะเนกะวิวธิ านิ จุปท ทะวานิ นรชนนั้นพึงละเสียไดซึ่งอุปทวันตรายทั้งหลาย
โมกขัง สุขงั อะธิคะเมยยะ นะโร สะปญโญ. มีประการตางๆ เปนอเนก ถึงโมกขธรรมอัน
เปนสุขแล.
50 ทำวั ต ร-สวดมนต
ชยปริตร
มะหาการุณโิ ก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินงั
ปูเรต๎วา ปาระมี สัพพา ปตโต สัมโพธิมตุ ตะมัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เต ชะยะมังคะลัง.
พระสัมมาสัมพุทธเจา ผเู ปนทีพ่ งึ่ ของสัตวโลก ประกอบแลวดวยพระมหากรุณา ทรงยังบารมี
ทัง้ หลายทัง้ ปวงใหเต็ม เพือ่ ประโยชนแกสรรพสัตวทงั้ หลาย ทรงบรรลุแลวซึง่ ความตรัสรอู นั สูงสุด.
ดวยคำสัตยนี้ ขอชัยมงคลจงมีแกทา น.
ชะยันโต โพธิยา มูเล สัก๎ยานัง นันทิวฑั ฒะโน
เอวัง ต๎วงั วิชะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล
อะปะราชิตะปลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร
อะภิเสเก สัพพะพุทธานัง อัคคัปปตโต ปะโมทะติ.
ขอทานจงมีชัยชนะ เหมือนพระพุทธเจาทรงชนะมารที่โคนโพธิพฤกษ ถึงความเปนผูเลิศ
ในสรรพพุทธาภิเษก ทรงปราโมทยอยูบนอปราชิตบัลลังก [บัลลังกอันไมพายแพ] อันสูง เปน
จอมมหาปฐพี ทรงเพิม่ พูนความยินดีแกเหลาประยูรญาติศากยวงศ ฉะนัน้ เทอญ.
สุนกั ขัตตัง สุมงั คะลัง สุปะภาตัง สุหฏุ ฐิตงั
สุกขะโณ สุมหุ ตุ โต จะ สุยฏิ ฐัง พ๎รัห๎มะจาริสุ
เวลาที่บุคคลประพฤติชอบ ชื่อวาเปนฤกษดี มงคลดี สวางดี รุงดี ขณะดี ครูดี บูชาดี
ในพรหมจารีบุคคลทั้งหลาย.
ปะทักขิณงั กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณงั
ปะทักขิณงั มะโนกัมมัง ปะณิธี เต ปะทักขิณา
ปะทักขิณานิ กัต๎วานะ ละภันตัตเถ ปะทักขิเณ.
กรรมอันเปนประทักษิณ [อาการแสดงความเคารพ] ทางกาย กรรมอันเปนประทักษิณทาง
วาจา กรรมอันเปนประทักษิณทางใจ ความปรารถนาของทาน เปนประทักษิณ. สัตวทงั้ หลาย
ทำกรรมอันเปนประทักษิณ ยอมไดประโยชนทงั้ หลายอันเปนประทักษิณ.
พระปริตร 51
มงคลจักรวาฬใหญ
สิ ริ ธิ ติ ม ะติ เ ตโชชะยะสิ ท ธิ ม ะหิ ท ธิ ม ะหาคุ ณ าปะริ มิ ต ะปุ ญ ญาธิ ก ารั ส สะ
สัพพันตะรายะนิวาระณะสะมัตถัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ท๎วัตติงสะมะหาปุริสะลักขะณานุภาเวนะ
ดวยอานุภาพแหงพระมหาปุรสิ ลักษณะ ๓๒ ประการ แหงพระผมู พี ระภาคผอู รหันต ผตู รัสรู
แลวเองโดยชอบ ผูมีบุญญาธิการอันกำหนดไมได ดวยพระฤทธิ์อันใหญ และพระคุณอันใหญ
อันสำเร็จดวยพระสิริ พระปญญาเครือ่ งตัง้ มัน่ พระปญญาเครือ่ งรู พระเดช และพระชัย ผสู ามารถ
ในการหามเสียซึ่งสรรพอันตราย
อะสีต๎ยานุพ๎ยญ
ั ชะนานุภาเวนะ อัฏุตตะระสะตะมังคะลานุภาเวนะ ฉัพพัณณะ-
รังสิยานุภาเวนะ เกตุมาลานุภาเวนะ ทะสะปาระมิตานุภาเวนะ ทะสะอุปะปาระมิตานุ-
ภาเวนะ ทะสะปะระมัตถะปาระมิตานุภาเวนะ สีละสะมาธิปญ ญานุภาเวนะ พุทธานุ-
ภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ
ดวยอานุภาพแหงพระอนุพยัญชนะ ๘๐ มงคล ๑๐๘ พระรัศมีมีสี ๖ พระเกตุมาลา
พระบารมี ๑๐ พระอุปบารมี ๑๐ พระปรมัตถบารมี ๑๐ ศีล สมาธิ ปญญา พระพุทธรัตนะ
พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ
เตชานุภาเวนะ อิทธานุภาเวนะ พะลานุภาเวนะ เญยยะธัมมานุภาเวนะ
จะตุราสีตสิ ะหัสสะธัมมักขันธานุภาเวนะ นะวะโลกุตตะระธัมมานุภาเวนะ อัฏฐังคิกะ-
มัคคานุภาเวนะ อัฏฐะสะมาปตติยานุภาเวนะ ฉะฬะภิญญานุภาเวนะ จะตุสัจจะ-
ญาณานุภาเวนะ
ดวยอานุภาพแหงพระเดช พระฤทธิ์ พระกำลัง พระเญยยธรรม พระธรรมขันธ ๘๔,๐๐๐
พระโลกุตตรธรรม ๙ พระอริยมรรคมีองค ๘ พระสมาบัติ ๘ พระอภิญญา ๖ พระญาณในสัจจะ ๔
ทะสะพะละญาณานุภาเวนะ สัพพัญุตะญาณานุภาเวนะ เมตตากะรุณามุทติ า
อุเปกขานุภาเวนะ สัพพะปะริตตานุภาเวนะ
ดวยอานุภาพแหงพระญาณมีกำลัง ๑๐ พระสัพพัญุตญาณ พระเมตตา กรุณา
มุทติ า อุเบกขา พระปริตรทัง้ ปวง
ระตะนัตตะยะสะระณานุภาเวนะ
ดวยอานุภาพแหงพระรัตนตรัย [ทีก่ ลาวมานี]้
52 ทำวั ต ร-สวดมนต
เทวตาอุยโยชนคาถา
ทุกขัปปตตา จะ นิททุกขา ภะยัปปตตา จะ นิพภะยา
โสกัปปตตา จะ นิสโสกา โหนตุ สัพเพป ปาณิโน.
ขอสรรพสัตวทงั้ หลายทีถ่ งึ แลวซึง่ ทุกข จงเปนผไู มมที กุ ข และทีถ่ งึ แลวซึง่ ภัย จงเปนผไู มมี
ภัย และทีถ่ งึ แลวซึง่ โศก จงเปนผไู มมโี ศก ดวยกันทัง้ หมดทุกตัวตนเถิด.
เอตตาวะตา จะ อัมเหหิ สัมภะตัง ปุญญะสัมปะทัง
สัพเพ เทวานุโมทันตุ สัพพะสัมปตติสทิ ธิยา
อนึ่ง ขอเทวดาทั้งหลาย จงอนุโมทนาซึ่งสมบัติ อันเราทั้งหลายกอสรางแลว ดวยเหตุมี
ประมาณเทานี้ เพือ่ อันสำเร็จสมบัตทิ งั้ ปวง.
ทานัง ทะทันตุ สัทธายะ สีลงั รักขันตุ สัพพะทา
ภาวะนาภิระตา โหนตุ. คัจฉันตุ เทวะตาคตา. (หยุด)
มนุษยทงั้ หลาย จงใหทานดวยศรัทธา จงรักษาศีลในกาลทัง้ ปวง จงเปนผยู นิ ดีแลวใน
ภาวนา. เทพดาทัง้ หลายทีม่ าแลว ขอเชิญกลับไปเถิด.
สัพเพ พุทธา พะลัปปตตา ปจเจกานัญจะ ยัง พะลัง
อะระหันตานัญจะ เตเชนะ รักขัง พันธามิ สัพพะโส.
พระพุทธเจาทัง้ หลาย ลวนทรงพระกำลังทัง้ หมด. กำลังใดแหงพระปจเจกพุทธเจาทัง้ หลาย และ
แหงพระอรหันตทงั้ หลายมีอย,ู ขาพเจาขอผูกความรักษา ดวยเดชแหงกำลังนัน้ โดยประการทัง้ ปวง.
54 ทำวั ต ร-สวดมนต
บทขัดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
อะนุตตะรัง อะภิสมั โพธิง สัมพุชฌิตว๎ า ตะถาคะโต,
ปะฐะมัง ยัง อะเทเสสิ ธัมมะจักกัง อะนุตตะรัง,
สัมมะเทวะ ปะวัตเตนโต โลเก อัปปะฏิวตั ติยงั ,
พระตถาคตเจา ครัน้ ไดตรัสรพู ระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแลว เมือ่ จะทรงประกาศธรรม
ทีใ่ ครๆ ยังมิไดใหเปนไปแลวในโลก ใหเปนไปโดยชอบแท ไดทรงแสดงพระอนุตตรธรรมจักรใดกอน.
ยัตถากขาตา อุโภ อันตา ปะฏิปต ติ จะ มัชฌิมา,
จะตูส๎วาริยะสัจเจสุ วิสทุ ธัง ญาณะทัสสะนัง,
ในธรรมจักรใด พระองคตรัสทีส่ ดุ ๒ ประการ และขอปฏิบตั สิ ายกลาง และปญญาเครือ่ ง
รเู ห็นอันหมดจด ในอริยสัจ ๔.
เทสิตงั ธัมมะราเชนะ สัมมาสัมโพธิกติ ตะนัง,
นาเมนะ วิสสุตงั สุตตัง ธัมมะจักกัปปะวัตตะนัง,
เวยยากะระณะปาเฐนะ สังคีตนั ตัมภะณามะ เส.
พวกเราทัง้ หลาย จงรวมกันสวดพระธรรมจักรนัน้ ทีพ่ ระองคผธู รรมราชา ทรงแสดงไวแลว
มีชอื่ ปรากฏวา ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เปนพระสูตรประกาศพระสัมมาสัมโพธิญาณ อันพระสังคีต-ิ
กาจารยรอ งกรองไว โดยทำเปนบทสวดถูกหลักไวยากรณ เทอญ.
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
เอวัมเม สุตัง. เอกัง สะมะยัง ภะคะวา พาราณะสิยัง วิหะระติ อิสิปะตะเน
มิคะทาเย. ตัตร๎ ะ โข ภะคะวา ปญจะวัคคิเย ภิกขู อามันเตสิ.
ขาพเจา (คือพระอานนท) ไดสดับมาแลวอยางนี.้ สมัยหนึง่ พระผมู พี ระภาคเจาเสด็จประทับ
อยทู ปี่ า อิสปิ ตนมฤคทายวัน ใกลเมืองพาราณสี. พระผมู พี ระภาคเจาตรัสเรียกภิกษุปญ จวัคคีย ใน
ทีน่ นั้ แล (ทรงแสดงธรรม) วา
เท๎วเม ภิกขะเว อันตา ปพพะชิเตนะ นะ เสวิตพั พา. โย จายัง กาเมสุ กามะ-
สุขลั ลิกานุโยโค หีโน คัมโม โปถุชชะนิโก อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต. โย จายัง อัตตะ-
กิละมะถานุโยโค ทุกโข อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต. เอเต เต ภิกขะเว อุโภ อันเต
อะนุปะคัมมะ มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะ-
กะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ.
พระปริตร 55
ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย ทีส่ ดุ โตง ๒ อยางนี้ บรรพชิตไมควรเสพ. คือ การประกอบความ
เปนผตู ดิ กามสุขในกามทัง้ หลาย นีใ้ ด เปนของคนเพศต่ำ เปนของชาวบาน เปนของปุถชุ น ไมใช
ของพระอริยะ ไมประกอบดวยประโยชน อยางหนึง่ . คือ การประกอบความทำตนใหลำบาก นี้
ใด ใหเกิดทุกขแกผปู ระกอบเปลาๆ ไมใชอริยธรรม ไมประกอบดวยประโยชน อยางหนึง่ . ดูกอ น
ภิกษุทงั้ หลาย นีแ่ นะ ขอปฏิบตั สิ ายกลาง ไมขอ งแวะทีส่ ดุ โตงสองอยางนัน่ นัน้ ตถาคตได
ตรัสรแู ลว เปนเหตุใหเกิดธรรมจักษุ เปนเหตุใหเกิดญาณ เปนไปเพือ่ ความสงบ ระงับ เพือ่
ความรยู งิ่ เพือ่ ความตรัสรู เพือ่ พระนิพพาน.
กะตะมา จะ สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา
จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ
สังวัตตะติ. อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค เสยยะถีทงั สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป
สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธิ.
อะยัง โข สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสมั พุทธา จักขุกะระณี
ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ.
ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย ก็ขอ ปฏิบตั สิ ายกลาง ทีต่ ถาคตไดตรัสรแู ลว เปนเหตุใหเกิดธรรมจักษุ
เปนเหตุใหเกิดญาณ ยอมเปนไปเพือ่ ความสงบระงับ เพือ่ ความรยู งิ่ เพือ่ ความตรัสรู เพือ่ พระนิพพาน
นัน้ คืออะไร. อริยมรรคมีองค ๘ นี้เอง กลาวคือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ วาจาชอบ การงาน
ชอบ ความเลีย้ งชีวติ ชอบ ความเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตัง้ จิตชอบ. ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย
ขอปฏิบัติสายกลางนี้แล ที่ตถาคตไดตรัสรูแลว เปนเหตุใหเกิด ธรรมจักษุ เปนเหตุใหเกิดญาณ
ยอมเปนไปเพือ่ ความสงบระงับ เพือ่ ความรยู งิ่ เพือ่ ความตรัสรู เพือ่ พระนิพพาน.
อิทงั โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง ชาติป ทุกขา ชะราป ทุกขา
มะระณั ม ป ทุ ก ขั ง โสกะปะริ เ ทวะทุ ก ขะโทมะนั ส สุ ป ายาสาป ทุ ก ขา อั ป ป เ ยหิ
สัมปะโยโค ทุกโข ปเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ยัมปจฉัง นะ ละภะติ ตัมป ทุกขัง
สังขิตเตนะ ปญจุปาทานักขันธา ทุกขา. อิทงั โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะสะมุทะโย
อะริยะสัจจัง ยายัง ตัณห๎ า โปโนพภะวิกา นันทิราคะสะหะคะตา ตัตร๎ ะ ตัตร๎ าภินนั ทินี
เสยยะถีทัง กามะตัณ๎หา ภะวะตัณ๎หา วิภะวะตัณ๎หา. อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว
ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง โย ตัสสาเยวะ ตัณ๎หายะ อะเสสะวิราคะนิโรโธ จาโค
ปะฏินสิ สัคโค มุตติ อะนาละโย. อิทงั โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา
อะริยะสัจจัง อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค เสยยะถีทงั สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป
สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธิ. (หยุด)
56 ทำวั ต ร-สวดมนต
ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย ก็อนั นีแ้ ล ชือ่ วา ทุกขอริยสัจ คือ แมความเกิดก็เปนทุกข แมความ
แกกเ็ ปนทุกข แมความตายก็เปนทุกข แมความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไมสบายกายไมสบาย
ใจ ความคับแคนใจ ก็เปนทุกข ความตองประสบกับสิง่ อันไมเปนทีร่ กั ก็เปนทุกข ความตองพลัดพราก
จากสิง่ อันเปนทีร่ กั ก็เปนทุกข ปรารถนาสิง่ ใดไมไดสงิ่ นัน้ ก็เปนทุกข วาโดยยอ อุปาทานขันธ ๕
เปนตัวทุกข. ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย อันนีแ้ ล ชือ่ วา ทุกขสมุทยั อริยสัจ คือตัณหานีใ้ ด ทำใหมภี พ
อีก [ไมจบสิน้ ] ไปดวยกันกับความยินดีพอใจ มงุ หนาเพลิดเพลินในอารมณนนั้ ๆ [ไมรจู กั พอ] ตัณหา
นี้นั้นคืออะไร คือความทะยานอยากในกาม ความทะยานอยากในความมีความเปน ความ
ทะยานอยาก ในความไมมไี มเปน. ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย อันนีแ้ ล ชือ่ วา ทุกขนิโรธอริยสัจ คือความ
ดับโดยสำรอกออกอยางไมเหลือแหงตัณหานัน้ นัน่ แหละ ความสละ ความละทิง้ ความปลอยวาง ความไม
อาลัยตัณหานัน้ นัน่ แหละ. ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย อันนีแ้ ล ชือ่ วา ทุกขนิโรธคามินปี ฏิปทาอริยสัจ
คือ อริยมรรคมีองค ๘ นัน่ เอง กลาวคือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ วาจาชอบ การงานชอบ
ความเลีย้ งชีวติ ชอบ ความเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตัง้ จิตชอบ.
อิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง
อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ.
ตัง โข ปะนิทงั ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญเญยยันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ
ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก
อุทะปาทิ. ตัง โข ปะนิทงั ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญญาตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ
อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา
อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ.
ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย จักษุ ญาณ ปญญา วิชชา แสงสวาง ไดเกิดขึน้ แกเรา ในธรรมทัง้ หลาย
ทีเ่ ราไมเคยฟงมากอนวา นี้เปนทุกขอริยสัจ. อนึง่ จักษุ ญาณ ปญญา วิชชา แสงสวาง ไดเกิดขึน้ แก
เรา ในธรรมทัง้ หลายทีเ่ ราไมเคยฟงมากอนวา ก็ ทุกขอริยสัจนีน้ นั้ แล เปนสิง่ ทีค่ วรกำหนดร.ู อนึง่
จักษุ ญาณ ปญญา วิชชา แสงสวาง ไดเกิดขึน้ แกเรา ในธรรมทัง้ หลายทีเ่ ราไมเคยฟงมากอนวา
ก็ทกุ ขอริยสัจ นี้นั้นแล เราไดกำหนดรแู ลว.
อิ ทั ง ทุ ก ขะสะมุ ท ะโย อะริ ย ะสั จ จั นติ เม ภิ ก ขะเว ปุ พ เพ อะนะนุ ส สุ เ ตสุ
ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก
อุทะปาทิ. ตัง โข ปะนิทงั ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหาตัพพันติ เม ภิกขะเว
ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา
อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. ตัง โข ปะนิทงั ทุกขะสะมุทะโย อริยะสัจจัง ปะหีนนั ติ
เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา
อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ.
พระปริตร 57
ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย จักษุ ญาณ ปญญา วิชชา แสงสวาง ไดเกิดขึน้ แกเรา ในธรรมทัง้ หลาย
ทีเ่ ราไมเคยฟงมากอนวา นี้ ทุกขสมุทยั อริยสัจ. อนึง่ จักษุ ญาณ ปญญา วิชชา แสงสวาง ไดเกิดขึน้
แกเรา ในธรรมทัง้ หลายทีเ่ ราไมเคยฟงมากอนวา ก็ ทุกขสมุทยั อริยสัจนีน้ นั้ แล เปนสิง่ ทีค่ วรละ.
อนึง่ จักษุ ญาณ ปญญา วิชชา แสงสวาง ไดเกิดขึน้ แกเรา ในธรรมทัง้ หลาย ทีเ่ ราไมเคยฟงมากอน
วา ก็ ทุกขสมุทยั อริยสัจนีน้ นั้ แล เราไดละแลว.
อิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ.
ตั ง โข ปะนิ ทั ง ทุ ก ขะนิ โ รโธ อะริ ย ะสั จ จั ง สั จ ฉิ ก าตั พ พั นติ เม ภิกขะเว ปุพเพ
อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา
อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. ตัง โข ปะนิทงั ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกะตันติ เม
ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา
อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ.
ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย จักษุ ญาณ ปญญา วิชชา แสงสวาง ไดเกิดขึน้ แกเรา ในธรรมทัง้ หลาย
ทีเ่ ราไมเคยฟงมากอนวา นี้ ทุกขนิโรธอริยสัจ. อนึง่ จักษุ ญาณ ปญญา วิชชา แสงสวาง ไดเกิดขึน้
แกเรา ในธรรมทัง้ หลายทีเ่ ราไมเคยฟงมากอนวา ก็ ทุกขนิโรธอริยสัจนีน้ นั้ แล เปนสิง่ ทีค่ วรทำใหแจง.
อนึง่ จักษุ ญาณ ปญญา วิชชา แสงสวาง ไดเกิดขึน้ แกเรา ในธรรมทัง้ หลายทีเ่ ราไมเคยฟงมากอน
วา ก็ทกุ ขนิโรธอริยสัจนีน้ นั้ แล เราไดทำใหแจงแลว.
อิ ทั ง ทุ ก ขะนิ โ รธะคามิ นี ปะฏิ ป ะทา อะริ ย ะสั จ จั นติ เม ภิกขะเว ปุพเพ
อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ
อาโลโก อุทะปาทิ. ตัง โข ปะนิทงั ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาเวตัพพันติ
เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา
อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี
ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาวิตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง
อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ.
ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย จักษุ ญาณ ปญญา วิชชา แสงสวาง ไดเกิดขึน้ แกเรา ในธรรมทัง้ หลาย
ทีเ่ ราไมเคยฟงมากอนวา นี้ ทุกขนิโรธคามินปี ฏิปทาอริยสัจ. อนึง่ จักษุ ญาณ ปญญา วิชชา แสง
สวาง ไดเกิดขึน้ แกเรา ในธรรมทัง้ หลายทีเ่ ราไมเคยฟงมากอนวา ก็ ทุกขนิโรธคามินปี ฏิปทาอริยสัจ
นีน้ นั้ แล เปนสิง่ ทีค่ วรทำใหมขี นึ้ . อนึง่ จักษุ ญาณ ปญญา วิชชา แสงสวาง ไดเกิดขึน้ แกเรา ใน
ธรรมทัง้ หลายทีเ่ ราไมเคยฟงมากอนวา ก็ทกุ ขนิโรธคามินปี ฏิปทาอริยสัจนีน้ นั้ แล เราทำใหมขี นึ้ แลว.
58 ทำวั ต ร-สวดมนต
เมตตานิสังสสุตตปาฐะ
เอวัมเม สุตัง เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน
อะนาถะปณฑิกัสสะ อาราเม. ตัต๎ระ โข ภะคะวา ภิกขู อามันเตสิ ‘ภิกขะโวติ.
‘ภะทันเตติ เต ภิกขู ภะคะวะโต ปจจัสโสสุง. ภะคะวา เอตะทะโวจะ
ขาพเจา [คือพระอานนท] ไดสดับมาแลวอยางนี.้ สมัยหนึง่ พระผมู พี ระภาคเจา เสด็จประทับ
อยูที่เชตวันมหาวิหาร ซึ่งเปนอารามของอนาถปณฑิกคฤหัสบดี ใกลเมืองสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล
พระผมู พี ระภาคเจาตรัสเรียกภิกษุทงั้ หลายวา ‘ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย. ภิกษุเหลานัน้ ทูลรับพระผมู ี
พระภาคเจาแลว. พระผมู พี ระภาคเจาไดตรัสพระดำรัสนีว้ า
‘เมตตายะ ภิกขะเว เจโตวิมุตติยา อาเสวิตายะ ภาวิตายะ พะหุลีกะตายะ
ยานีกะตายะ วัตถุกะตายะ อะนุฏฐิตายะ ปะริจติ ายะ สุสะมารัทธายะ เอกาทะสานิสงั สา
ปาฏิกงั ขา. กะตะเม เอกาทะสะ
‘ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เมตตาอันเปนไปเพื่อความหลุดพนแหงจิตนี้ อันบุคคลบำเพ็ญจน
คุนแลว อบรมแลว ทำใหมาก ทำใหเปนยวดยานของใจ ทำใหเปนที่อยูของใจ ตั้งไวเปนนิตย
อันบุคคลสัง่ สม พากเพียรดีแลว ยอมมีอานิสงส ๑๑ ประการ. อานิสงส ๑๑ ประการอะไรบาง. คือ
๑) สุขงั สุปะติ. ๑) หลับอยูก็เปนสุข.
๒) สุขงั ปะฏิพชุ ฌะติ. ๒) ตื่นก็เปนสุข.
๓) นะ ปาปะกัง สุปน งั ปสสะติ. ๓) ไมฝนราย.
๔) มะนุสสานัง ปโย โหติ. ๔) เปนที่รักของเหลามนุษยทั้งหลาย.
๕) อะมะนุสสานัง ปโย โหติ. ๕) เปนที่รักของเหลาอมนุษยทั้งหลาย.
๖) เทวะตา รักขันติ. ๖) เทวดายอมคุมครองรักษา.
๗) นาสสะ อัคคิ วา วิสงั วา ๗) ไฟก็ดี ยาพิษก็ดี ศาสตราก็ดี
สัตถัง วา กะมะติ. ยอมทำอันตรายไมได.
๘) ตุวะฏัง จิตตัง สะมาธิยะติ. ๘) จิตยอมเปนสมาธิไดเร็ว.
๙) มุขะวัณโณ วิปปะสีทะติ. ๙) สีหนายอมผองใส.
๑๐) อะสัมมุฬโ๎ ห กาลัง กะโรติ. ๑๐) เปนผไู มลมุ หลงทำกาละ [ตายอยางมีสติ].
๑๑) อุตตะริง อัปปะฏิวชิ ฌันโต ๑๑) เมือ่ ยังไมบรรลุคณ ุ วิเศษอันยิง่ ๆ ขึน้ ไป
พ๎รหั ม๎ ะโลกูปะโค โหติ. ยอมเปนผูเขาถึงพรหมโลก.
62 ทำวั ต ร-สวดมนต
เขมาเขมสรณทีปกคาถา
(ทีพ่ งึ่ อันเกษมและไมเกษม)
พะหุง เว สะระณัง ยันติ ปพพะตานิ วะนานิ จะ
อารามะรุกขะเจต๎ยานิ มะนุสสา ภะยะตัชชิตา
มนุษยเปนอันมาก ถูกภัยคุกคามแลว ก็ถอื เอาภูเขา ปา อาราม และรุกขเจดีย เปนทีพ่ งึ่ .
เนตัง โข สะระณัง เขมัง. เนตัง สะระณะมุตตะมัง.
เนตัง สะระณะมาคัมมะ สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ.
นัน่ มิใชทพี่ งึ่ อันเกษมอันปลอดภัยเลย. นัน่ มิใชทพี่ งึ่ อันสูงสุด. เขาอาศัยทีพ่ งึ่ เหลานัน้ แลว
ยอมไมพนจากทุกขทั้งปวง.
โย จะ พุทธัญจะ ธัมมัญจะ สังฆัญจะ สะระณัง คะโต
จัตตาริ อะริยะสัจจานิ สัมมัปปญญายะ ปสสะติ.
สวนผถู งึ พระพุทธเจา พระธรรม และพระสงฆ วาเปนทีพ่ งึ่ ยอมเห็นความจริงอันประเสริฐ
๔ ประการ ดวยปญญาอันชอบ.
ทุกขัง ทุกขะสะมุปปาทัง ทุกขัสสะ จะ อะติกกะมัง
อะริยญั จัฏฐังคิกงั มัคคัง ทุกขูปะสะมะคามินงั .
ไดแก ทุกข เหตุใหเกิดทุกข ความกาวลวงทุกข และหนทางประกอบดวยองค ๘ อัน
ประเสริฐ อันใหถงึ ความสงบระงับทุกข.
เอตัง โข สะระณัง เขมัง เอตัง สะระณะมุตตะมัง
เอตัง สะระณะมาคัมมะ สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ.
นัน่ แหละ เปนทีพ่ งึ่ อันเกษม นัน่ เปนทีพ่ งึ่ อันสูงสุด บุคคลอาศัยทีพ่ งึ่ นัน่ แลว ยอมพนจาก
ทุกขทั้งปวงได.
64 ทำวั ต ร-สวดมนต
โอวาทปาฏิโมกขคาถา
(คาถาแสดงหลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา)
สัพพะปาปสสะ อะกะระณัง. กุสะลัสสูปะสัมปะทา.
สะจิตตะปะริโยทะปะนัง. เอตัง พุทธานะสาสะนัง.
การไมทำบาปความชัว่ ทัง้ ปวง. การทำกุศลคุณความดีใหถงึ พรอม. การชำระจิตของตนให
ผองใส. นีเ้ ปนคำสัง่ สอนของพระพุทธเจาทัง้ หลาย.
ขันตี ปะระมัง ตะโป ตีตกิ ขา.
นิพพานัง ปะระมัง วะทันติ พุทธา.
นะ หิ ปพพะชิโต ปะรูปะฆาตี.
สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐะยันโต.
ขันติ คือความอดกลั้น เปนธรรมเครื่องเผากิเลสอยางยิ่ง. พระพุทธเจาทั้งหลายกลาว
พระนิพพานวาเปนบรมธรรม. ผทู ำรายผอู นื่ ไมชอื่ วาเปนบรรพชิต. ผเู บียดเบียนผอู นื่ ไมชอื่ วา
เปนสมณะ.
อะนูปะวาโท อะนูปะฆาโต ปาติโมกเข จะ สังวะโร
มัตตัญุตา จะ ภัตตัสม๎ งิ ปนตัญจะ สะยะนาสะนัง
อะธิจติ เต จะ อาโยโค เอตัง พุทธานะสาสะนัง.
การไมกลาวราย การไมทำราย การสำรวมในพระปาติโมกข ความเปนผรู ปู ระมาณใน
อาหาร การนอนการนั่งอันสงบสงัด และความหมั่นประกอบในอธิจิต๑ นี้เปนคำสอนของ
พระพุทธเจาทัง้ หลาย.
ปจฉิมพุทโธวาท
(พระพุทธโอวาทครัง้ สุดทาย)
หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว ‘วะยะธัมมา สังขารา’. อัปปะมาเทนะ
สัมปาเทถะ’. [อะยัง ตะถาคะตัสสะ ปจฉิมา วาจา].
ภิกษุทงั้ หลาย เอาละ! บัดนี้ เราขอเตือนทานทัง้ หลายวา ‘สังขารทัง้ หลายมีความเสือ่ มไป
เปนธรรมดา. ทานทั้งหลายจงยังความไมประมาทใหถึงพรอมเถิด’๒. [นี้เปนพระวาจาครั้ง
สุดทายของพระตถาคตเจา].
๑
การฝกจิต ใหเปนสมาธิ และมีคณ
ุ ธรรมอืน่ ๆ เชน เมตตา เปนตน.
๒
แปลกันวา ‘เธอทัง้ หลาย จงยังกิจของตนและกิจเพือ่ ผอู นื่ ใหถงึ พรอมดวยความไมประมาทเถิด’ ก็ม.ี
พระปริตร 65
ปพพโตปมคาถา
(วาดวยการเปรียบเทียบความแกความตายดวยภูเขาหินบดทับสัตว)
ยะถาป เสลา วิปลุ า นะภัง อาหัจจะ ปพพะตา
สะมันตา อะนุปะริเยยยุง นิปโปเถนตา จะตุททิสา,
ภูเขาหินแทงทึบ สูงใหญจดทองฟา กลิง้ บดสัตวมาโดยรอบทัง้ ๔ ทิศ แมฉนั ใด,
เอวัง ชะรา จะ มัจจุ จะ อะธิวตั ตันติ ปาณิโน.
ความแกและความตาย ยอมครอบงำสัตวทงั้ หลาย ฉันนัน้ .
ขัตติเย พ๎ราห๎มะเณ เวสเส สุทเท จัณฑาละปุกกุเส
นะ กิญจิ ปะริวชั เชติ สัพพะเมวาภิมัททะติ.
เปนกษัตริยก ต็ าม เปนพราหมณกต็ าม เปนพลเมืองก็ตาม เปนไพร [ศูทร] ก็ตาม เปนครึง่
ชาติ [จัณฑาล] ก็ตาม เปนกุลเี ทขยะมูลฝอยก็ตาม ไมเวนใครๆ ไวเลย ยอมย่ำยีเสียสิน้ .
นะ ตัตถะ หัตถีนงั ภูมิ นะ ระถานัง นะ ปตติยา
นะ จาป มันตะยุทเธนะ สักกา เชตุง ธะเนนะ วา
ไมมยี ทุ ธภูมสิ ำหรับพลชาง. ไมมยี ทุ ธภูมสิ ำหรับพลรถ. ไมมยี ทุ ธภูมสิ ำหรับพลเดินเทา [ใน
การตอสกู บั ความแกและความตาย] นัน้ . และไมอาจจะเอาชนะแมดว ยการรบ ดวยเวทมนตร หรือ
ดวยทรัพย.
ตัสม๎ า หิ ปณฑิโต โปโส สัมปสสัง อัตถะมัตตะโน
พุทเธ ธัมเม จะ สังเฆ จะ ธีโร สัทธัง นิเวสะเย.
เพราะฉะนัน้ แล บุรษุ ผเู ปนบัณฑิต มีปญ
ญา เมือ่ เล็งเห็นประโยชนตน พึงตัง้ ศรัทธาไวใน
พระพุทธเจา ในพระธรรม และในพระสงฆ.
โย ธัมมะจารี กาเยนะ วาจายะ อุทะ เจตะสา,
อิเธวะ นัง ปะสังสันติ. เปจจะ สัคเค ปะโมทะตีต.ิ
ผใู ดมีปกติประพฤติธรรมดวยกาย ดวยวาจา หรือดวยใจ, บัณฑิตทัง้ หลายยอมสรรเสริญ
ผนู นั้ ในโลกนีน้ นั่ เทียว. ผนู นั้ ละโลกนีไ้ ป ยอมบันเทิงในสวรรค.
66 ทำวั ต ร-สวดมนต
ภัทเทกรัตตคาถา
(ผมู ชี วี ติ อยเู พียงวันเดียวก็ยงั นับวาเจริญ)
อะตีตงั นาน๎วาคะเมยยะ. นัปปะฏิกงั เข อะนาคะตัง.
ยะทะตีตมั ปะหีนนั ตัง อัปปตตัญจะ อะนาคะตัง
บุคคลไมควรตามคิดถึงซึง่ สิง่ ทีล่ ว งไปแลว. ไมควรหวังสิง่ ทีย่ งั ไมมา. สวนใดทีเ่ ปนอดีต
สวนนัน้ ก็ละไปแลว. สวนทีเ่ ปนอนาคตเลา ก็ยงั ไมมา.
ปจจุปปนนัญจะ โย ธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปส สะติ
อะสังหิรงั อะสังกุปปง, ตัง วิทธา มะนุพร๎ หู ะเย.
ก็บคุ คลใด มาเห็นแจงประจักษ ซึง่ ธรรมอันเปนปจจุบนั เกิดขึน้ เฉพาะหนา ในขณะนัน้ ๆ อยู
ไมงอ นแงน ไมคลอนแคลน, บุคคลนัน้ รคู วามจริงขอนีแ้ ลว พึงเจริญไวเนืองๆ.
อัชเชวะ กิจจะมาตัปปง. โก ชัญญา มะระณัง สุเว.
นะ หิ โน สังคะรันเตนะ มะหาเสเนนะ มัจจุนา
ความเพียรเผากิเลส เปนสิ่งที่ทานทั้งหลายตองทำวันนี้. ใครจะไปรูวา ความตายจะมี
[แกเรา] แมในวันพรงุ นี.้ การจะทำสงครามตอตานมัจจุราช ซึง่ มีกองทัพใหญนนั้ เปนไปไมได.
เอวังวิหาริมาตาปง อะโหรัตตะมะตันทิตงั
ตัง เว ‘ภัทเทกะรัตโตติ สันโต อาจิกขะเต มุนตี .ิ
มุนี คือทานผูรูทั้งหลาย เปนผูสงบระงับแลว ยอมจะกลาวสรรเสริญบุคคลผูมีปกติอยู
อยางนี้ ไมเกียจครานทัง้ กลางวันและกลางคืนแล วา ‘แมจะมีชวี ติ อยเู พียงวันเดียว ก็ยงั ประเสริฐ’.
ปญจอภิณหปจจเวกขณปาฐะ
(ขอทีค่ วรพิจารณาเนืองๆ ๕ ประการ๑)
ชะราธัมโมม๎หิ ชะรัง อะนะตีโต. เรามีความแกเปนธรรมดา ลวงพนความแกไปไมได.
พ๎ยาธิธมั โมม๎หิ พ๎ยาธิง อะนะตีโต.เรามีความเจ็บไขเปนธรรมดา ลวงพนความเจ็บไขไป
ไมได.
มะระณะธัมโมม๎หิ มะระณัง อะนะตีโต. เรามีความตายเปนธรรมดา ลวงพนความตายไปไมได.
สัพเพหิ เม ปเยหิ มะนาเปหิ เราจะตองพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น.
นานาภาโว วินาภาโว
กัมมัสสะโกม๎หิ กัมมะทายาโท เรามีกรรมเปนของตน เปนทายาทแหงกรรม
กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ มีกรรมเปนกำเนิด มีกรรมเปนเผาพันธุ
กัมมะปะฏิสะระโณ มีกรรมเปนที่พึ่ง
ยัง กัมมัง กะริสสามิ จะทำกรรมใด
กัลย๎ าณัง วา ปาปะกัง วา ดีกต็ าม ชัว่ ก็ตาม
ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามีติ เราจะเปนผูรับผลของกรรมนั้น
เอวัง อัมเ๎ หหิ อะภิณห๎ งั ปจจะเวกขิตพั พัง. เราทัง้ หลายพึงพิจารณาเนืองๆ อยางนีแ้ ล.
๑
ฐานะ ๕ ประการ อันสตรี บุรษุ คฤหัสถ หรือบรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ
พระปริตร 69
พระคาถาชินบัญชร
สมเด็จพระพุฒาจารย (โต พรหมรังสี) วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร
ชะยาสะนาคะตา๑ พุทธา เชต๎วา มารัง สะวาหะนัง
จะตุสจั จาสะภัง ระสัง เย ปวงิ สุ นะราสะภา.
พระพุทธเจาและพระนราสภะทั้งหลายผูประทับนั่งแลวบนชัยบัลลังก ทรงพิชิตพระยา
มาราธิราช ผพู รัง่ พรอมดวยเสนาราชพาหนะแลว เสวยอมตรส คือ อริยสัจจธรรมทัง้ ๔ ประการ.
ตัณห๎ งั กะราทะโย พุทธา อัฏฐะวีสะติ นายะกา.
สัพเพ ปะติฏฐิตา มัยหัง มัตถะเก เต มุนสิ สะรา.
พระพุทธเจาทั้งหลาย ผูนำสรรพสัตวใหขามพนจากกิเลสและกองทุกข ๒๘ พระองค มี
พระพุทธเจาตัณหังกรเปนอาทิ. พระพุทธเจาผจู อมมุนที งั้ หมดนัน้ ขาพเจาขออัญเชิญมาประดิษฐาน
เหนือเศียรเกลา
สีเส ปะติฏฐิโต มัยหัง พุทโธ. ธัมโม ท๎วโิ ลจะเน.
สังโฆ ปะติฏฐิโต มัยหัง อุเร สัพพะคุณากะโร.
องคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา ประดิษฐานอยูบนศีรษะของขาพเจา. พระธรรม
อยทู ดี่ วงตาทัง้ สอง. พระสงฆผเู ปนอากรบอเกิดแหงสรรพคุณอยทู อี่ กของขาพเจา.
หะทะเย เม อะนุรทุ โธ. สารีปตุ โต จะ ทักขิเณ.
โกณฑัญโญ ปฏฐิภาคัส๎มงิ . โมคคัลลาโน จะ วามะเก.
พระอนุรทุ ธะอยทู หี่ วั ใจของขาพเจา. พระสารีบตุ รอยเู บือ้ งขวา. พระอัญญาโกณฑัญญะ
อยูเบื้องหลัง. พระโมคคัลลานอยูเบื้องซาย.
ทักขิเณ สะวะเน มัยหัง อาสุง อานันทะราหุลา.๒
กัสสะโป จะ มะหานาโม อุภาสุง วามะโสตะเก.
พระอานนทกบั พระราหุลอยทู หี่ ขู วาขาพเจา. พระกัสสปะกับพระมหานามะ ทัง้ สองอยทู หี่ ซู า ย.
เกสะโต๓ ปฏฐิภาคัสม๎ งิ สุรโิ ยวะ ปะภังกะโร
นิสนิ โน สิรสิ มั ปนโน โสภิโต มุนปิ งุ คะโว.
มุนผี ปู ระเสริฐ คือ พระโสภิตะ ผสู มบูรณดว ยสิริ นัง่ ทีส่ ว นหลังแตปลายผม ดังพระอาทิตย
สองแสงอยู.
๑
บางแหงใช กะตา ๒
บางแหงใช ราหุลา ๓บางแหงใช เกสันเต, เกเสนเต
70 ทำวั ต ร-สวดมนต
๑
ฉบับสิงหลไมมวี รรคนี้
พระปริตร 71
พระชินพุทธเจาทัง้ หลาย ประกอบดวยเครือ่ งกางกัน้ คือพระอำนาจของพระชินเจา ประดับ
ดวยอาภรณคือกำแพงปองกันเจ็ดชั้น.
เมือ่ ขาพระพุทธเจาเขาอาศัยอยใู นพระบัญชร แวดวงกรงลอมแหงพระสัมมาสัมพุทธเจา ดวย
กิจของตนทุกเมือ่ ดวยเดชแหงพระอนันตชินเจา ขออุปท วะทัง้ ภายนอกและภายใน อันเกิดแตลม
และดีเปนตน จงถึงความพินาศไปโดยไมเหลือ.
ชินะปญชะระมัชฌัม๎หิ วิหะรันตัง มะหีตะเล๑
สะทา ปาเลนตุ มัง สัพเพ เต มะหาปุรสิ าสะภา.
ขอพระมหาบุรุษผูทรงพระคุณอันล้ำเลิศทั้งปวงนั้น จงอภิบาลขาพเจา ผูอยูในภาคพื้น
ทามกลางพระชินบัญชร.
อิจเจวะมันโต สุคตุ โต สุรกั โข.
ชินานุภาเวนะ ชิตปุ ท ทะโว.
ธัมมานุภาเวนะ ชิตาริสงั โฆ.
สังฆานุภาเวนะ ชิตนั ตะราโย.
สัทธัมมานุภาวะปาลิโต จะรามิ ชินะปญชะเรติ.
พระพุทธเจาทั้งหลาย ทรงมีอานุภาพดังวามานี้ ขอใหขาพเจาไดรับคุมครองรักษาเปน
อยางดี. ดวยอานุภาพแหงพระชินเจา ขอใหขา พเจาชนะอุบาทวความขัดของ. ดวยอานุภาพแหง
พระธรรม ขอใหขาพเจาชนะหมูขาศึก. ดวยอานุภาพแหงพระสงฆ ขอใหขาพเจาชนะอันตราย.
ขาพเจาผทู อี่ านุภาพแหงพระสัทธรรมรักษาแลว จะประพฤติอยใู นพระพุทธชินบัญชร ดังนีแ้ ล.
๑
บาลีออกเสียงวา มะ-ฮี-ตะ-เล
72 ทำวัตร-สวดมนต
พระคาถาบูชาพระพุทธเจา ๒,๐๔๘,๑๐๙ พระองค*
จากคัมภีรม ลู ภาษา ทีอ่ าจารยพระมหาแสวง โชติปาโล
วัดศรีประวัติ บางกรวย นนทบุรี ไดนำมาจากประเทศพมา
ปณามคาถา
นะโม สัมมาสัมพุทธานัง ปะระมัตถะทัสสีนงั สีลาทิคณ
ุ ะปาระมิปปตตานัง. (๓ จบ)
พุทธัม สะระณัม คัจฉามิ.
ธัมมัม สะระณัม คัจฉามิ.
สังฆัม สะระณัม คัจฉามิ.
ทุติยัมป พุทธัม สะระณัม คัจฉามิ.
ทุติยัมป ธัมมัม สะระณัม คัจฉามิ.
ทุติยัมป สังฆัม สะระณัม คัจฉามิ.
ตะติยมั ป พุทธัม สะระณัม คัจฉามิ.
ตะติยมั ป ธัมมัม สะระณัม คัจฉามิ.
ตะติยมั ป สังฆัม สะระณัม คัจฉามิ.
อธิฏฐานสีลคาถา
(อธิษฐานศีล ๕ สำหรับญาติโยม สำหรับพระไมตอ งอธิษฐานนี)้
อิมานิ ปญจะสิกขาปะทานิ อะธิฏฐามิ
ทุติยัมป อิมานิ ปญจะสิกขาปะทานิ อะธิฏฐามิ
ตะติยมั ป อิมานิ ปญจะสิกขาปะทานิ อะธิฏฐามิ
ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง อะธิฏฐามิ
อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง อะธิฏฐามิ
กาเมสุมจิ ฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง อะธิฏฐามิ
มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง อะธิฏฐามิ
สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง อะธิฏฐามิ
* พระคาถาอันศักดิส์ ทิ ธิ์ บูชาพระพุทธเจาผวู ริ ยิ าธิกะ (ยิง่ ดวยความเพียร) ๒,๐๔๘,๑๐๙ พระองค ขอทานทัง้ หลายจงตัง้ ใจสวด
สาธยายสรรเสริญพระพุทธเจาทัง้ หลายของเรานี้ ถาใครไดสวดสาธยายทุกเชา-ค่ำ จะไดรบั สิรมิ งคลดวยลาภ สักการะ เกียรติยศ
สรรเสริญ ของเหลามนุษยและเทวดาทัง้ หลาย ทัง้ ยังปกปองอันตรายและภัยทัง้ หลายจากอาวุธนานาชนิด แมจะเปนลูกระเบิด
ก็ไมตอ งไปกลัวแล.
พระปริตร 73
อะระหันเต นะวุตตะระสะเต อัฏฐะจัตตาลีสะสะหัสสะเก
วีสะติสะตะสะหัสสานิ นะมามิ สิระสา อะหัง.
อัปปะกา วาฬุกา คังคา. อะนันตา นิพพุตา ชินา.
เตสัง ธัมมัญจะ สังฆัญจะ อาทะเรนะ นะมามิหงั .
นะมะการานุภาเวนะ หิตว๎ า สัพเพ อุปท ทะเว.
อะเนกา อันตะรายาป วินสั สันตุ อะเสสะโต.
สัมมาสัมพุทเธ นะวุตตะระสะเต อัฏฐะจัตตาลีสะสะหัสสะเก
วีสะติสะตะสะหัสสานิ นะมามิ สิระสา อะหัง.
อัปปะกา วาฬุกา คังคา. อะนันตา นิพพุตา ชินา.
เตสัง ธัมมัญจะ สังฆัญจะ อาทะเรนะ นะมามิหงั .
นะมะการานุภาเวนะ หิตว๎ า สัพเพ อุปท ทะเว.
อะเนกา อันตะรายาป วินสั สันตุ อะเสสะโต.
วิชชาจะระณะสัมปนเน นะวุตตะระสะเต อัฏฐะจัตตาลีสะสะหัสสะเก
วีสะติสะตะสะหัสสานิ นะมามิ สิระสา อะหัง.
อัปปะกา วาฬุกา คังคา. อะนันตา นิพพุตา ชินา.
เตสัง ธัมมัญจะ สังฆัญจะ อาทะเรนะ นะมามิหงั .
นะมะการานุภาเวนะ หิตว๎ า สัพเพ อุปท ทะเว.
อะเนกา อันตะรายาป วินสั สันตุ อะเสสะโต.
สุคะเต นะวุตตะระสะเต อัฏฐะจัตตาลีสะสะหัสสะเก
วีสะติสะตะสะหัสสานิ นะมามิ สิระสา อะหัง.
อัปปะกา วาฬุกา คังคา. อะนันตา นิพพุตา ชินา.
เตสัง ธัมมัญจะ สังฆัญจะ อาทะเรนะ นะมามิหงั .
นะมะการานุภาเวนะ หิตว๎ า สัพเพ อุปท ทะเว.
อะเนกา อันตะรายาป วินสั สันตุ อะเสสะโต.
โลกะวิทเุ ก นะวุตตะระสะเต อัฏฐะจัตตาลีสะสะหัสสะเก
วีสะติสะตะสะหัสสานิ นะมามิ สิระสา อะหัง.
อัปปะกา วาฬุกา คังคา. อะนันตา นิพพุตา ชินา.
เตสัง ธัมมัญจะ สังฆัญจะ อาทะเรนะ นะมามิหงั .
นะมะการานุภาเวนะ หิตว๎ า สัพเพ อุปท ทะเว.
อะเนกา อันตะรายาป วินสั สันตุ อะเสสะโต.
74 ทำวัตร-สวดมนต
อนุตตะเร ปุรสิ ะทัมมะสาระถิเก นะวุตตะระสะเต อัฏฐะจัตตาลีสะสะหัสสะเก
วีสะติสะตะสะหัสสานิ นะมามิ สิระสา อะหัง.
อัปปะกา วาฬุกา คังคา. อะนันตา นิพพุตา ชินา.
เตสัง ธัมมัญจะ สังฆัญจะ อาทะเรนะ นะมามิหงั .
นะมะการานุภาเวนะ หิตว๎ า สัพเพ อุปท ทะเว.
อะเนกา อันตะรายาป วินสั สันตุ อะเสสะโต.
สัตถาเทวะมะนุสเส นะวุตตะระสะเต อัฏฐะจัตตาลีสะสะหัสสะเก
วีสะติสะตะสะหัสสานิ นะมามิ สิระสา อะหัง.
อัปปะกา วาฬุกา คังคา. อะนันตา นิพพุตา ชินา.
เตสัง ธัมมัญจะ สังฆัญจะ อาทะเรนะ นะมามิหงั .
นะมะการานุภาเวนะ หิตว๎ า สัพเพ อุปท ทะเว.
อะเนกา อันตะรายาป วินสั สันตุ อะเสสะโต.
พุทเธ นะวุตตะระสะเต อัฏฐะจัตตาลีสะสะหัสสะเก
วีสะติสะตะสะหัสสานิ นะมามิ สิระสา อะหัง.
อัปปะกา วาฬุกา คังคา. อะนันตา นิพพุตา ชินา.
เตสัง ธัมมัญจะ สังฆัญจะ อาทะเรนะ นะมามิหงั .
นะมะการานุภาเวนะ หิตว๎ า สัพเพ อุปท ทะเว.
อะเนกา อันตะรายาป วินสั สันตุ อะเสสะโต.
ภะคะวันเต นะวุตตะระสะเต อัฏฐะจัตตาลีสะสะหัสสะเก
วีสะติสะตะสะหัสสานิ นะมามิ สิระสา อะหัง.
อัปปะกา วาฬุกา คังคา. อะนันตา นิพพุตา ชินา.
เตสัง ธัมมัญจะ สังฆัญจะ อาทะเรนะ นะมามิหงั .
นะมะการานุภาเวนะ หิตว๎ า สัพเพ อุปท ทะเว.
อะเนกา อันตะรายาป วินสั สันตุ อะเสสะโต.
อะระหันตาทินะวะหิ คุเณหิ สัมปนเน นะวุตตะระสะเต อัฏฐะจัตตาลีสะสะหัสสะเก
วีสะติสะตะสะหัสสานิ นะมามิ สิระสา อะหัง.
อัปปะกา วาฬุกา คังคา. อะนันตา นิพพุตา ชินา.
เตสัง ธัมมัญจะ สังฆัญจะ อาทะเรนะ นะมามิหงั .
นะมะการานุภาเวนะ หิตว๎ า สัพเพ อุปท ทะเว.
อะเนกา อันตะรายาป วินสั สันตุ อะเสสะโต.
พระปริตร 75
นะโม เต พุทธะวีรตั ถุ. วิปปะมุตโตสิ สัพพะธิ.
สัมพาธะปะฏิปน โนส๎ม.ิ ตัสสะ เม สะระณัง ภะวะ.
ตะถาคะตัง อะระหันตัง จันทิมา สะระณัง คะโต.
ราหุ จันทัง ปะมุญจัสสุ. พุทธา โลกานุกมั ปะกา.
ตะถาคะตัง อะระหันตัง สุรโิ ย สะระณัง คะโต.
ราหุ สุรยิ งั ปะมุญจัสสุ. พุทธา โลกานุกมั ปะกา.
นาญญัตร๎ ะ โพชฌังคา ตะปะสา นาญญัตร๎ นิ ท๎รยิ ะสังวะรา
นาญญัตร๎ ะ สัพพะนิสสัคคา โสตถิง ปสสามิ ปาณินงั .
อะตีตงั พุทธะระตะนัง พุทธะวังสัง อะนาคะตัง
มะมะ สีเส ฐะเปต๎วา ยาวะชีวงั นะมัตถุ เม.
พุทโธ เม รักขะตุ นิจจัง. พุทโธ เม รักขะตุ สะทา.
พุทโธ เม รักขะตุ ทิเน. อายุ ทีฆงั สุขงั ภะเว.
ธัมโม เม รักขะตุ นิจจัง. ธัมโม เม รักขะตุ สะทา.
ธัมโม เม รักขะตุ ทิเน. อายุ ทีฆงั สุขงั ภะเว.
สังโฆ เม รักขะตุ นิจจัง. สังโฆ เม รักขะตุ สะทา.
สังโฆ เม รักขะตุ ทิเน. อายุ ทีฆงั สุขงั ภะเว.
มาราฬะวะกะนาฬาคิรงิ อังคุลงิ จิญจะสัจจะกัง
นันโทปะนันทะพ๎รห๎มญ
ั จะ เชตุ โหตุ ตะโต ปะรัง.
คัจฉันเต วา สะยะเน วา สัพพัสม๎ งิ อิรยิ าปะเถ
มิจฉาเทวา ปกกะมันตุ สัมมาเทวา อุเปนตุ เม
พุทโธ เม สีเส ติฏฐะตุ. พุทโธ เม หะทะเย ติฏฐะตุ.
พุทโธ เม อังเส ติฏฐะตุ. อายุ ทีฆงั สุขงั ภะเว.
ธัมโม เม สีเส ติฏฐะตุ. ธัมโม เม หะทะเย ติฏฐะตุ.
ธัมโม เม อังเส ติฏฐะตุ. อายุ ทีฆงั สุขงั ภะเว.
สังโฆ เม สีเส ติฏฐะตุ. สังโฆ เม หะทะเย ติฏฐะตุ.
สังโฆ เม อังเส ติฏฐะตุ. อายุ ทีฆงั สุขงั ภะเว.
ตัณห๎ งั กะโร พุทโธ ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ
อะนันตะปุญโญ อะนันตะคุโณ อะนันตะญาโณ อะนันตะเตโช
อะนันตะอิทธิ อะนันตะชุติ อายุ ทีฆงั สุขงั ภะเว.
76 ทำวั ต ร-สวดมนต
มังคลเทวมุนิปตติทานคาถา*
(วาดวยการอุทศิ ถวายสวนบุญแดพระเดชพระคุณ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
โย โส จันทะสะโร เถโร สัปปญโญ กะรุณายะโก
ราชะทินนาภิธาเนนะ มังคะละเทวะมุนิว๎หะโย
พระเถระใด นามวา ‘จันทสร’ เปนผมู ปี ญ
ญา เจริญดวยกรุณา มีชอื่ โดยพระราชทินนนาม
วา ‘พระมงคลเทพมุน’ี
ชะนานัง อิธะ สัพเพสัง อิสสะโร ปะริหาระโก
วินะยัสสะ จะ ธัมมัสสะ ธัมมะกายัสสะ โกวิโท
เปนใหญ บริหารปกครองชนทัง้ ปวง ในวัดปากน้ำนี้ ทัง้ เปนผฉู ลาดในพระธรรมวินยั และ
ธรรมกาย.
ธัมเมสุ คะรุโก ธีโร สีเลสุ สุสะมาหิโต
สิสสานัง ภิกขุอาทีนงั ปตฏุ ฐาเน ปะติฏฐิโต
เปนปราชญ เปนผหู นักในธรรม ตัง้ มัน่ อยใู นศีลทัง้ หลาย ดำรงอยใู นฐานะบิดา ของศิษย
ทัง้ หลาย มีภกิ ษุเปนตน
อาหาราทีหิ วัตถูหิ เอเตสัง อะนุกมั ปะโก
พะหุนนัง กุละปุตตานัง อุปช ฌาโย วิจกั ขะโณ,
อนุเคราะหศิษยเหลานั้น ดวยวัตถุมีอาหารเปนตน เปนพระอุปชฌาย ผูมีปญญาเครื่อง
พิจารณา ของกุลบุตรทัง้ หลายเปนอันมาก,
โสทานิ กาละมากาสิ กัล๎ยาณะกิตติ ติฏฐะติ.
บัดนี้ ทานไดมรณภาพแลว แตชอื่ เสียงอันงดงามของทานยังดำรงอย.ู
ตัมมะยัง ยะติกา เถรา มัชฌิมา นะวะกา จิธะ
นิจจัง อะนุสสะรันตาวะ ตัสสะ คุเณนะ โจทิตา
ปุญญันตัสสะ กะริต๎วานะ เทมะ ปตติง อะเสสะโต
เราทัง้ หลาย ผเู ปนนักบวช ในพระศาสนานี้ ทีเ่ ปนเถระ ปานกลาง ผใู หม ก็ตาม ระลึกถึง
ทานอยูเปนนิตยเทียว อันคุณความดีของทานตักเตือนแลว กระทำบุญแลว ยอมอุทิศสวนบุญ
แกทา น โดยไมเหลือ.
* พระธรรมวรนายก (ทองหลอ สุวณฺณรํส)ี ผแู ตง
** คำวา ‘ทาน’ ทีป่ รากฏในคำแปลนี้ หมายถึง พระเดชพระคุณ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) - ผแู ปล.
พระปริตร 81
ยัง ยัง เตนะ กะตัง ปุญญัง, ยัง ยัง อัมเหหิ สัญจิตงั ,
ตัสสะ ตัสสานุภาเวนะ ตัสสะ ตัสเสวะ เตชะสา
สัทธัมมัฏฐิตกิ าโม โส สุขโิ ต โหตุ สัพพะทา.
บุญใดๆ อันทานทำแลว, บุญใดๆ อันเราทัง้ หลายสัง่ สมแลว, ดวยอานุภาพ ดวยเดช
แหงบุญนั้นๆ ทานปรารถนาการดำรงมั่นอยูแหงพระสัทธรรม จงเปนผูมีความสุข ในกาล
ทุกเมื่อ.
สะเจ ยัตถะ ปะติฏฐายะ นะ ละเภยยะ อิมงั วะรัง,
ตัตถะ สัพเพ มะเหสักขา เทวา คันต๎วา นิเวทะยุง.
อะนุโมทะตุ โส ปุญญัง ปตติง ละเภตุ สัพพะโสติ.
หากทานดำรงอยู ณ แหงหนใด ไมพงึ ไดซงึ่ พรนีไ้ ซร ขอเทพยดาผมู ศี กั ดิใ์ หญทงั้ ปวง
จงไปประกาศในทีน่ นั้ . ขอทานจงอนุโมทนาบุญ [และ] จงไดซงึ่ สวนบุญ โดยประการทัง้ ปวง เทอญ.
รตนัตตยยัปปภาวสิทธิคาถา
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ โลกานัง อะนุกมั ปะโก
เวเนยยานัง ปะโพเธตา สันติมัคคานุสาสะโก
พระผมู พี ระภาคเจาเปนพระอรหันต ตรัสรพู รอมดวยพระองคเอง เปนผมู คี วามเอ็นดูตอ
สัตวโลกทัง้ หลาย เปนผปู ลุกเวไนยสัตวทงั้ หลายใหตนื่ [จากความหลับคือกิเลส] เปนผพู ร่ำสอน
หนทางแหงสันติคือพระนิพพาน.
ส๎วากขาโต อุตตะโม ธัมโม โลกานัง ตะมะทาละโก
นิยยานิโก จะ ทุกขัสม๎ า ธัมมะจารีนุปาละโก
พระธรรมอันพระผมู พี ระภาคเจาตรัสไวดแี ลว เปนธรรมสูงสุด เปนเครือ่ งทำลายเสียซึง่
ความมืดบอดของสัตวโลกทัง้ หลาย เปนเครือ่ งนำสัตวทงั้ หลายออกจากกองทุกข และตามรักษา
บุคคลผูประพฤติธรรมนั้น.
สุปะฏิปน โน มะหาสังโฆ โลกานัง ปุญญะมากะโร
สีละทิฏฐีหิ สังสุทโธ สันติมัคคะนิโยชะโก
สงฆหมใู หญของพระผมู พี ระภาคเจานัน้ เปนผปู ฏิบตั ดิ แี ลว เปนบอเกิดแหงบุญของสัตวโลก
ทัง้ หลาย เปนผบู ริสทุ ธิด์ แี ลว ดวยศีลและทิฏฐิ เปนผปู ระพฤติอยใู นหนทางแหงสันติคอื นิพพาน.
82 ทำวั ต ร-สวดมนต
๑
ในป พ.ศ.๒๕๕๐
86 ทำวั ต ร-สวดมนต
พระปริตร 87
อนุโมทนาวิธี
88 ทำวั ต ร-สวดมนต
อนุโมทนาวิธี
(องคประธานเริ่ม)
ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปเู รนติ สาคะรัง,
เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ.
หวงน้ำเต็ม ยอมยังสมุทรสาครใหบริบูรณไดฉันใด, ทานที่ทานอุทิศใหแลวในโลกนี้
ยอมสำเร็จประโยชนแกผทู ลี่ ะโลกนีไ้ ปแลว ฉันนัน้ .
อิจฉิตงั ปตถิตงั ตุมห๎ งั ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ.
สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา จันโท ปณณะระโส ยะถา
(สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา) มะณิ โชติระโส ยะถา.
ขออิฏฐิผล ทีท่ า นปรารถนาแลว ตัง้ ใจแลว จงสำเร็จโดยฉับพลัน. ขอความดำริทงั้ ปวง
จงเต็มทีเ่ หมือนพระจันทรวนั เพ็ญ เหมือนแกวมณีอนั สวางไสว ควรยินดี.
สัพพีตโิ ย๑ วิวชั ชันตุ๒ สัพพะโรโค วินสั สะตุ
มา เต ภะวัตว๎ นั ตะราโย สุขี ทีฆายุโก ภะวะ. (๓ จบ)
ความจัญไรทัง้ ปวงจงเวนไป. โรคทัง้ ปวงจงฉิบหายไป. อันตรายอยาไดมแี กทา น. ขอทาน
จงเปนผูมีสุขมีอายุยืน.
อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน
จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขงั พะลัง.
ธรรม ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ยอมเจริญแกบคุ คล ผมู ปี กติไหวบคุ คลผคู วร
ไหว ผอู อ นนอมตอบุคคลผเู จริญ เปนนิตย.
๑
รูปรองลงไป รับ สัพพีตโิ ย ๒
รับพรอมกัน วิวชั ชันตุ สัพพะโรโค วินสั สะตุ ...
อนุ โ มทนาวิ ธี 89
ชะยะสิทธิ ธะนัง ลาภัง โสตถิ ภาค๎ยงั สุขงั พะลัง
สิริ อายุ จะ วัณโณ จะ โภคัง วุฑฒี จะ ยะสะวา
สะตะวัสสา จะ อายู จะ ชีวะสิทธี ภะวันตุ เต.
ความชนะ ความสำเร็จ ทรัพยและลาภ ความสวัสดี ความมีโชค ความสุข มีกำลัง สิริ
อายุ วรรณะ โภคะ ความเจริญ และความเปนผูมียศ อายุยืนรอยป และความสำเร็จในชีวิต
จงมีแกทา น ในกาลทุกเมือ่ .
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะพุทธานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต.
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะธัมมานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต.
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต.
ขอสรรพมงคลทัง้ หลายจงมีแกทา น, ขอเหลาเทวดาทัง้ หลายจงรักษาทาน, ดวยอานุภาพ
แหงพระพุทธเจา, ดวยอานุภาพแหงพระธรรม, ดวยอานุภาพแหงพระสงฆ, ขอความสวัสดีทงั้ หลาย,
จงมีแดทานทุกเมื่อเทอญ.
อาฏานาฏิยปริตร (ยอ)
สัพพะโรคะวินิมุตโต สัพพะสันตาปะวัชชิโต
สัพพะเวระมะติกกันโต นิพพุโต จะ ตุวงั ภะวะ.
ทานจงเปนผพู น แลวจากภัยทัง้ ปวง เวนแลวจากความเดือดรอนทัง้ ปวง ลวงเสียซึง่ เวร
ทัง้ ปวง และเปนผดู บั ทุกขทงั้ ปวง.
สัพพีตโิ ย วิวชั ชันตุ สัพพะโรโค วินสั สะตุ
มา เต ภะวัตว๎ นั ตะราโย สุขี ทีฆายุโก ภะวะ.
ความจัญไรทัง้ ปวงจงเวนไป. โรคทัง้ ปวงจงฉิบหายไป. อันตรายอยาไดมแี กทา น. ขอทาน
จงเปนผูมีสุขมีอายุยืน.
อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน
จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขงั พะลัง.
ธรรม ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ยอมเจริญแกบคุ คล ผมู ปี กติไหวบคุ คลผคู วร
ไหว ผอู อ นนอมตอบุคคลผเู จริญ เปนนิตย.
90 ทำวั ต ร-สวดมนต
มงคลจักรวาฬนอย
สัพพะพุทธานุภาเวนะ สัพพะธัมมานุภาเวนะ สัพพะสังฆานุภาเวนะ พุทธะระตะนัง
ธัมมะระตะนัง สังฆะระตะนัง ติณณัง ระตะนานัง อานุภาเวนะ จะตุราสีตสิ ะหัสสะ-
ธัมมักขันธานุภาเวนะ ปฏะกัตตะยานุภาเวนะ ชินะสาวะกานุภาเวนะ สัพเพ เต โรคา
สัพเพ เต ภะยา สัพเพ เต อันตะรายา สัพเพ เต อุปท ทะวา สัพเพ เต ทุนนิมติ ตา
สัพเพ เต อะวะมังคะลา วินสั สันตุ.
ดวยอานุภาพแหงพระพุทธเจาทั้งปวง ดวยอานุภาพแหงพระธรรมทั้งปวง ดวยอานุภาพ
แหงพระสงฆทั้งปวง ดวยอานุภาพแหงพระรัตนะ ๓ คือ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ
ดวยอานุภาพแหงพระธรรมขันธแปดหมืน่ สีพ่ นั ดวยอานุภาพแหงพระไตรปฎก ดวยอานุภาพแหง
พระสาวกของพระชินเจา โรคทั้งปวงของทาน ภัยทั้งปวงของทาน อันตรายทั้งปวงของทาน
อุปท ทวะทัง้ ปวงของทาน นิมติ รายทัง้ ปวงของทาน อวมงคลทัง้ ปวงของทาน จงพินาศไป.
อายุ วั ฑ ฒะโก ธะนะวั ฑ ฒะโก สิ ริ วั ฑ ฒะโก ยะสะวั ฑ ฒะโก พะละวั ฑ ฒะโก
วัณณะวัฑฒะโก สุขะวัฑฒะโก โหตุ สัพพะทา.
ความเจริญอายุ ความเจริญทรัพย ความเจริญสิริ ความเจริญยศ ความเจริญกำลัง
ความเจริญวรรณะ ความเจริญสุข จงมีแกทา น ในกาลทัง้ ปวง.
ทุกขะโรคะภะยา เวรา โสกา สัตตุ จุปท ทะวา
อะเนกา อันตะรายาป วินสั สันตุ จะ เตชะสา
ทุกข โรค ภัย และเวรทั้งหลาย ความโศก ศัตรู และอุปททวะทั้งหลาย อันตราย
ทัง้ หลายเปนอเนก จงพินาศไป ดวยเดชะ [แหงพระรัตนตรัย].
๑
ชะยะสิทธิ ธะนัง ลาภัง โสตถิ ภาค๎ยงั สุขงั พะลัง
สิริ อายุ จะ วัณโณ จะ โภคัง วุฑฒี จะ ยะสะวา
สะตะวัสสา จะ อายู จะ ชีวะสิทธี ภะวันตุ เต.
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะพุทธานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต.
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะธัมมานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต.
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต.
๑
ดูคำแปลในหนากอน
อนุ โ มทนาวิ ธี 91
โภชนทานานุโมทนาคาถา
อายุโท พะละโท ธีโร วัณณะโท ปะฏิภาณะโท
สุขสั สะ ทาตา เมธาวี สุขงั โส อะธิคจั ฉะติ.
ผมู ปี ญ
ญา ใหอายุ ใหกำลัง ใหวรรณะ ใหปฏิภาณ ใหความสุข ยอมประสบสุข.
อายุง ทัตว๎ า พะลัง วัณณัง สุขญ
ั จะ ปะฏิภาณะโท
ทีฆายุ ยะสะวา โหติ ยัตถะ ยัตถูปะปชชะตีต.ิ
ผมู ปี ญ ญา ใหอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ บังเกิดในทีใ่ ดๆ ยอมเปนผมู อี ายุยนื
มียศ ในทีน่ นั้ ๆ.
อัคคัปปสาทสูตร
อัคคะโต เว ปะสันนานัง อัคคัง ธัมมัง วิชานะตัง
อัคเค พุทเธ ปะสันนานัง ทักขิเณยเย อะนุตตะเร
เมือ่ บุคคลรจู กั ธรรมอันเลิศ เลือ่ มใสแลวโดยความเปนของเลิศ เลือ่ มใสแลวในพระพุทธเจา
ผเู ลิศ ซึง่ เปนทักษิไณยบุคคลอันเยีย่ มยอด.
อัคเค ธัมเม ปะสันนานัง วิราคูปะสะเม สุเข
อัคเค สังเฆ ปะสันนานัง ปุญญักเขตเต อะนุตตะเร
เลือ่ มใสแลวในพระธรรมอันเลิศ ซึง่ เปนธรรมปราศจากราคะและสงบระงับเปนสุข เลือ่ มใส
แลวในพระสงฆผเู ลิศ ซึง่ เปนบุญเขตอยางยอด.
อัคคัสม๎ งิ ทานัง ทะทะตัง อัคคัง ปุญญัง ปะวัฑฒะติ.
อัคคัง อายุ จะ วัณโณ จะ ยะโส กิตติ สุขงั พะลัง
ถวายทานในทานผเู ลิศนัน้ บุญทีเ่ ลิศก็ยอ มเจริญ. อายุ วรรณะ ทีเ่ ลิศ และยศ เกียรติคณ
ุ
สุขะ พละ ทีเ่ ลิศ ยอมเจริญ.
อัคคัสสะ ทาตา เมธาวี อัคคะธัมมะสะมาหิโต
เทวะภูโต มะนุสโส วา อัคคัปปตโต ปะโมทะตีต.ิ
ผูมีปญญาตั้งมั่นในธรรมอันเลิศแลว ใหทานแกทานผูเปนบุญเขตอันเลิศ จะไปเกิดเปน
เทพยดาหรือไปเกิดเปนมนุษยกต็ าม ยอมถึงความเปนผเู ลิศบันเทิงอยู ดังนีแ้ ล.
92 ทำวั ต ร-สวดมนต
กาลทานสุตตคาถา
กาเล ทะทันติ สะปญญา วะทัญู วีตะมัจฉะรา
กาเลนะ ทินนัง อะริเยสุ อุชภุ เู ตสุ ตาทิสุ
วิปปะสันนะมะนา ตัสสะ, วิปลุ า โหติ ทักขิณา.
ทายกทัง้ หลายเหลาใด เปนผมู ปี ญ ญา มีปกติรจู กั คำพูด ปราศจากความตระหนี่ มีใจ
เลือ่ มใสแลวในพระอริยเจาทัง้ หลาย ซึง่ เปนผตู รง คงที่ บริจาคทานทำใหเปนของทีต่ นถวายโดย
กาลนิยม ในกาลสมัย, ทักษิณาของทายกนัน้ เปนสมบัตมิ ผี ลไพบูลย.
เย ตัตถะ อะนุโมทันติ เวยยาวัจจัง กะโรนติ วา,
นะ เตนะ ทักขิณา โอนา. เตป ปุญญัสสะ ภาคิโน.
ชนทัง้ หลายเหลาใดอนุโมทนา หรือชวยกระทำการขวนขวายในทานนัน้ , ทักษิณาทานของ
เขา [ทายก] มิไดบกพรองไปดวยเหตุนนั้ . ชนทัง้ หลายแมเหลานัน้ ยอมเปนผมู สี ว นแหงบุญนัน้ ดวย.
ตัส๎มา ทะเท อัปปะฏิวานะจิตโต ยัตถะ ทินนัง มะหัปผะลัง.
ปุญญานิ ปะระโลกัสม๎ งิ ปะติฏฐา โหนติ ปาณินนั ติ.
เหตุนนั้ ทายกควรเปนผทู มี่ จี ติ ไมทอ ถอย ใหในทีใ่ ดมีผลมาก ควรใหในทีน่ นั้ . บุญยอมเปน
ทีพ่ งึ่ ของสัตวทงั้ หลายในโลกหนา ฉะนัน้ แล.
อนุ โ มทนาวิ ธี 93
ติโรกุฑฑกัณฑปจฉิมภาค
‘อะทาสิ เม อะกาสิ เม ญาติมติ ตา สะขา จะ เม’
เปตานัง ทักขิณงั ทัชชา ปุพเพ กะตะมนุสสะรัง
บุคคลเมือ่ ระลึกถึงอุปการะอันทานไดทำแกตนในกาลกอนวา ‘ผนู ใี้ หสงิ่ นีแ้ กเรา ผนู ไี้ ดทำกิจ
นีข้ องเรา ผนู เี้ ปนญาติ เปนมิตร เปนเพือ่ นของเรา’ ดังนี้ ก็ควรใหทกั ษิณาทาน๑ เพือ่ ผทู ลี่ ะโลกนี้
ไปแลว.
นะ หิ รุณณัง วา โสโก วา ยา วัญญา ปะริเทวะนา,
นะ ตัง เปตานะมัตถายะ. เอวัง ติฏฐันติ ญาตะโย.
การรองไหก็ตาม การเศราโศกก็ตาม หรือร่ำไรรำพันอยางอื่นก็ตาม บุคคลไมควรทำเลย,
เพราะวาการรองไหเปนตนนัน้ ไมเปนประโยชนแกญาติทงั้ หลาย ผลู ะโลกนีไ้ ปแลว. ญาติทงั้ หลาย
ยอมตัง้ อยอู ยางนัน้ [นอนนิง่ ไมฟน คืนมาได].
อะยัญจะ โข ทักขิณา ทินนา สังฆัมห๎ ิ สุปะติฏฐิตา
ทีฆะรัตตัง หิตายัสสะ ฐานะโส อุปะกัปปะติ.
ก็ทกั ษิณานุปทาน๒ นีแ้ ล อันทานใหแลว ประดิษฐานไวดแี ลวในสงฆ ยอมสำเร็จประโยชน
เกือ้ กูล แกผทู ลี่ ะโลกนีไ้ ปแลวนัน้ ตลอดกาลนาน ตามฐานะ.
โส ญาติธมั โม จะ อะยัง นิทสั สิโต.
เปตานะ ปูชา จะ กะตา อุฬารา.
ญาติธรรม๓ นีน้ นั้ ทานไดแสดงใหปรากฏแลวแกญาติทงั้ หลายผลู ะโลกนีไ้ ปแลว. และบูชา
อยางยิง่ ทานก็ไดทำแลวแกญาติทงั้ หลายผลู ะโลกนีไ้ ปแลว.
พะลัญจะ ภิกขูนะมะนุปปะทินนัง.
ตุมเหหิ ปุญญัง ปะสุตงั อะนัปปะกันติ.
กำลังแหงภิกษุทงั้ หลาย ชือ่ วาทานไดเพิม่ ใหแลวดวย. บุญไมนอ ย ทานไดขวนขวายแลว.
๑
ทักษิณาทาน คือ ของทำบุญ
๒
ทักษิณานุปทาน คือ การทำบุญอุทศิ ผลแกผตู าย
๓
ญาติธรรม คือ ธรรมทีพ่ งึ ปฏิบตั ติ อ ญาติ
94 ทำวั ต ร-สวดมนต
อานุภาพพระปริตร
ในคัมภีรอรรถกถา มีปรากฏเรื่องที่อานุภาพพระปริตรคุมครองผูสวด อาทิเชน
เมื่อครั้งพระโพธิสัตวเสวยพระชาติเปนนกยูงทอง พระองคทรงหมั่นสาธยาย “โมรปริตร”
ทีก่ ลาวถึงคุณของพระพุทธเจา จึงทำใหแคลวคลาดจากบวงทีน่ ายพรานดักไว (ชา. อฏ. ๒/๓๕)
และในสมัยพุทธกาล มีภกิ ษุ ๕๐๐ รูป ไปเจริญภาวนาในปา ไดถกู เทวดารบกวน จนกระทัง่
ปฏิบตั ธิ รรมไมได ตองเดินทางกลับเมืองสาวัตถี ในขณะนัน้ พระพุทธเจาไดตรัสสอน “เมตตปริตร”
ทีก่ ลาวถึงการเจริญเมตตา ครัน้ ภิกษุเหลานัน้ หมัน่ เจริญเมตตาภาวนา เทวดาก็มไี มตรีจติ ตอบสนอง
ชวยพิทกั ษคมุ ครอง ไมรบกวนเหมือนกอน (สุตตฺ นิ. อฏ. ๑/๒๒๑, ขุททฺ ก. อฏ. ๒๒๕)
อานุภาพพระปริตรยังสามารถคมุ ครองผฟู ง ไดอกี ดวย ดังมีปรากฏในอรรถกถาวา ในสมัย
พุทธกาล เมื่อเมืองเวสาลีประสบภัย ๓ อยาง คือ ขาวยากหมากแพง อมนุษย และโรคระบาด
พระพุทธเจาไดรับนิมนตเสด็จไปโปรด พระองคทรงรับสั่งใหพระอานนทสวด “รตนปริตร” ที่
กลาวถึงคุณของพระรัตนตรัย ภัยดังกลาวในเมืองนัน้ ไดสงบลง (ขุททฺ ก. อฏ. ๑๔๑-๑๔๔)
และในสมัยพุทธกาล มีเด็กคนหนึ่งจะถูกยักษจับกินภายใน ๗ วัน เมื่อพระพุทธเจาทรง
แนะนำใหภิกษุสวดพระปริตรตลอด ๗ คืน และพระองคไดเสด็จไปสวดพระปริตรในคืนที่ ๘
ทำใหเด็กนั้นรอดพนจากการถูกยักษจับกิน มีอายุยืน ๑๒๐ ป บิดามารดาของเขาจึงตั้งชื่อวา
อายุวฑั ฒนกุมาร คือ เด็กผมู อี ายุยนื เพราะรอดพนจากอันตราย ดังกลาว (ธ.อ. ๔/๑๑๓-๑๑๖)
อานิสงสพระปริตร
โบราณาจารยไดรวบรวมอานิสงสของพระปริตร ดังนี้ คือ
๑. กรณียเมตตปริตร ทำใหหลับเปนสุข ตื่นเปนสุข ไมฝนราย เปนที่รักของมนุษย
ทัง้ หลาย เปนทีร่ กั ของอมนุษยทงั้ หลาย เทพพิทกั ษรกั ษา ไมมภี ยันตราย จิตเกิดสมาธิงา ย ใบหนา
ผองใส มีสริ มิ งคล ไมหลงสติในเวลาเสียชีวติ และเกิดเปนพรหมเมือ่ บรรลุเมตตาฌาน
๒. ขันธปริตร ปองกันภัยจากอสรพิษและสัตวรายอื่นๆ
๓. โมรปริตร ปองกันภัยจากผูคิดราย
๔. อาฏานาฏิยปริตร ปองกันภัยจากอมนุษย มีสขุ ภาพดี และมีความสุข
๕. โพชฌังคปริตร ทำใหมสี ขุ ภาพดี มีอายุยนื และพนจากอุปสรรคทัง้ ปวง
๖. ชยปริตร ทำใหประสบชัยชนะ และมีความสุขสวัสดี
๗. รตนปริตร ทำใหไดรบั ความสวัสดี และพนจากอุปสรรคอันตราย
ตำนานพระปริตร 95
๘. วัฏฏกปริตร ทำใหพนจากอัคคีภัย
๙. มังคลปริตร ทำใหเกิดสิรมิ งคล และปราศจากอันตราย
๑๐. ธชัคคปริตร ทำใหพน จากอุปสรรคอันตราย และการตกจากทีส่ งู
๑๑. อังคุลมิ าลปริตร ทำใหคลอดบุตรงาย และปองกันอุปสรรคอันตราย
๑๒. อภยปริตร ทำใหพน จากภัยพิบตั ิ ไมฝน ราย.
จำนวนพระปริตร
โบราณาจารยไดจำแนกพระปริตรออกเปน ๒ ประเภท คือ
๑. จุลราชปริตร (๗ ตำนาน) มี ๗ พระปริตร คือ
๑. มังคลปริตร ๕. โมรปริตร
๒. รตนปริตร ๖. ธชัคคปริตร
๓. กรณียเมตตปริตร ๗. อาฏานาฏิยปริตร
๔. ขันธปริตร
๒. มหาราชปริตร (๑๒ ตำนาน) มี ๑๒ พระปริตร คือ
๑. มังคลปริตร ๗. ธชัคคปริตร
๒. รตนปริตร ๘. อาฏานาฏิยปริตร
๓. กรณียเมตตปริตร ๙. อังคุลิมาลปริตร
๔. ขันธปริตร ๑๐. โพชฌังคปริตร
๕. โมรปริตร ๑๑. อภยปริตร
๖. วัฏฏกปริตร ๑๒. ชยปริตร
ตำนานพระปริตร
มังคลปริตร
มังคลปริตร คือ ปริตรทีก่ ลาวถึงมงคล ๓๘ ประการ
มีประวัติวา กอนที่พระพุทธเจาจะตรัสมงคลนี้ ไดเกิดปญหาถกเถียงกันในโลกมนุษยวา
อะไรเปนมงคล บางคนกลาววาการเห็นรูปทีด่ เี ปนมงคล บางคนกลาววาไดยนิ เสียงทีด่ เี ปนมงคล
บางคนกลาววา กลิน่ รส สัมผัส ทีด่ เี ปนมงคล ตางฝายก็ยนื ยันความเห็นของตน แตไมสามารถ
* จากหนังสือพระปริตรธรรม วัดทามะโอ จ.ลำปาง แปลโดย พระคันธสาราภิวงศ, ฉบับพิมพครัง้ ที่ ๑ จำนวน ๓,๐๐๐ เลม
พ.ศ.๒๕๔๐; จิตวัฒนาการพิมพ อ.เมือง จ.ลำปาง
96 ทำวั ต ร-สวดมนต
กรณียเมตตปริตร
กรณียเมตตสูตร คือ ปริตรทีก่ ลาวถึงการเจริญเมตตา
มีประวัตวิ า สมัยหนึง่ เมือ่ พระพุทธเจาประทับอยทู วี่ ดั พระเชตวัน กรุงสาวัตถี มีภกิ ษุ ๕๐๐ รูป
เรียนกัมมัฏฐานจากพระพุทธองคแลว เดินทางไปแสวงหาสถานทีเ่ พือ่ ปฏิบตั ธิ รรม พวกทานไดมา
ถึงไพรสณฑแหงหนึ่ง ปรึกษากันวาสถานที่นี้เหมาะสมแกการเจริญสมณธรรม จึงตกลงใจอยู
ตำนานพระปริตร 97
จำพรรษาในที่นั้น ชาวบานก็มีจิตศรัทธาสรางกุฏิถวายใหพำนักรูปละหลัง และอุปฏฐากดวย
ปจจัย ๔ มิใหขาดแคลน
เมื่อฝนตก พวกทานจะเจริญกัมมัฏฐานที่กุฏิ ครั้นฝนไมตกก็จะมาปฏิบัติธรรมที่โคนตนไม
รุกขเทวดาที่สิงสถิตอยูที่ตนไม ไมสามารถอยูในวิมานได เพราะผูทรงศีลมาอยูใตวิมานของตน
จึงตองพาบุตรธิดาลงมาอยบู นพืน้ เบือ้ งแรกเทวดาคิดวาพวกภิกษุคงจะอยชู วั่ คราว ก็ทนรอดูอยู
แตเมือ่ รวู า มาจำพรรษาตลอด ๓ เดือน จึงไมพอใจ คิดจะขับไลใหกลับไปในระหวางพรรษา ฉะนัน้
จึงพยายามหลอกหลอนดวยวิธตี า งๆ เชน สำแดงรูปรางทีน่ า กลัว รองเสียงโหยหวน ทำใหไดรบั
กลิน่ เหม็นตางๆ
พวกภิกษุไดหวาดหวัน่ ตกใจตออารมณทนี่ า กลัวเหลานัน้ ไมสามารถปฏิบตั ธิ รรมโดยสะดวก
ได จึงปรึกษากันวาไมควรจะอยใู นสถานทีน่ ตี้ อ ไป ควรจะกลับไปจำพรรษาในสถานทีอ่ นื่ จากนัน้ จึง
รีบเดินทางกลับโดยไมบอกลาชาวบาน เมือ่ มาถึงวัดพระเชตวัน ไดเขาเฝาพระพุทธเจาแลวกราบทูล
เรือ่ งนี้ แตพระพุทธองคกท็ รงเล็งเห็นวาสถานทีเ่ ดิมเหมาะสมกับภิกษุเหลานีม้ ากกวาทีอ่ นื่ จึงทรง
แนะนำใหพวกทานกลับไปสถานทีน่ นั้ พรอมกับตรัสสอนเมตตปริตรเพือ่ เจริญเมตตาแกรกุ ขเทวดา
เมือ่ พวกภิกษุไดเรียนเมตตปริตรจากพระพุทธเจาแลว จึงเดินทางกลับไปสถานทีเ่ ดิม กอน
จะเขาสรู าวปา พวกทานไดเจริญเมตตาโดยสาธยายพระปริตรนี้ อานุภาพแหงเมตตาทำใหรกุ ขเทวดา
มีจิตออนโยน มีไมตรีจิต จึงไมเบียดเบียนเหมือนกอน ทั้งยังชวยปรนนิบัติและคุมครองภัยอื่นๆ
อีกดวย ภิกษุเหลานัน้ ไดพากเพียรเจริญเมตตาภาวนา แลวเจริญวิปส สนาภาวนา โดยใชเมตตา
เปนบาทแหงวิปส สนา ทุกรูปไดบรรลุอรหัตตผลภายในพรรษานัน้ (สุตตฺ นิ.อฏ. ๑/๒๒๑, ขุททฺ ก. อฏ. ๒๒๕)
ขันธปริตร
ขันธปริตร คือ พระปริตรทีก่ ลาวถึงการเจริญเมตตาแกพญางูทงั้ ๔ ตระกูล และแกสรรพสัตว
มีประวัตวิ า เมือ่ พระพุทธเจาทรงประทับอยทู วี่ ดั พระเชตวัน กรุงสาวัตถี มีภกิ ษุรปู หนึง่ ถูก
งูกดั เหลาภิกษุไดกราบทูลความนีแ้ ดพระพุทธองค พระพุทธองคตรัสวา ภิกษุนนั้ ถูกงูกดั เพราะไมได
แผเมตตาแกพญางูทงั้ ๔ ตระกูล ผแู ผเมตตาแกพญางูเหลานัน้ จะไมถกู งูกดั แลวตรัสสอนใหแผ
เมตตาแกพญางูทงั้ ๔ ตระกูล คือ งูตระกูลวิรปู ก ษ, งูตระกูลเอราบถ, งูตระกูลอัพยาบุตร และงูตระกูล
กัณหาโคตม (อํ. จตุกกฺ . ๒๑/๖๗/๘๓, วิ. จูฬ. ๗/๒๕๑/๘, ขุ. ชา. ๒๗/๑๐๕/๕๖)
ในอรรถกถาชาดก (ชา.อฏ. ๓/๑๔๔) มีประวัตดิ งั นี้ เมือ่ ภิกษุรปู หนึง่ ถูกงูกดั พระพุทธเจาตรัสวา
เราตถาคตเคยสอนขันธปริตรในขณะทีย่ งั เปนพระโพธิสตั วอยู คือเมือ่ พระพุทธองคเสวยพระชาติ
เปนฤๅษีทปี่ า หิมพานต ไดพำนักอยรู ว มกับฤๅษีเปนอันมาก ขณะนัน้ มีฤๅษีตนหนึง่ ถูกงูกดั จนเสีย
ชีวติ ทานจึงไดสอนขันธปริตรแกพวกฤๅษีเพือ่ ปองกันภัยจากอสรพิษ.
98 ทำวั ต ร-สวดมนต
โมรปริตร
โมรปริตร คือ ปริตรของนกยูง เปนพระปริตรที่กลาวถึงคุณของพระพุทธเจา แลวนอม
พระพุทธคุณมาพิทกั ษคมุ ครองใหมคี วามสวัสดี
มีประวัตวิ า สมัยหนึง่ ครัน้ พระโพธิสตั วเสวยพระชาติเปนนกยูงทอง อาศัยอยบู นเขาทัณฑก-
หิรญั บรรพตในปาหิมพานต พระโพธิสตั วจะเพงดูพระอาทิตยในเวลาพระอาทิตยอทุ ยั แลวรายมนต
สาธยาย ๒ คาถาแรกวา “อุเทตะยัญจักขุมา เอกะราชา” เปนตน แลวจึงออกแสวงหาอาหาร
ครั้นกลับจากการแสวงหาอาหารในเวลาพระอาทิตยอัสดง ก็เพงดูพระอาทิตย พรอมกับรายมนต
สาธยาย ๒ คาถาหลังวา “อะเปตะยัญจักขุมา” เปนตน นกยูงทองจึงแคลวคลาดจากอันตราย
ทุกอยางดวยมนตบทนี้
วันหนึง่ พรานปาจากหมบู า นใกลเมืองพาราณสี ไดพบนกยูงทองโดยบังเอิญ จึงบอกความนัน้
แกบตุ รของตน ขณะนัน้ พระนางเขมาเทวีมเหสีพระเจาพาราณสีทรงพระสุบนิ วา พระนางเห็นนกยูง
ทองแสดงธรรมอยู จึงกราบทูลพระสวามีวา ทรงประสงคจะฟงธรรมของนกยูงทอง ทาวเธอจึง
รับสัง่ ใหพรานปาสืบหา พรานปาทีเ่ คยไดยนิ คำบอกเลาของบิดาไดมากราบทูลวา นกยูงทองมีอยู
จริงทีท่ ณ
ั ฑกหิรญ ั บรรพต ทาวเธอจึงทรงมอบหมายใหเขาจับนกยูงทองมาถวาย
พรานปาคนนั้นไดเดินทางไปปาหิมพานต แลววางบวงดักนกยูงทองไวทุกแหงในที่แสวงหา
อาหาร แมเวลาผานไปถึง ๗ ป เขาก็ยงั จับไมได เพราะนกยูงทองแคลวคลาดบาง บวงไมแลน
บาง จนในทีส่ ดุ ตองเสียชีวติ อยใู นปานัน้ ฝายพระนางเขมาเทวีกท็ รงประชวรสิน้ พระชนม เพราะ
เสียพระทัยไมสมพระประสงค พระเจาพาราณสีจงึ ทรงพิโรธ ไดรบั สัง่ ใหจารึกอักษรลงในแผน
ทองวา ผกู นิ เนือ้ นกยูงทองทีเ่ ขาทัณฑกหิรญ ั บรรพต จะไมแก ไมตาย หลังจากนัน้ ไมนาน พระองค
ก็สนิ้ พระชนม พระราชาองคอนื่ ทีค่ รองราชยสบื ตอมาไดพบขอความนัน้ จึงสงพรานปาไปจับนกยูง
ทองแตไมมใี ครสามารถจับได กาลเวลาไดลว งเลยไปจนเปลีย่ นพระราชาถึง ๖ พระองค
ครั้นถึงสมัยพระราชาองคที่ ๗ พระองคก็รับสั่งใหพรานปาไปจับอีก พรานคนนี้ฉลาด
หลักแหลม สังเกตการณอยหู ลายวันก็รวู า นกยูงไมตดิ บวง เพราะมีมนตขลัง กอนออกหาอาหาร
จะทำพิธีรายมนตกอนแลวออกไป จึงไมมีใครสามารถจับได เขาคิดวาจะตองจับนกยูงกอนที่จะ
รายมนต จึงไดจบั นางนกยูงตัวหนึง่ มาเลีย้ งใหเชือ่ ง แลวนำไปปลอยไวทเี่ ชิงเขาโดยดักบวงอยใู กลๆ
จากนัน้ ไดทำสัญญาณใหนางนกยูงรำแพนสงเสียงรอง พระโพธิสตั วเมือ่ ไดยนิ เสียงนางนกยูงก็ลมื
สาธยายมนตคมุ ครองตน เผลอตัวบินไปหานางนกยูงโดยเร็ว จึงติดบวงทีด่ กั ไว ครัน้ แลวพราน
ปาไดนำพระโพธิสตั วไปถวายพระเจาพาราณสี
เมือ่ นกยูงทองพระโพธิสตั วเขาเฝาพระเจาพาราณสีแลว ไดทลู ถามวา “เพราะเหตุไร พระองค
จึงจับหมอมฉันมา” ทาวเธอตรัสวา “เพราะมีแผนจารึกวา ผกู นิ เนือ้ นกยูงทองจะไมแก ไมตาย”
ตำนานพระปริตร 99
พระโพธิสัตวทูลวา “ผูกินเนื้อหมอมฉันจะไมตาย แตหมอมฉันจะตองตายมิใชหรือ” ทาวเธอตรัส
วา “ถูกแลว เจาจะตองตาย” พระโพธิสตั วทลู วา “เมือ่ หมอมฉันจะตองตาย แลวผกู นิ เนือ้ หมอม
ฉันจะไมตายไดอยางไร” ทาวเธอตรัสวา “เพราะเจามีขนสีทอง จึงทำใหผูกินเนื้อเจาไมตาย”
พระโพธิสัตวทูลวา “หมอมฉันมีขนสีทองก็เพราะภพกอนเคยเกิดเปนพระเจาจักรพรรดิในพระนคร
พาราณสีนี้ ไดรกั ษาเบญจศีลเปนนิตย และชักชวนใหราษฎรรักษา” จากนัน้ พระโพธิสตั วไดทลู
เรือ่ งทีเ่ คยฝงรถทีป่ ระทับของพระเจาจักรพรรดิไวทสี่ ระมงคลโบกขรณี พระเจาพาราณสีไดรบั สัง่
ใหไขน้ำออกจากสระแลวกรู ถขึน้ มา จึงทรงเชือ่ คำของพระโพธิสตั ว หลังจากนัน้ พระโพธิสตั วไดถวาย
โอวาทพระราชาใหดำรงอยใู นความไมประมาท แลวกลับไปยังปาหิมพานตตามเดิม (ชา.อฏ. ๒/๓๕)
วัฏฏกปริตร
วัฏฏกปริตร คือ ปริตรของนกคมุ เปนพระปริตรทีก่ ลาวถึงสัจจวาจาของพระพุทธเจาทีเ่ คย
กระทำเมือ่ ครัง้ เสวยพระชาติเปนนกคมุ แลวอางสัจจวาจานัน้ มาพิทกั ษคมุ ครองใหพน จากอัคคีภยั
มีประวัตปิ รากฏอยู ๒ แหง คือ ชาดก และจริยาปฎก
ในคัมภีรช าดก (ขุ. ชา. ๒๗/๓๕/๙) มีปรากฏเพียงคาถาเดียว คือ คาถาที่ ๓
สวนคัมภีรจริยาปฎก (ขุ. จริยา. ๓๓/๗๒-๘๒/๖๒๐-๖๒๑) มีปรากฏ ๑๑ คาถา พระปริตร
ทีน่ ยิ มสวดอยใู นปจจุบนั มีทงั้ หมด ๔ คาถา เพราะโบราณาจารยไดคดั มาสวดเฉพาะ ๔ คาถาหลัง
โดยเวน ๗ คาถาแรก เนือ่ งจาก ๔ คาถาเหลานัน้ แสดงสัจจวาจาของพระโพธิสตั ว สวน ๗ คาถา
แรกแสดงประวัติความเปนมา
ในจริยาปฏกแสดงวา พระพุทธเจาไดตรัสพระปริตรนี้แกพระสารีบุตร เพื่อแสดงบารมีที่
พระองคเคยสัง่ สมในภพกอนๆ สวนในอรรถกถาชาดก (ชา. อฏ. ๑/๒๙๑) มีประวัตวิ า สมัยหนึง่
พระพุทธเจารวมกับพระภิกษุสงฆเสด็จจาริกอยูในแควนมคธ ทรงพบไฟปาโดยบังเอิญ เมื่อไฟปา
ลุกลามลอมมาถึงสถานที่ ๑๖ กรีสะ คือ พืน้ ทีห่ วานเมล็ดพืชได ๗๐๔ ทะนาน ไดดบั ลงทันทีเหมือน
ไฟถูกน้ำดับไป พระพุทธเจาตรัสวา ไฟปานีม้ ใิ ชดบั ลงดวยอานุภาพของตถาคตในภพนี้ แตดบั ลง
ดวยอานุภาพสัจจวาจาทีเ่ ราเคยกระทำในชาติทเี่ กิดเปนนกคมุ สถานทีน่ จี้ ะเปนสถานทีไ่ มมไี ฟไหม
ตลอดกัป แลวตรัสพระปริตรนีแ้ กภกิ ษุเหลานัน้ .
ธชัคคปริตร
ธชัคคปริตร คือ ปริตรยอดธง เปนพระปริตรที่กลาวถึงเรื่องที่เทวดาชั้นดาวดึงสแหงนดู
ยอดธงของพระอินทร ฯลฯ ในสงครามระหวางเทวดาและอสูร และแนะนำใหภกิ ษุระลึกถึงคุณ
ของพระพุทธเจา พระธรรม และพระสงฆ ในเวลาเกิดความสะดงุ กลัว เมือ่ อยใู นปา โคนไม หรือ
เรือนวาง (สํ. ส. ๑๕/๒๔๙/๒๖๓)
100ทำวัตร-สวดมนต
พระอรรถกถาจารยไดกลาววา พระปริตรนีส้ ามารถคมุ ครองผทู ตี่ กจากทีส่ งู ได และเลา
เรือ่ งทีเ่ กิดในประเทศศรีลงั กาวา เมือ่ พระภิกษุชว ยกันโบกปูนพระเจดียช อื่ ทีฆวาป มีพระภิกษุรปู หนึง่
ไดพลัดตกลงจากเจดีย พระทีย่ นื อยขู า งลางไดรบี บอกวา “ทานจงระลึกธชัคคปริตรเถิด” พระที่
พลัดตกนัน้ ไดกลาววา “ขอธชัคคปริตรจงคมุ ครองขาพเจา” ขณะนัน้ อิฐสองกอนในพระเจดียไ ด
ยืน่ ออกมารองรับเทาของทาน เมือ่ พระรูปอืน่ พากันนำบันไดมารับลงไปแลว อิฐดังกลาวไดเคลือ่ น
กลับไปสถานทีเ่ ดิม (สํ. อฏ. ๑/๓๒๔-๓๒๕).
อาฏานาฏิยปริตร
อาฏานาฏิยปริตร คือ ปริตรของทาวกุเวรผคู รองนครอาฏานาฏา เพราะเปนพระปริตร
ทีท่ า วกุเวรไดนำมากราบทูลพระพุทธเจา พระปริตรนีก้ ลาวถึงพระนามของพระพุทธเจา ๗ พระองค
และคุณของพระพุทธเจาเหลานั้น รวมทั้งอางอานุภาพพระพุทธเจาและเทวานุภาพมาพิทักษ
ใหมีความสวัสดี
มี ป ระวั ติ ว า สมั ย หนึ่ ง พระพุ ท ธเจ า ประทั บ อยู ที่ ภู เ ขาคิ ช ฌกู ฏ แขวงกรุ ง ราชคฤห
ทาวจตุมหาราชทัง้ ๔ คือ ทาวธตรฐ, ทาววิรฬุ หก, ทาววิรปู ก ษ, และทาวกุเวร ไดมาเฝาพระพุทธเจา
ในมัชฌิมยามแหงราตรี ขณะนัน้ ทาวกุเวรไดกราบทูลวา อมนุษยบางพวกเลือ่ มใสพระองค บางพวก
ไมเลือ่ มใส สวนใหญมกั ไมเลือ่ มใส เพราะพระองคตรัสสอนใหละเวนจากอกุศลกรรม มีปาณาติปาต
เปนตน แตพวกเขาไมสามารถจะเวนได จึงไมพอใจคำสอนที่ขัดแยงกับความประพฤติของตน
เมื่อภิกษุไปปฏิบัติธรรมในปาเปลี่ยว อมนุษยเหลานั้นอาจจะรบกวนได จึงขอใหพระองคทรงรับ
เอาเครือ่ งคมุ ครอง คือ อาฏานาฏิยปริตรไว แลวประทานแกพทุ ธบริษทั เพือ่ สาธยายคมุ ครองตน
และเพื่อใหอมนุษยเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา จากนั้น ทาวกุเวรไดกราบทูลคาถา
เปนตนวา “วิปส สิสสะ นะมัตถุ” เมือ่ ทาวมหาราชเหลานัน้ เสด็จกลับมา พระพุทธเจาจึงนำมาตรัส
แกพุทธบริษัทในภายหลัง.
อังคุลิมาลปริตร
อังคุลมิ าลปริตร คือ พระปริตรของพระองคุลมิ าล
มีประวัตวิ า วันหนึง่ เมือ่ องคุลมิ าลออกบิณฑบาตอยู ทานไดพบหญิงคนหนึง่ คลอดบุตรไม
ได จึงเกิดความสงสาร ไดกลับมาวัดเพือ่ เขาเฝาพระพุทธเจา แลวกราบทูลเรือ่ งนี้ พระพุทธเจาได
ตรัสสอนพระปริตรนีแ้ กองคุลมิ าล ทานไดกลับไปสาธยายแกหญิงนัน้ เมือ่ นางไดฟง พระปริตรนี้
ก็คลอดบุตรไดโดยสะดวก ทัง้ มารดาและบุตรไดรบั ความสวัสดี
อนึง่ ตัง่ ทีพ่ ระองคุลมิ าลนัง่ สวดพระปริตรนี้ ไดกลายเปนตัง่ ศักดิส์ ทิ ธิ์ ถามีหญิงคลอดบุตร
ยาก มานั่งตั่งนี้ไมได ก็นำน้ำลางตั่งไปรดศีรษะ ทำใหคลอดบุตรงาย เปรียบดังน้ำไหลออกจาก
ตำนานพระปริตร 101
ธมกรก (กระบอกกรองน้ำของพระภิกษุ) แมกระทัง่ สัตวทตี่ กลูกยาก เมือ่ นำมานัง่ ทีต่ งั่ นีก้ จ็ ะตกลูก
งาย นอกจากการคลอดบุตรแลว ตัง่ นีย้ งั สามารถรักษาโรคอืน่ ๆ ไดอกี ดวย (ม. อฏ. ๒/๒๔๕).
โพชฌังคปริตร
โพชฌังคปริตร คือ พระปริตรกลาวถึงโพชฌงค คือ องคแหงการรแู จง แลวอางสัจจวาจานัน้
มาพิทักษคุมครองใหมีความสวัสดี
มีประวัตวิ า สมัยหนึง่ พระพุทธเจาประทับอยทู วี่ ดั เวฬุวนั กรุงราชคฤห พระมหากัสสปเถระ
ไดอาพาธหนักทีถ่ ้ำปปผลิคหุ า พระพุทธเจาไดเสด็จเยีย่ มและทรงแสดงโพชฌงค ๗ เมือ่ พระเถระ
ไดสดับโพชฌงคเหลานี้ ไดเกิดปตวิ า โพชฌงค ๗ เคยปรากฏแกเราในขณะรแู จงสัจจธรรม หลังออก
บวชแลว ๗ วัน คำสอนของพระพุทธเจาเปนทางพนทุกขโดยแท ครัน้ ดำริเชนนี้ พระเถระไดเกิด
ปตอิ มิ่ เอิบใจ ทำใหเลือดในกายและรูปธรรมอืน่ ๆ ผองใส โรคของพระเถระจึงอันตรธานไปเหมือน
หยาดน้ำกลิ้งลงจากใบบัว
นอกจากนัน้ พระพุทธเจายังตรัสโพชฌงค ๗ แกพระมหาโมคคัลลานเถระผอู าพาธทีภ่ เู ขา
คิชฌกูฏอีกดวย ครัน้ พระเถระสดับโพชฌงคนแี้ ลวก็หายจากอาพาธนัน้ ทันที
อนึง่ เมือ่ พระพุทธเจาประทับอยทู วี่ ดั เวฬุวนั นัน้ ทรงพระประชวรหนัก จึงรับสัง่ ใหพระจุนทเถระ
สาธยายโพชฌงค ๗ ครัน้ ทรงสดับแลว พระองคทรงหายจากพระประชวรนัน้ (สํ.มหา. ๑๙/๑๙๕-๑๙๗/๗๑
-๗๔).
อภยปริตร
อภยปริตร คือปริตรไมมภี ยั เปนปริตรทีโ่ บราณาจารยประพันธขนึ้ โดยอางคุณพระรัตนตรัย
มาพิทกั ษคมุ ครองใหมคี วามสวัสดี พระปริตรนีม้ ปี รากฏใน ๗ ตำนาน และ ๑๒ ตำนาน ของไทย
และยังแพรหลายไปถึงประเทศสหภาพพมาและศรีลังกาอีกดวย.
ชยปริตร
ชยปริตร คือ พระปริตรทีก่ ลาวถึงชัยชนะของพระพุทธเจา แลวอางสัจจวาจานัน้ มาพิทกั ษ
คมุ ครองใหมคี วามสวัสดี คาถาที่ ๑-๓ แสดงชัยชนะของพระพุทธเจา เปนคาถาทีโ่ บราณาจารย
ประพันธขนึ้ ภายหลัง สวนคาถาที่ ๔-๖ เปนพระพุทธพจนทนี่ ำมาจากอังคุตตรนิกาย ปุพพัณหสูตร
(อํ. ๒๐/๑๕๖ - ๒๘๗).
102 ทำวัตร-สวดมนต
ภาคผนวก
104 ทำวัตร-สวดมนต
อาราธนาศีล ๕
มะยัง ภันเต วิสงุ วิสงุ รักขะณัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปญจะ สีลานิ ยาจามะ.
ทุตยิ มั ป มะยัง ภันเต วิสงุ วิสงุ รักขะณัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปญจะ สีลานิ ยาจามะ.
ตะติยมั ป มะยัง ภันเต วิสงุ วิสงุ รักขะณัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปญจะ สีลานิ ยาจามะ.
ขาแตทานผูเจริญ ขาพเจา (ทั้งหลาย) ขอศีล ๕ พรอมทั้งไตรสรณาคมน เพื่อรักษา
[ศีลแตละขอ] แยกกัน.
ขาแตทานผูเจริญ แมครั้งที่ ๒ ขาพเจา (ทั้งหลาย) ขอศีล ๕ พรอมทั้งไตรสรณาคมน
เพือ่ รักษา [ศีลแตละขอ] แยกกัน.
ขาแตทานผูเจริญ แมครั้งที่ ๓ ขาพเจา (ทั้งหลาย) ขอศีล ๕ พรอมทั้งไตรสรณาคมน
เพือ่ รักษา [ศีลแตละขอ] แยกกัน.
อาราธนาศีล ๘
มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ อัฏฐะ สีลานิ ยาจามะ.
ทุตยิ มั ป มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ อัฏฐะ สีลานิ ยาจามะ.
ตะติยมั ป มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ อัฏฐะ สีลานิ ยาจามะ.
ขาแตทา นผเู จริญ ขาพเจา (ทัง้ หลาย) ขอศีล ๘ พรอมทัง้ ไตรสรณาคมน.
ขาแตทา นผเู จริญ แมครัง้ ที่ ๒ ขาพเจา (ทัง้ หลาย) ขอศีล ๘ พรอมทัง้ ไตรสรณาคมน.
ขาแตทา นผเู จริญ แมครัง้ ที่ ๓ ขาพเจา (ทัง้ หลาย) ขอศีล ๘ พรอมทัง้ ไตรสรณาคมน.
หมายเหตุ: ถาวาคนเดียว เปลีย่ นคำ “มะยัง” เปน “อะหัง” และเปลีย่ น “ยาจามะ” เปน “ยาจามิ”.
ไตรสรณาคมน
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ. (๓ ครัง้ )
ขอนอบนอมแดพระผมู พี ระภาคเจาพระองคนนั้ ซึง่ เปนผไู กลจากกิเลส ตรัสรชู อบดวยพระองคเอง.
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ.
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ.
ขาพเจาขอถึงพระพุทธเจา-พระธรรม-พระสงฆ วาเปนทีพ่ งึ่ ทีร่ ะลึก.
ภาคผนวก 105
ทุติยัมป พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.
ทุตยิ มั ป ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ.
ทุตยิ มั ป สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ.
แมครัง้ ที่ ๒ ขาพเจาขอถึงพระพุทธเจา-พระธรรม-พระสงฆ วาเปนทีพ่ งึ่ ทีร่ ะลึก.
ตะติยมั ป พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.
ตะติยมั ป ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยมั ป สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
แมครัง้ ที่ ๓ ขาพเจาขอถึงพระพุทธเจา-พระธรรม-พระสงฆ วาเปนทีพ่ งึ่ ทีร่ ะลึก.
เมือ่ พระภิกษุกลาววา “ติสรณคมนัง นิฏฐิตงั ” (ไตรสรณาคมนจบแลว) ผสู มาทานรับวา
“อามะ ภันเต” (ครับ/คะ ทานผเู จริญ).
คำสมาทานสิกขาบท๑ ๕ (ศีล ๕)
๑) ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท คือเวนจากการฆาสัตวมชี วี ติ .
๒) อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท คือเวนจากการถือเอาสิง่ ของทีเ่ ขามิไดให.
๓) กาเมสุมจิ ฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท คือเวนจากการประพฤติผดิ ในกามทัง้ หลาย.
๔) มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท คือเวนจากการพูดเท็จ.
๕) สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท คือเวนจาก (การดืม่ ) น้ำเมา คือ สุราและเมรัย
อันเปนที่ตั้งแหงความประมาท.
ทานจะแสดงสรุปอานิสงสของสิกขาบทคือศีลเหลานี้วา
อิมานิ ปญจะ สิกขาปะทานิ. เหลานีแ้ หละคือสิกขาบท (ศีล) ๕.
สีเลนะ สุคะติง ยันติ. (รับวา สาธุ) สัตวโลกจะไปสสู คุ ติ (คือโลกมนุษยและเทวโลก) ไดดว ยศีล.
สีเลนะ โภคะสัมปะทา. (รับวา สาธุ) โภคทรัพยจะเพียบพรอมบริบรู ณไดดว ยศีล.
สีเลนะ นิพพุตงิ ยันติ. (รับวา สาธุ) สัตวโลกจะบรรลุพระนิพพานอันเย็นสนิทไดดว ยศีล.
ตัสม๎ า สีลงั วิโสธะเย. เพราะฉะนัน้ บัณฑิตผมู ปี ญ
ญาพึงรักษาศีลใหบริสทุ ธิ.์
๑
สิกขาบท คือ ขอปฏิบตั สิ ำหรับศึกษาฝกฝนอบรมตน ใหกาย วาจา เรียบรอยดี ไมมโี ทษ (แกตนและผอู นื่ )
106 ทำวัตร-สวดมนต
คำสมาทานสิกขาบท ๘ (ศีล ๘)
๑) ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท คือเวนจากการฆาสัตวมชี วี ติ .
๒) อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท คือเวนจากการถือเอาสิง่ ของทีเ่ ขามิไดให.
๓) อะพ๎รหั ม๎ ะจะริยา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท คือเวนจากกรรมอันเปนขาศึกแกพรหมจรรย.
๔) มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท คือเวนจากการพูดเท็จ.
๕) สุราเมระยะ มัชชะ ปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท คือเวนจาก (การดืม่ ) น้ำเมา คือ สุราและเมรัย
อันเปนที่ตั้งแหงความประมาท.
๖) วิกาละโภชะนา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท คือเวนจากการบริโภคโภชนะในเวลาวิกาล๑.
๗) นัจจะ คีตะ วาทิตะ วิสกู ะ ทัสสะนะ มาลา คันธะ วิเลปะนะ ธาระณะ มัณฑะนะ
วิภสู ะนัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท คือเวนจากการฟอนรำ ขับรอง ประโคมดนตรีและ
ดูการละเลน อันเปนขาศึกตอการประพฤติพรหมจรรย การลูบไล ประดับ ทัดทรง
อันเปนทีต่ งั้ แหงการแตงตัว ดวยระเบียบดอกไม ของหอม เครือ่ งยอม เครือ่ งทา.
๘) อุจจาสะยะนะ มะหาสะยะนา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ.
ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท คือ เวนจากการนัง่ หรือนอนบนทีน่ งั่ ทีน่ อนอันสูง
หรือที่นั่งที่นอนใหญ.
ทานจะแสดงสรุปอานิสงสของสิกขาบทคือศีลเหลานี้วา
อิมานิ อัฏฐะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ. (วาตาม ๓ ครัง้ ) ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท ๘ เหลานี.้
สีเลนะ สุคะติง ยันติ. (รับวา สาธุ) สัตวโลกจะไปสสู คุ ติ (คือโลกมนุษยและเทวโลก) ไดดว ยศีล.
สีเลนะ โภคะสัมปะทา. (รับวา สาธุ) โภคทรัพยจะเพียบพรอมบริบรู ณไดดว ยศีล.
สีเลนะ นิพพุตงิ ยันติ. (รับวา สาธุ) สัตวโลกจะบรรลุพระนิพพานอันเย็นสนิทไดดว ยศีล.
ตัสม๎ า สีลงั วิโสธะเย. เพราะฉะนั้น บัณฑิตผูมีปญญาพึงรักษาศีลใหบริสุทธิ์.
๑
วิกาล คือ เวลาตัง้ แตพระอาทิตยเทีย่ งแลว ไปจนถึงกอนอรุณวันใหม.
ภาคผนวก 107
อาราธนาพระปริตร
วิปต ติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปตติสทิ ธิยา
สัพพะทุกขะวินาสายะ ปะริตตัง พ๎รถู ะ มังคะลัง
วิปตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปตติสทิ ธิยา
สัพพะภะยะวินาสายะ ปะริตตัง พ๎รถู ะ มังคะลัง
วิปตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปตติสทิ ธิยา
สัพพะโรคะวินาสายะ ปะริตตัง พ๎รถู ะ มังคะลัง.
เพือ่ ปองกันความวิบตั ิ เพือ่ ความสำเร็จแหงสมบัตทิ งั้ ปวง เพือ่ ใหทกุ ข-ภัย-โรค ทัง้ หมด
พินาศไป ขอทานทัง้ หลายจงสวดพระปริตรอันเปนมงคล.
อาราธนาธรรม
พ๎รัห๎มา จะ โลกาธิปะตี สะหัมปะติ
กะตัญชะลี อะนะธิวะรัง อะยาจะถะ
‘สันตีธะ สัตตาปปะระชักขะชาติกา
เทเสตุ ธัมมัง อะนุกมั ปมงั ปะชัง’.
ก็ทาวสหัมบดีพรหม ผูเปนอธิบดีแหงโลก ไดประนมกรนมัสการกราบทูลวิงวอนพระผูมี
พระภาคเจา ผกู นั้ เสียซึง่ ความมืดบอด วา ‘สัตวโลกทัง้ หลายทีม่ ธี ลุ คี อื ราคาทิกเิ ลส ในปญญาจักษุ
นอยเบาบาง มีอยใู นโลกนี้ ขอพระผมู พี ระภาคเจาทรงแสดงธรรมอนุเคราะหหมสู ตั วนเี้ ถิด’.
108 ทำวัตร-สวดมนต
อานิสงสแหงศีล
ศีลนี้มีคุณคาหรือคุณสมบัติประจำตัว ถึงใครจะรักษาหรือไมรักษาก็ตาม คุณคาก็ยังอยู
ในตัวของศีลเอง หรือผรู กั ษาจะเปนใครก็ตาม คุณคานัน้ ก็จะไปอยกู บั ตัวผนู นั้ เหมือนกันหมด
เหมือนยามีสรรพคุณในการรักษาโรคประจำอยใู นตัวฉะนัน้ คุณคาหรือคุณสมบัตขิ องศีลนัน้ คือ
๑. มลวิโสธนํ เปนเครื่องชำระมลทิน
๒. ปริฬาหวูปสมนํ เปนเครื่องระงับความเรารอน
๓. สุจิคนฺธวายนํ เปนเครื่องทำใหกลิ่นสะอาดฟุงไป
๔. สคฺคนิพฺพานาธิคมุปายํ เปนวิธีใหเขาถึงสวรรคและพระนิพพาน
๕. โสภาลงฺการปสาธนํ เปนเครื่องประดับอันงดงาม
๖. ภยวิธมนํ เปนเครื่องกำจัดภัยอันตราย
๗. กิตฺติชนนํ เปนสิ่งที่ทำใหมีชื่อเสียง
๘. ปาโมชฺชํ เปนสิ่งที่ทำใหรื่นเริง
อนึง่ ผรู กั ษาศีลใหบริสทุ ธิอ์ ยเู สมอ ศีลยอมอำนวยผลใหอยางนีค้ อื
๑. โภคสมฺปทา เปนเหตุใหไดทรัพยสมบัติ ขาทาส บริวาร เปนตน
๒. กลฺยาณกิตฺตึ เปนเหตุใหมชี อื่ เสียงดีงาม
๓. สมุหวิสารทํ เปนเหตุใหเปนคนแกลวกลาอาจหาญเวลาเขาสังคม
๔. อสมฺมุฬฺหํ เปนเหตุใหมสี ติ ไมหลงในเวลาใกลตาย
๕. สุคติปรายนํ เปนเหตุใหเกิดในสุคติ
รวมความแลวผูรักษาศีลยอมจะไดรับทั้งคุณสมบัติที่มีอยูในตัวศีล เหมือนคนไขไดรับ
สรรพคุณของยาทีม่ อี ยใู นตัวยา และยอมไดรบั ผลจากการรักษาศีล เหมือนคนไขไดรบั ผลจาก
การบริโภคยาหายจากโรคภัยไขเจ็บเปนตน ฉะนัน้
อนึง่ โดยสรุป ผรู กั ษาศีลยอมไดรบั อานิสงสแหงการรักษา ๓ ประการ ซึง่ พระทานวาใหฟง
ในตอนทายใหศลี นัน้ เอง คือ
๑. สีเลน สุคตึ ยนฺติ คนจะไปสสู คุ ติภมู ไิ ด ก็เพราะศีล
๒. สีเลน โภคสมฺปทา คนจะพรัง่ พรอมดวยสมบัติ ก็เพราะศีล
๓. สีเลน นิพพฺ ตุ ึ ยนฺติ คนจะไปพระนิพพานได ก็เพราะศีล
ภาคผนวก 109
อานิสงสขอที่ ๑ ทานหมายเอาสวรรคสมบัติ คือสมบัติอันจะพึงไดรับหลังจากสิ้นชีพไป
แลวมีสมบัติทิพยอยูในหมูเทพชั้นใดชั้นหนึ่งเปนตน
อานิสงสขอที่ ๒ ทานหมายเอามนุษยสมบัติ คือสมบัติที่พึงไดรับในเวลาที่ยังมีชีวิตอยู
หรือทีจ่ ะพึงไดรบั เมือ่ กลับมาเกิดเปนมนุษยอกี เชน รูปสมบัติ ทรัพยสมบัติ บริวารสมบัติ เกียรติยศ
ชื่อเสียงเปนตน
อานิสงสขอ ที่ ๓ ทานหมายเอานิพพานสมบัติ คือสมบัตขิ นั้ สุดยอด ไมเจือดวยความสุข
หรือทุกขอกี เปนความหลุดพนแหงจิตไมตอ งมาเวียนวายตายเกิดในวัฏฏสงสารนีอ้ กี
ทัง้ นีม้ ไิ ดหมายความวา เพียงรักษาศีลอยางเดียวเทานัน้ แลวจะไดสมบัตทิ กุ ประการ ดังวา
มาก็หาไม เปนแตวา ศีลทีร่ กั ษาบริสทุ ธิด์ แี ลว เปนเบือ้ งตนเปนพืน้ ฐานแหงการทำความดีสงู ขึน้ ไป
เชน การบำเพ็ญสมาธิ การเจริญวิปสสนา เปนตน ซึ่งจะเปนเหตุใหไดรับสมบัติอันสูงสุด เชน
พระนิพพานได เพราะผมู ศี ลี ไมบริสทุ ธิห์ รือไมรกั ษาศีลเลย จะเจริญวิปส สนาทำสมาธิใหไดรบั ผลนัน้
เปนไปไมได เพราะจิตของเราจะฟงุ ซานรำคาญ ไมเปนสมาธิ ผมู ศี ลี หมดจดเทานัน้ จึงทำไดดแี ละเกิด
ผลดี ฉะนัน้ จึงวาศีลเปนพืน้ ฐานของคุณธรรมชัน้ สูงขึน้ ไปคือสมาธิ และสมาธิ เปนพืน้ ฐานของปญญา
อีกชั้นหนึ่ง เมื่อมีศีลบริสุทธิ์แลวจึงเปนเหตุใหไดมนุษยสมบัติ สวรรคสมบัติ และนิพพานสมบัติ
ดังกลาว
อนึง่ ศีลนีน้ อกจากจะมีคณ
ุ สมบัตดิ งั กลาว อันเปนประโยชนรวมแลว แตละขอยังมีประโยชน
ประจำอีก เหมือนยาแตละขนานก็มสี รรพคุณประจำตัว และเฉพาะตัวอยฉู ะนัน้ เชน
ศีลขอที่ ๑ เปนเหตุใหอายุยนื มีโรคนอย รางกายแข็งแรง เปนตน
ศีลขอที่ ๒ เปนเหตุใหมสี มบัตมิ าก รักษาสมบัตไิ วได สมบัตไิ มเปนอันตรายดวยภัยตางๆ เปนตน
ศีลขอที่ ๓ เปนเหตุใหไดคคู รองทีด่ ี มีความรักมัน่ คง ครอบครัวไมแตกแยกกัน เปนตน
ศีลขอที่ ๔ เปนเหตุใหมคี ำพูดเปนทีน่ า เชือ่ ถือ มีเสียงไพเราะ ไมมกี ลิน่ ปาก เปนตน
ศีลขอที่ ๕ เปนเหตุใหมสี ติมนั่ คง ไมหลงลืม มีปญ ญาเฉลียวฉลาด เปนตน
สวนผมู กั ประพฤติลว งละเมิดศีลนัน้ ยอมไดรบั โทษหลายอยางตางประการ อันตรงกันขาม
กับประโยชนของศีลที่กลาวแลว
เพราะฉะนัน้ ผหู วังความสุข ความสงบ และสมบัตดิ งั กลาว พึงรักษาศีลของตนใหบริสทุ ธิ์
บริบรู ณดี ไมใหดา ง ไมใหพรอย ดวยประการทัง้ ปวง พึงรักษาใหดเี ทาชีวติ เหมือนนกตอยตีวดิ
รักษาไข เหมือนจามรีรักษาขนหาง เหมือนมารดารักษาบุตรนอย และเหมือนคนมีตาดี
ขางเดียวรักษาดวงตาของตนไว ฉะนัน้ เมือ่ เปนดังนีย้ อ มจะไดรบั ประโยชนสมปรารถนา.
110 ทำวัตร-สวดมนต
องคแหงศีล
องคแหงศีล คือ ขอที่ทานกำหนดไวประจำศีลแตละขอ เพื่อใหผูรักษาศีลไดกำหนดรูวา
ศีลที่ตนกำลังรักษาอยูนั้นจะขาดดวยลักษณะใดบาง จะดางจะพรอยไปดวยลักษณะใดบาง
เปนการปองกันศีลจากการขาดได เพราะผรู กั ษาศีลรตู วั กอนแลววา ถาไปทำอยางนีๆ้ ศีลจะขาด
และองคศลี นีย้ งั เปนเครือ่ งตัดสินไดอกี วา ถาไปทำอยางนีม้ า ศีลจะขาดหรือไม โดยนำการกระทำ
นัน้ มาเทียบกับองคศลี ทัง้ หมดในขอนัน้ ถาไดครบองคศลี ศีลขอนัน้ ก็เปนอันขาดแลว ถาไมครบ
ก็แสดงวายังไมขาด เปนเพียงดางหรือพรอยไปเทานัน้ แตนบั วาศีลมีมลทินไมบริสทุ ธิแ์ ลว ดังนี้
เปนตน ในศีลแตละสิกขาบทมีองคดงั นี้
สิกขาบทที่ ๑ : มีองค ๕ คือ
๑. ปาโณ สัตวทฆี่ า เปนสัตวมปี ราณ คือ มีลมหายใจ
๒. ปาณสฺญิตา ผูฆารูวาสัตวนั้นมีลมหายใจ
๓. วธกจิตฺตํ มีความตัง้ ใจจะฆาใหตาย
๔. อุปกฺกโม พยายามฆาสัตวนนั้ โดยทีส่ ดุ แมจะพยายามเพียง
เอือ้ มมือไปฆาเทานัน้ ก็จดั เปนพยายามเหมือนกัน
๕. เตน มรณํ สัตวนนั้ สิน้ ลมหายใจไปดวยความพยายามเพียงนัน้
สิกขาบทที่ ๒ : มีองค ๕ คือ
๑. ปรปริคฺคหิตํ ของที่ลักเปนของมีเจาของ
๒. ปรปริคฺคหิตสฺญิตา ผูลักก็รูวาของนั้นมีเจาของ
๓. เถยฺยจิตฺตํ มีความจงใจจะลัก
๔. อุปกฺกโม พยายามลักของนัน้ โดยทีส่ ดุ แมเพียงเอือ้ มมือ
ไปหยิบเอาเทานัน้
๕. เตน หรณํ นำของนัน้ มาได ดวยความพยายามนัน้
สิกขาบทที่ ๓ : มีองค ๔ คือ
๑. อคมนียวตฺถุ เปนบุคคลทีไ่ มควรไปลวงละเมิด ๒๐ จำพวก
มีชายหญิงทีม่ ภี รรยาสามีแลว เปนตน
๒. ตสฺมึ เสวนจิตตฺ ํ จงใจจะเสพในบุคคลนั้น
๓. เสวนปฺปโยโค มีความพยายามในการเสพ
๔. มคฺเคน มคฺคปฺปฏิปตฺตอิ ธิวาสนํ ใหอวัยวะเพศถึงกัน
ภาคผนวก 111
สิกขาบทนี้ ถาเปนสิกขาบทที่ ๓ ในศีล ๘ ก็มอี งค ๒ คือ
๑. เสวนจิตฺตํ จงใจจะเสพ
๒. มคฺเคน มคฺคปฺปฏิปาทนํ ใหอวัยวะเพศถึงกันเพียงชัว่ เมล็ดงาเดียว
สิกขาบทที่ ๔ : มีองค ๔ คือ
๑. อตถํ วตฺถุ เรือ่ งทีพ่ ดู เปนเรือ่ งไมจริง ไมมจี ริง
๒. วิสํวาทนจิตฺตํ จงใจจะพูดใหผิดไปจากความจริง
๓. ตชฺโช วายาโม พูดคำนั้นออกไป
๔. ปรสฺส ตทตฺถวิชานนํ ผฟู ง เขาใจความหมายเหมือนอยางทีพ่ ดู ออกไปนัน้
สิกขาบทที่ ๕ : มีองค ๔ คือ
๑. มทนียํ ของทีด่ มื่ เปนของทีท่ ำใหมนึ หรือเมาได เชน สุรา
เปนตน
๒. ปาตุกมฺยตาจิตฺตํ จงใจจะดื่ม
๓. ตชฺโช วายาโม ดื่มน้ำนั้นเขาไป
๔. ปตปฺปเวสนํ น้ำดื่มนั้นไหลลวงลำคอเขาไป
สิกขาบทที่ ๖ : มีองค ๔ คือ
๑. วิกาโล เวลานั้นเปนเวลาตั้งแตเที่ยงตรงไปจนถึงกอน
อรุณวันใหมขึ้นมา
๒. ยาวกาลิกํ ของทีก่ ลืนกินนัน้ เปนของนับเขาในจำพวกอาหาร
๓. อชฺโฌหรณปฺปโยโค พยายามกลืนกินของนั้น
๔. เตน อชฺโฌหรณํ กลืนกินของนั้นจนลวงลำคอลงไป
สิกขาบทที่ ๗ : ตอนทีว่ า ดวยการดูฟอ นรำ ขับรอง และประโคมดนตรี มีองค ๓ คือ
๑. นจฺจาทีนิ สิง่ ทีด่ หู รือฟง เปนการฟอนรำขับรอง เปนตน
๒. ทสฺสนตฺถาย คมนํ ไปเพื่อจะดูหรือฟงสิ่งนั้น
๓. ทสฺสนํ ดูหรือฟงสิ่งนั้น
ตอนทีว่ า ดวยการทัดทรงดอกไม ประดับตกแตงรางกาย เปนตน มีองค ๓ คือ
๑. มาลาทีนํ อฺญตรตา ของนัน้ เปนเครือ่ งประดับตกแตงรางกายมีดอกไม
และของหอม เปนตน
112 ทำวัตร-สวดมนต
๒. อนฺุญาตการณาภาโว ไมมีเหตุจำเปนที่ทรงอนุญาตไว เชน ทายาเพื่อ
บำบัดโรค เปนตน
๓. อลงฺกตภาโว ประดับ ทัดทรง ตกแตง ลูบไล ของเหลานัน้
ดวยตองการใหสวยงาม
สิกขาบทที่ ๘ : มีองค ๓ คือ
๑. อุจฺจาสยนมหาสยนํ ของนัน้ เปนทีน่ งั่ หรือทีน่ อนอันสูงหรือใหญ
๒. อุจฺจาสยนมหาสยนสฺญิตา ตัวเองก็รวู า เปนทีน่ งั่ หรือทีน่ อนอันสูงใหญ
๓. อภินสิ ที นํ วา อภินปิ ชฺชนํ วา นั่งหรือนอนบนที่นั่งหรือที่นอนนั้น
องคศีลเหลานี้ทานกำหนดไวเพื่อเปนเครื่องตัดสินวา สิกขาบทนั้นๆ จะขาดหรือไมในเมื่อ
มีการลวงละเมิดขึ้น เปนทางขจัดความแคลงใจสงสัยของผูรักษาไดเปนอยางดี เพราะวาบางครั้ง
แมแตตวั เองก็ไมทราบวา ทีท่ ำไปนัน้ เปนการลวงละเมิดศีลหรือไม เมือ่ ใชหลักคือองคศลี ขอนัน้ ๆ ไป
เทียบจึงจะทราบได คือ ถาทำไปครบทุกองคในศีลขอนัน้ เปนอันวาศีลขอนัน้ ขาดถาไมครบทุกองค
ก็ยังไมขาด เชน เผลอไปใชมือลูบตามตัวบังเอิญไปถูกยุงตายเขาอยางนี้ ศีลยังไมขาด เพราะไม
ครบองค ปาณาติบาต คือ ไมไดมเี จตนาจะทำใหตาย แตองคอนื่ ๆ มีอยู ศีลนัน้ จึงเปนเพียงดางพรอย
เทานัน้ ดังนีเ้ ปนตัวอยาง องคศลี นัน้ จึงเปนหลักสำคัญทีค่ วรจำใหไดแมนยำสำหรับปฏิบตั ไิ ดถกู ตอง
เพือ่ ตัดสินใจความสงสัยของตัว จะไดไมเกิดวิปฏิสาร เดือดรอน ไมสบายใจ ในเมือ่ ไปลวงละเมิดเขา
โดยไมไดตั้งใจ
ศีลขาด คือ ศีลของผสู มาทานศีลแลวแตไมรกั ษาศีลนัน้ ใหดี ลวงละเมิดเปนประจำทำใหขาด
ตนขาดปลาย หาทีบ่ ริสทุ ธิบ์ ริบรู ณจริงๆ ไดยาก เหมือนผาทีข่ าดตรงชายรอบผืน ฉะนัน้
ศีลทะลุ คือ ศีลของผชู อบลวงละเมิดสิกขาบทกลางๆ หรือลวงองคศลี กลางๆ เสมอแตสกิ ขาบท
ตนกับปลาย หรือองคตน กับปลายยังดีอยู เหมือนกับผาทีท่ ะลุเปนชองโหวตรงกลางแตชายรอบๆ
ยังใชไดอยู ฉะนัน้
ศีลดาง คือ ศีลของผชู อบลวงละเมิดสิกขาบททีเดียว ๒ หรือ ๓ ขอ หรือลวงองคศลี ครัง้
เดียว ๒ หรือ ๓ องคเลย เหมือนแมโคดางทีก่ ระดำกระดางไปทัว่ ทัง้ ตัวดวยลายขาวบาง ดำบาง
ตามหลัง ตามทอง ฉะนัน้
ศีลพรอย คือ ศีลของผชู อบลวงละเมิดศีลคราวละสิกขาบท หรือลวงองคศลี คราวละองค
สององค คือมีศีลบริสุทธิ์บาง ไมบริสุทธิ์บาง สลับกันไป เหมือนแมโคลายซึ่งมีตัวพรอยไปดวย
จุดดำๆ ขาวๆ ทีข่ นึ้ ทัง้ ตัว ฉะนัน้ .
ภาคผนวก 113
ธรรมของอุบาสก-อุบาสิกาแกว (อุบาสก-อุบาสิการตนะ)
คำวา อุบาสก หรือ อุบาสิกา นี้ แปลวา ผเู ขาไปนัง่ ใกล หรือ ผอู ยใู กลพระรัตนตรัย คือ
ผูยอมรับนับถือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ เปนที่พึ่งที่ระลึกของตนตลอดเวลา ใฝใจสนใจ
อยแู ตในสามสิง่ นีเ้ ทานัน้ และผเู ปนอุบาสกอุบาสิกา พึงประกอบดวยธรรม ๕ ประการนี้ คือ
๑. มีศรัทธามัน่ คง คือ มีความเชือ่ ความเลือ่ มใสในพระรัตนตรัยไมจดื จาง ไมคลอนแคลน
ถึงจะมีเหตุใหคลายศรัทธาบางในบางขณะ ก็ไมหวั่นไหวคลอนแคลนไปตามเหตุนั้นๆ เชน มีคนตู
พระพุทธองคใหไดยนิ ก็ยงั มัน่ คงดวยศรัทธาในพระพุทธองคอยู ไมเกิดความสงสัยแคลงใจวา ทีเ่ ขา
พูดนัน้ เปนจริงหรือไม ดังนีเ้ ปนตัวอยาง
๒. มีศีลบริสุทธิ์ คือ พยายามรักษาศีลของตนที่รับสมาทานมาแลวใหหมดจด ไมใหขาด
ไมใหทะลุ ไมใหดาง ไมใหพรอย รักษาไวเทาชีวิตของตน ถึงจะมีเหตุใหตองละเมิดก็พยายาม
หลีกเลี่ยงเหตุอันนั้นไป
๓. ไมถือมงคลตื่นขาว คือ ไมเชื่อถือฤกษยาม เคราะห มงคลภายนอกตางๆ เปนตน
เพราะสิง่ เหลานีพ้ ระพุทธองคทรงตรัสวา หามีอทิ ธิพลทำใหเปนคนดีคนเลว ตกนรกหรือขึน้ สวรรค
ไดไม กลับทำใหงมงายยิง่ ขึน้ หางจากธรรมทีแ่ ทจริงมากขึน้ ไมใหเปนคนหูเบาเชือ่ อะไรงายๆ
โดยไมพจิ ารณาใหถอ งแท หรือถามทานผรู เู สียกอนทีจ่ ะเชือ่ หรือไมเชือ่ กรรมคือการกระทำของตัว
เทานั้นวา ตัวทำกรรมไวเชนไร ตองไดรับผลเชนนั้นแน ใหเชื่อวาคนเกิดมามีกรรมติดตัวมาทุกคน
ใหเชือ่ วาคำสอนของพระพุทธศาสนานีเ้ ปนทางใหพน ทุกขไดจริง เปนตน
๔. ไมแสวงบุญนอกเขตพระพุทธศาสนา คือ ไมคลอยตามพิธกี รรมซึง่ เปนของตางศาสนา
ไมทำตามลัทธิอนั ใดทีข่ ดั ตอความดีงามและศีลธรรมในพระพุทธศาสนา
๕. บำเพ็ญแตบญ ุ ในพระพุทธศาสนา คือ มงุ แสวงบุญตามหลักคำสอนของพระพุทธองค
เทานั้น เชน ใหทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ประกอบดวยเมตตากรุณา มีความกตัญูกตเวที
ตอผมู พี ระคุณ เปนตน เพราะการทำการประพฤติเชนนี้ ถือวาเปนบุญในพระพุทธศาสนา
ทั้ง ๕ ประการนี้ จัดเปนธรรมของอุบาสกอุบาสิกา อันผูเปนอุบาสกอุบาสิกาพึงปฏิบัติ
ตามอยางเครงครัด เพือ่ ความเปนอุบาสกอุบาสิกาอยางสมบูรณ เพือ่ สำเร็จประโยชนตามทีต่ อ งการ
ถาขาดไปเสียขอใดขอหนึ่ง ก็จะทำใหขาดคุณสมบัติไป ทำใหเปนอุบาสกอุบาสิกาที่ไมสมบูรณ
อนึง่ ผปู ระกอบดวย วิบตั ิ ๕ ตอไปนี้ ไมจดั เปนอุบาสกอุบาสิกาในพระพุทธศาสนาเลย
คือ
114 ทำวัตร-สวดมนต
๑. มีศรัทธาในพระรัตนตรัยไมมั่นคง
๒. ศีลไมบริสุทธิ์
๓. ถือมงคลตืน่ ขาว เชน ลอดทองชางแลวเปนมงคล เปนตน ไมเชือ่ กรรม
๔. แสวงเขตบุญนอกพระพุทธศาสนา
๕. ไมทำบุญในพระศาสนา
นอกจากนี้ พระพุทธองคยงั ตรัสถึง คุณสมบัตขิ องอุบาสกอุบาสิกา อีก ๗ ประการ คือ
๑. ไมขาดการเยี่ยมเยียนพบพระภิกษุ
๒. ไมละเลยการฟงธรรม
๓. ศึกษาในอธิศลี
๔. มากดวยความเลือ่ มใสในภิกษุทงั้ หลาย ทัง้ ทีเ่ ปนเถระ ผใู หม และผปู านกลาง
๕. ไมฟง ธรรมดวยตัง้ ใจจะคอยเพงโทษติเตียน
๖. ไมแสวงหาเนื้อนาบุญนอกพระศาสนานี้ [แตถาสงเคราะหบุคคลในศาสนาอื่นดวยหลัก
มนุษยธรรม ไมหา ม]
๗. ทำการสนับสนุนในพระศาสนานี้เปนเบื้องตน [คือรูจักใหความสำคัญแกศาสนาที่ตน
นับถือกอน]
การคาตองหามสำหรับอุบาสกอุบาสิกา (มิจฉาวณิชชา)
๑. คาขายเครือ่ งประหาร คือ คาขายอาวุธอันเปนเครือ่ งมือสำหรับฆาสัตว เบียดเบียน
สัตว ทุกชนิด เชน ปน หอก ดาบ แห อวน ลอบ เปนตน สวนเครือ่ งมือ เชน มีด ขวาน สิว่ จอบ
เสียม และสิ่งอื่นๆ อันเปนเครื่องประกอบในการทำมาหากิน [ที่ไมเบียดเบียนสัตว] ตามปกติ
ก็ไมไดหา มคาขาย เพราะไมไดมงุ ขายใหใครนำไปใชเปนอาวุธประหารสัตว แตถา มงุ คาใหเปนเครือ่ ง
ประหาร ทานหาม
๒. คาขายมนุษย คือ การหลอกลวงมนุษยไปขาย การขายทาส การตัง้ สำนักบำเรอชาย
เปนตน จัดเปนคามนุษยทงั้ สิน้
๓. คาขายสัตวเปนๆ สำหรับฆาเปนอาหาร คือ การคาขายสัตวทมี่ เี นือ้ เปนอาหาร เชน
หมู เปด ไก โค กระบือ ปลา นก เปนตน แตถา คาสัตวเลีย้ งหรือสัตวใชงาน ถึงจะมีเนือ้ เปน
อาหารก็ตาม เขาเลีย้ งไวเพือ่ ทำงาน ขายไปเพือ่ ใหเลีย้ งใชงาน ไมนบั เปนคาขายในขอนี้
๔. คาขายน้ำเมา คือ คาขายเครือ่ งดองของเมา ยาเสพติด ซึง่ เปนเหตุใหเกิดความประมาทได
ทุกชนิด แตถาเปนจำพวกยาดองสุราอื่นใดที่มีของมึนเมาเจือปนอยู ซึ่งเปนยารักษาโรคเทานั้น
เปนตน ก็คา ขายได
๕. คาขายยาพิษ เปนไปเพือ่ เบียดเบียนสัตวอนื่ โดยตรง แสดงถึงความเหีย้ มโหด.
ภาคผนวก 115
คำถวายสังฆทาน
คำถวายภัตตาหาร
อิมานิ มะยัง ภันเต ภัตตานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ.
สาธุ โน ภันเต ภิกขุสงั โฆ อิมานิ ภัตตานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคัณห๎ าตุ อัมห๎ ากัญเจวะ
ญาตะกานัญจะ ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ นิพพานายะ จะ.
ขาแตพระสงฆผเู จริญ ขาพเจาทัง้ หลาย ขอนอมถวายภัตตาหาร กับทัง้ บริวารเหลานี้
แดพระภิกษุสงฆ. ขอพระภิกษุสงฆ จงรับภัตตาหาร กับทัง้ บริวารเหลานี้ ของขาพเจาทัง้ หลาย
เพือ่ ประโยชน เพือ่ ความสุข และเพือ่ มรรคผลนิพพาน แกขา พเจาทัง้ หลาย และญาติของขาพเจา
ทัง้ หลาย ตลอดกาลนาน เทอญ.
หมายเหตุ : ถาไมมเี ครือ่ งบริวารถวายพวงดวย ก็ตดั คำบาลีวา “สะปะริวารานิ” หรือ
“สะปะริวารัง” และคำทีแ่ ปลวา “กับทัง้ บริวาร” ออกเสียทุกแหง.
คำถวายขาวสาร
อิมานิ มะยัง ภันเต ตัณฑุลานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ.
สาธุ โน ภันเต. ภิกขุสงั โฆ อิมานิ ตัณฑุลานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคัณห๎ าตุ อัมห๎ ากัญเจวะ
ญาตะกานัญจะ ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ นิพพานายะ จะ.
ขาแตพระสงฆผูเจริญ ขาพเจาทั้งหลาย ขอนอมถวายขาวสาร กับทั้งบริวารเหลานี้
แดพระภิกษุสงฆ. ขอพระภิกษุสงฆ จงรับขาวสาร กับทัง้ บริวารเหลานี้ ของขาพเจาทัง้ หลาย
เพือ่ ประโยชน เพือ่ ความสุข และเพือ่ มรรคผลนิพพาน แกขา พเจาทัง้ หลาย และญาติของขาพเจา
ทัง้ หลาย ตลอดกาลนาน เทอญ.
คำถวายพระพุทธรูป
อิมงั มะยัง ภันเต พุทธะปะฏิมงั ภิกขุสงั ฆัสสะ โอโณชะยามะ. สาธุ โน ภันเต
ภิกขุสงั โฆ อิมงั พุทธะปะฏิมงั ปะฏิคคัณห๎ าตุ อัมห๎ ากัญเจวะ ญาตะกานัญจะ ทีฆะรัตตัง
หิตายะ สุขายะ นิพพานายะ จะ.
ขาแตพระสงฆผเู จริญ ขาพเจาทัง้ หลาย ขอนอมถวายพระพุทธปฏิมานี้ แดพระภิกษุสงฆ.
ขอพระภิกษุสงฆ จงรับพระพุทธปฏิมานี้ เพือ่ ประโยชน เพือ่ ความสุข และเพือ่ มรรคผลนิพพาน
แกขา พเจาทัง้ หลาย และญาติของขาพเจาทัง้ หลาย ตลอดกาลนาน เทอญ.
116 ทำวัตร-สวดมนต
คำถวายผาปา (ผาบังสุกลู )
อิมานิ มะยัง ภันเต ปงสุกลู ะจีวะรานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสงั ฆัสสะ โอโณชะยามะ.
สาธุ โน ภันเต ภิกขุสังโฆ อิมานิ ปงสุกูละจีวะรานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคัณ๎หาตุ
อัมห๎ ากัญเจวะ ญาตะกานัญจะ ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ นิพพานายะ จะ.
ขาแตพระสงฆผูเจริญ ขาพเจาทั้งหลาย ขอนอมถวายผาปา กับทั้งบริวารเหลานี้
แดพระภิกษุสงฆ ขอพระภิกษุสงฆ จงรับ ผาปา กับทั้งบริวารเหลานี้ ของขาพเจาทั้งหลาย
เพือ่ ประโยชน เพือ่ ความสุข และเพือ่ มรรคผลนิพพาน แกขา พเจาทัง้ หลาย และญาติของขาพเจา
ทัง้ หลาย ตลอดกาลนาน เทอญ.
คำถวายผาอาบน้ำฝน (ผาวัสสิกสาฎก)
อิมานิ มะยัง ภันเต วัสสิกะสาฏิกานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสงั ฆัสสะ โอโณชะยามะ.
สาธุ โน ภันเต ภิกขุสังโฆ อิมานิ วัสสิกะสาฏิกานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคัณ๎หาตุ
อัมห๎ ากัญเจวะ ญาตะกานัญจะ ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ นิพพานายะ จะ.
ขาแตพระสงฆผเู จริญ ขาพเจาทัง้ หลาย ขอนอมถวายผาอาบน้ำฝน กับทัง้ บริวารเหลานี้
แดพระภิกษุสงฆ. ขอพระภิกษุสงฆจงรับ ผาอาบน้ำฝน กับทัง้ บริวารเหลานี้ ของขาพเจา
ทัง้ หลาย เพือ่ ประโยชน เพือ่ ความสุข และเพือ่ มรรคผลนิพพาน แกขา พเจาทัง้ หลาย และญาติ
ของขาพเจาทัง้ หลาย ตลอดกาลนาน เทอญ.
คำถวายผากฐิน
อิมัง ภันเต สะปะริวารัง กะฐินะจีวะระทุสสัง สังฆัสสะ โอโณชะยามะ. สาธุ
โน ภันเต สังโฆ อิมงั สะปะริวารัง กะฐินะทุสสัง ปะฏิคคัณห๎ าตุ. ปะฏิคคะเหต๎วา จะ
อิมนิ า ทุสเสนะ กะฐินงั อัตถะระตุ อัมห๎ ากัญเจวะ ญาตะกานัญจะ ทีฆะรัตตัง หิตายะ
สุขายะ นิพพานายะ จะ.
ขาแตพระสงฆผูเจริญ ขาพเจาทั้งหลาย ขอนอมถวายผากฐินจีวร กับทั้งบริวารนี้
แดพระภิกษุสงฆ. ขอพระภิกษุสงฆ จงรับผากฐิน กับทั้งบริวารนี้ ของขาพเจาทั้งหลาย
ครัน้ รับแลว ขอจงกรานกฐินดวยผานี้ เพือ่ ประโยชน เพือ่ ความสุข และเพือ่ มรรคผลนิพพาน
แกขา พเจาทัง้ หลาย และญาติของขาพเจาทัง้ หลาย ตลอดกาลนาน เทอญ.
ภาคผนวก 117
คำถวายเสนาสนะ กุฏิ วิหาร
อิมานิ มะยัง ภันเต เสนาสะนานิ อาคะตานาคะตัสสะ จาตุททิสสั สะ ภิกขุสงั ฆัสสะ
โอโณชะยามะ. สาธุ โน ภันเต ภิกขุสังโฆ อิมานิ เสนาสะนานิ ปะฏิคคัณห๎ าตุ
อัมห๎ ากัญเจวะ ญาตะกานัญจะ ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ นิพพานายะ จะ.
ขาแตพระสงฆผเู จริญ ขาพเจาทัง้ หลาย ขอนอมถวายเสนาสนะเหลานี้ แดพระภิกษุสงฆ
ผมู ใี นทิศทัง้ ๔ ทีม่ าแลวก็ดี ยังไมมาก็ด.ี ขอภิกษุสงฆจงรับ เสนาสนะเหลานี้ ของขาพเจา
ทัง้ หลาย เพือ่ ประโยชน เพือ่ ความสุข และเพือ่ มรรคผลนิพพาน แกขา พเจาทัง้ หลาย และญาติ
ของขาพเจาทัง้ หลาย ตลอดกาลนาน เทอญ.
คำบูชาขาวพระ
อุกาสะ สูปะพย๎ ญั ชะนะสัมปนนัง สาลีนงั โภชะนัญจะ (โอทะนัญจะ) อุทะกัง วะรัง
พุทธัสสะ ธัมมัสสะ สังฆัสสะ ปูเชมิ.
ขาพเจาขอโอกาส บูชาซึ่งโภชนะ (และขาวสุก) แหงขาวสาลี อันสมบูรณดวยแกง
และกับ และน้ำบริสทุ ธิ์ แดพระพุทธเจา พระธรรม และพระสงฆ.
คำลาขาวพระ
เสสัง มังคะลัง ยาจามิ. ขาพเจาขอสิง่ ทีเ่ หลืออันเปนมงคล.
คำกรวดน้ำแบบสั้น
อิทงั เม ญาตีนงั โหตุ.
ขอบุญนีจ้ งสำเร็จแกญาติทงั้ หลายของขาพเจา. (คำอุทศิ ของพระเจาพิมพิสาร)
สุขติ า โหนตุ ญาตะโย.
ขอญาติทงั้ หลายจงเปนสุขเถิด. (พระพุทธภาษิต).
118 ทำวัตร-สวดมนต
ภาคผนวก 119
๕. ปากชองลำคอ
๑
อินทริยปโรปริยตั ตญาณ อานวา อิน-ทฺร-ิ ยะ...
123
๖. ใหไดรูถูกเห็นถูก ในธรรมที่ควรรูและควรเห็น ใหเปนผูคิดถูก พูดถูก กระทำถูก
นำผอู นื่ ถูก และทรงไวซึ่งพระพุทธศาสนาของพระบรมศาสดาตลอดไปในกาลทุกเมื่อ
๗. ขอใหขาพเจาเปนผูฉลาดในอุบายแหงความเจริญและความเสื่อม เปนผูเฉียบแหลม
ในอรรถและในธรรม
๘. ขอใหสขุ สมบูรณบริบรู ณดว ยปจจัย ๔ สิง่ อำนวยความสะดวกทัง้ หลาย มียวดยาน
พาหนะและเครือ่ งใชสอยตางๆ เปนตน ขึน้ ชือ่ วาความขาดแคลนในสิง่ เหลานี้ อยาไดมี
๙. แมวา ขาพเจาจะยังอาภัพอยู ยังจะตองทองเทีย่ วไปในวัฏฏสงสาร ก็ขอใหไดเกิดในฤกษ
สรางบารมี บริบรู ณดว ยสมบัติ ๖ ประการ คือ กาลสมบัติ ชาติสมบัติ ตระกูลสมบัติ ประเทศสมบัติ
ทิฏฐิสมบัติ และอุปธิสมบัติ ใหไดมีโอกาสศึกษาและปฏิบัติธรรมเพื่อความพนทุกขตามแนวทาง
พระพุทธศาสนา และขอใหขาพเจาเปนเหมือนพระโพธิสัตวผูเที่ยงแท ไดรับการพยากรณจาก
พระพุทธเจาแลว ไมกระทำอกุศลกรรมอันจะนำไปสอู บายภูมอิ กี และถาหากยังมีเศษกรรมเหลืออยู
ก็ขออยาไดถึงฐานะแหงความอาภัพตางๆ
๑๐. เมือ่ เกิดเปนมนุษยกข็ อใหไดเพศบริสทุ ธิ์ เปนชาย ใหไดบรรพชาอุปสมบท เปนผมู อี ายุ
ยืนกวาอายุขยั ของมนุษยในกาลนัน้ ตามปรารถนา และแมวา จะผานวัยกลางคน ก็ขอใหมพี ลานามัย
แข็งแรง อายตนะภายในดีเลิศ และสุขภาพจิตใจดีเลิศ
ั ฑิต ในกาลทุกเมือ่ และขอใหขา พเจาเปน
๑๑. ขอใหขา พเจาไมพงึ คบมิตรชัว่ พึงคบแตบณ
บอเกิดแหงคุณความดี คือเปนผมู ศี รัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ ประกอบดวยความเพียรและขันติ
พึงเวนจากเวรทัง้ ๕ ไมเกาะเกีย่ วในกามคุณทัง้ ๕ พึงเวนจากเปอกตมคือกาม พึงยินดีในการ
รักษาศีล เจริญสมาธิ ปญญา วิมตุ ติ วิมตุ ติญาณทัสสนะ โดยสัมมาทิฏฐิแตสว นเดียว.
⌫
๑. รายการโทรทัศน “บานของเรา” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศนแหงประเทศไทย ชอง ๙ อสมท.
ทุกวันอาทิตยสปั ดาหที่ ๑ และที่ ๓ ของเดือน เวลา ๐๕.๓๐ น.
๒. รายการปาฐกถาธรรม โดย หลวงพอ พระราชญาณวิสฐิ เจาอาวาสวัดหลวงพอสดธรรมกายาราม
ทุกเชาวันอาทิตยสัปดาหที่ ๓ ของเดือน ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแหงประเทศไทย
กรมประชาสัมพันธ เวลา ๐๘.๐๐-๐๘.๓๐ น. ทัว่ ประเทศ
๓. ถ า ยทอดเสี ย งการปฏิ บั ติ ธ รรมและธรรมบรรยาย จากวั ด หลวงพ อ สดธรรมกายาราม
ทุกวันอาทิตย เวลา ๐๙.๓๐-๑๐.๐๐ น. ทางสถานีวทิ ยุกรมอุตนุ ยิ มวิทยา AM stereo 1287 KHz.
๔. รายการวิทยุ “ธรรมสสู นั ติ” ออกอากาศในเครือขายสถานีวทิ ยุแหงประเทศไทยกรมประชาสัมพันธ
และทางสถานีวทิ ยุอนื่ ๆ ในทุกภูมภิ าคของประเทศไทย (ดูในตารางการออกอากาศหนาถัดไป)
๕. สถานีวทิ ยุพระพุทธศาสนา วัดหลวงพอสดธรรมกายาราม คลืน่ ความถี่ FM 104.75 MHz. ทุกวัน.
http://www.dhammakaya.org/
126 ทำวัตร-สวดมนต
รายการวิทยุ “ธรรมสสู นั ติ” ออกอากาศในเครือขายสถานีวทิ ยุกระจายเสียงแหงประเทศไทย
กรมประชาสัมพันธ และสถานีวทิ ยุอนื่ ๆ ในทัว่ ทุกภูมภิ าค ดังตอไปนี้
ภาคกลาง
ส.ว.ท. กาญจนบุรี AM 558 KHz จันทร-ศุกร 05.00 น.
ส.ว.ท. เพชรบุรี FM 95.75 MHz จันทร 05.00 น.
ส.ว.ท. สังขละบุรี FM 94.25 MHz จันทร-ศุกร 20.30 น.
ส.ว.ท. ราชบุรี AM 1593 KHz จันทร 22.00 น.
ส.ว.ท. ราชบุรี AM 99.25 KHz จันทร 23.00 น.
ภาคตะวันออก
ส.ว.ท. ชลบุรี FM 99.75 MHz อังคาร 05.00 น.
ส.ว.ท. ตราด FM 92.75 MHz เสาร 20.30 น.
ส.ว.ท. จันทบุรี AM 1125 KHz จันทร 21.30 น.
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ก.ว.ส.3 สกลนคร AM 1188 KHz อาทิตย 05.15 น.
ส.ว.ท. หนองคาย AM 810 KHz อาทิตย 20.30 น.
ส.ว.ท. นครพนม AM 981 KHz ศุกร 20.30 น.
ส.ว.ท. เพชรบูรณ AM 846 KHz เสาร 21.30 น.
ภาคเหนือ
ส.ว.ท. ตาก AM 864 KHz อาทิตย 20.30 น.
ส.ว.ท. ชัยนาท FM 91.75 MHz อาทิตย 20.30 น.
ส.ว.ท. เชียงราย FM 95.75 MHz อาทิตย 20.30 น.
ส.ว.ท. แมฮอ งสอน AM 981 KHz อังคาร 21.00 น.
ส.ว.ท. ลำปาง AM 1134 KHz เสาร 21.00 น.
ภาคใต
ว.ป.ถ.17 ตรัง AM 1350 KHz อาทิตย 05.30 น.
ว.ป.ถ.15 ชุมพร AM 585 KHz เสาร 08.00 น.
ส.ว.ท. ชุมพร AM 1368 KHz เสาร 09.30 น.
ส.ว.ท. ภูเก็ต AM 639 KHz เสาร 14.30 น.
ส.ว.ท. สข.สงขลา AM 1098 KHz เสาร 17.30 น.
ส.ว.ท. ระนอง AM 1593 KHz เสาร 18.30 น.
ส.ว.ท. ตรัง AM 810 KHz อาทิตย 19.00 น.
ทอ. 001 สงขลา AM 1323 KHz อาทิตย 19.30 น.
ส.ว.ท. พัทลุง AM 756 KHz เสาร 19.30 น.
ส.ว.ท. สงขลา AM 1404 KHz เสาร 20.00 น.
ส.ว.ท. ยะลา AM 981 KHz อาทิตย 21.30 น.
ส.ว.ท. พังงา AM 1341 KHz ศุกร 21.30 น.
ส.ว.ท. อ.ตะกัว่ ปา AM 1134 KHz อาทิตย 22.00 น.
ส.ว.ท. สุราษฏรธานี AM 1215 KHz เสาร 22.30 น.
127
คติของสัตว สวนนอย-สวนมาก
“ภิกษุทงั้ หลาย
สัตวทเี่ กิดบนบกมีเปนสวนนอย
สัตวทเี่ กิดในน้ำมากกวาโดยแท
สัตวทกี่ ลับมาเกิดในมนุษยมเี ปนสวนนอย
สัตวทกี่ ลับมาเกิดในกำเนิดอืน่ จากมนุษยมากกวาโดยแท
สัตวทเี่ กิดในมัชฌิมชนบทมีเปนสวนนอย
สัตวทเี่ กิดในปจจันตชนบท ในพวกชาวมิลกั ขะทีโ่ งเขลา มากกวาโดยแท
สัตวทมี่ ปี ญ ญา ไมโงเงา ไมเงอะงะ สามารถทีจ่ ะรอู รรถแหงคำเปนสุภาษิตและคำเปนทุพภาษิตได มีเปน
สวนนอย
สัตวทเี่ ขลา โงเงา เงอะงะ ไมสามารถทีจ่ ะรอู รรถแหงคำเปนสุภาษิตและคำเปนทุพภาษิตได มากกวา
โดยแท
สัตวทปี่ ระกอบดวยปญญาจักษุอยางประเสริฐ มีเปนสวนนอย
สัตวทตี่ กอยใู นอวิชชา หลงใหลมากกวาโดยแท
สัตวทไี่ ดเห็นพระตถาคต มีเปนสวนนอย
สัตวทไี่ มไดเห็นพระตถาคตมากกวาโดยแท
สัตวทไี่ ดฟง ธรรมวินยั ทีพ่ ระตถาคตประกาศไว มีเปนสวนนอย
สัตวทไี่ มไดฟง ธรรมวินยั ทีพ่ ระตถาคตประกาศไว มากกวาโดยแท
สัตวทไี่ ดฟง ธรรมแลวทรงจำไวได มีเปนสวนนอย
สัตวทไี่ ดฟง ธรรมแลวทรงจำไวไมได มากกวาโดยแท
สัตวทไี่ ตรตรองอรรถแหงธรรมทีต่ นทรงจำไวได มีเปนสวนนอย
สัตวทไี่ มไตรตรองอรรถแหงธรรมทีต่ นทรงจำไวได มากกวาโดยแท
สัตวทรี่ ทู วั่ ถึงอรรถ รทู วั่ ถึงธรรมแลว ปฏิบตั ธิ รรมสมควรแกธรรม มีเปนสวนนอย
สัตวทรี่ ทู วั่ ถึงอรรถ รทู วั่ ถึงธรรม แลวไมปฏิบตั ธิ รรมสมควรแกธรรม มากกวาโดยแท
สัตวทสี่ ลดใจในฐานะเปนทีต่ งั้ แหงความสลดใจ มีเปนสวนนอย
สัตวทไี่ มสลดใจในฐานะเปนทีต่ งั้ แหงความสลดใจ มากกวาโดยแท
สัตวทสี่ ลดใจ เริม่ ตัง้ ความเพียรโดยแยบคาย มีเปนสวนนอย
สัตวทสี่ ลดใจไมเริม่ ตัง้ ความเพียรโดยแยบคาย มากกวาโดยแท
สัตวทกี่ ระทำนิพพานใหเปนอารมณแลวไดสมาธิไดเอกัคคตาจิต มีเปนสวนนอย
สัตวทกี่ ระทำนิพพานใหเปนอารมณแลว ไมไดสมาธิ ไมไดเอกัคคตาจิตมากกวาโดยแท
สัตวทไี่ ดขา วอันเลิศและรสอันเลิศ มีเปนสวนนอย
สัตวที่ไมไดขาวอันเลิศและรสอันเลิศ ยังอัตภาพใหเปนไปดวยการแสวงหา ดวยภัตที่นำมาดวย
กระเบือ้ ง มากกวาโดยแท
128 ทำวัตร-สวดมนต
สัตวทไี่ ดอรรถรสธรรมรส วิมตุ ริ ส มีเปนสวนนอย
สัตวทไี่ มไดอรรถรส ธรรมรส วิมตุ ริ ส มากกวาโดยแท
เปรียบเหมือนในชมพูทวีปนี้ มีสว นทีน่ า รืน่ รมย มีปา ทีน่ า รืน่ รมย มีภมู ปิ ระเทศทีน่ า รืน่ รมย มีสระโบกขรณี
ทีน่ า รืน่ รมย เพียงเล็กนอย มีทดี่ อน ทีล่ มุ เปนลำน้ำ เปนทีต่ งั้ แหงตอและหนาม มีภเู ขาระเกะระกะเปน
สวนมาก ฉะนัน้ เพราะฉะนัน้ แหละ เธอทัง้ หลายพึงศึกษาอยางนีว้ า เราจักเปนผไู ดอรรถรส ธรรมรส
วิมตุ ริ ส ภิกษุทงั้ หลาย เธอทัง้ หลายพึงศึกษาอยางนีแ้ ล.”
“ภิกษุทงั้ หลาย
สัตวทจี่ ตุ จิ ากมนุษยกลับมาเกิดในมนุษย มีเปนสวนนอย
สัตวทจี่ ตุ จิ ากมนุษยไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดสัตวดริ จั ฉาน เกิดในปตติวสิ ยั มากกวาโดยแท
สัตวทจี่ ตุ จิ ากมนุษยไปเกิดในเทพยดา มีเปนสวนนอย
สัตวทจี่ ตุ จิ ากมนุษยไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดสัตวดริ จั ฉาน เกิดในปตติวสิ ยั มากกวาโดยแท
สัตวทจี่ ตุ จิ ากเทพยดากลับมาเกิดในเทพยดา มีเปนสวนนอย
สัตวทจี่ ตุ จิ ากเทพยดาไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดสัตวดริ จั ฉาน เกิดในปตติวสิ ยั มากกวาโดยแท
สัตวทจี่ ตุ จิ ากเทพยดากลับมาเกิดในมนุษยมเี ปนสวนนอย
สัตวทจี่ ตุ จิ ากเทพยดาไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดสัตวดริ จั ฉาน เกิดในปตติวสิ ยั มากกวาโดยแท
สัตวทจี่ ตุ จิ ากนรกกลับมาเกิดในมนุษย มีเปนสวนนอย
สัตวทจี่ ตุ จิ ากนรกไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดสัตวดริ จั ฉาน เกิดในปตติวสิ ยั มากกวาโดยแท
สัตวทจ่ี ตุ จิ ากนรกไปเกิดในเทพยดา มีเปนสวนนอย
สัตวทจี่ ตุ จิ ากนรกไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดสัตวดริ จั ฉาน เกิดในปตติวสิ ยั มากกวาโดยแท
สัตวทจี่ ตุ จิ ากกำเนิดสัตวดริ จั ฉานกลับมาเกิดในมนุษย มีเปนสวนนอย
สัตวทจี่ ตุ จิ ากกำเนิดสัตวดริ จั ฉานไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดสัตวดริ จั ฉาน เกิดในปตติวสิ ยั มากกวา
โดยแท
สัตวทจี่ ตุ จิ ากกำเนิดสัตวดริ จั ฉานไปเกิดในเทพยดา มีเปนสวนนอย
สัตวทจี่ ตุ จิ ากกำเนิดสัตวดริ จั ฉานไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดสัตวดริ จั ฉานเกิดในปตติวสิ ยั มากกวา
โดยแท
สัตวทจี่ ตุ จิ ากปตติวสิ ยั กลับมาเกิดในมนุษย มีเปนสวนนอย
สัตวทจี่ ตุ จิ ากปตติวสิ ยั ไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดสัตวดริ จั ฉาน เกิดในปตติวสิ ยั มากกวาโดยแท
สัตวทจี่ ตุ จิ ากปตติวสิ ยั ไปเกิดในเทพยดา มีเปนสวนนอย
สัตวทจี่ ตุ จิ ากปตติวสิ ยั ไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดสัตวดริ จั ฉาน เกิดในปตติวสิ ยั มากกวาโดยแท
เปรียบเหมือนในชมพูทวีปนี้ มีสว นทีน่ า รืน่ รมย มีปา ทีน่ า รืน่ รมย มีภมู ปิ ระเทศทีน่ า รืน่ รมย มีสระโบกขรณี
ทีน่ า รืน่ รมย เพียงเล็กนอย มีทดี่ อน ทีล่ มุ เปนลำน้ำ เปนทีต่ งั้ แหงตอและหนาม มีภเู ขาระเกะระกะ เปน
สวนมากโดยแท ฉะนัน้ .”
พระไตรปฎกภาษาไทย เลมที่ ๒๐ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต ขอ ๒๐๕ หนา ๔๔.