Professional Documents
Culture Documents
๙๐ ปีี ๖๙ พรรษา
พระครููศาสนกิิจวิิมล (หนููพัันธ์์ อิิสฺฺสโร)
พระวิิปััสสนาจารย์์
เจ้้าอาวาสวััดหนองเชีียงทููน
ต.หนองเชีียงทููน อ.ปรางค์์กู่่� จ.ศรีีสะเกษ
๓ กุุมภาพัันธ์์ ๒๕๖๗
ส�ำนักวิปัสสนากรรมฐานวัดหนองเชียงทูน กองทุนอุดหนุนการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
บ้านหนองเชียงทูน ต.หนองเชียงทูน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.)
อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ ๓๓๑๗๐ สาขาปรางค์กู่
โทรศัพท์ (๐๔๕) ๖๙๗ – ๑๕๔ ชื่อบัญชี พระครูศาสนกิจวิมล
(๐๘๐) ๑๕๐ – ๐๐๑๙ เลขที่บัญชี ๗๓๙ - ๒ - ๐๗๖๒๔ - ๑
คำ�นำ�
(พระครูปริยัติเมธาจารย์)
ในนามคณะศิษย์
อายุวัฒนมงคล ๙๐ ปี
พระครูศาสนกิจวิมล
ด้ ว ยในวั น เสาร์ ที่ ๓ กุ ม ภาพั น ธ์ พ.ศ.๒๕๖๗ เป็ น วั น คล้ า ยวั น เกิ ด ของหลวงปู่
พระครูศาสนกิจวิมล (หนูพันธ์ อิสฺสโร) ครบ ๙๐ ปี ในฐานะศิษย์กรรมฐานผู้หนึ่ง ขอเล่าถึง
หลวงปู่และการปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นอาจริยบูชา ดังนี้
การปฏิบัติธรรมที่วัดหนองเชียงทูนกับหลวงปู่นั้น มีสภาวธรรมเกิดขึ้นมากมาย
ในครั้งแรกๆ อยากจะบันทึกไว้ แต่หลวงปู่ไม่ให้บันทึก แม้แต่การจำ�สภาวะเพื่อไปส่ง
อารมณ์ หลวงปู่ก็ไม่ให้จำ� บอกว่า ”ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น„ ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่าการจำ�นั้น
เป็น ”สัญญา„ ที่หลวงปู่พูดว่า ”เป็นอุปาทาน„ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องละ การปฏิบัติจะก้าวหน้า
อิ น ทรี ย์ ๕ คื อ ศรั ท ธา วิ ริ ย ะ สติ สมาธิ ปั ญ ญา ต้ อ งสมดุ ล แต่ ห น้ า ที่ ข องผู้ ป ฏิ บั ติ
คื อ ทำ�ศรั ท ธา วิ ริ ย ะ สติ สมาธิ ใ ห้ มี กำ�ลั ง มากและสมดุ ล ส่ ว นปั ญ ญาจะเกิ ด ขึ้ น เอง
และต้องอาศัยศีลที่บริสุทธิ์
หลวงปู่ พู ด ว่ า ฆราวาสรั ก ษาศี ล ๘ ทำ�ศี ล ๘ ให้ บ ริ สุ ท ธิ์ ก็ ไ ม่ ใ ช่ เ รื่ อ งยากนั ก
การปฏิบัติก็ง่ายกว่า ก้าวหน้าไปได้เร็วกว่า ส่วนพระนั้นปฏิบัติได้ยากกว่า เพราะศีล
มากกว่า และรักษาให้บริสุทธิ์ได้ยากกว่า นอกจากศีลต้องบริสุทธิ์แล้ว สิ่งไม่ดีทั้งหลาย
ต้องถูกชำ�ระให้หมดไป ดิฉันได้ซาบซึ้งถึงคำ�ว่า ”การไม่ก่อเวร„
กรรมแม้ เ พี ย งเล็ ก น้ อ ยก็ มี ผ ลผู ก พั น กั น ไป แม้ ไ ม่ ไ ด้ ตั้ ง ใจจะผู ก เวร ดั ง นั้ น
จึ ง ประมาทไม่ ไ ด้ เ ลย เรื่ อ งนี้ ก็ สื บ เนื่ อ งมาจากการปฏิ บั ติ นั่ น เองที่ ทำ�ให้ รู้ ไ ด้ ซึ่ ง เป็ น
ความอัศจรรย์ของการปฏิบัติและของจิตอย่างยิ่ง
ยังมีอีก คือ ที่ว่าจิตเป็นที่เก็บทุกสิ่งทุกอย่างแม้ความรู้สึก หรืออาการเล็กอาการ
น้อย จิตก็เก็บไว้หมดทุกอย่าง จึงยิ่งต้องสำ�รวมอินทรีย์ทั้ง ๖ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)
โดยเฉพาะอย่างยิ่งใจหรือจิต เพราะจิตนั้นไวมากและจะเก็บทุกอย่างจริง ๆ อีกทั้งเก็บไว้
ได้ยาวนานมาก ๆ เป็น memory storage ที่ไม่มีวันเต็มเลย การสนองตอบหรือวิบาก
ก็ส่งผลไม่มีบิดพลิ้วเลย ดังนั้น จึงยิ่งสนับสนุนว่าต้องคิดดี พูดดี ทำ�ดี อย่างไรก็ตาม
เมื่ อ เรื่ อ งราวเหล่ า นั้ น ปรากฏขึ้ น ในสมาธิ หลวงปู่ ใ ห้ กำ�หนดผ่ า นว่ า เห็ น หนอ ๆ หรื อ
รู้หนอ ๆ แล้วปล่อยไป ไม่ไปตาม ไม่ไปเอาใจใส่ การกำ�หนดผ่านไปจะทำ�ให้ไม่เสียเวลา
ไม่ชักช้าในการปฏิบัติ
หลวงปู่ผู้เป็นกัลยาณมิตรให้ทั้งคำ�แนะนำ� กำ�ลังใจ คำ�เตือนสติ ในรูปแบบต่าง ๆ
โดยมากหลวงปู่ จ ะเล่ า เรื่ อ งต่ า ง ๆ ให้ ฟั ง และบางที ดู เ หมื อ นพู ด ไปเรื่ อ ย ๆ พู ด เรื่ อ ง
ธรรมดา ๆ พู ด เรื่ อ งที่ บ างที ก็ เ หมื อ นกั บ รู้ อ ยู่ แ ล้ ว แต่ แ ท้ จ ริ ง แล้ ว การพู ด ของหลวงปู่
มีความแตกต่างกันไปตามสภาวะของผู้ปฏิบัติ หรือบางสภาวะหลวงปู่จะพูดเพียงแค่ว่า
”ให้เพียรต่อไป„ หน้าที่ของเราผู้ปฏิบัติก็มีเพียงแค่นั้น คือ เพียรต่อไป ใคร ๆ ที่มักถาม
หลวงปู่ว่าตนเองนั้นได้ญาณนั้นญาณนี้แล้วหรือยัง เมื่อไรจะถึง หลวงปู่จะมิให้ใส่ใจ ดิฉัน
บอกหลวงปู่ ว่ า โชคดี ที่ เ มื่ อ คราวที่ ห ลวงปู่ เ ทศน์ ลำ�ดั บ ญาณนั้ น ดิ ฉั น ง่ ว งนอนมาก
ซึ่ ง ตอนโน้ น เสี ย ดาย แต่ ก ลั บ เป็ น ผลดี ผู้ ป ฏิ บั ติ ไ ด้ รั บ ผลของการปฏิ บั ติ อ ย่ า งไร
หลวงปู่ มิ ใ ห้ ไ ปเที่ ย วพู ด คำ�สอนก่ อ นที่ ดิ ฉั น จะลากลั บ และถื อ ปฏิ บั ติ ม ากระทั่ ง บั ด นี้
คือ ”ให้ปฏิบัติตนโดยที่จะไม่ทำ�ให้เป็นที่เสื่อมศรัทธาแต่ทำ�ให้เกิดศรัทธาต่อพระพุทธ-
ศาสนาแก่บุคคลอื่น ๆ„
พระสงฆ์สาวกศาสดา ปฏิบัติงามตา
ชอบด้วยพระสัทธรรมน�ำผล
พระครูศาสนกิจวิมล รู้ธรรมน�ำตน
พ้นทุกข์ตามธรรมพระสัมมา
ปฏิบัติชอบด้วยศรัทธา งามศีลจริยา
สมเป็นดั่งเนื้อนาบุญ
สอนศิษย์ด้วยจิตการุญ เปี่ยมเมตตาคุณ
ศิษย์น้อมอภิวาทอัญชลี
วัดหนองเชียงทูนสง่าศรี ญาติโยมยินดี
ส�ำนักวิปัสสนากรรมฐาน
ประจ�ำจังหวัดโอฬาร ศรีสะเกษสืบสาน
งานธรรมะเผยพระสัทธรรม
หลวงปู่มุ่งมั่นแนะน�ำ วิปัสสนาเลิศล�้ำ
ปฏิบัติได้รู้ได้ด้วยตน
เตรียมกายวาจากมล รับธรรมมงคล
หลุดพ้นกิเลสด้วยปัญญา
สิริอายุ ๙๐ วรรษา ศิษย์น้อมบูชา
หลวงปู่ผู้เอื้ออารี
แม้บุญกุศลศิษย์มี น้อมเกล้าเกศี
ถวายแด่หลวงปู่ด้วยเทอญ
อุดมพร คัมภิรานนท์
ประพันธ์ในนามคณะศิษย์บัณฑิตวิทยาลัย รุ่นที่ ๑๗
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
เก้าสิบปีวัฒนา หกสิบเก้าพรรษา บูชาครู
ศศิธรสาดแสงงามยามรัตติ พระสุริย์สว่างไสวให้ไออุ่น
ศิษย์น้อมนบเคารพครูผู้การุณย์ เทิดพระคุณท่านยิ่งใหญ่หาใดปาน
ฉลองอายุเก้าสิบปีวัฒนา หกสิบเก้าพรรษาพาสุขศานต์
บุตรจันดีผู้มีธรรมนำ�ดวงมาน ครองใจศิษย์จิตชาวบ้านมานานปี
หลวงปู่พระครูศาสนกิจวิมล ท่านรวมใจศิษย์ทุกคนไว้ที่นี่
ด้วยท่านรักท่านเมตตาท่านปรานี ศิษย์น้อยใหญ่ต่างได้ดีเพราะมีครู
หลวงปู่สานงานพระศาสน์วิลาสเลิศ เกียรติคุณอันประเสริฐเทิดเคียงคู่
เสาเสมาธรรมจักรได้เชิดชู พระดีเด่นชนรับรู้คู่ศรีเมือง
หลวงปู่สอนให้คิดดีทำ�ดียิ่ง ทุกทุกสิ่งหมุนเวียนเปลี่ยนราวเรื่อง
รักตนต้องทำ�ใจกายให้ประเทือง หลุดพ้นเครื่องพันธนะผละเวรกรรม
พระนิพพานทางประเสริฐที่เลิศแล้ว พึงยึดแนววิปัสสนาพาดื่มดํ่า
น้อมใจกายใฝ่ศรัทธาหาพระธรรม จะหลุดพ้นผลตอกยํ้ากรรมทำ�มา
คำ�หลวงปู่ศิษย์ทั้งหลายน้อมใส่เกล้า เป็นบุญแล้วที่พวกเราเข้าศึกษา
ได้เป็นศิษย์หลวงปู่ผู้เมตตา น้อมบูชาเนื้อนาบุญอุ่นอำ�ไพ
อุดมพร คัมภิรานนท์
ประพันธ์ในนามคณะศิษย์กรรมฐาน นิสิตปริญญาโท รุ่นที่ ๑๗
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
มหาปรินิพพานสูตร
คำ�นำ�........................................................................................................................ ๓
คำ�นิยม..................................................................................................................... ๔
ภาพการปฏิบัติศาสนกิจ. .........................................................................................๑๑
ประวัติพระครูศาสนกิจวิมล.....................................................................................๑๙
หลวงปู่เล่าเรื่อง........................................................................................................๒๕
๑. เสียดาย ก่อนตายไม่ได้ปฏิบัติ.............................................................................๒๙
๒. ปฏิบัติเถิด ประเสริฐแท้......................................................................................๓๙
๓. รู้เอง เห็นเอง แจ้งเอง . .......................................................................................๕๗
๔. เห็นทุกข์ รู้ทุกข์ เห็นธรรม รู้ธรรม........................................................................๗๑
๕. วิปัสสนากรรมฐาน ตามแนวสติปัฏฐาน ๔.............................................................๘๙
๖. พายเรือข้ามฟาก พากายใจข้ามวัฏสงสาร............................................................๑๐๑
๗. เห็นไตรลักษณ์ถึงไตรรัตน์............................................................................... ๑๑๓
๘. เหตุแห่งความไม่รู้แจ้ง (ในชาตินี้). ....................................................................๑๒๗
๙. กล่อมลูกให้นอน กำ�หนดใจให้นิ่ง..................................................................... ๑๓๙
๑๐. ปฏิบัติกรรมฐานไป อย่ากลัวใจหมดกิเลส........................................................๑๕๑
๑๑. เห็นทุกข์ รู้ทุกข์ พ้นทุกข์.................................................................................๑๖๕
๑๒. รู้ทันสภาวธรรม.............................................................................................๑๗๗
๑๓. เวลาล่วงไป รออะไรอยู.่ .................................................................................๑๙๑
อนุโมทนาผู้ร่วมบุญ. ............................................................................................ ๒๑๑
พระครูศาสนกิจวิมล วัดหนองเชียงทูน จ.ศรีสะเกษ 11
รับพระราชทานรางวัลเสมาธรรมจักรผู้ทำ�คุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา
ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง กรุงเทพฯ ๒๗ พ.ค. ๒๕๕๐
รับปริญญาพุทธศาสตรบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาพระพุทธศาสนา
จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ณ หอประชุมพุทธมณฑล ๔ มิถุนายน ๒๕๔๙
พระครูศาสนกิจวิมล วัดหนองเชียงทูน จ.ศรีสะเกษ 13
บรรพชา
เมื่ออายุ ๑๖ ปี วันจันทร์ที่ ๑๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ตรงกับวันแรม ๑๐ ค�่ำ
เดื อ น ๔ ปี ข าล ที่ วั ด โพนยาง ต.บุ สู ง อ.เมื อ ง (ปั จ จุ บั น อ.วั ง หิ น ) จ.ศรี ส ะเกษ
พระครูปญ ั ญาสิรวิ ฒ
ั น์ เป็นพระอุปชั ฌาย์
อุปสมบท
เมือ่ อายุ ๒๐ ปี วันจันทร์ที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ ตรงกับวันขึน้ ๑๑ ค�ำ ่ เดือน ๔
ปีมะเมีย ที่วัดกระต�่ำ ต.กล้วยกว้าง อ.อุทุมพรพิสัย (ปัจจุบัน อ.ห้วยทับทัน) จ.ศรีสะเกษ
พระครูอุทุมพรพัฒโนดม วัดส�ำโรงใหญ่ เป็นพระอุปัชฌาย์ ให้ฉายาว่า อิสฺสโร
20 วิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔
เกียรติคุณที่ได้รับ
๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ ได้รับแต่งตั้งเป็น เจ้าอาวาสวัดหนองเชียงทูน
๑ สิิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ ได้้รัับแต่่งตั้้�งเป็็น เจ้้าคณะตำำ�บลหนองเชีียงทููน
๕ ธัันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ ได้้รับั แต่่งตั้้�งเป็็น พระครููสัญ
ั ญาบััตรที่่� พระครููศาสนกิิจวิิมล
๑๓ กุุมภาพัันธ์์ พ.ศ. ๒๕๔๖
ได้้รัับแต่่งตั้้�งเป็็น พระอุุปััชฌาย์์ ต.หนองเชีียงทููน
๔ มิิถุุนายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ได้้ รัั บ ปริิ ญ ญาพุุ ท ธศาสตรบัั ณ ฑิิ ต กิิ ต ติิ ม ศัั ก ดิ์์� สาขา
พระพุุ ท ธศาสนา จากมหาวิิ ท ยาลัั ย มหาจุุ ฬ าลงกรณ-
ราชวิิทยาลััย
๘ พฤศจิิกายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ได้้รัับเลืือกเป็็นพระดีีเด่่น ด้้านเผยแผ่่พระพุุทธศาสนา
ในจัังหวััดศรีีสะเกษ
๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้รับพระราชทานรางวัลเสมาธรรมจักร พร้อมประกาศ
เกียรติคุณผู้ท�ำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา สาขา
เผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศ จากสมเด็จพระเทพ
รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
๑๖ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๗ ได้้ รัั บ รางวัั ล ประกาศเกีี ย รติิ คุุ ณ ประเภทผู้้�นำำ�พัั ฒ นา
ด้้านพระพุุทธศาสนาดีีเด่่น จากศููนย์์คฤหััสถ์์ วััด ราชการ
อำำ�เภอปรางค์์กู่่� จัังหวััดศรีีสะเกษ
๒๖ กุุมภาพัันธ์์ ๒๕๖๑ ได้้รัับปริิญญาพุุทธศาสตรมหาบััณฑิิตกิิตติิมศัักดิ์์� สาขา
วิิชาวิิปััสสนาภาวนา จากมหาวิิทยาลััยมหาจุุฬาลงกรณ-
ราชวิิทยาลััย
๒๖ ธัันวาคม ๒๕๖๖ ได้้รัับพระราชทานรถไฟฟ้้า จากพระบาทสมเด็็จพระวชิิรเกล้้า
เจ้้าอยู่่�หััว รััชกาลที่่� ๑๐
ลำำ�ดัับการจำำ�พรรษาและเหตุุการณ์์สำำ�คััญของพระครููศาสนกิิจวิิมล
พ.ศ. ๒๔๙๓ – ๒๔๙๔ อายุุ ๑๖ ปีี บรรพชาเป็็นสามเณรเรีียนท่่อง ๗ ตำำ�นาน
ดููแลวััด รัับใช้้พระภิิกษุุ เป็็นเวลา ๒ ปีี
พระครูศาสนกิจวิมล วัดหนองเชียงทูน จ.ศรีสะเกษ 21
พ.ศ. ๒๕๐๖ ได้้ รัั บ แต่่ ง ตั้้�งเป็็ น เลขานุุ ก ารเจ้้ า คณะอำำ�เภอปรางค์์ กู่่�
โดย พระครูวิกรมธรรมโสภินท์ (อินทร์ สีลสํวโร ป.ธ.๕)
เจ้าคณะอ�ำเภอปรางค์กู่ ในสมัยนั้น
พ.ศ. ๒๕๐๗ พรรษาที่ ๑๑ วั ด ธรรมนิ มิ ต อ.เมื อ ง จ.ชลบุ รี ศึ ก ษา
วิปัสสนากรรมฐานกับพระอาจารย์ฮั้ว
พ.ศ. ๒๕๐๘ – ๒๕๐๙ พรรษาที่ ๑๒ - ๑๓ ส�ำนักวิปัสสนาวิเวกอาศรม อ.เมือง
จ.ชลบุรี ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงพ่อภัททันตะ
อาสภมหาเถระเป็นเวลา ๖ เดือน ได้ฟังเทศน์ล�ำดับญาณ
และได้ รั บ ถ่ า ยทอดวิ ช าครู ส อนกรรมฐาน ได้ ท� ำ หน้ า ที่
รับใช้อาจารย์ ช่วยส�ำนัก ดูแลผู้ปฏิบัติ เป็นเวลา ๒ ปี
พ.ศ. ๒๕๑๐ – ๒๕๓๔ พรรษาที่ ๑๔ – ๓๘ วัดหนองเชียงทูน
พ.ศ. ๒๕๑๐ – ๒๕๑๑ ได้ เ ฝ้ า ดู แ ลอุ ป ั ฏ ฐากหลวงพ่ อ
ภัททันตะ ขณะอาพาธหลายโรงพยาบาล คือ โรงพยาบาล
สงฆ์ โรงพยาบาลยาสูบ โรงพยาบาลวชิระ โรงพยาบาล
พระมงกุฎเกล้า โรงพยาบาลรามาธิบดี และโรงพยาบาล
ศิริราช เป็นเวลาต่อเนื่องกันหลายเดือน
พ.ศ. ๒๕๑๒ เปิ ด สอนนั ก ธรรม และธรรมศึ ก ษา ณ
วัดหนองเชียงทูน
พ.ศ. ๒๕๓๕ พรรษาที่ ๓๙ วัดถ�้ำเขาชะอางค์โอน อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี
บ�ำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานภายในถ�้ำเป็นเวลาต่อเนื่องกัน
๔ เดือน
พ.ศ. ๒๕๓๖ – ๒๕๔๒ พรรษาที่ ๔๐ - ๔๖ วัดหนองเชียงทูน
พ.ศ. ๒๕๔๓ พรรษาที่ ๔๗ ศูนย์กลางคณะสงฆ์ภาค ๑๐ อ.ม่วงสามสิบ
จ.อุบลราชธานี
พ.ศ. ๒๕๔๔ – ๒๕๖๗ พรรษาที่ ๔๘ – ๖๙ วัดหนองเชียงทูน
พระครูศาสนกิจวิมล วัดหนองเชียงทูน จ.ศรีสะเกษ 23
ความเพีี ย รให้้ ม าก ๆ แต่่ ก็็ ยัั ง มีี ปัั ญ หาอุุ ป สรรคอยู่่� ทั้้�งความเสีี ย ใจ ไม่่ พ อใจ ความ
ฟุ้้�งซ่่านคิิดไปต่่าง ๆ นานา ถึึงกัับบางครั้้�งนั่่�งไม่่ได้้ คิิดมาก ๆ จิิตใจก็็ไม่่ดีี ไม่่มีีใครที่่�จะให้้
กำำ�ลัังใจ
โยมธรรมนูญ สิงห์คารวานิช มาบอกว่า ให้ท�ำความเพียร ก�ำหนดอิริยาบถเล็ก ๆ
น้อย ๆ และให้ส�ำรวมมาก ๆ ขึ้น ให้อดทน พยายามท�ำให้ได้ เพื่อที่จะน�ำเอาพระธรรม
ค�ำสั่งสอนกรรมฐานนี้ไปเผยแผ่ทางภาคอีสาน เพราะยังไม่มีใครได้มาปฏิบัติผ่านญาณ
๑๖ นี้ไปเผยแผ่ทางภาคอีสานเลย ท่านนี้อายุยังน้อย จะท�ำการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไป
ได้มาก ขณะนั้นอายุของเราก็ได้ ๓๑ ปี พรรษา ๑๑ เราก็เพียรท�ำกรรมฐานทั้งกลางวัน
ทั้งกลางคืน ไม่นอน ท�ำได้ประมาณ ๓ วัน ๓ คืน ไม่มีความรู้สึกว่าเหนื่อยเพลีย ท�ำไป
ได้เรื่อย ๆ พอรู้ว่าสว่างก็ออกไปบิณฑบาตกับพวกพระรูปอื่น ๆ วันหนึ่งเราเอาบาตรออก
มาตั้งไว้ แล้วนั่งสมาธิคอยเพื่อน ๆ พระจะตีระฆังแล้วออกไปบิณฑบาต แต่ปรากฏว่า
เราหลับไปนานถึง ๒ โมงเช้า รู้สึกตัวขึ้นมาคว้าบาตรจะไปกับเขา แต่ดูนาฬิกาแล้วมันถึง
๒ โมงเช้าแล้ว เราจึงเดินไปหาแม่ครัวขออาหารเขามาฉัน อยู่มาประมาณ ๒ อาทิตย์ เรา
ท�ำต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืนอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ท�ำอยู่ได้ ๗ วัน ๗ คืน ไม่ได้นอน แต่ก็ยังไม่ได้
ผ่านโสฬสญาณ จึงมาพักพิจารณาในการบ�ำเพ็ญเพียรของเรานี้ มันเคร่งไปหรือไม่ จึงมา
ผ่อนท�ำไปเรื่อย ๆ จึงมาผ่านเอาช่วงนี้ หลวงพ่ออาสภะ ท่านให้อธิษฐานดู ก็ได้ผลดี เป็น
ที่พอใจของท่าน รวมเวลาท�ำความเพียรเจริญพระกรรมฐานต่อเนื่องกันถึง ๖ เดือน
หลังจากนัน้ เราออกมาช่วยงานทางวัดได้หลาย ๆ อย่าง เช่น เรือ่ งโยคีมสี ภาวะต่าง ๆ
เรื่องไฟ เรื่องน�้ำ อ�ำนวยความสะดวกช่วยส�ำนัก ช่วยอาจารย์ ช่วยโยคีตามแต่จะช่วยได้
ในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ อาจารย์ได้ถ่ายทอดวิชาครูและให้ฝึกสอน ฝึกอบรม ฝึกแก้
สภาวะอารมณ์พระกรรมฐานแก่โยคีอื่น ๆ พ.ศ. ๒๕๑๐ หลวงพ่ออาสภะอาพาธ ต้องเข้า
โรงพยาบาลหลายแห่งตลอดปี ได้ท�ำหน้าที่เป็นอุปัฏฐากคอยดูแลเฝ้าพยาบาลหลวงพ่อ
อาสภะอย่างเต็มก�ำลังตลอดปี
ปี พ.ศ. ๒๕๑๑ จึงกลับไปจ�ำพรรษาที่บ้านเดิม คือวัดหนองเชียงทูน จ.ศรีสะเกษ
ไม่ได้ท�ำการสอนกรรมฐาน มีแต่ท�ำหน้าที่เจ้าอาวาส
พระครูศาสนกิจวิมล วัดหนองเชียงทูน จ.ศรีสะเกษ 27
ในสิ่่�งแวดล้้อม หรืือแม้้แต่่ตนเอง ทั้้�งนี้้�เป็็นเพราะสภาวธรรมหรืือเห็็นพระไตรลัักษณ์์
มากขึ้้�น แต่่โยคีีมัักไม่่เข้้าใจในสภาวธรรม จึึงเฝ้้าแต่่จะกำำ�หนดพองหนอ ยุุบหนอเท่่านั้้�น
แต่่ถึึงอย่่างไรก็็เป็็นการดีีมากที่่�พวกนิิสิิตได้้เข้้ามาปฏิิบััติิ ได้้รู้้�ได้้เห็็น ได้้สััมผััสในสภาว-
ธรรมที่่�ไม่่ เ คยได้้ สัั งเกต สนใจศึึ ก ษามาก่่ อ น เป็็ น การปลูู ก ศรัั ทธาเบื้้�องต้้ น เมื่่�อเรีี ย น
จบแล้้วหรืือมีีโอกาสเมื่่�อไร ค่่อยขวนขวายหาที่่�ปฏิิบััติิต่่อไป และก็็มีีหลายคนที่่�สนใจ
จะตามไปเยี่่�ยมไปปฏิิบััติิวิิปััสสนากรรมฐานที่่�สำำ�นัักวััดหนองเชีียงทููน
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงสำ�คัญที่ใจ
ใจประเสริฐสุด สำ�เร็จมาจากใจ
ถ้าใจไม่ดี การทำ� การพูด ก็พลอยไม่ดีไปด้วย
เพราะความไม่ดีนั้น เป็นเหตุ
ความทุกข์ก็ติดตามมาเหมือนล้อเกวียนหมุนตามรอยเท้าโค
ขุ.ขุ. ๒๕/๑/๒๓.
๑
ั ิ*
เสียดาย ก่อนตายไม่ได้ปฏิบต
ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอกราบคารวะพระเถรานุเถระ
และขอความสุขสวัสดีจงมีแด่พระโยคาวจร ทุกท่าน ขอเจริญพรผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย
การปฏิบัติธรรมก็ดำาเนินกันมาหลายวันแล้ว สมาธิก็จะดีขึ้น หรือจะมีธรรมะเกิดขึ้น
และการปฏิบัติก็จะละเอียดมากขึ้นเป็นลำาดับ
บางองค์ พระท่านก็เคยปฏิบัติมาหลายปีแล้ว ศึกษาเล่าเรียนมาก็มาก ส่วนฆราวาส
ญาติโยมก็เช่นเดียวกัน บางคนปฏิบัติมาหลายปี และปฏิบัติมาหลายแบบด้วย ทดลอง
มาหลาย ๆ อาจารย์ เพื่ออยากจะรู้ว่าวิธีไหนเป็นอันถูกต้อง เราควรจะดำาเนินไปใน
แนวทางไหน
แต่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นองค์เดียว ข้อปฏิบัติที่แตกต่างกันไปบ้างนั้น
ก็น่าจะมี พุทธศาสนาได้ล่วงเลยมา ๒๕๕๑ ปีแล้ว ความแตกต่างย่อมมีเป็นของธรรมดา
ที่ เ ริ่ ม แรกนั้ น พระพุ ท ธองค์ ก็ ส อนในแนวเดี ย ว แต่ ค นที่ สื บ ต่ อ มานั้ น ก็ ไ ม่ ใ ช่ เ ป็ น
คน ๆ เดียว สองพันกว่าปีที่ยังรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีการปฏิบัตินี้ไว้ได้มาจนถึง
พวกเรา ปัจจุบันนี้ก็นับว่าดีพอสมควร ที่ว่าดีเพราะว่าเรารักษากันไว้ได้ ที่รักษากันไว้
ได้นั้น ความแตกต่างก็ย่อมจะมี แตกต่างในความคิดเห็นบ้าง แตกต่างในทางวิธีทำาบ้าง
*
พระครูศาสนกิจวิมล (หนูพันธ์ อิสฺสโร) ที่ปรึกษาพระวิปัสสนาจารย์ เจ้าอาวาสวัดหนองเชียงทูน จ.ศรีสะเกษ
บรรยายแก่นิสิตปริญญาโทและปริญญาเอก มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ณ วัดภัททันตะ อาสภาราม
อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๑
30 วิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔
ฝนตกเราจะไปขุดตรงนั้นแล้วก็จะปลูกพริกปลูกเขือหรือว่าอะไรดี จะเอามาอยู่มากิน
มาเลี้ยงครอบครัว อยู่อย่างนั้น ก็ไปท�ำเอาไว้ ถ้าคนใดขี้เกียจเห็นเขาปลูกเอาไว้ตัวก็
ไปขโมยเอา ที่นี่ค�ำว่ากินอ่อมธรณี ดูในพื้นที่พื้นนาของเรานี้ ดูเอา ว่าจะปลูกอะไร จะ
ท�ำอะไร เราก็ไปดู ไปท�ำ ส่วนพระสงฆ์ของเราก็ต้องมาภาวนานี่แหละ ตื่นเช้าขึ้นมาถึง
ไม่มีงานอย่างอื่นที่จะต้องไป เราก็ตื่นมาครองผ้าจีวร สังฆาฏิ อธิษฐานผ้าเสร็จแล้วก็
ไหว้พระ จะท�ำย่อ ๆ หรือจะท�ำให้จบคนเดียวก็ได้ ว่าแต่ย่อ ๆ แล้วก็นั่ง ได้เวลาก็ออก
ไปบิณฑบาต การที่จะไปบิณฑบาต ก็มีคาถาปลุกอีก การไปบิณฑบาตก็ต้องท�ำจิตของตน
ให้เป็นสมาธิ ยถาปจฺจยํ ฯลฯ ว่าไปจนตลอดทาง จนกระทั่งกลับมาถึงวัด พระที่ปฏิบัติ
แบบนี้จะมีน้อยนะ สมัยนี้ ญาติโยมก็จะได้ประโยชน์
ผมเคยพบที่เชียงราย พระที่เคยมาเรียนปฏิบัติ ตอนเรียนท่านมาปฏิบัติที่พุทธ
มณฑล แต่ท่านไม่ค่อยได้เอาใจใส่ นั่งก็ท�ำไปอย่างนั้นแหละ พอเขาให้ไปปฏิบัติงานไปอยู่
กับชาวเขาในจังหวัดเชียงราย พระท่านบอกว่าไม่ได้วิธีการปฏิบัติวิธีการมาอบรมเขาสอน
เขา อยากจะเอาไปสอนเขา แต่ท�ำไม่ได้ เพราะอะไร เพราะเวลาให้ปฏิบัติ สอนให้ก็ไม่
เอาใจใส่ เวลาครูบาอาจารย์สอนให้ก็ไม่เอา มันเป็นอย่างนี้นะ
เราจะไปช่วยเขาแต่เราก็ต้องได้ก่อน อันนี้วิปัสสนากรรมฐานนั้นจึงจ�ำเป็น เราจะต้อง
ตั้งใจ เราจะต้องให้ได้ เพื่อเป็นเกราะป้องกันตายหรือ ไม่ได้ป้องกันตาย แต่ว่าก่อนที่จะ
ตาย ก็จะได้ท�ำจิตของเราให้เป็นสมาธิก่อน
วิปัสสนากรรมฐานนี้ควรจะมี เพื่อที่จะได้บอกลูกบอกหลาน สอนลูกสอนหลาน
ให้ได้มีการปฏิบัติ แล้วจิตใจของคนก็จะเป็นคนที่ดี เป็นคนมีศีลมีธรรม พูดแล้วก็จริง
ทีว่ า่ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านีก้ อ็ ยากจะให้พระพุทธศาสนานีเ้ ข้ามาอยูใ่ นจิตใจของเรา
จะได้เป็นจิตใจที่มีศีลมีธรรม ไม่ใช่มาปฏิบัติเพื่อจะได้เครื่องรางของขลัง จตุคามนี่ รวย
กันไปเมื่อหลายปีก่อน จตุคามนี่เป็นเทพ เทพนั้นจะต้องเคารพพระสงฆ์ เพราะเทพเป็น
ผู้ที่มีเพียงศีล ๕ เทพเมื่ออยู่บนต้นไม้เมื่อเห็นพระเจ้าพระสงฆ์ไป เทพนี้จะต้องรีบลงมา
อยู่ข้างล่าง จะไปอยู่สูงกว่าพระไม่ได้ แต่นี่พระไปปลุกเสกเทพ มันถูกหรือเปล่าท่านเอาไป
36 วิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔
ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอกราบคารวะพระเถรานุเถระ
และขอความสุ ข สวั ส ดี จ งมี แ ด่ ค ณาจารย์ แ ละอุ บ าสกอุ บ าสิ ก าทุ ก ท่ า น ที่ มี จิ ต ศรั ท ธา
มาประพฤติปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
การปฏิ บั ติ วิ ปั ส สนากรรมฐานเป็ น หลั ก สำ า คั ญ ของพระพุ ท ธศาสนา ถ้ า พระ
พุทธศาสนานี้ไม่มีวิปัสสนากรรมฐานก็ไม่ต่างอะไรจากศาสนาอื่น ๆ ก่อนที่อาตมาจะ
พูดถึงวิปัสสนากรรมฐานก็จะต้องเคลียร์พื้นที่ก่อน
การเคลี ย ร์ พื้ น ที่ คื อ หมายความว่ า อยากให้ ผู้ ป ฏิ บั ติ ทั้ ง หลายได้ เ ข้ า ใจในทาง
พระพุทธศาสนาและหลักธรรมคำาสั่งสอนนี้ก่อน บางทีเราก็เคยได้ยินได้ฟังมาจากคน
อื่นและก็รู้จักวิธีการที่ปฏิบัติดีแล้ว แต่ว่ายังไม่เคยฟังอาตมามาบรรยายให้ฟังก็เป็นได้
คื อ บางคนบางท่ า นก็ อ าจจะเคยได้ ยิ น ได้ ฟั ง เพราะว่ า มาปฏิ บั ติ วิ ปั ส สนากรรมฐานที่ นี่
เป็นประจำาทุกปี อาตมาก็ได้มาให้ข้อธรรมะเพื่อเป็นแนวทางสำาหรับการปฏิบัติวิปัสสนา
กรรมฐาน การเคลียร์พื้นที่นี้ก็หมายความว่าเราจะจัดการจัดงานเราก็ต้องเคลียร์พื้นที่ให้
มันเรียบร้อยดีก่อน อะไรที่มันขาดตกบกพร่องก็จะต้องจัดหามาให้มันดี ยิ่งการจะมา
ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนี้มันก็จะยิ่งละเอียดมาก ๆ ขึ้น
*
พระครูศาสนกิจวิมล (หนูพันธ์ อิสฺสโร) ทีป่ รึกษาพระวิปสั สนาจารย์ เจ้าอาวาสวัดหนองเชียงทูน จ.ศรีสะเกษ บรรยาย
แก่ข้าราชการทหารเรือ ณ มหาจุฬาอาศรม ต.พญาเย็น อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๑
40 วิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔
แต่ก่อนอาตมาก็ไม่ค่อยได้คิดเรื่องแบบนี้ เพราะสมัยที่อาตมาปฏิบัติก็มุ่งที่แต่จะ
กำ�หนด แต่ว่าพื้นที่ของเรา ๆ ไม่ได้เตรียมตัว
ที่ว่าเราไม่ได้เตรียมตัวนั้นก็คือว่า บางคนมาปฏิบัติเพราะเห็นพวกมาก็จะมากับเขา
หรือมากับเขาแต่ว่า มาด้วยความไม่ได้ตั้งใจ เห็นเขาทำ�ก็ทำ�ไป แต่ว่าความเข้าใจในวิธีการ
ปฏิบัตินั้นยังไม่มี แบบนี้ก็จะยากหน่อย เนื่องจากว่าความศรัทธาเป็นเบื้องต้นของเรานั้น
ยังไม่พร้อม ถ้าศรัทธาของเรามีพร้อม การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้นจะต้องพร้อมไป
ด้วยตัวศรัทธานี้
คำ�ว่า ไม่พร้อมนี้ คือความตั้งอกตั้งใจที่จะมาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนี้ไม่ใช่ของ
ง่าย ๆ พระบางรูปที่ไปปฏิบัติที่วัดหนองเชียงทูนก็ดี ที่วิเวกอาศรมก็ดี บอกว่า ผมนี้
ตั้งอกตั้งใจจริง ๆ ที่จะมาปฏิบัติ ผมจะสู้ จะอยู่ให้ตลอดในการปฏิบัติ อาตมาถามว่า
ท่านบวชมากี่พรรษาแล้ว บางรูปก็บอกว่า สิบพรรษา ห้าพรรษา ท่านพร้อมแล้วหรือที่
จะปฏิบัติ พร้อม ผมยินดีเสมอ ผมหาอาจารย์มานานแล้ว ว่าอย่างนั้น พอไปปฏิบัติได้
สองวัน พอวันที่สามนี้ไปตั้งแต่ยังบ่ทันแจ้งเลย ไปรอรถโน้น คิวรถ ตามถนน ไหนว่าท่าน
มาด้วยศรัทธา อย่างนี้มันศรัทธาหัวเต่า บ่ใช่ศรัทธาที่แท้
ศรัทธา คือความเชื่อเลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัยนั้นยังมีน้อย เมื่อมาปฏิบัติแล้ว
เพราะเหตุที่ว่า จิตใจของปุถุชนคนเรานั้นมันไปได้ทุกหนทุกแห่ง อยากจะอยู่ อยากจะฉัน
อยากจะกินเวลาไหนก็ได้ อยากจะเที่ยวฟังเพลงอะไรก็หาได้ แต่ไปปฏิบัติมันไม่ได้ จะฟัง
ข่าวฟังเพลงก็ไม่ได้ให้ฟัง จะไปพูดไปคุยกันก็ไม่ได้จะโทรศัพท์คุยกับคนนั้นคนนี้ก็ไม่ได้
นั่งก็เป็นที่เป็นทาง ให้ทำ�อยู่ทั้งวันทั้งคืน ให้ทำ�อยู่ ๒๐ ชั่วโมง ให้นอนแค่ ๔ ชั่วโมง ก็อยู่
ได้วันเดียวเท่านั้นแหละ ไปแล้ว นี้คือศรัทธาของผู้ปฏิบัติ
อันนี้เรามาแล้วเราก็ต้องตั้งใจอย่างนั้น เพราะวิปัสสนากรรมฐานนั้น เราจะเอา
อย่างที่ใจเราคิดมันไม่ใช่ มีทั้งดีมีทั้งไม่ดี ทั้งที่เป็นคนที่ใจแข็ง นึกว่าจะสู้ เมื่อมาปฏิบัติ
วิปัสสนากรรมฐานแล้วอาตมาก็เห็นร้องไห้กันทุกคน พระก็เหมือนกัน ร้องไห้กันทุกรูป
เพราะมั น มี ส ภาวธรรมเป็ น ไปอย่ า งนั้ น เมื่ อ มี ศ รั ท ธาที่ เ ข้ ม แข็ ง ยึ ด เอาคุ ณ พระพุ ท ธ
พระครูศาสนกิจวิมล วัดหนองเชียงทูน จ.ศรีสะเกษ 41
ฉะนั้น เมื่อเรามาปฏิบัตินี้เราจึงต้องพยายามทำ�ให้จิตใจของตนนั้นหมดจดสะอาด
ปราศจากเครื่องมัวหมอง ต้องค่อย ๆ ชำ�ระ ถึงจะได้บ้างไม่ได้บ้างก็ช่างมัน ก็ค่อย ๆ
ทำ�ไป ฝึกไป นี้จึงจะได้ประโยชน์จากพระพุทธศาสนา หลักธรรมในพระพุทธศาสนานี้
เป็ น ของดี เป็ น ธรรมะที่ ล ะเอี ย ดอ่ อ น ยากที่ เ ราจะทำ � เล่ น ๆ ให้ เ ข้ า ใจให้ ไ ด้ นั้ น ไม่ ไ ด้
มันเป็นของยากจริง ๆ
อาตมาได้พบกับพระสังฆราช ของประเทศศรีลังกา สอบถามท่านเกี่ยวกับการ
ปฏิ บั ติ ท่ า นอธิ บ ายว่ า ทางศรี ลั ง กา ปฏิ บั ติ แ บบอานาปานสติ ซึ่ ง มี ม าในลั ก ษณะนี้
ตั้งแต่ต้น แต่ของบ้านเรานี้สะเปะสะปะ มีพองยุบบ้าง พุทโธบ้าง สัมมาอรหังบ้าง รูปนาม
บ้าง อะไรหลาย ๆ อย่าง มาปนกัน พูดไม่ถูกว่าเขาจะยึดอารมณ์อันใดให้มาเป็นหลัก
ที่แท้จริง ก็ยังบอกไม่ถูก ญาติโยมก็ยังสับสนกันอยู่ในเรื่องเหล่านี้ อันนี้ไม่ได้ไปติฉิน
นินทาใครนะ แต่ได้ยินได้ฟังมาอย่างนี้
ที่ศรีลังกานี้ ท่านเล่าให้ฟังว่า จะต้องสูดลมหายใจเข้ายาว ๆ ก็รู้ว่ามันยาว สูด
ลมหายใจสั้นก็ให้รู้ว่าสั้น แล้วก็ให้ดูที่ (ชี้ให้ดูที่) ช่องจมูก กำ�หนดไปแล้วจะมีอาการโล่ง
หรือบางทีก็จะอึดอัด (ท่านชี้ที่สมอง) ปวดหัว ลมมันอึดอัด ก็ต้องผ่อนลมลง จากนั้น
ท่านพูดถึงเรื่องมรรคมีองค์ ๘ ให้เราเข้าใจว่า จะเป็นภาษาไหนก็ตาม ภาษาธรรมะนั้น
ยังเป็นอันเดียวกัน รู้มรรคผลก็ยังเป็นอันเดียวกัน วิธีการปฏิบัตินั้นหรือภาษานั้นอาจจะ
แตกต่างกัน แต่สภาวธรรมนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ว่าภาษาของเขาจะรู้ไปอย่างอื่น
มรรคมีองค์แปด ท่านพูดให้ฟัง เราเข้าใจได้เพราะเป็นภาษาบาลี เรื่องต้องใช้สติ
เรื่องที่ท่านพูดหลาย ๆ อย่าง แล้วก็มาลงอย่างที่เราทำ�พองหนอ ยุบหนอนี้ ก็มาลงตัว
เดียวกัน วิธีการปฏิบัตินั้นคนละอย่างแต่อารมณ์หรือสภาวธรรมนั้น เกิดเป็นอันเดียวกัน
กับที่เราทำ�กันอยู่ในขณะนี้
วิปัสสนากรรมฐานนั้น ยึดเอามหาสติปัฏฐานทั้ง ๔ ที่มากำ�หนดอานาปานสติก็อยู่
ในสติปัฏฐาน ๔ อันเดียวกัน ดังที่สมเด็จพระสังฆราชศรีลังการท่านพูด แต่มายึดเอา
คนละประเด็ น กั น ที่ ท่ า นพู ด ว่ า หายใจเข้ า สั้ น ก็ ใ ห้ รู้ ว่ า หายใจเข้ า สั้ น หายใจออกยาว
44 วิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔
หลวงปู่เปิดโอกาสให้ญาติโยมได้ถามปัญหา
ถาม : การปฏิบัติต้องมีขั้นตอนอะไร ปฏิบัตินานไหม
ตอบ : ต้องรู้จักอาจารย์ที่สามารถแก้ไขสภาวะอารมณ์ต่าง ๆ ได้ ในบ้านเมืองเรา
อาจารย์ก็ยังมีอยู่หลาย ๆ คน สำ�คัญที่ตัวเราเอง ศรัทธาพร้อมแล้วหรือยัง ถ้าเราพร้อม
แล้วเราก็จะต้องหาอาจารย์พอที่จะแนะนำ�อบรมสั่งสอนเราได้ ท่านพอที่จะแก้อารมณ์
ของเราได้ไหม ใช้เวลานานเท่าไร แล้วแต่เหตุปัจจัย บางคนก็ ๔๐ วัน ๕๐ วัน เดือนหนึ่ง
สองเดือนก็มี ผู้ที่เร็วกว่านั้นมีไหม ก็มี เป็นผู้ที่ปฏิบัติมาก่อนแล้ว ไปปรับอินทรีย์เข้าก็
ปฏิบัติไปได้ก็มี นานไหม บางองค์ก็เป็นพรรษายังไม่ไปก็มี
ถาม : ขอเรี ย นถาม ๒ ข้ อ เรื่ อ งแรก องค์ ๕ ขององค์ ธ รรม วิ ต กวิ จ ารปี ติ สุ ข
เอกัคคตา
ตอบ : ติดองค์ฌาน อันนี้อาตมาไม่เว้า อาตมาจะว่า ติดในสภาวะ ที่เราปฏิบัตินั้น
มันก็มี ถ้าพูดถึงฌาน กลับไปถึงเรื่องฌานก่อน วิปัสสนากรรมฐานที่ทำ�อยู่นี้ บางคนก็
ถามว่า เป็นสมถะหรือวิปัสสนา ก็แรก มันก็เป็นสมถะ ต่อเมื่อมีสภาวธรรมญาณสูงขึ้น
รูปนามก็รู้ได้ชัดเจน ตรงนั้นละอัตตา ทิฏฐิมานะได้ จึงจะเป็นองค์ฌานและจะขึ้นไปสู่
วิปัสสนาญาณ แต่เบื้องแรกก็เป็นสมถะ พองหนอยุบหนอก็เป็นสมถะ ถ้าเรากำ�หนดว่า
พองหนอยุบหนอ ๆ ๆ หูได้ยินเสียงไม่เอา กำ�หนดแต่พองหนอยุบหนอ ๆ ๆ เจ็บปวด
มึนชาไม่เอา พองหนอยุบหนอ ๆ ๆ อันนี้ก็เป็นสมถะ นี้มันก็ติดอยู่นั่น พอเขาจะถอน
ออกมันเข้าไปอุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ แล้วมันก็เข้าฌาน และเราก็ไม่รู้ว่าอันไหนเป็น
ตัวฌาน อันไหนเป็นตัวกำ�หนดพองหนอ ยุบหนอ ก็ไปติดในพองหนอยุบหนออยู่ แต่มัน
เข้าไปในองค์ฌานนั้น ก็ติดในฌานนั้น นี่ สภาวะของมันเป็นไปอย่างนั้น ติดในองค์ฌาน
แล้วก็ถอนไม่ขึ้น ออกมาก็นั่งไม่ได้ ไปไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่า ติดในองค์ฌานของวิปัสสนา
กรรมฐาน เป็นอันตรายต่อผู้ปฏิบัติ จะแก้ก็ต้องอยู่กับอาจารย์ หรืออาจารย์จะต้องแนะนำ�
เรื่องปีติ สุข เอกัคคตา ก็อธิบายให้ฟังได้อยู่ แต่ต้องทำ�ก่อน ถ้ามาถามตามหนังสือ
หนั ง สื อ นั้ น ต่ า งกั น มาก ๆ กั บ วิ ธี ที่ เ รามาทำ � เราไม่ เ ข้ า ใจเลยล่ ะ ว่ า สุ ข เอกั ค คตานั้ น
52 วิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔
การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
เคร่งเกินไปก็ไม่ดี จะเครียด
ปล่อยอารมณ์มากไปก็ไม่ได้ จะฟุ้งซ่าน
ต้องค่อย ๆ ตะล่อม ค่อย ๆ กำาหนด ค่อย ๆ สำารวม
เหมือนกับจับปลาดุก ต้องค่อย ๆ จับ
ค่อย ๆ ตะล่อม ดูหัว ดูตัว ดูหาง
ถ้าระวังไม่ดีเงี่ยงปลาดุกจะปักมือเอา
พระครูศาสนกิจวิมล
56 วิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔
๓
รูเ้ อง เห็นเอง แจ้งเอง *
ความเห็นของบางคนจะเป็นอย่างนั้น แต่ความเป็นจริงพระธรรมค�ำสั่งสอนของพระ
พุทธองค์นั้นไม่ได้สูญหายไปไหน ถ้าเรามีความเพียรมีวิริยะ อุตสาหะพยายามท�ำอยู่
มรรคผลนิพพานนั้นยังมีอยู่ ไม่ได้หายไปไหน ไม่ได้หายจากโลก ผู้ปฏิบัติจริงท�ำจริงย่อม
เห็นอยู่ ย่อมได้อยู่ เป็นลักษณะอย่างนั้น
คือผู้ที่พูดอย่างนั้น เขาเองก็ไม่เคยได้ปฏิบัติ ไม่เคยรู้พระพุทธศาสนาดีพอควร
หรือจะพูดว่า เขานับถือศาสนาเพียงแค่แต่ในทะเบียนบ้านก็ได้ ถ้าเราไม่เข้าใจก็จะเป็น
อย่างนั้น แต่ถ้าเราเข้าใจ เราก็ไม่เป็นอย่างนั้น
แนวทางปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้นสมควรอย่างยิ่งที่เราจะต้องเข้าใจ เราจะต้อง
ให้รู้ เราจะต้องให้ได้เพราะเหตุที่ว่า พระพุทธศาสนานี้เกิดขึ้นมาไม่ใช่จะเป็นของง่าย ๆ
เรานี้จะได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาและได้มาปฏิบัตินี้ก็เป็นของที่ท�ำได้ยาก เป็นของที่
หาได้ยาก บ้านอื่นเมืองอื่นศาสนาอื่นก็อยากจะได้แต่ว่าไม่รู้วิธี ไม่มีครูอาจารย์ที่จะอบรม
สั่งสอนชี้แนะแนวทางให้ ก็เลยไม่ได้พระพุทธศาสนานี้เข้าไปเป็นข้อวัตรปฏิบัติ
เรื่องการให้ทาน รักษาศีลนี้ ศาสนาอื่นเขาก็มี ถ้าเราเข้าใจว่า พระพุทธศาสนาของ
เรานั้นดี เราก็ควรที่จะปฏิบัติ และเมื่อเราปฏิบัติแล้วเราจะรู้เอง เราจะเห็นเอง รู้ธรรม
รู้ตามความเป็นจริงที่เขาเกิดขึ้น หรือบางคนที่ไปท�ำบุญท�ำทาน แล้วก็ปรารถนาเอาว่า
ขอให้ข้าพเจ้านี้ได้พบพระศรีอริยเมตไตรย ขอให้ข้าพเจ้านี้ได้เห็นธรรมของพระศรีอริย
เมตไตรย แล้วพระพุทธศาสนาที่เราถืออยู่นี้ เราไม่เข้าใจหรือที่เราจะต้องไปเอาในชาติหน้า
ทั้งที่ในชาตินี้มันมีอยู่ ข้อวัตรปฏิบัติก็มีอยู่ จ�ำเป็นจะต้องไปปรารถนาเอาในพระศรีอริย
เมตไตรยในภายภาคหน้า นี้ขอฝากเป็นข้อคิด
อีกอย่างหนึ่ง บางคนท�ำแล้วก็ปรารถนาพุทธภูมิ ขอให้ข้าพเจ้านี้ได้เป็นพระพุทธเจ้า
ในอนาคตกาลภายภาคหน้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านได้มาตรัสรู้นี้ท่านก็ได้บ�ำเพ็ญ
บารมีมา สี่อสงไขยแสนมหากัป จึงได้มาเป็น แล้วเกิด ๆ ตาย ๆ อยู่อย่างนั้นนับไม่ถ้วน
ท่านจึงได้มาตรัสรู้ ท่านแสวงหามาอย่างนั้นแล้วจึงได้ธรรมะนี้มาให้เราแล้ว ท�ำไมเราจึงจะ
ต้องไปเอาอย่างนัน้ อีก ท�ำไมไม่ปฏิบตั ติ ามแนวนี้ ตามค�ำสอนนีใ้ ห้เข้าใจแล้วเราก็จะได้เห็น
66 วิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔
ฉะนั้น ผู้ที่บอกว่าพระพุทธศาสนานั้นไม่มีอริยมรรคไม่มีอริยผลนั้นก็ต้องไปปฏิบัติ
ดูก่อนจึงจะรู้ ถ้าอยากจะพ้นทุกข์จริง ๆ ก็ไปแบบนี้ แบบที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัส
ไว้มีอยู่ ไม่ใช่ท่านพูดเล่น ๆ ไม่ใช่พูดเพื่อเอกลาภ พระธรรมคำาสอนของพระองค์นั้นมีอยู่
เป็นอยู่อย่างนั้น
ที่เรามาทำานี้เพียงแค่เบื้องต้นก็ว่าได้ เมื่อมีโอกาสมีเวลา ถ้าอยากจะพ้นทุกข์ก็
ต้องหาสถานที่ ครูบาอาจารย์ที่จะรู้แนวทางในการปฏิบัตินี้ จะได้อบรมสั่งสอนให้เราได้
เข้าใจในข้อวัตรปฏิบัตินั้น ๆ
ที่ได้บรรยายมานี้ก็เห็นสมควรแก่เวลา ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ท่านทั้งหลาย
ขอให้ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้เจริญในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้รู้แจ้ง
เห็นจริงในธรรมของพระองค์ทุกท่านทุกคนเทอญ
สิ่งที่น่ากลัวที่สุด
คือการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ
เพราะฉะนั้น ทุกข์โทษใด ๆ ก็ไม่น่ากลัวเท่า
พระครูศาสนกิจวิมล
70 วิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔
๔
เห็นทุกข์ รู้ทุกข์
เห็นธรรม รู้ธรรม*
เวทนาที่เกิดขึ้นในขณะปฏิบัตินี้
หากเกิดเพราะโรคภัยไข้เจ็บ
เวลาออกจากสมาธิแล้วก็ไม่หาย
แต่เวทนาที่เกิดขึ้นเพราะสภาวธรรม
พอเลิกจากการนั่งสมาธิแล้วจะหาย
ไม่มีการเจ็บปวดมึนชาอะไร
พระครูศาสนกิจวิมล
88 วิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔
๕
วิปสสนากรรมฐาน
ตามแนวสติปฏฐาน ๔*
อันใดจากพระพุทธศาสนาที่ชาวโลกทั้งหลายเขาก็รู้เหมือนกันกับเรานี้ เขาก็มีความรู้สึก
เหมื อ นกั บ เราอยู ่ นี้ แต่ ว ่ า เขาจะได้ พ บพระพุ ท ธศาสนาหรื อ เขาจะได้ น�ำพระธรรม
ค�ำสอนทางพระพุทธศาสนานี้ไปใช้หรือไม่ แต่พวกเรานี้ได้ ได้เพราะการประพฤติปฏิบัติ
นี้เอง แต่ถ้าเราไม่ได้มาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนี้แล้ว เราก็จะไม่ได้ประโยชน์จาก
พระพุ ท ธศาสนา เราเกิ ด มาเป็ น มนุ ษ ย์ นี้ ถู ก ต้ อ งแล้ ว พบพระพุ ท ธศาสนานั้ น คื อ
บางประเทศบางชาติ ก็ ไ ม่ ไ ด้ เ ข้ า ถึ ง ไม่ ไ ด้ ป ฏิ บั ติ เห็ น อยู ่ มี อ ยู ่ พระเจ้ า พระสงฆ์ มี อ ยู ่
แต่ว่าไม่ได้ประโยชน์จากพระเจ้าพระสงฆ์ ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
รู้น้อยเห็นน้อย ฉะนั้น ที่เรามาปฏิบัตินี้ เราได้ประโยชน์จากพระพุทธศาสนา อันเป็น
ของที่ลึกซึ้งและละเอียดอ่อนมาก การปฏิบัตินี้ ผมพูดไปก็ดูเหมือนจะลึก ๆ ไปเรื่อย ๆ
ดูเหมือนจะเข้าใจกันได้ยาก แต่ถ้าจะพูดให้ละเอียดมาก ก็จะต้องใช้เวลาหลาย ๆ ชั่วโมง
จึงจะฟังเข้าใจได้ละเอียด ดังนั้นผมก็จะพูดเพียงคร่าว ๆ เพื่อให้เข้าใจในหลักการปฏิบัติ
เพราะว่าการปฏิบัตินั้นมีหลายระดับหลายอย่าง มีสภาวะเป็นไปต่าง ๆ ซึ่งผู้มาปฏิบัติ
ก็จะพบเห็นสภาวธรรมต่าง ๆ ที่ผมพูดมาก็เพียงแค่ว่า กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา
เวทนานุปัสสนา ก็คือการรู้อาการเจ็บปวดมึนชา ที่มันเกิดขึ้นตามสภาวะอาการ
ต่าง ๆ ที่เราเป็น ที่เราเห็น เป็นเพราะเรานั่งมากใช่มั้ย ไม่ใช่ เป็นเพราะการปฏิบัตินั่นเอง
เมื่อเราท�ำแล้วสภาวธรรมนี้จะเกิดขึ้นมาก ๆ แก่ตัวเรา การเจ็บปวดมึนชาก็จะตามมา
ที่พูดว่าเวทนานุปัสสนานี้ ก็คือสภาวธรรมที่เกิดขึ้น เราปฏิบัติ ๆ ไปแล้วก็จะเห็นการ
เจ็ บ ปวดมึนชา การเจ็บปวดมึนชานี้ก็จะมีหลาย ๆ ลักษณะที่ผู้ปฏิบัตินี้จะได้พบเห็น
เวทนาที่ เ กิ ด ขึ้ น นี้ หากเกิ ด เพราะเป็ น โรคภั ย ไข้ เ จ็ บ เวทนานี้ มั น จะเจ็ บ ปวดและ
ก� ำ เริ บ ขึ้ น เวลาออกจากสมาธิ แ ล้ ว ก็ ไ ม่ ห าย แต่ เ วทนาที่ เ กิ ด ขึ้ น เพราะสภาวธรรม
ขณะที่นั่งอยู่นี้มันจะเจ็บจะปวดมาก คิดไปว่าจะต้องเข้าโรงพยาบาลแน่นอน แต่พอเลิก
จากการนั่งสมาธิ เขาก็หายสบาย ไม่มีการเจ็บปวดมึนชาอะไร ลักษณะอย่างนี้เรียกว่า
เป็นสภาวธรรมในเวทนานุปัสสนา
ส่วนจิตตานุปัสสนา คือจิตที่คิดไปในอารมณ์ต่าง ๆ คิดไปตามอารมณ์ต่าง ๆ
มันจะเกิดอยู่ในญาณแต่ละญาณ บางญาณก็เกิดน้อย บางญาณก็เกิดมาก บางญาณนี่
เกิดเอามาก ๆ จนที่ว่าถ้าผู้ที่เป็นเจ้าอาวาสมาก่อนนี้ พอมาปฏิบัติแล้ว จิตตานุปัสสนา
94 วิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔
การกําหนดจะตองทําจิตใหเปนกลาง ๆ
ไมตองไปหยั่งลงลึกวาจะตองใหรูอยางนั้น
จะตองใหรูอยางนี้
พระครูศาสนกิจวิมล
100 วิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔
๖
พายเรือข้ามฟาก
พากายใจข้ามวัฏสงสาร*
ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอกราบคารวะพระเถรานุเถระ
ขอความสุขสวัสดีแก่พระโยคาวจรทุกท่าน ขอเจริญพรโยคีทุกคน จะนั่งสมาธิไปเลย
ก็ ไ ด้ คื อ เราก็ ฟ ั ง ไปด้ ว ย จะกำ า หนดไปด้ ว ยนั้ น จะดี มี ป ระโยชน์ สำ า หรั บ คำ า บรรยาย
ของกระผม ไม่ ไ ด้ ม าต่ อ เนื่ อ ง เนื่ อ งจากว่ า ทางวั ด มี ธุ ร ะ ปกติ ถ ้ า ผมมาแล้ ว ก็ ไ ม่ ก ลั บ
แต่คราวนี้มันจำาเป็นมีสองเรื่องที่มันติดต่อกัน เรื่องหนึ่ง คือ เรื่องการทอดผ้าป่า เป็น
คนที่คุ้นเคยกันนานแล้วตั้งแต่พ่อแม่ของเขา พอมารุ่นลูกก็อยากมาทำาความสนิทสนม
ให้มันต่อเนื่อง เรื่องที่สองก็คือ เรื่องการเกิดการตายเป็นธรรมดา ในฐานะที่เป็นน้อง
เขาเพิ่งออกป่า ภาษาอีสานเรียกออกป่า พรุ่งนี้เขาก็รวมทำาบุญ แต่ว่าเราอยู่ไม่ได้ ที่เรามานี้
ทุ ก ท่ า นก็ ม าทำ า บุ ญ คื อ การทำ า บุ ญ ด้ ว ยอามิ ส นั่ น อย่ า งหนึ่ ง ที่ เ รามาทำ า บุ ญ ด้ ว ยการ
ปฏิบตั สิ ติปฏั ฐานทัง้ ๔ บุญอันนีจ้ ะได้มากกว่าทีท่ าำ ด้วยอามิส คือการปฏิบตั ไิ ม่ได้ปฏิบตั ไิ ป
เพื่ อ บุ ค คลอื่ น ปฏิ บั ติ ใ ห้ ไ ด้ เ ฉพาะตนเฉพาะตั ว คื อ การมาปฏิ บั ติ นี้ เ อาตั ว ของเรานี้
เป็นเดิมพัน คือเป็นที่ตั้งคือตั้งสติปัฏฐานทั้ง ๔ คือเอากายานุปัสสนา คือเอาร่างกายนี้เป็น
ที่ตั้ง แล้วก็เอาเวทนานุปัสสนาเป็นที่ตั้ง เอาจิตตานุปัสสนาเป็นที่ตั้ง เอาธรรมานุปัสสนา
เป็นที่ตั้ง
*
พระครูศาสนกิจวิมล (หนูพันธ์ อิสฺสโร ) ที่ปรึกษาวิปัสสนาจารย์ เจ้าอาวาสวัดหนองเชียงทูน จ.ศรีสะเกษ
บรรยายแก่นิสิตปริญญาโทและปริญญาเอก มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ณ มหาจุฬาอาศรม
ต.พญาเย็น อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๐
102 วิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔
กายานุปัสสนานั้นเอาร่างกายของเรานี้เป็นที่ตั้ง คือที่ท่านให้ก�ำหนดอารมณ์พองหนอ
ยุบหนอนั้น นี้คือร่างกายแต่ทุกคนก็เข้าใจว่า รู้แล้วว่าเอาร่างกายนี้เป็นที่ตั้ง แต่ยังไม่เข้าใจ
ในหลักของธรรมที่แท้จริง คือรู้อยู่ว่ากายานุปัสสนา พิจารณากายในกาย คือท่านให้เอา
กายนี้เป็นที่ตั้ง แล้วก็เอาสตินี้เป็นตัวที่รู้ ถ้าอุปมาก็เปรียบเหมือนว่า เรือนี้เราจะข้ามฟาก
ก็ ต ้ อ งอาศั ย เรื อ นั้ น ไป ตั ว เราที่ เ ป็ น คนพาย อุ ป มาเหมื อ นตั ว สติ ถ้ า เรามี ส ติ ที่ มั่ น คง
เราก็ พ ายเรื อ นั้ น ไปได้ ต รง แต่ ถ ้ า เราพายเรื อ ไม่ ไ ด้ ต รงก็ เ พราะสติ ข องเรานั้ น ยั ง
ฟั่นเฝืออยู่ยังไม่มั่นคง ดังนั้น ท่านจึงให้ก�ำหนดอิริยาบถเล็ก ๆ น้อย ๆ เพิ่มเติมเข้ามา
เช่น การคู้ เหยียด ก้ม เงย ดื่ม เคี้ยว ฉัน นี้เป็นอิริยาบถเล็ก ๆ น้อย ๆ และนอกนั้น
เราก็ ใ ช้ อ ายตนะภายใน ๖ (ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ) อายตนะภายนอก ๖ (รู ป
เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธรรมารมณ์ ) รวมเป็ น ๑๒ นี้ เ ราก็ เ ข้ า ใจกั น ดี อ ยู ่ แต่ ว ่ า
เมื่ อ มาท�ำแล้ ว มั น ไม่ ไ ด้ อ ยู ่ เ ป็ น ปกติ อ ย่ า งที่ เ รานึ ก มั น มั ก จะไปตามอารมณ์ ต ่ า ง ๆ
อารมณ์เก่าบ้าง อารมณ์ใหม่บ้าง บางทีมันก็เอาไม่อยู่ เพราะสตินั้นไม่มั่นคง เพราะฉะนั้น
จึงให้ก�ำหนดอิริยาบถเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เพื่อว่าให้สตินั้นมั่นคง
สตินั้นเป็นตัวก�ำกับ ท่านมีอุปมาไว้หลาย ๆ อย่าง เช่นอย่างที่ว่า อุปมาเหมือนกับ
นายสารถีเป็นผู้ขับรถเทียมด้วยม้า ๔ ตัว ม้า ๔ ตัวนั้น ได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สมาธิ
ปัญญา ศรัทธา กับ ปัญญา เป็นคู่กัน วิริยะ กับ สมาธิ เป็นคู่กัน ส่วนสตินั้น อุปมา
เหมื อ นกั บ นายสารถี ที่ ถื อ เชื อ ก เวลาเราก�ำหนดไป เชื อ กมั น จะขาดอยู ่ เ รื่ อ ย ๆ ดึ ง
ไม่ ทั น เพราะตั ว สติ นี่ มั น มั ก จะขาด ก�ำหนดไม่ ค ่ อ ยทั น เป็ น อยู ่ ใ นลั ก ษณะอย่ า งนั้ น
แต่ ก็ ยั ง ไม่ อ ยากจะพู ด อย่ า งนั้ น มาก อยากจะท้ า วความเรื่ อ งที่ เ ราปฏิ บั ติ ผ ่ า นมาแล้ ว
ตั้งแต่วันที่ ๖ ถึงวันที่ ๑๑ นี้ก็หลายวันแล้ว เมื่อมาปฏิบัติแล้วบางคนอาจจะสงสัยว่า
ใช่เป็นรูปนามหรือไม่ ตอบโดยตรงว่า เป็น ปฏิบัติแบบนี้เป็นสมมุติ เป็นบัญญัติมั้ย
ตอบได้ว่า เป็น เพราะว่า ที่เราก�ำหนดว่ารูปนามนั้น พอเราก�ำหนดพองหนอ ยุบหนอ
เราก็เห็นรูป เห็นนาม เห็นความไม่เที่ยงของสังขารมีอยู่ เช่น บางคนขณะที่ก�ำหนดเดินอยู่
มันจะเปลี่ยนอยู่เสมอ ๆ จากขวาเป็นซ้าย ซ้ายเป็นขวา ลักษณะอย่างนี้เรียกว่า รูปนาม
นี้เปลี่ยนแปลงไป แล้วเป็นสมมุติมั้ย เป็นบัญญัติมั้ย เป็น สมมุตินี้ที่เราท�ำพองหนอ
ยุบหนอก็เป็นสมมุติขึ้น เพื่อให้ส�ำรวมจิต ส�ำรวมสมาธิ ถ้าเราไม่ส�ำรวมจะอยู่ในอารมณ์
นั้นหรือไม่ ไม่อยู่
พระครูศาสนกิจวิมล วัดหนองเชียงทูน จ.ศรีสะเกษ 103
ตามที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงวางรากฐานพระศาสนาเอาไว้ เมื่อคนทั้งหลาย
ปฏิบัติตามแนวทางที่พระองค์ทรงวางไว้นั้น ก็จะได้บรรลุธรรมเหล่านี้ แล้วท�ำไมจึงจะ
ต้องมีหลาย ๆ อย่างที่ให้พวกเราได้ปฏิบัตินี้ คือท่านเห็นว่า ตามจริตของคน จริตทั้ง ๖
อย่าง แล้วแต่ใครจะมีจริตไปทางไหน ราคะ โทสะ โมหะ มีอยู่ ข้อปฏิบัติตามแนวทาง
กสิณ ๑๐ อสุภ ๑๐ กรรมฐาน ๔๐ นั้นมีอยู่ ท่านก็ทรงบัญญัติไว้ แต่มันเป็นทางที่โค้ง
ไม่ได้บรรลุธรรมได้ง่าย ๆ เว้นไว้แต่ผู้ที่มีบุญบารมีที่เขาท�ำไว้ไปบ�ำเพ็ญเข้า ผลสุดท้าย
ก็วกเข้ามาวิธีที่จะท�ำให้พ้นทุกข์ด้วยการปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติ
ตามสติ ป ั ฏ ฐานเลย นี้ เ รี ย กว่ า เป็ น ผู ้ ป ฏิ บั ติ ท างตรงไม่ ไ ด้ อ ้ อ ม ส่ ว นผู ้ ที่ จ ะไปบ�ำเพ็ ญ
ตามกสิณ ตามจริตของตน แล้วเรียกว่า ปฏิบัติตามแนวกรรมฐาน ๔๐ นั้น ก็ท�ำจน
กระทั่งได้ฌาน แล้วจึงจะมาเข้าวิปัสสนาญาณ เมื่อไหร่จะได้อันนี้บอกไม่ถูก ท�ำอยู่นานมั้ย
ก็แล้วแต่บุญบารมีของเขา อาจจะท�ำนานก็ได้ ไม่นานก็ได้ แล้วแต่ที่เขาบ�ำเพ็ญมา ส่วน
พวกเดรัจฉานวิชาที่ไปเรียนมาแล้วได้อิทธิฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้ เสกเป่าให้เป็นนก
เป็นกระต่ายอะไรก็ได้ อันนั้นไม่ใช่ธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการ
อวดกันเฉย ๆ ไม่ได้เป็นประโยชน์อะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญสิ่งนี้
ท่านทั้งหลายได้เรียนมาแล้ว รู้มาแล้วเปรียญธรรม ๗-๘-๙ ประโยค ท่านเข้าใจในเรื่อง
อย่างนี้ รู้หมดแล้ว แต่ท่านยังไม่รู้สภาวธรรมเท่านั้นเอง เมื่อมาปฏิบัติแล้ว เห็นสภาว
ธรรมที่เกิดขึ้น เราก็เลยไม่ได้เข้าใจในเรื่องเหล่านั้น
ค�ำว่า สภาวธรรมนี้ ผู้ปฏิบัติแล้วเท่านั้นจึงจะรู้เห็น และเข้าใจได้ดีตามสภาวะของ
ตน กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธรรมานุปัสสนา ตัวที่ว่าสภาวธรรม
นี้ พูดยากหน่อย แต่ผู้ปฏิบัตินั้นต้องประสบมา เช่น นั่งอยู่แล้วตัวโยกตัวคลอนแล้วลืม
สติไป หรือนั่ง ๆ แล้ว พอง ยุบ ขาดหายไป บางทีก็ช้า ๆ บางทีก็เร็ว ๆ แล้วสติของเรา
ไม่มั่นคง ก็เลยว่าก�ำหนดไม่ได้ ท�ำไม่ได้ ก็เกิดโลภะ โทสะ โมหะ ตัวโลภะ โทสะ โมหะ
นี่ครอบง�ำให้เกิดได้ทุกเวลา เช่น ในบัลลังก์นี้ก�ำหนดได้ดี จะรักษาอารมณ์อันนี้ไว้ให้ได้
เรียกว่าท�ำความเพียรมาแล้ว พยายามจะให้ได้อารมณ์อย่างนี้ ๆ อีก นึกอย่างนี้ก็จะท�ำให้
ติดต่อกัน ทีนี้ไอ้ตัวโลภะอยากได้ก็เข้ามาแทรก อยากให้มันได้อารมณ์อย่างนี้ตลอดไป
108 วิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔
ที่ ผ มพู ด มาแล้ ว เห็ น ว่ า ท่ า นทั้ ง หลายก็ ท�ำกั น มาทั้ ง วั น ท่ า นก็ เ หน็ ด เหนื่ อ ย
พอสมควร แต่ก็อยากจะให้พยายามท�ำไปเรื่อย ๆ แล้วก็ดูไป ดูแล้วไม่ต้องน�ำไปคิด
มันจะกลายเป็นวิปัสสนึก ดูแล้ว เห็นแล้ว รู้แล้ว ก็ก�ำหนดตามสภาวะอารมณ์นั้น บางที
นั่ง ๆ อยู่ ก็โยกไป โยกมา เซซ้าย เซขวา บางทีพื้นปูนนี้เหยียบไปก็ยุบไป นั่นคือเรารู้
สภาวธรรม ไม่ใช่กระเบื้องมันจะเป็นอย่างนั้น ในร่างกายของเรานี้มันก็เป็น เมื่อเรา
ก�ำหนดได้ดี อยู่ ๆ มันก็จะเหน็ดเหนื่อย ขี้คร้านจะก�ำหนด บางทีก็ไปนั่งพิงเสาบ้าง
ท�ำให้เราไม่เห็นสภาวะให้เรานั่งตัวตรง ๆ บางคนบอกว่านั่งไม่ได้ นั่งไป ๆ แล้วหลังมัน
ค่อมลง ๆ หรือนั่ง ๆ อยู่แล้วน�้ำลายไหล นั่นคือเรารู้ เราเห็นสภาวธรรมตามความเป็น
จริง รู้อย่างนั้น เห็นอย่างนั้น ให้ท�ำยังไง ให้ก�ำหนดตามสภาวะที่เขาเกิดขึ้น นี้คือเราเห็น
ตามความเป็นจริงเห็นตามสติปัฏฐาน ๔ ที่มันเป็นอย่างนั้นเพราะปฏิบัติถูกทาง ศรัทธา
วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เกิดขึ้นแล้ว
เมื่อเรามีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ครบทั้ง ๕ อย่างนี้พร้อมกัน สภาวธรรม
ก็จะเกิดขึ้น แต่ถ้าศรัทธาตก คออ่อนแล้วนี่ ถ้าเรามีความเพียรไม่ดี บางทีก็นั่งไปแล้ว
ก็ง่วงเหงาหาวนอน นั่งไม่ได้ จะหลับอย่างเดียว ให้ลุกขึ้นเดินจงกรมใหม่ จะถึงเวลา
หรื อ ยั ง ไม่ ถึ ง เวลาก็ ต ้ อ งลุ ก ให้ วิ ริ ย ะของเรามั น แข็ ง กล้ า ขึ้ น สมั ย พุ ท ธกาลก็ มี ท่ า น
พระโมคคัลลาน์ ท่านก็ง่วง นั่งไม่ได้จะหลับ เดินจงกรมก็ไม่ได้ จะหลับ พระพุทธเจ้า
ท่านก็ให้แก้ ต�ำรับต�ำราก็เขียนเอาไว้ ท่านไม่ให้ติดในอารมณ์นั้น นี้คือสภาวธรรมที่เรารู้
ไม่ใช่ไปปฏิบัติวิปัสสนา ๑๕ วันนี้ไม่ได้อะไรเลย ที่จริงได้อยู่ แต่เราไม่รู้สภาวะตาม
ความเป็นจริงก็ฝากไว้ให้ท่านพิจารณา
ผมได้บรรยายมาพอสมควรแก่เวลา ขอคุณพระศรีรัตนตรัยเป็นที่พึ่งปกปักรักษา
ท่านทั้งหลาย ขอให้ท่านทั้งหลายได้บรรลุมรรคผลทุกท่านทุกคนเทอญ
พระครูศาสนกิจวิมล วัดหนองเชียงทูน จ.ศรีสะเกษ 111
จิตไม่อยู่ในอารมณ์ที่กำาหนด
เรียกว่าไม่อยู่ในอารมณ์ปัจจุบัน
พระครูศาสนกิจวิมล
112 วิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔
๗
เห็นไตรลักษณ์ถึงไตรรัตน์ *
ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอคารวะพระเถรานุเถระ ขอ
ความสุขสวัสดีแด่เพื่อนภิกษุสหธรรมิก โยคีทั้งหลาย ขอเจริญพรญาติโยมโยคีผู้ปฏิบัติ
ธรรมทั้งหลาย การบรรยายธรรมะ เป็นครั้งที่ ๓ ที่ได้บรรยายกันติดต่อมา ทั้งนี้ก็เพราะว่า
อยากจะให้เข้าใจในข้อวัตรปฏิบัติในหลักธรรมการปฏิบัติที่เราปฏิบัติพองหนอ ยุบหนอ
อยากจะให้เข้าใจชัดเจนมากขึ้นตามสภาวธรรม แต่ทางพวกพระท่านอยากจะให้เล่าเรื่อง
ประวัติที่เคยได้ยินได้ฟังกันมาก่อนแล้ว ว่ามีประวัติอะไรที่มันขำา ๆ มันน่าฟัง เป็นการ
ผ่ อ นคลายอารมณ์ ที่ ไ ด้ ทำ า มาแล้ ว เรี ย กว่ า มั น เครี ย ด ๆ อยู ่ ชั ก จะอยากฟั ง สิ่ ง ที่
แปลก ๆ ครับ ก็เอาไว้ตอนท้ายก็แล้วกัน
คือการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น ถ้าเราเข้าใจไม่ลึกซึ้ง นี้เราจะปฏิบัติได้ยาก
คำ า ว่ า ปฏิ บั ติ ด ้ ว ยความลึ ก ซึ้ ง นั้ น คื อ รู ้ ข ้ อ ธรรมที่ เ ราต้ อ งการ ที่ เ ราต้ อ งการนั้ น เพื่ อ
ประโยชน์อันใด ที่เรามาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น มันมีประโยชน์อย่างไร เราจึงจำาเป็น
จะต้องปฏิบัติ ถ้าเราไม่ต้องปฏิบัติไม่ได้หรือ นี้เป็นปัญหาที่เราข้องใจกันอยู่ในการปฏิบัติ
และที่ พู ด ถึ ง มหาจุ ฬ าลงกรณราชวิ ท ยาลั ย ที่ ใ ห้ เ ราปฏิ บั ติ นี้ จำ า เป็ น อย่ า งไรหรื อ จึ ง จะ
ต้ อ งบรรจุ เข้าในหลักสูตร ทั้งเหน็บ ทั้งหนาว อยู่ในกลางป่าดงพญาเย็นแห่งนี้ อันนี้
*
พระครูศาสนกิจวิมล (หนูพันธ์ อิสฺสโร ) ที่ปรึกษาวิปัสสนาจารย์ เจ้าอาวาสวัดหนองเชียงทูน จ.ศรีสะเกษ
บรรยายแก่นิสิตปริญญาโทและปริญญาเอก มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ณ มหาจุฬาอาศรม
ต.พญาเย็น อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๐
114 วิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔
เมื่อพูดถึงสภาวะก็มานึกถึงว่า สมัยพุทธกาลโน้นเพียงแค่ฟังเทศน์ไม่นานเท่าไรก็ได้
บรรลุเป็นพระอรหันต์ โสดา สกทาคามี มันเป็นได้สองอย่าง คือ อานุภาพของสมเด็จ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้เป็นอันที่หนึ่ง ที่จะท�ำให้ผู้ฟังธรรมนั้นบรรลุธรรมได้เร็ว อันที่ ๒
ก็คือ บุญกุศลของผู้ที่ปฏิบัติเอง เคยปฏิบัติมาแล้วแต่ว่าไม่ได้ท�ำติดต่อกัน ก็เลยยังไม่ได้
บรรลุ ไม่ได้เห็นธรรม ที่เราท�ำอยู่ในขณะนี้ จะหายไปมั้ย จะหมดไปไหม ไม่ได้หาย ไม่ได้
หมดไป
อุ ป มาสมั ย นี้ เ ขามี เ ครื่ อ งคอม พองหนอ ยุ บ หนอ บุ ญ กุ ศ ลนั้ น ก็ ถู ก บั น ทึ ก ไว้
บันทึกไว้จนกระทั่งถึง นิพพาน เมื่อใดที่มีโอกาสก็จะได้บรรลุธรรม เอาของเก่า เอา
บุ ญ กุ ศ ลเก่ า นี้ อ อกมา เป็ น จริ ง หรื อ ไม่ เ ป็ น จริ ง นี้ มี ค�ำค้ า นมา เป็ น จริ ง ถ้ า ไม่ เ ป็ น จริ ง
องค์ ส มเด็ จ พระสั ม มาสั ม พุ ท ธเจ้ า ก็ ม านึ ก ถึ ง ผลทานของตนเองตอนที่ อ ยู ่ ที่ บั ล ลั ง ก์
ใต้ต้นโพธิ์นั้น พญามารมาถามว่า อะไรใครเป็นพยานให้เธอมานั่งอยู่นี้ พระพุทธเจ้าก็ชี้
ที่แม่พระธรณีนี้เป็นพยาน แล้วก็เกิดเป็นน�้ำท่วมเป็นบุคลาธิษฐาน อันนี้บุญกุศลที่เรา
มาท�ำอยู่ในขณะนี้ ก็เป็นการบันทึกเอาไว้ พองขึ้นมาเราก็ก�ำหนดพองหนอ ยุบลงไปเรา
ก็ก�ำหนดยุบหนอ นี้เป็นเครื่องคอมที่จะบันทึกเอาไว้ แต่เครื่องของท่านอย่าได้ไปใส่อันที่
ไม่ดีไปด้วย จิตอย่าให้ขุ่นมัว ต้องให้เป็นจิตที่เลื่อมใสศรัทธาอยากจะได้อยากจะรู้ พองขึน้
มาก็ก�ำหนด พองหนอ พองหนอ นี้ ศีล สมาธิ ปัญญาของเราก็มพี ร้อม สติของเราก็พร้อม
ปัญญาของเราก็มี รู้สภาวะอาการของท้องพอง รู้สภาวะอาการก่อนที่มันจะดับ มันเกิดขึ้น
มันตั้งอยู่ มันดับไป เราก็รู้ อันนี้เป็นเครื่องคอมที่เราจะบันทึกของเราเอาไว้
เคยถามหลวงพ่ออาสภะว่า ที่ก�ำหนดนี้เราได้อานิสงส์มากน้อยแค่ไหน ท่านบอก
ว่า เราได้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้มานับไม่ถ้วนแล้ว แต่ที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์
พบพระพุทธศาสนา ได้มาบวช ได้มาเจริญวิปัสสนากรรมฐานนี้ บุญอันยิ่งใหญ่แล้ว ที่เรา
ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ได้มาปฏิบัตินี้เป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ แต่ว่าที่เราก�ำหนด
พองขึ้นมา นี้ตัดไปครั้งละ ๑๐ ชาติ ยุบหนอก็ตัดชาติไปอีกทีละน้อย ๆ ไป แล้วเราก็จะ
ได้พบสุข คือพระนิพพานในที่สุด อันนี้เมื่อเราปฏิบัติ อานิสงส์ที่เราได้นี้ก็เป็นของ ๆ เรา
ถ้าเราไม่เข้าใจในเรื่องเหล่านี้เราก็ไม่อยากจะปฏิบัติ ถ้าเราเข้าใจเกิดความอยากได้ขึ้นมา
พระครูศาสนกิจวิมล วัดหนองเชียงทูน จ.ศรีสะเกษ 121
อ่านหนังสือไม่ออก
ขอให้ฟังภาษาออกสื่อสารกันได้
ก็สามารถปฏิบัติได้
พระครูศาสนกิจวิมล
126 วิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔
๘
เหตุแห่งความไม่รแ
ู้ จ้ง (ในชาติน)ี้ *
ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอคารวะพระเถรานุเถระ ขอ
ความสุขสวัสดีแก่พระโยคาวจรทุกท่าน ขอเจริญพรโยคีที่เป็นคฤหัสถ์ทุกท่าน นั่งสมาธิ
ฟังไปด้วยก็ได้ ไม่ต้องเครียดไม่ต้องเคร่ง ทำาใจให้สบาย ๆ ฟังไปด้วย กำาหนดพองหนอ
ยุบหนอไปด้วย บางทีเราอาจจะเครียดทีว่ า่ ฟังแต่องค์เก่า ๆ อาจารย์องค์เก่า ๆ มาพูดให้ฟงั
มาเทศน์มาแสดงให้ฟัง แต่ความเป็นจริงแล้วธรรมะที่เราปฏิบัติมานี้ไม่ได้อยู่อย่างเดิม
แรก ๆ ที่เราปฏิบัตินั้นจะกำาหนดได้เพียงแค่พองหนอ ยุบหนอ บางทีก็ไม่ได้ มักจะ
หลง ๆ ลืม ๆ บางทีก็จะต้องมีความเพียรความพยายามมากขึ้นจึงจะอยู่ในอารมณ์นั้น
อยู่ในอารมณ์พองหนอ ยุบหนอ บางทีที่เรากำาหนดพองหนอ ยุบหนอ แต่ว่ามีเสียงเข้ามา
รบกวน เราก็คิดว่ารำาคาญในเรื่องเสียง บางทีจิตของเราที่ให้อยู่ในอารมณ์พองหนอ
ยุบหนอนี้ก็ไม่ค่อยอยู่ จะฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่าง ๆ อันนี้ในการปฏิบัติในเบื้องต้นนี้
มักจะเป็นอาการอย่างนี้ แต่ว่าเมื่อเราทำาไป กำาหนดไปแล้ว เราจะรู้ว่าจิตของเรานี้กำาหนด
ไม่ค่อยทันกับอาการพอง อาการยุบ
บางท่านก็เคยกำาหนดพุทโธมาก่อน ทีนี้มากำาหนดพองหนอ ยุบหนอ จิตก็ไม่ค่อย
อยู่กับพองหนอ ยุบหนอ มันจะไปรู้อารมณ์เก่า ๆ คือ อารมณ์พุทโธ อารมณ์พุทโธ
*
พระครูศาสนกิจวิมล (หนูพันธ์ อิสฺสโร ) ที่ปรึกษาวิปัสสนาจารย์ เจ้าอาวาสวัดหนองเชียงทูน จ.ศรีสะเกษ
บรรยายแก่นิสิตปริญญาโทและปริญญาเอก มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ณ มหาจุฬาอาศรม
ต.พญาเย็น อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๐
128 วิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔
ค�ำสั่ ง สอนขององค์ ส มเด็ จ พระสั ม มาสั ม พุ ท ธเจ้ า อาจารย์ ทั้ ง หลายนั้ น ไม่ ไ ด้ ไ ปรู ้ เ อง
ไม่ได้ไปเห็นเอง เป็นธรรมค�ำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่าอาจารย์นั้นเคยท�ำมา
ธรรมค�ำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นธรรมที่ละเอียดอ่อน ตลอดทั้งด้านจิตใจ
ของผู้ปฏิบัติก็ต้องอ่อนไปตาม เรียกว่าความโลภความโกรธความหลงนั้นก็จะอ่อนไปตาม
เรียกว่า ท�ำอะไรต่าง ๆ ก็จะละเอียดมากขึ้น อันนี้ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น
เป็นธรรมที่ละเอียดยากที่เราจะเข้าใจได้
ดั ง นั้ น ที่ ใ ห้ มี ก ารสอบอารมณ์ ทุ ก วั น ๆ นั้ น ก็ เ พราะจิ ต ใจของเรานั้ น กลั ว ที่ จ ะ
หลงทาง จะไปไม่ ถู ก ตามสติ ป ั ฏ ฐานทั้ ง ๔ มรรคมี อ งค์ ๘ ความเห็ น ผิ ด จากท�ำนอง
คลองธรรมก็อาจจะมี อาจารย์นี้สอนผิดแล้วมั้ง ไม่ถูกทาง เรานี้ว่าเราท�ำถูกอยู่ สัมมาทิฏฐิ
คือ ส�ำรวมในความคิดเห็นต่าง ๆ สัมมาสังกัปปะ สัมมากัมมันตะ การงานที่ชอบ การ
งานที่ชอบนี้คือเราก�ำหนดอยู่ ส�ำรวมอยู่ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นเครื่องที่มาเกื้อหนุน
ให้รู้สภาวะอาการอย่างนั้น อย่างที่คนเคยปฏิบัติอย่างอื่นมาก็ดี หรือคนที่เคยท�ำความ
ชั่ ว มา เมื่ อ มาท�ำแล้ ว จิ ต ใจก็ ไ ม่ ค ่ อ ยบริ สุ ท ธิ์ พอท�ำไปแล้ ว จิ ต ใจก็ มั ก จะฟุ ้ ง ซ่ า นไปหา
อารมณ์นั้น
ยิ่ ง เป็ น พระนี้ มั น มี ทั้ ง สองอย่ า ง มี ท างด้ า นกฎหมาย ทางด้ า นพระวิ นั ย ๆ นี้
ก็ให้เต็มมั้ย ให้เต็มร้อยมั้ย ถ้าไม่เต็มร้อยก็ไม่เป็นไป แต่ใน ๒ ข้อ คือ ปาราชิก ๔
สังฆาทิเสส ๑๓ นั้น ให้อยู่บริบูรณ์แต่นอกนั้นก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ ไม่ได้เป็นอาบัติหนัก
แต่อาบัติหนักนั้น พอท�ำเข้าไปแล้ว มันจะนึกถึงอยู่เสมอ เช่น คนเป็นปาราชิก ตั้งแต่
ปฐมปาราชิกที่พระสุทินท�ำมา อันนี้เราก็เข้าใจในเรื่องอย่างนั้น ฉะนั้น ผู้ที่มีศีลไม่บริสุทธิ์นี้
จิตก็จะไปข้องในอารมณ์นั้นแล้วก็ปฏิบัติไปไม่ได้ส�ำเร็จ อันนี้ธรรมค�ำสอนของพระพุทธเจ้า
เป็นไปอย่างนั้น แต่ถ้าเรามีการส�ำรวมระวังมันก็ฟุ้งซ่าน อันนี้ส�ำหรับพวกที่เป็นฆราวาส
ญาติโยมที่มาปฏิบัติตามที่เคยเห็นมานี้ พวกญาติโยมจะปฏิบัติได้ง่ายกว่าพระ อาจจะเป็น
เพราะเรื่องศีลก็ได้ โยมก็มีเพียงศีล ๕ ศีล ๘ มาสมาทานเอา ผู้ปฏิบัตินี้ก็จะต้องอยู่
ในศีล ๘ เป็นประจ�ำ การส�ำรวมของฆราวาสจะน้อยกว่าพระ
แต่ส�ำหรับพวกฆราวาสปฏิบัติแล้วมีสภาวธรรมรู้ได้ไวกว่าพระ ผมก็มาสังเกตว่า
ฆราวาสท่านมีศลี น้อยและส�ำรวมได้ดี แต่มนั มีอกี อย่างหนึง่ ว่า ฆราวาสไปผิดศีลข้อที่ ๑ มา
132 วิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔
ไปเรียนอภิธรรมที่ไหนมาก็มาปฏิบัติได้ แต่จะคิดว่าสมัยครั้งพุทธกาลนั้นมีอาจารย์สัญชัย
มีอาจารย์หลาย ๆ ลัทธิในประเทศอินเดีย ที่จะมาต่อสู้กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต่อสู้
ด้วยการถามปัญหากัน เพื่อให้เข้าใจแล้วก็จะได้น�ำไปปฏิบัติ แล้วผลสุดท้ายก็ไม่ต้อง
ศึกษาก็ได้ ผู้ปฏิบัติก็เห็นปฏิบัติกันได้โดยทั่วไป
พระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร ไปบอกอาจารย์สัญชัย อาจารย์ก็ไม่มา ท่านก็โปรด
ลู ก ศิ ษ ย์ เ อาหมดเหลื อ แต่ อ าจารย์ สั ญ ชั ย ซึ่ ง เป็ น เจ้ า ลั ท ธิ ท�ำไมไปโปรดเอาลู ก ศิ ษ ย์
อาจารย์สัญชัยมาได้หมด เพราะพวกเขามีบุญบารมีมาอยู่ก่อนแล้ว เขาสามารถที่จะรู้ธรรม
ของพระองค์ แต่เขาก็พากันแสวงหาอาจารย์ มีอาจารย์อะไรก็ไปหาเอาก่อน พอได้ฟงั เทศน์
ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าก็ได้ ส่วนอาจารย์สัญชัยนั้นก็ไม่ได้ละทิฏฐิมานะลง
ในการปฏิบัตินี้ ถ้าจะปฏิบัติจริง ๆ เพื่อที่จะให้ได้ผ่านโสฬสญาณนี้ ก็จะต้องละ
ทิฏฐิมานะความไม่ถือเนื้อถือตัว อาจารย์ให้เดินจงกรม ๕ นาที ก็ต้องเดิน ๕ นาทีให้
เดินจงกรม ๑ ชั่วโมง ก็ต้องเดิน ๑ ชั่วโมง ไม่ให้เดินเลยหนึ่งชั่วโมงไป นี้เราก็ต้องเชื่อ
คือมีศรัทธาความเชื่อเลื่อมใสในพระรัตนตรัยหรือในครูบาอาจารย์ พอที่จะรู้จะเข้าใจได้
อันนี้ความเชื่อนี้จึงจะปฏิบัติไปได้ ถ้าไม่มีความเชื่อ อบรมไป บอกไปก็ไม่ค่อยเชื่อฟัง
แนะน�ำอบรมสั่งสอนนั้นก็ปฏิบัติไปได้ยาก นี้คือตัวทิฏฐิ แต่เมื่อปฏิบัติได้แล้ว ทิฏฐิมานะ
ที่อยู่ในตัวผู้ปฏิบัตินั้นก็จะลดน้อยถอยลง คือไม่ค่อยจะมี แต่อย่าไปเข้าใจว่า อาจารย์
ผู้ปฏิบัตินั้นไม่เห็นว่าจะมีการส�ำรวมอะไรมาก เราปฏิบัติอยู่ในขณะนี้ เราส�ำรวมได้มากกว่า
อาจารย์ นั้ น ถ้าเราไปคิดอย่างนี้ เราก็เข้าใจผิด เพราะว่า เวลานี้อาจารย์ไม่ได้ปฏิบัติ
เลิกจากการปฏิบตั มิ าแล้ว อาจารย์ก็อาจจะไม่ส�ำรวม เราก็ไปดูอาจารย์นั้นว่า ท�ำไมอาจารย์
ไม่ส�ำรวม แต่มาบอกให้เราเป็นคนส�ำรวม ในลักษณะนีเ้ ราก็ปฏิบตั ไิ ปไม่ได้
การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ถ้าเรามองโดยผิวเผินจะว่าง่ายก็ถูกจะว่ายากก็ถูก
ฉะนั้น การท�ำกรรมฐานนี้ ถ้าเราอยู่ในอาการเปิดเผย คนสัญจรไปมาก็จะว่า ท�ำไมพระนี้
จึ ง เดิ น ย่ อ ง ๆ ไม่ เ ดิ น ธรรมดา ๆ พระโดยทั่ ว ไปเขาก็ ไ ม่ ไ ด้ เ ดิ น อย่ า งนี้ ฉะนั้ น การ
ปฏิ บั ติ นี้ จึ ง มี ที่ ใ ห้ ท�ำโดยเฉพาะ เพราะกลั ว คนที่ จ ะมาเห็ น แล้ ว ก็ จ ะน�ำไปติ ฉิ น นิ น ทา
แล้วก็ไปเป็นบาปแก่เขา แล้วเวลาเขาปฏิบัติไปแล้ว เขาก็ปฏิบัติไปไม่ได้ ติดอยู่อย่างนั้น
ดังจูฬปันถก ท�ำไมท่องคาถาเดียวก็ไม่ได้ มันก็เป็นกรรมมา เป็นลักษณะอย่างนี้ ฉะนั้น
พระครูศาสนกิจวิมล วัดหนองเชียงทูน จ.ศรีสะเกษ 135
ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอคารวะพระเถรานุเถระ ขอ
ความสุ ข สวั ส ดี แ ก่ ท ่ า นพระโยคาวจรทุ ก ท่ า น ขอเจริ ญ พรญาติ โ ยมทุ ก คน ผมคิ ด ว่ า
ที่ฟังไปนี้ บางคนอาจจะเบื่อ ไม่อยากฟัง แต่ยังไงถึงเบื่อก็ฟังก็แล้วกัน เพราะบางทีมัน
ก็เป็นธรรมะที่ผู้ปฏิบัติ ปฏิบัติยังไม่ถึง ฟังมันก็ไม่มีรสมีชาด แต่คนที่เคยปฏิบัติมาแล้ว
จากที่อื่น หรือเคยทำามาแล้ว พอมาฟังแล้วก็จะเข้าใจในสภาวธรรมนั้น เพราะที่ผมจะ
บรรยายตามสภาวะตามความเป็นจริงที่มันเกิดขึ้น ที่มันมีอยู่ ที่ผู้ปฏิบัตินั้นจะต้องพบ
เห็นว่ามันจะเป็นอย่างนั้น ผู้ปฏิบัติที่ยังไม่เข้าใจว่ากำาหนดแค่อาการพองหนอ ยุบหนอ
ก็ยังกำาหนดไม่ถูก ลักษณะอย่างนั้น ผู้ฟังนั้นก็ยังฟังไม่ถูก เรียกว่ายังไม่เข้าใจ ที่จะต้อง
พู ด กั น ซำ้ า ๆ ซาก ๆ หลายหน เรื่ อ งการกำ า หนดพองหนอยุ บ หนอ ที่ จ ริ ง การกำ า หนด
พองหนอยุบหนอนั้นไม่ได้เป็นของยาก แต่เมื่อปฏิบัติเข้าจริง ๆ แล้ว จะเป็นของยากที่สุด
เพราะว่า ใจของเราไม่ได้อยู่ในอารมณ์นั้น มันมักจะกระสับกระส่ายไปในอารมณ์ต่าง ๆ
เลยทำาให้การกำาหนดนี้เราจะจับเขาไม่ค่อยอยู่
*
พระครูศาสนกิจวิมล (หนูพันธ์ อิสฺสโร ) ที่ปรึกษาวิปัสสนาจารย์ เจ้าอาวาสวัดหนองเชียงทูน จ.ศรีสะเกษ
บรรยายแก่นิสิตปริญญาโทและปริญญาเอก มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ณ มหาจุฬาอาศรม
ต.พญาเย็น อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๐
140 วิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔
โบราณทางภาคอี ส าน เขามี แ นวทางที่ จ ะกล่ อ มลู ก ให้ ห ลั บ เพื่ อ พ่ อ แม่ นี้ จ ะได้
ไปท�ำงาน ไม่มีพี่เลี้ยง ไม่มีใครที่จะเลี้ยงให้ ต้องเลี้ยงลูกด้วยตนเอง เอาลูกเข้าไปใส่
ในอู่แล้ว ลูกจะร้อง พ่อแม่ก็หาของมาให้เล่น หาขันหาอะไรมาท�ำให้กระทบกันกลบ
เสี ย งร้ อ ง บางที พ ่ อ แม่ ก็ จ ะกล่ อ มด้ ว ยเสี ย งเพลงต่ า ง ๆ นั้ น ก็ ห มายความว่ า ให้ จิ ต
เขานี่อยู่ในอารมณ์นั้น พอเด็กหันมาฟังสิ่งที่แม่เขากล่อม มันก็จะหลับได้เร็ว นี้ก็มาเทียบ
กับการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น ใจของเราจะไม่อยู่ในอารมณ์พองหนอ ยุบหนอ
ที่ว่าไม่อยู่ในอารมณ์พองหนอ เพราะว่าจิตนี้มันจะร่อนเร่ไปตามอารมณ์ต่าง ๆ ที่เคยเกิด
เคยมีเคยพบเคยเห็นมาแล้ว ตั้งแต่เกิดมามันก็ใฝ่ไปในอารมณ์ต่าง ๆ ไม่เคยจับมันมา
ให้มันอยู่กับเนื้อกับตัว เช่นอย่างว่าจะไปตลาดไปซื้อของมาท�ำอาหารเช้า เท้ายังเดินอยู่
ยังไม่ถึงตลาด ใจมันไปถึงก่อนแล้วว่าจะต้องซื้ออันนั้น ๆ แล้วจะรีบกลับมาให้มันทันเวลา
ลั ก ษณะอย่ า งนี้ อั น นั้ น คื อ จิ ต ใจนั้ น ไม่ ค ่ อ ยอยู ่ กั บ เนื้ อ กั บ ตั ว จิ ต ใจนั้ น มั น จะไปก่ อ น
รู ้ ไ ปหมด จะซื้ อ สิ่ ง นั้ น เท่ า นั้ น จะซื้ อ สิ่ ง นี้ เ ท่ า นี้ ซื้ อ ให้ เ สร็ จ ขากลั บ มาจะรี บ ไปท�ำงาน
กิจการของแม่บ้านมีอยู่ในลักษณะอาการอย่างนี้
ยกมาเปรียบเทียบให้ฟังว่า จิตใจของเรานั้นไม่ค่อยอยู่ในอารมณ์นั้น ไม่ค่อยอยู่
ในอารมณ์ที่เราจะก�ำหนดนั้น พอนั่งลงแล้ว เราจะรีบไปก�ำหนดอาการพองหนอยุบหนอ
เลยทีเดียวนั้นจิตมันมักจะฟุ้งซ่านร�ำคาญไปในอารมณ์ต่าง ๆ
อุปมาการที่เราจะจับจิตไปให้อยู่ในอารมณ์นั้น ท่านบอกว่าเหมือนกับว่าเราไปจับ
ปลาดุกอยู่ในแหที่เราทอดไป คนที่จับปลาไม่เป็น มันก็จะปักมือเอา ฉะนั้น เราต้อง
มีวิธีการค่อย ๆ ลูบ ๆ คล�ำ ๆ ให้มันหมอบลงก่อนแล้วจึงจะจับ แล้วอีกอย่างเราก็ต้องรู้
ด้วยว่า ตัวไหนมันอยู่ทางทิศไหน หัวมันอยู่ทางไหน หางมันอยู่ข้างไหน ถ้าเราจับปลาดุก
เราต้องจับทางหัวมัน ถ้าเราจับทางหาง มันก็จะดิ้นปักมือเอา นี้ในลักษณะนี้ อารมณ์ของ
กรรมฐานถ้าเรามาพยายามที่จะท�ำ พอนั่งลงแล้ว จิตเราก็ไปจับในอารมณ์ว่า พองหนอ
ยุบหนอ คล้าย ๆ ว่าไปควบคุมมันเลย ลักษณะนี้จะท�ำให้ผู้ปฏิบัตินั้นมีอาการฟุ้งซ่าน
ร�ำคาญ หรื อ มิ ฉ ะนั้ น ก็ จ ะเหมื อ นไปควบคุ ม มั น มาก อารมณ์ นี้ ก็ จ ะเกิ ด ขึ้ น อารมณ์
พระครูศาสนกิจวิมล วัดหนองเชียงทูน จ.ศรีสะเกษ 141
อยู่ทุกอย่างท�ำไมมันจึงเป็นอย่างนั้น ที่มันเป็นอย่างนั้นเพราะมันเกิดความโลภอยากได้
ให้มันเป็นอย่างนั้น ๆ เมื่อความโลภอยากได้เกิดขึ้นมาก็เกิดความไม่พอใจตามมา
ความโลภ โกรธ หลง ทั้ง ๓ ตัวนี้เขาไม่ได้ทิ้งห่างกันเลย เขาจะอยู่ด้วยกัน แล้ว
เราก็ก�ำหนดไม่ทัน เราไม่ค่อยเข้าใจในวิธีการก็เลยเกิดความไม่พอใจในอารมณ์ของ
เราเองที่ เ กิ ด ขึ้ น นั่ น แหละ พองยุ บ ก็ ไ ม่ ไ ด้ นั่ ง ก็ ไ ม่ ไ ด้ ก็ ไ ม่ รู ้ จ ะท�ำอะไร นั่ ง ต่ อ ไป
อารมณ์ อื่ น ก็ เ ข้ า มาแทรก ง่ ว งเข้ า มาแทรก เข้ า มาเรื่ อ ย ๆ นี้ คื อ ทุ ก ขั ง อนิ จ จั ง อนั ต ตา
มันเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น เมื่อมันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ตัวที่เราได้มาบัลลังก์ก่อน
นั้นมันเปลี่ยนไปแล้ว เมื่อมันเปลี่ยนไปแล้วเราก็เกิดความไม่พอใจในอารมณ์นั้น อันนี้
ก็เลยกลายเป็นโลภะโทสะโมหะเข้ามาครอบง�ำ นี่คือไม่รู้จักหลักทุกขังอนิจจังอนัตตา
นี่มันอยู่ลึกก็เลยก�ำหนดไม่ได้ เมื่อก�ำหนดไม่ได้ก็เลยไม่เข้าใจ มันเป็นของละเอียดยาก
ที่เราจะเข้าใจ
ถ้าเราเข้าใจในวิธีการที่จะต้องแก้ไข เราก็ เออ มันเป็นอย่างนี้ เราก็เปลี่ยนอารมณ์
ใหม่ คือ เมื่อมันนั่งไม่ได้ก็ลุกขึ้นเดินจงกรมใหม่ บัดนี้จะก�ำหนดหรือไม่ก�ำหนด หรือ
ว่าจะท�ำแบบห่าง ๆ ก็แล้วแต่ แล้วแต่จิตเขาจะอยู่ เขาจะอยู่วิธีไหน เขาจะเอาวิธีไหน
ก็เราไปดูตัวของเราเอง ดูจิตของเราเอง เราเกิดมั้ย โลภะโทสะโมหะมันเกิดมั้ย ความ
ไม่เที่ยงของสังขารมันเกิดมั้ย มันมีอยู่อย่างนี้ ๆ ๆ มันมีมั้ย ทางด้านจิตใจของเรานี้
โลภะ โทสะ โมหะ มันมีมั้ย เราพิจารณาอย่างนี้แล้วเราก็เดิน ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ
เดินเร็ว ๆ ก็ได้ เพื่อเป็นการแก้อารมณ์ แล้วก็ตั้งใจเอาใหม่ สมมุติว่าเราเดินระยะที่ ๔
เราก็กลับไปเดินขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ออกก�ำลังเพื่อให้มันสลายไอ้ตัวที่เกิดขึ้นนั้น
สักพักหนึ่งเราก็กลับมาดูอาการ เดินระยะ ๔ ต่อไป อันนี้จะส�ำรวมได้ดี
เวลาปฏิบัติ บางองค์อยากให้เล่าประวัติ ผมว่ามันไม่ดี แต่อย่าเอาตัวอย่างก็แล้วกัน
มันไม่ดี จะเล่าให้ฟังนิด ๆ หน่อย ๆ ก็แล้วกัน ประวัติความเป็นมาของผมนี้ ผมนี้ก็ว่าได้
ไปเกือบทุกภาคของประเทศไทย บวชมาก็หลายพรรษา ไปหลายแห่ง ไปอยู่หลายบ่อน
หลายสถานที่ ก็ คื อ ความตั้ ง ใจที่ บ วชมานั้ น ไม่ รู ้ ว ่ า จะบวชด้ ว ยศรั ท ธาหรื อ ไม่ ศ รั ท ธา
ก็ ยั ง ไม่ รู ้ เพราะเดิ ม ที ที่ วั ด บ้ า นผมนี่ มั น ล้ ม ลุ ก คลุ ก คลาน พระสงฆ์ อ งค์ เ ณรอยู ่ วั ด
154 วิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔
ฉะนัน้ ทีเ่ ราปฏิบตั นิ จี้ งึ ประกอบไปด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ศีลนัน้ ก็คอื พระธรรมวินยั
ที่ว่าเราปฏิบัติหรือเราบวชมาแล้ว เราประกอบด้วยศีล ๒๒๗ ข้อ เราบวชมาแล้วเราก็
มารักษา แต่ศีลนั้นจะมั่นคงอยู่ได้ก็อาศัยสมาธิ สมาธิคือความตั้งใจมั่น แต่เรามีศีล
กับสมาธิ ไม่มีปัญญา ก็จะรักษาไว้ไม่ได้อีกเช่นเดียวกัน ฉะนั้น สิ่งเหล่านี้จึงประกอบกัน
คื อ ต้ อ งประกอบด้ ว ยศี ล สมาธิ และปั ญ ญาทั้ ง ๓ อย่ า ง เมื่ อ เรามาตั้ ง ใจก�ำหนด
พองหนอ ยุบหนอ ด้วยความตั้งใจนั้นท�ำให้เรารู้ว่า อาการที่พองนั้นเราก็รู้ รู้ต้นพอง
กลางพอง ปลายพอง รู้ด้วยความส�ำรวมของเรา ถ้าเราไม่มีความส�ำรวมเราก็จะรู้ครึ่ง ๆ
กลาง ๆ ไม่ทั้งหมด ถ้าเราส�ำรวมอยู่ท�ำอยู่ก�ำหนดอยู่ก็ประกอบไปด้วยธรรม คือมีฉันทะ
ความพอใจที่จะท�ำนั้น แล้วก็มีวิริยะ อุตสาหะ ให้รู้ชัดเจน จิตตะ คือใจฝักใฝ่ในสิ่งที่
เขาเกิดขึ้น อะไรเกิดขึ้น คือ รู้อาการพอง รู้อาการยุบ บางทีจิตใจของเราอาจสับสน
บางสิง่ บางอย่างทีว่ า่ สับสน คือ จิตใจเราจะไปนึกว่าท�ำแล้วถูกหรือผิด เช่น ที่เราก�ำหนดว่า
พองหนอ ยุบหนอ นี่พระพุทธองค์ทรงก�ำหนดไว้หรือไม่ หรือสับสนอีกอย่างหนึ่งคือ
เราเคยท�ำอานาปานสติ ม าก่ อ น คื อ การก�ำหนดลมหายใจเข้ า หายใจออก พุ ท โธ
หรื อ หายใจเข้ า พุ ท หายใจออกโธ ในลั ก ษณะเช่ น นี้ เ รี ย กว่ า จิ ต ใจมั น สั บ สน ความ
เอาใจใส่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ทั้ง ๔ อย่างนี้ เราก็เผลอไป เราไม่ได้เข้าใจว่า
เรามีหลักธรรมะข้อปฏิบัตินี้ถูกต้องหรือไม่ หรือเราอาจจะมีจิตใจไขว้เขวไป ไปนึกถึง
อารมณ์ต่าง ๆ แล้วเราก็เลยก�ำหนดพองหนอยุบหนอนี้ไม่ได้ชัดเจน เมื่อไม่ได้ชัดเจน
ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา นี้ก็ไม่พร้อม ไม่พร้อมก็เลยไม่เกิดสภาวะ จะท�ำอยู่
สักกี่วัน กี่เดือน กี่ปีก็ได้ แต่ว่าความพร้อมเพรียงไม่มี
อี ก อย่ า งหนึ่ ง ก็ ก ารส�ำรวม ส�ำรวมอิ น ทรี ย ์ ทั้ ง ๖ คื อ ตา หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ
อายตนะภายนอก รู ป เสี ย ง กลิ่ น รส โผฏฐั พ พะ ธรรมารมณ์ อั น นี้ ก็ เ ป็ น เครื่ อ ง
ประกอบที่จะท�ำให้เรานี้ปฏิบัติได้ดี ฉะนั้น ที่เราก�ำหนดไม่ได้ทัน หรือว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์
ท�ำแล้วจะไม่ได้ใส่ใจ เมื่อไม่ได้ใส่ใจจิตใจก็เรียกว่ามันเกิดพญามารขึ้นมา คอยชักจูง
โลมเล้ า ไม่ ใ ห้ เ ชื่ อ เรี ย กว่ า เป็ น ตั ว กิ เ ลสเข้ า มาไม่ ใ ห้ เ ชื่ อ ไม่ ใ ห้ เ ชื่ อ ก็ มี เ หตุ ผ ลต่ า ง ๆ
ที่มันเกิดขึ้นมา พวกพญามารก็จะมารุมเร้าให้ออกให้คิดไปในทางไม่ถูกต้อง เมื่อคิดไป
ในทางที่ไม่ถูกต้อง และบางทีคนพูดว่า จะไปเชื่อท�ำไมของพม่า พม่ามาเผาเมืองไทย
พระครูศาสนกิจวิมล วัดหนองเชียงทูน จ.ศรีสะเกษ 167
ก็ ไ ม่ อ ยากจะออกจากวั ฏ สงสาร ตรงนี้ เ กิ ด กั บ พระสั ม มาสั ม พุ ท ธเจ้ า หรื อ ไม่ เกิ ด อยู ่
เหมือนกันคือพระพุทธเจ้าเห็นทุกข์ในการปฏิบัติ เช่น ตอนที่ท่านท�ำอัตตกิลมถานุโยค
ประกอบความเพี ย รจนร่ า งกายซู บ ผอม นี่ ก็ เ รี ย กว่ า เห็ น ทุ ก ข์ อั น นั้ น มั น ตั ว จริ ง แล้ ว
ก็ตัวใหญ่มันท�ำให้รู้ ท�ำให้เห็น
แต่ว่าเวลามาบ�ำเพ็ญเพียรทางใจ ท�ำสมาธิอยู่ทางใจนี้ก็ยิ่งเห็นทุกข์ในการครอง
สังขารต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้น เดินไปนาน ๆ ก็เป็นทุกข์ นั่งไปนาน ๆ ก็เป็นทุกข์ นอนไป
นาน ๆ ก็เป็นทุกข์ ยืนไปนาน ๆ ก็เป็นทุกข์ นี่ให้เห็นตัวทุกข์ให้รู้ทุกข์ แล้วพระพุทธองค์
ก็ ห าทางที่ จ ะไปให้ พ ้ น จากทุ ก ข์ เ หล่ า นี้ จึ ง ได้ แ สวงหาบ�ำเพ็ ญ สื บ ต่ อ ไป นี้ พ วกเรา
ก็ เ หมื อ นกั น ที่ ม าก�ำหนดพองหนอยุ บ หนอ แล้ ว ก็ เ จ็ บ ปวดมึ น ชาขึ้ น มาเราก็ ก�ำหนด
ปวดหนอ ๆ ๆ ปวดหนอเท่าไหร่เขาก็ยิ่งปวดมากขึ้น ๆ ๆ แทบจะทนไม่ไหว เขาก็ให้เรา
เห็นทุกข์ ทุกข์นี้จะมีเพียงแค่นี้หรือไม่หนอ ตอบว่า ไม่ใช่จะมีเฉพาะในครั้งนี้ และจะมี
ครั้งต่อไปอีก ในภายภาคหน้าก็จะมีอีก เพราะฉะนั้นเราจะท�ำอย่างไรกับสิ่งเหล่านี้ ก็คือ
เราต้องก�ำหนด พอก�ำหนดไป ๆ มันประกอบไปด้วยศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ความเพียร
ของเรามาก ญาณนี้ ก็ ขึ้ น ไป ในญาณหนึ่ ง นี้ จ ะสบาย เมื่ อ สบายแล้ ว ก�ำหนดแล้ ว จิ ต
เป็นสมาธิดีตรงนี้ก็อาจจะหลง ก็ไม่ให้หลง ก�ำหนดไปเรื่อย ๆ
ทีนี้มานึกถึงตัวทุกข์ ไอ้ที่มันเจ็บปวดเราก็ได้ก�ำหนด ได้ท�ำ ไม่มีความทุกข์นี่มัน
สบายมาก เลยหาอารมณ์ที่จะก�ำหนดไม่ได้อย่างนั้นก็มี ที่มันเกิดขึ้นกับจิตใจของเรา
ที่เราก�ำลังปฏิบัติอยู่ อันที่เราปฏิบัติอยู่นี้มันก็เกิดขึ้น มันเกิดสภาวะสบายขึ้น ตรงนี้
อาจารย์ผู้ให้กรรมฐานจะต้องรู้อารมณ์ของโยคีผู้ปฏิบัติ ต้องให้เขาเพิ่มวิธีการก�ำหนดนี้
ให้มาก ๆ ขึ้น เช่น เดินก็ต้องให้เดินระยะที่ ๕ ที่ ๖ ให้มันชัดเจน ก�ำหนดแล้วเขาจะรู้สึก
เฉย ๆ ไม่อยากก�ำหนด นั่งสมาธิ ก็ให้เพิ่มการก�ำหนด เป็นพองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ
ถูกหนอ เพิ่มเข้าไป เพิ่มให้เขามีงานท�ำมากขึ้น แล้วเขาก็จะไม่ว้าเหว่ แล้วเขาก็จะได้เอา
ใจใส่มากขึ้น
เมื่อเราปฏิบัติไปถึงบางญาณบางสภาวะนี้ เมื่อมันตกอารมณ์ที่เฉยมาก ถ้าเราเอาใจ
ใส่สภาวธรรมนั้นก็จะดีขึ้น แต่เรานั้นมักจะไม่เข้าใจจะไปติดอยู่ในอารมณ์สุข เฉย ๆ จะ
172 วิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔
ต้ อ งทำ า อย่ า งนั้ น นี้ ท ่ า นก็ ว างไว้ อ ย่ า งนั้ น พวกเรามาทำ า แล้ ว เห็ น อาการเป็ น อย่ า งนั้ น
ก็ต้องแก้ไขอย่างนั้น แล้วก็ทำาอย่างนั้นจึงจะได้มรรคผลนิพพาน ถ้าเราทำาตามนั้น เรียกว่า
มี ฉั น ทะ มี วิ ริ ย ะ มี อุ ต สาหะ มี อ าการฝั ก ใฝ่ ใ นการที่ ทำ า อยู ่ ทั้ ง กลางวั น ทั้ ง กลางคื น
ไม่ลดละไม่ท้อถอย นี้ก็เป็นเหตุเป็นผลให้บรรลุได้ในชาตินี้ รู้ธรรมได้ รู้ได้เห็นได้ ถ้าตั้งใจ
แต่ถ้าไปคิดถึงว่าบุญกรรมวาสนาไม่ดี ทำาไม่ได้ ไปโทษบุญโทษกรรมอยู่ ไม่ปฏิบัติไม่ทำา
นีก้ ไ็ ม่ได้
เท่าที่ผมได้บรรยายมาก็เห็นว่าคงจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้ประพฤติปฏิบัติไม่มาก
ก็น้อย ฉะนั้น ผมขออ้างเอาคุณพระศรีรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
จงมาเป็นที่พึ่งปกปักรักษาท่านทั้งหลาย ให้มีดวงจิตดวงใจให้ได้บรรลุอริยมรรคอริยผล
ทุกองค์ ทุกคน ทุกท่านเทอญ
ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่พระโยคาวจรทุกท่าน ขอเจริญพรท่านโยคาวจรทุกคน
การบรรยายที่ได้บรรยายมาเป็นลำาดับทุกวัน บรรยายมาเรื่อย ๆ ก็เข้าใจว่า ทุกท่าน
คงจะเก็บเอาไปเป็นข้อปฏิบัติ หรือจะไปเป็นข้อพิจารณาในวิธีการที่จะปฏิบัติวิปัสสนา
กรรมฐาน เพราะการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้นต้องอาศัยการเทศน์ การอบรม การ
สั่งสอน ไม่ใช่ว่าผู้มาปฏิบัตินี้จะไปรู้ด้วยตนเองทุกอย่าง จะต้องอาศัยการได้ยินได้ฟัง
และการปฏิบัติ ปฏิบัติไปด้วย ฟังไปด้วย หรือฟังไปแล้วนำาไปปฏิบัติในแต่ละครั้งแต่
ละครา แต่ละญาณ อย่างที่เมื่อคืนนี้ก็ได้ฟังเทปจากพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก)
ท่านเป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน
ถ้าจะให้ผมพูด ผมก็พูดว่าเป็นนักปราชญ์อาจารย์ในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
ของเมืองไทย เรียกว่าเป็นคนแรกที่ได้นำาข้อวัตรปฏิบัติแบบนี้เข้าในเมืองไทย แล้วก็
มาขยายผลต่อ ๆ เพื่อให้พวกเราท่านทั้งหลายนี้ได้ประพฤติปฏิบัติตามและก็จะได้รู้ผล
ได้ผลตามสมควรแก่ผู้ที่ปฏิบัติคือผู้ปฏิบัตินั้นจะให้เข้าใจไปทุกอย่างนั้นเข้าใจได้ยาก
ต้องอาศัยการได้ยินได้ฟัง อาศัยครูบาอาจารย์มาแนะนำา มาสั่งสอนเป็นประจำา จึงจะ
ปฏิบัติไปได้ คือการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้นอาศัยการได้ยินได้ฟังแล้วนำาไปปฏิบัติ
*
พระครูศาสนกิจวิมล (หนูพันธ์ อิสฺสโร ) ที่ปรึกษาวิปัสสนาจารย์ เจ้าอาวาสวัดหนองเชียงทูน จ.ศรีสะเกษ
บรรยายแก่นิสิตปริญญาโทและปริญญาเอก มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ณ มหาจุฬาอาศรม
ต.พญาเย็น อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๐
178 วิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔
ไม่ใช่ได้ยินได้ฟังแล้วไม่อยากจะเอาไม่อยากจะฟังหรือฟังไปแล้วก็เรียกว่าเข้าหูขวา
ออกหูซ้ายอะไรท�ำนองนั้น คือ ไม่ได้ยึดเอาไปปฏิบัติเพราะกรรมฐานนี้เวลาปฏิบัติแล้วมัน
จะมีสภาวะมีอาการซึ่งท�ำให้ผู้ปฏิบัตินี้เกิดขึ้นอยู่ทุกขณะ เมื่อเกิดขึ้นแล้วเราจะได้รู้ว่า
มันเป็นอย่างนั้น
อาจารย์ผู้ที่ให้การอบรมก็จะรู้ว่า ผู้ที่ปฏิบัตินั้นมีอาการเป็นอย่างไร เรียกว่า รู้ว่า
มีสภาวธรรมเกิดขึ้นแก่ผู้ปฏิบัติ เมื่อสภาวธรรมแต่ละญาณ แต่ละสภาวะอย่างที่ท่าน
ทั้งหลายได้ฟังเมื่อคืนนี้ว่าแต่ละญาณแต่ละสภาวะนั้นไม่เหมือนกันและก็ไ ม่ อ ยู ่ ค งที่
เพราะแต่ละญาณนั้นมันจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ อย่างปั จ จยปริ ค คหญาณ
ที่เราปฏิบัติมาอยู่นี้ คือจะเห็นการเกิดการดับของสังขาร เรียกว่า เห็นรูปเห็นนามที่ว่า
เห็ น รู ป เห็ น นามนั้ น ถ้ า เราไม่ ท�ำความเข้ า ใจ ในเวลาเราปฏิ บั ติ นั้ น เราจะไม่ รู ้ เ รื่ อ งว่ า
นั้นคืออะไร สภาวะอย่างนี้ เรานึกว่าจะมีเป็นตัวเป็นตนออกมาให้เราได้เห็นหรือว่าจะเป็น
แบบนิมิตออกมาให้รู้ได้ชัดเจน คือ มันเป็นสภาวธรรมเท่านั้น ตัวที่ว่าเป็นสภาวธรรม
ไอ้ ตั ว นี้ มั น เป็ น ของที่ เ ราเข้ า ใจได้ ย าก แต่ เ มื่ อ เป็ น สภาวธรรมที่ เ ราท�ำไปแล้ ว เราเห็ น
สภาวธรรมนั้น แรก ๆ เราเข้าใจว่ามันไม่เป็นอย่างนั้น มันไม่ใช่อย่างนั้น เรารู้มันไม่เป็น
อย่างที่เราเห็น มันไม่เป็นอย่างที่เราเข้าใจ เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วเราไม่ได้ไปพิจารณามัน
ท่านไม่ให้ไปพิจารณามัน หรือท่านจะพิจารณามัน เราก็ไม่เข้าใจ แต่ถ้ามีผู้ที่มาบอกมา
สอนมาเทศน์ให้ฟังแล้วเราฟังไป เราดูแล้ว เราจึงรู้ว่า เอ อันนี้เราก็เกิด เราก็มี มันเกิด
อย่ า งนี้ มั น มี อ ย่ า งนี้ อั น นี้ คื อ สภาวธรรม เราเห็ น ถ้ า ไม่ มี ใ ครบอก ไม่ มี ใ ครรู ้ เ รื่ อ งก็
ไม่เข้าใจ อย่างที่โบราณมีการปฏิบัติกรรมฐานเหมือนกัน ปฏิบัติกรรมฐานนั้นเรียกว่า
มาปฏิบัติแล้วไม่ค่อยเข้าใจ จะมาเรียนพุทโธ ๆ ก็ได้ เมื่อศึกษาเอากับอาจารย์ เมื่อบวช
เข้ามาแล้วจะปฏิบัติกรรมฐานถามอาจารย์ว่าท�ำอย่างไรเราจะเข้าใจ อาจารย์นั้นก็บอกว่า
เมื่อเรียนกรรมฐานแล้วจะต้องไปอยู่ในที่สงบอยู่ในที่เงียบ ๆ หรือไม่งั้นก็เดินธุดงค์
การเดิ น ธุ ด งค์ ข องคนสมั ย โบราณนั้ น เดิ น เพื่ อ อะไร เพื่ อ ความแข็ ง แรงทาง
ด้านจิตใจ เมื่อจิตใจไม่เข้มแข็งพอก็ไม่กล้าไป กลัว ความกลัวตัวนั้น กลัวอยู่หลาย ๆ
อย่าง แรก ๆ ก็กลัวผี ที่คนไม่กลัวผีก็ไปได้ นอกจากกลัวผีแล้วก็กลัวสัตว์ร้าย สมัยก่อน
สัตว์ร้ายมีหลายอย่าง เช่น เสือ เสือแม่ลูกอ่อนจะดุร้าย ถ้าเราไปแล้วไม่มีความเมตตา
หรือว่าจิตใจไม่เข้มแข็งพอ หรือว่าไม่มีคาถาที่จะป้องกันสัตว์ร้ายเหล่านั้น สัตว์ร้าย
พระครูศาสนกิจวิมล วัดหนองเชียงทูน จ.ศรีสะเกษ 179
เหล่ า นั้ น ก็ จ ะมาท�ำร้ า ยเรา นอกจากพวกเสื อ ก็ พ วกช้ า ง เมื่ อ ไปพบไปเห็ น เข้ า ก็ จ ะมา
ท�ำร้าย แต่ช้างที่เป็นพระโพธิสัตว์ หรือช้างที่รู้เรื่อง โบราณกล่าวไว้ว่าช้างมักจะไม่ท�ำร้าย
พระธุ ด งค์ เขาก็ รู ้ เ หมื อ นกั น ว่ า เป็ น พระโพธิ สั ต ว์ ที่ ม าบ�ำเพ็ ญ นั้ น โบราณที่ เ ดิ น ธุ ด งค์
หรือไปกรรมฐานอยู่ในป่า มักจะใช้กลดที่เป็นสีขาวจะท�ำให้พวกช้างมองเห็นได้ชัดเจน
เมื่อมันมองเห็นได้ชัดเจนแล้วมันไม่ไปท�ำลาย
อีกพวกหนึ่งก็คือพวกงู ถ้าเป็นงูประเภทที่มีพิษภัย ถ้าไปเหยียบมัน ๆ ก็อาจจะ
กัดเอา ถ้าเป็นงูหลาม งูเหลือมมันก็จะรัดเอา พระเราก็ตายไปเพราะพวกเหล่านี้ ฉะนั้น
เวลาไปเดิ น ธุ ด งค์ นั้ น ก็ ต ้ อ งมี ค าถาป้ อ งกั น มี ค วามระมั ด ระวั ง นี้ อ าศั ย ความเข้ ม แข็ ง
ทางด้ า นจิ ต ใจที่ ไ ปเดิ น ธุ ด งค์ เ ข้ า ป่ า เข้ า เขาไปนั้ น แล้ ว เมื่ อ เข้ า ไปปฏิ บั ติ ใ นป่ า นั้ น ถ้ า
เทวดาเห็นความเพียรของผู้ปฏิบัตินั้นก็จะมาบอกคาถาให้ หรือว่าจะไปพบพวกฤาษี
พวกเหล่านั้นก็จะมาให้คาถาอะไรต่าง ๆ นี้คือความหมายของการที่เดินธุดงค์เข้าป่า
แต่การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานไม่ได้เป็นอย่างนั้น กรรมฐานนี้ที่เผยแผ่ออกมา
ใหม่ ๆ เราจะเข้าใจว่าฆราวาสญาติโยมนี้จะมาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานไม่ได้ จะท�ำได้
เฉพาะพระเท่านั้น โดยเฉพาะผู้หญิงนี้จะไม่ได้ท�ำเลย อันนี้คือความเข้าใจของเราตั้งแต่
เก่า ๆ มา ผู้หญิงไม่มีโอกาสที่จะปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แต่ความเป็นจริง การปฏิบัติ
วิปัสสนากรรมฐานนั้นเป็นที่พึ่งทางจิตใจมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล ไม่ใช่ว่าเรามาคิดเอาเอง
ในสมัยนี้ เมื่อเห็นผู้หญิงมาปฏิบัติแบบพองหนอ ยุบหนอนี้ จึงมีผู้หญิงเข้ามาปฏิบัติ
เพราะมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลเหมือนกันกับพระสงฆ์ ท�ำไมจึงพูดว่า มีมาปฏิบัติ แล้ว
มันขาดหายไปไหน เพราะการเผยแผ่พระพุทธศาสนานั้นไปแบบช้า ๆ ไม่ได้ไปรวดเร็ว
ไปตามผู้ที่มีศรัทธา ผู้ใดที่เกิดศรัทธาจึงจะมาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนี้ได้ จึงเป็นเหตุ
ให้การเผยแผ่การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนี้ค่อยเป็นค่อยไป
ที่ว่าผู้หญิงที่มาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้นก็มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล อย่างนาง
วิสาขาก็มาได้ส�ำเร็จโสดาบันตั้งแต่อายุได้ ๗ ขวบ จนกระทั่งอายุได้ ๑๖ ปี ก็แต่งงานมีลูก
มี เ ต้ า ตั้ ง เยอะแยะ นี่ ก็ เ ป็ น พระโสดาบั น แล้ ว และก็ ห ลาย ๆ คนที่ เ ป็ น ภิ ก ษุ ณี ก็ เ ยอะ
อันนี้จึงรู้ว่าพระพุทธศาสนาที่เผยแผ่มานี้ ไม่ได้ให้เฉพาะพระสงฆ์ มีทั้งฆราวาสญาติโยม
ใครก็ ท�ำได้ การปฏิ บั ติ วิ ป ั ส สนากรรมฐานนี้ มาก�ำหนด พองหนอ ยุบหนอ หลักวิช า
180 วิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔
เหง่งหง่างระฆังขาน กังสดาลเพราะจับใจ
ชุ่มชื่นรื่นหทัย แว่วส�ำเนียงเสียงพระธรรม
สุขทุกข์ประมวลมี ท่านน�ำชี้ทางเลิศล�้ำ
กายใจให้น้อมน�ำ ละเว้นชั่วทุกตัวคน
สาวกพระศาสดา สืบศาสน์มาชั่วสากล
พระครูศาสนกิจวิมล สั่งสอนศิษย์จิตอารี
๙๐ วรรษาถึึง ศิิษย์์ตราตรึึงซึ้้�งฤดีี
หลวงปู่ผู้มากมี เมตตาธรรมน�ำจิตใจ
ผิดถูกปลูกส�ำนึก มั่นเพียรฝึกตรึกตรองไป
ปฏิบัติธรรมอันอ�ำไพ จะน�ำสุขทุกครัวเรือน
ส�ำนักวิปัสสนา ตั้งนานมาหลายปีเดือน
สุขใจหาใดเหมือน ผู้ใหญ่เห็นเป็นส�ำคัญ
เป็นที่ปฏิบัติ ประจ�ำจังหวัดศรีสะเกษนั้น
หทัยตั้งใจมั่น ส่งผลยิ่งมิ่งมงคล
วัดหนองเชียงทูนสวย ญาติโยมช่วยอ�ำนวยผล
หลวงปู่ท่านแยบยล สอนให้รู้ดูให้เป็น
ผองศิษย์อัญชลี คุณความดีเคยบ�ำเพ็ญ
กายใจได้ละเว้น ไม่ท�ำชั่วสิ่งมัวเมา
น้อมถวายแด่หลวงปู่ พระคุณครูตรึงใจเรา
สอนให้ไม่โง่เขลา ศิษย์ทั้งผองซ้องบูชา
อุดมพร คัมภิรานนท์
ครูช�ำนาญการ
โรงเรียนราชประชาสมาสัย ฝ่ายมัธยม รัชดาภิเษก ในพระบรมราชูปถัมภ์
พระครูศาสนกิจวิมล วัดหนองเชียงทูน จ.ศรีสะเกษ 211
เจ้้าภาพผู้้�ร่่วมบุุญพิิมพ์์หนัังสืือ
อายุุวััฒนมงคล ๙๐ ปีี ๖๙ พรรษา
หลวงปู่่�พระครููศาสนกิิจวิิมล (หนููพัันธ์์ อิิสฺฺสโร)
วิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔
พระครูศาสนกิจวิมล (หนูพันธ์ อิสฺสโร)
พิมพ์ครั้งที่ ๒ : กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ จำ�นวน : ๓,๐๐๐ เล่ม
บรรณาธิการ : พระครูปริยัติเมธาจารย์ ถอดเทปคำ�บรรยาย : คุณนรีวัลคุ์ ธรรมนิมิตโชค พิสูจน์อักษร :
คุณสุวรรณี เลื่องยศลือชากุล, คุณจิตตกานต์ มณีนารถ ขอขอบคุณ : ดร.พระมหาสุเทพ สุวณฺโณ,
พระมหาไพโรจน์ กนโก, คุ ณ วิ จิ ต ร บุ ญจ อม, คุ ณ กานต์ สิ นี จั น ทร์ วิ ภ าดิ ล ก, คุ ณ เรขา วั น สกุ ล ,
คุณทิพวัลย์ เสริมคุณ ,คุณพิมพ์ใจ พึ่งพานิช แบบปก/รูปเล่ม : พิชญาพรรณ ฐิตายะวงศ์, สุปราณี
อภัยแสน ดำ�เนินการ : สุวรรณ เคลือบสุวรรณ์ ๐๘-๑๓๓๘-๐๐๗๗ พิมพ์ที่ : บริษัท สามลดา จำ�กัด
เลขที่ ๖๑๐ ซอยสะแกงาม ๓๕/๓ แขวงแสมดำ� เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ โทร. ๐-๒๔๖๒-๐๓๐๓