Professional Documents
Culture Documents
ผู้อุปถัมภ์ โครงการ
พระเทพญาณมหามุนี เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
พระราชภาวนาจารย์ รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
ทีป่ รึกษา
พระมหา ดร. สมชาย ฐานวุฑฺโฒ
พระมหาสมเกียรติ วรยโส ป.ธ.๙
พระมหาบุญชัย จารุ ทตฺ โต
พระมหาวีรวัฒน์ วีรวฑฺฒโก ป.ธ.๙
พระมหา ดร. สุ ธรรม สุ รตโน ป.ธ.๙
พระครู ใบฎีกาอ�ำนวยศักดิ์ มุนิสกฺโก
พระมหา ดร. สมบัติ อินฺทปญฺ โญ ป.ธ.๙
พระมหาวิทยา จิตฺตชโย ป.ธ.๙
เรียบเรียง
พระมหาอารี ย
์ พลาธิโก ป.ธ.๗
พระมหาสมบุญ อนนฺ ตชโย ป.ธ.๘
จัดรู ปเล่ ม
พระมหาสมบุญ อนนฺ ตชโย ป.ธ.๘
พระมหาวันชนะ ญาตชโย ป.ธ.๕
พระมหาอภิชาติ วชิรชโย ป.ธ.๗
พระมหาเฉลิม ฉนฺ ทชโย ป.ธ.๔
ผู้ตรวจทาน
นายสุ เทพ นากุดนอก ป.ธ.๔ อาจารย์สอนบาลีประโยค ๑-๒ ส�ำนักเรี ยนวัดพระธรรมกาย
ออกแบบปก/ภาพวาด
พระมหาสมบุญ อนนฺ ตชโย และ กองพุทธศิลป์ วัดพระธรรมกาย
ปณามคาถา ๑
๑. ยมกวรรค วรรณนา
๑. เรื่ องพระจักขุปาลเถระ ๓
๒. เรื่ องมัฏฐกุณฑลี ๒๓
๓. เรื่ องพระติสสเถระ ๓๕
๕. เรื่ องภิกษุชาวเมืองโกสัมพี ๔๙
๖. เรื่ องจุลกาลและมหากาล ๖๑
๗. เรื่ องพระเทวทัต ๗๐
ปณามคาถา
อ. ธรรม ท. มี ใจเป็ นสภาพถึงก่อน มี ใจประเสริ ฐที ส่ ดุ มโนปุพพฺ งฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา,
ส�ำเร็ จด้วยใจ, หากว่า อ.บุคคล มี ใจอันโทษประทุษร้ายแล้ว มนสา เจ ปทุฏฺเฐน ภาสติ วา กโรติ วา,
กล่าวอยู่ หรื อ หรื อว่า กระท�ำอยู่ ไซร้, อ.ทุกข์ ย่อมไปตาม ตโต นํ ทุกฺขมเนฺวติ จกฺกํว วหโต ปทนฺติ.
ซึ่ ง บุค คล นัน้ เพราะทุจ จริ ต มี อ ย่ า ง ๓ นัน้ เพี ย งดัง
อ.ล้อหมุนไปตามอยู่ ซึ่งรอยเท้า แห่งโคตัวเนือ่ งด้วยก�ำลัง
ตัวน�ำไปอยู่ซึ่งแอก ดังนี ้
ได้ ยินว่า (อ. เศรษฐี ) ชื่อว่ามหาสุวรรณ เป็ นผู้มีขุมทรั พย์ สาวตฺถิยํ กิร มหาสุวณฺโณ นาม กุฏมฺุ พิโก
เป็ นผู้มงั่ คัง่ เป็ นผู้มที รัพย์มาก เป็ นผู้มโี ภคมาก เป็ นผู้มบี ตุ รหามิได้ อโหสิ อฑฺโฒ มหทฺธโน มหาโภโค อปุตตฺ โก.
ได้ มีแล้ ว ในเมืองชื่อว่าสาวัตถี ฯ
ในวันหนึง่ อ.เศรษฐีนนั ้ ไปแล้ ว สูท่ า่ เป็ นทีอ่ าบ อาบแล้ ว มาอยู่ โส เอกทิวสํ นหานติตฺถํ คนฺตฺวา นหาตฺวา
เห็นแล้ ว ซึง่ ต้ นไม้ อนั เป็ นเจ้ าแห่งป่ า ต้ นหนึง่ มีกิ่งอันถึงพร้ อมแล้ ว อาคจฺ ฉนฺโต อนฺตรามคฺเค สมฺปนฺนสาขํ เอกํ
ในระหว่างแห่งหนทาง, (คิดแล้ว) ว่า อ.ต้นไม้ นี ้ จักเป็ นต้นไม้ อันเทวดา วนปฺปตึ ทิสวฺ า “อยํ มเหสกฺขาย เทวตาย ปริคคฺ หิโต
ผู้มศี กั ดิใ์ หญ่ ถือเอารอบแล้ ว จักเป็ น ดังนี ้ (ยังบุคคล) ให้ ชำ� ระแล้ ว ภวิสสฺ ตีติ ตสฺส เหฏฺฐาภาคํ โสธาเปตฺวา ปาการปริกเฺ ขปํ
ซึง่ ส่วนภายใต้ แห่งต้ นไม้ อนั เป็ นเจ้ าแห่งป่ านัน้ (ยังบุคคล) การาเปตฺวา วาลุกํ โอกิราเปตฺวา ธชปตากํ อุสสฺ าเปตฺวา
ให้กระท�ำแล้ว ซึง่ การแวดล้อมด้วยก�ำแพง (ยังบุคคล) ให้เกลีย่ ลงแล้ว วนปฺปตึ อลงฺกริ ตฺวา “ปุตฺตํ วา ธีตรํ วา ลภิตฺวา
ซึ่งทราย (ยังบุคคล) ให้ ยกขึน้ แล้ ว ซึ่งธงชัยและธงแผ่นผ้ า ตุมหฺ ากํ มหาสกฺการํ กริ สฺสามีติ ปตฺถนํ กตฺวา
กระท�ำให้ พอแล้ ว ซึง่ ต้ นไม้ อนั เป็ นเจ้ าแห่งป่ า กระท�ำแล้ ว ปกฺกามิ.
ซึง่ ความปรารถนา ว่า (อ. เรา) ได้ แล้ ว ซึง่ บุตร หรือ หรือว่า ซึง่ ธิดา
จักกระท�ำ ซึง่ สักการะใหญ่ แก่ทา่ น ท. ดังนี ้ หลีกไปแล้ ว ฯ
ครัง้ นัน้ อ. สัตว์ผ้ เู กิดแล้ วในครรภ์ ตังอยู ้ เ่ ฉพาะแล้ ว ในท้ อง อถสฺส ภริ ยาย กุจฺฉิยํ คพฺโภ ปติฏฺฐาสิ .
ของภรรยา ของเศรษฐี นนั ้ ฯ อ. เศรษฐี นัน้ ได้ ให้ แล้ ว ซึง่ เครื่ อง โส ตสฺสา คพฺภปริ หารํ อทาสิ. สา ทสมาสจฺจเยน
บริ หารซึง่ ครรภ์ แก่ภรรยา นัน้ ฯ อ. ภรรยานัน้ คลอดแล้ ว ซึง่ บุตร ปุตฺตํ วิชายิ.
โดยกาลเป็ นที่ลว่ งไปแห่งเดือนสิบ ฯ
อ. เศรษฐี ได้ กระท�ำแล้ ว (ซึง่ ค�ำ) ว่า อ. ปาละ ดังนี ้ ให้ เป็ นชื่อ เสฏฺฐี อตฺตนา ปาลิตํ วนปฺปตึ นิ สฺสาย
ของบุตรนัน้ เพราะความที่ (แห่งบุตรนัน) ้ เป็ นผู้อนั ตน อาศัยแล้ ว ลทฺธตฺตา ตสฺส “ปาโลติ นามํ อกาสิ.
ซึ่งต้ นไม้ อันเป็ นเจ้ าแห่งป่ า อันอันตนรั กษาแล้ ว ได้ แล้ ว ฯ
ในกาลอันเป็ นส่วนอืน่ อีก (อ.เศรษฐี นน) ั ้ ได้ แล้ ว ซึง่ บุตร อืน่ ฯ อปรภาเค อญฺญํ ปุตฺตํ ลภิ. ตสฺส “จุลฺลปาโลติ
(อ.เศรษฐี นน) ั ้ กระท�ำแล้ ว (ซึง่ ค�ำ) ว่า อ.จุลลปาละ ดังนี ้ ให้ เป็ นชื่อ นามํ กตฺวา,
ของบุตรนัน,้
ผลิตสื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 3
กระท�ำแล้ว (ซึง่ ค�ำ) ว่า อ.มหาปาละ ดังนี ้ ให้เป็ นชือ่ ของบุตรนอกนี ้ ฯ อิตรสฺส “มหาปาโลติ นามํ กริ .
(อ. มารดาและบิดา ท.) ผูกแล้ ว ซึง่ บุตร ท. เหล่านัน้ ผู้ถงึ แล้ ว เต วยปฺปตฺเต ฆรพนฺธเนน พนฺธึส.ุ อปรภาเค
ซึง่ วัย ด้ วยเครื่องผูกคือเรือน ฯ ในกาลอันเป็ นส่วนอืน่ อีก อ.มารดา มาตาปิ ตโร กาลมกํส.ุ สพฺพํ โภคํ ทฺวินฺนํเยว วิวเรสุ.ํ
และบิดา ท. ได้ กระท�ำแล้ ว ซึง่ กาละ ฯ (อ.ญาติ ท.) แบ่งแล้ ว
ซึง่ โภคะ ทังปวง
้ (แก่บตุ ร ท.) สองนัน่ เทียว ฯ
ในสมัยนัน้ อ.พระศาสดา ผู้มีจักรคือธรรมอันประเสริ ฐ ตสฺมึ สมเย สตฺถา ปวตฺตติ ปวรธมฺมจกฺโก
อันให้ เป็ นไปทัว่ แล้ ว เสด็จไปแล้ ว โดยล�ำดับ ย่อมประทับอยู่ อนุปุพฺเพน คนฺตฺวา, อนาถปิ ณฺ ฑิกมหาเสฏฺฐินา
ในมหาวิหารชื่อว่าเชตวัน อันอันมหาเศรษฐี ชื่อว่าอนาถบิณฑิกะ จตุปฺป ญฺ ญ าสโกฏิ ธ นํ วิ สฺ ส ชฺ เ ชตฺ ว า การิ เ ต
สละ ซึง่ ทรัพย์มโี กฏิห้าสิบสีเ่ ป็ นประมาณ แล้วยังนายช่าง ให้กระท�ำแล้ว, เชตวนมหาวิหาเร วิหรติ; มหาชนํ สคฺคมคฺเค
ทรงยังมหาชน ให้ ตงเฉพาะอยู
ั้ ่ ในหนทางแห่งสวรรค์ด้วย ในหนทาง จ โมกฺขมคฺเค จ ปติฏฺฐาปยมาโน.
แห่งธรรมเป็ นเครื่ องหลุดพ้ นด้ วย ฯ
จริงอยู่ อ.พระตถาคตเจ้า ประทับอยูแ่ ล้ว ตลอดการอยูจ่ ำ� พรรษา ตถาคโต หิ “มาติปกฺขโต อสีตยิ า ปิ ตปิ กฺขโต
หนึง่ นัน่ เทียว ในมหาวิหารชื่อว่านิโครธ อันอันพันแห่งตระกูล อสีติยาติ เทฺวอสีติญาติกุลสหสฺเสหิ การิ เต
แห่งพระญาติแปดสิบสองหน ท. คือ (อันพันแห่งตระกูลแห่งพระญาติ ท.) นิโคฺรธมหาวิหาเร เอกเมว วสฺสาวาสํ วสิ,
๘๐ ข้ างฝ่ ายแห่งพระมารดา (อันพันแห่งตระกูลแห่งพระญาติ ท.) อนาถปิ ณฑฺ เิ กน การิเต เชตวนมหาวิหาเร เอกูนวีสติ,
๘๐ ข้ า งฝ่ ายแห่ ง พระบิ ด า ทรงยัง นายช่ า ง ให้ ก ระท� ำ แล้ ว , วิสาขาย สตฺตวีสติโกฏิธนปริ จฺจาเคน การิ เต
(ประทับอยูแ่ ล้ ว ตลอดการอยูจ่ �ำพรรษา ท.) ยี่สบิ หย่อนด้ วยหนึง่ ปุพฺพาราเม ฉ วสฺสาวาเสติ ทฺวินฺนํ กุลานํ
ในมหาวิหารชื่อว่าเชตวัน อันอันมหาเศรษฐี ชื่อว่าอนาถบิณฑิกะ คุณมหนฺตตํ ปฏิจฺจ สาวตฺถึ นิสฺสาย ปญฺฺจวีสติ
ยังนายช่าง ให้กระท�ำแล้ว (ประทับอยูแ่ ล้ว ตลอดการอยูจ่ ำ� พรรษา ท.) วสฺสาวาเส วสิ.
หก ในมหาวิหารชื่อว่าบุพพาราม อันอันนางวิสาขา ยังนายช่าง
ให้กระท�ำแล้ว ด้วยการบริจาคซึง่ ทรัพย์มโี กฏิยสี่ บิ เจ็ดเป็ นประมาณ
ทรงอาศัย ซึง่ เมืองชื่อว่าสาวัตถี ประทับอยูแ่ ล้ ว ตลอดการอยู่
จ�ำพรรษา ท. ยี่สบิ ห้ า เพราะทรงอาศัย ซึง่ ความที่แห่งตระกูล ท.
สอง เป็ นตระกูลมีคณ ุ ใหญ่ ด้ วยประการฉะนี ้ ฯ
แม้ อ.มหาเศรษฐี ชื่อว่าอนาถบิณฑิกะ แม้ อ.นางวิสาขา อนาถปิ ณฺฑิโกปิ วิสาขาปิ มหาอุปาสิกา นิพทฺธํ
ผู้มหาอุบาสิกา ย่อมไป สูท่ เี่ ป็ นทีบ่ ำ� รุง ซึง่ พระตถาคตเจ้า สิ ้นวาระ ท. ทิวสสฺส เทฺว วาเร ตถาคตสฺส อุปฏฺฐานํ คจฺฉนฺต.ิ
สอง แห่งวัน เนืองนิตย์ ฯ ก็ (อ. ชน ท. สอง เหล่านัน) ้ เมื่อไป คจฺฉนฺตา จ “ทหรสามเณรา โน หตฺเถ โอโลเกสฺสนฺตตี ิ
เป็ นผู้มีมือเปล่าไปแล้ วในก่อน (เป็ นผู้ไม่เคยมีมือเปล่าไปแล้ ว) ตุจฺฉหตฺถา น คตปุพฺพา: ปุเรภตฺตํ คจฺ ฉนฺตา
(ด้ วยอันคิด) ว่า อ. ภิกษุหนุม่ และสามเณร ท. จักแลดู ซึง่ มือ ท. ขาทนียาทีนิ คาหาเปตฺวา คจฺฉนฺต,ิ ปจฺฉาภตฺตํ
ของเรา ท. ดังนี ้ (ย่อมเป็ น) หามิได้: เมือ่ ไป ในกาลก่อนแต่กาลแห่งภัตร ปญฺจ เภสชฺชานิ อฏฺฐ จ ปานานิ.
ยังบุคคลให้ ถอื เอาแล้ ว (ซึง่ วัตถุ ท.) มีของอันบุคคลพึงเคี ้ยวเป็ นต้ น
ย่อมไป, (เมื่อไป) ในกาลภายหลังแต่กาลแห่งภัตร (ยังบุคคล
ให้ถอื เอาแล้ว) ซึง่ เภสัช ท. ห้า ด้วย ซึง่ น� ้ำเป็ นเครื่องดืม่ ท. แปด ด้วย
(ย่อมไป) ฯ
อนึง่ อ.อาสนะ ท. เป็ นวัตถุอนั บุคคลปูลาดแล้ ว เนืองนิตย์ นิเวสเนสุ ปน เตสํ ทฺวนิ นฺ ํ ทฺวนิ นฺ ํ ภิกขฺ สุ หสฺสานํ
เพื่อพันแห่งภิกษุ ท. สอง สอง ในที่เป็ นที่อยู่ ท. ของชน ท. สอง นิจฺจํ ปญฺญตฺตาเนวาสนานิ โหนฺต.ิ
เหล่านัน้ นัน่ เทียว ย่อมเป็ น ฯ
อ.ภิกษุ ใด ย่อมปรารถนา ในข้ าวและน� ้ำเป็ นเครื่ องดื่มและ อนฺนปานเภสชฺเชสุ โย ยํ อิจฺฉติ, ตสฺส ตํ
เภสัช ท. หนา ซึง่ วัตถุใด, อ.วัตถุนนั ้ ย่อมถึงพร้ อม แก่ภิกษุนนั ้ ยถิจฺฉิตเมว สมฺปชฺชติ,
ตามความปรารถนานัน่ เทียว ฯ
อ.ปั ญหา เป็ นสภาพอัน- ในชน ท. สอง เหล่านันหนา ้ เตสุ อนาถปิ ณฺฑิเกน เอกเมว ทิวสํ สตฺถารํ
-มหาเศรษฐีชอื่ ว่าอนาถบิณฑิกะ ไม่เคยทูลถามแล้ ว กะพระศาสดา ปญฺโห น ปุจฺฉิตปุพฺโพ.
ในวันหนึง่ นัน่ เทียว (ย่อมเป็ น) ฯ
อ. กุฎมพี
ุ ชื่อว่ามหาบาลนัน้ รับพร้ อมแล้ ว ว่า อ. ดีละ ดังนี ้ โส “สาธูติ สมฺปฏิจฺฉิตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา
ถวายบังคมแล้ว ซึง่ พระศาสดา ไปแล้ว สูเ่ รือน ยังบุคคล ให้ร้องเรียกแล้ว เคหํ คนฺตฺวา กนิฏฺฐํ ปกฺโกสาเปตฺวา “ตาต ยํ
ซึง่ น้ องชายผู้น้อยที่สดุ (กล่าวแล้ ว) ว่า แน่ะพ่อ อ. ทรัพย์ไร ๆ อิมสฺมึ กุเล สวิญฺญาณกาวิญฺญาณกํ ธนํ กิญฺจิ
อันเป็ นไปกับด้ วยวิญญาณและไม่มีวิญญาณใด มีอยู่ ในตระกูล นี ้, อตฺถิ, สพฺพนฺตํ ตว ภาโร, ปฏิปชฺชาหิ นนฺต.ิ
อ. ทรัพย์นนั ้ ทังปวง
้ เป็ นภาระ ของท่าน (จงเป็ น) , อ. ท่าน จงครอบครอง “ตุ มฺ เ ห ปน สามี ติ . “อหํ สตฺ ถุ สนฺ ติ เ ก
ซึง่ ทรัพย์นนั ้ ดังนี ้ ฯ (อ. น้ องชายผู้น้อยที่สดุ นัน้ ถามแล้ ว) ว่า ข้ าแต่นาย ปพฺพชิสฺสามีติ .
ก็ อ. ท่าน ท. เล่า ? ดังนี ้ ฯ (อ. กุฏมพี ุ ชื่อว่ามหาบาลนัน้ กล่าวแล้ ว)
ว่า อ. เรา จักบวช ในสํานัก ของพระศาสดา ดังนี ้ ฯ
(อ. น้ องชายผู้น้อยที่สดุ นัน้ กล่าวแล้ ว) ว่า ข้ าแต่พี่ อ. ท่าน “ กึ กเถสิ ภาติก ; ตฺวํ เม มาตริ มตาย มาตา
กล่าวแล้ ว ซึง่ คําอะไร, อ. ท่าน ครัน้ เมื่อมารดา ตายแล้ ว เป็ นผู้ อันเรา วิย, ปิ ตริ มเต ปิ ตา วิย ลทฺโธ , เคเห โว มหาวิภโว,
(ได้ แล้ ว) ราวกะ อ. มารดา (ย่อมเป็ น), (อ. ท่าน) ครัน้ เมื่อบิดา ตายแล้ ว สกฺกา เคหํ อชฺฌาวสนฺเตเหว ปุญฺญานิ กาตุํ ;
เป็ นผู้อนั เรา (ได้ แล้ ว) ราวกะ อ. บิดา (ย่อมเป็ น), อ. สมบัตอิ นั บุคคล มา เอวมกตฺถาติ.
พึงเสวยใหญ่ (มีอยู)่ ในเรือน ของท่าน ท., (อันท่าน ท.) ผู้อยูค่ รอบครองอยู่
ซึง่ เรื อนนัน่ เทียว อาจ เพื่ออันกระทํา ซึง่ บุญ ท., อ. ท่าน ท.
อย่าได้ กระทําแล้ ว อย่างนี ้ ดังนี ้ ฯ
(อ. กุฎมพี
ุ ชอื่ ว่ามหาบาล กล่าวแล้ว) ว่า แน่ะพ่อ อ. พระธรรมเทศนา “ตาต มยา สตฺถุ ธมฺมเทสนา สุตา, สตฺถารา หิ
ของพระศาสดา อันเรา ฟั งแล้ ว, ก็ อ. ธรรมอันงามในเบื ้องต้ นและ สณฺ หสุขุมํ ติลกฺ ขณํ อาโรเปตฺวา อาทิมชฺ ฌ-
ท่ามกลางและทีส่ ดุ ลงรอบ อันพระศาสดา ทรงยกขึ ้นแล้ ว สูล่ กั ษณะ ๓ ปริ โยสานกลฺยาณธมฺโม เทสิโต. น สกฺกา โส
ทังละเอี
้ ยดทังอ่
้ อน ทรงแสดงแล้ ว, อ. ธรรมอันงามในเบื ้องต้ นและ อคารมชฺเฌ ปูเรตุํ; ปพฺพชิสฺสามิ ตาตาติ.
ท่ามกลางและที่สดุ ลงรอบนัน้ (อันเรา) ไม่อาจ เพื่ออันให้ เต็มได้
ในท่ามกลางแห่งเรื อน, แน่ะพ่อ อ. เรา จักบวช ดังนี ้ ฯ
(อ.น้ องชายผู้น้อยที่สดุ กล่าวแล้ ว) ว่า ข้ าแต่พี่ เออก็ (อ.ท่าน ท.) “ ภาติ ก ตรุ ณ าปิ จ ตาว , มหลฺ ล กกาเล
เป็ นคนหนุม่ (ย่อมเป็ น) ก่อน, อ.ท่าน ท. จักบวช ในกาลแห่งตน ปพฺพชิสฺสถาติ.
เป็ นคนแก่ ดังนี ้ ฯ
(อ. กุฎมพี
ุ ชอื่ ว่ามหาบาล กล่าวแล้ว) ว่า แน่ะพ่อ ก็ แม้ อ. มือและเท้า ท. “ตาต มหลฺลกสฺส หิ อตฺตโน หตฺถปาทาปิ
ของตน แห่งคนแก่ เป็ นอวัยวะไม่ฟังตาม ย่อมเป็ น, ย่อมไม่เป็ นไป อนสฺสวา โหนฺต,ิ น วเส วตฺตนฺต,ิ กิมงฺคํ ปน
ในอํานาจ, ก็ อ. องค์อะไรเล่า อ. ญาติ ท. (จักเป็ นไป ในอํานาจ), ญาตกา , สฺวาหํ ตว วจนํ น กโรมิ, สมณปฏิปตฺตึ
อ. เรา นัน้ จะไม่กระทํา ซึง่ คํา ของท่าน, อ. เรา ยังความปฏิบตั แิ ห่งสมณะ ปูเรสฺสามิ,
จักให้ เต็ม,
ครัง้ นัน้ อ. พระศาสดา ตรัสแล้ ว ซึง่ กัมมัฏฐาน เพียงใด อถสฺส สตฺถา ยาว อรหตฺตา กมฺมฏฺฐานํ
แต่ความเป็ นแห่งพระอรหันต์ แก่ภิกษุชื่อว่ามหาบาลนัน้ ฯ กเถสิ.
อ. หู ท. จงเสือ่ ม, อ. กาย (จงเสือ่ ม) อย่างนัน้ นัน่ เทียว, โสตานิ หายนฺต,ุ ตเถว เทโห,
อ. อวัยวะ นี ้ แม้ทงั้ ปวง อันอาศัยแล้วซึ่งกาย จงเสือ่ ม, สพฺพมฺปิทํ หายตุ เทหนิ สสฺ ิ ตํ;
อ. อวัยวะนี ้ แม้ทงั้ ปวง อันอาศัยแล้วซึ่งกาย จงคร� ำค่ ร่ า, สพฺพมฺปิทํ ชี รตุ กายนิ สสฺ ิ ตํ;
อ. อวัยวะนี ้ แม้ทงั้ ปวง อันอาศัยแล้วซึ่งรู ป จงแตก, สพฺพมฺปิทํ ชี รตุ กายนิ สสฺ ิ ตํ;
อ. พระเถระนัน้ ผู้อนั หมอบอกคืนแล้ว ไปแล้ว สูว่ หิ าร (คิดแล้ว) โส เวชฺเชน ปจฺจกฺขาโต, วิหารํ คนฺตฺวา “เวชฺเชนาปิ
ว่า อ.ท่าน เป็ นผู้แม้ อนั หมอบอกคืนแล้ ว ย่อมเป็ น, ดูก่อนสมณะ ปจฺจกฺขาโตสิ , อิริยาปถํ มา วิสสฺ ชฺชิ สมณาติ ,
อ.ท่าน อย่าสละแล้ ว ซึง่ อิริยาบถ ดังนี ้ สอนแล้ ว ซึง่ ตน ด้ วยคาถา
นี ้ ว่า
(อ. ท่าน) เป็ นผู้อนั อันหมอ ปฏิ เสธแล้ว เป็ นผู้อนั หมอ “ ปฏิกขฺ ติ โฺ ต ติ กิจฺฉาย เวชฺเชนาสิ วิ วชฺชิโต
เว้นแล้วจากอันเยี ยวยา (การรักษา) ย่อมเป็ น (อ. ท่าน)
เป็ นผูเ้ ทีย่ งแท้ต่อมัจจุผูพ้ ระราชา (ย่อมเป็ น) ดูก่อนปาลิ ตะ นิ ยโต มจฺจรุ าชสฺส, กึ ปาลิ ต ปมชฺชสีติ
อ. ท่าน ย่อมประมาท เพราะเหตุไร ดังนี ้
ได้ กระท�ำแล้ ว ซึง่ สมณธรรม ฯ อิมาย คาถาย อตฺตานํ โอวทิตวฺ า สมณธมฺมํ อกาสิ.
ครังนั
้ น้ ครันเมื
้ อ่ ยามอันมีในท่ามกลาง เป็ นกาลสักว่าก้าวล่วงแล้ว อถสฺ ส มชฺ ฌิ ม ยาเม อติ กฺ ก นฺ ต มตฺ เ ต,
(มีอยู)่ , อ. นัยน์ตา ท. ด้ วยนัน่ เทียว อ. กิเลส ท. ด้ วย ของพระเถระนัน้ อปุพฺพํ อจริ มํ อกฺขีนิ เจว กิเลสา จ ปภิชฺชสึ ุ .
แตกทัว่ แล้ ว ไม่ก่อน ไม่หลัง ฯ อ. พระเถระนัน้ เป็ นพระอรหันต์ โส สุกขฺ วิปสฺสโก อรหา หุตวฺ า คพฺภํ ปวิสติ วฺ า นิสที ิ.
ผู้เห็นแจ้ งอย่างแห้ งแล้ ง เป็ น เข้ าไปแล้ ว สูห่ ้ อง นัง่ แล้ ว ฯ
อ. ภิกษุ ท. ไปแล้ ว ในเวลาเป็ นทีเ่ ทีย่ วไปเพือ่ ภิกษา กล่าวแล้ ว ภิกฺขู ภิกฺขาจารเวลาย คนฺตฺวา “ภิกฺขาจารกาโล
ว่า ข้ าแต่ทา่ นผู้เจริญ (อ. กาลนี ้) เป็ นกาลเป็ นทีเ่ ทีย่ วไปเพือ่ ภิกษา ภนฺเตติ อาหํส.ุ
(ย่อมเป็ น) ดังนี ้ ฯ (อ.พระเถระ ถามแล้ ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท. “กาโล อาวุโสติ.
(อ.กาลนี ้) เป็ นกาล (ย่อมเป็ น หรื อ) ดังนี ้ฯ (อ. ภิกษุ ท. กล่าวแล้ ว) “อาม ภนฺเตติ. “เตนหิ
ว่า ข้ าแต่ทา่ นผู้เจริ ญ ขอรับ (อ.กาลนี ้ เป็ นกาล ย่อมเป็ น) ดังนี ้ ฯ คจฺฉถาติ.
(อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ถ้ าอย่างนัน้ อ. ท่าน ท. จงไปเถิด ดังนี ้ ฯ “ตุมฺเห ปน ภนฺเตติ.
(อ.ภิกษุ ท. ถามแล้ว) ว่า ข้าแต่ทา่ นผู้เจริญ ก็ อ. ท่าน ท. เล่า ดังนี ้ ฯ “อกฺขีนิ เม อาวุโส ปริ หีนานีต.ิ
(อ.พระเถระ กล่าวแล้ ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท. อ.นัยน์ตา ท.
ของกระผม เสื่อมรอบแล้ ว ดังนี ้ ฯ
อ. ภิกษุ ท. เหล่านัน้ แลดูแล้ ว ซึง่ นัยน์ตา ท. ของพระเถระนัน้ เต ตสฺส อกฺขีนิ โอโลเกตฺวา อสฺสปุ ณ
ุ ฺณเนตฺตา
เป็ นผู้มีดวงตาอันเต็มแล้ วด้ วยน� ้ำตา เป็ น ยังพระเถระ ให้ หายใจ หุตฺวา “ภนฺเต มา จินฺตยิตฺถ,
ออกแล้ ว (ด้ วยค�ำ) ว่า ข้ าแต่ทา่ นผู้เจริ ญ อ. ท่าน ท. อย่าคิดแล้ ว,
ครัง้ นัน้ (อ . ภิกษุ ท.) ยังเด็กนัน้ ให้ บวชแล้ ว (ยังสามเณร) อถ นํ ปพฺ พ าเชตฺ ว า อฑฺ ฒ มาสมตฺ ตํ
ให้ ศกึ ษาแล้ ว (ซึง่ กิจ ท.) มีการรับซึง่ จีวรเป็ นต้ น (สิ ้นกาล) จีวรคฺคหณาทีนิ สิกฺขาเปตฺวา มคฺคํ อาจิกฺขิตฺวา
สักว่าเดือนด้ วยทัง้ กึ่ง บอกแล้ ว ซึ่งหนทาง ส่งไปแล้ ว ฯ ปหิณึส.ุ โส อนุปพุ ฺเพน ตํ คามํ ปตฺวา คามทฺวาเร
อ. สามเณรนัน้ ถึงแล้ ว ซึง่ บ้ านนัน้ โดยล�ำดับ เห็นแล้ ว ซึง่ คนแก่ เอกํ มหลฺลกํ ทิสฺวา “อิมํ คามํ นิสฺสาย โกจิ
คนหนึง่ ใกล้ ประตูแห่งบ้ าน ถามแล้ ว ว่า อ. วิหาร อันตังอยู ้ ใ่ นป่ า อารญฺญโก วิหาโร อตฺถีติ ปุจฺฉิ.
บางแห่ง อาศัย ซึง่ บ้ าน นี ้ มีอยูห่ รื อ ดังนี ้ ฯ
(อ. คนแก่ กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ทา่ นผู้เจริญ (อ. วิหาร) มีอยู่ ดังนี ้ฯ “อตฺถิ ภนฺเตติ.
(อ. สามเณร ถามแล้ ว) ว่า อ. ใคร ย่อมอยู่ ในวิหารนัน้ ดังนี ้ ฯ “โก ตตฺถ วสตีต.ิ
(อ. คนแก่ กล่าวแล้ ว) ว่า ข้ าแต่ทา่ นผู้เจริ ญ ชื่อ อ. พระเถระ “ปาลิตตฺเถโร นาม ภนฺเตติ.
ชื่อว่าปาลิต (ย่อมอยู่ ในวิหารนัน) ้ ดังนี ้ ฯ
(อ. สามเณร กล่าวแล้ ว) ว่า อ. ท่าน ท. ขอจงบอก ซึง่ หนทาง “มคฺคํ เม อาจิกฺขถาติ.
แก่เรา ดังนี ้ ฯ
(อ. คนแก่ ถามแล้ ว) ว่า ข้ าแต่ทา่ นผู้เจริ ญ อ. ท่าน เป็ นใคร “โกสิ ตฺวํ ภนฺเตติ.
ย่อมเป็ นดังนี ้ ฯ
(อ. พระเถระ กล่าวแล้ ว) ว่า ถ้ าอย่างนัน้ อ. ท่าน จงถือเอา “เตนหิ เม ยฏฺ€ิโกฏึ คณฺหาหีต.ิ
ซึง่ ปลายแห่งไม้ เท้ า ของเรา ดังนี ้ ฯ
อ. สามเณรนัน้ ถือเอาแล้ ว ซึง่ ปลายแห่งไม้ เท้ า ได้ เข้ าไปแล้ ว โส ยฏฺ€ิโกฏึ คเหตฺวา เถเรน สทฺธึ อนฺโตคามํ
สูภ่ ายในแห่งบ้ าน กับ ด้ วยพระเถระ ฯ อ. มนุษย์ ท. ยังพระเถระ ปาวิส.ิ มนุสฺสา เถรํ นิสีทาเปตฺวา “ กึ ภนฺเต
ให้ นงั่ แล้ ว ถามแล้ ว ว่า ข้ าแต่ทา่ นผู้เจริ ญ อ.อาการคือการไป คมนากาโร โว ปญฺญายตีติ ปุจฺฉึส.ุ
แห่งท่าน ท. ย่อมปรากฏหรื อ ดังนี ้ ฯ
(อ. พระเถระ กล่าวแล้ ว) ว่า ดูก่อนอุบาสกและอุบาสิกา ท. “อาม อุปาสกา, คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิสฺสามีต.ิ
เออ (อ. อย่างนัน), ้ อ, เรา ไปแล้ ว จักถวายบังคม ซึง่ พระศาสดา
ดังนี ้ ฯ
อ. มนุษย์ ท. เหล่านัน้ อ้ อนวอนแล้ ว โดยประการต่าง ๆ เต นานปฺปกาเรน ยาจิตฺวา อลภนฺตา เถรํ
เมื่อไม่ได้ ส่งไปอยู่ ซึง่ พระเถระ ไปแล้ ว สิ ้นหนทางเข้ าไปด้ วยทังกึ
้ ง่ อุยฺโยเชนฺตา อุปฑฺฒปถํ คนฺตฺวา โรทิตฺวา นิวตฺตสึ .ุ
ร้ องไห้ แล้ ว กลับแล้ ว ฯ
อ. สามเณรพาเอาซึง่ พระเถระ ด้ วยปลายแห่งไม้ เท้ า ไปอยู่ ถึง สามเณโร เถรํ ยฏฺ€ิโกฏิยา อาทาย คจฺฉนฺโต
พร้ อมแล้ ว ซึง่ บ้ านอันอันพระเถระเคยเข้ าไปอาศัยอยูแ่ ล้ ว ชื่อว่า อนฺตรามคฺเค อฏวิยํ สงฺกฏฺ€นครํ นาม เถเรน
สังกัฏฐนคร ใกล้ ดง ในระหว่างแห่งหนทาง ฯ อุปนิสฺสาย วุตฺถปุพฺพคามํ สมฺปาปุณิ.
อ. สามเณรนัน้ ฟั งแล้ วซึง่ เสียงแห่งเพลงขับ ของหญิง คนหนึง่ โส ตโต นิกฺขมิตฺวา อรญฺญ คายิตฺวา ทารูนิ
ผู้ออกแล้ วจากบ้ านนัน้ ขับแล้ ว เก็บอยู่ ซึง่ ฟื น ท. ในป่ า ถือเอาแล้ ว อุทฺธรนฺติยา เอกิสฺสา อิตฺถิยา คีตสทฺทํ สุตฺวา สเร
ซึง่ นิมิต ในเสียง ฯ นิมิตฺตํ คณฺหิ.
จริ งอยู่ อ. เสียงอื่น ชื่อว่าสามารถ เพื่ออันแผ่ไปแล้ ว สูส่ รี ระ อิตฺถีสทฺโท วิย หิ อญฺโญ สทฺโท ปุริสานํ
ทังสิ้ ้น ของบุรุษ ท. ตังอยู
้ ่ ราวกะ อ. เสียงแห่งหญิง ย่อมไม่มี ฯ สกลสรี รํ ผริ ตฺวา €าตุํ สมตฺโถ นาม นตฺถิ.
เพราะเหตุนนั ้ อ. พระผู้มพี ระภาคเจ้าตรัสแล้ว ว่า ดูกอ่ นภิกษุ ท. เตนาห ภควา “ นาหํ ภิกฺขเว อญฺญํ เอกสทฺทมฺปิ
อ. สัททชาตนี ้ คือ อ. เสียงแห่งหญิง ฉันใด, ดูกอ่ นภิกษุ ท., อ. เสียงใด สมนุปสฺสามิ, โย เอวํ ปุริสสฺส จิตฺตํ ปริ ยาทาย
ครอบง�ำแล้ ว ซึง่ จิต ของบุรุษ ย่อมตังอยู
้ ,่ อ. เรา ย่อมไม่พจิ ารณาเห็น ติฏฺ€ติ; ยถยิทํ ภิกฺขเว อิตฺถีสทฺโทติ.
แม้ ซงึ่ เสียงอย่างหนึง่ อื่น (นัน)
้ ฉันนัน้ ดังนี ้ ฯ
อ. สามเณร ถือเอาแล้ ว ซึง่ นิมิต ในเสียงนัน้ ปล่อยแล้ ว สามเณโร ตตฺถ นิมิตฺตํ คเหตฺวา ยฏฺ€ิโกฏึ
ซึง่ ปลายแห่งไม้ เท้ า (กล่าวแล้ ว) ว่า ข้ าแต่ทา่ นผู้เจริ ญ อ. ท่าน ท. วิสฺสชฺเชตฺวา “ติฏฺ€ถ ตาว ภนฺเต, กิจฺจํ เม
จงหยุด ก่อน, อ. กิจ ของกระผม มีอยู่ ดังนี ้ ไปแล้ ว สูส่ �ำนัก อตฺถีติ ตสฺสา สนฺตกิ ํ คโต.
ของหญิงนัน้ ฯ
อ. หญิงนัน้ เห็นแล้ ว ซึง่ สามเณรนัน้ เป็ นผู้นิ่ง ได้ เป็ นแล้ ว ฯ สา ตํ ทิสฺวา ตุณฺหี อโหสิ.
อ. สามเณรนัน้ ถึงแล้ ว ซึง่ ความวิบตั แิ ห่งศีล กับ ด้ วยหญิงนัน้ ฯ โส ตาย สทฺธึ สีลวิปตฺตึ ปาปุณิ.
อ. สามเณรแม้ นัน้ ยังกิ จ ของตน ให้ ส�ำเร็ จแล้ ว มาแล้ ว โสปิ อตฺตโน กิจฺจํ นิฏฺ€าเปตฺวา อาคนฺตฺวา
กล่าวแล้ ว ว่า ข้ าแต่ทา่ นผู้เจริ ญ อ. เรา ท. จงไป ดังนี ้ ฯ “คจฺฉาม ภนฺเตติ อาห.
ครังนั
้ น้ อ. พระเถระ ถามแล้ว ซึง่ สามเณรนัน้ ว่า ดูกอ่ นสามเณร อถ นํ เถโร ปุจฺฉิ “ปาโป ชาโตสิ สามเณราติ.
อ. เธอ เป็ นคนลามก เป็ นผู้เกิดแล้ ว ย่อมเป็ นหรื อ ดังนี ้ ฯ
อ.สามเณรนัน้ เป็ นผู้นิ่ง เป็ น แม้ ผ้ อู นั พระเถระถามแล้ ว บ่อย ๆ โส ตุณหฺ ี หุตวฺ า ปุนปฺปนุ ํ ปุฏฺโ€ปิ น กิญจฺ ิ กเถสิ.
ไม่กล่าวแล้ ว ซึง่ ค�ำอะไร ๆ ฯ
ครั ง้ นัน้ อ. พระเถระ กล่าวแล้ ว กะสามเณรนัน้ ว่า อถ นํ เถโร อาห “ ตาทิเสน ปาเปน มม
อ.กิ จคือการถื อเอาซึ่งปลายแห่งไม้ เท้ า ด้ วยบุคคลผู้ลามก ยฏฺ€ิโกฏิคฺคหณกิจฺจํ นตฺถีต.ิ
ผู้เช่นกับด้ วยเธอ ย่อมไม่มี แก่เรา ดังนี ้ ฯ
อ.สามเณรนัน้ ผู้ถงึ แล้ วซึง่ ความสลด น�ำไปปราศแล้ ว โส สํเวคปฺปตฺโต กาสายานิ อปเนตฺวา
ซึง่ ผ้ าอันบุคคลย้ อมแล้ วด้ วยน� ้ำฝาด ท. นุง่ ห่มแล้ ว โดยท�ำนอง คิหินิยาเมน ปริทหิตวฺ า “ ภนฺเต อหํ ปุพเฺ พ สามเณโร,
แห่งคฤหัสถ์ กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่ทา่ นผู้เจริญ อ. กระผม เป็ นสามเณร อิทานิ ปนมฺหิ คิหี ชาโต; ปพฺพชนฺโตปิ จาหํ
(ได้เป็ นแล้ว) ในกาลก่อน, แต่วา่ อ. กระผม เป็ นคฤหัสถ์ เป็ นผู้เกิดแล้ว น สทฺธาย ปพฺพชิโต, มคฺคปริ ปนฺถภเยน ปพฺพชิโต;
ย่อมเป็ น ในกาลนี ้, เออก็ อ. กระผม เมื่อบวช เป็ นผู้บวชแล้ ว เอถ, คจฺฉามาติ อาห.
ด้ วยศรัทธา (ย่อมเป็ น) หามิได้ , อ. กระผม เป็ นผู้บวชแล้ ว
เพราะความกลัวแต่อนั ตรายเป็ นเครื่ องเบียดเบียนรอบในหนทาง
(ย่อมเป็ น) ; อ. ท่าน ท. จงมา, อ. เรา ท. จะไป ดังนี ้ ฯ
(อ. พระเถระ กล่าวแล้ ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ อ. คฤหัสถ์ “อาวุโส คิหิปาโปปิ สมณปาโปปิ ปาโปเยว ;
ผู้ลามกก็ดี อ. สมณะผู้ลามกก็ดี เป็ นผู้ลามกนัน่ เทียว (ย่อมเป็ น), ตฺวํ สมณภาเว €ตฺวาปิ สีลมตฺตํ ปูเรตุํ นาสกฺขิ;
อ. เธอ แม้ ตงอยู ั ้ แ่ ล้ ว ในความเป็ นแห่งสมณะ ไม่ได้ อาจแล้ ว เพื่ออัน คิหี หุตฺวา กินฺนาม กลฺยาณํ กริ สฺสสิ; ตาทิเสน
(ยังคุณ) สักว่าศีลให้ เต็ม ; อ. เธอ เป็ นคฤหัสถ์ เป็ น จักกระท�ำ ปาเปน มม ยฏฺ€ิโกฏิคฺคหณกิจฺจํ นตฺถีต.ิ
ซึง่ กรรมอันงาม ชื่ออย่างไร ; อ. กิจคือการถือเอาซึง่ ปลายแห่งไม้ เท้ า
ด้ วยบุคคลผู้ลามก ผู้เช่นกับด้ วยเธอ ย่อมไม่มี แก่เรา ดังนี ้ ฯ
(อ. นายปาลิตนันกล่ ้ าวแล้ ว) ว่า ข้ าแต่ทา่ นผู้เจริ ญ อ. หนทาง “ภนฺเต อมนุสฺสปุ ทฺทโู ต มคฺโค, ตุมเฺ ห จ
เป็ นหนทางอันอมนุษย์เข้ าไปเบียดเบียนแล้ ว (ย่อมเป็ น) , อนึง่ อนฺธา, กถํ อิธ วสิสฺสถาติ.
อ. ท่าน ท. เป็ นคนบอด (ย่อมเป็ น) , อ. ท่าน ท. จักอยู่ ในที่นี ้
อย่างไร ดังนี ้ ฯ
ครัง้ นัน้ อ. พระเถระ กล่าวแล้ ว กะนายปาลิตนัน้ ว่า อถ นํ เถโร “ อาวุ โ ส ตฺ วํ มา เอวํ
ดูกอ่ นท่านผู้มอี ายุ อ. เธอ อย่าคิดแล้ ว อย่างนี ้, เมือ่ เรา นอนตายอยู่ จินฺตยิ , อิเธว เม นิปชฺชิตฺวา มรนฺตสฺสาปิ อปราปรํ
ในที่นี ้นัน่ เทียวก็ดี กลิ ้งเกลือก ไป ๆ มา ๆ อยู่ (ในที่นี ้นัน่ เทียว) ก็ดี, ปวฏฺเฏนฺตสฺสาปิ , ตยา สทฺธึ คมนํ นาม นตฺถีติ
ชื่อ อ. การไป กับ ด้ วยเธอ ย่อมไม่มี ดังนี ้ ได้ กล่าวแล้ ว ซึง่ คาถา ท. วตฺวา อิมา คาถา อภาสิ
เหล่านี ้ ว่า
เอาเถิ ด อ. เรา เป็ นผูม้ ี จกั ษุอนั โรคขจัดแล้ว เป็ นผูม้ าแล้ว “หนฺทาหํ หตจกฺขสุ ฺมิ กนฺตารทฺธานมาคโต,
สู่หนทางไกลคือกันดาร ย่อมเป็ น, อ. เรา นอนอยู่ จะไม่ไป,
(เพราะว่า) อ. คุณเครื ่องความเป็ นแห่งสหาย ย่อมไม่มี สยมาโน น คจฺฉามิ ; นตฺถิ พาเล สหายตา.
ในเพราะชนพาล ฯ เอาเถิ ด อ. เราเป็ นผูม้ ี จกั ษุอนั โรคขจัดแล้ว
เป็ นผูม้ าแล้ว สู่หนทางไกลคือกันดาร ย่อมเป็ น, อ. เราจักตาย, หนฺทาหํ หตจกฺขสุ ฺมิ กนฺตารทฺธานมาคโต
อ. เรา จักไม่ไป, (เพราะว่า) อ. คุณเครื ่องความเป็ นแห่งสหาย
ย่อมไม่มี ในเพราะชนพาล ดังนี ้ ฯ มริ สฺสามิ , โน คมิ สฺสามิ ; นตฺถิ พาเล สหายตาติ .
อ.ท้าวสหัสสเนตร ผูเ้ ป็ นจอมแห่งเทพ ทรงยังจักษุอนั เป็ นทิ พย์ “สหสฺสเนตฺโต เทวิ นโฺ ท ทิ พพฺ จกฺขํ ุ วิ โสธยิ
ให้หมดจดวิ เศษแล้ว ว่า อ.พระเถระ ชื อ่ ว่าปาละ นี ้ `ปาปครหี อยํ ปาโล อาชี วํ ปริ โสธยิ ’,
ผูต้ ิ เตียนซึ่งคนชัว่ โดยปกติ ยังอาชี พ ให้หมดจดรอบแล้ว สหสฺสเนตฺโต เทวิ นโฺ ท ทิ พพฺ จกฺขํ ุ วิ โสธยิ
(ดังนี)้ , อ. ท้าวสหัสสเนตร ผูเ้ ป็ นจอมแห่งเทพ ทรงยังจักษุ- `ธมฺมครุโก อยํ ปาโล นิ สินโฺ น สาสเน รโตติ .
อันเป็ นทิ พย์ ให้หมดจดวิ เศษแล้ว ว่า อ. พระเถระชื อ่ ว่าปาละ
นี ้ ผูห้ นักในธรรม ยิ นดีแล้ว ในศาสนา นัง่ แล้ว ดังนี ้ (ดังนี)้ ฯ
ครัง้ นัน้ อ. ความคิดนัน่ ว่า ถ้ าว่า อ. เรา จักไม่ไป สูส่ �ำนัก อถสฺส เอตทโหสิ “สจาหํ เอวรูปสฺส ปาปครหิโน
ของพระผู้เป็ นเจ้ า ผู้หนักในธรรม ผู้ตเิ ตียนซึง่ คนชัว่ โดยปกติ ธมฺมครุกสฺส อยฺยสฺส สนฺติกํ น คมิสฺสามิ, มุทฺธา
ผู้มีอย่างนี ้เป็ นรูปไซร้ , อ. ศีรษะ ของเรา พึงแตก โดยส่วนเจ็ด; เม สตฺตธา ผเลยฺย; คมิสฺสามิสฺส สนฺตกิ นฺติ .
อ. เรา จักไป สูส่ �ำนัก ของพระเถระชื่อว่าปาละนัน้ ดังนี ้ ได้ มีแล้ ว
แก่ท้าวสักกะนัน้ ฯ
ในล�ำดับนัน้ อ. ท้ าวสหัสสเนตร ผู้เป็ นจอมแห่งเทพ ผู้ทรงไว้ ตโต สหสฺสเนตฺโต เทวินฺโท เทวรชฺชสิรีธโร
ซึง่ สิริคอื ความเป็ นแห่งพระราชาแห่งเทพ เสด็จมาแล้ว โดยขณะนัน,้ ตํขเณน อาคนฺตฺวา, จกฺขปุ าลํ อุปาคมิ.
ได้ เสด็จเข้ าไปหาแล้ ว ซึง่ พระเถระชื่อว่า จักขุบาล ฯ
ก็แล (อ. ท้ าวสักกะ) ครัน้ เสด็จเข้ าไปใกล้ แล้ ว ได้ ทรงกระท�ำ อุปคนฺตฺวา จ ปน เถรสฺสาวิทเู ร ปทสทฺทํ อกาสิ.
แล้ ว ซึง่ เสียงแห่งพระบาท ในที่อนั ไม่ไกล แห่งพระเถระ ฯ
ครัง้ นัน้ อ. พระเถระ ถามแล้ ว ซึง่ ท้ าวสักกะนัน้ ว่า อ. ใครนัน่ อถ นํ เถโร ปุจฺฉิ “โก เอโสติ.
ดังนี ้ ฯ
(อ. ท้ าวสักกะ ตรัสแล้ ว) ว่า ข้ าแต่ทา่ นผู้เจริ ญ อ. กระผม “อหํ ภนฺเต อทฺธิโกติ.
เป็ นผู้ไปสูห่ นทางไกล (ย่อมเป็ น) ดังนี ้ ฯ
(อ. พระเถระ ถามแล้ ว) ว่า ดูก่อนอุบาสก อ. ท่าน จะไป “กุหึ ยาสิ อุปาสกาติ.
ในที่ไหน ดังนี ้ ฯ
(อ. ท้ าวสักกะ ตรัสแล้ ว) ว่า ข้ าแต่ทา่ นผู้เจริ ญ (อ. กระผม “สาวตฺถิยํ ภนฺเตติ.
จะไป) ในเมืองชื่อว่าสาวัตถี ดังนี ้ ฯ
(อ. พระเถระ กล่าวแล้ ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ อ. ท่าน “ยาหิ อาวุโสติ.
จงไป ดังนี ้ ฯ
(อ. ท้ าวสักกะ ตรัสถามแล้ ว) ว่า ข้ าแต่ทา่ นผู้เจริ ญ ก็ “อยฺโย ปน ภนฺเต กุหึ คมิสฺสตีต.ิ
อ.พระผู้เป็ นเจ้ า จักไป ในที่ไหน ดังนี ้ ฯ
อ. ธรรม ท. มีใจเป็ นสภาพถึงก่อน มีใจเป็ นสภาพประเสริ ฐทีส่ ดุ “มโนปุพพฺ งฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺ€า มโนมยา;
อันส�ำเร็ จแล้วแต่ใจ , หากว่า (อ. บุคคล) มี ใจ อันอันโทษ
ประทุษร้ายแล้ว กล่าวอยู่หรื อ หรื อว่ากระท�ำอยู่ไซร้, อ. ทุกข์ มนสา เจ ปทุฏฺเ€น ภาสติ วา กโรติ วา,
ย่อมไปตาม ซึ่งบุคคลนัน้ (เพราะทุจริ ตอันมี อย่างสาม) นัน้
เพียงดัง อ. ล้อ (หมุนไปตามอยู่) ซึ่งรอยเท้า (ของโคตัวเนือ่ ง ตโต นํ ทุกฺขมเนฺวติ จกฺกํว วหโต ปทนฺติ.
ด้วยก�ำลัง) ตัวน�ำไปอยู่ (ซึ่งแอก) ดังนี ้ ฯ
(อ. สภาพ ท.) ทัง้ สอง คือ อ. ธรรมด้วย คือ อ. สภาพมิ ใช่ธรรม “ น หิ ธมฺโม อธมฺโม จ อุโภ สมวิ ปากิ โน,
ด้วย เป็ นสภาพมี วิบากเสมอกัน (ย่อมเป็ น) หามิ ได้แล,
อ. สภาพมิ ใช่ธรรม ย่อมน�ำไป (ซึ่งสัตว์) สู่นรก อ. ธรรม อธมฺโม นิ รยํ เนติ ธมฺโม ปาเปติ สุคฺคติ นตฺ ิ
(ยังสัตว์) ย่อมให้ถึง ซึ่งสุคติ ดังนี ้เป็ นต้ น
อ. ธรรมนี ้ (ในค�ำนี ้) ว่าดูก่อนภิกษุ ท. อ. เรา จักแสดง ซึง่ ธรรม “ธมฺมํ โว ภิกฺขเว เทเสสฺสามิ อาทิกลฺยาณนฺติ
อันงามในเบื ้องต้ น แก่เธอ ท. ดังนี ้เป็ นต้ น ชื่อว่าเทศนาธรรม ฯ อยํ เทสนาธมฺโม นาม.
อ. ธรรมนี ้ (ในค�ำนี ้) ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. ก็ อ. กุลบุตร ท. “อิธ ปน ภิกฺขเว เอกจฺเจ กุลปุตฺตา ธมฺมํ
บางพวก ในศาสนา นี ้ ย่อมเล่าเรียน ซึง่ ธรรม คือซึง่ สูตร คือซึง่ ไคยะ ปริ ยาปุณนฺติ สุตฺตํ เคยฺยนฺติ อยํ ปริ ยตฺตธิ มฺโม นาม.
ดังนี ้เป็ นต้ น ชื่อว่าปริ ยตั ิธรรม ฯ
อ. ธรรมนี ้ (ในค�ำนี ้) ว่า ก็ อ. ธรรม ท. ย่อมมี ในสมัยนันแล ้ , “ตสฺมึ โข ปน สมเย ธมฺมา โหนฺติ, ขนฺธา
อ. ขันธ์ ท. ย่อมมี (ในสมัยนัน) ้ ดังนี ้เป็ นต้ น ชื่อว่า นิสสัตตธรรม ฯ โหนฺตีติ อยํ นิสฺสตฺตธมฺโม นาม. นิชฺชีวธมฺโมติปิ
อ. นัย (ในบท) แม้ วา่ อ. นิชชีวธรรม ดังนี ้ นี ้ นัน่ เทียว ฯ เอเสว นโย.
ในธรรม ท. ๔ เหล่านันหนา ้ อ. นิสสัตตธรรมและนิชชีวธรรม เตสุ อิมสฺมึ €าเน นิสฺสตฺตนิชฺชีวธมฺโม อธิปเฺ ปโต.
(อันพระผู้มีพระภาคเจ้ า) ทรงพระประสงค์ เอาแล้ วในที่นี ้ ฯ
แม้ อ. พระคาถาที่สอง ว่า มโนปุพพ ฺ งฺคมา ดังนี ้เป็ นต้ น “มโนปุพพ ฺ งฺคมาติ ทุตยิ คาถาปิ สาวตฺถิยํเยว
(อันพระศาสดา) ทรงปรารภ ซึง่ มาณพชือ่ ว่ามัฏฐกุณฑลี ตรัสแล้ ว มฏฺ€กุณฺฑลึ อารพฺภ ภาสิตา.
ในเมืองชื่อว่าสาวัตถีนนั่ เทียว ฯ
ได้ ยินว่า อ. พราณมณ์ ชื่อว่าอทินนปุพพกะ ได้ มีแล้ ว ในเมือง สาวตฺถิยํ กิร อทินฺนปุพฺพโก นาม พฺราหฺมโณ
ชือ่ ว่าสาวัตถี ฯ อ. วัตถุไร ๆ เป็ นของอันพราหมณ์นนั ้ ไม่เคยให้แล้ว อโหสิ. เตน กสฺสจิ กิฺจิ น ทินฺนปุพฺพํ,
แก่ใคร ๆ (ย่อมเป็ น), เพราะเหตุนนั ้ (อ. ชน ท.) รู้พร้ อมแล้ว ซึง่ พราหมณ์ เตน ตํ “อทินฺนปุพฺพโกเตฺวว สฺชานึส.ุ
นัน้ ว่า อ. พราหมณ์ชื่อว่า อทินนปุพพกะ ดังนี ้ นัน่ เทียว ฯ
(อ. มาณพชือ่ ว่ามัฏฐกุณฑลี) เป็ นลูกชายคนเดียว เป็ นผู้เป็ นทีร่ กั ตสฺเสกปุตฺตโก อโหสิ ปิ โย มนาโป.
เป็ นผู้ยงั ใจให้ เอิบอาบ ของพราหมณ์นนั ้ ได้ เป็ นแล้ ว ฯ
ครัง้ นัน้ (อ. พราหมณ์นน) ั ้ เป็ นผู้ใคร่เพื่ออันยังช่างให้ กระท�ำ อถสฺส ปิ ลนฺธนํ กาเรตุกาโม , “ สเจ
ซึง่ เครื่ องประดับ แก่บตุ รนัน้ (เป็ น) , (คิดแล้ ว) ว่า ถ้ าว่า อ. เรา สุวณฺณการสฺสาจิกฺขิสฺสามิ, เวตนํ ทาตพฺพํ ภวิสฺสตีติ
จักบอก แก่บคุ คลผู้กระท�ำซึง่ ทองไซร้ , อ. ก�ำเหน็จ เป็ นของอันเรา สยเมว สุวณฺณํ โกฏฺเฏตฺวา มฏฺ€านิ กุณฺฑลานิ
พึงให้ จักเป็ น ดังนี ้ บุแล้ ว ซึง่ ทอง เองนัน่ เทียว กระท�ำแล้ ว ซึง่ ต่างหู กตฺวา อทาสิ.
ท. อันเกลี ้ยง ได้ ให้ แล้ ว ฯ
เพราะเหตุนนั ้ อ. บุตร ของพราหมณ์นนั ้ ปรากฏแล้ ว ว่า เตนสฺส ปุตฺโต “มฏฺ€กุณฺฑลีเตฺวว ปฺายิตฺถ.
อ. มาณพชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี ดังนี ้นัน่ เทียว ฯ อ. โรคผอมเหลือง ตสฺส โสฬสวสฺสกาเล ปณฺฑโุ รโค อุทปาทิ.
ได้ เกิดขึ ้นแล้ ว ในกาลแห่งบุตรนันมี ้ กาลฝนสิบหก ฯ
อ. มารดา แลดูแล้ ว ซึง่ บุตร กล่าวแล้ ว ว่า ข้ าแต่พราหมณ์ มาตา ปุตฺตํ โอโลเกตฺวา “พฺราหฺมณ ปุตฺตสฺส
อ. โรค เกิดขึ ้นแล้ ว แก่บตุ ร ของท่าน, อ. ท่าน (ยังหมอ) เต โรโค อุปปฺ นฺโน , ติกิจฺฉาเปหิ นนฺติ อาห .
จงให้ เยียวยา ซึง่ บุตรนัน้ ดังนี ้ ฯ (อ. พราหมณ์นนั ้ กล่าวแล้ ว) ว่า “โภติ สเจ เวชฺชํ อาเนสฺสามิ, ภตฺตเวตนํ ทาตพฺพํ
แน่ะนางผู้เจริ ญ ถ้ าว่า อ.เรา จักน� ำมา ซึ่งหมอไซร้ , ภวิสฺสติ; ตฺวํ มม ธนจฺเฉทํ น โอโลเกสีต.ิ
อ. ภัตรและก�ำเหน็จ เป็ นของอันเราพึงให้ จักเป็ น; อ. ท่าน ไม่แลดูแล้ว
ซึง่ ความขาดไปแห่งทรัพย์ ของเราหรือ? ดังนี ้ ฯ (อ. นางพราหมณีนนั ้ “อถ กึ กริ สฺสสิ พฺราหฺมณาติ.
กล่าวแล้ ว) ว่า ข้ าแต่พราหมณ์ ครัน้ เมื่อความเป็ นอย่างนัน้ (มีอยู)่
อ. ท่าน จักกระท�ำ อย่างไร ดังนี ้ ฯ (อ. พราหมณ์นนั ้ กล่าวแล้ ว) “ยถา เม ธนจฺเฉโท น โหติ; ตถา กริ สฺสามีต.ิ
ว่า อ. ความขาดไปแห่งทรัพย์ ของเรา จะไม่มี โดยประการใด ;
อ. เรา จักกระท�ำ โดยประการนัน้ ดังนี ้ ฯ
อ. พราหมณ์นน. ั ้ ไปแล้ ว สูส่ �ำนัก ของหมอ ท. ถามแล้ ว ว่า โส เวชฺชานํ สนฺตกิ ํ คนฺตฺวา “อสุกโรคสฺส
อ.ท่าน ท. ย่อมกระท�ำซึง่ ยา อะไร ชื่อแก่โรคโน้ น ดังนี ้ ฯ นาม ตุมเฺ ห กึ เภสชฺชํ กโรถาติ ปุจฺฉิ.
ครัง้ นัน้ อ. หมอ ท. เหล่านัน้ บอกอยู่ (ซึง่ ยา) มีเปลือก อถสฺส เต ยํ วา ตํ วา รุกฺขตจาทึ อาจิกฺขนฺต.ิ
แห่งต้ นไม้ เป็ นต้ น ใดหรื อ หรื อว่านัน้ แก่พราหมณ์นนั ้ ฯ
อ. พราหมณ์นนั ้ น�ำมาแล้ ว ซึง่ ยานัน้ ย่อมกระท�ำ ซึง่ ยา โส ตํ อาหริ ตฺวา ปุตฺตสฺส เภสชฺชํ กโรติ.
แก่บุตร ฯ เมื่อพราหมณ์ นัน้ กระท�ำอยู่ ซึ่งยานัน้ นั่นเทียว ตํ กโรนฺตสฺเสวสฺส โรโค พลวา อโหสิ, อเตกิจฺฉภาวํ
อ. โรค เป็ นสภาพมีก�ำลัง ได้ เป็ นแล้ ว, (อ. โรคนัน) ้ ได้ เข้ าถึงแล้ ว อุปาคมิ.
ซึง่ ความเป็ นแห่งโรคอันบุคคลไม่พงึ เยียวยา ฯ
อ. พราหมณ์ รู้ แล้ ว ซึ่งความที่แห่งบุตรนัน้ เป็ นผู้มีก�ำลัง พฺราหฺมโณ ตสฺส ทุพฺพลภาวํ ตฺวา เอกํ
อันโทษประทุษร้ ายแล้ ว ร้ องเรี ยกแล้ ว ซึง่ หมอ คนหนึง่ ฯ เวชฺชํ ปกฺโกสิ.
อ. หมอนัน้ ตรวจดูแล้ ว (กล่าวแล้ ว) ว่า อ. กิจอย่างหนึง่ โส โอโลเกตฺวา “อมฺหากํ เอกํ กิจฺจํ อตฺถิ,
ของเรา ท. มีอยู,่ อ. ท่าน ร้ องเรี ยกแล้ ว ซึง่ หมอคนอื่น (ยังหมอนัน) ้ อฺํ เวชฺชํ ปกฺโกสิตฺวา ติกิจฺฉาเปหีติ ตํ
จงให้ เยียวยาเถิด ดังนี ้ บอกคืนแล้ ว ซึง่ พราหมณ์นนั ้ ออกไปแล้ ว ฯ ปจฺจกฺขาย นิกฺขมิ.
อ.พระศาสดา ทรงเห็นแล้ ว ซึง่ มาณพชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี สตฺถา ตํ ทิสฺวา ตสฺส อนฺโตเคหา นีหริ ตฺวา
นัน้ ทรงทราบแล้ ว ซึง่ ความที่แห่งมาณพชื่อว่ามัฏฐกุณฑลีนนั ้ ตตฺถ นิปปฺ ชฺชาปิ ตภาวํ ตฺวา “อตฺถิ นุ โข มยฺหํ
เป็ นผู้ (อันบิดา) น�ำออกแล้ ว จากภายในแห่งเรื อน ให้ นอนแล้ ว เอตฺถ คตปฺปจฺจเยน อตฺโถติ อุปธาเรนฺโต, อิทํ
ที่ระเบียงนัน้ ทรงใคร่ครวญอยู่ ว่า อ. ประโยชน์ เพราะปั จจัย อทฺทส “อยํ มาณโว มยิ จิตฺตํ ปสาเทตฺวา, กาลํ
แห่งเราผู้ไปแล้ ว ในที่นี ้ มีอยูห่ รื อหนอแล ดังนี ้, ได้ ทรงเห็นแล้ ว กตฺวา, ตาวตึสเทวโลเก ตึสโยชนิเก กนกวิมาเน
ซึง่ เหตุนี ้ ทรงทราบแล้ ว ว่า อ. มาณพนี ้ ยังจิต ให้ เลื่อมใสแล้ ว นิพฺพตฺตสิ ฺสติ, อจฺฉราสหสฺสปริ วาโร ภวิสฺสติ,
ในเรา, กระท�ำแล้ ว ซึง่ กาละ, จักบังเกิด ในวิมานอันเป็ นวิการ
แห่งทอง อันประกอบแล้ วด้ วยโยชน์สามสิบ ในเทวโลกชื่อว่า-
ดาวดึงส์ , เป็ นผู้มีพนั แห่งนางอัปสรเป็ นบริ วาร จักเป็ น,
แม้ อ. พราหมณ์ ยังบุตรนัน้ ให้ ไหม้ แล้ ว ร้ องไห้ อยู่ จักเทีย่ วไป พฺราหฺมโณปิ ตํ ฌาเปตฺวา โรทนฺโต
ในป่ าช้า, อ. เทพบุตร แลดูแล้ว ซึง่ อัตภาพ อันมีคาวุต ๓ อาฬาหเน วิจริ สฺสติ, เทวปุตฺโต ติคาวุตปฺปมาณํ
เป็ นประมาณ อันประดับเฉพาะแล้ วด้ วยเครื่ องประดับมีเกวียน สฏฺ€ิสกฏภาราลงฺการปฏิมณฺฑิตํ อจฺฉราสหสฺสปริ วารํ
๖๐ เล่มเป็ นภาระ มีพนั แห่งนางอัปสรเป็ นบริวารตรวจดู อตฺตภาวํ โอโลเกตฺวา `เกน นุ โข กมฺเมน
อยู่ ว่า อ. สมบัตอิ นั เป็ นสิริ นี ้ อันเรา ได้ แล้ ว ด้ วยกรรม อะไร มยา อยํ สิริสมฺปตฺติ ลทฺธาติ โอโลเกนฺโต, มยิ
หนอ แล ดังนี ้, รู้แล้ ว ซึง่ ความที่ (แห่งสมบัตอิ นั เป็ นสิรินน) ั้ จิตฺตปฺปสาเทน ลทฺธภาวํ ตฺวา `ธนจฺเฉทภเยน
(อันตน) ได้ แล้ ว ด้ วยความเลื่อมใสแห่งจิต ในเรา (คิดแล้ ว) มม เภสชฺชํ อกาเรตฺวา, อิทานิ อาฬาหนํ
ว่า (อ. พราหมณ์นี ้) ไม่ (ยังหมอ) ให้ กระท�ำแล้ ว ซึง่ ยา แก่เรา คนฺตฺวา โรทติ , วิปปฺ การปฺปตฺตํ นํ กริ สฺสามีติ
เพราะกลัวแต่อนั ขาดไป แห่งทรัพย์, ไปแล้ ว สูป่ ่ าช้ า ย่อมร้ องไห้ ใน ปิ ตริ อกฺขนฺติยา มฏฺ€กุณฺฑลิวณฺเณนาคนฺตฺวา
กาลนี ้, อ. เรา จักกระท�ำ ซึง่ พราหมณ์นนั ้ ให้ เป็ นผู้ถงึ แล้ วซึง่ ประการ อาฬาหนสฺสาวิทเู ร นิปปฺ ชฺชิตฺวา โรทิสฺสติ.
อันแปลก ดังนี ้ มาแล้ ว ด้ วยเพศแห่งมาณพชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี
จักนอนร้ องไห้ ในทีอ่ นั ไม่ไกลแห่งป่ าช้ า เพราะความไม่ชอบใจในบิดา,
ครัน้ เมื่อความเป็ นอย่างนัน้ (มีอยู)่ อ. พราหมณ์ จักถาม อถ นํ พฺราหฺมโณ `โกสิ ตฺวนฺติ ปุจฺฉิสฺสติ,
ซึง่ เทพบุตรนัน้ ว่า อ. ท่าน เป็ นใคร ย่อมเป็ น ดังนี ้,
(อ. เทพบุตร จักกล่าว) ว่า อ. เรา เป็ นมัฏฐกุณฑลี ผู้เป็ นบุตร `อหนฺเต ปุตฺโต มฏฺ€กุณฺฑลีต,ิ
ของท่าน (ย่อมเป็ น) ดังนี ้,
(อ. พราหมณ์นนั ้ จักถาม) ว่า (อ. ท่าน) เป็ นผู้บงั เกิดแล้ ว `กุหึ นิพฺพตฺโตสีต,ิ
ในที่ไหน ย่อมเป็ น ดังนี ้,
อ. พราหมณ์ จักถาม ซึง่ เรา ว่า (อ. สัตว์ ท.) ชื่อว่า ผู้ยงั จิต พฺราหฺมโณ `ตุมเฺ หสุ จิตฺตํ ปสาเทตฺวา สคฺเค
ให้ เลื่อมใสแล้ ว ในพระองค์ ท. บังเกิดแล้ ว ในสวรรค์ มีอยูห่ รื อ ดังนี ้, นิพฺพตฺตา นาม อตฺถีติ มํ ปุจฺฉิสฺสติ,
ครัน้ เมื่อความเป็ นอย่างนัน้ (มีอยู)่ อ. เรา กล่าวแล้ ว ว่า อถสฺสาหํ `เอตฺตกานิ สตานิ วา สหสฺสานิ วา
(อันใคร ๆ) ไม่อาจ เพื่ออันก�ำหนด ด้ วยการนับ ว่า อ. ร้ อย ท. หรื อ สตสหสฺสานิ วาติ น สกฺกา คณนาย ปริ จฺฉินฺทิตนุ ฺติ
หรื อว่า อ. พัน ท. หรื อว่า อ. แสน ท. มีประมาณเท่านี ้ ดังนี ้ ดังนี ้ วตฺวา ธมฺมปเท คาถํ ภาสิสฺสามิ,
จักกล่าว ซึง่ คาถา ในธรรมบท แก่พราหมณ์นน, ั้
อ.พระศาสดา (ทรงพระด�ำริ แล้ ว) ว่า อ.พอละ ด้ วยการยังใจ สตฺถา “อลํ เอตฺตเกน อิมสฺสาติ ปกฺกามิ.
ให้เลือ่ มใสมีประมาณเท่านี ้ ของมาณพนี ้ ดังนี ้ เสด็จหลีกไปแล้ว ฯ
ครัน้ เมื่อพระตถาคต ทรงละอยู่ ซึง่ คลองแห่งจักษุ นัน่ เทียว โส ตถาคเต จกฺขปุ ถํ วิชหนฺเตเยว, ปสนฺนมโน
อ.มาณพนัน้ เป็ นผู้มใี จเลือ่ มใสแล้ ว เป็ น ท�ำแล้ วซึง่ กาละ เกิดแล้ ว กาลํ กตฺวา สุตฺตปฺปพุทฺโธ วิย เทวโลเก ตึสโยชนิเก
ในวิมานอันส�ำเร็ จด้ วยทอง อันประกอบแล้ วด้ วยโยชน์สามสิบ กนกวิมาเน นิพฺพตฺต.ิ
ในเทวโลก ราวกะ อ.บุคคลผู้หลับแล้ วตื่น ฯ
แม้ อ. เทพบุตร แลดูแล้ ว ซึง่ สมบัติ ของตน ใคร่ครวญอยู่ ว่า เทวปุตฺโตปิ อตฺตโน สมฺปตฺตึ โอโลเกตฺวา “เกน
(อ. สมบัตินี ้ อันเรา) ได้ แล้ ว เพราะกรรมอะไร ดังนี ้ รู้ แล้ ว ว่า กมฺเมน ลทฺธาติ อุปธาเรนฺโต “สตฺถริ มโนปสาเทนาติ
(อ. สมบัตนิ ี ้อันเรา ได้แล้ว) เพราะการยังใจความเลือ่ มใส ในพระศาสดา ญตฺวา “ อยํ พฺราหฺมโณ มม อผาสุกกาเล
ดังนี ้ (คิดแล้ ว) ว่า อ. พราหมณ์ นี ้ ไม่ยงั หมอให้ กระท�ำแล้ ว ซึง่ ยา เภสชฺ ชํ อกาเรตฺวา อิทานิ อาฬาหนํ คนฺตฺวา
ในกาลอันไม่ผาสุก แห่งเรา ไปแล้ ว สูท่ ี่เป็ นที่น�ำมาเผา ร้ องไห้ อยู่ โรทติ ; วิปฺปการปฺปตฺตเมตํ กาตุํ วฏฺฏตีติ
ในกาลนี ้ อ.อัน อันเรา ท�ำ ซึ่งพราหมณ์ นัน้ ให้ เป็ นผู้ถึงแล้ ว มฏฺ€กุณฺฑลิวณฺเณนาคนฺตฺวา อาฬาหนสฺสาวิทเู ร
ซึง่ ประการอันแปลก ย่อมควร ดังนี ้ มาแล้ ว ด้ วยเพศเพียงดัง พาหา ปคฺคยฺห โรทนฺโต อฏฺ€าสิ.
เพศแห่งมาณพชื่ อว่า มัฎฐกุณฑลี ได้ ยืนประคองซึ่งแขน ท.
ร้ องไห้ อยูแ่ ล้ ว ในที่อนั ไม่ไกลแห่งที่เป็ นที่น�ำมาเผา ฯ
พฺราหฺมโณ ตํ ทิสฺวา “ อหํ ตาว ปุตฺตโสเกน
อ. พราหมณ์ เห็นแล้ ว ซึง่ เทพบุตรนัน้ (คิดแล้ ว) ว่า อ. เรา โรทามิ, เอส กิมตฺถํ โรทติ; ปุจฺฉิสสฺ ามิ นนฺติ
ร้ องไห้ อยูเ่ พราะความโศกเพราะบุตร ก่อน, อ. มาณพนัน่ ร้ องไห้ อยู่ ปุจฺฉนฺโต อิมํ คาถมาห
เพื่อประโยชน์อะไร; อ. เรา จักถาม ซึง่ มาณพนัน้ ดังนี ้ เมื่อถาม
กล่าวแล้ ว ซึง่ คาถา นี ้ ว่า
“อลงฺกโต มฏฺ€กุณฺฑลี
(อ. ท่าน) ผูอ้ นั บุคคลกระท�ำให้พอแล้ว ผูม้ ี ตมุ้ หูอนั เกลีย้ ง
มาลาภารี หริ จนฺทนุสสฺ โท,
ผูม้ ี ภาระคือระเบี ยบ ผูม้ ี กายหนาขึ้นด้วยจันทน์เหลือง ,
พาหา ปคฺคยฺห กนฺทสิ
ประคองแล้ว ซึ่งแขน ท. คร�่ ำครวญอยู่ ในท่ามกลางแห่งป่ า
วนมชฺเฌ กึ ทุกฺขิโต ตุวนฺติ.
อ. ท่าน เป็ นผูถ้ ึงแล้วซึ่งความทุกข์ (ย่อมเป็ น) เพราะเหตุอะไร
ดังนี ้ ฯ
โส อาห
อ. เทพบุตรนัน้ กล่าวแล้ ว ว่า
“โสวณฺณมโย ปภสฺสโร
อ. เรื อนแห่งรถ อันส�ำเร็ จแล้วด้วยทอง อันเป็ นแดนสร้านออก
อุปปฺ นฺโน รถปญฺชโร มม,
แห่งรัศมี เกิ ดขึ้นแล้ว แก่ขา้ พเจ้า, อ. ข้าพเจ้า ย่อมไม่ประสบ
ตสฺส จกฺกยุคํ น วิ นทฺ ามิ
ซึ่งคู่แห่งล้อ แห่งเรื อนแห่งรถนัน้ อ. ข้าพเจ้า จักละ ซึ่งชี วิต
เตน ทุกฺเขน ชหิ สสฺ ามิ ชี วิตนฺติ.
เพราะความทุกข์ นนั้ ดังนี ้ ฯ
อถ นํ พฺราหฺมโณ อาห
ครัง้ นัน้ อ. พรามหมณ์ กล่าวแล้ ว กะเทพบุตรนัน้ ว่า
อ.มาณพ ฟั งแล้ ว ซึง่ ค�ำนัน้ คิดแล้ ว ว่า อ.พราหมณ์ นี ้ ตํ สุตฺวา มาณโว “อยํ ปุตฺตสฺส เภสชฺชํ อกตฺวา
ไม่กระท�ำแล้ ว ซึง่ ยา แก่บตุ ร เห็นแล้ ว ซึง่ เรา ผู้มีรูปเปรี ยบด้ วยบุตร ปุตฺตปฏิรูปกํ มํ ทิสฺวา โรทนฺโต `สุวณฺณาทิมยํ
ร้ องไห้ อยู่ ย่อมกล่าว ว่า อ. เรา จะกระท�ำ ซึง่ ล้ อแห่งรถ อันส�ำเร็ จแล้ ว รถจกฺกํ กโรมีติ วทติ; โหตุ, นิคฺคณฺหิสฺสามิ นนฺติ
ด้ วยรัตนะมีทองเป็ นต้ น ดังนี ้; (อ. อันกล่าวอย่างนัน) ้ จงมีเถิด, จินฺเตตฺวา “กีวมหนฺตํ เม จกฺกยุคํ กริ สฺสสีติ วตฺวา
อ. เรา จักข่ม ซึง่ พราหมณ์นนดั ั ้ งนี ้ กล่าวแล้ ว ว่า อ. ท่าน จักกระท�ำ “ยาวมหนฺตํ อากงฺขสีติ วุตฺเต,
ซึง่ คูแ่ ห่งล้ อ อันใหญ่เพียงไร แก่ข้าพเจ้ า ดังนี ้ (ครัน้ เมื่อค�ำ) ว่า
อ. ท่าน ย่อมหวัง (ซึง่ คูแ่ ห่งล้ อ) อันใหญ่เพียงใด (อ. เรา จักกระท�ำ
ซึง่ คูแ่ ห่งล้ อ อันใหญ่เพียงนัน้ แก่ทา่ น) ดังนี ้ (อันพราหมณ์นน) ั้
กล่าวแล้ ว, (กล่าวแล้ ว) ว่า
ครัง้ นัน้ อ. มาณพ กล่าวแล้ ว กะพราหมณ์นนั ้ ว่า ก็ (อ. บุคคล) อถ นํ มาณโว “กึ ปน ปญฺญายมานสฺสตฺถาย
ร้ องไห้ อยู่ เพื่อประโยชน์ แก่วตั ถุอนั ปรากฏอยู่ เป็ นคนพาล โรทนฺโต พาโล โหติ, อุทาหุ อปญฺญายมานสฺสาติ
ย่อมเป็ นหรื อ, หรื อว่า (อ. บุคคล ร้ องไห้ อยู่ เพื่อประโยชน์แก่วตั ถุ) วตฺวา
อันไม่ปรากฏอยู่ (เป็ นคนพาล ย่อมเป็ น) ดังนี ้ (กล่าวแล้ ว) ว่า
อ. พราหมณ์ ฟั งแล้ ว ซึง่ ค�ำนัน้ ก�ำหนดแล้ ว ว่า อ. มาณพนัน่ ตํ สุตฺวา พฺราหฺมโณ “ยุตฺตํ เอส วทตีติ สลฺลกฺเขตฺวา
ย่อมกล่าว ซึง่ ค�ำอันควรแล้ ว ดังนี ้ กล่าวแล้ ว ว่า
ดูก่อนมาณพ อ. ท่าน กล่าวแล้ว ซึ่งค�ำจริ งแล (แห่งเรา ท.) “สจฺจํ โข วเทสิ มาณว
ผูค้ ร�่ ำครวญอยู่หนา อ. เรานัน่ เทียว เป็ นผูม้ ี ความเป็ น- อหเมว กนฺทตํ พาลฺยตโร
แห่งคนพาลกว่า (ย่อมเป็ น) อ. เรา ปรารถนาเฉพาะอยู่ จนฺทํ วิ ย ทารโก รุทํ
ซึ่งบุตร ผูม้ ี กาละอันกระท�ำแล้ว ราวกะ อ. เด็ก ร้องไห้ถึงอยู่ ปุตฺตํ กาลกตาภิ ปตฺถยนฺติ
ซึ่งพระจันทร์ ดังนี ้ ฯ
เป็ นผู้มีความเศร้ าโศกออกแล้ ว เพราะวาจาเป็ นเครื่ องกล่าว วตฺวา ตสฺส กถาย นิสฺโสโก หุตฺวา มาณวสฺส ถุตึ
ของมาณพนัน้ เป็ น เมื่อกระท�ำซึง่ การชมเชย แก่มาณพ กโรนฺโต อิมา คาถา อภาสิ
ได้ กล่าวแล้ ว ซึง่ คาถา ท. เหล่านี ้ ว่า
(อ. ท่าน) รดลงอยู่ ซึ่งข้าพเจ้า เป็ น ผูอ้ นั ไฟติ ดทัว่ แล้วหนอ “อาทิ ตฺตํ วต มํ สนฺตํ ฆตสิ ตฺตํว ปาวกํ
มี อยู่ ราวกะ (อ. บุคคล) (รดลงอยู่) ซึ่งไฟผูช้ �ำระ อันบุคคล
รดแล้วด้วยเปรี ยงเทียว ด้วยน�้ำ, ยังความกระวนกระวาย วาริ นา วิ ย โอสิ ฺจํ, สพฺพํ นิ พพฺ าปเย ทรํ ,
ทัง้ ปวง ให้ดบั แล้ว, อ. ท่านใด ได้บรรเทาไปปราศแล้ว
ซึ่งความเศร้าโศกเพราะบุตร แห่งข้าพเจ้า ผูม้ ี ความเศร้าโศก อพฺพหุ ิ วต เม สลฺลํ โสกํ หทยนิ สสฺ ิ ตํ,
อันไปแล้วในเบื อ้ งหน้า , (อ. ท่านนัน้ ) ถอนขึ้นแล้วหนอ
ซึ่งลูกศร คือความเศร้าโศก อันอาศัยแล้วซึ่งหทัย ของข้าพเจ้า, โย เม โสกปเรตสฺส ปุตฺตโสกํ อปานุทิ;
อ. ข้าพเจ้า นัน้ เป็ นผูม้ ี ลูกศรอันถอนขึ้นแล้ว ย่อมเป็ น
อ.ข้าพเจ้า เป็ นผูเ้ ย็นเป็ นแล้ว เป็ นผูด้ บั แล้ว ย่อมเป็ น, สฺวาหํ อพฺพฬุ หฺ สลฺโลสฺมิ สีติภูโตสฺมิ นิ พพฺ โุ ต,
ดูก่อนมาณพ อ,ข้าพเจ้า ย่อมไม่เศร้าโศก, ย่อมไม่ร้องไห้
เพราะฟั ง (ซึ่งค�ำ) ของท่าน ดังนี ้ ฯ น โสจามิ , น โรทามิ ตว สุตฺวาน มาณวาติ .
ครัง้ นัน้ (อ. พราหมณ์) เมื่อถาม ซึง่ มาณพนัน้ ว่า อ. ท่าน อถ นํ “โก นาม ตฺวนฺติ ปุจฺฉนฺโต
ซื่อเป็ นใคร (ย่อมเป็ น) ดังนี ้ (กล่าวแล้ ว) ว่า
(อ. ท่าน) เป็ นเทวดาหรื อหนอ หรื อว่าเป็ นคนธรรพ์ หรื อว่า “เทวตา นุสิ คนฺธพฺโพ อาทู สกฺโก ปุรินทฺ โท,
เป็ นท้าวสักกะ ผูใ้ ห้ซึ่งทานในกาลก่อน ย่อมเป็ น, อ. ท่าน
เป็ นใครหรื อ หรื อว่าเป็ นบุตร ของใคร (ย่อมเป็ น) ? อ. เรา ท. โก วา ตฺวํ กสฺส วา ปุตฺโต? กถํ ชาเนมุ ตํ มยนฺติ.
พึงรู้ ซึ่งท่าน อย่างไร ดังนี ้ ฯ
(อ. ท่าน) เผาแล้ว ซึ่งบุตร ในป่ าช้า เอง ย่อมคร� ำค่ รวญถึง “ยฺจ กนฺทสิ ยฺจ โรทสิ
ซึ่งบุตรใด ด้วย ย่อมร้องไห้ถึง ซึ่งบุตรใด ด้วย, อ. ข้าพเจ้า คือ ปุตฺตํ อาฬาหเน สยํ ฑหิ ตฺวา;
อ. บุตรนัน้ กระท�ำแล้ว ซึ่งกรรม อันเป็ นกุศล เป็ นผูถ้ ึงแล้ว สฺวาหํ กุสลํ กริ ตฺวาน กมฺมํ
ซึ่งความเป็ นแห่งบุคคลผูเ้ ทีย่ วไปพร้อมกัน (แห่งเทวดา ท.) ติ ทสานํ สหพฺยตํ ปตฺโตติ อาจิกฺขิ.
(เมื อ่ ท่าน) ถวายอยู่ ซึ่งทาน อันน้อยหรื อ หรื อว่าอันมาก “อปฺปํ วา พหุํ วา นาทฺทสาม
ในเรื อนอันเป็ นของตนหรื อ หรื อว่า (กระท�ำอยู่) ซึ่งกรรม- ทานํ ททนฺตสฺส สเก อคาเร,
คืออุโบสถ อันเช่นนัน้ , (อ.เรา ท.) ย่อมไม่เห็น, (อ. ท่าน) อุโปสถกมฺมํ วา ตาทิ สํ,
เป็ นผูไ้ ปแล้ว สู่เทวโลก ย่อมเป็ น เพราะกรรม อะไร ดังนี ้ ฯ เกน กมฺเมน คโตสิ เทวโลกนฺติ.
อ. ข้าพเจ้า เป็ นผูม้ ี อาพาธ เป็ นผูถ้ ึงแล้วซึ่งความล�ำบาก “อาพาธิ โกหํ ทุกฺขิโต คิ ลาโน
เป็ นคนไข้ เป็ นผูม้ ี รูปอันกระสับกระส่าย ในทีเ่ ป็ นทีอ่ ยู่ อาตูรรู โปมฺหิ สเก นิ เวสเน,
อันเป็ นของตน ย่อมเป็ น, อ. ข้าพเจ้า ได้เห็นแล้ว ซึ่งพระพุทธเจ้า พุทฺธํ วิ คตรชํ วิ ติณฺณกงฺขํ
ผูม้ ีกิเลสเพียงดังธุลีไปปราศแล้ว ผูม้ ีความสงสัยอันข้ามวิเศษแล้ว อทฺทกฺขึ สุคตํ อโนมปฺํ;
ผูเ้ สด็จไปดีแล้ว ผูม้ ี พระปั ญญาอันไม่ทราม, อ. ข้าพเจ้านัน้ สฺวาหํ มุทิตมโน ปสนฺนจิ ตฺโต
ผูม้ ี ใจอันบันเทิ งแล้ว ผูม้ ี จิตอันเลือ่ มใสแล้ว ได้กระท�ำแล้ว อฺชลึ อกรึ ตถาคตสฺส
ซึ่งอัญชลี แก่พระตถาคตเจ้า อ. ข้าพเจ้า ครัน้ กระท�ำแล้ว ตาหํ กุสลํ กริ ตฺวาน กมฺมํ
ซึ่งกรรมอันเป็ นกุศล นัน้ เป็ นผูถ้ ึงแล้ว ซึ่งความเป็ นแห่งบุคคล ติ ทสานํ สหพฺยตํ ปตฺโตติ .
ผูเ้ ทีย่ วไปพร้อมกัน (แห่งเทวดา ท.) ผูอ้ ยู่ในชัน้ ไตรทศ
(ย่อมเป็ น) ดังนี ้ ฯ
อ. ท่าน ผูม้ ี จิตอันเลือ่ มใสแล้ว จงถึง ซึ่งพระพุทธเจ้าด้วย “อชฺเชว พุทฺธํ สรณํ วชาหิ ,
ซึ่งพระธรรมด้วย ซึ่งพระสงฆ์ ดว้ ย ว่าเป็ นสรณะ ในวันนี ้ ธมฺมฺจ สงฺฆฺจ ปสนฺนจิ ตฺโต,
นัน่ เทียว, อ. ท่าน จงสมาทาน ซึ่งสิ กขาบท ท. ๕ กระท�ำ ตเถว สิ กฺขาปทานิ ปฺจ
ให้เป็ นของขาดและท�ำลายแล้วหามิ ได้ อย่างนัน้ นัน่ เทียว ฯ อขณฺฑผุลฺลานิ สมาทิ ยสฺส.ุ
(อ. ท่าน) จงเว้น จากการยังสัตว์มีลมปราณให้ตกล่วงไป ปาณาติ ปาตา วิ รมสฺสุ ขิ ปปฺ ํ ,
พลันด้วย, จงเว้นรอบซึ่งวัตถุอนั เจ้าของไม่ให้แล้ว ในโลกด้วย, โลเก อทิ นนฺ ํ ปริ วชฺชยสฺส,ุ
เป็ นผูไ้ ม่ดืม่ ซึ่งน�้ำเมา (จงเป็ น) ด้วย, จงไม่กล่าว เท็จ ด้วย, อมชฺชโป, โน จ มุสา ภณาหิ ,
เป็ นผูย้ ิ นดีแล้ว ด้วยทาระ ผูเ้ ป็ นของตน จงเป็ นด้วย ดังนี ้ ฯ สเกน ทาเรน จ โหหิ ตุฏฺโ€ติ อาห.
(อ. พราหมณ์นน) ั ้ รับพร้ อมแล้ ว ว่า อ. ดีละ ดังนี ้ ได้ กล่าวแล้ ว โส “ สาธูติ สมฺปฏิจฺฉิตฺวา อิมา คาถา อภาสิ
ซึง่ คาถา ท. เหล่านี ้ ว่า
ดูก่อนยักษ์ อ. ท่าน เป็ นผูใ้ คร่ ซึ่งประโยชน์ แก่ขา้ พเจ้า “อตฺถกาโมสิ เม ยกฺข หิ ตกาโมสิ เทวเต,
ย่อมเป็ น ดูก่อนเทวดา อ. ท่าน เป็ นผูใ้ คร่ ซึ่งความเกื อ้ กูล
(แก่ขา้ พเจ้า) ย่อมเป็ น, อ. ข้าพเจ้า จะกระท�ำ ซึ่งค�ำ กโรมิ ตุยฺหํ วจนํ ตฺวมสิ อาจริ โย มม
ของท่าน อ. ท่าน เป็ นอาจารย์ ของข้าพเจ้า ย่อมเป็ น
อ. ข้าพเจ้า จะเข้าถึง ซึ่งพระพุทธเจ้า ว่าเป็ นสรณะด้วย อุเปมิ สรณํ พุทฺธํ ธมฺมญจาปิ อนุตฺตรํ
(อ. ข้าพเจ้า จะเข้าถึง) แม้ซึ่งพระธรรม อันยอดเยีย่ ม
(ว่าเป็ นสรณะด้วย) อ. ข้าพเจ้า จะถึง ซึ่งพระสงฆ์ สงฺฆฺจ นรเทวสฺส คจฺฉามิ สรณํ อหํ.
(ของพระพุทธเจ้า) ผูเ้ ป็ นเทพแห่งนระ ว่าเป็ นสรณะด้วย ฯ
แม้ อ. พราหมณ์ ไปแล้ ว สูเ่ รื อน เรี ยกมาแล้ ว ซึง่ นางพราหมณี พฺราหฺมโณปิ เคหํ คนฺตวฺ า พฺราหฺมณึ อามนฺเตตฺวา
กล่าวแล้ ว ว่า แน่ะนางผู้เจริ ญ อ. เรา ทูลนิมนต์แล้ ว ซึง่ พระสมณะ “ภทฺเท อหํ สมณํ โคตมํ นิมนฺเตตฺวา ปฺหํ
ผู้โคดม จักทูลถาม ซึง่ ปั ญหา; อ. ท่าน จงกระท�ำซึง่ สักการะ ปุจฺฉิสฺสามิ; สกฺการํ กโรหีติ วตฺวา วิหารํ คนฺตฺวา
ดังนี ้ ไปแล้ ว สูว่ ิหาร ไม่อภิวาทแล้ ว ซึง่ พระศาสดานัน่ เทียว สตฺถารํ เนว อภิวาเทตฺวา น ปฏิสนฺถารํ กตฺวา
ไม่กระท�ำแล้ ว ซึง่ ปฏิสนั ถาร ยืนแล้ ว ณ ที่สดุ แห่งหนึง่ ทูลแล้ ว เอกมนฺตํ €ิโต “โภ โคตม อธิวาเสหิ เม อชฺชตนาย
ว่า ข้ าแต่พระโคดม ผู้เจริ ญ (อ. พระองค์) กับ ด้ วยหมูแ่ ห่งภิกษุ ภตฺตํ สทฺธึ ภิกฺขสุ งฺเฆนาติ อาห.
ทรงยังภัตร ของข้ าพระองค์ จงให้ อยูท่ บั เพื่อภัตรบริ โภคอันมี
ในวันนี ้ ดังนี ้ ฯ
อ. พระศาสดา ผู้อนั หมูแ่ ห่งภิกษุแวดล้ อมแล้ ว เสด็จไปแล้ ว สตฺถา ภิกฺขสุ งฺฆปริ วโุ ต ตสฺส เคหํ คนฺตฺวา
สูเ่ รื อน ของพราหมณ์นนั ้ ประทับนัง่ แล้ ว บนอาสนะอันบุคคล ปฺตฺตาสเน นิสีทิ.
ปูลาดแล้ ว ฯ
อ. พราหมณ์ อังคาสแล้ ว โดยเคารพ ฯ พฺราหฺมโณ สกฺกจฺจํ ปริ วิส.ิ
อ. มหาชน ประชุมกันแล้ ว ฯ มหาชโน สนฺนิปติ.
ได้ ยินว่า ครัน้ เมื่อพระตถาคตเจ้ า อันบุคคลผู้มีความเห็นผิด มิจฺฉาทิฏฺ€ิเกน กิร ตถาคเต นิมนฺตเิ ต, เทฺว
ทูลนิมนต์แล้ ว, อ. หมูแ่ ห่งชน ท. สอง ย่อมประชุมกัน : ชนกายา สนฺนิปตนฺต:ิ
(อ. ชน ท.) ผู้มีความเห็นผิด ย่อมประชุมกัน (ด้ วยความคิด) ว่า มิจฺฉาทิฏฺ€ิกา “ อชฺช สมณํ โคตมํ ปฺหํ
ในวันนี ้ (อ. เรา ท.) จักเห็น ซึง่ พระสมณะ ผู้โคดม ผู้อนั พราหมณ์ ปุจฺฉาย วิเห€ิยมานํ ปสฺสสิ ฺสามาติ สนฺนิปตนฺต,ิ
เบียดเบียนอยู่ ด้ วยการทูลถาม ซึง่ ปั ญหา ดังนี ้
(อ. ชน ท.) ผู้มีความเห็นชอบ ย่อมประชุมกัน (ด้ วยความคิด) สมฺมาทิฏฺ€ิกา “อชฺช พุทฺธวิสยํ พุทฺธลีฬฺหํ
ว่า ในวันนี ้ (อ. เรา ท.) จักเห็น ซึง่ วิสยั แห่งพระพุทธเจ้ า ปสฺสสิ ฺสามาติ สนฺนิปตนฺต.ิ
ซึง่ การเยื ้องกรายแห่งพระพุทธเจ้ า ดังนี ้ ฯ
ครั ง้ นัน้ อ.พราหมณ์ เข้ าไปเฝ้าแล้ ว ซึ่งพระตถาคตเจ้ า อถ พฺราหฺมโณ กตภตฺตกิจจฺ ํ ตถาคตํ อุปสงฺกมิตวฺ า
ผู้มกี จิ ด้วยภัตรอันทรงกระท�ำแล้ว นัง่ แล้ว บนอาสนะต�ำ่ , ทูลถามแล้ว นีจาสเน นิสนิ โฺ น, ปฺหํ ปุจฉฺ ิ “ โภ โคตม ตุมหฺ ากํ
ซึง่ ปั ญหา ว่า ข้ าแต่พระโคดม ผู้เจริ ญ (อ. ชน ท.) ชื่อว่า ทานํ อทตฺวา ปูชํ อกตฺวา ธมฺมํ อสฺสตุ ฺวา อุโปสถ
เป็ นผู้ไม่ถวายแล้ว ซึง่ ทาน ไม่กระท�ำแล้ว ซึง่ การบูชา แก่พระองค์ ท. วาสํ อวสิตฺวา เกวลํ มโนปสาทมตฺเตเนว สคฺเค
ไม่ฟังแล้ ว ซึง่ ธรรม ไม่อยูแ่ ล้ ว อยูด่ ้ วยสามารถแห่งอุโบสถ นิพฺพตฺตา นาม โหนฺตีต.ิ
บังเกิดแล้ ว ในสวรรค์ (ด้ วยเหตุ) สักว่าความเลื่อมใสแห่งใจ
อย่างเดียวนัน่ เทียว ย่อมเป็ นหรื อ ? ดังนี ้ ฯ
(อ. พระศาสดา ตรัสแล้ ว) ว่า ดูก่อนพราหมณ์ (อ. ท่าน) “พฺราหฺมณ กสฺมา มํ ปุจฺฉสิ,
ย่อมถาม ซึง่ เรา เพราะเหตุไร,
(อ. ท่าน) ผูอ้ นั บุคคลกระท�ำให้พอแล้ว ผูม้ ี ตมุ้ หูอนั เกลีย้ ง `อลงฺกโต มฏฺ€กุณฺฑลี
ผูม้ ี ภาระคือระเบี ยบ ผูม้ ี กายหนาขึ้นด้วยจันทน์เหลือง มาลาภารี หริ จนฺทนุสฺสโทติ
ดังนีเ้ ป็ นต้น
มิใช่หรื อ (ดังนี ้) เมื่อทรงประกาศ ซึง่ วาจาเป็ นเครื่ องกล่าว ทฺวีหิ ชเนหิ กถิตํ กถํ ปกาเสนฺโต สพฺพํ
อันอันชน ท. สอง กล่าวแล้ ว ตรัสแล้ ว ซึง่ เรื่ องแห่งมาณพชื่อว่า- มฏฺ€กุณฺฑลิวตฺถํุ กเถสิ.
มัฏฐกุณฑลี ทังปวง ้ ฯ
เพราะเหตุนนนั ั ้ น่ เทียว อ. เรื่ องแห่งมาณพชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี เตเนเวตํ พุทฺธภาสิตํ นาม ชาตํ.
นัน่ ชื่อว่าเป็ นเรื่ องอันพระพุทธเจ้ าตรัสแล้ ว เกิดแล้ ว ฯ
ก็แล (อ. พระศาสดา) ครัน้ ตรัสแล้ ว ซึง่ เรื่ องแห่งมาณพ ตํ กเถตฺวา จ ปน, “ น โข พฺราหฺมณ เอกสตํ ,
ชื่อว่ามัฏฐกุณฑลีนน, ั ้ ตรัสแล้ ว ว่า ดูก่อนพราหมณ์ อ. ร้ อยหนึง่ น เทฺว , อถโข มยิ มนํ ปสาเทตฺวา สคฺเค
(ย่อมมี) หามิได้ แล, (อ. ร้ อย ท.) สอง (ย่อมมี) หามิได้ , อ. การนับ นิพฺพตฺตานํ คณนา นตฺถีติ อาห.
(ซึง่ สัตว์ ท.) ผู้ยงั ใจ ให้ เลื่อมใสแล้ ว ในเรา บังเกิดแล้ ว ในสวรรค์
ย่อมไม่มี โดยแท้ แล ดังนี ้ ฯ อ. มหาชน เป็ นผู้ประกอบแล้ ว มหาชโน เวมติโก อโหสิ.
ด้ วยความเคลือบแคลงสงสัย ได้ เป็ นแล้ ว ฯ
ครัง้ นัน้ อ. พระศาสดา ทรงทราบแล้ ว ซึง่ ความที่แห่งมหาชน อถสฺส อนิพฺเพมติกภาวํ วิทิตฺวา สตฺถา
นัน้ มิใช่เป็ นผู้ประกอบแล้ วด้ วยความเคลือบแคลงสงสัยออกแล้ ว “มฏฺ€กุณฺฑลิเทวปุตฺโต วิมาเนเนว สทฺธึ อาคจฺฉตูติ
ทรงอธิษฐานแล้ ว ว่า อ. เทพบุตรชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี จงมา กับ อ ธิ ฏฺ € าสิ . โส ติ ค าวุ ต ปฺ ป ม า เ ณ น
ด้วยวิมานนัน่ เทียว ดังนี ้ ฯ อ. เทพบุตรชือ่ ว่ามัฏฐกุณฑลีนนั ้ มาแล้ว ทิพฺพาภรณปฏิมณฺฑิเตน อตฺตภาเวนาคนฺตฺวา
ด้ วยทังอั ้ ตภาพ อันมีคาวุตสามเป็ นประมาณ อันประดับเฉพาะ วิ ม านา โอรุ ยฺ ห สตฺ ถ ารํ วนฺ ทิ ตฺ ว า เอกมนฺ ตํ
แล้วด้วยเครื่องประดับอันเป็ นทิพย์ ลงแล้ว จากวิมาน ถวายบังคมแล้ว อฏฺ€าสิ.
ซึง่ พระศาสดา ได้ ยืนแล้ ว ณ ที่สดุ แห่งหนึง่ ฯ
ครังนั้ น้ อ. พระศาสดา ตรัสถามอยู่ ซึง่ เทพบุตรชือ่ ว่ามัฏฐกุณฑลี อถ นํ สตฺถา “ตฺวํ อิมํ สมฺปตฺตึ กึ กมฺมํ กตฺวา
นัน้ ว่า อ. ท่าน กระท�ำแล้ว ซึง่ กรรมอะไร ได้เฉพาะแล้ว ซึง่ สมบัตนิ ี ้ ปฏิลภีติ ปุจฺฉนฺโต,
ดังนี ้, ตรัสแล้ ว ซึง่ พระคาถา ว่า
ดูก่อนเทวดา อ. ท่าน ใด มี รูป อันงาม ยังทิ ศ ท. ทัง้ ปวง อภิ กฺกนฺเตน วณฺเณน ยา ตฺวํ ติ ฏฺ€สิ เทวเต
ให้สว่างอยู่ ยืนอยู่ ราวกะ อ.ดาวประจ� ำรุ่ง (ยังทิ ศ ท. ทัง้ ปวง โอภาเสนฺตี ทิ สา สพฺพา โอสธี วิ ย ตารกา,
ให้สว่างอยู่) ฯ ดูก่อนเทวดา อ. เรา ย่อมถาม ซึ่งท่านนัน้ ปุจฺฉามิ ตํ เทว มหานุภาวํ
ผูม้ ี อานุภาพมาก (อ. ท่านนัน้ ) เป็ นมนุษย์เป็ นแล้ว มนุสสฺ ภูโต กิ มกาสิ ปฺุนฺติ
ได้กระท�ำแล้ว ซึ่งบุญอะไร ดังนี ้ ฯ
คาถมาห.
อ. เทพบุตร (กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแต่พระองค์ผ้เู จริญ อ. สมบัติ นี ้ เทวปุตฺโต “อยํ ภนฺเต สมฺปตฺติ ตุมเฺ หสุ มนํ
อันข้ าพระองค์ ยังใจ ให้ เลือ่ มใสแล้ ว ในพระองค์ ท. ได้ แล้ ว ดังนี ้ ฯ ปสาเทตฺวา ลทฺธาติ. “มยิ มนํ ปสาเทตฺวา ลทฺธา
(อ. พระศาสดา ตรัสถามแล้ ว) ว่า (อ. สมบัตนิ ี ้) อันท่าน ยังใจ เตติ. “อาม ภนฺเตติ.
ให้ เลื่อมใสแล้ ว ในเรา ได้ แล้ ว หรื อ ดังนี ้ ฯ (อ. เทพบุตร
กราบทูลแล้ ว) ว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ เู จริ ญ พระเจ้ าข้ า (อ. อย่างนัน)
้
ดังนี ้ ฯ
อ. ธรรม ท. มีใจเป็ นสภาพถึงก่อน มีใจเป็ นสภาพประเสริ ฐทีส่ ดุ “มโนปุพพฺ งฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺ€า มโนมยา;
อันส�ำเร็ จแล้วแต่ใจ, หากว่า (อ. บุคคล) มี ใจ อันผ่องใสแล้ว
กล่าวอยู่ หรื อ หรื อว่ากระท�ำอยู่ไซร้, อ. ความสุข ย่อมไปตาม มนสา เจ ปสนฺเนน ภาสติ วา กโรติ วา,
ซึ่งบุคคลนัน้ เพราะสุจริ ตอันมี อย่างสามนัน้ เพียงดัง อ. เงา
อันไปตามโดยปกติ ดังนี ้ ฯ ตโต นํ สุขมเนฺวติ ฉายาว อนุปายิ นีติ.
อ. พระอาทิ ตย์ มี รศั มี อนั บัณฑิ ตก�ำหนดแล้วด้วยพัน มี เดช- “สหสฺสรํ สิ สตเตโช สุริโย ตมวิ โนทโน,
อันบัณฑิ ตก�ำหนดแล้วด้วยร้อย มี อนั บรรเทาซึ่งมื ดเป็ นปกติ ,
ครัน้ เมื อ่ พระอาทิ ตย์ ขึ้นไปอยู่ ในเวลาเช้า อ. ศีรษะ ของท่าน ปาโต อุทยนฺเต สุริเย มุทฺธา เต ผลตุ สตฺตธาติ
จงแตก โดยส่วนเจ็ด ดังนี ้ ฯ
ตํ อภิสปิ เยว.
อ. ดาสบชื่อว่านารทะ กล่าวแล้ ว ว่า ข้ าแต่อาจารย์ อ. โทษ นารโท “อาจริ ย มยฺหํ โทโส นตฺถิ,
ของกระผม ย่อมไม่มี,
อ. พระอาทิ ตย์ มี รศั มี อนั บัณฑิ ตก�ำหนดแล้วด้วยพัน “สหสฺสรํ สิ สตเตโช สุริโย ตมวิ โนทโน,
มี เดชอันบัณฑิ ตก�ำหนดแล้วด้วยร้อย มี อนั บรรเทาซึ่งมื ดเป็ นปกติ ,
ครัน้ เมื อ่ พระอาทิ ตย์ ขึ้นไปอยู่ ในเวลาเช้า อ. ศีรษะ ของท่าน ปาโต อุทยนฺเต สุริเย มุทฺธา เต ผลตุ สตฺตธาติ
จงแตก โดยส่วนเจ็ด ดังนี ้ ฯ
อภิสปิ .
ก็ (อ. ดาบสชื่อว่านารทะ) นัน้ เป็ นผู้มีอานุภาพมาก (เป็ น) โส ปน มหานุภาโว “อตีเต จตฺตาฬีส อนาคเต
ย่อมตามระลึกได้ ซึง่ กัปป์แปดสิบ ท. คือ (ซึง่ กัปป์ ท.) สี่สบิ ในกาล จตฺตาฬีสาติ อสีตกิ ปฺเป อนุสฺสรติ; ตสฺมา “ กสฺส
อันล่วงไปแล้ ว (ซึง่ กัปป์ ท.) สี่สบิ ในกาลอันไม่มาแล้ ว; เพราะเหตุนนั ้ นุ โข อุปริ สาโป ปติสฺสตีติ อุปธาเรนฺโต
(อ. ดาบสนัน) ้ ใคร่ครวญอยู่ ว่า อ. ความแช่ง จักตกไป ในเบื ้องบน “อาจริ ยสฺสาติ ตฺวา ตสฺมึ อนุกมฺปํ ปฏิจฺจ
แห่งใครหนอแล ดังนี ้ รู้แล้ ว ว่า (อ. ความแช่ง จักตกไป ในเบื ้องบน) อิทฺธิพเลน อรุณคุ ฺคมนํ นิวาเรสิ.
แห่งอาจารย์ ดังนี ้ อาศัยแล้ ว ซึง่ ความเอ็นดู ในอาจารย์นนั ้ ห้ ามแล้ ว
ซึง่ การขึ ้นไปแห่งอรุณ ด้ วยก�ำลังแห่งฤทธิ์ ฯ
(อ.ชน ท.) ผู้อยูใ่ นเมือง ครัน้ เมื่ออรุณ ไม่ขึ ้นไปอยู่ , ไปแล้ ว นาครา อรุเณ อนุคฺคจฺฉนฺเต, ราชทฺวารํ คนฺตฺวา
สูป่ ระตูแห่งพระราชา คร�่ ำครวญแล้ ว ว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ สู มมติเทพ “เทว ตยิ รชฺชํ กาเรนฺเต, อรุโณ น อุฏฺ€าติ, อรุณํ
ครันเมื
้ อ่ พระองค์ (ทรงยังบุคคล) ให้กระท�ำอยู่ ซึง่ ความเป็ นแห่งพระราชา, โน อุฏฺ€าเปหีติ กนฺทสึ .ุ
อ.อรุณ ย่อมไม่ตงขึ ั ้ ้น , (อ.พระองค์) ขอจงทรงยังอรุณให้ ตงขึ ั ้ ้น
แก่ข้าพระองค์ ท. ดังนี ้ ฯ
อ. พระราชา ทรงตรวจดูอยู่ (ซึง่ กรรม ท.) มีกายกรรมเป็ นต้ น ราชา อตฺตโน กายกมฺมาทีนิ โอโลเกนฺโต กิฺจิ
ของพระองค์ ไม่ทรงเห็นแล้ ว (ซึง่ กรรม) อันไม่ควรแล้ ว อะไร ๆ อยุตฺตํ อทิสฺวา “กึ นุ โข การณนฺติ จินฺเตตฺวา
ทรงด�ำริแล้ว ว่า อ. เหตุ อะไร หนอแล ดังนี ้ทรงระแวงอยู่ ว่า อันความวิวาท “ปพฺพชิตานํ วิวาเทน ภวิตพฺพนฺติ ปริ สงฺกมาโน
แห่งบรรพชิต ท. พึงมี ดังนี ้ ตรัสถามแล้ ว ว่า อ. บรรพชิต ท. ในเมืองนี ้ “กจฺจิ อิมสฺมึ นคเร ปพฺพชิตา อตฺถีติ ปุจฺฉิ .
มีอยู่ แลหรื อ ดังนี ้ ฯ
(ครัน้ เมื่อค�ำ) ว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ สู มมติเทพ (อ. บรรพชิต ท.) “หิยฺโย สายํ กุมฺภการสาลํ อาคตา อตฺถิ เทวาติ
ผู้มาแล้ ว สูโ่ รงแห่งบุคคลผู้กระท�ำซึง่ หม้ อ ในเวลาเย็น ในวันวาน มีอยู่ วุตฺเต, ตํขณฺเว ราชา อุกฺกาหิ ธาริ ยมานาหิ
ดังนี ้ (อันราชบุรุษ ท.) กราบทูลแล้ว, ในขณะนันนั ้ น่ เทียว อ. พระราชา ตตฺถ คนฺตฺวา นารทํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสนิ ฺโน อาห
ด้ วยทังคบเพลิ
้ ง ท. (อันราชบุรุษ ท.) ทรงไว้ อยู่ เสด็จไปแล้ ว ในที่นนั ้
ทรงไหว้ แล้ ว ซึง่ ดาบสชื่อว่านารทะ ประทับนัง่ แล้ ว ณ ที่สดุ แห่งหนึง่
ตรัสแล้ ว ว่า
(ครัน้ เมื่อพระด�ำรัส) ว่า อ. ศีรษะ ของท่าน จักแตก โดยส่วนเจ็ด “มุทฺธา เต สตฺตธา ผลิสฺสตีติ วุตฺเตปิ ,
ดังนี ้ (อันพระราชา) แม้ ตรัสแล้ ว, (อ. ดาบสชื่อว่าเทวละ) ไม่ยงั ดาบส น ขมาเปสิเยว.
ชื่อว่านารทะให้ อดโทษแล้ วนัน่ เทียว ฯ ครัง้ นัน้ อ. พระราชา (ตรัสแล้ ว) อถ นํ ราชา “น ตฺวํ อตฺตโน รุจิยา ขมาเปสฺสสีต,ิ
กะดาบสชื่อว่าเทวละนัน้ ว่า อ. ท่าน จักไม่ยงั ดาบสชื่อว่านารทะ หตฺถปาทกุจฺฉิคีวาสุ ตํ คาหาเปตฺวา นารทสฺส
ให้ อดโทษ ตามความชอบใจ ของตนหรื อ ดังนี ้, ทรงยังราชบุรุษ ท. ปาทมูเล โอนมาเปสิ.
ให้ จบั แล้ ว ซึง่ ดาบสชื่อว่าเทวละนัน้ ที่มือและเท้ าและท้ องและคอ ท.
ทรงยังดาบสชื่อว่าเทวละ ให้ น้อมลงแล้ ว ณ ที่ ใกล้ แห่งเท้ า ของดาบส
ชื่อว่านารทะ ฯ อ. ดาบสชื่อว่านารทะกล่าวแล้ ว ว่า ข้ าแต่อาจารย์ นารโท “อุฏฺเ€หิ อาจริ ย, ขมามิ เตติ วตฺวา
อ. ท่าน จงลุกขึ ้นเถิด, อ. กระผม ย่อมอดโทษ ต่อท่าน ดังนี ้ “มหาราช นายํ ยถามเนน ขมาเปติ, อวิทเู ร เอโก
กราบทูลแล้ ว ว่า ดูก่อนมหาบพิตร อ. ดาบสนี ้ (ยังอาตมภาพ) สโร อตฺถิ, ตตฺถ นํ สีเส มตฺตกิ าปิ ณฺฑํ กตฺวา
ย่อมให้ อดโทษ ตามใจอย่างไร หามิได้ , อ. สระ แห่งหนึง่ มีอยู่ คลปฺปมาเณ อุทเก €ปาเปหีติ อาห.
ในทีอ่ นั ไม่ไกล, อ. พระองค์ ทรงกระท�ำแล้ว ซึง่ ก้ อนแห่งดินเหนียว บนศีรษะ
(ทรงยังราชบุรุษ ท.) จงให้ พกั ไว้ ซึง่ ดาบสนัน้ ในน� ้ำ มีคอเป็ นประมาณ
ในสระนัน้ ดังนี ้ ฯ อ. พระราชา (ทรงยังราชบุรุษ ท.) ให้ กระท�ำแล้ ว ราชา ตถา กาเรสิ. นารโท เทวลํ อามนฺเตตฺวา
อย่างนัน้ ฯ อ. ดาบสชื่อว่านารทะ เรี ยกมาแล้ ว ซึง่ ดาบสชื่อว่าเทวละ “อาจริ ย มยา อิทฺธิยา วิสฺสฏฺ€าย, สุริยสนฺตาเป
กล่าวแล้ ว ว่า ข้ าแต่อาจารย์ ครัน้ เมื่อฤทธิ์ อันกระผม คลายแล้ ว, อุฏฺ€หนฺเต, ตฺวํ อุทเก นิมชุ ฺชิตฺวา อฺเน €าเนน
ครัน้ เมื่อความร้ อนพร้ อมแห่งพระอาทิตย์ ตังขึ ้ ้นอยู,่ อ. ท่าน ด�ำลงแล้ ว อุตฺตริ ตฺวา คจฺเฉยฺยาสีติ อาห.
ในน� ้ำ ข้ ามขึ ้นแล้ ว พึงไป โดยที่ อื่น ดังนี ้ ฯ อ. ก้ อนแห่งดินเหนียว ตสฺส สุริยรํ สีหิ สมฺผฏุ ฺ €มตฺโตว มตฺตกิ าปิ ณฺโฑ
(บนศีรษะ) ของดาบสนัน้ อันสักว่าอันรัศมีแห่งพระอาทิตย์ ท. ถูกต้องแล้วเทียว สตฺตธา ผลิ. โส นิมชุ ฺชิตฺวา อฺเน €าเนน ปลายิ.
แตกแล้ ว โดยส่วนเจ็ด ฯ อ. ดาบสนัน้ ด�ำลงแล้ ว หนีไปแล้ ว โดยที่อื่น
(ดังนี ้) ฯ
อ. พระศาสดา ครัน้ ทรงน�ำมาแล้ ว ซึง่ พระธรรมเทศนานี ้ ตรัสแล้ ว สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริ ตฺวา “ตทา ภิกฺขเว
ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. พระราชา ในกาลนัน้ เป็ นอานนท์ ได้ เป็ นแล้ ว ราชา อานนฺโท อโหสิ, เทวโล ติสฺโส, นารโท อหเมว,
(ในกาลนี ้), อ. ดาบสชื่อว่าเทวละ (ในกาลนัน) ้ เป็ นติสสะ (ได้ เป็ นแล้ ว เอวํ ตทาเปส ทุพฺพโจเยวาติ วตฺวา ติสฺสตฺเถรํ
ในกาลนี ้), อ. ดาบสชือ่ ว่านารทะ (ในกาลนัน)้ เป็ นเรานัน่ เทียว (ได้เป็ นแล้ว อามนฺเตตฺวา “ติสฺส ภิกฺขโุ น หิ `อสุเกนาหํ อกฺกฏุ ฺ โ€,
ในกาลนี ้), อ. ติสสะนัน่ เป็ นผู้อนั บุคคล พึงว่าได้ โดยยากนัน่ เทียว
(ได้ เป็ นแล้ ว) แม้ ในกาลนัน้ อย่างนี ้ ดังนี ้ ตรัสเรี ยกมาแล้ ว ซึง่ พระเถระ
ชื่อว่าติสสะ ตรัสแล้ ว ว่า ดูก่อนติสสะ ก็ เมื่อภิกษุ คิดอยู่ ว่า อ. เรา
เป็ นผู้อนั บุคคลโน้ นด่าแล้ ว (ย่อมเป็ น),
ก็ อ.ชน ท.เหล่าใด ย่อมเข้าไปผูกไว้ ซึ่งความโกรธนัน้ ว่า “อกฺโกจฺฉิ มํ, อวธิ มํ, อชิ นิ มํ, อหาสิ เม,
(อ.บุคคลโน้น) ด่าแล้ว ซึ่งเรา, (อ.บุคคลโน้น) ได้ฆ่าแล้ว
ซึ่งเรา, (อ.บุคคลโน้น) ได้ชนะแล้ว ซึ่งเรา, (อ.บุคคลโน้น) เย จ ตํ อุปนยฺหนฺติ, เวรํ เตสํ น สมฺมติ .
ได้ลกั แล้ว (ซึ่งสิ่ งของ) ของเรา (ดังนี)้ , อ.เวร ของชน ท.
เหล่านัน้ ย่อมไม่สงบ ฯ ส่วนว่า อ.ชน ท. เหล่าใด `อกฺโกจฺฉิ มํ, อวธิ มํ, อชิ นิ มํ, อหาสิ เม,’
ย่อมไม่เข้าไปผูกไว้ ซึ่งความโกรธนัน้ ว่า (อ.บุคคลโน้น) ด่าแล้ว
ซึ่งเรา, (อ.บุคคลโน้น) ได้ฆ่าแล้ว ซึ่งเรา, (อ.บุคคลโน้น) เย จ ตํ นูปนยฺหนฺติ, เวรํ เตสูปสมฺมตีติ.
ได้ชนะแล้ว ซึ่งเรา, (อ.บุคคลโน้น) ได้ลกั แล้ว (ซึ่งสิ่ งของ)
ของเรา ดังนี ้ อ.เวร ของชน ท. เหล่านัน้ ย่อมเข้าไปสงบ ดังนี ้ ฯ
(อ. อรรถ) ว่า ด่าแล้ ว (ดังนี ้) ในบท ท. เหล่านันหนา้ (แห่งบท) ว่า ตตฺถ “อกฺโกจฺฉีต:ิ อกฺโกสิ.
อกฺโกจฺฉิ ดังนี ้ ฯ (อ. อรรถ) ว่า ประหารแล้ ว (ดังนี ้) (แห่งบท) ว่า อวธีต;ิ ปหริ .
อวธิ ดังนี ้ ฯ (อ. อรรถ) ว่า ได้ ชนะแล้ ว ซึง่ เรา ด้ วยการยังพยานโกง อชินีต:ิ กุฏสกฺขึ โอตารเณน วา วาทปฺปฏิวาเทน
ให้ ข้ามลงหรื อ หรื อว่าด้ วยการกล่าวและการกล่าวตอบ หรื อว่า วา กรณุตฺตริ ยกรเณน วา มํ อเชสิ.
ด้ วยการกระท�ำให้ ยิ่งกว่าการกระท�ำ (ดังนี ้) (แห่งบท) ว่า อชินิ ดังนี ้ ฯ อหาสีต:ิ มม สนฺตกํ วตฺถาทีสุ ยงฺกิฺจิเทว
(อ. อรรถ) ว่า ลักแล้ว ในวัตถุ ท. มีผ้าเป็ นต้นหนา ซึง่ วัตถุอย่างใดอย่างหนึง่ อวหริ .
นัน่ เทียว อันเป็ นของมีอยู่ แห่งเรา (ดังนี ้) (แห่งบท) ว่า อหาสิ ดังนี ้ ฯ
(อ. อรรถ) ว่า (อ. ชน ท.) เหล่าใดเหล่าหนึง่ คือ อ. เทพ ท. หรื อ เย จ ตนฺต:ิ เยเกจิ เทวา วา มนุสฺสา วา
หรื อว่าคือ อ. มนุษย์ ท. คือ อ. คฤหัสถ์ ท. หรื อ หรื อว่าคือ อ. บรรพชิต คหฏฺ€า วา ปพฺพชิตา วา ตํ `อกฺโกจฺฉิ มนฺตอิ าทิ
ท. ย่อมเข้ าไปผูกไว้ ซึง่ ความโกรธนัน้ คือว่า อันมีค�ำว่า (อ. บุคคลโน้ น) วตฺถกุ ํ โกธํ สกฏธุรํ วิย นทฺธินา ปูตมิ จฺฉาทีนิ วิย
ด่าแล้ ว ซึง่ เรา ดังนี ้เป็ นต้ นเป็ นวัตถุ ราวกะ (อ. ชน ท. ) (ขันอยู)่ ซึง่ แอก จ กุสาทีหิ ปุนปฺปนุ ํ เวเ€นฺตา อุปนยฺหนฺต,ิ เตสํ
แห่งเกวียน ด้ วยชะเนาะด้ วย ราวกะ (อ. ชน ท.) ห่ออยู่ ซึง่ วัตถุ ท. สกึ อุปปฺ นฺนํ เวรํ น สมฺมติ น อุปสมฺมติ.
มีปลาอันเน่าเป็ นต้ น ด้ วยวัตถุ ท. มีหญ้ าคาเป็ นต้ น บ่อย ๆ ด้ วย, อ. เวร
ของชน ท. เหล่านัน้ อันเกิดขึ ้นแล้ ว คราวเดียว ย่อมไม่สงบ คือว่า
ย่อมไม่เข้ าไปสงบ (ดังนี ้) (แห่งหมวดสองแห่งบท) ว่า เย จ ตํ ดังนี ้
เป็ นต้ น ฯ
(อ. อรรถ) ว่า (อ. ชน ท. เหล่าใด ย่อมไม่เข้ าไปผูกไว้ ซึง่ ความ เย จ ตํ นูปนยฺหนฺตตี :ิ อสติอมนสิการวเสน
โกรธ นัน้ คือว่า อันมีเหตุมีการด่าเป็ นต้ นเป็ นที่ตงั ้ ด้ วยอ�ำนาจ วา กมฺมปจฺจเวกฺขณวเสน วา เย ตํ อกฺโกสาทิวตฺถกุ ํ
แห่งความไม่ระลึกถึงและการไม่กระท�ำไว้ในใจ หรือ หรือว่าด้วยอ�ำนาจ โกธํ “ตยาปิ โกจิ นิทฺโทโส ปุริมภเว อกฺกฏุ ฺ โ€
แห่งการพิจารณาซึง่ กรรม อย่างนี ้ ว่า (อ. บุคคล) ผู้มีโทษออกแล้ ว ภวิสฺสติ, ปหโฏ ภวิสฺสติ, กูฏสกฺขึ โอตาเรตฺวา ชิโต
บางคน เป็ นผู้แม้ อนั ท่านด่าแล้ ว ในภพอันมีในก่อน จักเป็ น, (อ. บุคคล ภวิสสฺ ติ , กสฺสจิ เต ปสยฺห กิฺจิ อจฺฉินฺนํ
ผู้มีโทษออกแล้ ว บางคน) เป็ นผู้ (อันท่าน) ประหารแล้ ว จักเป็ น, ภวิสฺสติ; ตสฺมา นิทฺโทโส หุตฺวาปิ อกฺโกสาทีนิ
(อ. บุคคล ผู้มีโทษออกแล้ ว บางคน) เป็ นผู้ (อันท่าน) ยังพยานโกง ปาปุณาสีติ เอวํ น อุปนยฺหนฺต,ิ เตสํ ปมาเทน
ให้ ข้ามลงแล้ ว ชนะแล้ ว จักเป็ น, (อ.ภัณฑะ) อะไร ๆ ของใครๆ เป็ นของ อุปปฺ นฺนมฺปิ เวรํ อิมินา อนุปนยฺหเนน นิรินฺธโน วิย
อันท่าน ครอบง�ำแล้ ว แย่งชิงเอาแล้ ว จักเป็ น; เพราะเหตุนนั ้ อ. ท่าน ชาตเวโท อุปสมฺมตีต.ิ
เป็ นผู้มีโทษออกแล้ ว แม้ เป็ น จะถึง (ซึง่ เหตุ ท.) มีการด่า เป็ นต้ น ดังนี ้
(อ. เวร) ของชน ท. เหล่านัน้ แม้ อนั เกิดขึ ้นแล้ ว เพราะความประมาท
ย่อมเข้าไปสงบ ด้วยการไม่เข้าไปผูกไว้นี ้ อย่างนี ้ ราวกะ อ. ไฟอันเกิดแล้ว
อันไม่มีเชื ้อ ดังนี ้ (แห่งบาทแห่งพระคาถา) ว่า เย จ ตํ นูปนยฺหนฺติ
ดังนี ้ ฯ
๔.อ.เรื่ องแห่ งความเกิดขึน้ แห่ งนางยักษิณีช่ ือว่ ากาลี ๔. กาลียกฺขนิ ิยา อุปปฺ ตฺตวิ ตฺถุ. (๔)
(อันข้ าพเจ้ า จะกล่ าว) ฯ
ครัง้ นัน้ อ.มารดา ของบุตรของกุฎมพีุ นนั ้ กล่าวแล้ ว ว่า แน่ะพ่อ อถสฺส มาตา “กุมาริ กํ เต ตาต อาเนสฺสามีติ
อ.เรา จักน�ำมา ซึง่ นางกุมาริกา เพือ่ เจ้า ดังนี ้ ฯ อ.บุตรของกุฏมพี
ุ นนั ้ อาห. “อมฺม มา เอวํ วเทถ, อหํ ยาวชีวํ ตุมเฺ ห
กล่าวแล้ ว ว่า ข้ าแต่แม่ อ.ท่าน ท. ขอจงอย่ากล่าว อย่างนี ้, ปฏิชคฺคิสฺสามีต.ิ “ตาต เขตฺเต จ ฆเร จ กิจฺจํ
อ.กระผม จักปรนนิบตั ิ ซึง่ ท่าน ท. ตลอดกาลเพียงไรแห่งชีวติ ดังนี ้ ฯ ตฺวเมว กโรสิ, เตน มยฺหํ จิตฺตสุขํ นาม น โหติ,
อ.มารดา กล่าวแล้ ว ว่า แน่ะพ่อ อ.เจ้ านัน่ เทียว ย่อมกระท�ำ อาเนสฺสามิ เตติ.
ซึง่ กิจในนาด้ วย ในเรือนด้ วย เพราะเหตุนนั ้ ชือ่ อ. ความสุขแห่งจิต
ย่อมไม่มี แก่เรา, อ. เรา จักน�ำมา (นางกุมาริ กา) เพื่อเจ้ า ดังนี ้ ฯ
อ. บุตรนัน้ แม้ ห้ามแล้ วบ่อย ๆ เป็ นผู้นิ่ง ได้ เป็ นแล้ ว ฯ โส ปุนปฺปนุ ํ ปฏิกฺขิปิตฺวาปิ ตุณฺหี อโหสิ. สา
อ. มารดานัน้ ออกไปแล้ ว จากเรื อน เพื่ออันไป สูต่ ระกูลหนึง่ ฯ เอกํ กุลํ คนฺตํุ เคหา นิกฺขมิ.
ครัง้ นัน้ อ. บุตร ถามแล้ ว ซึง่ มารดานัน้ ว่า อ. ท่าน ท. จะไป อถ นํ ปุตฺโต “กตรกุลํ คจฺฉถาติ ปุจฺฉิตฺวา,
สูต่ ระกูลไหน ดังนี ้, (ครัน้ เมื่อค�ำ) ว่า (อ. เรา จะไป สูต่ ระกูล) ชื่อโน้ น “อสุกนฺนามาติ วุตฺเต, ตตฺถ คมนํ ปฏิเสเธตฺวา
ดังนี ้ (อันมารดา) กล่าวแล้ ว, ห้ ามแล้ ว ซึง่ การไป ในตระกูลนัน้ อตฺตโน อภิรุจิตํ กุลํ อาจิกฺขิ.
บอกแล้ ว ซึง่ ตระกูล อันอันตนชอบใจยิ่งแล้ ว ฯ
อ. มารดานัน้ ไปแล้ ว ในตระกูลนัน้ ขอแล้ ว ซึง่ นางกุมาริ กา สา ตตฺถ คนฺตฺวา กุมาริ กํ วาเรตฺวา ทิวสํ
ก�ำหนดแล้ ว ซึง่ วัน น�ำมาแล้ ว ซึง่ นางกุมาริ กา นัน้ ได้ กระท�ำแล้ ว ววฏฺ€เปตฺวา ตํ อาเนตฺวา ตสฺส ฆเร อกาสิ.
ในเรื อน เพื่อบุตรนัน้ ฯ อ. นางกุมาริ กานัน้ เป็ นหญิ งหมัน สา วญฺฌา อโหสิ.
ได้ เป็ นแล้ ว ฯ
ครัง้ นัน้ อ.มารดา (กล่าวแล้ ว) กะบุตรนัน้ ว่า แน่ะลูก อ. เจ้ า อถ นํ มาตา “ปุตฺต ตฺวํ อตฺตโน รุจิยา กุมาริ กํ
(ยังเรา) ให้ น�ำมาแล้ ว ซึง่ นางกุมาริ กา ตามความชอบใจ ของตน, อานาเปสิ, สา อิทานิ วญฺฌา ชาตา;
ในกาลนี ้ อ. นางกุมาริ กานัน้ เป็ นหญิงหมัน เกิดแล้ ว;
อ.หญิงหมัน ฟั งแล้ ว ซึง่ วาจาเป็ นเครื่ องกล่าวนัน้ คิดแล้ วว่า วฺฌิตฺถี ตํ กถํ สุตฺวา “ปุตฺตา นาม มาตาปิ ตูนํ
ชื่อ อ.บุตร ท. ย่อมไม่อาจ เพื่ออันก้ าวล่วง ซึง่ ค�ำของมารดาและ วจนํ อติกฺกมิตํุ น สกฺโกนฺต,ิ อิทานิ อฺํ
บิดา ท., ในกาลนี ้ อ.แม่ผวั น�ำมาแล้ ว ซึง่ หญิง ผู้มีปกติคลอดอื่น วิชายินึ อิตฺถึ อาเนตฺวา มํ ทาสีโภเคน ภฺุชิสฺสติ,
จักใช้ สอย ซึง่ เรา ด้ วยการใช้ สอย เพียงดังทาสี, ไฉนหนอ อ.เรา ยนฺนนู าหํ สยเมเวกํ กุมาริ กํ อาเนยฺยนฺติ จินฺเตตฺวา
พึงน�ำมา ซึง่ นางกุมาริกา คนหนึง่ เองนัน่ เทียว ดังนี ้ ไปแล้วสูต่ ระกูล เอกํ กุลํ คนฺตฺวา ตสฺสตฺถาย กุมาริ กํ วาเรตฺวา
หนึง่ ขอแล้ ว ซึง่ นางกุมาริ กา เพื่อประโยชน์แก่สามีนนั ้ ผู้อนั ชน ท. “กินฺนาเมตํ อมฺม วเทสีติ เตหิ ปฏิกฺขิตฺตา “อหํ
เหล่านัน้ ห้ ามแล้ วว่า แนะแม่ อ.เจ้ า ย่อมกล่าว ซึง่ ค�ำนัน่ ชื่ออะไร วฺฌา, อปุตฺตกํ กุลํ วินสฺสติ, ตุมหฺ ากํ ธีตา
ดังนี ้ อ้ อนวอนแล้ ว ว่า อ.เรา เป็ นหญิงหมัน (ย่อมเป็ น), อ.ตระกูล ปุตฺตํ ปฏิลภิตฺวา กุฏมฺุ พสฺส สามินี ภวิสฺสติ, เทถ
อันไม่มีบตุ ร ย่อมพินาศ, อ.ธิดา ของท่าน ท. ได้ เฉพาะแล้ ว ซึง่ บุตร ตํ มยฺหํ สามิกสฺสาติ ยาจิตฺวา สมฺปฏิจฺฉาเปตฺวา
เป็ นเจ้ าของแห่งขุมทรัพย์ จักเป็ น, อ.ท่าน ท. จงให้ ซึง่ ธิดานัน้ อาเนตฺวา สามิกสฺส ฆเร อกาสิ.
แก่สามี ของดิฉนั ดังนี ้ ยังชน ท. เหล่านัน้ ให้ รับพร้ อมเฉพาะแล้ ว
น�ำมาแล้ ว ได้ กระท�ำแล้ ว ในเรื อน ของสามี ฯ
ครังนั
้ น้ อ. ความคิดนัน่ ว่า ถ้ าว่า อ. หญิงนี ้ จักได้ ซึง่ บุตร หรือ อถสฺสา เอตทโหสิ “สจายํ ปุตฺตํ วา ธีตรํ วา
หรื อว่า ซึง่ ธิดาไซร้ , อ. หญิง นี ้นัน่ เทียว เป็ นเจ้ าของ แห่งขุมทรัพย์ ลภิสฺสติ, อยเมว กุฏมฺุ พสฺส สามินี ภวิสฺสติ, ยถา
จักเป็ น, อ. หญิงนี ้ จะไม่ได้ ซึง่ เด็ก โดยประการใด; อ. อัน (อันเรา) ทารกํ น ลภติ; ตเถว นํ กาตุํ วฏฺฏตีต.ิ
กระท�ำ ซึง่ หญิงนัน้ โดยประการนันนั ้ น่ เทียว ย่อมควร ดังนี ้ ได้ มแี ล้ว
แก่หญิงหมันนัน้ ฯ
ครังนั
้ น้ (อ.หญิงหมันนัน)้ กล่าวแล้ว ว่า อ.สัตว์ผ้เู กิดแล้วในครรภ์ อถ นํ อาห “ยทา เต กุจฺฉิยํ คพฺโภ ปติฏฺ€าติ;
ย่อมตังอยู
้ เ่ ฉพาะ ในท้ องของเธอ ในกาลใด อ.เธอ พึงบอก แก่เรา ตทา เม อาโรเจยฺยาสีต.ิ
ในกาลนัน้ ดังนี ้ กะหญิงนัน้ ฯ
อ. หญิงนัน้ ฟั งตอบแล้ ว ว่า อ. ดีละ ดังนี ้, ครัน้ เมื่อสัตว์ สา “สาธูติ ปฏิสตุ ฺวา, คพฺเภ ปติฏฺ€ิเต, ตสฺสา
ผู้เกิดแล้ วในครรภ์ ตังอยู้ เ่ ฉพาะแล้ ว, บอกแล้ ว แก่หญิงหมันนัน้ ฯ อาโรเจสิ.
ก็ อ. หญิงหมันนันนั ้ น่ เทียว ย่อมให้ ซึง่ ข้ าวต้ มและข้ าวสวย ตสฺสา ปน สาเยว นิจฺจํ ยาคุภตฺตํ เทติ.
แก่หญิงนัน้ เนืองนิตย์ ฯ
ครัง้ นัน้ (อ. หญิงหมันนัน) ้ ได้ ให้ แล้ ว ซึง่ ยาเป็ นเครื่ องยังสัตว์ อถสฺสา อาหาเรเนว สทฺธึ คพฺภปาตนเภสชฺชํ
ผู้เกิดแล้วในครรภ์ให้ตกไป กับ ด้วยอาหารนัน่ เทียว แก่หญิงนัน้ ฯ อทาสิ. คพฺโภ ปติ. ทุตยิ มฺปิ คพฺเภ ปติฏฺ€ิเต, ตสฺสา
อ. สัตว์ผ้ เู กิดแล้ วในครรภ์ ตกไปแล้ ว ฯ ครัน้ เมื่อสัตว์ผ้ เู กิดแล้ ว อาโรเจสิ.
ในครรภ์ ตังอยู ้ เ่ ฉพาะแล้ ว แม้ ในครัง้ ที่สอง, (อ. หญิงนัน) ้ บอกแล้ ว
แก่หญิงหมันนัน้ ฯ
อ.หญิงหมันแม้ นอกนี ้ (ยังสัตว์ผ้ เู กิดแล้ วในครรภ์) ให้ ตกไปแล้ ว อิตราปิ ทุตยิ มฺปิ ตเถว ปาเตสิ.
อย่างนันนั้ น่ เทียว แม้ ครัง้ ที่สอง ฯ
ครัง้ นัน้ อ. หญิงผู้ค้ นุ เคย ท. ถามแล้ ว ซึง่ หญิงนัน้ ว่า อ. หญิง อถ นํ ปฏิวิสฺสกิตฺถิโย ปุจฺฉึสุ “กจฺจิ เต สปตฺตี
ผู้เป็ นไปกับด้ วยผัว ย่อมกระท�ำ ซึง่ อันตราย แก่เธอ แลหรื อ ดังนี ้ ฯ อนฺตรายํ กโรตีต.ิ
อ. หญิงนัน้ บอกแล้ ว ซึง่ เนื ้อความนัน,้ (ผู้อนั หญิง ท. สา ตมตฺถํ อาโรเจตฺวา, “ อนฺธพาเล กสฺมา
เหล่านัน)กล่
้ าวแล้ ว ว่า แน่ะหญิงผู้อนั ธพาล อ.เธอ ได้ กระท�ำแล้ ว เอวมกาสิ? อยํ ตว อิสฺสริ ยภเยน คพฺภปาตน-
อย่างนี ้ เพราะเหตุอะไร? อ. หญิงนี ้ ประกอบแล้ ว ซึง่ ยาเป็ นเครื่ อง เภสชฺชํ โยเชตฺวา เทติ, เตน เต คพฺโภ ปตติ,
ยังสัตว์ผ้ เู กิดแล้ วในครรภ์ให้ ตกไป ย่อมให้ แก่เธอ เพราะกลัว มา ปุน เอวมกาสีติ วุตฺตา, ตติยวาเร น กเถสิ.
แต่ความเป็ นใหญ่, เพราะเหตุนนั ้ อ. สัตว์ผ้ เู กิดแล้ วในครรภ์
ของเธอ ย่อมตกไป, อ. เธอ อย่าได้ กระท�ำแล้ ว อย่างนี ้ อีก ดังนี ้,
ไม่บอกแล้ ว ในวาระที่สาม ฯ
อ. เวทนา กล้ า แข็ง เกิดขึ ้นแล้ ว ฯ ติพฺพา ขรา เวทนา อุปปฺ ชฺชิ.
(อ. หญิงนัน)้ ถึงแล้ ว ซึง่ ความสงสัยในชีวิต ฯ ชีวิตสํสยํ ปาปุณิ.
อ. หญิงนัน้ ตังไว้ ้ แล้ ว ซึง่ ความปรารถนา ว่า อ. เรา เป็ นผู้- สา “นาสิตมฺหิ ตยา, ตฺวเมว มํ อาเนตฺวา ตโย
อันท่านให้ ฉิบหายแล้ ว ย่อมเป็ น, อ. ท่านนัน่ เทียว น�ำมาแล้ ว ซึง่ เรา ทารเก นาเสสิ; อิทานิ สยํปิ นสฺสามิ, อิโตทานิ
ยังเด็ก ท. สาม ให้ ฉิบหายแล้ ว, ในกาลนี ้ อ. เรา จะฉิบหาย แม้ เอง, จุตา ยกฺขินี หุตฺวา ตว ทารเก ขาทิตํุ สมตฺถา
(อ. เรา) เคลื่อนแล้ ว จากอัตภาพนี ้ ในกาลนี ้ เป็ นนางยักษิณี เป็ น หุตฺวา นิพฺพตฺเตยฺยนฺติ ปตฺถนํ €เปตฺวา กาลํ
เป็ นผู้สามารถ เพื่ออันเคี ้ยวกิน ซึง่ เด็ก ท. ของท่าน เป็ น พึงบังเกิด กตฺวา ตสฺมเึ ยว เคเห มชฺชารี หุตฺวา นิพฺพตฺต.ิ
ดังนี ้ กระท�ำแล้ ว ซึง่ กาละ เป็ นนางแมว เป็ น บังเกิดแล้ ว ในเรื อน
นันนั
้ น่ เทียว ฯ
อ. สามี จับแล้ ว ซึง่ หญิงหมันแม้ นอกนี ้ (กล่าวแล้ ว) ว่า อิตรํ ปิ สามิโก คเหตฺวา “ตยา เม กุลปุ จฺเฉโท
อ. การเข้ าไปตัดซึง่ ตระกูล ของเรา อันท่าน กระท�ำแล้ ว ดังนี ้ กโตติ กปฺปรชนฺนกุ าทีหิ สุโปถิตํ โปเถสิ.
โบยแล้ ว โบยแล้ วด้ วยดี (ด้ วยอวัยวะ ท.) มีศอกและเข่าเป็ นต้ น ฯ
อ. หญิงหมันนัน้ กระท�ำแล้ ว ซึง่ กาละ ด้ วยความเจ็บนัน้ สา เตเนวาพาเธน กาลํ กตฺวา ตตฺเถว กุกฺกฏุ ี
นัน่ เทียว เป็ นแม่ไก่ เป็ น บังเกิดแล้ ว ในเรื อนนันนั
้ น่ เทียว ฯ หุตฺวา นิพฺพตฺต.ิ
อ. แม่ไก่ ตกแล้ ว ซึง่ ฟองไข่ ท. ต่อกาลไม่นานนัน่ เทียว ฯ น จิรสฺเสว กุกฺกฏุ ี อณฺฑานิ วิชายิ.
อ. นางแมว มาแล้ ว เคี ้ยวกินแล้ ว ซึง่ ฟองไข่ ท. เหล่านัน้ ฯ มชฺชารี อาคนฺตฺวา ตานิ ขาทิ.
(อ. นางแมว) เคี ้ยวกินแล้ ว แม้ ครัง้ ที่สอง แม้ ครัง้ ที่สาม ทุตยิ มฺปิ ตติยมฺปิ ขาทิเยว.
นัน่ เทียว ฯ
อ. แม่ไก่ กระท�ำแล้ ว ซึง่ ความปรารถนา ว่า อ. ท่าน เคี ้ยวกินแล้ ว กุกฺกฏุ ี “ตโย วาเร มม อณฺฑานิ ขาทิตฺวา,
ซึง่ ฟองไข่ ท. ของเรา สิ ้นวาระ ท. สาม, เป็ นผู้ใคร่เพื่ออันเคี ้ยวกิน อิทานิ มํปิ ขาทิตกุ ามาสิ; อิโตทานิ จุตา ตํ
แม้ ซงึ่ เรา ย่อมเป็ น ในกาลนี ้; (อ. เรา) เคลื่อนแล้ ว จากอัตภาพนี ้ สปุตฺตกํ ขาทิตํุ ลเภยฺยนฺติ ปตฺถนํ กตฺวา ตโต จุตา
ในกาลนี ้ พึงได้ เพื่ออันเคี ้ยวกิน ซึง่ ท่าน ผู้เป็ นไปกับด้ วยบุตร ดังนี ้ ทีปินี หุตฺวา นิพฺพตฺต.ิ
เคลื่อนแล้ ว จากอัตภาพนัน้ เป็ นแม่เสือเหลือง เป็ น บังเกิดแล้ ว ฯ
อ. นางแมวแม้ นอกนี ้ เป็ นแม่เนื ้อ เป็ น บังเกิดแล้ ว ฯ อิตราปิ มิคี หุตฺวา นิพฺพตฺต.ิ
อ. แม่เสือเหลือง มาแล้วเคี ้ยวกินแล้ว ซึง่ ลูกน้ อย ท. สิ ้นวาระ ท. ๓ ตสฺสา วิชาตวิชาตกาเล ทีปินี อาคนฺตฺวา
ในกาลแห่งแม่เนื ้อนัน้ คลอดแล้ วและคลอดแล้ ว ฯ ตโย วาเร ปุตฺตเก ขาทิ.
อ. แม่เนื ้อ กระท�ำแล้ ว ซึง่ ความปรารถนา ในกาลเป็ นที่ตาย มิคี มรณกาเล “อิมาย เม ติกฺขตฺตํุ ปุตฺตา
ว่า อ. บุตร ท. ของเรา อันแม่เสือเหลืองนี ้ เคี ้ยวกินแล้ ว ๓ ครัง้ , ขาทิตา, อิทานิ มํปิ ขาทิสฺสติ;
อ. แม่เสือเหลือง จักเคี ้ยวกิน แม้ ซงึ่ เรา ในกาลนี ้;
ในสมัยนัน้ อ. พระศาสดา ทรงแสดงอยู่ ซึง่ ธรรม ในท่ามกลาง ตสฺมึ สมเย สตฺถา ปริ สมชฺเฌ ธมฺมํ เทเสติ.
แห่งบริ ษัทฯ
อ.กุลธิดานัน้ ยังบุตร ให้ นอนแล้ ว ที่หลังแห่งพระบาท สา ปุตฺตํ ตถาคตสฺส ปาทปิ ฏฺเ€ นิปชฺชาเปตฺวา
ของพระตถาคตเจ้ า กราบทูลแล้ ว ว่า อ. บุตรนัน่ อันหม่อมฉัน “ ตุมหฺ ากํ มยา เอส ทินฺโน , ปุตฺตสฺส เม ชีวิตํ
ถวายแล้ ว แก่พระองค์ ท., อ. พระองค์ ท. ขอจงประทาน ซึง่ ชีวิต เทถาติ อาห.
แก่บตุ ร ของหม่อมฉันเถิด ดังนี ้ ฯ
อ. สุมนเทพ ผู้สงิ อยูแ่ ล้ ว ที่ซ้ มุ แห่งประตู ไม่ได้ ให้ แล้ ว เพื่ออัน ทฺวารโกฏฺ€เก อธิวตฺโถ สุมนเทโว ยกฺขินิยา
เข้ าไป ในภายใน แก่นางยักษิณี ฯ อนฺโต ปวิสติ ํุ นาทาสิ.
อ. พระศาสดา ตรัสเรี ยกมาแล้ ว ซึง่ พระเถระชื่อว่าอานนท์ สตฺถา อานนฺทตฺเถรํ อามนฺเตตฺวา “คจฺฉานนฺท
ตรัสแล้ วว่า ดูก่อนอานนท์ อ. เธอ จงไป จงร้ องเรี ยก ซึง่ นางยักษิณี ตํ ยกฺขินึ ปกฺโกสาติ อาห. เถโร ตํ ปกฺโกสิ.
นัน้ ดังนี ้ ฯ อ. พระเถระ ร้ องเรี ยกแล้ ว ซึง่ นางยักษิณีนนั ้ ฯ
อ. กุลธิดานอกนัน้ กราบทูลแล้ ว ว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ เู จริ ญ อิตรา “อยํ ภนฺเต อาคจฺฉตีติ อาห.
อ. นางยักษิณีนี ้ ย่อมมา ดังนี ้ ฯ
อ. พระศาสดา ตรัสแล้ ว ว่า (อ. นางยักษิณีนนั่ ) จงมาเถิด, สตฺถา “เอตุ, มา สทฺทํ อกาสีติ วตฺวา, ตํ
อ. เธอ อย่าได้กระท�ำแล้ว ซึง่ เสียง ดังนี ้, ตรัสแล้ว กะนางยักษิณนี นั ้ อาคนฺตฺวา €ิตํ “กสฺมา เอวํ กโรสิ? สเจ หิ ตุมเฺ ห
ผู้มาแล้ ว ยืนแล้ ว ว่า อ. เธอ ย่อมกระท�ำ อย่างนี ้ เพราะเหตุอะไร ? มาทิสสฺส พุทฺธสฺส สมฺมขุ ีภาวํ นาคมิสฺสถ, อหินกุลานํ
ก็ ถ้ าว่า อ. เธอ ท. จักไม่มาแล้ว สูค่ วามเป็ นแห่งบุคคลผู้มหี น้ าพร้ อม วิย เวรํ อจฺฉผนฺทนานํ วิย กาโกฬุกานํ วิย จ
ต่อพระพุทธเจ้ า ผู้เช่นกับด้ วยเราไซร้ , อ.เวร ของเธอ ท. กปฺปฏฺ€ิตกิ ํ โว เวรํ อภวิสฺส, กสฺมา เวรปฏิเวรํ
เป็ นเวรตังอยู
้ ต่ ลอดกัปป์ จักได้ เป็ นแล้ ว ราวกะ อ. เวรของงูเห่าและ กโรถ? เวรํ หิ อเวเรน อุปสมฺมติ, โน เวเรนาติ วตฺวา
พังพอน ท. ด้ วย ราวกะ (อ. เวร) ของหมีและไม้ สะคร้ อ ท. ด้ วย อิมํ คาถมาห
ราวกะ (อ.เวร) ของกาและนกเค้ า ท. ด้ วย, อ. เธอ ท. ย่อมกระท�ำ
ซึง่ เวรและเวรตอบ เพราะเหตุอะไร ? เพราะว่า อ. เวร ย่อมเข้าไปสงบ
ด้ วยความไม่มีเวร, (อ. เวร) ย่อมไม่เข้ าไปสงบ ด้ วยเวร ดังนี ้
ตรัสแล้ ว ซึง่ พระคาถา นี ้ ว่า
(อ. อรรถ) ว่า เหมือนอย่างว่า (อ. บุคคล) แม้ ล้างอยู่ ตตฺถ “น หิ เวเรนาติ: ยถา หิ เขฬสิงฺฆาณิกาทิ-
ซึ่ง ที่ อัน อัน ของไม่ส ะอาดมี น� ำ้ ลายและน� ำ้ มูก เป็ นต้ น เปื ้อ นแล้ ว อสุจิมกฺขิตฏฺ€านํ เตเหว อสุจีหิ โธวนฺโตปิ
ด้ วยของไม่สะอาด ท. เหล่านันนั ้ น่ เทียว
อ. สาก ย่อมปรากฏ แก่นางยักษิณนี นั ้ ราวกะว่าต่อยอยู่ ซึง่ ศีรษะ ตสฺสา วีหิปหรณกาเล มุสลํ มุทฺธํ ปหรนฺตํ
ในกาลเป็ นที่ซ้อมซึง่ ข้ าวเปลือก ฯ วิย อุปฏฺ€าติ.
อ. นางยักษิณีนนั ้ เรี ยกมาแล้ ว ซึง่ หญิงสหาย กล่าวแล้ ว ว่า สา สหายิกํ อามนฺเตตฺวา “อิมสฺมึ €าเน วสิตํุ
อ. เรา จักไม่อาจ เพื่ออันอยู่ ในที่นี ้, อ. ท่าน ยังเรา จงให้ ตงอยู
ั ้ เ่ ฉพาะ น สกฺขิสฺสามิ, อฺตฺถ มํ ปติฏฺ€าเปหีติ วตฺวา,
ในที่อื่น ดังนี ้, แม้ ผ้ อู นั หญิงสหายให้ ตงอยูั ้ เ่ ฉพาะแล้ ว ในที่ ท. มุสลสาลายํ อุทกจาฏิยํ อุทธฺ เน นิมพฺ โกเส สงฺการกูเฏ
เหล่านัน่ คือในโรงแห่งสาก ในตุม่ แห่งน� ้ำ ที่เตา ที่ชายคา ที่กอง คามทฺวาเรติ เอเตสุ €าเนสุ ปติฏฺ€าปิ ตาปิ ,
แห่งหยากเยื่อ ใกล้ ประตูแห่งบ้ าน, ห้ ามแล้ ว ซึง่ ที่ ท. เหล่านัน้ “อิธ เม มุสลํ สีสํ ภินฺทนฺตํ วิย อุปฏฺ€าติ, อิธ ทารกา
ทังปวง
้ (ด้ วยค�ำ) ว่า อ. สาก ย่อมปรากฏ แก่เรา ราวกะว่าต่อยอยู่ อุจฺฉิฏฺ€ุทกํ โอตาเรนฺต,ิ อิธ สุนขา นิปชฺชนฺติ,
ซึง่ ศีรษะ ในที่นี ้, อ. เด็ก ท. ยังน� ้ำอันเป็ นเดน ย่อมให้ ข้ามลง ในที่นี ้, อิธ ทารกา อสุจึ กโรนฺต,ิ อิธ กจวรํ ฉฑฺเฑนฺติ,
อ. สุนขั ท. ย่อมนอน ในที่นี ้, อ. เด็ก ท. ย่อมกระท�ำ ซึง่ ความไม่สะอาด อิธ คามทารกา ลกฺขโยคฺคํ กโรนฺตีติ สพฺพานิ
ในที่นี ้, (อ. ชน ท.) ย่อมทิ ้ง ซึง่ หยากเยื่อ ในที่นี ้, อ. เด็กในบ้ าน ท. ตานิ ปฏิกฺขิปิ.
ย่อมกระท�ำ ซึง่ กรรมอันบุคคลพึงประกอบด้ วยคะแนน ในที่นี ้
ดังนี ้ ฯ
อ. นางยักษิณีนนั ้ คิดแล้ ว อย่างนี ้ ว่า อ. หญิงสหาย ของเรา นี ้ สา ยกฺขินี เอวํ จินฺเตสิ “อยํ เม สหายิกา
เป็ นผู้มีอปุ การะมาก (ย่อมเป็ น) ในกาลนี ้, เอาเถิด อ. เรา จะกระท�ำ อิทานิ พหูปการา, หนฺทาหํ กิฺจิ ปฏิคณ ุ ํ กโรมีติ,
ซึง่ คุณตอบ อะไร ๆ ดังนี ้, บอกแล้ ว แก่หญิงสหาย ว่า อ. ฝนดี จักมี “อิมสฺมึ สํวจฺฉเร สุพฺพฏุ ฺ €ิกา ภวิสฺสติ, ถลฏฺ€าเน
ในปี นี ้, อ. ท่าน จงกระท�ำ ซึง่ ข้ าวกล้ า ในที่อนั ดอน, อ. ฝนแล้ ง สสฺสํ กโรหิ, อิมสฺมึ สํวจฺฉเร ทุพฺพฏุ ฺ €ิกา ภวิสฺสติ,
จักมี ในปี นี ้, อ. ท่าน จงกระท�ำ ซึง่ ข้ าวกล้ า ในที่อนั ลุม่ นัน่ เทียว นินฺนฏฺ€าเนเยว สสฺสํ กโรหีติ สหายิกาย อาโรเจสิ.
ดังนี ้ ฯ
ครัง้ นัน้ (อ. ชน ท.) ถามแล้ ว ซึง่ หญิง นัน้ ว่า แน่ะแม่ อ. ข้ าวกล้ า อถ นํ “อมฺม ตยา กตํ สสฺสํ เนว อจฺโจทเกน
อันอันท่านกระท�ำแล้ ว ย่อมไม่เสียหาย ด้ วยน� ้ำอันเกินนัน่ เทียว, นสฺสติ, น อโนทเกน นสฺสติ; สุพฺพฏุ ฺ €ิทพุ ฺพฏุ ฺ €ิภาวํ
ย่อมไม่เสียหาย ด้ วยน� ้ำอันน้ อย; อ. ท่าน รู้แล้ ว ซึง่ ความเป็ น ตฺวา กมฺมํ กโรสิ, กึ นุ โข เอตนฺติ ปุจฺฉึส.ุ
แห่งฝนดีและฝนแล้ ง ย่อมกระท�ำ ซึง่ การงานหรื อ ?, อ. เหตุนนั่
อะไรหนอแล ดังนี ้ ฯ
(อ. หญิงนัน้ กล่าวแล้ ว) ว่า อ. นางยักษิณี ผู้เป็ นสหาย “อมฺหากํ สหายิกา ยกฺขินี สุพฺพฏุ ฺ €ิทพุ ฺพฏุ ฺ €ิภาวํ
ของเรา ท. ย่อมบอก ซึง่ ความเป็ นแห่งฝนดีและฝนแล้ ง, อาจิกฺขติ, มยํ ตสฺสา วจเนน ถลนินฺเนสุ สสฺสานิ
อ. เรา ท. ย่อมกระท�ำ ซึง่ ข้ าวกล้ า ท. ในที่ดอนและที่ลมุ่ ท. ตามค�ำ กโรม,
ของนางยักษิณีนนั ้
อ.เรื่ องแห่ งความเกิดขึน้ แห่ งนางยักษิณีช่ ือว่ ากาลี นี ้ อิทํ กาลียกฺขนิ ิยา อุปปฺ ตฺตวิ ตฺถุ.
(จบแล้ ว) ฯ
อ.พระผู้มพี ระภาคเจ้า ทรงส่งไปแล้ว (ซึง่ พระโอวาท) ว่า ได้ยนิ ว่า ภควา “สมคฺคา กิร โหนฺตตู ิ เทฺว วาเร เปเสตฺวา
(อ. ภิกษุ ท.) เป็ นผู้พร้ อมเพรี ยงกัน จงเป็ น ดังนี ้ สิ ้นวาระ ท. สอง “น อิจฺฉนฺติ ภนฺเต สมคฺคา ภวิตนุ ฺติ สุตฺวา ตติยวาเร
ทรงสดับแล้ ว ว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ เู จริ ญ (อ.ภิกษุ ท.)ย่อมไม่ปรารถนา “ภินฺโน ภิกฺขสุ งฺโฆ, ภินฺโน ภิกฺขสุ งฺโฆติ สุตฺวา
เพื่ออันเป็ นผู้พร้ อมเพรี ยงกัน เป็ น ดังนี ้ ทรงสดับแล้ ว ว่า เตสํ สนฺตกิ ํ คนฺตฺวา,
อ. หมูแ่ ห่งภิกษุ แตกกันแล้ ว, อ. หมูแ่ ห่งภิกษุ แตกกันแล้ ว ดังนี ้
เป็ นต้ น ในวาระที่ ๓ เสด็จไปแล้ ว สูส่ �ำนัก ของภิกษุ ท. เหล่านัน,้
ครัน้ เมื่อภิกษุ ท. เหล่านัน้ ไม่เอื ้อเฟื อ้ อยู่ ซึง่ พระด�ำรัส เอวํปิ เตสุ วจนํ อนาทิยนฺเตสุ, อญฺญตเรน
แม้ อย่างนี ้ , (ครัน้ เมื่อค�ำ) ว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ เู จริ ญ ธมฺมวาทินา ตถาคตสฺส วิเหสํ อนิจฺฉนฺเตน
อ.พระผู้มีพระภาคเจ้ า ผู้ทรงเป็ นเจ้ าของแห่งธรรม (ทรงยังกาล) “อาคเมตุ ภนฺเต ภควา ธมฺมสฺสามิ, อปฺโปสฺสกุ โฺ ก
จงให้ มาเถิด, ข้ าแต่พระองค์ผ้ เู จริ ญ อ.พระผู้มีพระภาคเจ้ า ภนฺเต ภควา ทิฏฺ€ธมฺมสุขวิหารํ อนุยตุ ฺโต วิหรตุ;
ผู้ทรงมีความขวนขวายน้ อย ทรงตามประกอบแล้ วซึง่ ธรรม มยเมเตน ภณฺฑเนน กลเหน วิคฺคเหน วิวาเทน
เป็ นเครื่ องอยูส่ บายในธรรมอันสัตว์เห็นแล้ ว ขอจงประทับอยูเ่ ถิด; ปญฺญายิสฺสามาติ วุตฺเต,
อ.ข้ าพระองค์ ท. จักปรากฏ ด้วยความแตกร้ าว ด้วยความทะเลาะ
ด้วยความแก่งแย่ง ด้ วยความวิวาท นัน่ ดังนี ้ (อันภิกษุ) ผู้กล่าว
ซึง่ ธรรมโดยปกติ รูปใดรูปหนึง่ ผู้ไม่ปรารถนาอยู่ ซึง่ ความล�ำบาก
แห่งพระตถาคตเจ้ า กราบทูลแล้ ว,
อ. ช้ างแม้ นนั ้ ละแล้ ว ซึง่ ฝูง ได้ เข้ าไปแล้ ว สูช่ ฏั แห่งป่ านัน้ โสปิ คณํ ปหาย ผาสุวิหารตฺถาย ตํ
เพื่อต้ องการแก่อนั อยูส่ �ำราญ ฯ วนสณฺฑํ ปาวิส.ิ
ครัง้ นันแล
้ อ. ช้ างตัวประเสริ ฐนัน้ หลีกออกแล้ ว จากโขลง, อถโข โส หตฺถินาโค ยูถา อปกฺกมฺม,
อ. ป่ าชื่อว่าปาริ ไลยก์ อ. ชัฏชื่อว่ารักขิตวัน อ. โคนแห่งต้ นรัง- เยน ปาริ เลยฺยกํ รกฺขิตวนสณฺโฑ ภทฺทสาลมูลํ
อันเจริ ญ (ย่อมตังอยู
้ )่ โดยส่วนแห่งทิศใด, อ. พระผู้มีพระภาคเจ้ า เยน ภควา, เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา จ ปน
(ย่อมประทับอยู)่ โดยส่วนแห่งทิศใด, เข้ าไปเฝ้าแล้ ว โดยส่วน- ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา โอโลเกนฺโต อฺํ กิฺจิ อทิสฺวา
แห่งทิศนัน;้ ก็แล (อ. ช้ างนัน)
้ ครัน้ เข้ าไปเฝ้าแล้ ว ถวายบังคมแล้ ว
ซึง่ พระผู้มีพระภาคเจ้ า แลดูอยู่ ไม่เห็นแล้ ว ซึง่ วัตถุอะไร ๆ อื่น
(อ. อันถาม) ว่า (อ. ช้ าง ย่อมจัดแจง) อย่างไร ? (ดังนี ้) กถํ? หตฺเถน กฏฺ€านิ ฆํสติ ฺวา อคฺคึ สมฺปาเทติ,
(อ. อันแก้ ) ว่า (อ. ช้ าง) สีแล้ ว ซึง่ ไม้ แห้ ง ท. ด้ วยงวง ยังไฟ ย่อมให้ ตํ ทารูนิ ปกฺขิปนฺโต ชาเลตฺวา ตตฺถ ปาสาเณ
ถึงพร้ อม, (อ. ช้ าง) ใส่เข้ าอยูซ่ งึ่ ฟื น ท. ยังไฟนัน้ ให้ โพลงแล้ ว ปจิตฺวา ทารุทณฺฑเกน ปวฏฺเฏตฺวา ปริ จฺฉินฺนาย
เผาแล้ ว ซึง่ แผ่นหิน ท. ในไฟนัน้ เขี่ยแล้ ว ด้ วยท่อนแห่งไม้ ย่อมซัดไป ขุทฺทกโสณฺฑิยํ ขิปติ; ตโต หตฺถํ โอตาเรตฺวา
ในล�ำรางน้ อย อันอันตนก�ำหนดแล้ ว; (ดังนี ้) ในล�ำดับนัน้ (อ.ช้ าง) อุทกสฺส ตตฺตภาวํ ชานิตฺวา คนฺตฺวา สตฺถารํ
ยังงวง ให้ ข้ามลงแล้ ว รู้แล้ ว ซึง่ ความที่แห่งน� ้ำเป็ นของร้ อนแล้ ว วนฺทติ.
ไปแล้ ว ย่อมจบ ซึง่ พระศาสดา ฯ
อ. พระศาสดา ตรัสแล้ ว ว่า ดูก่อนปาริ ไลยก์ อ. น� ้ำ อันเธอ สตฺถา “อุทกํ เต ตาปิ ตํ ปาริ เลยฺยกาติ วตฺวา
ให้ ร้อนแล้ วหรื อ ดังนี ้ เสด็จไปแล้ ว ในที่นนั ้ ย่อมทรงสนาน ฯ ตตฺถ คนฺตฺวา นหายติ. อถสฺส นานาวิธานิ ผลานิ
ครัง้ นัน้ (อ. ช้ าง) น�ำมาแล้ ว ซึง่ ผลไม้ ท. อันมีอย่างต่าง ๆ อาหริ ตฺวา เทติ.
ย่อมถวาย แก่พระศาสดานัน้ ฯ
ก็ ในกาลใด อ. พระศาสดา ย่อมเสด็จเข้ าไป สูบ่ ้ าน ยทา ปน สตฺถา คามํ ปิ ณฺฑาย ปวิสติ;
เพื่อก้ อนข้ าว; ในกาลนัน้ (อ. ช้ าง) ถือเอาแล้ ว ซึง่ บาตรและจีวร ตทา สตฺถุ ปตฺตจีวรมาทาย กุมเฺ ภ ปติฏฺ€าเปตฺวา
ของพระศาสดา (ยังบาตรและจีวร) ให้ตงอยู ั ้ เ่ ฉพาะแล้ว บนกระพอง สตฺถารา สทฺธึเยว คจฺฉติ.
ย่อมไป กับ ด้ วยพระศาสดานัน่ เทียว ฯ
อ. พระศาสดา เสด็จถึงแล้ ว ซึง่ อุปจารแห่งบ้ าน (ตรัสแล้ ว) ว่า สตฺถา คามูปจารํ ปตฺวา “ปาริ เลยฺยก อิโต
ดูก่อนปาริ ไลยก์ อันเจ้ า ไม่อาจ เพื่ออันไป จ�ำเดิม แต่ที่นี ้, อ. เจ้ า ปฏฺ€าย ตยา คนฺตํุ น สกฺกา, อาหร เม ปตฺตจีวรนฺติ
จงน�ำมา ซึง่ บาตรและจีวร ของเรา ดังนี ้ (ทรงยังช้ าง) ให้ น�ำมาแล้ ว อาหราเปตฺวา คามํ ปิ ณฺฑาย ปวิสติ.
ย่อมเสด็จเข้ าไป สูบ่ ้ าน เพื่อก้ อนข้ าว ฯ
อ. ช้ างแม้ นนั ้ ยืนแล้ ว ในทีน่ นนั
ั ้ น่ เทียว เพียงใด แต่อนั เสด็จออก โสปิ ยาว สตฺถุ นิกฺขมนา ตตฺเถว
แห่งพระศาสดา กระท�ำแล้ ว ซึง่ การต้ อนรับ ในกาลเป็ นที่เสด็จมา €ตฺวา สตฺถุ อาคมนกาเล ปจฺจคุ ฺคมนํ กตฺวา
แห่งพระศาสดา รับแล้ว ซึง่ บาตรและจีวร โดยนัยอันมีในก่อนนัน่ เทียว ปุริมนเยเนว ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา วสนฏฺ€าเน
(ยังบาตรและจีวร) ให้ ข้ามลงแล้ ว ในที่เป็ นที่ประทับอยู่ แสดงแล้ ว โอตาเรตฺวา วตฺตํ ทสฺเสตฺวา สาขาย วีชติ, รตฺตึ
ซึง่ วัตร ย่อมพัด ด้ วยกิ่งไม้ , ในเวลากลางคืน (อ. ช้ าง) ถือเอาแล้ ว วาลมิคปริ ปนฺถนิวารณตฺถํ มหนฺตํ ทณฺฑํ โสณฺฑาย
ซึง่ ท่อนไม้ ใหญ่ ด้ วยงวง เพื่ออันห้ ามซึง่ อันตรายเป็ นเครื่ อง- คเหตฺวา “สตฺถารํ รกฺขิสฺสามีติ ยาว อรุณคุ ฺคมนา
เบียดเบียนรอบแต่เนื ้อร้ าย ย่อมเที่ยวไป ในระหว่างและระหว่าง วนสณฺฑสฺส อนฺตรนฺตเร วิจรติ.
แห่งชัฏแห่งป่ า เพียงใด แต่อนั ขึ ้นไปแห่งอรุณ (ด้ วยความคิด) ว่า
(อ. เรา) จักรักษา ซึง่ พระศาสดา ดังนี ้ ฯ
ได้ ยินว่า อ. ชัฏแห่งป่ านัน้ ชื่อเป็ นชัฏชื่อว่ารักขิตวัน เกิดแล้ ว ตโต ปฏฺ€ายเยว กิร โส วนสณฺโฑ
จ�ำเดิม แต่กาลนันนั้ น่ เทียว ฯ รกฺขิตวนสณฺโฑ นาม ชาโต.
อ. ลิง แลดูอยู่ (ด้วยความคิด) ว่า (อ. พระศาสดา) จักทรงกระท�ำ มกฺกโฏ “กริ สฺสติ นุ โข ปริ โภคํ น กริ สฺสตีติ
(ซึง่ การบริโภค) หรือหนอแล (หรือว่า อ. พระศาสดา) จักไม่ทรงกระท�ำ โอโลเกนฺโต คเหตฺวา นิสนิ ฺนํ ทิสฺวา “กึ นุ โขติ
ซึง่ การบริ โภค ดังนี ้ เห็นแล้ ว (ซึง่ พระศาสดา) ผู้ทรงรับแล้ ว จินฺเตตฺวา ทณฺฑโกฏึ คเหตฺวา ปริ วตฺเตตฺวา
ประทับนัง่ แล้ ว คิดแล้ ว ว่า อ. อะไร หนอแล ดังนี ้ จับแล้ ว อุปธาเรนฺโต อณฺฑกานิ ทิสฺวา ตานิ สณิกํ อปเนตฺวา
ซึง่ ปลายแห่งท่อนไม้ (ยังปลายแห่งท่อนไม้ ) ให้ เป็ นไปรอบแล้ ว ปุน อทาสิ.
ใคร่ครวญอยู่ เห็นแล้ ว ซึง่ ตัวอ่อน ท. น�ำไปปราศแล้ ว ซึง่ ตัวอ่อน ท.
เหล่านัน้ ค่อย ๆ ได้ ถวายแล้ ว อีก ฯ
อ. ลิงนัน้ ผู้มใี จยินดีแล้ว จับแล้ว ซึง่ กิง่ ไม้ นัน้ ๆ ได้ยนื ฟ้อนอยูแ่ ล้ว ฯ โส ตุฏฺ€มานโส ตํ ตํ สาขํ คเหตฺวา นจฺจนฺโต
ครัง้ นัน้ อ. กิง่ ไม้ อนั ลิงนันจั
้ บแล้ วก็ดี อ. กิง่ ไม้ อนั ลิงนันเหยี้ ยบแล้ ว อฏฺ€าสิ. อถสฺส คหิตสาขาปิ อกฺกนฺตสาขาปิ ภิชฺชิ.
ก็ดี หักแล้ ว ฯ
อ. ลิ ง นั น้ ตกไปแล้ ว บนที่ สุ ด แห่ ง ตอไม้ แห่ ง หนึ่ ง , โส เอกสฺมึ ขาณุมตฺถเก ปติตวฺ า, นิพพฺ ทิ ธฺ คตฺโต
ผู้มตี วั อันตอไม้ แทงแล้ ว มีจติ อันเลือ่ มใสแล้ ว นัน่ เทียว กระท�ำแล้ ว ปสนฺเนเนว จิตฺเตน กาลํ กตฺวา ตาวตึสภวเน
ซึง่ กาละ บังเกิดแล้ว ในวิมานอันเป็ นวิการแห่งทอง อันประกอบแล้ว ตึสโยชนิเก กนกวิมาเน นิพฺพตฺติ , อจฺฉราสหสฺส-
ด้ วยโยชน์ ๓๐ ในภพชื่อว่าดาวดึงส์, เป็ นผู้มีพนั แห่งนางอัปสร ปริ วาโร อโหสิ.
เป็ นบริ วาร ได้ เป็ นแล้ ว ฯ
อ.ภิกษุ ท. มีร้อยห้ าเป็ นประมาณ แม้ ผ้ อู ยูใ่ นทิศโดยปกติ ทิสาวาสิโนปิ ปฺจสตา ภิกฺขู วุตฺถวสฺสา
ผู้มีกาลฝนอันอยูแ่ ล้ ว เข้ าไปหาแล้ ว ซึง่ พระเถระชื่อว่าอานนท์ อานนฺทตฺเถรํ อุปสงฺกมิตฺวา “จิรสฺสตุ า โน อาวุโส
อ้ อนวอนแล้ ว ว่า ดูก่อนอานนท์ ผู้มีอายุ อ. วาจาเป็ นเครื่ องกล่าว อานนฺท ภควโต สมฺมขุ า ธมฺมีกถา; สาธุ มยํ
ซึง่ ธรรม ในที่พร้ อมพระพักตร์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้ า อันเรา ท. อาวุโส อานนฺท ลเภยฺยาม ภควโต สมฺมขุ า
ฟั งแล้ วสิ ้นกาลนาน ; ดูก่อนอานนท์ ผู้มีอายุ ดังเรา ท. ขอโอกาส ธมฺมีกถํ สวนายาติ ยาจึส.ุ
อ. เรา ท. พึงได้ เพื่ออันฟั ง ซึง่ วาจาเป็ นเครื่ องกล่าวซึง่ ธรรม
ในที่พร้ อมพระพักตร์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้ า ดังนี ้ ฯ
อ. พระเถระ พาเอา ซึง่ ภิกษุ ท. เหล่านัน้ ไปแล้ ว ในที่นนั ้ เถโร เต ภิกฺขู อาทาย ตตฺถ คนฺตฺวา
อ. พระศาสดา ทรงกระท�ำแล้ ว ซึง่ ปฏิสนั ถาร กับ ด้ วยภิกษุ สตฺถา เตหิ สทฺธึ ปฏิสนฺถารํ กตฺวา, เตหิ ภิกฺขหู ิ
ท. เหล่านัน,้ (ครัน้ เมื่อค�ำ) ว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ เู จริ ญ อ. พระผู้มี “ภนฺเต ภควา พุทฺธสุขมุ าโล เจว ขตฺตยิ สุขมุ าโล จ,
พระภาคเจ้ า เป็ นพระพุทธเจ้ าผู้ละเอียดอ่อนด้ วยนั่นเทียว ตุมเฺ หหิ เตมาสํ เอกเกหิ ติฏฺ€นฺเตหิ นิสีทนฺเตหิ จ
เป็ นกษัตริ ย์ผ้ ลู ะเอียดอ่อนด้ วย (ย่อมเป็ น), อ. กรรมอันบุคคล ทุกฺกรํ กตํ; วตฺตปฏิวตฺตการโกปิ มุโขทกทายโกปิ
กระท�ำได้ โดยยาก อันพระองค์ ท. ผู้พระองค์เดียว ผู้ประทับ นาโหสิ มฺเติ วุตฺเต, “ภิกฺขเว ปาริ เลยฺยกหตฺถินา
ยืนอยูด่ ้ วย ผู้ประทับนัง่ อยูด่ ้ วย ตลอดประชุมแห่งเดือนสาม มม สพฺพกิจฺจานิ กตานิ, เอวรูปํ หิ สหายกํ
ทรงกระท�ำแล้ ว ; (อ. บุคคล) ผู้กระท�ำซึง่ วัตรและวัตรตอบก็ดี ลภนฺเตน เอกโต วสิตํุ ยุตฺตํ , อลภนฺตสฺส
ผู้ถวายซึง่ น� ้ำเป็ นเครื่ องล้ างซึง่ พระพักตร์ ก็ดี เห็นจะไม่ได้ มีแล้ ว เอกจาริ กภาโวว เสยฺโยติ วตฺวา อิมา นาควคฺเค
ดังนี ้ อันภิกษุ ท. เหล่านัน้ กราบทูลแล้ ว, ตรัสแล้ ว ว่า ดูกอ่ นภิกษุ ท. ติสฺโส คาถาโย อภาสิ
อ. กิจทังปวง้ ท. ของเรา อันช้ างชื่อว่าปาริ ไลยก์ กระท�ำแล้ ว,
จริ งอยู่ อ. อัน (อันบุคคล) ผู้ได้ อยู่ ซึง่ สหาย ผู้มีอย่างนี ้เป็ นรูป
อยู่ โดยความเป็ นอันเดียวกัน ควรแล้ ว, อ. ความที่ แห่งบุคคล
ผู้ไม่ได้ อยู่ (ซึง่ สหาย ผู้มีอย่างนี ้เป็ นรูป) เป็ นผู้มีการเที่ยวไป
แห่งบุคคลคนเดียวเป็ นปกติเทียว เป็ นอาการประเสริฐกว่า (ย่อมเป็ น)
ดังนี ้ ได้ ตรัสแล้ ว ซึง่ พระคาถา ท. ๓ ในนาควรรค เหล่านี ้ ว่า
ในกาลเป็ นที่สดุ ลงรอบแห่งพระคาถา อ. ภิกษุ ท. เหล่านัน้ คาถาปริ โยสาเน ปฺจสตาปิ เต ภิกฺขู อรหตฺเต
แม้ มีร้อยห้ าเป็ นประมาณ ตังอยู
้ เ่ ฉพาะแล้ ว ในพระอรหัต ฯ ปติฏฺ€หึส.ุ
อ. ช้ างตัวประเสริ ฐ ไปแล้ ว ได้ ยืนแล้ ว ขวาง ในหนทาง ฯ นาโค คนฺตฺวา มคฺเค ติริยํ อฏฺ€าสิ.
อ. ภิกษุ ท. เห็นแล้ ว ซึง่ ช้ างนัน้ ทูลถามแล้ ว ซึง่ พระผู้มีพระภาคเจ้ า ภิกฺขู ตํ ทิสวฺ า ภควนฺตํ ปุจฺฉึสุ “กึ กโรติ ภนฺเตติ.
ว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ เู จริ ญ (อ. ช้ าง) จะกระท�ำ ซึง่ อะไร ดังนี ้ ฯ
(อ. พระศาสดา ตรัสแล้ ว) ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. (อ. ช้ าง) “ตุมฺหากํ ภิกฺขเว ภิกฺขํ ทาตุํ ปจฺจาสึสติ,
ย่อมหวังเฉพาะ เพื่ออันถวาย ซึง่ ภิกษา แก่เธอ ท., ก็ อ. ช้ างนี ้ ทีฆรตฺตํ โข ปนายํ มยฺหํ อุปการโก, นาสฺส
เป็ นผู้กระท�ำซึง่ อุปการะ แก่เรา (ย่อมเป็ น) สิ ้นกาลนานแล, จิตฺตํ โกเปตุํ วฏฺฏติ, นิวตฺตถ ภิกฺขเวติ.
อ.อัน (อันเรา) ยังจิต แห่งช้ างนัน้ ให้ ก�ำเริ บ ย่อมไม่ควร,
ดูก่อนภิกษุ ท. อ. เธอ ท. จงกลับ ดังนี ้ ฯ
อ. พระศาสดา ทรงพาเอา ซึง่ ภิกษุ ท. เสด็จกลับแล้ ว, สตฺถา ภิกฺขู คเหตฺวา นิวตฺต.ิ หตฺถีปิ วนสณฺฑํ
แม้ อ. ช้ าง เข้ าไปแล้ ว สูช่ ฏั แห่งป่ า ปวิสติ ฺวา
ก็ อ. พระผู้มีพระภาคเจ้ า (ทรงยังบุคคล) ให้ กระท�ำแล้ ว สาวตฺถยิ ํ อนุปปฺ ตฺตานํ ปน เตสํ ภควา เอกมนฺเต
(ซึง่ ที่) อันสงัดแล้ ว ณ ที่สดุ แห่งหนึง่ (ทรงยังบุคคล) ให้ ถวายแล้ ว วิวิตฺตํ การาเปตฺวา เสนาสนํ ทาเปสิ.
ซึง่ เสนาสนะ แก่ภิกษุ ท. เหล่านัน้ ผู้ถงึ โดยล�ำดับแล้ ว ซึง่ เมือง
ชื่อว่าสาวัตถี ฯ
อ. ภิกษุ ท. เหล่าอื่น ย่อมไม่นงั่ นัน่ เทียว ย่อมไม่ยืน โดยความ อฺเ ภิกฺขู เตหิ สทฺธึ เนว เอกโต นิสีทนฺติ
เป็ นอันเดียวกัน กับ ด้ วยภิกษุ ท. เหล่านัน้ ฯ น ติฏฺ€นฺต.ิ
อ. ชน ท. ผู้มาแล้ วและมาแล้ ว ย่อมทูลถาม ซึง่ พระศาสดา อาคตาคตา สตฺถารํ ปุจฺฉนฺติ “กตเม เต ภนฺเต
ว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ เู จริ ญ อ. ภิกษุ ท. ผู้อยูใ่ นเมืองชื่อว่าโกสัมพี ภณฺฑนการกา โกสมฺพิกา ภิกฺขตู .ิ
ผู้กระท�ำซึง่ ความแตกร้ าว เหล่านัน้ เหล่าไหน ? ดังนี ้ ฯ
อ. พระศาสดา ทรงแสดงอยู่ ว่า อ. ภิกษุ ท. เหล่านัน้ ดังนี ้ ฯ สตฺถา “เอเตติ ทสฺเสติ.
อ. ภิกษุ ท. เหล่านัน้ (ผู้อนั ชน ท.) ผู้มาแล้ วและมาแล้ ว แสดงอยู่ เต “เอเต กิร เต, เอเต กิร เตติ อาคตาคเตหิ
ด้ วยนิ ้วมือ ว่า ได้ ยินว่า (อ. ภิกษุ ท.) เหล่านัน้ เหล่านัน่ (เป็ นภิกษุ องฺคลุ ยิ า ทสฺสยิ มานา ลชฺชาย สีสํ อุกฺขิปิตุํ
ผู้อยูใ่ นเมืองชื่อว่าโกสัมพี) (ย่อมเป็ น), ได้ ยินว่า (อ. ภิกษุ ท.) อสกฺโกนฺตา ภควโต ปาทมูเล นิปชฺชิตฺวา ภควนฺตํ
เหล่านัน้ เหล่านัน่ (เป็ นภิกษุผ้ อู ยูใ่ นเมืองชื่อว่าโกสัมพี) (ย่อมเป็ น) ขมาเปสุ.ํ
ดังนี ้ ไม่อาจอยู่ เพื่ออันยกขึ ้น ซึง่ ศีรษะ เพราะความละอาย
หมอบลงแล้ ว ณ ที่ใกล้ แห่งพระบาท ของพระผู้มีพระภาคเจ้ า
ยังพระผู้มีพระภาคเจ้ า ให้ ทรงอดโทษแล้ ว ฯ
อ. พระศาสดา ตรัสแล้ ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. กรรมอันหนัก สตฺถา “ภาริ ยํ โว ภิกฺขเว กตํ; ตุมเฺ ห นาม
อันเธอ ท. กระท�ำแล้ ว ; ชื่อ อ. เธอ ท. แม้ บวชแล้ ว ในส�ำนัก มาทิสสฺส พุทฺธสฺส สนฺตเิ ก ปพฺพชิตฺวาปิ , มยิ สามคฺคึ
ของพระพุทธเจ้ า ผู้เช่นกับด้ วยเรา, ครัน้ เมื่อเรา กระท�ำอยู่ กโรนฺเต, มม วจนํ น กริ ตฺถ, โปราณกปณฺฑิตาปิ
ซึง่ ความสามัคคี, ไม่กระท�ำแล้ ว ซึง่ ค�ำ ของเรา, แม้ อ. บัณฑิต วชฺฌปฺปตฺตานํ มาตาปิ ตูนํ โอวาทํ สุตฺวา, เตสุ
ผู้มีในก่อน ท. ฟั งแล้ ว ซึง่ โอวาท ของมารดาและบิดา ท. ผู้ถงึ แล้ ว ชีวิตา โวโรปิ ยมาเนสุปิ, ตํ อนติกฺกมิตฺวา ปจฺฉา
ซึง่ ความเป็ นผู้อนั บุคคลพึงฆ่า, ครัน้ เมือ่ มารดาและบิดา ท. เหล่านัน้ ทฺวีสุ รฏฺเ€สุ รชฺชํ การยึสตู ิ วตฺวา ปุนเทว ทีฆาวุ-
(อันชน ท.) แม้ ปลงลงอยู่ จากชีวิต, ไม่ก้าวล่วงแล้ ว ซึง่ โอวาทนัน้ กุมารชาตกํ กเถตฺวา “เอวํ ภิกฺขเว ทีฆาวุกมุ าโร
(ยังบุคคล) ให้กระท�ำแล้ว ซึง่ ความเป็ นแห่งพระราชา ในแว่นแคว้น ท. ๒ มาตาปิ ตูสุ ชีวิตา โวโรปิ ยมาเนสุปิ, เตสํ โอวาทํ
ในภายหลัง ดังนี ้ ตรัสแล้ ว ซึง่ ทีฆาวุกมุ ารชาดก อีกนัน่ เทียว อนติกฺกมิตฺวา ปจฺฉา พฺรหฺมทตฺตสฺส ธีตรํ ลภิตฺวา
ตรัสแล้ ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. พระกุมารพระนามว่าทีฆาวุ ทฺวีสุ กาสิโกสลรฏฺเ€สุ รชฺชํ กาเรสิ, ตุมเฺ หหิ ปน มม
ครัน้ เมื่อพระมารดาและพระบิดา ท. (อันชน ท) แม้ ปลงลงอยู่ วจนํ อกโรนฺเตหิ ภาริ ยํ กตนฺติ วตฺวา อิมํ คาถมาห
จากพระชนม์ชีพ อย่างนี ้, ไม่ทรงก้ าวล่วงแล้ ว ซึง่ พระโอวาท
ของพระมารดาและพระบิดา ท. เหล่านัน้ ทรงได้ แล้ ว ซึง่ พระธิดา
ของพระเจ้ าพรหมทัต ในภายหลัง ทรงยังบุคคลให้ กระท�ำแล้ ว
ซึง่ ความเป็ นแห่งพระราชา ในแว่นแคว้ นชื่อว่ากาสีและแว่นแคว้ น
ชือ่ ว่าโกศล ท. ๒, ส่วนว่า อ. กรรม อันหนัก อันเธอ ท. ผู้ไม่กระท�ำอยู่
ซึง่ ค�ำ ของเรา กระท�ำแล้ ว ดังนี ้ ตรัสแล้ ว ซึง่ พระคาถา นี ้ ว่า
แต่วา่ ในกาลนี ้ อ.บุรุษผู้เป็ นบัณฑิต ท. เหล่าใด ในระหว่าง อิทานิ ปน โยนิโส ปจฺจเวกฺขมานา ตตฺถ
แห่งเธอ ท. นัน้ พิจารณาอยู่ โดยแยบคาย ย่อมรู้แจ้ ง ว่า ในกาลก่อน ตุมหฺ ากํ อนฺตเร เย ปณฺฑิตปุริสา “ปุพฺเพ มยํ
อ.เรา ท. พยายามอยู่ ด้ วยอ�ำนาจแห่งอคติมีฉนั ทะเป็ นต้ น ฉนฺทาทิวเสน วายมนฺตา อโยนิโส ปฏิปนฺนาติ
เป็ นผู้ปฏิบตั แิ ล้ ว โดยไม่แยบคาย (ย่อมเป็ น) ดังนี ้, ในกาลนี ้ วิชานนฺต,ิ ตโต เตสํ สนฺตกิ า เต ปณฺฑิตปุริเส
อ.ความหมายมัน่ ท. อันบัณฑิตนับพร้ อมแล้ วว่าความทะเลาะ นิสฺสาย อิเมทานิ กลหสงฺขาตา เมธคา สมฺมนฺตีติ
เหล่านี ้ ย่อมสงบ จากส�ำนัก ของบัณฑิต ท. เหล่านัน้ นัน้ คือว่า อยเมตฺถ อตฺโถติ.
เพราะอาศัย ซึง่ บุรุษผู้เป็ นบัณฑิต ท. เหล่านัน้ (ดังนี ้ แห่งบท) ว่า
ปเร จ ดังนี ้เป็ นต้ น (ดังนี ้) (อันบัณฑิตพึงทราบ) ด้ วยประการฉะนี ้ ฯ
ในกาลเป็ นทีส่ ดุ ลงรอบแห่งพระคาถา อ. ภิกษุผ้ถู งึ พร้ อมแล้ว ท. คาถาปริ โยสาเน สมฺปตฺตภิกฺขู โสตาปตฺตผิ ลาทีสุ
ตังอยู
้ เ่ ฉพาะแล้ ว (ในอริ ยผล ท.) มีโสดาปั ตติผลเป็ นต้ น ดังนี ้แล ฯ ปติฏฺ€หึสตู .ิ
อ. พระศาสดา เมื่อเสด็จเข้ าไปอาศัย ซึง่ เมืองชื่อว่าเสตัพยะ “สุภานุปสฺสึ วิหรนฺตนฺติ อิมํ ธมฺมเทสนํ สตฺถา
ประทับอยู่ ในป่ าแห่งไม้ สีเสียด ทรงปรารภ ซึง่ ภิกษุชื่อว่าจุลกาล เสตพฺยนครํ อุปนิสฺสาย สีสปาวเน วิหรนฺโต จุลฺลกาล
และภิกษุชื่อว่ามหากาล ท. ตรัสแล้ ว ซึง่ พระธรรมเทศนา นี ้ ว่า มหากาเล อารพฺภ กเถสิ.
สุภานุปสฺสึ วิหรนฺตํ ดังนี ้เป็ นต้ น ฯ
ดังจะกล่าวโดยพิสดาร อ. กุฎมพี ุ ท. ผู้เป็ นพี่น้องชายกัน ๓ คือ เสตพฺยนครวาสิโน หิ “จุลฺลกาโล มชฺฌิมกาโล
อ. จุลกาลด้ วย อ.มัชฌิมกาลด้ วย อ. มหากาลด้ วย เป็ นผู้อยูใ่ น มหากาโล จาติ ตโย ภาตโร กุฏมฺุ พิกา.
เมืองชื่อว่าเสตัพยะโดยปกติ (ได้ เป็ นแล้ ว) ฯ
ในกุฎมพี ุ ท. ๓ เหล่านันหนา
้ อ. พีช่ ายผู้เจริญทีส่ ดุ และน้ องชาย เตสุ เชฏฺ€กนิฏฺ€า ทิสาสุ วิจริ ตฺวา ปฺจหิ
ผู้น้อยที่สดุ ท. เที่ยวไปแล้ ว ในทิศ ท. ย่อมน�ำมา ซึง่ สิง่ ของ สกฏสเตหิ ภณฺฑํ อาหรนฺต.ิ มชฺฌิมกาโล อาภตํ
ด้ วยร้ อยแห่งเกวียน ท. ๕ ฯ อ. กุฎมพี
ุ ชื่อว่ามัชฌิมกาล วิกฺกีณาติ.
ย่อมขาย (ซึง่ สิง่ ของ) อันอันชน ท. เหล่านันน� ้ ำมาแล้ ว ฯ
ครัง้ นัน้ ในสมัย หนึง่ อ. พี่น้องชาย ท. แม้ ทงสอง ั้ เหล่านัน้ อเถกสฺมึ สมเย เต อุโภปิ ภาตโร ปฺจหิ
ถือเอา ซึง่ สิง่ ของต่าง ๆ ด้ วยร้ อยแห่งเกวียน ท. ๕ ไปแล้ ว สูเ่ มือง สกฏสเตหิ นานาภณฺฑํ คเหตฺวา สาวตฺถึ คนฺตฺวา
ชื่อว่าสาวัตถี แก้ แล้ ว ซึง่ เกวียน ท. ในระหว่าง แห่งเมืองชื่อว่า สาวตฺถิยา จ เชตวนสฺส จ อนฺตเร สกฏานิ โมจยึส.ุ
สาวัตถีด้วย แห่งพระเชตวันด้ วย ฯ
ในกุฎมพี ุ ท. ๒ เหล่านันหนา
้ อ. กุฎมพี
ุ ชือ่ ว่ามหากาล เห็นแล้ ว เตสุ มหากาโล สายณฺหสมเย มาลาคนฺธาทิหตฺเถ
ซึง่ อริ ยสาวก ท. ผู้อยูใ่ นเมืองชื่อว่าสาวัตถีโดยปกติ ผู้มีวตั ถุ สาวตฺถีวาสิโน อริ ยสาวเก ธมฺมสฺสวนาย คจฺฉนฺเต
มีระเบียบและของหอมเป็ นต้ นในมือ ผู้ไปอยู่ เพื่ออันฟั งซึง่ ธรรม ทิสวฺ า “กุหึ อิเม คจฺฉนฺตีติ ปุจฺฉิตฺวา ตมตฺถํ
ในสมัยเป็ นที่สิ ้นไปแห่งวัน ถามแล้ ว ว่า อ. ชน ท. เหล่านี ้ จะไป สุตฺวา “อหํปิ คมิสฺสามีติ จินฺเตตฺวา กนิฏฺ€ํ
ในที่ไหน ดังนี ้ ฟั งแล้ ว ซึง่ เนื ้อความ นัน้ คิดแล้ ว ว่า แม้ อ. เรา อามนฺเตตฺวา “ตาต สกเฏสุ อปฺปมตฺโต โหหิ, อหํปิ
จักไป ดังนี ้ เรี ยกมาแล้ ว ซึง่ น้ องชายผู้น้อยที่สดุ กล่าวแล้ ว ว่า ธมฺมํ โสตุํ คมิสฺสามีติ วตฺวา คนฺตฺวา ตถาคตํ
แน่ะพ่อ อ. เจ้ า เป็ นผู้ไม่ประมาทแล้ ว ในเกวียน ท. จงเป็ น, แม้ วนฺทิตฺวา ปริ สปริ ยนฺเต นิสีทิ.
อ.เรา จักไป เพื่ออันฟั ง ซึง่ ธรรม ดังนี ้ ไปแล้ ว ถวายบังคมแล้ ว
ซึง่ พระตถาคตเจ้ า นัง่ แล้ ว ในที่สดุ รอบแห่งบริ ษัท ฯ
ในวันนัน้ อ. พระศาสดา เมื่อตรัส ซึง่ วาจาเป็ นเครื่ องกล่าว สตฺถา ตํทิวสํ ตสฺส อชฺฌาสเยน อนุปพุ ฺพีกถํ
โดยล�ำดับ ตามอัธยาศัย แห่งกุฎมพี ุ นนั ้ ตรัสแล้ ว ซึง่ โทษด้ วย กเถนฺโต ทุกฺขกฺขนฺธสุตฺตาทิวเสน อเนกปริ ยาเยน
ซึง่ การกระท�ำต�่ำด้ วย ซึง่ ความเศร้ าหมองพร้ อมด้ วย แห่งกาม ท. กามานํ อาทีนวํ โอการํ สงฺกิเลสฺจ กเถสิ.
โดยปริยายมิใช่หนึง่ ด้ วยอ�ำนาจแห่งสูตรมีทกุ ขักขันธสูตร เป็ นต้ น ฯ
อ. กุฎมพี
ุ ชื่อว่ามหากาล ฟั งแล้ ว ซึง่ พระด�ำรัสนัน้ คิดแล้ ว ตํ สุตฺวา มหากาโล “ สพฺพํ กิร ปหาย
ว่า ได้ยนิ ว่า (อันบุคคล) ละแล้ว ซึง่ วัตถุทงปวง
ั้ พึงไป, อ. โภคะ ท. คนฺตพฺพํ, ปรโลกํ คจฺฉนฺตํ เนว โภคา น าตโย
ย่อมไม่ไปตามนัน่ เทียว อ. ญาติ ท. ย่อมไม่ไปตาม (ซึง่ บุคคล) อนุคจฺฉนฺต,ิ กึ เม ฆราวาเสน, ปพฺพชิสสฺ ามีติ จินเฺ ตตฺวา,
ผู้ไปอยู่ สูโ่ ลกอื่น, อ. ประโยชน์อะไร ของเรา ด้ วยการอยูค่ รอง มหาชเน วนฺทิตฺวา ปกฺกนฺเต, สตฺถารํ ปพฺพชฺชํ
ซึง่ เรื อน, อ. เรา จักบวช ดังนี ้, ครัน้ เมื่อมหาชน ถวายบังคมแล้ ว ยาจิตฺวา, สตฺถารา “นตฺถิ เต โกจิ อปโลเกตพฺโพติ
หลีกไปแล้ ว, ทูลขอแล้ ว ซึง่ การบวช กะพระศาสดา, (ครัน้ เมื่อ วุตฺเต, “กนิฏฺโ€ เม อตฺถิ ภนฺเตติ วตฺวา, “เตนหิ
พระด�ำรัส) ว่า อ. ใคร ๆ ผู้อนั ท่านพึงอ�ำลา ย่อมไม่มีหรื อ ดังนี ้ อปโลเกหิ นนฺติ วุตฺเต, “สาธุ ภนฺเตติ อาคนฺตฺวา
อันพระศาสดา ตรัสแล้ ว, กราบทูลแล้ ว ว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ เู จริ ญ
อ. น้ องชายผู้น้อยที่สดุ ของข้ าพระองค์ มีอยู่ ดังนี ้, (ครัน้ เมื่อ
พระด�ำรัส) ว่า ถ้ าอย่างนัน้ อ. ท่าน จงอ�ำลา ซึง่ น้ องชายผู้น้อยที่สดุ
นัน้ ดังนี ้ (อันพระศาสดา) ตรัสแล้ ว , (รับพร้ อมแล้ ว) ว่า
ข้ าแต่พระองค์ผ้ เู จริ ญ อ. ดีละ ดังนี ้ มาแล้ ว
อ. มหากาล ไปแล้ว บวชแล้ว ในส�ำนัก ของพระศาสดา ฯ มหากาโล คนฺตฺวา สตฺถุ สนฺตเิ ก ปพฺพชิ.
แม้ อ. จุลกาล บวชแล้ ว (ด้ วยความคิด) ว่า อ. เรา พาเอาแล้ ว “ อหํ ภาติกํ คเหตฺวาว อุปปฺ พฺพชิสฺสามีติ
ซึง่ พี่ชายเทียว จักสึก ดังนี ้ ฯ จุลฺลกาโลปิ ปพฺพชิ.
ในกาลอันเป็ นส่วนอื่นอีก อ. มหากาล ได้ แล้ ว ซึง่ การอุปสมบท อปรภาเค มหากาโล อุปสมฺปทํ ลภิตฺวา
เข้ าไปเฝ้าแล้ ว ซึง่ พระศาสดา ทูลถามแล้ ว ซึง่ ธุระ ท. ในศาสนา, สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา สาสเน ธุรานิ ปุจฺฉิตฺวา,
ครัน้ เมื่อธุระ ท. สอง อันพระศาสดา ตรัสแล้ ว (กราบทูลแล้ ว) สตฺถารา ทฺวีสุ ธุเรสุ กถิเตสุ , “อหํ ภนฺเต
ว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ เู จริ ญ อ. ข้ าพระองค์ จักไม่อาจ เพื่ออัน มหลฺลกกาเล ปพฺพชิตตฺตา คนฺถธุรํ ปูเรตุํ
ยังคันถธุระให้ เต็ม เพราะความที่แห่งข้ าพระองค์เป็ นผู้บวชแล้ ว น สกฺขิสฺสามิ, วิปสฺสนาธุรํ ปน ปูเรสฺสามีติ ยาว
ในกาลแห่งตนเป็ นคนแก่, แต่วา่ อ. ข้ าพระองค์ ยังวิปัสสนาธุระ อรหตฺตา โสสานิกธุตงฺคํ กถาเปตฺวา, ป€มยามาติกกฺ เม
จักให้ เต็ม ดังนี ้ (ยังพระศาสดา) ให้ ตรัสบอกแล้ ว ซึง่ ธุดงค์ สพฺเพสุ นิทฺทํ โอกฺกนฺเตสุ, สุสานํ คนฺตฺวา
แห่งภิกษุผ้ มู ีอนั อยูใ่ นป่ าช้ าเป็ นปกติ เพียงใด แต่พระอรหัต, ปจฺจสู กาเล สพฺเพสุ อนุฏฺ€ิเตสุเยว, วิหารํ อาคจฺฉติ.
ครันเมื
้ อ่ ชน ท. ทังปวง ้ ก้ าวลงแล้ว สูค่ วามหลับ ในกาลเป็ นทีก่ ้ าวล่วง
ซึง่ ยามที่หนึง่ , ไปแล้ ว สูป่ ่ าช้ า ครัน้ เมื่อชน ท. ทังปวง
้
ไม่ลุกขึน้ แล้ วนั่นเทียว ในกาลอันขจัดเฉพาะซึ่งความมืดมัว,
ย่อมมา สูว่ ิหาร ฯ
ครัง้ นัน้ (อ.หญิง) ผู้เผาซึง่ ซากศพ คนหนึง่ ชื่อว่ากาลี ผู้เฝ้า อเถกา สุสานโคปิ กา กาลี นาม ฉวฑาหิกา
ซึง่ ป่ าช้ า เห็นแล้ ว ซึง่ ที่แห่งพระเถระยืนแล้ วด้ วยนัน่ เทียว เถรสฺส €ิตฏฺ€านฺจ นิสที นฏฺ€านฺจ จงฺกมนฏฺ€านฺจ
ซึง่ ทีเ่ ป็ นทีน่ งั่ แห่งพระเถระด้ วย ซึง่ ทีเ่ ป็ นทีจ่ งกรมแห่งพระเถระด้ วย ทิสฺวา “โก นุ โข อิธาคจฺฉติ, ปริ คฺคณฺหิสฺสามิ
(คิดแล้ ว) ว่า อ. ใครหนอแล ย่อมมา ในที่นี ้, อ. เรา จักก�ำหนดจับ นนฺติ ปริ คฺคณฺหิตํุ อสกฺโกนฺตี เอกทิวสํ สุสานกุฏิกาย
ซึง่ บุคคลนัน้ ดังนี ้ ไม่อาจอยู่ เพือ่ อันก�ำหนดจับ ในวันหนึง่ ยังประทีป ทีปํ ชาเลตฺวา ปุตฺตธี ตโร อาทาย คนฺตฺวา
ให้ โพลงแล้ ว ในกระท่อมใกล้ ป่าช้ า พาเอา ซึง่ บุตรและธิดา ท. เอกมนฺเต นิลีนา มชฺฌิมยาเม เถรํ อาคจฺฉนฺตํ
ไปแล้ ว แอบแล้ ว ณ ที่สดุ แห่งหนึง่ เห็นแล้ ว ซึง่ พระเถระ ผู้มาอยู่ ทิสฺวา คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา “อยฺโย โน ภนฺเต อิมสฺมึ
ในยามอันมีในท่ามกลาง ไปแล้ว ไหว้แล้ว กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่ทา่ นผู้เจริญ €าเน วิหรตีติ อาห.
อ. พระผู้เป็ นเจ้ า ย่อมอยู่ ในที่นี ้ ของเรา ท. หรื อ ดังนี ้ ฯ
(อ. พระเถระ กล่าวแล้ ว) ว่า ดูก่อนอุบาสิกา เออ (อ. อย่างนัน) ้ “อาม อุปาสิเกติ.
ดังนี ้ ฯ
(อ. นางกาลี กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ทา่ นผู้เจริญ อ. อัน (อันภิกษุ ท.) “ภนฺเต สุสาเน วิหรนฺเตหิ นาม วตฺตํ อุคฺคณฺหิตํุ
ชื่อผู้อยูอ่ ยู่ ในป่ าช้ า เรี ยนเอา ซึง่ วัตร ย่อมควร ดังนี ้ ฯ วฏฺฏตีต.ิ
อ. พระเถระ ไม่กล่าวแล้ ว ว่า ก็ อ. เรา ท. จักประพฤติ ในวัตร เถโร “กึ ปน มยํ ตยา กถิตวตฺเต วตฺตสิ ฺสามาติ
อันอันท่านกล่าวแล้ ว หรื อ ดังนี ้ อวตฺวา
อ. ญาติ ท. น�ำไปแล้ ว ซึง่ กุลธิดานัน่ นัน้ สูป่ ่ าช้ า ในเวลาเย็น ตเมนํ าตโย ทารุเตลาทีหิ สทฺธึ สายํ สุสานํ
กับ (ด้ วยวัตถุ ท.) มีฟืนและน� ้ำมันเป็ นต้ น ให้ แล้ ว ซึง่ ค่าจ้ าง เนตฺวา สุสานโคปิ กาย “อิมํ ฌาเปหีติ ภตึ ทตฺวา
แก่หญิงผู้เฝ้าซึง่ ป่ าช้ า (ด้ วยค�ำ) ว่า (อ. เธอ) ยังกุลธิดานี ้ จงให้ ไหม้ นิยฺยาเทตฺวา ปกฺกมึส.ุ
ดังนี ้ มอบให้ แล้ ว หลีกไปแล้ ว ฯ
อ. หญิงผู้เฝ้าซึง่ ป่ าช้ า นัน้ น�ำไปปราศแล้ ว ซึง่ ผ้ าเป็ นเครื่ องห่ม สา ตสฺสา ปารุปนวตฺถํ อปเนตฺวา ตํ มุหตุ ฺตมตํ
ของกุลธิดานัน้ เห็นแล้ ว ซึง่ สรี ระ มีสีเพียงดังสีแห่งทอง อันประณีต ปณีตปฺปณีตํ สุวณฺณวณฺณํ สรี รํ ทิสวฺ า “อิมํ
และประณีต อันตายแล้ วในครู่หนึง่ นัน้ คิดแล้ ว ว่า อ. อารมณ์นี ้ อยฺยสฺส ทสฺเสตุํ ปฏิรูปํ อารมฺมณนฺติ จินฺเตตฺวา
เป็ นอารมณ์ อันสมควร เพื่ออันแสดง แก่พระผู้เป็ นเจ้ า (ย่อมเป็ น) คนฺตฺวา เถรํ วนฺทิตฺวา “เอวรูปํ นาม ภนฺเต
ดังนี ้ ไปแล้ ว ไหว้ แล้ ว ซึง่ พระเถระ กล่าวแล้ ว ว่า ข้ าแต่ทา่ นผู้เจริ ญ อารมฺมณํ อตฺถิ, โอโลเกยฺยาถาติ อาห.
อ. อารมณ์ ชื่อมีอย่างนี ้เป็ นรูป มีอยู,่ (อ.ท่าน ท.) ควรแลดู ดังนี ้ ฯ
อ. พระเถระ กระท�ำไว้ ในใจแล้ ว ว่า อ. สรี ระ นี ้ เถโร “อิทํ สรี รํ อิทาเนว โอโลเกนฺตานํ
เป็ นอวัยวะกระท�ำซึง่ กิเลสให้เป็ นสภาพไม่มที สี่ ดุ รอบ เป็ น แก่ชน ท. อปริ ยนฺตีกรํ หุตฺวา อิทาเนว ขยปฺปตฺตํ วยปฺปตฺตนฺติ
ผู้แลดูอยู่ ในกาลนี ้นัน่ เทียว เป็ นอวัยวะถึงแล้ วซึง่ ความสิ ้นไป รตฺตฏิ ฺ €านํ คนฺตฺวา นิสที ิตฺวา ขยวยํ สมฺปสฺสมาโน
เป็ นอวัยวะถึงแล้ วซึง่ ความเสื่อมไป (ย่อมเป็ น) ในกาลนี ้นัน่ เทียว
ดังนี ้ ไปแล้ ว สูท่ ี่เป็ นที่พกั ในเวลากลางคืน นัง่ พิจารณาอยูแ่ ล้ ว
ซึง่ ความสิ ้นไปและความเสื่อมไป กล่าวแล้ ว ซึง่ คาถา ว่า
ยังวิปัสสนา ให้ เจริ ญแล้ ว บรรลุแล้ ว ซึง่ พระอรหัต กับ คาถํ วตฺวา วิปสฺสนํ วฑฺเฒตฺวา สห ปฏิสมฺภิทาหิ
ด้ วยปฏิสมั ภิทา ท. ฯ อรหตฺตํ ปาปุณิ.
ครัน้ เมื่อพระเถระนัน้ บรรลุแล้ ว ซึง่ พระอรหัต, อ. พระศาสดา ตสฺมึ อรหตฺตํ ปตฺเต, สตฺถา ภิกฺขสุ งฺฆปริ วโุ ต
ผู้อนั หมูแ่ ห่งภิกษุแวดล้อมแล้ว เสด็จเทีย่ วไปอยู่ สูท่ จี่ าริก เสด็จไปแล้ว จาริ กฺจรมาโน เสตพฺยนครํ คนฺตฺวา สึสปาวนํ
สูเ่ มืองชื่อว่าเสตัพยะ ได้ เสด็จเข้ าไปแล้ ว สูป่ ่ าแห่งไม้ สีเสียด ฯ ปาวิส.ิ
อ. ภรรยา ท. ของพระจุลกาล ฟังแล้ว ว่า ได้ยนิ ว่า อ. พระศาสดา จุลฺลกาลสฺส ภริ ยาโย “สตฺถา กิร อนุปปฺ ตฺโตติ
เสด็จถึงโดยล�ำดับแล้ ว ดังนี ้ (คิดกันแล้ ว) ว่า อ. เรา ท. จักจับ สุตฺวา “อมฺหากํ สามิกํ คณฺหิสฺสามาติ เปเสตฺวา
ซึง่ สามี ของเรา ท. ดังนี ้ ส่งไปแล้ ว (ซึง่ บุรุษ) (ยังบุรุษ) สตฺถารํ นิมนฺตาเปสุํ.
ให้ ทลู นิมนต์แล้ ว ซึง่ พระศาสดา ฯ
ก็ อ. อัน อันภิกษุ รูปหนึง่ ผู้บอกอยู่ ซึง่ การปูลาดซึง่ อาสนะ พุทฺธานํ ปน อปริ จิตฏฺ€าเน อาสนปฺตฺตึ
ไป ก่อนกว่า ในทีแ่ ห่งพระพุทธเจ้ า ท. ไม่ทรงคุ้นเคยแล้ ว ย่อมควร ฯ อาจิกฺขนฺเตน เอเกน ภิกฺขนุ า ป€มตรํ คนฺตํุ วฏฺฏติ.
จริ งอยู่ อ. อาสนะ เป็ นอาสนะ อันบุคคล ปูลาดแล้ ว ซึง่ อาสนะ พุทฺธานํ หิ มชฺฌิมฏฺ€าเน อาสนํ ปฺาเปตฺวา
ในที่อนั มีในท่ามกลาง แก่พระพุทธเจ้ า ท. พึงปูลาดแก่พระเถระ ตสฺส ทกฺ ขิณโต สารี ปุตฺตตฺเถรสฺส วามโต
ชื่อว่าสารี บตุ ร ข้ างขวา แห่งอาสนะ นัน้ แก่พระเถระชื่อว่า มหาโมคฺคลฺลานตฺเถรสฺส ตโต ปฏฺ€าย อุโภสุ
มหาโมคคัลลานะ ข้ างซ้ าย (แห่งอาสนะ นัน) ้ แก่หมูแ่ ห่งภิกษุ ปสฺเสสุ ภิกฺขสุ งฺฆสฺส อาสนํ ปฺาเปตพฺพํ โหติ;
ในข้ าง ท. ทังสอง้ จ�ำเดิม แต่ที่นนั ้ ย่อมเป็ น ; เพราะเหตุนนั ้ ตสฺมา มหากาลตฺเถโร จีวรปารุปนฏฺ€าเน €ตฺวา
อ. พระเถระชื่อว่ามหากาล ยืนแล้ ว ในที่เป็ นที่หม่ ซึง่ จีวร ส่งไปแล้ ว “ตฺวํ ปุรโต คนฺตฺวา อาสนปฺตฺตึ อาจิกฺขาหีติ
ซึง่ พระจุลกาล (ด้ วยค�ำ) ว่า อ. ท่าน ไปแล้ ว ข้ างหน้ า จงบอก จุลฺลกาลํ เปเสสิ.
ซึง่ การปูลาดซึง่ อาสนะ ดังนี ้ ฯ
อ. ชนในเรือน ท. กระท�ำอยู่ ซึง่ การหัวเราะ กับ ด้ วยพระจุลกาล ตสฺส ทิฏฺ€กาลโต ปฏฺ€าย เคหชนา เตน
นัน้ ย่อมลาด ซึง่ อาสนะต�่ำ ท. ในที่สดุ แห่งพระเถระในสงฆ์, สทฺธึ ปริ หาสํ กโรนฺตา นีจาสนานิ สงฺฆตฺเถรโกฏิยํ
(ย่อมลาด) ซึง่ อาสนะสูง ท. ในที่สดุ แห่งภิกษุผ้ ใู หม่ในสงฆ์ จ�ำเดิม อตฺถรนฺต,ิ อุจฺจาสนานิ สงฺฆนวกโกฏิยํ.
แต่กาลแห่งพระจุลกาลนันอั้ นชน ท. เหล่านัน้ เห็นแล้ ว ฯ
อ. พระจุลกาลนอกนี ้ กล่าวแล้ ว ว่า (อ.ท่าน ท.) จงอย่ากระท�ำ อิตโร “มา เอวํ กโรถ, อุจฺจาสนานิ อุปริ
อย่างนี ้, (อ.ท่าน ท.) จงปูลาด ซึง่ อาสนะสูง ท. ในเบื ้องบน, (อ.ท่าน ท. ปฺาเปถ, นีจาสนานิ เหฏฺ€าติ อาห.
จงปูลาด) ซึง่ อาสนะต�่ำ ท. ในภายใต้ ดังนี ้ ฯ
อ.หญิง ท. เป็ นราวกะว่าไม่ฟังอยู่ ซึง่ ค�ำ ของพระเถระนัน้ อิตฺถิโย ตสฺส วจนํ อสณนฺตโิ ย วิย “ตฺวํ
เป็ น กล่าวแล้ ว ว่า อ. ท่าน ย่อมเที่ยวไปกระท�ำอยู่ ซึง่ อะไร ? กึ กโรนฺโต วิจรสิ? กึ ตว อาสนานิ ปฺาเปตุํ
อ. อันอันท่านปูลาด ซึง่ อาสนะ ท. จะไม่ควร หรื อ ? อ. ท่าน น วฏฺฏติ? ตฺวํ กํ อาปุจฺฉิตฺวา ปพฺพชิโต? เกน
อ�ำลาแล้ ว ซึง่ ใคร เป็ นผู้บวชแล้ ว (ย่อมเป็ น) ? อ. ท่าน เป็ นผู้อนั ใคร ปพฺพชาปิ โตสิ? กสฺมา อิธาคโตสีติ วตฺวา นิวาสน-
ให้ บวชแล้ ว ย่อมเป็ น ? อ. ท่าน เป็ นผู้มาแล้ ว ในที่นี ้ ย่อมเป็ น ปารุปนํ อจฺฉินฺทิตฺวา เสตกานิ วตฺถานิ นิวาเสตฺวา
เพราะเหตุอะไร ดังนี ้ แย่งชิงเอาแล้ ว ซึง่ ผ้ าเป็ นเครื่ องนุง่ และ
ผ้ าเป็ นเครื่ องห่ม (ยังพระจุลกาล) ให้ นงุ่ แล้ ว ซึง่ ผ้ า ท. อันขาว
ก็ ในกาลนัน้ อ.ภิกษุ รูปอืน่ ได้ ไปแล้ ว เพือ่ อันปูลาดซึง่ อาสนะ ฯ ตทา ปน อาสนปฺาปนตฺถํ อฺโ ภิกฺขุ
อ.หญิง ท. เหล่านัน้ ไม่ได้ แล้ ว ซึง่ โอกาส ในขณะนัน้ อคมาสิ. ตา ตสฺมึ ขเณ โอกาสํ อลภิตฺวา
ยังหมูแ่ ห่งภิกษุ มีพระพุทธเจ้ าเป็ นประมุข ให้ นงั่ แล้ ว ได้ ถวายแล้ ว พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขสุ งฺฆํ นิสีทาเปตฺวา ภิกฺขํ อทํส.ุ
ซึง่ ภิกษา ฯ
ก็ อ. ภรรยา ท. ๒ ของจุลกาล (มีอยู)่ , อ. ภรรยา ท. ๔ จุลฺลกาลสฺส ปน เทฺว ภริ ยาโย, มชฺฌิมกาลสฺส
ของมัชฌิมกาล (มีอยู)่ , อ. ภรรยา ท. ๘ ของพระเถระชื่อว่ามหากาล จตสฺโส, มหากาลสฺส อฏฺ€.
(มีอยู)่ ฯ
แม้ อ. ภิกษุ ท. ผู้ใคร่เพื่ออันกระท�ำ ซึง่ กิจด้ วยภัตร นัง่ แล้ ว ภิกฺขปู ิ ภตฺตกิจฺจํ กาตุกามา นิสีทิตฺวา
ได้ กระท�ำแล้ ว ซึง่ กิจด้ วยภัตร , (อ. ภิกษุ ท.) ผู้ใคร่เพื่ออันไป ภตฺตกิจฺจมกํส,ุ พหิ คนฺตกุ ามา อุฏฺ€าย อคมํส.ุ
ในภายนอก ลุกขึ ้นแล้ ว ได้ ไปแล้ ว ฯ
ส่วนว่า อ. พระศาสดา ประทับนัง่ แล้ ว ทรงกระท�ำแล้ ว สตฺถา ปน นิสีทิตฺวา ภตฺตกิจฺจํ กริ .
ซึง่ กิจด้ วยภัตร ฯ
ในกาลเป็ นที่สดุ ลงรอบแห่งกิจด้ วยภัตร ของพระศาสดานัน้ ตสฺส ภตฺตกิจฺจปริ โยสาเน ตา อิตฺถิโย “ภนฺเต
อ. หญิง ท. เหล่านัน้ กราบทูลแล้ ว ว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ เู จริ ญ มหากาโล อมฺหากํ อนุโมทนํ กตฺวา คมิสฺสติ,
อ. พระเถระชือ่ ว่ามหากาล กระท�ำแล้ว ซึง่ อนุโมทนา แก่หม่อมฉัน ท. ตุมเฺ ห ปุรโต คจฺฉถาติ วทึส.ุ
จักไป, อ. พระองค์ ท. ขอจงเสด็จไป ข้ างหน้ า ดังนี ้ ฯ
อ. พระศาสดา ตรัสแล้ ว ว่า อ. ดีละ ดังนี ้ ได้ เสด็จไปแล้ ว สตฺถา “สาธูติ วตฺวา ปุรโต อคมาสิ.
ข้ างหน้ า ฯ
อ. หมูแ่ ห่งภิกษุ ถึงแล้ ว ซึง่ ประตูแห่งบ้ าน ยกโทษแล้ ว ว่า คามทฺวารํ ปตฺวา ภิกขฺ สุ งฺโฆ อุชฌ
ฺ ายิ “กินนฺ าเมตํ
(อ. กรรม) นัน่ อันพระศาสดา ทรงกระท�ำแล้ ว ชื่ออย่างไร, (อ. กรรม สตฺถารา กตํ, ตฺวา นุ โข กตํ อุทาหุ อชานิตฺวา?,
อันพระศาสดา) ทรงทราบแล้ ว ทรงกระท�ำแล้ วหรื อหนอแล หรื อว่า หิยฺโย จุลฺลกาลสฺส ปุรโต คตตฺตา ปพฺพชฺชนฺตราโย
(อ. กรรม อันพระศาสดา) ไม่ทรงทราบแล้ ว (ทรงกระท�ำแล้ ว) ?, ชาโต, อชฺช อฺสฺส ปุรโต คตตฺตา อนฺตราโย
อ. อันตรายแห่งการบวช เกิดแล้ ว เพราะความที่แห่งจุลกาล นาโหสิ, อิทานิ สตฺถา มหากาลํ นิวตฺเตตฺวา อาคโต,
เป็ นผู้ไปแล้ ว ข้ างหน้ า ในวันวาน , ในวันนี ้ อ. อันตราย สีลวา โข ปน ภิกฺขุ อาจารสมฺปนฺโน; กริ สฺสนฺติ
ไม่ได้ มีแล้ ว เพราะความที่แห่งภิกษุรูปอื่นเป็ นผู้ไปแล้ ว ข้ างหน้ า, นุ โข ตสฺส ปพฺพชฺชนฺตรายนฺต.ิ
ในกาลนี ้ อ.พระศาสดา ทรงยังพระเถระชื่อว่ามหากาลให้ กลับแล้ ว
เสด็จมาแล้ ว, ก็ อ. ภิกษุ เป็ นผู้มีศีลแล เป็ นผู้ถงึ พร้ อมแล้ ว
ด้ วยมรรยาท (ย่อมเป็ น) ; (อ.หญิง ท. เหล่านัน) ้ จักกระท�ำ
ซึง่ อันตรายแห่งการบวช แก่พระเถระนัน้ หรื อหนอแล ดังนี ้ ฯ
อ. มาร ย่อมรังควาน ซึ่งบุคคลนัน้ แล ผูต้ ามเห็นซึ่งอารมณ์ “สุภานุปสฺสึ วิ หรนฺตํ อิ นทฺ ฺริเยสุ อสํวตุ ํ
ว่างามโดยปกติ อยู่อยู่ ผูไ้ ม่ส�ำรวมแล้ว ในอิ นทรี ย์ ท. โภชนมฺหิ อมตฺตฺุํ กุสีตํ หีนวีริยํ
ผูไ้ ม่รู้ซึ่งประมาณ ในโภชนะ ผูเ้ กี ยจคร้านแล้ว ผูม้ ี ความเพียร- ตํ เว ปสหตี มาโร, วาโต รุกฺขํว ทุพพฺ ลํ.
อันทราม เพียงดัง อ. ลม (รังควานอยู่) ซึ่งต้นไม้ อันมี ก�ำลัง- อสุภานุปสฺสึ วิ หรนฺตํ อิ นทฺ ฺริเยสุ สุสํวตุ ํ
อันโทษประทุษร้ายแล้ว, อ.มาร ย่อมไม่รงั ควาน ซึ่งบุคคลนัน้ แล โภชนมฺหิ จ มตฺตฺุํ สทฺธํ อารทฺธวีริยํ
ผูต้ ามเห็นซึ่งอารมณ์วา่ ไม่งามโดยปกติ อยูอ่ ยู่ ด้วย ผูส้ ำ� รวมดีแล้ว ตํ เว นปฺปสหตี มาโร, วาโต เสลํว ปพฺพตนฺติ.
ในอิ นทรี ย์ ท. ด้วย ผูร้ ู้ซึ่งประมาณ ในโภชนะด้วย
ผูม้ ี ศรัทธาด้วย ผูม้ ี ความเพียรอันปรารภแล้วด้วย, เพียงดัง
อ.ลม(ไม่รงั ควานอยู่) ซึ่งภูเขา อันประกอบแล้วด้วยศิ ลา ดังนี ้ ฯ
อ. อรรถว่า ผู้ตามเห็นอยู่ ซึง่ อารมณ์วา่ งาม ดังนี ้ ในบท ท. ตตฺถ สุภานุปสฺสินฺต:ิ สุภํ อนุปสฺสนฺตํ.
เหล่านันหนา
้ แห่งบทว่า สุภานุปสฺสึ ดังนี ้ อ. อธิบายว่า “อิฏฺ€ารมฺมเณ มานสํ วิสฺสชฺเชตฺวา วิหรนฺตนฺติ อตฺโถ.
ผู้สละแล้ วซึง่ ใจ ในอารมณ์อนั บุคคลปรารถนาแล้ ว อยูอ่ ยู่ ดังนี ้ ฯ
อธิบาย ว่า เหมือนอย่างว่า อ.ลมนัน้ (ยังรุกขาวัยวะ ท.) “ยถา หิ โส วาโต ตสฺส รุกขฺ สฺส ปุปผฺ ผลปลฺลวาทีนปิ ิ
มีดอกและผลและใบอ่อนเป็ นต้ น ของต้ นไม้ นนั ้ ย่อมให้ ตกไปบ้ าง ปาเตติ, ขุทฺทกสาขาปิ ภฺชติ, มหาสาขาปิ ภฺชติ,
ย่อมหักราน ซึง่ กิ่งน้ อย ท. บ้ าง ย่อมหักราน ซึง่ กิ่งใหญ่ ท. บ้ าง สมูลํปิ ตํ รุกฺขํ อุพฺพตฺเตตฺวา อุทฺธมูลํ อโธสาขํ กตฺวา
ยังต้ นไม้ นนั ้ อันเป็ นไปกับด้ วยราก ให้ เพิกขึ ้นแล้ ว กระท�ำ ให้ มีราก คจฺฉติ; เอวเมว เอวรูปํ ปุคฺคลํ อนฺโต อุปปฺ นฺโน
ในเบื ้องบน ให้ มกี งิ่ ในเบื ้องต�ำ่ ย่อมไปบ้ าง ฉันใด ; อ.มารคือกิเลส กิเลสมาโร ปสหติ; พลววาโต ทุพฺพลรุกฺขสฺส
อันเกิดขึ ้นแล้ ว ในภายใน ย่อมรังควาน ซึง่ บุคคล ผู้มอี ย่างนี ้เป็ นรูป ปุปผฺ ผลปลฺลวาทิปาตนํ วิย ขุทฺทานุขทุ ฺทกาปตฺติ
ฉันนันนั
้ น่ เทียว คือว่า (อ.มารคือกิเลส) ย่อมกระท�ำ ซึง่ การต้ อง อาปชฺชนํปิ กโรติ , ขุทฺทกสาขาภฺชนํ วิย
ซึง่ อาบัตเิ ล็กๆน้ อยๆ ราวกะ อ.ลมมีก�ำลัง (กระท�ำอยู)่ ซึง่ การ- นิสสฺ คฺคยิ าทิอาปตฺตอิ าปชฺชนํปิ กโรติ, มหาสาขาภฺชนํ
ยังรุกขาวัยวะมีดอกและผลและใบอ่อนเป็ นต้ น ของต้ นไม้ มีก�ำลัง วิย เตรสสงฺฆาทิเสสาปชฺชนํปิ กโรติ, อุพฺพตฺเตตฺวา
อันโทษประทุษร้ ายแล้ ว ให้ ตกไปบ้ าง ย่อมกระท�ำ ซึง่ การต้ อง- อุทธฺ มูลํ เหฏฺ€าสาขํ กตฺวา ปาตนํ วิย ปาราชิกาปตฺต-ิ
ซึง่ อาบัตมิ ีนิสสัคคีย์เป็ นต้ น ราวกะ (อ.ลมมีก�ำลัง กระท�ำอยู)่ อาปชฺชนํปิ กโรติ, สฺวากฺขาตสาสนา นีหริ ตฺวา
ซึง่ การหักรานกิ่งน้ อยบ้ าง ย่อมกระท�ำ ซึง่ การต้ องซึง่ สังฆาทิเสส กติปาเหเนว คิหิภาวํ ปาเปติ; เอวรูปํ ปุคฺคลํ
๑๓ ราวกะ (อ.ลมมีก�ำลัง กระท�ำอยู)่ ซึง่ การรักรานกิ่งใหญ่บ้าง กิเลสมาโร อตฺตโน วเส วตฺเตตีติ อตฺโถ.
ย่อมกระท�ำ ซึง่ การต้ องซึง่ อาบัตคิ ือปาราชิก น�ำออกแล้ ว
จากพระศาสนาอันพระผู้มีพระภาคเจ้ าตรัสไว้ ดีแล้ ว ย่อมให้ ถงึ
ซึง่ ความเป็ นแห่งคฤหัสถ์ โดยวันเล็กน้ อยนัน่ เทียว ราวกะ
(อ.ลมมีก�ำลัง กระท�ำอยู)่ ซึง่ การ (ยังต้ นไม้ ) ให้ เพิกขึ ้นแล้ ว กระท�ำ
ให้ มีรากในเบื ้องบน ให้ มีกิ่งในภายใต้ แล้ วให้ ตกไปบ้ าง อ.มาร-
คือกิเลส ยังบุคคล ผู้มีอย่างนี ้เป็ นรูป ย่อมให้ เป็ นไป ในอ�ำนาจ
ของตน ดังนี ้ ฯ
ในกาลเป็ นทีส่ ดุ ลงรอบแห่งพระคาถา อ. ภิกษุผ้ถู งึ พร้ อมแล้ว ท. คาถาปริโยสาเน สมฺปตฺตภิกขฺ ู โสตาปตฺตผิ ลาทีสุ
ตังอยู
้ เ่ ฉพาะแล้ ว (ในอริ ยผล ท.) มีโสดาปั ตติผลเป็ นต้ น ดังนี ้แล ฯ ปติฏฺ€หึสตู .ิ
อ. พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ในพระเชตวัน ทรงปรารภ “อนิกกฺ สาโวติ อิมํ ธมฺมเทสนํ สตฺถา เชตวเน
ซึ่งการได้ ซึ่งผ้ ากาสาวะอันบุคคลน�ำมาแล้ วจากแว่นแคว้ นชื่อว่า- วิหรนฺโต ราชคเห เทวทตฺตสฺส คนฺธารกาสาวลาภํ
คันธาระ แห่งพระเทวทัต ในเมืองชื่อว่าราชคฤห์ ตรัสแล้ ว อารพฺภ กเถสิ.
ซึง่ พระธรรมเทศนา นี ้ ว่า อนิกกฺ สาโว ดังนี ้เป็ นต้ น ฯ
ดังจะกล่าวโดยพิสดาร ในสมัยหนึง่ อ. พระอัครสาวก ท. สอง เอกสฺมึ หิ สมเย เทฺว อคฺคสาวกา ปฺจสเต
พาเอาแล้ ว ซึง่ บริวาร ท. ของตน มีร้อยห้ าเป็ นประมาณ ๆ ทูลลาแล้ ว ปฺจสเต อตฺตโน ปริ วาเร อาทาย สตฺถารํ
ซึง่ พระศาสดา ได้ ไปแล้ ว สูเ่ มืองชื่อว่าราชคฤห์ จากพระเชตวัน ฯ อาปุจฺฉิตฺวา เชตวนโต ราชคหํ อคมํส.ุ
(อ. ชน ท.) ผู้อยูใ่ นเมืองชือ่ ว่าราชคฤห์โดยปกติ ๒ บ้ าง ๓ บ้ าง ราชคหวาสิโน เทฺวปิ ตโยปิ พหูปิ เอกโต
มากบ้ าง เป็ น โดยความเป็ นอันเดียวกัน ได้ ถวายแล้ ว ซึง่ ทาน หุตฺวา อาคนฺตกุ ทานํ อทํส.ุ
เพื่อภิกษุ ผ้ ูจรมา ฯ
ครัง้ นันในวั
้ นหนึง่ อ. พระสารี บตุ รผู้ มีอายุ เมื่อกระท�ำ อเถกทิวสํ อายสฺมา สารี ปตุ ฺโต อนุโมทนํ
ซึง่ การอนุโมทนา แสดงแล้ ว ซึง่ ธรรม อย่างนี ้ ว่า ดูก่อนอุบาสก กโรนฺโต “อุปาสกา เอโก สยํ ทานํ เทติ,
และอุบาสิกา ท. (อ. บุคคล) คนหนึง่ ย่อมถวาย ซึง่ ทาน เอง, ปรํ น สมาทเปติ; โส นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฏฺ€าเน
ย่อมไม่ชกั ชวน ซึง่ บุคคลอืน่ ; อ. บุคคลนัน้ ย่อมได้ ซึง่ ความถึงพร้ อม โภคสมฺปทํ ลภติ, โน ปริ วารสมฺปทํ, เอโก ปรํ
ด้ วยโภคะ, ย่อมไม่ได้ ซึง่ ความถึงพร้ อมด้ วยบริ วาร ในที่แห่งตน สมาทเปติ, สยํ น เทติ; นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฏฺ€าเน
บังเกิดแล้ วและบังเกิดแล้ ว, อ.บุคคล คนหนึง่ ย่อมชักชวน ปริ วารสมฺปทํ ลภติ, โน โภคสมฺปทํ, เอโก สยํปิ
ซึง่ บุคคลอื่น, ย่อมไม่ถวาย เอง, (อ. บุคคลนัน) ้ ย่อมได้ ซึง่ ความ น เทติ, ปรํ ปิ น สมาทเปติ; โส นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฏฺ€าเน
ถึงพร้ อมด้ วยบริ วาร, ย่อมไม่ได้ ซึง่ ความถึงพร้ อมด้ วยโภคะ กฺชิกมตฺตํปิ กุจฺฉิปรู ํ น ลภติ, อนาโถ โหติ
ในทีแ่ ห่งตนบังเกิดแล้วและบังเกิดแล้ว, อ. บุคคล คนหนึง่ ย่อมไม่ถวาย นิปปฺ จฺจโย, เอโก สยํปิ เทติ, ปรํ ปิ สมาทเปติ;
แม้ เอง, ย่อมไม่ชกั ชวน ซึง่ บุคคลแม้ อื่น; อ. บุคคลนัน้ ย่อมไม่ได้ โส นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฏฺ€าเน อตฺตภาวสเตปิ
ซึง่ วัตถุอนั ยังท้ องให้ เต็ม แม้ สกั ว่าข้ าวปลายเกรี ยน, เป็ นผู้ไม่มีที่พงึ่ อตฺตภาวสหสฺเสปิ อตฺตภาวสตสหสฺเสปิ โภคสมฺปทฺเจว
เป็ นผู้ไม่มีปัจจัย ย่อมเป็ น ในที่แห่งตนบังเกิดแล้ วและบังเกิดแล้ ว, ปริ วารสมฺปทฺจ ลภตีติ เอวํ ธมฺมํ เทเสสิ.
(อ. บุคคล) คนหนึง่ ย่อมถวาย แม้ เอง, ย่อมชักชวน ซึง่ บุคคล
แม้ อื่น; อ. บุคคลนัน้ ย่อมได้ ซึง่ ความถึงพร้ อมด้ วยโภคะด้ วย
นัน่ เทียว ซึง่ ความถึงพร้ อมด้ วยบริ วารด้ วย ในร้ อยแห่งอัตภาพบ้ าง
ในพันแห่งอัตภาพบ้าง ในแสนแห่งอัตภาพบ้าง ในทีแ่ ห่งตนบังเกิดแล้ว
และบังเกิดแล้ ว ดังนี ้ ฯ
อ. บุรุษผู้ฉลาด คนหนึง่ ฟั งแล้ ว ซึง่ ค�ำนัน้ คิดแล้ ว ว่า ตเมโก ปณฺฑิตปุริโส สุตฺวา “อจฺฉริ ยา วต โภ
แน่ะท่านผู้เจริ ญ อ.พระธรรมเทศนา น่าอัศจรรย์ หนอ, ธมฺมเทสนา, สุขการณํ กถิตํ; มยา อิมาสํ ทฺวินฺนํ
อ. เหตุแห่งความสุข (อันพระเถระ) กล่าวแล้ ว, อ. อัน อันเรา สมฺปตฺตีนํ นิปผฺ าทนกกมฺมํ กาตุํ วฏฺฏตีติ จินฺเตตฺวา
กระท�ำ ซึง่ กรรมเป็ นเหตุยงั สมบัติ ท. สอง เหล่านี ้ ให้ ส�ำเร็ จ “ ภนฺเต เสฺว มยฺหํ ภิกฺขํ คณฺหถาติ เถรํ
ย่อมควร ดังนี ้ นิมนต์แล้ ว ซึง่ พระเถระ ว่า ข้ าแต่ทา่ นผู้เจริ ญ นิมนฺเตสิ.
อ. ท่าน ท. ขอจงรับ ซึง่ ภิกษา ของกระผม ในวันพรุ่ง ดังนี ้ ฯ
(อ. พระเถระ กล่าวแล้ ว) ว่า ดูก่อนอุบาสก อ. ความต้ องการ “กิตฺตเกหิ เต ภิกฺขหู ิ อตฺโถ อุปาสกาติ.
ด้ วยภิกษุ ท. มีประมาณเท่าไร (มีอยู)่ แก่ทา่ น ดังนี ้ ฯ
(อ. อุบาสก ถามแล้ ว) ว่า ข้ าแต่ทา่ นผู้เจริ ญ ก็ อ. บริ วาร ท. “กิตฺตกา ปน โว ภนฺเต ปริ วาราติ.
ของท่าน ท. มีประมาณเท่าไร ดังนี ้ ฯ (อ. พระเถระ กล่าวแล้ ว)
ว่า ดูก่อนอุบาสก (อ. บริ วาร ท. ของเรา) มีพนั เป็ นประมาณ ดังนี ้ฯ “สหสฺสมตฺตา อุปาสกาติ.
(อ. อุบาสก กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่ทา่ นผู้เจริญ (อ. ท่าน ท.) “สพฺเพหิ สทฺธึเยว ภิกฺขํ คณฺหถ ภนฺเตติ.
ขอจงรับ ซึง่ ภิกษา กับ ด้ วยภิกษุ ท. ทังปวงนั ้ น่ เทียว ดังนี ้ ฯ
อ. พระเถระ (ยังค�ำนิมนต์) ให้ อยูท่ บั แล้ ว ฯ เถโร อธิวาเสสิ.
ครัง้ นัน้ อ. ช้ าง ท. มีพนั มิใช่หนึง่ ในป่ า แห่งหนึง่ คาบ ซึง่ เหยื่อ อเถกสฺมึ อรฺเ อเนกสหสฺสา หตฺถี โคจรํ
ไปอยู่ เห็นแล้ ว ซึง่ พระปั จเจกพุทธเจ้ า ท. เมื่อไป จ�ำเดิม แต่กาลนัน้ คเหตฺวา คจฺฉนฺตา ปจฺเจกพุทฺเธ ทิสฺวา ตโต ปฏฺ€าย
หมอบลงแล้ ว ด้ วยเข่า ท. จบแล้ ว ในกาลเป็ นที่ไปและเป็ นที่มา คจฺฉมานา คมนาคมนกาเล ชนฺนเุ กหิ นิปติตฺวา
ย่อมหลีกไป ฯ วนฺทิตฺวา ปกฺกมนฺต.ิ
ในวันหนึง่ (อ. บุคคล) ผู้ยงั ช้ างให้ ตาย เห็นแล้ ว ซึง่ กิริยานัน้ เอกทิวสํ หตฺถิมารโก ตํ กิริยํ ทิสฺวา “อหํ อิเม
คิดอยู่ ว่า อ. เรา ยังช้ าง ท. เหล่านี ้ ย่อมให้ ตายได้ โดยยาก, กิจฺเฉน มาเรมิ, อิเม จ คมนาคมนกาเล ปจฺเจกพุทฺเธ
ก็ อ. ช้ าง ท. เหล่านี ้ ย่อมจบ ซึง่ พระปั จเจกพุทธเจ้ า ท. ในกาล วนฺทนฺต,ิ กินฺนุ โข ทิสฺวา วนฺทนฺตีติ จินฺเตนฺโต
เป็ นทีไ่ ปและเป็ นทีม่ า, (อ. ช้าง ท.) เห็นแล้ว ซึง่ อะไรหนอแล ย่อมจบ “กาสาวนฺติ สลฺลกฺเขตฺวา “มยาปิ อิทานิ กาสาวํ
ดังนี ้ ก�ำหนดแล้ ว ว่า (อ. ช้ าง ท. เห็นแล้ ว) ซึง่ ผ้ ากาสาวะ (ย่อมจบ) ลทฺธํุ วฏฺฏตีติ จินฺเตตฺวา เอกสฺส ปจฺเจกพุทฺธสฺส
ดังนี ้ คิดแล้ ว ว่า อ. อัน แม้ อนั เรา ได้ ซึง่ ผ้ ากาสาวะ ย่อมควร ชาตสฺสรํ โอรุยฺห นหายนฺตสฺส ตีเร €ปิ เตสุ กาสาเวสุ
ในกาลนี ้ ดังนี ้ ลักแล้ว ในผ้ากาสาวะ ท. อันอันพระปัจเจกพุทธเจ้า จีวรํ เถเนตฺวา เตสํ หตฺถีนํ คมนาคมนมคฺเค สตฺตึ
รูปหนึง่ ผู้ลงแล้ ว สูส่ ระอันเกิดแล้ ว อาบอยู่ ตังไว้ ้ แล้ ว ที่ฝั่ง หนา คเหตฺวา สสีสํ ปารุปิตฺวา นิสีทติ.
ซึง่ จีวร ถือเอาแล้ ว ซึง่ หอก ย่อมนัง่ คลุม (ซึง่ อวัยวะ) อันเป็ นไปกับ
ด้วยศีรษะ ใกล้หนทางเป็ นทีไ่ ปและเป็ นทีม่ า แห่งช้าง ท. เหล่านัน้ ฯ
อ. พรานนัน้ ประหารแล้ ว (ซึง่ ช้ าง) ตัวไปอยู่ ข้ างหลังแห่งช้ าง โส เตสํ สพฺพปจฺฉโต คจฺฉนฺตํ สตฺตยิ า
ทังปวง
้ แห่งช้ าง ท. เหล่านัน้ ด้ วยหอก (ยังช้ างนัน) ้ ให้ ตายแล้ ว ปหริ ตฺวา มาเรตฺวา ทนฺตาทีนิ คเหตฺวา เสสํ ภูมิยํ
ถือเอาแล้ ว (ซึง่ อวัยวะ ท.) มีงาเป็ นต้ น ฝั งแล้ ว ซึง่ อวัยวะอันเหลือ นิขนิตฺวา คจฺฉติ.
ในแผ่นดิน ย่อมไป ฯ
ในกาลอันเป็ นส่วนอืน่ อีก อ. พระโพธิสตั ว์ ถือเอาแล้ว ซึง่ ปฏิสนธิ อปรภาเค โพธิสตฺโต หตฺถิโยนิยํ ปฏิสนฺธึ
ในก� ำเนิดแห่งช้ าง เป็ นช้ างตัวเจริ ญที่สุด เป็ นเจ้ าแห่งโขลง คเหตฺวา หตฺถิเชฏฺ€โก ยูถปติ อโหสิ.
ได้ เป็ นแล้ ว ฯ
แม้ ในกาลนัน้ อ. พรานนัน้ ย่อมกระท�ำ อย่างนันนั ้ น่ เทียว ฯ ตทาปิ โส ตเถว กโรติ .
อ. พระมหาบุรุษ ทราบแล้ ว ซึง่ ความเสื่อมรอบ แห่งบริ ษัท มหาปุริโส อตฺตโน ปริ สาย ปริ หานึ ตฺวา
ของตน ถามแล้ว ว่า อ. ช้าง ท. เหล่านี ้ ไปแล้ว ในทีไ่ หน เป็ นสัตว์น้อย “กุหึ อิเม หตฺถี คตา มนฺทา ชาตาติ ปุจฺฉิตฺวา,
เกิดแล้ ว ดังนี ้,
อ. พรานนัน้ ครัน้ เมื่อช้ างตัวเหลือ ท. จบแล้ ว ไปแล้ ว, เห็นแล้ ว โส เสสหตฺถีสุ วนฺทิตฺวา คเตสุ, มหาปุริสํ อาคจฺฉนฺตํ
ซึง่ พระมหาบุรุษ ผู้มาอยู่ ม้ วนแล้ ว ซึง่ จีวร ปล่อยไปแล้ ว ซึง่ หอก ฯ ทิสฺวา จีวรํ สํหริ ตฺวา สตฺตึ วิสฺสชฺชิ.
อ. พระมหาบุรุษ เข้ าไปตังไว้ ้ แล้ ว ซึง่ สติ มาอยู่ ก้ าวกลับแล้ ว มหาปุริโส สตึ อุปฏฺ€เปตฺวา อาคจฺฉนฺโต
ข้ างหลัง ลวงแล้ ว ซึง่ หอก ฯ ปจฺฉโต ปฏิกฺกมิตฺวา สตฺตึ วฺเจสิ.
ครัง้ นัน้ (อ. พระ มหาบุรุษ) แล่นไปแล้ ว เพื่ออันจับ ซึง่ พรานนัน้ อถ นํ “อิมินา เม หตฺถี นาสิตาติ คณฺหิตํุ
(ด้ วยความส�ำคัญ) ว่า อ. ช้ าง ท. ของเรา อันบุรุษนี ้ให้ ฉิบหายแล้ ว ปกฺขนฺทิ.
ดังนี ้ ฯ
อ.พรานนอกนี ้ กระท�ำแล้ ว ซึง่ ต้ นไม้ ต้ นหนึง่ ข้ างหน้ า อิตโร เอกํ รุกฺขํ ปุรโต กตฺวา นิลียิ.
แอบแล้ ว ฯ
ครังนั
้ น้ อ. พระมหาบุรุษ รวบรัดแล้ว ซึง่ พรานนัน้ กับ ด้วยต้นไม้ อถ นํ รุกฺเขน สทฺธึ โสณฺฑาย ปริ กฺขิปิตฺวา
ด้ วยงวง (คิดแล้ ว) ว่า (อ. เรา) จับแล้ ว จักฟาด บนภาคพื ้น ดังนี ้ “คเหตฺวา ภูมิยํ โปเถสฺสามีติ เตน นีหริ ตฺวา ทสฺสติ ํ
เห็นแล้ ว ซึง่ ผ้ ากาสาวะ อันอันพรานนัน้ น�ำออกแล้ ว แสดงแล้ ว กาสาวํ ทิสฺวา “สจาหํ อิมสฺมึ ทุสฺสสิ ฺสามิ,
(ยังความโกรธ) ให้ อยูท่ บั แล้ ว (ด้ วยความคิด) ว่า ถ้ าว่า อ. เรา อเนกสหสฺเสสุ เม พุทฺธปฺปจฺเจกพุทฺธขีณาสเวสุ
จักประทุษร้ าย ในบุรุษนี ้ไซร้ , ชื่อ อ. ความละอาย ในพระพุทธเจ้ า ลชฺ ชา นาม ภินฺนา ภวิสฺสตีติ อธิ วาเสตฺวา
และพระปั จเจกพุทธเจ้ าและพระขีณาสพ ท. มีพนั มิใช่หนึง่ “ตยา เม เอตฺตกา าตกา นาสิตาติ ปุจฺฉิ.
เป็ นกิริยาอันเราท�ำลายแล้ ว จักเป็ น ดังนี ้ ถามแล้ ว ว่า อ. ญาติ ท.
มีประมาณเท่านี ้ ของเรา อันเจ้ า ให้ ฉิบหายแล้ วหรื อ ดังนี ้ ฯ
กล่าวแล้ ว ว่า อ. กรรมอันไม่ควรแล้ ว อันเจ้ ากระท�ำแล้ ว ดังนี ้ คาถํ วตฺวา “อยุตฺตนฺเต กตนฺติ วตฺวา ตํ วิสฺสชฺเชสิ.
ปล่อยแล้ ว ซึง่ พรานนัน้ (ดังนี ้) ฯ
อ. พระศาสดา เมือ่ ประทับอยู่ ในพระเวฬุวนั ทรงปรารภ “อสาเร สารมติโนติ อิมํ ธมฺมเทสนํ สตฺถา
ซึง่ การไม่มาแห่งปริ พาชกชื่อว่าสญชัย อันอันพระอัครสาวก ท. เวฬุวเน วิหรนฺโต ทฺวีหิ อคฺคสาวเกหิ นิเวทิตํ
สอง กราบทูลให้ ทรงทราบแล้ ว ตรัสแล้ ว ซึง่ พระธรรมเทศนา นี ้ ว่า สฺชยสฺส อนาคมนํ อารพฺภ กเถสิ.
อสาเร สารมติโน ดังนี ้เป็ นต้ น ฯ
อ.วาจาเป็ นเครื่ องกล่าวโดยล�ำดับ ในเรื่ องนัน้ นี ้ : ตตฺรายํ อนุปพุ ฺพีกถา: อมฺหากํ หิ สตฺถา อิโต
ดังจะกล่าวโดยพิสดาร อ. พระศาสดา ของเรา ท. เป็ นกุมารของ กปฺปสตสหสฺสาธิกานํ จตุนฺนํ อสงฺเขยฺยานํ มตฺถเก
พราหมณ์ ชือ่ ว่าสุเมธ ในเมืองชือ่ ว่าอมรวดี ในทีส่ ดุ แห่งอสงไขย ท. อมรวตีนคเร สุเมโธ นาม พฺราหฺมณกุมาโร หุตฺวา
๔ อันยิง่ ด้วยแสนแห่งกัปป์ แต่ภทั ทกัปป์นี ้ เป็ น ถึงแล้ว ซึง่ ความส�ำเร็จ สพฺพสิปปฺ านํ นิปผฺ ตฺตึ ปตฺโต มาตาปิ ตูนํ อจฺจเยน
แห่งศิลปะทังปวง ้ ท. บริ จาคแล้ ว ซึง่ ทรัพย์ อันบุคคลพึงนับพร้ อม อเนกโกฏิสงฺขฺยํ ธนํ ปริ จฺจชิตฺวา อิสปิ พฺพชฺชํ
ด้ วยโกฏิมิใช่หนึง่ โดยอันล่วงไป แห่งมารดาและบิดา ท. บวชแล้ ว ปพฺพชิตฺวา หิมวนฺเต วสนฺโต ฌานาภิฺาโย
บวชโดยความเป็ นฤาษี อยูอ่ ยู่ ในป่ าหิมพานต์ ยังฌานและอภิญญา นิพฺพตฺเตตฺวา อากาเสน คจฺฉนฺโต ทีปงฺกรทสพลสฺส
ท. ให้ บงั เกิดแล้ ว ไปอยู่ โดยอากาศ เห็นแล้ ว ซึง่ หนทาง สุทสฺสนวิหารโต อมรวตีนครํ ปวิสนตฺถาย มคฺคํ
อันอันบุคคลช�ำระอยู่ เพื่อประโยชน์แก่การเสด็จเข้ าไป สูเ่ มือง โสธิยมานํ ทิสฺวา สยํปิ เอกํ ปเทสํ คเหตฺวา, ตสฺมึ
ชื่อว่าอมรวดี จากวิหารชื่อว่าสุทศั น์ แห่งพระทศพลพระนามว่า อนิฏฺ€ิเตเยว อาคตสฺส สตฺถโุ น อตฺตานํ เสตุํ กตฺวา
ทีปังกร ถือเอาแล้ ว ซึง่ ประเทศ แห่งหนึง่ แม้ เอง, ครัน้ เมื่อ อชินิจมฺมํ กลเล อตฺถริ ตฺวา “สตฺถา สสาวกสงฺโฆ
ประเทศนัน้ ไม่สำ� เร็จแล้วนัน่ เทียว กระท�ำแล้ว ซึง่ ตน ให้เป็ นสะพาน กลลํ อนกฺกมิตฺวา มํ อกฺกมนฺโต คจฺฉตูติ นิปนฺโน,
เพือ่ พระศาสดา ผู้เสด็จมาแล้ว ลาดแล้ว ซึง่ แผ่นหนังของเสือเหลือง สตฺถารา ทิสฺวาว “พุทฺธงฺกโุ ร เอส อนาคเต กปฺปสต-
บนเปื อกตม นอนแล้ ว ด้ วยความประสงค์ ว่า สหสฺสาธิกานํ จตุนฺนํ อสงฺเขยฺยานํ ปริ โยสาเน
อ.พระศาสดาผู้เป็ นไปกับด้ วยหมูแ่ ห่งพระสาวก ไม่ทรงเหยียบแล้ ว โคตโม นาม พุทฺโธ ภวิสฺสตีติ พฺยากโต,
ซึง่ เปื อกตม ขอจงทรงเหยียบอยู่ ซึง่ เรา เสด็จไป ดังนี ้,
ผู้อนั พระศาสดา ทรงเห็นแล้ วเทียว ทรงพยากรณ์แล้ ว ว่า
อ.บุรุษนัน่ ผู้เป็ นหน่อเนื ้อของพระพุทธเจ้ า เป็ นพระพุทธเจ้ า
พระนามว่าโคดม จักเป็ น ในกาลเป็ นทีส่ ดุ ลงรอบ แห่งอสงไขย ท.
สี่ อันยิ่งด้ วยแสนแห่งกัปป์ ในกาลอันไม่มาแล้ ว ดังนี ้,
ข้าแต่พระมหาวีระ อ. กาลนี ้ เป็ นกาล ของพระองค์ “กาโลยนฺเต มหาวีร, อุปปฺ ชฺช มาตุกจุ ฺฉิยํ,
(ย่อมเป็ น), (อ. พระองค์) เสด็จอุบตั ิ แล้ว ในพระครรภ์
ของพระมารดา (ทรงยังโลก) อันเป็ นไปกับด้วยเทวโลก สเทวกํ ตารยนฺโต พุชฺฌสฺสุ อมตํ ปทนฺติ
ให้ขา้ มอยู่ ขอจงตรัสรู้ ซึ่งความไม่ประมาทเป็ นเครื ่องถึง
ซึ่งอมตะ ดังนี ้
(อ. พระสิ ทธัตถะนี ้ ผูเ้ ช่นนี ้ เป็ นพระโอรส ของพระมารดาใด “นิ พพฺ ตุ า นูน สา มาตา, นิ พพฺ โุ ต นูน โส ปิ ตา,
ย่อมเป็ น) อ.พระมารดานัน้ ทรงดับแล้ว แน่, (อ. พระสิ ทธัตถะ
นี ้ ผูเ้ ช่นนี ้ เป็ นพระโอรส ของพระบิ ดาใด ย่อมเป็ น) นิ พพฺ ตุ า นูน สา นารี , ยสฺสายํ อีทิโส ปตีติ
อ. พระบิ ดานัน้ ทรงดับแล้ว แน่, อ. พระสิ ทธัตถะนี ้ ผูเ้ ช่นนี ้
เป็ นพระสวามี ของพระนางใด (ย่อมเป็ น) อ. พระนางนัน้
ทรงดับแล้ว แน่ ดังนี ้
(ทรงด�ำริ แล้ ว) ว่า อ. เรา เป็ นผู้อนั พระนางกิสาโคตมีนี ้ กิสาโคตมิยา นาม ปิ ตุจฺฉาธีตาย ภาสิตํ อิมํ
ให้ ฟังแล้ ว ซึง่ บทว่าทุกข์ดบั แล้ ว (ย่อมเป็ น) ดังนี ้ ทรงเปลื ้องแล้ ว คาถํ สุตฺวา “อหํ อิมาย นิพฺพตุ ปทํ สาวิโตติ
ซึง่ แก้ วมุกดาหาร จากพระศอ ทรงส่งไปแล้ ว แก่พระนางกิสาโคตมี คีวโต มุตฺตาหารํ โอมฺุจิตฺวา ตสฺสา เปเสตฺวา
นัน้ เสด็จเข้ าไปแล้ ว สูภ่ พ ของพระองค์ ประทับนัง่ แล้ ว บนที่เป็ นที่- อตฺตโน ภวนํ ปวิสติ ฺวา สิริสยเน นิสนิ ฺโน,
บรรทมอันเป็ นสิริ, ทรงเห็นแล้ว ซึง่ ประการอันแปลก ของหญิงนักฟ้อน นิทฺทปู คตานํ นาฏกิตฺถีนํ วิปปฺ การํ ทิสฺวา
ท. ผู้เข้ าถึงแล้ วซึง่ ความหลับ ผู้มีพระทัยอันเบื่อหน่ายแล้ ว นิพฺพินฺนหทโย ฉนฺนํ อุฏฺ€าเปตฺวา กนฺถกํ
ทรงยังนายฉันนะ ให้ลกุ ขึ ้นแล้ว ทรงให้นำ� มาแล้ว ซึง่ ม้าชือ่ ว่ากันถกะ อาหราเปตฺวา กนฺถกํ อารุยฺห ฉนฺนสหาโย
เสด็จขึ ้นแล้ ว สูม่ ้ าชื่อว่ากันถกะ ผู้มีนายฉันนะเป็ นสหาย ทสสหสฺสจกฺกวาฬเทวตาหิ ปริ วโุ ต มหาภินิกฺขมนํ
ผู้อนั เทวดาในจักรวาฬหมืน่ หนึง่ ท. แวดล้ อมแล้ ว เสด็จออกไปแล้ ว นิกฺขมิตฺวา อโนมานทีตีเร ปพฺพชิตฺวา อนุกฺกเมน
เสด็จออกเพือ่ คุณอันยิง่ ใหญ่ ผนวชแล้ ว ทีฝ่ ั่ งแห่งแม่นำ� ช้ อื่ ว่าอโนมา ราชคหํ คนฺตฺวา ตตฺถ ปิ ณฺฑาย จริ ตฺวา
เสด็จไปแล้ ว สูเ่ มืองชื่อว่าราชคฤห์ โดยล�ำดับ เสด็จเที่ยวไปแล้ ว ปณฺฑวปพฺพตปพฺภาเร นิสนิ ฺโน มคธรฺา รชฺเชน
ในเมืองชื่อว่าราชคฤห์นนั ้ เพื่อก้ อนข้ าว ประทับนัง่ แล้ ว ที่เงื ้อม นิมนฺตยิ มาโน ตํ ปฏิกฺขิปิตฺวา สพฺพฺุตํ ปตฺวา
แห่งภูเขาชื่อว่าปั ณฑวะ ผู้อนั พระราชาผู้เป็ นใหญ่ในแว่นแคว้ น อตฺตโน วิชิตํ อาคมนตฺถาย เตน คหิตปฏิฺโ
ชือ่ ว่ามคธทรงเชื ้อเชิญอยู่ ด้วยความเป็ นแห่งพระราชา ทรงห้ามแล้ว อาฬารฺจ อุทฺทกฺจ อุปสงฺกมิตฺวา เตสํ สนฺตเิ ก
ซึง่ ความเป็ นแห่งพระราชานัน้ ผู้มีปฏิญญาอันพระราชานัน้ อธิคตวิเสสํ อนลงฺกริ ตฺวา ฉพฺพสฺสานิ มหาปธานํ
ทรงรับแล้ ว เพื่อประโยชน์แก่การ บรรลุแล้ ว ซึง่ ความเป็ น- ปทหิตฺวา วิสาขปุณฺณมีทิวเส ปาโตว สุชาตาย
แห่งพระสัพพัญญู เสด็จมา สูแ่ ว่นแคว้ น ของพระองค์ ทินฺนํ ปายาสํ ปริ ภ ุ ฺชิตฺวา
เสด็จเข้ าไปหาแล้ ว ซึง่ ดาบสชื่อว่าอาฬาระด้ วย ซึง่ ดาบส
ชื่อว่าอุทกะด้ วย ไม่ทรงกระท�ำให้ พอแล้ ว ซึง่ คุณวิเศษอันพระองค์
ทรงถึงทับแล้ ว ในส�ำนัก ของดาบส ท. เหล่านัน้ ทรงเริ่ มตังแล้ ้ ว
ซึง่ ความเพียรใหญ่ สิ ้นปี หก ท. เสวยแล้ ว ซึง่ ข้ าวปายาส
อันอันนางสุชาดาถวายแล้ ว ในเวลาเช้ าเทียว ในวันคือดิถี
มีพระจันทร์ อนั เต็มแล้ วด้ วยวิสาขฤกษ์
(อ. พระศาสดา) ทรงยังกุมาร ท. ทังปวงแม้ ้ เหล่านัน้ ให้บวชแล้ว เตปิ สพฺเพ เอหิภิกฺขภุ าเวเนว ปพฺพาเชตฺวา
ด้ วยความเป็ นแห่งเอหิภิกขุนนั่ เทียว ทรงส่งไปแล้ ว ในทิศ ท. ทิสาสุ เปเสตฺวา สยํ อุรุเวลํ คนฺตฺวา อฑฺฒฑุ ฺฒานิ
เสด็จไปแล้ ว สูป่ ระเทศชื่อว่าอุรุเวลา เอง ทรงแสดงแล้ ว ซึง่ พัน ปาฏิหาริ ยสหสฺสานิ ทสฺเสตฺวา อุรุเวลกสฺสปาทโย
แห่งปาฏิหาริย์ ท. ที่ ๔ ด้วยทังกึ ้ ง่ ทรงแนะน�ำแล้ว ซึง่ ชฎิลพีน่ ้ องชาย สหสฺสชฏิลปริ วาเร เตภาติกชฏิเล วิเนตฺวา เอหิภิกฺขุ
๓ คน ท. มีชฎิลพันหนึง่ เป็ นบริ วาร มีชฎิลชื่อว่าอุรุเวลากัสสปะ ภาเวเนว ปพฺพาเชตฺวา คยาสีเส นิสีทาเปตฺวา
เป็ นต้ น ให้ บวชแล้ ว ด้ วยความเป็ นแห่งเอหิภิกขุนนั่ เทียว ให้ นงั่ แล้ ว อาทิตฺตปริ ยายเทสนาย อรหตฺเต ปติฏฺ€าเปตฺวา
ณ ประเทศชื่อว่าคยาสีสะ ให้ ตงอยู ั ้ เ่ ฉพาะแล้ ว ในพระอรหัต เตน อรหนฺตสหสฺเสน ปริ วโุ ต “พิมพฺ ิสารรฺโ
ทินฺนํ ปฏิฺํ โมเจสฺสามีติ ราชคหนครุปจาเร
ด้ วยเทศนาคืออาทิตตปริ ยายสูตร ผู้อนั พันแห่งพระอรหันต์ นัน้
ลฏฺ€ิวนุยฺยานํ คนฺตฺวา “สตฺถา กิร อาคโตติ
แวดล้ อมแล้ ว (ทรงด�ำริ แล้ ว) ว่า (อ. เรา) จักเปลื ้อง ซึง่ ปฏิญญา สุตฺวา ทฺวาทสนหุเตหิ พฺราหฺมณคหปติเกหิ สทฺธึ
อันอันเราให้แล้ว แก่พระราชาพระนามว่าพิมพิสาร ดังนี ้ เสด็จไปแล้ว อาคตสฺส รฺโ มธุรธมฺมกถํ กเถนฺโต ราชานํ
สูส่ วนชื่อว่าลัฏฐิ วนั ใกล้ อปุ จารแห่งเมืองชื่อว่าราชคฤห์ ตรัสอยู่ เอกาทสหิ นหุเตหิ สทฺธึ โสตาปตฺตผิ เล
ซึง่ วาจาเป็ นเครื่องกล่าวซึง่ ธรรมอันไพเราะ แก่พระราชาผู้ทรงสดับแล้ว ปติฏฺ€าเปตฺวา เอกํ นหุตํ สรเณสุ ปติฏฺ€าเปตฺวา
ว่า ได้ ยินว่า อ.พระศาสดา เสด็จมาแล้ ว ดังนี ้ เสด็จมาแล้ ว
กับ ด้ วยพราหมณ์และคฤหบดี ท. มีหมื่นสิบสองเป็ นประมาณ
ทรงยังพระราชา กับ ด้ วยนหุต ท. ๑๑ ให้ ตงอยู ั ้ เ่ ฉพาะแล้ ว
ในโสดาปั ตติผล ทรงยังนหุตหนึง่ ให้ ตงอยู ั ้ เ่ ฉพาะแล้ ว ในสรณะ ท.
ก็ อ. ชน ท. ๒ คิดแล้ ว อย่างนี ้ ว่า อ. วัตถุอะไรอัน (อันเรา ท.) เทฺว ปน ชนา เอวํ จินฺตยึสุ “ กึ เอตฺถ
พึงแลดู ในมหรสพนี ้ มีอยู,่ อ. ชน ท. เหล่านี ้ แม้ ทงปวง ั้ โอโลเกตพฺพํ อตฺถิ, สพฺเพปิ เม อปฺปตฺเต วสฺสสเต
ครัน้ เมื่อร้ อยแห่งปี ไม่ถงึ แล้ ว จักถึง ซึง่ ความเป็ นแห่งบุคคล อปณฺณตฺตกิ ภาวํ คมิสฺสนฺต,ิ อมฺเหหิ ปน เอกํ
ผู้ไม่มีบญ ั ญัต,ิ ก็ อ. อัน อันเรา ท. แสวงหาซึง่ ธรรมเป็ นเหตุพ้น โมกฺขธมฺมํ ปริ เยสิตํุ วฏฺฏตีติ อารมฺมณํ คเหตฺวา
อย่างหนึง่ ย่อมควร ดังนี ้ นัง่ ถือเอาแล้ ว (กระท�ำ) ให้ เป็ นอารมณ์ ฯ นิสีทสึ .ุ
ในล�ำดับนัน้ อ. โกลิตะ กล่าวแล้ ว กะอุปติสสะ ว่า แน่ะอุปติสสะ ตโต โกลิโต อุปติสฺสํ อาห “สมฺม อุปติสฺส
ผู้สหาย อ.ท่าน เป็ นผู้ร่าเริ งแล้ วและร่าเริ งทัว่ แล้ ว ราวกะว่า ตฺวํ น อชฺเชสุ ทิวเสสุ วิย หฏฺฐปหฏฺโฐ, อิทานิ
(ผู้ร่าเริ งแล้ วและร่าเริ งทัว่ แล้ ว) ในวัน ท. เหล่าอื่น (ย่อมเป็ น) อนตฺตมนธาตุโกสิ, กินฺเต สลฺลกฺขิตนฺต.ิ
หามิได้ , ในกาลนี ้ (อ. ท่าน) เป็ นผู้มีธาตุของบุคคลผู้มีใจมิใช่-
เป็ นของมีอยูแ่ ห่งตน ย่อมเป็ น, อ. อะไร อันท่าน ก�ำหนดได้ แล้ ว
ดังนี ้ ฯ
อ. อุปติสสะนัน้ กล่าวแล้ ว ว่า แน่ะโกลิตะ ผู้สหาย (อ. เรา) โส อาห “สมฺม โกลิต `เอเตสํ โอโลกเน สาโร
เป็ นผู้นงั่ คิดอยูแ่ ล้ ว ซึง่ เหตุนี ้ ว่า อ. สาระ ในการแลดู ซึง่ ชน ท. นตฺถิ, นิรตฺถกเมตํ, อตฺตโน โมกฺขธมฺมํ คเวสิตํุ
เหล่านัน่ ย่อมไม่ม,ี อ. การดูแลนัน่ เป็ นของไม่มปี ระโยชน์ (ย่อมเป็ น), วฏฺฏตีติ อิทํ จินฺตยนฺโต นิสนิ ฺโนมฺหิ, ตฺวํ ปน
อ. อัน (อันเรา ท.) แสวงหา ซึง่ ธรรมเป็ นเครื่ องหลุดพ้ น เพื่อตน ย่อม กสฺมา อนตฺตมโนสีต.ิ โสปิ ตเถวาห.
ควร ดังนี ้ ย่อมเป็ น, ก็ อ. ท่าน เป็ นผู้มีใจมิใช่เป็ นของมีอยูแ่ ห่งตน
ย่อมเป็ น เพราะเหตุอะไร ดังนี ้ ฯ อ. โกลิตะแม้ นนั ้ กล่าวแล้ ว
อย่างนันนั ้ น่ เทียว ฯ
ครัง้ นัน้ อ. อุปติสสะ รู้แล้ ว ซึง่ ความที่แห่งโกลิตะนันเป็้ น- อถสฺส อตฺตนา สทฺธึ เอกชฺฌาสยตํ ญตฺวา
ผู้มีอธั ยาศัยเป็ นอันเดียวกัน กับ ด้ วยตน กล่าวแล้ ว ว่า แน่ะสหาย อุปติสฺโส อาห “สมฺม อมฺหากํ อุภินฺนํปิ สุจินฺติตํ,
(อ. เหตุ) อันเรา ท. แม้ ทงสองคิ
ั้ ดกันดีแล้ ว, ก็ อ. อัน (อันเรา ท.) โมกฺขธมฺมํ ปน คเวสิตํุ วฏฺฏติ, คเวสนฺเตหิ
แสวงหา ซึง่ ธรรมเป็ นเหตุพ้น ย่อมควร, อ. อัน (อันชน ท.) ชื่อว่า นาม เอกํ ปพฺพชฺชํ ลทฺธํุ วฏฺฏติ, กสฺส สนฺตเิ ก
ผู้แสวงหาอยู่ ได้ ซึง่ การบวช อย่างหนึง่ ย่อมควร, (อ. เรา ท.) ปพฺพชามาติ.
จะบวช ในส�ำนัก ของใคร ดังนี ้ ฯ
ก็ โดยสมัยนันแล ้ อ. ปริ พาชก ชื่อว่าสญชัย ย่อมอยูเ่ ฉพาะ เตน โข ปน สมเยน สฃฺชโย ปริ พฺพาชโก
ในเมืองชื่อว่าราชคฤห์ กับ ด้ วยบริ ษัทคือปริ พาชก หมูใ่ หญ่ ฯ ราชคเห ปฏิวสติ มหติยา ปริ พฺพาชกปริ สาย สทฺธึ.
อ. ชน ท. เหล่านัน้ (ปรึกษากันแล้ ว) ว่า (อ. เรา ท.) จักบวช เต “ ตสฺส สนฺตเิ ก ปพฺพชิสฺสามาติ
ในส�ำนัก ของปริ พาชกนัน้ ดังนี ้ ส่งไปแล้ ว ซึง่ ร้ อยแห่งมาณพห้ า ท. ปญฺจมาณวกสตานิ “สิวิกาโย จ รเถ จ คเหตฺวา
(ด้ วยค�ำ) ว่า (อ. ท่าน ท.) ถือเอา ซึง่ วอ ท. ด้ วย ซึง่ รถ ท. ด้ วย คจฺฉถาติ อุยฺโยเชตฺวา ปญฺจหิ มาณวกสเตหิ
จงไปเถิด ดังนี ้ บวชแล้ ว ในส�ำนัก ของปริ พาชกชื่อว่าสญชัย สทฺธึ สญฺชยสฺส สนฺตเิ ก ปพฺพชึส.ุ
กับ ด้ วยร้ อยแห่งมาณพ ท. ๕ ฯ
อ. ปริ พาชกชื่อว่าสญชัย เป็ นผู้ถงึ แล้ วซึง่ ลาภอันเลิศและยศ เตสํ ปพฺพชิตกาลโต ปฏฺฐาย สญฺ ชโย
อันเลิศยิ่งเกิน ได้ เป็ นแล้ ว จ�ำเดิม แต่กาล แห่งชน ท. ๒ เหล่านัน้ อติเรกลาภคฺคยสคฺคปฺปตฺโต อโหสิ.
บวชแล้ ว ฯ
(ครัน้ เมื่อค�ำ) ว่า (อ. ลัทธิเป็ นเหตุร้ ู ของเรา) มีประมาณ “เอตฺตโกว, สพฺพํ ตุมเฺ หหิ ฃาตนฺติ วุตฺเต, เต
เท่านี ้เทียว, (ชานนํ อ. ความรู้) ทังปวง ้ อันท่าน ท. รู้แล้ ว ดังนี ้ จินตฺ ยึสุ “เอวํ สติ, อิมสฺส สนฺตเิ ก พฺรหฺมจริยวาโส
(อันปริพาชกชือ่ ว่าสญชัย) กล่าวแล้ว, อ. สหาย ท. ๒ เหล่านัน้ คิดแล้ว นิรตฺถโก, มยํ โมกฺขธมฺมํ คเวสิตํุ นิกฺขนฺตา, โส
ว่า ครัน้ เมื่อความเป็ นอย่างนัน้ (มีอยู)่ , อ. การอยู่ เพื่อพรหมจรรย์ อิมสฺส สนฺติเก อุปปฺ าเทตุํ น สกฺกา, มหา โข
ในส�ำนัก ของอาจารย์นี ้ เป็ นสภาพไม่มีประโยชน์ (ย่อมเป็ น), ปน ชมฺพทุ โี ป, คามนิคมชนปทราชธานิโย จรนฺตา
อ. เรา ท. เป็ นผู้ออกไป แล้ ว เพื่ออันแสวงหา ซึง่ ธรรมเป็ นเหตุพ้น อทฺธา โมกฺขธมฺมเทสกํ กญฺจิ อาจริยํ ลภิสสฺ ามาติ.
(ย่อมเป็ น), อ. ธรรมเป็ นเหตุพ้นนัน้ (อันเรา ท.) ไม่อาจ เพือ่ อันให้เกิดขึ ้น
ในส�ำนัก ของอาจารย์นี ้ , ก็ อ.ชมพูทวีป เป็ นทวีปใหญ่แล
(ย่อมเป็ น), อ. เรา ท. เที่ยวไปอยู่ สูบ่ ้ านและนิคมและชนบทและ
ราชธานี ท. จักได้ ซึง่ อาจารย์ บางคน ผู้แสดงซึง่ ธรรมเป็ นเหตุพ้น
แน่แท้ ดังนี ้ ฯ
(อ. ชน ท.) ย่อมกล่าว ว่า อ. สมณะและพราหมณ์ ท. ผู้ฉลาด ตโต ปฏฺ ฐาย “ยตฺ ถ ยตฺ ถ ปณฺ ฑิ ต า
มีอยู่ ในที่ใด ๆ ดังนี ้; (อ. สหาย ท. ๒ เหล่านัน)้ ไปแล้ ว ในที่นนั ้ ๆ สมณพฺราหฺมณา สนฺตีติ วทนฺติ; ตตฺถ ตตฺถ
ย่อมกระท�ำ ซึง่ การสนทนา จ�ำเดิม แต่กาลนัน้ ฯ คนฺตฺวา สากจฺฉํ กโรนฺต.ิ
อ. ชน ท. เหล่าอื่น ย่อมไม่อาจ เพื่ออันกล่าว ซึง่ ปั ญหา เตหิ ปุฏฺฐปญฺหํ อญฺเญ กเถตุํ น สกฺโกนฺต,ิ เต
อันอันสหาย ท. ๒ เหล่านันถามแล้้ ว, แต่วา่ อ. สหาย ท. ๒ เหล่านัน้ ปน เตสํ ปฃฺหํ วิสฺสชฺเชนฺต.ิ
ย่อมแก้ ซึง่ ปั ญหา ของชน ท. เหล่านัน้ ฯ
(อ. สหาย ท. ๒ เหล่านัน) ้ สอบสวนแล้ ว ซึง่ ชมพูทวีป เอวํ สกลชมฺพทุ ีปํ ปริ คฺคณฺหิตฺวา นิวตฺตติ ฺวา
ทังสิ้ ้น อย่างนี ้ กลับแล้ ว มาแล้ ว สูท่ ี่อนั เป็ นของตนนัน่ เทียว สกฏฺฐานเมว อาคนฺตฺวา “สมฺม โกลิต อมฺเหสุ โย
ได้ กระท�ำแล้ ว ซึง่ กติกา ว่า แน่ะโกลิตะ ผู้สหาย ในเรา ท. หนา ปฐมํ อมตํ อธิคจฺฉติ, โส อาโรเจตูติ กติกํ อกํส.ุ
อ. บุคคลใด ย่อมถึงทับซึง่ ธรรมอัน ไม่ตายแล้ ว ก่อน, อ. บุคคลนัน้
จงบอก (แก่สหายนอกนี ้) ดังนี ้ ฯ
ครัน้ เมื่อสหาย ท. ๒ เหล่านัน้ กระท�ำแล้ ว ซึง่ กติกา อยูอ่ ยู่ เอวํ เตสุ กติกํ กตฺวา วิหรนฺเตสุ, สตฺถา
อย่างนี ้, อ. พระศาสดา เสด็จถึงแล้ ว ซึง่ เมืองชื่อว่าราชคฤห์ วุตตฺ านุกกฺ เมน ราชคหํ ปตฺวา เวฬุวนํ ปฏิคคฺ เหตฺวา
ตามล�ำดับแห่งค�ำอันข้ าพเจ้ ากล่าวแล้ ว ทรงรั บเฉพาะแล้ ว เวฬุวเน วิหรติ.
ซึง่ พระเวฬุวนั ประทับอยูอ่ ยู่ ในพระเวฬุวนั ฯ
ในสมัยนัน้ อ. ปริพาชกชือ่ ว่าอุปติสสะ กระท�ำแล้ว ซึง่ กิจด้วยภัตร ตสฺมึ สมเย อุปติสสฺ ปริพพฺ าชโก ปาโตว ภตฺตกิจจฺ ํ
ในเวลาเช้ าเทียว ไปอยู่ สูอ่ ารามของปริ พาชก เห็นแล้ ว ซึง่ พระเถระ กตฺวา ปริ พฺพาชการามํ คจฺฉนฺโต เถรํ ทิสฺวา
ครัง้ นัน้ อ. ความปริวติ กนัน่ ว่า (อ. กาลนี ้) เป็ นสมัยมิใช่กาลแล อถสฺส เอตทโหสิ “อกาโล โข อิมํ ภิกฺขํุ
เพื่ออันถาม ซึง่ ปั ญหา กะภิกษุนี ้ (ย่อมเป็ น), (อ. ภิกษุนี ้) เข้ าไปแล้ ว ปญฺหํ ปุจฺฉิตํ,ุ อนฺตรฆรํ ปวิฏฺโฐ ปิ ณฺฑาย จรติ;
สูร่ ะหว่างแห่งเรื อน ย่อมเที่ยวไป เพื่อบิณฑะ; กระไรหนอ อ. เรา ยนฺนนู าหํ อิมํ ภิกฺขํุ ปิ ฏฺฐิโต ปิ ฏฺฐิโต อนุพนฺเธยฺยํ,
แสวงหาอยู่ (ซึง่ ธรรมเป็ นเหตุพ้น) อันอันชน ท. ผู้มีความต้ องการ อตฺถิเกหิ อุปญาตํ มคฺคนฺต.ิ
เข้ าไปรู้แล้ ว พึงติดตาม ซึง่ ภิกษุนี ้ ข้ างหลัง ข้ างหลัง ดังนี ้ ได้ มีแล้ ว
แก่ปริ พาชกชื่อว่าอุปติสสะนัน้ ฯ
อ.ปริ พาชกชื่อว่าอุปติสสะ นัน้ เห็นแล้ ว ซึง่ พระเถระ โส เถรํ ลทฺธปิ ณฺฑปาตํ อญฺญตรํ โอกาสํ
ผู้มีบณ ิ ฑบาตอันได้ แล้ ว ผู้ไปอยู่ สูโ่ อกาส โอกาสใดโอกาสหนึง่ ด้ วย คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา นิสีทิตกุ ามตญฺจสฺส ญตฺวา อตฺตโน
ทราบแล้ ว ซึง่ ความที่แห่งพระเถระนัน้ เป็ นผู้ใคร่เพื่ออันนัง่ ด้ วย ปริ พฺพาชกปี ฐกํ ปญฺญาเปตฺวา อทาสิ.
ได้ ตงั ้ ซึง่ ตัง่ แห่งปริ พาชก ของตน ถวายแล้ ว ฯ
(อ.ปริ พาชกชื่อว่าอุปติสสะนัน)้ ได้ ถวายแล้ ว ซึง่ น� ้ำ ในลักจัน่ ภตฺตกิจฺจปริ โยสาเนปิ สฺส อตฺตโน กุณฺฑิกาย-
ของตน แก่พระเถระนัน้ แม้ ในกาลเป็ นที่สุดลงรอบแห่งกิ จ อุทกํ อทาสิ.
ด้ วยภัตร ฯ
(อ. ปริ พาชกชื่อว่าอุปติสสะนัน) ้ ครัน้ กระท�ำแล้ ว ซึง่ วัตร- เอวํ อาจริ ยวตฺตํ กตฺวา กตภตฺตกิจฺเจน เถเรน
เพื่ออาจารย์ อย่างนี ้ กระท�ำแล้ ว ซึง่ การต้ อนรับอันมีรสหวาน กับ สทฺธึ มธุรปฏิสนฺถารํ กตฺวา เอวมาห “วิปปฺ สนฺนานิ
ด้ วยพระเถระ ผู้มีกิจด้ วยภัตรอันกระท�ำแล้ ว กล่าวแล้ ว อย่างนี ้ โข เต อาวุโส อินฺทฺริยานิ, ปริ สทุ ฺโธ ฉวิวณฺโณ
ถามแล้ ว ว่า ข้ าแต่ทา่ นผู้มีอายุ อ. อินทรี ย์ ท. ของท่าน ผ่องใสแล้ ว ปริ โยทาโต; กํสิ ตฺวํ อาวุโส อุทฺทิสฺส ปพฺพชิโต,
แล, อ. สีแห่งผิว หมดจดรอบแล้ว ผุดผ่องรอบแล้ว; ข้าแต่ทา่ นผู้มอี ายุ โก วา เต สตฺถา, กสฺส วา ตฺวํ ธมฺมํ โรเจสีติ ปุจฺฉิ.
อ. ท่าน เป็ นผู้บวชแล้ ว เจาะจง ซึง่ ใคร ย่อมเป็ น, อ. ใคร เป็ นครู
ของท่าน (ย่อมเป็ น) หรื อ, หรื อว่า อ. ท่าน ย่อมชอบใจ ซึง่ ธรรม
ของใคร ดังนี ้ ฯ
อ. พระเถระ คิดแล้ ว ว่า ชื่อ อ. ปริ พาชก ท. เหล่านี ้ เถโร จินฺเตสิ “ อิเม ปริ พฺพาชกา นาม
เป็ นปฏิปักข์ตอ่ พระศาสนาเป็ นแล้ ว (ย่อมเป็ น), อ. เรา จักแสดง สาสนสฺส ปฏิปกฺขภูตา, อิมสฺส สาสเน คมฺภีรตํ
ซึง่ ความที่แห่งธรรมในพระศาสนา เป็ นสภาพลึกซึ ้ง แก่ปริ พาชกนี ้ ทสฺเสสฺสามีติ อตฺตโน นวกภาวํ ทสฺเสนฺโต อาห
ดังนี ้ เมื่อแสดง ซึง่ ความที่แห่งตนเป็ นผู้ใหม่ กล่าวแล้ ว ว่า “อหํ โข อาวุโส นโว อจิรปพฺพชิโต อธุนาคโต อิมํ
ดูกอ่ นท่านผู้มอี ายุ อ. เราแล เป็ นผู้ใหม่ เป็ นผู้บวชแล้วสิ ้นกาลไม่นาน ธมฺมวินยํ, น ตาว สกฺขิสฺสามิ วิตฺถาเรน ธมฺมํ
เป็ นผู้มาแล้ ว สูพ่ ระธรรมและพระวินยั นี ้ โดยกาลไม่นาน เทเสตุนฺต.ิ
(ย่อมเป็ น), อ. เรา จักไม่อาจ เพือ่ อันแสดง ซึง่ ธรรม โดยพิสดาร ก่อน
ดังนี ้ ฯ
อ.ปริ พาชก กล่าวแล้ ว ว่า อ. เรา เป็ นผู้ชื่อว่าอุปติสสะ ปริพพฺ าชโก “อหํ อุปติสโฺ ส นาม, ตฺวํ ยถาสตฺตยิ า
(ย่อมเป็ น), อ. ท่าน จงกล่าว (ซึง่ ธรรม) อันน้ อยหรื อ หรื อว่าอันมาก อปฺปํ วา พหุํ วา วท, เอตํ นยสเตน นยสหสฺเสน
ตามความสามารถอย่างไร, อ. อันรู้ตลอด ซึง่ ธรรมนัน่ ด้วยร้ อยแห่งนัย ปฏิวิชฺฌิตํุ มยฺหํ ภาโรติ วตฺวา อาห
ด้ วยพันแห่งนัย เป็ นภาระ ของเรา (ย่อมเป็ น) ดังนี ้ กล่าวแล้ ว ว่า
อ. พระตถาคตเจ้า (ตรัสแล้ว) ซึ่งเหตุ แห่ง-อ. ธรรม ท. “เย ธมฺมา เหตุปปฺ ภวา, เตสํ เหตุํ ตถาคโต,
เหล่าใด เป็ นสภาพมี เหตุเป็ นแดนเกิ ดก่อน (ย่อมเป็ น),
-ธรรม ท. เหล่านัน้ (ด้วย), (ซึ่งเหตุ แห่ง-อ. ความดับใด เตสฺจ โย นิ โรโธ จ; เอวํวาที มหาสมโณติ
แห่งธรรม ท. เหล่านัน้ -ความดับนัน้ ) ด้วย, อ. พระมหาสมณะ
เป็ นผูม้ ี อนั ตรัสอย่างนีเ้ ป็ นปกติ (ย่อมเป็ น) ดังนี ้ ฯ
คาถมาห.
อ.ปริ พาชก ฟั งแล้ ว ซึง่ หมวดสองแห่งบทที่หนึง่ นัน่ เทียว ปริ พฺพาชโก ป€มปททฺวยเมว สุตฺวา สหสฺสนย-
ตังอยู
้ เ่ ฉพาะแล้ว ในโสดาปัตติผล อันถึงพร้ อมแล้วด้วยนัยพันหนึง่ ฯ สมฺปนฺเน โสตาปตฺตผิ เล ปติฏฺ€หิ. อิตรํ ปททฺวยํ
(อ. พระเถระ) ยังหมวดสองแห่งบท นอกนี ้ ให้ จบแล้ ว ในกาล โสตาปนฺนกาเล นิฏฺ€าเปสิ.
(แห่งปริ พาชก) เป็ นพระโสดาบัน ฯ
อ. ปริ พาชกนัน้ เป็ นพระโสดาบัน เป็ น ครัน้ เมื่อคุณวิเศษ โส โสตาปนฺโน หุตวฺ า อุปริวเิ สเส อปฺปวตฺตนฺเต
ในเบื ้องบน ไม่เป็ นไปข้ างหน้ าอยู่ ก�ำหนดแล้ ว ว่า อ.เหตุ “ภวิสฺสติ เอตฺถ การณนฺติ สลฺลกฺเขตฺวา เถรํ อาห
ในเรื่ องนี ้ จักมี ดังนี ้ กล่าวแล้ ว กะพระเถระ ว่า ข้ าแต่ทา่ นผู้เจริ ญ “ภนฺเต มา อุปริ ธมฺมเทสนํ วฑฺฒยิตฺถ, เอตฺตกเมว
(อ. ท่าน ท.) อย่ายังธรรมเทศนา ให้ เจริ ญแล้ ว ในเบื ้องบน, อ. ค�ำ โหตุ, กุหึ อมฺหากํ สตฺถา วสตีต.ิ
มีประมาณเท่านี ้นัน่ เทียว จงมีเถิด, อ. พระศาสดา ของเรา ท.
ย่อมประทับอยู่ ในที่ไหน ดังนี ้ ฯ
(อ. พระเถระ กล่าวแล้ว) ว่า ดูกอ่ นท่านผู้มอี ายุ (อ.พระศาสดา “เวฬุวเน อาวุโสติ.
ย่อมประทับอยู)่ ในพระเวฬุวนั ดังนี ้ ฯ
(อ. ปริ พาชก กล่าวแล้ ว) ว่า ข้ าแต่ทา่ นผู้เจริ ญ ถ้ าอย่างนัน้ “เตนหิ ภนฺเต ตุมเฺ ห ปุรโต ยาถ; มยฺหํ เอโก
อ. ท่าน ท. ขอจงไป ข้ างหน้ า; อ. สหาย คนหนึง่ ของกระผม มีอยู,่ สหายโก อตฺถิ, อมฺเหหิ จ อฺมฺํ กติกา
อนึง่ อ. ความนัดหมาย ซึง่ กันและกัน อันเรา ท. กระท�ำแล้ ว ว่า กตา `โย ป€มํ อมตํ อธิคจฺฉติ, โส อาโรเจตูติ
อ. บุคคลใด ย่อมถึงทับ ซึง่ ธรรมอันไม่ตายแล้ ว ก่อน, อ. บุคคล อหนฺตํ ปฏิฺํ โมเจตฺวา สหายกํ คเหตฺวา
นัน้ จงบอก ดังนี ้ อ. กระผม เปลื ้องแล้ ว ซึง่ ปฏิญญานัน้ พาเอา ตุมหฺ ากํ คตมคฺเคเนว สตฺถุ สนฺตกิ ํ อาคมิสฺสามีติ
ซึง่ สหาย จักมา สูส่ �ำนัก ของพระศาสดา ตามหนทางแห่งท่าน ท. ปฺจปฺปติฏฺ€ิเตน เถรสฺส ปาเทสุ นิปติตฺวา
ไปแล้ วนัน่ เทียว ดังนี ้ หมอบลงแล้ ว ใกล้ เท้ า ท. ของพระเถระ ติกฺขตฺตํุ ปทกฺขิณํ กตฺวา เถรํ อุยฺโยเชตฺวา
ด้ วยอันตังไว้
้ เฉพาะแห่งองค์ห้า กระท�ำแล้ ว ซึง่ การเวียนรอบ ๓ ปริ พฺพาชการามาภิมโุ ข อคมาสิ.
ครัง้ ส่งไปแล้ ว ซึง่ พระเถระ ผู้มีหน้ าเฉพาะต่ออารามของปริ พาชก
ได้ ไปแล้ ว ฯ
อ. ปริ พาชกชื่อว่าโกลิตะ เห็นแล้ ว ซึง่ ปริ พาชกนัน้ ผู้มาอยู่ แต่ โกลิตปริพพฺ าชโก ตํ ทูรโต ว อาคจฺฉนฺตํ ทิสวฺ า
ไกลเทียว (คิดแล้ ว) ว่า ในวันนี ้ อ. สีแห่งหน้ า ของสหาย ของเรา “ อชฺช มยฺหํ สหายกสฺส มุขวณฺโณ น
เป็ นราวกะว่า (สีแห่งหน้ า) ในวันอื่น ท. (ย่อมเป็ น) หามิได้ , อฺ ทิ ว เสสุ วิ ย , อทฺ ธ าเนน อมตํ อธิ ค ตํ
อ.อมตะ เป็ นคุณ อันสหายนี ้ ถึงทับแล้ ว จักเป็ น แน่แท้ ดังนี ้ ภวิสฺสตีติ อมตาธิคมํ ปุจฺฉิ.
ถามแล้ ว ซึง่ การบรรลุซงึ่ อมตะ ฯ
อ.ปริ พาชกชื่ อว่าอุปติสสะ แม้ นัน้ ปฏิญญาแล้ ว ว่า โสปิ สฺส “อามาวุโส อมตํ อธิคตนฺติ ปฏิชานิตฺวา
แน่ะท่านผู้มอี ายุ เออ อ. อมตะ (อันเรา) ถึงทับแล้ว ดังนี ้ได้กล่าวแล้ว ตเมว คาถํ อภาสิ.
ซึง่ คาถา นันนั้ น่ เทียว แก่ปริ พาชกชื่อว่าโกลิตะนัน้ ฯ
(อ. อันถาม) ว่า ก็ (อ. พระสารีบตุ ร) ผู้มอี ายุ เป็ นผู้มปี ั ญญามาก “นนุ จายสฺมา มหาปฺโ, อถ กสฺมา
(ย่อมเป็ น) มิใช่หรื อ, ครั น้ เมื่อความเป็ นอย่างนัน้ (มีอยู่) มหาโมคฺคลฺลานโต จิรตเรน สาวกปารมีาณํ
(อ. พระสารี บตุ ร) ถึงแล้ ว ซึง่ สาวกบารมีญาณ โดยกาลนานกว่า ปาปุณีต.ิ
กว่าพระมหาโมคคัลลานะ เพราะเหตุอะไร ดังนี ้ ฯ
(อ. อันแก้ ) ว่า (อ. พระสารี บตุ ร ถึงแล้ ว ซึง่ สาวกบารมีญาณ ปริ กมฺมมหนฺตตาย.
โดยกาลนานกว่า กว่าพระมหาโมคคัลลานะ) เพราะความที่
แห่งตนเป็ นผู้มีบริ กรรมใหญ่ (ดังนี ้) ฯ
เหมือนอย่างว่า อ.มนุษย์ผ้ ถู งึ แล้ ว ซึง่ ยาก ท. ผู้ใคร่เพื่ออันไป ยถา หิ ทุคฺคตมนุสฺสา กตฺถจิ คนฺตกุ ามา
ในทีไ่ หน ๆ ย่อมออกไป พลันนัน่ เทียว, ส่วนว่า อ. อัน อันพระราชา ท. ขิปปฺ เมว นิกขฺ มนฺต,ิ ราชูนํ ปน หตฺถวิ าหนกปฺปนาทึ
ทรงได้ ซึง่ บริ กรรมใหญ่ มีความส�ำเร็ จแห่งพาหนะคือช้ างเป็ นต้ น มหนฺตํ ปริ กมฺมํ ลทฺธํุ วฏฺฏติ; เอวํ สมฺปทมิทํ
ย่อมควร ฉันใด ; อ. ค�ำเป็ นเครื่ องยังอุปไมยให้ ถงึ พร้ อม นี ้ เวทิตพฺพํ.
(อันบัณฑิต) พึงทราบ ฉันนัน้ ฯ
อ.ภิกษุ ท. ยกโทษแล้ วกล่าวแล้ วว่า อ.พระศาสดา ย่อมประทาน ภิกฺขู อุชฺฌายึสุ “สตฺถา มุโขโลกเนน ภิกฺขนู ํ
แก่ภิกษุ ท. ด้ วยการทรงแลดูซงึ่ หน้ า, อ. อัน (อันพระศาสดา) เทติ, อคฺคสาวกฏฺ€านํ เทนฺเตน นาม ป€มํ
ชื่ อผู้เมื่อประทาน ซึ่งต�ำแหน่งแห่งพระอัครสาวก ประทาน ปพฺพชิตานํ ปฺจวคฺคยิ านํ ทาตุํ วฏฺฏติ, เอเต
(แก่ภิกษุ ท.) ผู้นบั เนื่องแล้ วในพวกห้ า ผู้บวชแล้ ว ก่อน ย่อมควร, อโนโลเกนฺเตน ยสตฺเถรปฺปมุขานํ ปฺจปฺาสาย
อ. อัน (อันพระศาสดา) ผู้ไม่ทรงแลดูอยู่ (ซึง่ ภิกษุ ท.) เหล่านัน่ ภิ กฺ ขู นํ ทาตุํ วฏฺ ฏติ , เอเต อโนโลเกนฺ เ ตน
ประทาน แก่ภิกษุ ท. ๕๕ มีพระเถระชื่อว่ายสะเป็ นประมุข ภทฺทวคฺคยิ านํ, เอเต อโนโลเกนฺเตน อุรุเวลกสฺสปาทีนํ
ย่อมควร, (อ. อัน อันพระศาสดา) ผู้ไม่ทรงแลดูอยู่ (ซึง่ ภิกษุ ท.) เตภาติกานํ;
เหล่านัน่ (ประทาน แก่ภิกษุ ท.) ผู้นบั เนื่องแล้ วในพวกอันเจริ ญ
(ย่อมควร), (อ. อัน อันพระศาสดา) ผู้ไม่ทรงแลดูอยู่ (ซึง่ ภิกษุ ท.)
เหล่ า นั่ น (ประทาน) (แก่ ภิ ก ษุ ท.) ผู้ พี่ น้ องชาย ๓ รู ป
มีพระอุรุเวลากัสสปะเป็ นต้ น (ย่อมควร);
อ.พระศาสดา ได้ ทรงกระท� ำ แล้ ว ซึ่ ง อนุ โ มทนา ว่ า สตฺถา “เอวํ โหตูติ อนุโมทนํ อกาสิ.
(อ. ความปรารถนาอันอันท่านปรารถนาแล้ ว) อย่างนี ้ จงมีเถิด
ดังนี ้ ฯ
อ.จุลกาลนัน้ ไปแล้ว สูน่ า แลดูอยู่ เห็นแล้ว (ซึง่ นา) อันดาดาษแล้ว โส เขตฺตํ คนฺตฺวา โอโลเกนฺโต สกลเขตฺเต
ด้วยรวงแห่งข้าวสาลี ท. อันราวกะว่าเนือ่ งกันแล้วโดยความเป็ นช่อ กณฺณิกาพทฺเธหิ วิย สาลิสีเสหิ สฺฉนฺนํ ทิสฺวา
ในนาทังสิ ้ ้น ได้ เฉพาะแล้ ว ซึง่ ปี ติ มีอย่าง ๕ คิดแล้ ว ว่า อ. ลาภ ท. ปฺจวิธํ ปี ตึ ปฏิลภิตวฺ า “ลาภา วต เมติ จินเฺ ตตฺวา
หนอ ของเรา ดังนี ้ ได้ถวายแล้ว ชือ่ ซึง่ ทานอันเลิศในเพราะข้าวเม่า ปุถกุ กาเล ปุถกุ คฺคํ นาม อทาสิ, คามวาสีหิ สทฺธึ
ในกาลแห่งข้าวเม่า, ได้ถวายแล้ว ชือ่ ซึง่ ทานในเพราะข้าวกล้าอันเลิศ อคฺคสสฺสทานํ นาม อทาสิ; ลายเน ลายนคฺคํ,
กับ ด้ วยชน ท. ผู้อยูใ่ นบ้ านโดยปกติ; (ได้ ถวายแล้ ว) ซึง่ ทาน เวณิกรเณ เวณิคฺคํ, กลาปาทีสุ กลาปคฺคํ ขลคฺคํ
อันเลิศในการเกี่ยว ในกาลเป็ นที่เกี่ยว, (ได้ ถวายแล้ ว) ซึง่ ทาน ภณฺฑคฺคํ โกฏฺ€คฺคนฺติ เอวํ เอกสสฺเส นว วาเร
อันเลิศในการกระท�ำซึง่ ขะเน็ด ในกาลเป็ นที่กระท�ำซึง่ ขะเน็ด, อคฺคทานํ อทาสิ.
(ได้ ถวายแล้ ว) (ซึง่ ทาน) อันเลิศในฟ่ อน (ซึง่ ทาน) อันเลิศในลาน
(ซึง่ ทาน) อันเลิศในลอม (ซึง่ ทาน) อันเลิศในฉาง ในกาล ท.
มีกาลเป็ นที่กระท�ำซึง่ ฟ่ อนเป็ นต้ น ได้ ถวายแล้ ว ซึง่ ทานอันเลิศ
สิ ้นวาระ ท. ๙ ในเพราะข้าวกล้า ครังหนึ ้ ง่ อย่างนี ้ ด้วยประการฉะนี ้ ฯ
อ. ที่ (แห่งข้ าวกล้ า) อันจุลกาลนันถื ้ อเอาแล้ วและถือเอาแล้ ว ตสฺส สพฺเพสุ วาเรสุ คหิตคหิตฏฺ€านํ ปริ ปรู ิ .
ในวาระ ท. ทังปวง ้ เต็มรอบแล้ ว ฯ
อ. ข้าวกล้า เป็ นข้าวเหลือเฟื อ เป็ นข้าวถึงพร้ อมแล้วด้วยอันตังขึ
้ ้น สสฺสํ อติเรกํ อุฏฺ€านสมฺปนฺนํ อโหสิ.
ได้ เป็ นแล้ ว ฯ
ชื่อ อ. ธรรม นัน่ ย่อมรักษา (ซึง่ บุคคล) ผู้รักษาอยู่ ซึง่ ตน ฯ ธมฺโม นาเมส อตฺตานํ รกฺขนฺตํ รกฺขติ.
(เพราะเหตุนนั ้ อ. พระผู้มีพระภาคเจ้ า ตรัสแล้ ว ว่า)
อนึง่ (อ. อัญญาโกณฑัญญะ) ถวายแล้ว ซึง่ ทานใหญ่ สิ ้นวันเจ็ด อิโต สตสหสฺสกปฺปมตฺถเก ปน หํสวตีนคเร
หมอบลงแล้ ว ณ ที่ใกล้ แห่งพระบาท ของพระผู้มีพระภาคเจ้ า ปทุมตุ ฺตรพุทฺธกาเลปิ สตฺตาหํ มหาทานํ ทตฺวา ตสฺส
นัน้ ตังไว้
้ แล้ ว ซึง่ ความปรารถนา เพื่ออันรู้ตลอด ซึง่ ธรรมอันเลิศ ภควโต ปาทมูเล นิปชฺชิตฺวา อคฺคธมฺมสฺส ป€มํ
ก่อนนัน่ เทียว แม้ ในกาลแห่งพระพุทธเจ้ าพระนามว่าปทุมตุ ตระ ปฏิวชิ ฺฌนตฺถเมว ปตฺถนํ €เปสิ.
ในเมืองชื่อว่าหงสวดี ในที่สดุ แห่งกัปป์แสนหนึง่ แต่ภทั ทกัปป์นี ้ ฯ
ในวันหนึง่ อ. ชน ท. เหล่านัน้ เห็นแล้ ว ซึง่ หญิง ผู้เป็ นไป เต เอกทิวสํ สคพฺภํ อิตฺถึ กาลกตํ ทิสฺวา
กับด้ วยครรภ์ ผู้มีกาละอันกระท�ำแล้ ว (ปรึกษากันแล้ ว) ว่า “ฌาเปสฺสามาติ สุสานํ หรึส.ุ
(อ. เรา ท. ยังสรี ระ) จักให้ ไหม้ ดังนี ้ น�ำไปแล้ ว สูป่ ่ าช้ า ฯ
ในชน ท. เหล่านันหนา ้ อ. ชน ท. ผู้เหลือ เว้ น ซึง่ ชน ท. ๕ เตสุ ปฺจ ชเน “ตุมเฺ ห ฌาเปถาติ สุสาเน
ในป่ าช้ า (ด้ วยค�ำ) ว่า อ. ท่าน ท. (ยังสรี ระ) จงให้ ไหม้ ดังนี ้ €เปตฺวา เสสา คามํ ปวิฏฺ€า.
เข้ าไปแล้ ว สูบ่ ้ าน ฯ
อ. ทารกชื่อว่ายสะ แทงแล้ ว ซึง่ สรี ระนัน้ ด้ วยหลาว ท. ยสทารโก ตํ สรีรํ สูเลหิ วิชฌ
ฺ ติ วฺ า ปริวตฺเตตฺวา
(ยังสรี ระ) ให้ เป็ นไปรอบแล้ วๆ ให้ ไหม้ อยู่ ได้ เฉพาะแล้ ว ปริ วตฺเตตฺวา ฌาเปนฺโต อสุภสฺํ ปฏิลภิ.
ซึง่ อสุภสัญญา ฯ
(อ. ยสะ) แสดงแล้ ว แก่ชน ท. ๔ แม้ เหล่านอกนี ้ (ด้ วยค�ำ) ว่า อิตเรสํปิ จตุนฺนํ ชนานํ “ปสฺสถ โภ อิมํ สรี รํ
ดูก่อนท่านผู้เจริ ญ ท. (อ. ท่าน ท. ) จงเห็น ซึง่ สรี ระ นี ้ มีหนังอันไฟ ตตฺถ ตตฺถ วิทฺธสฺตจมฺมํ กพรโครูปํ วิย อสุจึ
ขจัดแล้ ว ในที่นนั ้ ๆ ราวกะว่าแม่โคด่าง อันไม่สะอาด มีกลิน่ ชัว่ ทุคฺคนฺธํ ปฏิกลู นฺติ ทสฺเสสิ.
อันสกปรก ดังนี ้ ฯ
อ.ชน ท. แม้เหล่านัน้ ได้เฉพาะแล้ว ซึง่ อสุภสัญญา ในสรีระ นัน้ ฯ เตปิ ตตฺถ อสุภสฺํ ปฏิลภึส.ุ เต ปฺจ
อ.ชน ท. ห้า เหล่านัน้ ไปแล้ว สูบ่ ้าน บอกแล้ว แก่สหายผู้เหลือ ท. ฯ ชนา คามํ คนฺตฺวา เสสสหายกานํ กถยึส.ุ
ส่วนว่า อ.ทารก ชื่ อว่ายสะ ไปแล้ ว สู่เรื อน บอกแล้ ว ยโส ปน ทารโก เคหํ คนฺตฺวา มาตาปิ ตูนฺจ
แก่มารดาและบิดา ท. ด้ วย แก่ภรรยา ด้ วย ฯ ภริ ยาย จ กเถสิ.
อ.ชน ท. เหล่านัน้ แม้ ทงปวง ั้ ยังอสุภกรรมฐาน ให้ เจริญแล้ ว ฯ เต สพฺเพปิ อสุภํ ภาวยึส.ุ
อ.กรรมนี ้ เป็ นกรรมในกาลก่อน ของชน ท. เหล่านั่น อิทเมเตสํ ปุพฺพกมฺมํ.
(ย่อมเป็ น) ฯ
เพราะเหตุนนนั ั ้ น่ เทียว อ.ความส�ำคัญว่าป่ าช้ า ในเรื อน เตเนว ยสสฺส อิตฺถาคาเร สุสานสฺา
อันเต็มแล้ วด้ วยหญิง เกิดขึ ้นแล้ ว แก่ยสะ ฯ อุปปฺ ชฺชิ.
ก็ อ. การถึงทับซึง่ คุณวิเศษ บังเกิดแล้ ว แก่ชน ท. ทังปวง ้ ตาย จ อุ ป นิ สฺ ส ยสมฺ ป ตฺ ติ ย า สพฺ เ พสํ
เพราะความถึงพร้ อมแห่งอุปนิสยั นัน้ ฯ วิเสสาธิคโม นิพฺพตฺต.ิ
อ. ชน ท. เหล่านี ้ ได้ แล้ ว (ซึง่ ต�ำแหน่ง) อันอันตนปรารถนาแล้ ว เอวํ อิเม อตฺตนา ปตฺถิตเมว ลภึส.ุ
นัน่ เทียว อย่างนี ้ ฯ
อ. เรา ย่อมให้ เพราะแลดู ซึง่ หน้ า หามิได้ ดังนี ้ ฯ นาหํ มุขํ โอโลเกตฺวา ทมฺมีต.ิ
(อ. ภิกษุ ท. ทูลถามแล้ ว) ว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ เู จริ ญ ก็ อ. สหาย “ภทฺทวคฺคยิ า สหายกา ปน กึ กรึสุ ภนฺเตติ.
ท. ผู้นบั เนื่องแล้ วในพวกอันเจริ ญ กระท�ำแล้ ว ซึง่ กรรมอะไร ดังนี ้ ฯ
(อ. พระศาสดา ตรัสแล้ ว) ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. สหาย ท. “เอเตปิ ภิกฺขเว ปุพฺพพุทฺธานํ สนฺตเิ ก อรหตฺตํ
แม้ เหล่านัน่ ปรารถนาแล้ ว ซึง่ พระอรหัต ในส�ำนัก ของพระพุทธเจ้ า ปตฺเถตฺวา ปฺุานิ กตฺวา,
ในกาลก่อน ท. กระท�ำแล้ ว ซึง่ บุญ ท.,
ดังจะกล่าวโดยย่อ อ. พระพุทธเจ้ า ท. สอง คือ อิโต หิ เทฺวนวุตกิ ปฺเป `ติสฺโส ผุสฺโสติ เทฺว
อ.พระพุทธเจ้ าพระนามว่าติสสะ อ.พระพุทธเจ้ าพระนามว่าผุสสะ พุทฺธา อุปปฺ ชฺชสึ .ุ
เสด็จอุบตั แิ ล้ ว ในกัปป์ ๙๒ แต่ภทั ทกัปป์นี ้ ฯ
อ. พระราชา พระนามว่ามหินท์ เป็ นพระบิดา ของพระพุทธเจ้ า ผุสฺสพุทฺธสฺส มหินฺโท นาม ราชา ปิ ตา อโหสิ.
พระนามว่าผุสสะ ได้ เป็ นแล้ ว ฯ
ก็ ครั น้ เมื่อพระพุทธเจ้ านัน้ ทรงบรรลุแล้ ว ซึ่งพระญาณ ตสฺมึ ปน สมฺโพธึ ปตฺเต, รฺโ กนิฏฺ€ปุตฺโต
เป็ นเครื่ องตรัสรู้พร้ อม, อ. พระโอรสผู้น้อยที่สดุ ของพระราชา อคฺคสาวโก, ปุโรหิตปุตฺโต ทุตยิ สาวโก อโหสิ.
เป็ นสาวกผู้เลิศ (ได้ เป็ นแล้ ว), อ. บุตรของปุโรหิต เป็ นสาวกที่สอง
ได้ เป็ นแล้ ว ฯ
อ. พระราชา เสด็จไปแล้ว สูส่ ำ� นัก ของพระศาสดา ทรงแลดูแล้ว ราชา สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา “เชฏฺ€ปุตฺโต
ซึง่ ชน ท. เหล่านัน้ (ด้ วยอันทรงด�ำริ) ว่า อ. บุตรผู้เจริญทีส่ ดุ ของเรา เม พุทฺโธ, กนิฏฺ€ปุตฺโต อคฺคสาวโก, ปุโรหิตปุตฺโต
เป็ นพระพุทธเจ้ า (ได้ เป็ นแล้ ว), อ. บุตรผู้น้อยที่สดุ เป็ นสาวกผู้เลิศ ทุตยิ สาวโกติ เต โอโลเกตฺวา “มเมว พุทฺโธ,
(ได้ เป็ นแล้ ว), อ. บุตรของปุโรหิต เป็ นสาวกทีส่ อง (ได้ เป็ นแล้ ว) ดังนี ้ มเมว ธมฺโม, มเมว สงฺโฆ; นโม ตสฺส ภควโต
ทรงเปล่งแล้ ว ซึง่ อุทาน ๓ ครัง้ ว่า อ. พระพุทธเจ้ า ของเรานัน่ เทียว, อรหโต สมฺมาสมฺพทุ ฺธสฺสาติ ติกฺขตฺตํุ อุทานํ
อ.พระธรรม ของเรานัน่ เทียว, อ. พระสงฆ์ ของเรา นัน่ เทียว; อุทาเนตฺวา สตฺถุ ปาทมูเล นิปชฺชิตฺวา “ภนฺเต
อ.ความนอบน้ อม (จงมี) แก่พระผู้มีภาคเจ้ า พระองค์ นัน้ อิทานิ เม นวุตวิ สฺสสหสฺสปริ มาณสฺส อายุโน
ผู้เป็ นพระอรหันต์ ผู้ตรัสรู้ดีโดยชอบแล้ ว ดังนี ้ ทรงหมอบลงแล้ ว โกฏิยํ นิสีทิตฺวา นิทฺทายนกาโล วิย, อฺเสํ
ณ ที่ใกล้ แห่งพระบาท ของพระศาสดา ทรงรับแล้ ว ซึง่ ปฏิญญา เคหทฺวารํ อคนฺตฺวา, ยาวาหํ ชีวามิ, ตาว เม
ว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ เู จริ ญ อ. กาลนี ้ เป็ นราวกะว่ากาลเป็ นที่นงั่ - จตฺตาโร ปจฺจเย อธิวาเสถาติ ปฏิฺํ คเหตฺวา
ประพฤติหลับ ในที่สดุ แห่งอายุ มีพนั แห่งปี เก้ าสิบเป็ นประมาณ นิพทฺธํ พุทฺธปุ ฏฺ€านํ กโรติ.
ของหม่อมฉัน (ย่อมเป็ น), (อ. พระองค์) ไม่เสด็จไปแล้ ว สูป่ ระตู
แห่งเรื อน ของชน ท. เหล่าอื่น, อ. หม่อมฉัน ย่อมเป็ นอยู่ เพียงใด,
ทรงยังปั จจัย ท. สี่ ของหม่อมฉัน จงให้ อยูท่ บั เพียงนัน้ ดังนี ้
ย่อมทรงกระท�ำ ซึง่ การบ�ำรุงซึง่ พระพุทธเจ้ า เนืองนิตย์ ฯ
ก็ อ. พระโอรส ท. สาม แม้ เหล่าอืน่ อีก ของพระราชา ได้ มแี ล้ ว ฯ รฺโ ปน อปเรปิ ตโย ปุตฺตา อเหสุํ.
ในพระโอรส ท. ๓ เหล่านันหนา
้ อ. ร้ อยแห่งทหาร ท. ๕ เป็ นบริวาร เตสุ เชฏฺ€สฺส ปฺจ โยธสตานิ ปริ วาโร,
ของพระโอรสผู้เจริ ญที่สดุ (ได้ เป็ นแล้ ว),( อ. ร้ อยแห่งทหาร ท.) ๓ มชฺฌิมสฺส ตีณิ, กนิฏฺ€สฺส เทฺว.
(เป็ นบริ วาร) ของพระโอรสผู้มีในท่ามกลาง (ได้ เป็ นแล้ ว),
(อ. ร้ อยแห่งทหาร ท.) ๒ (เป็ นบริ วาร) ของพระโอรสผู้น้อยที่สดุ
(ได้ เป็ นแล้ ว) ฯ
อ. พระโอรส ท. ๓ เหล่านัน้ (ทรงปรึกษากันแล้ ว) ว่า แม้ เต “มยมฺปิ ภาติกํ โภเชสฺสามาติ ปิ ตรํ
อ. เรา ท. ยังพระเจ้ าพี่ จักให้ เสวย ดังนี ้ ทรงขอแล้ ว ซึง่ โอกาส โอกาสํ ยาจิตฺวา
กะพระบิดา
ก็ อ. บุตร ท. (ของชน ท.) ผู้กระท�ำซึง่ การงาน ย่อมร้ องไห้ กมฺมกรานํ ปน ปุตฺตา ยาคุภตฺตาทีนํ อตฺถาย
เพื่อประโยชน์ (แก่อาหารวัตถุ ท.) มีข้าวต้ มและข้ าวสวยเป็ นต้ น ฯ โรทนฺติ.
อ. ชน ท. เหล่านัน,้ ครัน้ เมื่อหมูแ่ ห่งภิกษุ ไม่มาแล้ วนัน่ เทียว, เต เตสํ, ภิกฺขสุ งฺเฆ อนาคเตเยว, ยาคุภตฺตาทีนิ
ย่อมให้ (ซึง่ อาหารวัตถุ ท.) มีข้าวต้ มและข้ าวสวยเป็ นต้ น แก่บตุ ร ท. เทนฺต.ิ
เหล่านัน้ ฯ
(อ. อาหารวัตถุ) อันยิ่งเกิน ไร ๆ เป็ นของไม่เคยมีแล้ ว ภิกฺขสุ งฺฆสฺส ภตฺตกิจฺจาวสาเน กิฺจิ อติเรกํ
ในกาลเป็ นที่สดุ ลงแห่งกิจด้ วยภัตร แห่งหมูแ่ ห่งภิกษุ (ย่อมเป็ น) ฯ น ภูตปุพฺพํ.
ในกาลอันเป็ นส่วนอื่นอีก อ. ชน ท. เหล่านัน้ (กล่าวแล้ ว) ว่า เต อปรภาเค “ทารกานํ เทมาติ อตฺตนาปิ
อ. เรา ท. จะให้ แก่เด็ก ท. ดังนี ้ ถือเอาแล้ว แม้ด้วยตน เคี ้ยวกินแล้ว, คเหตฺวา ขาทึส,ุ มนฺุํปิ อาหารํ ทิสฺวา
เห็นแล้ ว ซึง่ อาหาร แม้ อนั เป็ นที่ฟแู ห่งใจ ไม่ได้ อาจแล้ ว เพื่ออัน อธิวาเสตุํ นาสกฺขสึ .ุ
(ยังความฟูแห่งใจ) ให้ อยูท่ บั ฯ
ก็ อ.ชน ท. เหล่านัน้ เป็ นผู้มีพนั แปดสิบสี่เป็ นประมาณ เต ปน จตุราสีตสิ หสฺสา อเหสุํ.
ได้ เป็ นแล้ ว ฯ
อ. ชน ท. เหล่านัน้ เคี ้ยวกินแล้ ว, ซึง่ ค่าใช้ จา่ ย อันอันบุคคล เต สงฺฆสฺส ทินฺนํ วฏฺฏํ ขาทิตฺวา กายสฺส
ถวายแล้ ว แก่สงฆ์ บังเกิดแล้ ว ในวิสยั แห่งเปรต เพราะความแตกไป เภทา เปตฺตวิ ิสเย นิพฺพตฺตสึ .ุ
แห่งกาย ฯ
ส่วนว่า อ.พระโอรส ท. ผู้เป็ นพี่น้องกัน เหล่านัน้ กับ เต ภาติกา ปน ปุริสสหสฺเสน สทฺธึ กาลํ
ด้ วยพันแห่งบุรุษ กระท�ำแล้ ว ซึง่ กาละ บังเกิดแล้ ว ในเทวโลก กตฺวา เทวโลเก นิพฺพตฺตติ ฺวา เทวโลกา เทวโลกํ
ท่องเทีย่ วไปอยู่ สูเ่ ทวโลก จากเทวโลก ยังกัปป์ ๙๒ ท. ให้สิ ้นไปแล้ว ฯ สํสรนฺตา เทฺวนวุตกิ ปฺเป เขเปสุํ.
อ.พระโอรส ท. ผู้เป็ นพี่น้องกัน ๓ เหล่านัน้ ปรารถนาอยู่ เอวํ เต ตโย ภาตโร อรหตฺตํ ปตฺเถนฺตา
ซึ่ ง พระอรหัต กระท� ำ แล้ ว ซึ่ ง กรรมอัน งาม ในกาลนั น้ ตทา กลฺยาณกมฺมํ กรึส.ุ
ด้ วยประการฉะนี ้ ฯ
อ. ชฎิล ท. ผู้เป็ นพี่น้องกัน ๓ เหล่านัน้ ได้ แล้ ว (ซึง่ ต�ำแหน่ง) เต อตฺตนา ปตฺถิตเมว ลภึส.ุ
อันอันตนปรารถนาแล้ วนัน่ เทียว ฯ
อ. เรา ย่อมให้ เพราะแลดูซงึ่ หน้ า หามิได้ ดังนี ้ ฯ นาหํ มุขํ โอโลเกตฺวา ทมฺมีต.ิ ”
ก็ อ. นายเสมียน ของพระโอรส ท. ผู้เป็ นพี่น้องกัน ๓ เหล่านัน้ ตทา ปน เตสํ อายุตฺตโก พิมพฺ ิสาโร อโหสิ,
ในกาลนัน้ เป็ นพระเจ้ าพิมพิสาร ได้ เป็ นแล้ ว (ในกาลนี ้), อ. บุคคล โกฏฺ€าคาริ โก วิสาโข อุปาสโก.
ผู้ประกอบแล้ วในเรื อนคลัง (ในกาลนัน) ้ เป็ นอุบาสก ชื่อว่าวิสาขะ
(ได้ เป็ นแล้ ว ในกาลนี ้) ฯ
อ. ชน ท. ผู้กระท�ำซึง่ การงาน ของพระโอรส ท. ๓ เหล่านัน้ เตสํ กมฺมกรา ตทา เปเตสุ นิพฺพตฺตติ ฺวา
บังเกิดแล้ ว ในเปรต ท. ในกาลนัน้ ท่องเที่ยวไปอยู่ ด้ วยอ�ำนาจ สุคติทคุ ฺคติวเสน สํสรนฺตา อิมสฺมึ กปฺเป จตฺตาริ
แห่งสุคติและทุคติ บังเกิ ดแล้ ว ในโลกแห่งเปรตนั่นเทียว พุทฺธนฺตรานิ เปตโลเกเยว นิพฺพตฺตสึ .ุ
สิ ้นพุทธันดร ท. ๔ ในกัปป์นี ้ ฯ
(อ. กุฎมพีุ ชื่อว่าสิริวฑั ฒ์ กล่าวแล้ ว) ว่า แน่ะสหาย อ. เรา “น สกฺขิสฺสามิ สมฺม, ตฺวํเยว ปพฺพชาหีต.ิ
จักไม่อาจ, อ. ท่านนัน่ เทียว จงบวช ดังนี ้ ฯ
อ.มาณพชื่อว่าสรทะ นัน้ คิดแล้ ว ว่า อ. บุคคล ผู้ไปอยู่ โส จินฺเตสิ “ปรโลกํ คจฺฉนฺโต สหายํ วา
สูโ่ ลกอื่น ชื่อว่าผู้ พาเอา ซึง่ สหายหรื อ หรื อว่า ซึง่ ญาติและมิตร ท. าติมิตฺเต วา คเหตฺวา คโต นาม นตฺถิ, อตฺตนา
ไปแล้ ว ย่อมไม่มี, อ. กรรม อันอันตนกระท�ำแล้ ว ย่อมมี แก่ตนเทียว กตํ อตฺตโนว โหตีต.ิ
ดังนี ้ ฯ
ในล�ำดับนัน้ (อ. มาณพชื่อว่าสรทะ) (ยังบุคคล) ให้ เปิ ดแล้ ว ตโต รตนโกฏฺ€าคารํ วิวราเปตฺวา กปณทฺธิก-
ซึง่ เรื อนคลังแห่งรัตนะ ให้ แล้ ว ซึง่ ทานใหญ่ แก่คนก�ำพร้ าและ วณิพฺพกยาจกานํ มหาทานํ ทตฺวา ปพฺพตปาทํ
คนผู้ ไปสู่ ท างไกลและคนมี แ ผลและคนขอ ท. เข้ าไปแล้ ว ปวิสติ ฺวา อิสปิ พฺพชฺชํ ปพฺพชิ.
สูเ่ ชิงแห่งภูเขา บวชแล้ ว บวชโดยความเป็ นฤาษี ฯ
(อ. ชน ท.) บวชแล้ ว บวชตาม ซึง่ มาณพนัน้ อย่างนี ้ คือ ตสฺส เอโก เทฺว ตโยติ เอวํ อนุปพฺพชฺชํ
(อ. ชน) คนหนึง่ (อ. ชน ท.) สอง (อ. ชน ท.) สาม เป็ นชฎิล ปพฺพชิตฺวา จตุสตฺตติสหสฺสมตฺตา ชฏิลา อเหสุํ.
มีพนั ๗๔ เป็ นประมาณ ได้ เป็ นแล้ ว ฯ
อ. ชฎิล ท. ทังปวง
้ แม้ เหล่านัน้ ยังอภิญญา ท. ห้ าด้ วย เตปิ สพฺเพ ปฺจ อภิฺา อฏฺ€ จ
ยังสมาบัติ ท. แปดด้ วย ให้ บงั เกิดแล้ ว ฯ สมาปตฺติโย นิพฺพตฺเตสุํ.
โดยสมั ย นั น้ อ.พระพุ ท ธเจ้ า พระนามว่ า อโนมทัส สี เตน สมเยน อโนมทสฺสี นาม พุทฺโธ โลเก
ได้ เสด็จอุบตั แิ ล้ ว ในโลก ฯ อ. เมือง เป็ นเมืองชื่อว่าจันทวดี อุทปาทิ.
ได้ เป็ นแล้ ว ฯ
อ. พระบิดา เป็ นกษัตริ ย์ พระนามว่ายัสวันต์ ได้ เป็ นแล้ ว, นครํ จนฺทวตี นาม อโหสิ. ปิ ตา ยสวนฺโต
อ. พระมารดา เป็ นพระเทวี พระนามว่ายโสธรา (ได้ เป็ นแล้ ว), นาม ขตฺตโิ ย, มาตา ยโสธรา นาม เทวี, โพธิ
อ. ต้ นรกฟ้า เป็ นต้ นไม้ เป็ นที่ตรัสรู้ (ได้ เป็ นแล้ ว), อ. อัครสาวก ท. ๒ อชฺชนุ รุกฺโข, นิสโภ จ อโนโม จ เทฺว อคฺคสาวกา,
คือ อ. พระนิสภะด้ วย คือ อ. พระอโนมะด้ วย (ได้ มีแล้ ว), อ. ภิกษุ วรุโณ นาม อุปฏฺ€าโก, สุนฺทรา จ สุมนา จ
ผู้อปุ ั ฏฐาก เป็ นผู้ชื่อว่า วรุณะ (ได้ เป็ นแล้ ว), อ. อัครสาวิกา ท. ๒ เทฺว อคฺคสาวิกา; อายุ วสฺสสตสหสฺสํ อโหสิ, สรี รํ
คือ อ. นางสุนทราด้ วย คือ อ. นางสุมนาด้ วย (ได้ มีแล้ ว) ; อ. แสน อฏฺ€ปฺาสหตฺถพุ ฺเพธํ, สรี รปฺปภา ทฺวาทสโยชนํ
แห่งปี เป็ นอายุ ได้ เป็ นแล้ ว, อ. พระสรี ระ เป็ นสรี ระอันสูง ผริ , ภิกฺขสุ ตสหสฺสํ ปริ วาโร อโหสิ.
โดยศอก ๕๘ (ได้ เป็ นแล้ ว), อ. แสงสว่างแห่งพระสรี ระ แผ่ไปแล้ ว
ตลอดโยชน์ ๑๒, อ. แสนแห่งภิกษุ เป็ นบริ วาร ได้ เป็ นแล้ ว ฯ
ในสมัยนัน้ อ. ชฎิล ท. มีพนั ๗๔ เป็ นประมาณ ถือเอาแล้ ว ตสฺมึ สมเย จตุสตฺตติสหสฺสา ชฏิลา ปณีตปณีตานิ
ซึง่ ผลและผลอันเจริ ญ ท. ทังประณี
้ ต ๆ อันมีโอชะ ถึงพร้ อมแล้ ว โอชวนฺตานิ ผลาผลานิ คเหตฺวา อาจริ ยสฺส สนฺตกิ ํ
ซึง่ ส�ำนัก ของอาจารย์, แลดูแล้ ว ซึง่ อาสนะ แห่งพระพุทธเจ้ า ท. สมฺปตฺตา, พุทฺธานฺเจว อาจริ ยสฺส จ นิสนิ ฺนาสนํ
ด้วยนัน่ เทียว แห่งอาจารย์ด้วย นัง่ แล้ว กล่าวแล้ว ว่า ข้าแต่อาจารย์ โอโลเกตฺวา อาหํสุ “อาจริ ย มยํ `อิมสฺมึ โลเก
อ. เรา ท. ย่อมเที่ยวไป (ด้ วยความคิด) ว่า (อ. บุคคล) ผู้ใหญ่กว่า ตุมเฺ หหิ มหนฺตตโร นตฺถีติ วิจราม, อยํ ปน
กว่าท่าน ท. ย่อมไม่มี ในโลกนี ้ ดังนี ้, ก็ อ. บุรุษ นี ้ เห็นจะ ปุริโส ตุมฺเหหิ มหนฺตตโร มฺเติ.
เป็ นผู้ใหญ่กว่า กว่าท่าน ท. (จักเป็ น) ดังนี ้ ฯ
(อ. ดาบสชื่อว่าสรทะ กล่าวแล้ ว) ว่า แน่ะพ่อ ท. อ. เจ้ า ท. “ ตาตา กึ วเทถ , สาสเปน สทฺ ธึ
ย่อมกล่าว (ซึง่ ค�ำ) อะไร, อ. เจ้ า ท. ย่อมปรารถนา เพื่ออันกระท�ำ อฏฺ€สฏฺ€ิโยชนสตสหสฺสพุ ฺเพธํ สิเนรุํ สมํ กาตุํ อิจฺฉถ,
ซึง่ ภูเขาชื่อว่าสิเนรุ อันสูงโดยแสนแห่งโยชน์ ๖๘ ให้ เสมอ กับ สพฺพฺุพทุ ฺเธน สทฺธึ มม อุปมํ มา กริ ตฺถ ปุตฺตกาติ.
ด้ วยเมล็ดพันธุ์ผกั กาดหรื อ, แน่ะลูก ท. อ. เจ้ า ท. อย่ากระท�ำแล้ ว
ซึง่ การเปรี ยบ ซึง่ เรา กับ ด้ วยพระสัพพัญญูพทุ ธเจ้ า ดังนี ้ ฯ
ครัง้ นัน้ อ. อาจารย์ กล่าวแล้ ว กะดาบส ท. เหล่านัน้ ว่า อถ เน อาจริ โย อาห “ตาตา อมฺหากํ
แน่ะพ่อ ท. อ. ไทยธรรม อันสมควร แก่พระพุทธเจ้ า ท. ของเรา ท. พุทฺธานํ อนุจฺฉวิโก เทยฺยธมฺโม นตฺถิ, สตฺถา จ
ย่อมไม่ มี, อนึง่ อ. พระศาสดา เสด็จมาแล้ ว ในที่นี ้ ในเวลาเป็ นที่ ภิกฺขาจารเวลายํ อิธาคโต, มยํ ยถาสตฺติ ยถาพลํ
เทีย่ วไปเพือ่ ภิกษา, อ. เรา ท. จักถวาย ซึง่ ไทยธรรม ตามความสามารถ เทยฺยธมฺมํ ทสฺสาม; ตุมเฺ ห ยํ ยํ ปณีตํ ผลาผลํ,
ตามก�ำลัง ; อ. ผลและผลอันเจริ ญ อันประณีต ใด ๆ (มีอยู)่ , ตํ ตํ อาหรถาติ อาหราเปตฺวา หตฺเถ โธวิตฺวา สยํ
อ. เจ้ า ท. จงน�ำมา ซึง่ ผลและผลอันเจริ ญนัน้ ๆ ดังนี ้ (ยังดาบส ท. ตถาคตสฺส ปตฺเต ปติฏฺ€าเปสิ.
เหล่านัน) ้ ให้ น�ำมาแล้ ว ล้ างแล้ ว ซึง่ มือ ท. (ยังผลและผลอันเจริ ญ)
ให้ ตงอยู
ั ้ เ่ ฉพาะแล้ ว ในบาตร ของพระตถาคตเจ้ า เอง ฯ
ครัน้ เมื่อผลและผลอันเจริ ญ เป็ นผลไม้ สกั ว่าอันพระศาสดา สตฺถารา ผลาผเล ปฏิคฺคหิตมตฺเต, เทวตา
ทรงรับเฉพาะแล้ ว (มีอยู)่ , อ. เทวดา ท. ใส่เข้ าแล้ ว ซึง่ โอชะ ทิพฺโพชํ ปกฺขิปึส.ุ
อันเป็ นทิพย์ ฯ
อ. ดาบสนัน้ กรองแล้ ว แม้ ซงึ่ น� ้ำ ได้ ถวายแล้ ว เองนัน่ เทียว ฯ โส ตาปโส อุทกํปิ สยเมว ปริสสฺ าเวตฺวา อทาสิ.
ในล�ำดับนัน้ ครัน้ เมื่อพระศาสดา ประทับนัง่ แล้ ว ทรงกระท�ำ ตโต ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา นิสนิ ฺเน สตฺถริ , สพฺเพ
ซึง่ กิจด้วยภัตร, อ. ดาบสชือ่ ว่าสรทะ ร้ องเรียกแล้ว ซึง่ อันเตวาสิก ท. อนฺเตวาสิเก ปกฺโกสิตฺวา สตฺถุ สนฺตเิ ก สาราณียกถํ
ทังปวงนั
้ ง่ กล่าวอยูแ่ ล้ ว ซึง่ วาจาเป็ นเครื่ องกล่าวเป็ นที่ตงั ้ กเถนฺโต นิสีทิ.
แห่งความระลึกถึง ในส�ำนัก ของพระศาสดา ฯ
อ. พระศาสดา ทรงด�ำริ แล้ ว ว่า อ. อัครสาวก ท. สอง จงมา สตฺถา “เทฺว อคฺคสาวกา ภิกฺขสุ งฺเฆน สทฺธึ
กับ ด้ วยหมูแ่ ห่งภิกษุ ดังนี ้ ฯ อาคจฺฉนฺตตู ิ จินฺเตสิ.
อ. พระอัครสาวก ท. เหล่านัน้ ทราบแล้ว ซึง่ พระด�ำริ แห่งพระศาสดา เต สตฺถุ จิตฺตํ ตฺวา สตสหสฺสขีณาสวปริ วารา
ผู้มีพระขีณาสพแสนหนึ่งเป็ นบริ วารมาแล้ ว ถวายบังคมแล้ ว อาคนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ อฏฺ€ํส.ุ
ซึง่ พระศาสดา ได้ ยืนแล้ ว ณ ที่สดุ แห่งหนึง่ ฯ
ในล�ำดับนัน้ อ. ดาบสชือ่ ว่าสรทะ เรียกมาแล้ ว ซึง่ อันเตวาสิก ท. ตโต สรทตาปโส อนฺเตวาสิเก อามนฺเตสิ “ตาตา
(ด้ วยค�ำ) ว่า แน่ะพ่อ ท. แม้ อ. อาสนะแห่งพระพุทธเจ้ า ท. พุทฺธานํ นิสนิ ฺนาสนมฺปิ นีจํ, สมณสตสหสฺสสฺสาปิ
ประทับนัง่ แล้ ว เป็ นที่ต�่ำ (ย่อมเป็ น) , อ. อาสนะ ย่อมไม่มี อาสนํ นตฺถิ, ตุมฺเหหิ อชฺช อุฬารํ พุทฺธสกฺการํ กาตุํ
แม้ เพื่อแสนแห่งสมณะ, อ. อัน อันเจ้ า ท. กระท�ำ ซึง่ สักการะ วฏฺฏติ, ปพฺพตปาทโต วณฺณคนฺธสมฺปนฺนานิ ปุปผฺ านิ
แก่พระพุทธเจ้ า อันโอฬาร ในวันนี ้ ย่อมควร, อ. เจ้ า ท. จงน�ำมา อาหรถาติ.
ซึง่ ดอกไม้ ท. อันถึงพร้ อมแล้ วด้ วยสีและกลิน่ จากเชิงแห่งภูเขา
ดังนี ้ ฯ
อ.กาลเป็ นที่กล่าว เป็ นราวกะว่าเนิ่นช้ า ย่อมเป็ น, แต่วา่ กถนกาโล ปปฺโจ วิย โหติ, อิทฺธิมโต ปน
อ. วิสยั แห่งฤทธิ์ ของบุคคลผู้มีฤทธิ์ เป็ นสภาพอันใคร ๆ ไม่ควรคิด อิทฺธิวิสโย อจินฺเตยฺโยติ.
(ย่อมเป็ น) ดังนี ้แล ฯ
อ. ดาบส ท. เหล่านัน้ น�ำมาแล้ ว ซึง่ ดอกไม้ ท. อันถึงพร้ อมแล้ ว มุหตุ ตฺ มตฺเตเนว เต ตาปสา วณฺณคนฺธสมฺปนฺนานิ
ด้ วยสีและกลิ่น โดยกาลสักว่าครู่ เดียวนั่นเทียว ปูลาดแล้ ว ปุปผฺ านิ อาหริตวฺ า พุทธฺ านํ โยชนปฺปมาณํ ปุปผฺ าสนํ
ซึ่งอาสนะอันเป็ นวิการแห่งดอกไม้ มีโยชน์ เป็ นประมาณ ปฺาเปสุํ.
เพื่อพระพุทธเจ้ า ท. ฯ
(อ. เรา) ยังดอกไม้ต่าง ๆ ด้วย ยังกลิ่ นด้วย ให้ประชุมกันแล้ว “นานาปุปผฺ ฺจ คนฺธฺจ สนฺนิปาเตตฺวาน เอกโต
โดยความเป็ นอันเดียวกัน ปูลาดแล้ว ซึ่งอาสนะอันเป็ นวิ การ- ปุปผฺ าสนํ ปฺาเปตฺวา อิ ทํ วจนมพฺรวิ
แห่งดอกไม้ ได้กราบทูลแล้ว ซึ่งค�ำนี ้ ว่า ข้าแต่พระวีระ อิ ทํ เม อาสนํ วีร ปฺตฺตํ ตวนุจฺฉวึ,
อ.อาสนะนี ้ อันข้าพระองค์ ปูลาดแล้ว (กระท�ำ) ให้เป็ นทีส่ มควร มม จิ ตฺตํ ปสาเทนฺโต นิ สีท ปุปผฺ มาสเน.
แก่พระองค์, (อ. พระองค์) เมื อ่ ทรงยังจิ ต ของข้าพระองค์ สตฺตรตฺตินทฺ ิ วํ พุทฺโธ นิ สีทิ ปุปผฺ มาสเน
ให้เลือ่ มใส ขอจงเสด็จประทับนัง่ บนอาสนะอันเป็ นวิ การ- มม จิ ตฺตํ ปสาเทตฺวา หาสยิ ตฺวา สเทวเกติ .
แห่งดอกไม้เถิ ด ฯ อ. พระพุทธเจ้า ทรงยังจิ ต ของข้าพระองค์
ให้เลือ่ มใส แล้ว (ทรงยังมนุษยโลก ท.) อันเป็ นไปกับด้วยเทวโลก
ให้ร่าเริ งแล้ว ประทับนัง่ แล้ว บนอาสนะอันเป็ นวิการแห่งดอกไม้
ตลอดคืนและวัน ๗ (ดังนี)้ ดังนี ้ ฯ
(อันดาบสชื่อว่าสรทะ) กล่าวแล้ ว ฯ
ครัน้ เมื่อพระศาสดา ประทับนัง่ แล้ ว อย่างนี ้, อ. พระอัครสาวก เอวํ นิสนิ ฺเน สตฺถริ , เทฺว อคฺคสาวกา เสสภิกฺขู
ท. ๒ ด้ วย อ. ภิกษุผ้ เู หลือ ท. ด้ วย นัง่ แล้ ว บนอาสนะอันถึงแล้ ว จ อตฺตโน อตฺตโน ปตฺตาสเน นิสีทสึ .ุ
แก่ตน ๆ ฯ
อ.ดาบสชือ่ ว่าสรทะ ถือเอาแล้ว ซึง่ ฉัตรอันเป็ นวิการแห่งดอกไม้ สรทตาปโส มหนฺตํ ปุปผฺ จฺฉตฺตํ คเหตฺวา
อันใหญ่ ได้ ยืนกันอยู
้ แ่ ล้ ว เหนือพระเศียร ของพระตถาคตเจ้ า ฯ ตถาคตสฺส มตฺถเก ธาเรนฺโต อฏฺ€าสิ.
อ.พระศาสดา (ทรงอธิษฐานแล้ว) ว่า อ. สักการะนี ้ ของชฎิล ท. สตฺถา “ชฏิลานํ อยํ สกฺกาโร มหปฺผโล โหตูติ
เป็ นสภาพมีผลใหญ่ จงเป็ น ดังนี ้ ทรงเข้าแล้ว ซึง่ สมาบัตชิ อื่ ว่านิโรธ ฯ นิโรธสมาปตฺตึ สมาปชฺชิ.
อ. พระอัครสาวก ท. ๒ ก็ดี อ. ภิกษุผ้ เู หลือ ท. ก็ดี รู้แล้ ว ซึง่ ความที่ สตฺถุ สมาปตฺตึ สมาปนฺนภาวํ ตฺวา เทฺว
แห่งพระศาสดาเป็ นผู้ทรงเข้ าแล้ ว ซึง่ สมาบัติ เข้ าแล้ ว ซึง่ สมาบัติ ฯ อคฺคสาวกาปิ เสสภิกฺขปู ิ สมาปตฺตึ สมาปชฺชสึ .ุ
ครันเมื
้ อ่ พระตถาคตเจ้า ประทับนัง่ เข้าแล้ว ซึง่ สมาบัตชิ อื่ ว่านิโรธ ตถาคเต สตฺตาหํ นิโรธสมาปตฺตึ สมาปชฺชิตฺวา
ตลอดวันเจ็ด, อ.อันเตวาสิก ท., ครัน้ เมื่อกาลเป็ นที่เที่ยวไป นิสนิ ฺเน, อนฺเตวาสิกา, ภิกฺขาจารกาเล สมฺปตฺเต,
เพือ่ ภิกษา ถึงพร้ อมแล้ว, บริโภคแล้ว ซึง่ รากไม้และผลและผลอันเจริญ วนมูลผลาผลํ ปริ ภ ุ ฺชิตฺวา เสสกาลํ พุทฺธานํ
ในป่ า ย่อมยืนประคอง ซึง่ อัญชลี ต่อพระพุทธเจ้ า ท. สิ ้นกาล อฺชลึ ปคฺคยฺห ติฏฺ€นฺต.ิ
อันเหลือ ฯ
ส่วนว่า อ. ดาบสชื่อว่าสรทะ ไม่ไปแล้ ว แม้ สทู่ ี่เป็ นที่เที่ยวไป สรทตาปโส ปน ภิกฺขาจารมฺปิ อคนฺตฺวา
เพื่อภิกษา กันอยู
้ ่ ซึง่ ฉัตรอันเป็ นวิการแห่งดอกไม้ เทียว ปุปผฺ จฺฉตฺตํ ธารยมาโนว
ครังนั
้ น้ อ.พระศาสดา ทรงตังอยู ้ แ่ ล้ว ในวิสยั ของพระพุทธเจ้า อถ สตฺถา อปริมาเณ พุทธฺ วิสเย €ตฺวา ธมฺมเทสนํ
อันไม่มีประมาณ ทรงเริ่ มแล้ ว ซึง่ การแสดงซึง่ ธรรม ฯ อารภิ.
ในกาลเป็ นที่สุดลงรอบแห่งเทศนา อ.ชฎิล มีพัน ๗๔ เทสนาปริ โยสาเน €เปตฺวา สรทตาปสํ สพฺเพปิ
เป็ นประมาณ ท. แม้ ทงปวง
ั้ เว้ น ซึง่ ดาบสชื่อว่าสรทะ บรรลุแล้ ว จตุสตฺตติสหสฺสชฏิลา อรหตฺตํ ปาปุณึส.ุ
ซึง่ พระอรหัต ฯ
อ.พระศาสดา (ตรัสแล้ว) ว่า (อ. เธอ ท.) เป็ นภิกษุ (เป็ น) จงมา สตฺถา “ เอถ ภิกฺขโวติ หตฺถํ ปสาเรสิ.
ดังนี ้ ทรงเหยียดออกแล้ วซึง่ พระหัตถ์ ฯ อ. ผมและหนวด ท. เตสํ ตาวเทว เกสมสฺ สู นิ อนฺ ต รธายึ สุ .
ของดาบส ท. เหล่านัน้ หายไปแล้ ว ในขณะนันนั ้ น่ เทียว ฯ อฏฺ € ปริ กฺ ข ารา กาเย ปฏิ มุ กฺ ก าว อเหสุํ .
อ. บริ ขาร ท. ๘ เป็ นของสวมเข้ าแล้ ว ที่กายเทียว ได้ เป็ นแล้ ว ฯ
(อ. อันถาม) ว่า อ. ดาบสชือ่ ว่าสรทะ ไม่บรรลุแล้ว ซึง่ พระอรหัต “สรทตาปโส กสฺมา อรหตฺตํ น ปตฺโตติ .
เพราะเหตุอะไร ดังนี ้ ฯ (อ. อันแก้ ว่า อ. ดาบสชื่อว่าสรทะ วิกฺขิตฺตจิตฺตตฺตา.
ไม่บรรลุแล้ว ซึง่ พระอรหัต) เพราะความทีแ่ ห่งตนเป็ นผู้มจี ติ ฟุ้งซ่านแล้ว
(ดังนี ้) ฯ
ได้ ยินว่า (อ. ดาบสชื่อว่าสรทะนัน)้ ยังความคิด ให้ เกิดขึ ้นแล้ ว ตสฺส กิร พุทฺธานํ ทุติยาสเน นิสีทิตฺวา
ว่า โอ ! หนอ แม้ อ. เรา พึงได้ ซึง่ ธุระ อันอันพระสาวกนี ้ ได้เฉพาะแล้ว สาวกปารมีาเณ €ตฺวา ธมฺมํ เทสยโต อคฺคสาวกสฺส
ในศาสนา ของพระพุทธเจ้ า ผู้เสด็จอุบตั ิ ในกาลอันไม่มาแล้ ว ธมฺ ม เทสนํ โสตุํ อารทฺ ธ กาลโต ปฏฺ €าย
ดังนี ้ จ�ำเดิม แต่กาลแห่งดาบสชื่อว่าสรทะนัน้ เริ่ มแล้ ว เพื่ออันฟั ง “อโห วตาหํปิ อนาคเต อุปปฺ ชฺชนกสฺส พุทฺธสฺส
ซึง่ ธรรมเทศนา ของพระอัครสาวก ผู้นงั่ แล้ ว บนอาสนะที่สอง สาสเน อิมินา สาวเกน ปฏิลทฺธํ ธุรํ ลเภยฺยนฺติ
ของพระพุทธเจ้ า ท. ตังอยู ้ แ่ ล้ ว ในสาวกบารมีญาณ แสดงอยู่ จิตฺตํ อุปปฺ าเทสิ.
ซึง่ ธรรม ฯ
อ.ดาบสชื่ อว่าสรทะนัน้ ไม่ได้ อาจแล้ ว เพื่ออันกระท�ำ โส เตน ปริ วิตกฺเกน มคฺคผลปฺปฏิเวธํ กาตุํ
ซึง่ การรู้ตลอดซึง่ มรรคและผล เพราะความปริ วิตกนัน้ ฯ ก็ นาสกฺขิ. ตถาคตํ ปน วนฺทิตฺวา สมฺมเุ ข €ตฺวา อาห
(อ. ดาบสชื่อว่าสรทะ) ถวายบังคมแล้ ว ซึง่ พระตถาคตเจ้ า ยืนแล้ ว “ภนฺเต ตุมหฺ ากํ อนนฺตราสเน นิสนิ ฺโน ภิกฺขุ ตุมหฺ ากํ
ในที่พร้ อมหน้ า กราบทูลแล้ ว ว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ เู จริ ญ อ. ภิกษุ สาสเน โก นาม โหตีต.ิ
ผู้นงั่ แล้ ว บนอาสนะอันเป็ นล�ำดับ แห่งพระองค์ ท. เป็ นผู้ชื่อ อะไร
ในศาสนา ของพระองค์ ท. ย่อมเป็ น ดังนี ้ ฯ
(อ. ดาบสชื่อว่าสรทะ) ได้ กระท�ำแล้ ว ซึง่ ความปรารถนา ว่า “ภนฺเต ยฺวายํ มยา สตฺตาหํ ปุปผฺ จฺฉตฺตํ ธาเรนฺเตน
ข้ าแต่พระองค์ผ้ เู จริ ญ อ. สักการะ นี ้ใด อันข้ าพระองค์ ผู้กนอยู
ั้ ่ สกฺกาโร กโต อหํ อิมศฺส ผเลน อญฺญํ สกฺกตฺต วา
ซึ่งฉัตรอันเป็ นวิการแห่งดอกไม้ ตลอดวันเจ็ด กระท�ำแล้ ว , พฺรหมตฺตํ วา น ปตฺเถมิ, อนาคเต ปน อยํ นิสภตฺเถโร
อ.ข้ าพระองค์ ย่อมไม่ปรารถนา ซึง่ ความเป็ นแห่งท้ าวสักกะหรื อ วิย เอกสฺส พุทฺธสฺส อคฺคสาวโก ภเวยฺยนฺติ ปตฺถนํ
หรื อว่าซึ่งความเป็ นแห่งพรหม อื่น ด้ วยผล แห่งสักการะนี ,้ อกาสิ.
แต่วา่ (อ. ข้าพระองค์) เป็ นสาวกผู้เลิศ ของพระพุทธเจ้า พระองค์หนึง่
พึงเป็ น ในการอันไม่มาแล้ ว ราวกะ อ. พระเถระชื่อว่านิสภะ นี ้
ดังนี ้ ฯ
แม้ อ.ดาบสชื่ อว่าสรทะ ไปแล้ ว สู่ส�ำนัก ของพระเถระ สรทตาปโสปิ อนฺเตวาสิกตฺเถรานํ สนฺตกิ ํ คนฺตวฺ า
ผู้เป็ นอันเตวาสิก ท. ส่งไปแล้ ว ซึง่ ข่าวสาส์น แก่กฎุ มพี ุ ชื่อว่า สหายกสฺส สิริวฑฺฒกุฏมฺุ พิกสฺส สาสนํ เปเสสิ
สิริวฑั ฒ์ ผู้เป็ นสหาย ว่า ข้ าแต่ทา่ นผู้เจริ ญ อ. ท่าน ท. จงบอก “ภนฺเต มม สหายกสฺส วเทถ `สหายเกน เต
แก่สหาย ของเรา ว่า อ. ต�ำแหน่งแห่งสาวกผู้เลิศ ในศาสนา สรทตาปเสน อโนมทสฺสสิ ฺส พุทฺธสฺส ปาทมูเล
ของพระพุทธเจ้ าพระนามว่าโคดม ผู้เสด็จอุบตั ิ ในกาลอันไม่มาแล้ ว อนาคเต อุปปฺ ชฺชนกสฺส โคตมพุทฺธสฺส สาสเน
อันดาบสชื่อว่าสรทะ ผู้เป็ นสหาย ของท่าน ปรารถนาแล้ ว อคฺคสาวกฏฺ€านํ ปตฺถิตํ, ตฺวํ ทุตยิ สาวกฏฺ€านํ
ณ ที่ใกล้ แห่งพระบาท ของพระพุทธเจ้ า พระนามว่าอโนมทัสสี, ปตฺเถหีต.ิ
อ.ท่าน จงปรารถนา ซึง่ ต�ำแหน่งแห่งสาวกทีส่ อง ดังนี ้ ฯ
(อ.ดาบสชื่ อว่าสรทะ กล่าวแล้ ว) ว่าดูก่อนสหาย เออ “อาม สมฺม, อมฺหากํ อสฺสมํ อโนมทสฺสี พุทฺโธ
(อ. อย่างนัน),้ อ. พระพุทธเจ้ า พระนามว่าอโนมทัสสี เสด็จมาแล้ ว อาคโต, มยํ ตสฺส อตฺตโน พเลน สกฺการํ กริ มหฺ า,
สูอ่ าศรม ของเรา ท., อ. เรา ท. กระท�ำแล้ว ซึง่ สักการะ แก่พระพุทธเจ้า สตฺถา สพฺเพสํ ธมฺมํ เทเสสิ, เทสนาปริ โยสาเน
นัน้ ตามก�ำลัง ของตน, อ. พระศาสดา ทรงแสดงแล้ ว ซึง่ ธรรม €เปตฺวา มํ เสสา อรหตฺตํ ปตฺตา ปพฺพชึส,ุ
แก่เรา ท. ทังปวง,
้ ในกาลเป็ นที่สดุ ลงรอบแห่งเทศนา อ. ดาบส ท. อหํ สตฺถุ อคฺคสาวกํ นิสภตฺเถรํ ทิสฺวา อนาคเต
ผู้เหลือ เว้ น ซึง่ เรา บรรลุแล้ ว ซึง่ พระอรหัต บวชแล้ ว, อ. เรา เห็นแล้ ว อุปฺปชฺ ชนกสฺส โคตมพุทฺธสฺส นาม สาสเน
ซึ่งพระเถระชื่ อว่านิสภะ ผู้เป็ นอัครสาวก ของพระศาสดา อคฺคสาวกฏฺ€านํ ปตฺเถสึ, ตฺวํปิ ตสฺส สาสเน
ปรารถนาแล้ ว ซึ่ ง ต� ำ แหน่ ง แห่ ง อั ค รสาวก ในศาสนา ทุตยิ สาวกฏฺ€านํ ปตฺเถหีต.ิ
ชือ่ ของพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม ผ้เู สด็จอุบตั ิ ในกาลอันไม่มาแล้ว,
แม้ อ. ท่าน จงปรารถนา ซึง่ ต�ำแหน่งแห่งสาวกที่สอง ในศาสนา
ของพระพุทธเจ้ าพระนามว่าโคดมนัน้ ดังนี ้ ฯ
(อ. สิริวฑั ฒ์ กล่าวแล้ ว) ว่า ข้ าแต่ทา่ นผู้เจริ ญ อ. ความคุ้นเคย “มยฺหํ พุทฺเธหิ สทฺธึ ปริ จโย นตฺถิ ภนฺเตติ.
กับ ด้ วยพระพุทธเจ้ า ท. แห่งข้ าพเจ้ า ย่อมไม่มี ดังนี ้ ฯ
(อ. ดาบสชื่อว่าสรทะ กล่าวแล้ ว) ว่า อ. การกราบทูล กับ “พุทฺเธหิ สทฺธึ กถนํ มยฺหํ ภาโร โหตุ, ตฺวํ
ด้ วยพระพุทธเจ้ า ท. เป็ นภาระ ของเรา จงเป็ น, อ. ท่าน จงจัดแจง มหนฺตํ อภิสกฺการํ สชฺเชหีต.ิ
ซึง่ สักการะอันยิ่งใหญ่เถิด ดังนี ้ ฯ
อ. สิริวฑั ฒ์ ฟั งแล้ ว ซึง่ ค�ำ ของดาบสชื่อว่าสรทะนัน้ ยังบุคคล สิริวฑฺโฒ ตสฺส วจนํ สุตวฺ า อตฺตโน นิเวสนทฺวาเร
ให้กระท�ำแล้ว ซึง่ ทีม่ กี รีสแปดเป็ นประมาณ โดยเครื่องวัดของพระราชา ราชมาเนน อฏฺ€กรี สมตฺตํ €านํ สมตลํ กาเรตฺวา
ใกล้ ประตูแห่งนิเวศน์ ของตน ให้ เป็ นที่มีพื ้นเสมอ เกลี่ยลงแล้ ว วาลิกํ โอกิริตฺวา ลาชปฺจมานิ ปุปผฺ านิ วิกฺกิริตฺวา
ซึง่ ทราย เรี่ ยรายแล้ ว ซึง่ ดอกไม้ ท. มีข้าวตอกเป็ นที่ห้า ยังบุคคล นีลปุ ปฺ ลจฺฉทนํ มณฺฑปํ การาเปตฺวา พุทฺธาสนํ
ให้ กระท�ำแล้ วซึง่ ปะร� ำ มีดอกอุบลเขียวเป็ นเครื่ องมุง ยังบุคคล ปฺาเปตฺวา เสสภิกฺขนู ํปิ อาสนานิ ปฏิยาเทตฺวา
ให้ ปลู าดแล้ ว ซึง่ อาสนะของพระพุทธเจ้ า ตกแต่งแล้ ว ซึง่ อาสนะ ท. มหนฺตํ สกฺ การสมฺมานํ สชฺ เชตฺวา พุทฺธานํ
แม้ แก่ภกิ ษุผ้ เู หลือ ท. จัดแจงแล้ ว ซึง่ สักการะและสัมมานะ อันใหญ่ นิมนฺตนตฺถาย สรทตาปสสฺส สฺํ อทาสิ.
ได้ ให้ แล้ ว ซึ่งสัญญา แก่ดาบสชื่ อว่าสรทะ เพื่อประโยชน์
แก่การทูลนิมนต์ ซึง่ พระพุทธเจ้ า ท. ฯ
อ. ดาบส พาเอา ซึง่ หมูแ่ ห่งภิกษุ มีพระพุทธเจ้ าเป็ นประมุข ตาปโส พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขสุ งฺฆํ คเหตฺวา ตสฺส
ได้ ไปแล้ ว สูน่ ิเวศน์ ของสิริวฑั ฒ์นนั ้ ฯ นิเวสนํ อคมาสิ.
แม้ อ. สิริวฑั ฒ์ กระท�ำแล้ ว ซึง่ การต้ อนรับ รับแล้ ว ซึง่ บาตร สิริวฑฺโฒปิ ปจฺจคุ ฺคมนํ กตฺวา ตถาคตสฺส
จากพระหัตถ์ ของพระตถาคตเจ้า (ยังพระศาสดา) ให้เสด็จเข้าไปแล้ว หตฺถโต ปตฺตํ คเหตฺวา มณฺ ฑปํ ปเวเสตฺวา
สูป่ ะร� ำ
อ. สิริวฑั ฒ์ นัน้ ยังทานใหญ่ ให้ เป็ นไปทัว่ แล้ ว ตลอดวันเจ็ด โส เตเนว นิยาเมน สตฺตาหํ มหาทานํ
โดยท�ำนองนันนั ้ น่ เทียว ถวายบังคมแล้ ว ซึง่ พระผู้มีพระภาคเจ้ า ปวตฺเตตฺวา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา อฺชลึ ปคฺคยฺห
ยืนประคองแล้ ว ซึง่ อัญชลี กราบทูลแล้ ว ว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ เู จริ ญ €ิโต อาห “ภนฺเต มม สหาโย สรทตาปโส `ยสฺส
อ. ดาบสชื่อว่าสรทะ ผู้เป็ นสหาย ของข้ าพระองค์ ปรารถนาแล้ ว ว่า สตฺถุ อคฺคสาวโก ภเวยฺยนฺติ ปตฺเถสิ, อหํ ตสฺเสว
อ. เรา เป็ นสาวกผู้เลิศ ของพระศาสดา พระองค์ใด พึงเป็ น ดังนี ้, ทุตยิ สาวโก ภเวยฺยนฺต.ิ
อ. ข้ าพระองค์ เป็ นสาวกทีส่ อง ของพระศาสดา พระองค์นนนั ั ้ น่ เทียว
พึงเป็ น ดังนี ้ ฯ
อ. พระศาสดา ทรงแลดูแล้ ว ซึง่ กาลอันไม่มาแล้ ว ทรงเห็นแล้ ว สตฺถา อนาคตํ โอโลเกตฺวา ตสฺส ปตฺถนาย
ซึง่ ความเป็ นคืออันส�ำเร็จ แห่งความปรารถนา แห่งสิริวฑั ฒ์นนั ้ สมิชฺฌนภาวํ ทิสฺวา พฺยากาสิ “ตฺวํปิ อิโต
ทรงพยากรณ์แล้ ว ว่า แม้ อ. ท่าน เป็ นสาวกที่สอง ของพระพุทธเจ้ า กปฺปสตสหสฺสาธิกํ อสงฺเขยฺยํ อติกกฺ มิตวฺ า โคตมพุทธฺ สฺส
พระนามว่าโคดม จักเป็ น ก้ าวล่วง ซึง่ อสงไชย อันยิง่ ด้วยแสนแห่งกัปป์ ทุตยิ สาวโก ภวิสฺสสีต.ิ
แต่ภทั ทกัปป์นี ้ ดังนี ้ ฯ
อ. พระศาสดา ทรงสดับแล้ว ซึง่ ค�ำนัน้ ตรัสแล้ว ว่า ดูกอ่ นภิกษุ ท. ตํ สุตฺวา สตฺถา “ภิกฺขเว สฺชโย อตฺตโน
อ. สญชัย ถือเอาแล้ว ซึง่ ธรรมอันไม่เป็ นสาระ ว่า อ. ธรรมอันเป็ นสาระ มิจฺฉาทิฏฺ€ิตาย อสารํ `สาโรติ สารฺจ `อสาโรติ
ดังนี ้ ด้ วย ซึง่ ธรรมอันเป็ นสาระ ว่า อ. ธรรมอันไม่เป็ นสาระ ดังนี ้ คณฺหิ, ตุมเฺ ห ปน อตฺตโน ปณฺฑิตตาย สารํ
ด้ วย เพราะความที่แห่งตนเป็ นผู้มีความเห็นผิด, ส่วนว่า อ. เธอ ท. สารโต อสารฺจ อสารโต ตฺวา อสารํ ปหาย
รู้แล้ ว ซึง่ ธรรมอันเป็ นสาระ โดยความเป็ นธรรมอันเป็ นสาระด้ วย สารเมว คณฺหิตฺถาติ วตฺวา อิมา คาถา อภาสิ
ซึง่ ธรรมอันไม่เป็ นสาระ โดยความเป็ นธรรมอันไม่เป็ นสาระด้ วย
ละแล้ ว ซึง่ ธรรมอันไม่เป็ นสาระ ถือเอาแล้ ว ซึง่ ธรรม อันเป็ นสาระ
นัน่ เทียว เพราะความที่แห่งตนเป็ นคนฉลาด ดังนี ้ ได้ ตรัสแล้ ว
ซึง่ พระคาถา ท. เหล่านี ้ ว่า
(อ. ชน ท. เหล่าใด) เป็ นผูม้ ี ความรู้ซึ่งธรรมอันเป็ นสาระ “อสาเร สารมติ โน สาเร จาสารทสฺสิโน
ในธรรมอันไม่เป็ นสาระด้วย เป็ นผูเ้ ห็นซึ่งธรรมอันไม่เป็ นสาระ
โดยปกติ ในธรรมอันเป็ นสาระด้วย (ย่อมเป็ น) อ. ชน ท. เต สารํ นาธิ คจฺฉนฺติ มิ จฺฉาสงฺกปฺปโคจรา
เหล่านัน้ เป็ นผูม้ ี ความด�ำริ ผิดเป็ นอารมณ์ (เป็ น)
ย่อมไม่ถึงทับ ซึ่งธรรมอันเป็ นสาระ (อ. ชน ท. เหล่าใด) สารฺจ สารโต ตฺวา อสารฺจ อสารโต
รู้แล้ว ซึ่งธรรมอันเป็ นสาระ โดยความเป็ นธรรมอันเป็ นสาระ
ด้วย ซึ่งธรรมอันไม่เป็ นสาระ โดยความเป็ นธรรมอันไม่เป็ น- เต สารํ อธิ คจฺฉนฺติ สมฺมาสงฺกปฺปโคจราติ .
สาระด้วย อ. ชน ท. เหล่านัน้ เป็ นผูม้ ี ความด�ำริ ชอบ-
เป็ นอารมณ์ (เป็ น) ย่อมถึงทับ ซึ่งธรรมอันเป็ นสาระ ดังนี ้ ฯ
อ.อรรถ ว่า อ.ธรรมนี ้ คือ อ.ปั จจัย ท. ๔, อ.ความเห็นผิด ตตฺถ “อสาเร สารมติโนติ: จตฺตาโร ปจฺจยา,
อันมีวตั ถุ ๑๐ , อ.ธรรมเทศนา อันเป็ นอุปนิสยั แห่งความเห็นผิด ทสวตฺถกุ า มิจฺฉาทิฏฺ€ิ, ตสฺสา อุปนิสฺสยภูตา
นัน้ เป็ นแล้ ว ชื่อว่าธรรมอันไม่เป็ นสาระ, เป็ นผู้มีความเห็นซึง่ ธรรม ธมฺมเทสนาติ อยํ อสาโร นาม, ตสฺมึ สารทิฏฺ€ิโนติ
อันเป็ นสาระ ในธรรมอันไม่เป็ นสาระนัน้ ดังนี ้ ในบท ท. เหล่านัน้ อตฺโถ.
หนา (แห่งบาทแห่งพระคาถา) ว่า อสาเร สารมติโน ดังนี ้ ฯ
(อ.อรรถ) ว่า อ.ธรรมนี ้ คือ อ.ความเห็นชอบ อันมีวตั ถุ ๑๐, สาเร จาสารทสฺสิโนติ: ทสวตฺถกุ า สมฺมาทิฏฺ€ิ,
อ.ธรรมเทศนา อันเป็ นอุปนิสยั แห่งความเห็นชอบนัน้ เป็ นแล้ ว ตสฺสา อุปนิสฺสยภูตา ธมฺมเทสนาติ อยํ สาโร นาม,
ชื่อว่าธรรมอันเป็ นสาระ เป็ นผู้เห็นซึง่ ธรรมอันไม่เป็ นสาระโดยปกติ ตสฺมึ “นายํ สาโรติ อสารทสฺสโิ น.
ว่า อ.ธรรมนี ้ เป็ นสาระ (ย่อมเป็ น) หามิได้ ดังนี ้ ในธรรมอันเป็ นสาระ
นัน้ (ดังนี ้) (แห่งบาทแห่งพระคาถา) ว่า สาเร จาสารทสฺสโิ น ดังนี ้ฯ
อ.พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ในพระเชตวัน ทรงปรารภ “ยถา อคารํ ทุจฉฺ นฺนนฺติ อิมํ ธมฺมเทสนํ
ซึ่งพระนันทะ ผู้มีอายุ ตรั สแล้ ว ซึ่งพระธรรมเทศนานี ้ ว่า สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต อายสฺมนฺตํ นนฺทํ อารพฺภ
ยถา อคารํ ทุจฉฺ นฺนํ ดังนี ้เป็ นต้ น ฯ กเถสิ.
ก็ อ.พระศาสดา ทรงอาศัย ซึง่ วาจาเป็ นเครื่ องกล่าวซึง่ คุณ ภตฺตกิจฺจปริ โยสาเน ปน ราหุลมาตุคณ ุ กถํ
แห่งพระมารดาของพระราหุล ตรั สแล้ ว ซึ่งจันทกิ นนรี ชาดก นิสฺสาย จนฺทกินฺนรี ชาตกํ กเถตฺวา, ตโต ตติยทิวเส
ในกาลเป็ นทีส่ ดุ ลงรอบแห่งกิจด้ วยภัต ครันเมื
้ อ่ มงคลคือการอภิเษก นนฺทกุมารสฺส อภิเสกเคหปฺปเวสนวิวาหมงฺคเลสุ
และมงคลคืออันเข้าไปสูเ่ รือนและมงคลคือวิวาหะ ท. แห่งพระกุมาร วตฺตมาเนสุ, ปิ ณฺฑาย ปวิสติ ฺวา นนฺทกุมารสฺส
พระนามว่านันทะ เป็ นไปอยู่ เสด็จเข้าไปแล้วเพือ่ บิณฑะ ในวันที่ ๓ หตฺเถ ปตฺตํ ทตฺวา มงฺคลํ วตฺวา อุฏฺฐายาสนา
แต่วนั นัน้ ประทานแล้ ว ซึง่ บาตร บนพระหัตถ์ ของพระกุมาร ปกฺกมนฺโต นนฺทกุมารสฺส หตฺถโต ปตฺตํ น คณฺหิ.
พระนามว่านันทะ ตร้ สแล้ วซึง่ มงคล เสด็จลุกขึ ้นแล้ วจากอาสนะ
หลีกไปอยู่ ไม่ทรงรับแล้ ว ซึง่ บาตร จากพระหัตถ์ ของพระกุมาร
พระนามว่านันทะ ฯ
แต่ ว่ า (อ.พระนั น ทกุ ม าร) ทรงด� ำ ริ แ ล้ ว อย่ า งนี ้ ว่ า เอวํ ปน จิ นฺ เ ตสิ “ โสปาณสี เ ส ปตฺ ตํ
(อ. พระศาสดา) จักทรงรับ ซึง่ บาตร ที่หวั แห่งบันได ดังนี ้ ฯ คณฺหิสฺสตีต.ิ
อ. พระกุมาร เป็ นผู้ใคร่เพื่ออันเสด็จกลับ (เป็ น) เสด็จไปอยู่ กุมาโร นิวตฺติตกุ าโม อรุจิยา คจฺฉนฺโต
ด้ วยความไม่ชอบพระทัย ย่อมไม่ทรงอาจ เพื่ออันกราบทูล ว่า ตถาคตคารเวน “ปตฺตํ คณฺหถาติ วตฺตํุ น
อ. พระองค์ ท. ขอจงทรงรับ ซึง่ บาตร ดังนี ้ ด้ วยความเคารพ สกฺโกติ, “อิธ คณฺหิสฺสติ, เอตฺถ คณฺหิสฺสตีติ
ในพระตถาคตเจ้ า, ย่อมเสด็จด�ำริ ไปอยู่ ว่า (อ.พระศาสดา) จินฺเตนฺโต คจฺฉติ.
จักทรงรับเอา ในที่นี ้, จักทรงรับเอา ในที่นนั่ ดังนี ้ ฯ
ในขณะนัน้ อ.หญิงอยู่ ท. เหล่าอื่น เห็นแล้ ว ซึง่ เหตุนนั ้ ตสฺมึ ขเณ อญฺญา อิตฺถิโย ตํ ทิสฺวา
บอกแล้ ว แก่พระนางชนบทกัลยาณี ว่า ข้ าแต่พระแม่เจ้ า ชนปทกลฺยาณิยา อาจิกฺขสึ ุ “ อยฺเย
แม้ อ. พระศาสดา ไม่ทรงรับแล้ ว ซึง่ บาตร จากพระหัตถ์ สตฺถาปิ สฺส หตฺถโต ปตฺตํ อคฺคณฺหิตฺวาว ตํ
ของพระนันทกุมารนันเที ้ ยว ทรงน�ำไปแล้ ว ซึง่ พระนันทกุมารนัน้ วิหารํ เนตฺวา “ปพฺพชิสฺสสิ นนฺทาติ อาห.
สูว่ ิหาร ตรัสแล้ ว ว่า ดูก่อนนันทะ อ. เธอ จักบวชหรื อ ดังนี ้ ฯ
อ. พระนันทกุมารนัน้ ไม่ทลู แล้ ว ว่า อ. ข้ าพระองค์ จักไม่บวช โส พุทฺธคารเวน “น ปพฺพชิสฺสามีติ อวตฺวา
ดังนี ้ กราบทูลแล้ว ว่า ข้าแต่พระองค์ผ้เู จริญ พระเจ้าข้า อ. ข้าพระองค์ “อาม ภนฺเต ปพฺพชิสฺสามีติ อาห.
จักบวช ดังนี ้ ด้ วยความเคารพในพระพุทธเจ้ า ฯ
อ. พระศาสดา ตรัสแล้ ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. ถ้ าอย่างนัน้ สตฺถา “เตนหิ ภิกฺขเว นนฺทํ ปพฺพาเชถาติ
(อ. เธอ ท.) ยังนันทะ จงให้ บวชเถิด ดังนี ้ ฯ อาห.
อ.พระศาสดา เสด็ จ ไปแล้ ว สู่ บุ รี ชื่ อ ว่ า กบิ ล พัส ดุ์ สตฺถา กปิ ลวตฺถปุ รุ ํ คนฺตฺวา ตติยทิวเส นนฺทํ
ทรงยังพระนันทะ ให้ ผนวชแล้ ว ในวันที่สาม ฯ ปพฺพาเชสิ.
ในวันที่เจ็ด อ.พระมารดาของพระราหุล ทรงประดับแล้ ว สตฺตเม ทิวเส ราหุลมาตา กุมารํ อลงฺกริ ตฺวา
ซึง่ พระกุมาร ทรงส่งไปแล้ ว สูส่ �ำนัก ของพระผู้มีพระภาคเจ้ า ภควโต สนฺตกิ ํ เปเสสิ “ปสฺส ตาต เอตํ
(ด้ วยพระด�ำรัส) ว่า แน่ะพ่อ อ. เจ้ า จงเห็น ซึง่ สมณะ ผู้มีวรรณะ วีสติสหสฺสสมณปริ วตุ ํ สุวณฺณวณฺณํ พฺรหฺมรูปวณฺณํ
แห่ ง รู ป เพี ย งดัง พรหม ผู้ มี ว รรณะเพี ย งดัง วรรณะแห่ ง ทอง สมณํ, อยนฺเต ปิ ตา, เอตสฺส ตว ปิ ตุโน
ผู้อนั สมณะมีพนั ยี่สบิ เป็ นประมาณแวดล้ อมแล้ ว นัน่ , อ. สมณะนี ้ ชาตกาเล มหนฺตา นิธิกมุ ภฺ ิโย อเหสุํ, ตสฺส
เป็ นพระบิดา ของเจ้ า (ย่อมเป็ น), อ. หม้ อแห่งขุมทรัพย์ ท. ใหญ่ นิกฺขมนกาลโต ปฏฺ€าย น ปสฺสามิ, คจฺฉ นํ
ได้ มีแล้ ว ในกาลแห่งพระบิดาของเจ้ านัน่ ประสูตแิ ล้ ว, อ. เรา ทายชฺชํ ยาจาหิ `อหํ ตาต กุมาโร, อภิเสกํ ปตฺวา
ย่อมไม่เห็น จ�ำเดิม แต่กาลเป็ นที่เสด็จออกไป แห่งพระบิดานัน,้ จกฺกวตฺตี ภวิสฺสามิ, ธเนน เม อตฺโถ, ธนํ เม เทหิ,
อ.เจ้ า จงไป จงทูลขอ ซึง่ ทรัพย์มรดก กะพระบิดานัน้ ว่า สามิโก หิ ปุตฺโต ปิ ตุ สนฺตกสฺสาติ.
ข้ าแต่เสด็จพ่อ อ. หม่อมฉัน เป็ นกุมาร (ย่อมเป็ น), อ. หม่อมฉัน
ถึงแล้ ว ซึ่งการอภิเษก เป็ นพระเจ้ าจักรพรรดิ์ จักเป็ น,
อ. ความต้ องการ ด้ วยทรัพย์ แห่งหม่อมฉัน (มีอยู)่ , อ. พระองค์
ขอจงประทาน ซึง่ ทัพย์ แก่หม่อมฉัน , เพราะว่า อ. บุตร
เป็ นเจ้ าของ แห่งทรัพย์อนั เป็ นของมีอยู่ แห่งบิดา (ย่อมเป็ น) ดังนี ้ ฯ
อ. พระกุมาร เสด็จไปแล้ ว สูส่ �ำนัก ของพระผู้มีพระภาคเจ้ า กุมาโร ภควโต สนฺตกิ ํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา
ถวายบังคมแล้ ว กลับได้ แล้ ว ซึง่ ความรักในพระบิดา ผู้ร่าเริ งแล้ ว ปิ ตุสเิ นหํ ปฏิลภิตฺวา หฏฺ€ตุฏฺโ€ “สุขา เต สมณ
และยินดีแล้ ว กราบทูลแล้ ว ว่า ข้ าแต่สมณะ อ. เงา ของพระองค์ ฉายาติ วตฺวา อฺํปิ พหุํ อตฺตโน อนุรูปํ
สบาย ดังนี ้ ได้ ประทับยืนตรัสอยูแ่ ล้ ว ซึง่ ค�ำอันสมควร แก่ตน วทนฺโต อฏฺ€าสิ.
อันมาก แม้ อื่น ฯ
อ.พระผู้มีพระภาคเจ้ า ผู้มีกิจด้ วยภัตรอันทรงกระท�ำแล้ ว ภควา กตภตฺตกิจโฺ จ อนุโมทนํ กตฺวา อุฏฺ€ายาสนา
ทรงกระท�ำแล้ ว ซึง่ การอนุโมทนา เสด็จลุกขึ ้นแล้ ว จากอาสนะ ปกฺกามิ.
เสด็จหลีกไปแล้ ว ฯ
แม้ อ. พระกุมาร (กราบทูลแล้ ว) ว่า ข้ าแต่สมณะ อ. พระองค์ กุมาโรปิ “ทายชฺชํ เม สมณ เทหิ, ทายชฺชํ
ขอจงประทาน ซึง่ ทรัพย์มรดก แก่หม่อมฉัน , ข้ าแต่สมณะ เม สมณ เทหีติ ภควนฺตํ อนุพนฺธิ.
อ.พระองค์ ขอจงประทาน ซึง่ ทรัพย์มรดก แก่หม่อมฉัน ดังนี ้
เสด็จติดตามไปแล้ ว ซึง่ พระผู้มีพระภาคเจ้ า ฯ
*ก.๒๓* ในล�ำดับนัน้ อ. พระผู้มีพระภาคเจ้ า ทรงพระด�ำริ แล้ ว ตโต ภควา จินฺเตสิ “ยํ อยํ ปิ ตุ สนฺตกํ ธนํ
ว่า อ. กุมาร นี ้ย่อมปรารถนา ซึง่ ทรัพย์ อันเป็ นของมีอยู่ แห่งบิดา ใด, อิจฺฉติ, ตํ วฏฺฏานุคตํ สวิฆาตํ; หนฺทสฺส โพธิมเู ล
อ. ทรัพย์นนั ้ เป็ นของไปตามแล้ วซึง่ วัฏฏะ เป็ นของเป็ นไปกับ มยา ปฏิลทฺธํ สตฺตวิธํ อริยธนํ เทมิ, โลกุตตฺ รทายชฺชสฺส
ด้ วยความคับแคบ (ย่อมเป็ น) ; เอาเถิด (อ. เรา) จะให้ ซึง่ ทรัพย์ นํ สามิกํ กโรมีต.ิ
อันประเสริ ฐ อันมีอย่าง ๗ อันอันเราได้ เฉพาะแล้ ว ที่โคนแห่งต้ นไม้
เป็ นทีต่ รัสรู้ แก่กมุ าร นัน,้ อ. เรา จะกระท�ำ ซึง่ กุมารนัน้ ให้เป็ นเจ้าของ
แห่งทรัพย์มรดกอันเป็ นโลกุตระ ดังนี ้ ฯ
ครังนั
้ นแล้ อ. พระผู้มพี ระภาคเจ้า ตรัสเรียกมาแล้ว ซึง่ พระสารีบตุ ร อถโข ภควา อายสฺมนฺตํ สารี ปตุ ฺตํ อามนฺเตสิ
ผู้มีอายุ (ด้ วยพระด�ำรัส) ว่า ดูก่อนสารี บตุ ร ถ้ าอย่างนัน้ อ. เธอ “เตนหิ ตฺวํ สารี ปตุ ฺต ราหุลกุมารํ ปพฺพาเชหีติ.
ยังกุมารชื่อว่าราหุล จงให้ บวชเถิด ดังนี ้ฯ อ. พระเถระยังพระกุมาร เถโร ตํ ปพฺพาเชสิ.
นัน้ ให้ ผนวชแล้ ว ฯ
ก็ ครัน้ เมื่อพระกุมาร ผนวชแล้ ว, อ. ความทุกข์ มีประมาณยิ่ง ปพฺพชิเต ปน กุมาเร, รฺโ ตํ สุตฺวา
เกิดขึ ้นแล้ ว แก่พระราชา เพราะทรงสดับ ซึง่ ข่าวสาส์นนัน้ ฯ อธิมตฺตํ ทุกฺขํ อุปปฺ ชฺชิ.
(อ. พระราชา) ไม่ทรงอาจอยู่ เพื่ออันทรงยังความทุกข์นนั ้ ตํ อธิวาเสตุํ อสกฺโกนฺโต ภควโต สนฺตกิ ํ
ให้ อยู่ทับ เสด็จไปแล้ ว สู่ส�ำนัก ของพระผู้มีพระภาคเจ้ า คนฺตฺวา ปฏินิเวเทตฺวา “ สาธุ ภนฺเต อยฺยา
(ทรงยังพระผู้มีพระภาคเจ้ า) ให้ ทรงทราบเฉพาะแล้ ว ทูลขอแล้ ว มาตาปิ ตูหิ อนนฺุาตํ ปุตฺตํ น ปพฺพาเชยฺยนุ ฺติ
ซึง่ พร ว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ เู จริ ญ ดังหม่อมฉันทูลขอวโรกาส วรํ ยาจิ.
อ.พระผู้เป็ นเจ้ า ท. ไม่พึงยังบุตร ผู้อันมารดาและบิดา ท.
ไม่อนุญาตแล้ ว ให้ บวช ดังนี ้ ฯ
อ. พระผู้มีพระภาคเจ้ า ประทานแล้ ว ซึง่ พรนัน้ แก่พระราชา ภควา ตสฺส ตํ วรํ ทตฺวา, ปุเนกทิวสํ ราชนิเวสเน
นัน้ , ในวันหนึ่งอีก ผู้มีอาหารอันบุคคลพึงกิ นในเวลาเช้ า กตปาตราโส, เอกมนฺตํ นิสนิ ฺเนน รฺา “ภนฺเต
อันทรงกระท�ำแล้ ว ในพระราชนิเวศน์, (ครัน้ เมื่อพระด�ำรัส) ว่า ตุมหฺ ากํ ทุกฺกรการิ กกาเล เอกา เทวตา มํ
ข้ าแต่พระองค์ผ้ เู จริ ญ ในกาลแห่งพระองค์ ท. ทรงประกอบแล้ ว อุปสงฺกมิตฺวา `ปุตฺโต เต กาลกโตติ อาห, อหํ
ด้ วยการกระท�ำซึง่ กรรมอันบุคคลกระท�ำได้ โดยยาก อ. เทวดา ตสฺสา วจนํ อสทฺทหนฺโต `น มยฺหํ ปุตฺโต โพธึ
ตนหนึง่ เข้ าไปหาแล้ ว ซึง่ หม่อมฉัน กล่าวแล้ ว ว่า อ. ลูกชาย อปฺปตฺวา กาลํ กโรตีติ ตํ ปฏิกฺขิปินฺติ วุตฺเต,
ของท่าน เป็ นผู้มีกาละอันกระท�ำแล้ ว (ย่อมเป็ น) ดังนี ้, อ. หม่อมฉัน “อิทานิ มหาราช กึ สทฺทหิสฺสถ; ปุพฺเพปิ ,
ไม่เชื่ออยู่ ซึง่ ค�ำ ของเทวดานัน้ ห้ ามแล้ ว ซึง่ เทวดานัน้ ว่า อ. ลูกชาย อฏฺ€ิกานิ ตุยฺหํ ทสฺเสตฺวา `ปุตฺโต เต มโตติ
ของข้ าพเจ้ า ไม่บรรลุแล้ ว ซึง่ ญาณเป็ นเครื่ องตรัสรู้ จะกระท�ำ วุตฺเต, น สทฺทหิตฺถาติ, อิมิสฺสา อตฺถปุ ปฺ ตฺติยา
ซึง่ กาละ หามิได้ ดังนี ้ ดังนี ้ (อันพระราชา) ผู้ประทับนัง่ แล้ ว มหาธมฺมปาลชาตกํ กเถสิ.
ณ ที่สดุ แห่งหนึง่ ทูลแล้ ว, (ตรัสแล้ ว) ว่า ดูก่อนมหาบพิตร
ในกาลนี ้ อ. พระองค์ ท. จักทรงเชื่อ อย่างไร ; แม้ ในกาลก่อน,
(ครัน้ เมื่อค�ำ) ว่า อ. ลูกชาย ของท่าน ตายแล้ ว ดังนี ้ (อันพราหมณ์)
แสดงแล้ ว ซึง่ กระดูก ท. แก่พระองค์ กราบทูลแล้ ว, (อ. พระองค์ ท.)
ไม่ทรงเชื่ อแล้ ว ดังนี ,้ ตรั สแล้ ว ซึ่งมหาธรรมบาลชาดก
ในเพราะความเกิดขึ ้นแห่งเรื่ อง นี ้ ฯ
ครัน้ เมื่อพระศาสดา ประทับอยูอ่ ยู่ ในพระเชตวัน อย่างนี ้ เอวํ สตฺถริ เชตวเน วิหรนฺเตเยว, อายสฺมา
นัน่ เทียว, อ. พระนันทะ ผู้มอี ายุ กระสันขึ ้นแล้ว บอกแล้ว ซึง่ เนื ้อความ นนฺโท อุกฺกณฺ€ิตฺวา ภิกฺขนู ํ เอตมตฺถํ อาโรเจสิ
นัน่ แก่ภิกษุ ท. ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท. อ. ข้ าพเจ้ า ไม่ยินดียิ่งแล้ ว “ อนภิ ร โต อหํ อาวุ โ ส พฺ ร หฺ ม จริ ยํ จรามิ ,
ย่ อ มประพฤติ ซึ่ ง พรหมจรรย์ , อ.ข้ าพเจ้ า ย่ อ มไม่ อ าจ น สกฺโกมิ พฺรหฺมจริ ยํ สนฺธาเรตุํ, สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย
เพื่ออันทรงไว้ พร้ อม ซึง่ พรหมจรรย์, (อ. ข้ าพเจ้ า) บอกคืนแล้ ว หีนายาวตฺตสิ ฺสามีต.ิ
ซึง่ สิกขา จักเวียนมา เพื่อความเป็ นคนเลว ดังนี ้ ฯ
อ. พระผู้มีพระภาคเจ้ า ทรงสดับแล้ ว ซึง่ ความเป็ นไปทัว่ นัน้ ภควา ตํ ปวตฺตึ สุตฺวา อายสฺมนฺตํ นนฺทํ
(ทรงยังบุคคล) ให้ ร้องเรี ยกแล้ ว ซึง่ พระนันทะ ผู้มีอายุ ได้ ตรัสแล้ ว ปกฺโกสาเปตฺวา เอตทโวจ “สจฺจํ กิร ตฺวํ นนฺท
ซึง่ ค�ำนัน่ ว่า ดูก่อนนันทะ ได้ ยินว่า อ. เธอ บอกแล้ ว อย่างนี ้ ว่า สมฺพหุลานํ ภิกฺขนู ํ เอวมาโรเจสิ `อนภิรโต อหํ
ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท. อ. ข้ าพเจ้ า ไม่ยินดียิ่งแล้ ว ย่อมประพฤติ อาวุโส พฺรหฺมจริ ยํ จรามิ, น สกฺโกมิ พฺรหฺมจริ ยํ
ซึง่ พรหมจรรย์, อ.ข้ าพเจ้ า ย่อมไม่อาจ เพื่ออันทรงไว้ พร้ อม สนฺธาเรตุํ, สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย หีนายาวตฺตสิ ฺสามีติ.
ซึง่ พรหมจรรย์, อ. ข้ าพเจ้ า บอกคืนแล้ ว ซึง่ สิกขา จักเวียนมา
เพือ่ ความเป็ นคนเลว ดังนี ้ แก่ภกิ ษุ ท. ผู้มากพร้ อม จริงหรือ (ดังนี ้) ฯ
(อ. พระศาสดา ตรัสแล้ ว) ว่า ดูก่อนนันทะ ก็ อ. เธอ “กิสฺส ปน ตฺวํ นนฺท อนภิรโต พฺรหฺมจริ ยํ
ผู้ไม่ยินดียิ่งแล้ ว ย่อมประพฤติ ซึง่ พรหมจรรย์, อ. เธอ ย่อมไม่อาจ จรสิ, น สกฺโกสิ พฺรหฺมจริยํ สนฺธาเรตุ,ํ สิกขฺ ํ ปจฺจกฺขาย
เพื่ออันทรงไว้ พร้ อม ซึง่ พรหมจรรย์, อ. เธอ บอกคืนแล้ ว ซึง่ สิกขา หีนายาวตฺตสิ ฺสสีต.ิ
จักเวียนมา เพื่อความเป็ นคนเลว เพื่ออะไร ดังนี ้ ฯ
ครัง้ นันแล
้ อ. พระผู้มีพระภาคเจ้ า ทรงจับแล้ ว อถโข ภควา อายสฺมนฺตํ นนฺทํ พาหาย
ซึง่ พระนันทะ ผู้มีอายุ ที่แขน ทรงน�ำไปอยู่ สูเ่ ทวโลกชื่อว่าดาวดึงส์ คเหตฺวา อิทฺธิพเลน ตาวตึสเทวโลกํ เนนฺโต,
ด้ วยก�ำลังแห่งพระฤทธิ์,
ก็แล (อ. พระศาสดา) ครัน้ ทรงแสดงแล้ ว ตรัสแล้ ว อย่าง ทสฺเสตฺวา จ ปน เอวมาห “ตํ กึ มฺสิ
นี ้ว่า ดูก่อนนันทะ อ. เธอ จะส�ำคัญ ซึง่ ข้ อนัน้ อย่างไร, อ. นนฺท, กตมา นุโข อภิรูปตรา จ ทสฺสนียตรา จ
หญิง ท. เหล่าไหนหนอแล คือ อ. นางชนบทกัลยาณี ผู้ศากิยะ ปาสาทิกตรา จ, สากิยานี วา ชนปทกลฺยาณี
หรื อ หรื อว่า คือ อ. ร้ อยแห่งนางอัปสร ท. ๕ ผู้มีเท้ าเพียงดังเท้ า อิมานิ วา ปฺจ อจฺฉราสตานิ กกุฏปาทานีติ.
แห่งนกพิราบ เหล่านี ้ เป็ นผู้มีรูปงามกว่าด้ วย เป็ นผู้ควรแก่การเห็น
กว่าด้ วย เป็ นผู้ยงั ความเลื่อมใสให้ เกิดกว่าด้ วย (ย่อมเป็ น) ดังนี ้ ฯ
(อ.พระนั น ทะ) ฟั ง แล้ ว ซึ่ ง ค� ำ นั น้ กราบทู ล แล้ ว ว่ า ตํ สุตวฺ า อาห “เสยฺยถาปิ สา ภนฺเต ฉินนฺ กณฺณ-
ข้ าแต่พระองค์ผ้ เู จริ ญ อ. นางลิงลุน่ ตัวมีหแู ละจมูกและหาง นาสนงฺคฏุ ฺ €า ปลุฏฺ€มกฺกฏี; เอวเมว โข ภนฺเต
อันขาดแล้ ว นัน้ (ย่อมเป็ น) แม้ ฉนั ใด; ข้ าแต่พระองค์ผ้ เู จริ ญ สากิยานี ชนปทกลฺยาณี, อิเมสํ ปฺจนฺนํ อจฺฉราสตานํ
อ. พระนางชนบทกัลยาณี ผู้ศากิยะ (ย่อมเป็ น) ฉันนัน้ นัน่ เทียวแล. อุปนิธาย สงฺขฺยํปิ น อุเปติ, กลํปิ น อุเปติ
(อ.นางชนบทกัลยาณี ผู้ศากิยะ) ย่อมไม่เข้าถึง แม้ซงึ่ การนับพร้ อม, ภาคํปิ น อุเปติ; อถโข อิมาเนว ปฺจ อจฺฉราสตานิ
ย่อมไม่เข้ าถึง แม้ ซงึ่ เสี ้ยว ย่อมไม่เข้ าถึง แม้ ซงึ่ ส่วน แห่งร้ อย อภิรูปตรานิ เจว ทสฺสนียตรานิ จ ปาสาทิกตรานิ
แห่งนางอัปสร ท. ๕ เหล่านี ้ เพราะอันเข้ าไปเทียบเคียง; โดยที่แท้ จาติ.
อ. ร้ อยแห่งนางอัปสร ท. ๕ เหล่านี ้นัน่ เทียว เป็ นผู้มรี ูปงามกว่าด้ วย
เป็ นผู้ควรแก่การเห็นกว่าด้ วย เป็ นผู้ยงั ความเลือ่ มใสให้ เกิดกว่าด้ วย
(ย่อมเป็ น) ดังนี ้ ฯ
(อ. พระศาสดา ตรัสแล้ ว) ว่า ดูก่อนนันทะ อ. เธอ จงยินดียิ่ง “อภิรม นนฺท, อภิรม นนฺท, อหนฺเต ปาฏิโภโค
ดูก่อนนันทะ อ. เธอ จงยินดียิ่ง, อ. เรา เป็ นผู้รับรอง เพื่ออันยังเธอ ปฺจนฺนํ อจฺฉราสตานํ ปฏิลาภาย กกุฏปาทานนฺต.ิ
ให้ได้เฉพาะ ซึง่ ร้ อยแห่งนางอัปสร ท. ๕ ผู้มเี ท้าเพียงดังเท้าแห่งนกพิราบ
(ย่อมเป็ น) ดังนี ้ ฯ
(อ. พระนันทะ กราบทูลแล้ ว) ว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ เู จริ ญ ถ้ าว่า “สเจ เม ภนฺเต ภควา ปาฏิโภโค ปฺจนฺนํ
อ.พระผู้มพี ระภาคเจ้ า เป็ นผู้ทรงรับรอง เพือ่ อันยังข้ าพระองค์ให้ ได้ อจฺฉราสตานํ ปฏิลาภาย กกุฏปาทานํ , อภิรมิสสฺ ามหํ
เฉพาะ ซึง่ ร้ อยแห่งนางอัปสร ท. ๕ ผู้มีเท้ าเพียงดังเท้ าแห่งนกพิราบ ภนฺเต ภควา พฺรหฺมจริ เยติ.
(ย่อมเป็ น) ไซร้ , ข้ าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้ า ผู้เจริ ญ อ. ข้ าพระองค์
จักยินดียิ่ง ในพรหมจรรย์ ดังนี ้ ฯ
ครัง้ นันแล
้ อ. พระผู้มพี ระภาคเจ้ า ทรงพาเอาแล้ ว ซึง่ พระนันทะ อถโข ภควา อายสฺมนฺตํ นนฺทํ คเหตฺวา ตตฺถ
ผู้มีอายุ ทรงหายไปแล้ ว ในที่นนั ้ ได้ มีปรากฏแล้ ว ในพระเชตวัน อนฺตรหิโต เชตวเนเยว ปาตุรโหสิ.
นัน่ เทียว ฯ
อ. ภิกษุ ท. ได้ ฟังแล้ ว แล ว่า ได้ ยินว่า อ. พระนันทะ ผู้มีอายุ อสฺโสสุํ โข ภิกฺขู “อายสฺมา กิร นนฺโท ภควโต
ผู้เป็ นพระภาดา ของพระผู้มพี ระภาคเจ้า ผู้เป็ นพระโอรสของพระแม่น้า ภาตา มาตุจฺฉาปุตฺโต อจฺฉรานํ เหตุ พฺรหฺมจริ ยํ
ย่อมประพฤติ ซึง่ พรหมจรรย์ เพราะเหตุ แห่งนางอัปสร ท., จรติ,
ครัง้ นันแล
้ อ. ภิกษุ ท. ผู้เป็ นสหาย ของพระนันทะ ผู้มีอายุ อถโข อายสฺมโต นนฺทสฺส สหายกา ภิกฺขู
ย่อมประพฤติร้องเรี ยก ซึง่ พระนันทะ ผู้มีอายุ ด้ วยวาทะว่า อายสฺมนฺตํ นนฺทํ ภตกวาเทน จ อุปกฺกีตกวาเทน
พระนันทะผู้กระท�ำซึง่ การรับจ้ างด้ วย ด้ วยวาทะว่าพระนันทะ จ สมุทาจรนฺติ “ ภตโก กิรายสฺมา นนฺโท ,
ผู้อนั พระศาสดาทรงไถ่แล้ วด้ วย ว่า ได้ ยนิ ว่า อ. พระนันทะ ผู้มอี ายุ อุปกฺกตี โก กิรายสฺมา นนฺโท, ปฺจนฺนํ อจฺฉราสตานํ
เป็ นผู้กระท�ำซึง่ การรับจ้ าง (ย่อมเป็ น), ได้ ยินว่า อ. พระนันทะ เหตุ พฺรหฺมจริ ยํ จรติ, ภควา กิรสฺส ปาฏิโภโค
ผู้มอี ายุ เป็ นผู้อนั พระศาสดาทรงไถ่แล้ ว (ย่อมเป็ น), (อ. พระนันทะ) ปฺจนฺนํ อจฺฉราสตานํ ปฏิลาภาย กกุฏปาทานนฺต.ิ
ย่อมประพฤติ ซึง่ พรหมจรรย์ เพราะเหตุ แห่งร้ อยแห่งนางอัปสร ท. ๕,
ได้ยนิ ว่า อ. พระผู้มพี ระภาคเจ้า เป็ นผู้ทรงรับรอง เพือ่ อันยังพระนันทะ
นันให้
้ ได้ เฉพาะ ซึง่ ร้ อยแห่งนางอัปสร ท. ๕ ผู้มีเท้ าเทียงดังเท้ า
แห่งนกพิราบ (ย่อมเป็ น) ดังนี ้ ฯ
ครังนั
้ นแล
้ อ. พระนันทะ ผู้มอี ายุ อึดอัดอยู่ ละอายอยู่ รังเกียจอยู่ อถโข อายสฺมา นนฺโท สหายกานํ ภิกฺขนู ํ
ด้ วยวาทะว่าพระนันทะผู้กระท�ำซึง่ การรับจ้ างด้ วย ด้ วยวาทะว่า ภตกวาเทน จ อุปกฺกีตกวาเทน จ อฏฺฏิยมาโน
พระนันทะผู้อนั พระศาสดาทรงไถ่แล้ วด้ วย ของภิกษุ ท. ผู้เป็ นสหาย หรายมาโน ชิคจุ ฺฉมาโน เอโก วูปกฏฺโ€ อปฺปมตฺโต
ผู้เดียว หลีกออกแล้ ว ผู้ไม่ประมาทแล้ ว ผู้มีความเพียรเป็ นเครื่ อง อาตาปี ปหิตตฺโต วิหรนฺโต, นจิรสฺเสว ยสฺสตฺถาย
ยังกิเลสให้ ร้อนทัว่ ผู้มีตนอันส่งไปแล้ ว อยูอ่ ยู,่ อ. กุลบุตร ท. กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริ ยํ
ย่อมบวช ไม่มีกรรมเกื ้อกูลแก่เรื อน จากเรื อน โดยชอบนัน่ เทียว ปพฺพชนฺติ, ตทนุตฺตรํ พฺรหฺมจริ ยปริ โยสานํ ทิฏฺเ€ว
เพื่อประโยชน์แก่คณ ุ วิเศษใด, กระท�ำให้ แจ้ งแล้ ว ซึง่ คุณวิเศษนัน้ ธมฺเม สยํ อภิฺา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช
อันยอดเยี่ยม อันมีพรหมจรรย์เป็ นที่สดุ ลงรอบ เพราะรู้ยิ่ง เอง วิหาสิ, “ขีณา ชาติ, วุสติ ํ พฺรหฺมจริ ยํ, กตํ กรณียํ
ต่อกาลไม่นานนัน่ เทียว เข้ าไปถึงพร้ อมแล้ ว อยูแ่ ล้ ว ในธรรม นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ อพฺภฺาสิ, อฺตโร
อันสัตว์เห็นแล้ วเทียว, (อ. พระนันทะ) ได้ ร้ ูยิ่งแล้ ว ว่า อ. ชาติ จ ปนายสฺมา นนฺโท อรหตํ อโหสิ.
สิ ้นแล้ ว อ. พรหมจรรย์ อันเรา อยูจ่ บแล้ ว, อ. กิจอันบุคคลพึงกระท�ำ
อันเรา กระท�ำแล้ ว, อ. กิจ อื่นอีก (ย่อมไม่มี) เพื่อความเป็ นอย่างนี ้
ดังนี ้, ก็แล อ. พระนันทะ ผู้มีอายุ เป็ น-แห่งพระอรหันต์ ท. หนา-
พระอรหันต์องค์ใดองค์หนึง่ ได้ เป็ นแล้ ว ฯ
ครัง้ นัน้ อ.เทวดา ตนหนึง่ ยังพระเชตวัน ทังสิ ้ ้น ให้ สว่างแล้ ว อเถกา เทวตา รตฺติภาเค สกลํ เชตวนํ
ในส่วนแห่งราตรี เข้ าไปเฝ้าแล้ ว ซึง่ พระศาสดา ถวายบังคมแล้ ว โอภาเสตฺวา สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา
กราบทูลแล้ ว ว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ เู จริ ญ อ. พระนันทะผู้มีอายุ อาโรเจสิ “ อายสฺมา ภนฺเต นนฺโท ภควโต
ผู้เป็ นพระภาดา ของพระผู้มพี ระภาคเจ้า ผู้เป็ นพระโอรสของพระแม่น้า ภาตา มาตุจฺฉาปุตฺโต อาสวานํ ขยา อนาสวํ
กระท�ำให้ แจ้ งแล้ ว ซึง่ เจโตวิมตุ ติ ซึง่ ปั ญญาวิมตุ ติ อันไม่มีอาสวะ เจโตวิมตุ ฺตึ ปฺาวิมตุ ฺตึ ทิฏฺเ€ว ธมฺเม สยํ
เพราะความสิ ้นไป แห่งอาสวะ ท. เพราะรู้ยงิ่ เอง เข้ าไปถึงพร้ อมแล้ ว อภิฺา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรตีต.ิ
อยูอ่ ยู่ ในธรรม อันสัตว์เห็นแล้ วเทียว ดังนี ้ ฯ
อ. พระญาณ ได้ เกิดขึ ้นแล้ ว แม้ แก่พระผู้มีพระภาคเจ้ าแล ว่า ภควโตปิ โข าณํ อุทปาทิ “นนฺโท อาสวานํ
อ. นันทะ กระท�ำให้ แจ้ งแล้ ว ซึง่ เจโตวิมตุ ติ ซึง่ ปั ญญาวิมตุ ติ ขยา อนาสวํ เจโตวิมตุ ฺตึ ปฺาวิมตุ ฺตึ ทิฏฺเ€ว
อันไม่มีอาสวะ เพราะความสิ ้นไป แห่งอาสวะ ท. เพราะรู้ยิ่ง เอง ธมฺเม สยํ อภิฺา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช
เข้ าไปถึงพร้ อมแล้ ว อยูอ่ ยู่ ในธรรม อันสัตว์เห็นแล้ วเทียว ดังนี ้ ฯ วิหรตีต.ิ
(อ. พระผู้มีพระภาคเจ้ า ตรัสแล้ ว) ว่า ดูก่อนนันทะ อ. ใจ “มยาปิ โข เต นนฺท เจตสา เจโต ปริ จฺจ วิทิโต
ของเธอ แม้ อนั เราแล ก�ำหนด รู้แล้ ว ด้ วยใจ ว่า อ. นันทะ `นนฺโท อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมตุ ฺตึ
กระท�ำให้ แจ้ งแล้ ว ซึง่ เจโตวิมตุ ติ ซึง่ ปั ญญาวิมตุ ติ อันไม่มีอาสวะ ปฺาวิมตุ ตฺ ึ ทิฏฺเ€ว ธมฺเม สยํ อภิ
ฺ า สจฺฉิกตฺวา
เพราะความสิ ้นไป แห่งอาสวะ ท. เพราะรู้ยงิ่ เอง เข้ าไปถึงพร้ อมแล้ ว อุปสมฺปชฺช วิหรตีต,ิ เทวตาปิ เม เอตมตฺถํ
อยูอ่ ยู่ ในธรรม อันสัตว์เห็นแล้ วเทียว ดังนี ้, แม้ อ. เทวดา บอกแล้ ว อาโรเจสิ `อายสฺมา ภนฺเต นนฺโท อาสวานํ ขยา
ซึง่ เนื ้อความนัน่ แก่เรา ว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ เู จริ ญ อ. พระนันทะ อนาสวํ เจโตวิมตุ ฺตึ ปฺาวิมตุ ฺตึ ทิฏฺเ€ว ธมฺเม
ผู้มีอายุ กระท�ำให้ แจ้ งแล้ ว ซึง่ เจโตวิมตุ ติ ซึง่ ปั ญญาวิมตุ ติ สยํ อภิฺา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรตีติ,
อันไม่มีอาสวะ เพราะความสิ ้นไป แห่งอาสวะ ท. เพราะรู้ยิ่ง เอง ยเทว โข เต นนฺท อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตํ
เข้ าไปถึงพร้ อมแล้ ว อยูอ่ ยู่ ในธรรม อันสัตว์เห็นแล้ วเทียว ดังนี ้, มุตฺตํ, อถาหํ มุตฺโต เอตสฺมา ปฏิสฺสวาติ.
ดูก่อนนันทะ ในกาลใดนัน่ เทียวแล อ.จิต ของเธอ พ้ นแล้ ว
จากอาสวะ ท. เพราะไม่เข้าไปถือมัน่ , ในกาลนัน้ อ. เรา เป็ นผู้พ้นแล้ว
จากการฟั งตอบ นัน่ (ย่อมเป็ น) ดังนี ้ ฯ
ครัง้ นันแล
้ อ. พระผู้มีพระภาคเจ้ า ทรงทราบแล้ ว ซึง่ เนื ้อความ อถโข ภควา เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ตายํ เวลายํ
นัน่ ทรงเปล่งแล้ ว ซึง่ พระอุทาน นี ้ ในเวลานัน้ ว่า อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ
อ. เปื อกตมคือกาม อันบุคคลใด ข้ามแล้ว อ. หนามคือกาม “ยสฺส ติ ณฺโณ กามปงฺโก มทฺทิโต กามกณฺฏโก
(อันบุคคล) ใด ย�่ำยีแล้ว (อ.บุคคลนัน้ ) ถึงโดยล�ำดับแล้ว
ซึ่งความสิ้ นไปแห่งโมหะ ย่อมไม่หวัน่ ไหว ในเพราะสุข โมหกฺขยมนุปปฺ ตฺโต สุขทุกฺเข น เวธตีติ.
และทุกข์ ดังนี ้ ฯ
ครัง้ นัน้ ในวันหนึง่ อ. ภิกษุ ท. ถามแล้ ว ซึง่ พระนันทะ ผู้มีอายุ อเถกทิวสํ ภิกฺขู อายสฺมนฺตํ นนฺทํ ปุจฺฉึสุ
ว่า ดูก่อนนันทะ ผู้มีอายุ ในกาลก่อน อ. ท่าน กล่าวแล้ ว ว่า “อาวุโส นนฺท ปุพฺเพ ตฺวํ `อุกฺกณฺ€ิโตมฺหีติ วเทสิ,
อ. ข้ าพเจ้ า เป็ นผู้กระสันขึ ้นแล้ ว ย่อมเป็ น ดังนี ้, ในกาลนี ้ (อ. จิต) อิทานิ เต กถนฺต.ิ “นตฺถิ เม อาวุโส คิหิภาวาย
ของท่าน (ย่อมเป็ น) อย่างไร ดังนี ้ ฯ อาลโยติ.
(อ. พระนันทะ) (กล่าวแล้ว) ว่า แน่ะท่านผู้มอี ายุ ท. อ. ความอาลัย
เพื่อความเป็ นแห่งคฤหัสถ์ ย่อมไม่มี แก่ข้าพเจ้ า ดังนี ้ ฯ
อ. ภิกษุ ท. ฟั งแล้ ว ซึง่ ค�ำนัน้ กล่าวแล้ ว ว่า อ. พระนันทะ ตํ สุตฺวา ภิกฺขู “อภูตํ อายสฺมา นนฺโท กเถติ,
ผู้มีอายุ ย่อมกล่าว ซึง่ ค�ำอันไม่มีแล้ ว , ย่อมกระท�ำให้ แจ้ ง อฺํ พฺยากโรติ, อตีตทิวเสสุ `อุกฺกณฺ€ิโตมฺหีติ
ซึง่ พระอรหัตตผลอันบุคคลพึงรู้ทวั่ , (อ. พระนันทะ) กล่าวแล้ ว ว่า วตฺวา, อิทานิ `นตฺถิ เม คิหิภาวาย อาลโยติ
(อ.ข้ าพเจ้ า) เป็ นผู้กระสันขึ ้นแล้ ว ย่อมเป็ น ดังนี ้ ในวันอันล่วงไปแล้ ว กเถตีติ วตฺวา คนฺตฺวา ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสุํ.
ท. ย่อมกล่าว ว่า อ.ความอาลัย เพื่อความเป็ นแห่งคฤหัสถ์
ย่อมไม่มี แก่ข้าพเจ้ า ดังนี ้ ในกาลนี ้ ดังนี ้ ไปแล้ ว กราบทูลแล้ ว
ซึง่ เนื ้อความนัน่ แก่พระผู้มีพระภาคเจ้ า ฯ
อ.ฝน ย่อมรัว่ รด ซึ่งเรื อน อันบุคคลมุงชัว่ แล้ว ฉันใด, “ยถา อคารํ ทุจฺฉนฺนํ วุฏฺ€ิ สมติ วิชฺฌติ ;
อ. ราคะ ย่อมเสียดแทง ซึ่งจิ ต อันบุคคลไม่ให้เจริ ญแล้ว เอวํ อภาวิ ตํ จิ ตฺตํ ราโค สมติ วิชฺฌติ .
ฉันนัน้ ฯ อ.ฝน ย่อมไม่รวั่ รด ซึ่งเรื อน อันบุคคลมุงดีแล้ว ยถา อคารํ สุจฺฉนฺนํ วุฏฺ€ิ น สมติ วิชฺฌติ ;
ฉันใด, อ. ราคะ ย่อมไม่เสียดแทง ซึ่งจิ ตอันบุคคลให้เจริ ญ เอวํ สุภาวิ ตํ จิ ตฺตํ ราโค น สมติ วิชฺฌตีติ.
ดีแล้ว ฉันนัน้ ดังนี ้ ฯ
(อ.อรรถ) ว่า ซึง่ เรื อน อย่างใดอย่างหนึง่ (ดังนี ้) ในบท ท. ตตฺถ “อคารนฺต:ิ ยงฺกิฺจิ เคหํ.
เหล่านันหนา
้ (แห่งบท) ว่า อคารํ ดังนี ้ ฯ
(อ.อรรถ) ว่า อันบุคคลมุงแล้ วห่าง คือว่า อันมีชอ่ งใหญ่และ ทุจฉฺ นฺนนฺต:ิ วิรลจฺฉนฺนํ ฉิทฺทาวฉิทฺทํ.
ช่องน้ อย (ดังนี ้) (แห่งบท) ว่า ทุจฉฺ นฺนํ ดังนี ้ ฯ
(อ.อรรถ) ว่า อ.ฝนในฤดูฝน ย่อมรั่วรดได้ (ดังนี ้) (แห่งบท) ว่า สมติวชิ ฺฌตีต:ิ วสฺสวุฏฺ€ิ วินิวิชฺฌติ.
สมติวชิ ฺฌติ ดังนี ้ ฯ
(อ.อรรถ) ว่า อ.ราคะ ย่อมเสียดแทง ซึง่ จิต ชื่อว่าอันบุคคล อภาวิตนฺต:ิ ตํ อคารํ วุฏฺ€ิ วิย ภาวนารหิตตฺตา
ไม่ให้เจริญแล้ว เพราะความทีแ่ ห่งจิตเป็ นธรรมชาตเว้นแล้วจากภาวนา อภาวิตํ จิตฺตํ ราโค สมติวิชฺฌติ, น เกวลํ ราโคว,
ราวกะ อ.ฝน (รัว่ รดอยู)่ ซึง่ เรือนนัน,้ อ.ราคะเทียว (ย่อมเสียดแทง ซึง่ จิต) โทสโมหมานาทโย สพฺพกฺกิเลสา ตถารูปํ จิตฺตํ
อย่างเดียว หามิได้ , อ.กิเลสทังปวง ้ ท. มีโทสะและโมหะและมานะ อติวิชฺฌนฺตเิ ยว.
เป็ นต้ น ย่อมเสียดแทง ซึง่ จิต มีอย่างนันเป็ ้ นรูปนัน่ เทียว (ดังนี ้)
(แห่งบท) ว่า อภาวิตํ ดังนี ้ ฯ
(อ.อรรถ) ว่า อ.กิ เลส ท. มีราคะเป็ นต้ น ย่อมไม่อาจ สุภาวิตนฺต:ิ สมถวิปสฺสนาภาวนาหิ สุภาวิตํ,
เพื่ อ อัน เสี ย ดแทง ซึ่ ง จิ ต อัน บุ ค คล ให้ เจริ ญ ดี แ ล้ ว เอวรูปํ จิตฺตํ สุจฺฉนฺนํ เคหํ วุฏฺ€ิ วิย ราคาทโย กิเลสา
ด้ วยสมถะภาวนาและวิปัสสนาภาวนา ท. คือว่ามีอย่างนี ้เป็ นรูป อติวิชฺฌิตํุ น สกฺโกนฺตีติ.
ราวกะ อ.ฝน (ไม่รั่วรดอยู)่ ซึง่ เรื อน อันบุคคลมุงดีแล้ ว ดังนี ้
(แห่งบท) ว่า สุภาวิตํ ดังนี ้ ฯ
ในกาลเป็ นทีส่ ดุ ลงรอบแห่งพระคาถา (อ. ชน ท.) มาก บรรลุแล้ว คาถาปริ โ ยสาเน พหู โสตาปตฺ ติ ผ ลาที นิ
(ซึง่ อริ ยผล ท.) มีโสดาปั ตติผลเป็ นต้ น, อ. เทศนา เป็ นเทศนา ปาปุณึส,ุ มหาชนสฺส สาตฺถิกา เทสนา อโหสิ.
เป็ นไปกับด้ วยวาจามีประโยชน์ ได้ มีแล้ ว แก่มหาชน ฯ
ในกาลอันล่วงไปแล้ ว ครัน้ เมือ่ พระเจ้ าพรหมทัต (ทรงยังบุคคล) อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทตฺเต รชฺชํ กาเรนฺเต,
ให้ กระท�ำอยู่ ซึง่ ความเป็ นแห่งพระราชา ในเมืองชื่อว่าพาราณสี, พาราณสีวาสี กปฺปโก นาม วาณิโช อโหสิ.
อ.พ่อค้า ชือ่ ว่ากัปปกะ ผู้อยูใ่ นเมืองชือ่ ว่าพาราณสีโดยปกติ ได้มแี ล้ว ฯ ตสฺเสโก คทฺรโภ กุมภฺ ภารํ วหติ. ทิวเส ทิวเส
อ. ลา ตัวหนึง่ ของพ่อค้านัน้ ย่อมน�ำไป ซึง่ ภาระมีกมุ ภะเป็ นประมาณ ฯ สตฺต โยชนานิ คจฺฉติ.
(อ. ลา) ย่อมไป สิ ้นโยชน์ ท. ๗ ในวัน ๆ ฯ
ในสมัยหนึง่ อ. พ่อค้ านัน้ ไปแล้ ว สูเ่ มืองชื่อว่าตักกสิลา (กับ) โส เอกสฺมึ สมเย คทฺรภภารเกหิ ตกฺกสิลํ
ด้ วยภาระอันลาพึงน�ำไป ท. ปล่อยแล้ ว ซึง่ ลา เพื่ออันเที่ยวไป คนฺตฺวา ยาว ภณฺฑสฺส วิสฺสชฺชนา คทฺรภํ วิจริ ตํุ
เพียงใด แต่อนั จ�ำหน่าย ซึง่ สิง่ ของ ฯ วิสฺสชฺเชสิ.
ครัง้ นัน้ อ. ลา นัน้ ของพ่อค้ านัน้ เที่ยวไปอยู่ บนหลังแห่งคู อถสฺส โส คทฺรโภ ปริ ขาปิ ฏฺเ€ จรมาโน เอกํ
เห็นแล้ ว ซึง่ นางลาตัวหนึง่ เข้ าไปหาแล้ ว ฯ อ.นางลานัน้ คทฺรภึ ทิสฺวา อุปสงฺกมิ. สา เตน สทฺธึ ปฏิสนฺถารํ
กระท�ำอยู่ ซึง่ ปฏิสนั ถาร กับ ด้ วยลานัน้ กล่าวแล้ ว ว่า (อ. ท่าน) กโรนฺตี อาห “กุโต อาคโตสีต.ิ “พาราณสิโตติ.
เป็ นผู้มาแล้ ว จากเมืองไหน ย่อมเป็ น ดังนี ้ ฯ (อ. ลา กล่าวแล้ ว) ว่า
(อ. เรา เป็ นผู้มาแล้ ว) จากเมืองชื่อว่าพาราณสี (ย่อมเป็ น) ดังนี ้ ฯ
(อ. นางลา ถามแล้ว ว่า อ. ท่าน ย่อมมา) ด้วยการงาน อะไร ดังนี ้ฯ “เกน กมฺเมนาติ.
(อ. ลา กล่าวแล้ ว ว่า อ. เรา ย่อมมา) ด้ วยการงานของพ่อค้ า ดังนี ้ ฯ “วาณิชกมฺเมนาติ.
(อ. นางลา ถามแล้ว) ว่า อ. ท่าน ย่อมน�ำไป ซึง่ ภาระ มีประมาณเท่าไร “กิตฺตกํ ภารํ วหสีต.ิ
ดัง นี ้ ฯ (อ. ลา กล่ า วแล้ ว ) ว่ า (อ. เรา ย่ อ มน� ำ ไป) “กุมภฺ ภารนฺติ.
ซึง่ ภาระมีกมุ ภะเป็ นประมาณ ดังนี ้ ฯ
(อ. นางลา ถามแล้ว) ว่า อ. ท่าน น�ำไปอยู่ ซึง่ ภาระ มีประมาณเท่านี ้ “เอตฺตกํ ภารํ วหนฺโต กติโยชนานิ คจฺฉสีต.ิ
ย่อมไป สิ ้นโยชน์เท่าไร ท. ดังนี ้ ฯ (อ. ลา กล่าวแล้ ว) ว่า (อ. เรา “สตฺตโยชนานีต.ิ
ย่อมไป) สิ ้นโยชน์ ๗ ท. ดังนี ้ ฯ (อ. นางลา ถามแล้ ว) ว่า
อ. นางลาบางตัว กระท�ำอยู่ ซึง่ การนวดซึง่ เท้ า หรื อ หรื อว่า “คตฏฺ€าเน เต กาจิ ปาทปริ กมฺมํ วา
ซึง่ การนวดซึง่ หลัง แก่ทา่ น ในที่แห่งท่านไปแล้ ว มีอยูห่ รื อ ดังนี ้ ฯ ปิ ฏฺ€ิปริ กมฺมํ วา กโรนฺตี อตฺถีต.ิ “นตฺถิ ภทฺเทติ.
(อ. ลา กล่าวแล้ว) ว่า แน่ะนางผู้เจริญ (อ. นางลา ผู้มอี ย่างนี ้เป็ นรูป) “เอวํ สนฺเต มหาทุกฺขํ อนุโภสีต.ิ
ย่อมไม่มี ดังนี ้ ฯ (อ. นางลา กล่าวแล้ว) ว่า ครันเมื้ อ่ ความเป็ นอย่างนัน้
มีอยู่ (อ. ท่าน) ย่อมเสวย ซึง่ ทุกข์ใหญ่ ดังนี ้ ฯ กิจฺ าปิ หิ ติรจฺฉานคตานํ ปาทปริกมฺมาทิการโก
จริ งอยู่ ซื่อ อ. บุคคล ผู้กระท�ำซึง่ กรรมมีการนวดซึง่ เท้ าเป็ นต้ น นาม นตฺถิ , กามสฺโชนฆฏฺฏนตฺถํ เอวรู ปํ กเถสิ.
แก่สตั ว์ดริ ัจฉาน ท. ย่อมไม่มี แม้ โดยแท้ , (ถึงอย่างนัน) ้ (อ. นางลา)
กล่าวแล้ ว ซึง่ ค�ำอันมีอย่างนี ้เป็ นรูป เพือ่ อันกระทบซึง่ กามสังโยชน์ ฯ
อ. ลานัน้ กระสันขึ ้นแล้ ว ด้ วยวาจาเป็ นเครื่องกล่าว ของนางลา โส ตสฺสา กถาย อุกฺกณฺ€ิโต. กปฺปโกปิ
นัน้ ฯ แม้ อ. นายกัปปกะ จ�ำหน่ายแล้ ว ซึง่ สิง่ ของ ไปแล้ ว ภณฺฑํ วิสฺสชฺเชตฺวา ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา “เอหิ
สูส่ �ำนัก ของลานัน้ กล่าวแล้ ว ว่า แน่ะพ่อ อ. เจ้ า จงมาเถิด, ตาต, คมิสฺสามาติ อาห. “คจฺฉถ ตุมเฺ ห, นาหํ
อ. เรา ท. จักไป ดังนี ้ ฯ (อ. ลา กล่าวแล้ ว) ว่า อ. ท่าน ท. จงไปเถิด, คมิสฺสามีต.ิ
อ. ข้ าพเจ้ า จักไม่ไป ดังนี ้ ฯ
อถ นํ ปุนปฺปนุ ํ ยาจิตฺวา “อนิจฺฉนฺตํ นํ
ครัง้ นัน้ (อ. นายกัปปกะ) อ้ อนวอนแล้ ว ซึง่ ลานัน้ บ่อย ๆ คิด ภาเยตฺวา เนสฺสามีติ จินฺเตตฺวา อิมํ คาถมาห
แล้ ว ว่า อ. เรา ยังลานัน้ ตัวไม่ปรารถนาอยู่ ให้ กลัวแล้ ว จักน�ำไป
ดังนี ้ กล่าวแล้ ว ซึง่ คาถานี ้ ว่า
(อ. ท่าน) จักกระท�ำ ซึ่งปฏัก มี หนามอันบันฑิ ตก�ำหนดแล้ว “ปโตทมฺเม กริ สสฺ สิ โสฬสงฺคลุ ิ กณฺฏกํ,
ด้วยนิ้ วมื อ ๑๖ แก่ขา้ พเจ้า, (อ. ข้าพเจ้า) ยืนอยู่เฉพาะแล้ว ปุรโต ปติ ฏฺ€หิ ตฺวาน อุทฺธริ ตฺวาน ปจฺฉโต
ข้างหน้า ยกขึ้นแล้ว ข้างหลัง ยังสิ่งของ ของท่าน จักให้ตกไป, ภณฺฑํ เต ปาตยิ สฺสามิ ; เอวํ ชานาหิ กปฺปกาติ .
ข้าแต่ท่านกัปปกะ (อ. ท่าน) จงรู้ อย่างนี ้ ดังนี ้ ฯ
อ. พ่อค้ า ฟั งแล้ ว ซึง่ ค�ำนัน้ คิดแล้ ว ว่า อ. ลานัน่ ย่อมกล่าว ตํ สุตฺวา วาณิโช “เกน นุ โข การเณเนส
อย่างนี ้ กะเรา เพราะเหตุ อะไรหนอแล ดังนี ้ แลดูอยู่ ข้ างนี ้ด้ วย มํ เอวํ วทตีติ จินฺเตตฺวา อิโต จิโต จ โอโลเกนฺโต
ข้ างนี ้ด้ วย เห็นแล้ ว ซึง่ นางลานัน้ คิดแล้ ว ว่า อ. ลานัน่ เป็ นผู้ ตํ คทฺรภึ ทิสฺวา “อิมาย เอส เอวํ สิกฺขาปิ โต
อันนางลานี ้ให้ ส�ำเหนียกแล้ ว อย่างนี ้ จักเป็ น, อ. เรา ล่อแล้ ว ซึง่ ลา ภวิสฺสติ, `เอวรูปึ นาม เต คทฺรภึ อาเนสฺสามีติ
นัน้ ด้ วยมาตุคาม (ด้ วยค�ำ) ว่า (อ. เรา) จักน�ำมา ซึง่ นางลา มาตุคาเมน ตํ ปโลเภตฺวา เนสฺสามีติ จินฺเตตฺวา
ชื่อมีอย่างนี ้เป็ นรูป แก่เจ้ า ดังนี ้ จักน�ำไป ดังนี ้ กล่าวแล้ ว ซึง่ คาถา อิมํ คาถมาห
นี ้ ว่า
(อ. เรา) จักน�ำมา ซึ่งนาง ผูม้ ี เท้า ๔ ผูม้ ี หน้าเพียงดังสังข์ “จตุปปฺ ทึ สงฺขมุขึ นารึ สพฺพงฺคโสภิ นึ
ผูม้ ี อวัยวะทัง้ ปวงงาม (กระท�ำ) ให้เป็ นภรรยา ของเจ้า, ภริ ยํ เต อานยิ สฺสามิ , เอวํ ชานาหิ คทฺรภาติ .
แน่ะลา (อ. เจ้า) จงรู้ อย่างนี ้ ดังนี ้ ฯ
อ. ลา ฟั งแล้ ว ซึง่ ค�ำนัน้ ผู้มีจิตยินดีแล้ ว กล่าวแล้ ว ซึง่ คาถา ตํ สุตฺวา ตุฏฺ€จิตฺโต คทฺรโภ อิมํ คาถมาห
นี ้ ว่า
(อ. ท่าน) จักน�ำมา ซึ่งนาง ผูม้ ี เท้า ๔ ผูม้ ี หน้าเพียงดังสังข์ “จตุปปฺ ทึ สงฺขมุขึ นารึ สพฺพงฺคโสภิ นึ
ผูม้ ี อวัยวะทัง้ ปวงงาม (กระท�ำ) ให้เป็ นภรรยา ของข้าพเจ้า, ภริ ยํ เม อานยิ สสฺ สิ , เอวํ ชานาหิ กปฺปก
ข้าแต่ท่านกัปปกะ (อ. ท่าน) จงรู้ อย่างนี ้ ข้าแต่ท่านกัปปกะ กปฺปก ภิ ยฺโย คมิ สฺสามิ โยชนานิ จตุทฺทสาติ .
(อ. ข้าพเจ้า) จักไป สิ้ นโยชน์ ท. ๑๔ ยิ่ ง ดังนี ้ ฯ
ครัง้ นัน้ อ. นายกัปปกะ (กล่าวแล้ ว) กะลานัน้ ว่า ถ้ าอย่างนัน้ อถ นํ กปฺปโก “ เตนหิ เอหีติ คเหตฺวา
(อ. เจ้ า) จงมา ดังนี ้ จูงเอาแล้ ว ได้ ไปแล้ ว สูท่ ี่อนั เป็ นของตน ฯ สกฏฺ€านํ อคมาสิ.
อ.พระศาสดา ครั น้ ทรงน� ำมาแล้ ว ซึ่งพระธรรมเทศนานี ้ สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริ ตฺวา “ตทา
ทรงยังชาดก ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. นางลา ในกาลนัน้ ภิกฺขเว คทฺรภี ชนปทกลฺยาณี อโหสิ, คทฺรโภ
เป็ นนางชนบทกัลยาณี ได้ เป็ นแล้ ว (ในกาลนี ้), อ. ลา (ในกาลนัน) ้ นนฺโท, วาณิโช อหเมว, เอวํ ปุพฺเพเปส มยา
เป็ นนันทะ (ได้ เป็ นแล้ ว ในกาลนี ้), อ. พ่อค้ า (ในกาลนัน)
้ เป็ นเรา มาตุคาเมน ปโลเภตฺวา วินีโตติ ชาตกํ นิฏฺ€าเปสีต.ิ
นัน่ เทียว (ได้ เป็ นแล้ ว ในกาลนี ้), อ. นันทะนัน่ อันเรา ล่อแล้ ว
ด้ วยมาตุคาม แนะน�ำแล้ ว แม้ ในกาลก่อน ด้ วยประการฉะนี ้ ดังนี ้
ให้ จบแล้ ว ดังนี ้แล ฯ
อ. พระศาสดา เมือ่ ประทับอยู่ ในพระเวฬุวนั ทรงปรารภ “อิธ โสจติ เปจฺจ โสจตีติ อิมํ ธมฺมเทสนํ สตฺถา
ชื่อซึง่ บุรุษผู้ฆา่ ซึง่ สุกรชื่อว่าจุนทะ ตรัสแล้ ว ซึง่ พระธรรมเทศนานี ้ เวฬุวเน วิหรนฺโต จุนฺทสูกริ กํ นาม อารพฺภ กเถสิ.
ว่า อิธ โสจติ เปจฺจ โสจติ ดังนี ้เป็ นต้ น ฯ
ได้ ยนิ ว่า อ. นายจุนทะนัน้ ฆ่าแล้ ว ซึง่ สุกร ท. เคี ้ยวกินอยูด่ ้ วย โส กิร ปฺจปณฺณาส วสฺสานิ สูกเร วธิตฺวา
ขายอยูด่ ้ วย ส�ำเร็ จแล้ ว ซึง่ ชีวิต สิ ้นปี ท.๕๕ ฯ ขาทนฺโต จ วิกฺกีณนฺโต จ ชีวิตํ กปฺเปสิ.
(อ. นายจุนทะนัน)้ ถือเอา ซึง่ ข้ าวเปลือก ท. ด้ วยเกวียน ฉาตกกาเล สกเฏน วีหี อาทาย ชนปทํ
ไปแล้ ว สูช่ นบท ในกาลแห่งบุคคลผู้หิวแล้ ว ซื ้อแล้ ว ซึง่ สุกร คนฺตฺวา เอกนาฬิทฺวินาฬิมตฺเตน คามสูกรโปตเก
ตัวลูกน้ อยของชาวบ้ าน ท. (ด้ วยข้ าวเปลือก) มีทะนานหนึง่ หรื อ กีณิตฺวา สกฏํ ปูเรตฺวา อาคนฺตฺวา
ทะนานสองเป็ นประมาณ ยังเกวียน ให้ เต็มแล้ ว มาแล้ ว
(อ. น� ้ำอันร้ อน) นัน้ เข้ าไปแล้ ว ในท้ อง เดือดพล่านแล้ ว พาเอา ตํ กุจฺฉิยํ ปวิสติ ฺวา ปกฺกฏุ ฺ €ิตํ กรี สํ อาทาย
ซึง่ กรี ส ออกไปแล้ ว โดยส่วนในเบื ้องต�่ำ, อ. กรี ส หน่อยหนึง่ มีอยู่ อโธภาเคน นิกฺขมิตฺวา, ยาว โถกํ กรี สํ อตฺถิ,
เพียงใด, เป็ นธรรมชาตขุน่ เป็ น ย่อมไหลออกไป เพียงนัน,้ ตาว อาวิลํ หุตฺวา นิกฺขมติ, สุทฺเธ อุทเร, อจฺฉํ
ครัน้ เมื่อท้ อง สะอาดแล้ ว, (อ. น� ้ำอันร้ อนนัน) ้ เป็ นธรรมชาตใส อนาวิลํ นิกฺขมติ.
เป็ นธรรมชาตไม่ขนุ่ (เป็ น) ย่อมไหลออกไป ฯ
ในล�ำดับนัน้ (อ. นายจุนทะนัน)้ ยังขน ท. ให้ไหม้แล้ว ด้วยคบเพลิง ตโต ติณกุ ฺกาย โลมานิ ฌาเปตฺวา ติณฺเหน
อันเป็ นวิการแห่งหญ้ า ย่อมตัด ซึง่ ศีรษะ ด้ วยดาบ อันคม ฯ อสินา สีสํ ฉินฺทติ.
(อ.นายจุนทะนัน) ้ ถือเอาเฉพาะแล้ ว ซึง่ เลือด อันไหลออกอยู่ ปคฺฆรนฺตํ โลหิตํ ภาชเนน ปฏิคฺคเหตฺวา มํสํ
ด้วยภาชนะ ขย�ำแล้ว ซึง่ เนื ้อ ด้วยเลือด ปิ ง้ แล้ว นัง่ แล้ว ในท่ามกลาง โลหิเตน มทฺทติ วฺ า ปจิตวฺ า ปุตตฺ ทารมชฺเฌ นิสนิ โฺ น
แห่งลูกและเมีย เคี ้ยวกินแล้ ว ย่อมขาย ซึง่ เนื ้อ อันเหลือ ฯ ขาทิตฺวา เสสํ วิกฺกีณาติ.
เมื่อนายจุนทะนัน้ ส�ำเร็จอยู่ ซึง่ ชีวิต โดยท�ำนอง นี ้นัน่ เทียว ตสฺส อิมินา นิยาเมเนว ชีวิตํ กปฺเปนฺตสฺส
อ. ปี ท. ๕๕ ก้ าวล่วงแล้ ว ฯ ปฺจปณฺณาส วสฺสานิ อติกฺกนฺตานิ.
ครัน้ เมื่อความร้ อนพร้ อม นัน้ ปรากฏแล้ ว แก่นายจุนทะนัน,้ ตสฺส ตสฺมึ สนฺตาเป อุปฏฺ€ิเต, กมฺมสริ กฺขโก
อ. อาการ อันบุคคลพึงเห็นเสมอด้ วยกรรม เกิดขึ ้นแล้ ว ฯ อากาโร อุปปฺ ชฺชิ.
(อ. นายจุนทะ) ร้ องแล้ ว ร้ องเพียงดังสุกร คลานไปอยู่ เคหมชฺเฌเยว สูกรรวํ รวิตวฺ า ชนฺนเุ กหิ วิจรนฺโต
ด้ วยเข่า ท. ในท่ามกลางแห่งเรื อนนัน่ เทียว ย่อมไป สูท่ ี่เป็ นที่อยู่ ปุรตฺถิมวตฺถมุ ฺปิ ปจฺฉิมวตฺถมุ ปฺ ิ คจฺฉติ.
มีในเบื ้องหน้ าบ้ าง สูท่ ี่เป็ นที่อยูม่ ีในภายหลังบ้ าง ฯ
อ. มนุษย์ ท. ในเรื อน ท. ๗ โดยรอบ ย่อมไม่ได้ ซึง่ ความหลับ ฯ สมนฺตา สตฺตสุ ฆเรสุ มนุสสฺ า นิททฺ ํ น ลภนฺต.ิ
(อ. นายจุนทะ) แม้ นอกนี ้ ย่อมเที่ยวไป ร้ องอยู่ ข้ างนี ้ด้ วย ๆ อิตโรปิ อนฺโตเคเหเยว นิรยสนฺตาเปน วิรวนฺโต
ในภายในแห่งเรื อนนัน่ เทียว เพราะความร้ อนพร้ อมในนรก ฯ อิโต จิโต จ วิจรติ.
(อ. นายจุนทะ) เที่ยวไปแล้ ว สิ ้นวัน ท. ๗ อย่างนี ้ กระท�ำแล้ ว เอวํ สตฺต ทิวสานิ วิจริ ตฺวา อฏฺ€เม ทิวเส
ซึง่ กาละ ในวันที่ ๘ บังเกิดแล้ ว ในนรกใหญ่ชื่อว่าอเวจี ฯ กาลํ กตฺวา อวีจิมหานิรเย นิพฺพตฺต.ิ อวีจิมหานิรโย
อ. นรกใหญ่ชอื่ ว่าอเวจี (อันบัณฑิต) พึงพรรณนา ด้ วยเทวทูตสูตร ฯ เทวทูตสุตฺตนฺเตน วณฺเณตพฺโพ.
อ. พระศาสดา ตรัสแล้ ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. นายจุนทะนัน้ สตฺถา “น ภิกฺขเว โส อิเม สตฺต ทิวเส สูกเร
ยังสุกร ท. ย่อมให้ ตาย สิ ้นวัน ท. ๗ เหล่านี ้ หามิได้ , ก็ (อ. ผล) มาเรติ, กมฺมสริ กฺขกํ ปนสฺส อุทปาทิ, ชีวนฺตสฺเสว
อันบุคคลพึงเห็นเสมอด้ วยกรรม ได้ เกิดขึ ้นแล้ ว แก่นายจุนทะนัน,้ อวีจิมหานิรยสนฺตาโป อุปฏฺ€าสิ, โส เตน สนฺตาเปน
อ. ความร้ อนพร้ อมในนรกใหญ่ชอื่ ว่าอเวจี ปรากฏแล้ว (แก่นายจุนทะ สตฺต ทิวสานิ สูกรรวํ รวนฺโต อนฺโตนิเวสเน
นัน)้ ผู้เป็ นอยูอ่ ยูน่ นั่ เทียว, อ. นายจุนทะนัน้ ร้ องอยู่ ร้ องเพียงดังสุกร วิจริ ตฺวา อชฺช กาลํ กตฺวา อวีจิมหฺ ิ นิพฺพตฺโตติ
เทีย่ วไปแล้ว ในภายในแห่งทีเ่ ป็ นทีอ่ ยู่ สิ ้นวัน ท. ๗ ด้วยความร้ อนพร้ อม วตฺวา, “ภนฺเต อิธ โลเก เอวํ โสจิตฺวา ปุน คนฺตฺวา
นัน้ กระท�ำแล้ ว ซึง่ กาละ ในวันนี ้ บังเกิดแล้ ว ในนรกชื่อว่าอเวจี โสจนฏฺ€าเนเยว นิพฺพตฺโตติ วุตฺเต, “อาม ภิกฺขเว,
ดังนี ้, (ครัน้ เมื่อค�ำ) ว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ เู จริ ญ (อ. นายจุนทะนัน) ้ ปมตฺโต นาม คหฏฺโ€ วา โหตุ ปพฺพชิโต วา,
เศร้ าโศกแล้ว อย่างนี ้ ในโลกนี ้ ไปแล้ว บังเกิดแล้ว ในทีเ่ ป็ นทีเ่ ศร้ าโศก อุภยตฺถ โสจติเยวาติ วตฺวา อิมํ คาถมาห
อีกนัน่ เทียวหรื อ ดังนี ้ (อันภิกษุ ท.) กราบทูลแล้ ว, ตรัสแล้ ว ว่า
ดูก่อนภิกษุ ท. เออ (อ. อย่างนัน), ้ ชื่อ อ. บุคคล ผู้ประมาทแล้ ว
เป็ นคฤหัสถ์หรื อ หรื อว่าเป็ นบรรพชิต จงเป็ น, ย่อมเศร้ าโศก ในโลก
ทังสองนั
้ น่ เทียว ดังนี ้ ตรัสแล้ ว ซึง่ พระคาถานี ้ ว่า
(อ. บุคคล) ผูก้ ระท�ำซึ่งบาปโดยปกติ ย่อมเศร้าโศก ในโลกนี ้ “อิ ธ โสจติ เปจฺจ โสจติ
ละไปแล้ว ย่อมเศร้าโศก ย่อมเศร้าโศก ในโลกทัง้ สอง, ปาปการี อุภยตฺถ โสจติ ,
(อ. บุคคลผูก้ ระท�ำซึ่งบาปโดยปกติ ) นัน้ เห็นแล้ว ซึ่งกรรม โส โสจติ โส วิ หฺติ
อันเศร้าหมองแล้ว ของตน ย่อมเศร้าโศก (อ. บุคคล ผูก้ ระท�ำ ทิ สฺวา กมฺมกิ ลิฏฺ€มตฺตโนติ .
ซึ่งบาปโดยปกติ ) นัน้ ย่อมเดือดร้อน ดังนี ้ ฯ
(อ.อรรถ) ว่า อ.บุคคล ผู้กระท�ำ ซึง่ กรรมอันลามก มีประการต่างๆ ตตฺถ “ปาปการีต;ิ นานปฺปการสฺส ปาปกมฺมสฺส
ย่อมเศร้ าโศก ในโลกนี ้ ในสมัยเป็ นที่ตาย โดยส่วนเดียวนัน่ เทียว การโก ปุคฺคโล “อกตํ วต เม กลฺยาณํ, กตํ เม
(ด้ วยความคิด) ว่า อ.กรรมอันงาม อันเรา ไม่กระท�ำแล้ วหนอ, ปาปนฺติ เอกํเสเนว มรณสมเย อิธ โสจติ, อิทมสฺส
อ.กรรมอันลามก อันเรา กระท�ำแล้ ว ดังนี ้, (อ.ความเศร้ าโศก) กมฺมโสจนํ; วิปากํ อนุภวนฺโต ปน เปจฺจ โสจติ,
นี ้ เป็ นความเศร้ าโศกเพราะกรรม แห่งบุคคลนัน้ (ย่อมเป็ น); อิทมสฺส ปรโลเก วิปากโสจนํ; เอวํ โส อุภยตฺถ
อนึง่ (อ.บุคคลนัน) ้ เสวยอยู่ ซึง่ วิบาก ละไปแล้ ว ชือ่ ว่าย่อมเศร้ าโศก, โสจติเยว.
อ.ความเศร้ าโศก นี ้ เป็ นความเศร้ าโศกเพราะวิบาก ในโลกอื่น
แห่งบุคคลนัน้ (ย่อมเป็ น); อ.บุคคล นัน้ ย่อมเศร้ าโศก ในโลกทังสอง ้
อย่างนี ้นัน่ เทียว ฯ
แม้ อ.บุรุษผู้ฆา่ ซึง่ สุกรชื่อว่าจุนทะ นัน้ เป็ นอยูอ่ ยู่ ด้ วยเหตุนนั ้ เตเนว การเณน ชีวมาโนเยว โส จุนฺทสูกริ โกปิ
นัน่ เทียว ชื่อว่าย่อมเศร้ าโศก (ดังนี ้) ในบท ท. เหล่านัน้ หนา โสจติ.
(แห่งบท) ว่า ปาปการี ดังนี ้เป็ นต้ น ฯ
อ. พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ในพระเชตวัน ทรงปรารภ “อิธ โมทติ เปจฺจ โมทตีติ อิมํ ธมฺมเทสนํ สตฺถา
ซึง่ อุบาสกผู้ตงอยู
ั ้ ใ่ นธรรม ตรัสแล้ ว ซึง่ พระธรรมเทศนานี ้ ว่า เชตวเน วิหรนฺโต ธมฺมิกอุปาสกํ อารพฺภ กเถสิ.
อิธ โมทติ เปจฺจ โมทติ ดังนี ้เป็ นต้ น ฯ
ได้ ยินว่า ชื่อ อ. อุบาสกผู้ตงอยู ั ้ ใ่ นธรรม ท. มีร้อยห้ าเป็ น สาวตฺถิยํ กิร ปฺจสตา ธมฺมิกอุปาสกา นาม
ประมาณ ได้ มีแล้ ว ในเมืองชื่อว่าสาวัตถี ฯ อ. ร้ อยแห่งอุบาสก อเหสุํ. เตสุ เอเกกสฺส ปฺจ ปฺจ อุปาสกสตานิ
ท. ห้ าห้ า เป็ นบริวาร ในอุบาสก ท. เหล่านันหนา ้ ของอุบาสกคนหนึง่ ปริ วาโร. โย เตสํ เชฏฺ€โก , ตสฺส สตฺต ปุตฺตา
ๆ สตฺต ธีตโร.
(ย่อมเป็ น) ฯ อ. อุบาสกใด เป็ นผู้เจริ ญที่สดุ แห่งอุบาสก ท.
เหล่านัน้ (ย่อมเป็ น), อ. บุตร ท. ๗ อ. ธิดา ท. ๗ ของอุบาสกนัน้
(ได้ มีแล้ ว) ฯ เตสุ เอเกกสฺส เอเกกา สลากยาคุ สลากภตฺตํ
อ. ข้ าวต้ มอันบุคคลพึงถวายตามสลาก อ. ภัตรอันบุคคล ปกฺขิกภตฺตํ สงฺฆภตฺตํ อุโปสถิกภตฺตํ อาคนฺตกุ ภตฺตํ
พึงถวายตามสลาก อ. ภัตรอันบุคคลพึงถวายในปักษ์ อ. ภัตรเพือ่ สงฆ์ วสฺสาวาสิกํ อโหสิ.
อ. ภัตรเพื่อบุคคลผู้รักษาซึ่งอุโบสถ อ. ภัตรเพื่อภิกษุ ผ้ ูจรมา
อ.ภัตรอันบุคคลพึงถวายแก่ภิกษุผ้ อู ยูต่ ลอดพรรษา อันหนึง่ ๆ
ได้ มีแล้ ว ในบุตร ท. เหล่านันหนา ้ แก่บตุ รคนหนึง่ ๆ ฯ เตปิ สพฺเพว อนุชาตปุตฺตา นาม อเหสุํ.
อ. บุตร ท. แม้ เหล่านัน้ ทังปวงเที
้ ยว ชื่อว่าเป็ นอนุชาตบุตร อิติ จุทฺทสนฺนํ ปุตฺตานํ ภริ ยาย อุปาสกสฺสาติ
ได้ เป็ นแล้ ว ฯ (อ. อาหารวัตถุ ท.) มีข้าวต้ มอันบุคคลพึงถวาย โสฬส สลากยาคุอาทีนิ ปวตฺตนฺติ. อิติ โส
ตามสลากเป็ นต้ น ๑๖ ย่อมเป็ นไปทัว่ (แก่ชน ท.) คือ แก่บตุ ร ท. สปุตฺตทาโร สีลวา กลฺยาณธมฺโม ทานสํวิภาครโต
๑๔ แก่ภรรยา แก่อบุ าสก ด้ วยประการฉะนี ้ ฯ อ. อุบาสกนัน้ อโหสิ.
เป็ นผู้เป็ นไปกับด้ วยลูกและเมีย เป็ นผู้มีศีล เป็ นผู้มีธรรมอันงาม
เป็ นผู้ยนิ ดีแล้วในการจ�ำแนกซึง่ ทาน ได้เป็ นแล้ว ด้วยประการฉะนี ้ ฯ อถสฺส อปรภาเค โรโค อุปปฺ ชฺช.ิ อายุสงฺขาโร
ครัง้ นัน้ อ. โรค เกิดขึ ้นแล้ ว แก่อบุ าสกนัน้ ในกาลอันเป็ นส่วน ปริ หายิ. โส ธมฺมํ โสตุกาโม “อฏฺ€ วา เม โสฬส
อื่นอีก ฯ อ. สังขารคืออายุ เสื่อมรอบแล้ ว ฯ อ. อุบาสกนัน้ วา ภิกฺขู เปเสถาติ สตฺถุ สนฺตกิ ํ ปหิณิ.
เป็ นผู้ใคร่เพื่ออันฟั ง ซึง่ ธรรม (เป็ น) ส่งไปแล้ ว (ซึง่ ข่าวสาส์น)
สูส่ �ำนัก ของพระศาสดา (มีอนั ให้ ร้ ู) ว่า อ. พระองค์ ท. ขอจงทรงส่ง
ซึง่ ภิกษุ ท. ๘ หรื อ หรื อว่า ๑๖ แก่ข้าพระองค์ ดังนี ้ (เป็ นเหตุ) ฯ
ในขณะนัน้ อ. รถ ท. ๖ อันประกอบแล้ วด้ วยร้ อยแห่งโยชน์ ตสฺมึ ขเณ ฉหิ เทวโลเกหิ สพฺพาลงฺการ-
ทีส่ องด้วยทังกึ
้ ง่ อันเทียมแล้วด้วยม้าสินธพพันหนึง่ อันประดับเฉพาะแล้ว ปฏิมณฺฑิตา สหสฺสสินฺธวยุตฺตา ทิยฑฺฒโยชนสติกา
ด้ วยเครื่ องประดับทังปวง้ มาแล้ ว จากเทวโลก ท. ๖ ฯ ฉ รถา อาคมึส.ุ
อ. เทวดา ท. ยืนแล้ ว (บนรถ ท.) เหล่านัน้ กล่าวแล้ ว ว่า เตสุ €ิตา เทวตา “อมฺหากํ เทวโลกํ เนสฺสาม,
(อ. เรา ท.) จักน�ำไป สูเ่ ทวโลก ของเรา ท., (อ. เรา ท.) จักน�ำไป อมฺหากํ เทวโลกํ เนสฺสาม, อมฺโภ มตฺตกิ ภาชนํ
สูเ่ ทวโลก ของเรา ท., แน่ะท่านผู้เจริ ญ (อ. อุบาสก) จงบังเกิด ภินฺทิตฺวา สุวณฺณภาชนํ คณฺหนฺโต วิย อมฺหากํ
ที่รถนี ้ เพื่ออันยินดียิ่ง ในเทวโลก ของเรา ท. ราวกะ (อ.บุคคล) เทวโลเก อภิรมิตํุ อิธ นิพฺพตฺตตูติ วทึส.ุ
ท�ำลายแล้ ว ซึง่ ภาชนะอันเป็ นวิการแห่งดินเหนียว ถือเอาอยู่
ซึง่ ภาชนะอันเป็ นวิการแห่งทอง ดังนี ้ ฯ
อ. อุบาสก ไม่ปรารถนาอยู่ ซึง่ อันตรายแห่งการฟั งซึง่ ธรรม อุ ป าสโก ธมฺ ม สฺ ส วนนฺ ต รายํ อนิ จฺ ฉ นฺ โ ต
กล่าวแล้ ว ว่า (อ. ท่าน ท.) (ยังกาล) จงให้ มา (อ. ท่าน ท.) (ยังกาล) “อาคเมถ อาคเมถาติ อาห.
จงให้ มา ดังนี ้ ฯ
อ. ภิกษุ ท. เป็ นผู้นิ่ง ได้ เป็ นแล้ ว ด้ วยความส�ำคัญ ว่า ภิกฺขู “อมฺเห วทตีติ สฺาย ตุณฺหี อเหสุํ.
(อ. อุบาสก) ย่อมกล่าว กะเรา ท. ดังนี ้ ฯ ครัง้ นัน้ อ. บุตรและธิดา อถสฺส ปุตฺตธีตโร “ อมฺหากํ ปิ ตา ปุพฺเพ
ท. ของอุบาสกนัน้ ร้ องแล้ ว (ด้ วยความคิด) ว่า อ. บิดา ของเรา ท. ธมฺมสฺสวเนน อติตฺโต อโหสิ, อิทานิ ปน ภิกฺขู
เป็ นผู้ไม่อิ่มแล้ ว ด้ วยการฟั งซึง่ ธรรม ได้ เป็ นแล้ ว ในกาลก่อน, ปกฺโกสาเปตฺวา สชฺฌายํ กาเรตฺวา สยเมว วาเรติ,
แต่วา่ ในกาลนี ้ (อ. บิดา ยังบุคคล) ให้ ร้องเรี ยกแล้ ว ซึง่ ภิกษุ ท. มรณสฺส อภายนกสตฺโต นาม นตฺถีติ วิรวึส.ุ
ให้ กระท�ำแล้ ว ซึ่งการสาธยาย ย่อมห้ าม เองนั่นเทียว,
ชื่อ อ. สัตว์ผ้ ไู ม่กลัว ต่อความตาย ย่อมไม่มี ดังนี ้ ฯ
อ. ภิกษุ ท. (ปรึกษากันแล้ ว) ว่า อ. กาลนี ้ เป็ นสมัยมิใช่ ภิกขฺ ู “อิทานิ อโนกาโสติ อุฏฺ€ายาสนา ปกฺกมึส.ุ
โอกาส (ย่อมเป็ น) ดังนี ้ ลุกขึ ้นแล้ ว จากอาสนะ หลีกไปแล้ ว ฯ อุปาสโก โถกํ วีตินาเมตฺวา สตึ ปฏิลภิตฺวา ปุตฺเต
อ. อุบาสก (ยังกาล) หน่อยหนึง่ ให้ น้อมไปล่วงวิเศษแล้ ว กลับได้ ปุจฺฉิ “กสฺมา กนฺทถาติ.
แล้ ว ซึง่ สติ ถามแล้ ว ซึง่ บุตร ท. ว่า (อ. เจ้ า ท.) ย่อมคร�่ ำครวญ
เพราะเหตุอะไร ดังนี ้ ฯ
(อ. บุตร ท. กล่าวแล้ ว) ว่า ข้ าแต่พอ่ อ. ท่าน ท. (ยังบุคคล) “ตาต ตุมเฺ ห ภิกขฺ ู ปกฺโกสาเปตฺวา ธมฺมํ สุณนฺตา
ให้ ร้องเรี ยกแล้ ว ซึง่ ภิกษุ ท. ฟั งอยู่ ซึง่ ธรรม ห้ ามแล้ ว เองนัน่ เทียว, สยเมว วารยิตฺถ, อถ มยํ `มรณสฺส อภายนกสตฺโต
ครัน้ เมื่อความเป็ นอย่างนัน้ (มีอยู)่ อ. เรา ท. คร�่ ำครวญแล้ ว นาม นตฺถีติ กนฺทิมหฺ าติ.
(ด้ วยความคิด) ว่า ชื่อ อ. สัตว์ผ้ ไู ม่กลัว ต่อความตาย ย่อมไม่มี
ดังนี ้ ดังนี ้ ฯ
(อ. บุคคล) ผูม้ ี บญ ุ อันกระท�ำแล้ว ย่อมบันเทิ ง ในโลกนี ้ “อิ ธ โมทติ เปจฺจ โมทติ
ละไปแล้ว ย่อมบันเทิ ง ย่อมบันเทิ ง ในโลกทัง้ สอง, อ. บุคคล กตปฺุโ อุภยตฺถ โมทติ ,
ผูม้ ี บญ
ุ อันกระท�ำแล้วนัน้ เห็นแล้ว ซึ่งความหมดจดวิ เศษ- โส โมทติ โส ปโมทติ
แห่งกรรม ของตน ย่อมบันเทิ ง อ. บุคคลผูม้ ี บญุ อันกระท�ำแล้ว ทิ สฺวา กมฺมวิ สทุ ฺธิมตฺตโนติ .
นัน้ ย่อมบันเทิ งทัว่ ดังนี ้ ฯ
(อ.อรรถ) ว่า อ.บุคคล ผู้กระท�ำ ซึง่ กุศล มีประการต่างๆ ตตฺถ กตปุญโฺ ญติ: นานปฺปการสฺส กุสลสฺส
ย่อมบันเทิง ด้ วยความบันเทิงเพราะกรรม ในโลกนี ้ ว่า อ.กรรม การโก ปุคฺคโล “อกตํ วต เม ปาปํ , กตํ วต เม
อันลามก อันเรา ไม่กระท�ำแล้ วหนอ, อ.กรรมอันงาม อันเรา กลฺยาณนฺติ อิธ กมฺมโมทเนน โมทติ , เปจฺจ
กระท�ำแล้ วหนอ ดังนี ้, ละไปแล้ ว ย่อมบันเทิง ด้ วยความบันเทิง วิปากโมทเนน โมทติ, เอวํ อุภยตฺถ โมทติ นาม.
เพราะวิบาก, ชื่อว่าย่อมบันเทิง ในโลกทังสอง ้ อย่างนี ้ (ดังนี ้)
ในบท ท. เหล่านันหนา้ (แห่งบท) ว่า กตปุญโฺ ญ ดังนี ้เป็ นต้ น ฯ
(อ.อรรถ) ว่า แม้ อ.อุบาสกผู้ตงอยู ั ้ ใ่ นธรรม เห็นแล้ ว กมฺมวิสุทธฺ ินฺต:ิ ธมฺมิกอุปาสโกปิ อตฺตโน
ซึง่ ความหมดจดวิเศษแห่งกรรม คือว่า ซึง่ ความถึงพร้ อมแห่งกรรม กมฺมวิสทุ ฺธึ ปฺุกมฺมสมฺปตฺตึ ทิสฺวา กาลกิริยโต
คือบุญ ของตน ย่อมบันเทิง แม้ ในโลก นี ้ ในกาลก่อน แต่การกระท�ำ ปุพฺเพ อิธ โลเกปิ โมทติ, กาลํ กตฺวา อิทานิ
ซึง่ กาละ, กระท�ำแล้ ว ซึง่ กาละ ย่อมบันเทิงทัว่ คือว่า ย่อมบันเทิงยิ่ง ปรโลเกปิ ปโมทติ อติโมทติเยวาติ.
นัน่ เทียว แม้ ในโลกอื่น ในกาลนี ้ ดังนี ้ (แห่งบท) ว่า กมฺมวิสุทธฺ ึ
ดังนี ้เป็ นต้ น ฯ
ในกาลเป็ นที่สุดลงรอบแห่งพระคาถา (อ.ชน ท.) มาก คาถาปริ โยสาเน พหู โสตาปนฺนาทโย อเหสุํ,
เป็ นพระอริ ยบุคคลมีพระโสดาบัน เป็ นต้ น ได้ เป็ นแล้ ว , มหาชนสฺส สาตฺถิกา ธมฺมเทสนา ชาตาติ.
อ.พระธรรมเทศนา เป็ นเทศนาเป็ นไปกับด้ วยวาจามีประโยชน์
เกิดแล้ ว แก่มหาชน ดังนี ้แล ฯ
อ. พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ในพระเชตวัน ทรงปรารภ “อิธ ตปฺปติ เปจฺจ ตปฺปตีติ อิมํ ธมฺมเทสนํ
ซึ่ ง พระเทวทัต ตรั ส แล้ ว ซึ่ ง พระธรรมเทศนา นี ้ ว่ า สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต เทวทตฺตํ อารพฺภ กเถสิ.
อิธ ตปฺปติ เปจฺจ ตปฺปติ ดังนี ้เป็ นต้ น ฯ
อ. เรื่อง แห่งพระเทวทัต (อันพระศาสดา) ทรงยังชาดก ท. เทวทตฺตสฺส วตฺถํุ ปพฺพชิตกาลโต ปฏฺ€าย ยาว
ทังปวง
้ อัน อันพระองค์ ทรงปรารภ ซึง่ พระเทวทัต ตรัสแล้ ว ป€วิปปฺ เวสนา เทวทตฺตํ อารพฺภ ภาสิตานิ สพฺพานิ
ให้ พิสดารแล้ ว ตรัสแล้ ว จ�ำเดิม แต่กาล (แห่งพระเทวทัต) บวชแล้ ว ชาตกานิ วิตฺถาเรตฺวา กถิตํ. อยํ ปเนตฺถ สงฺเขโป:
เพียงใด แต่การเข้ าไปสูแ่ ผ่นดิน ฯ ก็ อ. เนื ้อความย่อ ในเรื่ อง
แห่งพระเทวทัตนี ้ นี ้ :
อ. นิคม ของเจ้ามัลละ ท. ชือ่ ว่าอนุปิยะ (ใด), ครันเมื ้ อ่ พระศาสดา สตฺถริ , อนุปิยํ นาม มลฺลานํ นิคโม ,
ทรงอาศัย ซึง่ นิคมนัน้ เสด็จประทับอยูอ่ ยู่ ในป่ าแห่งไม้ มะม่วงชื่อ ตํ นิสฺสาย อนุปิยมฺพวเน วิหรนฺเตเยว, ตถาคตสฺส
ว่าอนุปิยะนัน่ เทียว, อ. พระโอรสมีพนั แปดสิบเป็ นประมาณ ท. ลกฺขณปฏิคฺคหณทิวเสเยว อสีตสิ หสฺเสหิ าติกเุ ลหิ
อันตระกูลแห่งพระญาติ ท. มีพนั แปดสิบเป็ นประมาณ ทรงปฏิญญาแล้ว “ราชา วา โหตุ พุทฺโธ วา, ขตฺตยิ ปริ วาโร
ว่า (อ. เจ้ าชายสิทธัตถะ) เป็ นพระราชา หรือ หรือว่า เป็ นประพุทธเจ้ า วิจริ สฺสตีติ อสีติสหสฺสปุตฺตา ปฏิฺาตา,
จงเป็ น, เป็ นผู้มีกษัตริ ย์เป็ นบริ วาร (เป็ น) จักเสด็จเที่ยวไป ดังนี ้
ในวันเป็ นทีร่ ับเฉพาะซึง่ พระลักษณะ แห่งพระตถาคตเจ้ านัน่ เทียว ฯ
ครันเมื้ อ่ พระโอรส ท. เหล่านัน้ ผนวชแล้ว โดยมาก, (อ. พระญาติ ท.) เตสุ เยภุยฺเยน ปพฺพชิเตสุ, “ภทฺทิยราชานํ อนุรุทฺธํ
ทรงเห็นแล้ ว ซึง่ เจ้ าศากยะ ท. ๖ เหล่านี ้ คือ ซึง่ พระราชา อานนฺทํ ภคุํ กิมพฺ ิลํ เทวทตฺตนฺติ อิเม ฉ สกฺเก
พระนามว่าภัททิยะ ซึง่ เจ้ าอนุรุทธ์ ซึง่ เจ้ าอานนท์ ซึง่ เจ้ าภคุ อปพฺพชนฺเต ทิสวฺ า “มยํ อตฺตโน ปุตเฺ ต ปพฺพาเชม,
ซึง่ เจ้ากิมพิละ ซึง่ เจ้าเทวทัต ผู้ไม่ผนวชอยู่ ยังวาจาเป็ นเครื่องกล่าว อิ เ ม ฉ สกฺ ก า น าตกา มฺ เ ; ตสฺ ม า
ให้ ตงขึั ้ ้นพร้ อมแล้ ว ว่า อ. เรา ท. ยังบุตร ท. ของตน ให้ บวชอยู,่ น ปพฺพชนฺตีติ กถํ สมุฏฺ€าเปสุํ.
อ. เจ้ าศากยะ ท. ๖ เหล่านี ้ เห็นจะเป็ นผู้มิใช่ญาติ (ย่อมเป็ น) ;
เพราะเหตุนนั ้ (อ. เจ้ าศากยะ ท. เหล่านี ้) ย่อมไม่บวช ดังนี ้ ฯ
ครัง้ นัน้ อ. เจ้ าศากยะ พระนามว่ามหานาม เสด็จเข้ าไปหาแล้ ว อถ มหานาโม สกฺโก อนุรุทฺธํ อุปสงฺกมิตฺวา
ซึง่ เจ้ าอนุรุทธ์ ตรัสแล้ ว ว่า แน่ะพ่อ (อ. บุคคล) ผู้บวชแล้ ว “ตาต อมฺหากํ กุลา ปพฺพชิโต นตฺถิ, ตฺวํ วา
จากตระกูล ของเรา ท. ย่อมไม่มี, อ. เจ้ า จงบวชหรื อ, หรื อว่า ปพฺพช, อหํ วา ปพฺพชิสฺสามีติ อาห.
อ. เรา จักบวช ดังนี ้ ฯ
ก็ อ. เจ้าอนุรทุ ธ์นนั ้ เป็ นผู้ละเอียดอ่อน เป็ นผู้มโี ภคะอันถึงพร้ อมแล้ว โส ปน สุขมุ าโล โหติ สมฺปนฺนโภโค, “นตฺถีติ
ย่อมเป็ น, แม้ อ. ค�ำ ว่า ย่อมไม่มี ดังนี ้ เป็ นค�ำอันเจ้ าอนุรุทธ์นนั ้ วจนมฺปิ เตน น สุตปุพฺพํ.
ไม่เคยทรงสดับแล้ ว (ย่อมเป็ น) ฯ
จริ งอยู่ ในวันหนึง่ ครัน้ เมื่อกษัตริ ย์ ท. ๖ เหล่านัน้ ทรงเล่นอยู่ เอกทิวสํ หิ เตสุ ฉสุ ขตฺตเิ ยสุ คุฬกีฬาย กีฬนฺเตสุ,
ด้ วยการเล่นซึง่ ขลุบ , อ. เจ้ าอนุรุทธ์ ทรงแพ้ แล้ ว ด้ วยขนม อนุรุทฺโธ ปูเวน ปราชิโต ปูวตฺถาย ปหิณิ.
ทรงส่งไปแล้ ว (ซึง่ บุรุษ) เพื่อประโยชน์แก่ขนม ฯ
ครัง้ นัน้ อ. พระมารดา ของเจ้ าอนุรุทธ์นนั ้ ทรงจัดแจงแล้ ว อถสฺ ส มาตา ปู เ ว สชฺ เ ชตฺ ว า ปหิ ณิ .
ซึง่ ขนม ท. ทรงส่งไปแล้ ว ฯ อ. กษัตริ ย์ ท. เหล่านัน้ เสวยแล้ ว เต ขาทิตฺวา ปน กีฬสึ .ุ
ทรงเล่นแล้ ว อีก ฯ
อ. ความแพ้ ย่อมมี แก่เจ้ าอนุรุทธ์นนนั ั ้ น่ เทียว บ่อย ๆ ฯ ปุนปฺปนุ ํ ตสฺเสว ปราชโย โหติ. มาตา ปนสฺส
ส่วนว่า อ. พระมารดา ของเจ้าอนุรุทธ์นนั ้ (ครันเมื ้ อ่ บุรุษ อันเจ้าอนุรุทธ์) ปหิเต ปหิเต ติกฺขตฺตํุ ปูเว ปหิณิตฺวา จตุตฺถวาเร
ทรงส่งไปแล้ ว ๆ ทรงส่งไปแล้ ว ซึง่ ขนม ท. สามครัง้ ทรงส่งไปแล้ ว “ปูวา นตฺถีติ ปหิณิ.
(ซึง่ ข่าวสาส์น) (มีอนั ให้ ร้ ู) ว่า อ. ขนม ท. ย่อมไม่มี ดังนี ้ (เป็ นเหตุ)
ในวาระที่ ๔ ฯ
อ. พระมารดาแม้ นน, ั ้ (ครัน้ เมือ่ ค�ำ) ว่า (อ. หม่อมฉัน) เป็ นผู้ใคร่ สาปิ สฺส ตโต ปฏฺ€าย, “ปูวํ ขาทิตกุ าโมมฺหีติ
เพื่ออันเคี ้ยวกิน ซึง่ ขนม ย่อมเป็ น ดังนี ้ (อันพระโอรส) ทูลแล้ ว, วุตเฺ ต, ตุจฉฺ ปาติเมว อฺาย ปาติยา ปฏิกชุ ชฺ ติ วฺ า
ทรงครอบแล้ ว ซึง่ ถาดเปล่านัน่ เทียว ด้ วยถาด อื่น ทรงส่งไปแล้ ว เปเสสิ. ยาว อคารมชฺเฌ วสิ, ตาวสฺส เทวตา
แก่พระโอรสนัน้ จ�ำเดิม แต่กาลนัน้ ฯ (อ. เจ้ าอนุรุทธ์) ประทับอยูแ่ ล้ ว ทิพฺพปูเว ปหิณึส.ุ
ในท่ามกลางแห่งเรือน เพียงใด, อ. เทวดา ท. ส่งไปแล้ว ซึง่ ขนมทิพย์ ท.
แก่เจ้ าอนุรุทธ์นนั ้ เพียงนัน้ ฯ
(อ. พระภาดา) ตรัสแล้ ว ว่า แน่ะพ่อ ถ้ าอย่างนัน้ (อ. เจ้ า) “เตนหิ ตาต กมฺมนฺตํ อุคฺคเหตฺวา ฆราวาสํ
เรี ยนเอาแล้ ว ซึง่ การงาน จงอยู่ อยูค่ รองซึง่ เรื อน, เพราะว่า วส, น หิ สกฺกา อมฺเหสุ เอเกน อปพฺพชิตนุ ฺติ อาห.
ในเรา ท. หนา (อันบุคคล) คนหนึง่ ไม่อาจ เพื่ออันไม่บวช ดังนี ้ ฯ อถ นํ “โก เอโส กมฺมนฺโต นามาติ ปุจฺฉิ.
ครัง้ นัน้ (อ. เจ้ าอนุรุทธ์) ทูลถามแล้ ว ซึง่ พระภาดานัน้ ว่า ภตฺตฏุ ฺ €านฏฺ€านํปิ อชานนฺโต กุลปุตฺโต กมฺมนฺตํ
ชื่อ อ. การงาน นัน่ อะไร ดังนี ้ ฯ อ. กุลบุตร ผู้ไม่ร้ ูอยู่ นาม กึ ชานิสฺสติ.
แม้ ซงึ่ ที่เป็ นที่ตงขึ
ั ้ ้นแห่งข้ าวสวย จักรู้ ชื่อซึง่ การงาน อะไร ฯ
ก็ ในวันหนึง่ อ. วาจาเป็ นเครื่องกล่าว ได้เกิดขึ ้นแล้ว แก่กษัตริย์ ท. เอกทิวสํ หิ ติณฺณํ ขตฺตยิ านํ กถา อุทปาทิ
๓ ว่า ชื่อ อ. ข้ าวสวย ย่อมตังขึ ้ ้น ในที่ไหน ดังนี ้ ฯ อ. เจ้ ากิมพิละ “ภตฺตํ นาม กุหึ อุฏฺ€หตีต.ิ กิมพฺ ิโล อาห “โกฏฺเ€
ตรัสแล้ ว ว่า (อ. ข้ าวสวย) ย่อมตังขึ ้ ้น ในฉาง ดังนี ้ ฯ ครัง้ นัน้ อุฏฺ€หตีต.ิ อถ นํ ภทฺทิโย “ตฺวํ ภตฺตสฺส
อ. เจ้ าภัททิยะ ตรัสแล้ ว กะเจ้ ากิมพิละนัน้ ว่า อ. ท่าน ย่อมไม่ร้ ู อุฏฺ€านฏฺ€านํ น ชานาสิ, ภตฺตนฺนาม อุกฺขลิยํ
ซึง่ ที่เป็ นที่ตงขึ
ั ้ ้น แห่งข้ าวสวย , ชื่อ อ. ข้ าวสวย ย่อมตังขึ ้ ้น อุฏฺ€หตีติ อาห.
ในหม้ อข้ าว ดังนี ้ ฯ
อ. เจ้ า อนุรุทธ์ ตรัสแล้ ว ว่า อ. ท่าน ท. แม้ สอง ย่อมไม่ร้ ู, อนุรุทฺโธ “ตุมเฺ ห เทฺวปิ น ชานาถ, ภตฺตนฺนาม
ชื่อ อ. ข้ าวสวย ย่อมตังขึ ้ ้น ในถาดอันเป็ นวิการแห่งทอง มีศอกก�ำ รตนมกุลาย สุวณฺณปาติยํ อุฏฺ€หตีติ อาห.
เป็ นประมาณ ดังนี ้ ฯ
ได้ ยินว่า ในวันหนึง่ ในกษัตริ ย์ ท. เหล่านันหนา ้ อ. เจ้ ากิมพิละ เตสุ กิร เอกทิวสํ กิมพฺ ิโล โกฏฺ€โต วีหี
ทรงเห็นแล้ ว ซึง่ ข้ าวเปลือก ท. (อันบุคคล) ให้ ข้ามลงอยู่ จากฉาง โอตาริ ยมาเน ทิสฺวา “เอเต โกฏฺ€เกเยว ชาตาติ
เป็ นผู้มีความส�ำคัญ ว่า อ. ข้ าวเปลือก ท. เหล่านัน่ เกิดแล้ ว ในฉาง สฺี อโหสิ. ภทฺทิโยปิ เอกทิวสํ อุกฺขลิโต
นัน่ เทียว ดังนี ้ ได้ เป็ นแล้ ว, ในวันหนึง่ แม้ อ. เจ้ าภัททิยะ ทรงเห็นแล้ ว ภตฺตํ วฑฺฒยิ มานํ ทิสวฺ า “อุกขฺ ลิยฺเว อุปปฺ นฺนนฺติ
ซึง่ ข้ าวสวย (อันบุคคล) คดอยู่ จากหม้ อข้ าว เป็ นผู้มีความส�ำคัญ สฺี อโหสิ.
ว่า (อ. ข้าวสวยนัน่ ) เกิดขึ ้นแล้ว ในหม้อข้าวนัน่ เทียว ดังนี ้ได้เป็ นแล้ว ฯ
อ.เจ้ าอนุรุทธ์นนั่ ได้ ทรงกระท�ำแล้ ว ซึง่ ความส�ำคัญ ว่า โส “ภฺุชิตกุ ามกาเล ภตฺตํ ปาติยํ อุฏฺ€หตีติ
อ. ข้ าวสวย ย่อมตังขึ ้ ้น ในถาด ในกาลแห่งบุคคลเป็ นผู้ใคร่ สฺมกาสิ. เอวํ ตโยปิ เต ภตฺตฏุ ฺ €านฏฺ€านํปิ
เพื่ออันบริ โภค ดังนี ้ ฯ อ. กษัตริ ย์ ท. เหล่านัน้ แม้ สาม น ชานนฺต.ิ
ย่อมไม่ทรงทราบ แม้ซงึ่ ทีเ่ ป็ นทีต่ งขึ
ั ้ ้นแห่งข้าวสวย ด้วยประการฉะนี ้ ฯ
เพราะเหตุนนั ้ อ. เจ้ าอนุรุทธ์นี ทู้ ลถามแล้ ว ว่า ชื่อ อ. การงานนัน่ เตนายํ “โก เอส กมฺมนฺโต นามาติ ปุจฺฉิตฺวา
อะไร ดังนี ้ ทรงสดับแล้ ว ซึง่ กิจ อันบุคคลพึงกระท�ำ ในปี ๆ “ป€มํ เขตฺตํ กสาเปตพฺพนฺตอิ าทิกํ สํวจฺฉเร
อันมีค�ำ ว่า อ. นา (อันเจ้ า) พึงให้ ไถ ก่อน ดังนี ้เป็ นต้ น ตรัสแล้ ว ว่า สํวจฺฉเร กตฺตพฺพํ กิจฺจํ สุตฺวา “กทา กมฺมนฺตานํ
ในกาลไร อ. ที่สดุ แห่งการงาน ท. จักปรากฏ, ในกาลไร อ. เรา ท. อนฺโต ปฺายิสฺสติ, กทา มยํ อปฺโปสฺสกุ ฺกา โภเค
ผู้มีความขวนขวายน้ อย จักใช้ สอย ซึง่ โภคะ ท. ดังนี ้ , ครัน้ เมื่อ ภฺุชิสฺสามาติ วตฺวา, กมฺมนฺตานํ อปริ ยนฺตตาย
ความที่แห่งการงาน ท. เป็ นสภาพไม่มีที่สดุ รอบ อันพระภาดา อกฺขาตาย, “เตนหิ ตฺวฺเว ฆราวาสํ วส,
ตรัสบอกแล้ ว, ทูลแล้ ว ว่า ถ้ าอย่างนัน้ อ. พระองค์นนั่ เทียว น มยฺหํ เอเตน อตฺโถติ วตฺวา มาตรํ อุปสงฺกมิตวฺ า
จงประทับอยู่ อยูค่ รองซึง่ เรื อน, อ. ความต้ องการ (ด้ วยการอยู่ “อนุชานาหิ มํ อมฺม, อหํ ปพฺพชิสฺสามีติ วตฺวา,
ครองซึง่ เรื อน) นัน่ ย่อมไม่มี แก่หม่อมฉัน ดังนี ้ เสด็จเข้ าไปหาแล้ ว ตาย ติกฺขตฺตํุ ปฏิกฺขิปิตฺวา “สเจ เต สหายโก
ซึง่ พระมารดา ทูลแล้ว ว่า ข้าแต่เสด็จแม่ (อ. พระองค์) ขอจงทรงอนุญาต ภทฺทิยราชา ปพฺพชิสฺสติ, เตน สทฺธึ ปพฺพชาหีติ
ซึง่ หม่อมฉันเถิด, อ. หม่อมฉัน จักบวช ดังนี ้, (ครัน้ เมื่อพระด�ำรัส) วุตฺเต, ตํ อุปสงฺกมิตฺวา “มม โข สมฺม ปพฺพชฺชา
ว่า ถ้ าว่า อ. พระราชาพระนามว่า ภัททิยะ ผู้เป็ นสหาย ของเจ้ า ตว ปฏิพทฺธาติ วตฺวา ตํ นานปฺปกาเรหิ สฺาเปตฺวา
จักผนวชไซร้ , (อ. เจ้ า) จงบวช กับ ด้ วยพระราชานัน้ ดังนี ้ สตฺตเม ทิวเส อตฺตนา สทฺธึ ปพฺพชตฺถาย ปฏิฺํ
(อันพระมารดา) นัน้ ทรงห้ามแล้ว ๓ ครัง้ ตรัสแล้ว, เสด็จเข้าไปหาแล้ว คณฺหิ.
ซึง่ พระราชานัน้ ทูลแล้วว่า แน่ะสหาย อ. การบวช แห่งหม่อมฉันแล
เนือ่ งเฉพาะแล้ว ด้วยพระองค์ ดังนี ้ ทรงยังพระราชานัน้ ให้ร้ ูพร้ อมแล้ว
ด้ วยประการต่าง ๆ ท. ทรงรับแล้ ว ซึง่ ปฏิญญา เพื่อประโยชน์
แก่การผนวช กับ ด้ วยพระองค์ ในวัน ที่เจ็ด ฯ
ในล�ำดับนัน้ อ. กษัตริ ย์ ท. ๖ เหล่านี ้ คือ อ. พระราชา ตโต “ภทฺทิโย สกฺยราชา อนุรุทฺโธ อานนฺโท
แห่งเจ้ าศากยะ พระนามว่าภัททิยะด้ วย อ. เจ้ าอนุรุทธ์ด้วย ภคุ กิมพฺ ิโล เทวทตฺโต จาติ อิเม ฉ ขตฺติยา
อ. เจ้าอานนท์ด้วย อ. เจ้าภคุด้วย อ. เจ้ากิมพิละด้วย อ. เจ้าเทวทัตด้วย อุปาลิกปฺปกสตฺตมา, เทวา วิย ทิพฺพสมฺปตฺตึ
มีนายภูษามาลาชือ่ ว่า อุบาลีเป็ นทีเ่ จ็ด, ทรงเสวยแล้ว ซึง่ สมบัตใิ หญ่ สตฺตาหํ มหาสมฺปตฺตึ อนุภวิตฺวา อุยฺยานํ คจฺฉนฺตา
ตลอดวันเจ็ด ราวกะ อ. เทพ ท. (เสวยอยู)่ ซึง่ สมบัตอิ นั เป็ นทิพย์ วิย จตุรงฺคนิ ิยา เสนาย นิกฺขมิตฺวา ปรวิสยํ ปตฺวา
เสด็จออกไปแล้ ว ด้ วยเสนา มีองค์ ๔ ผู้ราวกะว่าเสด็จไปอยู่ ราชาณาย สพฺพเสนํ นิวตฺตาเปตฺวา ปรวิสยํ
สูอ่ ทุ ยาน เสด็จถึงแล้ ว ซึง่ แดนของกษัตริ ย์อื่น ทรงยังเสนาทังปวง
้ โอกฺกมึส.ุ
ให้ กลับแล้ ว ด้ วยอาชญาของพระราชา เสด็จก้ าวลงแล้ ว
สูแ่ ดนของกษัตริ ย์อื่น ฯ
อ. ป่ า เป็ นราวกะว่าถึงแล้วซึง่ อันร้ องไห้ อ. แผ่นดิน เป็ นราวกะว่า เตสํ ทฺวิธา ชาตกาเล วนํ โรทนปฺปตฺตํ วิย
ถึงแล้ วซึง่ อาการคืออันหวัน่ ไหว ได้ เป็ นแล้ ว ในกาลแห่งชน ท. ป€วี กมฺปนาการปฺปตฺตา วิย อโหสิ.
เหล่านัน้ เกิดแล้ ว โดยส่วนสอง ฯ
แม้ อ. นายภูษามาลาชื่อว่าอุบาลี ไปแล้ ว หน่อยหนึง่ กลับแล้ ว อุปาลิกปฺปโกปิ โถกํ คนฺตฺวา นิวตฺตติ ฺวา
คิดแล้ ว อย่างนี ้ ว่า อ. เจ้ าศากยะ ท. ผู้ดรุ ้ ายแล แม้ พงึ ฆ่า ซึง่ เรา เอวํ จินฺเตสิ “จณฺฑา โข สากิยา `อิมินา กุมารา
(ด้ วยความส�ำคัญ) ว่า อ. พระกุมาร ท. อันนายภูษามาลา นิปาติตาติ ฆาเตยฺยปํุ ิ มํ, อิเม หิ นาม สกฺยกุมารา
ชื่อว่าอุบาลีนี ้ ให้ ตกไปโดยไม่เหลือแล้ ว ดังนี ้, ก็ อ. พระกุมาร เอวรูปํ สมฺปตฺตึ ปหาย อิมานิ อนคฺฆานิ อาภรณานิ
แห่งเจ้ าศากยะ ท. ชือ่ เหล่านี ้ ทรงละแล้ ว ซึง่ สมบัติ มีอย่างนี ้เป็ นรูป เขฬปิ ณฺฑํ วิย ฉฑฺเฑตฺวา ปพฺพชิสฺสนฺต,ิ กิมงฺคํ
ทรงทิ ้งแล้ ว ซึง่ อาภรณ์ ท. อันหาค่ามิได้ เหล่านี ้ ราวกะว่า ปนาหนฺติ จินฺเตตฺวา ภณฺฑิกํ โอมฺุจิตฺวา ตานิ
ก้ อนแห่งน� ้ำลาย จักผนวช, ก็ อ. องค์อะไรเล่า อ. เรา (จักไม่บวช) อาภรณานิ รุกฺเข ลคฺคติ ฺวา “อตฺถิกา คณฺหนฺตตู ิ
ดังนี ้ ครั น้ คิดแล้ ว เปลือ้ งแล้ ว ซึ่งห่อมีภัณฑะ คล้ องไว้ แล้ ว วตฺวา เตสํ สนฺตกิ ํ คนฺตฺวา เตหิ “กสฺมา นิวตฺโตสีติ
ซึง่ อาภรณ์ ท. เหล่านัน้ บนต้ นไม้ กล่าวแล้ ว ว่า (อ. ชน ท.) ปุฏฺโ€ ตมตฺถํ อาโรเจสิ.
มีความต้ องการ จงถือเอาเถิด ดังนี ้ ไปแล้ ว สูส่ �ำนัก ของกษัตริ ย์ ท.
เหล่านัน้ ผู้อนั กษัตริ ย์ ท. เหล่านัน้ ตรัสถามแล้ ว ว่า (อ. เธอ)
เป็ นผู้กลับแล้ ว ย่อมเป็ น เพราะเหตุอะไร ดังนี ้ กราบทูลแล้ ว
ซึง่ เนื ้อความนัน้ ฯ
ครัง้ นัน้ อ. กษัตริ ย์ ท. เหล่านัน้ ทรงพาเอา ซึง่ นายภูษามาลา อถ นํ เต อาทาย สตฺถุ สนฺตกิ ํ คนฺตฺวา
ชือ่ ว่าอุบาลีนนั ้ เสด็จไปแล้ว สูส่ ำ� นัก ของพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา “มยํ ภนฺเต สากิยา นาม
ซึง่ พระผู้มีพระภาคเจ้ า กราบทูลแล้ ว ว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ เู จริ ญ มานนิสฺสติ า, อยํ อมฺหากํ ทีฆรตฺตํ ปริ จารโก,
อ. ข้ าพระองค์ ท. ชื่อว่า เป็ นเจ้ าศากยะ เป็ นผู้อาศัยแล้ วซึง่ มานะ อิมํ ป€มตรํ ปพฺพาเชถ, มยมสฺส อภิวาทนาทีนิ
(ย่อมเป็ น), อ. บุรุษนี ้ เป็ นผู้บ�ำเรอ ซึง่ ข้ าพระองค์ ท. สิ ้นกาลนาน กริ สฺสาม, เอวํ โน มาโน นิมมฺ าทยิสฺสตีติ วตฺวา ตํ
(ย่อมเป็ น), (อ. พระองค์ ท.) ขอจงทรงยังบุรุษนี ้ให้ บวช ก่อนกว่า, ป€มตรํ ปพฺพาเชตฺวา ปจฺฉา สยํ ปพฺพชึส.ุ
อ. ข้ าพระองค์ ท. จักกระท�ำ (ซึง่ สามีจิกรรม ท.) มีการกราบไหว้
เป็ นต้ น แก่บรุ ุษนัน,้ อ. มานะ ของข้ าพระองค์ ท. จักคลาย อย่างนี ้
ดังนี ้ ทรงยังนายภูษามาลาชื่อว่าอุบาลี นัน้ ให้ บวชแล้ ว ก่อนกว่า
ผนวชแล้ ว เอง ในภายหลัง ฯ
ในภิกษุ ท. เหล่านันหนา ้ อ. พระภัททิยะ ผู้มอี ายุ เป็ นผู้มวี ชิ ชาสาม เตสุ อายสฺมา ภทฺทิโย เตเนว อนฺตรวสฺเสน
ได้ เป็ นแล้ ว โดยระหว่างแห่งพรรษา นันนั ้ น่ เทียว ฯ อ. พระอนุรุทธ์ เตวิชฺโช อโหสิ. อายสฺมา อนุรุทฺโธ ทิพฺพจกฺขโุ ก
ผู้มอี ายุ เป็ นผู้มจี กั ษุเพียงดังทิพย์ เป็ น ฟั งแล้ ว ซึง่ มหาปุริสวิตกสูตร หุตฺวา ปจฺฉา มหาปุริสวิตกฺกสุตฺตํ สุตฺวา อรหตฺตํ
บรรลุแล้ ว ซึง่ พระอรหัต ในภายหลัง ฯ อ. พระอานนท์ ผู้มีอายุ ปาปุณิ. อายสฺมา อานนฺโท โสตาปตฺตผิ เล ปติฏฺ€หิ.
ตังอยู
้ เ่ ฉพาะแล้ ว ในโสดาปั ตติผล ฯ อ. พระเถระชื่อว่าภคุด้วย ภคุตฺเถโร จ กิมพฺ ิลตฺเถโร จ อปรภาเค วิปสฺสนํ
อ. พระเถระชือ่ ว่ากิมพิละด้ วย ยังวิปัสสนา ให้ เจริญแล้ ว บรรลุแล้ ว วฑฺเฒตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณึส.ุ เทวทตฺโต โปถุชฺชนิกํ
ซึง่ พระอรหัต ในกาลอันเป็ นส่วนอื่นอีก ฯ อ. พระเทวทัต บรรลุแล้ ว อิทฺธึ ปตฺโต.
ซึง่ ฤทธิ์ อันเป็ นของมีอยูแ่ ห่งปุถชุ น ฯ
ชื่อ อ.มนุษย์ผ้ ถู ามอยู่ ว่า อ.พระเถระชื่อว่าเทวทัตต์ นัง่ แล้ ว “เทวทตฺตตฺเถโร กุหึ นิสนิ ฺโน วา €ิโต วาติ
หรื อ หรื อว่า ยืนอยูแ่ ล้ ว ณ ที่ไหน ดังนี ้ ย่อมไม่มี ฯ อ .พระเถระ ปุจฺฉนฺโต นาม นตฺถิ. โส จินฺเตสิ “อหํ เอเตหิ
ชื่อว่าเทวทัตต์นนั ้ คิดแล้ วว่า อ.เรา เป็ นผู้บวชแล้ ว กับด้ วยภิกษุ ท. สทฺธึเยว ปพฺพชิโต, เอเตปิ ขตฺตยิ ปพฺพชิตา, อหํปิ
เหล่านันนั้ น่ เทียว (ย่อมเป็ น) อ.ภิกษุ ท. แม้ เหล่านัน่ เป็ นผู้บวชแล้ ว ขตฺตยิ ปพฺพชิโต; ลาภสกฺการหตฺถา มนุสฺสา เอเต
จากตระกูลแห่งกษัตริ ย์ (ย่อมเป็ น) แม้ อ.เรา เป็ นผู้บวชแล้ ว ปริ เยสนฺติ, มม นามํ คเหตาปิ นตฺถิ, เกน นุ โข
จากตระกูลแห่งกษัตริ ย์ (ย่อมเป็ น) อ.มนุษย์ ท. ผู้มีลาภและ สทฺธึ เอกโต หุตฺวา กํ ปสาเทตฺวา มม ลาภสกฺการํ
สักการะในมือ ย่อมแสวงหา ซึง่ ภิกษุ ท. เหล่านัน่ แม้ อ.มนุษย์ นิพฺพตฺเตยฺยนฺต.ิ
ผู้ถือเอา ซึ่งชื่ อของเรา ย่อมไม่มี อ.เรา เป็ น โดยความเป็ น
อันเดียวกัน กับด้ วยใคร หนอแล ยังใคร ให้ เลื่อมใสแล้ ว ยังลาภ
และสักการะ พึงให้ บงั เกิดขึ ้น แก่เรา ดังนี ้ ฯ ฯ
ครัง้ นัน้ อ.ความคิดนี ้ ว่า อ.พระราชา พระนามว่าพิมพิสารนี ้ อถสฺส เอตทโหสิ “อยํ ราชา พิมพฺ ิสาโร
ตังอยู
้ เ่ ฉพาะแล้ว ในโสดาปัตติผล กับด้วยนหุต (แห่งมนุษย์) ๑๑ ท. ป€มทสฺสเนเนว เอกาทสนหุเตหิ สทฺธึ โสตาปตฺตผิ เล
ด้วยการเห็นครังที ้ ห่ นึง่ นันเที
้ ยว อันเราไม่อาจ เพีอ่ อันเป็ น โดยความ ปติฏฺ€ิโต, น สกฺกา เอเตน สทฺธึ เอกโต ภวิตํ,ุ
เป็ นอันเดียวกัน กับด้ วยพระราชาพระนามว่าพิมพิสารนัน่ อันเรา โกสลรญฺญาปิ สทฺธึ น สกฺกา เอกโต ภวิตํ,ุ
ไม่อาจเพี่อเป็ นโดยความเป็ นอันเดียวกัน กับแม้ ด้วยพระราชา อยํ โข ปน รญฺโญ ปุตฺโต อชาตสตฺตกุ มุ าโร
แห่งแคว้ นโกศล, ส่วนว่า อ.พระกุมาร พระนามว่าอชาตศัตรู กสฺสจิ คุณโทสํ น ชานาติ, เอเตน สทฺธึ เอกโต
ผู้เป็ นพระโอรส ของพระราชานี ้แล ย่อมไม่ทรงรู้ ซึง่ คุณและโทษ ภวิสฺสามีต.ิ
ของใคร ๆ อ.เรา จักเป็ น โดยความเป็ นอ้นเดียวกัน กับด้วยพระกุมาร
พระนามว่าอชาตศัตรูนนั่ ดังนี ้ ได้ มแี ล้ ว แก่พระเถระชือ่ ว่าเทวทัตต์
นัน้ ฯ
อ.พระเถระ ชือ่ ว่าเทวทัตต์นนั ้ ไปแล้ ว สูพ่ ระนครชือ่ ว่าราชคฤห์ โส โกสมฺพิโต ราชคหํ คนฺตฺวา กุมารกวณฺณํ
จากพระนครชื่อว่าโกสัมพี เนรมิตแล้ ว ซึง่ เพศแห่งกุมาร พันแล้ ว อภินิมมฺ ินิตฺวา จตฺตาโร อาสีวิเส จตูสุ หตฺถปาเทสุ
ซึง่ อสรพิษ ท. ๔ ตัว ที่มือและเท้ า ท. ๔ พันแล้ ว ซึง่ อสรพิษ เอกํ คีวาย พนฺธิตฺวา เอกํ สีเส จุมพฺ ฏกํ กตฺวา
ตัวหนึง่ ทีค่ อ กระท�ำแล้ ว (ซึง่ อสรพิษ) ตัวหนึง่ ให้ เป็ นเทริดบนศีรษะ เอกํ เอกํสํ กริ ตฺวา อิมาย อหิเมขลาย อากาสโต
กระท�ำแล้ ว (ซึง่ อสรพิษ) ตัวหนึง่ ให้ เฉวียงบ่า ลงแล้ ว จากอากาศ โอรุยฺห อชาตสตฺตสุ ฺส อุจฺฉงฺเค นิสีทิตฺวา, เตน
ด้วยสังวาลย์ อันเป็ นวิการแห่งงูนี ้ นัง่ แล้ว บนพระเพลา ของพระกุมาร ภีเตน “โกสิ ตฺวนฺติ วุตฺเต, “อหํ เทวทตฺโตติ วตฺวา
พระนามว่าอชาตศัตรู ครัน้ เมื่อค�ำว่า อ.ท่าน เป็ นใคร ย่อมเป็ น
ดังนี ้ อันพระกุมาร พระนามว่าอชาตศัตรู นัน้ ผู้กลัวแล้ ว ตรัสแล้ ว
กล่าวแล้ ว ว่า อ.เรา เป็ นภิกษุ ชื่อว่าเทวทัตต์ (ย่อมเป็ น) ดังนี ้
ครัง้ นัน้ อ. พระผู้มีพระภาคเจ้ า (ทรงยังบุคคล) ให้ กระท�ำแล้ ว อถสฺส ภควา ราชคเห ปกาสนียกมฺมํ กาเรสิ.
ซึง่ กรรมอันสงฆ์พงึ ประกาศ ในเมืองชือ่ ว่าราชคฤห์ แก่พระเทวทัตนัน้ ฯ
อ. พระเทวทัตนัน้ (คิดแล้ว) ว่า ในกาลนี อ.้ เรา เป็ นผู้อนั พระสมณะ โส “ปริ จฺจตฺโตทานิ อหํ สมเณน โคตเมน,
ผู้โคดมทรงสละรอบแล้ ว ย่อมเป็ น, ในกาลนี ้ อ. เรา จักกระท�ำ อิทานิสฺส อนตฺถํ กริ สฺสามีติ อชาตสตฺตํุ
ซึง่ ความฉิบหายมิใช่ประโยชน์ แก่พระสมณะผู้โคดมนัน้ ดังนี ้ อุปสงฺกมิตฺวา “ปุพฺเพ โข กุมาร มนุสฺสา ทีฑายุกา,
เข้ าไปหาแล้ ว ซึง่ พระกุมารพระนามว่าอชาตศัตรู ทูลแล้ ว ว่า เอตรหิ อปฺปายุกา, €านํ โข ปเนตํ วิชฺชติ, ยํ ตฺวํ
ดูก่อนพระกุมาร ในกาลก่อนแล อ. มนุษย์ ท. เป็ นผู้มีอายุยาว กุมาโรว สมาโน กาลํ กเรยฺยาสิ, เตนหิ ตฺวํ กุมาร
(ได้ เป็ นแล้ ว), ในกาลนี ้ (อ. มนุษย์ ท.) เป็ นผู้มีอายุน้อย (ย่อมเป็ น). ปิ ตรํ หนฺตฺวา ราชา โหหิ, อหํ ภควนฺตํ หนฺตฺวา
ก็ อ. พระองค์ เป็ นพระกุมารเทียว มีอยู่ พึงทรงกระท�ำ ซึง่ กาละ ใด, พุทฺโธ ภวิสฺสามีติ วตฺวา, ตสฺมึ รชฺเช ปติฏฺ€ิเต,
อ. การทรงกระท�ำ ซึง่ กาละ แห่งพระองค์ นัน่ เป็ นฐานะแล ย่อมมีได้ , ตถาคตสฺส วธาย ปุริเส ปโยเชตฺวา, เตสุ โสตาปตฺตผิ ลํ
ดูก่อนพระกุมาร ถ้ าอย่างนัน้ อ. พระองค์ ปลงพระชนม์แล้ ว ปตฺวา นิวตฺเตสุ, สยํ คิชฺฌกูฏํ อภิรุหิตฺวา
ซึง่ พระบิดา เป็ นพระราชา จงเป็ น, อ. อาตมา ปลงพระชนม์แล้ว “อหเมว สมณํ โคตมํ ชีวิตา โวโรเปสฺสามีติ สิลํ
ซึง่ พระผู้มพี ระภาคเจ้า เป็ นพระพุทธเจ้า จักเป็ น ดังนี ้, ครันเมื
้ อ่ พระกุมาร ปวิชฺฌิตฺวา รุหิรุปปฺ าทกมฺมํ กตฺวา อิมินาปิ อุปาเยน
นัน้ ทรงด�ำรงอยูเ่ ฉพาะแล้ว ในความเป็ นแห่งพระราชา, ประกอบแล้ ว มาเรตุํ อสกฺโกนฺโต ปุน นาฬาคิรึ วิสฺสชฺชาเปสิ.
ซึง่ บุรุษ ท. เพื่ออันปลงพระชนม์ ซึง่ พระตถาคตเจ้ า, ครัน้ เมื่อบุรุษ
ท. เหล่านัน้ บรรลุแล้ ว ซึง่ โสดาปั ตติผล กลับแล้ ว. ขึ ้นเฉพาะแล้ ว
สูภ่ เู ขาชื่อว่าคิชฌกูฏ เอง กลิ ้งแล้ ว ซึง่ ศิลา (ด้ วยความคิด) ว่า อ. เรา
นันเที
้ ยว จักปลงลง ซึง่ พระสมณะ ผู้โคดม จากชีวิต ดังนี ้กระท�ำแล้ ว
ซึง่ กรรมคืออันยังพระโลหิตให้ ห้อ ไม่อาจอยู่ เพื่ออันให้ สิ ้นพระชนม์
ด้ วยอุบาย แม้ นี ้ (ยังบุคคล) ให้ ปล่อยแล้ ว ซึง่ ช้ างชื่อว่านาฬาคิรี
อีก ฯ
ครัน้ เมื่อช้ างนัน้ มาอยู,่ อ. พระเถระชื่อว่าอานนท์ บริ จาคแล้ ว ตสฺมึ อาคจฺฉนฺเต, อานนฺทตฺเถโร อตฺตโน ชีวิตํ
ซึง่ ชีวิต ของตน เพื่อพระศาสดา ได้ ยืนแล้ ว ข้ างพระพักตร์ ฯ สตฺถุ ปริ จฺจชิตฺวา ปุรโต อฏฺ€าสิ.
(อ. พระศาสดา) ทรงสดับแล้ ว ซึง่ วาจาเป็ นเครื่ องกล่าว “อโห มหาคุโณ อายสฺมา อานนฺโท; ตถารูเป
ซึง่ คุณ ของพระเถระ ว่า โอ ! อ. พระอานนท์ ผู้มีอายุ มีคณ ุ มาก ; นาม หตฺถินาเค อาคจฺฉนฺเต, อตฺตโน ชีวิตํ
ครัน้ เมื่อช้ างตัวประเสริ ฐ ชื่อมีอย่างนันเป็
้ นรูป มาอยู,่ บริ จาคแล้ ว ปริ จฺจชิตฺวา สตฺถุ ปุรโต อฏฺ€าสีติ เถรสฺส คุณกถํ
ซึง่ ชีวิต ของตน ได้ ยืนแล้ ว ข้ างพระพักตร์ ของพระศาสดา ดังนี ้ สุตฺวา “น ภิกฺขเว อิทาเนว, ปุพฺเพเปส มมตฺถาย
ตรัสแล้ ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. (อ. อานนท์ ย่อมบริ จาค ซึง่ ชีวิต ชีวิตํ ปริ จฺจชิเยวาติ วตฺวา ภิกฺขหู ิ ยาจิโต
เพื่อประโยชน์ แก่เรา) ในกาลนี ้นัน่ เทียว หามิได้ , อ. อานนท์นนั่ จุลลฺ หํสมหาหํสกกฺกฏกชาตกานิ กเถสิ.
บริ จาคแล้ ว ซึง่ ชีวิต เพื่อประโยชน์ แก่เรานัน่ เทียว แม้ ในกาลก่อน
ดังนี ้ ผู้อนั ภิกษุ ท. ทูลวิงวอนแล้ ว ตรัสแล้ ว ซึง่ จุลหังสชาดกและ
มหาหังสชาดกและกักกฏกชาดก ท. ฯ
(อ. การกระท�ำ แม้ ของพระเทวทัต เป็ นธรรมชาติปรากฏแล้ ว เทวทตฺตสฺสาปิ กมฺมํ เนว ตถา รญฺโญ
ได้ เป็ นแล้ ว เพราะความที่ แห่งช้ างชือ่ ว่านาฬาคีรี อันตนปล่อยแล้ ว มาราปิ ตตฺตา, น วธกานํ ปโยชิตตฺตา, น สิลาย
ฉันใด อ. การกระทาํ แม้ ของพระเทวทัต เป็ นธรรมชาติ ปรากฏแล้ ว ปวิทฺธตฺตา, ปากฏํ อโหสิ; ยถา นาฬาคิริหตฺถิโน
ได้ เป็ นแล้ ว เพราะความที่แห่งพระราชาอันตนยังพระราชกุมาร วิสฺสชฺชิตตฺตา.
พระนามว่าอชาตศัตรู ให้ ปลงพระชนม์แล้ ว ฉันนัน้ หามิได้ นนั่ เทียว
อ.การกระท�ำ แม้ ของพระเทวทัต เป็ นธรรมชาติ ปรากฏแล้ ว
ได้ เป็ นแล้ ว เพราะความทีแ่ ห่งนายขมังธนู ท. อันตนประกอบแล้ ว
ฉันนัน้ หามิได้ อ. การกระท�ำ แม้ ของพระเทวทัต เป็ นธรรมชาติ
ปรากฎแล้ ว ได้ เป็ นเเล้ ว เพราะความแห่งศิลาอันตนกลิ ้งแล้ ว
ฉันนัน้ หามิได้ ฯ
ก็ ในกาลนัน้ อ.มหาชน ได้ กระท�ำแล้ ว ซึง่ ความโกลาหล ตทา หิ มหาชโน “ราชาปิ เทวทตฺเตเนว
ว่า แม้ อ.พระราชา อันพระเทวทัตนัน่ เทียว ยังพระราชกุมาร มาราปิ โต, วธกาปิ ปโยชิตา, สิลาปิ ปวิทฺธา;
พระนามว่าอชาตศัตรู ให้ ปลงพระชนม์แล้ ว, แม้ อ.นายขมังธนู ท. อิทานิ ปน เตน นาฬาคิริ วิสฺสชฺชาปิ โต, เอวรูปํ
อันพระเทวทัตนัน่ เทียว ประกอบแล้ ว, แม้ อ.ศิลา อันพระเทวทัต นาม ปาปํ คเหตฺวา ราชา วิจรตีติ โกลาหลมกาสิ.
นัน่ เทียว กลิ ้งแล้ ว, ก็ในบัดนี ้ อ.ช้ างชือ่ ว่านาฬาคีรี อันพระเทวทัตนัน้
(ยังนายควาญช้ าง) ให้ ปล่อยแล้ ว, อ.พระราชา ย่อมเที่ยวคบ
ซึง่ บุคคลชัว่ ชื่อผู้มีอย่างนี ้เป็ นรูป ดังนี ้ ฯ
อ.พระราชา สดับแล้ ว ซึง่ วาจาเป็ นเครื่ องกล่าว ของมหาชน ราชา มหาชนสฺส กถํ สุตวฺ า ปญฺจ ถาลิปากสตานิ
ยังบุคคลให้ น� ำไปอยู่แล้ ว ซึ่งร้ อยแห่งอาหารที่บุคคลหุงต้ ม หราเปตฺวา น ปุน ตสฺสปุ ฏฺ€านํ อคมาสิ.
ใส่ไว้ แล้ วในถาด ท. (ส�ำรั บ) ๕ ไม่ได้ เสด็จไปแล้ ว สู่ที่บ�ำรุ ง
แห่งพระเทวทัตนันอี
้ กฯ
แม้ อ.ชนผู้อยูใ่ นเมือง ท. ไม่ได้ถวายแล้ว ซึง่ วัตถุแม้สกั ว่าภิกษา นาคราปิ สสฺ กุลํ อุปคตสฺส ภิกขฺ ามตฺตมฺปิ นาทํส.ุ
แก่พระเทวทัตนัน้ ผู้เข้ าไปถึงแล้ วซึง่ ตระกูล ฯ อ.พระเทวทัตนัน้ โส ปริ หีนลาภสกฺ กาโร โกหญฺ เญน ชี วิตุกาโม
เป็ นผู้มลี าภและสักการะอันเสือ่ มรอบแล้ว เป็ นผู้ใคร่ เพือ่ อันเป็ นอยู่ สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา
ด้ วยความเป็ นแห่งบุคคลผู้หลอกลวง (เป็ น ) เข้ าไปเฝ้าแล้ ว
ซึง่ พระศาสดาดา
อ.ภิกษุ ท. บางพวก ผู้บวช แล้ วใหม่ ผู้มีความรู้น้อย ฟั งแล้ ว ตสฺส วจนํ สุตฺวา เอกจฺเจ นวปพฺพชิตา
ซึง่ ค�ำของพระเทวทัตนัน้ (คิดแล้ ว) ว่า อ.พระเทวทัต กล่าวแล้ ว มนฺทพุทฺธิโน “กลฺยาณํ เทวทตฺโต อาห, เอเตน
ซึง่ ค�ำอันงาม อ.เรา ท. จักเที่ยวไปกับด้ วยพระเทวทัตนัน้ ดังนี ้ สทฺธึ วิจริ สฺสามาติ เตน สทฺธึ เอกโตว อเหสุํ.
ได้เป็ นแล้ว โดยความเป็ นอันเดียวกัน กับด้วยพระเทวทัตนันเที
้ ยว ฯ
อ. พระเทวทัตนัน้ กับ ด้ วยภิกษุ ท. มีร้อยห้ าเป็ นประมาณ ยังชน อิติ โส ปฺจสเตหิ ภิกฺขหู ิ สทฺธึ เตหิ ปฺจหิ
ผู้เลื่อมใสแล้ วในวัตถุเศร้ าหมอง ให้ ร้ ูพร้ อมอยู่ ด้ วยวัตถุ ท. ๕ วตฺถหู ิ ลูขปฺปสนฺนํ ชนํ สฺาเปนฺโต กุเลสุ
เหล่านัน้ (ยังกันและกัน) ให้ ขอแล้ ว ในตระกูล ท. บริ โภคอยู่ วิ ฺ าเปตฺวา ภฺุชนฺโต สงฺฆเภทาย ปรกฺกมิ.
ตะเกียกตะกายแล้ ว เพื่ออันท�ำลายซึง่ สงฆ์ ด้ วยประการฉะนี ้ ฯ
อ. พระเทวทัตนัน้ ผู้อนั พระผู้มีพระภาคเจ้ า ตรัสถามแล้ ว ว่า โส ภควตา “สจฺจํ กิร ตฺวํ เทวทตฺต สงฺฆเภทาย
ดูก่อนเทวทัต ได้ ยินว่า อ. เธอ ย่อมตะเกียกตะกาย เพื่ออันท�ำลาย ปรกฺกมสิ จกฺกเภทายาติ ปุฏฺโ€ “สจฺจํ ภควาติ
ซึง่ สงฆ์ เพื่ออันท�ำลายซึง่ จักร จริ งหรื อ ดังนี ้ ทูลแล้ ว ว่า วตฺวา “ครุโก โข เทวทตฺต สงฺฆเภโทติอาทีหิ โอวทิโตปิ
ข้ าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้ า (อ. ข้ าพระองค์ ย่อมตะเกียกตะกาย สตฺถุ วจนํ อนาทยิตฺวา ปกฺกนฺโต, อายสฺมนฺตํ
เพื่ อ อัน ท� ำ ลายซึ่ง สงฆ์ เพื่ อ อัน ท� ำ ลายซึ่ง จัก ร ) จริ ง ดัง นี ้ อานนฺ ทํ ราชคเห ปิ ณฺ ฑ าย จรนฺ ตํ ทิ สฺ ว า
แม้ ผ้ ู (อันพระผู้มีพระภาคเจ้ า) ตรัสสอนแล้ ว (ด้ วยพระด�ำรัส ท.) “อชฺชตคฺเคทานาหํ อาวุโส อานนฺท อฺเตฺรว
มีพระด�ำรัส ว่า ดูก่อนเทวทัต อ. การท�ำลายซึง่ สงฆ์ หนักแล ดังนี ้ ภควตา อฺตฺร ภิกฺขสุ งฺฆา อุโปสถํ กริ สฺสามิ,
เป็ นต้ น ไม่เอื ้อเฟื อ้ แล้ ว ซึง่ พระด�ำรัส ของพระศาสดา หลีกไปแล้ ว, สงฺฆกมฺมํ กริ สฺสามีติ อาห.
เห็นแล้ ว ซึง่ พระอานนท์ ผู้มีอายุ ผู้เที่ยวไปอยู่ ในเมือง
ชื่อว่าราชคฤห์ เพื่อบิณฑะ กล่าวแล้ ว ว่า แน่ะอานนท์ ผู้มีอายุ
ในกาลนี ้มีวนั นี ้เป็ นเบื ้องต้ น อ. เรา จักกระท�ำ ซึง่ อุโบสถ, จักกระท�ำ
ซึ่งสังฆกรรม เว้ น จากพระผู้มีพระภาคเจ้ านั่นเทียว เว้ น
จากหมูแ่ ห่งภิกษุ ดังนี ้ ฯ
อ. พระเถระ กราบทูลแล้ว ซึง่ เนื ้อความนัน้ แก่พระผู้มพี ระภาคเจ้า ฯ เถโร ตมตฺ ถํ ภควโต อาโรเจสิ .
อ. พระศาสดา ทรงทราบแล้ ว ซึง่ เนื ้อความนัน้ เป็ นผู้ทรงมีความสลด ตํ วิทิตฺวา สตฺถา อุปปฺ นฺนธมฺมสํเวโค หุตฺวา
ในธรรมเกิดขึ ้นแล้ ว เป็ น ทรงปริ วิตกแล้ ว ว่า อ. เทวทัต ย่อมกระท�ำ “เทวทตฺโต สเทวกสฺส โลกสฺส อนตฺถนิสฺสติ ํ
ซึง่ กรรมเป็ นเหตุไหม้ ในนรกชื่อว่าอเวจี ของตน อันอาศัยแล้ ว อตฺตโน อวีจิมหฺ ิ ปจนกมฺมํ กโรตีติ ปริ วิตกฺเกตฺวา
ซึง่ ความฉิบหายมิใช่ประโยชน์ แก่โลก อันเป็ นไปกับด้ วยเทวโลก
ดังนี ้
(อ. กรรม ท. เหล่าใด) เป็ นกรรมไม่ดีดว้ ย เป็ นกรรมไม่เกื อ้ กูล “สุกรานิ อสาธูนิ อตฺตโน อหิ ตานิ จ;
แก่ตนด้วย (ย่อมเป็ น อ.กรรม ท. เหล่านัน้ ) เป็ นกรรม
อันบุคคลกระท�ำได้โดยง่าย (ย่อมเป็ น) , อ. กรรมใดแล ยํ เว หิ ตฺจ สาธฺุจ ตํ เว ปรมทุกฺกรนฺติ
เป็ นกรรมเกื อ้ กูลด้วย เป็ นกรรมดีดว้ ย (ย่อมเป็ น) อ. กรรม
นัน้ แล เป็ นกรรมอันบุคคลกระท�ำได้โดยยากอย่างยิ่ ง
(ย่อมเป็ น) ดังนี ้
ทรงเปล่งแล้ ว ซึง่ อุทาน นี ้ อีก ว่า อิมํ คาถํ วตฺวา ปุน อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ
อ. ความดี เป็ นกรรมอันคนดีกระท�ำได้โดยง่าย (ย่อมเป็ น), “สุกรํ สาธุนา สาธุ, สาธุ ปาเปน ทุกฺกรํ ;
อ. ความดี เป็ นกรรมอันคนชัว่ กระท�ำได้โดยยาก (ย่อมเป็ น),
อ.ความชัว่ เป็ นกรรมอันคนชัว่ กระท�ำได้โดยง่าย(ย่อมเป็ น), ปาปํ ปาเปน สุกรํ , ปาปมริ เยหิ ทุกฺกรนฺติ.
อ.ความชัว่ เป็ นกรรมอันพระอริ ยเจ้า ท. กระท�ำได้โดยยาก
(ย่อมเป็ น) ดังนี ้ ฯ
ครัง้ นันแล
้ อ. พระเทวทัต นัง่ แล้ ว ณ ที่สดุ แห่งหนึง่ กับ อถโข เทวทตฺโต อุโปสถทิวเส อตฺตโน ปริ สาย
ด้ วยบริ ษัท ของตนในวันเป็ นที่รักษาซึง่ อุโบสถ กล่าวแล้ ว ว่า สทฺธึ เอกมนฺตํ นิสีทิตฺวา “ยสฺสมิ านิ ปฺจ วตฺถนู ิ
อ. วัตถุ ท. ๕ เหล่านี ้ ย่อมชอบใจ แก่ภิกษุใด, อ. ภิกษุนนั ้ จงถือเอา ขมนฺต,ิ โส สลากํ คณฺหตูติ วตฺวา, ปฺจสเตหิ
ซึง่ สลาก ดังนี ้, ครัน้ เมื่อสลาก (อันภิกษุ ท.) ผู้ไม่ร้ ูซงึ่ พระธรรมและ วชฺชีปตุ ฺตเกหิ นวเกหิ อปฺปกตฺูหิ สลากาย
พระวินยั อันอันพระศาสดาทรงกระท�ำทัว่ แล้ ว ผู้ใหม่ ผู้เป็ นโอรส คหิตาย, สงฺฆํ ภินฺทิตฺวา เต ภิกฺขู อาทาย
ของเจ้ าวัชชี ผู้มีร้อยห้ าเป็ นประมาณ จับแล้ ว ท�ำลายแล้ ว ซึง่ สงฆ์ คยาสีสํ อคมาสิ.
พาเอา ซึง่ ภิกษุ ท. เหล่านัน้ ได้ ไปแล้ ว สูป่ ระเทศชื่อว่าคยาสีสะ ฯ
อ. พระศาสดา ทรงสดับแล้ ว ซึง่ ความที่แห่งพระเทวทัตนัน้ ตสฺส ตตฺถ คตภาวํ สุตฺวา สตฺถา เตสํ ภิกฺขนู ํ
เป็ นผู้ไปแล้ ว ในที่นนั ้ ทรงส่งไปแล้ ว ซึง่ พระอัครสาวก ท. ๒ อานยตฺถาย เทฺว อคฺคสาวเก เปเสสิ. เต ตตฺถ
เพือ่ ประโยชน์แก่การน�ำมา ซึง่ ภิกษุ ท. เหล่านัน้ ฯ อ. พระอัครสาวก ท. ๒ คนฺตฺวา อาเทสนาปาฏิหาริ ยานุสาสนิยา จ
เหล่านัน้ ไปแล้ ว ในที่นนั ้ พร�่ ำสอนอยู่ ด้ วยการพร�่ ำสอนด้วย อิทฺธิปาฏิหาริ ยานุสาสนิยา จ อนุสาสนฺตา เต
อาเทสนาปาฏิหาริยด์ ้วย ด้วยการพร�ำ่ สอนด้วยอิทธิปาฏิหาริยด์ ้วย อมตํ ปาเยตฺวา อาทาย อากาเสนาคมึส.ุ
(ยังภิกษุ ท.) เหล่านัน้ ให้ ดื่มแล้ ว ซึง่ อมตะ พาเอามาแล้ ว
โดยอากาศ ฯ
แม้ อ.ภิ ก ษุ ชื่ อ ว่ า โกกาลิ ก ะแล กล่ า วแล้ ว ว่ า โกกาลิโกปิ โข “อุฏฺเ€หิ อาวุโส เทวทตฺต,
แน่ะเทวทัต ผู้มีอายุ อ. ท่าน จงลุกขึ ้นเถิด, อ. ภิกษุ ท. เหล่านัน้ นีตา เต ภิกฺขู สารี ปตุ ฺตโมคฺคลฺลาเนหิ, นนุ ตฺวํ
อันพระสารี บตุ รและพระโมคคัลลานะ ท. น�ำไปแล้ ว, อ. ท่าน มยา วุตฺโต `มา อาวุโส สารี ปตุ ฺตโมคฺคลฺลาเนหิ
เป็ นผู้อนั เรา กล่าวแล้ว ว่า แน่ะท่านผู้มอี ายุ (อ. ท่าน) อย่าคุ้นเคยแล้ว วิสฺสาสิ; ปาปิ จฺฉา สารี ปตุ ฺตโมคฺคลฺลานา, ปาปิ กานํ
ด้ วยพระสารี บตุ รและพระโมคคัลลานะ ท. ; อ. พระสารี บตุ รและ อิจฺฉานํ วสงฺคตาติ วตฺวา ชนฺนเุ กน หทยมชฺเฌ
พระโมคคัลลานะ ท. มีความปรารถนาลามก, เป็ นผู้ไปแล้วสูอ่ ำ� นาจ ปหริ . ตสฺส ตตฺเถว อุณฺหํ โลหิตํ มุขโต อุคฺคฺฉิ.
แห่งความปรารถนา ท. อันลามก (ย่อมเป็ น) ดังนี ้ (ย่อมเป็ น) มิใช่หรือ
(ดังนี )้ ประหารแล้ ว ในท่ามกลางแห่งหทัย ด้ วยเข่า ฯ
อ. เลือด อันร้ อน พุ่งออกแล้ ว จากปาก ของพระเทวทัตนัน้
ในทีน่ นนั
ั ้ น่ เทียว ฯ
ก็ อ. ภิกษุ ท. เห็นแล้ว ซึง่ พระสารีบตุ ร ผู้มอี ายุ ผู้อนั หมูแ่ ห่งภิกษุ อายสฺมนฺตํ ปน สารี ปตุ ฺตํ ภิกฺขสุ งฺฆปริ วตุ ํ
แวดล้ อมแล้ ว ผู้มาอยู่ โดยอากาศ ทูลแล้ ว ว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ เู จริญ อากาเสนาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ภิกฺขู อาหํสุ “ภนฺเต
อ. พระสารีบตุ ร ผู้มอี ายุ ผู้มตี นเป็ นทีส่ องเทียว ไปแล้ว ในกาลเป็ นทีไ่ ป, อายสฺมา สารี ปตุ ฺโต คมนกาเล อตฺตทุตโิ ยว คโต,
ในกาลนี ้ (อ. พระสารี บตุ ร) ผู้มีบริ วารใหญ่ มาอยู่ ย่อมงาม ดังนี ้ ฯ อิทานิ มหาปริ วาโร อาคจฺฉนฺโต โสภตีต.ิ
อ. ความเจริ ญ ย่อมมี (แก่ชน ท.) ผูม้ ี ศีล ผูม้ ี ความประพฤติ “โหติ สีลวตํ อตฺโถ ปฏิ สนฺถารวุตฺตินํ.
ในปฏิ สนั ถาร ฯ (อ. ท่าน) จงดู ซึ่งเนือ้ ชื อ่ ว่าลักขณะ ผูม้ าอยู่ ลกฺขณํ ปสฺส อายนฺตํ าติ สงฺฆปุรกฺขิตํ,
ผูอ้ นั หมู่แห่งญาติ กระท�ำแล้วในเบื อ้ งหน้า, เออก็ (อ. ท่าน) อถ ปสฺสสิ มํ กาลํ สุวิหีนํว าติ ภีติ
ย่อมเห็น ซึ่งเนือ้ ชื อ่ ว่ากาละนี ้ ผูเ้ สือ่ มวิ เศษด้วยดีแล้ว
จากญาติ ท. เทียว ดังนี ้ ฯ
(ครัน้ เมื่อค�ำ) ว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ เู จริ ญ ได้ ยินว่า อ. พระเทวทัต อิทํ ชาตกํ กเถสิ. ปุน ภิกฺขหู ิ “ภนฺเต เทวทตฺโต
ยังสาวกผู้เลิศ ท. ๒ ให้นงั่ แล้ว ในข้าง ท. ทังสอง้ กระท�ำแล้ว กระท�ำตาม กิร เทฺว อคฺคสาวเก อุโภสุ ปสฺเสสุ นิสีทาเปตฺวา
ซึง่ พระองค์ ท. (ด้ วยความคิด) ว่า (อ. เรา) จักแสดง ซึง่ ธรรม `พุทฺธลีฬฺหาย ธมฺมํ เทเสสฺสามีติ ตุมหฺ ากํ อนุกิริยํ
ด้ วยอันเยื ้องกรายแห่งพระพุทธเจ้ า ดังนี ้ ดังนี ้ อันภิกษุ ท. กรี ติ วุตฺเต, “น ภิกฺขเว อิทาเนว; ปุพฺเพเปส มม
กราบทูลแล้ ว อีก, (อ. พระศาสดา) ตรัสแล้ ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อนุกิริยํ กาตุํ วายมิ, น ปน สกฺขีติ วตฺวา
(อ. เทวทัตนัน่ ย่อมพยายาม เพื่ออันกระท�ำ กระท�ำตาม ซึง่ เรา)
ในกาลนี ้นัน่ เทียว หามิได้ ; อ. เทวทัตนัน่ พยายามแล้ ว
เพือ่ อันกระท�ำ กระท�ำตาม ซึง่ เรา แม้ในกาลก่อน, แต่วา่ (อ. เทวทัตนัน่ )
ไม่อาจแล้ ว (เพื่ออันกระท�ำ กระท�ำตาม ซึง่ เรา) ดังนี ้ ตรัสแล้ ว
ซึง่ นทีจรกากชาดก ว่า
(อ. ภรรยาแห่งกาชื อ่ ว่าสวิ ฏฐกะ กล่าวแล้ว) ว่า แน่ะ “อปิ วีรก ปสฺเสสิ สกุณํ มฺชภุ าณกํ
กาชื อ่ ว่าวีรกะ (อ. ท่าน) ย่อมเห็น ซึ่งนก ผูร้ ้องเพราะ
ผูม้ ี สร้อยคอเพียงดังสร้อยคอแห่งนกยูงชื อ่ ว่าสวิ ฏฐกะ มยุรคีวสงฺกาสํ ปตึ มยฺหํ สวิ ฏฺ€กํ?
ผูเ้ ป็ นผัว ของเรา บ้างหรื อ ? (ดังนี)้
ทรงปรารภ ซึง่ วาจาเป็ นเครื่ องกล่าว มีอย่างนันเป็ ้ นรูปนัน่ นทีจรกากชาตกํ กเถตฺวา, อปเรสุปิ ทิวเสสุ
เทียว ในวัน ท. แม้ เหล่าอื่นอีก ตรัสแล้ ว ซึง่ ชาดก ท. มีค�ำอย่างนี ้ว่า ตถารูปิเมว กถํ อารพฺภ
(อ. นกกระไน) นี ้ เมื อ่ เจาะ ซึ่งหมู่ไม้อนั ตัง้ ในป่ า ท. “อจาริ วตายํ วิ ตทุ ํ วนานิ
ได้เทีย่ วไปแล้วหนอ ในต้นไม้ อันเป็ นส่วนแห่งฟื น ท. กฏฺ€งฺครุกฺเขสุ อสารเกสุ,
อันมี แก่นหามิ ได้, ครัง้ นัน้ อ. นกกระไน ได้ท�ำลายแล้ว อถาสทา ขทิ รํ ชาตสารํ ,
ซึ่งอวัยวะอันสูงสุด ทีไ่ ม้ตะเคียนใด (อ. นกกระไนนี)้ ยตฺถาภิ ทา ครุโฬ อุตฺตมงฺคนฺติ จ
มาถึงแล้ว ซึ่งไม้ตะเคียน (นัน้ ) อันมี แก่นเกิ ดแล้ว ดังนี ้ ด้วย,
ว่า อ. ไขข้อ ของท่าน ไหลออกแล้ว ด้วย, อ. กระหม่อม ลสี จ เต นิ ปผฺ ลิ ตา, มตฺถโก จ วิ ทาลิ โต,
(ของท่าน อันช้างตัวประเสริ ฐ) ท�ำลายแล้ว ด้วย, อ. ซี ่โครง ท. สพฺพา เต ผาสุกา ภคฺคา, ทานิ สมฺม วิ โรจสีติ
ทัง้ ปวง ของท่าน (อันช้างตัวประเสริ ฐ) หักแล้ว, แน่ะสหาย
(อ. ท่าน) ย่อมงามวิ เศษ ในกาลนี ้ ดังนี ้ ด้วย เป็ นต้น ฯ เอวมาทีนิ ชาตกานิ กเถสิ.
อ. ก�ำลังใด ของเรา ท. สิ ได้มีแล้วเทียว, (อ. เรา ท.) “อกรมฺหา ว เต กิ จฺจํ, ยํ พลํ อหุวมฺห เส;
ได้กระท�ำแล้วเทียว ซึ่งกิ จ ของท่าน (ด้วยก�ำลังนัน้ ), มิ คราช นโม ตฺยตฺถ;ุ อปิ กิ ฺจิ ลภามฺห เส.
ข้าแต่เนือ้ ผูพ้ ระราชา อ. ความนอบน้อม จงมี แก่ท่าน, มม โลหิ ตภกฺขสฺส นิ จฺจํ ลุทฺทานิ กุพพฺ โต
(อ. เรา ท.) ย่อมได้สิ ซึ่งอะไร ๆ บ้างหรื อ ? (อ. ท่าน) ทนฺตนฺตรคโต สนฺโต ตํ พฺหํ,ุ ยํปิ ชี วสีติ
เป็ นผูไ้ ปแล้วในระหว่างแห่งฟั น ของเรา ผูม้ ี เลือดเป็ นภักษา
ผูก้ ระท�ำอยู่ ซึ่งกรรมอันชัว่ ร้าย ท. เนืองนิ ตย์ เป็ นอยู่
ย่อมเป็ นอยู่ได้ แม้ ใด, (อ. ความเป็ นอยู่ แห่งท่าน) นัน้
เป็ นบุญมาก (ภูตํ เป็ นแล้ว) ดังนีเ้ ป็ นต้น ฯ
แน่ะไม้ระรื ่น อ. ท่าน ย่อมโปรย ใด, อ. กรรมนี ้ เกิ ดแล้ว “าตเมตํ กุรุงฺคสฺส ยํ ตฺวํ เสปณฺณิ เสยฺยสิ ;
แก่กวาง อ. เรา จะไป สู่ไม้ระรื ่น ต้นอืน่ , (เพราะว่า) อ. ผล
ของท่าน อันเรา ย่อมไม่ชอบใจ ดังนีเ้ ป็ นต้น ฯ อฺํ เสปณฺณึ คจฺฉามิ , น เม เต รุจฺจเต ผลนฺติ
ครันเมื
้ อ่ วาจาเป็ นเครื่องกล่าว ท. ว่า อ. พระเทวทัต เสือ่ มรอบแล้ว ปุน “อุภโต ปริหโี น เทวทตฺโต ลาภสกฺการโต จ
จากผลทังสอง ้ คือจากลาภและสักการะด้ วย คือ จากคุณเครื่ อง สามฺ โต จาติ กถาสุ ปวตฺ ต มานาสุ ,
ความเป็ นแห่งสมณะด้ วย ดังนี ้ เป็ นไปทัว่ อยู่ อีก, (อ. พระศาสดา) “น ภิกฺขเว อิทาเนว, ปุพฺเพปิ ปริ หีโนเยวาติ วตฺวา
ตรัสแล้ ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. (อ. เทวทัต) (ย่อมเสื่อมรอบ) ในกาลนี ้
นัน่ เทียว หามิได้, (อ. เทวทัต) เสือ่ มรอบแล้วนัน่ เทียว แม้ในกาลก่อน
ดังนี ้ ตรัสแล้ ว ซึง่ ชาดก ท. มีค�ำว่า
อ. นัยน์ตา ท. แตกแล้วด้วย, อ. แผ่นผ้า ฉิ บหายแล้วด้วย, “อกฺขี ภิ นนฺ า, ปโฏ นฏฺโ€, สขี เคเห จ ภณฺฑนํ,
อ. ความแตกร้าว ( อันภรรยา ของท่าน กระท�ำแล้ว )
ในเรื อนของเพือ่ นหญิ ง ด้วย, (อ.เมี ยและผัว ท. ๒ เหล่านัน้ ) อุภโต ปทุฏฺ€กมฺมนฺตา อุทกมฺหิ ถลมฺหิ จาติ
เป็ นผูม้ ี การงานอันโทษประทุษร้ายแล้ว (ย่อมเป็ น) (ในทาง)
ทัง้ สอง คือในทางน�้ำด้วย คือในทางบกด้วย ดังนีเ้ ป็ นต้น ฯ
แม้ อ. พระเทวทัตแล เป็ นไข้ (เป็ น) สิ ้นเดือน ท. ๙, เป็ นผู้ใคร่ เทวทตฺโตปิ โข นว มาเส คิลาโน, ปจฺฉิเม กาเล
เพื่ออันเฝ้า ซึง่ พระศาสดา ในกาล อันมีในภายหลัง เป็ น กล่าวแล้ ว สตฺถารํ ทฏฺ€ุกาโม หุตฺวา อตฺตโน สาวเก “อหํ
กะสาวก ท. ของตน ว่า อ. เรา เป็ นผู้ใคร่เพื่ออันเฝ้า ซึง่ พระศาสดา สตฺถารํ ทฏฺ€ุกาโม, ตํ เม ทสฺเสถาติ วตฺวา, เตหิ
(ย่อมเป็ น), อ. ท่าน ท. ขอจงแสดง ซึง่ พระศาสดานัน้ แก่เรา ดังนี ้, “ตฺวํ สมตฺถกาเล สตฺถารา สทฺธึ เวรี หุตฺวา อจริ ,
(ครัน้ เมื่อค�ำ) ว่า อ. ท่าน เป็ นผู้มีเวร กับ ด้ วยพระศาสดา เป็ น น มยํ ตํ ตตฺถ เนสฺสามาติ วุตฺเต, “มา มํ นาเสถ,
ได้ เที่ยวไปแล้ ว ในกาลแห่งตนเป็ นผู้สามารถ, อ. เรา ท. จักไม่น�ำไป มยา สตฺถริ อาฆาโต กโต, สตฺถุ ปน มยิ
ซึง่ ท่าน ในทีน่ นั ้ ดังนี ้ (อันสาวก ท.) เหล่านัน้ กล่าวแล้ว, (กล่าวแล้ว) เกสคฺคมตฺโตปิ อาฆาโต นตฺถีต.ิ
ว่า (อ. ท่าน ท.) ขอจงอย่ายังเราให้ ฉิบหาย, อ. ความอาฆาต
ในพระศาสดา อันเรา กระท�ำแล้ ว, แต่วา่ อ. ความอาฆาต ในเรา
แม้ มีปลายแห่งผมเป็ นประมาณ ย่อมไม่มี แก่พระศาสดา ดังนี ้ ฯ
เป็ นผูม้ ี พระทัยอันเสมอ (ในชน ท.) ทัง้ ปวง คือ ในนายขมังธนู วธเก เทวทตฺตมฺหิ โจเร องฺคลุ ิ มาลเก
ด้วย คือ ในพระเทวทัตด้วย คือ ในโจร ชื อ่ ว่าองคุลีมาลด้วย ธนปาเล ราหุเล จ สพฺพตฺถ สมมานโสติ
คือ ในช้างชื อ่ ว่าธนบาลด้วย คือ ในพระกุมารพระนามว่าราหุล
ด้วย (ย่อมเป็ น) เหตุใด เพาะเหตุนนั้
(อ. พระเทวทัต) อ้ อนวอนแล้ ว บ่อย ๆ ว่า (อ. ท่าน ท.) ขอจงแสดง “ทสฺเสถ เม ภควนฺตนฺติ ปุนปฺปนุ ํ ยาจิ.
ซึง่ พระผู้มีพระภาคเจ้ า แก่เรา ดังนี ้ ฯ
ครัง้ นัน้ (อ. ภิกษุ ท.) เหล่านัน้ พาเอา ซึง่ พระเทวทัตนัน้ อถ นํ เต มญฺ จ เกนาทาย นิ กฺ ข มึ สุ .
ด้ วยเตียงน้ อย ออกไปแล้ ว ฯ อ. ภิกษุ ท. ฟั งแล้ ว ซึง่ การมา ตสฺสาคมนํ สุตฺวา ภิกฺขู สตฺถุ อาโรเจสุํ “ภนฺเต
แห่งพระเทวทัตนัน้ กราบทูลแล้ ว แก่พระศาสดา ว่า ข้ าแต่พระองค์ เทวทตฺโต กิร ตุมหฺ ากํ ทสฺสนตฺถาย อาคจฺฉตีติ.
ผู้เจริ ญ ได้ ยินว่า อ. พระเทวทัต ย่อมมา เพื่อประโยชน์แก่การเฝ้า
ซึง่ พระองค์ ท. ดังนี ้ ฯ
(อ. พระศาสดา ตรัสแล้ ว) ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. เทวทัตนัน้ “น ภิกฺขเว โส เตนตฺตภาเวน มํ ปสฺสติ ํุ
จักได้ เพื่ออันเห็น ซึง่ เรา ด้ วยอัตภาพนัน้ หามิได้ ดังนี ้ ได้ ยินว่า ลภิสสฺ ตีต.ิ ภิกขฺ ู กิร ปญฺ จนฺนํ วตฺถนู ํ อายาจิตกาลโต
อ. ภิกษุ ท. ย่อมไม่ได้ เพือ่ อันเฝ้า ซึง่ พระพุทธเจ้า ท. อีก จ�ำเดิม แต่กาล ปฏฺ€าย ปุน พุทฺเธ ทฏฺ€ุํ น ลภนฺต,ิ อยํ ธมฺมตา.
แห่งวัตถุ ท. ๕ เป็ นเรื่ องอันตนทูลขอยิ่งแล้ ว อ. ความเป็ นคืออันไม่
ได้ นี ้ เป็ นธรรมดา (ย่อมเป็ น) ฯ
(อ. ภิกษุ ท.) ทูลแล้ ว ว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ เู จริญ (อ. พระเทวทัต) “อสุกฏฺ€านญฺ จ อสุกฏฺ€านญฺ จ อาคโต ภนฺเตติ
มาแล้ ว สูท่ ี่โน้ นด้ วย สูท่ ี่โน้ นด้ วย ดังนี ้ ฯ อาหํส.ุ
(อ. พระศาสดา ตรัสแล้ ว) ว่า (อ. เทวทัต) ย่อมปรารถนา “ยํ อิจฺฉติ, ตํ กโรตุ; น โส มํ ปสฺสติ ํุ
ซึง่ กรรมใด, (อ. เทวทัต) จงกระท�ำ ซึง่ กรรมนัน;้ (เพราะว่า) ลภิสฺสตีต.ิ
อ. เทวทัตนัน้ จักไม่ได้ เพื่ออันเห็น ซึง่ เรา ดังนี ้ ฯ
(อ. ภิกษุ ท. ทูลแล้ ว) ว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ เู จริญ (อ. พระเทวทัต) “ภนฺเต อิโต โยชนมตฺตํ อาคโต, อฑฺฒโยชนํ,
มาแล้ ว (สูท่ )ี่ มีโยชน์เป็ นประมาณ จากทีน่ ี ้, (อ. พระเทวทัต มาแล้ ว) คาวุตํ, โปกฺขรณีสมีปํ อาคโต ภนฺเตติ.
สูโ่ ยชน์ด้วยทังกึ้ ง่ (จากที่นี ้), (อ. พระเทวทัต มาแล้ ว) สูค่ าวุต
(จากที่นี ้), ข้ าแต่พระองค์ผ้ เู จริ ญ (อ. พระเทวทัต) มาแล้ ว
สูท่ ี่ใกล้ แห่งสระโบกขรณี ดังนี ้ ฯ
(อ. ภิกษุ ท.) ผู้พาเอา ซึง่ พระเทวทัต มาแล้ ว ยังเตียงน้ อย เทวทตฺตํ คเหตฺวา อาคตา เชตวนโปกฺขรณีตีเร
ให้ ข้ามลงแล้ ว ที่ฝั่งแห่งสระโบกขรณีใกล้ พระเชตวัน ข้ ามลงแล้ ว มฺจํ โอตาเรตฺวา โปกฺขรณิยํ นหายิตํุ โอตรึส.ุ
เพื่ออันอาบ ในสระโบกขรณี ฯ แม้ อ. พระเทวทัต แล ลุกขึ ้นแล้ ว เทวทตฺโตปิ โข มฺจโต อุฏฺ€าย อุโภ ปาเท ภูมิยํ
จากเตียงน้ อย นัง่ วางแล้ ว ซึง่ เท้ า ท. ทังสอง ้ บนภาคพื ้น ฯ €เปตฺวา นิสีทิ. เต ป€วึ ปวิสสึ .ุ
อ. เท้ า ท. เหล่านัน้ เข้ าไปแล้ ว สูแ่ ผ่นดิน ฯ
อ. พระเทวทัตนัน้ เข้ าไปแล้ ว (สูแ่ ผ่นดิน) เพียงใด แต่ข้อเท้ า โส อนุกฺกเมน ยาว โคปฺผกา ยาว ชนฺนกุ า
เพียงใด แต่เข่า เพียงใด แต่สะเอว เพียงใด แต่นม เพียงใด แต่คอ ยาว กฏิโต ยาว ถนโต ยาว คีวโต ปวิสติ ฺวา
โดยล�ำดับ กล่าวแล้ ว ซึง่ คาถา ในกาลแห่งกระดูกแห่งคาง หนุกฏฺ€ิกสฺส ภูมิยํ ปติฏฺ€ิตกาเล คาถมาห
ตังอยู
้ เ่ ฉพาะแล้ ว บนแผ่นดิน ว่า
(อ. เรา) เป็ นผูถ้ ึงแล้ว ซึ่งพระพุทธเจ้านัน้ ผูท้ รงเป็ นบุคคลผูเ้ ลิ ศ “อิ เมหิ อฏฺ€ีหิ ตมคฺคปุคฺคลํ
ผูเ้ ป็ นเทพยิ่ งกว่าเทพ ผูย้ งั นระอันพระองค์พึงฝึ กให้แล่นไป เทวาติ เทวํ นรทมฺมสารถึ
ผูม้ ีพระจักษุรอบคอบ ผูม้ ีพระลักษณะบังเกิดแล้วด้วยบุญร้อยหนึง่ สมนฺตจกฺขํ ุ สตปฺุลกฺขณํ
ว่าเป็ นสรณะ ด้วยกระดูก ท. เหล่านี ้ (กับ) ด้วยลมปราณ ท. ปาเณหิ พุทฺธํ สรณํ คโตสฺมีติ.
ย่อมเป็ น ดังนี ้ ฯ
ได้ ยินว่า อ. พระตถาคตเจ้ า ทรงเห็นแล้ ว ซึ่งฐานะ นี ้ อิทํ กิร €านํ ทิสวฺ า ตถาคโต เทวทตฺตํ ปพฺพาเชสิ.
ทรงยังพระเทวทัต ให้ บวชแล้ ว ฯ ก็ ถ้ าว่า อ. พระเทวทัตนัน้ สเจ หิ โส น ปพฺพชิสสฺ ; คิหี หุตฺวา กมฺมํ ภาริ ยํ
จักไม่บวชแล้วไซร้ ; (อ. พระเทวทัต) เป็ นคฤหัสถ์ เป็ น จักได้กระท�ำแล้ว อกริ สฺส, อายตึ ภวสฺส ปจฺจยํ กาตุํ นาสกฺขิสฺส;
ซึง่ กรรม ให้ เป็ นกรรมหนัก , จักไม่ได้ อาจแล้ ว เพื่ออันกระท�ำ ปพฺพชิตฺวา จ ปน, กิฺจาปิ กมฺมํ ภาริ ยํ กริ สฺสติ,
ซึง่ ปั จจัย แห่งภพ ต่อไป ; ก็แล (อ. พระเทวทัต) ครัน้ บวชแล้ ว, อายตึ ภวสฺส ปจฺจยํ กาตุํ สกฺขิสฺสตีติ นํ สตฺถา
จักกระท�ำ ซึง่ กรรม ให้ เป็ นกรรมหนัก แม้ โดยแท้ , ถึงอย่างนัน้ ปพฺพาเชสิ.
(อ. พระเทวทัต) จักอาจ เพื่ออันกระท�ำ ซึง่ ปั จจัย แห่งภพ ต่อไป
เพราะเหตุนนั ้ (อ. พระศาสดา) ทรงยังพระเทวทัตนัน้ ให้ บวชแล้ ว ฯ
อ. พระเทวทัตนัน้ เข้ าไปแล้ ว สูแ่ ผ่นดิน บังเกิดแล้ ว ในนรก โส ป€วึ ปวิสติ ฺวา อวีจิมหฺ ิ นิพฺพตฺต.ิ
ชื่อว่าอเวจี ฯ ก็ (อ. พระเทวทัต) เป็ นผู้มีอนั ไหวออกแล้ วเทียว นิจฺจเล พุทฺเธ อปรทฺธภาเวน ปน นิจฺจโลว
เป็ น (อันไฟ) ไหม้ อยู่ เพราะความที่แห่งตนเป็ นผู้ผิดแล้ ว หุตฺวา ปจฺจติ.
ในพระพุทธเจ้ า ผู้ทรงมีอนั ไหวออกแล้ ว ฯ
อ. ภิกษุ ท. ยังวาจาเป็ นเครื่ องกล่าว ว่า อ. พระเทวทัต ภิกฺขู “เอตฺตกํ €านํ คนฺตฺวา เทวทตฺโต สตฺถารํ
ไปแล้ ว สูท่ ี่ มีประมาณเท่านี ้ ไม่ได้ แล้ ว เพื่ออันเฝ้า ซึง่ พระศาสดา ทฏฺ€ุํ อลภิตฺวาว ป€วึ ปวิฏฺโ€ติ กถํ สมุฏฺ€าเปสุํ.
เทียว เข้ าไปแล้ ว สูแ่ ผ่นดิน ดังนี ้ ให้ ตงขึ
ั ้ ้นพร้ อมแล้ ว ฯ
อ. พระศาสดา ตรัสแล้ ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. อ. เทวทัต ผิดแล้ ว สตฺถา “น ภิกฺขเว เทวทตฺโต อิทาเนว มยิ
ในเรา ได้ เข้ าไปแล้ ว สูแ่ ผ่นดิน ในกาลนี ้นัน่ เทียว หามิได้ , อปรชฺฌิตฺวา ป€วึ ปาวิส,ิ ปุพฺเพปิ ปวิฏฺโ€เยวาติ
(อ. เทวทัต) เข้ าไปแล้ ว (สูแ่ ผ่นดิน) นัน่ เทียว แม้ ในกาลก่อน ดังนี ้, วตฺวา, หตฺถริ าชกาเล มคฺคมุฬหฺ ํ ปุริสํ สมสฺสาเสตฺวา
ตรัสแล้ ว ซึง่ ชาดก นี ้ ว่า อตฺตโน ปิ ฏฺ€ึ อาโรเปตฺวา เขมนฺตํ ปาปิ ตสฺส เตน
ปุน ติกฺขตฺตํุ อาคนฺตฺวา `อคฺคฏฺ€าเน มชฺฌิมฏฺ€าเน
มูเลติ เอวํ ทนฺเต ฉินฺทิตฺวา ตติยวาเร มหาปุริสสฺส
จกฺขปุ ถํ อติกฺกมนฺตสฺส ตสฺส ป€วึ ปวิฏฺ€ภาวํ ทีเปตุํ
หากว่า (อ. บุคคล) พึงให้ ซึ่งแผ่นดิ น ทัง้ ปวง แก่บรุ ุษ “อกตฺุสฺส โปสสฺส นิ จฺจํ วิ วรทสฺสิโน
ผูไ้ ม่รู้ซึ่งคุณ อันบุคคลอืน่ กระท�ำแล้ว ผูเ้ ห็นซึ่งช่องโดยปกติ
เนืองนิ ตย์ไซร้ (อ. บุคคล นัน้ ) ไม่พึงยังบุรุษนัน้ ให้ยินดียิ่ง สพฺพฺเจ ป€วึ ทชฺชา เนว นํ อภิ ราธเยติ
นัน่ เทียว ดังนีเ้ ป็ นต้น
เพื่ออันทรงแสดง ซึง่ ความที่ (แห่งพระเทวทัต) นัน้ ผู้ (อันช้ าง อิ มํ ชาตกํ กเถตฺ ว า, ปุ น ปิ ตเถว กถาย
ผู้พระราชา) ยังบุรุษ ผู้หลงแล้ วในหนทาง ให้ เบาใจแล้ ว ยกขึ ้นแล้ ว สมุฏฺ€ิตาย, ขนฺตวิ าทิภเู ต อตฺตนิ อปรชฺฌิตฺวา
สูห่ ลัง ของตน ให้ ถงึ แล้ ว ซึง่ ที่อนั เกษม อันบุรุษนัน้ มาแล้ ว ตัดแล้ ว กลาพุราชภูตสฺส ตสฺส ป€วึ ปวิฏฺ€ภาวํ ทีเปตุํ
ซึง่ งา ท. อย่างนี ้ คือ ในทีป่ ลาย ในทีอ่ นั มีในท่ามกลาง ทีโ่ คน ๓ ครัง้ ขนฺตวิ าทิชาตกํ, จุลลฺ ธมฺมปาลภูเต อตฺตนิ อปรชฺฌติ วฺ า
อีก ก้ าวล่วงอยู่ ซึง่ คลองแห่งจักษุ ของพระมหาบุรุษ ในวาระที่ ๓ มหาปตาปราชภูตสฺส ตสฺส ป€วึ ปวิฏฺ€ภาวํ
เป็ นผู้เข้าไปแล้ว สูแ่ ผ่นดิน ในกาล (แห่งพระองค์) เป็ นช้างผู้พระราชา, ทีเปตุํ จุลฺลธมฺมปาลชาตกฺจ กเถสิ.
ครัน้ เมื่อวาจาเป็ นเครื่ องกล่าว ตังขึ ้ ้นพร้ อมแล้ ว อย่างนันนั
้ น่ เทียว
แม้ อีก, ตรัสแล้ ว ซึง่ ขันติวาทีชาดก เพื่ออันทรงแสดง ซึง่ ความที่
(แห่งพระเทวทัต) นัน้ ผู้เป็ นพระราชาพระนามว่ากลาพุเป็ นแล้ ว
ผิดแล้ ว ในพระองค์ ผู้เป็ นดาบสชื่ อว่าขันติวาทีเป็ นแล้ ว
เป็ นผู้เข้าไปแล้ว สูแ่ ผ่นดินด้วย, ซึง่ จุลธรรมบาลชาดก เพือ่ อันทรงแสดง
ซึง่ ความที่ (แห่งพระเทวทัต) นัน้ ผู้เป็ นพระราชาพระนามว่า
มหาปตาปะเป็ นแล้ ว ผิดแล้ ว ในพระองค์ ผู้เป็ นพระกุมาร
พระนามว่าจุลธรรมบาลเป็ นแล้ ว เป็ นผู้เข้ าไปแล้ ว สูแ่ ผ่นดินด้ วย ฯ
(อ.ภิกษุ ท.) กราบทูลแล้ว ซึง่ เนื ้อความนัน้ แก่พระผู้มพี ระภาคเจ้า ฯ ตมตฺถํ ภควโต อาโรเจสุํ.
อ. พระผู้มีพระภาคเจ้ า ตรัสแล้ ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. ครัน้ เมื่อ ภควา “น ภิกฺขเว อิทาเนว เทวทตฺเต มเต
เทวทัต ตายแล้ ว อ. มหาชน ย่อมยินดี ในกาลนี ้นัน่ เทียว หามิได้ , มหาชโน ตุสฺสติ, ปุพฺเพปิ ตุสฺสเิ ยวาติ วตฺวา,
(อ. มหาชน) ยินดีแล้ วนัน่ เทียว แม้ ในกาลก่อน ดังนี ้, ตรัสแล้ ว สพฺพชนสฺส อปฺปิเย จณฺเฑ ผรุเส พาราณสิยํ
ซึง่ ปิ งคลชาดก นี ้ ว่า ปิ งฺคลราเช นาม มเต มหาชนสฺส ตุฏฺ€ภาวํ ทีเปตุํ
(อ. พระโพธิสตั ว์ ตรัสถามแล้ว) ว่า อ. ชน ทัง้ ปวง อันพระเจ้าปิ งคละ “สพฺโพ ชโน หึสิโต ปิ งฺคเลน,
ทรงเบี ยดเบี ยนแล้ว,ครัน้ เมื อ่ พระเจ้าปิ งคละ นัน้ สวรรคตแล้ว, ตสฺมึ มเต, ปจฺจยํ เวทยนฺติ,
(อ. ชน ท.) ย่อมเสวย ซึ่งปี ติ , ( อ. พระเจ้าปิ งคละนัน้ ) ปิ โย นุ เต อาสิ อกณฺหเนตฺโต.
ผูม้ ีพระเนตรด�ำหามิได้ เป็ นผูเ้ ป็ นทีร่ กั ของท่าน เป็ นแล้วหรื อหนอ, กสฺมา ตุวํ โรทสิ ทฺวารปาล?
แน่ะนายทวารบาล อ. ท่าน ย่อมร้องไห้ เพราะเหตุอะไร? (ดังนี)้ น เม ปิ โย อาสิ อกณฺหเนตฺโต,
(อ. นายทวารบาล กราบทูลแล้ว) ว่า (อ. พระเจ้าปิ งคละ) ภายามิ ปจฺจาคมนาย ตสฺส,
ผูม้ ีพระเนตรด�ำหามิได้ เป็ นผูเ้ ป็ นทีร่ กั ของข้าพระองค์ เป็ นแล้ว อิ โต คโต หึเสยฺย มจฺจรุ าชํ,
หามิ ได้, (อ. ข้าพระองค์) ย่อมกลัว ต่อการเสด็จกลับมา โส หึสิโต อาเนยฺย นํ ปุน อิ ธาติ
แห่งพระเจ้าปิ งคละนัน้ , (ด้วยว่า) (อ.พระเจ้าปิ งคละนัน้ )
เสด็จไปแล้ว จากทีน่ ี ้ พึงทรงเบี ยดเบี ยน ซึ่งมัจจุผูพ้ ระราชา,
(อ. มัจจุผพู้ ระราชา) นัน้ (อันพระเจ้าปิ งคละ) ทรงเบียดเบียนแล้ว
พึงน�ำมา (ซึ่งพระเจ้าปิ งคละ) นัน้ ในทีน่ ี ้ อีก (ดังนี)้ ดังนีเ้ ป็ นต้น
อ. ภิกษุ ท. ทูลถามแล้ ว ซึง่ พระศาสดา ว่า ข้ าแต่พระองค์ ภิกฺขู สตฺถารํ ปุจฺฉึสุ “อิทานิ ภนฺเต เทวทตฺโต
ผู้เจริ ญ ในกาลนี ้ อ. พระเทวทัต บังเกิดแล้ ว ในที่ไหน ดังนี ้ ฯ กุหึ นิพฺพตฺโตติ.
(อ. ภิกษุ ท. ทูลถามแล้ ว) ว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ เู จริ ญ “ภนฺเต อิธ ตปฺปนฺโต วิจริ ตฺวา ปุน คนฺตฺวา
(อ. พระเทวทัต) เทีย่ วเดือดร้ อนอยูแ่ ล้ ว ในโลกนี ้ ไปแล้ ว บังเกิดแล้ ว ตปฺปนฏฺ€าเนเยว นิพฺพตฺโตติ.
ในที่เป็ นที่เดือดร้ อนอีกนัน่ เทียวหรื อ ดังนี ้ ฯ
(อ.อรรถ) ว่า ย่อมเดือดร้ อน (ด้ วยเหตุ) สักว่าความโทมนัส ตตฺถ “อิธ ตปฺปตีต:ิ อิธ กมฺมตปฺปเนน
ด้ วยความเดือดร้ อนเพราะกรรม ในโลกนี ้ (ดังนี ้) ในบท ท. โทมนสฺสมตฺเตน ตปฺปติ.
เหล่านันหนา้ (แห่งหมวดสองแห่งบท) ว่า อิธ ตปฺปติ ดังนี ้ ฯ
(อ.อรรถ) ว่า ส่วนว่า (อ.บุคคลผู้กระท�ำซึง่ กรรมอันลามก เปจฺจาติ: ปรโลเก ปน วิปากตปฺปเนน
โดยปกติ) ย่อมเดือดร้ อน เพราะทุกข์ในอบาย อันทารุณยิ่ง อติทารุเณน อปายทุกฺเขน ตปฺปติ.
ด้ วยความเดือดร้ อนเพราะวิบาก ในโลกอื่น (ดังนี ้) (แห่งบท)
ว่า เปจฺจ ดังนี ้ ฯ
(อ.อรรถ) ว่า ผู้กระท�ำ ซึง่ กรรมอันลามก มีประการต่างๆ ปาปการี ต:ิ นานปฺปการสฺส ปาปสฺส กตฺตา.
(ดังนี ้) (แห่งบท) ว่า ปาปการี ดังนี ้ ฯ
(อ.อรรถ) ว่า ชือ่ ว่าย่อมเดือดร้ อน ในโลกทังสอง
้ ด้วยความเดือดร้ อน อุภยตฺถาติ: อิมินา วุตฺตปฺปกาเรน ตปฺปเนน
มีประการอันข้ าพเจ้ ากล่าวแล้ ว นี ้ (ดังนี ้) (แห่งบท) ว่า อุภยตฺถ อุภยตฺถ ตปฺปติ นาม.
ดังนี ้ ฯ
ในกาลเป็ นที่สดุ ลงรอบแห่งพระคาถา (อ. ชน ท.) มาก คาถาปริ โยสาเน พหู โสตาปนฺนาทโย อเหสุํ.
เป็ นพระอริ ยบุคคลมีพระโสดาบัน เป็ นต้ น ได้ เป็ นแล้ ว ฯ
อ. เทศนา เป็ นเทศนาเป็ นไปกับด้ วยวาจามีประโยชน์ เกิดแล้ ว เทสนา มหาชนสฺ ส สาตฺ ถิ ก า ชาตาติ .
แก่มหาชน ดังนี ้แล ฯ
อ. พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ในพระเชตวัน ทรงปรารภ “อิธ นนฺทติ, เปจฺจ นนฺทตีติ อิมํ ธมฺมเทสนํ
ซึง่ หญิงชื่อว่าสุมนาเทวี ตรัสแล้ ว ซึง่ พระธรรมเทศนา นี ้ ว่า สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต สุมนาเทวึ อารพฺภ กเถสิ.
อิธ นนฺทติ เปจฺจ นนฺทติ ดังนี ้เป็ นต้ น ฯ
ดังจะกล่าวโดยพิสดาร อ. พันแห่งภิกษุ ท. ๒ ย่อมฉัน สาวตฺถิยํ หิ เทวสิกํ อนาถปิ ณฺฑิกสฺส เคเห
ในเรือน ของเศรษฐีชอื่ ว่า อนาถบิณฑิกะ ในเมืองชือ่ ว่าสาวัตถี เทฺว ภิกฺขสุ หสฺสานิ ภฺุชนฺต,ิ ตถา วิสาขาย
ทุก ๆ วัน, อ. อย่างนัน้ คือว่า (อ. พันแห่งภิกษุ ท. ๒ ย่อมฉัน ในเรือน) มหาอุปาสิกาย.
ของนางวิสาขา ผู้มหาอุบาสิกา (ทุก ๆ วัน) ฯ
ก็ อ. บุคคล ใด ๆ ในเมืองชื่อว่าสาวัตถี เป็ นผู้ใคร่เพื่ออันถวาย สาวตฺถิยฺจ โย โย ทานํ ทาตุกาโม โหติ;
ซึง่ ทาน ย่อมเป็ น ; อ. บุคคลนัน้ ๆ ได้ แล้ ว ซึง่ โอกาส แห่งชน ท. โส โส เตสํ อุภินฺนํ โอกาสํ ลภิตฺวาว กโรติ.
ทังสองเหล่
้ านันเที
้ ยว ย่อมกระท�ำได้ ฯ
(อ. อันถาม ว่า อ. บุคคล นัน้ ๆ ได้ แล้ ว ซึง่ โอกาส แห่งชน ท. “กึการณาติ. “ตุมหฺ ากํ ทานคฺคํ อนาถปิ ณฺฑิโก
ทังสองเหล่
้ านันเที
้ ยว ย่อมกระท�ำได้ ) เพราะเหตุอะไร ดังนี ้ ฯ วา วิสาขา วา อาคตาติ ปุจฺฉิตฺวา, “นาคตาติ
(อ. อันแก้ ) ว่า (เพราะว่า อ. ชน ท.) ถามแล้ ว ว่า อ. เศรษฐี ชื่อว่า วุตฺเต, สตสหสฺสํ วิสฺสชฺ เชตฺวา กตทานมฺปิ
อนาถบิณฑิกะหรื อ หรื อว่า อ. นางวิสาขา มาแล้ ว สูโ่ รงแห่งทาน “กึ ทานํ นาเมตนฺติ ครหนฺต.ิ
ของท่าน ท. หรือ ดังนี ้, (ครันเมื
้ อ่ ค�ำ) ว่า (อ. เศรษฐีชอื่ ว่าอนาถบิณฑิกะ
หรื อ หรื อว่า อ. นางวิสาขา) ไม่มาแล้ ว (สูโ่ รงแห่งทาน ของเรา ท.)
ดังนี ้ (อันมหาชนนัน) ้ กล่าวแล้ ว, ย่อมติเตียน แม้ ซงึ่ ทานอันบุคคล
สละแล้ ว ซึง่ แสนแห่งทรัพย์ กระท�ำแล้ ว ว่า ชื่อ อ. ทานนัน่ อะไร
ดังนี ้ (ดังนี ้) ฯ
เพราะว่า (อ. ชน ท.) เหล่านัน้ แม้ ทงสองั ้ ย่อมรู้ ซึง่ ความชอบใจ อุโภปิ หิ เต ภิกขฺ สุ งฺฆสฺส รุจ
ิ จฺ อนุจฉฺ วิกกิจจฺ านิ
แห่งหมูแ่ ห่งภิกษุด้วย ซึง่ กิจอันสมควร ท. (แก่หมูแ่ ห่งภิกษุ) ด้ วย ฯ จ ชานนฺต.ิ เตสุ วิหรนฺเตสุ, ภิกฺขู จิตฺตานุรูปเมว
(ครัน้ เมื่อชน ท. ๒) เหล่านัน้ อยูอ่ ยู,่ อ. ภิกษุ ท. ย่อมฉัน ตามสมควร ภฺุชนฺต.ิ ตสฺมา สพฺเพ ทานํ ทาตุกามา เต
แก่จิตนั่นเทียว ฯ เพราะเหตุนัน้ (อ. ชน ท.) ทัง้ ปวง คเหตฺวา คจฺฉนฺต.ิ อิติ เต อตฺตโน ฆเร ภิกฺขู ปริ
ผู้ใคร่เพื่ออันถวาย ซึง่ ทาน พาเอา (ซึง่ ชน ท. ๒) เหล่านัน้ ย่อมไป ฯ วิสติ ํุ น ลภนฺต.ิ
(อ. ชน ท. ๒) เหล่านัน้ ย่อมไม่ได้ เพื่ออันอังคาส ซึง่ ภิกษุ ท.
ในเรื อน ของตน ด้ วยประการฉะนี ้ ฯ
ในล�ำดับนัน้ อ. นางวิสาขา ใคร่ครวญอยู่ ว่า อ. ใครหนอแล ตโต วิสาขา “โก นุ โข มม €าเน €ตฺวา
ตังอยู
้ แ่ ล้ ว ในฐานะ ของเรา จักอังคาส ซึง่ หมูแ่ ห่งภิกษุ ดังนี ้ ภิกฺขสุ งฺฆํ ปริ วิสสิ ฺสตีติ อุปธาเรนฺตี ปุตฺตสฺส ธีตรํ
เห็นแล้ ว ซึง่ ธิดา ของบุตร ตังไว้้ แล้ ว ในฐานะ ของตน ฯ อ. ธิดานัน้ ทิสฺวา ตํ อตฺตโน €าเน €เปสิ. สา ตสฺสา นิเวสเน
ย่อมอังคาส ซึง่ หมูแ่ ห่งภิกษุ ในที่เป็ นที่อยู่ ของนางวิสาขานัน้ ฯ ภิกฺขสุ งฺฆํ ปริ วิสติ. อนาถปิ ณฺฑิโกปิ มหาสุภทฺทํ
แม้ อ. เศรษฐี ชื่อว่าอนาถบิณฑิกะ ตังไว้ ้ แล้ ว ซึง่ ธิดาผู้เจริ ญ ที่สดุ นาม เชฏฺ€ธีตรํ €เปสิ. สา หิ ภิกฺขนู ํ เวยฺยาวจฺจํ
ชื่อว่า มหาสุภทั ทา ฯ ก็ อ. นางมหาสุภทั ทานัน้ กระท�ำอยู่ กโรนฺตี ธมฺมํ สุณนฺตี โสตาปนฺนา หุตฺวา ปติกลุ ํ
ซึง่ ความขวนขวาย แก่ภิกษุ ท. ฟั งอยู่ ซึง่ ธรรม เป็ นพระโสดาบัน อคมาสิ. ตโต จุลฺลสุภทฺทํ €เปสิ. สาปิ ตเถว
เป็ น ได้ ไปแล้ ว สูต่ ระกูลแห่งผัว ฯ ในล�ำดับนัน้ (อ. เศรษฐี กโรนฺตี โสตาปนฺนา หุตฺวา ปติกลุ ํ คตา.
ชื่ อว่าอนาถบิณฑิกะ) ตัง้ ไว้ แล้ ว ซึ่งนางจุลลสุภัททา ฯ
อ.นางจุลลสุภทั ทาแม้นนั ้ กระท�ำอยู่ อย่างนันนั ้ น่ เทียว เป็ นพระโสดาบัน
เป็ น ไปแล้ ว สูต่ ระกูลแห่งผัว ฯ
ครัง้ นัน้ (อ. เศรษฐี ชื่อว่าอนาถบิณฑิกะ) ตังไว้ ้ แล้ ว ซึง่ ธิดาผู้ อถ สุมนาเทวึ นาม กนิฏฺ€ธีตรํ €เปสิ.
น้ อยที่สดุ ชื่อว่าสุมนาเทวี ฯ ก็ อ. นางสุมนาเทวีนนั ้ ฟั งแล้ ว สา ปน ธมฺมํ สุตฺวา สกทาคามิผลํ ปตฺวา,
ซึง่ ธรรม บรรลุแล้ ว ซึง่ สกทาคามิผล , เป็ นกุมาริ กา เทียว กุมาริ กาว หุตฺวา ตถารูเปน อผาสุเกน อาตุรา
เป็ นผู้กระสับกระส่าย เพราะความไม่ส�ำราญ มีอย่างนันเป็ ้ นรูป อาหารุปจฺเฉทํ กตฺวา ปิ ตรํ ทฏฺ€ุกามา หุตฺวา
เป็ น กระท�ำแล้ ว ซึง่ การเข้ าไปตัดซึง่ อาหาร เป็ นผู้ใคร่เพื่ออันเห็น ปกฺโกสาเปสิ.
ซึง่ บิดา เป็ น (ยังบุคคล) ให้ ร้องเรี ยกแล้ ว ฯ
ส่วนว่า (อ. ภิกษุ) นอกนี ้ (คิดแล้ ว) ว่า อ. เรา ยังคันถธุระ อิตโร ปน “อหํ คนฺถธุรํ ปูเรสฺสามีติ อนุกกฺ เมน
จักให้เต็ม ดังนี ้ เรียนเอาแล้ว ซึง่ พระพุทธพจน์ คือประชุมแห่งปิ ฎกสาม เตปิ ฏกํ พุทฺธวจนํ อุคฺคณฺหิตฺวา คตคตฏฺ€าเน
โดยล�ำดับ ย่อมกล่าว ซึง่ ธรรม, ย่อมกล่าว กล่าวด้ วยเสียง ธมฺมํ กเถติ, สรภฺํ ภณติ ปฺจนฺนํ ภิกฺขสุ ตานํ
ในที่แห่งตนไปแล้ วและไปแล้ ว ย่อมเที่ยวบอกอยู่ ซึ่งธรรม ธมฺมํ วาเจนฺโต วิจรติ, อฏฺ€ารสนฺนํ มหาคณานํ
แก่ร้อยแห่งภิกษุ ท. ๕, เป็ นอาจารย์ ของคณะใหญ่ ท. ๑๘ อาจริ โย อโหสิ.
ได้ เป็ นแล้ ว ฯ
อ. ภิกษุ ท. เรี ยนเอาแล้ ว ซึง่ พระกัมมัฏฐาน ในส�ำนัก ภิกขฺ ู สตฺถุ สนฺตเิ ก กมฺมฏฺ€านํ คเหตฺวา อิตรสฺส
ของพระศาสดา ไปแล้ ว สูท่ ี่เป็ นอยู่ ของพระเถระ นอกนี ้ ตังอยู
้ แ่ ล้ ว เถรสฺส วสนฏฺ€านํ คนฺตฺวา ตสฺโสวาเท €ตฺวา
ในโอวาท ของพระเถระนัน้ บรรลุแล้ ว ซึง่ พระอรหัต ไหว้ แล้ ว อรหตฺตํ ปตฺวา เถรํ วนฺทติ วฺ า “สตฺถารํ ทฏฺ€ุกามมฺหาติ
ซึง่ พระเถระ ย่อมกล่าว ว่า (อ. กระผม ท.) เป็ นผู้ใคร่เพื่ออันเฝ้า วทนฺต.ิ
ซึง่ พระศาสดา ย่อมเป็ น ดังนี ้ ฯ
อ. พระเถระ (กล่าวแล้ ว) ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท. (อ. ท่าน ท.) เถโร “คจฺฉถ อาวุโส, มม วจเนน สตฺถารํ
จงไป, อ. ท่าน ท. ถวายบังคมแล้ ว ซึง่ พระศาสดา จงไหว้ วนฺทิตฺวา อสีตมิ หาเถเร วนฺทถ, สหายกตฺเถรํ ปิ เม
ซึง่ พระเถระผู้ใหญ่ ๘๐ รูป ท. ตามค�ำ ของเรา, (อ. ท่าน ท.) จงบอก `อมฺหากํ อาจริ โย ตุมเฺ ห วนฺทตีติ วเทถาติ เปเสสิ.
แม้ กะพระเถระ ผู้เป็ นสหาย ของเรา ว่า อ. อาจารย์ ของกระผม ท.
ย่อมไหว้ ซึง่ ท่าน ท. ดังนี ้ ดังนี ้ ส่งไปแล้ ว ฯ
อ. ภิกษุ ท. เหล่านัน้ ไปแล้ ว สูว่ ิหาร (ถวายบังคมแล้ ว) เต วิหารํ คนฺตฺวา สตฺถารฺเจว อสีตมิ หาเถเร
ซึง่ พระศาสดาด้ วยนัน่ เทียว ไหว้ แล้ ว ซึง่ พระเถระผู้ใหญ่ ๘๐ รูป ท. จ วนฺทิตฺวา คนฺถิกตฺเถรสฺส สนฺตกิ ํ คนฺตฺวา “ภนฺเต
ด้ วย ไปแล้ ว สูส่ �ำนัก ของพระเถระ ผู้เรี ยนซึง่ คัมภีร์ ย่อมกล่าว ว่า อมฺหากํ อาจริ โย ตุมเฺ ห วนฺทตีติ วทนฺต.ิ
ข้ าแต่ทา่ นผู้เจริ ญ อ. อาจารย์ ของกระผม ท. ย่อมไหว้ ซึง่ ท่าน ท.
ดังนี ้ ฯ
อ. เทวดา ท. ทังปวง ้ กระท�ำ ซึง่ เทพผู้ด�ำรงอยู่ ตํ สุตวฺ า ภุมมฺ เทเว อาทึ กตฺวา ยาว พฺรหฺมโลกา
ที่ภาคพื ้น ท. ให้ เป็ นต้ น เพียงใด แต่พรหมโลก ด้ วยนัน่ เทียว สพฺพา เทวตา เจว นาคสุปณฺณา จ สาธุการํ
อ. นาคและครุฑ ท. ด้ วย ฟั งแล้ ว ซึง่ สาธุการนัน้ ได้ ให้ แล้ ว อทํส.ุ
ซึง่ สาธุการ ฯ
ครัง้ นัน้ อ. พระศาสดา ตรัสถามแล้ ว ซึง่ ภิกษุ ท. เหล่านัน้ ว่า อถ เน สตฺถา “กินฺนาเมตํ ภิกฺขเว กเถถาติ
ดูก่อนภิกษุ ท. (อ. เธอ ท.) ย่อมกล่าว ซึง่ ค�ำนัน่ ชื่ออะไร ดังนี ้, ปุจฺฉิตฺวา, ตสฺมึ อตฺเถ อาโรจิเต, “ภิกฺขเว ตุมหฺ ากํ
ครัน้ เมื่อเนื ้อความนัน้ (อันภิกษุ ท.) กราบทูลแล้ ว, ตรัสแล้ ว ว่า อาจริ โย มม สาสเน ภติยา คาโว รกฺขนสทิโส,
ดูกอ่ นภิกษุ ท. อ. อาจารย์ ของเธอ ท. เป็ นเช่นกับด้ วยบุคคลผู้รักษา มยฺหํ ปน ปุตฺโต ยถารุจิยา ปฺจโครเส
ซึง่ โค ท. เพื่อค่าจ้ าง ในศาสนา ของเรา (ย่อมเป็ น), ส่วนว่า ปริ ภ
ุ ฺชนกสามิสทิโสติ วตฺวา อิมา คาถา อภาสิ
อ. บุตร ของเรา เป็ นเช่นกับด้ วยเจ้ าของผู้บริโภค ซึง่ รสของโค ๕ ท.
ตามความชอบใจอย่างไร (ย่อมเป็ น) ดังนี ้ ได้ตรัสแล้ว ซึง่ พระคาถา ท.
เหล่านี ้ ว่า
อ.ชน เข้าไปหาแล้ว ซึง่ อาจารย์ ท. เรียนแล้ว ซึง่ พระพุทธพจน์ ตํ อาจริเย อุปสงฺกมิตวฺ า อุคคฺ ณฺหติ วฺ า พหุมปฺ ิ
นัน้ ชี ้แจงอยู่ คือว่า บอกอยู่ คือว่า กล่าวอยู่ ซึง่ พระพุทธพจน์ ปเรสํ ภาสมาโน วาเจนฺโต กเถนฺโต, ตํ ธมฺมํ สุตวฺ า
แม้ มาก แก่ชน ท. เหล่าอื่น เป็ นผู้กระท�ำซึง่ - อ. กิจใด อันบุคคล ยํ การเกน ปุคฺคเลน กตฺตพฺพํ, ตกฺกโร น โหติ,
ผู้กระท�ำ ฟั งแล้ ว ซึง่ ธรรมนัน้ พึงท�ำ - กิจนัน้ ย่อมเป็ น หามิได้ กุกฺกฏุ สฺส ปกฺขปหรณมตฺตมฺปิ อนิจฺจาทิวเสน
คือว่า ยังการท�ำไว้ในใจด้วยสามารถแห่งลักษณะ มีอนิจจลักษณะ มนสิการํ นปฺปวตฺเตสิ; เอโส, ยถา นาม ทิวเส
เป็ นต้ น ไม่ให้ เป็ นไปแล้ ว สิ ้นกาลแม้ สกั ว่าการปรบซึง่ ปี กแห่งไก่ ภติยา คาโว รกฺขนฺโต โคโป ปาโตว สมฺปฏิจฉฺ ติ วฺ า
อ.ชนนัน่ เป็ นผู้มีสว่ น แห่งผลสักว่าอันกระท�ำซึง่ วัตรและวัตรตอบ สายํ คเณตฺวา สามิกานํ นิยยฺ าเทตฺวา ทิวสภติมตฺตํ
จากส�ำนักของอันเตวาสิก ท. อย่างเดียว ย่อมเป็ น แต่วา่ อ.ชนนัน้ คณฺหาติ, ยถารุจิยา ปน ปฺจโครเส ปริ ภ ุ ฺชิตํุ
เป็ นผู้มสี ว่ น แห่งคุณเครื่องความเป็ นแห่งสมณะ ย่อมเป็ น หามิได้ น ลภติ; เอวเมว เกวลํ อนฺเตวาสิกานํ สนฺติกา
- อ.บุคคลผู้รักษาซึง่ โคเพือ่ ค่าจ้ างในวัน ชือ่ ว่าผู้รักษาซึง่ โค รับแล้ ว วตฺตปฏิวตฺตกรณมตฺตสฺส ภาคี โหติ, สามฺสฺส
(ซึง่ โค ท.) แต่เช้ าเทียว นับแล้ ว (ซึง่ โค ท.) มอบให้ แล้ ว (ซึง่ โค ท.) ปน ภาคี น โหติ.
แก่เจ้ าของ ท. รับอยู่ ซึง่ วัตถุสกั ว่าค่าจ้ างในวัน ในเวลาเย็น
แต่ว่า อ.บุคคลผู้รักษาซึ่งโคนัน้ ย่อมไม่ได้ เพื่ออันบริ โภค
ซึง่ รสอันเกิดแล้ วแต่โค ๕ ท. ตามความชอบใจอย่างไร ชื่อฉันใด
- ฉันนันนั ้ น่ เทียว ฯ
เหมือนอย่างว่า อ.เจ้ าของแห่งโค ท. เทียว ย่อมบริ โภค ซึง่ รส ยถา ปน โคปาลเกน นิยฺยาทิตานํ คุนฺนํ
อันเกิดแล้วแต่โค ๕ แห่งโค ท. ตัวอันบุคคลผู้รกั ษาซึง่ โค มอบให้แล้ว ปฺจโครสํ โคสามิกาว ปริ ภ
ุ ฺชนฺต;ิ ตถา เตน
ฉันใด อ.บุคคลผู้กระท�ำ ท. ฟังแล้ว ซึง่ ธรรม อันอันชนนัน้ กล่าวแล้ว กถิตํ ธมฺมํ สุตฺวา การกปุคฺคลา ยถานุสฏิ ฺ €ํ
ปฏิบตั แิ ล้ ว ตามโอวาทอันชนนันสอนแล้ ้ วอย่างไร, อ.บุคคล ปฏิปชฺชิตฺวา, เกจิ ป€มชฺฌานาทีนิ ปาปุณนฺติ,
ผู้กระท�ำ ท. บางพวก ย่อมบรรลุ ซึง่ ฌาณ ท. มีปฐมฌาณเป็ นต้ น เกจิ วิปสฺสนํ วฑฺเฒตฺวา มคฺคผลานิ ปาปุณนฺติ,
อ.บุคคลผู้กระท�ำ ท. บางพวก ยังวิปัสสนา ท. ให้ เจริ ญแล้ ว โคสามิกา โครสสฺเสว, สามฺสฺส ภาคิโน โหนฺติ.
ย่อมบรรลุซงึ่ มรรคและผล ท. ฉันนัน้ อ.บุคคลผู้กระท�ำ ท.
เหล่านัน้ เป็ นผู้มสี ว่ นแห่งคุณเครื่องความเป็ นแห่งสมณะ ย่อมเป็ น
เพียงดัง อ.เจ้ าของแห่งโค ท. เป็ นผู้มสี ว่ นแห่งรส อันเกิดแล้ วแต่โค
เป็ นอยู่ ฯ
อ.พระศาสดา ตรัสแล้ ว ซึง่ พระคาถา ที่หนึง่ ด้ วยสามารถ อิติ สตฺถา สีลสมฺปนฺนสฺส พหุสฺสตุ สฺส
แห่งภิกษุ ผู้ถงึ พร้ อมแล้ วด้ วยศีล ผู้มสี ตุ ะมาก ผู้มอี นั อยูด่ ้ วยความ ปมาทวิหาริ โน อนิจฺจาทิวเสน โยนิโสมนสิกาเร
ประมาทเป็ นปกติ ผู้ไม่ประพฤติแล้ ว ในการท�ำไว้ ในใจโดยอุบาย อปฺปวตฺตสฺส ภิกฺขโุ น วเสน ป€มํ คาถํ กเถสิ,
อันแยบคาย ด้ วยสามารถแห่งลักษณะมีอนิจจลักษณะเป็ นต้ น น ทุสฺสีลสฺส.
ตรัสแล้ ว ด้ วยสามารถแห่งภิกษุผ้ มู ีศีลอันโทษประทุษร้ ายแล้ ว
หามิได้ ด้ วยประการดังนี ้ ฯ
ส่วนว่า อ.พระคาถาทีส่ อง (อันพระศาสดา) ตรัสแล้ว ด้วยอ�ำนาจ ทุตยิ คาถา ปน อปฺปสฺสตุ สฺสาปิ โยนิโสมนสิกาเร
แห่งบุคคลผู้กระท�ำ แม้ ผ้ มู ีสตุ ะน้ อย ผู้กระท�ำอยู่ ซึง่ กรรม กมฺมํ กโรนฺตสฺส การกปุคฺคลสฺส วเสน กถิตา.
ในการกระท�ำไว้ ในใจโดยแยบคาย ฯ
(อ.อรรถ) ว่า หน่อยหนึง่ คือว่า แม้ มีวรรคหนึง่ และวรรคสอง ตตฺถ “อปฺปมฺปิ เจติ: โถกํ เอกวคฺคทฺวิวคฺคมตฺตมฺปิ.
เป็ นประมาณ (ดังนี ้) ในบท ท. เหล่านันหนา ้ (แห่งบท) ว่า
อปฺปมฺปิ เจ ดังนี ้ ฯ