You are on page 1of 660

ใช้ดีถูกใจอย่าลืมอุดหนุนฉบับตีพมิ พ์เป็นเล่มด้วยนะครับ

* เนื้อหาตามหลักสูตรใหม่ครบทุกบทเรียน ม.4-5-6
* โจทย์แบบฝึกหัดเตรียมความพร้อมกว่า 2,000 ข้อ
* ข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยครบทัง้ 14 ฉบับ (2541-2548)
* พร้อมเฉลยคําตอบ วิธคี ดิ และเรือ่ งที่น่ารู้อกี มากมาย..
เหมาะสําหรับเตรียมสอบประจําภาค ม.4-5-6
สอบโควตารับตรง และสอบเข้ามหาวิทยาลัย

Release 2.2.04
เซต ตรรกศาสตร์/การให้เหตุผล
ระบบจํานวนจริง/ทฤษฎีจํานวน
เรขาคณิตวิเคราะห์
ความสัมพันธ์/ฟังก์ชัน
กําหนดการเชิงเส้น
ฟังก์ชันตรีโกณมิติ
เอกซ์โพเนนเชียล/ลอการิทึม
เมตริกซ์ เวกเตอร์
จํานวนเชิงซ้อน ทฤษฎีกราฟ
ลําดับ/อนุกรม ลิมิต/ความต่อเนื่อง
อนุพันธ์/การอินทิเกรต สถิติ
ความน่าจะเป็น

คณิต มงคลพิทักษ์สุข http://math.reads.it


วศ.บ. ไฟฟ้า จุฬาฯ (เกียรตินิยม) kanuay@thai.com
2
Math E-Book
Release 2.2.04
เรียบเรียงโดย คณิต มงคลพิทักษ์สุข

เผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต (มี.ค.2547 ถึงปัจจุบัน)


ที่เว็บไซต์ http://math.reads.it และ “thaiware.com”
Release 2.2 14 มิถุนายน 2549
Release 2.2.01-03 กรกฎาคม-พฤศจิกายน 2549
Release 2.2.04 26 เมษายน 2550

ตีพิมพ์ครั้งแรก (จาก Release 2.0) ธันวาคม 2548


พิมพ์ครั้งที่ 3 (จาก Release 2.0) ต้นปี 2550
ในชื่อ “คณิตศาสตร์ O-NET & A-NET”
โดยสํานักพิมพ์ SCIENCE CENTER (ธรรมบัณฑิต)
ราคาปก 159 บาท

เอกสารชุดนีส้ งวนลิขสิทธิต์ ามกฎหมาย


(คุ้มครองถึงรุ่นเอกสารที่เคยเผยแพร่ทั้งหมด)
ห้ามลอกเลียนไม่ว่าส่วนหนึ่งส่วนใด
และห้ามใช้ในการอื่นนอกจากอ่านส่วนบุคคล
เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร

ฉบับตีพิมพ์มีจําหน่ายที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
ถนนราชดําเนิน

ตรอกสาเก

ร้านซีเอ็ด ร้านแพร่พิทยา หรือโทร.สั่งซือ้ ได้ที่ โรงแรม


7-Eleven ร้านธรรมบัณฑิต วัดบูรณศิริ
รัตนโกสินทร์

ธรรมบัณฑิต ถนนอัษฎางค์
คลองหลอด
ไปกระทรวงมหาดไทย

3/1 ถนนอัษฎางค์ ริมคลองหลอด แผงหนังสือ กระทรวง


แม่ธรณี
สนามหลวง เขตพระนคร กทม. 10200 สนามหลวงเดิม ยุติธรรม

โทร. 0-2225-7160, 0-2221-5884


สนามหลวง
ธนาณัติสั่งจ่าย ป.ณ.หน้าพระลาน ในนาม “ผู้จัดการ”
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 3

¤íÒªÕé樧
ภายในหนังสือเล่มนี้ประกอบด้วย เนือ้ หาคณิตศาสตร์ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้น
พื้นฐาน พ.ศ.2544 ช่วงชัน้ ที่ 4 (หรือ ม.4 – ม.6) ครบทุกหัวข้อ (ซึ่งพยายามเขียนให้กระชับ
ที่สุด) และ โจทย์แบบฝึกหัด ที่เรียงลําดับจากง่ายไปยาก พร้อมทั้งเนื้อหาและเทคนิคการ
คํานวณที่ควรทําความเข้าใจเพิ่มเติม เนื้อหาบางบทเรียนสามารถเริ่มทําความเข้าใจได้ทันที แต่
บางบทเรียนก็จําเป็นต้องใช้พนื้ ฐานความรู้จากบทเรียนอื่นประกอบด้วย ดังนั้นเพื่อป้องกันการ
สับสนผู้อ่านควรศึกษาเรียงตามหัวข้อดังนี้

ตรรกศาสตร์ เซต ระบบจํานวนจริง

ความน่าจะเป็น เมตริกซ์
ทฤษฎีกราฟ

พื้นฐาน ฟังก์ชัน เรขาคณิตวิเคราะห์ เวกเตอร์

เพิ่มเติม กําหนดการเชิงเส้น จํานวนเชิงซ้อน

สถิติ ลําดับ+อนุกรม ตรีโกณมิติ ลิมิต+ความต่อเนื่อง

เอกซ์โพ.+ลอการิทึม อนุพันธ์+อินทิเกรต

นอกจากนีใ้ นตอนท้ายยังมี ข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย วิชาคณิตศาสตร์ ครบทั้ง 14


ฉบับ (ต.ค.41 ถึง มี.ค.48) และวิชาพื้นฐานทางวิศวกรรม (2532 ถึง 2548, เฉพาะข้อที่เป็น
คณิตศาสตร์) เพื่อใช้สําหรับฝึกฝนเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย (O-NET / A-NET) อีกด้วย

ในท้ายบทเรียนและท้ายข้อสอบมี เฉลยคําตอบและวิธีคดิ กํากับไว้ทั้งหมดแล้ว โดย


เฉลยวิธีคิดในหนังสือเล่มนี้เป็นเพียงการสรุปความคิดรวบยอดของข้อนัน้ ๆ ไม่ได้แสดงวิธีทํา
อย่างละเอียดทุกขั้นตอน ทั้งนี้เป็นความตั้งใจที่จะเน้นให้ผอู้ ่านได้ลองคิดและเกิดความเข้าใจไป
พร้อมๆ กัน เพื่อให้ทําข้อสอบได้รวดเร็วขึ้น เชื่อว่าหากผู้อา่ นได้ให้เวลาทําความเข้าใจเนือ้ หา
อย่างถี่ถ้วน และฝึกทําโจทย์แบบฝึกหัดไปทีละขั้นๆ พร้อมกับตรวจเฉลยทุกข้อ ก็จะติดตาม
บทเรียนจนจบได้อย่างลุล่วง สิ่งที่ต้องการแนะนําในที่นี้คอื หากมีข้อสงสัยให้รีบถามจากผู้รู้ ไม่
ควรปล่อยให้ตดิ ค้างอยู่ :]

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 4

แนวโจทย์ข้อสอบเข้าฯ ในปัจจุบัน
โจทย์ข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยปัจจุบันนี้เปลี่ยนแนวไป ทําให้หลายคนบ่นว่ายากขึ้นมาก
ส่วนตัวผู้เขียนว่าเป็นข้อสอบที่ดีเพราะเริ่มเน้นความเข้าใจในเนื้อหา ในนิยามหลักๆ ของบทเรียน
ลักษณะข้อสอบแบบนี้อันที่จริงไม่ถือว่ายาก แต่ค่อนไปในทางลึกซึ้งมากกว่า คนที่จะทําข้อสอบแบบนี้
ได้ถูก จะต้องรู้ลึกและแม่นจริง สูตรลัดกลายเป็นสิ่งไร้ค่า และการขยันเรียนที่โรงเรียนโดยตลอด
พร้อมกับทําความเข้าใจในแบบฝึกหัดเพิ่มเติมด้วยตนเอง จะได้ผลดีมากกว่าการกวดวิชา

เรียนคณิตศาสตร์ยังไงให้ได้ผลดี
(1) ปัญหาแรกของคนที่บอกว่าตัวเองเรียนไม่รู้เรื่องเลย ทําโจทย์ไม่เป็นเลย อยู่ที่เรียนผิดวิธี
ครับ ถ้าไม่เข้าใจบทเรียนให้ลองถามตัวเองว่าเกิดจากเหตุใดต่อไปนี้
(ก) ไม่ตั้งใจเรียน กรณีนี้ไม่มีวิธีแก้วิธีใดดีไปกว่าการบังคับตัวเองให้ตั้งใจเรียน :]
(ข) ถ้าตั้งใจแล้วแต่ไม่เข้าใจ แปลว่าผู้สอนอาจจะถ่ายทอดได้ไม่ดี แบบนี้คงต้องย้ายไปเรียนกับคนที่
สอนแล้วเข้าใจ (เข้าใจกับสนุก หรือเข้าใจกับมีสูตรลัดเยอะ เป็นคนละเรื่องกันนะครับ!)
(2) ทีนี้พอเข้าใจบทเรียนแล้ว การที่จะทําได้ดีไม่ดี อยู่ที่การฝึกฝนอีกอย่างหนึ่งด้วย (ถ้านั่ง
ฟังอย่างเดียวแต่ไม่ได้ลงมือฝึกด้วยตัวเองเลย ก็คงคล้ายกับเรียนว่ายน้ําทางทีวีนั่นแหละครับ) ยิ่งทํา
โจทย์เยอะและแปลก จะยิ่งได้เปรียบ เพราะความแม่นยําลึกซึ้งในวิชานั้นสอนกันไม่ได้
อีกสิ่งหนึ่งที่ควรปรับปรุงคือ แทนที่จะจําวิธีแก้โจทย์เป็นรูปแบบตายตัว อยากให้ “มอง
คณิตศาสตร์เป็นเครื่องมือ” คือฝึกมองให้กว้างว่าแต่ละเรื่องที่เรารู้นั้น เอาไปเป็นเครื่องมือช่วย
แก้ปัญหาจุดไหนของเรื่องไหนได้บ้าง ต้องบอกได้ว่าทําไมโจทย์ข้อนี้ถึงควรทําด้วยวิธีนี้ หรือรู้จักมองว่า
เนื้อหาบทไหนเชื่อมโยงถึงกันได้บ้าง (ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ได้แทรกคําอธิบายถึงความเกี่ยวโยงไว้ให้บ้าง
แล้ว) การฝึกแบบนี้น่าจะทําข้อสอบได้ดีขึ้นครับ..

นับตั้งแต่เริ่มลงมือพิมพ์จนเสร็จสมบูรณ์ใช้เวลากว่า 2 ปี และหนังสือเล่มนี้คงจะยังไม่สําเร็จ
ด้วยดีถ้าขาดบุคคลเหล่านี้ หากหนังสือเล่มนี้มีส่วนดีประการใด ก็เป็นเพราะบุคคลทั้งหมดนี้ครับ..
- อาจารย์ทุกท่านโดยเฉพาะอาจารย์คณิตศาสตร์ ที่ได้ให้วิชาความรู้กับผม ขอขอบพระคุณ
อ.ชัยศักดิ์ และ อ.จงดี (สาธิตปทุมวัน) เป็นพิเศษครับ ทั้งสองท่านเป็นต้นแบบที่ดีที่สุดในการสอน
- ป๊า ม้า ยังคงเข้าใจและยอมเรื่อยมา บอยกับน้องยุ ช่วยพิมพ์เฉลยอย่างขยันขันแข็ง
- ผู้เขียนหนังสือเรียนและคู่มือต่างๆ ผู้ออกข้อสอบเข้าฯ รวมทั้งเว็บไซต์ของ สกอ.
- อ.สมพล (กวงเจ็ก) และ อ.พนม สนพ. Science Center ที่ให้โอกาสนําเสนอผลงาน
- ชง สําหรับความคิดริเริ่มพิมพ์ชีท และกล้า สําหรับความคิดเรื่องข้อสอบพื้นฐานวิศวะ
- น้องภัค น้องหนึ่ง น้องโอ๊ต น้องเคน สําหรับข้อสอบทั้งสองวิชา รวมไปถึงน้องๆ ทั้งหลาย
ที่เคยเป็นศิษย์กันมา ตั้งแต่ใช้ชีทลายมือเขียนมาจนกระทั่งพิมพ์เสร็จ (ขึ้นหลักร้อยแล้ว แต่ยังจําได้
ทุกคนครับ) โดยเฉพาะ แอน – เนย์ – เภา – ตูน เป็นน้องกลุ่มแรกที่ได้ใช้หนังสือเล่มนี้ ให้คําแนะนํา
และช่วยตรวจแก้ข้อสอบด้วย
- ความร้ายกาจของ “เจ๊ชุดดํา” ณ อดีตฟู้ดคอร์ทชั้น 3 ที่ทําให้เกิดความคิดว่า จริงๆ คนเรา
ควรทํางานในหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด.. แล้วผมก็เดินกลับบ้านมาเริ่มพิมพ์หนังสือเมื่อสองปีที่แล้ว!
- Thaiware.com, Se-ed.net, f0nt.com ... สามเว็บไทยใจดี

มีข้อสงสัย คําแนะนํา หรือพบข้อบกพร่อง กรุณาติดต่อผู้เขียนที่ kanuay@thai.com


และสอบถามปัญหาหรือโจทย์ต่างๆ ได้ที่เว็บบอร์ดใน http://math.reads.it
ยินดีตอบทุกปัญหาครับ :]
ขอบคุณที่ให้ความสนใจครับ
คณิต มงคลพิทักษ์สุข
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 5

ÊÒÃa¡ÒÃeÃÕ¹Ãٌ
(e¹×éoËÒ·Õè㪌Êoº O-NET / A-NET)
ตั้งแต่ปีการศึกษา 2549 เป็นต้นไป การสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยจะเปลี่ยนระบบ
เป็นแอดมิสชัน่ ส์ (Central University Admissions System) ซึ่งแบ่งคะแนนสอบออกเป็น 4 ส่วน
1. GPAX รวมทุกวิชาในระดับ ม.ปลาย [10%]
2. GPA เฉพาะวิชาหลัก 4-5 วิชา ต่างๆ กันไปแล้วแต่คณะที่เลือก [20%]
3. O-NET (Ordinary National Educational Test) สอบรวมทั้งประเทศ [35%-40%]
เป็นข้อสอบบังคับ นักเรียนทุกสาขาจะต้องสอบ มี 5 วิชาได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ
คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสังคมศึกษา (ระยะเวลาในการสอบ วิชาละ 2 ชั่วโมง) ... ซึ่ง
นักเรียนแต่ละคนสอบ O-NET ได้เพียงปีเดียว หลังจบ ม.6
4. A-NET (Advanced National Educational Test) สอบรวมทั้งประเทศ [30%-35%]
เป็นข้อสอบฉบับเพิ่มเติม มีรายวิชาต่างกันไปตามสาขาที่สอบ (ไม่เกิน 3 วิชา และอาจมี
วิชาความถนัดของแต่ละสาขาด้วย เช่น วิศวะฯ สถาปัตย์ ครู ศิลปะ ดนตรี สุขศึกษา) ข้อสอบจะ
ครอบคลุมเนื้อหากว้างและลึกกว่า O-NET (ระยะเวลาในการสอบ วิชาละ 2 ชั่วโมง ยกเว้น
วิทยาศาสตร์ 3 ชั่วโมง) โดยคณิตศาสตร์จะใช้สอบสําหรับนักเรียนที่เลือกสาขาคํานวณเท่านั้น ...
นักเรียนแต่ละคนสอบ A-NET ได้ 3 ปี

หมายเหตุ (1) O-NET และ A-NET มีการจัดสอบปีละ 1 ครั้ง ปลายเดือนกุมภาพันธ์


(2) ทุกวิชาจะมีข้อสอบส่วนอัตนัย เป็นแบบเติมคําตอบสั้นๆ (Short Answer) ด้วย
(3) ชื่อวิชาต่างจากระบบเดิม คือคณิตศาสตร์ 1 (O-NET) จะง่ายกว่าคณิตศาสตร์ 2 (A-NET)

ค่าน้ําหนักของวิชาคณิตศาสตร์ในการสอบแต่ละสาขา
- สาขาบริหารธุรกิจ พาณิชย์ บัญชี เศรษฐศาสตร์ | GPA 4% | O-NET 7% | A-NET 20%
- สาขาวิศวกรรมศาสตร์ และสาขาเกษตร | GPA 4% | O-NET 8% | A-NET 10%
- สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม | GPA 5% | O-NET 7% | A-NET 10%
- สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ | GPA 4% | O-NET 7% | A-NET 10%
- สาขาสังคมศาสตร์ | GPA 5% (เลือกวิชาอื่นแทนได้) | O-NET 20%
- สาขาการจัดการ การท่องเที่ยว | GPA 5% | O-NET 14%
- สาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์ | GPA 5% | O-NET 8%
- สาขาครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ | GPA 4% | O-NET 8%
- สาขาวิทยาศาสตร์สาธารณสุข พลศึกษา การกีฬา | GPA 4% | O-NET 7%
- สาขาศิลปกรรม วิจิตรศิลป์ ประยุกต์ศิลป์ | GPA ไม่ใช้คณิตศาสตร์ | O-NET 7%
- สาขามนุษยศาสตร์ | GPA 5% (เลือกวิชาอื่นแทนได้) | O-NET 7-10% | A-NET ไม่แน่นอน

รายละเอียดเพิ่มเติม อยู่ในเว็บไซต์ของ สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (NIETS)


http://www.ntthailand.com

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 6

หัวข้อคณิตศาสตร์พื้นฐาน (สําหรับข้อสอบ O-NET)


บทที่ 1 เซต (ทั้งหมด)
บทที่ 2 ระบบจํานวนจริง (ทัง้ หมดยกเว้นหัวข้อ 2.2 และ 2.5)
บทที่ 3 ตรรกศาสตร์ (เฉพาะหัวข้อ 3.5)
บทที่ 5 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน (ทั้งหมดยกเว้นหัวข้อ 5.2 และ 5.5)
บทที่ 7 ฟังก์ชันตรีโกณมิติ (เฉพาะเกริ่นนํา และหัวข้อ 7.9)
บทที่ 8 ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล (เฉพาะหัวข้อ 8.1)
บทที่ 13 ลําดับและอนุกรม (เฉพาะหัวข้อ 13.1 และ 13.4 ที่ไม่เกี่ยวกับอนันต์)
บทที่ 16 ความน่าจะเป็น (เฉพาะหัวข้อ 16.1 และ 16.6)
บทที่ 17 สถิติ (ทั้งหมดยกเว้นหัวข้อ 17.5 และ 17.6 และสมบัติต่างๆ)

หัวข้อคณิตศาสตร์เพิ่มเติม (สําหรับข้อสอบ A-NET)


คือทุกหัวข้อในหนังสือเล่มนี้
รวมทั้งหัวข้อเพิ่มเติมที่ไม่อยู่ในหนังสือเรียน ได้แก่
บทที่ 2 การหารสังเคราะห์
บทที่ 13 อนุกรมแบบอื่นๆ ที่ไม่ใช่เลขคณิตและเรขาคณิต
บทที่ 16 การนับในกรณีอื่นๆ (หัวข้อ 16.4)
บทที่ 17 สูตรลดทอนในการหาค่าเฉลี่ยเลขคณิต

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 7

ÊÒúa­
เรื่อง หน้า
บทที่ 1 เซต 11
1.1 สับเซตและเพาเวอร์เซต 12
1.2 แผนภาพเวนน์-ออยเลอร์ และการดําเนินการของเซต 15
1.3 โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับเซต 21

บทที่ 2 ระบบจํานวนจริง 31
2.1 สมบัติของจํานวนจริง 32
2.2 ทฤษฎีบทเศษเหลือ และตัวประกอบ 36
2.3 อสมการ 39
2.4 ค่าสัมบูรณ์ 44
2.5 ทฤษฎีจํานวนเบื้องต้น 48
เรื่องแถม ถ้าไม่มีเครื่องคํานวณ จะหาค่ารากที่สองได้อย่างไร 58

บทที่ 3 ตรรกศาสตร์ 59
3.1 ตัวเชื่อมประพจน์ และตารางค่าความจริง 60
3.2 สัจนิรันดร์ 63
3.3 การอ้างเหตุผล 65
3.4 ประโยคเปิดและตัวบ่งปริมาณ 67
3.5 การให้เหตุผลแบบอุปนัยและนิรนัย 69
เรื่องแถม มองตรรกศาสตร์ให้เป็นการคํานวณ จากพื้นฐานของดิจิตัล 82

บทที่ 4 เรขาคณิตวิเคราะห์ 83
4.1 เบื้องต้น : จุด 84
4.2 เบื้องต้น : เส้นตรง 86
4.3 ภาคตัดกรวย : พื้นฐานการเขียนกราฟ 92
4.4 ภาคตัดกรวย : วงกลม 94
4.5 ภาคตัดกรวย : พาราโบลา 96
4.6 ภาคตัดกรวย : วงรี 99
4.7 ภาคตัดกรวย : ไฮเพอร์โบลา 102

บทที่ 5 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน 119


5.1 ลักษณะของความสัมพันธ์ 120
5.2 โดเมน เรนจ์ และตัวผกผันของความสัมพันธ์ 121
5.3 กราฟของความสัมพันธ์ 124

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 8

เรื่อง หน้า
5.4 ลักษณะของฟังก์ชัน 127
5.5 ฟังก์ชันประกอบ และฟังก์ชันผกผัน 131
เรื่องแถม หลักในการหาโดเมนและเรนจ์ของฟังก์ชัน fog 146

บทที่ 6 กําหนดการเชิงเส้น 147


บทที่ 7 ฟังก์ชันตรีโกณมิติ 157
7.1 ฟังก์ชันตรีโกณมิติในวงกลมหนึ่งหน่วย 158
7.2 ระบบเรเดียน และการลดรูปมุม 160
7.3 สมการตรีโกณมิติ 162
7.4 กราฟของฟังก์ชันตรีโกณมิติ 165
7.5 ฟังก์ชันตรีโกณมิติของผลบวก และผลต่างมุม 166
7.6 ฟังก์ชันผกผันของตรีโกณมิติ 169
7.7 เอกลักษณ์ตรีโกณมิติ 171
7.8 กฎของไซน์และกฎของโคไซน์ 172
7.9 การประยุกต์หาระยะทางและความสูง 173

บทที่ 8 ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียลและลอการิทึม 187


8.1 ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล และกฎของเลขยกกําลัง 187
8.2 การแก้สมการที่เป็นเอกซ์โพเนนเชียล 191
8.3 ฟังก์ชันลอการิทึม และกฎของลอการิทึม 192
8.4 การแก้สมการที่เป็นลอการิทึม 195
เรื่องแถม จําเป็นต้องตรวจคําตอบของสมการ (หรืออสมการ) เมื่อใดบ้าง 204

บทที่ 9 เมตริกซ์ 205


9.1 การบวก ลบ และคูณเมตริกซ์ 206
9.2 ดีเทอร์มินันต์ 208
9.3 อินเวอร์สการคูณ 211
9.4 การดําเนินการตามแถว 215
9.5 การใช้เมตริกซ์แก้ระบบสมการเชิงเส้น 216

บทที่ 10 เวกเตอร์ 227


10.1 การบวกและลบเวกเตอร์ 228
10.2 การคูณเวกเตอร์ด้วยสเกลาร์ 230
10.3 เวกเตอร์กับเรขาคณิต 231
10.4 เวกเตอร์ในพิกัดฉาก และเวกเตอร์หนึ่งหน่วย 233
10.5 ผลคูณเชิงสเกลาร์ 235
10.6 เวกเตอร์ในพิกัดฉากสามมิติ 237
10.7 ผลคูณเชิงเวกเตอร์ 240
เรื่องแถม สิ่งที่ไม่ต้องรู้ก็ได้ : ลําดับการคิดค้นเนื้อหาคณิตศาสตร์ 250
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 9

เรื่อง หน้า
บทที่ 11 จํานวนเชิงซ้อน 251
11.1 การคํานวณเบื้องต้น 252
11.2 สังยุค และค่าสัมบูรณ์ 254
11.3 รูปเชิงขั้ว 256
11.4 สมการพหุนาม 259
เรื่องแถม ใช้จาํ นวนเชิงซ้อนช่วยคํานวณเกี่ยวกับวงจรไฟฟ้ากระแสสลับ 268

บทที่ 12 ทฤษฎีกราฟ 269


12.1 ส่วนประกอบของกราฟ 270
12.2 กราฟออยเลอร์ 272
12.3 วิถีที่สั้นที่สุด และต้นไม้แผ่ทั่วที่น้อยที่สุด 274

บทที่ 13 ลําดับและอนุกรม 279


13.1 ลําดับเลขคณิตและเรขาคณิต 280
13.2 ลิมิตของลําดับอนันต์ 282
13.3 อนุกรมและซิกม่า 284
13.4 อนุกรมเลขคณิต เรขาคณิต และอื่นๆ 285

บทที่ 14 ลิมิตและความต่อเนื่อง 295


14.1 ทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิต 296
14.2 ลิมิตในรูปแบบยังไม่กําหนด 298
14.3 ความต่อเนื่องของฟังก์ชัน 300
เรื่องแถม การคํานวณลิมิตในรูปแบบยังไม่กําหนด ด้วยกฎของโลปีตาล 306

บทที่ 15 อนุพันธ์และการอินทิเกรต 307


15.1 อัตราการเปลี่ยนแปลง 307
15.2 สูตรในการหาอนุพันธ์ 309
15.3 ฟังก์ชันเพิ่ม ฟังก์ชันลด และค่าสุดขีด 312
15.4 สูตรในการอินทิเกรต 317
15.5 อินทิกรัลจํากัดเขต และพื้นที่ใต้โค้ง 319
เรื่องแถม เทคนิคการอินทิเกรตโดยเปลี่ยนตัวแปร 332

บทที่ 16 ความน่าจะเป็น 333


16.1 หลักมูลฐานเกี่ยวกับการนับ 333
16.2 วิธีเรียงสับเปลี่ยน 335
16.3 วิธีจัดหมู่ และกฎการแบ่งกลุ่ม 337
16.4 การนับในกรณีอื่นๆ 339
16.5 ทฤษฎีบททวินาม 341
16.6 ความน่าจะเป็น 345
เรื่องแถม เรื่องของการนับจํานวนความสัมพันธ์ จํานวนฟังก์ชัน 358
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 10

เรื่อง หน้า
บทที่ 17 สถิติ 359
17.1 การรวบรวมและนําเสนอข้อมูล 360
17.2 ค่ากลางของข้อมูล 363
17.3 ตําแหน่งสัมพัทธ์ของข้อมูล 374
17.4 ค่าการกระจายของข้อมูล 378
17.5 ค่ามาตรฐาน และการแจกแจงแบบปกติ 383
17.6 ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันระหว่างข้อมูล 388

ข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย วิชาคณิตศาสตร์ 1 (14 ฉบับ) 403


ฉบับที่ c | ตุลาคม 2541 408
ฉบับที่ d | มีนาคม 2542 417
ฉบับที่ e | ตุลาคม 2542 426
ฉบับที่ f | มีนาคม 2543 435
ฉบับที่ g | ตุลาคม 2543 444
ฉบับที่ h | มีนาคม 2544 453
ฉบับที่ i | ตุลาคม 2544 462
ฉบับที่ j | มีนาคม 2545 471
ฉบับที่ k | ตุลาคม 2545 481
ฉบับที่ l | มีนาคม 2546 492
ฉบับที่ n | ตุลาคม 2546 502
ฉบับที่ o | มีนาคม 2547 512
ฉบับที่ p | ตุลาคม 2547 523
ฉบับที่ q | มีนาคม 2548 532
สถิติคะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัย วิชาคณิตศาสตร์ 1 541
ข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย วิชาพื้นฐานทางวิศวกรรม (17 ปี)
(เฉพาะข้อที่เป็นคณิตศาสตร์)
ชุดที่ 1 | รวมปี 2532 ถึงปี 2541 542
ชุดที่ 2 | รวมตุลาคม 2541 ถึงมีนาคม 2548 573

โจทย์ทดสอบ : เตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ชุดที่ 1 (มี 2 ส่วน, 70 ข้อ) 588
ชุดที่ 2 (35 ข้อ) 606

ภาคผนวก : Math E-Book ฉบับเข้มข้น 616


ดรรชนี 657

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 11 เซต

{ s,e,t }

º··Õè 1 e«µ
“กลุ่มของสิ่งต่างๆ” ในวิชาคณิตศาสตร์จะ
เรียกว่า เซต (Set) เช่น เซตของชื่อวันทั้งเจ็ด, เซต
ของจํานวนเต็มที่ยกกําลังสองแล้วมีค่าน้อยกว่า 7, เซต
ของจํานวนเฉพาะบวกที่หาร 360 ลงตัว, ฯลฯ สิ่งที่อยู่
ภายในแต่ละเซต เรียกว่า สมาชิก (Element หรือ
Member)
นิยมตั้งชื่อเซตด้วยอักษรตัวใหญ่ เช่น A, B, C และเขียนสัญลักษณ์แทนเซตด้วยวงเล็บ
ปีกกา ดังนี้ { } เช่น ให้ A แทนเซตของชื่อวันทั้งเจ็ด, B แทนเซตของจํานวนเต็มที่ยกกําลังสอง
แล้วมีค่าน้อยกว่า 7, C แทนเซตของจํานวนเฉพาะบวกที่หาร 360 ลงตัว, D แทนเซตของจํานวน
เฉพาะบวกที่น้อยกว่า 7, และ E แทนเซตของจํานวนเต็มที่อยู่ระหว่าง 3 ถึง 33 จะได้ว่า
A = { อาทิตย์, จันทร์, อังคาร, พุธ, พฤหัสบดี, ศุกร์, เสาร์ }
การเขียนแจกแจงสมาชิกของเซต จะคั่นระหว่างสมาชิกแต่ละตัวด้วยจุลภาค (comma)
B = {−2, −1, 0, 1, 2} หรือ B = {0, 1, −1, 2, −2}
การเขียนแจกแจงสมาชิกของเซต สามารถสลับที่สมาชิกในเซตได้โดยความหมายไม่เปลี่ยน
C = {2, 3, 5} D = {2, 3, 5} จะกล่าวได้ว่า C = D
สมาชิกตัวที่ซ้ํากันนับเป็นตัวเดียวกัน และไม่ต้องเขียนซ้ํา ( 360 = 2 × 2 × 2 × 3 × 3 × 5 )
E = {4, 5, 6, 7, ..., 32}
หากมีสมาชิกเป็นจํานวนมาก อาจใช้เครื่องหมายจุด “...” เพื่อละสมาชิกบางตัวไว้ในฐานที่เข้าใจ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 12 เซต

เซตที่หาจํานวนสมาชิกได้ เรียกว่า เซตจํากัด (Finite S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S


Set) และสัญลักษณ์ที่ใช้แทน “จํานวนสมาชิกของ A” คือ n (A) e«µµ‹o仹ÕÁé ¨Õ Òí ¹Ç¹ÊÁÒªi¡e·‹Òã´
เช่นในตัวอย่างข้างต้น n (A) = 7 , n (B) = 5 , n (C) = 3 , {∅, 0, 1, {2, 3},(4, 5)}
n (E) = 29 นอกจากนั้น เซตจํากัดที่ไม่มีสมาชิกอยู่เลย จะเรียกว่า ¤íÒµoº¤×o 5 µaÇ ä´Œæ¡‹ e«µÇ‹Ò§, eÅ¢ 0,
เซตว่าง (Null Set หรือ Empty Set) ใช้สัญลักษณ์ { } หรือ ∅ eÅ¢ 1, e«µ {2,3}, æÅa¤Ù‹oa¹´aº (4,5)
¹a蹤×oe«µ¹aºe»š¹ 1 ¤Ù‹oa¹´aº¹aºe»š¹ 1
นั่นคือ n (∅) = 0
{(1, 2),(2, 1), {1, 2}, {2, 1}}
เซตที่จํานวนสมาชิกมากจนหาค่าไม่ได้ เรียกว่า เซต ¤íÒµoº¤×o 3 µaÇ ä´Œæ¡‹ ¤Ù‹oa¹´aº (1,2), ¤Ù‹
อนันต์ (Infinite Set) เช่น F แทนเซตของจํานวนเต็มที่น้อยกว่า 2, oa¹´aº (2,1), æÅae«µ {1,2}
G แทนเซตของจํานวนใดๆ ที่อยู่ระหว่าง 0 กับ 1 (¤Ù‹oa¹´aº 1-2 ¡aº 2-1 ¶×oNjҵ‹Ò§¡a¹ 测e«µ
1-2 ¡aºe«µ 2-1 ¶×oNjÒeËÁ×o¹¡a¹æÅaäÁ‹
F = {1, 0, −1, −2, −3, ...} , n (F) หาค่าไม่ได้
µŒo§¹aº«éÒí ¹a¤Ãaº)
G เขียนแบบแจกแจงสมาชิกไม่ได้ แต่เขียนแบบบอก
เงื่อนไขได้ในรูป { สมาชิก | เงื่อนไข } คือ e«µ¢o§ª×oè ¤¹ã¹»Ãae·Èä·Âã¹¢³a¹Õé
G = { x | 0 < x < 1} e»š¹e«µ¨íÒ¡a´ËÃ×oo¹a¹µ ... ¤íÒµoº¤×o
e«µ¨íÒ¡a´¤Ãaº ¶Ö§æÁŒ¨íҹǹÊÁÒªi¡¨a´ÙNjÒ
อ่านว่า เซตของ x (สมาชิก) โดยที่ 0 < x < 1 (เงื่อนไข)
ÁÒ¡¢¹Ò´ä˹ 测¡çäÁ‹ÁÒ¡¶Ö§o¹a¹µ¹a..

สัญลักษณ์ที่ใช้แทนคําว่า “เป็นสมาชิกของ” คือ ∈ เช่น 2 ∈ B , 3 ∈ C , 0.5 ∈ G


สัญลักษณ์ที่ใช้แทนคําว่า “ไม่เป็นสมาชิกของ” คือ ∉ เช่น 2.5 ∉ B , 4 ∉ C , 0 ∉ G

ขอบเขตของสิ่งที่เราสนใจ เรียกว่า เอกภพสัมพัทธ์ (Relative Universe) หรือเซต U


นั่นคือ สมาชิกของเซตทุกเซตจะต้องอยู่ใน U ทั้งหมด และจะไม่สนใจสิ่งที่อยู่ภายนอก U
เช่น ถ้า U = {−2, −1, 0, 0.5, 7} และ H = { x | x > 0 } จะได้ว่า H = {0, 0.5, 7}
แต่ถ้าเปลี่ยนเป็น U = เซตของจํานวนเต็ม จะได้ว่า H = {0, 1, 2, 3, ...}
การเขียนเซตแบบบอกเงื่อนไขควรระบุเอกภพสัมพัทธ์กํากับด้วย แต่ถ้าไม่ได้ระบุไว้
โดยทั่วไปให้ถือว่า U เป็นเซตของจํานวนจริงใดๆ ( R )
เช่น H = { x | x > 0 } มีความหมายเดียวกับ H = { x ∈ R | x > 0 }

1.1 สับเซต และเพาเวอร์เซต


สับเซต (Subset) คือเซตย่อย จะกล่าวว่า B เป็นสับเซตของ A ได้ก็ต่อเมื่อ สมาชิกทุกตัว
ของเซต B เป็นสมาชิกของเซต A ด้วย (และ B จะไม่เป็นสับเซตของ A หากว่ามีสมาชิกบางตัวของ
เซต B ไม่เป็นสมาชิกของเซต A) สัญลักษณ์ที่ใช้แทนประโยค “B เป็นสับเซตของ A” คือ B ⊂ A
และ สัญลักษณ์ที่ใช้แทนประโยค “B ไม่เป็นสับเซตของ A” คือ B ⊄ A
ตัวอย่างเช่น A = {m, p, r, w}
จะมีเซต B ที่ทาํ ให้ B ⊂ A ได้ถึง 16 แบบ ดังนี้

{m} {p} {r} {w}
S ¢ŒoÊa§e¡µ! S
{m, p} {m, r} {m, w} {p, r} {p, w} {r, w} »Ãao¤ {a, b} ⊂ A
{m, p, r} {m, p, w} {m, r, w} {p, r, w} ÁÕ¤ÇÒÁËÁÒÂÇ‹Ò a ∈ A æÅa b ∈ A
{m, p, r, w}

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 13 เซต

ข้อควรทราบ
1. เซตว่างเป็นสับเซตของทุกเซต ∅ ⊂ A
2. เซตทุกเซตเป็นสับเซตของตัวเอง A ⊂ A
3. เซตที่มีสมาชิก n ตัว จะมีสับเซตทั้งสิ้น 2 n แบบ ... (เช่นในตัวอย่างข้างต้น 2 4 = 16 )
4. บางตําราใช้สัญลักษณ์ ⊂ แทนการเป็น สับเซตแท้ (Proper Subset) ซึ่งจะมีเพียง 2 n − 1 แบบ
เท่านั้น (คือนับเฉพาะเซตที่เล็กกว่าเท่านั้น ไม่นับตัวมันเอง) และใช้สัญลักษณ์ ⊆ แทนการเป็นสับ
เซตใดๆ (นั่นคือ A ⊆ A แต่ A ⊄ A ) ... แต่ในเล่มนี้จะรวบใช้เครื่องหมาย ⊂ แทนการเป็นสับ
เซตใดๆ ทุกแบบ รวมถึงตัวมันเองด้วย

เพาเวอร์เซต (Power Set) คือเซตที่บรรจุด้วยสับเซตทั้งหมดที่เป็นไปได้


เพาเวอร์เซตของ A จะใช้สัญลักษณ์ว่า P(A)
S ¢ŒoÊa§e¡µ! S
ดังนั้น ถ้า A มีสมาชิก n ตัวแล้ว P(A) ย่อมมีสมาชิก 2 n ตัว
เช่นในตัวอย่าง A = {m, p, r, w} »Ãao¤ {a, b} ∈ P(A)
จะได้ P (A) = { ∅, {m}, {p}, {r}, {w}, {m, p}, {m, r}, ..., {m, p, r, w} } ÁÕ¤ÇÒÁËÁÒÂÇ‹Ò {a, b} ⊂ A
¹a蹤×o a ∈ A æÅa b ∈ A

เพิ่มเติม จากเนื้อหาเรื่องการเรียงสับเปลี่ยนและจัดหมู่
(กฎการนับนี้จะได้ศึกษาอย่างละเอียดในบทที่ 16 หัวข้อ 16.3)
⎛n⎞ n!
มีของ n ชิ้น หยิบออกมาทีละ r ชิ้น ได้ไม่ซ้ํากันทัง้ สิ้น ⎜r ⎟ = ชุด
⎝ ⎠ (n −r)! ⋅ r !
โดยที่ x ! = 1 ⋅ 2 ⋅ 3 ⋅ ... ⋅ x
เช่นถ้าเซตหนึ่งมีสมาชิก 7 ตัว จะมีสับเซตที่หยิบสมาชิกมาเพียง 3 ตัว
7
อยู่ ⎛⎜ 3 ⎞⎟ = 7 ! = 1 ⋅ 2 ⋅ 3 ⋅ 4 ⋅ 5 ⋅ 6 ⋅ 7 = 35 แบบ
⎝ ⎠ 4!⋅ 3! 1⋅2 ⋅ 3 ⋅ 4 ⋅ 1⋅2 ⋅ 3

• ตัวอยาง ใหเขียนสับเซตทุกๆ แบบ และเขียนเพาเวอรเซตของ


S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S
ก. A = {a} ¹Œo§æ Áa¡¨aÊaºÊ¹ÃaËNjҧ ∅ ¡aº {∅}
1
ตอบ มีสับเซต 2 = 2 แบบ ไดแก ∅ และ {a} Njҵ‹Ò§¡a¹o‹ҧäà ...
ดังนั้น P (A) = {∅, {a}} ∅ (e«µÇ‹Ò§) e»ÃÕºeÊÁ×o¹¡Å‹o§e»Å‹Òæ äÁ‹
ข. B = {a, b} ÁÕoaäÃoÂً㹹aé¹eÅ (¨íҹǹÊÁÒªi¡e·‹Ò¡aº 0)
2
ตอบ มีสับเซต 2 = 4 แบบ ไดแก ∅ , {a} , {b} และ {a, b} ¨ae¢Õ¹Êa­Åa¡É³e»š¹ { } ¡ç䴌
ดังนั้น P (B) = {∅, {a}, {b}, {a, b}} 测¶ŒÒ¶ÒÁNjҡŋo§ãºË¹Ö觫Öè§Áաŋo§e»Å‹ÒoÕ¡
ค. C = {2, 3, 5} ãºoÂً¢ŒÒ§ã¹ ¹aºe»š¹¡Å‹o§Ç‹Ò§e»Å‹ÒËÃ×oäÁ‹
3
ตอบ มีสับเซต 2 = 8 แบบ ไดแก ∅ , {2} , {3} , {5} , {2, 3} , ¤íÒµoº¡ç¤×oäÁ‹e»Å‹ÒæŌÇ㪋äËÁ¤Ãaº

{2, 5} , {3, 5} และ {2, 3, 5} ¡çeËÁ×o¹¡a¹¡aº “e«µ¢o§e«µÇ‹Ò§” {∅}


ดังนั้น P (C) = {∅, {2}, {3}, {5}, {2, 3}, {2, 5}, {3, 5}, {2, 3, 5}} «Öè§äÁ‹ä´Œe»š¹e«µÇ‹Ò§oÕ¡µ‹oä»æÅŒÇ ...
ËÃ×o¶ŒÒµoºÊaé¹æ ¡ç¤×o n(∅) = 0
ง. D = ∅
0
测 n({∅}) = 1
ตอบ มีสับเซต 2 = 1 แบบ ไดแก ∅ ดังนั้น P (D) = {∅}

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 14 เซต

• ตัวอยาง กําหนด E = {∅, {0}, {∅}} ใหหา P(E)


ตอบ {∅, {∅}, {{0}}, {{∅}}, {∅, {0}}, {∅, {∅}}, {{0}, {∅}}, {∅, {0}, {∅}}}

• ตัวอยาง กําหนด A, B เปนเซตซึ่ง A = {1, 3, 5, 7} และ B = {1, 2, 3, 4, 5, 6, 7} ใหหา


ก. จํานวนแบบของเซต X ซึ่ง X ∈ P (A)
ตอบ คําวา X ∈ P (A) ก็คือ X ⊂ A
4
ดังนั้น มีเซต X ทีเ่ ปนไปไดทั้งหมด 2 = 16 แบบ
หากศึกษาเรื่องวิธีจัดหมูแลว จะทราบวิธีคํานวณอีกแบบ ดังนี้
⎛4⎞ ⎛4⎞ ⎛4⎞ ⎛4⎞ ⎛4⎞
⎜ 0 ⎟ + ⎜ 1 ⎟ + ⎜ 2 ⎟ + ⎜ 3 ⎟ + ⎜ 4 ⎟ = 1 + 4 + 6 + 4 + 1 = 16 แบบ
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠

ข. จํานวนแบบของเซต X ซึ่ง X ∈ P (A) และ n (X) < 2


ตอบ คําวา X ∈ P (A) ก็คือ X ⊂ A ซึ่งมี 16 แบบ (ดังขอ ก.) แตขอนี้ตองการ n (X) < 2 เทานั้น
หากศึกษาเรื่องวิธีจัดหมูแลวจึงจะทราบวิธีคํานวณ ดังนี้ ⎛⎜ 04 ⎞⎟ + ⎛⎜ 14 ⎞⎟ + ⎛⎜ 24 ⎞⎟ = 1 + 4 + 6 = 11 แบบ
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
(แตถายังไมไดศกึ ษา ก็คงตองเขียนนับเอาโดยตรง)
ค. จํานวนแบบของเซต Y ซึ่ง A ⊂ Y และ Y ⊂ B
ตอบ ตองการ A ⊂ Y ก็แปลวา สมาชิก 1, 3, 5, 7 ตองอยูใน Y ครบทุกตัว ... และ Y ⊂ B แปลวา
2, 4, 6 จะอยูใน Y กี่ตัวก็ได หรือไมอยูเลยก็ได (เพราะมีเพียง 1, 3, 5, 7 ก็เพียงพอกับเงื่อนไข
Y ⊂ B แลว) ... การที่ 2, 4, 6 จะอยูใน Y กี่ตัวก็ได หรือไมอยูเลยก็ได เปรียบเสมือนการหาสับเซต
3
ทุกแบบของ {2, 4, 6} นัน่ เอง จึงตอบวา 2 = 8 แบบ

แบบฝึกหัด 1.1
(1) กําหนด A, B เป็นเซตที่มีลักษณะ A ⊂ B และ A ≠ B ถ้า x ∈ A และ y ∈B แล้ว
ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(1.1) {x} ⊂ B (1.3) {A} ⊂ {B}
(1.2) {y} ⊄ A (1.4) {A} ≠ {B}

(2) ให้ A = {{∅}, a, b, {a}, {a, b}} ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด


(2.1) {∅} ∈ A (2.3) {{a}, b} ⊂ A
(2.2) {∅} ⊂ A (2.4) {a, b} ∈ A และ {a, b} ⊄ A

(3) ข้อความต่อไปนี้ถูกต้องหรือไม่
(3.1) ถ้า A ⊂ B และ B ⊂ C แล้ว A ⊂ C
(3.2) ถ้า A ∈ B และ B ∈ C แล้ว A ∈ C
(3.3) ถ้า A ⊄ B และ B ⊄ C แล้ว A ⊄ C

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 15 เซต

(4) ให้ A เป็นเซตใดๆ ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด


(4.1) { x | x = A } = {A} (4.3) { x | {x} ⊂ A } = {A}
(4.2) { x | x ∈ A } = A (4.4) { x | {x} ⊂ ∅ } = ∅

(5) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(5.1) ถ้า n (A) = 5 แล้ว สับเซตของ A มีทั้งหมด 32 แบบ
(5.2) ถ้า n (A) = 5 แล้ว สับเซตแท้ของ A มีทั้งหมด 32 แบบ
(5.3) ถ้า n (A) = 5 แล้ว เพาเวอร์เซตของ A มีทั้งหมด 32 แบบ
(5.4) ถ้า n (A) = 5 แล้ว สมาชิกของเพาเวอร์เซตของ A มีทั้งหมด 32 ตัว
(6) ถ้า A มีสับเซตแท้ 511 เซต แสดงว่า A มีสมาชิกกี่ตัว
และในจํานวน 511 เซตนั้น สับเซตที่มีสมาชิกเพียง 5 ตัวมีกี่เซต
(7) ข้อความต่อไปนี้ถูกต้องหรือไม่
(7.1) ∅ ∈ ∅ (7.5) ∅ ∈ P (∅)
(7.2) ∅ ⊂ ∅ (7.6) ∅ ⊂ P (∅)
(7.3) ∅ ∈ {∅} (7.7) {∅} ∈ P (∅)
(7.4) ∅ ⊂ {∅} (7.8) {∅} ⊂ P (∅)

(8) ถ้า A = {∅, a, {b}, {a, b}} แล้ว ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด


(8.1) ∅ ∈ P (A) (8.6) a ∈ P (A)
(8.2) {∅} ∈ P (A) (8.7) {a} ∈ P (A)
(8.3) ∅ ⊂ P (A) (8.8) {b} ∈ P (A)
(8.4) {∅} ⊂ P (A) (8.9) {{b}} ∈ P (A)
(8.5) {∅, a, {b}} ∈ P (A) (8.10) {∅, a, {b}} ⊂ P (A)

(9) ถ้า A = {∅, 1, 2, 3, {1}, {1, 2}, {1, 2, 3}} แล้ว ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(9.1) {∅, {1}, {1, 2}} ∈ P (A) (9.3) {{1}, {2}, {3}} ∈ P (A)
(9.2) {∅, {1}, {1, 2}} ⊂ P (A) (9.4) {{1}, {2}, {3}} ⊂ P (A)
(10) [Ent’39] ให้ S = {1, 2, 3, 4, 5, 6, 7} แล้วจงหา n (X) และ n (Y)
เมื่อกําหนด X = { A ∈ P (S) | 1 ∈ A และ 7 ∉ A }
และ Y = { A ∈ X | ผลบวกของสมาชิกภายใน A ไม่เกิน 6 }

1.2 แผนภาพเวนน์-ออยเลอร์ และการดําเนินการของเซต


การแสดงเซตด้วย แผนภาพของเวนน์และออยเลอร์ S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S
(Venn-Euler Diagram) ช่วยให้เห็นลักษณะของเซตชัดเจนขึ้น ¤ÇèaÇÒ´æ¼¹ÀÒ¾e«µ A æÅa B ã¹æºº
การเขียนแผนภาพดังกล่าวนิยมให้เอกภพสัมพัทธ์ U เป็นกรอบ ·aèÇä» ¤×oãˌÁÕÊÁÒªi¡Ã‹ÇÁ¡a¹¡‹o¹
สี่เหลี่ยม ซึ่งภายในบรรจุรูปปิด (วงกลม วงรี ฯลฯ) ที่ใช้แทน (eËÁ×o¹¡aºÃÙ»¡ÅÒ§) æŌǨҡ¹aé¹eÁ×èo·ÃÒº
ขอบเขตของเซต A, B, C ต่างๆ โดยจะเขียนให้มีบริเวณที่เซต NjҪié¹Ê‹Ç¹ã´äÁ‹ÁÕÊÁÒªi¡ ¤‹o¢մËÃ×oæÃe§Ò
สองเซตซ้อนทับกัน หากว่าสองเซตนั้นมีสมาชิกร่วมกัน ดังภาพ ·ié§ä».. ·íÒ溺¹Õéoo¡Òʼi´¨a¹ŒoÂŧ¤Ãaº..

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 16 เซต

U U U
A

A B A B B
A และ B ไม่มีสมาชิกร่วมกัน A และ B มีสมาชิกร่วมกัน A เป็นสับเซตของ B

สมมติว่า A = {0, 1, 2, 3, 4} U
B = {1, 3, 5, 7, 9} 04 1 9 B
A
C = {2, 3, 5, 7, 11} 2 3 57
จะเขียนแผนภาพได้ดังนี้ 11
C

การดําเนินการเกี่ยวกับเซต เป็นการทําให้เกิดเซตใหม่ขึ้นจากเซตที่มีอยู่เดิม
1. ยูเนียน (Union : ∪ ) ... เซต A ∪ B คือเซตของสมาชิกที่อยู่ใน A หรือ B ทั้งหมด
U U U
A

A B A B B
ยูเนียนของ A กับ B ได้เป็น B
2. อินเตอร์เซกชัน (Intersection : ∩ ) ... เซต A ∩ B คือเซตของสมาชิกที่อยู่ในทั้ง A และ B
บางตําราใช้สัญลักษณ์เป็น AB (คือ ละเครื่องหมายอินเตอร์เซคชันไว้)
U U U
A

A B A B B
อินเตอร์เซกชันของ A กับ B เป็นเซตว่าง อินเตอร์เซกชันของ A กับ B เป็น A

3. คอมพลีเมนต์ (Complement : ' ) U


เซต A' คือเซตของสมาชิกที่ไม่ได้อยู่ใน A
บางตําราใช้สัญลักษณ์เป็น A c หรือ A A
4. ผลต่าง (Difference หรือ Relative Complement : − )
B − A คือเซตของสิ่งที่อยู่ใน B แต่ไม่อยู่ใน A ... หรือ B − A = B ∩ A'
จะเรียก B − A ว่า “คอมพลีเมนต์ของ B เมื่อเทียบกับ A” ก็ได้
U U U
A

A B A B B
ข้อสังเกต โดยทั่วไป n (B − A) ≠ n (B) − n (A) แต่ n (B − A) = n (B) − n (A ∩ B)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 17 เซต

สมบัติที่เกี่ยวกับการดําเนินการของเซต
• การแจกแจง • คอมพลีเมนต์ และเพาเวอร์เซต
A ∩ (B ∪ C) = (A ∩ B) ∪ (A ∩ C) (A ∪ B) ' = A '∩ B '
A ∪ (B ∩ C) = (A ∪ B) ∩ (A ∪ C) (A ∩ B) ' = A '∪ B '
A − (B ∪ C) = (A − B) ∩ (A − C) P (A) ∩ P (B) = P (A ∩ B)
A − (B ∩ C) = (A − B) ∪ (A − C) P (A) ∪ P (B) ⊂ P (A ∪ B)

หมายเหตุ ในภาษาอังกฤษบางครั้งอ่าน A ∪B ว่า A cup B และอ่าน A ∩B ว่า A cap B

• ตัวอยาง กําหนด A, B เปนเซตซึ่ง A = {1, 3, 5, 7} และ B = {1, 2, 3, 4, 5, 6, 7} ใหหา


(ในขอ ก. และ ข. จําเปนตองใชความเขาใจเรื่องวิธีเรียงสับเปลี่ยนและจัดหมู ดวย)
ก. จํานวนแบบของเซต Y ซึ่ง A ∩ Y ≠ ∅ และ Y ⊂ B
ตอบ วิธีคดิ ตางจากตัวอยางที่แลว ( A ⊂ Y ⊂ B ) เล็กนอย ... ขอนี้ตองการ A ∩ Y ≠ ∅ แสดงวา
สมาชิก 1, 3, 5, 7 ตองมีอยูใน Y (มีกีต่ ัวก็ได แตไมมีเลยไมไดเพราะจะทําให A ∩ Y = ∅ )
การอยูกี่ตัวก็ได แตไมอยูเลยไมได ก็คือการหาสับเซตทุกแบบของ {1, 3, 5, 7} ทีไ่ มใชเซตวาง นั่นเอง ใน
4
ขั้นตอนนี้จึงได 2 − 1 = 15 แบบ ...
อีกเงื่อนไขคือ Y ⊂ B แปลวา 2, 4, 6 จะอยูใน Y กี่ตัวก็ได หรือไมอยูเลยก็ได (เพราะมีเพียง
3
บางตัวของ 1, 3, 5, 7 ก็เพียงพอกับเงื่อนไข Y ⊂ B แลว) ... ขัน้ นี้เหมือนตัวอยางที่แลว จึงได 2 = 8
แบบ ... คําตอบขอนี้ตองนําสองเงื่อนไขมาประกอบกัน สรุปวาทั้งสองขั้นตอนทําใหไดผลลัพธตางๆ กัน
ทั้งสิ้น 15 × 8 = 120 แบบ
ข. จํานวนแบบของเซต Z ซึ่ง {1, 2, 3} ∩ Z ≠ ∅ และ Z ⊂ A
ตอบ วิธีคดิ เหมือนขอ ก. ... นัน่ คือ ตองการ {1, 2, 3} ∩ Z ≠ ∅ แสดงวา สมาชิก 1, 3 ตองมีอยูใน Z
(มีกี่ตัวก็ได แตไมมีเลยไมไดเพราะจะทําให A ∩ Z = ∅ ) ที่สาํ คัญคือ สมาชิก 2 หามอยูใน Z เพราะจะ
2
ขัดแยงกับอีกเงื่อนไข ( Z ⊂ A ) ... ในขั้นตอนนี้จึงได 2 − 1 = 3 แบบ ...
อีกเงื่อนไขคือ Z ⊂ A แปลวา 5, 7 จะอยูใน Z กี่ตัวก็ได หรือไมอยูเลยก็ได (เพราะมีเพียง
2
บางตัวของ 1, 3 ก็เพียงพอกับเงื่อนไข Z ⊂ A แลว) ... ขัน้ นี้เหมือนตัวอยางที่แลว จึงได 2 = 4 แบบ
... คําตอบขอนีต้ อ งนําสองเงื่อนไขมาประกอบกัน สรุปวาทั้งสองขัน้ ตอนทําใหไดผลลัพธตางๆ กันทั้งสิ้น
3 × 4 = 12 แบบ

ค. จํานวนแบบของเซต Z ซึ่ง {1, 2, 3} ∩ Z = ∅ และ Z ⊂ A


ตอบ ขอนี้งายทีส่ ุด เนื่องจาก ตองการ {1, 2, 3} ∩ Z = ∅ แสดงวา สมาชิก 1, 2, 3 หามมีอยูใน Z
เลยแมแตตัวเดียว เมื่อประกอบกับอีกเงื่อนไขคือ Z ⊂ A จึงไดวา สมาชิก 5, 7 เทานัน้ ที่จะอยูใน Z (กี่
ตัวก็ได หรือไมอยูเลยก็ได เพราะแม Z = ∅ ก็ยังทําใหเงือ่ นไข Z ⊂ A เปนจริงอยูดี) ... จึงไดคาํ ตอบ
2
เปน 2 = 4 แบบ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 18 เซต

• ตัวอยาง ถา C = {∅, {∅}, 0, {{∅}, 0}, {∅, {0}}, {{∅, {0}}}} ใหหาคาของ
ก. n (P (C))
6
ตอบ เนื่องจาก n (C) = 6 ดังนั้น n (P (C)) = 2 = 64
ข. n (P (C) − C)
ตอบ n (P (C) − C) ไมไดคิดจาก 64 − 6 = 58 ... เพราะโดยทั่วไปสมาชิกของ C นัน้ ไมไดอยูใน
P (C) ทั้งหมด การจะคิด n (P (C) − C) ตองดูวา สมาชิกของ C นั้นอยูใ น P (C) กี่ตัว
เริ่มพิจารณาเรียงไปทีละตัว เริ่มจาก ∅ “อยู” (เพราะ ∅ เปนสับเซตของทุกเซต นอกจากนั้น
การเขียนเพาเวอรเซตใหเปนระเบียบยังมักจะเริ่มดวย ∅ ) ... ตอมา {∅} ก็ “อยู” อยูในขั้นตอนที่หยิบ
สมาชิกจาก C ไปหนึ่งตัว (เซตวางที่ปรากฏในนี้เปนสมาชิกตัวแรกสุดใน C ) หรือกลาววา “อยู” เพราะ
∅ ∈ C ... ตอมา 0 อันนี้ “ไมอยู” เพราะไมใชเซต สิ่งที่อยูใ นเพาเวอรเซตใดๆ ได ตองเปนเซต!... ตอมา
{{∅}, 0} อันนี้ “อยู” มาจากขั้นตอนที่หยิบสมาชิกจาก C ไปสองตัว (ในที่นี้เปนตัวสองกับตัวสาม) หรือ
กลาววา “อยู” เพราะ {∅} ∈ C และ 0 ∈ C ... ตอมา {∅, {0}} อันนี้ “ไมอยู” เพราะ {0} ∉ C ...
และสุดทาย {{∅, {0}}} อันนี้ก็ “อยู” เพราะวา {∅, {0}} ∈ C มาจากขั้นตอนที่หยิบสมาชิกจาก C ไป
หนึ่งตัว (เปนตัวที่หา) นั่นเอง
สรุปแลว สมาชิกของ C นั้นอยูใน P (C) 4 ตัว ดังนั้น n (P (C) − C) = 64 − 4 = 60
ค. n (C − P (C))
ตอบ n (C − P (C)) ก็ไมไดคดิ จาก 6 − 64 ... แตตองดูวา สมาชิกของ P (C) นัน้ อยูใ น C กี่ตัว ซึ่งมี
วิธีคิดเชนเดียวกับขอ ข. คือได 4 ตัว หรือกลาววา n (C ∩ P (C)) = 4 ... ดังนั้น จึงทําให
n (C − P (C)) = 6 − 4 = 2

หากดูแผนภาพประกอบจะเขาใจยิ่งขึ้น
เราทราบวา (ขอ ก.) n (C) = 6 และ n (P (C)) = 64 2 4 60
จากนั้นนับในขอ ข. วา n (C ∩ P (C)) = 4
จึงได (ข.) n (C − P (C)) = 2 และ (ค.) n (P (C) − C) = 60 C P(C)
ง. n [(P (C) − C) ∪ (C − P (C))]
ตอบ จากขอ ข. กับ ค. (หรือจากแผนภาพ) ไดคําตอบเปน 60 + 2 = 62

(นํามาบวกกันไดทันที เพราะสองสวนนีไ้ มไดซอนทับกัน)

แบบฝึกหัด 1.2
(11) กําหนดให้ A ∪ B = {0, 1, 2, 3, 4, 5} A ∩ B = {1, 3, 5} B ∩ C = {2, 3, 5}
A ∪ C = {0, 1, 2, 3, 5} A ∩ C = {0, 3, 5} แล้ว ข้อใดผิด
ก. A ∩ B ' = {0} ข. B ∩ C ' = {1} ค. A ∩ C ' = {1} ง. B ∩ A ' = {2, 4}

(12) ให้เขียนเซต C'∪ B' แบบแจกแจงสมาชิก เมื่อกําหนดให้


U = { x ∈ I | 1 < x < 10 } เมื่อ I = เซตของจํานวนเต็ม
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 19 เซต

B = {x | x หาร 3 ลงตัว } และ C = {x | x < 5}

(13) [Ent’38] ถ้า A = {0, 1} และ B = {0, {1}, {0, 1}} แล้ว
(13.1) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด A ∈ P (B)
(13.2) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด {1} ∈ P (A) ∩ P (B)
(13.3) ค่าของ n (P (A ∪ B)) − n (P (A ∩ B)) เป็นเท่าใด
(14) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(14.1) ∅ ' = U (14.7) A ∩ A ' = ∅
(14.2) U ' = ∅ (14.8) A ∪ A ' = U
(14.3) A ⊂ (A ∪ B) (14.9) A − U = ∅ และ U − A = A '
(14.4) B ⊂ (A ∪ B) (14.10) A − ∅ = A และ ∅ − A = ∅
(14.5) (A ∩ B) ⊂ A (14.11) A − A = ∅
(14.6) (A ∩ B) ⊂ B (14.12) A − B = A ∩ B '
(15) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(15.1) ถ้า A ⊂ B แล้ว P (A) ⊂ P (B)
(15.2) ถ้า A ∪ B = ∅ แล้ว A = ∅ และ B = ∅
(15.3) ถ้า A ∩ B = ∅ แล้ว A = ∅ และ B = ∅
(15.4) ถ้า A − B = ∅ และ B − C = B แล้ว A ' ∪ C ' = U
(15.5) ถ้า A − B = ∅ และ B − C ≠ ∅ แล้ว A − C ≠ ∅
(16) สําหรับเซต A, B ใดๆ ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(16.1) A ∩ B ≠ A ∪ B (16.5) ถ้า x ∉ A แล้ว x ∉ A ∪B
(16.2) A − B ≠ B − A (16.6) ถ้า x ∈ A แล้ว x ∉ A '∩B'
(16.3) A ∩ B = A − B ' (16.7) ถ้า x ∉ A แล้ว x ∈ A '∩B'
(16.4) (A ∪ B) ' = B '− A (16.8) ถ้า x ∈ A แล้ว x ∈ (A ' ∪ B ') '

(17) เขียนเซตต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปที่สั้นที่สุด
(17.1) A − (A ∩ B) (17.6) (A ∪ B) − B
(17.2) (A − B) ∪ B (17.7) (A ∩ B) − B
(17.3) (A − B) ∩ B (17.8) A − (A − B)
(17.4) A ∩ (A − B) (17.9) (A − B) ∩ (B − A ')
(17.5) A ∪ (A − B)
(18) ข้อความต่อไปนี้เป็นจริงหรือไม่
(18.1) ถ้า A ∪ C = B ∪ C แล้ว A = B
(18.2) ถ้า A ∩ C = B ∩ C แล้ว A = B
(18.3) ถ้า A − C = B − C แล้ว A = B
(18.4) ถ้า A ' = B ' แล้ว A = B
(19) ให้บอกเงื่อนไขที่ทําให้ A −B = A อย่างน้อย 3 กรณี

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 20 เซต

(20) เขียนเซตต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปที่สั้นที่สุด
(20.1) [Ent’21] (A − B) ∪ (B − A) ∪ (A ∩ B)
(20.2) [A ∩ (A '∪ B)] ∪ [B ∩ (B '∪ A ')]
(20.3) ([(A − B) ∪ (B − A)] − A ') ∪ ( A '− [(A − B) ∪ (B − A)])
(20.4) [(A ∪ B) '∩ (B − C ')] ∪ ([(D − E) ∩ (C '− E ')] ∪ (A − E ')) '
(21) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(21.1) (A ∩ B ∩ C) ∪ (A '∩ B ∩ C) ∪ (B '∪ C ') = U
(21.2) (A ∩ B ∩ C ∩ D ') ∪ (A '∩ C) ∪ (B '∩ C) ∪ (C ∩ D) = C
(21.3) P (A ∩ B) ⊂ P (A ∪ B)
(21.4) P (A − B) ∩ P (B − A) = {∅}
(21.5) ถ้า A ⊂ B แล้ว P (A ∪ B) = P (A) ∪ P (B)
(22) ให้ A = {0, 1, 2, 3} , B = {{0}, 1, 2, {3}} และ C = {0, {1}, {2}, 3}
ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(22.1) P (A) ∩ P (B) ∩ P (C ') = {∅, {1}, {2}, {1, 2}}
(22.2) P (A) ∩ P (B ') ∩ P (C) = {∅, {0}, {3}, {0, 3}}
(22.3) P (A ') ∩ P (B) ∩ P (C) = {∅, {0}}
(22.4) P (A) ∩ P (B ') ∩ P (C ') = {∅}
(23) ถ้า n (U) = 35 , n (A) = 22 , n (B) = 18
ให้หาว่า n (A '∩ B ') จะมีค่ามากที่สุดได้เท่าใด
(24) ถ้า n (A) = a , n (B) = b , n (C) = c , n (D) = d
n (A ∩ B) = b , n (B ∩ C) = c , n (C ∩ D) = d แล้ว
ให้หา n (A ∩ B ∩ C ∩ D) และ n (A ∪ B ∪ C ∪ D)

(25) ให้ A, B, C เป็นเซตซึ่ง P (C) = {∅, {a}, {c}, C} , n (P (A)) = 8 , n (P (B)) = 16 ,


C ⊂ A, C ⊂ B , {b, d, e} ⊂ A ∪ B และ b ∈ A ∩B ' ข้อใดผิด
ก. d ∈ (A ∪ B ') ' ข. e ∈ (C ∪ B ') '
ค. b ∉ (A ' ∪ B ') ' ง. {b, e} ⊂ (A '∪ B) '

(26) เมื่อ A = {∅, 1, {1}} และ A ∩ B ' = ∅ แล้ว ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด


(26.1) n [ P (A) ∩ P (B) ] = 8 (26.3) P (A − B) = {∅}
(26.2) {1} ∈ P (A ∩ B) (26.4) P (B − A) = {∅}
(27) [Ent’36] ถ้า A = {∅, {∅}, 0, {0}, {1}, {0, 1}} แล้ว
จงหาจํานวนสมาชิกของเซต [ P (A) − A ] ∪ [ A − P (A) ]
(28) มีเซต A ที่ตรงตามเงื่อนไขต่อไปนี้กี่แบบ
(28.1) A ∪ B = {1, 2, 3, 4, 5} และ B = {1, 3, 5}
(28.2) A ∪ B = {1, 2, 3, ..., 15} และ B = {2, 4, 6, 8, 10}

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 21 เซต

(29) กําหนดให้ A = {1, 2, 3, 4, 5, 6, 7} และ B = {1, 2, 3} แล้ว


จะมีเซต X ตามเงื่อนไขต่อไปนี้ได้กี่แบบ
(29.1) B ⊂ X ⊂ A
(29.2) X ⊂ A และ B ∩ X ≠ ∅
(30) ถ้า B ⊂ A โดย n (A) = 10 , n (B) = 4 ให้หาค่า n (C) ในแต่ละข้อต่อไปนี้
(30.1) C = {S |B ⊂ S ⊂ A}
(30.2) C = {S ⊂ A | S ∩B ≠ ∅}

(31) กําหนด A = {0, 2, 4, 6, 8} B = {0, 1, 2} C = {1, 2, 3} D = {0, 2, 3}


ให้หาจํานวนเซต X ซึ่ง X ⊂ A และตรงตามเงื่อนไขต่อไปนี้
(31.1) B ∩ C ' ⊂ X (31.3) B ∩ D ⊂ X
(31.2) B ∩ C ' ⊄ X (31.4) B ∩ D ⊄ X

(32) ถ้า U = {1, 2, 3, 4, ..., 8}


A = U − {1} B = {2, 4, 6} และ C = {1, 7}
มีเซต D ที่เป็นไปได้กี่แบบที่ตรงตามเงื่อนไข (B '− C) ⊂ D ⊂ A

(33) กําหนดให้ U = { x ∈ I | −2 < x < 6 } เมื่อ I = เซตของจํานวนเต็ม


2
A = {k | k ∈ U } และ B = { k |k ∈ U}
จํานวนสมาชิกของเซต C = {x | A ∩B ⊂ x และ x ⊂ A ∪B} เป็นเท่าใด
(34) ให้ A = {a, b, c, d, f} และ B = {a, c, d, e}
เซต X ซึ่ง X ⊂ A ∪ B และ A ∩ B ∩ X ≠ ∅ มีกี่เซต
(35) ให้ A = {1, 3, 5, 7, 9} และ Sk = { B ⊂ A | n (B) = k}
ให้หาค่า n (S) เมื่อ S = S1 ∪ S2 ∪ S3 ∪ S4 ∪ S5
(36) กําหนดเซต A, B เป็นสับเซตของ U หาก n (U) = 100 , n (A ') = 40 , n (B) = 55 ,
n (A ∩ B ') = 32 แล้วค่าของ n (A '∩ B ') เป็นเท่าใด

1.3 โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับเซต
• โจทย์ปัญหาที่เป็นเหตุการณ์ จะใช้แผนภาพเวนน์-ออยเลอร์ ช่วยในการคํานวณส่วนประกอบต่างๆ
และมีสูตรในการหาจํานวนสมาชิกในเซตเพิ่มเติมดังนี้
สําหรับ 2 เซต ·íÒ¤ÇÒÁe¢ŒÒ㨴ŒÇÂÃÙ»ÀÒ¾¡ç´Õ¹a¤Ãaº..
n (A ∪ B) = n (A) + n (B) − n (A ∩ B) = + -
สําหรับ 3 เซต
n (A ∪ B ∪ C) = n (A) + n (B) + n (C) − n (A ∩ B) = + +
− n (A ∩ C) − n (B ∩ C) + n (A ∩ B ∩ C)
- - - +

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 22 เซต

• ตัวอยาง จากการสอบถามนักเรียนหองหนึ่งซึ่งมีจํานวน 30 คน พบวามีนกั เรียนชอบเรียนวิชา


คณิตศาสตร 12 คน ชอบเรียนวิชาภาษาอังกฤษ 15 คน โดยชอบทัง้ สองวิชาอยู 5 คน ถามวามีนักเรียนใน
หองนี้ที่ไมชอบเลยทั้งสองวิชาอยูก ี่คน
วิธีคิด จะสังเกตไดวา U คือนักเรียนในหองนี้ และมีเซตอยูสองเซต คือ ชอบเรียนคณิตศาสตร กับชอบ
เรียนภาษาอังกฤษ (ซึ่งมีบางคนชอบทั้งสองวิชา แสดงวาสองเซตนีม้ ีสวนซอนทับกัน)
U วิธีที่ 1 “ชอบทั้งสองวิชาอยู 5 คน” จะได ชอง ข เปน 5
“ชอบเรียนคณิตศาสตร 12 คน” จะได ชอง ก เปน 12-5=7
ก ข ค “ชอบเรียนภาษาอังกฤษ 15 คน” จะได ชอง ค เปน 15-5=10
ง ดังนั้น จํานวนคนที่ไมชอบเลยทั้งสองวิชา คือชอง ง นั้น
Math Eng
สามารถคํานวณไดดังนี้ 30-5-7-10 = 8 คน ... ตอบ
วิธีที่ 2 ขอมูลที่โจทยใหมาไดแก n (M) = 12 , n (E) = 15 , และ n (M ∩ E) = 5 …
ดังนั้น เราหา n (M ∪ E) ไดตามสูตร n (M ∪ E) = 12 + 15 − 5 = 22
ดังนั้น จํานวนคนที่ไมชอบเลยทั้งสองวิชา เทากับ 30 − 22 = 8 คน ... ตอบ

• ตัวอยาง ในการสอบของนักเรียนชั้นหนึ่ง พบวามีผูสอบผานวิชาคณิตศาสตร 37 คน วิชาสังคมศึกษา 48


คน วิชาภาษาไทย 45 คน โดยมีผูที่สอบผานทั้งวิชาคณิตศาสตรและสังคมศึกษา 15 คน ทั้งสังคมศึกษาและ
ภาษาไทย 13 คน ทั้งคณิตศาสตรและภาษาไทย 7 คน และมีผทู ี่สอบผานทั้งสามวิชาเพียง 5 คน ถามวาที่
กลาวมานี้มีนักเรียนอยูทั้งหมดจํานวนเทาใด
วิธีคิด มีเซตอยูสามเซต คือ สอบผานคณิตศาสตร สอบผานสังคมศึกษา และสอบผานภาษาไทย (ซึ่งมี
ผูสอบผานหลายวิชา แสดงวาสามเซตนีม้ ีสวนซอนทับกัน) โจทยไมไดกลาวถึงผูสอบไมผาน ดังนั้นอาจไม
ตองเขียนกรอบสี่เหลี่ยมแทน U ก็ได (คือไมมีชอง ซ)
Math Social วิธีที่ 1 “ผานทั้งสามวิชาอยู 5 คน” จะได ชอง จ เปน 5
ก ข ค พิจารณาการสอบผานสองวิชา จะได ชอง ข เปน 15-5=10,
ชอง ฉ เปน 13-5=8, ชอง ง เปน 7-5=2
ง จ ฉ พิจารณาการสอบผานหนึ่งวิชา จะได ชอง ก 37-10-5-2=20,
ช ชอง ค 48-10-5-8=25, และชอง ช 45-2-5-8=30
Thai ดังนัน้ จํานวนคนรวมทุกชอง 5+10+8+2+20+25+30 = 100 คน ตอบ
วิธีที่ 2 ขอมูลที่โจทยใหมาไดแก n (M) = 37 , n (S) = 48 , n (T) = 45
n (M ∩ S) = 15 , n (S ∩ T) = 13 , n (M ∩ T) = 7 และ n (M ∩ S ∩ T) = 5 …
ดังนั้น เราหา n (M ∪ S ∪ T) ไดจาก n (M ∪ S ∪ T) = 37 +48 + 45−15−13 −7 +5 = 100
ดังนั้น จํานวนนักเรียนทั้งหมดในชั้น (ที่กลาวถึง) เทากับ 100 คน ... ตอบ

ถึงแม้การคิดด้วยสูตร (วิธีที่สอง) ทําให้คํานวณได้รวดเร็ว แต่โจทย์บางข้อก็เหมาะกับวิธีแรก (แยก


ชิ้นส่วน) เท่านั้น ดังเช่นโจทย์ส่วนใหญ่ในแบบฝึกหัดต่อไป

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 23 เซต

แบบฝึกหัด 1.3
(37) นักเรียน 80 คน เป็นนักกีฬา 35 คน เป็นนักดนตรี 27 คน และไม่ได้เป็นทั้งนักกีฬาและนัก
ดนตรี 32 คน ถามว่ามีนักเรียนที่ไม่ได้เป็นนักกีฬา หรือ ไม่ได้เป็นนักดนตรี อยู่กี่คน
(38) [Ent’33] จากการสํารวจนักเรียนห้องหนึ่ง พบว่ามี 20 คนที่เรียนฝรั่งเศสหรือคณิตศาสตร์
(โดยที่หากเรียนฝรั่งเศสแล้วต้องไม่เรียนคณิตศาสตร์) มี 17 คนที่ไม่เรียนคณิตศาสตร์ และมี 15
คนที่ไม่เรียนฝรั่งเศส แล้วมีกี่คนที่ไม่เรียนทั้งสองวิชานี้เลย
(39) [Ent’34] จากการสอบถามผู้ดื่มกาแฟ 20 คน พบว่าจํานวนผู้ใส่ครีม น้อยกว่าสองเท่าของผู้ใส่
น้ําตาลอยู่ 7 คน และจํานวนผู้ที่ใส่ทั้งครีมและน้ําตาล เท่ากับจํานวนผู้ที่ไม่ใส่ทั้งครีมและน้ําตาล
ดังนั้นมีผู้ที่ใส่ครีมทั้งหมดกี่คน
(40) พนักงานบริษัท 34 คน ถูกสํารวจเกี่ยวกับการสวมนาฬิกา แว่นตา และแหวน ปรากฏว่าสวม
แว่นอย่างเดียว 5 คน จํานวนคนสวมนาฬิกามากกว่าจํานวนคนสวมแว่นตาอยู่ 1 คน จํานวนคนไม่
สวมนาฬิกาเป็น 3 เท่าของจํานวนคนสวมแหวน นอกจากนั้น คนสวมแหวนทุกคนสวมแว่น แต่คน
สวมนาฬิกาไม่มีคนใดสวมแว่น จะมีคนสวมนาฬิกากี่คน
(41) [Ent’26] นักเรียนคนหนึ่งไปพักผ่อนที่พัทยา ตลอดช่วงเวลานั้นเขาสังเกตได้ว่ามีฝนตก 7 วัน
ในช่วงเช้าหรือเย็น โดยถ้าวันใดฝนตกช่วงเช้าแล้วจะไม่ตกในช่วงเย็น, มี 6 วันที่ฝนไม่ตกในช่วงเช้า
และมี 5 วันที่ฝนไม่ตกในช่วงเย็น ถามว่านักเรียนคนนี้ไปพักผ่อนที่พัทยากี่วัน
(42) จากการสํารวจสายตาและสุขภาพฟันของนักเรียน 160 คน ซึ่งมีนักเรียนชายอยู่ 100 คน
(นักเรียนชายสายตาไม่ดี 30 คน และฟันผุ 35 คน) พบว่ามีนักเรียนที่สายตาดีและฟันไม่ผุอยู่ 80
คน (เป็นชาย 55 คน) และมีนักเรียนที่สายตาไม่ดีทั้งหมด 50 คน ฟันผุทั้งหมด 60 คน ถามว่ามี
นักเรียนที่สายตาดี หรือ ฟันไม่ผุ รวมทั้งหมดกี่คน
(43) ในจํานวนนักเรียน 35 คนซึ่งเป็นหญิง 11 คน ถ้าพบว่าชอบเล่นบาสเกตบอลกับฟุตบอลอย่าง
น้อยคนละอย่าง โดยมีนักเรียนชาย 16 คนชอบบาสเกตบอล นักเรียนหญิง 7 คนชอบฟุตบอล
นักเรียนชอบบาสเกตบอลทั้งหมด 23 คน ฟุตบอล 21 คน ถามว่านักเรียนชายที่ชอบทั้งสองอย่างมีกี่
คน
(44) โรงเรียนแห่งหนึ่งมีนักเรียนชาย 600 คน หญิง 500 คน ในจํานวนนี้มีนักเรียนที่มาจาก
ต่างจังหวัดรวม 300 คน เป็นผู้ชาย 200 คน และมีนักกีฬารวม 50 คน เป็นผู้ชาย 30 คน โดยมี
นักกีฬาที่มาจากต่างจังหวัด 25 คน เป็นชาย 15 คน ถามว่านักเรียนชายที่ไม่ได้มาจากต่างจังหวัด
และไม่ได้เป็นนักกีฬาด้วย มีกี่คน
(45) เซตของจํานวนเต็มเซตหนึ่ง หากนํา 3 หรือ 4 ไปหารจะปรากฏว่า 4 หารลงตัวอย่างเดียว 6
จํานวน, 3 หารลงตัวทั้งหมด 8 จํานวน ซึ่งเป็นจํานวนคู่ 3 จํานวน, ทั้ง 3 และ 4 หารลงตัว มี 2
จํานวน, และ 4 หารไม่ลงตัว 18 จํานวน ซึ่งเป็นจํานวนคู่ 4 จํานวน ถามว่าจํานวนสมาชิกของเซตนี้
เป็นเท่าใด, จํานวนคู่ในเซตนี้มีกี่จํานวน, และมีจํานวนที่ 3 หรือ 4 หารไม่ลงตัวกี่จํานวน
(46) [Ent’31] จากการสํารวจความนิยมของผู้ไปเที่ยวสวนสัตว์ 100 คน พบว่า 50 คนชอบช้าง, 35
คนชอบลิง, 25 คนชอบหมี, 32 คนชอบแต่ช้าง, 20 คนชอบหมีแต่ไม่ชอบลิง, 10 คนชอบช้างและลิง
แต่ไม่ชอบหมี, ให้หาจํานวนคนที่ไม่ชอบสัตว์ทั้งสามชนิดนี้เลย

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 24 เซต

(47) [Ent’38] จากการสํารวจผู้ฟังเพลง 180 คน พบว่ามีผู้ชอบเพลงไทยสากล 95 คน เพลงไทย


เดิม 92 คน และลูกทุ่ง 125 คน โดยแบ่งเป็น ผู้ชอบเพลงไทยสากลและไทยเดิม 52 คน เพลงไทย
สากลและลูกทุ่ง 43 คน เพลงไทยเดิมและลูกทุ่ง 57 คน และทุกคนจะชอบฟังเพลงอย่างน้อยหนึ่งใน
สามประเภท จงหาจํานวนผู้ที่ชอบเพลงไทยสากลเพียงอย่างเดียว
(48) [Ent’39] ในการสํารวจความนิยมของคน 100 คน ที่มีต่อนาย U
ก, ข, ค โดยทีท่ ุกคนต้องแสดงความนิยมให้อย่างน้อย 1 คน ปรากฏ
ว่านาย ก ได้รับคะแนนนิยมมากกว่านาย ข อยู่ 6 คะแนน และเขียน 20 ข
แผนภาพได้ดังรูป ต่อไปนี้ข้อใดผิด ก 22 23 11
ก. นาย ข ได้คะแนนนิยมน้อยที่สุด 9
ข. ผลรวมของคะแนนทั้งสามคน เป็น 199 ค
ค. ผู้ที่ลงคะแนนให้ นาย ก เท่านั้น มี 10 คน
ง. ผลรวมของคะแนนที่ลงให้คนใดคนหนึ่งเพียงคนเดียว เท่ากับ 24
(49) ในบรรดานักกีฬา 100 คนซึ่งเป็นชาย 60 คน พบว่ามีนักบาสเกตบอล 35 คน เป็นชาย 20
คน, มีนักเทนนิส 28 คน เป็นชาย 15 คน, มีนักวอลเลย์บอล 40 คน เป็นชาย 22 คน, เป็นทั้งนัก
บาสเกตบอลและเทนนิส 14 คน เป็นชาย 6 คน, เป็นทั้งนักเทนนิสและวอลเลย์บอล 16 คน เป็น
ชาย 10 คน, เป็นทั้งนักบาสเกตบอลและวอลเลย์บอล 20 คน เป็นชาย 11 คน, และมีนักกีฬาที่ไม่ได้
เล่นกีฬาสามประเภทนี้เลย 12 คน เป็นชาย 8 คน ให้หาว่านักกีฬาที่เล่นครบทั้งสามประเภทมีผู้ชาย
มากกว่าผู้หญิงกี่คน
(50) จํานวนเต็มตั้งแต่ 0 ถึง 100 มีกี่จํานวนที่หาร 2 และ 3 และ 5 ไม่ลงตัว

เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(1) ข้อ (1.1) และ (1.4) ถูก (17.1) A − B (17.2) A ∪ B (29.1) 16
(2) ข้อ (2.1) และ (2.3) ถูก (17.3) ∅ (17.4) A − B (29.2) (8 − 1)× 16
(3) ข้อ (3.1) ถูก (17.5) A (17.6) A − B (30.1) 64
(4) ข้อ (4.3) ผิด (17.7) ∅ (17.8) A ∩ B (30.2) (16 − 1)× 64
(5) ข้อ (5.1) และ (5.4) ถูก (31.1) 16 (31.2) 16
(6) 9 ตัว, 126 เซต (17.9) ∅ (31.3) 8 (31.4) 24
(7) ข้อ (7.1) และ (7.7) ผิด (18) ข้อ (18.4) ถูก (32) 16 (33) 4
(8) ข้อ (8.6), (8.8), (8.10) ผิด (19) A = ∅ หรือ B = ∅ (34) 56 (35) 31
(9) ข้อ (9.3) ผิด หรือ A ∩ B = ∅ (36) 13 (37) 66
(10) 32, 6 (20.1) A ∪ B (20.2) B (38) 6 (39) 11
(11) ข. (20.3) B ' (20.4) (A ∩ E) ' (40) 13 (41) 9
(12) {1, 2, 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10} (21) ถูกทุกข้อ (22) ข้อ (22.3) ผิด (42) 130 (43) 6
(13) ผิด, ผิด, 16-2 (23) 13 (24) d, a (25) ง. (44) 385
(14) ถูกทุกข้อ (26) ข้อ (26.4) ผิด (45) 26, 12, 24
(15) ข้อ (15.3) และ (15.5) ผิด (27) 61+3 (46) 13 (47) 20
(16) ข้อ (16.3),(16.4),(16.6) ถูก (28.1) 8 (28.2) 32 (48) ค. (49) 22-13
(50) 26

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 25 เซต

เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
(1.1) ถูก เพราะ ถ้า x ∈ A (7.1) ผิด เพราะเซตว่างตัวขวาต้องไม่มีสมาชิก
แสดงว่า x ∈ B ด้วย ดังรูป A → แต่ถ้าเป็นแบบข้อ (7.3) จะถูก
(1.2) ผิด เพราะโจทย์บอกแค่ x (7.2) ถูก เพราะว่าเซตว่างตัวขวามีซับเซต 20 = 1
เพียง y ∈ B , ยังไม่ชัดเจนว่า B แบบ คือ ∅ (ตัวมันเอง)
y ∈ A หรือไม่ (อาจจะอยู่หรือไม่อยู่) หรืออาจบอกว่าเพราะ “ ∅ (ตัวซ้าย) จะเป็นสับเซต
(1.3) ผิด ถ้า {A} ⊂ {B} แสดงว่า A ∈ {B} ซึ่ง ของเซตใดๆ ทุกเซต” ก็ได้
ผิด เพราะ {B} มีสมาชิกตัวเดียวคือ B (7.4) ถูก เหตุผลเดียวกับข้อ (7.2) นั่นคือ รูปแบบ
∅ ⊂ , จะถูกเสมอ → ดังนั้น (7.6) ก็ถก ู เช่นกัน
(1.4) ถูก เพราะ A ≠ B (โจทย์กําหนด) ดังนั้น
{A} ≠ {B} แน่นอน (7.5) ถูก เพราะ ∅ ∈ P(∅) แปลว่า ∅ ⊂ ∅ (จะ
(2.1) ถูก (ในโจทย์นั้น A มีสมาชิกอยู่ 5 ตัว และ เหมือนกับโจทย์ขอ้ 7.2)
{∅} เป็นสมาชิกอยู่ในลําดับแรกสุด) (7.7) ผิด เพราะ {∅} ∈ P(∅) แปลว่า {∅} ⊂ ∅
(2.2) ผิด เพราะ {∅} ⊂ A แปลว่า ∅ ∈ A ซึ่งไม่ และแปลว่า ∅ ∈ ∅ (จะเหมือนกับโจทย์ขอ้ 7.1)
จริง (7.8) ถูก เพราะ {∅} ⊂ P(∅) แปลว่า ∅ ∈ P(∅)
(2.3) ถูก เพราะ {{a}, b} ⊂ A แปลว่า {a} ∈ A และแปลว่า ∅ ⊂ ∅ ถูก (จะเหมือนกับโจทย์ข้อ
และ b ∈ A ซึ่งจริง 7.2)
(2.4) {a, b} ∈ A ถูก (เป็นสมาชิกอยู่ในลําดับ (8.1) ∅ ∈ P(A) แปลว่า ∅ ⊂ A → ถูกเสมอ ไม่
สุดท้ายในโจทย์) แต่ {a, b} ⊄ A นัน้ ผิด ว่า A เป็นเซตใดๆ ก็ตาม (รูปแบบ ∅ ⊂ , )
เพราะว่า a ∈ A และ b ∈ A ด้วย แสดงว่า (8.2) {∅} ∈ P(A) แปลว่า {∅} ⊂ A และแปลว่า
{a, b} เป็นสับเซตของ A แน่ๆ ดังนั้นตอบ ผิด ∅ ∈ A → ถูก (เพราะในโจทย์ มี ∅ อยู่ใน A

(3.1) ถูก (ข้อนีเ้ ป็นกฎที่ควรทราบ) ด้วย)


(3.2) ผิด เช่น B = {A}, C = {B} ดังนั้น (8.3) ∅ ⊂ P(A) ถูกทันทีเลย! เพราะเป็นรูปแบบ
C = {{A}} ... จึงได้วา่ A ∉ C
∅ ⊂ ,
(3.3) ผิด เช่น A ⊂ C (A อยู่ใน C) (8.4) {∅} ⊂ P(A) แปลว่า ∅ ∈ P(A) ตรงกับ
แต่ B อยู่นอก A กับ C ดังรูป โจทย์ขอ้ (8.1) ซึ่งถูก
A (8.5) ถูก เพราะ {∅, a, {b}} ∈ P(A) แปลว่า
{∅, a, {b}} ⊂ A

B และแปลได้วา่ ∅ ∈ A และ a ∈ A และ {b} ∈ A


C ซึ่งพบว่าเป็นจริงทั้งหมด
(4.1) และ (4.2) ถูก
(เป็นไปตามนิยามของการเขียนเงือ่ นไขเซต) (8.6) เป็นไปไม่ได้ทสี่ มาชิกของ P(A) ไม่ได้เป็นเซต
(4.3) ผิด เพราะ {x} ⊂ A คือ x ∈ A จึงต้อง → ข้อนี้จงึ ผิด
ได้ผลเหมือนข้อ (4.2) (8.7) {a} ∈ P(A) แปลว่า {a} ⊂ A แปลว่า
(4.4) ถูก เพราะ {x} ⊂ ∅ คือ x ∈ ∅ ซึ่งพบว่า a ∈ A → ถูก
ไม่มี x ใดๆ ตรงตามนี้ ดังนั้นเซตในข้อนี้จงึ เป็นเซต (8.8) {b} ∈ P(A) แปลว่า {b} ⊂ A แปลว่า
ว่าง b ∈ A → ผิด
(5.1) ถูก คํานวณจาก 25 = 32 ... แต่ (5.2) ผิด (8.9) ถูก วิธคี ิดเดียวกับข้อ (8.8) นั่นคือ {b} ∈ A
เพราะต้องเหลือ 31 แบบ (25 − 1) เป็นจริง
(5.3) ผิด เพราะ P(A) จะมีเพียง 1 แบบเท่านัน้ (8.10) {∅, a, {b}} ⊂ P(A) แปลว่า ∅ ∈ P(A)
แต่ภายใน P(A) มีสมาชิกอยู่ 32 ตัว... (5.4) จึงถูก จริง, a ∈ P(A) ไม่จริง, {b} ∈ P(A) ไม่จริง ดังนั้น
(6) จาก 2n = 512 จึงได้ n = 9 ตัว ข้อนีผ้ ิด
และสับเซตทีด่ ึงสมาชิกมา 5 ตัวจาก 9 ตัว มีอยู่
9!
= 126 เซต (แบบ)
5! 4!

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 26 เซต

(9.1) {∅, {1}, {1, 2}} ∈ P(A) แปลว่า (13.1) A ∈ P(B) คือ A ⊂ B ดังนั้น ผิด
{∅, {1}, {1, 2}} ⊂ A (เพราะ 1 ∉ B )
แปลว่า ∅ ∈ A และ {1} ∈ A และ {1, 2} ∈ A ซึ่ง (13.2) จาก P(A) ∩ P(B) = P(A ∩ B)
เป็นจริงทัง้ หมด ดังนัน้ ข้อนี้ถูก = P({0}) = {∅, {0}} ดังนั้น ข้อนี้ก็ผด

(9.2) {∅, {1}, {1, 2}} ⊂ P(A) แปลว่า (เพราะ {1} ∉ P(A) ∩ P(B) )
∅ ∈ P(A) → ∅ ⊂ A และ (13.3) A ∪ B = {0, 1, {1}, {0, 1}} จะได้
{1} ∈ P(A) → {1} ⊂ A → 1 ∈ A n(P(A ∪ B)) = 24 = 16
และ {1, 2} ∈ P(A) → {1, 2} ⊂ A → 1 ∈ A, 2 ∈ A A ∩ B = {0} จะได้ n(P(A ∩ B)) = 21 = 2
ซึ่งพบว่าเป็นจริงทุกอย่าง ดังนัน้ ข้อนี้ถูก ดังนัน้ ตอบ 16 − 2 = 14
(9.3) {{1}, {2}, {3}} ∈ P(A) แปลว่า (14.1) และ (14.2) ถูก เพราะ U กับ ∅ เป็น
{{1}, {2}, {3}} ⊂ A และแปลว่า ส่วนเติมเต็ม (complement) ของกันและกัน
{1} ∈ A, {2} ∈ A, {3} ∈ A ซึ่งผิด (14.3) ถึง (14.6) ถูกทั้งหมด พิจารณาจาก
(9.4) {{1}, {2}, {3}} ⊂ P(A) แปลว่า แผนภาพจะง่ายที่สดุ
{1} ∈ P(A), {2} ∈ P(A), {3} ∈ P(A) (14.7) และ (14.11) A − A = ∅ ถูก
ก็คือ {1} ⊂ A, {2} ⊂ A, {3} ⊂ A หรือแปลอีกที (14.8) ถึง (14.10) ถูก ... (14.12) ถูก (ต้อง
1 ∈ A, 2 ∈ A, 3 ∈ A ซึ่งถูก รู้!)
(10) สําหรับการหา n(X) แปลว่า “ให้หาว่ามีเซต (15.1) ถูก (เป็นสิ่งที่ควรทราบ)
A ที่เป็นไปได้กี่แบบตามเงือ ่ นไขนี”้ (15.2) ถูก A ∪ B = ∅ แสดงว่าต้องไม่มีเซตใดมี
(ก) A ∈ P(S) (แปลว่า A ⊂ S ) สมาชิกอยู่เลย
กับ (ข) 1 ∈ A และ 7 ∉ A (แปลว่าใน A ต้องมี 1 (15.3) ผิด ถ้า A กับ B ไม่มีสมาชิกร่วมกัน ก็
และต้องไม่มี 7) สามารถทําให้ A ∩ B = ∅ ได้ หรือเมือ่ A กับ B
แสดงว่า มีเฉพาะ 2, 3, 4, 5, 6 เท่านั้นที่เลือกได้ ว่า เป็นเซตว่าง เพียงเซตใดเซตหนึ่งก็ได้
จะอยูห่ รือไม่อยู่ใน A ... ก็เปรียบเสมือนการหา (15.4) A − B = ∅ แสดงว่า A ⊂ B
จํานวนสับเซตแบบต่างๆ ของ {2, 3, 4, 5, 6} ..ฉะนั้น B − C = B แสดงว่า B กับ C แยกจากกัน
(B ∩ C = ∅) ดังรูป
n(X) = 25 = 32
A
ส่วน n(Y) ให้หาว่ามี A เป็นไปได้กี่แบบ ซึ่ง A ∈ X
และผลบวกไม่เกิน 6 C
วิธีคดิ ต้องนับเอาโดยตรงเท่านัน้ ได้แก่ B
ดังนัน้ A ' ∪ C ' = (A ∩ C) ' = ∅ ' = U ถูก
{1} {1, 2} {1, 3} {1, 4} {1, 5} และ {1, 2, 3}
(เพราะ A กับ C ก็แยกจากกัน)
พบว่ามี A ที่เป็นไปได้ 6 แบบ ..ฉะนั้น n(Y) = 6 (15.5) A − B = ∅ แปลว่า A ⊂ B
(11) จาก A ∩ B, A ∩ C, B ∩ C จะทําให้ทราบว่า B − C ≠ ∅ แปลว่า B ⊄ C
A ∩ B ∩ C = {3, 5} จากนัน ้ วาดแผนภาพ A − C ≠ ∅ แปลว่า A ⊄ C
B จาก A ∪ C = {0, 1, 2, 3, 5} ดังนัน้ เปลี่ยนโจทย์กลายเป็น
1 4 แสดงว่าใน A กับ C ส่วนที่ " A ⊂ B และ B ⊄ C
A 35 เหลือไม่มีสมาชิกใดเลย และ แล้ว A ⊄ C " อันนี้เท็จ A
0 2 C
4 ∈ B ดังนัน ้ เช่น รูปนี้ A ⊂ C ได้
ก. A − B = {0} ถูก B
C (16.1) ผิด เช่นถ้า A = B จะได้
ข. B − C = {1} ผิด ..ต้องได้ {1, 4} A ∩ B = A ∪ B = A = B ด้วย
ค. A − C = {1} ถูก (16.2) ผิด เช่นถ้า A = B จะได้
ง. B − A = {2, 4} ถูก A −B = B−A = ∅

(12) U = {1, 2, 3, ..., 10} → B = {3, 6, 9} และ (16.3) ถูกเสมอ มาจากกฎ


A − B ' = A ∩ (B ') ' = A ∩ B
C = {1, 2, 3, 4, 5} ต้องการหาเซต C ' ∪ B ' ก็คอ ื
(C ∩ B) ' ซึ่งเราได้ C ∩ B = {3} ดังนัน ้ ตอบ (16.4) B '− A = B '∩ A ' = (B ∪ A) ' ถูก
{1, 2, 4, 5, 6, 7, ..., 10}
(16.5) ผิด x อาจมาจากใน B ก็ได้

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 27 เซต

(16.6) A ' ∩ B ' = (A ∪ B) ' (20.4) มีถึง 5 เซต จึงต้องใช้การแจกแจงช่วยคิด


ถ้า x ∈ A แล้ว x ∉ (A ∪ B) ' ..ถูก (วาดแผนภาพไม่ได้)
(16.7) ถ้า x ∉ A แล้ว x ∈ (A ∪ B) ' ..ผิด ก้อนซ้ายได้ A '∩ B
'∩B∩C = ∅


( x อาจอยู่ใน B ได้)
ก้อนกลางได้ D ∩ E ' ∩ C '∩ E = ∅
(16.8) ถ้า x ∈ A แล้ว x ∈ A ∩ B ..ผิด 


( x อาจอยู่เพียงใน A โดยไม่อยู่ใน B ) ก้อนขวาได้ A ∩ E
(17) ใช้การมองจากแผนภาพจะง่ายทีส่ ุด รวมกันได้ ∅ ∪ (∅ ∪ (A ∩ E)) ' = (A ∩ E) '
(แผนภาพจะต้องเป็นแบบทั่วไป คือมีส่วนซ้อนทับกัน)
(21.1) จากโจทย์ ดึง B ∩ C ออกจากสองวงเล็บ
U แรก
ก ข ค = [(A ∪ A ' ) ∩ B ∩ C] ∪ (B ∩ C) '
 
ง U
A B = (B ∩ C) ∪ (B ∩ C) ' = U ถูก
(21.2) จากโจทย์ ดึง C ออกจากทุกวงเล็บ
A−B A∩B B−A
= C ∩ [(A ∩ B ∩ D ') ∪ A '∪ B '∪ D]
(17.1) A − (A ∩ B) ⇒ กข – ข=ก ⇒ ตอบ
จัดรูป A, B, D ตัวหลังใหม่
A−B
= C ∩ [ (A ∩ B ∩ D ') ∪ (A ∩ B ∩ D ') ' ] = C ถูก
(17.2) (A − B) ∪ B ⇒ ก ∪ ขค = กขค ⇒  
U
ตอบ A ∪ B (21.3) ถูกเสมอ เพราะ (A ∩ B) ⊂ (A ∪ B)
(17.3) (A − B) ∩ B ⇒ ก ∩ ขค = ∅ และมีกฎอยูว่ ่า ถ้า , ⊂ + แล้ว P(,) ⊂ P(+)
ข้ออืน่ ๆ ก็สามารถคิดด้วยวิธีเดียวกัน ได้คําตอบดังนี้ (21.4) A − B กับ B − A ไม่มีสมาชิกร่วมกัน
(17.4) A ∩ (A − B) = A − B ดังนัน้ ภายในเซต P(A − B) กับเซต P(B − A) จะมี
(17.5) A ∪ (A − B) = A สมาชิกที่เหมือนกันเพียงตัวเดียวคือ ∅ → ข้อนี้ถูก
(17.6) (A ∪ B) − B = A − B (21.5) ถ้า A ⊂ B จะได้ว่า P(A) ⊂ P(B) ดังนัน้
(17.7) (A ∩ B) − B = ∅ P(A) ∪ P(B) = P(B) ...... (1)
(17.8) A − (A − B) = A ∩ B และถ้า A ⊂ B จะได้ A ∪ B = B ด้วย ดังนั้น
(17.9) เนื่องจาก B − A ' = B ∩ A ดังนัน้ P(A ∪ B) = P(B) ..... (2) ดังนัน้ (1)=(2) ถูก
(A − B) ∩ (B − A ') ⇒ ก ∩ ข = ∅ (22) ใช้หลักว่า
(18.1) ผิด เช่นหาก C = U แล้ว A กับ B ไม่ P(,) ∩ P(Δ) ∩ P(Ο) = P(, ∩ Δ ∩ Ο)
จําเป็นต้องเท่ากัน ** ใช้ได้เฉพาะเครื่องหมาย ∩
(18.2) ผิด เช่นหาก C = ∅ (22.1) A ∩ B ∩ C ' = {1, 2} ถูก
(18.3) ผิด เช่นหาก C = U (22.2) A ∩ B '∩ C = {0, 3} ถูก
(18.4) ถูก (22.3) A '∩ B ∩ C = ∅ ข้อนี้ผดิ
(19) B = ∅ หรือ A ∩ B = ∅ (แยกกันอยู่) ที่ถูกต้องเป็น P(A '∩ B ∩ C) = {∅}
หรือ A = ∅ (22.4) A ∩ B '∩ C ' = ∅ ถูก
(20) ถ้ามีเพียง 2 เซต สามารถใช้วิธที ดเอาจาก (23) n (A '∩ B ') = n(A ∪ B) ' มีคา่ มากสุด ก็คอื
แผนภาพเซตเหมือนข้อ (17)
n(A ∪ B) มีค่าน้อยสุด ..จะเกิดขึน
้ เมื่อ B ⊂ A
(20.1) ก ∪ ค ∪ ข = กขค = A ∪ B
(20.2) (กข ∩ ขคง) ∪ (ขค ∩ กคง) ทําให้ n(A ∪ B) = n(A) = 22
=ข ∪ ค= B ดังนัน้ n(A ∪ B) ' = 35 − 22 = 13
(20.3) (กค – คง) ∪ (คง – กค) = ก ∪ ง (24) n(A) = a , n(B) = b แต่ n(A ∩ B) = b
= B' แสดงว่า B อยู่ใน A ทั้งหมด ( B ⊂ A )
และเช่นเดียวกันจะพบว่า D ⊂ C ⊂ B ⊂ A
ดังนัน้ n(A ∩ B ∩ C ∩ D) = n(D) = d
และ n(A ∪ B ∪ C ∪ D) = n(A) = a

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 28 เซต

(25) จาก P(C) ในโจทย์ จะได้ C = {a, c} (33) U = {−2, −1, 0, 1, 2, ..., 6}
n(P(A)) = 8 คือ n(A) = 3 A = {0, 1, 4} → เกินจากนีจ้ ะไม่อยู่ใน U
n(P(B)) = 16 คือ n(B) = 4 B = {0, 1, 2} ดังนั้น
และจาก C ⊂ A และ C ⊂ B จะได้วา่ {0, 1} ⊂ X ⊂ {0, 1, 2, 4} → n(C) = 22 = 4
A = {a, c, ,} และ B = {a, c, Δ, Ο} (34) x ⊂ {a, b, c, d, e, f} และ
จาก {b, d, e} ⊂ A ∪ B โดย b ∈ A ∩ B ' จะได้ว่า {a, c, d} ∩ X ≠ ∅ แสดงว่า
A = {a, c, b} และ B = {a, c, d, e} X = { สับเซตของ{a,c,d}ที่ไม่ใช่ ∅ , สับเซตใดๆ
ก. d ∈ A '∩ B (อยู่ใน B และไม่อยู่ใน A ) ถูก ของ{b,e,f} } → (23 − 1)(23) = 56 แบบ
ข. e ∈ C '∩ B → ถูก (35) เนื่องจาก n(A) = 5 และ
ค. b ∉ A ∩ B → ถูก S1 = {B | B ⊂ A, n(B) = 1} ,
ง. {b, e} ⊂ A ∩ B ' ผิด S2 = {B | B ⊂ A, n(B) = 2} , ...
เพราะ A ∩ B ' = A − B = {b} ไปจนถึง S5 = {B | B ⊂ A, n(B) = 5} จะได้วา่
(26) A ∩ B ' = A − B = ∅ แสดงว่า A ⊂ B S = S1 ∪ S2 ∪ S3 ∪ S4 ∪ S5 = เซตของสับเซต
(คือ A ∩ B = A ) ของ A ทุกแบบ ยกเว้น ∅ (n(B)=0)
(26.1) n[P(A ∩ B)] = n[P(A)] = 23 = 8 ถูก ดังนัน้ n(S) = 25 − 1 = 31
(26.2) {1} ∈ P(A ∩ B) คือ {1} ⊂ A ∩ B คือ (36) จากแผนภาพ U
1 ∈ A ∩ B ถูก n(A ∩ B ') = n(A − B)
(26.3) P(A − B) = P(∅) = {∅} ถูก ก ข ค
= 32 = ก 32 55
(26.4) ผิด เพราะ B − A ≠ ∅ ก็เป็นไปได้ ง
n(B) = ข+ค = 55 A B
(27) สมาชิกที่ในส่วนที่ซอ้ นกันได้แก่ ∅, {∅}, {0} ต้องการหา n(A '∩ B ') คือ n(A ∪ B) ' = ง
ดังนัน้ ได้ (26 − 3) + (6 − 3) = 61 + 3 = 64 หาได้จาก n(U) = 100 = ก+ข+ค+ง
(28.1) A = {2, 4, สับเซตของ{1,3,5} } จึงมี ดังนัน้ ง = 100 − 32 − 55 = 13
23 = 8 แบบ (หมายเหตุ .. n(A ') = 40 ไม่ได้ใช้)
(28.2) A = {1, 3, 5, 7, 9, 11, 12, 13, 14, 15, สับเซต (37) นักกีฬา 35 คน U
ของ{2,4,6,8,10} } จึงมี 25 = 32 แบบ → ก+ข = 35
ก ข ค
(29.1) X = {1, 2, 3, สับเซตของ{4,5,6,7} } จึงมี นักดนตรี 27 คน ง
24 = 16 แบบ → ข+ค = 27 นักกีฬา นักดนตรี
(29.2) X = { สับเซตของ{1,2,3}ที่ไม่ใช่ ∅ , สับ ไม่เป็นเลย 32 คน → ง = 32
เซตใดๆของ{4,5,6,7} } ... (23 − 1)(24) = 112 แบบ รวมกันสามสมการจะได้ ก+2ข+ค+ง = 94
(30.1) n(C) = จํานวนแบบของ S = 26 = 64 แต่มีนักเรียนรวม 80 คน (ก+ข+ค+ง)
∴ ลบกันเหลือ ข = 14 คน
(30.2) n(C) = จํานวนแบบของ S โจทย์ถาม ก+ค+ง = 80 − 14 = 66 คน
= (24 − 1)(26) = 960
(หมายเหตุ .. n(A '∪ B ') = n(A ∩ B) ' = ก+ค+ง)
(31.1) {0} ⊂ X ⊂ {0, 2, 4, 6, 8} (38) เซตในข้อนี้แยกจาก
มี 24 = 16 แบบ กัน เพราะเรียนฝรั่งเศสแล้ว ก
(31.2) {0} ⊄ X และ X ⊂ {0, 2, 4, 6, 8} ข ค
ต้องไม่เรียนคณิตศาสตร์
วิธีทงั้ หมด ลบข้อ 31.1 → 25 − 24 = 16 แบบ 20=ก+ข, 17=ก+ค, ฝรั่งเศส คณิต U
(31.3) {0, 2} ⊂ X ⊂ {0, 2, 4, 6, 8} 15=ข+ค
มี 23 = 8 แบบ รวมกันจะได้ 2(ก+ข+ค)=20+17+15 → ก+ข+ค=26
(31.4) {0, 2} ⊄ X และ X ⊂ {0, 2, 4, 6, 8} ดังนัน้ ค = 26 − 20 = 6
วิธีทงั้ หมด ลบข้อ 31.3 → 25 − 23 = 24 แบบ
(32) {3, 5, 8} ⊂ D ⊂ {2, 3, 4, ..., 8}
มี 24 = 16 แบบ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 29 เซต

(39) โจทย์บอกว่า U (43) ก+ข=16 ....(1)


ก+ข+ค+ง=20 ฉ+ช=7 จะได้ ข+ค=21-7=14 ....(2)
ก ข ค
ก+ข=2(ข+ค)-7 ง สองสมการบวกกั น จะได้ ชาย
และ ข = ง ก+2ข+ค=16+14=30 ก ข ค 24
ครีม น้ําตาล จ ฉ ช หญิง
แต่ ก+ข+ค=24 ดังนัน้ 11
ดังนัน้ จากสมการแรกสุดจะได้ ก+2ข+ค=20 .....(1) ข=30-24= 6 คน บาส ฟุตบอล
สมการทีส่ องจัดรูปได้ ข-ก+2ค=7 .....(2) (44) ก+ข=200 U
(1)x2 - (2); 3ก+3ข=33 ดังนัน้ ก+ข=11 และ ข+ค=30 ก ข ค ง ชาย
600
(40) คนสวมแหวนทุกคน รวม ก+2ข+ค=230 จ ฉ ช
สวมแว่น แต่คนที่สวม แว่น นาฬิกา แต่ ข=15 ซ หญิง
นาฬิกาไม่มีคนใดสวมแว่น แหวน ตจว. นั ก กี ฬ า 500
ข ดังนัน้ ก+ข+ค=215
จะวาดแผนภาพได้ดังนี้ ก ค ง
∴ ง = 600 − 215 = 385 คน
(แหวนเป็นสับเซตของแว่น, U
(ข้อสังเกต ข้อ 43 และ 44 ไม่ได้คํานวณในส่วนที่
นาฬิกากับแว่นแยกกัน) เป็นผูห้ ญิงเลย, ถ้าต้องคิดจะใช้วธิ ีเหมือนข้อ 42)
โจทย์บอกว่า ก+ข+ค+ง=34 .....(1) ข=5 .....(2) (45) โจทย์ข้อนีใ้ ห้คิด
ค=ก+ข+1 .....(3) และ ก+ข+ง=3ก .....(4) เอาเองว่า จํานวนคี่ที่ ง คู่
แทนค่า (2), (3) ในสมการ (1) และ (4) จะได้ ก ข ค
4 หารลงตัวนัน้ ไม่มี! จ
ก+5+(ก+5+1)+ง=34 และ ก+5+ง=3ก ซ คี่
(นั่นคือ ฉ,ช = 0 )
แก้ระบบสมการได้ ก=7, ง=9 3ลงตัว 4ลงตัว
โจทย์ถาม ค = ก+ข+1 = 7+5+1 = 13 คน
(41) ฝนตกเช้าจะไม่ตก ค = 6 , ก+ข+จ = 8 โดย ก+ข = 3 → จ = 5 ..
เย็น แสดงว่าเซตแยกกัน ข = 2 , ก+ง = 4 และ จ+ซ = 18 − 4 = 14 ..
ก ข ค จํ านวนสมาชิกของเซตนี้ = (ก+ง)+ข+ค+(จ+ซ)
ก+ข=7, ข+ค=6, ก+ค=5
ตกเช้า ตกเย็น U = 4 + 2 + 6 + 14 = 26
บวกกันทั้งสามสมการได้
2(ก+ข+ค)=18 ..ดังนัน้ ก+ข+ค = 9 วัน จํานวนคู่ = (ก+ง)+ข+ค = 4 + 2 + 6 = 12
(42) ข้อนี้วาดรูปแบ่ง จํานวนที่ 3 หรือ 4 หารไม่ลงตัว = ทุกตัวยกเว้น ข
U = 26 − 2 = 24 จํานวน
ชายหญิงได้ดังนี้ ก ข ค ง ชาย
100 (46) ข้อนี้มี 3 เซต คือ ชอบช้าง, ชอบลิง, ชอบหมี
(หรือจะแบ่งเป็นชาย จ ฉ ช
กับหญิง คนละรูปกัน ซ หญิง โจทย์ถาม n(A ∪ B ∪ C) ' = 100 − n(A ∪ B ∪ C)
ตาดี ฟั น ไม่ ผ ุ 60 โดยการสังเกตให้ดี ใช้
ก็ได้ แต่คิดไม่สะดวก)
ข้อมูลแค่ 3 ตัว คิดวิธี U ลิง
เดียวกับขัอ (36) ดังรูป 32 35
ก ข ค จ ฉ ช ก็จะทราบว่า ช้าง
ง ซ
n(A ∪ B ∪ C) = 20
ชาย หญิง 32 + 35 + 20 = 87 หมี
30 = ค+ง → ช+ซ = 50 − 30 = 20 ดังนัน้ ตอบ 13
35 = ก+ง → จ+ซ = 60 − 35 = 25 (47) ข้อนี้ตรงตามสูตร A B
55 = ข → ฉ = 80 − 55 = 25 n(A ∪ B ∪ C) =180
ไทย ? z ไทย
สากล เดิม
รวม 3 สมการเข้าด้วยกัน จะได้ =95+92+125-52-43-57+x y x
ก+ข+ค+2ง=120 และ จ+ฉ+ช+2ซ=70 ∴ x = 20 คน C ลูกทุ่ง
แต่เนือ่ งจาก ก+ข+ค+ง=100 ดังนั้น ง=20 ∴ y = n(A ∩ C) − 20 =43-20=23
และ ก+ข+ค=80 z = n(A ∩ B) − 20 =52-20=32
และเนือ่ งจาก จ+ฉ+ช+ซ=60 ดังนัน้ ซ=10
และ จ+ฉ+ช=50 ผู้ชอบเพลงไทยสากลเพียงอย่างเดียว มี
95 − 20 − 23 − 32 = 20 คน
คําตอบคือ 80 + 50 = 130 คน
(หมายเหตุ ..จะวาดแผนภาพเป็นเซตของคนทีส่ ายตา
ไม่ดี, หรือเซตของคนที่ฟนั ผุ ก็ได้)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 30 เซต

(48) สมการแรก ข (50) ให้ U = {0, 1, 2, ..., 100}



x+y+20+23+22+11+9=100 x 20 y A = {x|x หารด้วย 2 ลงตัว }
และสมการที่สอง 22 23 11 B = { x | x หารด้วย 3 ลงตัว }
(x+20+23+22)=(y+20+23+11)+6 9 C = { x | x หารด้วย 5 ลงตัว }
แก้ระบบสมการ ได้ x = 5, y = 10 ค
ต้องการหาค่า n(A '∩ B '∩ C ') ก็คือ
∴ นาย ก ได้ 70 คะแนน, นาย ข 64 คะแนน,
n(A ∪ B ∪ C) ' ..หาโดย n(U) − n(A ∪ B ∪ C)
นาย ค 65 คะแนน
ก. ถูก ข. 70 + 64 + 65 = 199 ถูก ซึ่ง n(A ∪ B ∪ C) จะต้องคํานวณตามสูตร
n(A) + n(B) + n(C) − n(A ∩ B) − n(A ∩ C))
ค. ผิด ต้องเป็น 5 คน ง. 5 + 10 + 9 = 24 ถูก
−n(B ∩ C) + n(A ∩ B ∩ C)
(49) ข้อนี้มีสามเซต (บาสเกตบอล, เทนนิส,
วอลเลย์บอล) และยังแบ่งชายหญิง จึงจําเป็นต้องแยก ** ทุกๆ ชิน้ ส่วน อย่าลืมนับเลข 0 ด้วย **
วาดคนละภาพกัน ... n(A) → หาร 2 ลงตัว มี 51 จํานวน
n(B) → หาร 3 ลงตัว มี 34 จํานวน
n(C) → หาร 5 ลงตัว มี 21 จํานวน
x y n(A ∩ B) → หาร 2 และ 3 ลงตัว คือหาร 6 ลงตัว
มี 17 จํานวน ... n(A ∩ C) → หาร 2 และ 5 ลงตัว
8 4
ชาย หญิง คือหาร 10 ลงตัว มี 11 จํานวน ... n(B ∩ C) →
หาร 3 และ 5 ลงตัว คือหาร 15 ลงตัว มี 7 จํานวน
ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่าข้อมูลที่ให้มาตรงตามสูตรพอดี ... n(A ∩ B ∩ C) → หาร 2 และ 3 และ 5 ลงตัว
ชาย n(A ∪ B ∪ C) = 60 − 8 คือหาร 30 ลงตัว มี 4 จํานวน
=20+15+22-6-10-11+x ... ดังนั้น x=22 คน ดังนัน้ n(A ∪ B ∪ C) = 51 + 34 + 21 − 17 − 11
หญิง (แต่ละเลขได้จาก จํานวนทัง้ หมดลบด้วยผู้ชาย) −7 + 4 = 75
40-4 = 15+13+18-8-6-9+y ... ดังนัน้ y=13 คน และเนือ่ งจาก n(U) = 101 จึงได้
สรุปว่า ต่างกันอยู่ 22 − 13 = 9 คน n(A '∩ B '∩ C ') = 101 − 75 = 26

S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S
¨Ò¡¢Œo (50) ËÒ¡o¨·Âe»ÅÕè¹ä»e»š¹ A ¤×oe«µ¢o§¨íҹǹ·ÕèËÒà 6 ŧµaÇ æÅa B ¤×oe«µ¢o§¨íҹǹ·ÕèËÒà 8 ŧµaÇ
æÅŒÇ A ∩ B ¨ae»š¹e«µ¢o§¨íҹǹ溺㴤Ãaº..
ËÅÒ¤¹µoºÇ‹Ò ËÒ÷aé§ 6 æÅa 8 ŧµaÇ ¡çæ»ÅNjÒËÒà 48 ŧµaÇ ... äÁ‹ãª‹¹a¤Ãaº! ...
eoÒ 6 ¡aº 8 ÁÒ¤Ù³¡a¹¹aé¹¼i´! ¨aµŒo§ãªŒ ¤.Ã.¹. ¤×o “ËÒà 24 ŧµaǔ ¨Ö§¨a¶Ù¡

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 31 ระบบจํานวนจริง

a
Re +l

º··Õè 2 Ãaºº¨íҹǹ¨Ãi§
จํานวนที่มนุษย์คิดขึ้นใช้ครั้งแรกเป็นจํานวนที่ใช้
นับสิ่งของต่างๆ เรียกว่า จํานวนธรรมชาติ (Natural
Number) หรือ จํานวนนับ (Counting Number)
ได้แก่ 1,2,3,4,... ซึ่งสัญลักษณ์แทนเซตของจํานวนนับ
คือ N = {1,2, 3, 4, ...}
หากนําจํานวนนับเหล่านี้มาบวกหรือคูณกัน ผลลัพธ์ย่อมเป็นจํานวนนับเสมอ เรียกว่า “เซต
ของจํานวนนับมี สมบัติปิด สําหรับการบวกและการคูณ” (คําว่า สมบัติปิด หมายความว่า เมื่อนํา
สมาชิกใดๆ ในเซตมาดําเนินการแล้ว ผลที่ได้ยังคงเป็นสมาชิกของเซตนั้นอยู่) แต่หากนําจํานวนนับ
บางจํานวนมาลบหรือหารกันจะมีปัญหาขัดข้องเนื่องจากผลที่ได้ไม่เป็นจํานวนนับ ด้วยเหตุนี้จํานวนลบ
จํานวนศูนย์ รวมทั้งจํานวน เศษส่วน (Fraction) จึงถูกคิดขึ้นมาใช้

จํานวนนับ จํานวนศูนย์ และจํานวนเต็มลบ เรียกรวมกันว่า จํานวนเต็ม (Integer)


I = {..., −3, −2, −1, 0, 1, 2, 3, ...}
จํานวนเต็ม และเศษส่วนของจํานวนเต็ม เรียกรวมกันว่า จํานวนตรรกยะ (Rational Number)
Q = { a/b | a, b ∈ I และ b ≠ 0 }
ดังนั้น เซตจํานวนนับเป็นสับเซตจํานวนเต็ม และเซตจํานวนเต็มเป็นสับเซตจํานวนตรรกยะ

ข้อควรทราบ
1. จํานวนตรรกยะที่เป็นเศษส่วนของจํานวนเต็ม จะเขียนเป็นทศนิยมซ้ําได้เสมอ
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 32 ระบบจํานวนจริง

และจํานวนที่เขียนเป็นทศนิยมไม่ซ้ํา จะเรียกว่า S e¾ièÁeµiÁ! S


จํานวนอตรรกยะ (Irrational Number) Q'
1. ÃÒ¡·ÕèÊo§¢o§¨íҹǹ¹aº (·Õè¶o´¤‹Òoo¡ÁÒe»š¹¨íҹǹ
เช่น 2 ≈ 1.4142... , 3 ≈ 1.7321... , π ≈ 3.1416...
¹aºäÁ‹ä´Œ) ¨ae»š¹¨íҹǹoµÃáÂaeÊÁo
2. ¤‹Ò e «Öè§e»š¹¤‹Ò¤§·Õè·èeÕ ¡ÕèÂÇ¡aºÅo¡ÒÃi·ÖÁ (º··Õè 8)
2. N มีสมบัติปิดสําหรับการบวกและการคูณ
¡çe»š¹¨íҹǹoµÃáÂaeª‹¹¡a¹ (ÁÕ¤‹Ò»ÃaÁÒ³ 2.718..)
I และ Q มีสมบัติปิดสําหรับการบวก, ลบ, และคูณ
..แต่ Q' ไม่มีสมบัติปิดเลย
C
จํานวนทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เรียกรวมกันว่า
จํานวนจริง (Real Number : R ) ซึ่งมีแผนผังความ
R Im
สัมพันธ์ดังที่แสดงไว้
เพิ่มเติม จากเนื้อหาเรื่องจํานวนเชิงซ้อน Q
Q'
มีจํานวนอีกหนึ่งประเภทที่ไม่ใช่จํานวนจริง เนื่องจากไม่
สามารถจัดลําดับค่ามากน้อยร่วมกับจํานวนจริงบนเส้นจํานวน
ได้ คือรากที่สองของจํานวนลบ เช่น −2 เรียกว่า จํานวน I Q−I
จินตภาพ (Imaginary Number)
เมื่อรวมกันกับเซตจํานวนจริงแล้วเรียกว่า จํานวนเชิงซ้อน
(Complex Number : C ) ซึ่งจะได้ศึกษาในบทที่ 11 I- I0 I+ หรือ N

2.1 สมบัติของจํานวนจริง
นอกจากสมบัติปิดซึ่งได้รู้จักแล้ว ระบบจํานวนจริงยังมีสมบัติอีกหลายลักษณะที่ควรทราบ
เนื่องจากเป็นพื้นฐานที่จําเป็นสําหรับวิชาคณิตศาสตร์ (ส่วนใหญ่จะเคยพบมาแล้วในระดับ ม.ต้น)

สมบัติของการเท่ากัน
[1] สมบัติการสะท้อน (Reflexive Property) a = a
[2] สมบัติการสมมาตร (Symmetric Property) a = b ↔ b = a
[3] สมบัติการถ่ายทอด (Transitive Property) a = b และ b = c → a = c
[4] สมบัติการบวกและคูณด้วยจํานวนที่เท่ากัน a = b → a+c = b+c
a = b → ac = bc
สมบัติเกี่ยวกับการบวกและการคูณ
[1] “เอกลักษณ์ (Identity)” คือจํานวนที่ไปดําเนินการกับจํานวนจริง a ใดก็ตามแล้วได้ผลลัพธ์เป็น
จํานวน a เดิม ... ดังนั้น เอกลักษณ์การบวกในระบบจํานวนจริง คือ 0 และเอกลักษณ์การคูณใน
ระบบจํานวนจริง คือ 1
[2] “อินเวอร์ส (Inverse) ของ a” คือจํานวนที่ไปดําเนินการกับจํานวนจริง a แล้วได้ผลลัพธ์เป็น
เอกลักษณ์ ... ดังนั้น เอกลักษณ์การบวกของจํานวนจริง a คือ –a และเอกลักษณ์การคูณของจํานวน
จริง a คือ 1/a หรือ เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ a − 1
[3] สมบัติปิด (Closure Property) a, b ∈ R → a + b ∈ R
a, b ∈ R → a ⋅ b ∈ R
[4] สมบัติการสลับที่ (Commutative Property) a+b = b+a
ab = ba

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 33 ระบบจํานวนจริง

[5] สมบัติการเปลี่ยนกลุ่ม (Associative Property) a + (b + c) = (a + b) + c = a + b + c


a (b c) = (a b) c = a b c
[6] สมบัติการแจกแจง (Distributive Property) a (b + c) = a b + a c
(a + b) c = a c + b c
[7] สมบัติสําหรับเซตของจํานวนจริงบวก ( R ) เพิ่มเติมได้แก่ สมบัติที่ว่า
+

“ถ้าจํานวนจริง a ≠ 0 แล้ว a ∈ R+ หรือ −a ∈ R+ เสมอ”

ทฤษฎีบทเพิ่มเติมที่ควรทราบ
(พิสูจน์ได้จากสมบัติที่กล่าวแล้วข้างต้น)
[1] กฎการตัดออกสําหรับการบวกและการคูณ a+c = b+c → a = b
a⋅c = b⋅c → a = b เมื่อ c≠0
[2] การคูณด้วยศูนย์ และจํานวนลบ 0a = a0 = 0 (−1)a = −a
(−a) b = a (−b) = −a b
(−a)(−b) = a b − (−a) = a
* [3] ผลคูณเท่ากับศูนย์ ab = 0 → a =0 หรือ b=0
[4] บทนิยามของการลบและการหาร a − b = a + (−b)
a ÷ b = a b−1 เมื่อ b≠0 (ไม่นิยาม 0−1 )
[5] การแจกแจงสําหรับการลบ a (b − c) = a b − a c
[6] อินเวอร์สการคูณไม่เป็นศูนย์เสมอ a−1 ≠ 0
a ac
[7] การคูณทั้งเศษและส่วน =
b bc
a d ac + bd a d ad
[8] การบวกและการคูณเศษส่วน + = ⋅ =
b c bc b c bc
−1
[9] อินเวอร์สการคูณของเศษส่วน ⎛a⎞ = b
⎜ ⎟
⎝b⎠ a
ab a a ac ab ad
[10] เศษส่วนซ้อน = = =
c bc bc b cd bc

หมายเหตุ
1. ข้อ [7] ถึง [10] ตัวส่วนต้องไม่เท่ากับศูนย์
2. อาจนิยามการหารด้วยการคูณ คือ a ÷ b = c ↔ a = b c ก็ได้
แต่ต้องกํากับว่าเป็นจริงเมื่อ b ≠ 0 เท่านั้น (การหารด้วย 0 ในที่นี้จะไม่นิยาม)

• ตัวอยาง เซตตอไปนีม้ ีลกั ษณะตรงตามขอใด (ใน A, B, C, D) บาง


A. มีสมบัตปิ ดการบวก B. มีสมบัตปิ ดการคูณ
C. เปนสับเซตของเซตจํานวนตรรกยะ Q D. เปนสับเซตของเซตจํานวนเต็ม I

ก. เซตของจํานวนนับ N
ตอบ A ถูก เพราะไมวาจะยกจํานวนนับจํานวนใดมาบวกกัน ผลลัพธก็ยังคงเปนจํานวนนับ
B ถูก เพราะไมวาจะยกจํานวนนับจํานวนใดมาคูณกัน ผลลัพธกย็ ังคงเปนจํานวนนับ
C ถูก เพราะจํานวนนับทุกจํานวนเปนจํานวนตรรกยะ
D ถูก เพราะจํานวนนับทุกจํานวนเปนจํานวนเต็ม
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 34 ระบบจํานวนจริง

ข. เซตของจํานวนอตรรกยะ
ตอบ A ผิด เพราะมีจํานวนอตรรกยะบางจํานวน ที่บวกกันแลวกลายเปนจํานวนตรรกยะ เชน 2 บวก
กับ − 2 แลวได 0
B ผิด เพราะมีจาํ นวนอตรรกยะบางจํานวน ที่คณู กันแลวกลายเปนจํานวนตรรกยะ เชน 2 ⋅ 2 = 2
C ผิดอยางแนนอน เพราะเซตของจํานวนตรรกยะและอตรรกยะ เปนคอมพลีเมนตกัน
D ผิดเชนกัน เพราะไมใชวาจํานวนอตรรกยะทุกจํานวนเปนจํานวนเต็ม (ที่จริงไมมีเลยสักตัว)
ค. { x | x < 0 }
ตอบ A ถูก จํานวนลบหรือจํานวนศูนย เมื่อนํามาบวกกันยอมยังเปนจํานวนลบหรือศูนย
B ผิด เพราะจํานวนลบคูณกันยอมไดผลลัพธเปนจํานวนบวก
C และ D ผิด เพราะจํานวนลบบางจํานวนไมใชจํานวนตรรกยะ (และจํานวนเต็ม) เชน − 2

ง. {1.414, 22/7}
ตอบ A และ B ผิด เพราะเมื่อหยิบจํานวนจากเซตนี้มาบวก (หรือคูณ) กัน ผลลัพธไมอยูใ นเซตนี้
C ถูก เพราะเลขทศนิยม และเศษสวนของจํานวนเต็ม เปนจํานวนตรรกยะเสมอ ( 22/7 ≠ π )
D ผิดแนนอน เพราะสมาชิกในเซตนี้ไมใชจํานวนเต็ม
จ. {−1, 0, 1}
ตอบ A ผิด เพราะเมื่อหยิบบางจํานวนมาบวกกัน ผลลัพธที่ไดไมอยูในเซตนี้ เชน 1 + 1 = 2
B ถูก เพราะไมวาจะหยิบจํานวนใดมาคูณกัน ผลลัพธที่ไดก็ยังอยูในเซตนี้เสมอ
C และ D ถูก เพราะสมาชิกทุกตัวเปนจํานวนเต็ม (จํานวนเต็มทุกจํานวนเปนจํานวนตรรกยะ)
ฉ. { 10 x | x ∈ I }
ตอบ { 10 x | x ∈ I } = {0, ±10, ±20, ±30, ...} เขียนแจกแจงสมาชิกเพือ่ ใหพิจารณางาย
A และ B ถูก เพราะไมวาจะหยิบจํานวนใดในเซตนี้มาบวก (หรือคูณ) กัน ผลลัพธที่ไดยังอยูในเซตนี้
C และ D ถูก เพราะสมาชิกทุกตัวเปนจํานวนเต็ม (จํานวนเต็มทุกจํานวนเปนจํานวนตรรกยะ)

แบบฝึกหัด 2.1
(1) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S
(1.1) 0.343443444... เป็นจํานวนตรรกยะ o¨·Âã¹Ãٻ溺¢Œo¤ÇÒÁ¶Ù¡ËÃ×o¼i´¹aé¹ Ê‹Ç¹ÁÒ¡
(1.2) 0.112112112... เป็นจํานวนอตรรกยะ ¶ŒÒo‹Ò¹¢Œo¤ÇÒÁe¾Õ§e¼i¹æ ¨a´ÙeËÁ×o¹Ç‹Ò¶Ù¡ 测·èÕ
(1.3) ถ้า a 2 เป็นจํานวนคู่ แล้ว a ต้องเป็นจํานวนคู่ ¨Ãi§ºÒ§¢Œo¤ÇÒÁ¡ç¼i´..
(1.4) ถ้า a 2 เป็นจํานวนคี่ แล้ว a ต้องเป็นจํานวนคี่ ¡Òõoºo¨·ÂÅa¡É³a¹Õé¤ÇþÂÒÂÒÁ¡¡Ã³Õ·èÕ
(2) ถ้า a, b, c ∈ R แล้ว ข้อความในแต่ละข้อต่อไปนี้ถูกหรือผิด ¼i´¢Öé¹ÁÒÊa¡ 1 ¡Ã³Õ ¶ŒÒËÒ䴌¡çæÊ´§Ç‹Ò¢Œo¤ÇÒÁ
(2.1) ถ้า a b = a แล้ว b = 1 ¹aé¹¼i´ (¡ÒáµaÇo‹ҧ¨íҹǹ o‹ÒÅ×Á·´Êoº
¨íҹǹµi´Åº ¨íҹǹµi´Ãٌ· æÅa¨íҹǹ·È¹iÂÁ·Õè
(2.2) ถ้า a b = 0 แล้ว a = 0 และ b = 0 äÁ‹¶Ö§ 1 ´ŒÇÂ) ... 测¶ŒÒËÒÂa§ä§¡çËÒäÁ‹ä´Œ ¢Œo¤ÇÒÁ
(2.3) เมื่อ b ≠ 0 ถ้า a = c แล้ว a = c ¹a鹡çÁoÕ o¡Òʨa¶Ù¡ÊÙ§ (¶ŒÒ¨aºo¡Ç‹Ò¶Ù¡ªaÇÃæ ¤§
b b
a a µŒo§ãªŒÇi¸¾Õ iÊÙ¨¹ «Ö觺ҧ¢Œo¡çÂÒ¡¹a¤Ãaº..)
(2.4) เมื่อ b, c ≠ 0 ถ้า = แล้ว b = c
b c

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 35 ระบบจํานวนจริง

(3) เซตในข้อใดมีสมบัติปิดของการบวก และการคูณ


ก. เซตของจํานวนเต็มลบทั้งหมด ข. เซตของจํานวนเฉพาะบวกที่ไม่ใช่ 2
ค. เซตของจํานวนตรรกยะที่ไม่ใช่จํานวนเต็ม ง. เซตของจํานวนเต็มที่หารด้วย 4 ลงตัว
(4) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(4.1) เซตของจํานวนจริง มีสมบัติปิดของการลบ
(4.2) เซตของจํานวนจริง มีสมบัติการเปลี่ยนกลุ่มของการลบ
(4.3) เซตของจํานวนจริงที่ไม่ใช่ 0 มีสมบัติปิดของการหาร
(4.4) เซตของจํานวนจริงที่ไม่ใช่ 0 มีสมบัติการเปลี่ยนกลุ่มของการหาร
(5) เมื่อกําหนดเซต A = { x ∈ N | x ∈ Q } และ B = N − A แล้ว
ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(5.1) A มีสมบัติปิดการคูณ แต่ B ไม่มีสมบัติปิดการคูณ
(5.2) A ไม่มีสมบัติปิดการบวก และ B ไม่มีสมบัติปิดการบวก
(6) เซต A ในข้อใดทําให้ข้อความต่อไปนี้เป็นจริง
“ถ้า x ∈ A แล้ว จะมี y ∈ A ซึ่ง x y = 1 และ xy ∈ A”
ก. เซตของจํานวนเต็มที่ไม่ใช่ 0 ข. เซตของจํานวนจริง
ค. เซตของจํานวนอตรรกยะ ง. เซตของจํานวนตรรกยะที่ไม่ใช่ 0
1
(7) ให้หาอินเวอร์สการคูณของ และ
6+ 5
เอกลักษณ์การคูณของ 6+ 5 * a b c
a a b c
(8) กําหนดตารางการดําเนินทวิภาคดังขวามือ ข้อใดต่อไปนี้ถูกต้อง
ก. (a ∗ b) ∗ a = c ข. (b ∗ c) ∗ b = a b b c a
ค. (a ∗ b) ∗ (c ∗ b) = b ง. (c ∗ a) ∗ (b ∗ a) = b c c a b
(9) การดําเนินการ ∗ สําหรับจํานวนจริง ในข้อใดไม่มีสมบัติการสลับที่
ก. x ∗ y = 3 x y + (x + y) ข. x ∗ y = 2 (x + y) − 3 x y
3 1
ค. x ∗ y = − ง. x ∗ y = 2 x y + 1
xy x+y x−y

(10) [Ent’24] กําหนด a ∗ b = 3ab + (a + b) แล้ว x ∗ (y ∗ z) = (z ∗ y) ∗ x หรือไม่


(11) ถ้า A เป็นเซตของจํานวนนับคี่ และกําหนดตัวดําเนินการ ⊕ กับ ⊗ บนเซต A ดังนี้
a ⊕b =
a + b
และ a ⊗ b = a b แล้วข้อใดต่อไปนี้ถูกหรือผิดบ้าง
2 2
(11.1) เซต A มีสมบัติปิด และมีสมบัติการสลับที่ ภายใต้การดําเนินการ ⊕
(11.2) เซต A ไม่มีสมบัติปิด แต่มีสมบัติการสลับที่ ภายใต้การดําเนินการ ⊗

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 36 ระบบจํานวนจริง

2.2 ทฤษฎีบทเศษเหลือ และตัวประกอบ


พหุนามตัวแปรเดียว ที่มี x เป็นตัวแปร จะอยู่ในรูป anxn + an − 1xn − 1 + ... + a1x + a0 โดยที่ a
เป็นค่าคงที่ (สัมประสิทธิ์) และ n เป็นจํานวนนับ นิยมใช้สัญลักษณ์แทนพหุนามว่า p (x)
นอกจากนั้น สัญลักษณ์ p (c) หมายถึงการแทนค่า x ด้วยจํานวน c
เช่น p (x) = 4x3 − x2 − 2x + 6 จะได้ว่า p (−1) = 4 (−1)3 − (−1)2 − 2 (−1) + 6 = 3

การแก้สมการพหุนามตัวแปรเดียว anxn + an − 1xn − 1 + ... + a1x + a0 = 0 จะต้องแยกตัว


ประกอบให้สมการอยู่ในรูปผลคูณเท่ากับศูนย์ โดยมีเทคนิคต่างๆ ที่ศึกษาผ่านมา ได้แก่ กําลังสอง
สมบูรณ์ ผลต่างของกําลังสอง ผลบวกและผลต่างของกําลังสาม เป็นต้น แต่สําหรับสมการที่มีดีกรี
มากกว่าสอง ทฤษฎีบทต่อไปนีจ้ ะช่วยให้การแยกตัวประกอบสะดวกขึ้น

ทฤษฎีบทเศษเหลือ (Remainder Theorem) กล่าวว่า


“ถ้าหาร p(x) ด้วย x – c แล้ว จะเหลือเศษเท่ากับ p(c)”
และหากการหารนี้เหลือเศษ 0 พอดี (หารลงตัว) จะกล่าวว่า x – c เป็นตัวประกอบของ p(x)
นั่นคือ “พหุนาม p(x) จะมี x – c เป็นตัวประกอบหนึ่ง ก็ตอ่ เมื่อ p(c) = 0”
เรียกทฤษฎีนี้ว่า ทฤษฎีบทตัวประกอบ (Factor Theorem)

เรานําทฤษฎีบททั้งสองมาช่วยในการแยกตัวประกอบของ p(x) ได้ โดยการสุ่มหาค่า c ที่ทํา


ให้ p(c) = 0 พอดี เพื่อให้ได้ตัวประกอบ x – c ... แล้วนํา x – c ที่ได้ไปหารออกจาก p(x) เพื่อ
ลดทอนกําลัง n ลง ทําซ้ําจนแยกตัวประกอบได้ครบ
ยังมีอีกทฤษฎีที่ทําให้เลือกค่า c ได้รวดเร็ว นั่นคือ ทฤษฎีบทตัวประกอบจํานวนตรรกยะ
ซึ่งกล่าวว่า “ถ้า x – (k/m) เป็นตัวประกอบของ p(x) แล้ว.. k เป็นตัวประกอบของ a0 และ
m เป็นตัวประกอบของ an ” (โดยเศษส่วน k/m เป็นเศษส่วนอย่างต่ําเท่านั้น)

สรุปวิธีการหาตัวประกอบ x – c ของ p(x) เมื่อ c เป็นจํานวนตรรกยะ คือนําค่า k มาจาก


ตัวประกอบของ a0 และนําค่า m มาจากตัวประกอบของ an ... ค่า c ที่เป็นไปได้จะอยู่ในบรรดา
เศษส่วน k/m เหล่านี้เท่านั้น (อย่าลืมคิดทั้งจํานวนบวกและจํานวนลบ) ดูตัวอย่างวิธีคํานวณได้ใน
เรื่องการหารสังเคราะห์
หมายเหตุ หากจํานวน c ไม่ใช่จํานวนตรรกยะ เช่น x2 − 2 = (x − 2)(x + 2) จะใช้ทฤษฎีนี้ไม่ได้
3 2
• ตัวอยาง 2x − x − 6x + 1 หารดวย x − 2 เหลือเศษเทาใด
3 2
ตอบ ใชทฤษฎีเศษ จะไดวาเศษจากการหาร 2x − x − 6x + 1 ดวย x − 2 ก็คือ
3 2
2(2) − (2) − 6(2) + 1 = 1 ... (สามารถตรวจคําตอบไดโดยการตั้งหารยาว หรือหารสังเคราะห)

3 2
• ตัวอยาง 2x − x − 6x + 1 หารดวย x + 1 เหลือเศษเทาใด
3 2
ตอบ ใชทฤษฎีเศษ จะไดวาเศษจากการหาร 2x − x − 6x + 1 ดวย x + 1 ก็คือ
3 2
2(−1) − (−1) − 6(−1) + 1 = 4 ... (สามารถตรวจคําตอบไดโดยการตั้งหารยาว หรือหารสังเคราะห)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 37 ระบบจํานวนจริง

• ตัวอยาง ฟงกชนั พหุนามดีกรีสอง p (x) ฟงกชันหนึ่ง พบวาเมื่อหารดวย x แลวเหลือเศษ 3 , เมื่อ


หารดวย x − 1 เหลือเศษ 12 , และเมื่อหารดวย x − 2 จะเหลือเศษ 25
ก. ฟงกชัน p (x) นี้หารดวย x − 3 เหลือเศษเทาใด
วิธีคิด การจะทราบคําตอบขอนี้ จะตองหาใหไดกอนวา p (x) คืออะไร
2
โดยทั่วไปพหุนามดีกรีสอง ตองมีลักษณะเปน Ax + Bx + C ซึ่งจะเห็นวา มีสัมประสิทธิ์ 3 ตัว
เราจึงใชคําใบที่โจทยใหมา 3 อยาง ในการสรางระบบสมการเพือ่ หาสัมประสิทธิ์ 3 ตัวนี้
2
“หารดวย x แลวเหลือเศษ 3 ” แปลวา p (0) = 3 หรือ A(0) + B(0) + C = 3
2
“หารดวย x − 1 แลวเหลือเศษ 12 ” แปลวา p (1) = 12 หรือ A(1) + B(1) + C = 12
2
“หารดวย x − 2 แลวเหลือเศษ 25 ” แปลวา p (2) = 25 หรือ A(2) + B(2) + C = 25
2
แกสามสมการรวมกัน ไดผลเปน A = 2 , B = 7 , C = 3 ... ดังนัน้ p (x) = 2x + 7x + 3
2
ดังนั้น p (x) นี้หารดวย x − 3 จะเหลือเศษ 2(3) + 7(3) + 3 = 42
ข. ฟงกชัน p (x) นี้หารดวย x − c ลงตัว เมื่อ c เทากับเทาใด
ตอบ p (x) หารดวย x − c ลงตัว ... แปลวา มี x − c เปนตัวประกอบหนึ่งนั่นเอง
2
และเนื่องจาก p (x) = 2x + 7x + 3 = (2x + 1)(x + 3) จึงไดคําตอบวา
p (x) นี้จะหารดวย x − c ลงตัว เมื่อ c = −1/2 หรือ c = −3

หรืออาจกลาววา p (c) = 0 (หารลงตัวคือไมมีเศษ) ดังนั้น


2
2c + 7c + 3 = (2c + 1)(c + 3) = 0 จะได c = −1/2 หรือ c = −3 เชนเดียวกัน

ค. ฟงกชัน p (x) นี้หารดวย x − c เหลือเศษ 7 เมื่อ c เทากับเทาใด


ตอบ p (x) หารดวย x − c เหลือเศษ 7 ... แปลวา p (c) = 7
2 2
ดังนั้น 2c + 7c + 3 = 7 แกสมการได 2c + 7c − 4 = (2c − 1)(c + 4) = 0
จึงไดคําตอบวา c = 1/2 หรือ c = −4
หรืออาจกลาววา “ p (x) หารดวย x − c เหลือเศษ 7 ” คือ “ p (x) − 7 หารดวย x − c ลงตัว”
(ยกตัวอยางเชน 38 หารดวย 5 เหลือเศษ 3 แสดงวา 38 − 3 ยอมหารดวย 5 ลงตัว)
2
ดังนั้น p (x) − 7 = 2x + 7x − 4 = (2x − 1)(x + 4) ได c = 1/2 หรือ c = −4 เชนกัน

เทคนิคการหารพหุนาม ด้วยวิธีหารสังเคราะห์ (Synthetic Division)


วิธีหาผลหารของพหุนาม ที่เคยได้ศึกษาผ่านมาแล้วคือการตั้งหารยาว สามารถใช้หารพหุ
นามได้ทุกกรณี (หารด้วยดีกรีเท่าใดก็ได้) ... แต่ในกรณี “การหารพหุนามด้วย x – c (ดีกรีหนึ่ง)”
เราสามารถทําได้รวดเร็วยิ่งขึ้นโดยการหารสังเคราะห์
ในที่นี้สมมติว่า จะหาผลของการหาร x4 − 3x3 + 4x2 + x − 6 ด้วย x − 2
1. เขียนสัมประสิทธิ์ของพหุนามที่เป็นตัวตั้ง (ในที่นี้คือ 1, −3, 4, 1, −6 ) เรียงกันในบรรทัด โดยใส่ค่า
c จากตัวหาร (ในที่นี้คือ 2) ลงในช่องด้านหน้าสุด และเว้นบรรทัดไว้ในลักษณะดังนี้
2 1 −3 4 1 −6

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 38 ระบบจํานวนจริง

2. เริ่มขั้นตอนการหารโดยนําตัวเลขในหลักแรกสุด (ในที่นี้คือ 1) ลงมาเขียนด้านล่างตรงบรรทัดของ


ผลลัพธ์ ... จากนั้นใช้ตัวหาร (คือ 2) คูณผลลัพธ์นี้ ไปใส่ไว้ใต้หลักถัดไป
2 1 −3 4 1 −6
2
2/ ↓
1
3. พิจารณาที่หลักถัดไป ให้บวกเลขเข้าด้วยกัน ( −3 + 2 = −1 ) นําไปใส่ไว้บรรทัดล่าง
แล้วใช้ตัวหาร (คือ 2) คูณผลลัพธ์นี้ ไปใส่ไว้ใต้หลักถัดไปอีก ... ทําซ้ําเรื่อยๆ จนครบทุกหลัก
2 1 −3 4 1 −6 +
2 −2 4 10
1 −1 2 5 4

4. ในบรรทัดผลลัพธ์ที่ได้ ตัวเลขในหลักสุดท้ายคือ เศษ และตัวเลขที่เหลือด้านหน้าคือสัมประสิทธิ์


ของผลหาร (ดีกรีลดลงไปหนึ่งเสมอ) ... ในที่นี้ผลหารก็คือ x3 − x2 + 2x + 5 เศษ 4
3
• ตัวอยาง ใหหาเศษจากการหาร 2x − 7x + 6 ดวย x + 1
วิธีคิด หากไมตอ งการใชทฤษฎีเศษ −1 2 0 −7 6
−2 2 5
ก็สามารถใชวิธีตั้งหารสังเคราะห ไดผลดังนี้
2
2 −2 −5 11
แสดงวา ผลหารเปน 2x − 2x − 5 และเหลือเศษ 11
หมายเหตุ พจนใดหายไป เมือ่ ตัง้ หารสังเคราะหตองใส
2
สัมประสิทธิ์เปน 0 ดวย (เชนในโจทยขอนี้ไมมีพจน x ) มิฉะนั้นผลหารที่ไดจะไมถูกตอง

3 2
• ตัวอยาง ใหแยกตัวประกอบพหุนาม 3x − 7x + 4
วิธีคิด เนื่องจากตัวประกอบของ 4 (สัมประสิทธิต์ ัวสุดทาย) ไดแก ±1, ±2, ±4
และตัวประกอบของ 3 (สัมประสิทธิ์ตัวแรกสุด) ไดแก ±1, ±3
จากทฤษฎีตัวประกอบจํานวนตรรกยะ จะไดวาจํานวนทีน่ าจะเปนคําตอบ ไดแก
±1, ± 2, ± 4, ± 1/3, ± 2/3, ± 4/3 ...
1 3 −7 0 4
จากนั้นทดลองนําจํานวนเหลานีม้ าหารสังเคราะหทีละจํานวน 3 −4 −4
หากพบวาตัวใดทําใหเศษเปน 0 ตัวนั้นก็จะเปนคําตอบ ... 2 3 −4 −4 0
6 4
ซึ่งจากการหารสังเคราะหในตัวอยางดานขวานี้ ทําใหทราบวา
3 2 0
3x3 − 7x2 + 4 = (x − 1)(x − 2)(3x + 2)

หมายเหตุ ลําดับของตัวหารไมจําเปนตองเหมือนกับในตัวอยาง (เชนอาจจะใช 2 กอนก็ได)

แบบฝึกหัด 2.2
(12) ถ้าหาร 4x3 − 21x2 + 26x − 17 ด้วย x − 4 แล้วเหลือเศษ a
และหาร 3x3 + 13x2 + 11x + 5 ด้วย x + 3 แล้วเหลือเศษ b แล้วให้หาค่าของ b – a
(13) ถ้า x−1 หาร x2 + 2a และ x +2 หาร x+ a แล้วเหลือเศษเท่ากัน ค่า a เป็นเท่าใด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 39 ระบบจํานวนจริง

(14) ถ้าหาร x4 − x3 + 3x2 − x − 1 และ 2x3 + x2 + 75x + a ด้วย x −5 แล้วเหลือเศษเท่ากัน ค่า a


เป็นเท่าใด
a 1 2
(15) ถ้า x −2 เป็นตัวประกอบร่วมของ x3 − ax2 + x + 2b กับ x + x −b แล้ว
4 a
ค่า a+b เป็นเท่าใด
(16) ถ้า x2 − 2x − 3 เป็นตัวประกอบของ x4 + ax3 + bx2 + 3x + 4
และ x2 + x − 2 เป็นตัวประกอบของ x3 + 10x2 + cx + d แล้ว a + b + c + d มีค่าเท่าใด
(17) ให้หา ห.ร.ม. ของพหุนาม x3 − 7x + 6 , 3x3 − 7x2 + 4 และ x4 − 3x3 + 6x − 4
(18) ให้หา ค.ร.น. ของพหุนาม x3 − 2x2 − 5x + 6 และ x3 + x2 − 10x + 8
S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S
(19) แยกตัวประกอบของพหุนามต่อไปนี้
¶ŒÒËÒÃÊa§e¤ÃÒaˏ´ŒÇÂeÅ¢eÈÉʋǹ eª‹¹ 2/3 æŌǾºÇ‹Ò㪌䴌 (eÈÉ
3x6 − 2x5 − 64x4 + 96x3 − 27x2 + 98x + 40
e»š¹Èٹ) æÊ´§Ç‹Ò µaÇ»Ãa¡oº·Õè䴌¤×o x-2/3 ¹a¤Ãaº ... o‹Òe¾iè§
e¢Õ¹ 3x-2 ¨¹¡Ç‹Ò¨a´Ö§ 3 ¨Ò¡Ç§eÅçºo×è¹ÁÒ¤Ù³¡‹o¹ ¹a¤Ãaº!
(20) ให้หาเซตคําตอบของสมการ x2 + a2b2 + 2abx − b2 = 0
(20.1) เมื่อ a เป็นเอกลักษณ์การบวกในระบบจํานวนจริง
(20.2) เมื่อ b เป็นเอกลักษณ์การบวกในระบบจํานวนจริง
(20.3) เมื่อ a เป็นเอกลักษณ์การคูณในระบบจํานวนจริง
(20.4) เมื่อ b เป็นเอกลักษณ์การคูณในระบบจํานวนจริง

2.3 อสมการ
สมบัติของการไม่เท่ากัน
[1] บทนิยามของการมากกว่าและน้อยกว่า a < b ↔ b − a ∈ R+
a > b ↔ a − b ∈ R+
[2] สมบัติการถ่ายทอด (Transitive Property) a > b ∧ b > c → a > c
[3] สมบัตกิ ารบวกและคูณด้วยจํานวนที่เท่ากัน a > b → a+c > b+c
a > b → ac > bc , c>0
a > b → ac < bc , c<0
[4] กฎการตัดออกสําหรับการบวกและการคูณ a+c > b+c → a > b
ac > bc → a > b , c>0
ac > bc → a < b , c<0
[5] สมบัติไตรวิภาค (Trichotomy Property)
ถ้า a, b ∈ R แล้ว a = b หรือ a < b หรือ a > b อย่างใดอย่างหนึ่ง
[6] บทนิยามของการไม่มากกว่าและไม่น้อยกว่า
a < b ↔ a ไม่มากกว่า b (น้อยกว่าหรือเท่ากับ)
a > b ↔ a ไม่น้อยกว่า b (มากกว่าหรือเท่ากับ)
[7] การเปรียบเทียบสองด้าน
a<b<c ↔ a<b และ b<c a<b<c ↔ a<b และ b < c
a<b<c ↔ a<b และ b<c a<b < c ↔ a<b และ b < c
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 40 ระบบจํานวนจริง

ช่วง และการแก้อสมการ
ช่วง (Interval) คือเซตที่บอกสมาชิกด้วยขอบเขต
นิยมแสดงเป็นกราฟบน เส้นจํานวน (Number Line)
a b
ช่วงเปิด (a, b) หมายถึง { x | a < x < b }
ช่วงปิด [a, b] หมายถึง { x | a < x < b }
ช่วงครึ่งเปิด (a, b] หมายถึง { x | a < x < b }
และช่วงครึ่งเปิด [a, b) หมายถึง { x | a < x < b}

ช่วง (a, ∞) หมายถึง { x | x > a }


ช่วง [a, ∞) หมายถึง { x | x > a }
ช่วง (−∞, a) หมายถึง { x | x < a }
ช่วง (−∞, a] หมายถึง { x | x < a }
และช่วง (−∞, ∞) หมายถึงเซตของจํานวนจริง R

* สองกรอบนี้ใช้ประกอบโจทย์แบบฝึกหัดข้อ 23 ถึง 25
2
ขอบเขตของ x เมื่อกําหนด a < x < b
2 2
- ถา a > 0 และ b > 0 จะไดขอบเขตเปน (a , b )
2 2
- ถา a < 0 และ b < 0 จะไดขอบเขตเปน (b , a )
- ถา a < 0 ขณะที่ b > 0 ขอบเขตที่ไดจะมีคา ต่ําสุดเปน 0 และเปนชวงครึ่งปด (เปน 0 ได)
2 2
คาสูงสุดใหเลือกระหวาง a กับ b วาตัวใดมากกวากัน
เชนถา x ∈ (−4, 3) จะเห็นวา x มีคาตั้งแตติดลบจนถึงบวก
แสดงวาผานคานอยๆ เชน −1, 0, 1 ฯลฯ ดวย ...เมื่อนําไปยกกําลังสอง คาต่ําสุดจึงตองเปน 0
2
สวนคาสูงสุดเลือกระหวาง 9, 16 ... สรุปวา x อยูในชวง [0, 16)
2
หมายเหตุ : ขอบเขตของ x ก็คดิ ในลักษณะเดียวกันกับ x

หลักในการคํานวณ (บวกลบคูณหาร) ระหวาง 2 ชวง คือ a < x < b และ c < y < d
สมมติตองการผลคูณ xy ใหหาผลคูณ ac, ad, bc, bd ใหครบ
แลวพิจารณาวาในผลคูณทั้งสี่ทีไ่ ด ตัวใดมีคาต่ําสุดและตัวใดสูงสุด ... คา xy จะอยูในชวงนั้น
เชน ถา x ∈ (−1, 3) และ y ∈ (−5, 4) ถามวา xy อยูในชวงใด
เนื่องจากผลคูณทั้งสี่คือ 5, −4, −15, 12 ... ดังนัน้ xy อยูในชวง (−15, 12)
กับการบวก ลบ และหาร ก็ทําเชนเดียวกัน (แตกรณีหาร ตัวหารตองไมเปน 0)..
เชน ถา x ∈ (−1, 3) และ y ∈ (2, 4) ผลหารทั้งสี่เปน −1/2, −1/4, 3/2, 3/4
..ดังนัน้ x / y อยูในชวง (−1/2, 3/2)
ขอสังเกต คา x + y จะมีขอบเขตเปน (a+c, b +d) เสมอ
(ตัวนอยสุดยอมเกิดจากนอยบวกนอย และตัวมากสุดยอมเกิดจากมากบวกมาก)
และคา x − y จะมีขอบเขตเปน (a−d, b−c) เสมอ
เนื่องจากการนําลบคูณ y จะกลับดานเปน −d < −y < −c ... แลวนํามาบวกกันกับ x

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 41 ระบบจํานวนจริง

สมการ (Equality) คือประโยคที่มีตัวแปรและกล่าวถึงการเท่ากัน การแก้สมการ คือการหา


ค่าของตัวแปรที่ทําให้ประโยคนั้นเป็นจริง อาจกล่าวว่าเป็นการหา “เซตคําตอบของสมการ” หรือการ
หา “รากของสมการ” ก็ได้ ส่วน อสมการ (Inequality) คือประโยคที่มีตัวแปรและกล่าวถึงการไม่
เท่ากัน (ได้แก่ > > < < หรือ ≠ ) การแก้อสมการ ก็คือการหาค่าของตัวแปรที่ทําให้ประโยคนั้น
เป็นจริง ซึ่งอาจกล่าวว่าเป็นการหา “เซตคําตอบของอสมการ” ก็ได้เช่นกัน
S ¡ÒÃ桌oÊÁ¡Òùaé¹ÁÕ¢Œo¤ÇÃÃaÇa§´a§¹Õé
1. ¡ÒúǡËÃ×oź·aé§Êo§¢ŒÒ§¢o§oÊÁ¡Òà æÅa¡Òõa´oo¡ÊíÒËÃaº¡Òúǡź ·íÒ䴌eÊÁo
2. ¡ÒäٳËÃ×oËÒ÷aé§Êo§¢ŒÒ§¢o§oÊÁ¡Òà µŒo§ÃaÇa§eÃ×èo§¡ÒÃe»ÅÕè¹e¤Ã×èo§ËÁÒÂ
¶ŒÒ¹íÒ¨íҹǹź¤Ù³ËÃ×oËÒ÷aé§Êo§¢ŒÒ§¢o§ÊÁ¡Òà µŒo§¡Åaº´ŒÒ¹e¤Ã×èo§ËÁÒÂÁÒ¡¡Ç‹Ò/¹Œo¡NjÒ
3. ¡ÒáÅaºeÈÉe»š¹Ê‹Ç¹ ¡Òá¡íÒÅa§Êo§·aé§Êo§¢ŒÒ§ ¡Òäٳä¢ÇŒ ¶ŒÒäÁ‹¨íÒe»š¹äÁ‹¤Ç÷íÒ¹a¤Ãaº
e¾ÃÒae¤Ã×èo§ËÁÒÂoÒ¨¼i´ (¤×oºÒ§¤Ãaé§eÃÒäÁ‹·ÃҺ湋ªa´Ç‹ÒµŒo§¡Åaº´ŒÒ¹e¤Ã×èo§ËÁÒÂËÃ×oäÁ‹)

เทคนิคการหาช่วงคําตอบของอสมการพหุนาม
1. เมื่อแยกตัวประกอบเรียบร้อยแล้ว อสมการโดยทั่วไป (ในตัวอย่างสมมติว่าเครื่องหมายเป็น >)
2
จะอยู่ในรูป (x − c1)(x − c2)(x − c3)... > 0 เช่น (x + 3)(x −31) > 0
(x − d1)(x − d2)... x (x − 2)

2. เขียนเส้นจํานวนและระบุตําแหน่งของ c1, c2 , c3 , d1, d2 , ... ให้ครบทุกตัว


(เรียงตามลําดับน้อยไปมาก) และหากมีตัวประกอบใดอยู่หลายครั้ง
ก็เขียนจุดเป็นจํานวนเท่านั้นครั้งด้วย เช่นในภาพ
-3 0 1 1 2 2 2
3. ใส่เครื่องหมาย +, –, +, – สลับกันไปในช่วงย่อยๆ
บนเส้นจํานวน โดยเริ่มจากช่วงขวามือที่สุดเป็น + เสมอ - + - + - + - +
-3 0 1 1 2 2 2
4. หากในอสมการเป็นเครื่องหมาย “มากกว่าศูนย์” ช่วงคําตอบจะเป็นช่วงเปิด ในช่วง +
หากเป็นเครื่องหมาย “น้อยกว่าศูนย์” ช่วงคําตอบจะเป็นช่วงเปิด ในช่วง –
โดยที่ถ้ามีเครื่องหมาย “เท่ากับศูนย์” อยู่ด้วย ช่วงคําตอบจะเปลี่ยนเป็นช่วงปิด
ทั้งนี้ต้องระวังเรื่องเศษส่วน ที่ตัวส่วนต้องไม่เป็นศูนย์ - + - + - + - +
( x ≠ d1, d2 , ... ) -3 0 1 1 2 2 2
5. จัดรูปคําตอบให้กระชับ (ยุบรวมจุดที่เป็นจุดเดียวกัน) -3 0 1 2
เช่น ในตัวอย่างนี้ตอบว่า x ∈ [−3, 0) ∪ {1} ∪ (2, ∞)

* หากมีจุดซ้ํากันเกิน 2 จุด (ยกกําลังมากกว่า 2) ถ้าเป็นกําลังคู่ให้เขียนจุดเพียง 2 จุด แต่ถ้าเป็น


กําลังคี่ให้เขียนจุดเพียงจุดเดียว เนื่องจากในตอนท้าย ช่วงที่ได้ก็จะยุบรวมกันเสมอ

ข้อควรระวัง S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S
การใช้เส้นจํานวนในการหาคําตอบ สัมประสิทธิ์หน้า x ทุกๆ ¡ÒÃe¢Õ¹¤íÒµoº¢o§ÊÁ¡ÒÃæÅaoÊÁ¡Òèaµ‹Ò§¡a¹
วงเล็บจะต้องไม่ติดลบ (หากติดลบให้นํา -1 คูณทั้งสองข้าง ¹a¤Ãaº.. ¶ŒÒe»š¹ÊÁ¡ÒÃeÃÒ¨aºæµ‹ÅaǧeÅçºe»š¹ 0
เพื่อให้เครื่องหมายกลายเป็นบวก และอย่าลืมกลับด้าน 䴌 eª‹¹ (x-2)(x-3) = 0 ¨a䴌 x = 2, 3
เครื่องหมายมากกว่า/น้อยกว่าด้วย) เช่น (x+1)(3-x) > 0 ¶Ù¡µŒo§ ..测¶ŒÒe»š¹oÊÁ¡Òà (x-2)(x-3) < 0
แบบนี้ต้องเปลี่ยนเป็น (x+1)(x-3) < 0 ก่อน ¨a¡ÅÒÂe»š¹ x < 2, 3 äÁ‹ä´Œe´ç´¢Ò´!
µŒo§ËÒª‹Ç§¤íÒµoº¨Ò¡eʌ¹¨íҹǹe·‹Ò¹aé¹¹a¤Ãaº!

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 42 ระบบจํานวนจริง

x 2+ 2x − 19
• ตัวอยาง ใหหาเซตคําตอบของสมการ = 4
x−4
วิธีคิด สามารถยายขางไปคูณไดทนั ที (แตตองกํากับเงื่อนไขวา x − 4 ≠ 0 → x ≠ 4 ดวย)
2 2
จะได x + 2x − 19 = 4 (x − 4) ... จากนัน้ ยายทางขวามาลบเปน x − 2x − 3 = 0
หรือ (x + 1)(x − 3) = 0 ... ดังนั้น คําตอบคือ {−1, 3}

x 2+ 2x − 19
• ตัวอยาง ใหหาชวงคําตอบของอสมการ < 4
x−4
วิธีคิด อสมการนี้ยายขาง x−4 ไปคูณไมได เพราะไมแนใจวาตองกลับเครื่องหมาย < หรือไม
2
x + 2x − 19
ดังนั้นจึงใชวิธียายเลข 4 ทางขวามาลบแทน ... ไดเปน − 4 < 0
x−4
x 2− 2x − 3 (x + 1)(x − 3)
จัดรูปฝงซายใหเปนเศษสวนเดียว คือ < 0 จากนัน้ เปน < 0
x−4 x−4
อยูในรูปที่ตอ งการแลว เขียนเสนจํานวนเพื่อหาคําตอบ
- + - +
(อยาลืม x ≠ 4 ) ... และคําตอบทีไ่ ดคือ (−∞, −1] ∪ [3, 4) -1 3 4

หมายเหตุ
ถ้ามีพหุนามดีกรีสองที่แยกตัวประกอบเป็นจํานวนจริงไม่ได้ (คือใช้ S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S
−B ± B2 − 4AC ¡Ò÷ÕèeÃÒ桵aÇ»Ãa¡oºã¹ã¨æŌǹ֡eÅ¢
สูตร แล้วพบว่าในรู้ทติดลบ) เวลาเขียนเส้นจํานวน
2A äÁ‹oo¡ äÁ‹ä´Œæ»ÅNjҡŒo¹¹aé¹æ¡äÁ‹ä´Œ¹a
ให้ละทิ้งก้อนนั้นไปได้เลย เขียนจุดเฉพาะตัวประกอบที่แยกเป็นกําลัง ¤Ãaº.. ¨aµŒo§Åo§ãªŒÊµÙ ô١‹o¹ eª‹¹
หนึ่งได้ (เพราะก้อนนั้นจะเป็นบวกเสมอ และไม่มีผลต่อความจริงเท็จ x2+x-3 < 0 㪌ÊÙµÃ䴌 −1 ± 1 + 12
ของอสมการ) เช่น 2
2
(x + 2)(x − 5)(x + 2x + 2) 溺¹Õ Ê
é ÒÁÒöe¢Õ¹eʌ ¹¨í
Ò ¹Ç¹ä´Œ æÅa
< 0 จะได้เส้นจํานวนดังนี้
x−3 ª‹Ç§¤íÒµoº¤×o ⎢
⎡ −1 − 13 −1 + 13 ⎤
,
- + - + ⎣ 2 2
⎥⎦
-2 3 5

สมบัติความบริบูรณ์ (The Axiom of Completeness)


เป็นสมบัติข้อสุดท้ายของระบบจํานวนจริง มีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า สัจพจน์การมีค่าขอบเขตบน
น้อยสุด (Least Upper Bound Axiom)

ค่าขอบเขตบน คือค่าจํานวนจริงซึ่งไม่น้อยกว่าสมาชิกใดๆ ในเซตที่กําหนดให้


เช่น เซต S = {0, −1, −2, −3, −4, ...} มีค่าขอบเขตบนเป็น 0 หรือ 0.5 หรือ 1.8 หรืออื่นๆ เพราะ
ค่าเหล่านี้ไม่น้อยกว่าสมาชิกใดใน S แต่ ค่าขอบเขตบนน้อยสุด ได้แก่ 0 เท่านั้น

ค่าขอบเขตบนน้อยสุดของช่วง (a, b) และ (a, b] และ [a, b] คือค่า b


ค่าขอบเขตบนน้อยสุดของช่วง (−∞, b) และ (−∞, b] คือค่า b
ค่าขอบเขตบนน้อยสุดของช่วง (a, ∞) และ [a, ∞) และ (−∞, ∞) หาไม่ได้

สมบัติข้อสุดท้ายของระบบจํานวนจริง กล่าวว่า “สับเซตใดๆ ของ R ถ้ามีขอบเขตบนแล้ว


ค่าขอบเขตบนน้อยสุดจะยังอยู่ใน R ” ซึ่งสมบัติข้อนี้ในระบบจํานวนอื่นบางระบบ เช่น Q ไม่มี
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 43 ระบบจํานวนจริง

แบบฝึกหัด 2.3
(21) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(21.1) ถ้า (a − b)(b − c)(c − d) > 0 แล้ว a > b > c > d
(21.2) ถ้า a < b และ n ∈ N แล้ว an < bn
a+b
(21.3) ถ้า a > 0 , b > 0 และ a ≠ b แล้ว > ab
2
b a 1 1
(21.4) ถ้า a > 0, b > 0 และ a ≠ b แล้ว + 2 > +
a2 b a b

(22) ถ้า a < b < c แล้ว ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด


a+b
(22.1) a < < b (22.3) a3 < b3 < c3
2
a+b+c
(22.2) a < < c (22.4) ab < bc
3

(23) ถ้า −7 < x < 5 และ 3 < y < 6 แล้ว ค่าต่อไปนี้อยู่ในช่วงใด


(23.1) x2 − y (23.2) xy2
(24) ถ้า −6 < x < −2 และ 2 < y < 3 แล้ว ค่าต่อไปนี้อยู่ในช่วงใด
(24.1) xy (24.3) x/ y
(24.2) x−y

(25) ต้องการสร้างรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่วให้มีเส้นรอบรูป 20 ซม. และความสูงไม่เกิน 5 ซม. ความ


ยาวฐานควรเป็นเช่นไร
(26) ถ้า A และ B เป็นเซตคําตอบของอสมการ 4 < 3x − 2 < 13 และ
11 − x < 4x + 1 < 2x + 7 ตามลําดับแล้ว ในเซต A ∩ B ' จะมีจาํ นวนเต็มเป็นเท่าใดบ้าง

(27) ถ้า m และ n คือจํานวนเต็มที่มากที่สุดและน้อยที่สุด ที่เป็นคําตอบของอสมการ


x2 + 6x + 7 < 0 แล้ว m − n เป็นเท่าใด

(28) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
ก. ผลบวกของค่าสัมบูรณ์ของคําตอบที่เป็นจํานวนเต็มของ 20 − 3x − 2x2 > 0 คือ 13
2
ข. ค่าสัมบูรณ์ของผลบวกของคําตอบที่เป็นจํานวนเต็มของ 3x + 7x − 30 < 0 คือ 7

(29) ถ้า m คือผลบวกจํานวนเต็ม ที่เป็นคําตอบของ 21 + 5x − 6x2 > 0


และ n คือผลบวกจํานวนเต็ม ที่ไม่เป็นคําตอบของ 3x2 − 1 > 1 + x − 3x2 แล้วให้หา m+n

(30) กําหนด a และ b เป็นจํานวนเต็มที่มากที่สุดและน้อยที่สุด ซึ่งไม่เป็นคําตอบของอสมการ


2x2 + 4x − 5 > 0 ตามลําดับ แล้วข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(30.1) {ab} ⊂ {a, b} (30.2) {a + b} ⊂ {a, b}
(31) ถ้าพหุนาม x3 + a2x − a − 2 หารด้วย x−1 แล้วเหลือเศษมากกว่า 5
ค่า a เป็นเท่าใดได้บ้าง

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 44 ระบบจํานวนจริง

(32) จงหา
x (x − 1)(x − 2)
(32.1) เซตคําตอบของอสมการ < 0
(x + 1)(x − 2)
(32.2) เซต (A '∩ B ') ' เมื่อ A เป็นเซตคําตอบของ (x + 2)(x − 3)(x − 1)4 < 0 และ B
เป็นเซตคําตอบของ (x + 4)(x − 3)(x + 2)3 > 0
(x + 4)(x + 1)(x − 2)3
(32.3) ผลบวกค่าสัมบูรณ์ของจํานวนเต็มใน {x | > 0}'
x (x − 5)2

(33) ให้หาเซตคําตอบของ x3 − x2 − 4x + 4 > 0

(34) ถ้า A เป็นเซตคําตอบของ x3 + 2x2 < 5x + 6 และ B = (−5, ∞) แล้ว


ผลบวกของจํานวนเต็มใน A ∩ B เป็นเท่าใด
(35) ให้หาเซตคําตอบของอสมการต่อไปนี้
(35.1) 1 < 2
x−1 3x − 1
4 2
(35.2) [Ent’29] >
x −2 x+1

2x − 5 2x − 1
(36) ถ้า A เป็นเซตคําตอบของ > 0 และ B เป็นเซตคําตอบของ < 1 แล้ว
x+2 x+5
ให้หาผลบวกของจํานวนเต็มที่มากที่สุดกับจํานวนเต็มที่น้อยที่สุด ในเซต B ∩ A'

x−1
(37) [Ent’38] ให้ S เป็นเซตคําตอบของ > 2 และ a เป็นขอบเขตบนน้อยสุดของ S แล้ว
x +2
ค่าของ a2 + 1 เป็นเท่าใด
(38) ให้หาขอบเขตบนน้อยสุดของแต่ละเซตที่กําหนดให้
(38.1) { x | x2 < 7 } (38.3) (−2, 6] ∪ [3, 8)
(38.2) { 1, 5, 7, 9 } ∪ [6, ∞) (38.4) { x = 2n | n ∈ I }

n
(39) ถ้า a เป็นขอบเขตบนน้อยสุดของ A = {x | x = , n ∈ I+ }
n+1
1
และ b เป็นขอบเขตล่างมากสุดของ B = {x | x = , n ∈ I− } แล้ว ให้หาค่า a+b
n

(40) ให้หาผลบวกของค่าขอบเขตบนน้อยสุด และค่าขอบเขตล่างมากสุด ของเซตคําตอบของ


อสมการ 2x2 − 5x + 2 < 5

2.4 ค่าสัมบูรณ์
“ค่าสัมบูรณ์ (Absolute Value หรือ Modulus) ของจํานวนจริง a” ใช้สัญลักษณ์ว่า a
ค่าสัมบูรณ์มีความหมายเชิงเรขาคณิต คือ a เท่ากับระยะห่างระหว่างจุดที่แทน a กับจุด 0
และ a − b เท่ากับระยะห่างระหว่างจุดที่แทน a กับจุดที่แทน b
⎧ a ,a > 0
ดังนั้น นิยามของค่าสัมบูรณ์ของจํานวนจริงเป็นดังนี้ a = ⎨
⎩−a ,a < 0

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 45 ระบบจํานวนจริง

จากสิ่งเหล่านี้ ทําให้สรุปทฤษฎีได้หลายอย่าง เช่น


[1] ค่าสัมบูรณ์ต้องไม่น้อยกว่าศูนย์ a > 0 เสมอ
[2] ค่าสัมบูรณ์ไม่คํานึงถึงเครื่องหมายลบ a = −a a−b = b−a
n
[3] ค่าสัมบูรณ์กระจายได้ สําหรับการคูณ ab = a b an = a
a a
[4] ค่าสัมบูรณ์กระจายได้ สําหรับการหาร = โดย b ≠ 0
b b
2
[5] ยกกําลังด้วยเลขคู่ไม่ต้องใส่ค่าสัมบูรณ์ a2 = a = a2
[6] ค่าสัมบูรณ์กระจายไม่ได้ สําหรับการบวกลบ a+b < a + b a−b > a − b
⎧⎪ a เมื่อ n = จํานวนคู่
* [7] รากที่ n ของกําลัง n n an = ⎨
⎪⎩ a เมื่อ n = จํานวนคี่

ทฤษฎีที่ช่วยแก้สมการและอสมการที่มีค่าสัมบูรณ์แบบง่าย
(คือมีค่าสัมบูรณ์เดียว และอีกข้างของสมการเป็นค่าคงที่ b ซึ่งมากกว่า 0)
* [1] สมการ x = b
มีความหมายเดียวกับสมการ x2 = b2 (ยกกําลังสองทั้งสองข้างได้)
และยังสรุปได้ว่า “ x = b หรือ x = −b ” ด้วย (วิธีนี้สะดวกกว่าการยกกําลังสอง)
* [2] อสมการ x < b ความหมายเดียวกับ −b < x < b
อสมการ x < b ความหมายเดียวกับ −b < x < b
อสมการ x > b ความหมายเดียวกับ “ x < −b หรือ x > b ”
อสมการ x > b ความหมายเดียวกับ “ x < −b หรือ x > b ”
-b b
• ตัวอยาง ใหหาเซตคําตอบของสมการ 3− x = 1 S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S
วิธีคิด จาก 3 − x = 1 จะได ÊÁ¡Ò÷Õèo¡Õ ¢ŒÒ§Ë¹Ö觵i´µaÇæ»Ã eª‹¹
3 − x = 1 หรือ 3 − x = −1 ... x + 2 = x ·íÒ溺¹Õé䴌..
แปลวา x = 2 หรือ x = 4 ... “ x + 2 = x ËÃ×o x + 2 = − x ”
ดังนั้น คําตอบคือ {2, −2, 4, −4} eËÁ×o¹Çi¸Õ¡¡íÒÅa§Êo§·aé§Êo§¢ŒÒ§ æŌÇŒÒÂ
ÁÒź¡a¹ (¼Åµ‹Ò§¡íÒÅa§Êo§) «Ö觨aµŒo§µÃǨ
• ตัวอยาง ใหหาชวงคําตอบของอสมการ 3 − x < 1 ¤íÒµoºeÊÁo¹a¤Ãaº e¾ÃÒa¤íÒµoºã´·Õè·íÒãˌ
¤‹ÒÊaÁºÙóµi´Åº ¨a㪌äÁ‹ä´Œ..
วิธีคิด จาก 3 − x < 1 จะได ... −1 < 3 − x < 1 ...
测¶ŒÒe»š¹oÊÁ¡Òà eª‹¹
นํา 3 ลบทั้งสามสวนของสมการ −4 < − x < −2 …
x + 2 < x äÁ‹¤Ç÷íÒ溺¹Õé!
นําลบคูณทั้งสมการ 2 < x < 4 … “ −x < x + 2 < x ” e¾ÃÒaµÃǨ¤íÒµoº
ดังนั้น คําตอบคือ [−4, −2] ∪ [2, 4] ÅíÒºÒ¡ ... ¤ÇÃ㪌Çi¸Õ桪‹Ç§Â‹oµÒÁ·Õè¨a
o¸iºÒÂã¹ËaÇ¢Œo¶a´ä»¤Ãaº..

เทคนิคการหาคําตอบของสมการและอสมการที่มีค่าสัมบูรณ์ใดๆ
1. กําหนดจุดที่ทําให้ค่าสัมบูรณ์แต่ละพจน์เป็นศูนย์ ลงบนเส้นจํานวนให้ครบทุกจุดเรียงตามค่าน้อยไป
มาก เช่นสมการ 2x + 1 − x − 2 = x + 3 ... มีค่าสัมบูรณ์อยู่ 2 พจน์ ก็กําหนดจุดบนเส้นจํานวน
2 จุด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 46 ระบบจํานวนจริง

เส้นจํานวนที่ได้จะถูกแบ่งเป็นช่วงย่อยๆ ซึ่งใช้เป็นเงื่อนไขของค่า x เช่นในตัวอย่างนี้จะมีช่วง


x < −1/2 , −1/2 < x < 2 , และ x > 2
(สังเกต : เครื่องหมาย “เท่ากับ” จะอยู่รวมกับ “มากกว่า”
ตามนิยามของการถอดค่าสัมบูรณ์) -1/2 2
2. ในแต่ละช่วงย่อย สมการจะถอดเครื่องหมายค่าสัมบูรณ์ทิ้งได้ โดยให้ทดลองแทนจํานวนใดๆ ที่อยู่
ในช่วงนั้นลงไปในค่าสัมบูรณ์ หากภายในค่าสัมบูรณ์ติดลบเมื่อถอดค่าสัมบูรณ์ออกแล้วจะต้องใส่ลบ
เพิ่มให้ แต่ถ้าภายในเป็นบวกแล้วก็ถอดค่าสัมบูรณ์ออกได้เลยไม่ต้องแก้ไขอะไร ... ดังตัวอย่างนี้มี 3
ช่วง จะได้สมการ 3 แบบคือ x>2
-1/2 < x < 2
x < -1/2
-1/2 2
(-2x - 1) − (-x + 2) = x + 3 (2x + 1) − (-x + 2) = x + 3 (2x + 1) − (x − 2) = x + 3
−x−3 = x+3 3x − 1 = x + 3 x+3 = x+3
x = −3 x = 2 0 = 0

3. ตรวจสอบคําตอบที่ได้ของแต่ละช่วง ให้ใช้คําตอบเฉพาะที่อยู่ในช่วงนั้นจริงๆ (อินเตอร์เซคกับ


เงื่อนไข) แล้วจึงรวมผลที่ได้จากแต่ละช่วงย่อยเข้าด้วยกัน (ยูเนียน) เป็นคําตอบที่แท้จริงของสมการ
(สังเกต : หากแก้สมการแล้วได้ผลเป็น 0 = 0 หรือประโยคอื่นๆ ที่เป็นจริงเสมอ เช่น 3 > 0
แสดงว่าช่วงย่อยนั้นเป็นคําตอบได้ทั้งหมด แต่ถ้าแก้สมการแล้วได้ผลเป็นประโยคที่เป็นเท็จ เช่น
1 = 0 หรือ 3 < 0 แสดงว่าช่วงย่อยนั้นไม่มีค่าใดเป็นคําตอบเลย)
x>2
-1/2 < x < 2
x < -1/2
-1/2 2
x = −3 ∅ x > 2

ตัวอย่างนี้คําตอบที่ได้คือ x ∈ {−3} ∪ [2, ∞)

แบบฝึกหัด 2.4
(41) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(41.1) ถ้า n ∈ I+ และ n > 1 จะได้ n an = a
(41.2) ถ้า a, b > 0 แล้ว a−b = a − b

(42) ให้หาค่าของจํานวนจริง m ที่น้อยที่สุดที่ทําให้


(42.1) 4x + 0.5 < m เมื่อ −3 < 2x − 1 < 0.5
x −2
(42.2) +5 < m เมื่อ x ∈ (2, 6)
x
(42.3) x2 − 25 < m เมื่อ x+5 < 6

(43) ถ้า x−1 < 5 และ y −2 < 4 แล้ว x+y มีค่าอยู่ในช่วงใด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 47 ระบบจํานวนจริง

(44) ให้หาคําตอบของสมการต่อไปนี้
(44.1) x2 − 6 x + 8 = 0
(44.2) x − 1 + x + 1 = 2
(44.3) [Ent’30] x − 4 + x − 3 = 1

(45) ถ้า A เป็นเซตคําตอบของสมการ 2 + 3x = 2 + 3 x


และ B เป็นเซตคําตอบของสมการ 2 + 3x = 2 + 3x แล้วให้หาเซต B ∩ A'

(46) ให้หาผลบวกของคําตอบทั้งหมดของสมการ 8 (x + 2)2 − 14 (x + 2) + 3 = 0

5 − 3x
(47) ถ้า A = { x ∈ I | x2 + 3x + 3 = 2x + 3 } และ B = {x ∈ I | = 2}
x+2
แล้ว ให้หาค่า a2 + b2 เมื่อ a, b เป็นค่าขอบเขตบนน้อยสุดและขอบเขตล่างมากสุดของ A ∪B

2
(48) ให้หาคําตอบทั้งหมดของสมการ ( x )x = x 3

(49) ให้หาคําตอบของอสมการต่อไปนี้
3
(49.1) 2x − 1 < 3x + 2 (49.4) < x
x−1 − 2
x
(49.2) 3 < x −2 < 6 (49.5) < 2
x −1
1
(49.3) x + > 0 และ x2 − x − 2 < 0
x

x+2
(50) ถ้า A เป็นเซตคําตอบของอสมการ + x < 4
2
และ B เป็นเซตคําตอบของอสมการ x < x−7 แล้วให้หาเซต (A ∩ B) '

4x + 5
(51) ถ้า A = {x ∈ R | x < < 5} แล้วข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
2
(51.1) ถ้า a, b ∈ A แล้ว (a + b)/2 ∈ A
(51.2) ถ้า a, b เป็นขอบเขตบนค่าน้อยสุด และขอบเขตล่างค่ามากสุดของ A
แล้ว a+b ∈ A

1
(52) ถ้า A = { x ∈ R | x2 − 2 < 14 } และ B = {x ∈ R | − 1 > 0}
x
แล้ว มีจํานวนเต็มใน A ∩B' กี่จํานวน
(53) ให้หาค่า a, b, c ที่เป็นจํานวนนับที่น้อยที่สุด ที่ทําให้
(53.1) −4 < x < 1 เป็นคําตอบของอสมการ ax + b < c
(53.2) x < −10 หรือ x > 8 เป็นคําตอบของอสมการ ax + b > c

(54) ให้หาคําตอบของอสมการต่อไปนี้
(54.1) 3x + 2 < 4x + 1
x −2
(54.2) [Ent’41] < 2
x+1

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 48 ระบบจํานวนจริง

(54.3) x − 7 < 5 < 5x − 25


(54.4) x −1 + x −3 < x −5
x2 − 5x − 4
(54.5) > 1
x2 + x − 2
* (55) ให้หาคําตอบของอสมการ x −3 < x −2

(56) ให้หาค่า x ที่ทําให้


(56.1) (1 − x )(1 + x) เป็นจํานวนจริงบวก
(56.2) (1 − x )(1 + x) เป็นจํานวนจริงลบ

2.5 ทฤษฎีจํานวนเบื้องต้น
* ในหัวข้อนี้เราจะกล่าวถึงจํานวนเต็มเท่านั้น
สมบัติของจํานวนเต็มกับการหาร
[1] บทนิยามของการหารจํานวนเต็มลงตัว
สัญลักษณ์ที่ใช้แทนประโยค “m หารด้วย n ลงตัว” คือ n m
เรียก m ว่า ตัวตั้ง (Dividend) และเรียก n ว่า ตัวหาร (Divisor)
สําหรับจํานวนเต็ม m, n โดยที่ n ≠ 0 จะได้ว่า n m ก็ต่อเมื่อ m = n q และ q ∈ I
[1.1] สมบัติการถ่ายทอด ถ้า a b และ b c แล้ว a c
[1.2] ตัวหารที่ลงตัวย่อมน้อยกว่า ถ้า a b แล้ว a < b เสมอ
[1.3] การหารผลรวมเชิงเส้นลงตัว ถ้า a b และ a c แล้ว a (bx + cy)
“ผลรวมเชิงเส้น (Linear Combination) ของ b กับ c” คือจํานวนในรูป bx + cy ซึ่ง x, y ∈ I
S Êi觷Õè¤Ç÷ÃÒº! S
1. ¶ŒÒ a b æÅa a c æÅŒÇ a (b ± c) 3. ¶ŒÒ a b æÅŒÇ a bn
2. ¶ŒÒ a b æÅŒÇ a (b ⋅ c) 4. ¶ŒÒ an b æÅŒÇ a b
* »Ãao¤´ŒÒ¹º¹¹Õé¶Ù¡·u¡¢Œo 测¶ŒÒ¡Åaº´ŒÒ¹»Ãao¤eËŋҹÕé¨a¼i´¹a¤Ãaº!
»Ãao¤´ŒÒ¹Å‹Ò§¹Õé¼i´·u¡¢Œo!
1. ¶ŒÒ a (b ± c) æÅŒÇ a b æÅa a c 3. ¶ŒÒ a bn æÅŒÇ a b
2. ¶ŒÒ a (b ⋅ c) æÅŒÇ a b 4. ¶ŒÒ a b æÅŒÇ an b

[2] บทนิยามของการหารจํานวนเต็มใดๆ
สําหรับจํานวนเต็ม m, n โดยที่ n ≠ 0 จะได้ว่า m = n q + r และ q ∈ I , 0 < r < n
มีจํานวนเต็ม q, r ชุดเดียวเท่านั้น เรียก q ว่า ผลหาร (Quotient) และ r คือ เศษ (Remainder)

[3] บทนิยามของ จํานวนเฉพาะ (Prime Numbers)


“จํานวนเฉพาะ p คือจํานวนเต็มที่ไม่ใช่ 0, 1, −1 และมีจํานวนเต็มที่ไปหาร p ลงตัวเพียงแค่
1, −1, p, −p เท่านั้น” เช่น ±2, ±3, ±5, ±7, ±11, ... ... จํานวนเต็มอื่นๆ ที่ไม่ใช่จํานวนเฉพาะและไม่ใช่
0, 1, −1 จัดเป็น จํานวนประกอบ (Composite Numbers)
[3.1] หลักการมีตัวประกอบชุดเดียว
“ทุกจํานวนเต็มบวกที่มากกว่า 1 จะเขียนในรูปผลคูณของจํานวนเฉพาะบวก ได้แบบเดียว”
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 49 ระบบจํานวนจริง

[3.2] จํานวนเฉพาะกับการหารลงตัว ถ้า p mn แล้ว p m หรือ p n

[4] บทนิยามของ จํานวนคู่ (Even Numbers) และ จํานวนคี่ (Odd Numbers)


“จํานวนคู่ คือจํานวนที่เขียนได้ในรูป 2 n เมื่อ n ∈ I ”
“จํานวนคี่ คือจํานวนที่เขียนได้ในรูป 2 n + 1 เมื่อ n ∈ I ”

[5] บทนิยามของ ตัวหารร่วมมาก (ห.ร.ม. : the Greatest Common Divisor : GCD) และตัว
คูณร่วมน้อย (ค.ร.น. : the Least Common Multiple : LCM)
“ d เป็น ห.ร.ม. ของ a กับ b ก็เมื่อ d a และ d b และถ้ามี n a และ n b แล้ว n d ”
สัญลักษณ์ที่ใช้แทน ห.ร.ม. ของ a กับ b ที่เป็นบวก คือ (a, b)
“ c เป็น ค.ร.น. ของ a กับ b ก็เมื่อ a c และ b c และถ้ามี a n และ b n แล้ว c n ”
สัญลักษณ์ที่ใช้แทน ค.ร.น. ของ a กับ b ที่เป็นบวก คือ [a, b]
[5.1] ห.ร.ม. คูณกับ ค.ร.น. (a, b) × [a, b] = a × b เสมอ
[5.2] ห.ร.ม. ของผลหาร ถ้า (a, b) = d แล้ว (a/d, b/d) = 1

[5.3] ขั้นตอนวิธีการหา ห.ร.ม. ของยุคลิด


การหา ห.ร.ม. ของ a กับ b จะเริ่มโดยเขียน a กับ b ในรูปการหาร แล้วนําเศษที่ได้ไป
หารต่อๆ ไป คือ a = b q 1 + r1 b = r1q 2 + r2 r1 = r2q 3 + r3 r2 = r3q 4 + r4 ...

ทําไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหารลงตัว (เศษเป็น 0) จะได้ว่า ห.ร.ม. เท่ากับ เศษตัวสุดท้าย ( rk )


เช่น ต้องการหาค่า ห.ร.ม. ของ 138 กับ 182 จะมีขั้นตอนการหาดังนี้
(182) = (138) 1 + (44) (138) = (44) 3 + (6) (44) = (6) 7 + (2) (6) = (2) 3
ดังนั้น ห.ร.ม. คือ 2 (เพราะ 2 คือเศษตัวสุดท้าย ที่ทําให้การหารนั้นลงตัว)
หมายเหตุ ถ้า (m, n) = 1 จะเรียก m และ n เป็น จํานวนเฉพาะสัมพัทธ์ (Relative Primes)
(โดยที่ m และ n ไม่จําเป็นต้องเป็นจํานวนเฉพาะ)
การหา ห.ร.ม. หรือ ค.ร.น. ของจํานวนเต็มมากกว่าสองจํานวน สามารถหาจากสองจํานวน
ใดก็ได้ แล้วนําผลที่ได้ไปหา ห.ร.ม. หรือ ค.ร.น. ร่วมกับจํานวนที่เหลือต่อไป

แบบฝึกหัด 2.5
(57) เศษของการหาร (19)3(288)2 ด้วย 5 เป็นเท่าใด
(58) ให้หา ห.ร.ม. ของ 252 กับ 34 และเขียนในรูปผลรวมเชิงเส้น d = 252 x + 34 y
เมื่อ x, y เป็นจํานวนเต็ม
(59) ให้หา ห.ร.ม. ของ –504 กับ –38 และเขียนในรูปผลรวมเชิงเส้นด้วย
(60) ถ้า ห.ร.ม. และ ค.ร.น. ของ x กับ 128 เป็น 16 และ 384 แล้วค่า x เป็นเท่าใด
(61) [Ent’37] ให้ x, y เป็นจํานวนเต็มบวก โดยที่ x < y ถ้า (x, y) = 9 , [x, y] = 28215 และ
จํานวนเฉพาะที่หาร x ลงตัวมี 3 จํานวน แล้ว x, y มีค่าเท่าใด
(62) [Ent’38] ให้ x, y เป็นจํานวนเต็มบวก โดยที่ 80 < x < 200
และ x = p q เมื่อ p, q เป็นจํานวนเฉพาะซึ่งไม่เท่ากัน
ถ้า x, y เป็นจํานวนเฉพาะสัมพัทธ์ และมี ค.ร.น. เป็น 15015 แล้วค่า y เป็นเท่าใดได้บ้าง
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 50 ระบบจํานวนจริง

เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(1) ผิดทุกข้อ (25) อยู่ในช่วง [7.5, 10) ซม. (47) 90 (48) 1, 6
(2) ข้อ (2.3) ถูก นอกนั้นผิด (26) 2, 4 (27) 2 (49.1) (−1/5, ∞)
(3) ง. (28) ถูกทุกข้อ (49.2) (−4, −1) ∪ (5, 8)
(4) ข้อ (4.1) และ (4.3) ถูก (29) (−1 + 0 + 1 + 2) + (0) (49.3) (−1, 2) − {0}
(5) ถูกทุกข้อ (6) ง. (30) ถูกทุกข้อ 3 + 21
(7) 6 + 5 และ 1 (49.4) (−1, 3) ∪ [ , ∞)
(31) a ∈ (−∞, −2) ∪ (3, ∞) 2
(8) ค. (9) ง. (10) เท่ากัน (32.1) (−∞, −1) ∪ (0, 1) (49.5) (−∞, −2] ∪ (−1, 1) ∪ [2, ∞)
(11.1) ผิด (11.2) ถูก (32.2) [−4, ∞) − {1} (50) (2, ∞) (51) ถูกทุกข้อ
(12) 1 (13) –3 (14) –81 (32.3) 11
(15) 4+3 (16) –155/9 (52) 7 (53.1) 2, 3, 5
(33) [−2, 1] ∪ [2, ∞) (53.2) 1, 1, 9
(17) (x − 1)(x − 2)
(34) –5 (54.1) (−∞, −3/7) ∪ (1, ∞)
(18) (x − 1)(x − 2)(x − 3)(x + 2)(x + 4) (35.1) (−∞, −1) ∪ (1/3, 1) (54.2) (−∞, −4) ∪ (0, ∞)
(19) (x − 2)(x − 4)(x + 5)(3x + 1)(x + 1)
2
(35.2) (2, 8] (36) 0 (54.3) (2, 4) ∪ (6, 12)
(20.1) {b, −b} (20.2) {0} (37) 5 (38.1) 7 (54.4) (−1, 3)
(20.3) {0, −2b} (38.2) ไม่มี (38.3) 8 (54.5) (−∞, −1] ∪ [−1/ 3, 3] − {1, −2}
(20.4) {−a − 1, −a + 1} (38.4) ไม่มี (39) 0 (55) (−∞, −1/2) ∪ (5/2, ∞)
(21) ข้อ (21.1) และ (21.2) ผิด (40) 5/2 (41) ผิดทุกข้อ
(42.1) 3.5 (42.2) 17/3 (56.1) (−∞, −1) ∪ (−1, 1)
(22) ข้อ (22.4) ผิด นอกนั้นถูก
(23.1) (−6, 46) (42.3) 96 (43) [0, 12) (56.2) (1, ∞) (57) 1
(23.2) (−252, 180) (44.1) 2, −2, 4, −4 (58) 2 = (252)(5) + (34)(−37)
(24.1) (−18, −4) (44.2) [−1, 1] (59) 2 = (−504)(−4) + (−38)(53)
(24.2) (−9, −4) (44.3) [3, 4] (60) 48 (61) 495, 513
(24.3) (−3, −2/3) (45) [−2/3, 0) (46) –8 (62) 105, 165

เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
(1.1) ผิด ทศนิยมไม่ซ้ํา เป็นจํานวนอตรรกยะ 3 −3
ค. ไม่มีการบวกและคูณเลย (เช่น +( ) = 0
(1.2) ผิด ทศนิยมซ้ํา เป็นจํานวนตรรกยะ 4 4
3 4
(1.3) ผิด เช่น a = 2 และ ⋅ = 1)
4 3
(1.4) ผิด เช่น a = 3 ง. ถูก (เพราะ บวกกันแล้วย่อมยังหาร 4 ลงตัว,
(2.1) ผิด เช่น a=0 แล้ว b จะเป็นเท่าใดก็ได้ คูณกันก็ยงั หาร 4 ลงตัว)
(2.2) ผิด ต้องเป็น a=0 หรือ b=0 (ไม่จําเป็นต้อง (4.1) ถูก (จํานวนจริงลบกัน ย่อมเป็นจํานวนจริง)
เป็น 0 พร้อมกันทั้งคู)่ (4.2) ผิด เพราะ (a − b) − c ≠ a − (b − c)
(2.3) ถูก (ตามกฎการคูณเข้าทั้งสองข้าง เอา b (4.3) ถูก (นําจํานวนจริงที่ไม่ใช่ 0 มาหารกัน ย่อม
คูณ จะได้ a = c ) เป็นจํานวนจริง) ... (แต่ถ้ารวม 0 ด้วย ข้อนีจ้ ะผิด
(2.4) ผิด เช่น a=0 แล้ว b กับ c ไม่จําเป็นต้อง เพราะส่วนเป็น 0 นัน้ ไม่นิยาม)
เท่ากัน
(3) ก. มีการบวก แต่ไม่มีการคูณ (4.4) ผิด เพราะ [ a ] ÷ c ≠ a ÷ [b ]
b c
(เพราะ ลบคูณลบ ได้บวก) (5) A = {x | x เป็นจํานวนนับ และ x เป็น
ข. ไม่มีการบวก (เช่น 3 + 5 = 8 → 8 ไม่อยู่ใน จํานวนตรรกยะ } = {1, 4, 9, 16, 25, 36, ...} หรือ
เซตนี้) และไม่มกี ารคูณ (เช่น 3 ⋅ 5 = 15 ) มองว่า A เป็นเซตของจํานวนนับยกกําลังสองก็ได้..
B = N - A = { จํานวนนับอืน ่ ๆ ที่ไม่อยู่ใน A}

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 51 ระบบจํานวนจริง

(5.1) A มีสมบัตปิ ิดการคูณ เพราะจํานวนนับ2 (14) เศษ (5)4 − (5)3 + 3(5)2 − (5) − 1
คูณกัน ย่อมยังเป็นจํานวนนับ2 = 2(5)3 + (5)2 + 75(5) + a
... ดังนัน้ a = −81
B ไม่มีสมบัติปดิ การคูณ เช่น (15) เป็นตัวประกอบ แสดงว่า หารแล้วเหลือเศษ 0
2 × 2 = 4 → 4 ∉ B ... ดังนัน ้ ข้อนีถ้ ูก a
(2)3 − a(2)2 + (2) + 2b = 0 .... (1)
(5.2) A ไม่มีสมบัติปิดการบวก เช่น 4
1+ 1 = 2 → 2∉ A 1 2
(2) + (2) − b = 0 .... (2)
B ไม่มีสมบัติปดิ การบวก เช่น a

2 + 2 = 4 → 4 ∉ B ... ดังนัน ้ ข้อนี้ถกู แก้ระบบสมการ ได้ a = 4, b = 3 → a + b = 7

(6) ก. ไม่จริง เช่น ถ้า x = 2 จะไม่มี y ที่เป็น (16) จาก (x2 − 2x − 3) = (x − 3)(x + 1)
⎧(3)4 + a(3)3 + b(3)2 + 3(3) + 4 = 0
จํานวนเต็ม ที่ xy = 1 แสดงว่า ⎨( 1)4 a( 1)3 b( 1)2 3( 1) 4 0
⎩− + − + − + − + =
ข. ไม่จริง เช่น ถ้า x = 0 จะไม่มี y ที่เป็นจํานวน
−19 −37
จริง ที่ xy = 1 จะได้ a = ,b =
9 9
ค. ไม่จริง เพราะถ้า xy = 1 นั้น xy ∉ A แน่นอน และจาก (x2 + x − 2) = (x + 2)(x − 1)
( 1 ไม่ใช่จํานวนอตรรกยะ) ⎧(−2)3 + 10(−2)2 + c(−2) + d = 0
ง. จริง ไม่วา่ x เป็นจํานวนตรรกยะใด y จะเป็น แสดงว่า ⎨ 3 2
⎩(1) + 10(1) + c(1) + d = 0
จํานวนตรรกยะเสมอ (x, y ≠ 0) จะได้ c = 7, d = −18
(7) อินเวอร์สการคูณของ a คือ 1/a ... ดังนัน้ ดังนัน้ a + b + c + d = −155
1 9
อินเวอร์สการคูณของ คือ 6 + 5
6+ 5 (17) แยกตัวประกอบแต่ละพหุนามก่อน
เอกลักษณ์การคูณของจํานวนจริงใดๆ คือ 1 เสมอ (โดยการหารสังเคราะห์)
(8) ก. (a ∗ b) ∗ a = b ∗ a = b → ผิด จะได้ (x3 − 7x + 6) = (x − 1)(x − 2)(x + 3)
ข. (b ∗ c) ∗ b = a ∗ b = b → ผิด และ (3x3 − 7x2 + 4) = (x − 1)(x − 2)(3x + 2)
ค. (a ∗ b) ∗ (c ∗ b) = b ∗ a = b → ถูก และ (x − 3x + 6x − 4) = (x − 1)(x − 2)(x − 2)(x +
4 3
2)

ง. (c ∗ a) ∗ (b ∗ a) = c ∗ b = a → ผิด ดังนัน้ ห.ร.ม. = (x − 1)(x − 2) = x2 − 3x + 2


(9) ตอบ ง. เพราะ x − y ≠ y − x (18) แยกตัวประกอบแต่ละพหุนามก่อน
(10) จะมองแค่วา่ a * b มีสมบัติการสลับทีก่ ็ได้ จะได้ (x3 − 2x2 − 5x + 6) = (x − 1)(x − 3)(x + 2)
หรือคิดจาก x ∗ (y ∗ z) = x ∗ (3yz + y + z) และ (x3 + x2 − 10x + 8) = (x − 1)(x − 2)(x + 4)
= 3x(3yz + y + z) + x + 3yz + y + z ค.ร.น. = (x − 1)(x − 2)(x − 3)(x + 2)(x + 4)
และ (z ∗ y) ∗ x = (3zy + z + y) ∗ x = x5 − 17x3 + 12x2 + 52x − 48
= 3(3zy + z + y)x + 3zy + z + y + x (19) (3x + 1)(x − 2)(x − 4)(x + 5)(x2 + 1)
ก็ได้ ... คําตอบข้อนี้คอื “เท่ากัน” (20.1) a = 0 → x2 − b2 = 0 →
(11.1) A ไม่มีสมบัติปิดภายใต้ ⊕ เช่น (x − b)(x + b) = 0 → {−b, b}
5+7 (20.2) b = 0 → x2 = 0 → {0}
= 6 แต่ 6 ∉ A )แต่มีสมบัติการสลับที่
2
(20.3) a = 1 → x2 + b2 + 2bx − b2 = 0
a+b b+a
เพราะ = เสมอ) ... ดังนั้นข้อนี้ผิด 2
→ x + 2bx = 0 → x(x + 2b) = 0 → {0, −2b}
2 2
(11.2) A ไม่มีสมบัติปิดภายใต้ ⊗ เช่น (20.4) b = 1 → x2 + a2 + 2ax − 1 = 0
3×3 → (x + a)2 − 1 = 0 → (x + a − 1)(x + a + 1) = 0
= 4.5 แต่ 4.5 ∉ A และ A มีสมบัติการ
2 → {−a + 1, −a − 1}
ab ba (21.1) ผิด เช่น c > b > a และ c > d
สลับที่ เพราะ = เสมอ ... ดังนัน้ ถูก
2 2
แบบนี้ก็ยังได้ (−)(−)(+) > 0 อยู่
(12) a = 4(4)3 − 21(4)2 + 26(4) − 17 = 7
(21.2) ผิด เช่น −2 < 1 แต่ (−2)2 < 12
และ b = 3(−3)3 + 13(−3)2 + 11(−3) + 5 = 8
ดังนัน้ b − a = 8 − 7 = 1 (21.3) ถูก ... พิสจู น์ จาก (a + b) / 2 > ab
2 2
(13) เศษ (1)2 + 2a = (−2) + a ดังนัน้ a = −3 → a + b > 2 ab → a + 2ab + b > 4ab
→ a − 2ab + b > 0 → (a − b)2 > 0
2 2

(เป็นจริงเสมอ เมื่อ a ≠ b)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 52 ระบบจํานวนจริง

b3 + a3 b+a (27) x2 + 6x + 7 < 0 แยกตัวประกอบไม่ออก


(21.4) ถูก ... พิสจู น์ จาก >
a2b2 ab 2

→ b3 + a3 > ab(b + a) จึงต้องใช้สูตร −b ± b − 4ac


2a
→ (b + a)(b2 − ab + a2) > ab(b + a) หรืออาจจัดกําลังสองสมบูรณ์ก็ได้ ดังนี้
→ b2 − 2ab + a2 > 0 → (b − a)2 > 0 (x2 + 6x + 9) − 2 < 0 → (x + 3)2 − 2 < 0
(เป็นจริงเสมอ เมื่อ a ≠ b ) (x + 3 − 2)(x + 3 + 2) < 0
(22.1) และ (22.2) ถูก ... (เป็นสมบัตขิ อง + - +
ค่าเฉลี่ยเลขคณิตด้วย → xmin < X < xmax ) −3 − 2 −3 + 2

(22.3) ถูก (เพราะ x3 เป็นฟังก์ชนั เพิ่มเสมอ) → จากเส้นจํานวน ได้ −3 − 2 < x < −3 + 2


แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นยกกําลังเลขคู่ ข้อนีจ้ ะผิด ดังนัน้ จํานวนเต็ม m=-3+1=-2 และ n=-3-1=-4
(22.4) ผิด เช่น ถ้า b = 0 จะได้ ab = bc ∴m−n = 2
(23.1) จาก −7 < x < 5 → 0 < x2 < 49 (2x − 5)(x + 4) < 0
(28) ก.
และ 3 < y < 6 → −6 < −y < −3 + - +
−4 5/2
จะได้ −6 < x2 − y < 46 ดังนั้นตอบ (−6, 46) ผลบวกที่ตอ้ งการคือ
(23.2) จาก 9 < y2 < 36 จะได้ |− 4|+|− 3|+ |− 2|+ |− 1|+ |0|+ |1|+ |2| = 13
ถูก
−252 < xy2 < 180 ดังนั้นตอบ (−252, 180) ข. แยกตัวประกอบไม่ออก อาจใช้สูตรหรือจัดกําลัง
(24.1) xy อยู่ในขอบเขตของ สองสมบูรณ์ดังนี้ x2 + 7 x − 10 < 0 →
3
−12, −18, −4, −6 → ตอบ (−18, −4)
2 7 49 409 7 409
(24.2) x − y อยู่ในขอบเขตของ (x + x + )− < 0 → (x + )2 − <0
3 36 36 6 36
−8, −9, −4, −5 → ตอบ (−9, −4) −7 − 409 −7 + 409
→ < x <
(24.3) x อยู่ในขอบเขตของ −3, −2, −1, −2 / 3 → 6 6
y ประมาณค่าได้เป็น −27/6 < x < 13/6
ตอบ (−3, −2/ 3) ค่าสมบูรณ์ที่ตอ้ งการคือ
(25) | −4 − 3 − 2 − 1 + 0 + 1 + 2 | = 7 ถูก
2 2
h +x (29) 2
6x − 5x − 21 < 0 → (3x − 7)(2x + 3) < 0
h
x หาค่า x ในเทอมของ h ก่อน
+ - +
−3/2 7/ 3
20 = 2x + 2 h2 + x2 → 10 − x = h2 + x2 ∴ m = −1 + 0 + 1 + 2 = 2
→ 100 − 20x + x2 = h2 + x2 → 6x2 − x − 2 > 0 → (3x − 2)(2x + 1) > 0
2 2
100 − h h + - +
∴x = = 5−
20 20 −1/2 2/ 3
h2 5 ∴n = 0 ดังนั้น m+n = 2
จากโจทย์ 0 < h<5 → 0 < <
20 4 5
(30) 2x + 4x − 5 > 0 → x2 + 2x −
2
> 0
15 h2 15 2
→ <5− < 5 ...ดังนั้น <x <5
4 20 4 7 7
→ (x2 + 2x + 1) − > 0 → (x + 1)2 − > 0 →
นั่นคือ ความยาวฐาน 2x อยู่ในช่วง [7.5, 10) ซม. 2 2
(26) A ; 6 < 3x < 15 → 2 < x < 5 (x + 1 − 3.5)(x + 1 + 3.5) > 0
∴ A = [2, 5) + - +
B ; 11 − x < 4x + 1 → 10 < 5x → x > 2 −1 − 3.5 −1 + 3.5

และ 4x + 1 < 2x + 7 → 2x < 6 → x < 3 เนื่องจาก 3.5 ≈ 1.8 ดังนัน้ a = 0, b = −2


∴ B = (2, 3] ก. {0} ⊂ {0, −2} ถูก
ดังนัน้ A ∩ B ' = A − B = {2} ∪ (3, 5) ข. {−2} ⊂ {0, −2} ถูก
จํานวนเต็มใน A ∩ B ' คือ 2 กับ 4

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 53 ระบบจํานวนจริง

(31) (1)3 + a2(1) − a − 2 > 5 −x2 + 8x x2 − 8x


> 0 → <0
→ a2 − a − 6 > 0 → (a − 3)(a + 2) > 0 (x − 2)2(x + 1) (x − 2)2(x + 1)
x(x − 8)
+ - + →
(x − 2)2(x + 1)
<0
−2 3
ดังนัน้ a ∈ (−∞, −2) ∪ (3, ∞) - + - + - +
-1 0 2 2 8
(32.1) - + - + - +
-1 0 1 2 2
แต่ในโจทย์มี x + 1
ตอบ (−∞, −1) ∪ (0, 1) จึงต้องเพิ่มเงือ่ นไขว่า x + 1 > 0 → x > −1
(32.2) A + - + - + และนอกจากนั้น 4 > 0 ด้วย → x > 2
x−2
-2 1 1 3
- + - + รวมแล้วจึงตอบเพียง (2, 8]
B
-4 -2 3 (36) A ; 2x − 5 > 0
x+2
(A '∩ B ') ' = A ∪ B = [−4, 1) ∪ (1, ∞) + - +
หรือตอบในรูป [−4, ∞) − {1} ก็ได้ -2 5/2
(32.3) 2x − 1 2x − 1 − x − 5
+ - + - + - + B; −1< 0 → < 0
x+5 x+5
-4 -1 0 2 5 5

x−6
< 0
+ - +
x+5 -5 6
ผลบวกค่าสมบูรณ์ตามต้องการคือ
| −3 | + | −2 | + | 0 | + | 1 | + | 5 | = 11 ∴B∩ A' = B − A คือ [−2, 5/2)

(33) (x − 1)(x − 2)(x + 2) > 0 ผลบวกที่ตอ้ งการคือ 2 + (−2) = 0


- + - + (37) x − 1 − 2 > 0 → x − 1 − 2x − 4 > 0
x +2 x+2
-2 1 2 −x − 5 x+5
ตอบ [−2, 1] ∪ [2, ∞) → > 0 → < 0
x+2 x +2
(34) x3 + 2x2 − 5x − 6 < 0 + - +
→ (x − 2)(x + 1)(x + 3) < 0 −2
−5

A คือ - + - + ดังนัน้ a = −2 → a2 + 1 = 5
B = (−5, ∞) -3 -1 2 (38.1) ได้ x ∈ (− 7, 7) ตอบ 7
∴A∩B คือ (38.2) ไม่มีขอบเขตบน (38.3) ตอบ 8
-5 -3 -1 2 (38.4) {..., −6, −4, −2, 0, 2, 4, ...} ไม่มีขอบเขตบน
ดังนัน้ ตอบ −4 − 3 − 1 + 0 + 1 + 2 = −5 (39) A = { 1 , 2 , 3 , ...} จะได้ a = 1
(35.1) ห้ามคูณไขว้เพราะตัวส่วนอาจติดลบ แล้ว 2 3 4
1 1
เครื่องหมายจะผิด ควรทําดังนี้ 1 − 2 < 0 B = {−1, − , − , ...}
2 3
จะได้ b = −1
x − 1 3x − 1
3x − 1 − 2x + 2 (x + 1) ดังนัน้ a + b = 1 − 1 = 0
→ < 0 → < 0
(x − 1)(3x − 1) (x − 1)(3x − 1) (40) ยกกําลังสองได้เพราะเป็นบวกทั้งสองข้าง
- + - + → 2x2 − 5x + 2 < 5 → 2x2 − 5x − 3 < 0
-1 1/3 1 → (2x + 1)(x − 3) < 0

ตอบ (−∞, −1) ∪ ( 1 , 1)


+ - +
3 -1/2 3
(35.2) การยกกําลังสองทั้งสองข้าง ข้อนีท้ ําได้ 2
แต่อย่าลืมเช็คเงือ่ นไขของรู้ท ว่า 2x − 5x + 2 > 0
เพราะขวามือเป็นบวกเสมอ และซ้ายมือนัน้ โจทย์บอก → (2x − 1)(x − 2) > 0
ว่ามากกว่าหรือเท่ากับขวามือ จึงเป็นบวกเสมอด้วย
(แต่ถ้าโจทย์เป็นเครื่องหมาย < จะห้ามยกกําลัง)
+ - +
16 4 4 1
1/2 2
> → − >0 ดั ง นั
น ้ คํ
า ตอบคื อ
(x − 2)2
x +1 (x − 2)2
x+1
-1/2 1/2 2 3
4x + 4 − x2 + 4x − 4
→ >0 → 1 5
(x − 2)2(x + 1) ผลบวกที่ตอ้ งการคือ 3 + (− ) =
2 2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 54 ระบบจํานวนจริง

⎧ a , n = จํานวนคู่ (45) เซต A; แบ่งช่วงย่อยดังนี้


(41.1) ผิด n an = ⎨
⎩ a , n = จํานวนคี่ ก. ข. ค.
(41.2) ผิด เช่น a = 0, b = −1 -2/3 0
จะได้ |a − b| = 1 , |a| − |b| = −1 ก. เมื่อ x < −2/ 3 จะได้
(42.1) −3 < 2x − 1 < 0.5 → −2 < 2x < 1.5 −2 − 3x = 2 − 3x → −2 = 2 → ∅
→ −1 < x < 0.75 ข. เมื่อ −2/ 3 < x < 0 จะได้
∴ −4 < 4x < 3 → −3.5 < 4x + 0.5 < 3.5 2 + 3x = 2 − 3x → 6x = 0 → x = 0 → ∅
→ | 4x + 0.5 | < 3.5
ค. เมื่อ x > 0 จะได้
1 2
(42.2) 2 < x < 6 → < < 1→ 2 + 3x = 2 + 3x → 0 = 0 → [0, ∞)
3 x
2 1 2 17 ∴ A = [0, ∞)
−1 < − < − → 5 < − + 6 <
x 3 x 3 เซต B; แบ่งช่วงย่อยดังนี้
x−2 2 2 ก. ข.
แสดงว่า +5 = 1− +5 = − +6 อยู่
x x x -2/3
17
ในช่วง (5, ) ก. เมื่อ x < −2/ 3 จะได้
3
x −2 17 −2 + 3x = 2 + 3x → −2 = 2 → ∅
∴| + 5| <
x 3 ข. เมื่อ x > −2/3 จะได้
(42.3) −6 < x + 5 < 6 → −11 < x < 1 2 + 3x = 2 + 3x → 0 = 0 → [−2/ 3, ∞)
→ 0 < x2 < 121 → −25 < x2 − 25 < 96 ∴ B = [−2/ 3, ∞)
→ ∴ | x2 − 25 | < 96 2
ดังนัน้ ตอบ B ∩ A ' = B − A = [− , 0)
(43) −5 < x − 1 < 5 → −4 < x < 6 3
2
และ −4 < y − 2 < 4 → −2 < y < 6 (46) 8 x + 2 − 14 x + 2 + 3 = 0
ดังนัน้ −6 < x + y < 12 → ∴ |x + y| ∈ [0, 12) → (2 x + 2 − 3)(4 x + 2 − 1) = 0
(44.1) |x|2 − 6|x| + 8 = 0 → 3 1
→ x +2 = หรือ
2 4
(|x | − 4)(| x | − 2) = 0 → |x | = 2 หรือ 4
3 3 1 1
→ x ∈ {−2 + , −2 − , − 2 + , − 2 − }
ตอบ {2, −2, 4, −4} 2 2 4 4
(44.2) ข้อนี้แบ่งช่วงย่อยดังนี้ ∴ ผลบวกคําตอบคือ −8
ก. ข. ค. (47) ** เนือ่ งจากทัง้ สองข้างเป็นบวกเสมอ จึง
-1 1 สามารถยกกําลังสองทั้งสองข้างได้
ก. เมื่อ x < −1 จะได้ A; ยกกําลังสอง 2 ข้างแล้วย้ายมาลบกัน
−x + 1 − x − 1 = 2 → −2x = 2 → x = − 1 → ∅ (x2 + 3x + 3)2 − (2x + 3)2 = 0 →
ข. เมื่อ −1 < x < 1 จะได้ (x2 + 3x + 3 − 2x − 3)(x2 + 3x + 3 + 2x + 3) = 0 →
−x + 1 + x + 1 = 2 → 2 = 2 → [−1, 1) (x2 + x)(x2 + 5x + 6) = 0 →
ค. เมื่อ x > 1 จะได้ x(x + 1)(x + 2)(x + 3) = 0
x − 1 + x + 1 = 2 → 2x = 2 → x = 1 → {1} ∴ A = {0, −1, −2, −3}
∴ ตอบ [−1, 1] ต่อมาคิด B; |5 − 3x| = |2x + 4|
(44.3) ข้อนี้แบ่งช่วงย่อยดังนี้ (การย้ายส่วนขึน้ มาคูณ อย่าลืมเงือ่ นไขว่าส่วนห้าม
ก. ข. ค. เป็น 0 นัน่ คือ x ห้ามเป็น -2 ด้วย)
3 4 ยกกําลังสอง 2 ข้างแล้วย้ายมาลบกัน เหมือนเดิม
ก. เมื่อx < 3 จะได้ (5 − 3x)2 − (2x + 4)2 = 0 →
−x + 4 − x + 3 = 1 → −2x = − 6 → x = 3 → ∅ (5 − 3x − 2x − 4)(5 − 3x + 2x + 4) = 0 →
ข. เมื่อ3 < x < 4 จะได้ (1 − 5x)(9 − x) = 0 → ∴ B = {9}
−x + 4 + x − 3 = 1 → 1 = 1 → [3, 4) (โจทย์บอกให้เป็นจํานวนเต็มเท่านั้น)
ค. เมื่อ x > 4 จะได้ จะได้ A ∪ B = {0, −1, −2, −3, 9} →
x − 4 + x − 3 = 1 → 2x = 8 → x = 4 → {4} a = 9, b = −3 → a2 + b2 = 90
∴ ตอบ [3, 4]

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 55 ระบบจํานวนจริง

(48) ถอดค่าสัมบูรณ์ได้ 2 กรณีคอื x < 0 กับ (49.4) แยกช่วงย่อย ก. เมือ่ x < 1 จะได้
x > 0 แต่พบว่า x < 0 ไม่ได้ เพราะขวามือจะติด 3 3
<x → <x →
ลบ ... จึงเหลือแค่กรณี x > 0 เท่านัน้ − x + 1 − 2 − x −1
3 3 + x2 + x
(โดยที่จริงแล้ว x ≠ 0 เพราะ 00 ไม่นิยาม) −x<0 → <0 →
1 −x − 1 −x − 1
2 x2
→ ( x)x = x3 → x 2 = x3 x2 + x + 3
> 0 → x + 1 > 0 → x > −1
1 2 x +1
ก. มองเฉพาะเลขชี้กําลัง x = 3 →
2 → (−1, 1)
x2 = 6 → x = 6 ข. เมื่อx > 1 จะได้
ข. มองว่าฐานของเลขยกกําลัง x = 1 ก็ได้ เพราะ 3 3
<x → −x <0 →
x − 1−2 x −3
1 ยกกําลังอะไรก็ได้ 1 เท่ากัน ∴ ตอบ {1, 6} 3 − x2 + 3x x2 − 3x − 3
(หมายเหตุ โจทย์ข้อนี้ควรจะใช้เรือ่ ง log ช่วยคิด) 0 → 0 →
x−3 x−3
(49.1) แยกช่วงย่อยเหมือนข้อ 44, 45 ก็ได้ 3 + 21 3 − 21
(x − )(x − )
ก. เมื่อ x < 1/2 จะได้ 2 2 > 0 (แยกด้วยสูตร)
−2x + 1 < 3x + 2 → −1 < 5x → x > − 1/5 (x − 3)
→ (−1/5, 1/2) แล้วเขียนเส้นจํานวน โดยคิดว่า 21 ≈ 4 กว่าๆ
ข. เมื่อ x > 1/2 จะได้ จะได้ [ 3 − 21 , 3) ∪ [ 3 + 21 , ∞) อินเตอร์เซคกับ
2 2
2x − 1 < 3x + 2 → −3 < x → x > − 3 → [1/2, ∞)
∴ ตอบ (−1/5, ∞) เงื่อนไขช่วง ได้เป็น [1, 3) ∪ [ 3 + 21 , ∞)
2
[ หมายเหตุ ข้อนี้ใช้วิธียกกําลังสอง 2 ข้างเหมือนข้อ 3 + 21
47 ก็ได้ จะไวกว่า.. แต่จะต้องไม่ลืมเงื่อนไขว่า ฝั่ง ∴ ตอบ (−1, 3) ∪ [ 2 , ∞)
ขวาต้อง > 0 เสมอ (คือ x > -2/3) ] (49.5) ให้ A แทน x จะได้อสมการกลายเป็น
(49.2) นอกค่าสัมบูรณ์เป็นตัวเลข จึงแก้แบบนี้ได้ A
<2 →
A
−2<0 →
−6 < x − 2 < −3 หรือ 3 < x − 2 < 6 A −1 A−1
−4 < x < −1 5 < x < 8 A − 2A + 2 A−2
0 → 0
A−1 A −1
∴ ตอบ (−4, −1) ∪ (5, 8)
เขียนเส้นจํานวนได้เป็น A ∈ (−∞, 1) ∪ [2, ∞)
(49.3) จาก x + 1 > 0 แยกช่วงย่อยคิด แต่ A จะต้องมากกว่าหรือเท่ากับ 0 เท่านั้น
|x|
ก. เมื่อ x < 0 จะได้ นั่นคือ A ∈ [0, 1) ∪ [2, ∞) เท่านั้น
1 x2 − 1 และจะได้ x ∈ (−∞, −2] ∪ (−1, 1) ∪ [2, ∞) นั่นเอง
x− > 0 → > 0
x x ∴ ตอบ (−∞, −2] ∪ (−1, 1) ∪ [2, ∞)
(x − 1)(x + 1) [ หมายเหตุ อสมการนี้จะคิดโดยแยก 2 ช่วงย่อยก็
> 0 เขียนเส้นจํานวนได้เป็น
x
ได้ คือ x > 0 และ x < 0 แต่ไม่จําเป็นต้องทํา
(−1, 0) ∪ (1, ∞) นําไปอินเตอร์เซคเงื่อนไขได้ (−1, 0)
แบบนั้นเพราะในโจทย์มีคา่ สัมบูรณ์เพียงแบบเดียว ]
ข. เมื่อ x >0 จะได้ (50) A; แยกช่วงย่อย ก. เมื่อ x < −2 จะได้
1 x2 + 1 −x − 2
x+ > 0 → > 0 + x − 4 < 0 → −x − 2 + 2x − 8 < 0 →
x x 2
(ด้านบนแยกตัวประกอบไม่ออก) เขียนเส้นจํานวนได้ x − 10 < 0 → x < 10 → (−∞, −2)
เป็น (0, ∞) นําไปอินเตอร์เซคเงื่อนไขได้ (0, ∞) x > −2 จะได้
ข. เมื่อ
ฉะนั้น คําตอบในส่วนนีค้ ือ (−1, 0) ∪ (0, ∞) x +2
+ x − 4 < 0 → x + 2 + 2x − 8 < 0 →
ต่อมา จาก x2 − x − 2 < 0 → (x − 2)(x + 1) < 0 2
3x − 6 < 0 → x < 2 → [−2, 2]
เขียนเส้นจํานวนได้คําตอบเป็น (−1, 2)
ดังนัน้ A = (−∞, 2]
สรุปคําตอบของข้อนี้
x ∈ (−1, 0) ∪ (0, ∞) และ x ∈ (−1, 2)
[ หมายเหตุ อสมการนี้ถ้าย้าย x ไปลบทางขวา ก็จะ
เห็นว่าใช้วธิ ียกกําลังสองทัง้ 2 ข้าง แบบข้อ 47 ได้ ]
เชื่อมด้วยคําว่า “และ” แปลว่า อินเตอร์เซค
ได้คําตอบ x ∈ (−1, 0) ∪ (0, 2)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 56 ระบบจํานวนจริง

B; แยกช่วงย่อย ก. เมือ่ x < 7 จะได้ (53.2) คิดเช่นเดียวกับข้อทีแ่ ล้ว คือ


7 7
x < −x + 7 → 2x < 7 → x < → (−∞, ) นํา −10 + 8 = −1 ลบออก
2 2 2
x > 7 จะได้
ข. เมื่อ จะได้ x + 1 < −9
หรือ x + 1 > 9
x < x − 7 → 0 < −7 → ∅ → | x + 1 | > 9 นั่นคือ a = 1, b = 1, c = 9
7 (54.1) เนื่องจากเป็นบวกทั้งสองข้าง ไม่จาํ เป็นต้อง
ดังนัน้ B = (−∞, )
2
ใช้วิธีแยกช่วงย่อย แต่สามารถยกกําลังสองได้เลย
A ∩ B = (−∞, 2] ... ตอบ (A ∩ B) ' = (2, ∞) ดังนี้
(51) คิดทีละซีก คือ (3x + 2)2 < (4x + 1)2 → (3x + 2)2 − (4x + 1)2 < 0
2x < |4x + 5| และ |4x + 5| < 10 → (3x + 2 − 4x − 1)(3x + 2 + 4x + 1) < 0 →
จาก 2x < |4x + 5| ใช้วิธีแยกช่วงย่อย (−x + 1)(7x + 3) < 0 → (x − 1)(7x + 3) > 0
ก. เมื่อ x < −5/ 4 จะได้ เขียนเส้นจํานวนได้คําตอบเป็น (−∞, − 3) ∪ (1, ∞)
2x < − 4x − 5 → 6x < − 5 → x < − 5/6 7

อินเตอร์เซคกับเงือ่ นไขช่วงแล้วได้ (−∞, −5/ 4)


(54.2) เนื่องจากตัวส่วนมีค่าสัมบูรณ์จึงเป็นบวก
เสมอ สามารถคูณย้ายไปไว้ทางขวาได้ทันที และ
ข. เมื่อ x > −5/4 จะได้ จากนั้นยังสามารถยกกําลังสองได้ (เหมือนข้อที่แล้ว)
2x < 4x + 5 → −5 < 2x → x > − 5/2
(แต่ต้องไม่ลืมเงือ่ นไขตัวส่วน คือ x ห้ามเป็น -1)
อินเตอร์เซคกับเงือ่ นไขช่วงแล้วได้ [−5/ 4, ∞) (x − 2)2 < (2x + 2)2 → (x − 2)2 − (2x + 2)2 < 0 →
ดังนัน้ ซีกแรกได้คําตอบรวมกันเป็น x ∈ R (x − 2 − 2x − 2)(x − 2 + 2x + 2) < 0 →
ต่อมา จาก |4x + 5| < 10 จะได้ (−x − 4)(3x) < 0 → 3(x + 4)(x) > 0
−10 < 4x + 5 < 10 → −15 < 4x < 5 เขียนเส้นจํานวนได้คําตอบเป็น (−∞, −4) ∪ (0, ∞)
−15/ 4 < x < 5/4 (54.3) คิดทีละซีก คือ
15 5 |x − 7| < 5 และ |5x − 25| > 5
ดังนัน้ สองซีกอินเตอร์เซคได้เป็น A = [− , ]
4 4
ก. จาก |x − 7| < 5 จะได้ −5 < x − 7 < 5
(51.1) ถูกเสมอ เพราะ A เป็นช่วงต่อเนือ่ ง
นั่นคือ 2 < x < 12
( a + b ∈ A เสมอ) ข. จาก |5x − 25| > 5 จะได้
2
5 15 10 5x − 25 > 5 หรือ 5x − 25 < −5
(51.2) + (− ) = − ∈A ถูก
4 4 4 นั่นคือ x > 6 หรือ x < 4
(52) A ; − 14 < x2 − 2 < 14
นํา ก. อินเตอร์เซค ข. ได้คําตอบ (2, 4) ∪ (6, 12)
−12 < x2 < 16 0 < x2 < 16
คือ (54.4) แยกช่วงย่อยเป็น 4 ช่วง
∴− 4 < x < 4 → A = (−4, 4)
ก. เมื่อ x < 1 จะได้
1 1− x x−1 −x + 1 − x + 3 < −x + 5 → −1 < x → (−1, 1)
B; −1> 0 → > 0 → < 0
x x x
ข. เมื่อ1 < x < 3 จะได้
เขียนเส้นจํานวนได้คําตอบเป็น B = (0, 1)
x − 1 − x + 3 < −x + 5 → x < 3 → [1, 3)
∴ A ∩ B ' = A − B = (−4, 0] ∪ [1, 4)
ค. เมื่อ 3< x < 5 จะได้
คําตอบคือ มีจาํ นวนเต็มอยู่ 7 จํานวน x − 1 + x − 3 < −x + 5 → x < 3 → ∅
(53.1) เทคนิคการคิดคือ ง. เมื่อ x >5 จะได้
นํา −4 + 1 = − 3 ลบออกทุกส่วนของอสมการ x − 1 + x − 3 < x − 5 → x < −1 → ∅
2 2
∴ รวมกันทุกช่วงย่อยแล้วได้คาํ ตอบ (−1, 3)
เพื่อให้ตวั เลขทางซ้ายและทางขวาเป็นเลขเดียวกัน
(54.5) ข้อนี้สามารถย้ายส่วนขึน้ ไปคูณทางขวาแล้ว
จะได้ −4 + 3 < x + 3 < 1 + 3 → ยกกําลังสองทั้ง 2 ข้าง เพือ่ ทําผลต่างกําลังสอง แบบ
2 2 2
5 3 5 ข้อ 54.1, 54.2 ได้เลย.. โดยต้องไม่ลืมเงื่อนไขตัว
− < x+ < → − 5 < 2x + 3 < 5
2 2 2 ส่วน คือ x ห้ามเป็น -2 กับ 1
→ | 2x + 3 | < 5 นั่นคือ a = 2, b = 3, c = 5 แต่ถ้าต้องการคิดแบบตรงๆ จะได้แบบนี้ครับ..
x2 − 5x − 4 x2 − 5x − 4
2
> 1 หรือ 2
< −1
x +x−2 x +x−2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 57 ระบบจํานวนจริง

x2 − 5x − 4 (57) พิจารณาจากเลขหลักหน่วย คือ


ก. จาก > 1 จะได้
x2 + x − 2 93 ⋅ 82 → 9 ⋅ 4 → 6 ดังนั้น เศษ = 1
x2 − 5x − 4 − x2 − x + 2 หรือจะคิดจากทฤษฎีเศษก็ได้ คือ
>0 →
x2 + x − 2 เราพบว่า (4x − 1)3(58x − 2)2 หารด้วย x ย่อม
(−6x − 2) (3x + 1)
>0 → <0 เหลือเศษเท่ากับ (−1)3 ⋅ (−2)2 = −4 เสมอ
(x + 2)(x − 1) (x + 2)(x − 1)
→ ถ้าแทน x ด้วย 5 ก็จะได้ว่า (19)3(288)2
เขียนเส้นจํานวนได้คําตอบ (−∞, −2) ∪ [−1/ 3, 1)
2
หารด้วย 5 เหลือเศษ −4 ด้วย ... และเศษ −4
ข. จาก x 2 − 5x − 4 < −1 จะได้ สําหรับตัวหารเป็น 5 ก็จะหมายถึงเศษ 1
x +x −2
2 2
x − 5x − 4 + x + x − 2
(58) การเขียนผลรวมเชิงเส้น ต้องหา ห.ร.ม. ด้วย
2
<0 → วิธีของยุคลิดก่อน ดังนี้
x +x−2
2(x − 3)(x + 1)
<0
252=34(7)+14 .....(ก) 34=14(2)+6 .....(ข)
(x + 2)(x − 1) 14=6(2)+2 .....(ค) 6=2(3) (ห.ร.ม. เท่ากับ 2)
เขียนเส้นจํานวนได้คําตอบ (−2, −1] ∪ (1, 3] จากนั้นย้ายข้างสมการ ก,ข,ค ให้อยู่ในรูป เศษ=.......
ข้อ ก. และ ข. เชื่อมด้วยคําว่า “หรือ” คือยูเนียน ดังนี้ (ก) 14=252+34(-7) (ข) 6=34+14(-2)
ดังนัน้ คําตอบคือ (−∞, −1] ∪ [−1/ 3, 3] − {−2, 1} (ค) 2=14+6(-2) แล้วแทน (ข) ใน (ค) จะได้
(55) มีค่าสัมบูรณ์ซอ้ นกัน พิจารณาชัน้ ในสุดก่อน 2 =14+(34+14(-2))(-2) =14(5)+34(-2)
ก. เมื่อ x < 0 จะได้สมการโจทย์กลายเป็น แทนด้ ว ย (ก) ลงไปอี ก จะได้
|− x − 3| < |x − 2|
2 =(252+34(-7))(5)+34(-2) =252(5)+34(-37)
ยกกําลังสองทั้ง 2 ข้างแล้วย้ายมาลบกัน ดังนัน้ ตอบว่า 2 = 252(5) + 34(-37)
(− x − 3)2 < (x − 2)2 → (− x − 3)2 − (x − 2)2 < 0 →
(59) วิธีเดียวกับข้อที่แล้ว หา ห.ร.ม.ก่อน
(− x − 3 − x + 2)(− x − 3 + x − 2) < 0 →
-504=-38(14)+28...(ก) จะได้ 28=-504+(-38)(-14)
(−2x − 1)(−5) < 0 → (2x + 1)(5) < 0
-38=28(-2)+18....(ข) จะได้ 18=-38+28(2)
28=18(1)+10....(ค) จะได้ 10=28+18(-1)
ได้เป็น x < − 1/2 อินเตอร์เซคกับเงือ่ นไขได้ช่วงเดิม 18=10(1)+8....(ง) จะได้ 8=18+10(-1)
ข. เมื่อ x > 0 จะได้สมการโจทย์กลายเป็น 10=8(1)+2.... (จ) จะได้ 2=10+8(-1)
|x − 3| < |x − 2|
และ 8=2(4) (ห.ร.ม. คือ 2)
ยกกําลังสองทั้ง 2 ข้างแล้วย้ายมาลบกัน จากนั้นแทน (ง) ใน (จ) ได้ 2=10+(18+10(-1))(-1)
(x − 3)2 < (x − 2)2 → (x − 3)2 − (x − 2)2 < 0 → =10(2)+18(-1) ... แทน (ค) ลงไป
(x − 3 − x + 2)(x − 3 + x − 2) < 0 → 2 =(28+18(-1))(2)+18(-1) =28(2)+18(-3) ...
(−1)(2x − 5) < 0 → (1)(2x − 5) > 0 แทน (ข) ลงไป 2 =28(2)+(-38+28(2))(-3)
ได้เป็น x > 5/2 อินเตอร์เซคกับเงือ่ นไขได้ช่วงเดิม =28(-4)+(-38)(-3) ... สุดท้ายแทน (ก) ลงไป
สรุปรวมข้อนี้คาํ ตอบคือ (−∞, − 1/2) ∪ (5/2, ∞) 2 =(-504+(-38)(-14))(-4)+(-38)(-3)
(56.1) ก. เมื่อ x < 0 จะได้ ตอบ 2 = (-504)(-4) + (-38)(53)
(1 + x)(1 + x) > 0 → (x + 1) > 02 (60) x ⋅ 128 = 16 ⋅ 384 → x = 48
ซึ่งเป็นจริงเสมอยกเว้นที่ x = −1 (61) ห.ร.ม. คือ 9 = 3 × 3
(จะเขียนเส้นจํานวนเพื่อหาคําตอบก็ได้) ค.ร.น. คือ 28,215 = 3 × 3 × 5 × 11 × 57
ดังนัน้ คําตอบของช่วงนีค้ ือ (−∞, −1) ∪ (−1, 0) ทั้ง x และ y ต้องหาร 9 ลงตัว ดังนั้น
ข. เมื่อ x > 0 จะได้ x = 3 × 3 × 5 × 11 = 495
(1 − x)(1 + x) > 0 → (x − 1)(x + 1) < 0 y = 3 × 3 × 57 = 513

เขียนเส้นจํานวนได้คําตอบเป็น (−1, 1) (62) จํานวนเฉพาะสัมพัทธ์ แสดงว่า ห.ร.ม. = 1


∴ x y = 1 ⋅ 15,015 = 3 × 5 × 7 × 11 × 13
และนําไปรวมกับเงื่อนไขช่วง ได้เป็น [0, 1)
x มีตัวประกอบ 2 ตัว และ 80 < x < 200
สรุปรวมข้อนีต้ อบว่า (−∞, −1) ∪ (−1, 1)
(56.2) คิดวิธีเดียวกันกับข้อที่แล้วก็ได้ หรือจะใช้ ดังนัน้ x = 13 × 7 หรือ x = 13 × 11 เท่านั้น
คําตอบเดิมมาคิดก็จะรู้ว่า คําตอบคือ (1, ∞) ก็จะได้ y = 3 × 5 × 11 = 165 หรือ
y = 3 × 5 × 7 = 105
(จุด x = −1 และ 1 เราไม่นํามาตอบ
เพราะเป็นจุดทีท่ าํ ให้ (1 − |x|)(1 + x) เป็นศูนย์)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 58 ระบบจํานวนจริง

eÃ×èo§æ¶Á
ถ้าไม่มีเครื่องคํานวณ จะหาค่ารากที่สองได้อย่างไร..
(1)
5 14 . 00 00
(1) สมมติว่า จะถอดรากที่สองของ 514
เริ่มต้น ให้แบ่งตัวเลขในจํานวน 514 ออกเป็นกลุ่มๆ ทีละ 2 ตัว โดยวัดจาก (2)
จุดทศนิยมมาทางซ้าย ได้แก่ 14 และ 5 (หลักหน่วยอยู่กับสิบ หลักร้อยอยู่กับพัน 2
หลักหมื่นอยู่กับแสน ไปเรื่อยๆ) และวัดทศนิยมไปทางขวากลุ่มละ 2 ตัวเช่นกัน 2 5 14 . 00 00
(โจทย์ข้อนี้ไม่มีทศนิยมจึงใส่ 00 และ 00 ไปเรื่อยๆ)
(3) 2
(2) หาจํานวนนับที่คูณตัวเองแล้วได้ใกล้เคียงกลุ่มแรก (คือ 5) ที่สุด 2 5 14 . 00 00
(แต่ไม่เกิน 5) นั่นคือ 2 คูณ 2 ... ก็ใส่ 2 ไว้ที่ช่องตัวหาร กับช่องผลลัพธ์ 4
1
(3) จาก 2 คูณ 2 ได้ 4 ... ใส่ผลคูณคือ 4 ไว้ใต้เลข 5 แล้วนํามาลบกัน เหลือ 1 (4) 2
2 5 14 . 00 00
(4) นําผลลัพธ์ที่ได้ในขณะนี้ (บรรทัดบนสุด) คือ 2 มาคูณสองกลายเป็น 4 4
ใส่ไว้ที่ช่องตัวหารด้านหน้า ... แล้วดึงเลขกลุ่มถัดไปลงมา (คือ 14) กลายเป็น 114 4 1 14

(5) ต่อมาให้หาค่า x ซึ่งทําให้ 4x คูณ x ได้ใกล้เคียง 114 ที่สุด (แต่ไม่เกิน 114) (5) 2 2 .
... เช่น 41 คูณ 1 ได้ 41, 42 คูณ 2 ได้ 84, 43 คูณ 3 ได้ 129 (เกิน) 2 5 14 . 00 00
ดังนั้น ต้องใช้ 42 คูณ 2 ... ใส่ 2 ไว้ที่ตัวหาร (ต่อท้าย 4) และใส่ 2 ไว้ช่อง 4
ผลลัพธ์ด้วย จากนั้น 42 คูณ 2 ได้ 84 เอาไปตั้งลบออกจาก 114 (เหลือ 30) 42 1 14
84
(6) ทําเช่นเดียวกับข้อ (4) และ (5) ไปเรื่อยๆ 30
คือ เอาผลลัพธ์ในขณะนี้ (22) มาคูณสองกลายเป็น 44 ใส่ไว้ช่องตัวหาร (6) 2 2 .
และดึงกลุ่มถัดไป (คือ 00) ลงมาต่อท้าย 30 กลายเป็น 3000 2 5 14 . 00 00
4
(7) หาค่า x ซึ่งทําให้ 44x คูณ x ได้ใกล้เคียง 3000 ที่สุด 42 1 14
(แต่ไม่เกิน 3000) ... พบว่า ต้องใช้ 446 คูณ 6 84
ใส่ 6 ไว้ที่ตัวหาร (ต่อท้าย 44) และใส่ 6 ไว้ช่องผลลัพธ์ 44 30 00
จากนั้น 446 คูณ 6 ได้ 2676 เอาไปตั้งลบออกจาก 3000 (เหลือ 324) (7) 2 2 . 6
2 5 14 . 00 00
(8) เอาผลลัพธ์ในขณะนี้ (226) มาคูณสองเป็น 452 ใส่ไว้ช่องตัวหาร 4
และดึงกลุ่มถัดไป (คือ 00) ลงมาต่อท้าย 324 กลายเป็น 32400 42 1 14
หาค่า x ซึ่งทําให้ 452x คูณ x ได้ใกล้เคียง 32400 ที่สุด (แต่ไม่เกิน 32400) ... 84
พบว่า ต้องใช้ 4527 คูณ 7 ... ใส่ 7 ไว้ที่ตัวหาร (ต่อท้าย 452) และใส่ 7 ไว้ 446 30 00
ช่องผลลัพธ์ จากนั้น 4527 คูณ 7 ได้ 31689 เอาไปตั้งลบออกจาก 32400 ... 26 76
ทําไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้คําตอบที่มีจาํ นวนทศนิยมเท่าที่ต้องการ 3 24

(8) 2 2 . 6 7
สรุปว่า รากที่สองของ 514 มีค่าประมาณ 22.67...
2
5 14 . 00 00
4
ข้อสังเกต จํานวนหลักของคําตอบ จะเท่ากับจํานวนกลุ่มที่แบ่งในโจทย์ 42 1 14
เช่น 514 แบ่งได้ 2 กลุ่ม คือ 5,14 ดังนั้นคําตอบจะมี 2 หลัก (ไม่รวมทศนิยม) 84
หรือถ้าเป็น 903601 แบ่งได้ 3 กลุ่ม คือ 90,36,01 คําตอบก็จะมี 3 หลัก... 446 30 00
26 76
อ่านแล้วทดลองถอดรากที่สองเองดูสิครับ 4527 3 24 00
อย่างเช่น หารากที่สองของ 225, รากที่สองของ 3000, รากที่สองของ 214.7 3 16 89
.... ....
ตรวจสอบคําตอบกับเครื่องคํานวณ ถ้าตรงกันแสดงว่ารู้หลักในการคิดแล้ว :]

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 59 ตรรกศาสตร

~ ∧ → lgc

º··Õè 3 µÃáÈÒʵÏ
ตรรกศาสตร์ (Logic) เป็นวิชาเกี่ยวกับการใช้
เหตุผลเพื่อวิเคราะห์ค่าความจริง (จริงหรือเท็จ) ของ
ประโยคต่างๆ ความเข้าใจในตรรกศาสตร์เบื้องต้นจะ
ช่วยให้ศึกษาวิชาคณิตศาสตร์ได้อย่างมีเหตุผล
ประโยคทุกประโยคที่มี ค่าความจริง (Truth Value) เป็นจริงหรือเป็นเท็จอย่างใดอย่างหนึ่ง
เราจะเรียกว่า ประพจน์ (Proposition หรือ Statement) ดังนั้นประพจน์อาจเป็นประโยคบอกเล่า,
ประโยคปฏิเสธ เช่น “เมื่อวานฝนตกที่บางกะปิ”, “1 มากกว่า 2”, “เก่งไม่ใช่คนร้าย” เหล่านี้ถือเป็น
ประพจน์ เพราะสามารถให้ค่าความจริงกํากับว่าเป็นจริงหรือเป็นเท็จได้
แต่ประโยคคําถาม ประโยคคําสั่ง ขอร้อง ประโยคแสดงความปรารถนา ประโยคอุทาน
เหล่านี้ไม่ใช่ประพจน์เพราะไม่สามารถให้ค่าความจริงได้ เช่น “กรุณางดใช้เสียง”, “ใครเป็นคนทําแก้ว
แตก”, “อยากไปเที่ยวหัวหินจังเลย” หรือ “โอ้โห วิเศษไปเลยจอร์จ”
S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S
»Ãao¤·Õè´ÙeËÁ×o¹e»š¹»Ãa¾¨¹ ºÒ§¤Ãa駡çäÁ‹e»š¹»Ãa¾¨¹ ... eª‹¹
1. “ÊÁÈÃÕÊÇ·ÕèÊu´ã¹«o” eÃ×èo§¤ÇÒÁÊǹaé¹e»š¹eªi§¨iµÇiÊa äÁ‹ÊÒÁÒö¿˜¹¸§ä´ŒÇ‹Ò¨Ãi§ËÃ×oe·ç¨ ¨Ö§äÁ‹e»š¹»Ãa¾¨¹!
2. “e¢Ò¡íÒÅa§¡i¹¢ŒÒǔ oa¹¹Õé¡çäÁ‹e»š¹»Ãa¾¨¹ e¾ÃÒaäÁ‹ä´Œe¨Òa¨§Ç‹Ò “e¢Ò” ËÁÒ¶֧ã¤Ã ´a§¹aé¹oÒ¨¨a¨Ãi§ËÃ×oe·ç¨¡ç䴌 äÁ‹æ¹‹ª´a
(eÃÕ¡»Ãao¤·Õèµi´µaÇæ»Ã溺¹ÕéÇ‹Ò »Ãao¤e»´ ¨a䴌ÈÖ¡ÉÒã¹ËaÇ¢Œo 3.4 ¤Ãaº..)

สัญลักษณ์ที่ใช้แทนประพจน์ต่างๆ เป็นตัวอักษรเล็ก เช่น p, q, r โดยแต่ละประพจน์จะมีค่า


ความจริงที่เป็นไปได้ 2 แบบเท่านั้น คือเป็น จริง (True; T) หรือเป็น เท็จ (False; F)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 60 ตรรกศาสตร

3.1 ตัวเชื่อมประพจน์ และตารางค่าความจริง


ในชีวิตประจําวันรวมทั้งในวิชาคณิตศาสตร์ เรามักพบการเชื่อมประโยค (ประพจน์) ด้วย
ตัวเชื่อม (Connectives)... และ (and), หรือ (or), ถ้า-แล้ว (if-then), ก็ต่อเมื่อ (if and only if)
และยังพบการเติมคําว่า ไม่ (not) ด้วย... ซึ่งการเชื่อมแต่ละแบบ ส่งผลต่อค่าความจริงดังตาราง
เครื่องหมาย ~ เรียกว่า นิเสธ (Negation) ใช้เพื่อกลับค่าความจริงให้เป็นตรงข้าม

p และ q p หรือ q ถ้า p แล้ว q p ก็ต่อเมื่อ q ไม่ p


p q (p ∧ q ) (p ∨ q ) (p → q ) (p ↔ q ) (~p )
T T T T T T F
T F F T F F F
F T F T T F T
F F F F T T T

การเชื่อมด้วย และ มีกรณีเดียวที่เป็นจริง คือ T ∧ T


การเชื่อมด้วย หรือ มีกรณีเดียวที่เป็นเท็จ คือ F ∨ F
การเชื่อมด้วย ถ้า-แล้ว มีกรณีเดียวที่เป็นเท็จ คือ T → F
ส่วนการเชื่อมด้วย ก็ต่อเมื่อ ถ้าค่าความจริงเหมือนกันจะให้ผลเป็นจริง ต่างกันจะให้ผลเป็นเท็จ
ข้อสังเกต ตัวเชื่อมทั้งสี่นี้ มีเพียง ถ้า-แล้ว ที่ไม่สามารถสลับที่ประพจน์ได้

ตารางที่แสดงค่าที่เป็นไปได้ครบทุกแบบดังนี้ เรียกว่า ตารางค่าความจริง (Truth Table)


จํานวนแบบที่เกิดขึ้นเท่ากับ 2n เมื่อ n คือจํานวนประพจน์ ... เช่น ถ้ามี 1 ประพจน์จะเป็นไปได้ 2
แบบ, ถ้ามี 2 ประพจน์ เป็นไปได้ 4 แบบ (ดังตารางนี้), ถ้ามี 3 ประพจน์จะเป็นไปได้ 8 แบบ

รูปแบบประพจน์ 2 รูปแบบใดๆ ที่ให้ค่าความจริงตรงกันทุกๆ กรณี จะกล่าวว่ารูปแบบทั้ง


สอง สมมูลกัน (Equivalent) (แปลว่า สามารถใช้แทนกันได้) สัญลักษณ์ที่ใช้แสดงการสมมูลกัน คือ
≡ (ขีดสามขีด)
รูปแบบประพจน์ที่สมมูลกัน ที่ควรทราบได้แก่
• การแจกแจง • การเติมนิเสธ
p ∨ (q ∧ r) ≡ (p ∨ q) ∧ (p ∨ r) ~ (p ∧ q) ≡ ~p ∨ ~q
p ∧ (q ∨ r) ≡ (p ∧ q) ∨ (p ∧ r) ~ (p ∨ q) ≡ ~p ∧~q
• การเปลี่ยนตัวเชื่อม ~ (p → q) ≡ p∧~q
p→q ≡ ~p ∨ q ≡ ~q→~p ~ (p ↔ q) ≡ ~p ↔ q ≡ p↔~q
p↔q ≡ (p → q) ∧ (q → p)

สิ่งที่ควรทราบ
ตัวเชื่อม และ มีสมบัติคล้ายอินเตอร์เซคชันของเซต
ตัวเชื่อม หรือ มีสมบัติคล้ายยูเนียนของเซต
และ นิเสธ มีสมบัติคล้ายคอมพลีเมนต์ของเซต

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 61 ตรรกศาสตร

แบบฝึกหัด 3.1
(1) ให้เติมค่าความจริงหรือประพจน์ที่เหมาะสม ลงในช่องว่าง เมื่อ p เป็นประพจน์ใดๆ
T ∧p ≡ T∨p ≡ T →p ≡ T ↔p ≡
F∧p ≡ F∨p ≡ F→p ≡ F↔p ≡
p∧p ≡ p∨p ≡ p→T ≡ p↔p ≡
p ∧ ~p ≡ p ∨ ~p ≡ p →F ≡ p ↔~p ≡
p→p ≡
p →~p ≡

(2) กําหนดให้ p, r เป็นจริง และ q เป็นเท็จ จงหาค่าความจริงของ


(2.1) [(p ∧ s) ∨ (p ∧ r)] → (p ∨ s)
(2.2) [(q → s) ∨ r] ∨ [(q ↔ s) ∧ r]
(2.3) [(r ↔ q) ∨ (p → q)] → (p ∧ ~ q)
(2.4) [(p ↔ q) ∨ (q → r)] ∨ ~ s
(2.5) [(q → p) ∧ r] ↔ ~ (~ r)
(2.6) [(p ∧ q) → ~ r] → [(~ p ∨ q) ↔ r]
(2.7) [(p ∧ ~ q) ∨ ~ r] ↔ [(p → q) ∧ (~ q → r)]
(2.8) [(p ∧ q) ∧ ~ r] ∧ [(r ∨ ~ s) ∧ (~ p ∨ ~ q)]
(2.9) [p → (q ∧ r)] ∧ [(q → p) ∨ r]
(2.10) [q → (p ∨ r)] → [p → (q ∧ ~ r)]
(2.11) [(~ p → ~ q) ∧ (~ r → ~ s)] ∨ [(~ p → r) ∧ (s → ~ q)]
(3) จงหาค่าความจริงของรูปแบบประพจน์ต่อไปนี้
(3.1) (p ∨ ~ q) → (p → q) เมื่อ q เป็นจริง
(3.2) (p ∨ ~ q) → (p → q) เมื่อ p เป็นเท็จ
(3.3) (~ r ∧ p) ∨ (~ (r ∨ s) ∧ (r ∨ ~ q)) เมื่อ p, q เป็นจริง และ r, s เป็นเท็จ
(3.4) (p → q) ∧ (s → p) ∧ (s → q) เมื่อ p, r, r → q เป็นจริง
(3.5) (~ q ∧ (p ∨ r)) → (~ r) เมื่อ p → q เป็นเท็จ, q ∨ r เป็นจริง
(3.6) n → [(m ∨ q) → ~ s] เมื่อ q → n เป็นเท็จ
(3.7) (p ∨ r) ∧ q เมื่อ p → q เป็นเท็จ, q ∨ r เป็นจริง
(3.8) (q ∨ p) → (r ∧ s) เมื่อ (p → q) ∧ (r ∨ s) เป็นจริง, q ∨ s เป็นเท็จ
(3.9) [Ent’25] r → s เมื่อ (p ∨ r) → (q ∨ s) เป็นเท็จ, p → q เป็นจริง
(3.10) (p ∨ r) → ~ q เมื่อ (p ∧ ~ r) → (p → q) เป็นเท็จ
(3.11) p, q, r เมื่อ (p ∧ q) → (p → r) เป็นเท็จ
(3.12) r เมื่อ p ∧ (p ↔ ~ r) ∧ (q → r) เป็นจริง
(3.13) ((p ∧ ~ q) → ~ p) → (p → q)
(3.14) ⎣⎡[p ∨ ~ (r ∧ s)] ∧ ~ p⎤⎦ → (~ r ∨ ~ s)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 62 ตรรกศาสตร

(4) กําหนดให้ [(p → q) ∧ (p ∨ r)] → (s → r) เป็นเท็จ ข้อใดถูกหรือผิดบ้าง


ก. [(p ↔ q) ∧ (q ↔ r)] ∨ (r ↔ s) เป็นเท็จ
ข. [(~ p ∧ q) → (~ q ∧ r)] → (~ r ∧ s) เป็นจริง
(5) ถ้า [(p ↔ q) → (r ∨ ~ s)] มีค่าความจริงเป็นเท็จ จงพิจารณาว่ารูปแบบประพจน์ในข้อใดมีค่า
ความจริงเหมือนกับ [(~ p ∧ r) → (q ∨ ~ s)] บ้าง
ก. ~ (p ∧ s) → ~ r ข. r ↔ (p ∧ ~ q) ค. (s → r) ∨ (p → q)
(6) ถ้า p สมมูลกับ q และ r ไม่สมมูลกับ s พิจารณาข้อความใดถูกหรือผิดบ้าง
ก. [(p ↔ ~ q) ∨ (r ↔ ~ s)] ↔ [(~ p ∧ q) ∨ (~ r ∨ ~ s)] เป็นเท็จ
ข. [(p ∨ r) ∧ (q ∨ s)] → [(p ∨ ~ q) ↔ (r → ~ s)] เป็นจริง
(7) จงหานิเสธของ
ก. (p → ~ q) ∧ (~ r → s) ข. (p ∧ ~ q) → ~ r

(8) กําหนดประพจน์ “ถ้าเดชาขยันและทําการบ้านสม่ําเสมอแล้วเขาจะสอบผ่าน” เป็นเท็จ แล้วข้อใด


เป็นจริง
ก. เดชาขยันแต่ไม่ทําการบ้านสม่ําเสมอ
ข. เดชาไม่ขยันแต่ทําการบ้านสม่ําเสมอ
ค. ถ้าเดชาสอบไม่ผ่านแสดงว่าเขาไม่ทําการบ้านสม่ําเสมอ
ง. เดชาขยันก็ต่อเมื่อเขาสอบไม่ผ่าน
(9) ข้อใดไม่สมมูลกัน
ก. p ∨ q กับ ~ (~ p ∧ ~ q) ข. ~ (p ∧ ~ q) กับ ~ q → ~ p
ค. ~ p → (q → p) กับ ~ q → p ง. ~p ↔ q กับ (~ p → q) ∧ (q → ~ p)
(10) รูปแบบประพจน์ต่อไปนี้สมมูลกับข้อใด
(10.1) p ↔ q
ก. (p → q) ∧ (q ∧ ~ p) ข. (~ q → ~ p) ∧ (~ q ∨ p)
ค. (p ∧ ~ q) ∧ (q → p) ง. (p ∧ ~ q) ∧ (~ p → ~ q)
(10.2) ⎣⎡[((q ∧ ~ t) ∧ p) ∨ ((q ∧ ~ t) ∧ ~ p)] ∨ ~ q⎦⎤ → r
ก. q ∧ ~ t ∧ p ข. (t ∧ q) ∨ p
ค. t ∧ q ∧ r ง. (t ∧ q) ∨ r
จ. (t ∧ r) ∨ p
(10.3) [(q ∨ r) ∧ (p ∧ s) ∧ (q ∨ ~ r)] ∨ [(q ∨ ~ r) ∧ (p ∧ ~ s) ∧ (q ∨ r)]
ก. p ∧ q ข. p ∨ q
ค. p → q ง. p ↔ q
(11) ข้อความใดสมมูลกับ “ถ้า a < 0 และ b < 0 แล้ว ab > 0 ”
ก. ถ้า a > 0 หรือ b > 0 แล้ว ab < 0
ข. ถ้า a > 0 และ b > 0 แล้ว ab > 0
ค. ถ้า ab < 0 แล้ว a > 0 หรือ b > 0
ง. ถ้า ab > 0 แล้ว a < 0 และ b < 0

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 63 ตรรกศาสตร

(12) ข้อความในข้อใดสมมูลกันบ้าง
ก. ถ้า a เป็นจํานวนเต็ม แล้ว a เป็นจํานวนคู่ หรือ a เป็นจํานวนคี่
ข. ถ้า a ไม่เป็นจํานวนคู่ และ a ไม่เป็นจํานวนคี่ แล้ว a ไม่เป็นจํานวนเต็ม
ค. a ไม่เป็นจํานวนเต็ม หรือ a เป็นจํานวนคู่ หรือ a เป็นจํานวนคี่
(13) ข้อใดถูกหรือผิดบ้าง
ก. ~ (p ∧ ~ r) ∨ ~ q สมมูลกับ q → (r ∨ ~ p)
ข. p → (q → r) สมมูลกับ q → (p → r)
ค. (p ∧ q) → r สมมูลกับ (p → ~ q) ∨ (p → r)
(14) กําหนดค่าความจริงของตัวเชื่อม ∗ ดังตาราง p q p ∗q
(14.1) (p ∗ p) ∗ (q ∗ q) สมมูลกับข้อใด
T T F
ก. p ∧ q ข. p ∨ q T F F
ค. p → q ง. p ↔ q F T F
(14.2) [Ent’34] p ∗ q สมมูลกับข้อใด F F T
ก. ~ (~ p → q) ข. ~ p → q
ค. ~ (q → ~ p) ง. q → ~ p
(15) กําหนดให้ p ∗ q ≡ ~ (p ∨ q) ถามว่าอัตราส่วนจํานวนกรณีที่ p ∗ (q ∗ r) เป็นจริง ต่อจํานวน
กรณีที่เป็นเท็จ เป็นเท่าใด

3.2 สัจนิรันดร์
หากรูปแบบของประพจน์ใดให้ค่าความจริงเป็นจริงเสมอทุกๆ กรณี (สร้างตารางค่าความจริง
แล้วพบว่าเป็นจริงทุกแบบ) เราเรียกรูปแบบนั้นว่าเป็น สัจนิรันดร์ (Tautology)
• ตัวอยาง ประพจนนี้เปนสัจนิรนั ดรหรือไม
ก. (r ∨ p) → (p → r) ข. (r ∨ ~ p) ↔ (p → r)
วิธีคิด เขียนตารางแสดงคาความจริงของ p กับ r ใหครบทุกกรณีที่เปนไปได (4 กรณี)
p r r ∨ p p → r (r ∨ p) → (p → r) p r r ∨ ~ p p → r (r ∨ ~ p) ↔ (p → r)
T T T T T T T T T T
T F T F F T F F F T
F T T T T F T T T T
F F F T T F F T T T
เราพบวา ขอ ก. เกิดกรณีที่เปนเท็จไดดวย จึงไมเปนสัจนิรันดร
แตขอ ข. ผลเปนจริงทุกกรณี จึงเปนสัจนิรันดร

การตรวจสอบรูปแบบประพจน์ว่าเป็นสัจนิรันดร์หรือไม่ นอกจากจะใช้วิธีเขียนตารางค่าความ
จริงให้ครบทุกกรณีแล้ว โดยทั่วไปนิยมใช้ “วิธีพยายามทําให้เป็นเท็จ” คือถ้าหากรณีที่ทําให้รูปแบบนั้น
เป็นเท็จไม่ได้เลย รูปแบบนั้นก็จะเป็นสัจนิรันดร์ แต่ถ้าทําเป็นเท็จได้แม้เพียงกรณีเดียว รูปแบบนั้น
ย่อมไม่ใช่สัจนิรันดร์

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 64 ตรรกศาสตร

โดยเฉพาะเมื่อมีประพจน์ย่อยมากๆ (เช่น p, q, r, s, ...) การเขียนตารางให้ครบทุกกรณี


จะทําได้ไม่สะดวก ควรใช้วิธีพยายามทําให้เป็นเท็จ

• ตัวอยาง ประพจนนี้เปนสัจนิรนั ดรหรือไม


ก. (r ∨ p) → (p → r) ข. (r ∨ ~ p) ↔ (p → r)
(r ∨ p) → (p → r)
วิธีคิด ก. ใชวิธีพยายามทําใหเปนเท็จ T F
F T T F
ตัวเชื่อมหลักคือ “ถา-แลว” จะเปนเท็จได แสดงวาวงเล็บหนาตองเปนจริง และวงเล็บหลังตองเปนเท็จ
เทานั้น ... วงเล็บหลังเปนเท็จแสดงวา p ตองเปนจริง และ r ตองเปนเท็จ ... นําคาความจริงของ p
และ r ไปใสในวงเล็บหนา ไดคาเปนจริงตามที่ตองการพอดี ... แสดงวาตอนนี้เราทําใหผลเปนเท็จได
สําเร็จ (คือเปนเท็จเมื่อ p เปนจริง, r เปนเท็จ) ขอนี้จึงไมเปนสัจนิรันดร
ข. ตัวเชื่อมหลักคือ “ก็ตอเมื่อ” จะเปนเท็จได 2 แบบ คือ T ↔ F กับ F ↔ T ... การคิดดวยวิธีนี้
คอนขางยุงยาก เราควรเลี่ยงไปใชวิธีในตัวอยางถัดไป คือดูความสมมูลระหวางกอนหนาและหลัง ...
หากตัวเชื่อมหลักเป็น “หรือ”, “ถ้า-แล้ว” สามารถตรวจสอบการเป็นสัจนิรันดร์ได้โดย
พยายามทําให้เป็นเท็จ ดังกล่าวไปแล้ว แต่หากตัวเชื่อมหลักเป็น “ก็ต่อเมื่อ” ควรตรวจสอบการเป็น
สัจนิรันดร์โดยหลักการต่อไปนี้
“ , ↔ + เป็นสัจนิรันดร์ เมื่อ , ≡ + เท่านั้น”
(และถ้า , ≡ + ก็จะได้ว่า , ↔ + ไม่เป็นสัจนิรันดร์)

• ตัวอยาง ประพจนนี้เปนสัจนิรนั ดรหรือไม (r ∨ ~ p) ↔ (p → r)


วิธีคิด เนื่องจากตัวเชื่อมหลักเปน “ก็ตอเมื่อ” จึงตรวจสอบวาซายกับขวาสมมูลกันหรือไม
พบวา วงเล็บขวาคือ p → r ≡ ~ p ∨ r ≡ วงเล็บซาย ... ดังนัน้ เปนสัจนิรันดร

แบบฝึกหัด 3.2
(16) ประพจน์ต่อไปนี้เป็นสัจนิรันดร์หรือไม่
(16.1) (p ∧ q) → [(p ∨ q) → r]
(16.2) (p ∨ q) → [(p ∧ q) → r]
(16.3) [Ent’29] [(p → q) ∧ (q → r)] → (p → r)
(16.4) [(p → r) ∧ (q → r)] → [(p ∧ q) → r]
(16.5) [(p → r) ∧ (q → r)] → [(p ∨ q) → r]
(16.6) [(p → r) ∧ (q → s) ∧ (p ∧ q)] → (r ∨ s)
(16.7) [Ent’29] ⎡⎣[(p ∧ q) → r ] ∧ (p → q)⎤⎦ → (p → r)
(17) ประพจน์ต่อไปนี้เป็นสัจนิรันดร์หรือไม่
(17.1) [Ent’23] ~ (p → ~ q) ↔ (p ∧ q)
(17.2) [(~ p ∧ q) ∨ p] ↔ (p ∧ q)
(17.3) [(p ∨ q) ∧ ~ p] ↔ (~ p ∧ q)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 65 ตรรกศาสตร

(17.4) (p ↔ q) ↔ [(q ∨ ~ p) ∧ (p ∨ ~ q)]


(17.5) [(p ∧ q) → (p ∨ q)] ↔ [(~ p ∧ ~ q) → (~ p ∨ ~ q)]
(17.6) [p → (q ∧ r)] ↔ [(p → q) ∧ (p → r)]
(17.7) [Ent’29] [p → (q → r)] ↔ [(p → q) → r]
(17.8) [Ent’29] [p ↔ (q ↔ r)] ↔ [(p ↔ q) ↔ r]
(18) ประพจน์ต่อไปนี้เป็นสัจนิรันดร์หรือไม่
(18.1) [(p ∨ r) → (q ∨ r)] ∨ (p ∨ q)
(18.2) [(~ p ∧ q) → ~ p] ∨ (p → q)
(19) ประพจน์ต่อไปนี้เป็นสัจนิรันดร์หรือไม่
(19.1) นิเสธของ (p ∧ ~ p) → (q ∧ ~ q)
(19.2) นิเสธของ [p ∧ (q ∨ ~ q)] ↔ [~ p ∨ (q ∧ ~ q)]
(19.3) นิเสธของ ~ (p ↔ q) ∧ (~ p ↔ ~ q)
(20) เมื่อ p, q, r เป็นประพจน์ใดๆ ถามว่าประพจน์ในข้อใดเป็นจริงบ้าง
ก. (p → q) → (~ p ∧ ~ q)
ข. (p → q) ↔ (~ p ∨ q)
ค. ~ ((p ∨ q) ∨ r) → (~ (p ∧ q) ∧ ~ r)
ง. ((p → r) ∧ (q → r)) ↔ ((p ∧ q) → r)
จ. ((p → q) ∨ (p → r)) ↔ (p → (q ∧ r))
(21) ตัวเชื่อมในกรอบสี่เหลี่ยม ที่ทําให้ [(p → ~ q) ∧ (p → ~ r)] [p → ~ (q ∨ r)] เป็นสัจนิรันดร์
คืออะไร

3.3 การอ้างเหตุผล
การอ้างเหตุผล คือการกล่าวว่าถ้ามีเหตุเป็นข้อความ p1, p2 , p3 , ..., pn ชุดหนึ่ง แล้ว
สามารถสรุปผลเป็นข้อความ q อันหนึ่งได้ การอ้างเหตุผลมีทั้งแบบที่ สมเหตุสมผล (valid) และ ไม่
สมเหตุสมผล (invalid) ซึ่งเราสามารถตรวจสอบความสมเหตุสมผลได้โดยหลายวิธี คือ

1. ตรวจสอบสัจนิรันดร์
การอ้างเหตุผลจะสมเหตุสมผล ก็เมื่อ (p1 ∧ p2 ∧ p3 ∧ ... ∧ pn) → q เป็นสัจนิรันดร์
หรือกล่าวว่า จะไม่สมเหตุสมผลเพียงกรณีเดียวเท่านั้น คือเมื่อ “เหตุเป็นจริงทุกข้อแต่ผลเป็นเท็จ”

2. เทียบกับรูปแบบที่พบบ่อย
การอ้างเหตุผลทุกรูปแบบต่อไปนี้ สมเหตุสมผล
(1) เหตุ p → q (2) เหตุ p → q (3) เหตุ p→q (4) เหตุ p→q
p ~ q q→r r→s
ผล q ผล ~ p ผล p→r p∨r

ข้อนี้เป็นรูปแบบมาตรฐาน เพราะ p → q ≡~q→~p ผล q∨ s

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 66 ตรรกศาสตร

(5) เหตุ p∧q (6) เหตุ p S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S


ผล p ผล p∨q ¶ŒÒµÃǨÊoº¡ÒÃoŒÒ§e˵u¼Å´ŒÇÂÇi¸Õ·èÊÕ o§ ¤×oe·Õº¡aº
Ãٻ溺 æÅa¾ºÇ‹Ò¼Å·Õè䴌ÁÒ¨Ò¡Ãٻ溺eËŋҹÕéäÁ‹µÃ§¡aº·Õè
เชื่อมด้วย “และ” สามารถเติมประพจน์ใดๆ ได้ ãˌÁÒã¹o¨·Â o‹Òe¾iè§ÊÃu»Ç‹ÒäÁ‹ÊÁe˵uÊÁ¼Å¹a¤Ãaº! ...
สามารถแยกเป็นประพจน์ แต่ต้องเชื่อมด้วย“หรือ”
¨aµŒo§Ëa¹¡Åaºä»ãªŒÇi¸ÕæáµÃǨÊoº¡‹o¹¨Ö§ÊÃu»ä´Œ (e¾ÃÒa
เดี่ยวได้
oÒ¨¨aÊÁe˵uÊÁ¼Å¡ç䴌)

แบบฝึกหัด 3.3
(22) [Ent’39] การอ้างเหตุผลดังต่อไปนี้ สมเหตุสมผลหรือไม่
(22.1) เหตุ 1. p → q (22.2) เหตุ p → (r ∨ s)
2. q → s ผล ~ p ∨ (r ∨ s)
3. ~ s
ผล ~ p
(23) การอ้างเหตุผลดังต่อไปนี้ สมเหตุสมผลหรือไม่
(23.1) เหตุ 1. ถ้า x เป็นจํานวนคู่แล้ว 2 | x
2. ถ้า x เป็นจํานวนคู่และ 2 | x แล้ว x เป็นจํานวนเต็ม
3. ไม่จริงที่วา่ “x เป็นจํานวนเฉพาะและ x เป็นจํานวนเต็ม”
4. x เป็นจํานวนคู่
ผล x เป็นจํานวนเฉพาะ
(23.2) เหตุ 1. ถ้า a เป็นจํานวนตรรกยะแล้ว a ไม่เป็นจํานวนอตรรกยะ
2. a2 = 2 หรือ a2 = −1
3. ถ้า a2 = 2 แล้ว a เป็นจํานวนอตรรกยะ
4. a2 ≠ −1
ผล a เป็นจํานวนตรรกยะ
(24) จงเติมข้อความที่ทําให้การอ้างเหตุผลนี้สมเหตุสมผล
(24.1) เหตุ 1. p → (q → r) (24.2) เหตุ 1. ~ p → q
2. ~ s ∨ p 2. q → ~ r
3. q 3.
ผล ผล p
(25) จงเติมข้อความที่ทําให้การอ้างเหตุผลนี้ สมเหตุสมผล
เหตุ 1. ถ้าฉันขยัน ฉันจะไม่ตกคณิตศาสตร์
2. ฉันตกคณิตศาสตร์
ผล
(26) กําหนดเหตุให้ดังนี้
เหตุ 1. ถ้าฉันขยันแล้วฉันจะสอบได้
2. ถ้าฉันไม่ขยันแล้วพ่อแม่จะเสียใจ
3. ถ้าฉันเรียนในมหาวิทยาลัยแล้วพ่อแม่จะไม่เสียใจ
4. ฉันสอบไม่ได้
ให้หาว่าผลในข้อใดทําให้การอ้างเหตุผลสมเหตุสมผล
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 67 ตรรกศาสตร

ผล ก. ฉันไม่ได้เรียนในมหาวิทยาลัย หรือฉันขยัน
ข. ฉันเรียนในมหาวิทยาลัย และฉันขยัน
ค. พ่อแม่ฉันไม่เสียใจ และฉันไม่ได้เรียนในมหาวิทยาลัย
ง. ฉันขยัน แต่ฉันสอบไม่ได้

3.4 ประโยคเปิดและตัวบ่งปริมาณ
ประโยค “x มากกว่า 2” (หรือ “เขาไม่ใช่คนร้าย”) ไม่ใช่ประพจน์ เนื่องจากยังไม่ทราบแน่
ชัดว่ามีค่าความจริงเป็นจริงหรือเป็นเท็จ ค่าความจริงขึ้นอยู่กับว่า x เป็นจํานวนใด (หรือ “เขา” เป็น
ใคร) เช่น ถ้า x เป็น 3 ประโยคนี้จะเป็นจริง แต่ถ้า x เป็น 2 ประโยคนี้จะเป็นเท็จ เราเรียก
“ประโยคที่ยังคงติดค่าตัวแปร และเมื่อแทนค่าตัวแปรแล้วจึงกลายเป็นประพจน์” ว่า ประโยคเปิด
(Open Sentence)
สัญลักษณ์ที่ใช้แทนประโยคเปิดใดๆ (ที่ติดค่าตัวแปร x) ได้แก่ P (x), Q (x), R (x) ฯลฯ ซึ่ง
ประโยคเปิดเหล่านี้สามารถใช้ตัวเชื่อมได้เช่นเดียวกับประพจน์ p, q, r ทั่วๆ ไป

ตัวบ่งปริมาณ (Quantifier) คือข้อความที่ใช้บ่งบอกความมากน้อยของค่าตัวแปร x


มี 2 แบบได้แก่ สําหรับ x ทุกตัว (For All x; ∀x ) และ สําหรับ x บางตัว (For Some x; ∃x )
ซึ่งตัวบ่งปริมาณทั้งสองนี้เมื่อใช้ร่วมกับเอกภพสัมพัทธ์แล้ว จะทําให้ประโยคเปิดกลายเป็นประพจน์
(คือมีค่าเป็นจริงหรือเป็นเท็จ) ได้ เช่น
ให้ P (x) แทนประโยคเปิด “x มากกว่า 2”
จะได้ว่า ∀x [P (x)] แทนประโยค “สําหรับ x ทุกตัว... x มากกว่า 2”
และ ∃x [P (x)] แทนประโยค “สําหรับ x บางตัว... x มากกว่า 2”
ซึ่งถ้า U = {1,2,3} ก็จะพบว่า ∀x [P (x)] เป็นเท็จ, ∃x [P (x)] เป็นจริง
แต่ถ้า U = {3,4} แล้วจะพบว่า ∀x [P (x)] เป็นจริง, ∃x [P (x)] เป็นจริง
หมายเหตุ
1. หากไม่มีการระบุเอกภพสัมพัทธ์ ให้ถือว่าเอกภพสัมพัทธ์คือเซตจํานวนจริง R
2. สามารถแจกแจงตัวบ่งปริมาณได้เพียงสองรูปแบบนี้เท่านั้น
∀x [P (x) ∧ Q (x)] ≡ ∀x [P (x)] ∧ ∀x [Q (x)]
∃x [P (x) ∨ Q (x)] ≡ ∃x [P (x)] ∨ ∃x [Q (x)]

ประโยคเปิดที่มีสองตัวแปร เมื่อใช้ตัวบ่งปริมาณก็จะมีสองตัวเช่นกัน และการอ่านต้อง


คํานึงถึงลําดับก่อนหลัง ดังตัวอย่างนี้
ให้ P (x) แทน “x มากกว่า 2” และ Q (x, y) แทน “x+y เป็นจํานวนเฉพาะ”
จะได้ว่า ∀x∃y [P (x) ∧ Q (x, y)] แทนประโยค “สําหรับ x ทุกตัว จะมี y บางตัวที่ทาํ ให้... x
มากกว่า 2 และ x+y เป็นจํานวนเฉพาะ”
ส่วน ∃y∀x [P (x) ∧ Q (x, y)] นั้น แทนประโยค “สําหรับ y บางตัว จะมี x ทุกตัวที่ทําให้...
x มากกว่า 2 และ x+y เป็นจํานวนเฉพาะ”
ซึ่งสองประโยคนี้คนละความหมายกัน ไม่สามารถใช้แทนกันได้

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 68 ตรรกศาสตร

การหานิเสธของประโยคเปิดที่มีตัวบ่งปริมาณ นอกจากจะใส่นิเสธที่ประโยคเปิด (ภายใน


เครื่องหมายวงเล็บ) แล้ว ยังต้องเปลี่ยนตัวบ่งปริมาณ จาก ∀ เป็น ∃ และจาก ∃ เป็น ∀ ด้วย
เช่น นิเสธของ ∀x∃y [P (x) → Q (x, y)] คือ ∃x∀y [P (x) ∧ ~ Q (x, y)]

แบบฝึกหัด 3.4
(27) ให้ U = {−2, −1, 0, 1, 2} ข้อใดเป็นจริง
ก. ∀x [x เป็นจํานวนเต็ม และ x2 > 0]
ข. ∃x [x3 > x2 และ x < x2 ]
ค. ∀x [ ถ้า x เป็นจํานวนเต็มบวก แล้ว x เป็นจํานวนเฉพาะ ]
ง. ∃x [x เป็นจํานวนเฉพาะ และ x เป็นจํานวนคี่ ]

(28) กําหนด P (x) แทน “x เป็นจํานวนอตรรกยะ”, Q (x) แทน “x เป็นจํานวนตรรกยะ”


ข้อใดมีค่าความจริงเป็นเท็จ
ก. ∀x [P (x) → Q ( 2)] ข. ∃x [Q (x) → P (0.5)]
ค. ∀x [P (x) ∨ ~ Q (π)] ง. ∃x [Q (x) ∧ ~ P (22/7)]
(29) กําหนดประโยคเปิด P (x) , Q (x) ดังนี้ P (x) = x > x2 , Q (x) = x เป็นจํานวนเฉพาะ หรือ
ตัวหารร่วมที่มากที่สุดของ 3 กับ x เป็น 1 ข้อความใดถูกหรือผิดบ้าง
ก. ∀x [P (x)] เป็นจริง เมื่อ U เป็นช่วงเปิด (0, 1)
ข. ∀x [Q (x)] เป็นเท็จ เมื่อ U = {2, 3, −5, 8}
(30) จงหาค่าความจริงของ ∃x (x3+5x − 1 < 4) ∧ ∀x ( x2− 1 < 0 → x > −2)

(31) ให้เอกภพสัมพัทธ์เป็นเซตของจํานวนนับ N ถามว่าประพจน์ต่อไปนี้มีค่าความจริงเป็นอย่างไร


2
[∃x (x2− 1 เป็นจํานวนนับ ) ∧ ∀x (x + 1 > 0)] → ∀x ⎜⎛ < 0 ⎟⎞
⎝x ⎠

(32) จงหาค่าความจริงของประโยคต่อไปนี้
หากกําหนดเอกภพสัมพัทธ์เป็น U = {−1, 0, 1} S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S
溺½ƒ¡Ëa´¢Œo 32.2 ¡aº 32.3 Çi¸¤Õ i´äÁ‹eËÁ×o¹¡a¹¹a¤Ãaº
(32.1) ∃x (x2 ≠ 1) → ∀x (x2 ≠ 1) e¾ÃÒa ˌÒÁ¡Ãa¨Ò some e¢ŒÒä»ã¹ “æÅa”
(32.2) ∃x (x + 1 > 0) ∧ ∃x (x2 ≠ 1)
ã¹¢Œo 32.2 eÃÒ¤i´¤‹Ò¤ÇÒÁ¨Ãi§æ¡«ŒÒ·չ֧ ¢ÇÒ·Õ¹Ö§
(32.3) ∃x (x + 1 > 0 ∧ x2 ≠ 1) æŌǤ‹oÂeoÒÁÒeª×èoÁ¡a¹´ŒÇ “æÅa”
(32.4) ∀x (x2 > 0) ∨ ∀x (x = 0) 测㹢Œo 32.3 eÃÒµŒo§¤i´ã¹Ç§eÅçºÃÇ´e´ÕÂÇ ËÁÒ¶֧NjÒ
(32.5) ∀x (x2 > 0 ∨ x = 0) ¤‹Ò x ·Õè㪌ã¹Ç§eÅ纷a§é ˹ŒÒæÅaËÅa§ µŒo§e»š¹µaÇe´ÕÂÇ¡a¹...

(33) จงหาค่าความจริงของประโยคต่อไปนี้ æÅa¢Œo 32.4 ¡aº 32.5 ¡ç¤i´äÁ‹eËÁ×o¹¡a¹


e¾ÃÒaˌÒÁ¡Ãa¨Ò all e¢ŒÒä»ã¹ “ËÃ×o”
หากกําหนดเอกภพสัมพัทธ์เป็น U = {−1, 0, 1}
(33.1) ∃x∃y (x2+ y > 2) ÊÃu»Êi觷Õè¡Ãa¨ÒÂ䴌oÕ¡¤Ãa駹֧¹a¤Ãaº
all ¤Ù‹¡aº “æÅa”, some ¤Ù‹¡aº “ËÃ×o”
(33.2) ∃x∀y (x2+ y > 2)
(33.3) ∀x∃y (x2+ y > 2)
(33.4) ∀x∀y (x2+ y > 2)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 69 ตรรกศาสตร

(34) [Ent’21] จงหาค่าความจริงของประโยคต่อไปนี้ หากกําหนดเอกภพสัมพัทธ์ = {−1, 0, 1}


(34.1) ∀x∀y (x2− y = y2− x)
(34.2) ∀x∃y (x2− y = y2− x)
(34.3) ∃x∀y (x2− y = y2− x)
(34.4) ∃x∃y (x2− y = y2− x)
(34.5) ∃x∀y (x2− y ≠ y2− x)
(35) จงหาค่าความจริงของ
(35.1) ∃x∀y (x − y ≠ y − x) เมื่อ U = {−2, 0, 2}
(35.2) ∀x∃y (x + y = 0) เมื่อ U = {−2, 2}

(36) ประพจน์ ∀x∃y (xy = 1) ↔ ∃x∀y (xy = y) เป็นจริง เมื่อเอกภพสัมพัทธ์เป็นเท่าใด


ก. จํานวนเต็ม ข. จํานวนเต็มบวก ค. จํานวนจริง ง. จํานวนจริงบวก
(37) ให้เอกภพสัมพัทธ์เป็นเซตจํานวนจริงบวก R+ ข้อใดมีค่าความจริงเป็นจริง
ก. ∀x∀y [x + y > xy] ข. ∃x∃y [x + y < 0]
ค. ∃x∀y [x < y] ง. ∀x∃y [y > x]
(38) จงหานิเสธของ
(38.1) ∀x [P (x) → ~ Q (x)]
(38.2) ∀x [P (x) → (Q (x) → R (x))]
(38.3) ~ ⎡⎣∀x [P (x)] → ∃x [Q (x)]⎤⎦
(38.4) ∃x∃y [(x + y = 5) → (x − y = 1)]
(38.5) ∃x∃y [x > 0 ∧ y ≠ 0 ∧ xy < 0]
(38.6) [Ent’39] ∃x∀y (xy > 0 → x < 0 ∨ y < 0)
(38.7) ∃x∃y [(P (y) ∧ ~ R (x)) → (~ Q (x) ∨ ~ P (y))]
(38.8) ∀x∃y∀z (x + y > z และ xy < z)
(39) ข้อความใดถูกหรือผิดบ้าง
ก. นิเสธของ ∀x [x + 5 = 0] ∧ ∃y [22 < π] คือ ∃x [x + 5 ≠ 0] ∨ ∀y [
22
> π]
y y
ข. [Ent’38] นิเสธของ ∃x [x < 6] → ∀x [x > 8] คือ ∀x [x > 6] ∧ ∃x [x < 8]

3.5 การให้เหตุผลแบบอุปนัยและนิรนัย
การให้เหตุผล (Reasoning) เป็นการกระทําเพื่อหาข้อสรุปหรือข้อสนับสนุนความเชื่อ ซึ่งถือ
เป็นอีกกระบวนการที่สําคัญในทางตรรกศาสตร์ การให้เหตุผลมีอยู่ 2 ลักษณะ ได้แก่ การให้เหตุผล
แบบอุปนัย และแบบนิรนัย

การให้เหตุผลแบบอุปนัย (ย่อย → ใหญ่)


การให้เหตุผลแบบอุปนัย (Inductive Reasoning) เป็นการใช้ความจริงจากส่วนย่อยนําไป
สรุปความจริงของส่วนรวม หรือกล่าวว่า เป็นการสรุปผลทั่วไปซึ่งมาจากการสังเกตหรือการทดลองใน
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 70 ตรรกศาสตร

กรณีย่อยๆ หลายครั้ง ... เช่น เราสังเกตเห็นว่าในทุกเช้าพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก ดังนั้นเรา


จึงสรุปแบบขยายผลว่าพระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันออกเสมอ, เราสังเกตเห็นว่าลายนิ้วมือของหนึ่ง
พันคนมีลักษณะต่างกัน จึงสรุปเอาแบบขยายผลว่า คนทุกคนบนโลกมีลายนิ้วมือไม่เหมือนกันเลย,
เพื่อนบ้านทุกคนล้วนบอกว่าหมอคนนี้รักษาดีมาก เมื่อสมชายไม่สบายจึงไปหาหมอคนนี้ เพราะสรุป
เอาแบบอุปนัยว่าตนเองจะได้รับการรักษาให้หายดีเช่นกัน

• ตัวอยางการใหเหตุผลแบบอุปนัย ในคณิตศาสตร
1. ในเซต A = {2, 4, 6, 8, 10, ...} เมือ่ สังเกตลักษณะของสมาชิกทั้งหาตัว พบวาเกิดจาก
การบวกทีละ 2 เราจึงสรุปผลวา สมาชิกตัวที่เหลือที่ละไวคือ 12, 14, 16, ... (จํานวนนับคู)
2. จาก 1 = 1 , 1 + 3 = 4 , 1 + 3 + 5 = 9 , 1 + 3 + 5 + 7 = 16 , 1 + 3 + 5 + 7 + 9 = 25
2
เราจึงสรุปไดวา จํานวนนับคี่ n จํานวนแรก มีผลบวกเทากับ n
3. ลําดับ 1, 3, 7, 15, 31, ... สังเกตไดวา ผลตางของแตละพจนติดกัน เปน 2, 4, 8, 16
ดังนั้นพจนถัดไปของลําดับคือ 63 (เพราะผลตางเทากับ 32 )
4. จาก 11 × 11 = 121 , 111 × 111 = 12321 , 1111 × 1111 = 1234321 …
จึงสรุปไดวา 11111 × 11111 = 123454321
5. เมือ่ ยกตัวอยางจํานวนนับที่หารดวย 3 ลงตัว เชน 12 , 51 , 96 , 117 , 258 , 543 , 2930 ,
5022 , 7839 … พบวาผลบวกของเลขโดดเปนจํานวนที่หารดวย 3 ลงตัว
จึงสรุปวาถาผลบวกของเลขโดดเปนจํานวนที่หารดวย 3 ลงตัวแลว จํานวนนับนัน้ จะหารดวย 3 ลงตัว

ข้อควรระวังในการให้เหตุผลแบบอุปนัยคือ ข้อสรุปที่ได้ไม่จําเป็นต้องถูกต้องทุกครั้ง
เนื่องจากเป็นการสรุปผลเกินขอบเขตที่เราพิจารณาออกไป
สิ่งที่มีผลต่อความน่าเชื่อถือ ได้แก่
1. จํานวนข้อมูลที่มีเพียงพอหรือไม่ ... (ไม่ควรพิจารณาข้อมูลปริมาณน้อยๆ แล้วสรุปทันที)
เช่น – สุ่มหยิบลูกบอลได้สีแดงติดกัน 4 ครั้ง จึงสรุปเอาว่าบอลทุกลูกมีสีแดง ซึ่งอาจผิดก็ได้
– สมมติฐาน (n+ 1)2 > 2(n − 1) สําหรับจํานวนนับ n ใดๆ
พบว่าเมื่อแทน n = 1, 2, 3, 4 จะได้ 4 > 1, 9 > 2, 16 > 4, 25 > 8 ซึ่งล้วนเป็นจริง
แต่ที่แท้สมมติฐานนี้จะเป็นเท็จ เมื่อแทน n = 7, 8, 9, ... เป็นต้นไป
– สมมติฐาน n2 − n + 5 เป็นจํานวนเฉพาะ สําหรับจํานวนนับ n ใดๆ
พบว่าเมื่อแทน n = 1, 2, 3, 4 จะได้ n2 − n + 5 = 5, 7, 11, 17 ซึ่งเป็นจํานวนเฉพาะจริงๆ
แต่เมื่อแทน n = 5 จะได้ n2 − n + 5 = 25 ซึ่งไม่ใช่จํานวนเฉพาะ
2. ข้อมูลที่ใช้นั้นเป็นตัวแทนที่ดีแล้วหรือไม่ ... (อาจมีข้อมูลที่ไม่ตรงกับข้อสรุปอยู่ แต่นึกไม่
ถึง) เช่น สุ่มถามคน 100 คนในบริเวณสยามสแควร์ พบว่าอายุไม่เกิน 22 ปีถึง 70 คน จึงสรุปเอา
ว่าในกรุงเทพฯ มีประชากรวัยรุ่นจํานวนมากกว่าวัยทํางานอยู่เท่าตัว ซึ่งอาจเป็นข้อสรุปที่ผิด
3. ข้อสรุปที่ต้องการมีความซับซ้อนเกินไปหรือไม่ ... (บางเรื่องสรุปได้ยาก โดยเฉพาะที่
เกี่ยวกับความนึกคิดของมนุษย์ เช่น ความเชื่อ ความพึงพอใจ มักจะขึ้นกับเหตุผลต่างๆ กัน)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 71 ตรรกศาสตร

การให้เหตุผลแบบนิรนัย (ใหญ่ → ย่อย)


การให้เหตุผลแบบนิรนัย (Deductive Reasoning) เป็นการใช้ความจริงที่เป็นที่ยอมรับ
โดยทั่วไป เพื่อนําไปสู่ข้อสรุปย่อยใดๆ ... เช่น เป็นความจริงที่ว่าจํานวนที่หารด้วย 2 ลงตัวเป็น
จํานวนคู่ และ 10 นั้นหารด้วย 2 ลงตัว เราจึงสรุปว่า 10 เป็นจํานวนคู่

• ตัวอยางการใหเหตุผลแบบนิรนัย
1. เหตุ (1) นักเรียนทุกคนตองทําการบาน ... (2) สุดาเปนนักเรียน ผล สุดาตองทําการบาน
2. เหตุ (1) นกเทานั้นที่บินได ... (2) คนบินไมได ผล คนไมใชนก
* 3. เหตุ (1) สัตวปกทุกตัวบินได ... (2) แมวบางตัวเปนสัตวปก ผล แมวบางตัวบินได

* ข้อสรุปนี้เป็นข้อสรุปที่ สมเหตุสมผล S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S


(valid) แม้ว่าผลจะขัดแย้งกับความจริง ¹Œo§ºÒ§¤¹oҨʧÊaÂÇ‹Ò æÁǨaºi¹ä´Œä´Œo‹ҧäÃ..
ในโลกก็ตาม ¡ÒÃãˌe˵u¼Å溺¹iùa¹aé¹eÃҡŋÒÇã¹Ãٻ溺¢o§ “¡ÒÃoŒÒ§e˵u¼Å”
(eËÁ×o¹ËaÇ¢Œo 3.3) «Ö觤Ç÷íÒ¤ÇÒÁe¢ŒÒã¨Ç‹Ò ¡ÒÃÊÁe˵uÊÁ¼Å¹aé¹
äÁ‹ä´Œæ»ÅNjҼŨae»š¹¨Ãi§·a¹·Õ¹a¤Ãaº 测æ»ÅÇ‹Ò eÁ×èoã´·Õèe˵u·u¡¢Œo
ข้อควรระวังในการให้เหตุผล
e¡i´e»š¹¨Ãi§¢Öé¹ÁÒ ¼Å¨Ö§¨ae»š¹¨Ãi§µÒÁ´ŒÇ ...
แบบนิรนัยคือ ในบางครั้งเมื่อเราใช้ความ
รู้สึกเพียงผิวเผินตัดสิน อาจจะคิดว่าการ eÇÅÒeÃÒµÃǨÊoºÇ‹Ò¡ÒÃãˌe˵u¼Å¹ÕéÊÁe˵uÊÁ¼ÅËÃ×oäÁ‹
อ้างเหตุผลนั้นสมเหตุสมผล ทั้งที่จริงๆ ãˌeÃÒÂÖ´¨Ò¡e˵u·èãÕ ËŒÁÒe·‹Ò¹aé¹ ËŒÒÁeoÒ¤ÇÒÁ¨Ãi§ã¹oš仵a´Êi¹¹a¤Ãaº!
แล้วไม่ใช่ ... ยกตัวอย่างเช่น
1. เหตุ (1) นกทุกตัวบินได้ ... (2) ยุงบินได้
ผล ยุงเป็นนก (ไม่สมเหตุสมผล เพราะอาจจะมีสิ่งอื่นที่ไม่ใช่นก แต่บินได้)
2. เหตุ (1) นกทุกตัวบินได้ ... (2) คนไม่ใช่นก
ผล คนบินไม่ได้ (ไม่สมเหตุสมผล เพราะอาจจะมีสิ่งอื่นที่ไม่ใช่นก แต่บินได้)
3. เหตุ (1) นักเรียนบางคนเป็นนักกีฬา ... (2) นักกีฬาบางคนแข็งแรง
ผล นักเรียนบางคนแข็งแรง (ไม่สมเหตุสมผล เพราะนักกีฬาที่แข็งแรงอาจไม่ใช่นักเรียนก็ได้)

การตรวจสอบความสมเหตุสมผลของการให้เหตุผลแบบนิรนัย สามารถทําได้อย่างรอบคอบ
โดยใช้แผนภาพของเซต (แผนภาพเวนน์-ออยเลอร์) ช่วยในการคิด

นก

นก นก
สิ่งที่บินได้ สิ่งที่บินได้ สิ่งที่บินได้
ไม่มีนกตัวใดบินได้ นกบางตัวบินได้ นกทุกตัวบินได้
(หรือ นกทุกตัวบินไม่ได้) (หรือ นกบางตัวบินไม่ได้)

หากในข้อความมีการระบุถึงสมาชิกของเซต (เช่น สมชายบินได้)


สมชาย
จะเขียนเป็น จุด อยู่ภายในบริเวณเซตนั้น
สิ่งที่บินได้
ถ้าพบว่าแผนภาพเป็นไปตามที่สรุป ได้เพียงแบบเดียวเท่านั้น
จะถือว่า สมเหตุสมผล แต่ถ้าเป็นแบบอื่นได้ด้วย จะถือว่า ไม่สมเหตุสมผล
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 72 ตรรกศาสตร

ดังนั้นในการตรวจสอบ เราจะต้องพยายามทําให้เหตุเป็นจริงทุกข้อแต่ผลสรุปเป็นเท็จ (ถ้าทําได้ ก็


แสดงว่าไม่สมเหตุสมผล ถ้าทําไม่ได้แสดงว่าสมเหตุสมผล)

ตัวอย่างเช่น
1. เหตุ (1) นักเรียนชายทุกคนลงแข่งกีฬา ผู้ลงแข่งกีฬา
นร.ชาย
(2) สมศักดิ์เป็นนักเรียนชาย
ผล สมศักดิ์ลงแข่งกีฬา ... สมเหตุสมผล สมศักดิ์
นร.ชาย ผู้ลงแข่งกีฬา
2. เหตุ (1) นักเรียนชายทุกคนลงแข่งกีฬา
(2) สมศรีไม่ได้เป็นนักเรียนชาย สมศรี
ผล สมศรีไม่ได้ลงแข่งกีฬา ... ไม่สมเหตุสมผล (เป็นไปได้ 2 แบบ) สมศรี

3. เหตุ (1) นักเรียนชายทุกคนลงแข่งกีฬา นร.ชาย ผู้ลงแข่งกีฬา


(2) สมเสร็จลงแข่งกีฬา สมเสร็จ
ผล สมเสร็จเป็นนักเรียนชาย ... ไม่สมเหตุสมผล สมเสร็จ

4. เหตุ (1) นักเรียนชายบางคนลงแข่งกีฬา สมศักดิ์


(2) สมศักดิ์เป็นนักเรียนชาย สมศักดิ์
ผล สมศักดิ์ลงแข่งกีฬา ... ไม่สมเหตุสมผล นร.ชาย ผู้ลงแข่งกีฬา
หมายเหตุ บางตําราเขียนแผนภาพในรูปทั่วไป ดังรูปด้านล่างนี้
และใช้การแรเงาเพื่อบ่งบอก A B
ว่าชิ้นส่วนนั้นไม่มีสมาชิกเลย

A B
C
2 เซต
เช่น 3 เซต

หากมีประโยคว่า “เพนกวินเป็นนก”
จะต้องจุดแทน “เพนกวิน” ลงในช่อง “นก” ทางซ้ายเท่านั้น
นก
เนื่องจากช่องกลางถูกแรเงาทึบไปแล้ว
สิ่งที่บินได้
ไม่มีนกตัวใดบินได้ * แต่บางตําราก็ใช้การแรเงาเพื่อบ่งบอกว่าชิ้นส่วนนั้นต้องมีสมาชิกอยู่!
แบบฝึกหัด 3.5
(40) ให้บอกค่าของ a ที่ปรากฏในลําดับต่อไปนี้
(40.1) −1, −3, −5, −7, a (40.5) 3, 1, −1, −3, a
1 2 3 4
(40.2) 2, 7, 12, 17, a (40.6) , , , ,a
2 3 4 5
(40.3) 1, −2, 3, −4, a (40.7) 1, 4, 9, 16, a

(40.4) 3, 6, 12, 24, a (40.8) 3, 3 3, 3 3 3 , 3 3 3 3 , a


(40.9) [พื้นฐานวิศวะ มี.ค.47] 125, 726, a, 40328, 362889

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 73 ตรรกศาสตร

(41) ให้หาสมการ 2 สมการ ต่อจากรูปแบบที่กําหนดให้ โดยอาศัยการให้เหตุผลแบบอุปนัย


(และคํานวณหรือใช้เครื่องคํานวณ เพื่อตรวจสอบคําตอบที่ได้)
37 × 3 = 111 11 × 11 = 121
(41.1) 37 × 6 = 222 (41.5) 11 × 12 = 132
37 × 9 = 333 11 × 13 = 143

9 × 9 = 81 1089 × 1 = 1089
(41.2) 9 × 99 = 891 (41.6) 1089 × 2 = 2178
9 × 999 = 8991 1089 × 3 = 3267

1 × 9 = 11 − 2 2 (3) = 3 (3 − 1)
(41.3) 12 × 9 = 111 − 3 (41.7) 2 (3) + 2 (9) = 3 (9 − 1)
123 × 9 = 1111 − 4 2 (3) + 2 (9) + 2 (27) = 3 (27 − 1)

9 × 9 + 7 = 88 3 × 4 = 2 (1 + 2 + 3)
(41.4) 9 × 98 + 6 = 888 (41.8) 4 × 5 = 2 (1 + 2 + 3 + 4)
9 × 987 + 5 = 8888 5 × 6 = 2 (1 + 2 + 3 + 4 + 5)

(42) ให้ตรวจสอบความสมเหตุสมผลของการอ้างเหตุผลต่อไปนี้
โดยอาศัยการให้เหตุผลแบบนิรนัย ประกอบกับแผนภาพของเวนน์-ออยเลอร์
(42.1) เหตุ – คนบางคนว่ายน้าํ ได้ (42.2) เหตุ – คนบางคนว่ายน้าํ ได้
– สมชายเป็นคน – สมชายเป็นคน
ผล สมชายว่ายน้ําได้ ผล สมชายว่ายน้ําไม่ได้
(42.3) เหตุ – ไม่มีเด็กดีคนใดคุยในเวลาเรียน
– นักเรียนห้องนี้ทุกคนเป็นเด็กดี
ผล ไม่มีนักเรียนคนใดในห้องนี้คุยในเวลาเรียน
(42.4) เหตุ – นักเรียนบางคนทําการบ้านไม่เสร็จ
– นักเรียนบางคนชอบเล่นฟุตบอล
ผล นักเรียนที่เล่นฟุตบอลบางคนทําการบ้านไม่เสร็จ
(42.5) เหตุ – วันนี้ฉันเงินหมด
– ไม่มีใครที่เงินหมดแล้วโดยสารรถเมล์ได้
ผล วันนี้ฉันไม่สามารถโดยสารรถเมล์ได้
(42.6) เหตุ – ไม่มีสัตว์น้ําตัวใดบินได้ (42.12) เหตุ – ไม่ใช่ปลาทุกตัวที่มีสองตา
– นกแก้วเป็นสัตว์น้ํา – กุ้งไม่ได้เป็นปลา
ผล นกแก้วบินไม่ได้ ผล กุ้งมีสองตา
(42.7) เหตุ – คนที่มีความสุขทุกคนยิ้มแย้ม (42.13) เหตุ – ไม่มีช่างคนใดที่ขยัน
– ฉันยิ้มแย้ม – สมนึกเป็นช่าง
ผล ฉันมีความสุข ผล สมนึกไม่ขยัน
(42.8) เหตุ – นักเรียนทุกคนสวมแว่นตา (42.14) เหตุ – ไม่มีช่างคนใดที่ขยัน
– ผู้ร้ายบางคนสวมแว่นตา – สมนึกไม่ขยัน
ผล นักเรียนบางคนเป็นผู้ร้าย ผล สมนึกเป็นช่าง

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 74 ตรรกศาสตร

(42.9) เหตุ – ไม่มีนางแบบคนใดเป็นผู้ชาย (42.15) เหตุ – สัตว์ทุกตัวต้องหายใจ


– พระเอกหนังทุกคนเป็นผู้ชาย – สุนัขทุกตัวต้องหายใจ
ผล ไม่มีนางแบบคนใดเป็นพระเอกหนัง ผล สุนัขทุกตัวเป็นสัตว์
(42.10) เหตุ – สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องกินอาหาร (42.16) เหตุ – แอปเปิ้ลไม่มีพิษ
– สัตว์ทุกตัวเป็นสิ่งมีชีวิต – องุ่นไม่มีพิษ
ผล คนทุกคนต้องกินอาหาร ผล ผลไม้ที่ทานได้ไม่มีพิษ
(42.11) เหตุ – ครูบางคนชอบดื่มกาแฟ (42.17) เหตุ – นกทุกตัวมีปีก
– ผู้ชายทั้งหมดชอบดื่มกาแฟ – สัตว์ที่มีปีกบางตัวบินได้
ผล ครูบางคนเป็นผู้ชาย – เพนกวินเป็นนก
ผล เพนกวินบินได้

เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(1) p|F|p|F (21) → หรือ ↔ (40.1) –9 (40.2) 22 (40.3) 5
(22) สมเหตุสมผลทัง้ สองข้อ (40.4) 48 (40.5) –5 หรือ 3
T|p|p|T
(23) ไม่สมเหตุสมผลทั้งสองข้อ (40.6) 5/6 (40.7) 25
p | T | T |~ p | T |~ p
(24.1) s → r (24.2) r (40.8) 3 3 3 3 3 (40.9) 5047
p |~ p | T | F
(25) ฉันไม่ขยัน (26) ก. (41.1) 37 × 12 = 444 , 37 × 15 = 555
(2) ข้อ 2.6 ถึง 2.10 เท็จ
(27) ข. (28) ก. (41.2) 9 × 9999 = 89991 ,
นอกนั้นจริง
(29) ก. ถูก ข. ผิด 9 × 99999 = 899991
(3) ข้อ 3.5, 3.7, 3.9,
(30) จริง (31) เท็จ (41.3) 1234 × 9 = 11111 − 5 ,
3.12 เท็จ นอกนัน้ จริง
(32) ข้อ 32.1, 32.4 เป็นเท็จ 12345 × 9 = 111111 − 6
(3.11) T, T, F
นอกนั้นจริง
(4) ก. ถูก ข. ถูก (41.4) 9 × 9876 + 4 = 88888 ,
(33) ข้อ 33.1 จริง นอกนั้นเท็จ
(5) ถูกทุกข้อ 9 × 98765 + 3 = 888888
(34) ข้อ 34.2, 34.4 จริง
(6) ก. ผิด ข. ถูก (41.5) 11 × 14 = 154 , 11 × 15 = 165
นอกนั้นเท็จ (35.1) เท็จ
(7) ก. (p ∧ q) ∨ (~ r ∧ ~ s) (35.2) จริง (36) ง. (37) ง. (41.6) 1089 × 4 = 4356 ,
ข. p ∧ ~ q ∧ r (38.1) ∃x [P (x) ∧ Q (x)] 1089 × 5 = 5445
(8) ง. (9) ค. (38.2) ∃x [P (x) ∧ Q (x) ∧ ~ R (x))] (41.7) 2 (3) + 2 (9) + 2 (27)
(10.1) ข. (10.2) ง. + 2 (81) = 3 (81 − 1) ,
(38.3) ∀x [P (x)] → ∃x [Q (x)]
(10.3) ก. (11) ค. 2 (3) + 2 (9) + 2 (27) + 2 (81)
(12) สมมูลกันทุกข้อ (38.4) ∀x∀y [(x + y = 5) ∧ (x − y ≠ 1)] + 2 (243) = 3 (243 − 1)
(13) ถูกทุกข้อ (38.5) ∀x∀y [x 0 ∨ y = 0 ∨ xy 0] (41.8) 6 × 7 = 2 (1 + 2 + 3 +
(14.1) ก. (14.2) ก. (38.6) ∀x∃y (xy > 0 ∧ x > 0 ∧ y > 0) 4 + 5 + 6) , 7 × 8 = 2 (1 +
(15) 3:5 (38.7) ∀x∀y [P (y) ∧ ~ R (x) ∧ Q (x)] 2 + 3 + 4 + 5 + 6 + 7)
(16 ถึง 19) เป็นทุกข้อ ยกเว้น (38.8) ∃x∀y∃z (x + y < z หรือ xy > z)
16.1, 16.2, 17.2, 17.7, 19.1 (42) ข้อทีส่ มเหตุสมผลได้แก่
(20) ข. และ ค. เป็นจริง (39) ก. ถู ก ข. ผิ ด (42.3), (42.5), (42.6),
(42.9), (42.13)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 75 ตรรกศาสตร

เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
(1) ก. เครื่องหมาย “และ” (3.1) (....) → (p → q) ≡ T
T ∧ p ≡ p ... จริง “และ” อะไร ก็จะได้ตามตัวนัน
้ T
T
(หมายความว่า T ∧ T ≡ T, T ∧ F ≡ F ) (3.2) (....) → (p → q) ≡ T
F ∧ p ≡ F ... เท็จ “และ” อะไร จะได้เท็จเสมอ F .
p ∧ p ≡ p ... เหมือนกันเชือ
่ มด้วย “และ” ได้ตัวเดิม T
(3.3) (~ r ∧ p) ∨ (....) ≡ T
p ∧ ~ p ≡ F ... ตรงข้ามกันเชื่อมด้วย “และ” จะได้
T
เท็จเสมอ (เพราะต้องมีตัวใดตัวหนึ่งเป็นเท็จ) (3.4) r → q ≡ T โดย r เป็นจริง
ข. เครื่องหมาย “หรือ” แสดงว่า q เป็นจริงด้วย
(วิธีคิดลักษณะเดียวกับ “และ”) (p → q) ∧ (s → p) ∧ (s → q) ≡ T
T ∨ p ≡ T, F ∨ p ≡ p, p ∨ p ≡ p, p ∨ ~ p ≡ T
T T T T
ค. เครือ่ งหมายถ้า-แล้ว (3.5) p ≡ T, q ≡ F, r ≡ T ดังนั้น
T → p ≡ p, F → p ≡ T, p → T ≡ T, p → F ≡ ~ p
(~ q ∧ (p ∨ r)) → (~ r) ≡ F
(เพราะ T → F ≡ F, F → F ≡ T ) T T F
p → p ≡ T, p → ~ p ≡ ~ p (3.6) n ≡ F ดังนั้น n → [....] ≡ T
ง. เครือ่ งหมาย “ก็ต่อเมื่อ” (3.7) q ≡ F ดังนั้น (....) ∧ q ≡ F
T ↔ p ≡ p, F ↔ p ≡ ~ p, (3.8) q ≡ F, s ≡ F, r ≡ T, p ≡ F ดังนั้น
p ↔ p ≡ T, p ↔ ~ p ≡ F (q ∨ p) → (....) ≡ T
(หมายเหตุ ข้อ 1 นี้จะทําได้ก็เมือ่ คุ้นเคยลักษณะของ F
ตัวเชือ่ มทั้งสี่แล้ว) (3.9) p ∨ r ≡ T, q ∨ s ≡ F
(2.1) [(p ∧ s) ∨ (p ∧ r)] → (p ∨ s) ≡ T (แสดงว่า q ≡ F, s ≡ F )
T T p → q ≡ T แสดงว่า p ≡ F ดังนัน ้ r≡T
(2.2) [(q → s) ∨ r] ∨ [.....] ≡ T
T และจะได้ r → s ≡ T → F ≡ F
(2.3) [(r ↔ q) ∨ (p → q)] → [.....] ≡ T (3.10) p → q ≡ F แสดงว่า p ≡ T, q ≡ F
F F ดังนัน้ (....) → ~ q ≡ T
(2.4) [(p ↔ q) ∨ (q → r)] ∨ ~ s ≡ T T
T (3.11) p ∧ q ≡ T แสดงว่า
(2.5) [(q → p) ∧ r] ↔ r ≡ T p ≡ T, q ≡ T p → r ≡ F แสดงว่า r ≡ F
T T T (3.12) p ≡ T, p ↔ ~ r ≡ T แสดงว่า r ≡ F
(2.6) [(p ∧ q) → ~ r] → [(~ p ∨ q) ↔ r] ≡ F
(3.13) และ (3.14) ไม่บอกค่าของ p, q, r, s มา
F F T
T F เลย แสดงว่า น่าจะเป็นสัจนิรนั ดร์ (คือเป็นจริงทุก
(2.7) [(p ∧ ~ q) ∨ ~ r] ↔ [(p → q) ∧ .....] ≡ F กรณี ไม่ว่า p, q, r, s จะเป็นอย่างไร)
T F . ซึ่งตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นสัจนิรนั ดร์จริงๆ จึงตอบว่า
T F เป็นจริงทัง้ สองข้อ ... วิธตี รวจสอบเป็นดังนี้
(2.8) (p ∧ q) ∧ ~ r ∧ [... ∧ ...] ≡ F (3.13) พยายามทําให้เป็นเท็จ แสดงว่า
F ก้อนหน้าต้องเป็นจริง ก้อนหลังต้องเป็นเท็จ
(2.9) [p → (q ∧ r)] ∧ [.....] ≡ F (เนื่องจากเชื่อมด้วย “ถ้า-แล้ว”)
F ((p ∧ ~ q) → ~ p) → (p → q)
(2.10) [q → (....)] → [p → (q ∧ ~ r)] ≡ F F
F T F . T F
T F T F
(2.11) [(~ p → ....) ∧ (~ r → ....)] ∨ [.....] ≡ T ซึ่งถ้าก้อนหลังเป็นเท็จ แปลว่า p จะต้องเป็นจริง
T T เท่านั้น และ q จะต้องเป็นเท็จเท่านั้น ... เอาค่าความ
จริงของ p กับ q ไปใส่ในก้อนหน้า พบว่าก้อนหน้า

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 76 ตรรกศาสตร

ไม่ได้เป็นจริง ... นั่นคือ เราพยายามทําให้ประโยคนี้ (9) ก. ~ (~ p ∧ ~ q) คือ p ∧ q ... สมมูล


เป็นเท็จ แต่ไม่มวี ิธีใดที่ทาํ ได้ ข้อนี้จึงเป็นสัจนิรันดร์ ข. (~ p ∨ q) กับ (q ∨ ~ p) ... สมมูล
(3.14) ใช้วิธีเดียวกับข้อที่แล้ว คือพยายามทําให้กอ้ น ค. p ∨ (~ q ∨ p) ≡ ~ q ∨ p เทียบกับ q ∨ p ...
หน้าจริง ก้อนหลังเท็จ (เพราะเชือ่ มด้วย “ถ้า-แล้ว”)
⎡⎣[p ∨ ~ (r ∧ s)] ∧ ~ p ⎤⎦ → (~ r ∨ ~ s)
ไม่สมมูล
F ง. สมมูล ตามกฎการกระจาย ↔ ตอบ ค.
T F (10.1) ข. ถูก เพราะ ข. คือ (p → q) ∧ (q → p)
T T
ซึ่งถ้าก้อนหลังเป็นเท็จ แปลว่า r กับ s จะต้องเป็น (10.2) {[(q ∧ ~ t) ∧ (p ∨ ~ p)] ∨ ~ q} → r
จริงทั้งคู่เท่านัน้ ... เอาค่าความจริงของ r กับ s ไปใส่ ≡ [(q ∧ ~ t) ∨ ~ q] → r T
ก้อนหน้า พบว่าเหลือเพียง [p ∧ ~ p] ซึ่งจะเป็นเท็จ
≡ [(q ∨ ~ q) ∧ (~ t ∨ ~ q)] → r
เสมอ ไม่มีทางเป็นจริงได้ ... สรุปว่าเราไม่มีทางทําให้ T
ข้อนีเ้ ป็นเท็จได้ ข้อนีจ้ ึงเป็นสัจนิรนั ดร์ ≡ (~ t ∨ ~ q) → r ≡ (t ∧ q) ∨ r ข้อ ง.
(4) s → r ≡ F แสดงว่า s ≡ T, r ≡ F (10.3) [(q ∨ r) ∧ (q ∨ ~ r)] ∧ [(p ∧ s) ∨ (p ∧ ~ s) ]
p ∨ r ≡ T แสดงว่า p ≡ T
≡ [q ∨ (r ∧ ~ r) ∧ (p ∧ (s ∨ ~ s)] ≡ q ∧ p
p → q ≡ T แสดงว่า q ≡ T F T
ก. [(....) ∧ (q ↔ r)] ∨ (r ↔ s) ≡ F ถูก ข้อ ก.
F F (11) ข้อ ข. กับ ง. ไม่ใช่แน่นอน เพราะกลายเป็น
ข. [....] → (~ r ∧ s) ≡ T ถูก ab > 0, a < 0, b < 0 ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับโจทย์ ...
T
(5) p ↔ q ≡ T แสดงว่า p ≡ q ดังนัน้ พิจารณาเฉพาะ ก. กับ ค.
โจทย์ (p ∧ q) → r
r ∨ ~ s ≡ F แสดงว่า r ≡ F, s ≡ T
ก. (~ p ∨ ~ q) → ~ r ผิด
ดังนัน้ [(~ p ∧ r) → ....] ≡ T
F ค. ~ r → (~ p ∨ ~ q) ถูก
พิจารณา ก. ~ (....) → ~ r ≡ T ถูก (12) ก. p → (q ∨ r) ข. (~ q ∧ ~ r) → ~ p
T ค. ~ p ∨ q ∨ r ข้อ ก. และ ข. กระจายแล้วจะ
ข. r ↔ (p ∧ ~ q) ≡ T ถูก เหมือนข้อ ค. ดังนั้นสมมูลกันหมดทุกข้อ
F F (13) ก. ~ (p ∧ ~ r) ∨ ~ q ≡ ~ p ∨ r ∨ ~ q
ค. (s → r) ∨ (p → q) ≡ T ถูก
T ≡ q → (r ∨ ~ p) ถูก
(6) p ≡ q , r ≡ ~ s ดังนัน้ ข. p → (q → r) ≡ ~ p ∨ (~ q ∨ r)
ก. [.... ∨ (r ↔ ~ s)] ↔ [.... ∨ (~ r ∨ ~ s)] ≡ T และ q → (p → r) ≡ ~ q ∨ ( ~ p ∨ r) ถูก
T T ค. (p ∧ q) → r ≡ ~ p ∨ ~ q ∨ r และ
ดังนัน้ ก. ผิด (p → ~ q) ∨ (p → r) ≡ ~ p ∨ ~ q ∨ ~ p ∨ r ถูก
ข. [....] → [(p ∨ ~ q) ↔ (r → ~ s)] ≡ T ถูก
T T (14.1) ลองทําตารางค่าความจริง
(7) ก. ~ [(~ p ∨ ~ q) ∧ (r ∨ s)] ≡ p q p*p q*q (p*p)*(q*q)
(p ∧ q) ∨ (~ r ∧ ~ s) T T F F T
ข. ~ [~ (p ∧ ~ q) ∨ ~ r] ≡ (p ∧ ~ q) ∧ r T F F T F
F T T F F
(8) ให้ p แทน “เดชาขยัน”, q แทน “เดชาทํา F F T T F
การบ้านสม่าํ เสมอ”, r แทน “เดชาสอบผ่าน” พบว่าผลลัพธ์ที่ได้นี้เหมือนกับ p ∧ q จึงตอบ ก.
ดังนัน้ โจทย์บอกว่า (p ∧ q) → r เป็นเท็จ (14.2) จากตารางในโจทย์ มี F*F เท่านัน้ ที่ให้ผล
แสดงว่า p ≡ q ≡ T, r ≡ F เป็นจริง คล้ายๆ ตัวเชือ่ ม “หรือ” ... แต่ผลตรงกัน
ก. p ∧ ~ q ≡ F ข. ~ p ∧ q ≡ F ข้าม (ตัวเชือ่ ม “หรือ” จะได้ผลเป็น T,T,T,F
ค. ~ r → ~ q ≡ F ง. p ↔ ~ r ≡ T ตอบ ง. ตามลําดับ)
ดังนัน้ p ∗ q ≡ ~ (p ∨ q) ... ตอบข้อ ก.
เพราะ ~ (~ p → q) ≡ ~ (p ∨ q)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 77 ตรรกศาสตร

(15) ทําตารางค่าความจริงเพื่อนับจํานวนกรณี (17.2) (~ p ∧ q) ∨ p ≡ (~ p ∨ p) ∧ (q ∨ p)

p q r q*r p*(q*r) T
T T T F F ≡ q∨p ดังนั้นไม่เป็นสัจนิรันดร์
T T F F F (17.3) (p ∨ q) ∧ ~ p ≡ (p ∧ ~ p) ∨ (q ∧ ~ p)
T F T F F F
T F F T F
F T T F T ≡ q∧ ~ p ดังนัน้ เป็นสัจนิรันดร์
F T F F T (17.4) (p ↔ q) ≡ (p → q) ∧ (q → p)
F F T F T
F F F T F ≡ (~ p ∨ q) ∧ (~ q ∨ p) ดังนั้น เป็นสัจนิรันดร์
(17.5) (p ∧ q) → (p ∨ q) ≡ ~ (p ∨ q) → ~ (p ∧ q)
คําตอบคือ จริง:เท็จ เท่ากับ 3:5
(16.1) (p ∧ q) → [(p ∨ q) → r] ≡ (~ p ∧ ~ q) → (~ p ∨ ~ q) เป็นสัจนิรนั ดร์
F (17.6) ~ p ∨ (q ∧ r) ≡ (~ p ∨ q) ∧ (~ p ∨ r)
T F
T T T T F ≡ (p → q) ∧ (p → r) เป็นสัจนิรน
ั ดร์
ทําเป็นเท็จได้ แสดงว่าไม่เป็นสัจนิรันดร์ (17.7) ซ้ายมือ ~ p ∨ ~ q ∨ r
(16.2) (p ∨ q) → [(p ∧ q) → r] ขวามือ ~ (~ p ∨ q) ∨ r ≡ (p ∧ ~ q) ∨ r
F
T F ดังนัน้ ไม่เป็นสัจนิรันดร์
T T T T F
ทําเป็นเท็จได้ แสดงว่าไม่เป็นสัจนิรันดร์ (17.8) ข้อนี้แจกแจงยาก
(16.3) [(p → q) ∧ (q → r)] → (p → r) ใช้วิธีพจิ ารณาความสมมูลแต่ละกรณีดกี ว่า
F p q r ซ้าย ขวา
T T F T T T T T
T T F F T F T T F F F
ทําเป็นเท็จไม่ได้ เพราะค่า q ขัดแย้งกัน T F T F F
แสดงว่า เป็นสัจนิรันดร์ T F F T T
(16.4) [(p → r) ∧ (q → r)] → [(p ∧ q) → r] F T T F F
F F T F T T
T T F F F T T T
T T T T T T F F F F F F
ทําเป็นเท็จไม่ได้ เพราะค่า r ขัดแย้งกัน ซ้ายกับขวามีค่าตรงกันเสมอ ดังนัน้ เป็นสัจนิรันดร์
แสดงว่า เป็นสัจนิรันดร์ (18.1) [(p ∨ r) → (q ∨ r)] ∨ (p ∨ q)
(16.5) [(p → r) ∧ (q → r)] → [(p ∨ q) → r] F
F F F
T T F F F
T F นําค่า p และ q เป็นเท็จไปใส่ดา้ นหน้า จะลดรูป
F F F F F F
ทําเป็นเท็จไม่ได้ เพราะค่า p กับ q ต้องเป็นเท็จ หายไปเหลือเพียง r → r ซึ่งพบว่าเป็นจริงเสมอ ไม่มี
เท่านั้น ทําให้ p ∨ q เป็นจริงไม่ได้ ทางทําให้ด้านหน้าเป็นเท็จได้เลย ดังนัน้ ข้อนี้
แสดงว่า เป็นสัจนิรนั ดร์ เป็นสัจนิรันดร์
(16.6) [(p → r) ∧ (q → s) ∧ (p ∧ q)] → (r ∨ s) (18.2) [(~ p ∧ q) → ~ p] ∨ (p → q)
F F
T T T F F F
F F F F T T F F F T T T F
ทําเป็นเท็จไม่ได้ เพราะค่า p ขัดแย้งกัน, q ก็ขัดแย้ง ทําเป็นเท็จไม่ได้ เพราะค่า q ขัดแย้งกัน
กัน ... แสดงว่า เป็นสัจนิรันดร์ แสดงว่า เป็นสัจนิรันดร์
(16.7) ⎣⎡[(p ∧ q) → r ] ∧ (p → q)⎦⎤ → (p → r) (19.1) (p ∧ ~ p) → (q ∧ ~ q) ≡ F → F ≡ T
F เสมอ (เป็นสัจนิรันดร์) ดังนั้น นิเสธของประพจน์นี้
T T F ไม่เป็นสัจนิรนั ดร์ (แต่จะเป็นเท็จทุกกรณี)
T F F T T T F
ทําเป็นเท็จไม่ได้ เพราะค่า q ขัดแย้งกัน (19.2) [p ∧ T] ↔ [~ p ∨ F] ≡ p ↔ ~ p ≡ F
แสดงว่า เป็นสัจนิรันดร์ เสมอ ดังนั้น นิเสธของประพจน์นี้ เป็นสัจนิรันดร์
(17.1) ~ (p → ~ q) ≡ ~ (~ p ∨ ~ q) ≡ p ∧ q
ดังนัน้ เป็นสัจนิรนั ดร์

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 78 ตรรกศาสตร

(19.3) เนื่องจาก p ↔ q สมมูลกับ ~ p ↔ ~ q (23.2) วิธีคดิ 2. r ∨ s


1. p →~ q 4. ~ s
ดังนัน้ ~ (p ↔ q) ∧ (~ p ↔ ~ q) ≡ ~ , ∧ , ≡ F
2. r∨s r
เสมอ ... นิเสธของประพจน์นจี้ ึงเป็นสัจนิรันดร์ 3. r → q 3. r → q
(20) p, q, r เป็นประพจน์ใดๆ รูปแบบที่จะเป็นจริง 4. ~ s
q
เสมอก็คือ “สัจนิรันดร์” นั่นเอง ผล p 1. p → ~ q
ก. (p → q) → (~ p ∧ ~ q) ~p
F ไม่สมเหตุสมผล
T F
F T F T (24.1)
ทําเป็นเท็จได้ แสดงว่าไม่เป็นสัจนิรันดร์ 1. p → (q → r)
ข. (p → q) ↔ (~ p ∨ q) เนื่องจากซ้ายกับขวา ≡ q → (p → r)
สมมูลกัน จึงเป็นสัจนิรันดร์ 3. q
ค. ~ ((p ∨ q) ∨ r) → (~ (p ∧ q) ∧ ~ r) p → r
F 2. s → p
T F ผล s → r
F F F F F T
ทําเป็นเท็จไม่ได้ เพราะค่า r ขัดแย้งกัน (24.2)
แสดงว่า เป็นสัจนิรันดร์ 1. ~ p → q
ง. จากด้านซ้าย (~ p ∨ r) ∧ (~ q ∨ r) 2. q → ~ r
≡ (~ p ∧ ~ q) ∨ r ≡ (p ∨ q) → r ~p →~r
ไม่เหมือนด้านขวา ดังนัน้ ไม่เป็นสัจนิรันดร์ ≡ r→ p
จ. จากด้านซ้าย (~ p ∨ q) ∨ (~ p ∨ r) 3.
≡ ~ p ∨ (q ∨ r) ≡ p → (q ∨ r)
ผล p แสดงว่า 3. คือ r
ไม่เหมือนด้านขวา ดังนัน้ ไม่เป็นสัจนิรันดร์
สรุปว่า ข้อ ข. และ ค. ที่เป็นจริง (25)
1. p → ~ q
(21) เนื่องจากซ้ายและขวาสมมูลกัน ดังนัน้ 2. q
เครื่องหมายที่ใช้ได้คือ → กับ ↔
(22.1) 1. p → q ผล ~p ∴ ตอบว่า ฉันไม่ขยัน
2. q → s
p → s (26)
3. ~ s 1. p → q วิธีคดิ 1. p → q
~p 2. ~ p → r 4. ~ q
สมเหตุสมผล 3. s → ~ r ~p
4. ~ q 2. ~ p → r
(22.2) p → (r ∨ s)
~p∨r∨s ผล ? r
3. s → ~ r
สมเหตุสมผล ผล ~ s
(23.1) แปลงจากประโยคคําพูด
ให้เป็นสัญลักษณ์ได้ว่า ดังนัน้ ต้องตอบว่า ~ s เป็นจริง
เหตุ 1. p → q วิธีคดิ 1. p → q แต่ในตัวเลือกเป็นดังนี้
2. (p ∧ q) → r 4. p ก. ~ s ∨ p ข้อที่ใช้ได้คอื ก. (เพราะเชือ่ มด้วย ∨ )
3. ~ (s ∧ r) ได้ q ข. s ∧ p
4. p 2. (p ∧ q) → r ค. ~ r ∧ ~ s ใช้ไม่ได้ เพราะเชือ่ มด้วย ∧ ซึง่ เรา
ผล s ได้ r ทราบว่า ~ r เป็นเท็จ (เพราะในเหตุนั้น r เป็นจริง)
3. ~ s ∨ ~ r
≡ r→~s
ง. p ∧ ~ q
ได้ ~ s
(27) ก. เท็จ เพราะมี x ที่ x2 > 0 คือเมื่อ x = 0
ไม่สมเหตุสมผล ข. จริง เช่น x = 2 จะได้ 8 > 4, 2 < 4
ค. เท็จ เพราะถ้า x = 1 จะไม่เป็นจํานวนเฉพาะ
ง. เท็จ เพราะไม่มี x ใด ตรงตามเงื่อนไขเลย
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 79 ตรรกศาสตร

(28) ก. “สําหรับทุกๆ x ถ้า x เป็นจํานวนอตรรก (32.5) ∀x(x2 > 0 หรือ x = 0) จริง (ไม่วา่
ยะแล้ว 2 เป็นจํานวนตรรกยะ” x = −1, 0, 1 ก็จะจริงอันใดอันหนึ่งเสมอ) T
... เท็จ (เช่น x = 3 ) (33.1) มี x บางตัวและ y บางตัว ที่ทาํ ให้
ข. “มีบาง x ซึ่ง...ถ้า x เป็นจํานวนตรรกยะแล้ว x2 + y > 2 จริง เช่น x = 1, y = 1
0.5 เป็นจํานวนอตรรกยะ” (33.2) มี x บางตัว ใช้ y ได้ทุกตัว เท็จ
... จริง (เช่น x = 2 จะได้ F → F เป็น T ) เข่น x = −1 → y = 0 ไม่ได้
ค. “สําหรับทุกๆ x ... x เป็นจํานวนอตรรกยะ หรือ x = 0 → y = 0 ไม่ได้
π ไม่เป็นจํานวนตรรกยะ” x = 1 → y = 0 ไม่ได้
... จริง เพราะ π ไม่เป็นจํานวนตรรกยะ จริงเสมอ (33.3) x ทุกตัว ใช้ y ได้บางตัว เท็จ
(, ∨ T ≡ T )
เช่น x = 0 จะใช้ y ไม่ได้เลย
ง. “มีบาง x ซึ่ง... x เป็นจํานวนตรรกยะ และ (33.4) x ทุกตัว y ทุกตัว เท็จ แน่นอน
22
ไม่เป็นจํานวนอตรรกยะ” เช่น x = 0, y = 0 ก็ไม่ได้แล้ว
7
... จริง เพราะ 22 ไม่เป็นจํานวนอตรรกยะ จริง (34.1) เท็จ เช่น x = 1, y = −1 จะได้วา่ 2 ≠ 0
7
(34.2) ทุกๆ x จะใช้ y ได้บางตัว จริง เช่น
เสมอ และลองแทนด้านหน้าให้จริงด้วย เช่น x = 1 x = 0, y = 0 x = 0, y = 1 x = − 1, y = − 1
หมายเหตุ ∀x พิสจู น์ให้เท็จง่าย
∃x พิสจู น์ให้จริงง่าย (34.3) บาง x ใช้ y ได้ทุกตัว เท็จ
(29) ก. “สําหรับทุก x ... x > x2 ” เช่น x = −1 ใช้ y = 1 ไม่ได้
x = 0 ใช้ y = 1 ไม่ได้
ใน U = (0, 1) ... จริง
x = 1 ใช้ y = −1 ไม่ได้
ข. “สําหรับทุก x ... x เป็นจํานวนเฉพาะ หรือ
(34.4) บาง x บาง y จริง
ห.ร.ม. ของ 3 กับ x เป็น 1 ” ... จริง เพราะ
2, 3, −5 เป็นจํานวนเฉพาะ, และ 8 มี ห.ร.ม. กับ
(34.5) บาง x ใช้ y ได้ทุกตัว เท็จ
3 เป็น 1
เช่น x = 0, y = 0 ไม่ได้ x = 1, y = 1 ไม่ได้
ดังนัน้ ก. ถูก ข.ผิด x = −1, y = −1 ก็ไม่ได้
(30) ∃x (x3 + 5x − 1 < 4) เป็นจริง เช่น x = −1 (35.1) บาง x ใช้ y ได้ทุกตัว เท็จ
จะได้ −7 < 4 จริง ( y = x ไม่ได้)
∀x(|x2 − 1| < 0 → x > − 2) เป็นจริง (35.2) x ทุกตัว ใช้ y ได้บางตัว จริง
เพราะส่วนที่ขีดเส้นใต้เป็นเท็จเสมอ คือ x = 2, y = −2 ได้, x = −2, y = 2 ได้
และ F → , ≡ T สรุปข้อนีต้ อบ T ∧ T ≡ T (36) ก. ∀x∃y(xy = 1) เท็จ
2
(31) ∃x(x − 1 เป็นจํานวนนับ) จริง เช่น x = 2 เช่น x = 2 จะไม่มี y ∈ I ที่ใช้ได้เลย
จะได้ 22 − 1 = 3 เป็นจํานวนนับ ∃x∀y(xy = y) จริง
∀x(x + 1 > 0) จริง (จํานวนนับใดๆ + 1 ย่อม ถ้า x = 1 จะได้วา่ xy = y เสมอทุกๆ y
มากกว่า 0 ) ดังนัน้ สรุปข้อนี้ F ↔ T ≡ F
2 2 ข. ∀x∃y(xy = 1) เท็จ ∃x∀y(xy = y) จริง
∀x( < 0) เท็จ เช่น x = 1 จะได้ <0
x 1 (เหตุผลเดียวกับข้อ ก.) ข้อนีจ้ ึงได้ F ↔ T ≡ F
ดังนัน้ ข้อนี้ตอบ (T ∧ T) → F ≡ F ค. ∀x∃y(xy = 1) เท็จ เช่น x = 0 จะไม่มี
(32.1) ∃x(x2 ≠ 1) จริง เช่น x = 0 , y ∈ R ที่ใช้ได้เลย
∀x(x2 ≠ 1) เท็จ เช่น x = 1 , ดังนัน
้ T→F≡F ∃x∀y(xy = y) จริง (เหตุผลเดิม)
(32.2) ∃x(x + 1 > 0) จริง เช่น x = 0 ดังนัน้ ข้อนี้ F ↔ T ≡ F
∃x(x2 ≠ 1) จริง ดังนั้น T ∧ T ≡ T ง. ∀x∃y(xy = 1) จริง ไม่วา่ x ∈ R+ ใด
(32.3) ∃x(x + 1 > 0 และ x2 ≠ 1) จริง จะมี y ∈ R+ ใช้ได้เสมอ
เช่น x = 0 ดังนัน้ T ∃x∀y(xy = y) จริง (เหตุผลเดิม)
(32.4) ∀x(x2 > 0) เท็จ เช่น x = 0 ดังนัน้ ข้อนี้ T ↔ T ≡ T ... ตอบ ง.
∀x(x = 0) เท็จ เช่น x = 1 ดังนัน้ F∨F ≡F
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 80 ตรรกศาสตร

(37) ก. เท็จ เช่น x = 10, y = 5 จะได้ 15 > 50 (41.4) 9 × 9876 + 4 = 88888 ,


ข. เท็จ ไม่มี x, y ใดเลย ที่บวกกันแล้ว < 0 ได้ 9 × 98765 + 3 = 888888
ค. เท็จ ไม่มี x ใด ที่ใช้ y ได้ทุกตัว (41.5) 11 × 14 = 154 , 11 × 15 = 165
(ไม่ว่า x ใด เราจะหา y ที่ > x ได้เสมอ) (41.6) 1089 × 4 = 4356 ,
ง. จริง ทุกๆ x จะมีบาง y ซึ่ง y > x เสมอ 1089 × 5 = 5445
ดังนัน้ ตอบ ง. (41.7) 2 (3) + 2 (9) + 2 (27) + 2 (81) = 3 (81 − 1) ,
(38.1) ∃x [P (x) ∧ Q (x)] 2 (3) + 2 (9) + 2 (27) + 2 (81) + 2 (243) = 3 (243 − 1)
(38.2) ∃x [P (x) ∧ Q (x) ∧ ~ R (x))] (41.8) 6 × 7 = 2 (1 + 2 + 3 + 4 + 5 + 6) ,
(38.3) ∀x [P (x)] → ∃x [Q (x)] 7 × 8 = 2 (1 + 2 + 3 + 4 + 5 + 6 + 7)
(38.4) ∀x∀y [(x + y = 5) ∧ (x − y ≠ 1)] (42.1,42.2)
(38.5) ∀x∀y [x 0 ∨ y = 0 ∨ xy 0] สมชาย
(38.6) ∀x∃y (xy > 0 ∧ x > 0 ∧ y > 0) สมชาย
(38.7) ∀x∀y [P (y) ∧ ~ R (x) ∧ Q (x)] คน สิ่งที่ว่ายน้ําได้
(38.8) ∃x∀y∃z (x + y < z หรือ xy > z) เป็นไปได้ทั้ง 2 แบบ จึงไม่สมเหตุสมผล
(39) ก. ถูกแล้ว (42.3)
แต่ ข. ผิด ต้องเป็น ∃x[x < 6] ∧ ∃x[x < 8]
(40.1) a = −9 (เป็นจํานวนคี่ ติดลบ เรียงกัน / คนคุยใน
หรืออาจมองว่าลดลงทีละ 2 ก็ได้) เวลาเรียน นร.ห้องนี้
(40.2) a = 22 (ลงท้ายด้วยเลข 2 และขึ้นหลัก เด็กดี
ยี่สิบ / หรืออาจมองว่าเพิ่มทีละ 5 ก็ได้) สมเหตุสมผล
(40.3) a = 5 (จํานวนนับเรียงกัน โดยติดลบสลับ (42.4)
กับไม่ติดลบ)
(40.4) a = 48 (บวกด้วยตัวมันเองกลายเป็นพจน์
ถัดไป / หรืออาจมองว่าคูณ 2) ผู้ทําการบ้าน นักเรียน ผู้เล่นฟุตบอล
(40.5) a = −5 (ลดลงทีละ 2) ไม่เสร็จ
3 → 1
หรือ a = 3 ก็ได้ (มองว่าหมุนเวียน) ↑ ↓ อาจเป็นไปตามนีไ้ ด้ ∴ ไม่สมเหตุสมผล
−3 ← −1
5
(42.5)
(40.6) a = (เศษส่วนของจํานวนนับเรียงติดกัน)
6
(40.7) a = 25 (กําลังสองของจํานวนนับ) ฉัน
(40.8) a = 3 3 3 3 3 (มีเลข 3 อยู่ 5 ตัว) ผู้เงินหมด ผู้โดยสารรถเมล์ได้
(40.9) หลักหน่วยควรเป็น 7 เนื่องจากหลักหน่วย สมเหตุสมผล
เรียงกันเป็นลําดับ 5, 6, _, 8, 9 (42.6)
ส่วนหลักทีเ่ หลือก็เป็นลําดับ
12,
 72
, _, 4032, 36288

นกแก้ว
×6 ×9
พบว่า 72 × 7 = 504 และ 504 × 8 = 4032 พอดี สิ่งที่บินได้
สัตว์น้ํา
ดังนัน้ ตอบว่า 5047 สมเหตุสมผล
(41.1) 37 × 12 = 444 , 37 × 15 = 555 (42.7)
(41.2) 9 × 9999 = 89991 ,
9 × 99999 = 899991 คนมี ฉัน ฉัน
(41.3) 1234 × 9 = 11111 − 5 ,
ความสุข
คนยิ้มแย้ม
12345 × 9 = 111111 − 6
เป็นไปได้ 2 แบบ ∴ ไม่สมเหตุสมผล

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 81 ตรรกศาสตร

(42.8) (42.13)

นักเรียน สมนึก
ผู้ร้าย
คนสวมแว่นตา ช่าง คนขยัน
อาจเป็นตามนี้ได้ ∴ ไม่สมเหตุสมผล สมเหตุสมผล
(42.9) (42.14)
สมนึก
พระเอกหนัง สมนึก
นางแบบ
ผู้ชาย ช่าง คนขยัน
สมเหตุสมผล
(42.10) ไม่สมเหตุสมผล เป็นไปได้ 2 แบบ ∴ ไม่สมเหตุสมผล
เพราะในเหตุไม่ได้ระบุว่า คนเป็นอะไร (42.15)
(ไม่ได้พูดถึงคน, พูดถึงแต่สตั ว์) สุนัข
“ไม่ได้บอกว่าคนเป็นสิง่ มีชีวติ ”
ห้ามใช้ความจริงบนโลกในการตัดสิน! สัตว์
(42.11)
สิ่งที่ต้องหายใจ
ผู้ชาย อาจเป็นตามนี้ได้ ∴ ไม่สมเหตุสมผล
ครู
ผู้ชอบดื่มกาแฟ (42.16) ไม่สมเหตุสมผล
อาจเป็นตามนี้ได้ ∴ ไม่สมเหตุสมผล เพราะในเหตุไม่ได้กล่าวว่าอะไรคือ “ผลไม้ทที่ านได้”
(42.12) (คล้ายข้อ 42.10 คือห้ามใช้ความรู้สึกในการตัดสิน,
ห้ามใช้ความจริงบนโลกในการตัดสิน ให้ยดึ ถือเฉพาะ
กุ้ง เหตุที่ให้มาเท่านัน้ )
(42.17)
ปลา
สิ่งที่มีสองตา
อาจเป็นตามนี้ได้ ∴ ไม่สมเหตุสมผล เพนกวิน
นก
สิ่งที่บินได้ สิ่งที่มีปีก
อาจเป็นตามนี้ได้ ∴ ไม่สมเหตุสมผล

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 82 ตรรกศาสตร

eÃ×èo§æ¶Á
มองตรรกศาสตร์ให้เป็นการคํานวณ จากพื้นฐานของดิจิตัล..
วิชาตรรกศาสตร์ถูกใช้เป็นพื้นฐานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบดิจิตัล ซึง่ ส่งสัญญาณด้วยค่าแรงดันไฟฟ้า
เป็นสัญญาณ “0” กับ “1” เท่านัน้ ...สัญญาณ “0” ใช้แรงดัน 0 โวลต์, เทียบได้กบั “False” ในตรรกศาสตร์
และสัญญาณ “1” ใช้แรงดัน 5 โวลต์ (หรือ 12 โวลต์ แล้วแต่อุปกรณ์), เทียบได้กับ “True” ในตรรกศาสตร์

ชิพที่ฝงั อยู่ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จะมีหลักการทํางานเสมือนเป็น
ตัวเชือ่ มทางตรรกศาสตร์ เรียกตัวเชื่อมเหล่านีว้ ่า เกต (Gate) เข้า ออก
เกตที่นิยมใช้กนั ทั่วไปมีดงั นี้ inv
0 1

(1) INVERTER (เทียบได้กับ “นิเสธ”) 1


เปลี่ยน 0 เป็น 1 และเปลี่ยน 1 เป็น 0 and
0 0
(2) AND (เทียบได้กับ “และ”) 1
จะเป็น 1 เพียงกรณีเดียวคือสัญญาณเข้าทั้งสองด้านเป็น 1 or
0 1
(3) OR (เทียบได้กับ “หรือ”)
จะเป็น 0 เพียงกรณีเดียวคือสัญญาณเข้าทั้งสองด้านเป็น 0 1
nand
0 1
(4) NAND กับ NOR (อ่านว่า แนนด์ กับ นอร์)
เป็นนิเสธของ AND กับนิเสธของ OR ตามลําดับ 1
คือนําผลที่ได้จาก AND กับ OR มากลับค่าให้เป็นตรงกันข้าม nor
0 0
(5) XOR (อ่านว่า เอ๊กซ์-ออร์)
จะเป็น 1 เมือ่ สัญญาณเข้าด้านหนึ่งเป็น 0 1
และอีกด้านเป็น 1 เท่านัน้ (0 ทั้งคู่ กับ 1 ทั้งคู่ จะให้ผลเป็น 0) xor
0 1
จากความรู้ทางตรรกศาสตร์จะพบว่าเป็นนิเสธของ “ก็ต่อเมื่อ” นั่นเอง

สิ่งทีน่ า่ สนใจของดิจติ ัลคือการมองตรรกศาสตร์เป็นแบบคํานวณ คือเมื่อเราให้ 0 แทน False และ 1 แทน


True แล้วจะพบว่าตัวเชือ่ ม AND มีลักษณะเหมือนการคูณ ส่วน OR นั้นมีลกั ษณะเหมือนการการบวก (โดย
ที่ 1+1 จะต้องเท่ากับ 1, จะเป็น 2 ไปไม่ได้นะครับ..) ดังตารางนี้
A not A
A B A and B A B A or B (A )
(AB) (A+B) 1 0
1 1 1 1 1 1 0 1
1 0 0 1 0 1
0 1 0 0 1 1 หมายเหตุ
0 0 0 0 0 0 A nand B = AB = A + B
A nor B = A + B = A B
เราสามารถนําพืน้ ฐานดิจติ ัลกลับไปประยุกต์ใช้กับวิชาตรรกศาสตร์ได้ (แจกแจงนิเสธตามกฎตรรกศาสตร์)
A xor B ใช้สัญลักษณ์ A ⊕B
เพียงแค่ทราบว่า “และคือคูณ”, “หรือคือบวก” เท่านี้เองครับ :]

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 83 เรขาคณิตวิเคราะห

G (e,o)

º··Õè 4 eâҤ³iµÇie¤ÃÒaˏ
เรขาคณิตวิเคราะห์ (Analytic Geometry)
เป็นวิชาคํานวณเกี่ยวกับรูปเรขาคณิต โดยการเขียน
กราฟลงบนพิกัดฉาก เช่น การหาระยะระหว่างจุดสอง
จุด, ระหว่างเส้นตรงคู่ขนานสองเส้น, การหาพื้นที่รูป
หลายเหลี่ยม, หรือการหาความชันของเส้นตรง เป็น
ต้น ซึ่งจะใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับ
ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ในบทถัดไปได้ นอกจากนี้
ความสัมพันธ์ที่พบบ่อยอาจมีกราฟเป็นเส้นโค้ง ได้แก่
วงกลม พาราโบลา วงรี และไฮเพอร์โบลา
y
ใน ระนาบ (Plane) หนึ่งๆ เราจะอ้างถึงตําแหน่งหรือจุดใดๆ
ได้ด้วยค่า พิกัด (Coordinate) โดยระบบที่นิยมใช้มากที่สุดคือระบบ Q2 Q1
(−, +) (+, +)
พิกัดฉาก (Cartesian Coordinate) ประกอบด้วยเส้นจํานวน 2 เส้น x
ตั้งฉากกัน ณ จุดที่สมมติให้เป็น จุดกําเนิด (Origin; หรือจุด O) Q3 O Q4
เรียกชื่อเส้นนอนและเส้นตั้ง ว่าแกน x และแกน y ตามลําดับ (−, −) (+, −)
แกนทั้งสองนี้ตัดกัน แบ่งพื้นที่ในระนาบ xy ออกเป็น 4 ส่วน
เรียกแต่ละส่วนว่า จตุภาค (Quadrant; Q) ได้แก่ จตุภาคที่ 1, 2, 3, และ 4 ดังภาพ
การอ้างถึงพิกัดในระบบพิกัดฉาก นิยมเขียนในรูป คู่อันดับ (Ordered Pair) ที่สมาชิกตัว
แรกแทนระยะทางในแนว +x และตัวหลังแทนระยะทางในแนว +y เช่น คู่อันดับ (2, 4)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 84 เรขาคณิตวิเคราะห

4.1 เบื้องต้น : จุด


การเขียนชื่อจุดนิยมใช้ตัวอักษรใหญ่ เช่น จุด P, จุด Q และอาจเขียนกํากับด้วยคู่อันดับใน
พิกัดฉาก เป็น P (x, y) ใดๆ เช่น Q (2, 4) ใช้แทนจุดที่ชื่อ Q และมีพิกัดเป็น (2, 4)

[1] ระยะห่างระหว่างจุดสองจุด
สัญลักษณ์ที่ใช้แทนระยะห่าง ระหว่างจุด P กับ Q คือ PQ

Q (x2,y2) พิสูจน์ได้จาก ทฤษฎีบทปีทาโกรัส


(Pythagorean Theorem)
PQ = (x2− x1) 2+ (y2− y1) 2
เพิ่มเติม
สูตรระยะทางระหว่างจุดนี้จะได้นําไปใช้อีกครั้งและ
P (x1,y1) ขยายผลออกเป็นระยะทางในสามมิติ ในเรื่อง
เวกเตอร์ (บทที่ 10) และนอกจากนั้นยังใช้คํานวณ
ค่าสัมบูรณ์ของจํานวนเชิงซ้อน (ในบทที่ 11) ด้วย
[2] จุดกึ่งกลางระหว่างสองจุด จุดที่แบ่งระยะทางเป็นอัตราส่วน m:n
Q (x2,y2) Q (x2,y2)
m
x1+ x2 y1+ y2
R( , )
2 2 n mx + nx2 my1+ ny2
R( 1 , )
m+n m+n
P (x1,y1) P (x1,y1)
[3] จุดตัดของเส้นมัธยฐานของสามเหลี่ยม
เส้นมัธยฐาน คือเส้นตรงที่เชื่อมจุดยอดจุดหนึ่งกับจุดกึ่งกลางของด้านตรงข้าม ซึ่งจุดตัดของ
เส้นมัธยฐาน (เรียกว่าจุด Centroid) จะแบ่งเส้นมัธยฐานแต่ละเส้นออกเป็นอัตราส่วน 2 : 1 เสมอ
R (x3,y3)
x+x +x y+y +y
C ( 1 2 3 , 1 2 3)
C 3 3
P (x1,y1)
Q (x2,y2)
[4] พื้นที่ของรูปหลายเหลี่ยม
คํานวณได้โดย นําคู่อันดับของจุดยอดมาตั้งเรียงแบบทวนเข็มนาฬิกาให้ครบทุกจุด (โดยวนกลับมาที่
จุดแรกอีกครั้งด้วย) จากนั้น คูณลงเครื่องหมายเดิม คูณขึ้นเปลี่ยนเครื่องหมาย (วิธีการเดียวกับการ
หา det ในเรื่องเมตริกซ์ บทที่ 9) นําค่าที่ได้รวมกันแล้วหารสอง จะเป็นพื้นที่ของรูปหลายเหลี่ยมนั้น
T (x5,y5) S ¢Œo¤Ç÷ÃÒº! S
x1 y1
x2 y2
P (x1,y1) 1. 㪌¡aºÃÙ»¡ÕèeËÅÕèÂÁ¡ç䴌 eª‹¹ 3 eËÅÕèÂÁ
x y3
eÃҡ経o§¤Ù³Å§ 3 ¤Ãaé§ ¤Ù³¢Öé¹ 3 ¤Ãaé§
1
พื้นที่ = ⋅ 3
2 x 4 y4 2. ¶ŒÒäÁ‹eÃÕ§¨u´µÒÁeʌ¹ÃoºÃÙ» ¤íÒµoº·Õè
x5 y5
S (x4,y4)
䴌¨a¼i´ ... 测¶ŒÒeÃÕ§µÒÁe¢çÁ¹ÒÌi¡Ò
x1 y1 Q (x2,y2) R (x3,y3) ¤íÒµoº·Õè䴌¨ae»š¹ µi´Åº¢o§¤‹Ò·Õè¶Ù¡µŒo§
1
= (x1y2+ x2y3+ x3y4+ x4y5+ x5y1− x2y1− x3y2− x4y3− x5y4− x1y5)
2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 85 เรขาคณิตวิเคราะห

แบบฝึกหัด 4.1
(1) กําหนดจุด P1 (1, 7) และ P2 (−5, 2) ให้หาค่า PP
1 2

(2) ถ้า P, Q เป็นจุดกึ่งกลางของ AB , CD ตามลําดับ เมื่อกําหนด A (2, 7) , B (6, −3) ,


C (−2, 5) , และ D (8, 1) ให้หาความยาวของ PQ y
(3) กําหนดสี่เหลี่ยมด้านขนาน OBCD ดังภาพ, P เป็นจุดกึ่งกลาง D (2,4) C
ของ BC , และ PC = PQ จงหาขนาดพื้นที่สามเหลี่ยม PQC
P Q
(4) กําหนดสามเหลี่ยม ABC มีจุดยอดมุมอยู่ที่ A (5, −3) ,
x
B (−6, 1) , C (1, 8) แล้วสามเหลี่ยมรูปนี้เป็นสามเหลี่ยมชนิดใด O B (2,0)
(5) สามเหลี่ยม ABC มีจุดกึ่งกลางด้านทั้งสามเป็น P (−2, 1) , Q (5, 2) , R (2, −3) ให้หาความยาว
เส้นรอบรูปสามเหลี่ยม ABC นี้
(6) กําหนดสามเหลี่ยมรูปหนึ่งมีจุดยอดอยู่ที่ A (2, 8) , B (6, 12) , C (−2, −4)ถ้าจุด P และ Q อยู่
บนด้าน AB และ BC ตามลําดับ โดยมีอัตราส่วน AP : PB = 1 : 3 , BQ : BC = 3 : 4 ให้
หา PQ
(7) ข้อใดถูกหรือผิดบ้าง เมื่อกําหนด
ก. จุด A (10, 5) , B (3, 2) , C (6, −5) เป็นจุดมุมของรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก
ข. จุด D (1, 2) , E (−3, 10) , F (4, −4) อยูบ่ นเส้นตรงเดียวกัน
ค. จุด A (−2, 3) , B (−6, 1) , C (−10, −1) อยู่บนเส้นตรงเดียวกัน
(8) จงหาจุด P บนแกน x ซึ่งอยู่ห่างจากจุด P1 (1, −2) และ P2 (3, 5) เป็นระยะเท่ากัน
(9) ให้หาจุดศูนย์กลางของวงกลม ซึ่งผ่านจุด (1, 7) , (8, 6) , (7, −1)

(10) ให้หาผลบวกของความยาวเส้นมัธยฐาน ของสามเหลี่ยม


ที่มีจุดยอดอยู่ที่ A (2, −1) , B (4, 3) , และ C (−2, 5)
(11) ถ้า (m, n) เป็นจุดตัดของเส้นมัธยฐาน ของสามเหลี่ยมที่มีจุดยอดอยู่ที่ (4, 5) , (−4, 7) , และ
(4, 1) แล้วจงหาค่า m − n

(12) สามเหลี่ยม ABC มีจุดยอดเป็น B (6, 7) , C (−4, −3) ถ้าจุด P (4/3, 1) เป็นจุดตัดของเส้น
มัธยฐานแล้ว เส้นมัธยฐานที่ลากจาก A มีความยาวเท่าใด
(13) P เป็นจุดกึ่งกลางระหว่าง (13, 2) และ (−13, −2) , Q เป็นจุดกึ่งกลางระหว่าง (6, 10) และ
(0, 14) , R เป็นจุดกึ่งกลางระหว่าง (8, 4) และ (16, −4) ให้หาพื้นที่และตําแหน่งจุดตัดของเส้นมัธย
ฐาน ของรูปสามเหลี่ยม PQR
(14) จงหาผลต่างของพื้นที่สามเหลี่ยม ABC และ PQR เมื่อกําหนดตําแหน่งจุดยอดให้ ดังนี้
A (1, 3) , B (−2, 0) , C (3, −5) , P (0, 0) , Q (8, 18) , และ R (12, 27)

(15) กําหนดจุด P (3, −2) , Q (−2, 3) , R (0, 4) แล้วข้อใดถูกหรือผิดบ้าง


ก. ความยาวเส้นรอบรูปสามเหลี่ยม PQR เป็น 9 5 หน่วย
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 86 เรขาคณิตวิเคราะห

ข. พื้นที่รูปสามเหลี่ยม PQR เป็น 15 ตารางหน่วย


(16) ให้หาพื้นที่รูปห้าเหลี่ยมซึ่งมีจุดยอดอยู่ที่ A (1, 4) , B (−3, −2) , C (−1, −3) , D (−4, 5) , และ
E (−2, 7)

4.2 เบื้องต้น : เส้นตรง


เราสามารถสร้างเส้นตรงที่ผ่านจุดสองจุดที่กําหนดให้ เช่น จุด P กับ Q ใดๆ ได้เสมอ และ
เขียนแทน “ส่วนของเส้นตรง” ที่เชื่อมระหว่างจุด P กับ Q ด้วยสัญลักษณ์ PQ นอกจากนั้นนิยมตั้ง
ชื่อ “เส้นตรง” ด้วยอักษร L เช่น เส้นตรง L1 , เส้นตรง L2

[1] ความชัน (Slope; m) ของเส้นตรง ที่ทราบจุดผ่านสองจุด


เส้นตรงสองเส้น ขนานกัน (Parallel; ) ก็ต่อเมื่อ มีความชันเท่ากัน
และเส้นตรงสองเส้น ตั้งฉากกัน (Perpendicular; ⊥ ) ก็ต่อเมื่อ ความชันคูณกันเป็น -1
Q (x2,y2) y −y
m = tan θ = 2 1
x2− x1
θ

ถ้า m > 0 (เป็นค่าบวก) แสดงว่า กราฟเฉียงขึ้นทางขวา


P (x1,y1) ถ้า m < 0 (ติดลบ) แสดงว่า กราฟเฉียงลงทางขวา
ถ้า m = 0 แสดงว่า เป็นเส้นนอนขนานแกน x
และถ้าเป็นเส้นตั้งขนานแกน y จะได้ว่า m หาค่าไม่ได้
[2] สมการของเส้นตรง
[2.1] เมื่อทราบจุดผ่านจุดหนึ่ง (x1, y1) และค่าความชัน m
y − y1
เราใช้ความสัมพันธ์ของความชัน คือ = m
m x − x1
หรือจัดรูปได้ว่า y − y1 = m (x − x1)
P (x1,y1)
[2.2] เมื่อทราบจุดผ่านสองจุด (x1, y1) , (x2 , y2)
ให้คํานวณค่าความชันจากสองจุดนี้ก่อน แล้วจึงทําตามข้อ (2.1)
โดยเลือกใช้จุดใดก็ได้จุดเดียว
Q (x2,y2)
สมการที่ได้จะเป็น y − y1 = ⎛⎜ y2 − y1 ⎞⎟ (x − x1)
⎝ x2 − x1 ⎠
P (x1,y1)
[2.3] เมื่อทราบ ระยะตัดแกน (Intercept) ทัง้ สองแกน
y สามารถใช้สมการเส้นตรงในรูป Intercept Form
ได้แก่ x + y = 1
a b
เมื่อ a, b คือ ระยะตัดแกน x และ y ตามลําดับ
b หรือกล่าวว่าเส้นตรงตัดแกน x ที่จุด (a,0)
x และตัดแกน y ที่จุด (0,b)
O a โดยที่ a, b อาจเป็นค่าติดลบก็ได้

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 87 เรขาคณิตวิเคราะห

ข้อควรทราบ
1. สมการเส้นตรงมีรูปทั่วไป (Common Form) เป็น A x + B y + C = 0
2. สมการเส้นตรงที่นิยมใช้ประโยชน์มีอยู่ 3 รูปแบบ ได้แก่
Slope-Intercept Form y = mx + c เมื่อ c คือระยะตัดแกน y
Slope-Point Form y − y1 = m (x − x1)
S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S
x y
Intercept-Intercept Form + = 1
a b eÁ×èo¨aËÒ¤ÇÒÁªa¹o´Â –A/B ¹aé¹
A C ¤ÇèíÒÇ‹Ò µi´ÅºË¹ŒÒ x ʋǹ´ŒÇÂ
3. เมื่อนํารูปทั่วไป มาจัดข้างตัวแปรใหม่ จะได้ y = − x −
B B ˹ŒÒ y e¾×èoäÁ‹ãˌ㪌¼i´µaÇ æÅaµŒo§
A C
ทําให้ทราบว่า ค่าความชัน m = − และระยะตัดแกนวาย c = − ¨a´ÊÁ¡ÒÃãˌoÂًã¹ÃÙ» Ax+By+C
B B
=0 ¡‹o¹eÊÁo ¹a¤Ãaº..

• ตัวอยาง กําหนดพิกดั จุด P (1, 3) และ Q (5, 9)


ก. ความชันของเสนตรงทีผ่ านจุด P และ Q เทากับเทาใด
ตอบ m = 95 −− 31 = 3/2
PQ

ข. ใหหาสมการเสนตรง L ซึ่งตั้งฉากกับ PQ และผานจุดกึ่งกลางของ


1 PQ

วิธีคิด เนื่องจาก L ตั้งฉากกับ PQ ดังนั้น m = − 23 (ความชันคูณกันตองได


1 L1 −1 )
จุดกึ่งกลางของ PQ อยูทีพ่ ิกัด (1 +2 5 , 3 2+ 9) ... นั่นคือ (3, 6)
สราง L ไดจากความชันและจุดที่ผา น คือ (y − 6) = − 23 (x − 3) ... จัดรูปใหมใหสวยงาม
1

ไดเปน 3y − 18 = −2x + 6 ... และกลายเปน 2x + 3y − 24 = 0

• ตัวอยาง เสนตรง L ตัดแกน y ที่ (0, 1/3) และมีระยะตัดแกน


5 x ทางลบเทากับ 1/2 หนวย สวน
เสนตรง L ผานจุด (−1, 2) และตั้งฉากกับ L
6 5

ก. เสนตรง L และเสนตรง L มีความชันเทาใด


5 6

ตอบ เมื่อวาดกราฟคราวๆ จะไดวา m = 1/3 1/2


= 2/3
L5

เสนตรง L ตั้งฉากกับ L ดังนัน้ m = −3/2


6 5 L6

หมายเหตุ : ระยะตัด “แกน x ทางลบ” เทากับ 1/2 หมายความวาตัดแกน x ที่จุด (−1/2, 0)


ข. จุดที่เสนตรงทั้งสองตั้งฉากกัน อยูท ี่พกิ ัดใด
วิธีคิด สรางสมการเสนตรง L และ L กอน ...
5 6

x y
เสนตรง L อาจสรางไดโดยระยะตัดแกนทั้งสอง −1/2
5 +
1/3
= 1 จัดรูปเปน 2x − 3y = −1

เสนตรง L สรางไดเปน (y − 2) = − 23 (x + 1) จัดรูปเปน 3x + 2y = 1


6

จุดที่เสนตรงทั้งสองตั้งฉากกัน ก็คือจุดตัดของสองเสนตรง หาไดจากการแกระบบสมการ


ไดคําตอบเปน (1/13, 5/13)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 88 เรขาคณิตวิเคราะห

[3] ระยะห่างระหว่างเส้นตรงคู่ขนานสองเส้น
S ¢Œo¤ÇÃÃaÇa§! S
Ax+By+C1=0 C2− C1 ¨aµŒo§¨a´ÃÙ»ÊÁ¡ÒÃeʌ¹µÃ§·a§é Êo§eʌ¹ãˌoÂً
d = ã¹ÃÙ» Ax+By+C=0 eÊÁo... æÅa¶ŒÒ¤‹Ò A,
d A2+ B2
B ¢o§Êo§ÊÁ¡ÒÃäÁ‹eËÁ×o¹¡a¹ µŒo§ËÒ
Ax+By+C2=0 ¤‹Ò¤§·ÕèÁÒ¤Ù³ãˌeËÁ×o¹¡a¹¡‹o¹¹a¤Ãaº

[4] ระยะห่างระหว่างจุดกับเส้นตรง
P (x1,y1) A x1 + B y1 + C
d =
d A2+ B2
Ax+By+C=0

• ตัวอยาง กําหนดเสนตรง L : 2x + 3y − 24 = 0
1

ก. ระยะทางจากจุด S (−2, 5) ไปยังเสนตรง L1 เทากับเทาใด


2(−2) + 3(5) − 24 13
ตอบ dSL1 = = = 13 หนวย
2
2 +3 2 13

ข. ใหหาสมการเสนตรงทีอ่ ยูหางจาก L เปนระยะ 2 13 หนวย 1

วิธีคิด สมการเสนตรงทีไ่ ด จะตองขนานกับ L (มีความชันเทากัน) จึงจะทําใหระยะหางคงที่ได


1

ดังนั้น ใหสมการที่ตองการ เปน 2x + 3y + C = 0 แลวหาคา C ที่ถูกตอง จากสมการระยะหาง


− 24 − C
นั่นคือ 2 13 = ... ยายขางและถอดคาสัมบูรณ ไดเปน ±26 = −24 − C
22 + 32
จะไดคา C = 2, −50 จึงตอบวา 2x + 3y + 2 = 0 และ 2x + 3y − 50 = 0
ค. ใหหาจุดบนเสนตรง L : 2x + y − 6 = 0 ซึ่งอยูหา งจาก L เปนระยะ
2 1 2 13 หนวย
วิธีคิด สมมติวา จุดที่ตองการคือ (x , y ) จะไดสมการระยะหาง ดังนี้
1 1

2x1 + 3y1 − 24
2 13 = ซึ่งจะพบวา ติดสองตัวแปร ... แตในทีน่ ี้เราสามารถแกไดเพราะโจทยกําหนด
22 + 32
มาดวยวาจุด (x , y ) อยูบนเสนตรง 2x + y − 6 = 0 ... ดังนัน้ 2x + y − 6 = 0
1 1 1 1

นําไปแทนทีใ่ นคาสัมบูรณแลวแกสมการตามปกติ ไดผลเปน x = −8, 5 ถา x = −8 ได y = 22 และถา


1 1 1

x = 5 ได y = −4 ... จึงตอบวาจุดที่ตองการ คือ (−8, 22) และ (5, −4)


1 1

หมายเหตุ ขอ ค. สามารถคิดไดอีกวิธี คือ หาจากจุดตัดระหวางเสนตรง L กับเสนตรงที่เปนคําตอบของ 2

ขอ ข. เพราะเสนตรงในขอ ข. ก็คือเสนที่หางจาก L อยู 2 13 หนวยแลว 1

• ตัวอยาง กําหนดสมการเสนตรง L คือ 3x + y = 2 3 และ L คือ 3x + 3y = 18


3 4

ก. เสนตรงที่ขนานกับ L จะตองมีความชันเทาใด
3

ตอบ คิดจาก −A/B จะงายที่สุด เพราะไมตองจัดรูป ... ไดคําตอบเปน − 3 /1 = − 3


ข. มุมระหวาง L กับแกน x ที่เปนมุมแหลม มีขนาดกี่องศา
4

วิธีคิด หาความชันของ L กอน ไดเปน −3/ 3 = − 3


4

จากนั้นพิจารณาวาความชันคือ อัตราสวนแกนตัง้ ตอแกนนอน ( y : x ) ในที่นี้เทากับ 3

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 89 เรขาคณิตวิเคราะห

คิดจากตรีโกณมิติ จะพบวามุมทีท่ ํากับแกน x จะเทากับ 60°


(หมายเหตุ : มุมที่ได จะเทากันไมวาความชันเปนบวกหรือลบ เพียงแตเอียงคนละทิศกัน)
ค. วงกลมใดๆ ที่อยูระหวาง L กับ L จะมีรัศมีไดมากที่สุดหนวย
3 4

วิธีคิด เนื่องจากเสนตรง L กับ L ขนานกัน (จากความชันที่คํานวณได ในขอ ก. และ ข.)


3 4

ถาเราทราบระยะหางระหวางสองเสนนี้ ก็จะทราบวาวงกลมตรงกลางมีขนาดใหญทีส่ ดุ ไดเทาใด


C2− C1
ระยะหางระหวางเสนตรง คิดจาก d = ... แตในขอนีค้ า A, B ของเสนตรงทั้งสองไม
A2+ B2
เหมือนกัน จึงตองปรับใหเทากัน เชน หารสมการ L4 ดวย 3 กลายเปน 3x + y = 6 3

6 3 −2 3 4 3
ดังนั้น dL3L4 = = = 2 3 ... สรุปวาวงกลมที่จะอยูระหวาง L3 กับ L4 ได
3 +1
2 2 2

จะตองมีเสนผานศูนยกลางไมเกิน 2 3 หนวย หรือ รัศมีทีม่ ากทีส่ ุดเทากับ 3 หนวย


ง. พืน้ ที่ของรูปสามเหลี่ยมที่ปด ลอมดวย L , แกน x , และแกน y มีขนาดเทาใด
3

วิธีคิด เสนตรงใดๆ ที่ความชันหาคาไดและไมเทากับ 0 และไมผานจุด (0, 0) ยอมทําใหเกิดรูป


สามเหลี่ยมที่มีดา นประกอบมุมฉากเปน แกน x และแกน y ไดเสมอ ... ซึ่งขนาดของพื้นที่สามเหลีย่ มนี้
หาไดงายๆ ดวยระยะตัดแกน x และแกน y นัน่ เอง
ในขอนี้ ระยะตัดแกน x (แทน y = 0 ) เปน 2 และระยะตัดแกน y (แทน x = 0 ) เปน 2 3
... ดังนั้นขนาดพืน้ ที่สามเหลี่ยม เทากับ (1/2) × (2) × (2 3) = 2 3 ตารางหนวย

[5] ขนาดของมุมที่เกิดจากเส้นตรงสองเส้นตัดกัน
m1 m2
m1 − m2
tan θ =
θ 1 + m1m2

การหาเส้นตรงที่แบ่งครึ่งมุม θ นี้พอดี จะใช้ความสัมพันธ์ที่ว่า


“ระยะทางจากจุดบนเส้นตรงนี้ ไปยังเส้นตรงที่กําหนดให้ทั้งสองเส้น จะเท่ากันเสมอ”
นั่นคือ A1x + B2 1y +2 C1 = A2x + B22y +2 C2
A1 + B1 A2+ B2
ซึ่งคําตอบที่ได้จะมีสองคําตอบ (เป็นเส้นตรงที่แบ่งครึ่งมุมแหลม Ans1
และมุมป้าน) ที่ตั้งฉากกันดังภาพ
Ans2
[6] ภาพฉาย (Projection) บนเส้นตรง
ภาพฉายของจุด P บนเส้นตรง L คือจุด Q ภาพฉายของ PP 1 2 บนเส้นตรง L คือ Q1Q2

P (x1,y1) P2 (x2,y2)
L: Ax+By+C=0
Q P1 (x1,y1) Q 2
L: Ax+By+C=0 Q1
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 90 เรขาคณิตวิเคราะห

การคํานวณหาตําแหน่งภาพฉาย สามารถคํานวณได้หลายวิธี เช่น คํานวณจากความชัน


เป็นวิธีที่สะดวกที่สุด (โดยสร้างสมการเส้นตรงที่ผ่านจุด P และตั้งฉากกับเส้นตรง L แล้วจึงแก้ระบบ
สมการหาจุดตัดของเส้นตรงสองเส้น) หรือคํานวณจากระยะทาง (โดยสร้างสมการเพื่อหาจุดที่ห่าง
จากจุด P เป็นระยะเท่าที่กําหนด ซึ่งจะได้เป็นสมการวงกลม แล้วจึงแก้ระบบสมการหาจุดตัดของ
วงกลมกับเส้นตรง)
ภาพฉายของจุด P (x1, y1) ใดๆ บนเส้นตรงที่มีสมการ “ y = x ” (คือเส้นตรงเฉียงขึ้น
ทางขวา ทํามุม 45° กับแกน x) ได้แก่ จุด Q (x1+ y1 , x1+ y1)
2 2

แบบฝึกหัด 4.2
(17) ถ้า A (1, 2) , B (2, k) , C (3, 4) อยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน ให้หาค่า k
(18) จุด (1, y) อยู่บน PR ซึ่งมีพิกัด P (−2, 6) และ R (4, −2) ให้หาค่า y
(19) AB ตัดแกน x และ y โดยมีระยะตัดแกน x ทางบวก 4 หน่วย และแกน y ทางบวก 3
หน่วย จุดตัดสองจุดนี้แบ่ง AB ออกเป็น 3 ส่วนเท่าๆ กันพอดี จงหาพิกัดของ A กับ B
(20) หากกําหนดพิกัด A (4, 5) , B (1, 2) , C (2, 8) , D (−2, 4) แล้ว AB ขนานกับ CD หรือไม่
(21) จงหาจุด D ที่ทําให้ ABCD เป็นสี่เหลี่ยมด้านขนาน เมื่อ A (−4, 1) , B (−5, −4) , C (1, −2)

(22) ถ้าเส้นตรงที่ผ่านจุด (k, 7) , (−3, −2) ตั้งฉากกับเส้นตรงที่ผ่านจุด (3, 2) , (1, −4) แล้ว ค่า k
เป็นเท่าใด
(23) ถ้าเส้นตรงที่ผ่านจุด A (1, 5) และ B (3, 6) ตั้งฉากกับเส้นตรงที่ผ่านจุด C (m, 4) และ
D (−1, −m) แล้ว จงหาค่า m

(24) วงกลมวงหนึ่งมีจุดศูนย์กลางที่ C (5, 6) มีเส้นตรง L มาสัมผัสที่จุด (−3, 1) ให้หาความชันของ


เส้นตรง L
(25) จงหาความยาวเส้นผ่านศูนย์กลางของวงกลม ที่ล้อมรอบรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ABC ซึ่งมีพิกัด
เป็น A (1, 7) , B (8, 6) , C (7, −1)
(26) ให้หาคําตอบของข้อ (7) โดยใช้ความรู้เรื่อง ความชันของเส้นตรง
(27) จงหาสมการเส้นตรงที่ผ่านจุด (3, 0) และ (0, 2)

(28) เส้นตรง L ผ่านจุด (−2, −5) และ (1, 3) ถามว่ารูปสามเหลี่ยมที่ปิดล้อมด้วยเส้นตรงเส้นนี้ กับ


แกน x และแกน y มีพื้นที่เท่าใด
(29) จงหาสมการเส้นตรงที่ผ่านจุด (6, 8) และจุดตัดแกน x ของ 3x + 4y = 12

(30) รูปสี่เหลี่ยม ABCD มีจุดมุมอยู่ที่ A (1, 2) , B (−2, −1) , C (−3, −6) , D (2, −5)
ถ้า P เป็นจุดตัดของเส้นทแยงมุม แล้ว P จะอยู่ห่างจากจุดกําเนิดกี่หน่วย
(31) จงหาสมการเส้นตรงที่ขนานกับ 2x + 3y + 10 = 0 และผ่านจุดที่ x+y=1 ตัดกับ 2x + y = 5

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 91 เรขาคณิตวิเคราะห

(32) เส้นตรงสองเส้นตั้งฉากกันที่จุดตัดแกน x พอดี หากเส้นหนึ่งมีสมการเป็น 3x − 4y + 5 = 0


แล้ว ให้หาว่าอีกเส้นหนึ่งตัดแกน y ที่จุดใด
(33) หากเส้นตรง L ตั้งฉากกับ 2x + 3y + 5 = 0 และผ่านจุด (1, 5)
ถามว่าเส้นตรง L ตัดแกน x ที่จุดใด
(34) ให้ M เป็นเส้นตรง 3x − 3y + 5 = 7 และ N เป็นเส้นตรง 2x − 5y + 7 = 4 จงหาสมการ
เส้นตรง L ที่ขนานกับ M และมีระยะตัดแกน y เท่ากับ N
(35) เส้นตรง L1 ผ่านจุด (2, 2) และ (−2, 0) , เส้นตรง L2 ตั้งฉากกับ L1 ที่จุด (−2, 0) และ
เส้นตรง L3 มีส่วนตัดแกน x เป็น 4/3 แกน y เป็น –4 จงหาพื้นที่สามเหลี่ยมที่ปิดล้อมด้วย
เส้นตรงสามเส้นนี้
(36) กําหนด L1 มีสมการเป็น 2x − 3y + 6 = 0 , L2 ผ่านจุด (−2, 3) และขนานกับ L1
หาก L3 ผ่านจุด (2/3, −1) และตั้งฉากกับ L1 แล้ว ถามว่า L2 กับ L3 ตัดกันที่จุดใด ใน
ควอดรันต์ใด
(37) สมมติว่า A (3, k) อยู่ในควอดรันต์ที่ 1 และเป็นจุดบนวงกลมที่มีจุดศูนย์กลางที่จุดกําเนิด และ
รัศมี 4 หน่วย ถ้าเส้นตรง L สัมผัสวงกลมนี้ที่จุด A แล้ว ให้หาระยะตัดแกน x ของเส้นตรง L
(38) เส้นตรง L เป็นเส้นสัมผัสวงกลมซึ่งมีศูนย์กลางที่ A (−1, 2) โดยสัมผัสกันที่จุด B (2, −1) และ
ทําให้เกิดสามเหลี่ยม PQR ที่ปิดล้อมด้วยเส้นตรงเส้นนี้, แกน x, และแกน y พิจารณาข้อความ ข้อ
ใดถูกหรือผิดบ้าง
ก. ความยาวรอบรูปสามเหลี่ยม PQR คือ 6 + 3 2 หน่วย
ข. พื้นที่สามเหลี่ยม PQR มีขนาด 4.5 ตารางหน่วย
(39) หากสามเหลี่ยม ABC มีจุดยอดที่ A (−2, 5) , B (4, 8) , C (2, −3) จงหาสมการเส้นตรงที่ผ่าน
จุดกึ่งกลางด้านทั้งสองซึ่งสั้นกว่าด้านที่สาม และหาระยะตัดแกน x และ y ของเส้นตรงนี้
(40) ถ้าระยะที่เส้นตรงเส้นหนึ่งตัดแกน x เป็นสองเท่าของระยะตัดแกน y และเส้นตรงนี้ผ่านจุด
(1, 3) แล้ว ให้หาเส้นตรงนี้

(41) เส้นตรงที่ผ่านจุด (−2, 4) และมีผลบวกของ X-intercept กับ Y-intercept เป็น 9 จะมีความ


ชันเท่าใด และตัดแกน x ที่ใด
(42) [Ent’24] เส้นตรง L มีความชันเป็น 0.5 และผ่านจุด C (−3, 0) ตัดแกน y ที่จดุ A
หากลาก AB ตั้งฉากกับ L โดยจุด B นั้นทําให้มีเส้นตรงขนานแกน y ผ่านจุด B ตัดแกน x ที่จุด
C ได้ ถามว่า BC มีค่าเท่าใด
(43) สามเหลี่ยมมุมฉาก ABC ซึ่งมีมุม B เป็นมุมฉาก มีจุด A อยู่ที่ (−3, 5) , จุด C อยู่ที่ (4, −4) ,
และมีความชันของ AB เป็น 3/2 นั้น มีขนาดกี่ตารางหน่วย
(44) เส้นตรง 2x − 3y = 6 และ 4x − 6y = 25 อยู่ห่างกันกี่หน่วย
(45) จงหาค่า C ที่ทําให้เส้นตรง Ax + 2y + C = 0 อยู่ห่างจาก 3x − 4y − 5 = 0 หนึ่งหน่วย

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 92 เรขาคณิตวิเคราะห

(46) เส้นตรง L1 ขนานกับ L2 โดยอยู่ห่างกัน 4 หน่วย หากเส้นตรง L ซึ่งมีสมการเป็น


12x − 5y − 15 = 0 นั้นขนานกับ L1 และอยู่ห่างจาก L1 , L2 เป็นระยะเท่าๆ กัน จงหาผลบวกของ
ส่วนตัดแกน x ของเส้นตรง L1 และ L2
(47) กําหนดจุดยอดของสามเหลี่ยมเป็น A (−2, 1) , B (5, 4) , C (2, −3) ให้หาส่วนสูงของรูป
สามเหลี่ยม ที่ลากจากจุด A มายังด้าน BC
(48) เส้นตรง L มีสมการเป็น 5x − 12y + 3 = k และ L อยู่ห่างจากจุด P (−3, 2) อยู่ 4 หน่วย ให้
หาผลบวกของค่า k ที่เป็นไปได้ทั้งหมด
(49) ให้หาว่าจุดใดบนเส้นตรง 2x − 4y = 15 อยู่ห่างจาก 3x + 4y = 10 เป็นระยะ 3 หน่วย
(50) จงหาขนาดมุมแหลมที่เกิดจากการตัดกันของ 5x − y = 0 และ 2x − 3y + 1 = 0

(51) กําหนดเส้นตรง L1 ผ่านจุด ( 3, 2) , (0, 1) และเส้นตรง L2 ผ่านจุด (2, 3) , (1, 4) ให้หา


ขนาดของมุมแหลมระหว่าง L1 กับ L 2
(52) เส้นตรง L1 ผ่านจุด (2, 3) , (1, 0) และเส้นตรง L2 ผ่านจุดกําเนิด O และตัดกับ L1 ที่จุด
C ถ้ามุมระหว่าง L1 กับ L 2 เป็น 30° ให้หาความยาวของ CO
(53) จงหาสมการเส้นตรงที่แบ่งครึ่งมุมที่เกิดจากการตัดกันของ 3x + 4y + 1 = 0 และ
4x − 3y − 6 = 0

(54) ถ้า A เป็นภาพฉายของจุด (−2, 1) บนแกน x และ B เป็นภาพฉายของ (−5, 6) บนแกน y


ให้หาสมการเส้นตรง AB
(55) กําหนด A (1, 0) , B (−5, 8) , P เป็นจุดกึ่งกลางของ AB และ Q เป็นภาพฉายของ B บน
เส้นตรง x = 1 จงหาสมการเส้นตรง PQ และเส้นตรงที่ตั้งฉากกับ PQ
(56) จงหาโพรเจคชันของจุด (−2, 1) บนเส้นตรง x − y = 0

(57) จงหาโพรเจคชันของจุด (0, 7) บนเส้นตรง 4x − 5y = 6

4.3 ภาคตัดกรวย : พื้นฐานการเขียนกราฟ


กราฟเส้นโค้ง ได้แก่ วงกลม พาราโบลา วงรี และไฮเพอร์โบลา เรียกรวมกันว่า ภาคตัด
กรวย (Conic Section) เนื่องจากเป็นกราฟที่ได้จากการตัดกรวยกลมตรงด้วยระนาบในมุมต่างๆ ดัง
ภาพ (ในหน้าต่อไป)

ตัวอย่างการนําความรู้เรื่องภาคตัดกรวยไปใช้ในชีวิตจริง เช่น
1. การหาตําแหน่งศูนย์กลางของแผ่นดินไหว (วงกลม)
2. เลนส์ จานรับดาวเทียม โคมไฟหน้ารถยนต์ การเคลื่อนที่วิถีโค้ง (พาราโบลา)
3. ห้องกระซิบ สลายนิ่ว โครงสร้างอะตอม วงโคจรของดาวเคราะห์ ดาวหาง ดาวเทียม (วงรี)
4. การหาตําแหน่งของต้นกําเนิดเสียง โดยใช้ผลต่างเวลาระหว่าง 2 จุด (ไฮเพอร์โบลา)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 93 เรขาคณิตวิเคราะห

วงกลม วงรี พาราโบลา ไฮเพอร์โบลา


(Circle) (Ellipse) (Parabola) (Hyperbola)

พื้นฐานการเขียนกราฟ
ก่อนจะศึกษาภาคตัดกรวยแต่ละรูป ควรทราบพื้นฐานการเขียนกราฟ ว่าลักษณะของกราฟ
โดยทั่วๆ ไปนั้นจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร หากมีค่าคงที่มาบวกลบคูณหารอยู่กับตัวแปร x หรือ y ซึ่ง
พื้นฐานเหล่านี้เป็นสิ่งสําคัญ เพราะเป็นจริงเสมอไม่ว่าจะใช้กับกราฟใดๆ นอกเหนือจากในบทนี้ เช่น
ค่าสัมบูรณ์, ตรีโกณมิติ, เอกซ์โพเนนเชียล ฯลฯ
y y
[1] เมื่อมีค่าคงที่มาบวกหรือลบ
2
จะเกิดการ เลื่อนแกนทางขนาน y=x y = (x-3)2
(Translate หรือ Shift) กล่าวคือ
หากเปลี่ยนรูปสมการจาก f (x, y) = 0
ไปเป็น f (x −h, y −k) = 0 เมื่อ x x
O (3,0)
h, k เป็นค่าคงที่ กราฟรูปเดิมจะ
ถูกเลื่อนไปทางขวา h หน่วย y y
และเลื่อนขึ้นด้านบนอีก k หน่วย 2
(หรือกล่าวว่า จุดกําเนิดถูกเลื่อน y+1 = x y+1 = (x-3)2
ไปยังคู่อันดับ (h, k) และรูปกราฟ
ทั้งหมดถูกเลื่อนตามไปด้วย) x x
(0,-1) (3,-1)
y y
[2] เมื่อมีค่าคงที่ (ที่เป็นบวก) มาคูณหรือหาร
จะเกิดการ ปรับขนาด (Scale) ทางแกนนั้น y = x2 3y = x2
กล่าวคือ หากเปลี่ยนรูปสมการจาก y = f (x)
ไปเป็น my = f (nx) เมื่อ m, n เป็นค่าคงที่
x x
ที่มากกว่า 1 ... กราฟรูปเดิมจะถูกบีบลงทาง O ความสูงทุกตําแหน่งเหลือ 1 ใน 3
แนวนอน n เท่า และบีบลงทางแนวตั้ง m เท่า
(ส่วนกรณีที่ m, n น้อยกว่า 1 จะมองว่า y y
เป็นการหาร และกราฟจะถูกขยายออกแทน)
ทั้งนี้ต้องใช้แกน h, k ที่ได้จากการเลื่อนแกน y = (2x)2 y/4 = x2
แล้ว เป็นแกนกลางสําหรับบีบหรือขยาย
รูปกราฟ x x
ความกว้างทุกตําแหน่งเหลือ 1 ใน 2 ความสูงทุกตําแหน่งเพิ่มเป็น 4 เท่า

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 94 เรขาคณิตวิเคราะห

ข้อสังเกต 1. กราฟในตัวอย่างหน้าที่แล้ว สองรูปล่างเป็นสมการเดียวกัน เพียงแต่มองคนละวิธี


* 2. หากสมการมีทั้งการบวกลบและคูณหาร จะต้อง y
จัดรูปสมการให้บวกลบอยู่ในวงเล็บ (กระทํากับตัว 2y = (x-3)2-2
แปรโดยตรง) แล้วถัดมาจึงเป็นการคูณหาร จัดรูปเป็น 2(y+1)=(x-3)2
ดังตัวอย่างด้านขวานี้
x
เลื่อนแกนไปอยู่ที่ (3,-1) และ
ความสูงทุกตําแหน่งเหลือ 1 ใน 2
[3] เมื่อมีค่าคงที่ (ที่เป็นลบ) มาคูณหรือหาร
นอกจากจะมีการขยายหรือบีบตามข้อ (2) แล้ว ยังเกิดการ พลิก (Flip) รูปกราฟ โดยใช้แกน h, k
นี้เป็นแกนหมุนด้วย (หากตัวแปร x ถูกคูณด้วยลบ จะพลิกสลับซ้ายขวา, และหากตัวแปร y ถูกคูณ
ด้วยลบ จะพลิกสลับบนล่าง) y y
y = x2 -(y+1) = (x-3)2
x

x
O
เลื่อนแกนไปอยู่ที่ (3,-1) และ
พลิกรูปกราฟ สลับบนล่าง

4.4 ภาคตัดกรวย : วงกลม


นิยาม วงกลม คือ “เซตของคู่อันดับที่อยู่ห่างจากจุดคงที่จุดหนึ่ง เป็นระยะเท่าๆ กัน”
เรียกจุดคงที่จุดนั้นว่า จุดศูนย์กลาง (Center; C) และเรียกระยะทางนั้นว่า รัศมี (Radius; r)

สมการวงกลม สร้างจากสมการระยะทางระหว่างจุดสองจุด (ทฤษฎีบทปีทาโกรัส) หากมีจุด


ศูนย์กลางอยู่ที่ C (0, 0) และรัศมียาว r หน่วย สมการจะเป็น x 2 + y 2 = r 2 แต่ถ้าเลื่อนแกน ให้จุด
ศูนย์กลางไปอยูท่ ี่ C (h, k) สมการจะกลายเป็น (x −h)2 + (y −k)2 = r 2

วงกลม
(x −h)2 + (y −k)2 = r 2
จุดศูนย์กลาง C (h, k)
r
รัศมี r หน่วย
C
(h,k) รูปทั่วไป
x 2+ y 2+ Dx + Ey + F = 0

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 95 เรขาคณิตวิเคราะห

• ตัวอยาง ใหสรางสมการวงกลมที่มีจุดศูนยกลางอยูที่ (1, −2) และผานจุด (2, 1)


2 2
และตอบในรูป Ax + By + Dx + Ey + F = 0 โดยสัมประสิทธิ์ทกุ ตัวเปนจํานวนเต็ม
2 2
วิธีคิด หารัศมีจากระยะทางระหวาง (1, −2) กับ (2, 1) ไดเทากับ 1 + 3 = 10 หนวย
2 2 2
สมการวงกลมคือ (x −h) + (y −k) = r แทนคาจุดศูนยกลางและรัศมี
2 2 2 2 2 2 2
ได (x −1) + (y +2) = 10 → x −2x + 1+ y + 4y + 4 = 10 → x + y −2x+ 4y −5 = 0

• ตัวอยาง ใหหาสวนประกอบตางๆ ของรูปวงกลมที่มีสมการเปน x2+ y2+2x − 4y − 10 = 0

2 2
วิธีคิด จัดกลุม x และ y แยกกันและยายตัวเลขไวทางขวา (x + 2x) + (y − 4y) = 10
ตอมา เติมตัวเลขลงในวงเล็บทั้งสอง เพื่อใหเปนกําลังสองที่สมบูรณ (อยาลืมเติมทางขวาดวย)
2 2 2 2
ไดเปน (x + 2x + 1) + (y − 4y + 4) = 10 + 1+ 4 นัน่ คือ (x + 1) + (y − 2) = 15
ตอบ จุดศูนยกลางคือ (−1, 2) และรัศมียาว 15 หนวย

ข้อสังเกต
1. จากรูปทั่วไปของสมการวงกลม x 2+ y 2+ Dx + Ey + F = 0 เมื่อจัดรูปด้วยวิธีกําลังสองสมบูรณ์แล้ว
จะทําให้ทราบว่า (h, k) = (−D/2, −E/2)
2.1 สมการวงกลมมีค่าคงที่ซึ่งบอกลักษณะกราฟ อยู่ 3 ตัว คือ D, E, F หรือ h, k, r
ดังนั้นการสร้างสมการวงกลมจากจุดที่กราฟผ่าน ต้องกําหนดจุดมาให้ 3 จุด แล้วจึงแก้ระบบสมการ
3 สมการ ซึ่งกรณีนี้สมการ x 2+ y 2+ Dx + Ey + F = 0 จะคํานวณง่ายกว่า
2.2 แต่ถ้าบอก r มาให้ จะต้องการจุดเพิ่มอีกเพียง 2 จุด เพื่อหาค่า h, k หรือถ้าบอก h, k มาให้ ก็
ต้องการอีกเพียงจุดเดียวเพื่อหาค่า r โดยใช้สมการ (x −h)2 + (y −k)2 = r 2

เส้นสัมผัสวงกลม คือเส้นตรงที่ลากผ่านจุดบนวงกลมเพียงจุดเดียวเท่านั้น (เรียกว่าจุด


สัมผัส) และเส้นสัมผัสวงกลมทุกเส้นจะตั้งฉากกับรัศมี (ที่เชื่อมจุดศูนย์กลางกับจุดสัมผัส)
ระยะทางจากจุด P (x1, y1) ใดๆ ภายนอกวงกลม มายังจุดสัมผัส Q หาได้ดังนี้
Q
d
P (x1,y1)
d = x21 + y21 + Dx1+ Ey1+ F
C
d
หรือ d = (x1−h)2+ (y1−k)2− r2

แบบฝึกหัด 4.4
(58) สมการต่อไปนี้ต้องการเลื่อนแกนเพื่อให้ได้รูปที่กําหนด ต้องเลือกจุดใดเป็นจุดกําเนิดจุดใหม่
(58.1) (x −4)(y + 3) = 1 → xy = 1
(58.2) y = x + 1 − 2 → y = x
(58.3) x 2+ y 2+ 2x − 4y + 5 = 9 → x 2+ y 2= k

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 96 เรขาคณิตวิเคราะห

(59) จงหาสมการรูปทั่วไปของวงกลม ที่มีลักษณะดังแต่ละข้อต่อไปนี้


(59.1) จุดศูนย์กลางอยู่ที่ (3, 4) และผ่านจุด (1, 1)
(59.2) เส้นผ่านศูนย์กลางเส้นหนึ่ง เชื่อมจุด (1, 1) กับ (2, 2)
(59.3) สัมผัสเส้นตรง y = 2x ที่จุดกําเนิด และผ่านจุด (1, 1)
(59.4) ผ่านจุด (−6, 3) , (2, 3) และ (−2, 7)
(59.5) ผ่านจุด (1, −5) และผ่านจุดตัดของวงกลม x 2+ y 2− 2x + 2y − 8 = 0 กับ
x 2+ y 2+ 3x − 3y − 8 = 0

(60) หาความยาวเส้นสัมผัสที่ลากจากจุด (0, 1) ไปยังวงกลม 3x 2+ 3y 2+ 11x + 15y = −9

(61) ให้หาสมการเส้นตรงที่สัมผัสวงกลม ตามเงื่อนไขต่อไปนี้


(61.1) สัมผัสวงกลม x 2+ y 2= 8 ที่จุด (2, 2)
(61.2) สัมผัสวงกลม x 2+ y 2= 17 และมีความชันเป็น 4
[Hint: สร้างสมการเส้นตรงความชันเท่านี้ แต่ผ่านจุดศูนย์กลางก่อน]
(61.3) สัมผัสวงกลม x 2+ y 2= 16 และผ่านจุด (−1, 8)
[Hint: สร้างสมการเส้นตรงความชันใดๆ ที่ผ่านจุดนี้ แล้วจึงหาค่าความชัน]
(62) ให้หาสมการวงกลม ตามเงื่อนไขต่อไปนี้ [Hint: หาจุดศูนย์กลางวงกลมก่อน]
(62.1) รัศมี 2 หน่วย และสัมผัสกับวงกลมสองวงนี้ คือ (x −2)2 + (y + 1)2 = 1 และ
(x −6)2 + (y −2)2 = 4 โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ในควอดรันต์ที่ 1
(62.2) รัศมี 1 หน่วย, สัมผัสกับเส้นตรง y = x + 2 , และสัมผัสกับวงกลม
x 2+ y 2− 4x + 2y + 1 = 0
(62.3) แนบในสามเหลี่ยมที่เกิดจากเส้นตรงสามเส้นนี้ตัดกัน 2x − 3y + 21 = 0 ,
3x − 2y − 6 = 0 , และ 2x + 3y + 9 = 0

(63) จงหาค่า k ที่ทําให้ x 2+ y 2− 6x + 8y + k = 0 เป็นสมการวงกลม


(64) [Ent’32] จงหาค่า k > 0 ที่น้อยที่สุดที่ทําให้ y = kx สัมผัสกับ x 2+ y 2− 14x + 49 = k 2

(65) ถ้า C เป็นจุดศูนย์กลางของกราฟ x 2+ 4x + 2 = − (y 2+ 8y + 9) แล้ว ให้หาสมการเส้นตรง OC


และสมการวงกลมที่มี OC เป็นเส้นผ่านศูนย์กลางเส้นหนึ่ง
(66) [Ent’38] เส้นตรงความชัน –4/3 ผ่านจุดศูนย์กลางของวงกลม x 2+ y 2− 4x + 2y = 4 โดยตัด
วงกลมที่จุด A กับ B หากกําหนดจุด D (−1, −2) แล้ว ให้หาพื้นที่สามเหลี่ยม ABD
(67) ให้หาสมการกราฟซึ่งจุด P (x, y) ใดๆ บนกราฟเป็นจุดศูนย์กลางของวงกลมที่สัมผัสกับกราฟ
(x − 1)2= (1− y)(1+ y) และผ่านจุด A (−1, 0) ด้วย

4.5 ภาคตัดกรวย : พาราโบลา


นิยาม พาราโบลา คือ “เซตของคู่อันดับที่มีระยะไปถึงจุดคงทีจ่ ุดหนึ่ง เท่ากับระยะไปถึง
เส้นตรงเส้นหนึ่ง” เรียกจุดคงที่จุดนั้นว่า จุดโฟกัส (Focus; F) เรียกเส้นตรงเส้นนั้นว่า ไดเรกตริกซ์
(Directrix; เส้นบังคับ) เรียกเส้นตรงที่ผ่านโฟกัสและตั้งฉากกับไดเรกตริกซ์ ว่า แกน (Axis)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 97 เรขาคณิตวิเคราะห

พาราโบลาที่มี จุดยอด (Vertex) อยู่ที่ V (0, 0) และระยะโฟกัสยาว c หน่วย จะมีสมการ


2
เป็น x = 4 c y (อ้อมแกน y, กราฟหงายเมื่อค่า c เป็นบวก, กราฟคว่ําเมื่อค่า c ติดลบ)
หรือ y 2 = 4 c x (อ้อมแกน x, กราฟเปิดขวาเมื่อ c เป็นบวก, กราฟเปิดซ้ายเมื่อ c ติดลบ)
หากมีการเลื่อนแกน ให้จุดยอดไปอยู่ที่ V (h, k) สมการจะกลายเป็น (x −h)2 = 4 c (y −k)
และ (y −k)2 = 4 c (x −h) ตามลําดับ
พาราโบลา (ตั้ง)
(x −h)2 = 4 c (y −k)
2c
F (h,k+c) จุดยอด V (h, k)
⎧ ระยะโฟกัส c หน่วย
c⎨
⎩ เลตัสเรกตัม ยาว 4c หน่วย
c ⎧⎨ V (h,k)
⎩ รูปทั่วไป
Directrix : y=k-c x 2+ Dx + Ey + F = 0
Axis :
x=h

พาราโบลา (ตะแคง)
(y −k)2 = 4 c (x −h)
⎫ จุดยอด V (h, k)

⎬ 2c ระยะโฟกัส c หน่วย
c c ⎪
⎭ เลตัสเรกตัม ยาว 4c หน่วย
Axis : y=k V F (h+c,k)
(h,k)
รูปทั่วไป
Directrix : y 2+ Dx + Ey + F = 0
x=h-c

นิยาม เลตัสเรกตัม (Latus Rectum) คือเส้นแสดงความกว้างของรูปกราฟ ณ ตําแหน่งโฟกัส

ข้อสังเกต
1. พาราโบลาอ้อมแกนใด อาจสังเกตได้จาก ตัวแปรนั้นจะยกกําลังหนึ่ง
2. สมการพาราโบลามีค่าคงที่ 3 ตัว (คือ D, E, F หรือ h, k, c) เช่นเดียวกับวงกลม ดังนั้นการ
สร้างสมการจะใช้วิธีคล้ายกัน แต่พาราโบลาต้องทราบก่อนด้วยว่าเป็นพาราโบลาอ้อมแกนใด

• ตัวอยาง ใหสรางสมการพาราโบลาที่มีจุดยอดอยูที่ (1, −2) และผานจุด (2, 1) โดยมีแกนสมมาตร


2 2
แนวตั้ง และตอบในรูป Ax + By + Dx + Ey + F = 0 โดยสัมประสิทธิ์ทุกตัวเปนจํานวนเต็ม
2
วิธีคิด มีแกนสมมาตรแนวตั้ง แสดงวาสมการคือ (x −h) = 4 c (y −k)
2
เราทราบจุดยอด (h, k) = (1, −2) แทนคาลงในสมการ เปน (x −1) = 4 c (y +2)
หาคา c โดย แทนจุดที่พาราโบลาผานคือ (2, 1) ลงไปที่ x, y แลวสมการตองเปนจริง

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 98 เรขาคณิตวิเคราะห

(2− 1)2 = 4 c (1+2) → 4 c = 1/3 ... ฉะนัน้ สมการพาราโบลาคือ (x −1) 2


= (1/3)(y +2)
2 2
และกระจายได 3 (x −2x + 1) = y +2 → 3x −6x − y + 1 = 0
หมายเหตุ ในตัวอยางแรกของเรื่องวงกลมก็สามารถคิดดวยวิธีในขอนี้ได คือใสจุดศูนยกลาง (h, k) ลงไป
ในสมการวงกลมกอน จากนั้นแทนจุดที่ผานคือ (2, 1) เพื่อหาคา r ที่ยังไมทราบ
• ตัวอยาง ใหหาสวนประกอบตางๆ ของรูปพาราโบลาทีม่ ีสมการเปน x 2− 2x − 2y − 3 = 0

2
วิธีคิด สังเกตวาไมมีพจน y แสดงวาเปนพาราโบลาออมแกนตั้ง (หงายหรือคว่ํา)
การจัดรูปสมการพาราโบลาแบบนี้ เราจัดกลุม x ไวทางซาย และยาย y กับตัวเลขไวทางขวา
2 2
คือ (x − 2x) = 2y + 3 ... จากนัน้ เติมตัวเลข (x − 2x + 1) = 2y + 3 + 1 เพื่อเปนกําลังสองสมบูรณ
2 2 2
ไดเปน (x − 1) = 2y + 4 → (x − 1) = 2 (y + 2) → (x − 1) = 4 (0.5)(y + 2)
ตอบ เปนสมการพาราโบลาหงาย จุดยอดคือ (1, −2) จุดโฟกัสคือ (1, −2 + 0.5) = (1, −1.5)
และสมการไดเรกตริกซคือ y = −2 − 0.5 = −2.5 (หรืออาจเขียนเปน 2y + 5 = 0 ก็ได)
(ถายังไมแมนยํา ควรเขียนกราฟเพื่อชวยในการคิดเลขดวย)

แบบฝึกหัด 4.5
(68) จงหาสมการรูปทั่วไปของพาราโบลา ทีม่ ีลักษณะดังแต่ละข้อต่อไปนี้
(68.1) จุดยอดอยู่ที่ (−2, 3) และจุดโฟกัสอยู่ที่ (5, 3)
(68.2) จุดยอดอยู่ที่ O และจุดปลายเลตัสเรกตัมจุดหนึ่งอยู่ที่ (−3, 6)
(68.3) จุดยอดอยู่ที่ O และผ่านจุด (−4, −6) โดยมีแกน x เป็นแกนสมมาตร
(68.4) จุดยอดอยู่ที่ (2, −3) และผ่านจุด (8, −2.1) โดยแกนสมมาตรตั้งฉากแกน x
(68.5) จุดยอดอยู่ที่ (5, −2) และผ่านจุด (3, 0) โดยแกนสมมาตรขนานกับแกน y
(68.6) จุดโฟกัสอยู่ที่ (2, 2) และสมการไดเรกตริกซ์เป็น x + 2 = 0
(68.7) ผ่านจุด (1, 3) , (9, 1) , และ (51, −2) โดยแกนสมมาตรขนานกับแกน x
(68.8) ผ่านจุด (−2, 3) , (3, 18) , และ (0, 3)
(69) ให้หาระยะจากจุด P (4, −3) ซึ่งอยู่บนพาราโบลา 2x 2+ 3y = 0 ไปถึงจุดโฟกัส
(70) ให้หาส่วนประกอบต่างๆ ของพาราโบลา
(70.1) จุดโฟกัส ความกว้างที่จุดโฟกัส และสมการไดเรกตริกซ์ ของ x 2− 12y = 0
(70.2) ส่วนประกอบทั้งหมดของ y 2− 10y + 12x + 61 = 0
(70.3) จุดโฟกัสของพาราโบลาที่มีจุดยอดที่ (4, 2) และมีไดเรกตริกซ์เป็น x − 1 = 0
(70.4) จุดตัดแกน x ของพาราโบลาที่มีจุดยอดอยู่ที่ (0, −1/3) และจุดโฟกัสอยู่ที่ (0, 7/6)
(71) ให้หาสมการแสดงทางเดินของจุด P (x, y) ซึ่ง
(71.1) อยู่ห่างจากเส้นตรง y = −4 เท่ากับระยะห่างจากจุด (−2, 8)
(71.2) อยู่ห่างจากเส้นตรง x = −4 มากกว่าระยะห่างจากจุด (3, 1) อยู่ 5 หน่วย
(72) จุดบนโค้ง 4y = (x − 1)2 ซึ่งอยู่ห่างจากจุดโฟกัส 13 หน่วย จะห่างจากแกน x เท่าใด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 99 เรขาคณิตวิเคราะห

(73) ความยาวคอร์ดที่เกิดจากเส้นตรง 2x − y = 8 ตัดกับพาราโบลา y 2= 8x เป็นเท่าใด


(74) สมการเส้นตรงที่ผ่านจุด (1, 6) และจุดโฟกัสของ y 2− 4x − 4y = 8 คือสมการใด
(75) ให้หาสมการพาราโบลาที่มีเส้นตรง y = 5 เป็นไดเรกตริกซ์ และมีจุดโฟกัสอยู่ที่ศูนย์กลางของ
กราฟ x 2− 6x = 6 − 2y − y 2
(76) ให้หาสมการพาราโบลาที่ผ่านจุดตัดของเส้นตรง x = y กับวงกลม x 2+ y 2+ 6x = 0 โดยมี
แกน x เป็นแกนสมมาตร
(77) [Ent’39] กําหนดให้ไดเรกตริกซ์และแกนของพาราโบลา y 2− 4y + 8x = 20 ตัดกันที่จุด P
ถ้าวงกลมวงหนึ่งผ่านจุดกําเนิด, จุด P, และจุดโฟกัสของพาราโบลาแล้ว กําลังสองของรัศมีวงกลม
เป็นเท่าใด
(78) ให้หาระยะโฟกัสของเลนส์รูปพาราโบลา ซึ่งมีความสูง 6 หน่วย และฐานกว้าง 8 หน่วย

4.6 ภาคตัดกรวย : วงรี


นิยาม วงรี คือ “เซตของคู่อันดับที่ ผลรวมของระยะทางไปถึงจุดคงที่สองจุด มีค่าเท่ากัน”
เรียกจุดคงที่สองจุดนั้น ว่า จุดโฟกัส ( F1, F2 ) และนอกจากนี้ ระยะทางรวมซึ่งเป็นค่าคงที่นั้น จะมีค่า
เท่ากับ ความยาวของแกนเอก (2a) พอดี

วงรีที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ C (0, 0) และแกนเอกยาว 2a หน่วย แกนโทยาว 2b หน่วย


2 2 2 2
จะมีสมการเป็น ⎛x⎞ + ⎛y⎞ = 1 (รีตามแกน x) หรือ ⎛y⎞ + ⎛x⎞ = 1 (รีตามแกน y)
⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟
⎝a⎠ ⎝b⎠ ⎝a⎠ ⎝b⎠

วงรี (นอน)
(x −h)2 (y −k)2
+ = 1
B1 (h,k+b) a2 b2

⎫ จุดศูนย์กลาง C (h, k)
a ⎬b แกนเอกยาว 2a แกนโทยาว 2b
⎭ ระยะโฟกัส c = a2− b2
V2 F2 C F1 V1
c (h,k) (h+c,k) (h+a,k)
รูปทั่วไป
B2 Ax 2+ By 2+ Dx + Ey + F = 0

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 100 เรขาคณิตวิเคราะห

วงรี (ตั้ง)
V1 (h,k+a) (y −k)2 (x −h)2
2
+ = 1
a b2
F1 จุดศูนย์กลาง C (h, k)
(h,k+c) แกนเอกยาว 2a แกนโทยาว 2b
B2 b C (h,k) B (h+b,k)

1 ระยะโฟกัส c = a2− b2
⎪ ⎫
c
a ⎪⎨ ⎬

⎪ ⎭ รูปทั่วไป
⎪⎩ F2

Ax 2+ By 2+ Dx + Ey + F = 0
V2

นิยาม แกนเอก (Major Axis) คือเส้นแสดงความยาวของวงรี ( V1V2 ) และ แกนโท


(Minor Axis) คือเส้นแสดงความกว้างของวงรี ( B1B2 )

ข้อสังเกต
1. สมการวงรีเกิดจากการขยายขนาดทางแกน x, y ของวงกลมรัศมี 1 หน่วย
2. สําหรับวงรีนั้น a > b เสมอ ดังนั้นตัวเลขใดมีค่ามากกว่า ตัวนั้นก็จะเป็น a (เป็นแกนเอก)
3. สมการวงรีมีค่าคงที่ถึง 4 ตัว การสร้างสมการวงรีจากจุดที่กราฟผ่าน ต้องใช้ถึง 4 จุด (ไม่นิยม
กระทํา เพราะต้องแก้ระบบสมการที่มีถึง 4 สมการ)

• ตัวอยาง ใหสรางสมการวงรีทีม่ ีจุดศูนยกลางอยูที่ (2, 1) มีจุดโฟกัสอยูท ี่ (2, 4) และจุดยอดอยูที่


2 2
(2, −4) และตอบในรูป Ax + By + Dx + Ey + F = 0 โดยสัมประสิทธิท ์ ุกตัวเปนจํานวนเต็ม
วิธีคิด จุดศูนยกลาง จุดโฟกัส และจุดยอด เรียงกันโดยคา x เทากันและ y ตางกัน
2 2
(y −k) (x −h)
แสดงวาเปนวงรีตามแกนตั้ง ... สมการคือ 2
+ = 1
a b2
เนื่องจากคา a = (−4) − (1) = 5 และคา c = (4) − (1) = 3 ดังนัน้ b = 52−32 = 4
2 2
แทนคา (h, k) = (2, 1) และ a, b ลงในสมการ ไดเปน (y −1) + (x −2) = 1 2 2
5 4
2 2 2 2
กระจายสมการ 16(y −1) + 25(x −2) = 400 → 16(y −2y +1) + 25(x −4x + 4) = 400
→ 25x2+ 16y2− 100x − 32y −284 = 0

• ตัวอยาง ใหหาสวนประกอบตางๆ ของรูปวงรีซึ่งมีสมการเปน 7x2+ 16y2+28x −96y +60 = 0

2 2
วิธีคิด ในขอนีส้ มั ประสิทธิ์หนา x กับ y ไมเปน 1 จึงตองแยกออกมาหนาวงเล็บดวย
2 2 2 2
ดังนี้ (7x + 28x) + (16y − 96y) = −60 → 7 (x + 4x) + 16(y − 6y) = −60 ...
จากนั้นเติมตัวเลขลงในวงเล็บทั้งสองและเติมทางขวาดวยเชนเดิม
แตใหระวังเนื่องจากมีตัวคูณอยูหนาวงเล็บทางซาย ทําใหตัวเลขที่เติมทางขวาเปลี่ยนไป
2 2
ไดเปน 7 (x + 4x + 4) + 16(y − 6y + 9) = −60 + 28 + 144 ... ( 28 = 7 × 4 , 144 = 16 × 9 )

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 101 เรขาคณิตวิเคราะห

นั่นคือ 7 (x + 2)2+ 16(y − 3)2 = 112


(x + 2)2 (y − 3)2
นําตัวเลขที่เหลือทางขวา คือ 112 หารตลอดสมการ จะได + = 1
16 7

ตอบ เปนวงรีตามแกนนอน จุดศูนยกลางคือ (−2, 3)


เนื่องจากคา a = 4, b = 7 จะได c = 16 − 7 = 3 ดังนัน้
จุดยอดคือ (−2 ± 4, 3) จุดโฟกัสคือ (−2 ± 3, 3) และจุดปลายแกนโทคือ (−2, 3 ± 7)

แบบฝึกหัด 4.6
(79) จงหาสมการรูปทั่วไปของวงรี ที่มีลักษณะดังแต่ละข้อต่อไปนี้
(79.1) จุดศูนย์กลางอยู่ที่ (3, −1) แกนเอกขนานกับแกน y และยาว 8 หน่วย
ส่วนแกนโทยาว 6 หน่วย
(79.2) จุดศูนย์กลางอยู่ที่จุดกําเนิด มีจุดยอดอยู่ที่ (0, 8) และมีโฟกัสอยู่ที่ (0, −5)
(79.3) จุดยอดอยู่ที่ (−4, 2) และ (2, 2) โดยแกนโทยาว 4 หน่วย
(79.4) จุดศูนย์กลางอยู่ที่ (−2, 1) มีจุดโฟกัสที่ (−2, 4) และผ่านจุด (−6, 1)
(79.5) จุดศูนย์กลางอยู่ที่ (2, 1) มีจุดยอดที่ (2, −4) และค่า c : a = 2 : 5
(80) ให้หาส่วนประกอบต่างๆ ทั้งหมดของวงรี
(80.1) 4x 2+ 9y 2= 36
(80.2) 9x 2+ 5y 2− 54x − 50y + 26 = 0
(80.3) 5x 2+ 9y 2− 10x = 40
(81) ให้หาสมการแสดงทางเดินของจุด P (x, y) ซึ่ง
(81.1) ระยะห่างจากจุด (4, 0) และจุด (−4, 0) รวมกันเป็น 12 หน่วย
(81.2) ระยะห่างจากจุด (2, 7) และจุด (2, 1) รวมกันเป็น 10 หน่วย
(82) ฐานของสามเหลี่ยมยาว 6 หน่วย และผลบวกของอีกสองด้านเป็น 10 หน่วย
(82.1) ถ้าฐานตรึงอยู่กับที่ กราฟที่ประกอบด้วยจุดยอดของสามเหลี่ยมจะเป็นรูปใด
(82.2) ให้หาสมการกราฟดังกล่าว ถ้าฐานตั้งอยู่บนแกน x โดยมีจุดกําเนิดอยู่ตรงกลาง
(83) [Ent’39] ให้หาสมการเส้นตรงที่ผ่านจุดศูนย์กลางของวงรี 4x 2+ 9y 2− 48x + 72y + 144 = 0
และตั้งฉากกับ 3x + 4y = 5
(84) [Ent’37] ระยะห่างระหว่างเส้นตรงคู่ขนานที่ทํามุม 45° กับแกน x และผ่านจุดโฟกัสทั้งสอง
ของวงรี x 2+ 3y 2− 4x − 2 = 0 มีค่าเท่าใด
(85) [Ent’38] ให้จุด F1 และ F2 เป็นจุดโฟกัสของวงรี kx 2+ 4y 2− 4y = 8 และวงรีนี้ตัดแกน y ที่
จุด B ซึ่งอยู่เหนือแกน x ถ้าสามเหลี่ยม FF1 2B มีพื้นที่ 3 7 /4 ตารางหน่วย แล้วค่า k เป็นเท่าใด
(86) นายแดงปีนขึ้นไปบนสะพานโค้งที่มีลักษณะเป็นครึ่งวงรี ปลายทั้งสองห่างกัน 4 เมตร และมี
ระยะสูงสุด 1 เมตร ถ้าเขาอยู่บนสะพานในตําแหน่งที่ห่างจากปลายข้างหนึ่ง เป็นระยะตามแนวราบ
80 ซม. เขาจะอยู่สูงจากพื้นกี่เซนติเมตร

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 102 เรขาคณิตวิเคราะห

4.7 ภาคตัดกรวย : ไฮเพอร์โบลา


นิยาม ไฮเพอร์โบลา คือ “เซตของคู่อันดับที่ ผลต่างของระยะทางไปถึงจุดคงที่สองจุด มีค่า
เท่ากัน” เรียกจุดคงที่สองจุดนั้น ว่า จุดโฟกัส ( F1, F2 ) และนอกจากนี้ ผลต่างระยะทางซึ่งเป็นค่าคงที่
นั้น จะมีค่าเท่ากับ ความยาวของแกนตามขวาง (2a) พอดี

ไฮเพอร์โบลาที่มีจุดศูนย์กลางที่ C (0, 0) แกนตามขวางยาว 2a และแกนสังยุคยาว 2b


2 2 2 2
⎛x⎞ ⎛y⎞ ⎛y⎞ ⎛x⎞
จะมีสมการเป็น ⎜ ⎟ −⎜ ⎟ =1 (แบบอ้อมแกน x) หรือ ⎜ ⎟ −⎜ ⎟ =1 (อ้อมแกน y)
⎝a⎠ ⎝b⎠ ⎝a⎠ ⎝b⎠

ไฮเพอร์โบลา (ตะแคง)
(x −h)2 (y −k)2
2
− = 1
B1 (h,k+b) a b2
⎫ จุดศูนย์กลาง C (h, k)
c ⎬b แกนตามขวาง 2a แกนสังยุค 2b
⎭ ระยะโฟกัส c = a2+ b2
F2 V2 a C V1 F1
(h,k)(h+a,k) (h+c,k)
รูปทั่วไป
B2 Ax 2+ By 2+ Dx + Ey + F = 0
Asymptote Asymptote
a(y-k)=b(x-h)

ไฮเพอร์โบลา (ตั้ง)
Asymptote (y −k)2 (x −h)2
F1 (h,k+c) − = 1
b(y-k)=a(x-h) a2 b2

V1 (h,k+a) จุดศูนย์กลาง C (h, k)


b แกนตามขวาง 2a แกนสังยุค 2b
B2 C (h,k) B1 (h+b,k) ระยะโฟกัส c = a2+ b2
⎧ ⎫
a
c ⎪⎨ ⎬⎭
⎪ V
รูปทั่วไป
⎩ 2 Ax 2+ By 2+ Dx + Ey + F = 0
Asymptote F2

นิยาม แกนตามขวาง (Transversal Axis) V1V2 และ แกนสังยุค (Conjugate Axis)


B1B2 ใช้ในการสร้าง เส้นกํากับ (Asymptote) สองเส้น เพื่อบังคับความกว้างของไฮเพอร์โบลา

ข้อสังเกต
1. การวาดกราฟไฮเพอร์โบลา เปรียบเสมือนว่ามีวงรีอยู่ในกรอบตรงกลาง โดยใช้จุดศูนย์กลางร่วมกัน
และแกนตามขวางกับแกนสังยุคจะทับแกนเอกและโทของวงรีพอดี
แต่สําหรับไฮเพอร์โบลา a ไม่จําเป็นต้องมากกว่า b (แกนใดเครื่องหมายบวก จะอ้อมแกนนั้น)
2. ถ้า a = b (สี่เหลี่ยมจัตุรัส) รูปวงรีตรงกลางจะกลายเป็นวงกลม สามารถเรียกไฮเพอร์โบลานั้น
ว่า ไฮเพอร์โบลามุมฉาก (Rectangular Hyperbola)
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 103 เรขาคณิตวิเคราะห

• ตัวอยาง ใหสรางสมการไฮเพอรโบลาที่มีจุดศูนยกลางที่ (2, 1) มีจุดโฟกัสที่ (2, −4) และจุดยอดที่


2 2
(2, 4) และตอบในรูป Ax + By + Dx + Ey + F = 0 โดยสัมประสิทธิท ์ ุกตัวเปนจํานวนเต็ม
วิธีคิด จุดศูนยกลาง จุดโฟกัส และจุดยอด เรียงกันโดยคา x เทากันและ y ตางกัน
2 2
(y −k) (x −h)
แสดงวาเปนไฮเพอรโบลาออมแกนตั้ง ... สมการคือ − = 1
a2 b2
เนื่องจากคา a = (4) − (1) = 3 และคา c = (−4) − (1) = 5 ดังนัน้ b = 52− 32 = 4
2 2
แทนคา (h, k) = (2, 1) และ a, b ลงในสมการ ไดเปน (y −1) − (x −2) = 1 2 2
3 4
2 2 2 2
กระจายสมการ 16 (y −1) − 9(x −2) = 144 → 16y −9x −32y + 36x −164 = 0
หมายเหตุ อาจตอบใหอยูในรูป สัมประสิทธิ์ของ x เปนบวก ก็ได
2 2
โดยนํา −1 คูณทั้งสมการ กลายเปน 9x −16y −36x +32y + 164 = 0

• ตัวอยาง ใหหาสวนประกอบตางๆ ของรูปไฮเพอรโบลาทีม่ ีสมการเปน x2−5y2+ 10y −25 = 0

2 2
วิธีคิด จัดกําลังสองสมบูรณเหมือนเดิม x − 5(y − 2y) = 25 ...
สังเกตไดวา ไมมีพจน x กําลังหนึ่ง แสดงวาที่แกน x ไมมีการเลือ่ นแกน และไมตองจัดรูป
2 2 2 2
เติมตัวเลขทั้งสองขาง เปน x − 5(y − 2y + 1) = 25 - 5 ... นั่นคือ x − 5(y − 1) = 20
(การจัดรูปกําลังสองสมบูรณในขอนี้ หลายจุดตองระวังพลาดเรื่องเครื่องหมายลบ)
x2 (y − 1)2
นําตัวเลขที่เหลือทางขวา คือ 20 หารตลอดสมการ จะได − = 1
20 4

ตอบ เปนสมการไฮเพอรโบลา (ออมแกนนอน) จุดศูนยกลางคือ (0, 1)


เนื่องจากคา a = 20, b = 2 จะได c = 20 + 4 = 24 ดังนัน้
จุดยอดคือ (± 20, 1) จุดโฟกัสคือ (± 24, 1) และจุดปลายแกนสังยุคคือ (0, 1 ± 2)

นิยาม สําหรับวงรีและไฮเพอร์โบลา ความเยื้องศูนย์กลาง (Eccentricity; e) คือค่าที่บอก


ว่าจุดโฟกัสและจุดยอด อยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางเป็นอัตราส่วนเท่าใด นั่นคือ e = c / a
จะพบว่าค่า e ของวงรี อยู่ระหว่าง 0 กับ 1 เสมอ (ถ้า e ยิ่งมากขึ้น วงรีจะยิ่งแคบลง)
และค่า e ของไฮเพอร์โบลา มากกว่า 1 เสมอ (ถ้า e ยิ่งมากขึน้ กราฟจะยิ่งกว้างขึ้น)
เพิ่มเติม
1. รูปวงรี และไฮเพอร์โบลา ก็มีเลตัสเรกตัมและ S e·¤¹i¤¡ÒèíÒ! S
เส้นไดเรกตริกซ์ด้วย (คิดไม่เหมือนกับพาราโบลา) ǧÃÕ a ÂÒÇ·ÕèÊu´ äÎe¾oÏoºÅÒ c ÂÒÇ·ÕèÊu´
แต่ไม่ได้กล่าวถึงในหลักสูตร ม.ปลาย 2 2 2
´a§¹aé¹ a =c +b
2 2 2
´a§¹aé¹ c =a +b
2. ภาคตัดกรวยในรูปเต็มคือ
Ax 2+ By 2+ Cxy + Dx + Ey + F = 0
โดยที่ C ≠ 0
c a a c
ลักษณะกราฟจะเป็นเหมือนรูปใดรูปหนึ่งใน 4 รูปที่
ได้ศึกษาแล้ว แต่แกนจะถูกหมุนไปจากเดิม เช่นอาจ
เป็นรูปวงรีเฉียงๆ ... จะได้ศึกษาการจัดสมการและ b b
เขียนกราฟเหล่านี้ในระดับมหาวิทยาลัย

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 104 เรขาคณิตวิเคราะห

นอกจากนี้ไฮเพอร์โบลามุมฉากอีกรูปแบบหนึ่ง ได้แก่สมการในรูป xy = k เมื่อ k เป็น


ค่าคงที่ ไฮเพอร์โบลานี้มีแกนนอนและแกนตั้งเป็นเส้นกํากับ และมีส่วนประกอบต่างๆ ดังภาพ
ไฮเพอร์โบลามุมฉาก
xy = k k > 0
จุดศูนย์กลาง C (0, 0)
F1
V1 จุดยอด V1 ( k, k)
C (0,0) V2 (− k, − k)
V2 จุดโฟกัส F1 ( 2k, 2k)

F2 F2 (− 2k, − 2k)

ไฮเพอร์โบลามุมฉาก
xy = −k k > 0
จุดศูนย์กลาง C (0, 0)
F1
V1 จุดยอด V1 (− k, k)
C (0,0) V2 ( k, − k)
V2 จุดโฟกัส F1 (− 2k, 2k)
F2 F2 ( 2k, − 2k)

แบบฝึกหัด 4.7
(87) จงหาสมการรูปทั่วไปของไฮเพอร์โบลา ที่มีลักษณะดังแต่ละข้อต่อไปนี้
(87.1) จุดศูนย์กลางอยู่ที่ (−3, 1) มีจุดยอดที่ (2, 1) และแกนสังยุคยาว 6 หน่วย
(87.2) จุดโฟกัสอยู่ที่ (−1, −6) และ (−1, 4) โดยแกนตามขวางยาว 6 หน่วย
(87.3) จุดโฟกัสอยู่ที่ (0, 4) และ (0, −4) และมีจุดปลายแกนสังยุคเป็น (3, 0)
(88) ให้หาส่วนประกอบต่างๆ ทั้งหมดของไฮเพอร์โบลา
(88.1) 9x 2− 4y 2= 36
(88.2) 9x 2− 16y 2− 18x − 64y − 199 = 0
(88.3) 6x 2− y 2− 36x − 2y + 59 = 0
(88.4) 6x 2− 10y 2− 12x − 40y − 94 = 0
(89) ให้หาสมการแสดงทางเดินของจุด P (x, y) ซึ่งผลต่างของระยะทางจาก P (x, y) ไปยังจุด
(3, 0) กับ (−3, 0) เป็น 4 หน่วย

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 105 เรขาคณิตวิเคราะห

(90) [Ent’32] ให้หาสมการกราฟที่ทําให้ผลคูณระยะทางจาก P (x, y) ใดๆ ในกราฟ ไปยังเส้นตรง


4x − 3y = − 11 และ 4x + 3y = −5 เป็น 144/25

(91) ให้หาส่วนประกอบของกราฟรูปต่อไปนี้
(91.1) จุดยอด และจุดโฟกัสของ xy = −4
(91.2) จุดศูนย์กลางของ xy + 2x − y = 3
(92) [Ent’32,36] ถ้าภาคตัดกรวยรูปหนึ่งมีสมการเป็น 9x 2− 18x = 16y 2+ 64y + 199 แล้ว ผลรวม
ของระยะทางจากจุดโฟกัสทั้งสองไปถึงเส้นตรง 3x + 4y = 8 เป็นเท่าใด
(93) [Ent’34] ถ้า F1 เป็นจุดโฟกัสของไฮเพอร์โบลา 6x 2− 10y 2− 12x − 40y − 94 = 0 และอยู่ใน
ควอดรันต์ที่ 4 แล้ว ให้หาสมการพาราโบลาที่มีจุดยอดอยู่ที่ F1 และมีไดเรกตริกซ์เป็นแกนสังยุคของ
ไฮเพอร์โบลา
(94) [Ent’39] กําหนดไฮเพอร์โบลา 9(x −1)2− 4 (y −2)2= 36 ให้หาสมการวงรีซึ่ง ผลบวกของ
ระยะทางจากจุดใดๆ บนวงรี ไปยังจุดที่ไฮเพอร์โบลาตัดแกน x ทั้งสองจุด เป็น 8 หน่วย
(95) [Ent’37] กําหนด E แทนวงรี 6x 2+ 5y 2+ 12x − 20y − 4 = 0 จงหาสมการไฮเพอร์โบลาที่มีจุด
ศูนย์กลางร่วมกับ E, มีจุดยอดอยู่ที่เดียวกับจุดโฟกัสของ E, และมีความยาวแกนสังยุคเท่ากับความ
ยาวแกนโทของ E พอดี
(96) ให้สังเกตว่ากราฟของสมการแต่ละข้อเป็นภาคตัดกรวยรูปใด โดยไม่ต้องคํานวณ
(96.1) x 2+ y 2− 6x − 8y + 12 = 0 (96.6) 3x 2+ 3y 2− 9x − 6y + 20 = 0
(96.2) x 2+ 2y 2− 2x + 4y − 13 = 0 (96.7) 3x 2− 3y 2− 9x − 6y + 20 = 0
(96.3) x 2+ 2x − y + 3 = 0 (96.8) 3x 2− 2 = − y 2+ 4y
(96.4) x 2− y 2− 2x − 2 = 0 (96.9) 3x 2− 2 = y 2+ 4y
(96.5) x 2− y 2= 4 (96.10) 3x 2− 2 = 4y

เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(26) ... (27) 2x + 3y = 6 (46) −11/12 + 41/12 = 2.5
(1) 61 (2) 2
(28) 1/48 (29) y = 4 x − 16 (47) 40/ 58
(3) 5 (4) หน้าจั่ว
(5) 2 × (9 2 + 34) (30) 5 (31) 2x + 3y + 1 = 0 (48) −88 + 16 = −72
(32) (0, −20/9) (33) (−7/3, 0) (49) (2, −11/4) , (8, 1/4)
(6) 3 10 (7) ถูกทุกข้อ
(8) (29/4 , 0) (9) (4, 3) (34) y = x + 3/5 (35) 10 (50) 45° (51) 75°
(52) 3
(10) 41 + 26 + 17 (36) (−2, 3) , Q2 (37) 16/3
(53) x − 7y − 7 = 0 หรือ
(11) –3 (12) 10 (38) ถูกทั้งสองข้อ 7x + y − 5 = 0
(13) 72, (5, 4) (14) 15 (39) y = (11/2) x + 1 ,
(54) y = 3x + 6
(15) ผิดทั้งสองข้อ (16) 31 a = −2/11 , b = 1
(55) 4x − 3y + 20 = 0 ,
(17) 3 (18) 2 (40) x + 2y − 7 = 0 3x + 4y + C = 0
(19) (−4, 6),(8, −3) (41) −1/2, (6, 0) หรือ 4, (−3, 0)
(20) ขนาน (21) (2, 3) (56) (−1/2, −1/2)
(42) 7.5 (43) 19.5 (57) (4, 2)
(22) –30 (23) –2 (44) 13/2 (45) 0, 5
(24) –8/5 (25) 10
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 106 เรขาคณิตวิเคราะห

(58.1) (4, −3) (58.2) (−1, −2) (58.3) (−1, 2) (79.4) 25x 2+ 16y 2+ 100x − 32y − 284 = 0
(59.1) x 2+ y 2− 6x − 8y + 12 = 0 (79.5) 25x 2+ 21y 2− 100x − 42y − 404 = 0
(59.2) x 2+ y 2− 3x − 3y + 4 = 0 (80.1) C (0, 0) , V (±3, 0) , F (± 5, 0) ,
(59.3) x 2+ y 2− 4x + 2y = 0 B (0, ±2)
(59.4) x 2+ y 2+ 4x − 6y − 3 = 0 (80.2) C (3, 5) , V (3, 5±6) , F (3, 5± 4) ,
(59.5) x 2+ y 2− 3x + 3y − 8 = 0 B (3± 20, 5)
(60) 3 (61.1) x + y = 4 (80.3) C (1, 0) , V (1± 3, 0) , F (1±2, 0) ,
(61.2) 4x − y = ± 17 B (1, ± 5)
(61.3) 4x + 3y = 20 , 12x − 5y = −52 (81.1) 5x 2+ 9y 2= 180
(62.1) (x −2)2+ (y −2)2= 4 (81.2) 25x 2+ 16y 2− 100x − 128y − 44 = 0
(62.2) (x −2)2+ (y −2)2= 1 , (x + 1)2+ (y + 1)2= 1 (82.1) วงรี (82.2) 16x 2+ 25y 2= 400
(62.3) (x + 1)2+ (y −2)2= 13 (63) k < 25 (83) 4x − 3y = 36 (84) 2 2
(64) 4 3 (65) y = 2x , (x + 1)2+ (y +2)2= 5 (85) 9/4 (86) 80
(66) 9 (67) 12x 2− 4y 2= 3 (87.1) 9x 2− 25y 2+ 54x + 50y − 169 = 0
(68.1) y 2− 28x − 6y − 47 = 0 (87.2) 9x 2− 16y 2+ 18x − 32y + 137 = 0
(68.2) y 2+ 12x = 0 (68.3) y 2+ 9x = 0 (87.3) 7x 2− 9y 2+ 63 = 0
(68.4) x 2− 4x − 40y − 116 = 0 (88.1) C (0, 0) , V (±2, 0) , F (± 13, 0) ,
B (0, ±3)
(68.5) x 2− 10x − 2y + 21 = 0
(88.2) C (1, −2) , V (1± 4, −2) , F (1±5, −2) ,
(68.6) y 2− 8x − 4y + 4 = 0
B (1, −2± 3)
(68.7) 2y 2− x − 12y + 19 = 0
(88.3) C (3, −1) , V (3, −1± 6) ,
(68.8) x 2+ 2x − y + 3 = 0
F (3, −1± 7) , B (3 ± 1, −1)
(69) 1465/8 (70.1) (0, 3) , y + 3 = 0 , 12
(88.4) C (1, −2) , V (1± 10, −2) ,
(70.2) V (−3, 5) , F (−6, 5) , เลตัสเรกตัมยาว
F (1± 4, −2) , B (1, −2± 6)
12, ไดเรกตริกซ์คือแกน y
(70.3) (7, 2) (70.4) (± 2, 0) (89) 5x 2− 4y 2= 20
(71.1) x 2+ 4x − 24y + 52 = 0 (90) 16x 2− 9y 2+ 64x + 18y + 55 = ± 144
(71.2) y 2− 4x − 2y + 9 = 0 (91.1) V (±2, ∓2) , F (±2 2, ∓2 2)
(72) 12 (73) 6 5 (74) 4x − 3y + 14 = 0 (91.2) (1, −2) (92) 6
(75) x 2− 6x + 12y − 15 = 0 (93) y 2− 16x + 4y + 84 = 0
(76) y 2+ 3x = 0 (77) 145/16 (94) 23x 2+ 36y 2− 46x = 345
(78) 2/3 หน่วย (95) x 2− 5y 2+ 2x + 20y − 14 = 0
(79.1) 16x 2+ 9y 2− 96x + 18y + 9 = 0 (96.1) วงกลม (96.2) วงรี
(79.2) 64x 2+ 39y 2= 2496 (96.3) พาราโบลา (96.4) ไฮเพอร์โบลา
(96.5) ไฮเพอร์โบลา (96.6) วงกลม
(79.3) 4x 2+ 9y 2+ 8x − 36y + 4 = 0 (96.7) ไฮเพอร์โบลา (96.8) วงรี
(96.9) ไฮเพอร์โบลา (96.10) พาราโบลา

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 107 เรขาคณิตวิเคราะห

เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
2 2 2 2
(1) |PP
1 2 | = (1 + 5) + (7 − 2) = 6 + 5 = 61 ข. |DE| = 42 + 82 = 80 = 4 5
2+6 7 −3 −2 + 8 5 + 1 |EF| = 72 + 142 = 245 = 7 5
(2) P( , ) = (4, 2) Q( , )
2 2 2 2
|DF| = 32 + 62 = 45 = 3 5
= (3, 3) ∴|PQ| = 12 + 12 = 2
พบว่า |DE| + |DF| = |EF|แสดงว่า
(3) |OD| = 22 + 42 = 20 ดังนัน้
D, E, F อยู่บนเส้นตรงเดียวกัน ... ถูกต้อง
20
|PC| = = 5 หน่วย ∴|PQ| = 5 ด้วย (จุด E กับ F เป็นจุดปลาย)
2
และเนือ่ งจาก DC อยู่ที่ความสูง y = 4 ค. |AB| = 42 + 22 = 20 = 2 5
ดังนัน้ PQ อยูท่ ี่ y = 2 |BC| = 42 + 22 = 2 5,| AC| = 82 + 42 = 4 5
ความสูงของ Δ จาก C มายัง PQ คือ 2 หน่วย พบว่า |AB| + |BC| = |AC| แสดงว่า
จะได้ พื้นที่ Δ = 1 × 2 × 5 = 5 ตร.หน่วย A, B, C อยู่บนเส้นตรงเดียวกัน ... ถูกต้อง
2
(8) สมมติจดุ P มีพิกัด (x, 0) ก็จะได้วา่
(4) |AB| = 112 + 42 = 137 , |BC| =
(x − 1)2 + 22 = (x − 3)2 + 52 กระจายได้
72 + 72 = 98 ,|AC| = 42 + 112 = 137
x2 − 2x + 1 + 4 = x2 − 6x + 9 + 25
→ |AB| = |AC| แสดงว่าเป็น Δ หน้าจั่ว นั่นคือ 4x = 29 → x = 29 ∴ P(29 , 0)
(5) เส้นรอบรูป Δ ABC จะยาวเป็น 2 เท่าของเส้น 4 4

รอบรูป Δ PQR เสมอ A (9) สมมติจดุ ศูนย์กลางมีพิกดั (x, y)


เพราะ |AB| = 2|PQ|, R ดังนัน้ (x − 1)2 + (y − 7)2 = (x − 8)2 + (y − 6)2
|BC| = 2|QR| Q = (x − 7)2 + (y + 1)2 (เท่ากันทั้งสามก้อน)
และ |AC| = 2|PR| B นํามาเขียนสมการเป็น 2 คู่ เพื่อหา x, y เช่น
2 2 2 2
C P x −2x + 1+ y − 14y + 49 = x − 16x +64 + y − 12y + 36

หาค่า |PQ| = 72 + 12 = 50 = 5 2 , คือ 7x − y = 25 ..... (1) และอีกสมการ


2 2 2 2
x −2x + 1+ y − 14y + 49 = x − 14x + 49 + y + 2y + 1
|QR| = 32 + 52 = 34 และ
คือ 3x − 4y = 0 ..... (2)
|PR| = 42 + 42 = 32 = 4 2
จะได้ x = 4, y = 3 ดังนัน้ ตอบ (4, 3)
ดังนัน้ เส้นรอบรูป Δ ABC = 2 × (9 2 + 34)
(10) A ไปยังจุดกึ่งกลางของ BC
(6) P(3(2) + 1(6) , 3(8) + 1(12)) = (3, 9) (คือ (4 − 2 , 3 + 5) = (1, 4)) → 12 + 52 = 26
4 4 2 2
1(6) + 3(−2) 1(12) + 3(−4) B ไปยังจุดกึง่ กลางของ AC
Q( , ) = (0, 0)
4 4
(คือ (0, 2)) → 42 + 12 = 17
∴| PQ | = 32 + 92 = 90 = 3 10
C ไปยังจุดกึ่งกลางของ AB
(7) ก. |AB| = 72 + 32 = 58
(คือ (3, 1)) → 52 + 42 = 41
2 2 2 2
|BC | = 3 +7 = 58 , | AC | = 4 + 10 = 116 รวม 26 + 17 + 41
พบว่า 2
|AB| + |BC| = |AC| 2
แสดงว่า 2 (11) จุดตัดของเส้นมัธยฐาน
4−4+4 5+7+1 4 13
Δ ABC เป็นสามเหลี่ยมมุมฉาก ... ถูกต้อง (m, n) = ( , )=( , )
3 3 3 3
(มุม B เป็นมุมฉาก) 9
จะได้ m − n = − = −3
3

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 108 เรขาคณิตวิเคราะห

BC
(12) จุดกึ่งกลางของ คือ (16) ลําดับที่เขียน ต้องเรียงทวนเข็มนาฬิกา
6−4 7−3 เช่น A, E, D, B, C, A E
D( , ) = (1, 2)
2 2 1 4 D
A(x, y) โดย
วิธีคดิ 1 หาจุด −2 7 A
1 −4 5
x +6−4 y + 7 −3 4 พื้นที่ = ⋅ −3 −2
( , ) = ( , 1) → 2
3 3 3 −1 −3
1 4 B
(x, y) = (2, −1)ดังนั้น เส้นมัธยฐาน จาก A(2, −1) C
1
= (8 + 28 + 15 − 2 + 3 + 7 − 10 + 8 + 9 − 4)
ไปยัง D(1, 2) มีขนาด 12 + 32 = 10 ... ตอบ 2
วิธีคดิ 2 หาระยะจาก P(4 , 1) ไปยัง D(1, 2) ได้เป็น = 31 ตร.หน่วย
3 k −2 4−2
(17) mAB = mAC → = ∴k = 3
1 10 2−1 3−1
( )2 + 12 = และใช้สมบัติว่า เส้นมัธยฐาน
3 3
(18) วิธีคดิ เหมือนข้อที่แล้ว
|AD| = 3 เท่าของ |PD| → ∴ ตอบ 10
คือ y − 6 = −2 − 6 ดังนั้น y = 2
(13) P(0, 0) , Q(3, 12) , R(12, 0) 1+2 4+2
1 (19) จากภาพ A
พื้นที่ = × สูง × ฐาน
2 จะได้ A (−4, 6) 3
1
Q (3,12)
= × 12 × 12 และ B (8, −3) 4 3
2
= 72 ตร.หน่วย P R (12,0) 4 3
จุดตัดของเส้นมัธยฐาน B
0 + 3 + 12 0 + 12 + 0
4
( , ) = (5, 4)
3 3 5−2 8−4
(20) mAB = = 1, mCD = = 1
(14) พล็อตจุดคร่าวๆ เพื่อหาลําดับ 4−1 2+2
A ∴ mAB = mCD → ขนานกัน
ของจุดบนเส้นรอบรูปได้ดังภาพ B
1 3 (21) สมมติ D(x, y) จะได้ว่า mAB = mCD
1 −2 0
พื้นที่ ΔABC = ⋅ 3 −5 1+ 4 y+2
2 C → = → 5x − y = 7 ..... (1)
1 3 −4 + 5 x−1
1 y −1 −2 + 4
= (6 + 5 + 10 + 9) = 15 ตร.หน่วย และ mAD = mBC → =
2 x +4 1+5
ส่วน PQR ไม่เป็น Δ เพราะอยู่บนเส้นตรงเดียวกัน → 3y − x = 7 ..... (2)
ดังนัน้ พื้นที่ = 0 ∴ ตอบ 15 ตร.หน่วย แก้ระบบสมการได้ D(x, y) = (2, 3)
(15) ก. |PQ| = 52 + 52 = 5 2 (22) ความชัน (3, 2), (1, −4) คือ −4 − 2 = 3
2 2 2 2
1− 3
|QR| = 2 + 1 = 5, |PR| = 3 + 6 = 3 5 1
∴ ความชัน (k, 7), (−3, −2) คือ −
จะได้ความยาวรอบรูป = 4 5 +5 2 หน่วย 3
3 −2 1 7+2
ดังนัน้ − = → k = −30
1 0 4 R 3 k +3
ข. พืน้ ที่ = ⋅ Q
2 −2 3 6−5 1
3 −2 (23) mAB = = ∴ mCD = −2
3−1 2
1 4+m
= (8 − 9 + 12 + 4) = 7.5 ตร.หน่วย P จะได้ −2 = → m = −2
2 m+1
ดังนัน้ ก. ผิด และ ข. ผิด (24) ความชันของรัศมีทผี่ ่าน (5, 6) กับ (−3, 1) คือ
6−1 5
= ... และเนือ่ งจากเส้นสัมผัสจะตั้งฉากกับ
5+3 8
8
รัศมีเสมอ จึงได้ว่า mL = −
5

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 109 เรขาคณิตวิเคราะห

1 4 3
(25) mAB = − , mAC = − , mBC = 7 แสดง (32) ความชันของ 3x − 4y + 5 = 0 คือ →
7 3 4
ว่า AB ⊥ BC ดังรูป B 4
ความชันของอีกเส้น คือ −
และเนือ่ งจาก 3
A 5
วงกลมที่ลอ้ มรอบ Δ มุมฉาก ผ่านจุดตัดแกน x คือ (− , 0) →
3
จะทําให้ ด้านตรงข้ามมุมฉาก C
เป็นเส้นผ่านศูนย์กลาง เสมอ สร้างสมการ y = − (x + 5)
4
3 3
∴ ความยาวเส้นผ่านศูนย์กลาง = |AC| จะหาจุดตัดแกน y ของเส้นนี้ได้เป็น
= 62 + 82 = 10 หน่วย 4 5 20
(0, − ⋅ ) = (0, − )
3 7 5 3 3 9
(26) ก. mAB = , mBC = − , mAC = (33) ความชันของ 2x + 3y + 5 = 0 คือ
7 3 2
→ AB ⊥ BC 2 3
− → mL =
3 2
ข. mDE = −2, mEF = −2 → DE // EF 3
สมการ L คือ y −5 = (x − 1) →
ค. mAB = 1 , mBC = 1 → AB // BC 2
2 2 7
จุดตัดแกน x (แทน y ด้วย 0) คือ (− , 0)
ดังนัน้ ถูกทุกข้อ 3
(27) x-intercept = 3 , y-intercept = 2 → (34) mM = 1 → mL = 1,
x y 3
+ = 1 → 2x + 3y − 6 = 0 ระยะตัดแกน y ของ N (แทน x = 0) คือ
3 2 5
3+5 8 3
(28) สร้างสมการของ L ก่อน → mL = = ∴ L มีความชัน 1 และผ่านจุด (0, )
1+2 3 5
8 3 3
→y − 3 = (x − 1) → 8x − 3y + 1 = 0 → y− = 1x → y = x +
3 5 5
จากนั้น หาระยะตัดแกน x และ y (โดยแทน (35) L1 ; y = (2 − 0)(x + 2) → y = 1 x + 1
2+2 2
y = 0 และแทน x = 0 ตามลําดับ)
L2 ; mL2 = −2 → y = −2(x + 2) = −2x − 4
ได้เป็น − 1 และ 1 L x y
8 3 L3 ; + = 1 → y = 3x − 4
1/3 (4 / 3) −4

แสดงว่า 1/8 จะได้ จุดตัด L1, L2 คือ (−2, 0)


1 1 1 1 จุดตัด L2 , L3 คือ (0, −4) L1
พื้นที่ Δ = × × = ตร.หน่วย
2 8 3 48 จุดตัด L3 , L1 คือ (2, 2)
(29) จุดตัดแกน x คือ (4, 0) 2 2 L3
L2
8−0 1 −2 0
→ mL = = 4 ∴ พืน้ ที่ = ⋅ 0 −4
6−4 2
2 2
สมการคือ y = 4(x − 4) → y = 4x − 16 1
= (4 + 8 + 8) = 10 ตร.หน่วย
(30) สร้างสมการเส้นทแยงมุม AC กับ BD 2
2+6
AC ; y − 2 = (
1+ 3
)(x − 1) → y = 2x (36) mL1 = 2 = mL2 →
3
−1 + 5 2 2 13
BD ; y + 1 = ( )(x + 2) → y = −x − 3 L2 : y − 3 = (x + 2) → y = x + ..... (1)
−2 − 2 3 3 3
จุดตัดของเส้นทั้งสอง คือ P(−1, −2) 3 3 2
mL3 = − → L3 : y + 1 = − (x − )
2 2 3
ตอบ 12 + 22 = 5 3
(31) m = − A = − 2 , จุดตัดของ x +y = 1
→ y = − x ..... (2)
2
B 3
สมการเส้นตรงทัง้ สองตัดกันทีจ่ ุด (−2, 3) → Q2
และ 2x + y = 5 คือ (4, −3)
ดังนัน้ สมการทีต่ ้องการคือ
2
y+3 = − (x − 4) → 2x + 3y + 1 = 0
3

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 110 เรขาคณิตวิเคราะห

(37) หาจุด A(3, k) → 4 = 32 + k2 x y


(41) + = 1 → ผ่านจุด (−2, 4)
a 9−a
→ k = 7 (Quadrant 1 ) ∴ A(3, 7) −2 4
จะได้ + = 1 → a2 − 3a − 18 = 0
จากนั้น mOA = 7 → mL = − 3 → a 9−a
3 7 → ได้ a = 6, −3
3
L:y− 7 = − (x − 3) ถ้า a = 6 → b = 3 → สมการคือ
7
x y 1
16 + = 1→ y = − x+3
→ 7y = − 3x + 16 → ระยะตัดแกน x = 6 3 2
3
2+1 ถ้า a = −3 → b = 12 → สมการคือ
(38) L ⊥ AB → mAB = = −1
−1 − 2 x y
− + = 1 → y = 4x + 12
→ mL = 1 → L : y + 1 = 1(x − 2) → 3 12
∴y=x−3 ตอบ ความชัน − 1 ตัดแกน x ที่ (6, 0)
3 2
ระยะตัดแกน x =3
หรือ ความชัน 4 ตัดแกน x ที่ (−3, 0)
ระยะตัดแกน y =−3 3 3 2
(42) L : y = 0.5(x + 3) → จุด A คือ (0, 1.5)
→ mL = 0.5 ∴ mAB = −2
ก. ความยาวรอบรูป Δ = 3 + 3 + 3 2 = 6 + 3 2 AB : y − 1.5 = −2(x) → y = −2x + 1.5
... ถูก เส้นตรงขนานแกน y ผ่านจุด B
1
ข. พืน้ ที่ Δ = × 3 × 3 = 4.5 ตร.หน่วย ... ถูก ตัดแกน x ที่ (−3, 0) B(-3,y)
2 L
แสดงว่ าจุ ด B เป็ น (−3, y)
(39) |AB| = 62 + 32 = 45, C(-3,0) A
ดังภาพ
2 2 2 2
|BC | = 2 + 11 = 125, | AC | = 4 +8 = 80

AB →
จุดกึง่ กลางของด้านที่สนั้ คือ กึ่งกลาง หาจุด B จากสมการ AB ได้ เป็น
−2 + 4 5 + 8 13 B(−3, 7.5) → ∴|BC| = 7.5
( , ) = (1, )
2 2 2 (43) หาพิกดั จุด B โดยสร้างสมการ AB และ
−2 + 2 5 − 3
และกึ่งกลาง AC → ( , ) = (0, 1) BC นํามาแก้หาจุดตัด..
2 2
3 3 19
AB : y − 5 = (x + 3) → y = x +
ดังนัน้ สมการเส้นตรง คือ y − 1 = (13/2 − 1)(x) 2 2 2
1−0 2 2 4
11 BC : y + 4 = − (x − 4) → y = − x −
→ y = x+1 3 3 3
2
หาจุดตัด (จุด B ) ได้เป็น (−5, 2)
ตอบ ระยะตัดแกน x = − 2 , แกน y = 1
11 ∴ พืน้ ที่ Δ = 1 × | AB| × |BC|
x y 2
(40) + = 1 → ผ่านจุด (1, 3) 1 1
2b b = × 2 + 32 × 92 + 62 = ×
2
13 × 3 13
2 2
จะได้ 1 + 3 = 1 → b = 7 ∴ a = 7 = 19.5 ตร.หน่วย
2b b 2
สมการเส้นตรงนี้ คือ หมายเหตุ หาพิกัดจุด B โดยความชันก็ได้
x y 3 y −5 3
+ = 1→ x + 2y − 7 = 0 mAB = → =
7 (7 / 2) 2 x+3 2
2 y+4 2
mBC = − → = −
3 x−4 3
ซึ่งรูปสมการก็เหมือนกับการสร้างเส้นตรงอยูน่ ั่นเอง..
(44) 2x − 3y = 6 คือ 4x − 6y − 12 = 0 →
| −12 − (−25) | 13 13
ระยะห่าง = = =
2
4 +6 2 42 2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 111 เรขาคณิตวิเคราะห

(45) สมมติเส้นตรงที่ตอ้ งการ 3x − 4y + K = 0 2−1 1


(51) mL1 =
3 −0
=
3
L1
| −5 − K |
จะได้ 1= → ± 5 = −5 − K แสดงว่า L1 ทํามุม 60° กับแนวนอน
32 + 42 60°

ดังนัน้ → K = 0 หรือ −10 ในลักษณะดังภาพ


3−4
คําตอบคือ 3x − 4y = 0 หรือ 3x − 4y − 10 = 0 mL2 = = −1 L2
2−1
แต่โจทย์ให้ Ax + 2y + C = 0 แสดงว่า L1 ทํามุม 45° กับแนวนอน 45°
จึงต้องนํา -1/2 คูณสมการให้กลายเป็น ในลักษณะดังภาพ
3 3
− x + 2y = 0 กับ − x + 2y + 5 = 0
ดังนัน้ เส้นตรงทัง้ สอง L2 L1
2 2 ทํามุมกัน 75° ดังภาพ 75°
45° 60°
ดังนัน้ ตอบ C = 0 หรือ 5
(46) L อยูต่ รงกลางระหว่าง L1, L2 พอดี แสดงว่า (52) L1; y = 3(x − 1) → mL1 = 3
ห่างด้านละ 2 หน่วย → หาสมการ L1, L2 โดย → tan 30° = mL1 − mL2
1 + mL1mL2
| −15 − C |
2 = → −15 − C = ±26
122 + 52 1 3 − mL2 1
จะได้ = → mL2 =
3 1 + 3mL2 3
ดังนัน้ C = 11 หรือ −41 ... สมการ L1, L2 คือ
1
12x − 5y + 11 = 0, 12x − 5y − 41 = 0 → L2 : y = x (ผ่านจุดกําเนิด)
3
11
มีส่วนตัดแกน x (ระยะตัดแกน x ) = − และ ดังนัน้ หาจุด C (จุดตัดของ L1, L2 )
12
41 −11 + 41 3 3
→ ตอบ = 2.5 ได้เป็น ( , )
12 12 2 2

(47) สมการ BC : y − 4 = (−3 − 4)(x − 5) → |CO| =


3 3
( )2 + ( )2 = 3
2−5 2 2
→ 7x − 3y − 23 = 0
| 3x + 4y + 1 | | 4x − 3y − 6 |
ระยะจาก A มาตัง้ ฉาก BC หาจาก (53) =
5 5
| 7(−2) − 3(1) − 23 | 40 → 3x + 4y + 1 = ± (4x − 3y − 6)
= หน่วย
72 + 32 58 ดังนัน้ ตอบ x − 7y − 7 = 0 และ 7x + y − 5 = 0
| 5(−3) − 12(2) + 3 − k | (54) A(−2, 0), B(0, 6) →
(48) 4 =
52 + 122 6
→ ± 52 = −36 − k → k = 16, −88 AB : y = ( )(x + 2) → y = 3x + 6
2
ดังนัน้ ตอบ −72 1−5 0 +8
(55) P( , ) = (−2, 4), Q(1, 8) →
(49) ให้จดุ ทีต่ ้องการคือ (x, y) → 2 2
4
2x − 15 PQ : y − 4 = ( )(x + 2) → 4x − 3y + 20 = 0
2x − 4y = 15 → y = แทนค่าในสมการ 3
4
ระยะทางจากจุดไปยังเส้นตรง เส้นตรงตั้งฉากกับ PQ จะต้องมีความชัน − 3/ 4
| 3x + 4(
2x − 15
) − 10 |
แต่โจทย์ไม่บอกว่าผ่านจุดอะไร จึงตอบติดค่า C ไว้
→ 3 = 4 ดังนี้ 3x + 4y + C = 0
32 + 42 (56) mL = 1 → สร้างสมการเส้นตรงตั้งฉากกับ
→ ± 15 = 5x − 25 ..จะได้ x = 2 หรือ 8 L และผ่านจุด (−2, 1) ได้เป็น
ถ้า x = 2 → y = −11 / 4 y − 1 = −1(x + 2) → y = − x − 1
ถ้า x = 8 → y = 1 / 4 1 1
พบว่าตัดกับ L (ตั้งฉาก) ที่จดุ (− ,− )
2 2
ดังนัน้ ตอบว่า (2, − 11) และ 1
(8, )
4 4 ดังนัน้ โพรเจคชันของ (-2,1) บน L คือ (− 1 , − 1)
5 − (2/ 3) 2 2
(50) tan θ = = 1 → ∴ θ = 45°
1 + 5 (2/ 3) [หมายเหตุ เนือ่ งจากเป็นเส้นตรง y=x จึงสามารถใช้
สูตรลัดได้ดว้ ยว่า (−2 + 1 , −2 + 1) = (− 1 , − 1) ]
2 2 2 2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 112 เรขาคณิตวิเคราะห

(57) วิธีคดิ เช่นเดียวกับข้อทีแ่ ล้ว (59.4) รู้จดุ ผ่าน 3 จุด ต้องแก้ระบบสมการ 3


4 เพื่อหา D, E, F ดังนี้
mL = → สร้างเส้นตั้งฉากและผ่าน (0, 7) ได้เป็น สมการ
5 2 2
x + y + Dx + Ey + F = 0
5
y−7 = − x (−6)2 + (3)2 + D(−6) + E(3) + F = 0 ..... (1)
4
พบว่า ตัดกับ L ทีจ่ ุด (4, 2) ... ดังนัน้ ตอบ (4, 2) (2)2 + (3)2 + D(2) + E(3) + F = 0 ..... (2)
(58.1) (h, k) = (4, −3) (−2)2 + (7)2 + D(−2) + E(7) + F = 0 ..... (3)

(58.2) y + 2 = |x + 1| → (h, k) = (−1, −2) แก้ระบบสมการได้ D = 4, E = −6, F = −3


(58.3) (x2 + 2x +1) + (y2 − 4y +4) = 9 − 5 +1 +4 ดังนัน้ ตอบ x2 + y2 + 4x − 6y − 3 = 0
→ (x + 1)2 + (y − 2)2 = 1 → (h, k) = (−1, 2) (59.5) หาจุดตัดของวงกลมทั้งสองก่อน
(59.1) (h, k) = (3, 4)
โดยนําสมการลบกันเป็น 5x = 5y → y = x
r = (3 − 1)2 + (4 − 1)2 = 13
แทนค่าเข้าไปอีกครั้งในสมการใดสมการหนึ่ง
ได้เป็น x = 2 → y = 2
ดังนัน้ สมการวงกลมคือ
2 หรือ x = −2 → y = −2
→ (x − 3)2 + (y − 4)2 = 13
∴ จุดตัดมีสองจุด คือ (2, 2), (−2, −2)
กระจายได้ x2 − 6x + 9 + y2 − 8y + 16 − 13 = 0
2 2
ต่อมา หาสมการวงกลมที่ผา่ นจุด
→ x + y − 6x − 4y + 12 = 0
(1, −5), (2, 2), (−2, −2) โดยคิดวิธีเดียวกับข้อทีแ ่ ล้ว
(59.2) (h, k) = (1 + 2 , 1 + 2) = (1.5, 1.5) ( x2 + y2 + Dx + Ey + F = 0 )
2 2
(2 − 1)2 + (2 − 1)2 2
แก้ 3 สมการได้ D = −3, E = 3, F = −8
r = =
2 2 ดังนัน้ ตอบ x2 + y2 − 3x + 3y − 8 = 0
22 (60) 3x2 + 3y2 + 11x + 15y = −9 →
→ (x − 1.5)2 + (y − 1.5)2 = (
)
2 11
x2 + y2 + x + 5y + 3 = 0
→ x2 − 3x + 2.25 + y2 − 3y + 2.25 = 0.5 3
→ x2 + y2 − 3x − 3y + 4 = 0 จะได้วา่ เส้นสัมผัสจากจุด (0, 1) มีความยาว
(59.3) หาจุดศูนย์กลาง C(h, k) → ห่างจากจุด =
11
(0)2 + (1)2 +
(0) + 5(1) + 3 = 9 = 3 หน่วย
กําเนิด (0, 0) และ (1, 1) เป็นระยะเท่ากัน 3

(h − 1)2 + (k − 1)2 = h2 + k2 (61.1) mรัศมี = 2 − 0 = 1 → mเส้นสัมผัส = −1


2−0
→ h2 − 2h + 1 + k2 − 2k + 1 = h2 + k2 → y − 2 = −1(x − 2) → x + y = 4
→ h+k = 1 ..... (1) (61.2) r = 17, C(h, k) = (0, 0) →
และ CO ตั้งฉากกับ y = 2x (m = 2)
1 k 1
สร้างสมการเส้นตรงผ่าน (0, 0) และ m = 4
ดังนัน้ mCO = − → = − ..... (2) จะได้ y = 4x จากนัน้
2 h 2
แก้ระบบสมการได้ (h, k) = (2, −1) ขยับเส้นตรงนีอ้ อกไปจากเดิม
∴r = 2
2 +1 = 2
5 และสมการวงกลมคือ เป็นระยะ 17 หน่วย
2
จะได้วา่
(x − 2)2 + (y + 1)2 = 5 |C − 0|
17 = → C = 17, −17 →
→ x2 − 4x + 4 + y2 + 2y + 1 = 5 42 + 12
→ x2 + y2 − 4x + 2y = 0 ดังนัน้ ตอบ y = 4x ± 17

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 113 เรขาคณิตวิเคราะห

(61.3) วิธีแรก สมการเส้นตรงผ่าน (−1, 8) คือ ข. (h, k) ไปยังเส้นตรง y = x+ 2 เป็น 1 หน่วย


y − 8 = m(x + 1) → y = mx + m + 8 |h − k + 2|
→ = 1 ..... (2)
เส้นตรงเส้นนีส้ ัมผัสวงกลม x2 + y2 = 16 แสดงว่า 12 + 12
ตัดวงกลมเพียงจุดเดียว นั่นคือ สมการ แก้ระบบสมการได้ (h, k) = (2, 2) หรือ (−1, −1)
2 2
x + (mx + m + 8) = 16 จะต้องมีคาํ ตอบเดียว จึงตอบว่า (x − 2)2 + (y − 2)2 = 12 หรือ
กระจายสมการได้เป็น (x + 1)2 + (y + 1)2 = 12
(m2 + 1) x2 + (2m2 + 16m) x + (m2 + 16m + 48) = 0 (62.3) ระยะทางจากจุด C(h,k) ไปยังเส้นตรงทัง้
2 4 12 สาม จะต้องเท่ากัน (เพราะเป็นรัศมีวงกลม) นัน่ คือ
นั่นคือ B − 4AC = 0 ได้ m = − หรือ
3 5 | 2h − 3k + 21 | | 3h − 2k − 6 |
=
ตอบ 4x + 3y = 20, 12x − 5y = −52 2
2 +3 2
32 + 22
วิธีทสี่ อง คิดโดยหาระยะทางจากจุด (−1, 8) ไป | 2h + 3k + 9 |
= = r
สัมผัสวงกลม x2 + y2 = 16 ก่อน ได้เป็น 32 + 22
(−1)2 + 82 − 16 = 7 หน่วย แก้ระบบสมการทีละคู่ ได้ (h, k) = (25, 2) หรือ
(−1, 2) หรือ (−7.5, 34.5) หรือ (−7.5, −4.5)
จากนั้นหาจุดสัมผัสบนวงกลมซึ่งอยู่หา่ งจาก (−1, 8)
เป็นระยะ 7 หน่วย → (x + 1)2 + (y − 8)2 = 7 แต่จากการวาดกราฟคร่าวๆ จะทราบว่า จุด (h, k) ที่
→ (x + 1)2 + (y − 8)2 = 72
อยู่ภายใน Δ นี้จริงๆ คือ (−1, 2) เท่านั้น
2 2
(เป็นสมการวงกลมรัศมี 7 จากจุด (−1, 8) นัน่ เอง) จะได้ r = 13 → (x + 1) + (y − 2) = 13
2 2
→ นําไปตัดกับ x2 + y2 = 16 แก้ระบบสมการได้ (63) จาก (x − 6x) + (y + 8y) = −k →
2 2
48 20 16 12 (x − 6x + 9) + (y + 8y + 16) = −k + 9 + 16
x=− → y= , x= → y=
13 13 5 5 → (x − 3)2 + (y + 4)2 = 25 − k
48 20 16 12 จะเป็นสมการวงกลมเมื่อ 25 − k > 0 → k < 25
∴ จุดสัมผัส คือ (− , ) กับ ( , )
13 13 5 5
จากนั้นสร้างสมการเส้นสัมผัสได้ (ระหว่าง 2 จุด) (64) คิดแบบเดียวกับข้อ 61.3 (วิธีแรก)
48 20 → y = kx สัมผัส x2 + y2 − 14x + 49 = k2
(−1, 8) กับ (− , ) → ได้ 12x − 5y = − 52
13 13 แสดงว่า ตัดกราฟแค่จุดเดียว (ระบบสมการมีคาํ ตอบ
16 12 เดียว) → แก้ระบบสมการได้
(−1, 8) กับ ( , )→ ได้ 4x + 3y = 20
5 5 x2 + (kx)2 − 14x + 49 − k2 = 0
(62.1) หาพิกดั ของจุดศูนย์กลาง (h, k) โดย → (k2 + 1) x2 − 14x + 49 − k2 = 0
ก. ระยะทางจาก (h, k) ไปยัง ต้องการ B2 − 4AC = 0 จะได้วา่
(6, 2) เป็น 4 หน่วย 2
(h,k) 2 14 − 4(k + 1)(49 − k2) = 0
2 2

→ (h − 6)2 + (k − 2)2 = 4 (6,2)


2 → k = 0, 4 3, − 4 3
ข. ระยะทางจาก (h, k) ไปยัง 1 โจทย์ตอ้ งการ k > 0 เท่านั้น จึงตอบ 4 3
(2, −1) เป็น 3 หน่วย (2,-1)
(65) x2 + 4x + 2 = −(y2 + 8y + 9) →
→ (h − 2)2 + (k + 1)2 = 3 (x2 + 4x + 4) + (y2 + 8y + 16) = − 2 − 9 + 4 + 16
122 46 → (x + 2)2 + (y + 4)2 = 32
แก้ระบบสมการได้ (h, k) = (2, 2) หรือ ( ,− )
25 25
เป็นสมการวงกลม ซึ่งมีจดุ ศูนย์กลางที่ C(−2, −4)
แต่ในที่นตี้ ้องการ (h, k) ใน Q1 จึงเป็น (2, 2)
หาสมการเส้นตรง OC ได้เป็น
เท่านั้น... และตอบว่า (x − 2)2 + (y − 2)2 = 22 −4
y = x → y = 2x
(62.2) วงกลม x2 + y2 − 4x + 2y + 1 = 0 จัด −2
รูปได้เป็น (x − 2)2 + (y + 1)2 = 22 หาสมการวงกลมที่มี OC เป็นเส้นผ่านศูนย์กลาง
ดังนัน้ จุดศูนย์กลาง (h, k) ที่ตอ้ งหาในข้อนี้ −2 + 0 −4 + 0
→ (h, k) = ( , ) = (−1, −2)
2 2
จะมีสมการระยะทางเป็น
r = 12 + 22 = 5 → (x + 1)2 + (y + 2)2 = 5
ก. (h, k) ไปยัง (2, −1) เป็น 3 หน่วย
(รัศมีวงกลม 2 วง รวมกัน 2 + 1 = 3 )
→ (h − 2)2 + (k + 1)2 = 3 ..... (1)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 114 เรขาคณิตวิเคราะห

(66) x2 + y2 − 4x + 2y = 4 (68.5) แสดงว่าอ้อมแกน y จะได้


มีจุดศูนย์กลางที่ (2, −1) (x − 5)2 = 4c(y + 2) แทนค่า (3, 0) เพือ
่ หาค่า c
ดังนัน้ สมการเส้นตรงคือ y + 1 = − 4 (x − 2) 4 = 4c(2) → 4c = 2
3 ตอบ 2
(x − 5) = 2(y + 2)
แก้ระบบสมการหาจุดตัดของเส้นตรงกับวงกลม 2
→ x − 10x − 2y + 21 = 0
ได้เป็น A(0.2, 1.4) และ B(3.8, −3.4) →
0.2 1.4
(68.6) Directrix : x = − 2, F(2, 2) แสดงว่าอ้อม
1 −1 −2 แกน x, หาจุดยอดได้เป็น (0, 2) [กึ่งกลางระหว่าง
พื้นที่ Δ ABD = ⋅ 3.8 −3.4
2
0.2 1.4 โฟกัสกับไดเรกตริกซ์] ดังนัน้ c = 2
=
1
× (0.68 + 7.6 + 1.4 + 5.32 + 3.4 − 0.4)
ตอบ (y − 2)2 = 4(2)(x)
2 → y2 − 8x − 4y + 4 = 0
= 9 ตร.หน่วย
2
(68.7) อ้อมแกน x → y2 + Dx + Ey + F = 0 หา
(67) (x − 1) = (1 − y)(1 + y) →
ค่า D, E, F โดยแทนค่า (1, 3), (9, 1), และ (51, −2)
(x − 1)2 = (1 − y2) → (x − 1)2 + y2 = 12
จะได้วา่
(เป็นรูปวงกลม) ... ให้หาสมการซึง่ (x, y) เป็นจุด (3)2 + D(1) + E(3) + F = 0 ..... (1)
ศูนย์กลางวงกลมที่สัมผัสวงกลมนี้ และผ่าน (−1, 0) (1)2 + D(9) + E(1) + F = 0 ..... (2)
แสดงว่าระยะทางจากจุด (x, y) ไปยัง (−1, 0) = r และ (−2)2 + D(51) + E(−2) + F = 0 ..... (3)
และระยะทางจากจุด (x, y) ไปยัง (1, 0) = r + 1
แก้ระบบสมการได้ D = − 1 , E = −6, F = 19
จะได้ (x + 1)2 + y2 + 1 = (x − 1)2 + y2 → 2 2
2 2 2 2
x + 2x + 1 + y + 2 (x + 1) + y + 1 = x − 2x + 1 + y
2 2 ดังนัน้ ตอบ y2 − x − 6y + 19 = 0
1
2 2
→ 2 (x + 1)2 + y2 = − 4x − 1 จากนัน้ ยกกําลังสอง → 2y2 − x − 12y + 19 = 0
2 2
→ 4(x + 1) + 4y = 16x + 8x + 1 2 (68.8) ลองพล็อตกราฟ (3,18)
2
→ 12x − 4y = 3 2
เป็นสมการที่ตอ้ งการ คร่าวๆ จะรู้วา่ เป็นพาราโบลา
อ้อมแกน y เท่านัน้ จึงตั้ง (-2,3) (0,3)
(68.1) แสดงว่า อ้อมแกน x และ c = 7
→ (y − 3)2 = 4(7)(x + 2)
สมการว่า
x2 + Dx + Ey + F = 0 → แทนค่าจุดทั้งสามเพื่อแก้
→ y2 − 28x − 6y − 47 = 0
ระบบสมการเช่นเดียวกับข้อที่แล้ว ได้คาํ ตอบเป็น
(68.2) แสดงว่าอ้อมแกน x และ c = −3 D = 2, E = −1, F = 3 →
(เพราะอัตราส่วนระยะโฟกัส ต่อความยาวเลตัสเรก ดังนัน้ ตอบ x2 + 2x − y + 3 = 0
ตัมต้องเป็น 1 : 4 เสมอ จึงไม่ใช่อ้อมแกน y)
→ y2 = 4(−3)(x) → y2 + 12x = 0 (69) 2x2 + 3y = 0 → x2 = − 3 y
2
(68.3) แกน x เป็นแกนสมมาตร แสดงว่าอ้อมแกน → x2 = 4(− 3)y เป็นพาราโบลาคว่ํา
x ... จะได้ y2 = 4cx 8
แทนค่า (−4, −6) เพื่อหาค่า c มีจุดยอดที่ V(0, 0) จุดโฟกัสที่ (0, − 3)
8
→ 36 = 4c(−4) → 4c = −9
3 1,465
ตอบ y2 = −9x → y2 + 9x = 0 ตอบ 4 + (3 − )2 =
2
หน่วย
8 8
(68.4) แกนสมมาตรตั้งฉากแกน x แสดงว่าอ้อม (70.1) x2 = 4(3)y → จุดยอด (0, 0) อ้อมแกน y
แกน y ... จะได้ (x − 2)2 = 4c(y + 3) ตอบ จุดโฟกัส F(0, 3) , ความกว้างที่จดุ โฟกัส
แทนค่า (8, −2.1) เพื่อหาค่า c = 4(3) = 12 หน่วย, สมการไดเรกตริกซ์
36 = 4c(0.9) → 4c = 40 y=−3 → y+3=0
2
ตอบ (x − 2) = 40(y + 3)
→ x2 − 4x − 40y − 116 = 0

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 115 เรขาคณิตวิเคราะห

(70.2) y2 − 10y + 25 = − 12x − 61 + 25 (74) y2 − 4y + 4 = 4x + 8 + 4


→ (y − 5)2 = 4(−3)(x + 3) → อ้อมแกน x → (y − 2)2 = 4(1)(x + 3) → อ้อมแกน x, จุดยอด
ตอบ จุดยอด V(−3, 5), จุดโฟกัส F(−6, 5), V(−3, 2) และจุดโฟกัส F(−2, 2) →
ความกว้าง ณ โฟกัส = 12, สมการไดเรกตริกซ์ สมการเส้นตรงทีต่ ้องการคือ
6−2
x = − 3 + 3 = 0 (ก็คอ
ื แกน y) y −6 = ( )(x − 1) → 4x − 3y + 14 = 0
1+ 2
(70.3) Directrix: x = 1
(75) (x2 − 6x + 9) + (y2 + 2y + 1) = 6 + 9 + 1
จุดยอด (4, 2) แสดงว่า (4,2)
→ (x − 3)2 + (y + 1)2 = 16 → จุดศูนย์กลางคือ
เปิดขวา, c = 3 →
C(3, −1) → หาพาราโบลาทีม่ ี Directrix: y = 5,
ดังนัน้ จุด F(7, 2) x=1
1 7
โฟกัส F(3, −1) → อ้อมแกน y
(70.4) V(0, − ), F(0, ) แสดงว่า หงาย, จุดยอดคือ V(3, 2) → c = −3 → สมการที่ได้
3 6
7 1 3 3 1 (x − 3)2 = 4(−3)(y − 2) →
c = − (− ) = → x2 = 4( )(y + ) →
6 3 2 2 3 x2 − 6x + 12y − 15 = 0
หาจุดตัดแกน x; แทน y ด้วย 0 จะได้ (76) แก้ระบบสมการหาจุดตัดได้เป็น (0, 0) กับ
2 3 1
x = 4( )( ) = 2 → x = ± 2 (−3, −3) → หาพาราโบลาทีผ่ ่าน 2 จุดนี้ และแกน
2 3
ดังนัน้ ตอบ ( 2, 0), (− 2, 0) สมมาตรคือแกน x → แสดงว่า (0, 0) เป็นจุดยอด
(71.1) พาราโบลา มี y = −4 เป็น Directrix, มี จะได้ (y)2 = 4c(x) → แทน (−3, −3) เพือ่ หาค่า c
→ 9 = 4c(−3) → 4c = −3
F(−2, 8) → อ้อมแกน y → หาจุดยอดได้เป็น (จุด
กึ่งกลางระหว่าง F กับ Directrix) V(−2, 2) ดังนัน้ ตอบ y2 = −3x → y2 + 3x = 0
→ c = 6 ดังนั้นได้สมการ (x + 2)2 = 4(6)(y − 2) (77) y2 − 4y + 4 = −8x + 20 + 4
→ x2 + 4x − 24y + 52 = 0 → (y − 2)2 = 4(−2)(x − 3) → อ้อมแกน x,

(71.2) เทคนิคการคิด คือ ขยับเส้นตรง x = −4 จุดยอด V(3, 2), จุดโฟกัส F(1, 2) → ไดเรกตริกซ์
ไปทางขวาเข้าหาจุด F(3, 1) เป็นระยะ 5 หน่วย จะ x = 3 + 2 = 5 → จุดตัดของไดเรกตริกซ์กับแกน
ได้ Directrix: x = −4 + 5 = 1 → อ้อมแกน x สมมาตร ก็คือ P(5, 2) ดังนัน้ โจทย์ให้หาวงกลมที่
จุดยอดคือ V(2, 1) → c = 1 → ได้สมการเป็น ผ่านจุด (0, 0), (1, 2), (5, 2) →
2
(y − 1) = 4(1)(x − 2) แก้ระบบสมการ หา D, E, F จาก
→ y2 − 4x − 2y + 9 = 0 x2 + y2 + Dx + Ey + F = 0

(72) (x − 1)2 = 4(1)(y) เช่นเดียวกับโจทย์ข้อ (59.4),(59.5) ได้เป็น


1
อ้อมแกน y, จุดยอด V(1, 0) → จุดโฟกัส F(1, 1) D = −6, E = , F = 0 → สมการวงกลมทีไ่ ด้ คือ
2
หาจุดบนโค้งนีท้ หี่ ่างจาก F(1, 1) อยู่ 13 หน่วย 2 2 1
x + y − 6x + y = 0 → จัดรูปเพื่อหารัศมี
สมมติจดุ นัน้ เป็น (a, b) จะได้วา่ 2
1 1 1
13 = (a − 1)2 + (b − 1)2 ..... (1) (x2 − 6x + 9) + (y2 + y + )= 9+ ดังนั้น
2 16 16
และ (a − 1)2 = 4b ..... (2)
กําลังสองของรัศมีวงกลม = 9 + 1 = 145
แก้ระบบสมการได้ b = 12, − 14 16 16
ถ้า b = 12 → a = 1 ± 4 3 (78) วาดพาราโบลาลงบนแกน (6,4)
จุด (a, b) = (1 + 4 3, 12) หรือ (1 − 4 3, 12) เพื่อช่วยคํานวณ โดยให้เปิดขวา
และมีจุดยอดที่ (0, 0) จะได้
ถ้า b = −14, เป็นไปไม่ได้ (หาค่า a ไม่ได้)
∴ ห่างจากแกน x อยู่ 12 หน่วย
สมการเป็น y2 = 4cx →
(73) แก้ระบบสมการหาจุดตัดได้เป็น (8, 8) กับ หาค่า c จากจุดที่ผ่าน คือ (6, 4) (6,-4)
16 2
(2, −4) ดังนั้นความยาวคอร์ดที่เกิดขึ้น → 16 = 4c(6) → c = =
24 3
= 62 + 122 = 180 = 6 5 หน่วย 2
∴ ระยะโฟกัส = หน่วย
3

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 116 เรขาคณิตวิเคราะห

(79.1) C(3, −1), a = 4, b = 3, รีตามแกน y (80.2) 9(x2 − 6x +9) + 5(y2 − 10y +25)
(y + 1)2 (x − 3)2 = −26 + 81 + 125
→ + = 1
42 32 → 9(x − 3)2 + 5(y − 5)2 = 180
→ 9(y + 1) + 16(x − 3)2 = 144
2
(x − 3)2 (y − 5)2
→ 16x2 + 9y2 − 96x + 18y + 9 = 0 นํา 180 หาร → + = 1
20 36
(79.2) C(0, 0), V(0, 8) แสดงว่า a = 8 และ รีตามแกน y (a = 6, b = 20, c = 4)
รีตามแกน y, F(0, −5) แสดงว่า c = 5 ตอบ C(3, 5), V(3, 5±6)
→ b = 82 − 52 = 39 จะได้สมการเป็น F(3, 5± 4), B(3 ± 20, 5)
y2 x2 (80.3) 5(x2 − 2x +1) + 9(y2) = 40 +5
2
+ = 1 → 64x2 + 39y2 = 2496
8 39
→ 5(x − 1)2 + 9y2 = 45 →
(79.3) V(−4, 2), (2, 2) แสดงว่า รีตามแกน x และ (x − 1)2 y2
จุดศูนย์กลาง C(−1, 2) → a = 3 นํา 45 หาร → + = 1
9 5
(x + 1)2 (y − 2)2 รีตามแกน x (a = 3, b = 5, c = 2)
→ + = 1
32 22
ตอบ C(1, 0), V(1± 3, 0), F(1±2, 0), B(1, ± 5)
→ 4(x + 1)2 + 9(y − 2)2 = 36
→ 4x2 + 9y2 + 8x − 36y + 4 = 0
(81.1) F(4, 0), (−4, 0) แสดงว่า รีตามแกน x
c = 4, C(h, k) = (0, 0) → ระยะทางรวมเป็น 12
(79.4) C(−2, 1), F(−2, 4) แสดงว่ารีตามแกน y
2 2
และ C = 3 , ผ่านจุด (−6, 1) แสดงว่าจุดปลายแกน แสดงว่า a = 6 → b = 6 − 4 = 20
2 2
โทเป็น B(−6, 1) สมการทีต่ ้องการคือ x2 + y = 1
6 20
จะได้ b = 4, a = 32 + 42 = 5 → → 5x2 + 9y2 = 180
(y − 1)2 (x + 2)2
+ = 1 (81.2) F(2, 7), (2, 1)
แสดงว่ารีตามแกน y
52 42
→ 16(y − 1)2 + 25(x + 2)2 = 400 c = 3, C(h, k) = (2, 4) → ระยะทางรวม เป็น 10
2 2
2 2
→ 25x + 16y + 100x − 32y − 284 = 0 แสดงว่า a = 5 → ∴b = 5 −3 = 4 →
(79.5) C(2, 1), V(2, −4) แสดงว่า รีตามแกน y (y − 4)2 (x − 2)2
สมการทีต่ ้องการ คือ + = 1
และ a = 5 , ค่า c : a = 2 : 5 แสดงว่า c = 2 25 16
→ 25x2 + 16y2 − 100x − 128y − 44 = 0
→ b = 52 − 22 = 21 ดังนั้นได้สมการ
(y − 1)2 (x − 2)2
(82.1) รูปวงรี (เพราะตรงตามนิยามของวงรีพอดี)
→ + = 1 (82.2) 6 = 2c → c = 3
52 21
10 = 2a → a = 5 ∴b = 4
→ 21(y − 1) + 25(x − 2)2 = 525
2
2 2
→ 25x2 + 21y2 − 100x − 42y − 404 = 0 x y
ได้สมการ + 2 = 1
52 4
x2 y2
(80.1) นํา 36 หาร → + = 1→ → 16x2 + 25y2 = 400
9 4
รีตามแกน x (83) 4(x2 − 12x +36) + 9(y2 + 8y +16)

(a = 3, b = 2 → c = 32 − 22 = 5) = − 144 +144 +144

ตอบ C(0, 0), V(3, 0), (−3, 0), → 4(x − 6)2 + 9(y + 4)2 = 144 เป็นสมการวงรีที่มี
F( 5, 0), (− 5, 0), B(0, 2), (0, −2) C(h, k) = (6, −4) → หาสมการเส้นตรงที่ผา่ น
3
(6, −4) และตัง้ ฉากกับ 3x + 4y = 5 (m = − )
4
4 4
แสดงว่า mL = → y + 4 = (x − 6)
3 3
ตอบ 4x − 3y − 36 = 0

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 117 เรขาคณิตวิเคราะห

(84) (x2 − 4x + 4) + 3(y2) = 2 + 4 (87.3) F(0, 4), (0, −4) แสดงว่า อ้อมแกน y
2 2
(x − 2) y C(0, 0), c = 4 ... จุด B(3, 0) แสดงว่า
→ (x − 2)2 + 3y2 = 6 → + = 1→
6 2
b = 3 → a = 42 − 32 = 7
รีตามแกน x C(h, k) = (2, 0), c = 6−2 = 2 2 2
y x
∴ F(2 ± 2, 0) = (4, 0)กับ (0, 0) → โจทย์ให้หา สมการคือ − 2 = 1
7 3
ระยะระหว่างเส้นตรงที่ผ่าน (4, 0) และผ่าน (0, 0) → 9y2 − 7x2 − 63 = 0
โดยทํามุม 45° กับแกน x (หรือ 7x2 − 9y2 + 63 = 0 ก็ได้)
ดังภาพ (88.1) 9x2 − 4y2 = 36 → นํา 36 หาร
4
∴ d = 4 sin 45° x2 y2
d → − = 1→ อ้อมแกน x,
= 2 2 หน่วย 4 9
a = 2, b = 3 → c = 4+9 = 13
2 1 2 ตอบ C(0, 0), V(±2, 0), F(± 13, 0), B(0, ±3)
(85) kx + 4(y − y + ) = 8 +1
4
(88.2) 9(x2 − 2x +1) − 16(y2 + 4y +4)
1
→ kx2 + 4(y − )2 = 9 = 199 +9 −64
2
1 → 9(x − 1)2 − 16(y + 2)2 = 144
(y − )2
x2 2 (x − 1)2 (y + 2)2
→ + = 1 → − = 1→ อ้อมแกน x
(3 / k)2 (3 / 2)2 B 16 9
พบว่าต้องรีตามแกน x 3/2 c a = 4, b = 3, c = 5
จึงจะเกิด Δ ได้ ดังภาพ ตอบ C(1, −2), V(1± 4, −2), F(1±5, −2)
F1 (0,1/2) F2
B(1, −2± 3)
9 9
c = a −b2 2
= − (88.3) 6(x2 − 6x +9) − (y2 + 2y +1)
k 4
= −59 +54 − 1
3 7 1 9 9 3
∴ พืน้ ที่ Δ = = ⋅ (2 − )⋅( ) → 6(x − 3)2 − (y + 1)2 = −6
4 2 k 4 2
9 (y + 1)2 (x − 3)2
→ k = → − = 1→ อ้อมแกน y
4 6 1
(86) ตั้งแกนไว้ให้จดุ C(h, k) = (0, 0) จะได้ว่า a = 6, b = 1, c = 7
2 2
x y ตอบ C(3, −1), V(3, −1± 6), F(3, −1± 7)
+ 2 = 1 โจทย์ถามตําแหน่ง P ซึ่งห่างจาก
22 1 B(3 ± 1, −1)
ปลายหนึ่ง 80 ซม. → แสดงว่า x = 1.2 → หา (88.4) 6(x2 − 2x +1) − 10(y2 + 4y +4)
(1.2)2 y2
ค่าความสูง y → 2
+ 2 = 1 = 94 +6 − 40
2 1
→ y = 0.8 จึงตอบว่า สูงจากพื้น 80 ซม. → 6(x − 1)2 − 10(y + 2)2 = 60

(87.1) C(−3, 1), V(2, 1) แสดงว่า อ้อมแกน x (x − 1)2 (y + 2)2


→ − = 1→ อ้อมแกน x
10 6
a = 5, แกนสังยุคยาว 6 หน่วย แสดงว่า
a = 10, b = 6, c = 4
(x + 3)2 (y − 1)2
b = 3 → สมการคือ 2
− 2
= 1 ตอบ C, (1, −2), V(1± 10, −2), F(1± 4, −2)
5 3
2 2
→ 9x − 25y + 54x + 50y − 169 = 0 B(1, −2± 6)
(87.2) F(−1, −6), (−1, 4)
แสดงว่า อ้อมแกน y (89) F(3, 0), (−3, 0) → C(h, k) = (0, 0), c = 3 ,
C(h, k) = (−1, −1) → c = 5 ... แกนตามขวางยาว อ้อมแกน x , ผลต่างระยะทาง 4 หน่วย
6 หน่วย แสดงว่า a = 3 → b = 52 − 32 = 4 → 2a = 4 → a = 2 ∴b = 32 − 22 = 5
2 2
(y + 1) (x + 1) x2 y2
สมการคือ − = 1 ∴ สมการคือ − =1
32 42 22 5
2 2
→ 16y − 9x + 32y − 18x − 137 = 0 → 5x2 − 4y2 − 20 = 0
(หรือนํา -1 คูณ กลายเป็น
2 2
9x − 16y + 18x − 32y + 137 = 0 ก็ได้)
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 118 เรขาคณิตวิเคราะห

|4x − 3y + 11| |4x + 3y + 5| 144 (94) จุดตัดแกน x ของไฮเพอร์โบลา (แทน


(90) ⋅ =
42 + 32 42 + 32 25 y = 0 ) คือ 9(x − 1)2 − 16 = 36
→ |(4x − 3y + 11)(4x + 3y + 5)| = 144 52 52
→ x = 1± ... คู่อันดับ (1 ± , 0)
2 2
→ 16x − 9y + 64x + 18y + 55 = ±144 3 3
ตอบ 16x2 − 9y2 + 64x + 18y + 199 = 0 หรือ 52
หาสมการวงรีที่มี F(1 ± , 0) และผลบวกเป็น 8
2 2
16x − 9y + 64x + 18y − 89 = 0 3
(91.1) อยู่ในรูปแบบไฮเพอร์โบลามุมฉาก xy = − k แสดงว่า C(h, k) = (1, 0), รีตามแกน x,
52 52 92
จุดยอด (2, −2), (−2, 2) c = , a = 4 → ∴b = 16 − =
3 9 3
จุดโฟกัส (2 2, −2 2), (−2 2, 2 2) (x − 1)2 9y2
(91.2) จัดรูปดังนี้ xy + 2x − y = 3 ตอบ + = 1→
16 92
→ x(y + 2) − (y +2) = 3 −2 23(x − 1)2 + 36(y2) = 368
→ (x − 1)(y + 2) = 1 อยู่ในรูปแบบไฮเพอร์โบลามุม → 23x2 + 36y2 − 46x − 345 = 0
ฉาก xy = k ... มีจุดศูนย์กลางที่ (1, −2) (95) 6(x2 + 2x +1) + 5(y2 − 4y +4) = 4 +6 + 20
(92) 9(x2 − 2x +1) − 16(y2 + 4y +4) 2
(x + 1) (y − 2) 2
→ + = 1 วงรี รีตามแกน y
= 199 +9 − 64 5 6
→ 9(x − 1)2 − 16(y + 2)2 = 144 C(h, k) = (−1, 2), a = 6, b = 5,

(x − 1)2 (y + 2)2 c = 6−5 = 1→


→ − = 1 อ้อมแกน x
16 9 V(−1, 2 ± 6), F(−1, 2± 1) → หาสมการไฮเพอร์โบลา
C(1, −2), c = 16 + 9 = 5 → จุดโฟกัสอยูท่ ี่ ที่ C(−1, 2), V(−1, 2± 1), แกนสังยุคยาวเท่าแกนโท
(1 ± 5, −2) = (6, −2)
กับ (−4, −2) ของวงรี ( b = 5 เท่ากัน)
ผลรวมระยะทางที่ตอ้ งการ คือ (y − 2)2 (x + 1)2
→ − = 1→
|3(6) + 4(−2) − 8| |3(−4) + 4(−2) − 8| 12 5
+
32 + 42 32 + 42 5(y − 2)2 − (x + 1)2 = 5
2 28 → 5y2 − x2 − 20y − 2x + 14 = 0
= + = 6 หน่วย
5 5 (หรือ x2 − 5y2 + 2x + 20y − 14 = 0 ก็ได้)
(93) 6(x2 − 2x +1) − 10(y2 + 4y +4)
(96) ย้ายข้างสมการให้อยู่ในรูป
= 94 +6 − 40 Ax2 + By2 + Dx + Ey + F = 0
2 2
(x − 1) (y + 2) ... ถ้า A หรือ B เป็น 0 ⇒ พาราโบลา
→ − = 1 อ้อมแกน x
10 6 ถ้า A = B ⇒ วงกลม
C(1, −2) , c = 10 + 6 = 4 → F(1± 4, −2) ดังนั้น ถ้า A ≠ B แต่เครื่องหมายเดียวกัน ⇒ วงรี
F1 คือ (5, −2) [Q4 ] → แกนสังยุคของไฮเพอร์โบลา ถ้า A กับ B เครื่องหมายตรงข้ามกัน ⇒
คือ x = 1 → สร้างสมการพาราโบลาที่มจี ุดยอด ไฮเพอร์โบลา
V(5, −2) และ Directrix: x = 1 → แสดงว่าอ้อม ดังนัน้ แต่ละข้อได้คําตอบดังนี้
แกน x และ c = 4 → (96.1) วงกลม (96.2) วงรี
(y + 2)2 = 4(4)(x − 5) (96.3) พาราโบลา (96.4) ไฮเพอร์โบลา
→ y2 − 16x + 4y + 84 = 0 (96.5) ไฮเพอร์โบลา (96.6) วงกลม
(96.7) ไฮเพอร์โบลา (96.8) วงรี
(96.9) ไฮเพอร์โบลา (96.10) พาราโบลา

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 119 ความสัมพันธและฟงกชัน

f(n)=c+tn

º··Õè 5 ¤ÇÒÁÊaÁ¾a¹¸/¿˜§¡ªa¹
ความรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์และฟังก์ชัน จะ
เป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับตัวแปร
และเป็นพื้นฐานของการประยุกต์ใช้คณิตศาสตร์ในการ
ทํางาน ทั้งด้านพาณิชยศาสตร์ ด้านวิศวกรรม ฯลฯ ซึ่ง
ในบทนี้เราจะได้รู้จักลักษณะเบื้องต้นของความสัมพันธ์
และฟังก์ชัน
คู่อันดับ (Ordered Pair) ประกอบด้วยสมาชิกสองตัวในรูป (a, b) ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยน
ลําดับสมาชิกตัวหน้ากับตัวหลังได้ และ (a, b) = (c, d) ก็ต่อเมื่อ a = c และ b = d เท่านั้น
ผลคูณคาร์ทีเซียน (Cartesian Product) คือผลคูณระหว่างเซตสองเซต
เซต A × B (เอคูณบี) คือเซตของคู่อันดับ ที่สมาชิกตัวหน้ามาจากเซต A และสมาชิกตัว
หลังมาจากเซต B ครบทุกคู่ หรือเขียนแบบเงื่อนไขได้ว่า A × B = {(a, b) | a ∈ A และ b ∈ B }
เช่น A = {0, 1, 2} , B = {1, 3} จะได้ A × B = {(0, 1), (0, 3), (1, 1), (1, 3), (2, 1), (2, 3)}
A × A = {(0, 0), (0, 1), (0, 2), (1, 0), (1, 1), (1, 2), (2, 0), (2, 1), (2, 2)}

ข้อสังเกต
1. n (A × B) = n (A) ⋅ n (B)
2. n (A × ∅) = n (A) ⋅ n (∅) = 0 ดังนั้น A × ∅ = ∅
3. A × B = B × A ก็ต่อเมื่อ A = B หรือมีเซตใดเซตหนึ่งเป็น ∅

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 120 ความสัมพันธและฟงกชัน

5.1 ลักษณะของความสัมพันธ์
ความสัมพันธ์ (Relation : r) คือเซตที่สมาชิกทุกตัวเป็นคู่อันดับ
หรือกล่าวว่า เซตที่นําไปเขียนกราฟ (2 มิติ บนแกน x,y) ได้ จัดว่าเป็นความสัมพันธ์

นิยาม “ความสัมพันธ์จาก A ไป B” (from A to B)


คือเซตของคู่อันดับที่สมาชิกตัวหน้าอยู่ในเซต A และสมาชิกตัวหลังอยู่ในเซต B แต่ไม่จําเป็นต้องครบ
ทุกคู่ ... ดังนั้น “ความสัมพันธ์จาก A ไป B” คือสับเซตของ A × B
และเป็นไปได้ทั้งหมด 2 n (A × B) แบบ
สัญลักษณ์ที่ใช้แทนคําว่า “ความสัมพันธ์จาก A ไป B” คือ r = {(x, y) ∈ A × B | .....}

ตัวอย่างเช่น A = {2, 3, 4} และ B = {1, 3, 5, 8}


จะได้ A × B = {(2, 1), (2, 3), (2, 5), (2, 8), (3, 1), (3, 3), (3, 5), ..., (4, 8)}
และมี r ⊂ A × B ทั้งสิ้น 2 3 × 4 = 4096 แบบ ... ทุกแบบสามารถเขียนเงื่อนไขได้ เช่น
r 1 = {(x, y) ∈ A × B | y < x } จะได้ r 1 = {(2, 1), (3, 1), (3, 3),(4, 1), (4, 3)}
r2 = {(x, y) ∈ A × B | y = x + 1 } จะได้ r2 = {(2, 3), (4, 5)}
r 3 = {(x, y) ∈ A × B | x หาร y ลงตัว } จะได้ r 3 = {(2, 8), (3, 3),(4, 8)}
r 4 = {(x, y) ∈ A × B | x3 < y } จะได้ r 4 = ∅

หมายเหตุ
1. เนื่องจากความสัมพันธ์จัดเป็นเซตชนิดหนึ่ง จึงเขียนแสดงความสัมพันธ์ได้ 2 ลักษณะ ได้แก่ แจก
แจงสมาชิก และบอกเงื่อนไข
2. r = {(x, y) ∈ A × A | .....} เรียกว่า “ความสัมพันธ์ภายใน A” (in A)
3. ถ้าไม่ระบุว่าเป็นความสัมพันธ์จากเซตใดไปเซตใด จะหมายถึงเซตจํานวนจริง R × R

แบบฝึกหัด 5.1
(1) กําหนดให้เอกภพสัมพัทธ์เป็นเซตของจํานวนจริง ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(1.1) ∀a∀b [ (a, b) ≠ (b, a) ]
(1.2) ∀a∀b [ (a, b) ≠ (c, d) → a ≠ c และ b ≠ d ]
(1.3) ∃a∃b [ (a + 2b, 1) = (−1, b + a/2) ]
(2) ถ้า (3x + 5, 8 − 4y) = (−5, −6) และ (y, 2) = (−p, 2) แล้ว ให้หา (xp, x/p)

(3) กําหนดให้ (a, b) ∗ (c, d) = (a − c, b + d) ถ้า (3, 4) ∗ (0, 0) = (x, y) ∗ (3, 4)


แล้ว ให้หา (x, y)
(4) กําหนด A, B, C เป็นเซตใดๆ แล้ว ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(4.1) ถ้า A เป็นเซตอนันต์ และ B เป็นเซตจํากัดแล้ว A × B เป็นเซตอนันต์
(4.2) ถ้า A × B เป็นเซตอนันต์ แล้ว A เป็นเซตอนันต์ หรือ B เป็นเซตอนันต์
(4.3) ถ้า A × B = A × C แล้ว B = C

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 121 ความสัมพันธและฟงกชัน

(4.4) ถ้า A × B = ∅ แล้ว A = B = ∅


(4.5) A × B = B × A ก็ต่อเมื่อ A = B
(4.6) (A ∩ B) × C ⊂ A × C ⊂ (A ∪ B) × C
(4.7) A × B ≠ A และ A × B ≠ B
(4.8) มีเซต A บางเซต ที่ทําให้ A ∩ (A × B) ≠ ∅

(5) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(5.1) ถ้า A = {4, 5, 6, {4, 5, 6}} และ B = {4, 5, {4, 5}}
แล้ว n [P (A) × P (B)] = 128
(5.2) ถ้า A = {3, 4, 5, ..., 32} , B = {7, 8, 9, ..., 40} และ C = {0, 1, 2, ..., 25} แล้ว
n [(A × B) ∩ (A × C)] = 570
(5.3) ถ้า A = {0, 1, 2, ..., 28} และ B = {−3, −2, −1, ..., 4}
แล้ว n [(A × B) ∪ (B × A)] = 439

(6) กําหนดให้ A = {a1, a2 , a3 , ..., am} , B = {a1, a2 , a3 , ..., ak } โดยที่ m < k


ถ้า (A × B) ∩ (B × A) = (A ∩ B) × (B ∩ A) แล้ว n [(A × B) ∪ (B × A)] มีเท่าใด
(7) ถ้า n (U) = 10 , n (A ' ∩ B ') = 2 , n (A ' ∪ B ') = 9 และ n (B) − n (A) = 1 แล้ว ให้หา
จํานวนความสัมพันธ์ต่างๆ กันจาก A ไป B
(8) [Ent’39] ถ้า n (A) = 10 แล้ว ให้หาจํานวนความสัมพันธ์ทั้งหมดจาก A×A ไป A
(9) กําหนดให้ A = {1, 2, 3} และ B = {0, 4} แล้ว ข้อความต่อไปนี้ถูกต้องหรือไม่
(9.1) มีความสัมพันธ์จาก A ไป B ทั้งหมด 64 เซต
(9.2) มีความสัมพันธ์จาก A ไป B ที่โดเมนเท่ากับ A ทั้งหมด 27 เซต
(10) กําหนดให้ n (A) = 3 และ n (B) = 4 แล้ว ข้อความต่อไปนี้ถูกต้องหรือไม่
(10.1) จํานวนความสัมพันธ์จาก A ไป B เท่ากับจํานวนความสัมพันธ์จาก B ไป A
(10.2) จํานวนความสัมพันธ์จาก A ไป B ที่โดเมนเป็น A มีทั้งหมด 15 3 เซต
(10.3) จํานวนความสัมพันธ์จาก B ไป A ที่โดเมนเป็น B มีทั้งหมด 2401 เซต
(10.4) จํานวนความสัมพันธ์ภายใน A ที่โดเมนเป็น A มีทั้งหมด 343 เซต
(11) ให้เขียน r1 ∩ r2 แบบแจกแจงสมาชิก เมื่อ
(11.1) r1 = {(x, y) ∈ I × I | x + y = 1 } , r2 = {(x, y) ∈ I × I | x − y = 3}
(11.2) r1 = {(x, y) | x2 + y2 = 16 } , r2 = {(x, y) | y = 4 − x2}
(12) ถ้า A = {1, 2, 3, ..., 20} , B = {0, 1, 2, ..., 25}
และ r = {(x, y) ∈ A × B | y > x } ให้หาจํานวนคู่อันดับภายใน r

5.2 โดเมน เรนจ์ และตัวผกผันของความสัมพันธ์


โดเมน (Domain; D) ของความสัมพันธ์ คือเซตของสมาชิกตัวหน้าของคู่อันดับ
เรนจ์ หรือ พิสัย (Range; R) ของความสัมพันธ์ คือเซตของสมาชิกตัวหลังของคู่อันดับ
นั่นคือ Dr = { x | (x, y) ∈ r } และ Rr = { y | (x, y) ∈ r }
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 122 ความสัมพันธและฟงกชัน

เช่นในตัวอย่างข้างต้น Dr1 = {2, 3, 4} , Rr1 = {1, 3} , Dr2 = {2, 4} , Rr2 = {3, 5}

และ Dr4 = Rr4 = ∅

ถ้า r เป็นความสัมพันธ์จาก A ไป B แล้ว Dr ⊂ A และ Rr ⊂ B

การหาโดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์ภายใน R ซึ่งบอกมาเป็นเงื่อนไข (สมการ)


ให้พิจารณาที่เงื่อนไขว่าหากมีสิ่งเหล่านี้คือ การหาร, การถอดราก, ค่าสัมบูรณ์, การยกกําลัง
จะมีข้อจํากัดเกิดขึ้น กล่าวคือ
ถ้ามี a = b จะได้ว่า c ≠ 0
c
ถ้ามี a = n b ถ้า n เป็นจํานวนคู่ จะได้ว่า a > 0 และ b > 0
ถ้ามี a = b n ถ้า n เป็นจํานวนคู่ จะได้ว่า a > 0
ถ้ามี a = b จะได้ว่า a > 0
โดยการหาโดเมน ควรจะพิจารณาในรูปสมการ y = ...(x)... (เขียน y ในเทอมของ x)
และการหาเรนจ์ หากเป็นไปได้ควรจัดรูปให้กลายเป็น x = ...(y)... (เขียน x ในเทอมของ y) แล้ว
ค่อยพิจารณา
2
• ตัวอยาง ใหหาโดเมนและเรนจของ r = {(x, y) | y = 4 − x }
2
วิธีคิด (1) การหาโดเมน พบวามีรากที่สอง ดังนัน้ 4 − x > 0 หรือ −2 < x < 2
(2) การหาเรนจ เนื่องจากมีรากที่สอง ดังนัน้ y > 0 เสมอ
2 2
จากนั้นจัดรูปเปน x = ± 4 − y ซึ่งจะไดวา 4 − y > 0 ก็คือ −2 < y < 2
นําเงื่อนไขมารวมกันไดเปน 0 < y < 2
ดังนั้น ตอบ D = [−2, 2] และ R = [0, 2]
r r

y
• หมายเหตุ หากไดศึกษาเรื่องกราฟวงกลมในบทเรียน 2
2
“เรขาคณิตวิเคราะห” จะทราบวาสมการ y = 4 − x
2 2
อยูในรูปแบบของวงกลม x + y = 4 ดังภาพ x
(แตกลายเปนครึง่ วงกลม เนื่องจากมีเครื่องหมายรากที่สอง -2 O 2
ทําให y > 0 เทานัน้ ) ซึ่งถาเขียนกราฟจะมองเห็นโดเมนและเรนจไดชัดเจนกวาการคํานวณ

r −1
คือ ตัวผกผัน หรือ อินเวอร์ส (Inverse) ของ r
โดยที่ r −1 = {(y, x) | (x, y) ∈ r }
อธิบายได้ว่า r −1 สามารถหาได้จาก การสลับที่สมาชิกตัวหน้าและหลังของคู่อันดับใน r
หรือถ้าเป็นความสัมพันธ์แบบเงื่อนไข ก็หาได้จากการสลับที่ระหว่าง x และ y นั่นเอง
เช่น ถ้า r = {(2, 1),(3, 3),(4, 5),(0, −1)} จะได้ r −1 = {(1, 2),(3, 3),(5, 4),(−1, 0)}
แต่ถ้าเป็นแบบเงื่อนไข r = {(x, y) ∈ A × B | y = 2x − 3 } สามารถเขียน r −1 ได้หลายแบบ
เช่น r −1 = {(y, x) ∈ B × A | y = 2x − 3 } หรือ r −1 = {(x, y) ∈ B × A | x = 2y − 3 } หรือ
x+3
r −1 = {(x, y) ∈ B × A | y = } ซึ่งแบบสุดท้าย (เขียนในรูปของ y) นี้เป็นที่นิยมมากกว่า
2
ข้อสังเกต Dr−1 = Rr และ Rr−1 = Dr เสมอ
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 123 ความสัมพันธและฟงกชัน

แบบฝึกหัด 5.2
(13) ให้หาโดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์ต่อไปนี้
(13.1) r = {(x, y) | xy = 2 }
(13.2) r = {(x, y) | (x − 2)(y − 1) = 1 }
(13.3) r = {(x, y) | y = 1 }
x−1
2x − 3
(13.4) r = {(x, y) | y = }
x+1
x+1
(13.5) r = {(x, y) | y = , x > 1}
x−1

(14) ให้หาโดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์ต่อไปนี้
[ Hint : บางสมการควรจัดรูปให้เป็นกําลังสองสมบูรณ์ ]
(14.1) r = {(x, y) | y = x2}
(14.2) r = {(x, y) | y = x }
(14.3) r = {(x, y) | y = x2 − 2x − 3 }
(14.4) r = {(x, y) | y = 3 + x + 1 }
(14.5) r = {(x, y) | x2 + y2 = 16 }
(14.6) r = {(x, y) | y = 16 − x2 }
(14.7) r = {(x, y) | y = 1 4 − 3x − x2 }
2
(14.8) r = {(x, y) | x + y2 − 6x + 4y − 3 = 0 }
2

(15) ให้หาโดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์ต่อไปนี้
(15.1) r = {(x, y) | y = 2 1 }
x −x
1
(15.2) r = {(x, y) | y = 2
}
x − 4x + 3
x+1
(15.3) r = {(x, y) | y = }
x
(15.4) r = {(x, y) | 2x2 + y2 − 2xy + x + 1 = 0 }
(15.5) r = {(x, y) | x2y2 − y2 − x − 2 = 0 }
(15.6) r = {(x, y) | xy2 − xy − 2y2 + 2y − 6x + 11 = 0 }

(16) ให้หาโดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์ต่อไปนี้
3
(16.1) r = {(x, y) | y = }
x+3 −4
(16.2) r = {(x, y) | y = x+2 − x }

(16.3) r = {(x, y) | y = x2 − 4 }

(17) ให้หาเรนจ์ ของอินเวอร์สของความสัมพันธ์ต่อไปนี้


(17.1) r = {(x, y) | y = 2 1 }
x −4

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 124 ความสัมพันธและฟงกชัน

1
(17.2) r = {(x, y) | y = }
2
x −4
x
(17.3) r = {(x, y) | y = }
x −2

(17.4) r = {(x, y) | y = 3x − 1 + 2 2x2 − 3x − 2 }

(18) ให้ r = {(x, y) | xy = 1 + y } แล้ว Rr − Dr เป็นเซตใด


⎧⎪ x − 2 , x < 11
(19) ให้ r เป็นความสัมพันธ์ภายใน R ซึ่ง r = {(x, y) | y = ⎨ }
⎪⎩ 15 − x , x > 11
ถ้า A = Dr ∩ Rr แล้ว ผลบวกของค่าขอบเขตบนน้อยสุดกับค่าขอบเขตล่างมากสุดเป็นเท่าใด
(20) กําหนดให้ r = {(x, y) | y2 − 2xy2 − x + 1 = 0 } จํานวนเต็มบวกที่น้อยที่สุดที่เป็นสมาชิกของ
Rr ∩ Dr' เป็นเท่าใด

1
(21) ถ้า r = {(x, y) | y = } แล้ว ให้หาคอมพลีเมนต์ของ Dr−1
x2 − 2x − 3

(22) ถ้าให้เอกภพสัมพัทธ์เป็น Rr โดยที่ r = {(x, y) | y2 = (9 − x2)−1} แล้ว ข้อใดถูก


ก. ∃x∀y [x + y = y] ข. ∀x∃y [x + y = 0]

5.3 กราฟของความสัมพันธ์
“กราฟของความสัมพันธ์ r” ก็คือเซตของจุดบนแกนมุมฉาก (x, y) ซึ่งแต่ละจุดแทนสมาชิก
ใน r (โดยให้สมาชิกตัวหน้าเป็นแกนนอน และสมาชิกตัวหลังเป็นแกนตั้ง)
เช่น ถ้า r1 = {(1, 2),(−1, 2),(2, 3),(−2, 0),(0, −2)}
r2 = {(x, y) ∈ I × I | y = x2 } = {(0, 0),(±1, 1),(±2, 4), ...}

และ r3 = {(x, y) ∈ R × R | y = x2} จะได้กราฟดังภาพ


y y y
3 r1 4 r2 r3
2
1
x x x
-2 -1 O 1 2 -2 -1 O 1 2 O
-2

การเขียนกราฟของความสัมพันธ์ จะช่วยให้เห็นโดเมนและเรนจ์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
รูปแบบของกราฟที่ควรรู้จักมีดังนี้ ...
หมายเหตุ ควรศึกษาเทคนิคการเขียนกราฟ (การเลือ่ นแกน, การปรับขนาดกราฟ) ซึ่งอธิบายไว้ในบทเรียน
“เรขาคณิตวิเคราะห์” เพื่อช่วยในการหาโดเมนและเรนจ์ต่อไป

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 125 ความสัมพันธและฟงกชัน

1. กราฟเส้นตรง y = mx + c m คือความชัน และ c คือระยะตัดแกน y


y y y

m>0 m<0 m=0


c c c
x x x
O O O

2. กราฟพาราโบลา y = ax2 หรือ x = ay2 a คือค่าคงที่ใดๆ ที่ไม่ใช่ศูนย์


y y y
2 x = ay2
y = ax a>0
a>0 x
x O x
O y = ax2 O
a<0

3. กราฟค่าสัมบูรณ์ (ที่คล้ายพาราโบลา) y = a x หรือ x = a y


y y y
x = a|y|
a>0
y = a|x| O
a>0 x
x y = a|x| x
O O
a<0

4. กราฟวงกลม x2 + y2 = r2 r คือรัศมีของวงกลม (มากกว่าศูนย์)


5. [Ent’22] กราฟค่าสัมบูรณ์ (ที่คล้ายวงกลม) x + y = k k คือค่าคงที่ที่มากกว่าศูนย์
y y
S e¾ièÁeµiÁ! S
r k
¡ÃÒ¿ã´æ ·ÕèÁÕ¤‹ÒÊaÁºÙó¹é¹a ¨aÁÕ
Åa¡É³a¤ÅŒÒÂÀÒ¤µa´¡ÃÇ e¾Õ§
x x 椋eÃÒÁo§¤‹ÒÊaÁºÙóe»š¹Â¡¡íÒÅa§
-r O r -k O k Êo§ e¾×èoãˌ䴌eʌ¹o¤Œ§ æŌǻÃaºãˌ
¡ÅÒÂe»š¹eʌ¹µÃ§e·‹Ò¹aé¹..
-r -k
6. กราฟไฮเพอร์โบลามุมฉาก xy = c y y
c คือค่าคงที่ใดๆ ที่ไม่ใช่ศูนย์ c>0 c<0
O x O x

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 126 ความสัมพันธและฟงกชัน

กราฟของความสัมพันธ์อาจเป็น “พื้นที่ (แรเงา)” ในระนาบ หากว่าความสัมพันธ์นั้นเป็น


“อสมการ” โดยมีหลักในการเขียนกราฟคือ คิดว่าเป็นเครื่องหมายเท่ากับแล้วเขียนกราฟของสมการ
ก่อน จากนั้นตรวจสอบว่าบริเวณใดของพื้นที่ตรงตามเงื่อนไขของอสมการ จึงแรเงา (เส้นกราฟทึบ
แสดงว่าจุดบนเส้นนั้นอยู่ใน r, เส้นประแสดงว่าจุดบนเส้นนั้นไม่อยู่ใน r)
y y y
y < x+2 2

2 y > 3x2
x
x x -2 O 2
O O
x2 + y2 > 4 -2
กราฟของอินเวอร์ส ( r −1 ) มีความเกี่ยวข้องกับกราฟของ r คือ เกิดจากการหมุนกราฟโดยมี
เส้นตรง y = x เป็นแกนหมุน … เท่ากับเป็นการสลับแกน x กับ y กันนั่นเอง
y เส้นตรง y
y=x
r r-1
x x
(-3,-1) O
(-1,-3)

แบบฝึกหัด 5.3
(23) ให้หาโดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์ต่อไปนี้ โดยอาศัยการเขียนกราฟ
(23.1) r = {(x, y) | x + y = 4 }
(23.2) r = {(x, y) | x − 2 + y = 2 }
(23.3) r = {(x, y) | y = x2 + 2x − 2 }
(23.4) [Ent’24] r = {(x, y) | y = x2 + 2x − 2 , − 3 < x < 2 }
(24) ขนาดพื้นที่ของบริเวณในแต่ละข้อเป็นกี่ตารางหน่วย เมื่อกําหนดให้
r1 = {(x, y) | x + y < 1 } r2 = {(x, y) | x − y < 1 } r3 = {(x, y) | y − x < 1 }
r4 = {(x, y) | y > 0 } และ r5 = {(x, y) | x > 0 }
(24.1) r1 ∩ r2 ∩ r5 (24.3) r1 ∩ r3 ∩ r4
(24.2) r1 ∩ r4 ∩ r5 (24.4) r3 ∩ r4 ∩ r5

(25) ให้หาขนาดพื้นที่ (ตารางหน่วย) ของ r1 ∩ r2 ∩ r3 เมื่อ


r1 = {(x, y) | x − y + 1 > 0 } r2 = {(x, y) | 2x + y − 4 < 0 }
และ r3 = {(x, y) | y + 1 > 0 }

(26) ให้หาขนาดพื้นที่ (ตารางหน่วย) ของ r1 ∩ r2 เมื่อ


(26.1) r1 = {(x, y) | 2 < x + y } และ r2 = {(x, y) | x + y < 4 }

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 127 ความสัมพันธและฟงกชัน

(26.2) r1 = {(x, y) | x + 2 y < 4 } และ r2 = {(x, y) | 2 x + y > 2 }


(26.3) [Ent’21] r1 = {(x, y) | y2 < 4 − x2 } และ r2 = {(x, y) | y > x }
(26.4) r1 = {(x, y) | y < 16 − x2 } และ r2 = r1−1
(27) ให้หาขนาดพื้นที่ (ตารางหน่วย) ของ r ∪ r −1 เมื่อ r = {(x, y) | 2 x + y < 8 }

(28) ถ้า A = โดเมนของ r1 ∩ r2 และ B = เรนจ์ของ r1 ∩ r2


โดยที่ r1 = {(x, y) | x + y > 2 } และ r2 = {(x, y) | x + 2 y < 4}

แล้ว ผลบวกของจํานวนเต็มใน A ∩ B ' เป็นเท่าใด


(29) ถ้า r1 = {(x, y) | x − y = 5 } และ r2 = {(x, y) | x2 + y2 < 53 } แล้ว โดเมนของ r1 ∩ r2
เป็นช่วงใด
(30) ถ้า A = {x | x2 − 2x < 3 } และ r = {(x, y) ∈ A × R | x2 − y − 1 = 0 } แล้ว เรนจ์ของ r
เป็นช่วงใด
(31) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(31.1) ถ้า r = {(x, y) ∈ R × R | y = x2 } แล้ว r −1 = r
(31.2) ถ้า r = {(x, y) ∈ R+ × R | y = x2 } แล้ว r −1 = r
(31.3) ถ้า r = {(x, y) ∈ R × R | x2 + y2 = 25 } แล้ว r −1 = r
(31.4) ถ้า r = {(x, y) ∈ R+ × R | x2 + y2 = 25 } แล้ว r −1 = r
y
(32) ให้หาขนาดพื้นที่ของอาณาบริเวณ
ที่ถูกล้อมด้วยกราฟของ r และ r −1 (0,1) (2,2)
เมื่อกําหนดกราฟของ r เป็นดังภาพ
x
O
(-2,-2) (0,-1)

5.4 ลักษณะของฟังก์ชัน
จากที่ศึกษาผ่านมาแล้วว่า ความสัมพันธ์ คือเซตของคู่อันดับ (และที่พบบ่อยจะเขียนอยู่ใน
รูปสมการ) หากความสัมพันธ์ใดมีลักษณะดังต่อไปนี้ด้วย จะเรียกว่าเป็น ฟังก์ชัน (Function : f)
“สมาชิกตัวหน้าแต่ละตัว จะคู่กบั สมาชิกตัวหลังได้เพียงแบบเดียวเท่านั้น”
หรือกล่าวว่า สําหรับ x แต่ละตัว จะคู่กับ y ได้เพียงแบบเดียวเท่านั้น
S e¾ièÁeµiÁ! S
เช่น r1 = {(0, 1),(1, 2),(1, 3),(2, 4)}
ไม่เป็นฟังก์ชัน เพราะ 1 คู่กับทัง้ 2 และ 3 ¿˜§¡ªa¹ e»ÃÕºeÊÁ×o¹e¤Ã×èo§¨a¡Ã·Õeè ÃÒãʋ x e¢ŒÒä»
r2 = {(0, 1),(1, 2),(3, 1),(2, 4)} æÅa¼‹Ò¹¡ÃaºÇ¹¡Òäíҹdz¨¹¡Ãa·aè§ä´Œ y oo¡ÁÒ..
เป็นฟังก์ชัน เพราะไม่มีการใช้สมาชิกตัวหน้าซ้ําเลย ´a§¹aé¹ ¡Òèae»š¹¿˜§¡ªa¹ä´Œ ¶ŒÒeÃÒãʋ x 溺e´iÁ
e¢ŒÒ仡ç¤Çèa䴌¤‹Ò y e·‹Òe´iÁoo¡ÁÒ¹aè¹eo§..
(ห้ามใช้สมาชิกตัวหน้าซ้ํา แต่ใช้สมาชิกตัวหลังซ้ําได้)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 128 ความสัมพันธและฟงกชัน

r1 r2
0 1 0 1
2 1
1 2 2
3
2 4 3 4

ไม่เป็นฟังก์ชัน เป็นฟังก์ชัน

r3 = {(x, y) | y2 = x } ไม่เป็นฟังก์ชัน สมมติ x = 4 จะได้ว่า y = 2 หรือ −2


2
r4 = {(x, y) | y = x } เป็นฟังก์ชัน เพราะไม่ว่าจะแทน x ค่าใด ก็ได้ y เพียงค่าเดียว

เมื่อเขียนกราฟของความสัมพันธ์ จะเห็นได้ชัดเจนว่า x แต่ละตัว คู่กับ y เพียงตัวเดียว


หรือไม่ (ลากเส้นแนวตั้ง ดูว่าที่ x แต่ละค่า เส้นนี้ตัดกราฟไม่เกินหนึ่งจุดหรือไม่)
y y
r3
r4

x x
O O

ไม่เป็นฟังก์ชัน เป็นฟังก์ชัน

สิ่งที่ควรทราบ
1. ความสัมพันธ์ที่เขียนในรูป y = ...(x)... ได้แบบเดียว จะเป็นฟังก์ชันเสมอ
* 2. ถ้า f เป็นฟังก์ชัน จะเขียนแทน y ด้วยคําว่า f (x) (อ่านว่า เอฟเอกซ์) เช่น f (x) = x2

ลักษณะของฟังก์ชัน S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S
“ฟังก์ชันจาก A ไป B” (from A into B หรือ f : A >B)
¿˜§¡ªa¹¨Ò¡ A ä» B ¨aµŒo§ãªŒ
คือฟังก์ชันซึ่ง Df = A และ Rf ⊂ B o´eÁ¹ (¤×oe«µ A) ãˌ¤Ãº·u¡µaÇ
“ฟังก์ชันจาก A ไปทั่วถึง B” (from A onto B หรือ f : A onto >B) ¹a¤Ãaº ¼i´¡aº¤ÇÒÁÊaÁ¾a¹¸¨Ò¡
คือฟังก์ชันซึ่ง Df = A และ Rf = B A ä» B «Öè§äÁ‹µŒo§ãªŒ A ËÁ´¡ç䴌
r5 r6 r7
0 0 a 0 a
1
a 1 b 1
b 2 c 2 b
2 3 d 3 c
A B A B A B
เป็นฟังก์ชัน เป็นฟังก์ชันจาก A ไป B เป็นฟังก์ชันจาก A ไปทั่วถึง B

“ฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งจาก A ไป B” (one-to-one หรือ f : A 1− 1 > B )


คือฟังก์ชันที่ Df = A และ Rf ⊂ B และ “สําหรับ y แต่ละตัว จะคู่กับ x เพียงตัวเดียวด้วย”
1− 1
“ฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งจาก A ไปทั่วถึง B” (one-to-one correspondence หรือ f : A onto >B)
คือฟังก์ชันที่ Df = A และ Rf = B และ “สําหรับ y แต่ละตัว จะคู่กับ x เพียงตัวเดียวด้วย”

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 129 ความสัมพันธและฟงกชัน

r5 r8 r9
0 1 a 0 a
a b 1 b
1 b 2 c 2 c
2 4 d 3 d
A B A B A B
เป็นฟังก์ชัน 1-1 เป็นฟังก์ชัน 1-1 จาก A ไป B เป็นฟังก์ชัน 1-1 จาก A ไปทั่วถึง B

เมื่อเขียนกราฟของความสัมพันธ์ จะทําการตรวจสอบว่า y แต่ละตัว คู่กับ x เพียงตัวเดียว


หรือไม่ โดยลากเส้นแนวนอนและดูว่าที่ y แต่ละค่า เส้นนี้ตัดกราฟไม่เกินหนึ่งจุดหรือไม่
y y y
r3 r10
r4

x x x
O O O

ไม่เป็นฟังก์ชัน เป็นฟังก์ชัน แต่ไม่เป็น 1-1 เป็นฟังก์ชัน 1-1

ฟังก์ชันแบบเฉพาะต่างๆ ที่ควรรู้จัก
ฟังก์ชันคงตัว (Constant Function) f (x) = a (กราฟเส้นตรงแนวนอน)
ฟังก์ชันเชิงเส้น (Linear Function) f (x) = ax + b (กราฟเส้นตรงเฉียงๆ)
ฟังก์ชันกําลังสอง (Quadratic Function) f (x) = ax2 + bx + c (กราฟพาราโบลาหงายหรือคว่ํา)
ฟังก์ชันพหุนาม (Polynomial Function) f (x) = anxn + an − 1xn − 1 + an − 2xn − 2 + ... + a0
ฟังก์ชันตรรกยะ (Rational Function) f (x) = p (x) ..เมื่อ p (x), q(x) เป็นฟังก์ชันพหุนาม
q(x)
ฟังก์ชันค่าสัมบูรณ์ (Absolute Value Function) f (x) = ax + b + c (กราฟรูปตัววีหงายหรือคว่ํา)

ฟังก์ชันเพิ่ม (Increasing Function) และ ฟังก์ชันลด (Decreasing Function)


มีนิยามดังนี้ ... สําหรับทุกๆ x1, x2 ∈ [a, b]
ฟังก์ชัน f จะเป็นฟังก์ชันเพิ่มในช่วง [a, b] ก็ต่อเมื่อ ถ้า x2 > x1 แล้ว f (x2) > f (x1)
และ ฟังก์ชัน f เป็นฟังก์ชันลดในช่วง [a, b] ก็ต่อเมื่อ ถ้า x2 > x1 แล้ว f (x2) < f (x1)
เพิ่มเติม การเขียนกราฟของฟังก์ชนั พหุนาม และ
การหาช่วงที่เป็นฟังก์ชันเพิ่มหรือลด จะได้ศึกษา
อย่างละเอียดในเรื่องอนุพันธ์ (บทที่ 15)

ตัวอยางการแกฟงกชัน (1)
• ถา f (x) = 2x − 3 ใหหา f (3x − 1)
วิธีคิด จาก f (Δ) = 2 (Δ) − 3 จะได f (3x − 1) = 2 (3x − 1) − 3 = 6x − 5 ... ตอบ
• f (3x − 1) = 6x − 5 ใหหา f (x)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 130 ความสัมพันธและฟงกชัน

A+1
วิธีคิด ให A = 3x − 1 นั่นคือ x =
3
A+1
จะไดวา f (3x − 1) = 6x − 5 กลายเปน f (A) = 6( ) − 5 = 2A − 3
3
ดังนั้น f (x) = 2x − 3 ... ตอบ
• f (3x − 1) = 6x − 5 ใหหา f (2)
วิธีคิด ให 2 = 3x − 1 ไดเลย นั่นคือ x = 1
จะไดวา f (3x − 1) = 6x − 5 กลายเปน f (2) = 6 (1) − 5 = 1 ... ตอบ
• f (x) = 2x − 3 ใหหา f (3x − 1) ในรูปของ f (x)
วิธีคิด หา f (3x − 1) = 2 (3x − 1) − 3 = 6x − 5 กอน
f (x) + 3
จากนั้นเปลี่ยน x เปน f (x) โดย f (x) = 2x − 3 → x =
2
f (x) + 3
จะไดวา f (3x − 1) = 6( ) − 5 = 3 f (x) + 4 ... ตอบ
2

แบบฝึกหัด 5.4
(33) f ที่กําหนดให้ในแต่ละข้อ เป็นฟังก์ชันจริงหรือไม่
และถ้าเป็นฟังก์ชันให้ระบุเพิ่มเติมด้วยว่า เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งหรือไม่
(33.1) f (x) = x2 (33.6) f (x) = 1/ x
2
(33.2) [f (x)] = x (33.7) f (x) = x2 + x + 1
(33.3) f (x) = x (33.8) f (x) = x3
(33.4) f (x) = x (33.9) f (x) = 1/ x2
(33.5) f (x) = x (33.10) f (x) = x 2/ 3
(34) ความสัมพันธ์ต่อไปนี้เป็นฟังก์ชันหรือไม่
(34.1) r = {(x, y) | x + y < 1 }
(34.2) r = {(x, y) | x + y = 1 }
(35) ความสัมพันธ์ต่อไปนี้เป็นฟังก์ชันหรือไม่
(35.1) r = {(x, y) | x + y = 1}
(35.2) r = {(x, y) | x + y = 1}
(35.3) r = {(x, y) | x + y = 1}
(35.4) r = {(x, y) | x + y = 1}
(36) ฟังก์ชันต่อไปนี้เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งหรือไม่
(36.1) f = {(x, y) | 2x + y − 3 = 0 }
(36.2) f = {(x, y) | (x − 4)(y + 3) = 1}
(36.3) f = {(x, y) | y − 3 = (x + 4)3}
(36.4) f = {(x, y) | x2 − y + 3 = 0 }

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 131 ความสัมพันธและฟงกชัน

(37) ฟังก์ชันต่อไปนี้เป็นฟังก์ชัน f : R > R หรือไม่


(37.1) f = {(x, y) | y = 9 − x2 }
(37.2) f = {(x, y) | y = 9 + x2 }
(37.3) f = {(x, y) | y x = 1}
(37.4) f = {(x, y) | x + y − 5 = 0 }
(38) ฟังก์ชันต่อไปนี้เป็นฟังก์ชัน f : R onto > A เมื่อ A = [0, ∞) หรือไม่
(38.1) f = {(x, y) | y = x4}
(38.2) f = {(x, y) | y = x2 − 2x + 3 }
(38.3) f = {(x, y) | y = x2 − 4 }
(38.4) f = {(x, y) | y = x3 + 3x2 + 3x + 1 }
(39) ฟังก์ชันต่อไปนี้เป็นฟังก์ชันเพิ่มใน R หรือไม่
(39.1) f (x) = 5x − 2 (39.4) f (x) = x2 + 2x + 1
(39.2) f (x) = −2x + 5 (39.5) f (x) = (x − 2)3 + 2
(39.3) f (x) = x2 + 3 (39.6) f (x) = x3 + 3x2 + 3x + 1

(40) ให้หาโดเมน และเรนจ์ ของฟังก์ชันต่อไปนี้


(40.1) f (x) = x2 − 2x + 4
x2 − 25
(40.2) f (x) =
x −5
1 + x2
(40.3) f (x) =
x

(41) กําหนด f (x) = x2 เมื่อ −2 < x < 8 ถามว่า f (t + 3) เท่ากับเท่าใด และจะมีความหมาย


เมื่อ t อยู่ในช่วงใด
(42) ให้หาค่าของ
(42.1) f (x) เมื่อ f (x + 1) = x2 + 3x + 9
(42.2) f (2) เมื่อ f ( x2 − 1) = x2 + 2
x
(42.3) f (4x) ในเทอมของ f (x) เมื่อ f (x) =
x+2

5.5 ฟังก์ชนั ประกอบ และฟังก์ชันผกผัน


ฟังก์ชันประกอบ (Composite Function)
ให้ f และ g เป็นฟังก์ชันดังแผนภาพ f g
จะได้ว่า f (0) = 3 และ g(3) = 7 0 3 7
1 4
อาจกล่าวว่า g(f (0)) = 7 ก็ได้ 5 8
นอกจากนั้น g(f (1)) = 8 2 6 9
และ g(f (2)) = 7 A B C

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 132 ความสัมพันธและฟงกชัน

ฟังก์ชัน g(f (x)) เป็นฟังก์ชันจาก A ไป C


เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ g(f (x)) = (g D f)(x) เรียกว่าฟังก์ชันประกอบของ f และ g
และอ่านว่า จีโอเอฟเอกซ์

ฟังก์ชัน (g D f)(x) จะหาได้ก็เมื่อ มีสมาชิกบางส่วนของ Rf กับ Dg ร่วมกัน


หรือกล่าวว่า (g D f)(x) จะหาได้ ก็เมื่อ Rf ∩ Dg ≠ ∅

f f
g g

A B C A B C
หา gof ได้ หา gof ไม่ได้

* โดยทั่วไป ถ้า Rf ⊂ Dg จะได้ว่า Dgof = Df (คือโดเมนของ f ทุกตัวใช้ได้หมด)


แต่ถ้า Rf ⊄ Dg (กรณีนี้พบบ่อยเป็นปกติ) จะได้ว่า Dgof ⊂ Df เท่านั้น (คือโดเมนของ f บางตัวใช้
ไม่ได้ เพราะเรนจ์ของตัวนั้นไม่ได้อยู่ในโดเมน g) ... การหาโดเมนของ g D f จึงต้องระวัง
2
• ตัวอยางเชน f (x) = x − 1 และ g(x) = x ตองการหา D gof

... จะไดวา (g D f)(x) = g (f (x)) = g( x − 1) = x − 1


ซึ่งดูจากลักษณะแลว คา x นาจะเปนจํานวนจริงใดๆ ( D = R ) gof

แตที่จริงแลว f (x) = x − 1 นัน้ x > 1 จากนั้นนํา f (x) ไปใชกับ g พบวาใชไดทั้งหมด


ดังนั้นจึงสรุปวา D = [1, ∞)
gof

ตัวอยางการแกฟงกชัน (2)
• ถา f (x) = 2x − 3 และ g(x) = 3x + 4 ใหหา (g D f)(x)
วิธีคิด จาก (g D f)(x) = g (f (x)) = g (2x − 3) = 3 (2x − 3) + 4 = 6x − 5 ... ตอบ
• (g D f)(x) = 6x − 5 และ g(x) = 3x + 4 ใหหา f (x)
วิธีคิด จาก (g D f)(x) = g (f (x)) = 3 (f (x)) + 4 แตโจทยกําหนด (g D f)(x) = 6x − 5
ดังนั้น 3 (f (x)) + 4 = 6x − 5 ยายขางสมการได f (x) = 2x − 3 ... ตอบ
• (g D f)(x) = 6x − 5 และ g(x) = 3x + 4 ใหหา f (2)
วิธีคิด จาก (g D f)(2) = g (f (2)) = 3 (f (2)) + 4 แต (g D f)(2) = 6 (2) − 5 = 7
ดังนั้น 3 (f (2)) + 4 = 7 ยายขางสมการได f (2) = 1 ... ตอบ
• (g D f)(x) = 6x − 5 และ f (x) = 2x − 3
ใหหา g (x)
วิธีคิด จาก (g D f)(x) = g (f (x)) = g(2x − 3) แตโจทยกําหนด (g D f)(x) = 6x − 5
ดังนั้น g(2x − 3) = 6x − 5 ใชเทคนิคการแกฟงกชันตามเดิมได g(x) = 3x + 4 ... ตอบ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 133 ความสัมพันธและฟงกชัน

• (g D f)(x) = 6x − 5 และ f (x) = 2x − 3 ใหหา g(1)


วิธีคิด ตองการ g(1) จึงให f (x) = 1 จะได 2x − 3 = 1 → x = 2
แทนคา x ดวย 2 จะได (g D f)(2) = g(1) = 6 (2) − 5 = 7 ... ตอบ

ฟังก์ชันผกผัน (Inverse Function)


เราทราบแล้วว่าความสัมพันธ์ r ใดๆ สามารถหาอินเวอร์ส ( r − 1 ) ได้เสมอ เช่นเดียวกัน
ฟังก์ชัน f ใดๆ ก็จะหาอินเวอร์ส f − 1 ได้เสมอ แต่ f − 1 อาจไม่เป็นฟังก์ชัน
ถ้า f − 1 เป็นฟังก์ชันจะเรียกว่า ฟังก์ชันอินเวอร์ส หรือ ฟังก์ชันผกผัน และเขียนเป็น f − 1(x) ได้

จากหลักการเขียนกราฟของอินเวอร์ส ทําให้พบว่า
−1
f จะเป็นฟังก์ชัน ก็เมื่อ f เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง เท่านั้น
และ f − 1(,) = Δ มีความหมายเดียวกับ f (Δ) = ,

สมบัติของอินเวอร์ส ได้แก่ (f D g)−1 = g−1 D f −1 และ (f −1)−1 = f

ตัวอยางการแกฟงกชัน (3)
−1
• ถา f (x) = 2x − 3 ใหหา f (x)
−1
วิธีคิด จาก f (x) = 2x − 3 → f (2x − 3) = x
−1
จากนั้นใชเทคนิคการแกฟงกชันตามเดิมได f (x) = 0.5 x + 1.5 ... ตอบ
(หมายเหตุ อาจใชวิธีหาอินเวอรส เหมือนในบทเรียนความสัมพันธ คือสลับตัวแปร x กับ y )
−1
• ถา f (x) = 2x − 3 ใหหา f (5)
−1
วิธีคิด จาก f (x) = 2x − 3 → f (2x − 3) = x
แลวให 2x − 3 = 5 นั่นคือ x = 4 ดังนัน้ แทนคา x ดวย 4 จะได f − 1(5) = 4 ... ตอบ
−1
• ถา f (x − 1) = 4x − 3 ใหหา f (x)
−1
วิธีคิด จาก f (x − 1) = 4x − 3 → f (4x − 3) = x − 1
−1
จากนั้นใชเทคนิคการแกฟงกชันตามเดิมได f (x) = 0.25 x − 0.25 ... ตอบ
−1
• ถา f (x − 1) = 4x − 3 ใหหา f (5)
−1
วิธีคิด จาก f (x − 1) = 4x − 3 → f (4x − 3) = x − 1
แลวให 4x − 3 = 5 นั่นคือ x = 2 ดังนัน้ แทนคา x ดวย 2 จะได f − 1(5) = 1 ... ตอบ
x
• [Ent’35] ถา f − 1(x) = และ (f D g)(x + 2) = 3x + 6 ใหหา g (2)
x −2
วิธีคิด ตองการ g(2) จึงให x + 2 = 2 นัน่ คือ x = 0
แทนคาใน (f D g)(x + 2) = 3x + 6 จะไดวา (f D g)(2) = 6 หรือ f (g (2)) = 6
−1
จากนั้นใชสมบัตขิ องอินเวอรส กลายเปน f (6) = g(2)
ซึ่ง f (6) = 6 6− 2 = 1.5 ดังนั้น g(2) = 1.5 ... ตอบ
−1

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 134 ความสัมพันธและฟงกชัน

พีชคณิตของฟังก์ชัน (Algebra of Function)


(f ∗ g)(x) = f (x) ∗ g (x) ซึ่ง Df ∗ g = Df ∩ Dg
เครื่องหมาย ∗ เป็นได้ทั้ง +, −, ×, ÷ (โดยกรณีหาร g(x) ≠ 0 )

แบบฝึกหัด 5.5
(43) ให้หา g D f และ f D g ของฟังก์ชันที่กําหนดให้ในแต่ละข้อ
(43.1) f (x) = 2x และ g(x) = x + 3
(43.2) f (x) = x + 1 และ g(x) = x
(43.3) f (x) = 4x + 1 และ g(x) = x2
⎧⎪ 4 − x , x < 0
* (43.4) f (x) = ⎨ และ g(x) = x2 + 1 เมื่อ x >2
⎪⎩ 6 − x , x > 4

(44) [Ent’33] ถ้า (g D f)(x) = 3 [f (x)] 2 − 2 f (x) + 1 และ g(x) = x2 − x + 2


ให้หา (g D f)(1)
x+1
(45) ถ้า f (x) = เมื่อ x ≠ 0 และ (f D g)(x) = x ให้หา g(x)
x

(46) ถ้า g(x) = x2 + x + 2 และ (g D f)(x) = x2 − x + 2 แล้วให้หา f (x)

(47) ถ้า f (x) = Ax + B โดยที่ A > 0 และ (f D f)(x) = 4x − 9 ให้หาค่า B


(48) อินเวอร์สของฟังก์ชันต่อไปนี้ เป็นฟังก์ชันหรือไม่
(48.1) f = {(x, y) | y = x x }
(48.2) f = {(x, y) | y = (x + 1)2}
(48.3) f = {(x, y) | y = 9 − x2 }
(48.4) f = {(x, y) | y = 1 / x }
(49) ให้หาฟังก์ชันผกผัน f −1(x) เมื่อกําหนดให้
x −2
(49.1) f (x) = 5−x (49.5) f (x) =
x−3
x
(49.2) f (x) = 5x + 4 (49.6) f (x) =
2x − 1
x−1 2x − 3
(49.3) f (x) = (49.7) f (x) =
3 3x − 2
1
(49.4) f (x) =
x−1

⎧⎪2x + 2 , x > 0
(50) ให้หา f −1(x) เมื่อกําหนดให้ f (x) = ⎨ 2
⎪⎩−x − 1 , x < 0

(51) ให้หา f −1(x) เมื่อกําหนดให้


(51.1) f (3x − 4) = 4x + 3

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 135 ความสัมพันธและฟงกชัน

x x
(51.2) [Ent’21] f ( + 1) = −1
2 2
5x − 7
(51.3) f (x + 1) =
x−3
(51.4) f − 1[ 3 f (2x + 1) − 3x + 2 ] = 2x + 1

(52) ถ้า f (x − 1) = x3 − 3x2 + 3x + 5 แล้วค่าของ f −1(5) เป็นเท่าใด


(53) กําหนดให้ f (x + 3) = 4x − 5 และ g(x − 3) = 2 − 3x ให้หาค่าของ
(53.1) (f D g−1)(5) (53.3) (f −1 D g−1)(−4)
(53.2) (g D f −1)(−1) (53.4) (g−1 D f −1)(3)

⎧2x + 1 , x > 0
(54) กําหนดให้ f (x + 1) = 2x + 3 และ g(x) = ⎨ ให้หาค่าของ
⎩3x + 1 , x < 0
(54.1) (f −1 D g−1)(0) (54.2) (g−1 D f −1)(0)

⎧−2x , x > 0 ⎧⎪ x2 , x > 3


(55) กําหนดให้ f (x) = ⎨ และ g(x) = ⎨ ให้หา
⎩ 3 , x < 0 ⎪⎩−x , x < 3
(55.1) (f − g)(x) (55.2) Df / g

(56) ถ้า f (x) = x + 1 , g(x) = 1− x และ h (x) = 1 − x2 แล้ว ให้หา


fDg
(56.1) [(g D f) + h](x) (56.2) ( )(x)
h

(57) ถ้า f (2x − 3) = 3x − 2 และ (f + g)(x) = x2 + x − 3 แล้ว ให้หา


(57.1) (g + f −1)(x) (57.2) (g)(x)
f

f
(58) ถ้า f (x) = x + 5 และ (g D f)(x) = x2 − 25 แล้ว ให้หา ( )(x)
g

⎧x + 1 , x > 0
(59) ถ้า f (x) = 4x , g(x) = x2 + 1 และ h (x) = ⎨ แล้ว ให้หา
⎩x − 1 , x < 0
(59.1) (f −1 + g + h−1)(−2) (59.2) [(g D f −1) ⋅ h](2)

(60) ถ้า (f + g)(x) = 2x + 1 และ (f − g)(x) = 3 − 4x แล้ว ให้หา


−1
(60.1) (f D g) (−2) (60.2) [(g−1 + f −1) D f](1)
x
(61) ถ้า f −1(x) = และ (f D g)(x) = x + 2 แล้ว ให้หา
x −2
(61.1) (f + g)(2) (61.2) [(g D f) ⋅ f −1](4)

(62) ถ้า f −1(x + 1) = 2x + 3 และ (f D g)(x − 1) = 5x + 1 แล้ว ให้หา


f
(62.1) ( + f −1)(3) (62.2) [(fg) D f −1](1)
g

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 136 ความสัมพันธและฟงกชัน

เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(1) ผิดทุกข้อ (23.4) [−3, 2) , [−3, 6) x2 − 4
(49.2) เมื่อ x > 0
(2) (35/3, 20/21) (3) (6, 0) 5
(24.1) 1 (24.2) 0.5
(24.3) 1 (24.4) หาค่าไม่ได้ (49.3) 3x + 1
(4) ข้อ (4.2) และ (4.6) ถูก
(5) ถูกทุกข้อ (6) 2mk − m2 (25) 6.75 (26.1) 24 (49.4) 1 + 1 / x เมื่อ x ≠ 0
(26.2) 12 (26.3) π 3x − 2
(7) 220 (8) 2 1,000 (49.5) เมื่อ x ≠ 1
(26.4) 4π (27) 85.33 x−1
(9) ถูกทุกข้อ (10) ถูกทุกข้อ
(28) 0 (29) [−7, −5] ∪ [5, 7] x 1
(11.1) {(2, −1)} (49.6) เมื่อ x ≠
2x − 1 2
(11.2) {(0, 4), ( 7, −3), (− 7, −3)} (30) [−1, 8] (32) 4
2x − 3 2
(12) 310 (31) ข้อ (31.2) และ (31.3) ถูก (49.7) เมื่อ x ≠
3x − 2 3
(13.1) Dr = R − {0} , (33) ข้อ (33.2) และ (33.5)
ไม่เป็นฟังก์ชัน ข้อ (33.3), (33.6), ⎧⎪ 0.5x + 1 , x > 2
Rr = R − {0} (50) f −1
(x) = ⎨
(33.8) เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง ⎩⎪− − x − 1 , x < − 1
(13.2) R − {2} , R − {1} (34.1) ไม่เป็น (34.2) เป็น 3x − 25
(13.3) R − {1} , R − {0} (51.1) (51.2) x + 2
(35) ข้อ (35.4) เท่านั้นที่เป็น 4
(13.4) R − {−1} , R − {2} (36) ข้อ (36.4) เท่านั้นที่ไม่เป็น (51.3) 4x − 12 เมื่อ x ≠ 5
(13.5) (1, ∞) , (1, ∞) (37) ข้อ (37.2) เท่านัน้ ที่เป็น x −5
(14.1) R , [0, ∞) (38) ข้อ (38.2) เท่านั้นไม่เป็น (51.4) 4x + 7 (52) –1
(14.2) [0, ∞) , [0, ∞) (39) ข้อ (39.1), (39.5), 3
(14.3) R , [−4, ∞) (39.6) เป็น (40.1) R , [3, ∞) (53.1) –33 (53.2) –19
(14.4) [−1, ∞) , [3, ∞) (40.2) R − {5} , R − {10} (53.3) 4 (53.4) –4
(14.5) [−4, 4] , [−4, 4] (40.3) R − {0} , R − (−2, 2) (54.1) –2/3 (54.2) –1/2
(41) (t + 3)2 เมื่อ −5 < t < 5 (55.1) 3 + x, x < 0 และ
(14.6) [−4, 4] , [0, 4]
−x, 0 < x < 3 และ
(14.7) [−4, 1] , [0, 1.25] (42.1) x2 + x + 7 (42.2) 7
−2x − x2 , x > 3
(14.8) [−1, 7] , [−6, 2] (42.3) 4 f (x)
(15.1) R − {0, 1} , R − (−4, 0] 3 f (x) + 1 (55.2) R − {0}
(15.2) R − {1, 3} , R − (−1, 0] (43.1) (g D f)(x) = 2x + 3 , (56.1) 1 − x + 1 + 1 − x2
(15.3) [−1, ∞) − {0} , R (f D g)(x) = 2x + 6 เมื่อ −1 < x < 0
(15.4) ∅ , ∅ (43.2) (g D f)(x) = x + 1 1+ 1− x
(15.5) [−2, −1) ∪ (1, ∞) , R เมื่อ x > −1 , (56.2) 2
1− x
(15.6) R − (46/25, 2] , R − {3, −2} (f D g)(x) = x + 1 เมื่อ x > 0 เมื่อ x ∈ (−∞, 1) − {−1}
(16.1) R − {−7, 1} , R − (−3/ 4, 0] (43.3) (g D f)(x) = (4x + 1)2 ,
(16.2) R , [0, 2] (57.1) x2 + x − 43
2
(f D g)(x) = 4x + 1 6
(16.3) R , [0, ∞) 2
5 − x , x < 0 (57.2) 2x − x − 11
(17.1) R − {−2, 2} (43.4) (g D f)(x) = ⎧⎪⎨ 2 3x + 5
⎪⎩(6 − x) + 1 , x > 8
(17.2) R − [−2, 2] และ (f D g)(x) = 5 − x2 เมื่อ x ≠ −5/3
(17.3) R − {2} (17.4) [2, ∞) x+5
เมื่อ x > 2 (44) 11/4 หรือ 2 (58) x (x − 10) เมื่อ x ≠ 0, 10
(18) {1} (19) 5 (20) 2
(21) (−1/4, 0] (22) ข. (45) 1 เมื่อ x ≠ 1 (59.1) 7/2 (59.2) 15/4
x−1
(23.1) [−4, 4] , [−4, 4] (60.1) 5/3 (60.2) 5/3
(46) x − 1 หรือ −x (47) –3 (61.1) 6 (61.2) 7/2
(23.2) [0, 4] , [−2, 2]
(23.3) R , [−3, ∞)
(48) ข้อ (48.1) เท่านัน้ ที่เป็น (62.1) 7 1 (62.2) 43
(49.1) 5 − x2 เมื่อ x > 0 43

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 137 ความสัมพันธและฟงกชัน

เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
(1.1) ผิด เพราะมีบาง a, บาง b (5.3) จากสูตรเรื่องเซต n[(A × B) ∪ (B × A)] =
ซึ่ง (a, b) = (b, a) เช่น a = 2, b = 2 n(A × B) + n(B × A) −n[(A × B) ∩ (B × A)]
(1.2) ผิด เพราะ (a, b) ≠ (c, d) ไม่ได้แปลว่า พบว่า A ∩ B = {0, 1, 2, 3, 4}
a ≠ c และ b ≠ d พร้อมๆ กันเสมอไป ดังนัน้ (A × B) ∩ (B × A) จะมีอยู่ 5 × 5 คู่อนั ดับ
ต้องใช้ว่า a ≠ c หรือ b ≠ d จึงจะถูก ทําให้ได้ (29 × 8) + (8 × 29) − (5 × 5) = 439 ถูก
(1.3) ข้อนีจ้ ะถูกก็เมื่อ a + 2b = −1 และ
a
(6) จาก n[(A × B) ∪ (B × A)]
1= b+ → 2 = 2b + a ซึ่งเป็นไปไม่ได้ = n(A × B) + n(B × A) − n[(A × B) ∩ (B × A)]
2
เพราะสมการทั้งสองขัดแย้งกัน (ไม่มีคําตอบ) (ตัวที่ขดี เส้นใต้ โจทย์ให้เป็น (A ∩ B) × (B ∩ A) )
ดังนัน้ ข้อนีจ้ ึงผิด จะได้ = mk + km − mm = 2mk − m2
(2) 3x + 5 = −5 → x = −10 / 3 (7) n(A '∩ B ') = 2 แสดงว่า n(A ∪ B) = 8
และ 8 − 4y = −6 → y = 7 / 2
(วาดรูปประกอบจะเห็นชัด)
y = −p → p = −7 / 2
n(A '∪ B ') = 9 แสดงว่า
ดังนัน้ (xp, x) = (35 , 20) n(A ∩ B) = 1
x 1 y
2
p 3 21
(3) (3, 4) ∗ (0, 0) = (3 − 0, 4 + 0) = (3, 4) และจาก n(B) − n(A) = 1 A B
และ (x, y) ∗ (3, 4) = (x − 3, y + 4) จะได้วา่ (y + 1) − (x + 1) = 1 และ x + 1 + y = 8
ดังนัน้ 3 = x − 3 → x = 6 และ แก้ระบบสมการได้ x = 3 , y = 4 ดังนั้น
4 = y + 4 → y = 0 ตอบ (6, 0) n(A) = 4 , n(B) = 5 และความสัมพันธ์จาก A ไป
(4.1) ผิด มีกรณีที่ A × B กลายเป็นเซตจํากัด B มีทั้งสิ้น 24 × 5 = 220 แบบ
คือเมือ่ B = ∅ จะทําให้ A × B = ∅ (8) 2n(A × A)⋅ n(A) = 2100 × 10 = 21,000 แบบ
(4.2) ถูก เพราะถ้า n(A × B) หาค่าไม่ได้ (9.1) 23 × 2 = 26 = 64 ถูก
แสดงว่า n(A) หรือ n(B) ต้องหาค่าไม่ได้ (9.2) โดเมนเป็น {1, 2, 3} ครบทุกจํานวน ดังนัน้
(4.3) ผิด ไม่จาํ เป็นว่า B = C หากว่า A = ∅ ต้องคิดแบบการนับ
(4.4) ผิด A = ∅ หรือ B = ∅ ส่วนของโดเมนเป็น 1 จะมีได้ 3 แบบ คือ
(1, 0) / (1, 4) / (1, 0),(1, 4)
อย่างใดอย่างหนึง่ ก็ได้ ไม่ต้องเป็น ∅ ทั้งคู่
(4.5) ผิด ถ้า A = ∅ คิดจาก 22 − 1 (สับเซตของ B ทุกแบบ ที่ไม่ใช่ ∅ )
ก็ทําให้ A × B = B × A ได้ โดเมนเป็น 2 ก็มี 3 แบบ, เป็น 3 ก็มี 3 แบบ
(4.6) ถูก เพราะ A ∩ B ⊂ A ⊂ A ∪ B ดังนัน้ ประกอบกันทั้งสามส่วน ได้ 3 × 3 × 3 = 27 ถูก
(4.7) ผิด เช่น A = ∅ จะทําให้ A × B = A ได้ (10.1) ถูก คือ 212 แบบ
(หรือ B = ∅ จะทําให้ A × B = B ) (10.2) โดเมนเป็นตัวแรก มี 15 แบบ → คิดจาก
(4.8) ผิด เพราะสมาชิกของ A กับสมาชิก 24 − 1 (สับเซตของ B ทุกแบบที่ไม่ใช่ ∅ )
ของ A × B ย่อมไม่มีตวั ใดซ้าํ กันอยู่แล้ว ตัวสองและสาม ก็ 15 แบบ
( A × B มีสมาชิกเป็นคูอ่ ันดับ) ดังนัน้ ได้ 15 × 15 × 15 ถูก
ดังนัน้ A ∩ (A × B) = ∅ เสมอ (10.3) คิดเช่นเดียวกับข้อ (10.2) คือ แต่ละตัวของ
(5.1) n(P(A)) = 24 , n(P(B)) = 23 โดเมน B จะมีได้ 23 − 1 = 7 แบบ
→ n(P(A) × P(B)) = 24 ⋅ 23 = 128 ถูก รวมกันทั้ง 4 ตัว เป็น 7 × 7 × 7 × 7 = 2,401 ถูก
(5.2) เนื่องจาก (A × B) ∩ (A × C) = A × (B ∩ C) (10.4) คิดเช่นเดิม
23 − 1 = 7 → 7 × 7 × 7 = 343 ถูก
n(A) = 30 n(B ∩ C) = 19 →
n[(A × B) ∩ (A × C)] = 30 × 19 = 570 ถูก (11.1) r1 ∩ r2 ได้จากการแก้ระบบสมการ
คือ (x, y) = (2, −1) เท่านั้น (เป็นจํานวนเต็มพอดี)
จึงตอบ r1 ∩ r2 = { (2, −1) }

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 138 ความสัมพันธและฟงกชัน

(11.2) แก้ระบบสมการ (14.1) y = x2 → Dr = R , Rr = [0, ∞)


ได้ y2 − y − 12 = 0 → y = 4 หรือ −3 หมายเหตุ เป็นกราฟพราโบลาหงาย
ถ้า y = 4 → x = 0 , (14.2) y = x → Dr = [0, ∞) , Rr = [0, ∞)
ถ้า y = −3 → x = ± 7 หมายเหตุ เป็นกราฟพาราโบลาหงายเหมือนข้อที่แล้ว
ดังนัน้ r1 ∩ r2 = {(0, 4), ( 7, −3), (− 7, −3)} แต่มีเพียงซีกขวาเท่านั้น เพราะ x ห้ามติดลบ
(12) ถ้า x = 1 ได้ y = 1, 2, 3, ..., 25 → 25 แบบ
ถ้า x = 2 ได้ y = 2, 3, ..., 25 → 24 แบบ ...
จนถึง x = 20 ได้ y = 20, 21, ..., 25 (6 แบบ) 14.1 14.2
รวมจํานวนคูอ่ ันดับ = 25 + 24 + 23 + ... + 6
= 310 (ควรใช้สูตรอนุกรมบทที่ 13 ในการบวกเลข) (14.3) y = x2 − 2x − 3 → y + 3 +1 = x2 − 2x +1
2
(13.1) ก. y = → x ≠ 0 → Dr = R − {0} → y + 4 = (x − 1)2
x
2 ดังนัน้ Dr = R , Rr = [−4, ∞)
ข. x = → y ≠ 0 → Rr = R − {0}
y หมายเหตุ เป็นกราฟพาราโบลาหงาย จุดยอด (1,-4)
หมายเหตุ เป็นกราฟ (ไม่ว่าจะวาดกราฟหรือไม่ ก็ตอ้ งจัดกําลังสองสมบูรณ์
ไฮเพอร์โบลามุมฉาก ให้เหลือ x กับ y เพียงอย่างละตัวเดียวเสมอ)
ดังนี้ (14.4) y − 3 = x + 1
1 (เป็นพาราโบลา (y − 3)2 = x + 1 แต่มีเพียงซีกบน)
(13.2) ก. y − 1 =
x−2
x + 1 > 0 → Dr = [−1, ∞)
→ x − 2 ≠ 0 → x ≠ 2 → Dr = R − {2}
y − 3 > 0 → Rr = [3, ∞)
1
ข. x −2 = → y ≠ 1 → Rr = R − {1} (14.5) ถ้าคิดด้วยกราฟ จะได้รปู วงกลม
y − 1
D = [−4, 4], R = [−4, 4]
หมายเหตุ เป็นกราฟไฮเพอร์โบลามุมฉาก เหมือนใน r r

ข้อที่แล้ว แต่เลือ่ นจุด (0,0) ไปอยู่ที่ (2,1) หรื อคิ ดโดยจั


ด รู
ป สมการก็ได้ คือ
ก. y = ± 16 − x2 → 16 − x2 > 0
(13.3) ก. y = 1 → x ≠ 1 → Dr = R − {1} → (x − 4)(x + 4) < 0 → −4 < x < 4
x−1
1 ข. x = ± 16 − y2 → ... → −4 < y < 4
ข. x −1= → y ≠ 0 → Rr = R − {0}
y
(14.6) y = 16 − x2 เป็นครึง่ วงกลม เพราะ
หมายเหตุ เป็นกราฟไฮเพอร์โบลามุมฉาก
y > 0 เสมอ ดังนัน ้ Dr = [−4, 4], Rr = [0, 4]
(13.4) ก. y = 2x − 3 → x + 1 ≠ 0 → x ≠ −1
x+1 (14.7) 2y = 4 − 3x − x2 → ลองยกกําลังสอง
→ Dr = R − {−1} ได้ 4y2 = 4 − 3x − x2 เป็นสมการวงรี
ข. xy + y = 2x − 3 → xy − 2x = −y − 3 → จัดรูปดังนี้ (x2 + 3x + 2.25) + 4y2 = 6.25
−y − 3 (x + 1.5)2 y2
x = → y − 2 ≠ 0 → Rr = R − {2} → + = 1
y−2 6.25 1.5625
x+1 จากภาพจะได้ 1.25
(13.5) ก. y = → x ≠ 1
x −1 2.5
Dr = [−4, 1] และ (1.5,0)
โจทย์เพิ่มว่า x > 1 ดังนั้น Dr = (1, ∞) Rr = [0, 1.25]
ข. xy − y = x + 1 → xy − x = y + 1 → วงรีดา้ นล่างหายไปเพราะ
y+1
x = ... แต่เนือ่ งจาก x > 1 จะได้ y + 1 > 1 ในโจทย์มีรทู้ ทําให้ y > 0 เสมอ
y−1 y−1
y+1 y + 1− y + 1
(14.8) (x2 − 6x + 9) + (y2 + 4y + 4) = 3 + 9 + 4
→ −1> 0 → > 0
y−1 y−1 → (x − 3)2 + (y + 2)2 = 42


2
> 0 → y > 1 ดังนั้น Rr = (1, ∞)
เป็นวงกลมที่มีจดุ ศูนย์กลางที่ (3, −2) รัศมี 4
y−1 หน่วย ดังนัน้ Dr = [−1, 7], Rr = [−6, 2]

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 139 ความสัมพันธและฟงกชัน

(15.1) ก. x2 − x ≠ 0 → x(x − 1) ≠ 0 1 21
2(y − )2 −
→ Dr = R − {0, 1} (15.6) ก. x = 2 2 →
1 1
1 1 1 1 (y − )2 −
ข. 2
x −x = → x2 − x + = + 2 4
y 4 y 4
มอง (y-1/2) เป็นก้อนๆ หนึ่ง
1 y+4 y +4
→ (x − )2 = → >0 แล้วย้ายข้างแบบข้อ (13.4) จะได้
2 4y 4y
1 25x − 46 25x − 46
(y − )2 = → >0
เขียนเส้นจํานวน จะได้ Rr = R − (−4, 0] 2 4x − 8 4x − 8
(15.2) ก. x2 − 4x + 3 ≠ 0 → (x − 3)(x − 1) ≠ 0 46
เขียนเส้นจํานวนได้ Dr = R − ( , 2]
25
→ Dr = R − {1, 3}
2y2 − 2y − 11
1 1 ข. x = → (y − 3)(y + 2) ≠ 0
ข. x2 − 4x + 3 =
→ x2 − 4x + 4 = + 1 y2 − y − 6
y y
→ Rr = R − {3, −2}
y+1 y +1
→ (x − 2)2 = → >0
y y (16.1) ก. | x + 3 | − 4 ≠ 0 → x + 3 ≠ ±4
เขียนเส้นจํานวน จะได้ Rr = R − (−1, 0] → Dr = R − {−7, 1}
3 3
(15.3) ก. x + 1 > 0 → x > −1 , และ ข. | x + 3 |− 4 =
→ | x + 3 |= +4
y y
x ≠ 0 → Dr = (−1, ∞) − {0}
3 3 + 4y
x+1 x+1 → +4>0 → >0
ข. y = → y2 = → y y
x x2 3
ดังนัน้ Rr = R − (− , 0]
2 2 1± 1 + 4y2 4
x y −x−1= 0 → x = →
2y2 (16.2) ก. x ∈ R → Dr = R
1
2
1 + 4y > 0 → y > − 2
(เป็นจริงเสมอ) เนื่องจากไม่มีข้อจํากัดใดๆ สําหรับค่า x
4
∴ Rr = R
ข. y = |x + 2| − |x | → แยกช่วงย่อยคิด..
(15.4) ก. y2 − 2xy + 2x2 + x + 1 = 0
ถ้า x > 0 → y = | x + 2 − x | = 2
2x ± 4x2 − 8x2 − 4x − 4
ถ้า −2 < x < 0 → y = |x + 2 + x | = |2x + 2|
→ y =
2 ถ้า x < −2 → y = | −x − 2 + x | = 2
→ y = x ± −x2 − x − 1 จะได้กราฟดังภาพ
→ − x − x − 1 > 0 → x2 + x + 1 < 0
2 และ Rr = [0, 2]
2
แยกตัวประกอบไม่ออก แสดงว่าก้อนนี้เป็นบวกเสมอ
หรือทดลองจัดกําลังสองสมบูรณ์ก็ได้ ได้ผลดังนี้ -1
1 3
→ (x + )2 + < 0 เป็นไปไม่ได้ ∴ Dr = ∅
2 4 (16.3) กราฟสร้างจากพาราโบลา y = x2 − 4
ข. เนือ่ งจาก Dr = ∅ จะได้ Rr = ∅ ด้วย แต่วา่ มีค่าสัมบูรณ์
(15.5) ก. y2 = x2 + 2 → x2 + 2 > 0 → ทําให้ y > 0 เสมอ
x −1 x −1
x +2
กราฟด้านล่างทีค่ า่ y ติดลบ
> 0 เขียนเส้นจํานวนได้ จะถูกพลิกขึน้ ด้านบนให้เป็น
(x − 1)(x + 1)
Dr = [−2, −1) ∪ (1, ∞) ค่าบวก ดังภาพ
∴ Dr = R, Rr = [0, ∞)
หมายเหตุ x2 − 1 ≠ 0 รวมอยู่ในเส้นจํานวนแล้ว
(17.1) Rr−1 = Dr ⇒
ข. x2y2 − x − y2 − 2 = 0
2
x − 4 ≠ 0 → (x − 2)(x + 2) ≠ 0
1± 1 + 4y4 + 8y2
→ x = ดังนัน้ Rr = R − {2, −2}
2y2 −1

4 2
→ 1 + 4y + 8y > 0 เป็นจริงเสมอ (17.2) x2 − 4 ≠ 0, x2 − 4 > 0
ดังนัน้ Rr = R ดังนัน้ x2 − 4 > 0 → Rr = R − [−2, 2]
−1

(17.3) Rr = R − {2}
−1

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 140 ความสัมพันธและฟงกชัน

(17.4) เงื่อนไข 2x2 − 3x − 2 > 0 จะได้ 1 1


(22) y2 = → 9 − x2 = 2 →
(2x + 1)(x − 2) > 0 → x ∈ (−∞, −1/2] ∪ [2, ∞) 9 − x2 y

และ เงือ่ นไข 3x − 1 + 2 2x2 − 3x − 2 > 0 1 9y2 − 1 9y2 − 1


x2 = 9 − 2
= 2
→ >0
y y y2
นั่นคือ 2 2x2 − 3x − 2 > 1 − 3x (3y − 1)(3y + 1)
ซึ่งอสมการนีว้ ิธกี ารคิดจะต้องแบ่งเป็นสองกรณี นั่นคือ > 0 เขียนเส้นจํานวนได้ผล
y2
กรณีที่ 1 − 3x > 0 → x < 1 เป็น Rr = R − (−
1 1
, )= U
3
3 3
จะได้อสมการ 4(2x2 − 3x − 2) > 1 − 6x + 9x2
ก. ∃x∀y[x + y = y] ไม่ถูก เพราะ x + y = y
→ x2 + 6x + 9 < 0 → (x + 3)2 < 0 → x = −3
แสดงว่า x = 0 แต่ใน U ไม่มี 0
(เป็นไปไม่ได้ในกรณีน)ี้ ข. ∀x∃y[x + y = 0] ถูก เพราะไม่ว่าหยิบ x ตัวใด
1
กรณีที่ 1 − 3x < 0 → x > ก็จะหา y ทีต่ รงเงือ่ นไขได้เสมอ
3
(23.1) Dr = [−4, 4] 4
จะได้อสมการเป็นจริงเสมอ ทุกค่า x ที่ใช้ได้ในรูท้
นั่นคือ x ∈ (−∞, −1/2] ∪ [2, ∞) (ซึ่งคํานวณไว้แล้ว) Rr = [−4, 4]

แต่เงือ่ นไขของกรณีนคี้ ือ x > 1/3 เท่านัน้ .. -4 4


∴ Rr−1 = [2, ∞)
1+ y (23.2) Dr = [0, 4] -4
(18) x = → Rr = R − {0} 2
y Rr = [−2, 2]
2
(2,0)
1
xy − y = 1 → y = → Dr = R − {1}
x − 1
ดังนัน้ Rr − Dr = {1} (23.3) y + 2 = x2 + 2x → y + 3 = (x + 1)2
(19) ก.>x 11; x − 2 0 →x 2 Dr = R
x > 11; 15 − x > 0 → x < 15 Rr = [−3, ∞)
นํามารวมกันได้เป็น Dr = [2, 15]
ข. ในช่วง 2 < x < 11 จะได้ y2 = x − 2 (-1,-3)
แสดงว่า y มีค่าเพิ่มขึ้นจาก 0 ไปถึง 3
ส่วนในช่วง 11 < x < 15 จะได้ y2 = 15 − x (23.4) กราฟเหมือนข้อที่แล้ว
แสดงว่า y มีค่าลดลงจาก 2 ถึง 0 แต่มีแค่ช่วงเดียว (2,6)
Dr = [−3, 2) (-3,1)
(จะใช้วิธีทดลองพล็อตเป็นกราฟพาราโบลาก็ได้)
Rr = [−3, 6)
สรุป Rr = [0, 3] → A = Dr ∩ Rr = [2, 3] (-1,-3)
และผลบวก 3 + 2 = 5
2 (24)
(20) x = y 2 + 1 → Rr = R 1
2y + 1
1
2 x −1 x−1 1
y = → < 0 → Dr = ( , 1]
1 − 2x 2x − 1 2 1
ดังนัน้ Rr ∩ Dr ' = R − ( 1 , 1] -1 1
2
จํานวนเต็มบวกทีน่ ้อยที่สดุ คือ 2 (24.1) 1 ตร.หน่วย (24.2) 1/2 ตร.หน่วย
1
(21) Dr = Rr → x2 − 2x − 3 =
−1 →
y 1 1
1
x2 − 2x +1 = + 3 +1 →
y -1
1 4y + 1 4y + 1 -1 1
(x − 1)2 = +4 = → >0
y y y
(24.3) 1 ตร.หน่วย (24.4) หาค่าไม่ได้
เขียนเส้นจํานวนได้ (−∞, −1 / 4] ∪ (0, ∞)
ดังนัน้ คอมพลีเมนต์คอื (−1 / 4, 0]

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 141 ความสัมพันธและฟงกชัน

(25) หาจุดยอดของ Δ ได้เป็น (30) A = [−1, 3]


(3,8)
(1, 2), (−2, −1), (2.5, −1)
4 (-1,0)
ดังนัน้ พื้นที่ = 1 × 3 × 4.5
2 1 (0,-1)
= 6.75 ตร.หน่วย -1 2
r = {(x, y) | x2 = y + 1, x ∈ [−1, 3]}
-1 จะได้ Rr = [−1, 8]
(26.1)
1 4 (31)
พื้นที่ = ×8×8
2 r r = r −1
1 2 r −1
− ×4×4
2 2 4
= 32 − 8 = 24 ตร.หน่วย
(26.2)
พื้นที่ = 4 × ( 1 × 2 × 3) 2 (31.1) ผิด (31.2) ถูก
2 2
= 12 ตร.หน่วย 1 4 r = r −1 r r −1

1
(26.3) พื้นที่ = × (π × 22) 2
4
= π ตร.หน่วย
(31.3) ถูก (31.4) ผิด
1
(26.4) (32) พื้นที่ = 4( × 1 × 2)
2 2
4 = 4 ตร.หน่วย
r1 r2 = r1−1
4 1

1 (33) ใช้วิธสี ังเกตว่า x เดียวให้คา่ y เดียวหรือไม่


พื้นที่ = (π × 42) 4
4 r1 ∩ r2 (ถ้ามี yเลขคู่ หรือ |y| จะไม่เป็นฟังก์ชัน, ถ้ามี xเลขคู่
= 4π ตร.หน่วย หรือ |x| จะไม่เป็น 1-1) หรือจะใช้วิธีเขียนรูปกราฟก็
4 ได้ (ถ้ามีเส้นตรงในแนวตั้งที่ตดั กราฟเกิน 1 จุดได้ จะ
(27) ไม่เป็นฟังก์ชัน, ถ้ามีเส้นตรงแนวนอนทีต่ ัดกราฟเกิน
8 1 จุดได้ จะไม่เป็น 1-1)
พื้นที่ = 4( + ) 4 (8/3,8/3)
4 8 33.1 33.3
1 1 8 33.2
= 4 ( × 8 × 4 + × × 4)
2 2 3
256
= ≈ 85.33 ตร.หน่วย
3
(28) 2 (33.1) เป็นฟังก์ชันแต่ไม่เป็น 1− 1
A = Dr1 ∩ r2 = [−4, 4]
2 (33.2) ไม่เป็นฟังก์ชัน
2 4 (33.3) เป็นฟังก์ชัน 1 − 1
B = [−2, 2]
A − B = [−4, −2) ∪ (2, 4]
33.4
ผลบวก = −4 − 3 + 3 + 4 = 0 33.5 33.6
(29) แก้ระบบสมการ
ได้จุดตัดทั้งสี่เป็น - 53 -5 5 53
(±7, ±2) (33.4) เป็นฟังก์ชัน แต่ไม่เป็น 1− 1
(33.5) ไม่เป็นฟังก์ชัน
ดังนัน้ Dr1 ∩ r2 = [−7, −5] ∪ [5, 7] (33.6) เป็นฟังก์ชัน 1 − 1

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 142 ความสัมพันธและฟงกชัน

(38) ฟังก์ชนั จาก R ไปทั่วถึง [0, ∞)


33.7 33.8 แสดงว่า Df = R และ Rf = [0, ∞)
พิจารณาทุกข้อแล้ว Df = R แน่นอน เพราะ x
เป็นเท่าใดก็ได้ ดังนั้น ต้องพิจารณา Rf ว่าเป็นเท่าใด
1 3 (38.1) ใช่ เพราะ y > 0
(33.7) f(x) = (x + )2 + เป็นฟังก์ชัน แต่ไม่
2 4 (38.2) ไม่ใช่ เพราะ y − 2 = (x − 1)2 → y > 2
เป็น 1 − 1 (38.3) ใช่ เพราะ x2 − 4 > −4 → y > 0
(33.8) เป็นฟังก์ชัน 1 − 1 (38.4) ใช่ เพราะ y = |x + 1|3 → y > 0
(33.9) เป็นฟังก์ชัน แต่ไม่เป็น 1 − 1
(33.10) เป็นฟังก์ชัน แต่ไม่เป็น 1 − 1 (39.1) เป็น เพราะเป็นเส้นตรง ความชัน 5
(39.2) ไม่เป็น (ความชัน −2 )
34.1 34.2 (39.3) และ (39.4) ไม่เป็น เพราะเป็นพาราโบลา
หงาย (มีช่วงที่เกิดฟังก์ชันลดด้วย)
(39.5) f(x) − 2 = (x − 2)3 และ
(39.6) f(x) = (x + 1)3 เป็นทั้งสองข้อ ดังรูป
(34.1) ไม่เป็น (34.2) เป็น
(35) มีเพียง (35.4) ที่เป็น ดังรูป 39.5 39.6

35.1 35.2 (2,2) (-1,0)

x+y=1 (40.1) y = x2 − 2x + 4 → y − 3 = (x − 1)2


x+y=-1 → Df = R, Rf = [3, ∞) (รูปพาราโบลาหงาย)
(x − 5)(x + 5)
(40.2) y = → Df = R − {5}
35.3 x−5
35.4
ดังนัน้ Rf = R − {10} ... เพราะ x ≠ 5
2
1+ x
(40.3) ก. y = → Df = R − {0}
x
(36) เป็น 1− 1 ทุกข้อยกเว้น (36.4) ดังรูป y2 − 4 y ±
ข. x2 − xy + 1 = 0 → x =
2
36.1 → y2 − 4 > 0 → Rf = R − (−2, 2)
3 36.2
3/2 (41) −2 < t + 3 < 8 → − 5 < t < 5
(4,-3) ดังนัน้ f(t + 3) = (t + 3)2 เมื่อ −5 < t < 5
(42.1) ให้ A = x + 1 → x = A − 1 → จะได้
f(A) = (A − 1)2 + 3(A − 1) + 9
36.3
= A2 + A + 7 ดังนัน้ f(x) = x2 + x + 7
36.4 3
(-4,3) (42.2) ให้ 2 = x2 − 1 จะได้ x2 = 5
ดังนัน้ f(2) = 5 + 2 = 7
(37) ฟังก์ชนั จาก R ไป R แสดงว่า Df = R
(37.1) ไม่ใช่ เพราะ 9 − x2 > 0 แสดงว่า
−3 < x < 3 เท่านัน ้
(37.2) ใช่ เพราะ 9 + x2 > 0 เสมอ → x ∈ R
(37.3) ไม่ใช่ เพราะ x ≠ 0
(37.4) ไม่ใช่ เพราะ x = 5 − | y | → x < 5

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 143 ความสัมพันธและฟงกชัน

4x (48) อินเวอร์สจะเป็นฟังก์ชนั ก็ตอ่ เมื่อ f เป็น


(42.3) f(4x) =
4x + 2 ฟังก์ชนั 1-1 ดังนั้นให้ตรวจสอบว่าแต่ละข้อเป็น
x
แต่ f(x) = → xf(x) + 2f(x) = x ฟังก์ชนั 1-1 หรือไม่ ดังนี้
x +2
−2f(x)
(48.1) เป็น เพราะ y = x2 เมื่อ x > 0
→ xf(x) − x = −2f(x) → x =
f(x) − 1 และ y = −x2 เมื่อ x < 0 ดังรูป
ดังนั้น f(4x) = 4x = 1 1 = 48.1
4x + 2 1+
2x
1 4f(x)
= 48.2
f(x) − 1 3f(x) + 1
1−( )
4f(x)
(43.1) (gof)(x) = g(2x) = 2x + 3 48.3
และ (fog)(x) = f(x + 3) = 2x + 6
(43.2) (gof)(x) = g(x + 1) = x + 1 48.4
และ (fog)(x) = f( x) = x + 1 (48.2) ไม่เป็น เช่น y=1 จะได้ x=0 หรือ -2
(43.3) (gof)(x) = g(4x + 1) = (4x + 1)2 (48.3) ไม่เป็น เช่น y=0 จะได้ x=3 หรือ -3
และ (fog)(x) = f(x2) = 4x2 + 1 (48.4) ไม่เป็น เช่น y=1 จะได้ x=1 หรือ -1
(43.4) ก. กรณีแรก (49.1) จาก y = 5 − x ; y > 0 กลายเป็น
(gof)(x) = g( 4 − x) = 4 − x + 1 = 5 − x x = 5 − y → y = 5 − x2 ; x > 0
เมื่อ “ x < 0 และ 4 − x > 2 ” → x < 0 (49.2) จาก y = 5x + 4 ; y > 0 กลายเป็น
กรณีที่สอง (gof)(x) = g(6 − x) = (6 − x)2 + 1 x −4 2
x = 5y + 4 → y = ;x > 0
เมื่อ “ x > 4 และ |6 − x | > 2 ” → x > 8 5
x−1
ข. กรณีแรก (fog)(x) = 4 − (x2 + 1) = 3 − x2 (49.3) จาก y = กลายเป็น
3
เมื่อ “|x | > 2 และ x2 + 1 < 0 ” ... เป็นไปไม่ได้ x =
y−1
→ y = 3x + 1
กรณีที่สอง (fog)(x) = 6 − (x2 + 1) = 5 − x2 3

เมื่อ “|x | > 2 และ x2 + 1 > 4 ” → |x | > 2 (49.4) จาก y = 1 กลายเป็น


x−1
(44) 3f(x)2 − 2f(x) + 1 = f(x)2 − f(x) + 2 → 1 1
x = → y = + 1; x ≠ 0
1 y−1 x
2f(x)2 − f(x) − 1 = 0 → f(x) = − หรือ 1
2 x−2
(49.5) จาก y = กลายเป็น
1 x−3
ดังนัน้ (gof)(1) = g(f(1)) = g(− ) หรือ g(1)
2 y −2
x = → xy − 3x = y − 2
= 11 / 4 หรือ 2 y−3

(45) g(x) + 1 = x → xg(x) = g(x) + 1 → y =


3x − 2
;x ≠ 1
g(x) x −1

→ g(x) =
1
; x ≠ 1 (49.6) จาก y = x กลายเป็น
x −1 2x − 1
(46) f(x)2 + f(x) + 2 = x2 − x + 2 y
x = → 2xy − x = y
1 1 2y − 1
→ [f(x) + ]2 = [x − ]2 x 1
2 2 → y = ;x ≠
→ f(x) = x − 1 หรือ f(x) = −x 2x − 1 2

(47) (fof)(x) = 4x − 9 (49.7) จาก y = 2x − 3 กลายเป็น


3x − 2
→ A(Ax + B) + B = 4x − 9 → 2y − 3
x = → 3xy − 2x = 2y − 3
A2 = 4 และ AB + B = −9 3y − 2
โจทย์ให้ A > 0 ดังนัน้ A = 2 → B = −3 2x − 3 2
→ y = ;x ≠
3x − 2 3

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 144 ความสัมพันธและฟงกชัน

(50) กรณีแรก x = 2y + 2 ;y > 0 (53.2) หา f −1(−1) → 4x − 5 = −1 → x = 1


x → f −1(−1) = 1 + 3 = 4
→ y = +1 ;x > 2
2 (gof −1)(−1) = g(4) → ให้ x−3 = 4 → x = 7
(เงื่อนไขมาจาก y > 0 ∴ 2y + 2 > 2 ) → g(4) = 2 − 3(7) = −19
กรณีที่สอง x = −y2 − 1 ;y < 0 (53.3) หา g−1(−4) → 2 − 3x = −4 → x = 2
→ y = − − x − 1 ; x < −1 −1
→ g (−4) = 2 − 3 = −1
(เครื่องหมายลบเท่านั้น เพราะ y < 0 เสมอ) (f −1og−1)(−4) = f −1(−1) = 4 (หาไว้แล้วในข้อที่แล้ว)
(เงื่อนไขมาจาก y < 0 → −y2 < 0 → (53.4) หา f −1(3) → 4x − 5 = 3 → x = 2
∴ −y2 − 1 < −1 ) → f −1(3) = 2 + 3 = 5
⎧ x +1 ; x>2 (g−1of −1)(3) = g−1(5) = −4 (หาไว้แล้วในข้อแรก)
−1 ⎪
ดังนัน้ f (x) = ⎨ 2 1
⎪⎩ − x − 1 ; x < −1 (54.1) กรณีแรก g−1(0) = −
2
(51.1) f −1(4x + 3) = 3x − 4 1
ใช้ไม่ได้เพราะ − >0
2
ให้ A = 4x + 3 → x = A − 3 → 1 1
4 กรณีที่สอง g−1(0) = − ใช้ได้ เพราะ − < 0
3 3
จะได้ f −1(A) = 3(A − 3) − 4 = 3A − 25 1 1
4 4 ต่อมา f −1(− ) หาโดยให้ 2x + 3 = −
−1 3x − 25 3 3
→ f (x) = 5 1 5 2
4 → x = − ∴ f −1(− ) = − + 1 = −
3 3 3 3
(51.2) f ( − 1) = x + 1 →
−1 x
3
2 2 (54.2) f −1(0) หาจาก 2x + 3 = 0 → x = −
x 2
ให้ A = − 1 → x = 2(A + 1) → 3 1
2 → f −1(0) = − +1= −
−1 2(A + 1) 2 2
f (A) = + 1 = A + 2 → f −1(x) = x + 2
2 กรณีแรก g−1(− 1) = − 3 ใช้ไม่ได้เพราะ − 3 > 0
2 4 4
(51.3) f −1(5x − 7) = x + 1 → 1 1 1
x −3 −1
กรณีที่สอง g (− ) = − ใช้ได้เพราะ − < 0
5x − 7 3A − 7 2 2 2
ให้ A = → x = 1
x−3 A −5 ตอบ −
−1 3A − 7 4A − 12 2
∴ f (A) = +1=
A−5 A −5 (55.1) กรณีแรก (f − g)(x) = −2x − x2
−1 4x − 12 เมื่อ x > 0 และ x > 3 → x > 3
→ f (x) = ;x ≠ 5
x −5 กรณีที่สอง (f − g)(x) = −2x + x = −x
(51.4) f(2x + 1) = 3f(2x + 1) − 3x + 2
เมื่อ x > 0 และ x < 3 → 0 < x < 3
3 3
→ f(2x + 1) = x − 1 → f −1( x − 1) = 2x + 1 กรณีที่สาม (f − g)(x) = 3 + x
2 2
เมื่อ x < 0 และ x < 3 → x < 0
ให้ A = 3 x − 1 → x = 2 (A + 1) →
2 3 (55.2) Df / g = Df ∩ Dg โดยที่ g(x) ≠ 0
จะได้ f −1(A) = 2( )(A + 1) + 1 = 4A + 7
2
ดังนัน้ x ≠ 0 → Df / g = R − {0}
3 3
−1 4x + 7 (56.1) [(gof) + h](x) = 1 − x + 1 + 1 − x2
∴ f (x) =
3 เงื่อนไขคือ x + 1 > 0 → x > −1
(52) f −1(x3 − 3x2 + 3x + 5) = x − 1 → และ 1 − x + 1 > 0 → x < 0
ให้ x3 − 3x2 + 3x + 5 = 5 นั่นคือเงือ่ นไขของ x เป็น −1 < x < 0
จะได้ x = 0 เท่านัน้ → ∴ f −1(5) = 0 − 1 = −1 fog 1− x + 1
(56.2) ( )(x) =
(53.1) หา g−1(5) โดย g−1(2 − 3x) = x − 3 → h 1 − x2
ให้ 2 − 3x = 5 → x = −1 → g−1(5) = −4 เงื่อนไขคือ 1− x > 0 → x < 1
หา (fog−1)(5) = f(−4) โดยให้ x + 3 = −4 1 − x + 1 > 0 → เป็นจริงเสมอ
→ x = −7 → f(−4) = −33 และ 1 − x2 ≠ 0 → x ≠ 1, x ≠ −1
สรุปเงือ่ นไขของ x คือ x ∈ (−∞, 1) − {−1}
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 145 ความสัมพันธและฟงกชัน

(57.1) f(2x − 3) = 3x − 2 (60.2) f(1) = 2 − 1 = 1 →


A+3 3x + 5
→ f(A) = 3( ) − 2 → f(x) = หา g−1(1) + f −1(1) = 2 + 1 = 5
2 2 3 3
−1 2x − 5 x
∴ f (x) = ... (61.1) หา f(2) โดย f( )= x →
3 x−2
จาก (f + g)(x) = x2 + x − 3 จะได้ x
ให้ = 2 → x = 4 → f(2) = 4
3x + 5 x−2
g(x) = x2 + x − 3 −
2 หา g(2) (fog)(x) = x + 2 → f(g(2)) = 4
โดย
3x + 5 2x − 5 4
−1 2
∴ (g + f )(x) = x + x − 3 − + → g(2) = f −1(4) = = 2
2 3 4−2
2 x − 43 ดังนัน้ (f + g)(2) = 4 + 2 = 6
= x +
6 (61.2) f −1(4) = 2 (หาแล้วในข้อที่แล้ว)
2 3x + 5
x + x−3− (gof)(4) = g(f(4))
g 2
(57.2) ( )(x) =
f 3x + 5 หา f(4) โดย x = 4 → x = 8
2 x−2 3
2 8
2x − x − 11 5 → f(4) =
= ; x ≠ − 3
3x + 5 3
(58) g(x + 5) = x2 − 25 หา g( ) โดย f(g(8)) = 8 + 2 = 14
8
3 3 3 3
→ g(A) = (A − 5)2 − 25 → g(x) = x2 − 10x 8 −1 14 14 / 3 7
→ g( ) = f ( ) = =
f x +5 3 3 14 / 3 − 2 4
∴ ( )(x) = 2 ; x ≠ 0, 10
g x − 10x 7 7
1
ดังนัน้ ตอบ ⋅ 2 =
4 2
(59.1) f −1(−2) → 4x = −2 → x = −
2 f(3) −1
(62.1) หา + f (3) →
1 g(3)
→ f −1(−2) = −
2 f(3) ได้จาก f(2x + 3) = x + 1 → 2x + 3 = 3
g(−2) = (−2)2 + 1 = 5 จะได้ → x=0 ∴ f(3) = 1
กรณีแรก h−1(−2) = −3 ใช้ไม่ได้ เพราะ −3 > 0 −1
f (3) ได้จาก −1
f (x + 1) = 2x + 3 → x + 1 = 3
กรณีที่สอง h−1(−2) = −1 ใช้ได้ เพราะ −1 < 0 −1
→ x = 2 → f (3) = 2(2) + 3 = 7
ดังนัน้ ได้คําตอบ − 1 + 5 − 1 = 7 g(3) ได้จาก f(g(3)) ⇒ x − 1 = 3 → x = 4
2 2
(59.2) หาค่า (gof −1)(2) ⋅ h(2) → f(g(3)) = 20 + 1 = 21 →
1 g(3) = f −1(21) = 2(20) + 3 = 43
f −1(2) → 4x = 2 → x =

1 1
2
1 5
ดังนัน้ ตอบ 1 + 7 = 7 1
43 43
→ f −1(2) = ; g( ) = +1=
2 2 4 4 (62.2) f −1(1) หาจาก x +1= 1→ x = 0
5 15 −1
h(2) = 2 + 1 = 3 → ได้คาํ ตอบ ⋅3 = → f (1) = 2(0) + 3 = 3
4 4
(60.1) f(x) + g(x) = 2x + 1 และ หา (fg)(3) = f(3) ⋅ g(3)
f(x) − g(x) = 3 − 4x
หาแล้วจากข้อแรก คือ 1 ⋅ 43 = 43
แก้ระบบสมการ จะได้
f(x) = 2 − x และ g(x) = 3x − 1
→ (fog)(x) = 2 − (3x − 1) = 3 − 3x
5
หา (fog)−1(−2) → ให้ 3 − 3x = −2 → x =
3
5
→ (fog)−1(−2) =
3

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 146 ความสัมพันธและฟงกชัน

eÃ×èo§æ¶Á
หลักในการหาโดเมนและเรนจ์ของฟังก์ชัน fog..
สมมติวา่ f (x) = x2 + 6 และ g (x) = 3 − x 2 ต้องการหา Dfog
ไม่ควรคิดโดยหา fog ก่อนแล้วจึงหาโดเมนและเรนจ์ เพราะคําตอบที่ได้อาจผิด
ในตัวอย่างนี้ หากคิดโดยหา fog ก่อน จะเป็น
( )
2
(f D g)(x) = 3 − x2 +6 = 3 − x2 + 6 = 9 − x2

หาโดเมนได้จากเงื่อนไข 9 − x2 > 0 จะได้คําตอบคือ x ∈ [−3, 3] แต่เป็นคําตอบที่ผดิ !!


เช่น เมือ่ เราพิจารณาค่า (f D g)(2) จะพบว่า g (2) นั้นไม่นิยาม.. ฟังก์ชัน fog จึงไม่ควรมี 2 อยู่ในโดเมน
สาเหตุที่คาํ ตอบผิดก็เพราะในการหา fog นัน้ มีขนั้ ตอนที่เครือ่ งหมายรูท้ ถูกยกกําลังสองให้หายไป
เงื่อนไขของโดเมน (ทีอ่ ยู่ในรูท้ ) ก็เลยหายไปด้วย..

หลักในการหาโดเมนและเรนจ์ของฟังก์ชันประกอบ (เช่น fog) ทีถ่ ูกต้องเป็นดังนี้


(1) เขียน f(g(x)) โดยใส่ g(x) ลงไปใน f ก่อน (ต้องคงค่า g(x) ไว้ อย่าเพิ่งแทน x ลงไป)
(2) ถ้าหา Dfog ให้พจิ ารณาโดเมนของ f(g(x)) ที่เราเขียน ว่า g(x) เป็นอะไรได้บ้าง แล้วจึงย้อนไปคิด x
ถ้าหา Rfog ให้หาเรนจ์ของ g(x) ก่อนแล้วเอามาใส่ลงใน f(g(x)) ที่เราเขียนไว้ เพื่อให้ทราบเรนจ์

1
ตัวอย่าง กําหนดให้ f (x) = และ g (x) = 4 − x2 ให้หาเซต Dfog และ Rfog
1 − x2
1
เริ่มต้น เขียน (f D g)(x) = ก่อน
1 − g(x)2
ก. หาโดเมน; พิจารณาเงือ่ นไขรูท้ และเป็นตัวส่วน ดังนั้น 1 − g(x)2 > 0
แยกตัวประกอบแล้วเขียนเส้นจํานวน จะได้ −1 < g (x) < 1
จากนั้นจึงแทน x ลงไปได้วา่ −1 < 4 − x 2 < 1 → 0 < 4 − x 2 < 1 → 3 < x2 < 4
ดังนัน้ Dfog = [−2, − 3) ∪ ( 3, 2]

ข. หาเรนจ์; เริ่มจากหาเรนจ์ของ g(x) ซึ่งอาจมองลัดได้ดังนี้


จาก x ∈ R → x2 > 0 → 4 − x2 < 4 → 0 < 4 − x2 <2 ...แสดงว่า g(x) มีค่าในช่วง [0,2]
นําขอบเขตของค่า g นี้ไปใส่ใน f ต่อ ได้เป็น
0 < g (x) < 2 → 0 < g (x)2 < 4 → − 3 < 1 − g (x)2 < 1 → 0 < 1 − g (x)2 < 1
1
ดังนัน้ 1< < ∞ แสดงว่า Rfog = [1, ∞)
1 − g (x)2

เพื่อทดสอบความเข้าใจ ลองดัดแปลงวิธีเพื่อหา Dgof และ Rgof ของตัวอย่างนีด้ ูนะครับ


(เริ่มจากเขียน g(f(x)) โดยคงค่า f(x) ไว้ อย่าเพิง่ แทน x ลงไป)
คําตอบที่ถูกคือ [− 3 /2, 3 /2] และ [0, 3] ตามลําดับ..
และนอกจากนี้ยังมีในข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยอยูห่ ลายครั้งด้วย ก็ลองฝึกทําได้ครับ
(ตามเลขข้อที่ระบุไว้ใน “ข้อสอบเข้าฯ แยกตามหัวข้อ”) :]

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 147 กําหนดการเชิงเสน

linear

º··Õè 6 ¡íÒ˹´¡ÒÃeªi§eʌ¹
กําหนดการเชิงเส้น (Linear Programming)
เป็นเทคนิคที่เริ่มใช้ในปี ค.ศ. 1947 ในช่วงที่
สหรัฐอเมริกากําลังประสบปัญหาทรัพยากรไม่เพียงพอ
และต้องหาวิธีจัดสรรให้ได้ประโยชน์สูงที่สุด เทคนิค
การแก้ปัญหาแบบนี้นําไปใช้ในหลายด้าน เช่น การ
ผลิตสินค้าแต่ละประเภทด้วยวัตถุดิบที่มีให้ได้กําไรสูง
ที่สุด การขนส่งให้สิ้นเปลืองน้อยที่สุด การหาปริมาณ
วัตถุผสมให้ได้ส่วนประกอบตามต้องการโดยเสีย
ค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด การมอบหมายงานให้แต่ละกลุ่ม
เพื่อให้งานสําเร็จในเวลาน้อยที่สดุ ฯลฯ

ตัวอย่างสถานการณ์ ในการผลิตเก้าอี้สองชนิดคือขนาดเล็กและขนาดใหญ่ พบว่า เก้าอี้


ขนาดเล็กแต่ละตัวต้องเสียเวลาในการเลื่อยไม้ 1 ชั่วโมง ประกอบและตกแต่ง 2 ชั่วโมง ขายได้กําไร
ตัวละ 30 บาท ส่วนเก้าอี้ขนาดใหญ่ต้องเสียเวลาในการเลื่อยไม้ 2 ชั่วโมง ประกอบและตกแต่ง 2
ชั่วโมง และขายได้กําไรตัวละ 50 บาท ถ้าหากคนงานเลื่อยไม้ทํางานได้วันละไม่เกิน 8 ชั่วโมง และ
คนงานประกอบตกแต่งทํางานได้วันละไม่เกิน 10 ชั่วโมง ต้องการทราบว่าในแต่ละวันควรจะผลิตเก้าอี้
แต่ละชนิดเป็นจํานวนเท่าใดจึงจะได้กําไรมากที่สุด และได้กําไรเท่าใด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 148 กําหนดการเชิงเสน

ขั้นตอนการแก้ปัญหา จะเริ่มจากการเปลี่ยนสถานการณ์ให้เป็น แบบจําลองทาง


คณิตศาสตร์ ก่อน โดยสมมติตัวแปร x และ y แทนจํานวนผลิตที่เราต้องการทราบ นั่นคือ
ให้ x แทนจํานวนเก้าอี้ขนาดเล็กที่ผลิตใน 1 วัน
y แทนจํานวนเก้าอี้ขนาดใหญ่ที่ผลิตใน 1 วัน

1. สิ่งที่เราต้องการคือกําไรมากที่สุด ดังนั้นถ้าให้ P แทนกําไรที่ได้ จะเขียนเป็นสมการได้ดังนี้


P = 30 x + 50 y
เรียกว่า สมการจุดประสงค์ หรือ ฟังก์ชันจุดประสงค์ (P เป็นฟังก์ชันที่ขึ้นกับตัวแปร x และ y)

2. เงื่อนไข (หรือข้อจํากัด) ที่มีอยู่ ได้แก่จํานวนชั่วโมงทํางานของคนงานเลื่อยไม้ และคนงาน


ประกอบตกแต่ง ซึ่งนํามาเขียนเป็นอสมการได้ดังนี้
(เลื่อยไม้) x +2y < 8
(ประกอบตกแต่ง) 2 x + 2 y < 10
ค่า x และ y เป็นจํานวนเก้าอี้ จึงไม่สามารถเป็นค่าติดลบได้
x > 0
y > 0
เนื่องจาก x และ y ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้ จึงเรียกอสมการทั้งสี่ว่า อสมการข้อจํากัด

3. เขียนกราฟของระบบอสมการข้อจํากัด และแรเงาบริเวณที่ “ตรงตามเงื่อนไขทุกข้อ”


y เรียกบริเวณที่แรเงานี้ว่า อาณาบริเวณที่หาคําตอบได้
(Feasible Region) เนื่องจากค่า x และ y ที่เป็น
5 ไปได้ จะต้องอยู่ในบริเวณที่แรเงาเท่านั้น
2x + 2y = 10
4
x + 2y = 8
x
O 5 8

4. หาจุดยอดมุมทั้งหมดของบริเวณที่แรเงา (ถ้าเป็นจุดที่เกิดจากเส้นตรงตัดกัน ไม่ได้อยู่บนแกน x


หรือ y ก็ต้องใช้วิธีแก้ระบบสมการเพื่อหาจุดตัด)
ในตัวอย่างนี้หาจุดยอดมุมได้เป็น (0, 0),(0, 4),(2, 3),(5, 0)
คู่อันดับ x และ y เหล่านี้เท่านั้น ที่มีโอกาสทําให้เกิดค่า P มากที่สุดดังต้องการ

5. นําคู่อันดับ x และ y ทั้งสี่จุดที่ได้ ไปหาค่า P


จะพบว่าค่า P ที่มากที่สุดเกิดเมื่อ (x,y) = (2,3) คือ
P = 30 (2) + 50 (3) = 210
สรุปว่า ใน 1 วัน ควรผลิตเก้าอี้ขนาดเล็ก 2 ตัว ขนาดใหญ่ 3 ตัว จึงจะทําให้ได้กําไรมากที่สุด และ
กําไรที่มากที่สุดนั้นเท่ากับ 210 บาท

ข้อสังเกต
1. ฟังก์ชันที่ต้องการค่าสูงสุดมักให้ชื่อเป็น P (Profit), ค่าต่ําสุดเป็น C (Cost)
2. ในทุกสถานการณ์ นอกจากข้อจํากัดที่โจทย์ให้มาแล้ว มักจะต้องเพิ่มอสมการ x > 0, y > 0
ด้วยเสมอ (คือ ค่า x และ y โดยส่วนมากไม่สามารถเป็นค่าลบได้)
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 149 กําหนดการเชิงเสน

3. ในบางสถานการณ์ ค่า x หรือ y อาจต้องเป็นจํานวนเต็มเท่านั้น หากค่าทีไ่ ด้เป็นคําตอบไม่ใช่


จํานวนเต็ม ก็จําเป็นจะต้องเลือกจุดข้างเคียง (ภายในบริเวณที่แรเงา) ที่เป็นจํานวนเต็ม และให้ผล
ใกล้กับค่าที่ต้องการมากที่สุด ดังแสดงให้เห็นในตัวอย่างถัดไป
4. ในบางครั้งอาณาบริเวณที่แรเงาอาจล้อมรอบด้วยเส้นประ (เช่น กรณีที่ในข้อจํากัดใช้คําว่าระหว่าง,
น้อยกว่า, หรือ มากกว่า) จุดยอดมุมที่ได้เป็นคําตอบยังไม่สามารถใช้ได้ ก็ต้องใช้วิธีเลือกจุดข้างเคียง
ภายในบริเวณที่แรเงา เช่นเดียวกัน

• ตัวอยาง โดยปกติเครื่องบินลําหนึ่งมีทีน่ ั่ง 15 ทีน่ งั่ บรรจุผูโดยสารและสินคารวมกันได 1,500 กก. แตถา


น้ําหนักสินคามากกวาน้ําหนักผูโดยสารเกิน 200 กก. เครื่องบินจะเอียงและบินไมได (สมมติวาผูโดยสารแต
ละคนมีน้ําหนักเฉลี่ย 75 กก.) ถามวาเที่ยวบินแตละเที่ยวจะมีรายไดมากทีส่ ุดเทาใด หากคาโดยสารที่นั่งละ
6,000 บาท และคาขนสงสินคากิโลกรัมละ 100 บาท
วิธีคิด ใหจํานวนผูโดยสารเปน x คน และน้ําหนักสินคาเปน y กิโลกรัม
และ Z เปนรายไดตอเที่ยวที่ตองการ ดังนั้นฟงกชนั จุดประสงคคือ Z = 6000 x + 100 y
สวนเงื่อนไขทีม่ ีไดแก (1) ที่นั่งผูโ ดยสารมี 15 ทีน่ งั่ 0 < x < 15
(2) เครื่องบินบรรทุกได 1,500 กก. 75 x + y < 1500
(3) น้ําหนักสินคามากกวาผูโ ดยสารไดไมเกิน 200 กก. y − 75 x < 200
(4) (เพิ่มเติมเอง) น้ําหนักสินคาไมเปนคาติดลบ y > 0
หาอาณาบริเวณที่เปนคําตอบไดดังกราฟ และจุดยอดมุมทั้งหมดไดแก
y (0,0), (0,200), (8.67,850), (15,375), และ (15,0)
เมื่อแทนคาในฟงกชันจุดประสงคแลว พบวาจุด
1,500
(8.67,850) ใหคารายไดมากที่สุด คือ Z = 137,000
(8.67,850) แตมีปญหาวา x เปนจํานวนผูโดยสาร ตองเปนจํานวน
(15,375) เต็มเทานั้น เมื่อพิจารณาจุดใกลเคียงในบริเวณที่แรเงา จะ
200
x มี (8,800) ซึ่งใหคา Z = 128,000 บาท
O 15 20 และ (9,825) ซึ่งใหคา Z = 136,500 บาท
ดังนั้นจึงตองเลือกจุดหลัง และไดคําตอบวาเที่ยวบินแตละเที่ยวจะมีรายไดมากที่สุด 136,500 บาท
(เมื่อมีผโู ดยสาร 9 คน, สินคา 825 กก.)

หมายเหตุ
1. การแก้ปัญหาด้วยกําหนดการเชิงเส้น นอกจากใช้หาค่าสูงสุดของฟังก์ชันจุดประสงค์แล้ว ยังใช้กับ
หาค่าต่ําสุดได้เช่นกัน โดยจุดคําตอบจะเป็นหนึ่งในบรรดาจุดยอดมุม ที่ทําให้ค่าฟังก์ชันน้อยกว่าจุดอื่น
2. การที่คําตอบทุกข้อจะเป็นหนึ่งในจุดยอดมุมเสมอ ก็เพราะฟังก์ชันจุดประสงค์ Z = a x + b y มี
ลักษณะเป็นสมการเส้นตรง (ความชัน –a/b) ที่แปรเปลี่ยนระดับความสูงไปตามค่า Z ดังภาพ จะ
เห็นว่าค่าสูงสุดหรือต่ําสุดของ Z ย่อมเกิดที่จุดยอดมุมสุดท้าย ก่อนเส้นตรงเส้นนี้จะหลุดออกนอก
บริเวณที่แรเงา (ดูภาพในหน้าถัดไปประกอบ)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 150 กําหนดการเชิงเสน

y y

6000x + 100y = 140000


6000x + 100y = 137000
6000x + 100y = 70000
x x
O O
6000x + 100y = 0

3. ในตัวอย่างข้อนี้หากเปลี่ยนตัวเลขเป็น S e¾ièÁeµiÁ! S
ค่าโดยสารที่นั่งละ 8,000 บาท จะทําให้ ËÅa§¨Ò¡ÅÒ¡eʌ¹µÃ§æµ‹Åaeʌ¹æÅŒÇ eʌ¹µÃ§¨a溋§ÃÙ»oo¡e»š¹Êo§Ê‹Ç¹ ... eÃÒ
ฟังก์ชันจุดประสงค์เปลี่ยนเป็น ¾i¨ÒóÒNjҨaæÃe§Òã¹Ê‹Ç¹ã´ä´ŒËÅÒÂÇi¸Õ eª‹¹
Z = 8000 x + 100 y (ความชันเปลี่ยน) (1) ·´Åo§¹íÒ¨u´ã´¡ç䴌㹺Ãiedz˹Öè§ä»æ·¹ã¹oÊÁ¡Òà ¶ŒÒ¾ºÇ‹ÒoÊÁ¡ÒÃ
ซึ่งจุดยอดมุมที่ทําให้เกิดค่ามากที่สุด e»š¹¨Ãi§¡ç¨aæÃe§Òʋǹ¹aé¹ ¶ŒÒe»š¹e·ç¨¡çãˌæÃe§Òã¹oաʋǹ·ÕèeËÅ×o
กลายเป็นจุด (15,375) ก็จะไม่มีปัญหา (2) 㪌Çi¸ÕÁo§Åa´ ¤×o¶ŒÒ x > .. æÃe§Ò´ŒÒ¹¢ÇÒ, ¶ŒÒe»š¹ x < .. æÃe§Ò´ŒÒ¹«ŒÒÂ
เรื่องค่า x เป็นทศนิยม ËÃ×o´Ù·èÕ y ¡ç䴌 ¶ŒÒe»š¹ y > .. æÃe§Ò´ŒÒ¹º¹, ¶ŒÒe»š¹ y < .. æÃe§Ò´ŒÒ¹Å‹Ò§
** 测ˌÒÁ´ÙµaÇæ»Ã·ÕèÊaÁ»ÃaÊi·¸iìµi´Åº¹a¤Ãaº! (e¾ÃÒa¼Å¨a¡Åaº´ŒÒ¹¡a¹)

แบบฝึกหัด
(1) จงเขียนกราฟแสดงบริเวณที่เป็นคําตอบของระบบอสมการแต่ละข้อ พร้อมทั้งหาจุดยอดมุมที่
เกิดขึ้นทั้งหมดด้วย
x+y < 4 x+y < 4
(1.1) 3x −2y < 6 (1.2) 2x−y < 4
x > 0, y > 0 x > 0, y > 0

x +2y > 4 5x+3y > 0


(1.3) 2 x + 4 y < 12 (1.4) x −2y > 0
x > 0, y > 0 2 < x < 4

3x+y < 6
x−y < 1
S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S
(1.5) x+y < 4 ÊíÒËÃaºº·¹ÕéËÒ¡ÁÕ¡ÃÒ¿eʌ¹µÃ§ÁÒ¡¡Ç‹Ò 2 eʌ¹æÅŒÇ ¤ÇÃe¢Õ¹
x > 0, y > 0 ¡ÃÒ¿ãˌã¡ÅŒe¤Õ§Êa´Ê‹Ç¹¨Ãi§ÁÒ¡·ÕèÊu´ e¾×èoäÁ‹ãˌÊaºÊ¹Ç‹Ò¨u´
Âo´ÁuÁ¢o§¾×é¹·ÕèæÃe§Ò¹aé¹ e¡i´¨Ò¡eʌ¹ã´µa´¡aºeʌ¹ã´ºŒÒ§..

(2) สําหรับข้อ (2.1) ถึง (2.3) ให้หาค่า P ทีส่ ูงที่สุด หรือค่า C ที่ต่ําที่สุด
และสําหรับข้อ (2.4) ถึง (2.8) ให้หาทั้งค่าสูงสุดและต่ําสุดของฟังก์ชันจุดประสงค์
P = 5x+3y C = 2x+3y
2 x + 5 y < 300 x+y > 4
(2.1) x + y < 90 (2.2) [พื้นฐานวิศวะ’37] 5 x + 2.5 y < 25
0 < x < 70 0 < x < 5
y > 0 0 < y < 5

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 151 กําหนดการเชิงเสน

P = 2x+3y
Z = 3x+2y
2 x + 3 y < 30
2 x + 3 y < 12
(2.3) y−x < 5 (2.4) 2x+y < 8
x+y > 5
x > 0, y > 0
x > 10, y > 0

Z = 20 x + 30 y Z = 40 x + 35 y
4 x + 2 y > 100 3 x + 5 y > 62
(2.5) 2x + 4 y > 140
(2.6) 5 x + y > 30
x < 60, y < 40 x > 0, y > 0

Z = x −2y + 4 Z = 8x +5y
x+y < 4 3x+y > 6
(2.7) x + 2 y > −2 (2.8) x +5y > 8
x − y > −2 x+y > 4
x < 3 x > 0, y > 0

(3) บริเวณที่แรเงาเป็นกราฟของระบบอสมการใด
(3.1) y (3.2) y

x+y=3 15
x-y=2 5
x x
O O 4 8

(3.3) y

450
400

x
O 600 1200

(4) โรงงานลิ้นจี่กระป๋องและสับปะรดกระป๋องแห่งหนึ่ง ขายลิ้นจี่ได้กําไรกระป๋องละ 4 บาท


สับปะรดกําไรกระป๋องละ 7 บาท โดยกรรมวิธีการผลิตมี 2 ขั้นตอน คือ
- ปอกและต้มในน้ําเชื่อม (เครื่องจักรทํางานได้ไม่เกินครั้งละ 30 ชั่วโมง)
- บรรจุกระป๋อง (เครื่องจักรทํางานได้ไม่เกินครั้งละ 20 ชั่วโมง)
ลิ้นจี่ 1 กระป๋องต้องผ่านขั้นตอนแรก 3 นาที ขั้นตอนหลัง 1 นาที
สับปะรด 1 กระป๋องต้องผ่านขั้นตอนแรก 4 นาที ขั้นตอนหลัง 3 นาที
การผลิตแต่ละครั้งควรผลิตอย่างละกี่กระป๋อง จึงจะได้กําไรมากที่สุด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 152 กําหนดการเชิงเสน

(5) โรงงานผลิตจานและชามพลาสติก มีรายละเอียดการใช้เครื่องจักร และกําไรที่ได้ ดังแสดงใน


ตาราง ให้หาว่าควรผลิตอย่างละกี่ใบใน 1 วัน จึงจะได้กําไรสูงสุด
จาน 1 ใบ ชาม 1 ใบ เครื่องจักรทํางานได้
เครื่องจักร A 2 นาที 1 นาที ไม่เกินวันละ 3 ช.ม.
เครื่องจักร B 1 นาที 3 นาที ไม่เกินวันละ 5 ช.ม.
กําไร 1.00 บาท 1.20 บาท
(6) โรงงานผลิตสินค้าสองชนิด แต่ละวันจะใช้เหล็ก 250 กก. สินค้าชนิดที่หนึ่งใช้เหล็กชิ้นละ 10
กก. ชนิดที่สองใช้เหล็กชิ้นละ 25 กก. และสําหรับเวลาที่ใช้ผลิตแต่ละวันมี 260 นาที ทั้งสองชนิดใช้
เวลาชิ้นละ 20 นาทีเท่ากัน ส่วนการทาสีมีเวลารวมวันละ 100 นาที ชนิดแรกใช้เวลาทาสีชิ้นละ 10
นาที ชนิดที่สองชิ้นละ 4 นาที ถ้าสินค้าชนิดแรกกําไรชิ้นละ 30 บาท ชนิดที่สองกําไรชิ้นละ 25
บาท ควรจะผลิตอย่างละกี่ชิ้นใน 1 วันจึงได้กําไรสูงที่สุด
(7) โรงงานผลิตสินค้าทําสินค้าออกมาสองชนิด คือ x กับ y โดยสินค้าแต่ละอย่างต้องผ่าน
กระบวนการ 3 ขั้นตอน ดังตาราง หากกําไรต่อชิ้นของสินค้า x เป็น 5,000 บาท สินค้า y เป็น
3,500 บาท ควรจะผลิตอย่างละกี่ชิ้นใน 1 วัน
สินค้า x 1 ชิ้น สินค้า y 1 ชิ้น เครื่องจักรทํางานได้
ขั้นตอนที่ 1 3 ช.ม. 2 ช.ม. 24 ช.ม. ต่อวัน
ขั้นตอนที่ 2 1 ช.ม. 2 ช.ม. 16 ช.ม. ต่อวัน
ขั้นตอนที่ 3 1 ช.ม. 1 ช.ม. 9 ช.ม. ต่อวัน
(8) บริษัทผลิตวิทยุแห่งหนึ่งผลิตวิทยุออกมา 2 รุ่น คือรุ่น A กับรุ่น B โดยที่รุ่น A มีกําไรเครื่องละ
250 บาท รุ่น B 300 บาท แต่ละวันตั้งใจจะผลิตรุ่น A ไม่น้อยกว่า 80 เครื่อง รุ่น B ไม่น้อยกว่า
100 เครื่อง แต่ผลิตได้รวมกันไม่เกินวันละ 200 เครื่อง ควรจะผลิตอย่างไรจึงจะได้กําไรสูงสุด และ
กําไรสูงสุดนั้นเป็นเท่าใด
(9) โรงงานเฟอร์นิเจอร์ทําตู้และเตียงซึ่งจะใช้แรงงานช่างไม้กับช่างทาสี โดยตู้ 1 ใบช่างไม้ใช้เวลาทํา
15 ชั่วโมง ช่างทาสีอีก 12 ชั่วโมง และเตียง 1 หลังช่างไม้ใช้เวลาทํา 5 ชั่วโมง ช่างทาสี 4 ชัว่ โมง
ถ้าแต่ละวันช่างไม้ทุกคนช่วยกันทํางานได้เวลารวมกันอย่างมาก 60 ชั่วโมง ช่างทาสีรวมกัน 40
ชั่วโมง ส่วนกําไรนั้นตู้ใบละ 500 บาท เตียงหลังละ 400 บาท ควรจะผลิตตูแ้ ละเตียงอย่างละเท่าใด
ต่อวัน
(10) ผู้จัดการบริษัทต้องการซื้อตู้เก็บเอกสารใหม่จํานวนหนึ่ง เขาสอบถามได้ข้อมูลว่าตู้ยี่ห้อ A ราคา
ตู้ละ 400 บาท ใช้พื้นที่วาง 6 ตารางฟุต จุเอกสารได้ 8 ลูกบาศก์ฟุต ส่วนตู้ยี่ห้อ B ราคาตู้ละ 800
บาท ใช้พื้นที่วาง 8 ตารางฟุต จุเอกสารได้ 12 ลูกบาศก์ฟุต หากเขามีงบไม่เกิน 5,600 บาท และมี
พื้นที่ไม่เกิน 72 ตารางฟุต เขาควรจะซื้ออย่างละกี่ตู้เพื่อให้เก็บเอกสารได้มากที่สุด และถามว่าเก็บ
เอกสารได้เท่าใด
(11) ต้องการจ้างคนงานสองคนมาทําความสะอาดตู้ 5 ตู้ โต๊ะ 12 ตัว และหิ้งหนังสือ 18 หิ้ง โดย
คนงานคนที่หนึง่ สามารถทําความสะอาดตู้ได้ 1 ตู้ โต๊ะ 3 ตัว และหิ้งหนังสือ 3 หิ้งต่อชั่วโมง คนที่
สองทําความสะอาดตู้ 1 ตู้ โต๊ะ 2 ตัว และหิ้งหนังสือ 6 หิ้งต่อชั่วโมง ค่าแรงคนที่หนึ่ง 25 บาทต่อ
ชั่วโมง ค่าแรงคนที่สอง 22 บาทต่อชั่วโมง ควรจะจ้างคนงานทั้งสองทํางานคนละกี่ชั่วโมงเพื่อเสีย
ค่าแรงน้อยที่สุด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 153 กําหนดการเชิงเสน

(12) ปุ๋ยเคมีสองชนิดมีส่วนผสมดังตาราง หากต้องการปุ๋ยทีม่ ีฟอสฟอรัสไม่ต่ํากว่า 9 หน่วย


ไนโตรเจนไม่ต่ํากว่า 8 หน่วย และโพแทสเซียมไม่เกิน 7 หน่วย จะเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อปุ๋ยน้อย
ที่สุดเท่าใด
ฟอสฟอรัส ไนโตรเจน โพแทสเซียม ราคาต่อถุง
ชนิดที่ 1 3 หน่วย 1 หน่วย 1 หน่วย 50 บาท
ชนิดที่ 2 1 หน่วย 2 หน่วย 1 หน่วย 40 บาท
(13) บริษัทแห่งหนึ่งมีเหมืองอยู่ 2 แห่ง ในแต่ละวันเหมืองแรกผลิตแร่เกรด A ได้ 1 ตัน เกรด B 3
ตัน และเกรด C 5 ตัน ส่วนเหมืองที่สองผลิตแร่ทั้งสามเกรดได้เกรดละ 2 ตันเท่ากัน หากบริษัท
ต้องการผลิตแร่ส่งลูกค้าโดยเป็นแร่เกรด A 80 ตัน เกรด B 150 ตัน และเกรด C 200 ตัน ให้หา
ว่าบริษัทควรจะเปิดเหมืองเพื่อผลิตแร่แห่งละกี่วันจึงจะเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด (ค่าใช้จ่ายในการขุดแร่
แต่ละเหมืองเป็น 6,000 บาทต่อวัน เท่ากัน)
* (14) อาหารปลาชนิดแรกราคาถุงละ 6 บาท มีอัตราส่วนระหว่างโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต
เท่ากับ 1 : 2 : 2 ในขณะที่อาหารปลาชนิดที่สองราคาถุงละ 4 บาท มีอัตราส่วนเป็น 1 : 1 : 5 ให้
หาอัตราส่วนระหว่างอาหารชนิดที่หนึ่งกับชนิดที่สองที่ผู้เลี้ยงปลาควรจะซื้อ ถ้าอัตราส่วนระหว่าง
โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต ที่จําเป็นต้องใช้ ไม่ต่ํากว่า 3 : 4 : 10

เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(1.1) (0,0), (0,4), (2,0), (14/5,6/5) (4) ลิ้นจี่ 120 กระป๋อง, สับปะรด 360 กระป๋อง
(1.2) (0,0), (0,4), (2,0), (8/3,4/3) (5) จาน 48 ใบ, ชาม 84 ใบ
(1.3) (0,2), (0,3), (4,0), (6,0) (6) ชนิดทีห่ นึ่ง 8 ชิ้น, ชนิดทีส่ อง 5 ชิน้
(1.4) (2,1), (4,2), (2,-10/3), (4,-20/3) (7) สินค้า x 6 ชิ้น, สินค้า y 3 ชิ้น
(1.5) (0,0), (0,4), (1,0), (1,3), (7/4,3/4) (8) รุ่น A 80 เครื่อง, รุ่น B 120 เครือ่ ง,
(2.1) 410 (2.2) 8 (2.3) 30 กําไร 56,000 บาท
(2.4) 13, 0 (2.5) 2400, 1100 (9) ผลิตเตียง 10 หลังโดยไม่ผลิตตู้เลย
(2.6) หาค่าไม่ได้, 434 (2.7) 12, -1 (10) ยี่หอ้ A 8 ตู,้ ยี่ห้อ B 3 ตู,้ เก็บได้ 100 ลบ.ฟุต
(2.8) หาค่าไม่ได้, 23 (11) คนแรก 2 ช.ม., คนที่สอง 3 ช.ม.
(3.1) x − y < 2 , x + y < 3 , x > 0 , y > 0 (12) 220 บาท (ชนิดที่ 1 สองถุง ชนิดที่ 2 สามถุง)
(3.2) 5x + 8y < 40 , 15x + 4y < 60 , (13) เหมืองแรก 36 วัน เหมืองที่สอง 22 วัน
หรือ เหมืองแรก 34 วัน เหมืองที่สอง 24 วัน ก็ได้
x>0, y>0
(14) 5 : 14
(3.3) 3x + 4y < 1800 , x + 3y < 1200 ,
x>0, y>0

เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
y y
(1.1) (1.2)
4 3x-2y=6 4 2x-y=4

(14/5,6/5) (8/3,4/3)
x x
O 2 4 x+y=4 O 2 4 x+y=4

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 154 กําหนดการเชิงเสน

(1.3) y (2.4) y
Zmax = 13 ทีจ่ ุด (3, 2)
3
Zmin = 0 ทีจ่ ุด (0, 0)
4 (3,2)
2 2x+4y=12
x
O 4 6 x
x+2y=4
O 4
y (2.5) y Zmax = 2,400 ที่จดุ (60, 40)
(1.4) x=2 x=4 x-2y=0 Zmin = 1,100 ที่จดุ (10, 30)
(2,1) (4,2) (5,40) (60,40)
x
O
(2,-10/3) (10,30) (60,5)
(4,-20/3) x
5x+3y=0 O
(1.5) y
(2.6) y Zmax หาค่าไม่ได้
62
Zmin = 434 ทีจ ่ ุด (0, )
5
6 x-y=1 (0,62/5)
4 (1,3)
(7/4,3/4) (4,10) x
x O (30,0)
O 12 4 x+y=4
3x+y=6 (2.7) y
(2.1) y Zmax = 12 ทีจ่ ุด (3, −2.5)
Pmax เกิดที่ (70, 20) Zmin = −1 ที่จดุ (1, 3)
90 (1,3)
60 (50,40) (-2,0) (3,1)
Pmax = 5(70) + 3(20)
= 410 x
(70,20) O
x 4 (3,-2.5)
O 70 90 150 y
(2.8)
y Zmax หาค่าไม่ได้
(2.2) (0,6) Zmin = 23 ที่จดุ (1, 3)
Cmin เกิดที่ (4, 0) (2.5,5)
5 (1,3)
Cmin = 2(4) + 3(0) (3,1) (8,0) x
= 8 4 O
x
O 4 5 (3.1) x + y < 3, x − y < 2,
x > 0, y > 0
(2.3) y
10 (3.2) ต้องสร้างสมการเส้นตรงด้วย intercept form
Pmax เกิดที่ (10, )
3
( x + y = 1 ) ก่อน.. ได้เป็น
10 a b
10 x y
Pmax = 2(10) + 3( ) 5 + = 1 → 15x + 4y < 60 ,
3 (10,10/3) 4 15
= 30 x x y
O 5 10 15 + = 1 → 5x + 8y < 40
8 5
x > 0, y > 0

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 155 กําหนดการเชิงเสน

(3.3) เช่นเดียวกับข้อ 3.2 (7) P = 5, 000x + 3, 500y


x y 3x + 2y < 24
+ = 1 → 3x + 4y < 1,800 ,
600 450 x + 2y < 16
y
x y
+ = 1 → x + 3y < 1,200 , x+y<9
1,200 400
x > 0, y > 0 (2,7)
x > 0, y > 0
8
(4) P = 4x + 7y (6,3)
3x + 4y < 1, 800 (นาที) x
O 8
x + 3y < 1, 200 (นาที)
x > 0, y > 0
Pmax = 40,500 ที่จดุ (6, 3)
y
ตอบ สินค้า x 6 ชิ้น สินค้า y 3 ชิ้น
(8) P = 250x + 300y
x > 80 , y > 100
400 (120,360) y
x + y < 200

x
O 600 (80,120)
Pmax = 3,000 ที่จดุ (120, 360) (80,100) (100,100)
ตอบ ลิ้นจี่ 120 กระป๋อง สับปะรด 360 กระป๋อง x
(5) P = x + 1.2y O
2x + y < 180 (นาที) Pmax = 56,000 ที่จดุ (80, 120)
x + 3y < 300 (นาที)
ตอบ รุน่ A 80 เครื่อง รุ่น B 120 เครื่อง
x > 0, y > 0 y และกําไร 56,000 บาท
(9) P = 500x + 400y
15x + 5y < 60
100 (48,84) 12x + 4y < 40 y
x > 0, y > 0
x
O 90 10
Pmax = 148.80 ที่จดุ (48, 84)
ตอบ จาน 48 ใบ ชาม 84 ใบ x
(6) P = 30x + 25y O 40/12
10x + 25y < 250 Pmax = 4,000 ที่จดุ (0, 10)
20x + 20y < 260
y ตอบ ผลิตเตียง 10 หลัง โดยไม่ผลิตตู้
10x + 4y < 100
(10) P = 8x + 12y
x > 0, y > 0
400x + 800y < 5, 600
(5,8) 6x + 8y < 72
10 x > 0, y > 0
y
(8,5)
x
O 10
7 (8,3)
Pmax = 365 ที่จดุ (8, 5)
ตอบ ชนิดที่หนึ่ง 8 ชิ้น ชนิดทีส่ อง 5 ชิ้น x
O 12
Pmax = 100 ที่จดุ (8, 3)
ตอบ ยีห่ อ้ A 8 ตู้ ยี่หอ้ B 3 ตู้
และจุได้ 100 ลบ.ฟุต
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 156 กําหนดการเชิงเสน

(11) C = 25x + 22y (13) C = 6, 000x + 6, 000y


x+y>5 x + 2y > 80
3x + 2y > 12 y 3x + 2y > 150
3x + 6y > 18 5x + 2y > 200
x > 0, y > 0 x > 0, y > 0 และ x, y ∈ I
(0,6)
y
(2,3)
x (0,100)
O (4,1) (6,0)
Cmin = 116 ที่จดุ (2, 3) (25,37.5)
ตอบ คนที่หนึ่ง 2 ช.ม. คนทีส่ อง 3 ช.ม. (35,22.5) x
O (80,0)
(12) C = 50x + 40y
3x + y > 9 Cmin = 345,000 ที่จดุ (35, 22.5)
x + 2y > 8 y แต่ y ไม่เป็นจํานวนเต็ม จึงต้องเลือกจุดข้างเคียงแทน
x+y< 7 ก. ลด y สมมติ y = 22 จะได้ x = 36
x > 0, y > 0 (หาค่า x จาก x + 2y = 80 ) → C = 348,000
(1,6)
(2,3) (6,1) ข. เพิ่ม y สมมติ y = 23 จะได้ x = 34.67
x ใช้ไม่ได้!
O เปลี่ยนเป็น y = 24 จะได้ x = 34
Cmin = 220 ที่จดุ (2, 3)
(หาค่า x จาก 3x + 2y = 150 ) → C = 348,000
ตอบ 220 บาท ปรากฏว่า C เท่ากัน จึงเลือกตอบจุดใดก็ได้
(14) C = 6x + 4y ตอบ (36 วัน, 22 วัน) หรือ (34 วัน, 24 วัน)
x y 3
[หมายเหตุ ถ้าค่า C ไม่เท่ากัน ก็ให้เลือกตอบจุดทีค่ ่า
+ > C น้อยกว่า]
5 7 17
2x y 4
+ >
5 7 17
2x 5y 10
+ >
5 7 17
x > 0, y > 0 y

(0,28/17)
(5/17,14/17)
(25/51,28/51) x
O (25/17,0)
5 14
Cmin = 86 ที่จดุ ( , )
17 17
ตอบ 5 : 14

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 157 ฟงกชันตรีโกณมิติ

π = rˆig + θn
º··Õè 7 ¿˜§¡ª¹a µÃÕo¡³Áiµi
ตรีโกณมิติ (Trigonometry) เป็นวิชาที่
เกี่ยวกับการวัดส่วนประกอบของรูปสามเหลีย่ ม เช่น
ความยาวด้าน, ขนาดของมุม, และขนาดพื้นที่ โดยมี
ฟังก์ชันที่เกี่ยวข้องอยู่ 6 ฟังก์ชัน เรียกว่า ฟังก์ชัน
ตรีโกณมิติ (Trigonometric Function) ได้แก่
ฟังก์ชันไซน์ (Sine; sin) โคไซน์ (Cosine; cos)
แทนเจนต์ (Tangent; tan) โคแทนเจนต์
(Cotangent; cot) ซีแคนต์ (Secant; sec) และโคซี
แคนต์ (Cosecant; cosec หรือ csc)
แต่ละฟังก์ชันมีโดเมนเป็นขนาดของมุม θ และค่าเรนจ์ที่ได้ออกมานั้นเป็นจํานวนจริง ซึ่งจะ
พบว่า หาก 0° < θ < 90° แล้ว ค่าฟังก์ชันทีไ่ ด้คือ “อัตราส่วนระหว่าง 2 ด้านในรูปสามเหลี่ยมมุม
ฉาก ที่มุมหนึ่งมีขนาดเท่ากับ θ”
a 1 c
sin θ = cosec θ = =
c sin θ a
b 1 c
cos θ = sec θ = = c a
c cos θ b
sin θ a 1 cos θ b
tan θ = = cot θ = = =
cos θ b tan θ sin θ a θ
b
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 158 ฟงกชันตรีโกณมิติ

ค่าของฟังก์ชันตรีโกณมิติที่ควรทราบ
θ 0° 30° 45° 60° 90°
sin θ 0 1/2 1/ 2 3 /2 1

cos θ 1 3 /2 1/ 2 1/2 0

tan θ 0 1/ 3 1 3 หาค่าไม่ได้

เอกลักษณ์ของตรีโกณมิติ ที่สําคัญ ได้แก่


1. sin 2 θ + cos 2 θ = 1 เป็นความสัมพันธ์ระหว่างค่า sin และ cos ของมุมใดๆ
ซึ่งได้มาจากทฤษฎีบทปีทาโกรัสในรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ( a 2+ b 2= c 2 ..นํา c 2 หารทั้งสองข้าง)
นอกจากนี้ เมื่อนํา sin 2 θ หารทั้งสองข้างของสมการอีก จะได้ 1 + cot 2 θ = cosec 2 θ
หรือถ้านํา cos 2 θ หารทั้งสองข้างของสมการ ก็จะได้ tan 2 θ + 1 = sec 2 θ
2. sin θ = cos (90°−θ) เป็นความสัมพันธ์แบบ โค-ฟังก์ชัน (Co-function) ซึ่งสังเกตได้
จากความสัมพันธ์ในรูปสามเหลี่ยมมุมฉากเช่นกัน
กล่าวว่า “ถ้ามุมสองมุมรวมกันได้ 90° แล้ว ค่า sin ของมุมหนึ่งจะเท่ากับค่า cos ของอีกมุม”
และนอกจากนี้ยังมีอีกสองคู่ คือ tan θ = cot (90°−θ) และ sec θ = cosec (90°−θ)

7.1 ฟังก์ชันตรีโกณมิติในวงกลมหนึ่งหน่วย
จากความสัมพันธ์ที่ว่า sin 2 θ + cos 2 θ = 1 เสมอ (ทุกๆ ค่า θ ) ถ้าให้ sin θ , cos θ
เป็นแกน x, y แล้ว จะได้กราฟเป็นรูปวงกลมรัศมี 1 หน่วย โดยมีข้อตกลงที่ใช้เป็นมาตรฐาน คือให้
“แกน x เป็น cos θ และแกน y เป็น sin θ ” กําหนดแบบนี้ก็เพื่อให้ θ เป็นมุมที่ทํากับแกน x
โดยเริ่มวัดเป็น 0° ในแนว +x และเพิ่มขึ้นในทิศทวนเข็มนาฬิกา เรียงไปตามลําดับควอดรันต์
(คือเป็น 90° ในทิศ +y, เป็น 180° ในทิศ –x, ...) พอดี
y
90° (0,1)
sin 45° = 1/ 2
120° 60° ( 1 , 3 )
cos 60° = 1/2 3 /2 2 2
1
sin 90° = 1
1 3
(− , ) 2 /2 45 °( , 1 )
2 2
2 2 3 1
cos 90° = 0 1/2 30° ( , )
2 2
sin 120° = 3 /2
cos 120° = −1/2 0° (1,0)
180° θ
sin 180° = 0
1 2 3
x
(-1,0) O
cos 180° = −1 2 2 2
sin 225° = −1/ 2
cos 225° = −1/ 2
225°
sin 300° = − 3 /2 1
cos 300° = 1/2
(− ,− 1 ) 300° ( 1 , − 3
)
2 2 2 2
270° (0,-1)
หมายเหตุ 1° (องศา; degree) แบ่งเป็น 60 ' (ลิปดา; minute)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 159 ฟงกชันตรีโกณมิติ

ประโยชน์ของ วงกลมหนึ่งหน่วย (Unit Circle) คือ เราสามารถหาค่าฟังก์ชนั ของมุม θ


ต่างๆ ได้ง่ายขึ้น, สามารถขยายฟังก์ชันให้ใช้กับ θ ใดๆ ก็ได้ ไม่ว่าจะเกิน 90° หรือจะเป็นค่าติดลบ
ก็ตาม (วัดตามเข็มนาฬิกา), และช่วยให้เห็นแนวโน้มของค่าฟังก์ชันเมื่อ θ อยู่ในควอดรันต์ต่างๆ

ข้อสังเกต
จากกราฟวงกลมนี้ทําให้เราได้ทราบว่า
1. sin θ , cos θ มีค่าได้ตั้งแต่ –1 ถึง 1 เท่านั้น
2. sin (−θ) = − sin θ ... เพราะ θ, −θ จะอยู่เหนือแกนและใต้แกนตรงข้ามกันเสมอ
และ cos (−θ) = cos θ ... เพราะ θ, −θ จะอยู่ซ้ายหรือขวาเท่าๆ กันเสมอ
ดังนั้น tan (−θ) = − tan θ ... ได้จากการนํา sin (−θ) หารด้วย cos (−θ)

แบบฝึกหัด 7.1
(1) ให้หาค่าของ
(1.1) sin x + sin 2x + sin 4x เมื่อ x = 60°
(1.2) cos 4x − cos 3x + cos x เมื่อ x = 120°

(2) จงหา sin θ + cos θ หากกําหนดเงื่อนไข θ ดังแต่ละข้อ


(2.1) ปลายส่วนโค้ง θ อยู่บนเส้นตรงซึ่งเชื่อมจุด (0, 0) กับ (3, 4)
(2.2) ปลายส่วนโค้ง θ อยู่บนเส้นตรง y = 2x −1
(3) ให้หาค่าของ
(3.1) cos 2 35° + sec 2 70° − cosec 2 47° + sin 2 35° − tan 2 70° + cot 2 47°
sec 2 x
(3.2) + cot 2 x + cot 2 x sin 2 x + sin 2 x − cosec 2 x
2 + 2 ta n 2 x

(4) จงเขียนให้อยู่ในรูปอย่างง่าย
1 1 1 1
(4.1) 2
+ + +
1 + sin θ 1 + cos 2θ 1 + sec 2θ 1 + cosec 2θ
(4.2) 2 (sin 6 x + cos 6 x) − 3 (sin 4 x + cos 4 x) + 1
[Hint: กระจาย (sin 2x + cos 2x)3 และ (sin 2x + cos 2x)2 ก่อน]
(5) ถ้า sin θ − cos θ = a แล้ว sin θ cos θ มีค่าเท่าใด
(6) ถ้า (sin θ − cos θ)2 = a2 แล้ว cosec θ − sec θ มีค่าเท่าใด
(7) ถ้า ABC เป็นสามเหลี่ยมมุมฉากซึ่งมี A เป็นมุมฉาก และ tan B = 3/4 แล้ว ให้หาค่าของ
sec C cot B cosec A

(8) กําหนดสามเหลี่ยมมุมฉาก ABC มีมุม B เป็นมุมฉาก หากลาก BD A


ตั้งฉากกับ AC ที่จุด D แล้วพบว่า AB = 10 , BD = 8 จงหาค่า
sin, cos ของมุม A และขนาดของ BC , CD

(9) จากภาพ หาก BC = 10 และพื้นที่สามเหลี่ยม ABC 120°


เป็น 10 3 ตารางหน่วย ให้หาขนาดพื้นที่สามเหลี่ยม ACD C D B E
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 160 ฟงกชันตรีโกณมิติ

(10) ถ้า sin θ = 0.7310 และ 0 < θ < 90° ให้หาค่า θ นั้น
(ตารางระบุค่า cos 43° = 0.7314 และ cos 43° 10 ' = 0.7294 )

7.2 ระบบเรเดียน และการลดรูปมุม


นอกจากการวัดมุมในระบบ องศา (Degree; ° ) แล้ว ยังมีอีกระบบหนึ่งซึ่งวัดจากความยาว
ส่วนโค้ง (เส้นรอบวง) ของวงกลมหนึ่งหน่วย เรียกว่า เรเดียน (Radian; rad) นั่นคือ
360° คิดเป็น 2π เรเดียน (ความยาวเส้นรอบวง) 180° คิดเป็น π เรเดียน
90° คิดเป็น π /2 เรเดียน 60° คิดเป็น π /3 เรเดียน
45° คิดเป็น π /4 เรเดียน 30° คิดเป็น π /6 เรเดียน
การแปลงหน่วยระหว่างองศา กับเรเดียน
S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S
ใช้วิธีเทียบบัญญัติไตรยางศ์ ตามปกติ
¶Ö§æÁŒÁuÁ π eÃe´Õ¹ ¨ae·Õºe·‹Ò¡aº 180° æµ‹Ç‹Ò π ≠ 180 ¹a¤Ãaº ...
y ˹‹ÇÂeÃe´Õ¹¹Õé¤×o¤‹Ò¨íҹǹ¨Ãi§ (æ»ÅÇ‹Ò π Âa§¤§ÁÕ¤‹Ò 3.14.. eª‹¹e´iÁ)
π/2
2π/3 π/3
3π/4 π/4
5π/6 π/6 a
π 0
x
θ
11π/6
r
7π/6
5π/4 7π/4 ความสัมพันธ์ระหว่างมุม θ (หน่วยเรเดียน)
4π/3 5π/3 กับความยาวส่วนโค้ง a ในวงกลมรัศมี r
3π/2 ใดๆ คือ θ = a / r

หมายเหตุ การวัดมุมเป็นเรเดียน มักละหน่วยไว้ ไม่ต้องเขียนกํากับว่า rad ก็ได้


หากไม่มีสัญลักษณ์องศากํากับ แสดงว่าเป็นมุมเรเดียน เช่น sin 30 นั้นจะไม่เท่ากับ 1/2

การลดรูปขนาดมุม
หากขนาดของมุมที่จะหาค่าฟังก์ชันตรีโกณมิตินั้น มี nπ หรือ nπ/2 ไปบวกลบอยู่ เช่น
sin(2π−θ) , cos (π+θ) , sin(π /2−θ) , ฯลฯ เราสามารถกําจัดค่าคงที่เหล่านี้ทิ้งได้ ให้เหลือเพียงมุม

θ เช่น sin (θ±2π) = sin θ y


cos (θ±2π) = cos θ
θ+π/2
sin(θ± π) = − sin θ
cos (θ± π) = − cos θ θ
sin(θ± π/2) = ± cos θ
cos (θ± π /2) = ∓ sin θ x
ความสัมพันธ์เหล่านี้ พิจารณาได้จากวงกลม θ+π
หนึ่งหน่วย θ -π
θ-π/2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 161 ฟงกชันตรีโกณมิติ

ข้อสังเกตคือ เมื่อตัดมุม nπ ออก ฟังก์ชันยังคงเป็นชื่อเดิมไม่เปลี่ยน แต่ถ้าตัดมุม nπ/2


ออก ฟังก์ชันจะเปลี่ยนชื่อเป็นโคฟังก์ชันเสมอ (แต่นอกจากนี้ยงั ต้องดูเครื่องหมายบวกลบด้วย ว่า
เปลี่ยนหรือไม่)

แบบฝึกหัด 7.2
(11) วงกลมวงหนึ่งมีรัศมี 24 ซม. ให้หาความยาวส่วนโค้งที่รองรับมุมที่จุดศูนย์กลางขนาด
(11.1) 2/3 เรเดียน
(11.2) 130°
(12) มุมที่จุดศูนย์กลางวงกลมที่รัศมียาว 4 ซม. และส่วนโค้งรองรับมุมนี้ยาว 8 ซม. จะมีขนาดเป็น
กี่เรเดียน
(13) ให้หารัศมีวงกลมซึ่งมุมที่จุดศูนย์กลางมีขนาด 5 เรเดียน และส่วนโค้งที่รองรับมุมนี้ ยาว 20
นิ้ว
(14) สามเหลี่ยมหน้าจั่วมีมุมยอด 22.5° บรรจุอยู่ในวงกลม โดยจุดยอดอยู่ที่จุดศูนย์กลางของ
วงกลม ถ้าส่วนโค้งของวงกลมที่ถูกแบ่งด้วยฐานของสามเหลี่ยม ยาว 4 ซม. ให้หาความยาวรัศมีของ
วงกลมนี้
2π 4π 5π
sin − cos − tan
(15) ให้หาค่าของ 3 3 3
cos
π + tan

+ sin

3 4 6

(16) ถ้า f (θ) = cos ⎛⎜


π−θ⎞ แล้ว ค่าของ f (2π) − f (0) เป็นเท่าใด

⎝ 3 ⎠

(17) ตอบคําถามต่อไปนี้
(17.1) เมื่อ 0 < θ < π/2 ค่าของ θ กับ sin θ ค่าใดมากกว่ากัน
(17.2) ถ้า θ มากขึ้นจาก π/2 ไปสู่ π แล้ว ค่า cosec θ เป็นอย่างไร
(18) ประโยคใดจริงหรือเท็จบ้าง
(18.1) sin 1° > sin 1 (18.4) sin(− π /6) < 0

(18.2) tan 1 < tan 2 (18.5) sin(− 11π/6) < 0

(18.3) sin(1− π) = sin 1 (18.6) tan(π /7) = tan(6π /7)

(19) ให้หาค่าของ
sin(2π−θ) tan(π−θ) cot (3π −θ)
(19.1)
cot (2π+θ) tan(π +θ)

(19.2) [sin θ + sin(


π − θ)] 2 + [cos θ − cos (π − θ)] 2
2 2

(20) ให้หาค่าของ cos 300° + sin 450° + tan 495°

sin 2(−253°) + cos 2(287°) sin 2(323°)


(21) ให้หาค่าของ 2

1 − sin (217°) cos 2(37°)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 162 ฟงกชันตรีโกณมิติ

(22) ตอบคําถามต่อไปนี้ เมื่อ 0 < x < 2π


(22.1) ค่ามากที่สุดของ 2 − cos 2x เป็นเท่าใด เมื่อ x เป็นเท่าใด
(22.2) ค่าต่ําสุดของกราฟ y = 3 sin (2x − π/2) เป็นเท่าใด เมื่อ x เป็นเท่าใด
(23) [Ent’ต.ค.42] จงหาเซต {cos A | 0 < A < 4π /3 และ 5 − 3 sin 3A มีค่ามากที่สุด }

7.3 สมการตรีโกณมิติ
หลักในการแก้สมการที่เป็นฟังก์ชันตรีโกณมิติ เช่น 4 sin 2x + 11 cos x − 1 = 0 หรือ
2
2 tan θ − sec θ = 1 โดยรวมเป็นดังนี้

ขั้นแรก ถ้าในสมการ มีฟังก์ชันอื่นๆ ที่ไม่ใช่ sin กับ cos ให้แปลงเป็น sin กับ cos ก่อน
ขั้นที่สอง เมื่อได้สมการที่มีเพียง sin กับ cos แล้ว
- หากเหลือแค่ sin หรือ cos อย่างใดอย่างหนึ่ง สามารถแยกตัวประกอบต่อได้ทันที
- แต่ถ้าเหลือทั้ง sin และ cos ปนกัน ... ให้ใช้เอกลักษณ์ sin 2 θ + cos 2 θ = 1 มาเป็นสมการช่วย
มองเป็นระบบ 2 สมการ 2 ตัวแปร (คือตัวแปร sin กับ cos) จึงจะหาคําตอบต่อได้ และต้องตรวจ
คําตอบเสมอ เพราะมีการยกกําลังสองเกิดขึ้นอาจทําให้ได้คําตอบเกิน

• ตัวอยาง ใหหาเซตคําตอบของสมการ tan θ sin θ + tan θ = 0 ในชวง 0 < θ < 2π


sin θ sin θ
วิธีคิด แปลงเปน sin กับ cos ไดดังนี้ ... cos θ
⋅ sin θ +
cos θ
= 0
2
นํา cos θ คูณทั้งสองขางของสมการ ไดเปน sin θ + sin θ = 0
แยกตัวประกอบ ... (sin θ)(sin θ + 1) = 0 ... จะได sin θ = 0, − 1
แตเนื่องจากในโจทยมีฟงกชัน tan (คือมี cos เปนตัวสวน) ดังนั้น sin θ = −1 ไมได เพราะจะทําให
cos θ = 0 ... สรุปวา sin θ = 0 เทานั้น และไดเซตคําตอบเปน {0, π, 2π}

หมายเหตุ ในขัน้ ตอนการแยกตัวประกอบ อาจสมมติให sin θ = A เพือ่ ชวยใหมองงายขึ้น

• ตัวอยาง กําหนดให 2 cosec x − 2 sin x = 2 cot x จะได cos x มีคาเทาใด


วิธีคิด แปลงเปน sin กับ cos ไดดังนี้ ... sin2 x − 2 sin x = 2 cos
sin x
x

2
นํา sin x คูณทั้งสองขางของสมการ ไดเปน 2 − 2 sin x = 2 cos x ________ (1)
2 2
เนื่องจากมีทั้ง sin และ cos เราจึงอาศัยเอกลักษณ sin x + cos x = 1 ______ (2)
2 2
โดยแทนคา sin x = 1 − cos x ลงไปในสมการแรก
2 2
กลายเปน 2 − 2(1 − cos x) = 2 cos x → 2 cos x − 2 cos x = 0
แยกตัวประกอบ ... ( 2 cos x) ( 2 cos x − 1) = 0 ... นัน่ คือ cos x = 0, 1/ 2
หมายเหตุ เนื่องจากในโจทยมีตวั สวนเปน sin x แตในคําตอบไมมีคาใดที่ทําให sin x = 0
ดังนั้นจึงตรวจสอบคําตอบ (เนื่องจากมีการยกกําลังสองเอง) พบวาใชไดทั้งสองคําตอบ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 163 ฟงกชันตรีโกณมิติ

S ¡ÒÃ桌ÊÁ¡ÒõÃÕo¡³ÁiµiÁÕ¢Œo¤ÇÃÃaÇa§´a§¹Õé
1. ¡Ò÷ÃÒº¤‹Ò¿˜§¡ªa¹¤‹Ò˹Öè§ eª‹¹ ·ÃÒºÇ‹Ò sin θ = 1/2 ¨aÂa§äÁ‹ÊÒÁÒöÊÃu»ä´Œ·a¹·ÕÇ‹Ò θ oÂًµÒí æ˹‹§ã´ e¾ÃÒa¨aÁÕ
Êo§¤íÒµoºoÂً㹤¹Åa¤Ço´Ãa¹µeÊÁo (eª‹¹ã¹¡Ã³Õ¹éÕ θ oÒ¨e»š¹µíÒæ˹‹§ 30° ËÃ×o 150° ) ´a§¹aé¹eÃÒµŒo§·ÃÒº
e¾ièÁeµiÁ´ŒÇÂÇ‹Ò ¤‹Ò θ ¹ÕéoÂً㹤Ço´Ãa¹µã´
o´Â»¡µieÃÒÊÒÁÒö·ÃÒº¤Ço´Ãa¹µä´Œ¨Ò¡e¤Ã×èo§ËÁÒ¢o§¤‹Ò¿˜§¡ªa¹o×è¹ eª‹¹¶ŒÒ·ÃÒºe¾ièÁÇ‹Ò cos θ > 0 ¡ç
æÊ´§Ç‹Òe»š¹¤Ço´Ãa¹µ 1 ¤×o 30° 测¶ŒÒ·ÃÒºÇ‹Ò cos θ < 0 ¡çµŒo§e»š¹
¤Ço´Ãa¹µ 2 ¤×o 150°

æ¼¹ÀÒ¾µ‹o仹Õée»š¹¡ÒÃÊÃu»e¤Ã×èo§ËÁÒ e¾×èo¤ÇÒÁÊa´Ç¡ã¹¡ÒÃËÒ¤íÒµoº

Q1 e»š¹ºÇ¡·a§é 6 ¤‹Ò
sin + ALL + Q2 ÁÕe©¾Òa sin æÅa cosec ·Õèe»š¹ºÇ¡
Q3 ÁÕe©¾Òa tan æÅa cot ·Õèe»š¹ºÇ¡
tan + cos +
Q4 ÁÕe©¾Òa cos æÅa sec ·Õèe»š¹ºÇ¡

2. ÊÁÁµiNjҵŒo§¡Òä‹Ò θ 㹪‹Ç§ 0 < θ < 2π 测ÊÁ¡Ò÷Õè䴌¹aé¹e»š¹¤‹Ò 2θ (eª‹¹ sin 2θ = 1/ 2 ) ¨aµŒo§¢ÂÒÂ


ª‹Ç§¤íÒµoºe»š¹ 0 < 2θ < 4π (æŌǨ֧¹íÒ¤íÒµoº 2θ ·Õäè ´Œ·u¡¤íÒµoºËÒôŒÇÂÊo§) ËÒ¡äÁ‹¢ÂÒª‹Ç§ ¨a¡ÅÒÂe»š¹
0 < 2θ < 2π ¤íÒµoº·Õè䴌¨aäÁ‹¤Ãº

3. ¤íÒµoººÒ§¤íÒµoº (o´Âe©¾Òa·ÕèoÂÙº‹ ¹æ¡¹ x ËÃ×o桹 y ) oҨ㪌äÁ‹ä´Œ 㹡óշèÊÕ Á¡ÒÃÁÕ¤íÒÇ‹Ò tan , cosec ,


sec , cot e¾ÃÒa¤‹ÒeËŋҹÕéÁÒ¨Ò¡¡ÒÃËÒáa¹¢o§ sin, cos µŒo§µÃǨÊoº´ŒÇÂNjÒÁÕ¤íÒµoºã´ËÒ¤‹ÒeËŋҹÕéäÁ‹ä´Œ (¤×o µaÇ
ʋǹe»š¹ 0 ) ËÃ×oäÁ‹

4. ¶ŒÒo¨·ÂäÁ‹ä´ŒÃaºuª‹Ç§¢o§¤íÒµoº ãˌµoºã¹ÃÙ»·aèÇ仫Ö觡ÒÃËÁu¹¢o§ θ e»š¹¡ÕèÃoº¡ç䴌


eª‹¹ ¶ŒÒ㹪‹Ç§ [0, 2π] (¡ÒÃËÁu¹Ãoºæá) ÁÕ¤Òí µoº 1 ¨u´ ¤×o π/4 ãˌµoºÇ‹Ò π/4 ± 2nπ
ËÁÒÂe˵u ËÒ¡ÁÕ¤íÒµoºËÅÒ¨u´ã¹¡ÒÃËÁu¹Ãoºæá oҨŴÃٻŧeËÅ×o»Ãao¤e´ÕÂÇ䴌
eª‹¹ ¶ŒÒ¤íÒµoºe»š¹ π/3, 2π/3 ¡çoÒ¨µoºÃÙ»·aèÇä»o´ÂÂÖ´¨u´¡Ö觡ÅÒ§ Ç‹Ò π/2 ± π/6 ± 2nπ

แบบฝึกหัด 7.3
(24) เมื่อ cos θ = 4/5 และ 0 < θ < π/2 แล้ว ให้หาค่าของ 5 tan θ + 4 sec 2θ

(25) เมื่อ sin θ = −3/5 และ tan θ > 0 ให้หาค่าของ tan θ − cos θ

(26) เมื่อ tan θ = 15/8 และ π < θ < 3π /2 ให้หาค่าของ sin θ + cos θ

(27) เมื่อ sin x = 5/13 และ cos x < 0 ให้หาค่าของ sin (x − π) + cos (x − π)

sin θ − cos θ
(28) กําหนดให้ sec θ = 5/3 และ 0 < θ < π แล้ว ให้หาค่าของ
tan θ − csc θ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 164 ฟงกชันตรีโกณมิติ

(29) [Ent’ต.ค.43, ต้องใช้ความรู้เรื่องเมตริกซ์ด้วย]


⎛ ⎡cosec x sec x ⎤ ⎞
ถ้า sin x = 3/5 และ tan x = −3/4 แล้ว จงหาค่าของ det ⎜ 2 ⎢
1 cos x ⎥⎦ ⎟⎠
⎝ ⎣

(30) ตอบคําถามต่อไปนี้ เมื่อ 0 < θ < 2π


(30.1) ให้หาค่า θ ที่ทําให้ cos θ = 3 /2
(30.2) ให้หาค่า θ ที่ทําให้ cos 2θ = 3/2

(31) เมื่อ tan x + sec x = 2 ให้หาค่าของ cos x

(32) เมื่อ cosec θ + cot θ = 5/3 แล้ว ให้หาค่าของ sin θ

(33) เมื่อ 2 sin x = sec x ให้หาค่าของ sin 4 x + cos 4 x

sin 2 x cos 2 x
(34) เมื่อ 2 sin x = sec x ให้หาค่าของ 1− −
1 + cot x 1 + tan x

(35) เมื่อ sin θ + cos θ = 1/5 และ 0 < θ < π ให้หาค่าของ tan θ

(36) เมื่อ 2 tan 2θ − sec θ = 1 และ 0 < θ < π/2 แล้ว ให้หาค่าของ sec θ

(37) เมื่อ 4 sin 2x + 11 cos x − 1 = 0 และ π < x < 2π ให้หาค่าของ


sin (−x) + cos (−x) + tan (−x)

(38) [Ent’36] กําหนดให้ 4 sin 2θ + 11 cos θ − 1 = 0 แล้ว cot 2(θ+ π/2) + sec (θ− 3π) มีค่าเท่าใด
(39) ให้หาค่า x จากสมการ cos 22x + 3 sin 2x − 3 = 0

(40) [Ent’38] ให้หาเซตคําตอบของอสมการ 2 sin 4x + 3 sin 2x − 2 > 0 โดยที่ 0 < x < 2π

(41) [Ent’25] ค่าของ 0 < θ < 2π ที่ทําให้ sin θ + cos θ < 0 จะอยู่ในช่วงใด
⎡ 2 sin x 2 sin2x ⎤
(42) [Ent’35] สําหรับจํานวนจริง x ใดๆ ให้ Ax เป็นเมตริกซ์ซึ่ง Ax = ⎢ 2 ⎥
⎣⎢ 2 cos x cos x ⎦⎥
ถามว่า S = {x | −2π < x < 2π และ Ax เป็นซิงกูลาร์เมตริกซ์ } มีจํานวนสมาชิกกี่ตัว
(43) จงหาผลบวกคําตอบทั้งหมดของสมการ x3 − 9x2 + 23x − 15 = 0 เมื่อเอกภพสัมพัทธ์
U = { x ∈ A | cos (−x) > − cos x } และ A = [0, 2π]

(44) [Ent’39] กําหนดให้ f (x) = cos 2x + cos x แล้ว ข้อใดต่อไปนี้ถูก


ก. ถ้า 0 < x < π แล้ว f (x) = 2 cos x
ข. ถ้า π < x < 2π แล้ว f (x) = 2 cos x
ค. ถ้า π/2 < x < 3π/2 แล้ว f (x) = 0
ง. ถ้า 3π/2 < x < 2π แล้ว f (x) = 0

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 165 ฟงกชันตรีโกณมิติ

7.4 กราฟของฟังก์ชันตรีโกณมิติ
• การศึกษาเรื่องกราฟของฟังก์ชันตรีโกณมิติ โดยเฉพาะฟังก์ชัน sin และ cos จะเป็นประโยชน์ใน
การศึกษาเรื่องอื่นๆ ได้ เช่น คลื่น, เสียง, การเคลื่อนที่แบบเป็นคาบ (การแกว่ง), ไฟฟ้ากระแสสลับ
y = sin x

1 Dsin = R
Rsin = [−1, 1]
x คาบ = 2π
O π 2π
แอมพลิจูด = 1
-1

y = cos x
Dcos = R
1
Rcos = [−1, 1]
x คาบ = 2π
O π 2π
แอมพลิจูด = 1
-1

y = tan x

1
Dtan = R − {π /2 ± nπ}
x
O π 2π Rtan = R
-1 คาบ = π

y = cosec x

1
Dcosec = R − {±nπ}
x Rcosec = R − (−1, 1)
O π 2π คาบ = 2π
-1

y = sec x

1
Dsec = R − {π /2 ± nπ}
x Rsec = R − (−1, 1)
O π 2π
คาบ = 2π
-1

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 166 ฟงกชันตรีโกณมิติ

y = cot x

1 Dcot = R − {±nπ}
Rcot = R
x คาบ = π
O π 2π
-1

แบบฝึกหัด 7.4
(45) ให้ A = (−π /2, 0) ∪ (0, π /2) ฟังก์ชันใดต่อไปนี้เป็นฟังก์ชันลด บนเซต A
ก. sin x ข. cos x ค. cosec x ง. sec x
(46) กราฟของ y = sin x และ y = cos x เมื่อ 0 < x < 2π ตัดกันกี่จุด และจุดใดบ้าง

7.5 ฟังก์ชันตรีโกณมิติของผลบวก และผลต่างมุม


โดยทั่วไปการคํานวณค่าตรีโกณมิติอาจเกี่ยวข้องกับมุมที่เกิดจากการบวกกัน หรือลบกัน
ดังนั้นในหัวข้อนี้จะเป็นการสรุปสูตรที่สําคัญ เพื่อนําไปใช้ประโยชน์

สูตรชุดที่หนึ่ง .. สูตรเบื้องต้น
เราสามารถพิสูจน์สูตรหลัก คือ cos (α−β) = cos α cos β + sin α sin β ก่อน
(วิธีพิสูจน์ไม่ได้แสดงไว้ในที่นี้) และจากนั้นถ้าแทน β ด้วย −β จะได้สูตร cos (α+β)
รวมทั้งได้สูตร sin (α+β) กับ sin (α−β) จาก sin (α+β) = cos (90° − (α+β))
(1) cos (α+β) = cos α cos β − sin α sin β
⎧tan (α+β) = tan α + tan β
(2) cos (α−β) = cos α cos β + sin α sin β ⎪⎪ 1 − tan α tan β

(3) sin (α+β) = sin α cos β + cos α sin β ⎪tan (α−β) = tan α − tan β
(4) sin (α−β) = sin α cos β − cos α sin β ⎪⎩ 1 + tan α tan β

สูตรชุดที่สอง .. สูตรผลคูณ
เกิดจากสมการที่ (1) บวกลบกับ (2) … และสมการที่ (3) บวกลบกับ (4)
(5) 2 cos α cos β = cos (α+β) + cos (α−β) ... จาก (1)+(2)
(6) −2 sin α sin β = cos (α+β) − cos (α−β) ... จาก (1)-(2)
(7) 2 sin α cos β = sin (α+β) + sin (α−β) ... จาก (3)+(4)
(8) 2 cos α sin β = sin (α+β) − sin (α−β) ... จาก (3)-(4)

สูตรชุดที่สาม .. สูตรผลบวก และผลลบ


มีที่มาเดียวกับสูตรชุดที่สอง ... แต่กําหนดให้ A = α + β และ B = α −β

(9) cos A + cos B = 2 cos (A + B) cos (A − B) ... จาก (5)


2 2
A +B A −B
(10) cos A − cos B = −2 sin ( ) sin ( ) ... จาก (6)
2 2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 167 ฟงกชันตรีโกณมิติ

A +B A −B
(11) sin A + sin B = 2 sin ( ) cos ( ) ... จาก (7)
2 2
A +B A −B
(12) sin A − sin B = 2 cos ( ) sin ( ) ... จาก (8)
2 2

สูตรชุดที่สี่ .. สูตรมุมสองเท่า และมุมครึ่ง


สูตรสําหรับมุมสองเท่าได้จากสมการชุดที่หนึ่งเช่นกัน คือใช้มุมเป็น α + α = 2α
sin (2α) = 2 sin α cos α
cos (2α) = cos2α − sin2α หรือ cos (2α) = 1 − 2 sin2α = 2 cos2α − 1
2 tan α
tan (2α) =
1 − tan2α
สูตรสําหรับมุมครึ่ง ได้จากการย้ายข้างสมการ cos (2α) = 1 − 2 sin2α = 2 cos2α − 1
โดยมองว่า α กลายเป็น α /2 และ 2α กลายเป็น α
sin (α /2) = ± (1− cos α)/2
cos (α /2) = ± (1+ cos α)/2
และ tan (α /2) = ± (1− cos α)/(1+ cos α)

นอกจากนี้ยังสามารถพิสูจน์สูตรมุมใดๆ ต่อไปอีก โดยอาศัยหลักการเดียวกันกับสี่ชุดข้างต้น


เช่น อาจหาสูตรมุมสามเท่า sin(3α), cos (3α), tan(3α) หรือใช้สูตรชุดที่หนึ่งช่วยในการลดรูปขนาด
ของมุม θ ± nπ , θ ± nπ/2 เป็นต้น

แบบฝึกหัด 7.5
(47) ให้หาค่าของ sin (75°) , cos (5π /12) , และ tan (π /12)

(48) กําหนด cot A = 2.4 โดย A ∈ (π, 3π/2) และ sin B = 0.6 โดย B ∈ (π /2, π)
(48.1) cos (A +B) และ sin (A +B) มีค่าเท่าใด
(48.2) มุม A +B อยู่ในควอดรันต์ใด
(49) จงหา cos A เมื่อ sin (A +B) = 1/5 , cos (A −B) = 2/5 และ sin B = 3/5

(50) จงหา cos B เมื่อ A + B = 5π /4 และ tan A = 1 โดยที่ 0 < B < π


(51) ให้หาค่าของ
(51.1) 2 cos 75° cos 15°
(51.2) 2 sin 25° cos 5° − sin 20°
(51.3) 4 sin 75° cos 15° + 4 cos 15° cos 165°
(51.4) sin 108° cos 42° + sin 42° cos 108°
(51.5) cos 68° cos 78° + cos 22° cos 12° − cos 10°
(51.6) 2 cos 35° cos 70° − cos 35° + cos 15°
(52) ให้หาค่าของ
(52.1) 2 cos 3θ sin 2θ − 2 cos 4θ sin θ − 2 cos 2θ sin θ
(52.2) sin 3θ sin 6θ + sin θ sin 2θ − sin 4θ sin 5θ
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 168 ฟงกชันตรีโกณมิติ

(53) ให้หาค่าของ
(53.1) sin 2A + sin 2(60°+ A) + sin 2(60°− A)
(53.2) [Ent’20] cos 2A + cos 2(60°+ A) + cos 2(60°− A)
(54) ให้หาค่าของ
(54.1) cos 10° + sin 40°
sin 70°
sin 75° − sin 15°
(54.2)
cos 75° + cos 15°
tan 178° − tan 108°
(54.3) เมื่อ tan 10° = B
1 + tan 178° tan 108°
⎛ cot A ⎞ ⎛ cot B ⎞
(54.4) ⎜⎜ ⎟⎟ ⎜⎜ ⎟⎟ เมื่อ A +B = 225°
⎝ 1+ cot A ⎠ ⎝ 1+ cot B ⎠
sin 3θ cos 3θ
(54.5) −
sin θ cos θ

(55) ให้หาค่าของ
(55.1) sin 50° + sin 10° − cos 20°
(55.2) sin 10° + cos 40° − cos 20°
(55.3) cos 20° + cos 100° + cos 140°
(55.4) cos 10° + cos 20° + cos 40° + cos 50°
sin 10° + sin 20° + sin 40° + sin 50°

(56) ให้หาค่าของ sin 40° + sin 20° ในรูปของ sin 5°

(57) ให้หาค่าของ
(57.1) cos π cos 3π [Hint: นํา 2 sin
π คูณเศษและส่วน]
5 5 5
(57.2) cos π + cos

5 5
(57.3) π
cos cos

cos

7 7 7
5π π
(57.4) sin cos
24 24
(57.5) [Ent’33] 8 sin 70° sin 50° sin 10°

(58) ให้หาค่าของ tan 9° − tan 27° − tan 63° + tan 81°

(59) กําหนด 4 sin 2A + 3 cos 2B = −2 และ sin 2A sec A = sin B เมื่อ A, B ∈ [0, π /2] ให้หา
ค่าของ 2 cos (A +B)
(60) [Ent’38] ถ้า 3 cos 2A − 2 cos 2B = −3 และ sin A − 2 sin B = 0 เมื่อ A, B ∈ [0, π /2]
แล้ว ให้หาค่าของ sin (A +B)
(61) [Ent’37] กําหนด sin 3θ + sin θ = 1 − 4 sin3θ จงหาค่าของ sec 2θ + cos (3π /2 + θ)

3 − 4 3 3 + 4 3
(62) [Ent’38] ถ้า cos (α+β) = และ cos (α−β) = แล้ว
10 10
จงหาค่า sin 2α sin 2β

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 169 ฟงกชันตรีโกณมิติ

sin 2x
(63) ถ้า tan x = 2 แล้ว จงหาค่า
1 + cos 2x

(64) จงหาค่า sin 4θ เมื่อ tan θ = 1/3 และ 0 < θ < π/2
5 +1
(65) ถ้า cos A = จงหา sin(A +B) − sin(A −B) + sin(2A −B) − sin(2A +B)
4

(66) ข้อใดต่อไปนี้ผิด
ก. cos (x + y) + cos (x − y) = 2 cos x cos y
ข. sin(x + y) sin(x − y) = sin2x − sin2y
ค. cos (x + y) cos (x − y) = cos 2x − sin 2y
ง. cos 5x cos x + sin 5x sin x = cos 6x

7.6 ฟังก์ชันผกผันของตรีโกณมิติ
ฟังก์ชันตรีโกณมิติทั้งหกฟังก์ชนั (เช่น y = sin x ) สามารถหาอินเวอร์สได้โดยสลับที่
ระหว่างโดเมนและเรนจ์ตามปกติ (กลายเป็น x = sin y ) แต่อินเวอร์สที่ได้เหล่านี้ไม่เป็นฟังก์ชันเลย
เนื่องจาก x ค่าเดียว ให้ค่า y ได้หลายค่าไม่สิ้นสุด ดังนั้นหากจะกําหนดอินเวอร์สให้เป็นฟังก์ชันด้วย
เราจําเป็นต้องจํากัดช่วงของเรนจ์ และเราเรียกชื่อฟังก์ชันผกผันเหล่านี้โดยใช้คําว่า arc นําหน้า (เช่น
อินเวอร์สของ y = sin x คือ y = arcsin x ) หรือบางตําราใช้สัญลักษณ์ sin-1 x , cos-1 x , tan-1 x ,
… แทนคําว่า arc–

ความหมายของ x = sin y ต่างจาก y = arcsin x เพราะเรนจ์ไม่เท่ากัน


y y = arcsin x

π
π/2
-1 1 -1 1
O x = sin y O x
−π/2
−π

ช่วงของเรนจ์ที่ใช้กันเป็นมาตรฐานสําหรับฟังก์ชัน arcsin, arccos, arctan จะแสดงไว้ใน


กราฟต่อไปนี้ โดยมีวงกลมหนึ่งหน่วยกํากับเพื่อช่วยในการจํา ส่วนฟังก์ชัน arccosec, arcsec,
arccot จะไม่กล่าวถึงเนื่องจากไม่นิยมใช้

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 170 ฟงกชันตรีโกณมิติ
y = arcsin x y = arccos x y = arctan x
π
π/2
π/2
-1 1 -1 1 -1 1
O x O x O x
−π/2
−π/2
Darcsin = [−1, 1] Darccos = [−1, 1] Darctan = R
Rarcsin = [−π /2, π /2] Rarccos = [0, π] Rarctan = (−π /2, π /2)

1 0 = cos ∞
π/2 π/2
0 = sin -1 1 0 = tan
π 0
−π/2 −π/2 −∞
-1
ข้อสังเกต
ฟังก์ชัน arcsin (กับ arctan) จะอยู่ในช่วงที่ cos เป็นบวกเสมอ
ส่วนฟังก์ชัน arccos จะอยู่ในช่วงที่ sin เป็นบวกเสมอ

ความสัมพันธ์ที่มีประโยชน์ในเรื่องฟังก์ชันตรีโกณมิติผกผัน คือ
x + y
arctan x + arctan y = arctan
1 − xy
ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้จากการใส่ฟังก์ชัน tan ทั้งสองข้างของสมการ
โดยความสัมพันธ์นี้ใช้ได้เมื่อ arctan x + arctan y ยังอยู่ในช่วง (−π/2, π/2)

แบบฝึกหัด 7.6
(67) ให้หาค่าของ arcsin ( 3 /2) และ arccos (−1/2)

(68) ค่าของ 2 arcsin (− 3 /2) + arccos (1/ 2) + arccos (−1) เป็นเท่าใด


2π 2π
(69) ให้หาค่าของ cos (arcsin (cos )+ )
7 7

(70) ให้หาค่าของ
(70.1) cos (arccos (4/5) + arccos (12/13))
(70.2) sin (arccos (3/5) + arcsin (−4/5))
(70.3) cos (2 arcsin (3/5))
(70.4) [Ent’39] tan (2 arcsin (−1/ 5))
(71) ให้หาค่าของ sin(
π + 2 arctan( 2 − 1))
2
และ cos (3π /2 − 2 arctan x)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 171 ฟงกชันตรีโกณมิติ

(72) ให้หาค่าของ A+2B เมื่อกําหนด tan A = 1/7 และ sin B = 1/ 10 โดยที่


0 < A, B < π /2
(73) จงหาค่า 7 tan(π /4 + A) เมื่อกําหนดให้ sin A = 1/3 และ π/2 < A < π
(74) กําหนดให้ tan A = 1/2 , tan B = 1/5 , tan C = 1/8 จงหาขนาด A +B + C ที่เป็นมุม
แหลม
(75) ให้แสดงว่า arccos (12/13) + arcsin (16/65) = arcsin (3/5)

(76) ให้หาค่า x จากสมการต่อไปนี้


S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S
(76.1) arccos (4/5) − arcsin (−3/5) = arccos x
(76.2) arctan (x2/3 − x) = arcsin (7/25) + arccos (4/5) ¡ÒÃ桌ÊÁ¡Ò÷ÕèÁÕ arc- eÁ×èo䴌
¤íÒµoº («Öè§e»š¹¤‹ÒÁuÁ) oo¡ÁÒ
(76.3) arctan(1/7) + arctan(1/8) + arctan(1/18) = arccot x
æÅŒÇ ¨aµŒo§µÃǨ¤íÒµoºeÊÁo
(76.4) arctan (2x + 1) + arctan (2x −1) = arccos (1/ 5) e¾ÃÒaÁuÁ·Õè䴌¹oéÕ Ò¨äÁ‹oÂً㹪‹Ç§
(76.5) arctan x + 2 arctan 1 = 3π/4 Áҵðҹ¢o§ arc- ËÃ×oÁuÁ·Õè
(76.6) [Ent’38] arctan (1+ x) + arctan (1− x) = π/4 䴌¹éoÕ Ò¨·íÒãˌÊÁ¡ÒÃe»š¹e·ç¨..
(76.7) arccos (−1/2) + (π/2) = arcsin x
⎛ arctan 3x + arctan x ⎞
(77) หาค่าของ tan ⎜ ⎟ เมื่อ arctan 3x − arctan x = π/6
⎝ 2 ⎠

(78) ถ้า 4 cos2(arctan x) − 1 = 0 และ e 1/ x < 1 จงหา x + tan(arctan(x/2))

7.7 เอกลักษณ์ตรีโกณมิติ
สมการใดๆ ที่มีฟังก์ชันตรีโกณมิติปรากฏอยู่ จะเรียกว่า สมการตรีโกณมิติ การแก้สมการ
ตรีโกณมิตินั้นมีข้อควรระวัง ซึ่งได้กล่าวไปแล้วทั้งหมดในหัวข้อ 7.3 และหากสมการตรีโกณมิตินั้น
เป็นจริงเสมอสําหรับทุกๆ ค่า (ที่หาค่าฟังก์ชันได้) จะเรียกว่าเป็น เอกลักษณ์ของตรีโกณมิติ

เอกลักษณ์ของตรีโกณมิติที่สําคัญมีหลายชุด ได้ศึกษาผ่านมาตั้งแต่ต้นบทจนถึงหัวข้อนี้ เช่น


sin θ + cos 2 θ = 1 , sin θ = cos (90°−θ) , sin (−θ) = − sin θ , cos (θ± π) = − cos θ ,
2

cos (α+β) = cos α cos β − sin α sin β , 2 cos α cos β = cos (α+β) + cos (α−β) ,
sin (2α) = 2 sin α cos α ฯลฯ
ซึ่งนอกจากนี้ยังมีเอกลักษณ์อีกมากมาย ดังจะได้ฝึกพิสูจน์เอกลักษณ์ในแบบฝึกหัดต่อไปนี้

แบบฝึกหัด 7.7
(79) ให้หาคําตอบของสมการต่อไปนี้ ภายในช่วงที่กําหนดให้
1 1
(79.1) − = 4 0 < x < 2π
sin x + 1 sin x − 1
(79.2) sin 4θ + sin 2θ = 2 cos θ 0 < θ < 2π
(79.3) 2 sin 2θ + 3 cot 2θ − 3 cosec 2θ = 0 0 < θ < π/2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 172 ฟงกชันตรีโกณมิติ

(79.4) [Ent’31] cos4x − sin4x = 1 0 < x < 2π


(79.5) [Ent’29] 4 sin2 x − 6 tan x + 2 sec2 x = 0 0 < x < π/2
(79.6) 4 sin x cos x + 2 2 cos x + 2 sin x + 2 = 0 0 < x < 2π
(79.7) sin x + 3 cos x = sec (x + π) 0 < x < 2π
3
(79.8) [Ent’34] 2 sin2x + 1 = − sin x + 2 2 sin2x + sin x 0 < x < 2π
(79.9) [Ent’30] sin x − sin 2x + sin 3x = 0 0 < x < 2π

(80) ให้หาช่วงคําตอบของอสมการต่อไปนี้
(80.1) [Ent’38] 2 sin4x + 3 sin2x − 2 > 0 0 < x < 2π
(80.2) 3 sin x + cos x < 1 0 < x < 2π

(81) [Ent’32] ให้หาคําตอบรูปทั่วไปของสมการ cos 2θ = sin θ

(82) จงแสดงว่าเอกลักษณ์ต่อไปนี้เป็นจริง
(82.1) tan (90° − A) = cot A
(82.2) 1 − cos x = tan2 x
1 + cos x 2
sin x + sin y x + y
(82.3) = tan
cos x + cos y 2
(82.4) tan2x − sin2x = tan2x sin2x
2
⎛ A A⎞
(82.5) ⎜ cos − sin ⎟ = 1 − sin A
⎝ 2 2⎠

sin A + sin B C
(83) ถ้า A, B, C เป็นมุมในรูปสามเหลี่ยม จงแสดงว่า = cot
cos A + cos B 2

7.8 กฎของไซน์และกฎของโคไซน์
กฎของไซน์ และกฎของโคไซน์ เป็นความสัมพันธ์ที่ใช้กับรูปสามเหลี่ยมใดๆ ที่ทราบบาง
ส่วนประกอบ (ความยาวด้าน และขนาดมุม) เพื่อหาค่าของส่วนประกอบที่เหลือ มีประโยชน์กับ
การศึกษาเรขาคณิตวิเคราะห์ และเวกเตอร์
1. กฎของไซน์ (Law of Sine)
B “อัตราส่วนของค่าไซน์ของมุมๆ หนึ่ง ต่อความยาวด้าน
ตรงข้าม จะเท่ากันทั้งสามมุม”
c sin A sin B sin C
a = =
a b c
โดยกฎของไซน์นี้พิสูจน์มาจาก พื้นที่สามเหลี่ยม
A ( 1 bc sin A = 1 ca sin B = 1 ab sin C )
b 2 2 2
C
2. กฎของโคไซน์ (Law of Cosine)
“เราสามารถหาความยาวด้านที่เหลือ ได้จากความยาวด้านสองด้านและขนาดมุมตรงกลาง”
a 2 = b 2+ c 2− 2bc cos A
(ถ้ามุมตรงกลางนั้นเป็น A = 90° กฎนี้จะกลายเป็นทฤษฎีบทปีทาโกรัส)
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 173 ฟงกชันตรีโกณมิติ

แบบฝึกหัด 7.8
(84) กําหนดสามเหลี่ยม ABC มีด้าน a ยาว 10 หน่วย, b ยาว 10 3 หน่วย และ c ยาว 10
หน่วย ให้หาขนาดมุมทั้งสาม
(85) ΔABC มีด้าน a = 2 5, b = 4 5 และ c = 3 5 ให้หาค่า sin (B/2)

(86) สามเหลี่ยมรูปหนึ่งมีอัตราส่วนความยาวด้านทั้งสามเป็น a:b :c = 4:5:6 ให้แสดงว่า


สามเหลี่ยมรูปนี้มีมุมหนึ่งขนาดเป็นสองเท่าของอีกมุมหนึ่ง
(87) ΔABC มีมุม B = 65° , ด้าน a = 4, c = 8 ให้หาความยาวด้าน b (กําหนด
cos 65° = 0.422 )

(88) ΔABC มีด้าน c = 15 , a = 12 และ A = 27° , sin A = 0.454 จงหามุม C


(89) ΔABC มีมุม A ขนาด 45° และ a = 2 2, b = 2 3 จงหาขนาดของมุมที่เหลือ
(90) ΔABC มีมุม B = 30° และด้าน c = 150 , b = 50 3 ให้พิจารณาว่าสามเหลี่ยมนี้เป็น
สามเหลี่ยมชนิดใด
(91) ΔABC มีมุม A = 20° , B = 47° และด้าน b = 12 หน่วย ให้หาความยาวด้าน a (กําหนด
sin 20° = 0.342, sin 47° = 0.731 )

(92) สามเหลี่ยม ABC มีค่า (a + b + c)(b + c − a) = 3bc จงหาขนาดของมุม A


(93) [Ent’38] สามเหลี่ยม ABC มีค่า (a + b + c)(a − b − c) = −3bc และ 4a2 = 6b2 จงหาค่า
2
1 + 2 sin (3A −2B)

(94) [Ent’25] ถ้าความยาวด้านของรูปสามเหลี่ยมเป็น x, y, x2+ xy + y2 ตามลําดับ ให้บอก


ลักษณะของสามเหลี่ยมนี้
(95) เครื่องบินขับไล่สองลําบินในแนวราบ ออกจากฐานทัพพร้อมกัน โดยทิศทางการวิ่งทํามุมกัน
38° ถ้าเครื่องบินมีความเร็ว 320 และ 380 ไมล์ต่อชั่วโมง ตามลําดับ จงหาระยะทางระหว่าง
เครื่องบินสองลํานี้เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ( cos 38° = 0.788 )

7.9 การประยุกต์หาระยะทางและความสูง
ในชีวิตจริงการวัดระยะทางหรือความสูงของสิ่งต่างๆ ไม่สามารถใช้เครื่องมือวัดโดยตรงได้
เสมอไป เราจึงใช้ความรู้เรื่องตรีโกณมิติในรูปสามเหลี่ยมมุมฉากช่วยในการคํานวณ
ศัพท์ที่ใช้เรียกมุมที่เกิดจากการสังเกตนั้น คือ มุมก้ม (Angle of Depression) และ มุม
เงย (Angle of Elevation) โดยมุมก้มคือมุมที่วัดลงไปจากแนวราบ (ระดับสายตา) ส่วนมุมเงยคือ
มุมที่วัดขึ้นจากแนวราบ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 174 ฟงกชันตรีโกณมิติ

แบบฝึกหัด 7.9
(96) ชายคนหนึ่งอยู่ริมเขื่อนซึ่งสูงเหนือระดับน้ําทะเล 300 เมตร มองเห็นเรือ A กับ B อยู่ใน
ระนาบเดียวกัน เป็นมุมก้ม 33° และ 20° ตามลําดับ เรือสองลํานี้อยู่ห่างกันเท่าใด
(กําหนด sin 33° = 0.5446, cos 33° = 0.8387, sin 20° = 0.3430, cos 20° = 0.9397 )
(97) หากมองจากจุด A ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของตึก จะเห็นยอดตึกเป็นมุมเงย 45° แต่หากมองจากจุด
B ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของจุด A อีก 40 เมตร จะเห็นยอดตึกเป็นมุมเงย 30° แสดงว่าความสูง
ของตึกเป็นกี่เมตร
* (98) สามเหลี่ยมมุมฉาก PQR และ PQS ซ้อนทับกันโดยมีมุม Q เป็นมุมฉากร่วมกัน และ
QR : RS = 1 : 3 ให้หาค่า tan SPQˆ ˆ = arctan 0.6
เมื่อกําหนด SPR
[Hint: ใช้ความสัมพันธ์ arctan x ± arctan y ]

เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(1.1) 3 /2 (1.2) –2 (33) 1/2 (34) 1/2 (56) 1 − 2 sin 25°
(2.1) 7/5 (2.2) 7/5 หรือ –1 (35) –4/3 (36) 3/2 (57.1) –1/4 (57.2) 1/2
(3.1) 1 (3.2) 1/2 (4.1) 2 (37) −(1 + 3 15)/4 (38) 19 (57.3) –1/8
(4.2) 0 (5) (1−a )/2 2 (39) π /4 ± nπ (57.4) ( 2 + 1)/4
(6) ±2a/(1 − a 2) (7) 20/9 (40) [π/ 4, 3π/ 4] ∪ [5π / 4, 7π / 4] (57.5) 1 (58) 4 (59) –1
(8) 4/5, 3/5, 13.33, 10.67 (41) [3π/4, 7π/4] (42) 9 (60) 1 (61) 39/28
(9) 8 3 ตารางหน่วย (62) 12 3 /25 (63) 2
(43) 1+5=6 (44) ค. (45) ค. (64) 24/25 (65) sin B
(10) 46°58 ' (11.1) 16 ซม. (46) 2 จุด คือ
(11.2) 52π/3 ซม. (π/4, 1/ 2),(5π /4, −1/ 2)
(66) ง. (67) 60° , 120°
(12) 2 เรเดียน (13) 4 นิ้ว (68) 7π/12 (69) 0
(47) ( 3 + 1) / 2 2 ,
(14) 32/ π ซม. (70.1) 33/65 (70.2) 0
( 3 − 1) / 2 2 , ( 3 − 1) /( 3 + 1)
(15) −(3 3 + 1)/2 (16) 0 (70.3) 7/25 (70.4) –4/3
(48.1) 63/65, –16/65 (71) 1/ 2 , −2x/(1+ x 2)
(17.1) θ (48.2) Q4 (49) 5/7
(17.2) เพิ่มขึ้นจาก 1 ถึง ∞ (72) π/4 (73) 9−4 2
(50) ±1 (51.1) 1/2 (74) π/4 (75) ...
(18) เท็จทุกข้อ ยกเว้น (18.4) จริง (51.2) 1/2 (51.3) 0
(19.1) − sin θ (19.2) 2 (51.4) 1/2 (51.5) 0 (76.1) 7/25 (76.2) -1, 4
(20) 1/2 (21) 1 (51.6) 1/ 2 (52.1) 0 (76.3) 3 (76.4) 1/2
(22.1) เป็น 3 เมื่อ x = π/2, 3π/2 (52.2) 0 (53.1) 3/2 (76.5) 1 (76.6) ± 2
(22.2) เป็น –3 เมื่อ x = π (76.7) ไม่มีคาํ ตอบ (77) 1
(53.2) 3/2 (54.1) 3 (78) −3 3 /2
(23) {0, − 3 /2} (24) 10 (54.2) 1/ 3
(25) 31/20 (26) –23/17 (79.1) π/ 4, 3π/ 4, 5π/ 4, 7π/ 4
(54.3) ( 3 +B) /(1− 3B)
(27) 7/13 (28) 12/5 (79.2) π/6, π/2, 5π/6, 3π/2
(54.4) 1/2 (54.5) 2
(29) –1/3 (30.1) π/6, 11π/6 (55.1) 0 (55.2) 0 (79.3) π/6 (79.4) 0, π, 2π
(30.2) π/ 12, 11π/ 12, 13π / 12, 23π / 12 (55.3) 0 (55.4) 3 (79.5) π/4
(31) 4/5 (32) 15/17 (79.6) 2π/ 3, 5π/ 4, 4π/ 3, 7π/ 4

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 175 ฟงกชันตรีโกณมิติ

(79.7) 11π/12, 23π/12 (87) 7.28 (88) 34.6°, 145.4°


(79.8) π/6, 5π /6, 3π/2 (89) 75°, 60° หรือ 15°, 120°
(79.9) 0, π/3, π/2, π, 5π/3, 3π/2, 2π (90) สามเหลี่ยมมุมฉาก A = 90° หรือ
สามเหลีย่ มหน้าจั่ว A = 30°
(80.1) [π/4, 3π/4] ∪ [5π/4, 7π /4]
(91) 5.61 (92) 60° (93) 3
(80.2) (2π/3, 2π) (94) สามเหลี่ยมมีมุมหนึ่งเป็นมุมป้าน 120°
(81) π/6 ± 2nπ/3 (82,83) ... (95) 234.86 ไมล์ (96) 359.9 เมตร
(84) 30°, 120°, 30° (85) 5/8 (97) 20 2 (98) 1 หรือ 4
(86) C = 2A เนือ่ งจาก cos C = 2 cos2A − 1

เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
(1.1) sin 60° + sin 120° + sin 240° 1 1
(4.1) จาก +
3 3 3 3 1 + sin θ 1 + cosec2 θ
2

= + + (− )=
2 2 2 2 1 sin2 θ 1 + sin2 θ
= 2
+ 2
= = 1
(1.2) cos 480° − cos 360° + cos 120° 1 + sin θ sin θ + 1 1 + sin2 θ
= cos 120° − cos 0° + cos 120° 1 1
และเช่นเดียวกัน +
1 1 1 + cos2 θ 1 + sec2 θ
= (− ) − 1 + (− ) = −2
2 2 1 cos2 θ 1 + cos2 θ
y = 2
+ 2
= = 1
(2.1) 1 + cos θ cos θ + 1 1 + cos2 θ
(4,3) sin θ + cos θ ∴ ตอบ 2
5 4 3 7
4 = + = (4.2) ให้ A = sin2 x และ B = cos2 x
5 5 5
θ x จะได้วา่ A + B = 1
3 โจทย์ถาม 2(A3 + B3) − 3(A2 + B2) + 1
ลองกระจาย (A + B)3 = 13
(2.2) แก้ระบบสมการ หาจุดตัดของเส้นตรง
→ A3 + 3A2B + 3AB2 + B3 = 1
y = 2x − 1 กับวงกลม x2 + y2 = 1 จะได้เป็น
→ A3 + B3 = 1 − 3AB2 ..... (1)
x2 + (2x − 1)2 = 1 →
4 และกระจาย (A + B) = 1
2 2

5x2 − 4x = 0 → x = 0 หรือ →
5 → A + 2AB + B2 = 1
2

ถ้าx = 0 ได้ y = −1 y → A2 + B2 = 1 − 2AB ..... (2)


4
ถ้าx = ได้ y = 3 (4/5,3/5) แทนค่าสมการ (1),(2) ลงในโจทย์ จะได้
5 5
θ 2(1 − 3A2B − 3AB2) − 3(1 − 2AB) + 1
∴ sin θ + cos θ = −1 x
= −6A2B − 6AB2 + 6AB
หรือ 7/5
(0,-1) = (−6AB)(A + B − 1) = 0 (เพราะ A + B = 1)

(3.1) cos2 35° + sin2 35° = 1


(5) ยกกําลังสองทั้งสองข้าง
sin2 θ − 2 sin θ cos θ + cos2 θ = a2
sec2 70° − tan2 70° = 1
→ 1 − 2 sin θ cos θ = a2
และ −cosec2 47° + cot2 47° = −1
1 − a2
(เอกลักษณ์ของตรีโกณฯ) ∴ sin θ cos θ =
2
∴ ตอบ 1 + 1 − 1 = 1
1 1
(6) cosec θ − sec θ = −
(3.2) sec x2 = sec 2x = 1 ,
2 2
sin θ cos θ
2 + 2 tan x 2 sec x 2 cos θ − sin θ ±a 2a
= = = ±
cot2 x − cosec2 x = −1 และ sin θ cos θ 1 − a2 1 − a2
( )
cot2 x sin2 x + sin2 x = cos2 x + sin2 x = 1 2
ตอบ 1/2 − 1 + 1 = 1 / 2 1 − a2
หมายเหตุ sin θ cos θ = มาจากข้อที่แล้ว
2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 176 ฟงกชันตรีโกณมิติ

(7) sec C cot B cosec A B (15) 3 1 1 1


[
− (− ) − (− 3)] ÷ [ + (−1) + (− )]
5 4 20 2 2 2 2
= ( )( )(1) =
3 3 9 3 3 +1 3 3 +1
5 4 =( ) ÷ (−1) = −
* ค่า cosec A ดูจาก Δ ไม่ได้ 2 2
π π
เพราะ A = 90° ไม่ใช่มุมแหลม (16) f(2π) − f(0) = cos(− ) − cos( )
C 3 A 3 3
(8) จากปีทาโกรัส B π π
= cos − cos = 0
จะได้ AD = 6 3 3
8 BC 10 8 (17.1) θ > sin θ
tan A = =
6 10 เพราะ θ คือความยาวส่วนโค้งบนเส้นรอบวง
∴ BC = 13.33 A D C แต่ sin θ คือความยาวเส้นตรงบนแกน y
6 10
cos A = = ∴ AC = 16.67 (17.2) ค่า sin θ ลดลง จาก 1 ไปสู่ 0
10 AC
∴ ค่า cosec θ (ซึ่งเป็นส่วนกลับของ sin)
จะได้ CD = 10.67
8 4 6 3 จะเพิ่มขึ้น จาก 1 ถึง ∞
sin A = = , cos A = =
10 5 10 5 π/2 ≈ 1.57
(9) BC = 10 , พืน้ ที่ ΔABC = 10 3 (18.1) sin 1° < sin 1 sin 1 1
1 ∴ ตอบ เท็จ
∴ 10 3 = ⋅ 10 ⋅ AD → AD = 2 3
2 sin 1° 1°
ˆ = 120° → ABD
ABE ˆ = 60° →

AD 2 3 (18.2) tan 2 ติดลบ


tan 60° = 3 = = → π/2 ≈ 1.57
DB DB tan 1 เป็นบวก 2 1
DB = 2 ∴ CD = 8 และ ∴ tan 1 > tan 2
1 ข้อนี้ เท็จ
พื้นที่ ΔACD = ⋅8⋅2 3 = 8 3 ตร.หน่วย
2
(10) 0.7294 = cos 43°10’ x 1
0.0016
0.0020

0.7310 = cos .......... 10’ (18.3) sin(1 − π) = − sin 1

0.7314 = cos 43°0’ ∴ ข้อนี้ เท็จ

เทียบบัญญัติไตรยางศ์ (ประมาณค่าแบบเส้นตรง) 1-π


ได้ว่า 0.0016 = x → x = 8 ' (18.4) sin(−
π
) < 0 จริง (ควอดรันต์ที่ 4)
0.0020 10 ' 6
ดังนัน้ 0.7310 คือ cos 43°2 ' (โดยประมาณ) (18.5) sin(− 11π) < 0 เท็จ (ควอดรันต์ที่ 1)
และเท่ากับ sin θ ดังนั้น จากโค-ฟังก์ชัน 6
แสดงว่า θ = 90° − 43°2 ' = 46°58 ' (18.6) sin = sin 6π แต่ cos π = − cos 6π
π
7 7 7 7
(11.1) θ = a → 2 = a → a = 16 ซม. ∴ tan
π
= − tan

ข้อนี้ เท็จ
r 3 24
7 7
130° เป็นเรเดียน แล้วจึงคํานวณ
(11.2) ต้องทํา
π a 13π (19.1) (− sin θ)(− tan θ)(− cot θ) = − sin θ
→ 130( )= → a = ⋅ 24 (cot θ)(tan θ)
180 24 18
(19.2) (sin θ + cos θ)2 + (cos θ − sin θ)2
52π
= ซม. = (1 + 2 sin θ cos θ) + (1 − 2 sin θ cos θ) = 2
3
(12) θ = 8 = 2 เรเดียน (20) cos 300° + sin 90° + tan 135°
4 = 1/2 + 1 + (−1) = 1 / 2
20
(13) 5 = → r = 4 นิว้ (21) ข้อนี้ใช้วงกลมหนึ่งหน่วย ช่วยลดขนาดมุมลง
r
sin2(107°) + cos2(73°) sin2(37°)
π −
(14) 22.5° คิดเป็น เรเดียน 2
1 − sin (143°) cos2(37°)
8
π 4 32 sin2(73°) + cos2(73°) sin2(37°)
→ = → r = ซม. = 2

8 r π 1 − sin (37°) cos2(37°)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 177 ฟงกชันตรีโกณมิติ

1 sin2(37°) cos2(37°) (29) sin + , tan − → Q2


= − = = 1
cos2(37°) cos2(37°) cos2(37°) ⎛ ⎡csc x sec x ⎤ ⎞
(22.1) 2 − cos 2x มากสุดแสดงว่า cos 2x น้อย det ⎝⎜ 2 ⎣⎢ 1 cos x ⎥⎦ ⎠⎟
สุด → cos 2x = −1 (ต่าํ สุดของ cos ) = 22(csc x cos x − sec x)
∴ 2 − cos 2x มากสุดเท่ากับ 3 5 4 5 1
= 4( ⋅ (− ) − (− )) = −
เมื่อ cos 2x = −1 → 2x = π, 3π 3 5 4 3

(* อย่าลืมขยายช่วงเป็น 0 < 2x < 4π ) (30.1) cos θ = 3 → θ = π , 11π


π 3π 2 6 6
∴x = ,
2 2 3
(30.2) cos 2θ =
(22.2) ต่ําสุดเป็น −3 เมื่อ 2
π 3π
π π 11π 13π 23π
→ 2θ = , , ,
sin(2x − ) = −1 → 2x − = 6 6 6 6
2 2
2
π π 7π (ขยายช่วง 0 < 2θ < 4π )
[* ขยายช่วงเป็น − < 2x − < ] π 11π 13π 23π
2 2 2 θ = , , ,
∴x = π 12 12 12 12

(23) 5 − 3 sin 3A มีค่ามากที่สดุ (31) นํา cos x


คูณสองข้าง
sin x + 1 = 2 cos x ..... (1)
แสดงว่า sin 3A = −1 → 3A = 3π , 7π
2 2 แต่ sin2 x + cos2 x = 1 ..... (2)
[ ขยายช่วงเป็น 0 < A < 4π] แทน sin x จาก (1) ลงใน (2)
π 7π
∴A =
2 6
, และจะได้ จะได้ cos x = 0 หรือ 4
5
7π π 3 แต่ cos x = 0 ไม่ได้ เพราะในโจทย์มคี ําว่า tan x
{cos A |.....} = {cos , cos } = {0, − }
2 6 2 4
กับ sec x ∴ ตอบ cos x =
(24) ควอดรันต์ที่ 1 5
5 tan θ + 4 sec θ 2
(32) นํา sin x คูณสองข้าง
3 5 5
= 5( ) + 4( )2 5 1 + cos x = sin x ..... (1)
4 4 4 3
= 10 แก้สมการเช่นเดียวกับข้อที่แล้ว จะได้
3
sin x = 0 หรือ 15 / 17
(25) sin − , tan + → Q3 -4 แต่ sin x = 0 ไม่ได้ ดังนัน้ ตอบ 15 / 17
tan θ − cos θ -3 (33) 2 sin x = sec x → 2 sin x cos x = 1
−3 4 31 5 โจทย์ถาม sin4 x + cos4 x
= ( ) − (− ) =
−4 5 20
จึงเริ่มจากกระจาย (sin2 x + cos2 x)2 = 12 →
sin4 x + 2 sin2 x cos2 x + cos4 x = 1 →
(26) sin θ + cos θ
-8 ∴ sin4 x + cos4 x = 1 − 2 sin2 x cos2 x
15 8 23
= (− ) + (− ) = − 1 1
17 17 17 = 1 − 2( ) =
-15 4 2
17
sin2 x cos2 x
(34) จาก 1− −
1 + cot x 1 + tan x
(27) sin + , cos − → Q2 sin3 x cos3 x
= 1− −
sin(x − π) + cos(x − π) sin x + cos x cos x + sin x
= − sin x − cos x sin3 x + cos3 x
= 1−
5 12 7 13 sin x + cos x
= −( ) − (− ) =
13 13 13 5 = 1 − (sin2 x − sin x cos x + cos2 x)
-12 1
= sin x cos x → ตอบ (จากข้อ 33)
(28) sec + , 0 < θ < π → Q1 2
sin θ − cos θ 4/5− 3/5 12
= =
tan θ − csc θ 4/3 −5/4 5

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 178 ฟงกชันตรีโกณมิติ

1 π
(35) cos θ = − sin θ ..... (1) ∴ sin 2x = 1 → 2x = ± 2nπ
5 2
แต่cos2 θ + sin2 θ = 1 ..... (2) π
→ x = ± nπ
1 4
∴ ( − sin θ)2 + sin2 θ = 1
5 (40) 2 sin4 x + 3 sin2 x − 2 > 0 →
→ 25 sin2 θ − 5 sin θ + 12 = 0 (2 sin2 x − 1)(sin2 x + 2) > 0
(5 sin θ − 4)(5 sin θ + 3) = 0 ซึ่งพบว่า sin2 x + 2 มากกว่า 0 เสมออยู่แล้ว
4
sin θ = หรือ − 3 ดังนัน้ 2 sin2 x − 1 > 0 → sin2 x > 1
5 5 2
4
โจทย์กาํ หนด 0 < θ < π ดังนัน้ sin θ =
5 sin x = 1 / 2
3 4
จาก (1) ได้ cos θ = − ตอบ tan θ = −
5 3
sin x = − 1 / 2
(36) แทนค่า tan2 θ ด้วย sec2 θ − 1
(เอกลักษณ์) จะได้ 2(sec2 θ − 1) − sec θ = 1
→ 2 sec2 θ − sec θ − 3 = 0
ตอบ [ π , 3π ] ∪ [5π , 7π ]
4 4 4 4
(2 sec θ − 3)(sec θ + 1) = 0 (41) sin θ + cos θ < 0 คือ y+x<0

sec θ =
3
หรือ −1 ตอบ 3 (ควอดรันต์ที่ 1) งนัน้ จากภาพ
ดั
2 2
ตอบ [ 3π , 7π ]
(37) แทน sin2 x ด้วย 1 − cos2 x (เอกลักษณ์) 4 4
→ 4(1 − cos2 x) + 11 cos x − 1 = 0 →
y+x=0
4 cos2 x − 11 cos x − 3 = 0 →
(4 cos x + 1)(cos x − 3) = 0 → (42) Ax เป็นซิงกูลาร์เมตริกซ์
1 แสดงว่า det(Ax) = 0
cos x = − หรือ 3
4
→ 2 sin x cos x − 2 2 sin2 x cos2 x = 0
1
แต่ cos x = 3 เป็นไปไม่ได้ ∴ cos x = − → 2 sin x cos x (1 − 2 sin x cos x) = 0
4
โจทย์ให้หาค่า sin(−x) + cos(−x) + tan(−x) → sin x = 0 หรือ cos x = 0
= − sin x + cos x − tan x 1
หรือ sin x cos x = → แก้สมการ
15 1 2
= −(− ) + (− ) − ( 15) 1
4 4 sin x cos x = ต่อ
2
1 + 3 15
= − ... พบว่าไม่มีคําตอบ
4
(หาค่า sin x โดย − 1− cos2 x ..ติดลบเพราะ Q3 ) งนัน้ ค่า x ในช่วง
ดั sin x = 0
[−2π, 2π] มี 9 ตัวดังภาพ
1
(38) จากข้อ 37 พบว่า cos θ = − → cos x = 0
4 3 2
π (43) x − 9x + 23x − 15 = 0
โจทย์ถาม cot2(θ + ) + sec(θ − 3π) → → (x − 1)(x − 3)(x − 5) = 0
2
π x = 1 หรือ 3 หรือ 5
cos2(θ + )
2 + sec(θ − π) แต่ U = {x | cos(−x) > − cos x}
π
sin2(θ + )
2 หรือ cos x > − cos x → 2 cos x > 0
sin2 θ 15 / 16 → cos x > 0 (Q1, Q4)
= + (− sec θ) = + 4 = 19 1
cos2 θ 1 / 16
(39) (1 − sin 2x) + 3 sin 2x − 3 = 0
2 3
พบว่า cos 1 > 0 ,
→ sin2 2x − 3 sin 2x + 2 = 0 → cos 3 < 0 , cos 5 > 0
(sin 2x − 2)(sin 2x − 1) = 0 → ดังนัน้ ตอบ 1+5 = 6 5
sin 2x = 2 หรือ 1 [sin 2x = 2 เป็นไปไม่ได้ ]

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 179 ฟงกชันตรีโกณมิติ

(44) f(x) = |cos x | + cos x → (48.2) เนื่องจาก cos(A + B) เป็นบวก และ


ถ้า cos x > 0 (Q1, Q4) จะได้ f(x) = 2 cos x ้ A + B อยู่ใน Q4
sin(A + B) เป็นลบ ดังนัน
แต่ถ้า cos x < 0 (Q2 , Q3) จะได้ f(x) = 0 1
(49) sin A cos B + cos A sin B = ..... (1)
5
ดังนัน้ ข้อ ค. ถูก 2
(45) พิจารณาค่าจากกราฟ ตอบ ค. cosec x cos A cos B + sin A sin B = ..... (2)
5
(ถ้ามี cot x ก็ถูกเช่นกัน) โจทย์ให้ sin B =
3
→ มีสองกรณีคือ
(46) หาจุดตัดของ y = sin x และ y = cos x 5
4 4
โดยแก้ระบบสมการ sin x = cos x cos B = − กับ cos B =
5 5
ก็คือ tan x = 1 → x = π หรือ 5π 4
4 4 ถ้า cos B = − จะได้
π 1 5π 1 5
∴ ตอบ 2 จุด ได้แก่ ( , ) กับ ( ,− ) 4 3 1
4 2 4 2 (1) − sin A + cos A =
5 5 5
(ดูภาพประกอบ)
sin x cos x และ (2) 3 sin A − 4 cos A = 2
5 5 5
O π 2π 11
แก้ระบบสมการได้ cos A = − ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ...
7
4
ดังนัน้ cos B = เท่านัน้
(47) sin 75° = sin(45° + 30°) 5

= sin 45° cos 30° + cos 45° sin 30° จะได้ (1) sin A + 3 cos A = 1
4
5 5 5
1 3 1 1 3 +1 3 4 2
= ⋅
2 2
+ ⋅ =
2 2 2 2
และ (2) sin A + cos A =
5 5 5
5π π π 5
cos = cos( + ) แก้ระบบสมการได้ cos A = ... ตอบ
12 4 6 7
π π π π 5π
= cos cos − sin sin (50) tan A = 1 → tan( − B) = 1
4 6 4 6 4
1 3 1 1 3 −1 5π
= ⋅ − ⋅ = tan − tan B
2 2 2 2 2 2 4 1 − tan B
→ = 1→ = 1
5π 1 + tan B
π π 1 + tan tan B
tan − tan 4
π π π 4 6
tan = tan( − )= ∴ tan B = 0 → ถ้า 0 < B < π
12 4 6 π π
1 + tan tan
4 6 แสดงว่า B = 0 หรือ π ก็ได้ ...
1 จึงตอบ cos B = 1 หรือ −1
1−
3 = 3 −1
=
1
(51.1) 2 cos 75° cos 75°
1+ 3 +1
= cos(75° + 15°) + cos(75° − 15°)
3
1
12 = cos 90° + cos 60° =
(48) จาก cot A = 2.4 = และ A ∈ Q3 2
5
5 12 (51.2) 2 sin 25° cos 5° − sin 20°
จะได้ sin A = −, cos A = −
13 13 1
= (sin 30° + sin 20°) − sin 20° =
จาก sin B = 0.6 = 3 และ B ∈ Q2 2
5 (51.3) 2[sin 90° + sin 60°] + 2[cos 180° + cos 150°]
4
จะได้ cos B = − 3 3
5 = 2[1 + ] + 2[−1 − ] = 0
2 2
(48.1) cos(A + B) = cos A cos B − sin A sin B
1 1
12 4 5 3 63 (51.4) [sin 150°+ sin 66°] + [sin 150°+ sin(−66°)]
= (− )(− ) − (− )( ) = 2 2
13 5 13 5 65 = sin 150° = 1 / 2
sin(A + B) = sin A cos B + cos A sin B
หรือมองเป็นสูตร sin A cos B + cos A sin B
5 4 12 3 16 = sin(A + B) = sin 150° = 1 / 2
= (− )(− ) + (− )( ) = −
13 5 13 5 65

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 180 ฟงกชันตรีโกณมิติ

(51.5) จึงกระจายว่า tan 70° = tan(60° + 10°)


1 1
[cos 146°+ cos 10°] + [cos 34°+ cos 10°] − cos 10° tan 60° + B 3 +B
2 2
= =
1 − (tan 60°)(B) 1 − 3B
1
= [cos 146° + cos 34°] (54.4) จาก A + B = 225° จะได้
2
1 − tan A
1 146° + 34° 146° − 34° tan B = tan(225° − A) =
= [2 cos( ) cos( )] 1 + tan A
2 2 2
cot A cot B
= cos 90° cos 56° = 0 โจทย์ถาม ( )( )
1 + cot A 1 + cot B
หรือมองเป็น “โค-ฟังก์ชนั ” ก่อน จะได้ว่า (นํา tan A , tan B คูณทั้งเศษและส่วน)
[sin 22° sin 12° + cos 22° cos 12°] − cos 10°
1 1
= cos(22° − 12°) − cos 10° = 0 =( )( )
tan A + 1 tan B + 1
(51.6) (cos 105° + cos 35°) − cos 35° + cos 15° แทนค่า tan B จะได้
= cos 105° + cos 15° = 2 cos 60° cos 45° 1 1
=( )( )
1 1 1 tan A + 1 (1 − tan A) + 1
= 2⋅ ⋅ =
2 2 2 1 + tan A
1 1 + tan A 1
(52.1) [sin 5θ − sin θ] − [sin 5θ − sin 3θ] =( )( )=
tan A + 1 1 − tan A + 1 + tan A 2
−[sin 3θ − sin θ] = 0

(52.2) − 1 [cos 9θ − cos 3θ] (54.5) sin 3θ cos θ − cos 3θ sin θ


sin θ cos θ
2
sin 2θ 2 sin θ cos θ
1 1 = = = 2
− [cos 3θ − cos θ] + [cos 9θ − cos θ] = 0 sin θ cos θ sin θ cos θ
2 2
(55.1) [sin 50° + sin 10°] − cos 20°
(53.1) จาก sin2 A = 1 − cos 2A จะได้ว่า = 2 sin 30° cos 20° − cos 20°
2
โจทย์ถาม = cos 20° − cos 20° = 0
1 (55.2) sin 10° + [cos 40° − cos 20°]
[1 − cos 2A + 1 − cos(120° + 2A) + 1 − cos(120° − 2A)]
2 = sin 10° − 2 sin 30° sin 10°
1 = sin 10° − sin 10° = 0
= [3 − cos 2A − 2 cos 120° cos 2A]
2
1 3 (55.3) cos 20° + [cos 100° + cos 140°]
= [3 − cos 2A + cos 2A] =
2 2 = cos 20° + 2 cos 120° cos 20°
= cos 20° − cos 20° = 0
(53.2) เช่นเดียวกับข้อที่แล้ว คือ
(cos 10° + cos 50°) + (cos 20° + cos 40°)
จาก cos2 A = 1 + cos 2A จะได้วา่ (55.4)
(sin 10° + sin 50°) + (sin 20° + sin 40°)
2
1 2 cos 30° cos 20° + 2 cos 30° cos 10°
[1 + cos 2A + 1 + cos(120° + 2A) + 1 + cos(120° − 2A)] =
2 2 sin 30° cos 20° + 2 sin 30° cos 10°
1 2 cos 30° (cos 20° + cos 10°)
= [3 + cos 2A + 2 cos 120° cos 2A] =
2 2 sin 30° (cos 20° + cos 10°)
1 3 = cot 30° = 3
= [3 + cos 2A − cos 2A] =
2 2
(56) sin 40° + sin 20° = 2 sin 30° cos 10°
(54.1) แปลง cos 10° เป็น sin 80° ก่อน (โค- = cos 10° = 1 − 2 sin2 5°
ฟังก์ชนั ) (หรือแปลง sin 40° เป็น cos 50° ก็ได้) π π 3π
2 sin cos cos
จะได้ sin 80° + sin 40° π
(57.1) cos cos = 3π 5 5
π
5
sin 70° 5 5 2 sin
2 sin 60° cos 20° 5
= = 3
sin 70° 2π 3π
sin cos
(เพราะ cos 20° = sin 70° ) = 5 5 ⋅2
2 cos 45° sin 30° 1
π 2
2 sin
(54.2) = tan 30° = 5
2 cos 45° cos 30° 3
π π
(54.3) ตรงตามสูตร tan(α − β) จึงได้เป็น sin π − sin 0 − sin
5 = 5 1
=
tan 70° → ต้องตอบในรูป tan 10° = B π π = −4
4 sin 4 sin
5 5

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 181 ฟงกชันตรีโกณมิติ

π 3π 2 cos 36° sin 18°


(57.2) cos + cos = 2( )= 4
5 5 sin 54° sin 18°
π π π 3π (เพราะ cos 36° = sin 54° )
2 sin cos + 2 sin cos
= 5 5 5 5 (59) จาก 4 sin2 A + 3 cos 2B = −2
π
2 sin → 4 sin2 A + 3(1 − 2 sin2 B) = −2
5
2π 4π 2π → 4 sin2 A − 6 sin2 B = −5 ..... (1)
sin + sin − sin
= 5 5 5 และจาก sin 2A sec A = sin B
π
2 sin → 2 sin A cos A sec A = sin B
5
4π → 2 sin A = sin B ..... (2)
sin
= 5 = 1 (เพราะ sin 4π = sin π ) แก้ระบบสมการได้ sin B = 1, − 1
π 2 5 5
2 sin
5 แต่ B ∈ [0, π ] ดังนั้น B = π เท่านั้น
2 2
(57.3) cos π cos 2π cos 4π 1 π
7 7 7 และได้ sin A = → A =
π π 2π 4π 2 6
2 sin cos cos cos
7 7 7 7 2π
=
π โจทย์ถาม 2 cos(A + B) = 2 cos = −1
2 sin 3
7 (60) 3 cos 2A − 2 cos 2B = −3
2π 2π 4π
sin cos cos → 3(1 − 2 sin2 A) − 2(1 − 2 sin2 B) = −3 ....(1)
= 7 7 7
π sin A = 2 sin B ..... (2)
2 sin
7 แทน (2) ใน (1) จะได้
4π 4π 8π 3 − 24 sin2 B − 2 + 4 sin2 B = −3
sin cos sin
= 7 7 = 7 = − 1 1
π π 8 → sin2 B = → แต่ B อยู่ใน Q1
4 sin 8 sin 5
7 7
1
(เพราะ sin 8π = − sin π ) ∴ sin B = เท่านัน้ และจะได้ cos B = 2
5 5
7 7
2 1
5π π π π →∴ sin A = 2 sin B = , cos A =
2 sin cos sin + sin 5 5
(57.4) 24 24 = 4 6
2 2 โจทย์ถาม sin(A + B)
1 2 1 2 +1 = sin A cos B + cos A sin B
= ( + )=
2 2 2 4 2 2 1 1 4 1
= ⋅ + ⋅ = + = 1
cos 10° 5 5 5 5 5 5
(57.5) 8 sin 70° sin 50° sin 10° ⋅
cos 10° (61) หาค่า sin 3θ → sin 3θ = sin(2θ + θ)
4 sin 70° sin 50° sin 20° cos 20° = sin 2θ cos θ + cos 2θ sin θ
= ⋅
cos 10° cos 20° = (2 sin θ cos θ) cos θ + (1 − 2 sin2 θ) sin θ
( sin 70°= cos 20° ) = 2 sin θ (1 − sin2 θ) + (1 − 2 sin2 θ) sin θ
2 sin 50° sin 40° −(cos 90° − cos 10°)
= = = 1 = 3 sin θ − 4 sin3 θ → ดังนัน้ แก้สมการได้เป็น
cos 10° cos 10°
1
(58) (tan 9° + tan 81°) − (tan 27° + tan 63°) 3 sin θ + sin θ = 1 → sin θ = →
4
= (tan 9° + cot 9°) − (tan 27° + cot 27°) 3π
sin 9° cos 9° sin 27° cos 27° โจทย์ถามค่า sec 2θ + cos( + θ)
=( + )−( + ) 2
cos 9° sin 9° cos 27° sin 27° 1 1
= + sin θ = + sin θ
sin2 9° + cos2 9° sin2 27° + cos2 27° cos 2θ 1 − 2 sin2 θ
= −
sin 9° cos 9° sin 27° cos 27° 1 1 8 1 39
= + = + =
1 1 2 4 7 4 28
= − 1−
sin 9° cos 9° sin 27° cos 27° 16
2 2 sin 54° − sin 18°
= − = 2( )
sin 18° sin 54° sin 54° sin 18°

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 182 ฟงกชันตรีโกณมิติ

3−4 3 3 π
(62) cos α cos β − sin α sin β = (67) arcsin( )=
10 2 3
..... (1) และ 1 2π
arccos(− ) =
3+4 3 2 3
cos α cos β + sin α sin β = ..... (2)
10 π π 7π
(68) 2(− )+ + π=
(1) + (2) 3 3 4 12
→ cos α cos β =
2 10 2π 2π
(69) cos(arcsin(cos )+ )
(2) − (1) 4 3 7 7
→ sin α sin β =
2 10 2π
π 2π π
= cos(( )+− ) = cos = 0
∴ sin 2α sin 2β = 4 sin α cos α sin β cos β 2
7 7 2
3 4 3
= 4( )( )=
12 3 (70.1) ให้ A = arccos 4 จะได้ cos A = 4
5 5
10 10 25
3
sin 2x 2 sin x cos x และ sin A =
(63) = 5
1 + cos 2x 1 + 2 cos2 x − 1
sin x ให้ B = arccos 12 จะได้ cos B = 12 และ
= = tan x = 2 13 13
cos x 5
sin B =
(64) tan θ = 1 → แสดงว่า sin θ = 1 13
3 10
3
[ sin ของ arccos เป็นบวกเสมอ]
และ cos θ = (เพราะ θ อยู่ใน Q1 ) โจทย์ถาม cos(A + B)
10
∴ sin 4θ = 2 sin 2θ cos 2θ = cos A cos B − sin A sin B
2 4 12 3 5 33
= 2(2 sin θ cos θ)(1 − 2 sin θ) = ⋅ − ⋅ =
5 13 5 13 65
1 3 2 96 24
= 2(2)( )( )(1 − ) = = 3 4
10 10 10 100 25 (70.2) ให้ A = arccos และ B = arcsin(− )
5 5
(65) [sin(A + B) − sin(A − B)]
โจทย์ถาม sin(A + B)
− [sin(2A + B) − sin(2A − B)]
= sin A cos B + cos A sin B
= 2 cos A sin B − 2 cos 2A sin B 4 3 3 4
= 2 sin B (cos A − cos 2A) = ⋅ + ⋅ (− ) = 0
5 5 5 5
5 +1 5 + 12 [ cos ของ arcsin ก็เป็นบวกเสมอเช่นกัน]
= 2 sin B ( − 2( ) + 1)
4 4 (70.3) cos(2A) = 1 − 2 sin2 A
5 +1 3+ 5 = 1 − 2 (9/25) = 7 / 25
= 2 sin B ( − + 1) = sin B
4 4
2 tan A 2 (−1 / 2) 4
(66) ก. ถูก (ตรงตามสูตรชุดทีส่ อง) (70.4) tan(2A) = = = −
1 − tan2 A 1 − 1/ 4 3
ข. −2 sin(x + y) sin(x − y) 1 2
−2 [หมายเหตุ sin A = − , cos A =
cos 2x − cos 2y 5 5
= 1
−2 ∴ tan A = − ]
2
1 − 2 sin2 x − 1 + 2 sin2 y
= π
−2 (71) ก. sin( + 2A)
2 2
2
= sin x − sin y ถูก π π
= sin cos 2A + cos sin 2A = cos 2A
ค. 2 cos(x + y) cos(x − y) 2 2
2 = 2 cos2 A − 1 → หาค่า cos A โดยที่
cos 2x + cos 2y
= tan A = 2 −1 ก่อน ...
2
2 cos2 x − 1 + 1 − 2 sin2 y แก้ระบบสมการ sin A = ( 2 − 1) cos A
= 1
2 กับ sin2 A + cos2 A = 1 ได้ cos2 A =
2
= cos x − sin y2
ถูก 4−2 2
1 2 −1 1
ง. ผิด เพราะต้องได้ cos(5x − x) = cos 4x ∴ ตอบ 2( )− 1 = =
4−2 2 2− 2 2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 183 ฟงกชันตรีโกณมิติ

3π 5 / 12 + 16 / 63 3
ข. cos( − 2A) → arctan = arctan
2 5 ⋅ 16 4
1−
3π 3π 12 ⋅ 63
= cos cos 2A + sin sin 2A = − sin 2A
2 2 3 3
→ arctan = arctan ..OK..
= −2 sin A cos A → หาค่า sin A กับ cos A 4 4
โดยที่ tan A = x ... ได้เป็น (76) การแก้สมการในข้อนี้ ส่วนมากทําได้ 2 วิธี
x 1 (เช่นเดียวกับข้อที่แล้ว) คือ 1. ใส่ฟังก์ชัน sin, cos,
sin A = , cos A =
1 + x2 1 + x2 หรือ tan ทั้งสองข้าง กับ 2. ใช้สูตร arctan
ดังนัน้ ตอบ −2x2 แต่บางกรณีจะทําเป็น arctan ไม่ได้ คือ เมื่อเป็น
1+ x arccos (-) [เพราะนิยามไว้คนละควอดรันต์กัน]
1 1 ...ในข้อ (76.1) จะแสดงไว้ทั้งสองวิธี แต่หลังจากนั้น
(72) A + B = arctan + 2 arcsin
7 10 จะเลือกแสดงเพียงวิธที ี่สนั้ กว่าเพียงวิธีเดียวเท่านัน้ ..
แปลงเป็น arctan เพื่อใช้สูตร ได้เป็น
1 1
(76.1) วิธที ี่ 1 cos(arccos 4 − arcsin(− 3)) = x
arctan + 2 arctan 5 5
7 3 4 4 3 3 7
→ ⋅ + ⋅ (− ) = x → x =
1 2/3 5 5 5 5 25
= arctan + arctan
7 1 − 1/ 9 3 3
วิธีที่ 2 arctan
− arctan(− ) = arccos x
1 3 4 4
= arctan + arctan
7 4 3/4 + 3/4
→ arctan = arccos x
1/ 7 + 3 / 4 π 1 − 9 / 16
= arctan = arctan 1 =
1 − 3 / 28 4 24 7
arctan = arccos x → x =
1 8 7 25
(73) sin A = → cos A = −
3 3 x2 7 4
1 (76.2) − x = tan(arcsin + arccos )
(ติดลบ เพราะ A อยู่ใน Q2 ) → tan A = − 3 25 5
8 x2 7 / 24 + 3 / 4 4
π → −x = =
tan + tan A 3 1 − 7 / 32 3
π 4
และ 7 tan( + A) = 7 ⋅ → x2 − 3x − 4 = 0 → (x − 4)(x + 1) = 0
4 π
1 − tan tan A
4 → x = 4, − 1
1 − 1/ 8 8 −1 7( 8 − 1)2 1/ 7 + 1/ 8 1
= 7⋅ = 7( )= (76.3) arctan + arctan = arccot x
1 + 1/ 8 8 +1 7 1 − 1 / 56 18
= 9−4 2 3 1
→ arctan + arctan = arccot x
11 18
(74) A + B + C = arctan 1 + arctan 1 + arctan 1 3 / 11 + 1 / 18
2 5 8 → arctan = arccot x
1/ 2 + 1/ 5 1 1 − 1 / 66
= arctan + arctan 1
1 − 1 / 10 8 → arctan = arccot x → x = 3
7 1 7 / 9 + 1/ 8 3
= arctan + arctan = arctan
9 8 1 − 7 / 72 (76.4) arctan 2x + 1 + 22x − 1 = arccos 1
π 1 − (4x − 1) 5
= arctan 1 = 2x 1
4 → arctan = arccos
1 − 2x2 5
sin ทั้งสองข้าง จะได้
(75) วิธีที่1 ใส่ 2x 1
12 16 3 → = 2 (เพราะ arccos = arctan 2 )
sin(arccos + arcsin )= 1 − 2x2 5
13 65 5
1
5 63 12 16 3 → แก้สมการได้ x = , − 1
→ ⋅ + ⋅ = 2
13 65 13 65 5

315 + 192
=
3

3
=
3
..OK.. ตรวจคําตอบแล้วพบว่า x = 1 เท่านั้นทีใ่ ช้ได้
2
13 ⋅ 65 5 5 5
π 3π
arctan จะได้
วิธีท2ี่ ใช้สูตร (76.5) arctan x + 2( ) =
4 4
5 16 3
arctan + arctan = arctan π
12 63 4 → arctan x = → x = 1
4

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 184 ฟงกชันตรีโกณมิติ

(76.6) ใส่ tan ทั้งสองข้าง 1


ดังนัน้ cos θ = 0 หรือ sin θ = หรือ
1+ x + 1− x 2
→ = 1 π π 5π 3π
1 − (1 − x2) sin θ = −1 ... ∴θ = , , ,
2 6 2 6 2
→ = 1→ x = ± 2 cos 2θ 3
x2 (79.3) 2 sin 2θ + 3 − = 0
(76.7) ใส่ sin ทั้งสองข้าง sin 2θ sin 2θ
→ 2 sin2 2θ + 3 cos 2θ − 3 = 0
3 1 1
→ ( )(0) + (− )(1) = x → x = − → 2 (1 − cos2 2θ) + 3 cos 2θ − 3 = 0
2 2 2
แต่ arccos(− 1) + π = 2π + π = 7π → 2 cos2 2θ − 3 cos 2θ + 1 = 0
2 2 3 2 6 → (2 cos 2θ − 1)(cos 2θ − 1) = 0
ซึ่งไม่อยู่ในช่วง arcsin (แม้ว่า sin = − 1

→ cos 2θ = 1 หรือ 1 / 2
6 2
1 π แต่ cos 2θ = 1 ไม่ได้ เพราะจะทําให้ sin 2θ = 0
ก็ตาม ..แต่ arcsin (− ) = − ) ∴ ไม่มีคําตอบ ดังนัน้ cos 2θ = 1 / 2 เท่านัน้
2 6
π π π
(77) จาก arctan 3x − arctan x = → 2θ = → θ =
6 3 6
3x − x π (79.4) (cos2 x − sin2 x)(cos2 x + sin2 x) = 1
จะได้วา่ arctan =
1 + 3x2 6 → cos2 x − sin2 x = 1 → cos 2x = 1
2x 1
→ = → 3x2 − 2 3x + 1 = 0 → 2x = 0, 2π, 4π → x = 0, π, 2π
1 + 3x2 3
1 sin x 2
→ ( 3x − 1)2 = 0 → x = (79.5) 4 sin2 x − 6 + = 0
3 cos x cos2 x
2 2
arctan 3x + arctan x → 4 sin x cos x − 6 sin x cos x + 2 = 0
ดังนัน้ tan( )
2 → sin2 2x − 3 sin 2x + 2 = 0
arctan 3 + arctan(1 / 3) → (sin 2x − 2)(sin 2x − 1) = 0
= tan( )
2 π π
π/3+ π/6 π → sin 2x = 1 เท่านัน้ ∴ 2x = → x =
= tan( ) = tan = 1 2 4
2 4
(79.6)
(78) cos2(arctan x) = 1 (4 sin x cos x + 2 sin x) + (2 2 cos x + 2) = 0
4
1
→ cos(arctan x) = หรือ − 1 → 2 sin x (2 cos x + 1) + 2 (2 cos x + 1) = 0
2 2
→ (2 sin x + 2)(2 cos x + 1) = 0
→ x = 3 หรือ − 3
1 ดังนัน้ sin x = − 1 หรือ cos x = − 1
2 2
แต่โจทย์กําหนด ex < 1 ดังนั้น x = − 3 เท่านั้น 2π 5π 4π 7π
[e 3
> 1] → x = , , ,
3 4 3 4
x x 3x −3 3
∴ x + tan(arctan ) = x + = = 1 3 π
2 2 2 2 (79.7) 2 [ sin x + cos x] = sec(x + )
2 2 3
sin x − 1 − sin x − 1 π π π
(79.1) = 4 → 2 [sin x cos + cos x sin ] = sec(x + )
sin2 x − 1 3 3 3
−2 1 π π
→ = 4 → cos x = ± → 2 sin(x + ) = sec(x + )
− cos2 x 2 3 3
π 3π 5π 7π π π
→ x = , , , → 2 sin(x + ) cos(x + ) = 1
4 4 4 4 3 3
(79.2) จาก sin 4θ = 2 sin 2θ cos 2θ 2π
→ sin(2x + )= 1
= 4 sin θ cos θ (1 − 2 sin2 θ) จะได้ว่า 3
2π 5π 9π 11π 23π
โจทย์กลายเป็น → 2x + = , → x = ,
3
3 2 2 12 12
4 sin θ cos θ − 8 sin θ cos θ + 2 sin θ cos θ = 2 cos θ
→ 2 cos θ (3 sin θ − 4 sin3 θ − 1) = 0
→ 2 cos θ (2 sin θ − 1)2(sin θ + 1) = 0

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 185 ฟงกชันตรีโกณมิติ

(79.8) 2 sin2 x + sin x + 1 = 2 2 sin2 x + sin x (82.1) [โคฟังก์ชัน] อาจพิสจู น์จากสูตร tan(α − β)
ให้ 2 sin2 x + sin x = A จะได้วา่ คือ tan(90° − A) = tan 90° − tan A
1 + tan 90° tan A
A + 1 = 2 A → A2 + 2A + 1 = 4A
2
→ A − 2A + 1 = 0 → A = 1
[ tan 90° = ∞ จึงต้องนําไปหารทั้งเศษและส่วน]
tan A
1−
∴ 2 sin2 x + sin x = 1 tan 90° 1−0
= = = cot A
→ (2 sin x − 1)(sin x + 1) = 0 1 0 + tan A
+ tan A
1 π 5π 3π tan 90°
→ sin x = หรือ −1 → x = , ,
2 6 6 2 (82.2) จาก cos 2A = 1 − 2 sin2 A
1 − cos 2A
(79.9) ใช้ผลทีค่ ิดไว้ในข้อ (61) คือ → sin2 A = ..... (1)
2
sin 3x = 3 sin x − 4 sin3 x ดังนั้นโจทย์กลายเป็น
sin x − 2 sin x cos x + 3 sin x − 4 sin3 x = 0
และ cos 2A = 2 cos2 A − 1
1 + cos A
→ 2 sin x (2 − cos x − 2 sin2 x) = 0 → cos2 A = ..... (2)
2
→ 2 sin x (2 − cos x − 2(1 − cos2 x)) = 0 (1) 1 − cos 2A
; tan2 A =
→ 2 sin x (− cos x + 2 cos2 x) = 0 (2) 1 + cos 2A
→ 2 sin x (cos x)(2 cos x − 1) = 0 ถ้าให้ A = x จะได้ tan2 x = 1 − cos x
2 2 1 + cos x
1
→ sin x = 0 หรือ cos x = 0 หรือ cos x = (82.3) จาก
2
x+y x +y
π π 3π 5π (1) sin x + sin y= 2 sin( ) cos( )
∴ x = 0, , , π, , , 2π 2 2
3 2 2 3
(80.1) (2 sin2 x − 1)(sin2 x + 2) > 0 → และ (2) cos x + cos y = 2 cos(x + y) cos(x + y)
2 2
1 1
sin2 x > → sin x > หรือ sin x < − 1 (1)
;
sin x + sin y
= tan(
x+ y
)
2 2 2 (2) cos x + cos y 2
(82.4) จาก 1 − cos2 x = sin2 x
sin x = 1 / 2
นํา tan2 x คูณสองข้าง
→ tan2 x − sin2 x = tan2 x sin2 x
sin x = − 1 / 2
(82.5) (cos A − sin A)2
2 2
ตอบ [ π , 3π ] ∪ [5π , 7π ] = cos2 A A
− 2 sin cos
A
+ sin2
A
4 4 4 4
2 2 2 2
3 1 1
(80.2) sin x + cos x < = 1 − sin A
2 2 2
π π 1 (83) ผลจากข้อ (82.3) จะได้วา่
→ cos sin x + sin cos x < sin A + sin B A+B
6 6 2 = tan( )
π 1 cos A + cos B 2
→ sin(x + )<
6 2 แต่A + B = 180° − C
180° − C C
∴ จะได้เป็น tan( ) = tan(90° − )
2 2
π 5π 13π 2π C
→ x+ ∈( , ) ตอบ x ∈( , 2π) = cot [โคฟังก์ชัน]
6 6 6 3 2
(81) 1 − 2 sin2 θ = sin θ (84) ใช้กฎของ cos หามุม A ก่อน ...
→ (2 sin θ − 1)(sin θ + 1) = 0 102 = (10 3)2 + 102 − 2(10 3)(10) cos A
1 3
→ sin θ = หรือ −1 → cos A = ∴ A = 30°
2 2
π 2π จากนั้นอาจใช้กฎของ cos หามุม B, C
ตอบ ± n
6 3 หรือจะใช้กฎของ sin ก็ได้ แต่จากการสังเกตพบว่า
เมื่อ n คือจํานวนเต็ม ΔABC เป็นสามเหลี่ยมหน้าจัว่ (เพราะ a = c )
ดังนัน้ c = 30° ด้วย
และ B = 180° − 30° − 30° = 120°

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 186 ฟงกชันตรีโกณมิติ

(85) 2 2 2
(4 5) = (2 5) + (3 5) − 2(2 5)(3 5) cos B (94) (x2 + xy + y2) = x2 + y2 − 2xy cos A
1 1
→ cos B = − (แสดงว่า B อยูใ่ น Q2 ) จะได้ cos A = − คือเป็นสามเหลี่ยมมุมป้าน
4 2
B (95) x = 3202 + 3802 − 2(320)(380)(0.788)
จาก cos B = 1 − 2 sin2
2
= 234.86 ไมล์ 320
B 5 B 5 x
∴ sin2 = → sin =
2 8 2 8
38°
B
(เป็นบวกเท่านั้น เพราะ ต้องอยูใ่ น Q1 ) (96) 380
2
h
(86) ให้ a = 4x, b = 5x, c = 6x จะได้ว่า = tan A → x = h cot A
x A B
(4x)2 = (5x)2 + (6x)2 − 2(5x)(6x) cos A h
3 = tan B → y = h cot B
→ cos A = ... y h
4 ∴ y − x = h (cot B − cot A)
และด้วยวิธเี ดียวกันได้ cos B = 9 , cos C = 1 ดังนัน้ เรืออยู่หา่ งกัน
A B
16 8 x
32 1 0.9397 0.8387
2
พบว่า 2 cos A − 1 = 2( ) − 1 = = cos C = 300 ( − ) y
4 8 0.3430 0.5446
→ ∴ C = 2A = 359.9 เมตร

(87) b
2 2 2
= 4 + 8 − 2(4)(8)(0.422) = 52.992 (97) h = tan 45° → AC = h cot 45°
AC
→ b = 7.28
h
sin C 0.454 = tan 30° → BC = h cot 30°
(88) กฎของ sin → = ดังนัน้ BC h
15 12
sin C = 0.5675 → C ≈ 34.6° หรือ 145.4° A 45°
sin B sin 45° 3 40 30° C
(89) = → sin B =
2 3 2 2 2 แต่ AC2 + 402 = BC2 B N
ดังนัน้ B = 60° → C = 75° ∴ h2 cot2 45° + 402 = h2 cot2 30°
หรือ B = 120° → C = 15° 40
→ h =
sin C sin 30° 3 cot2 30° − cot2 45°
(90) = → sin C = 40
150 50 3 2 = = 20 2 เมตร
ดังนัน้ C = 60 → A = 90° สามเหลีย่ มมุมฉาก 3−1

หรือ C = 120° → A = 30° สามเหลี่ยมหน้าจั่ว (98) ให้ PQ ยาว a P arctan 0.6


และ QS ยาว 4b
(91) a = 12 → a = 5.61 a
0.342 0.731
(92) กระจายแล้วจัดข้างเป็น a2 = b2 + c2 − bc b 3b
1 Q R S
∴ cos A = → A = 60°
2 จากความสัมพันธ์ SPR ˆ + RPQ
ˆ = SPQ
ˆ
(93) กระจายแล้วได้ a2 = b2 + c2 − bc เช่นกัน
1
จะได้ arctan 0.6 + arctan = arctan 4b
b
a a
∴ cos A = → A = 60°
2 0.6 + b / a 4b
→ arctan( ) = arctan
จาก 4a2 = 6b2 → a = 3/2 b → 1 − 0.6 b / a a

3/2 b b ตัด arctan ออกทั้งสองข้างแล้วจัดรูปสมการ ได้เป็น


ใช้กฎของ sin ได้ว่า = → → a2 − 5ab + 4b2 = 0
sin 60° sin B
1 → (a − 4b)(a − b) = 0
sin B = → B = 45° หรือ 135°
2 → a = 4b หรือ a = b
แต่ 135° + 60° > 180° ∴ B = 45° เท่านัน้
ˆ = 4b = 1
∴ tan SPQ หรือ 4
→ 1 + 2 sin2(3A − 2B) = 1 + 2(1)2 = 3 a

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 187 ฟงกชันเอกซโพเนนเชียลและลอการิทึม

e logar
xp+

º··Õè 8 ¿˜§¡ª¹a eo¡«o¾e¹¹eªÕÂÅ


æÅaÅo¡ÒÃi·ÖÁ
การเพิ่มขึ้นหรือลดลงของจํานวนประชากรตาม
ธรรมชาติ ปริมาณรังสี หรือเงินฝากในธนาคาร
โดยทั่วไปไม่ได้เป็นสัดส่วนแบบเส้นตรง แต่เป็นแบบ
ทวีคูณ (ยกกําลัง) ทําให้เราจําเป็นต้องศึกษาเกี่ยวกับ
เลขยกกําลัง รวมทั้งฟังก์ชันที่เกี่ยวข้อง คือ ฟังก์ชัน
เอกซ์โพเนนเชียล (Exponential Function) และ
ฟังก์ชันลอการิทึม (Logarithmic Function)

8.1 ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล และกฎของเลขยกกําลัง


เลขยกกําลัง จะเขียนในรูป an
เรียก a ว่าฐาน และเรียก n ว่า เลขชี้กําลัง (Exponent)
โดย an ใช้แทน a คูณกันเป็นจํานวน n ตัว หรือ an = a ⋅ a ⋅ a ⋅ ... ⋅ a


n ตัว
1
นิยามให้ a0 = 1 , a−n = (โดยที่ a ≠ 0)
an
และ a 1/ n = n
a

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 188 ฟงกชันเอกซโพเนนเชียลและลอการิทึม

ทฤษฎีบทที่เกี่ยวกับเลขยกกําลังได้แก่
⎧ am ⋅ an = am + n ⎧⎪ (ab)n = an ⋅ bn
⎪ • ⎨
• ⎨ a m n n n
= am − n ⎪⎩ (a/b) = a / b

⎩ an ⎧ n ab = n a ⋅ n b
⎧ (am)n = amn ⎪⎪
⎪ • ⎨ a n a
• ⎨ m =
⎪ n


n am = a n ⎪⎩ b n b

โดย n เป็นจํานวนจริงใดๆ (ไม่จําเป็นต้องเป็นจํานวนเต็ม) และกรณีกรณฑ์ n ≠ 0

หมายเหตุ
1/ 2
คําว่า รากที่สอง กับเครื่องหมาย กรณฑ์ (radical : • หรือ • ) มีความหมายต่างกัน
“รากที่สอง ของ 16 ” ได้แก่ 4 และ –4
แต่ “ 16 หรือ 16 1/ 2 ” มีค่าเท่ากับ 4 อย่างเดียวเท่านั้น

การหารากที่สองของ M± N
พิจารณา ( a + b) = (a+b) + 2 ab และ ( a − b)2 = (a+b) − 2 ab
2

ดังนั้น ถ้าเราให้ a+b = M และ 4ab = N แล้วแก้ระบบสมการหาค่า a, b ก็จะได้คําตอบ


สรุป รากที่สองของ M + N ได้แก่ ±( a + b)
รากที่สองของ M − N ได้แก่ ±( a − b) เมื่อ a+b = M และ 4ab = N

เช่น รากที่สองของ 6 − 35 หาได้จาก a+b = 6 และ 4ab = 35


นั่นคือ a, b = 3.5, 2.5 จึงได้คาํ ตอบว่า 3.5 − 2.5 และ 2.5 − 3.5

รากที่สองของ 72 + 40 หาได้จาก a+b = 72 = 6 2 และ 4ab = 40

นั่นคือ a, b = 5 2, 2 จึงได้คาํ ตอบว่า 5 2 + 2 และ − 5 2 − 2

การแก้สมการที่มีเครื่องหมายกรณฑ์
(1) สมการที่มี ax +b บวกลบกันอยูห่ ลายพจน์ ควรย้ายข้างให้จํานวนพจน์เท่าๆ กัน และ
สัมประสิทธิ์หน้า x รวมเท่าๆ กันที่สุด จากนั้นจึงยกกําลังทั้งสองข้างไปจนกว่าเครื่องหมายกรณฑ์จะ
หมดไป ... การยกกําลังเช่นนี้ มักทําให้ได้คําตอบเกิน ดังนั้นต้องตรวจคําตอบเสมอ
(2) หากสิ่งที่อยู่ในเครื่องหมายกรณฑ์นั้นยาวมาก ให้สมมติสิ่งนั้นเป็นตัวแปร A ไปก่อน แล้วทําตัว
แปรที่เหลือในสมการให้อยู่ในรูป A ทั้งหมด เพื่อให้สมการสั้นลงและคํานวณสะดวกขึ้น

• ตัวอยาง ใหหาเซตคําตอบของสมการตอไปนี้
ก. x + 1 = 4x + 9
2 2
วิธีคิด ยกกําลังสองทั้งสองขาง จะได x + 2x + 1 = 4x + 9 → x − 2x − 8 = 0
แยกตัวประกอบไดเปน (x − 4)(x + 2) = 0 ... ดังนัน้ คําตอบนาจะเปน 4, − 2
แตเมื่อลองแทนคาแลวพบวา 4 ทําใหสมการเปนจริง แต −2 ใชไมได ... ดังนัน้ ตอบ {4}
2 2
ข. x − 7 + x − 12 = 5

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 189 ฟงกชันเอกซโพเนนเชียลและลอการิทึม
2
วิธีคิด สมมติให x − 7 = A เพื่อใหมองงายขึ้น ... กลายเปน A + A − 5 = 5
ยายขางสมการใหมีจํานวนกรณฑสองฝงเทาๆ กัน คือ A − 5 = 5 − A
จากนั้นยกกําลังสองทั้งสองขาง ไดเปน A − 5 = 25 − 10 A + A → A = 3
ยกกําลังสองอีกครั้ง ... A = 9 ... ตรวจสอบคําตอบใน A + A − 5 = 5 แลวพบวาใชได
2 2
ดังนั้น x − 7 = 9 → x = 16 → x = 4, − 4 ... จึงตอบ {4, − 4}

ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล คือฟังก์ชันเลขยกกําลัง
กําหนดรูปทั่วไปเป็น f (x) = a x โดยค่าของฐาน a อยู่ในช่วง (0, 1) หรือ (1, ∞) เท่านั้น
นํามาเขียนกราฟได้ดังนี้
y y

(0,1) (0,1)
O x x
O
y = a x, a>1 y = a x, 0<a<1

ฟังก์ชันเพิ่ม ฟังก์ชันลด
ข้อสังเกต
1. ค่า x เป็นอะไรก็ได้ แต่ค่า y เป็นบวกเสมอ ... Dexp = R , Rexp = R+
2. ในที่นี้กราฟผ่านจุด (0, 1) เสมอ ... เนื่องจาก a0 = 1 ทุกๆ ค่า a ที่ไม่ใช่ศูนย์
3. จากการเลื่อนแกนทางขนาน จะได้สมการเอกซ์โพเนนเชียลเป็น y −k = a x − h

แบบฝึกหัด 8.1
(1) จงทําให้เป็นรูปอย่างง่าย
1
7 − 17 ⎛ 729n + 812n ⎞ n
(1.1) 32 ⋅ 4 (1.4) ⎜ n ⎟
⎝ 27 + 243n ⎠
⎛ 4 n ⋅ 9 n + 1 + 3 2n ⋅ 2 2n + 1 ⎞
(1.2) (x −3y −2z0)−2 (1.5) ⎜⎜ n 2n + 2 ⎟
⎝9 ⋅ 2 + 4 n ⋅ 3 2n + 1 ⎟⎠
⎛ 4x −2 − 4x −1 + 1 ⎞
(1.3) ⎜⎜ −2 −1 ⎟⎟
⎝ 2x − x ⎠

(2) จงทําให้เป็นรูปอย่างง่าย
2
⎛ 3 a 75 4a ⎞
(2.1) ⎜ a + − a + ⎟
⎝ 5 3 3 3⎠
⎛ 2 ⎞
(2.2) ⎜⎜ 2
x − x 4
+ 2x2
+ 1
⎟⎟
⎝ ⎠

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 190 ฟงกชันเอกซโพเนนเชียลและลอการิทึม

(3) ให้หาค่าของ
(3.1) ⎛⎜ 1 +1 2 +
1
2+ 3
+
1
3+ 4
+ ... +
1 ⎞
8 + 9 ⎟⎠

⎛ 5− 2 5 + 2⎞
(3.2) ⎜⎜ + ⎟
⎝ 5+ 2 5 − 2 ⎟⎠
(3.3) ( 18 + 320 )
(3.4) ( 10 + 84 − 10 − 84 )
⎛ 2 3 5 ⎞
(3.5) ⎜⎜ + − ⎟
⎝ 12 − 2 35 7 − 2 10 9 − 2 14 ⎟⎠

⎛ (6 + 35) − (6 − 35)3 2 ⎞
32
(3.6) ⎜ ⎟
⎝ 13 10 ⎠

(4) ตอบคําถามต่อไปนี้
6+ 3 6− 3
(4.1) [Ent’20] ให้หาค่าของ x2 − 4xy + y2 เมื่อ x = และ y =
6− 3 6+ 3
(4.2) ให้เรียงลําดับจํานวนจากน้อยไปมาก
ก. 3 25 3 ข. 5 20 3 ค. 7 15 3 ง. 9 10 3
(4.3) ถ้า 2.44 × 7.17 = 0.56 แล้ว ให้หาค่าของ 0.0244 × 71.7
3.9 × 8 390 × 0.008

(5) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
(5.1) ถ้า a x > 1 และ 0 < a < 1 แล้ว x > 0
(5.2) ถ้า x < 0 และ a > 1 แล้ว 0 < ax < 1
(5.3) 5 2 < 5 3
(5.4) (sin 1°) 3 < (sin 1°) 2
(5.5) (tan 46°) 2 < (tan 46°) 3
(6) ให้หาคําตอบของสมการ S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S
(6.1) [Ent’33] x 1/ 2 − x 1/ 4 − 6 = 0
ãˌËÒ¤‹Ò x ·Õè·Òí ãˌ 2x = 0
(6.2) 2x + 1 = x + 1 ¹Œo§æ ËÅÒ¤¹µoºÇ‹Ò 0 ... 测·è¨Õ Ãi§¤×o äÁ‹ÁÕ¤Òí µoº
(6.3) [Ent’33] 2x + 1 − x −3 = 2 1. 20 = 1 ¹a
(6.4) 2x −3 + x +2 = 7x −5 2. 2 ¡¡íÒÅa§´ŒÇ¨íҹǹ¨Ãi§ã´¡çäÁ‹Áշҧ䴌 0 ¹a¤Ãaº
æÅaäÁ‹Ç‹Ò¨ae»š¹eo¡«o¾e¹¹eªÕÂÅã´æ ¡çäÁ‹Á·Õ ҧ䴌 0
(6.5) x2 + 6 x2 −2x +5 = 11 + 2x
(´Ù¨Ò¡¡ÃÒ¿¡ç䴌¤Ãaº ¤‹Ò y ·Õè䴌µŒo§e»š¹ºÇ¡eÊÁo)
(6.6) (x + 1) 2 = 5( x2 +2x +2 − 1)
(6.7) x2 + 3x +15 + x2 + 3x +6 = 9
(6.8) 2x2 −6x −27 − x2 −6x −2 = x − 5
(6.9) 3 6(5x +6) − 3 5(6x −11) = 1

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 191 ฟงกชันเอกซโพเนนเชียลและลอการิทึม

8.2 การแก้สมการทีเ่ ป็นเอกซ์โพเนนเชียล


(1) สมการในรูป af(x) = bg(x) จะต้องแปลงฐานทั้งสองข้างให้เท่ากัน เพื่อกําจัดฐานทิ้งไป
ตามสมบัติที่ว่า aM = aN ↔ M = N
(2) ถ้ามีพจน์เลขยกกําลังฐานเดียวกัน บวกลบกันอยู่ เช่น ax , a2x อาจสมมติเป็นตัวแปร
A, A2 เพื่อให้คํานวณสะดวกขึ้นเช่นเดิม (ฐานมักจะเป็นจํานวนเฉพาะ) แต่ถ้ามีฐานอื่นอยู่ด้วย จะใช้
ตัวแปร B อีกอันก็ได้ และเมื่อจัดกลุ่มเลขยกกําลังเป็นพวกๆ แล้ว จึงทําการคํานวณต่อไป
(3) อสมการ ใช้สมบัติของฟังก์ชันเพิ่ม/ฟังก์ชันลด ในการกําจัดฐาน คือ
M N
a >a ↔ M > N เมื่อ a > 1 (ฟังก์ชันเพิ่ม)
และ a > aN ↔ M < N เมื่อ 0 < a < 1 (ฟังก์ชันลด)
M

• ตัวอยาง ใหหาคําตอบของสมการตอไปนี้
ก. (0.1)x +2 = 10 x
f(x) g(x)
วิธีคิด สมการอยูในรูป a = b จึงทําฐานใหเทากัน เชน ทําเปนฐาน 0.1
จะได (0.1)x +2 = ((0.1)−1)x ... ดังนั้น x + 2 = −x → 2x = −2 → x = −1
x x x
ข. 8 − 3 ⋅ 4 − 6 ⋅ 2 + 8 = 0
x
วิธีคิด สมการนีม้ ีเอกซโพเนนเชียลฐาน 2 ลวนๆ ดังนั้นสมมติให 2 = A เพื่อใหมองงายขึน้
3x 2x x 3 2
จะได 2 − 3 ⋅ 2 − 6 ⋅ 2 + 8 = 0 → A − 3A − 6A + 8 = 0
แยกตัวประกอบไดเปน (A − 4)(A − 1)(A + 2) = 0 ... ดังนัน้ A = 4, 1, − 2
x
นั่นคือ 2 = 4, 1, − 2 ... แสดงวา x = 2, 0
x
(สวนกรณี 2 = − 2 นั้นเปนไปไมได เพราะเอกซโพเนนเชียลตองมีคาเปนบวกเสมอ)

แบบฝึกหัด 8.2
(7) ให้หาคําตอบของสมการ
x x+3 x
(7.1) ⎛⎜ 1 ⎞⎟ = ⎛⎜ 1 ⎞⎟ (7.5) ⎛ 1⎞
⎜ ⎟ ⋅2 2x + 1
= 1
⎝4⎠ ⎝2⎠ ⎝2⎠
2
(7.2) 101 + x = 1002x (7.6) 18 8 − 4x = (54 2) 3x − 2
2x + 1 −4
(7.3) ⎛3⎞ = ⎛⎜
8 ⎞
(7.7) (5 + 2 6) x = 3+ 2
⎜ ⎟ ⎟
⎝2⎠ ⎝ 27 ⎠
x x−1
(7.4) ⎛ 4 ⎞ ⎛ 27 ⎞ = 1
⎜ ⎟ ⎜ ⎟
⎝9⎠ ⎝ 8 ⎠

(8) ให้หาคําตอบของสมการ
(8.1) 4 x + 1 + 64 = 2 x + 5
(8.2) 4 x + 2 − 2(4 x + 1) = 2 4x
(8.3) 2 2x + 2 − 9 ⋅ 2 x + 2 = 0
(8.4) [Ent’29,32] 2 2x + 1 − 9 ⋅ 2 x − 1 + 1 = 0
(8.5) 3 2x + 2 − 3 x + 3 − 3 x + 3 = 0

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 192 ฟงกชันเอกซโพเนนเชียลและลอการิทึม

(8.6) 3 2x + 3 − 55 = 28 (3 x − 2)
(8.7) [Ent’31,33] 6(2 5x) + 11(2 3x) − 3 (2 x) = 2 5x + 1
2 2
(8.8) [Ent’34] 3 1+ x + x − 2 + 9(3 − x + x − 2) = 28
(9) ให้หาคําตอบของสมการ
x x
(9.1) 3 (3 x + 3 − x) = 10 (9.3) ⎛ 4 ⎞ + ⎛ 3 ⎞ = 25
⎜ ⎟ ⎜ ⎟
⎝3⎠ ⎝4⎠ 12
x 1− x 1
(9.2) 3 (3 2x + 3 − 2x) = 10 (9.4) [Ent’35] + = 2
1− x x 6
(10) ให้หาคําตอบของสมการ
(10.1) 5 2x + 1 − 25 x = 4 x + (1/ 2) + 2 2x + 3
(10.2) 4 x − 3 x −(1/ 2) = 3 x + (1/ 2) − 2 2x − 1
(10.3) 6(3 2x) − 13 (6 x) + 6(2 2x) = 0
(10.4) 25(16 x) − 40 (20 x) + 16(5 2x) = 0
2 2
(10.5) [Ent’39] 3 x + 2x − 3 x + 1 − 9 x + 1 + 27 = 0

(11) ให้หาช่วงคําตอบของอสมการ
(11.1) 10 x + 1 < 1/10 x + 1 (11.5) (sin 1°)x + 5 > (sin 1°)2
2
(11.2) 2 x − 5 > 1/16 (11.6) (cot 1°)x + 5 < (cot 1°)2
2
(11.3) (0.5)x − 3x < (0.5)x − 3 (11.7) (cos 45°) x + 2 < (sin 45°)5
x2 + 2x + 8 x + 12
(11.4) ⎛ 1⎞ 1
< ⎛⎜ ⎞⎟ (11.8) ax
2 +7
< a 8(x − 1)
⎜ ⎟
⎝2⎠ ⎝4⎠

8.3 ฟังก์ชันลอการิทมึ และกฎของลอการิทึม


ฟังก์ชันลอการิทึม เป็นอินเวอร์สของเอกซ์โพเนนเชียล เขียนได้ในรูป f (x) = loga x
ความสัมพันธ์ระหว่างเอกซ์โพเนนเชียลและลอการิทึมคือ x = ay ↔ y = loga x
โดยค่าของฐาน a จะต้องอยู่ในช่วง (0, 1) หรือ (1, ∞) ซึ่งนํามาเขียนกราฟได้ดังนี้
y y

x (1,0)
O O x
(1,0)

y = loga x, a>1 y = loga x, 0<a<1

ฟังก์ชันเพิ่ม ฟังก์ชันลด
ข้อสังเกต
1. ค่า x ต้องเป็นบวกเสมอ ส่วนค่า y เป็นอะไรก็ได้ ... Dlog = R+ , Rlog = R
2. ในที่นี้กราฟผ่านจุด (1, 0) เสมอ ... แสดงว่า loga 1 = 0 ทุกๆ ค่า a ที่เป็นฐานได้
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 193 ฟงกชันเอกซโพเนนเชียลและลอการิทึม

3. จากการเลื่อนแกนทางขนาน จะได้สมการลอการิทึมเป็น y −k = loga(x −h)


4. loga x อ่านว่า “ล็อก x ฐาน a” หรือ “ลอการิทึม x ฐาน a”

กฎของลอการิทึมได้แก่
q
⎧ loga 1 = 0 • loga p b q = loga b
• ⎨ p
⎩ loga a = 1 ⎧⎪ mloga n = nloga m
⎧ loga(mn) = loga m + loga n • ⎨ log n
⎪ ⎪⎩ a a = n
• ⎨ ⎛m⎞
⎪ loga ⎜⎝ n ⎟⎠ = loga m − loga n • loga b =
logc b
=
1

logc a logb a

หมายเหตุ a, b, c, m, n ∈ R+ โดยที่ a, b, c ≠ 1 และ p, q ∈ R

หากลอการิทึมมีฐานเป็น 10 เรียกว่า ลอการิทึมสามัญ (Common Logarithms) อาจละไว้


ไม่ต้องเขียนฐานกํากับ คือเขียนเพียง log x ก็ได้ นอกจากนั้น ลอการิทึมที่มีฐานเป็นค่าคงที่ทาง
วิทยาศาสตร์ e ( ≈ 2.718 ) จะเรียกว่า ลอการิทึมธรรมชาติ (Natural Logarithms หรือ Napierian
Logarithms) และใช้สัญลักษณ์ ln x แทน loge x

การหาค่าลอการิทึมสามัญโดยใช้ตาราง
เนื่องจากในตารางระบุเพียงค่า log 1 จนถึง log 9.99 เท่านั้น
หากต้องการหาค่า log N เราจะต้องเขียนจํานวน N เป็นรูป N0 × 10 n เมื่อ 1 < N0 < 10
และใช้กฎของลอการิทึม ว่า log N = log (N0 × 10 n) = log N0 + n

ตัวอย่างเช่น log 1, 150 มีค่าเท่ากับ log (1.15 × 103) หรือ log (1.15) + 3
จากตารางพบว่า log (1.15) ≈ 0.0607 ดังนั้น log 1, 150 ≈ 3.0607

หมายเหตุ
1. หากค่า N0 ในตารางไม่ละเอียดพอ จะต้องใช้วิธีประมาณโดยเทียบสัดส่วนระยะทาง
2. เราเรียก n (เป็นจํานวนเต็มเสมอ) ว่า แคแรกเทอริสติก (Characteristic) ของ log N
และเรียก log N0 (มีค่าระหว่าง 0 ถึง 1 เสมอ) ว่า แมนทิสซา (Mantissa) ของ log N
3. ตารางที่กําหนดให้ เป็นค่าลอการิทึมสามัญ (ฐาน 10) เท่านั้น
ถ้าต้องการหาค่าลอการิทึมฐานอื่นๆ ต้องอาศัยกฎของลอการิทึมช่วยแปลงฐาน
นั่นคือ loga b = log b ÷ log a และ ln b = log b ÷ log e ( log e ≈ 0.4343 )

การหาค่าแอนติลอการิทึมโดยใช้ตาราง
จากตัวอย่างที่แล้ว เราทราบว่าค่า log ของ 1,150 เป็น 3.0607 (โดยประมาณ)
สามารถกล่าวแบบย้อนกลับได้ว่า ค่า antilog ของ 3.0607 เป็น 1,150

ตัวอย่างเช่น ต้องการหาค่า M ที่ทําให้ log M = 3.0607 เราต้องทํา 3.0607 ให้อยู่ในรูปผลบวก


ของแคแรกเทอริสติกกับแมนทิสซาก่อน นั่นคือ 3 + 0.0607 จากนั้นเปิดตารางได้เป็น
log 103 + log 1.15 หรือ log (1.15 × 103) ดังนั้น M ≈ 1, 150

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 194 ฟงกชันเอกซโพเนนเชียลและลอการิทึม

หมายเหตุ ต้องทําให้แมนทิสซาเป็นบวกเสมอ เช่น log M = −3.0607 ไม่ควรทําเป็น


−3 − 0.0607 แต่ต้องทําเป็น −4 + 0.9393 เพื่อให้คํานวณได้สะดวก

แบบฝึกหัด 8.3
(12) ให้หาค่าของ
(12.1) log 0.01 + log2 0.25 + log5 0.04 + log50 0.0004
(12.2) log2 cos 60° + 7 log3 tan 30° − log8 sin 90° + log4 sin 30°
(12.3) log 1 8 + log 1 2 + log2 1 + log8 1
2 8
8 2
15 24 ⎞ ⎛ 80 ⎞
(12.4) log (20) + 7 log ⎛⎜ ⎞⎟ + 5 log ⎛⎜ ⎟ + 3 log ⎜ ⎟
⎝ 16 ⎠ ⎝ 25 ⎠ ⎝ 81 ⎠
2 2 2
(12.5) + +
log5 50 log 50 log2 50
log2 24 log2 192
(12.6) −
log96 2 log12 2
(12.7) log2 1 ⋅ log3 2 ⋅ log4 3 ⋅ log4 5
(12.8) log2 3 ⋅ log3 4 ⋅ log4 5 ⋅ ... ⋅ logn(n+ 1) ⋅ log3132
(12.9) log4(log 81) − log4(log 3)
(12.10) 7 log 52 + 5 log2 4−3 − 2 log9 33
7

(13) ให้หาค่าของ
(13.1) 491− 0.25 log 7 25

1
( + 8 log81 5 + log9 4 + log3 5)
(13.2) 81 2 /9
log4096 64 log3 9
(13.3) 3 − 2
1 − log5 4 1 − log8 2 1 − log6 2 2 − log2 5
(13.4) 25 ⋅ 64 ⋅ 36 ⋅4
1/ 2
⎛ 161 − log4 3 ⋅ 361 − log6 3 ⎞
(13.5) ⎜ 1 − log 3
⎜ 25 − log7 3 ⎟


5 ⋅ 49 ⎠

1 1 1
(14) ให้เขียน + + เป็นรูปอย่างง่าย
1 + loga bc 1 + logb ca 1 + logc ab

(15) ตอบคําถามต่อไปนี้
(15.1) ให้หาค่า (g D f)(2) เมื่อกําหนด g (x) = log3 x และ f (x) = log2 x
(15.2) ให้หาค่า g (2 b) เมื่อกําหนด g (x) = log2b xx
(15.3) ให้หาค่า log 5 เมื่อทราบว่า log8 3 = p และ log3 5 = q
(15.4) [Ent’34] ถ้า x = log 3 (9−1)(27−4 / 3) และ y = log 25 − 2 log 5 + log 24 แล้ว
8 3 9
ให้หาค่าของ x + y
(15.5) ถ้า log7(11−6 2) = a และ log7(45+29 2) = b แล้ว ให้หาค่าของ 3a + 2b
(15.6) ถ้า loga x = 1 , logb x = 1/10 , logc x = 1/100 , logd x = 1/1000 แล้ว ให้หาค่า
ของ logabcd x

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 195 ฟงกชันเอกซโพเนนเชียลและลอการิทึม

logb(logb a)
(15.7) ถ้า p = เมื่อ a, b > 1 แล้ว ให้หาค่าของ ap
logb a
(15.8) [Ent’33] ถ้า 2 log2 a − 3 log2 b = 4 และ 3 log2 a − 4 log2 b = 6 แล้ว ให้หาค่า
ของ (a2b + log2a b ) 1/ 2
(15.9) ถ้า loga(x − m) = log a x − log a m แล้วให้หาค่าของ x2 − m2x + m3
(16) ให้หาโดเมนและเรนจ์ของฟังก์ชันต่อไปนี้
(16.1) y = log6(2−x) (16.4) y = log2 x − 3
(16.2) y = log1/ 3(−x) (16.5) y = − log5(3x2 −2)

(16.3) y = log x
(17) ให้หาแมนทิสซาและแคแรกเทอริสติกของค่าต่อไปนี้
(17.1) log 257 (17.3) 3.3010
(17.2) log 0.024 (17.4) −2.3010

(18) จํานวน 875 15 มีกี่หลัก เมื่อกําหนดให้ log 8.75 = 0.9420


[Hint : ถ้า log N = characteristic + mantissa จะได้ว่า N นั้นมีจํานวน c+1 หลัก]

8.4 การแก้สมการทีเ่ ป็นลอการิทึม


(1) สมการเรื่องลอการิทึม มักจะแก้ปัญหาโดยใช้กฎของลอการิทึม เช่น การทําให้ฐาน
เท่ากันเพื่อกําจัด log ทิ้งไป ตามสมบัติที่ว่า loga M = loga N ↔ M = N
(2) ถ้ามีพจน์คล้ายกันปรากฏอยู่ อาจสมมติเป็นตัวแปร A เพื่อให้คํานวณสะดวกขึ้น
(3) เมื่อได้คําตอบแล้ว ต้องตรวจสอบว่าใช้ได้หรือไม่ (เช่น ภายใน log ต้องเป็นบวกเสมอ)
(4) อสมการ ใช้สมบัติของฟังก์ชันเพิ่ม/ฟังก์ชันลด ในการกําจัดฐาน คือ
loga M > loga N ↔ M > N เมื่อ a > 1 (ฟังก์ชันเพิ่ม)
และ loga M > loga N ↔ M < N เมื่อ 0 < a < 1 (ฟังก์ชันลด)

• ตัวอยาง ใหหาคําตอบของสมการตอไปนี้
ก. log (2x − 1) + log (x + 3) = 2
2 2

วิธีคิด ใชสมบัตขิ อง log เปลี่ยนผลบวกกลายเปน log ผลคูณ ... log [(2x − 1)(x + 3)] = 2
2

ยายฐาน 2 ของ log ทางซาย ไปยกกําลังทางขวา จะได (2x − 1)(x + 3) = 4


2
กระจายพหุนามและแยกตัวประกอบ ... 2x + 5x − 7 = 0 → (2x + 7)(x − 1) = 0
นั่นคือ x = −3.5, 1 ... แต x = −3.5 ไมได เพราะจะทําใหภายใน log เปนลบ
ดังนั้นตอบ x = 1 เทานั้น
ข. 2 log x + log 9 = 3
9 x

วิธีคิด ให log x = A เพือ่ ใหมองงายขึ้น สมการจะกลายเปน 2A + A1 = 3


9

2 2
นํา A คูณทั้งสมการ แลวจัดรูปไดดังนี้ ... 2A + 1 = 3A → 2A − 3A + 1 = 0
แยกตัวประกอบ (2A − 1)(A − 1) = 0 ดังนัน้ A = 1/2, 2
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 196 ฟงกชันเอกซโพเนนเชียลและลอการิทึม
1/ 2 1
เนื่องจาก log x = 1/2, 1 ... จึงไดคําตอบเปน x = 9 , 9 นั่นคือ x = 3, 9
9

(หมายเหตุ ขอนี้ x อยูใน log และยังเปนฐานของ log ดวย จึงตองระวังเงื่อนไขเปนพิเศษ


คือ x หามติดลบ, หามเปน 0, และหามเปน 1)

แบบฝึกหัด 8.4
(19) ให้หาคําตอบของสมการ
(19.1) x + 8 = 10 log 8
(19.2) x log (2/ 3) = 2/3
(19.3) x 3 log x = 3 10, 000
(19.4) [Ent’38] 9 x − 3 x + log 2 = −1
3

2
(19.5) log4 log3 log2 7 log (x + 2x) = 0
7

1
(19.6) [Ent’33] log 1 log 1 log 1 = 0
3 2 6
x2 − x + 4
(19.7) logx + 4(x2− 1) = logx + 4(5− x)

(20) ให้หาคําตอบของสมการ
(20.1) [Ent’32] log (2x −5) + log (x + 1) = log (x2− x + 3)
(20.2) log (2x −1) + log (x + 1) = 2 log x2+ 1
(20.3) log 2 + log (4−5x −6x2) = 3 log 3 2x −1
(20.4) x2 log2(x2+2x −6) − 2x log2(x2+2x −6) = x2−2x
(20.5) 3 log8( x2+ 1+ x) + log2( x2+ 1− x) = log16(4x + 1) − 0.5
(21) ให้หาคําตอบของสมการ
(21.1) (log x)2 = log x2
(21.2) log x = log x
(21.3) [Ent’25] log2 x + 4 logx 2 = 5

(21.4) log3 x + 5 logx 3 = 7


2 2

(22) ให้หาคําตอบของ
(22.1) สมการ 3 2(x + 7) − 6(3 x + 7) + 8 = 0
(22.2) ระบบสมการ 5 x = 4 − y และ 5 2 + y = 42 − x

(23) ให้หาช่วงคําตอบของอสมการ
2
(23.1) (x3)x < (x)x (23.4) log a 5 > log 5 a
2
(23.2) [Ent’34] e x ln 2 < 2 x (23.5) log 100 x < 1 − log x + 15
4 2
(23.3) log x − 2(2x −3) > log x − 2(24−6x) (23.6) log x−1
(x −8x −2x + 1) > 4

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 197 ฟงกชันเอกซโพเนนเชียลและลอการิทึม

เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(1.1) 2 (1.2) x6y4 (11.1) (−∞, −1] (17.1) แมนทิสซา log 2.57
(1.3) 2 − x (1.4) 27 (11.2) R − [−1, 1] แคแรกเทอริสติก 2
(1.5) 11/7 (2.1) 3a2 /5 (11.3) R − [1, 3] (17.2) แมนทิสซา log 2.4
(2.2) –2 (3.1) 2 (11.4) R − [−4, 4] แคแรกเทอริสติก –2
(3.2) 14/3 (3.3) 10 + 8 (11.5) (−∞, −3) (11.6) (−∞, −3) (17.3) แมนทิสซา 0.3010
(11.7) R − [−7, 3] (11.8) (3, 5) แคแรกเทอริสติก 3
(3.4) 2 3 (3.5) 2 5 (17.4) แมนทิสซา 0.6990
(3.6) 1 (4.1) 30 เมื่อ a > 1 และ R − [3, 5] เมื่อ
0 < a < 1 (12.1) –8 แคแรกเทอริสติก –3
(4.2) ง-ก-ค-ข (4.3) 0.56 (18) 45 (19.1) 0
(5) ถูกทุกข้อ ยกเว้น (5.1) ผิด (12.2) –5 (12.3) –20/3
(12.4) 1 (12.5) 4 /(1 + log 5) (19.2) 10 (19.3) 10 ± 2/ 3
(6.1) 81 (6.2) 0, 4 (19.4) 0 (19.5) –4, 2
(6.3) 4, 12 (6.4) 2, 5/2 (12.6) 3 (12.7) 0 (12.8) 5 (19.6) –1, 2 (19.7) 2
(6.5) 1 (6.6) −1, − 1± 15 (12.9) 1 (12.10) 19 (20.1) 4 (20.2) 1
(6.7) –5, 2 (6.8) 9 (13.1) 49/5 (13.2) 24 ⋅ 512 (20.3) –3/2 (20.4) –4, 2
(6.9) 6, − 161/30 (13.3) 3 − 2 (13.4) 144 (20.5) 3/4 (21.1) 1, 100
(7.1) 3 (7.2) 2 ± 3 (13.5) 4.8 (14) 1 (15.1) 0 (21.2) 1, 104 (21.3) 2, 16
(7.3) 11/2, –13/2 (7.4) 3 (15.2) 2b (15.3) 3pq /(1+ 3pq) (21.4) 3, 3 5/ 2
(7.5) ไม่มีคาํ ตอบ (7.6) 22/17 (15.4) − log 3 (15.5) 6 (22.1) 2 log3 2−7, log3 2−7
(7.7) 1/2 (8.1) 2 (15.6) 1/1111 (15.7) log b a (22.2) x = 4 log 2 /(1+log 2)
(8.2) 3/2 (8.3) –2, 1 (15.8) 4 (15.9) 0 y = 2 (log 2− 1) /(1+log 2)
(8.4) –2, 1 (8.5) –2, 1 (16.1) (−∞, 2) กับ R
(8.6) –3, 0 (8.7) –1 (23.1) R+ − [1, 3]
(16.2) R − กับ R (23.2) (0, 1)
(8.8) –3, 2 (9.1) –1, 1
(9.2) –1/2, 1/2 (9.3) –1, 1 (16.3) R+ กับ [0, ∞) (23.3) (2, 3) ∪ (27/8, 4)
(9.4) 4/13, 9/13 (10.1) 1/2 (16.4) R − {3} กับ R (23.4) (0, 1/5) ∪ (1, 5)
(10.2) 3/2 (10.3) –1, 1 (16.5) R − [− 2/ 3, 2/ 3] กับ R
(23.5) (0, 5)
(10.4) 1 (10.5) 1/2, ± 2 (23.6) (1, 2) ∪ (3, ∞)

เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
(1.1) (25)7 ⋅ (22)−17 = 235 − 34 = 2 3 1 75 4 2
(2.1) a2( + − + )
(1.2) x6y4z0 = x6y4 5 3 3 3
3 1 5 3 4 2
(1.3) นํา x2 คูณทั้งเศษและส่วน = a2( + − + )
5 3 3 3
4 − 4x + x2 (2 − x)2
= =2−x 3 1 5 4 2 3 3a 2
2−x 2−x = a2( + − + ) = a2( )2 =
1 1 5 3 3 3 5 5
36n + 38n n 36n(1 + 32n) n
(1.4) ( 3n 5n
) = [ 3n ] 2 2
3 +3 3 (1 + 32n) (2.2) = 2
1 x2 − (x2 + 1)2 x − |x2 + 1|
= (33n)n = 33 = 27 ซึ่ง x2 + 1 เป็นบวกเสมอ ถอดค่าสัมบูรณ์ได้เลย
n n
4 ⋅ 9 (9 + 2) 11 2 2
(1.5) = → = = −2
4n ⋅ 9n(4 + 3) 7 x2 − (x2 + 1) −1

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 198 ฟงกชันเอกซโพเนนเชียลและลอการิทึม

(3.1) พิจารณา 1

1− 2
=
1− 2 (5.1) ax > a0 แต่ 0 < a < 1 (ฟังก์ชันลด)
1+ 2 1− 2 −1 ดังนัน้ x < 0 ข้อนี้ผดิ
1 2 − 3 2 − 3 (5.2) ถูก a > 1, x < 0 → 0 < ax < 1
และ ⋅ = ... ฯลฯ
2 + 3 2 − 3 −1 y
อาจดูจากกราฟ
จะได้วา่ โจทย์กลายเป็น ในกรณีฟังก์ชันเพิ่ม
1− 2 2− 3 3− 4 8− 9 ซีกซ้ายของแกน y 1
( + + + ... + )
−1 −1 −1 −1
1− 9 O x
= = 2
−1
(5.3) 5
มากกว่า 1 → ฟังก์ชนั เพิ่ม
( 5 − 2)2 + ( 5 + 2)2
(3.2) → 2 <
3 ถูก
( 5 + 2)( 5 − 2)
7 − 2 10 + 7 + 2 10 14 (5.4) sin 1° น้อยกว่า 1 → ฟังก์ชนั ลด
= =
3 3 → 3 > 2 ถูก

(3.3) 18 + 2 80 → บวกกันได้ 18 และคูณกัน (5.5) tan 46° มากกว่า 1 → ฟังก์ชน ั เพิ่ม


ได้ 80 คือ 10 กับ 8 → 2 < 3 ถูก
1
ดังนัน้ ตอบ 10 + 8 (6.1) ให้ x4 = A จะได้ A2 − A − 6 = 0
(3.4) 10 + 2 21 − 10 − 2 21 → (A − 3)(A + 2) = 0 → A = 3 หรือ −2
=( 7 + 3) − ( 7 − 3) = 2 3 1
จึงสรุปว่า x4 = 3 เท่านัน้ (รากทีส่ ี่จะติดลบไม่ได้)
2 3 5
(3.5) + − → x = 3 = 81 4
7 − 5 5 − 2 7 − 2
= ( 7 + 5) + ( 5 + 2) − ( 7 + 2) = 2 5 (6.2) ยกกําลังสอง → 2x + 1 = x + 2 x +1

(3.6) ใช้สูตร A3 − B3 = (A − B)(A2 + AB + B2) → x = 2 x → ยกกําลังสองอีกครั้ง


→ x2 = 4x → x(x − 4) = 0
โดยมอง A = 6 + 35 = 3.5 + 2.5
→ x = 0 หรือ 4 ใช้ได้ทั้งสองคําตอบ
และ B = 6 − 35 = 3.5 − 2.5
จะได้โจทย์กลายเป็น ( ∗ เมื่อมีการยกกําลัง ต้องตรวจคําตอบทุกครัง้ ∗ )
(2 2.5)(6 + 35 + 3.5 − 2.5 + 6 − 35)
(6.3) 2x + 1 = 2 + x − 3 → ยกกําลังสอง
13 10 → 2x + 1 = 4 + 4 x − 3 + x − 3
(2 2.5)(13) → x = 4 x−3 → ยกกําลังสองอีกครั้ง
= = 1
13 10 → x2 = 16(x − 3) → x2 − 16x + 48 = 0
(4.1) x2 − 4xy + y2 = (x − y)2 − 2xy → → (x − 12)(x − 4) = 0 → x = 12 หรือ 4
2 2
( 6 +
3) − ( 6 − 3) (ตรวจคําตอบแล้วพบว่าใช้ได้ทงั้ สองคําตอบ)
หาค่า x−y =
6−3 (6.4) ยกกําลังสอง
9 + 2 18 − 9 + 2 18 → 2x − 3 + 2 (2x − 3)(x + 2) + x + 2 = 7x − 5
= = 4 2 →
6−3
→ 2x2 + x − 6 = 2x − 2 ยกกําลังสองอีกครั้ง
หาค่า xy = 1 → ∴ (4 2)2 − 2(1) = 30
→ 2x2 + x − 6 = 4x2 − 8x + 4
(4.2) ก. (35)5 3 = 2435 3 → 2x2 − 9x + 10 = 0 → (2x − 5)(x − 2) = 0
ข. (54)5 3 = 6255 3 → x = 5/2 หรือ 2 (ใช้ได้ทั้งสองคําตอบ)
ค. (73)5 3 = 3435 3
(6.5) x2 − 2x − 11 + 6 x2 − 2x + 5 = 0
ง. (92)5 3 = 815 3 ∴ ง < ก < ค < ข
ให้ x2 − 2x + 5 = A จะได้
(4.3) จาก 2.44 × 7.17 = 0.56 (A2 − 16) + 6A = 0 → (A + 8)(A − 2) = 0
3.9 × 8
2.44 × (10−2) × 7.17 × (10) → A = −8 หรือ 2 แต่รู้ทไม่มีทางติดลบ ดังนั้น
จะได้วา่
3.9 × (102) × 8 × (10−3) 2
x − 2x + 5 = 2 เท่านัน้ → ยกกําลังสอง
= 0.56 × (10−2 + 1 − 2 + 3) = 0.56 → x2 − 2x + 5 = 4 → (x − 1)2 = 0 → x = 1
(ตรวจคําตอบแล้วใช้ได้)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 199 ฟงกชันเอกซโพเนนเชียลและลอการิทึม
2
(6.6) x2 + 2x + 1 = 5 x2 + 2x + 2 − 5 (7.2) 10(1 + x )
= 104x → 1 + x2 = 4x
ให้ x2 + 2x + 2 = A จะได้ → x =
4± 16 − 4
= 2± 3
A2 − 1 = 5A − 5 → A2 − 5A + 4 = 0 2
→ (A − 4)(A − 1) = 0 → A = 4 หรือ 1 (7.3) (3/2)|2x + 1| = [(3/2)−3 ]−4 → |2x + 1| = 12

ถ้า A = 4 จะได้วา่ x2 + 2x + 2 = 4 → x = 11 / 2 หรือ −13 / 2


2x
2
→ x + 2x + 2 = 16 → x = −1 ± 15 (7.4) (2/ 3) = [(2/ 3)3 ]x − 1 → 2x = 3x − 3
→ x = 3
แต่ถ้า A = 1 จะได้วา่ x2 + 2x + 2 = 1
x
→ x2 + 2x + 2 = 1 → x = −1 (7.5) (1/2) = (1/2) 2x + 1 → x = 2x + 1

∴ ตอบ −1, − 1 ± 15 → x = 2x + 1 → x = −1 ตรวจแล้วพบว่า ใช้ไม่ได้


(6.7) ให้ x2 + 3x + 15 = A เพราะทําให้ในรู้ทติดลบ ∴ ข้อนี้ ไม่มีคําตอบ
→ A + A −9 = 9 → A − 9 = A −9 (7.6) [(3 2)2 ]8 − 4x = [(3 2)3 ]3x − 2
→ 16 − 8x = 9x − 6 → x = 22 / 17
ยกกําลังสอง → A − 18 A + 81 = A − 9
(7.7) เนื่องจาก ( 3 + 2)2 = 5 + 2 6
→ A = 5 → A = 25 (ใช้ได้) ∴ x = 1/ 2
→ x2 + 3x + 15 = 25 ย้ายข้าง แยกตัวประกอบ
→ (x + 5)(x − 2) = 0
อาจใช้วิธี ทดลองยกกําลังสองดู กลายเป็น
(5 + 2 6)2x = 5 + 2 6 → 2x = 1 → x = 1 / 2
→ x = −5 หรือ 2
(8.1) 4 ⋅ 22x − 32 ⋅ 2x + 64 = 0 →
(6.8) ข้อนีจ้ ัดเป็น A ล้วนๆ ไม่ได้ มอง 2x เป็น A จะได้ 4A2 − 32A + 64 = 0
จึงต้องใช้วธิ ียกกําลังสอง ตามปกติ 2
→ 4(A − 4) = 0 → A = 4
2x2 − 6x − 27 = x2 − 6x − 2 + x − 5
→ 2x = 4 → x = 2
→ 2x2 − 6x − 27 =
(8.2) ให้ 4x = A → 16A − 8A = A2
2 2 2
x − 6x − 2 + 2(x − 5) x − 6x − 2 + x − 10x + 25 2
→ A − 8A = 0 → A(A − 8) = 0
→ 5x − 25 = (x − 5) x2 − 6x − 2 → A = 0 หรือ 8 → 4x = 8 เท่านัน้
2
→ 0 = (x − 5)( x − 6x − 2 − 5) x
(เพราะ 4 = 0 ไม่มี) → x = 3/2
2
→ x = 5 หรือ x − 6x − 2 = 5 (8.3) ให้ 2x = A → 4A2 − 9A + 2 = 0
2
→ x − 6x − 27 = 0 → (x − 9)(x + 3) = 0 → (A − 2)(4A − 1) = 0 → A = 2 หรือ 1 / 4
x = −3 หรือ 9 ดังนัน้ 2 = 2 หรือ 1 / 4 → x x
= 1 หรือ −2
ตรวจสอบคําตอบ พบว่า x = 5 และ −3 ใช้ไม่ได้ (8.4) ให้ 2x = A → 2A2 − 9 A + 1 = 0
∴ ตอบ x = 9 เท่านั้น 2
2
(6.9) 30x + 36 = 1 + 30x − 55
3 3 → 4A − 9A + 2 = 0 (สมการเหมื
อนข้อที่แล้ว)
ให้ 30x − 55 = A จะได้ 3 A + 91 = 1 + 3 A → x = 1 หรือ −2
1/ 3 2/3
ยกกําลังสาม A + 91 = 1 + 3A + 3A + A (8.5) ให้ 3x = A → 9A2 − 27A − A + 3 = 0
→ 0 = A2 / 3 + A1 / 3 − 30 → 9A2 − 28A + 3 = 0 → (9A − 1)(A − 3) = 0
→ (A1 / 3 + 6)(A1 / 3 − 5) = 0 → A = 1/ 9 หรือ 3 → 3x = 1 / 9 หรือ 3
1/ 3
→ A = 5 หรือ −6 (รากทีส่ าม ค่าติดลบได้) → x = −2 หรือ 1
∴ A = 53 = 125 → 30x − 55 = 125 → x = 6 (8.6) ให้ 3x = A → 27A2 − 55 = 28A − 56
3
หรือ A = (−6) = − 216 → 30x − 55 = − 216 2
→ 27A − 28A + 1 = 0 → (27A − 1)(A − 1) = 0
→ x = −161 / 30 → A = 1 / 27 หรือ 1 → 3x = 1 / 27 หรือ 1
2x x+3
(7.1) (1 / 2) = (1 / 2) → 2x = x + 3 → x = −3 หรือ 0
→ x = 3

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 200 ฟงกชันเอกซโพเนนเชียลและลอการิทึม

(8.7) ให้ 2x = A → 6A5 + 11A3 − 3A = 2A5 (10.2) ให้ A = 4x , B = 3x → จะได้


5 3
→ 4A + 11A − 3A = 0 → A (4A + 11A − 3) = 0 4 2 B A 3 B
A − = 3B − → A = 3B +
2 2 3 2 2 3
→ A(4A − 1)(A + 3) = 0
3 3 A 8 4 4
→ A = 0 หรือ A2 = 1 / 4 ( A2 = −3 ไม่ได้) → A = 4B → = =
2 B 3 3 3 3
→ 2x = 0 (ไม่ได้) หรือ 22x = 1 / 4 → x = −1 4 4 4 3
9 ∴ ( )x = → x =
(8.8) ให้ 3 x2 + x − 2
= A → 3A +
= 28 3 3 3 2
A
(10.3) ให้ 3x = A, 2x = B
→ 3A2 − 28A + 9 = 0 → (3A − 1)(A − 9) = 0
→ 6A − 13AB + 6B2 = 0
2
→ A = 1/ 3 หรือ A = 9
→ (2A − 3B)(3A − 2B) = 0
→ x2 + x − 2 = −1 (ไม่ได้) A 3 2
ดังนัน้ = หรือ
หรือ 2
x +x−2 = 2 B 2 3
→ x2 + x − 6 = 0 → (x + 3)(x − 2) = 0 3 3 2
→ ( )x = หรือ → x = 1 หรือ −1
2 2 3
→ x = −3 หรือ 2
(10.4) ให้ 4x = A, 5x = B
x
(9.1) ให้ 3 = A → 3(A + 1/ A) = 10
→ 25A2 − 40AB + 16B2 = 0 → (5A − 4B)2 = 0
→ 3A2 − 10A + 3 = 0 → (3A − 1)(A − 3) = 0 A 4
ดังนัน้ = → x = 1
→ A = 1/ 3 หรือ 3 → 3x = 1 / 3 หรือ 3 B 5
2
→ x = −1 หรือ 1 (10.5) ให้ 3x = A, 32x = B
(9.2) ให้ 32x = A → 3(A + 1/ A) = 10 → AB − 3A − 9B + 27 = 0
→ A(B − 3) − 9(B − 3) = 0
(เหมือนข้อที่แล้ว) → 32x = 1/ 3 หรือ 3 →
→ (A − 9)(B − 3) = 0 → A = 9 หรือ B = 3
x = −1 / 2 หรือ 1 / 2
x2 2x
→ 3 = 9 หรือ 3 = 3
(9.3) ให้ (4/ 3)x = A → A + 1 = 25
A 12 ดังนัน้ x = ± 2 หรือ
1/ 2
→ 12A2 − 25A + 12 = 0 → (4A − 3)(3A − 4) = 0 x+1 −(x + 1)
(11.1) 10 < 10 → ฟังก์ชน
ั เพิ่ม
3 4 4 3 4
→ A = หรือ → ( )x = หรือ → x + 1 < −(x + 1) → x < −1 ตอบ (−∞, −1]
4 3 3 4 3
2
→ x = −1 หรือ 1 (11.2) 2x − 5 > 2−4 → ฟังก์ชนั เพิ่ม
x 1 13 → x2 − 5 > −4 → x2 − 1 > 0
(9.4) ให้ = A → A+ =
1− x A 6 ตอบ (−∞, −1) ∪ (1, ∞) หรือ R − [−1, 1]
→ 6A2 − 13A + 6 = 0 → (3A − 2)(2A − 3) = 0 2
(11.3) 0.5x − 3x < 0.5x − 3 → ฟังก์ชนั ลด
2 3 x 2 3 → x2 − 3x > x − 3 → x2 − 4x + 3 > 0
→ A = หรือ → = หรือ
3 2 1− x 3 2 ตอบ (−∞, 1) ∪ (3, ∞) → หรือ R − [1, 3]
ถ้า x = 2 → x = 4 2
(11.4) (1 / 2)x + 2x + 8 < (1 / 2)2x + 24
1− x 3 1− x 9
→ x2 + 2x + 8 > 2x + 24 → x2 − 16 > 0
→ 9x = 4 − 4x → x = 4 / 13
x 3 x 9
ตอบ R − [−4, 4]
หรือ ถ้า = → =
(11.5) ฟังก์ชนั ลด (เพราะ sin 1° < 1 )
1− x 2 1− x 4
→ 4x = 9 − 9x → x = 9 / 13 → x + 5 < 2 → x < −3 ตอบ (−∞, −3)
(10.1) ให้ A = 25 , B = 4 x x
→ (11.6) ฟังก์ชนั เพิ่ม (เพราะ cot 1° > 1 )
จะได้ 5A − A = 2B + 8B → 4A = 10B → x + 5 < 2 → ตอบ (−∞, −3)


A
=
5 25
→ ( )x =
5
→ x =
1 (11.7) ( 1 )|x + 2| < ( 1 )5 → ฟังก์ชนั ลด
B 2 4 2 2 2 2
→ | x + 2 |> 5 →
ตอบ (−∞, −7) ∪ (3, ∞) หรือ R − [−7, 3]

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 201 ฟงกชันเอกซโพเนนเชียลและลอการิทึม

(11.8) ถ้า a > 1 → x2 + 7 < 8x − 8 (13.1) 49 ÷ 49


0.25 log 7 25
= 49 ÷ 25
0.25 log 7 49

0.5
2
→ x − 8x + 15 < 0 → (x − 5)(x − 3) < 0 = 49 ÷ 25 = 49 / 5
→ (3, 5) (9 ⋅ 58 ⋅ 42 ⋅ 54)
(13.2) = 24 ⋅ 512
ถ้า 0 < a < 1 → x2 + 7 > 8x − 8 9
1
log 26 log3 32 2
→ x2 − 8x + 15 > 0 → R − [3, 5] (13.3) 3 212
− 2 = 32 − 2
∴ ตอบ (3, 5) เมื่อ a > 1 และ = 3 −2
R − [3, 5] เมื่อ 0 < a < 1 25 64 36 16
(13.4) ⋅ ⋅ ⋅ = 144
42 22 22 52
(12.1) log 10−2 + log2 2−2 + log5 5−2 + log50 50−2 1/ 2
⎛ 16 ⋅ 36 ⎞
= −2 − 2 − 2 − 2 = −8 ⎜ 32 32 ⎟ 4⋅6
(13.5) ⎜ 25 1 ⎟ = = 4.8
[หมายเหตุ 0.01 = 1 = 10−2 , 0.25 = 1 = 2−2 ⎜⎜ 2 ⋅ 2 ⎟⎟
5
100 4 ⎝3 3 ⎠
1 −2 [หมายเหตุ ข้อ 13.1, 13.2, 13.4, 13.5
0.04 = = 5 , ... ]
25
ใช้กฎที่วา่ Alog B = Blog A ]
m m

(12.2) log2( 1) + 7 log3( 1 ) − log8(1) + log4( 1) (14) พิจารณา 1 1


2 3 2 =
1 + loga bc loga a + loga bc
= −1 + 7(−1 / 2) − 0 + (−1 / 2) = −5
1 log a
[หมายเหตุ log4( 1) = log22 (2−1) = − 1 ]
= =
loga abc log abc
2 2
1 log b
(12.3) log2−1 23 + log2−3 2 + log2 2−3 + log23 2−1 และเช่นกัน =
1 + logb ac log abc
1 1 20 1 log c
= −3 − −3− = − และ =
3 3 3 1 + logc ab log abc
(12.4) log 20 + 7 log 15 − 7 log 16 + 5 log 24
ดังนัน้ จะได้ log a + log b + log c = 1
− 5 log 25 + 3 log 80 − 3 log 81 log abc
= (2 log 2 + log 5) + (7 log 3 + 7 log 5) (15.1) (gof)(2) = g(f(2)) = g(1) = 0
− (28 log 2) + (15 log 2 + 5 log 3) − (10 log 5) (15.2) g(2b) = log2b 2b2b = 2b
+ (12 log 2 + 3 log 5) − (12 log 3)
(15.3) จาก pq = log8 3 ⋅ log3 5 = log 5
= log 2 + log 5 = log 10 = 1 log 8

(12.5) 2 log 5 + 2 + 2 log 2 ∴ log 5 = pq log 8 = pq(3 log 2)


log 50 log 50 log 50 = pq(3(1 − log 5)) = 3pq − 3pq log 5
4 4 3pq
= = → (1 + 3pq) log 5 = 3pq → log 5 =
log 50 1 + log 5 1 + 3pq
(12.6) log2 24 log2 96 − log2 192 log2 12 (15.4) x = log 3 3−2 ⋅ 3−4 = log(3−2)
3 5 6 2
= log2(2 ⋅ 3) log2(2 ⋅ 3) − log2(2 ⋅ 3) log2(2 ⋅ 3) y = 2 log 5 − 3 log 2 − 2 log 5 + 2 log 3
= (3 + log2 3)(5 + log2 3) − (6 + log2 3)(2 + log2 3) + 3 log 2 + log 3 − 2 log 3 = log 3
2
= 15 + 8 log2 3 + [log2 3] − 12 − 8 log2 3 − [log2 3]
2
∴ x + y = −2 log 3 + log 3 = − log 3
= 3 (15.5) 3a + 2b
(12.7) log2 1 = 0 → ∴ ตอบ 0 = log7(11 − 6 2)3 + log7(45 + 29 2)2
log 3 log 4 log 5 log 32 = log7 [(11 − 6 2)3(45 + 29 2)2 ]
(12.8) ⋅ ⋅ ⋅ ... ⋅
log 2 log 3 log 4 log 31
= log7 [(3,707 − 2,610 2)(3,707 + 2,610 2)]
log 32
= = 5
log 2 = log7(117,649) = log7(76) = 6
log 81 (15.6) จาก log a = log x และ log b = 10 log x
(12.9) log4( ) = log4 4 = 1
log 3 และ log c = 100 log x และ log d = 1000 log x
log 7 7
(12.10) 52 + 5 log2 2−6 − 2 log32 33 นํามาบวกกัน จะได้ log abcd = 1111 log x
= 52 + (−30) − 2(3 / 2) = 19 ∴ logabcd x = 1 / 1111

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 202 ฟงกชันเอกซโพเนนเชียลและลอการิทึม

(15.7) p = loga(logb a) (19.4) 32x − 3x ⋅ 2 = −1 → 32x − 2 ⋅ 3x + 1 = 0


→ ap = aloga (logb a) = logb a → (3x − 1)2 = 0 → 3x = 1 → x = 0
(15.8) 2 log2 a − 3 log2 b = 4 .....(1) (19.5) log4 log3 log2(x2 + 2x) = 0
และ 3 log2 a − 4 log2 b = 6 .....(2) → log3 log2(x2 + 2x) = 40 = 1

แก้ระบบสมการได้ log2 a = 2 และ log2 b = 0 → log2(x2 + 2x) = 31 = 3 → x2 + 2x = 23 = 8

∴ a = 4, b = 1 → ตอบ (42 + log8 1)1 / 2 = 4 ดังนัน้ (x + 4)(x − 2) = 0 → x = −4 หรือ 2

(15.9) loga(x − m) = 2 loga x − 2 loga m (19.6) วิธีเดียวกับข้อทีแ่ ล้ว จะได้ผลเป็น


x x 1 1
→ loga(x − m) = loga( )2 → x − m = ( )2 = → x2 − x + 4 = 6
m m x2 − x + 4 6
→ xm2 − m3 = x2 → ∴ x2 − m2x + m3 = 0 → (x − 2)(x + 1) = 0 → x = 2, −1

(16.1) โดเมน 2−x > 0 → x < 2 (19.7) x2 − 1 = 5 − x → x2 + x − 6 = 0


D = (−∞, 2) และเรนจ์ R = R → (x + 3)(x − 2) = 0 → x = −3, 2

(16.2) โดเมน −x > 0 → x < 0 ตรวจสอบคําตอบที่ได้ → พบว่า x = −3 ไม่ได้


D = (−∞, 0) = R

และเรนจ์ R = R เพราะจะเกิดฐานเป็น 1 → ∴ x = 2 เท่านัน้
(16.3) โดเมน x > 0 D = (0, ∞) = R+ (20.1) (2x − 5)(x + 1) = (x2 − x + 3)
→ x2 − 2x − 8 = 0 → (x − 4)(x + 2) = 0
และเรนจ์ R = [0, ∞) (เพราะมีคา่ สัมบูรณ์)
ดังนัน้ x = 4, −2 ตรวจสอบคําตอบ พบว่า
(16.4) โดเมน |x − 3| > 0 → เป็นจริงเสมอ
x = −2 ไม่ได้ เพราะทําให้เกิดติดลบใน log
ยกเว้น x = 3 ∴ D = R − {3} จึงได้ x = 4 เท่านั้น
และเรนจ์ R = R (20.2) (2x − 1)(x + 1) = x2 + 1
(16.5) โดเมน (3x2 − 2) > 0 → x2 + x − 2 = 0 → (x + 2)(x − 1) = 0
→ ( 3x − 2)( 3x + 2) > 0 → x = −2, 1 ตรวจสอบคําตอบ พบว่า x = −2
2 2 ไม่ได้ เช่นเดียวกับข้อ 20.1 ... ดังนั้น x = 1
เขียนเส้นจํานวน ∴ D = R − [− , ]
3 3 เท่านั้น
และเรนจ์ R = R (20.3) 2(4 − 5x − 6x2) = 2x − 1
(17.1) log 257 = log 2.57 + 2 → 12x2 + 12x − 9 = 0 → 3(2x + 3)(2x − 1) = 0
∴ แมนทิสซา = log 2.57, แคเรกเทอริสติก = 2 ดังนัน้ x = −3/2, 1/2 ตรวจสอบคําตอบ พบว่า
(17.2) log 0.024 = log 2.4 − 2 x = 1 / 2 ไม่ได้ (จะเกิด log 0 ) ∴ x = −3 / 2
∴ แมนทิสซา = log 2.4, แคแรกเทอริสติก = −2 (20.4) (x2 − 2x) log2(x2 + 2x − 6) = x2 − 2x
(17.3) 3.3010 = 3 + 0.3010 → (x2 − 2x)(log2(x2 + 2x − 6) − 1) = 0
∴ แมนทิสซา = 0.3010, แคเรกเทอริสติก = 3
→ x = 0 หรือ 2 หรือ log2(x2 + 2x − 6) = 1
(17.4) −2.3010 = −3 + 0.6990
→ (x2 + 2x − 6) = 2 → (x + 4)(x − 2) = 0
∴ แมนทิสซา = 0.6990, แคแรกเทอริสติก = −3
→ x = −4 หรือ 2
(18) log(875)15 = 15 log 875
= 15(2 + 0.9420) = 44.13 → ตรวจคําตอบพบว่า x = 0 ใช้ไม่ได้ (ติดลบใน log)
15
ดังนัน้ 875 มี 45 หลัก ∴ x = −4, 2 เท่านัน ้
(19.1) x + 8 = 8 → x = 0 (20.5) log2( x + 1 + x) + log2( x2 + 1 − x)
2

(19.2) (2/ 3)log x = (2/ 3) → log x = 1 → x = 10 = log16(4x + 1) − 0.5

(19.3) ใส่ log ทั้งสองข้าง จะได้ → log2(x2 + 1 − x2) = log16(4x + 1) − 0.5

→ log x3 log x = (1 / 3) log 10,000 → 0 = log16(4x + 1) − 0.5


→ 0.5 = log16(4x + 1) → 4x + 1 = 4
→ 3(log x)2 = 4 / 3
→ x = 3/4 (ตรวจคําตอบแล้วใช้ได้)
→ log x = ± 2/3 → x = 102 / 3 หรือ 10−2 / 3

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 203 ฟงกชันเอกซโพเนนเชียลและลอการิทึม

(21.1) ให้ log x = A → A2 = 2A อินเตอร์เซคกับเงือ่ นไข ได้เป็น (27 / 8, ∞)


2
→ A − 2A = 0 → A = 0 หรือ 2 และเงื่อนไข ใน log ต้องมากกว่า 0
→ x = 1 , 100 24 − 6x > 0 → x < 4

(21.2) ให้ log x = A → A / 2 = A


∴ ตอบ (2, 3) ∪ (27 / 8, 4)
→ A2 / 4 = A → A2 − 4A = 0
(23.4) ให้ A = log5 a
→ A = 0 หรือ 4 → x = 1 , 104
กรณีแรก 0 < a < 1 (ฟังก์ชันลด)
จะได้ 1/ A > A → 1/ A − A > 0
(21.3) ให้ log2 x = A → A + 4/ A = 5
2
นํา A คูณ → 1 − A2 < 0
→ A − 5A + 4 = 0 → A = 1 หรือ 4
A2 − 1 > 0 ดังนั้น A > 1 , A < −1
→ x = 2 , 16
นั่นคือ a > 5 , a < 1 / 5
5 7
(21.4) ให้ log3 x = A → A + = อินเตอร์เซคกับเงือ่ นไข ได้เป็น (0, 1 / 5)
2A 2
→ 2A2 − 7A + 5 = 0 → A = 5 / 2 หรือ 1 กรณีที่สอง a > 1 (ฟังก์ชันเพิ่ม)
→ x = 3 5/2
, 3 จะได้ 1/ A − A > 0 นํา A คูณ
→ 1 − A2 > 0 → A2 − 1 < 0
(22.1) ให้ 3x + 7 = A → A2 − 6A + 8 = 0
→ A = 2, 4 → 3x + 7 = 2 หรือ 4
ดังนัน้ −1 < A < 1 นัน่ คือ 1 / 5 < a < 5
อินเตอร์เซคกับเงือ่ นไข ได้เป็น (1, 5)
→ x + 7 = log3 2 หรือ log3 4
∴ ตอบ (0, 1 / 5) ∪ (1, 5)
→ x = log3 2 − 7 หรือ 2 log3 2 − 7
(23.5) 1 log x < log 10 − log x + 15
(22.2) x log 5 + y log 4 = 0 ..... (1) 2
x log 4 + y log 5 = 2 log 4 − 2 log 5 ..... (2) 1/ 2 10
→ x < → ยกกําลังสองได้
x + 15
แก้ระบบสมการตามปกติ ได้ผลเป็น
− log 4(2 log 4 − 2 log 5) เพราะเป็นบวกทัง้ สองข้าง → x(x + 15) < 100
x = 2
(log 5)2 − (log 4)2 → x + 15x − 100 < 0 → (x + 20)(x − 5) < 0
2 log 4 4 log 2 จะได้ −20 < x < 5 ... ตรวจสอบเงือ่ นไข log และ
= =
log 5 + log 4 1 + log 2 เงื่อนไขรูท้ → x > 0, x + 15 > 0
และ y = 2(log 2 − 1) ∴ คําตอบเป็น (0, 5) เท่านั้น
1 + log 2
(23.6) log x − 1(x − 8x − 2x + 1) > log x − 1( x − 1)
4 2 4

(23.1) มี 2 กรณี ขึน้ กับฐานว่าเป็นฟังก์ชันลดหรือ


เพิ่ม ... กรณีแรก 0 < x < 1 (ฟังก์ชันลด) กรณีแรก ถ้า 1 < x < 2 (ฟังก์ชนั ลด)
จะได้ x4 − 8x2 − 2x + 1 < (x − 1)2
จะได้ 3x > x2 → x2 − 3x < 0
→ x (x − 3) < 0 → x ∈ (0, 3) → x4 − 9x2 < 0 → x2(x2 − 9) < 0
→ x2(x − 3)(x + 3) < 0 เขียนเส้นจํานวนได้
อินเตอร์เซคกับเงือ่ นไข ได้เป็น (0, 1)
x ∈ (−3, 3) − {0}
กรณีที่สอง x > 1 (ฟังก์ชันเพิ่ม)
จะได้ 3x < x2 → x2 − 3x > 0 อินเตอร์เซคกับเงือ่ นไขช่วง ได้เป็น (1, 2) เท่านั้น
→ x (x − 3) > 0 → x ∈ (−∞, 0) ∪ (3, ∞) กรณีที่สอง ถ้า x > 2 (ฟังก์ชันเพิ่ม)
อินเตอร์เซคกับเงือ่ นไข ได้เป็น (3, ∞) จะได้ x4 − 8x2 − 2x + 1 > (x − 1)2
→ x2(x − 3)(x + 3) > 0 เขียนเส้นจํานวนได้
∴ ตอบ (0, 1) ∪ (3, ∞) หรือ R − [1, 3]
2
x ∈ (−∞, −3) ∪ (3, ∞)
(23.2) 2x < 2x → x2 < x อินเตอร์เซคกับเงือ่ นไขช่วง ได้เป็น (3, ∞) เท่านั้น
→ x2 − x < 0 → x(x − 1) < 0 ตอบ (0, 1) สรุป ช่วงคําตอบรวมคือ (1, 2) ∪ (3, ∞)
(23.3) กรณีแรก 2 < x < 3 (ฟังก์ชันลด) ตรวจสอบกับเงื่อนไข log และรู้ท
จะได้ 2x − 3 < 24 − 6x → x < 27 / 8 x4 − 8x2 − 2x + 1 > 0, x−1> 0
อินเตอร์เซคกับเงือ่ นไข ได้เป็น (2, 3) พบว่าใช้ได้หมด ดังนัน้ ตอบ (1, 2) ∪ (3, ∞)
กรณีที่สอง x > 3 (ฟังก์ชันเพิ่ม)
จะได้ 2x − 3 > 24 − 6x → x > 27 / 8
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 204 ฟงกชันเอกซโพเนนเชียลและลอการิทึม

eÃ×èo§æ¶Á
จําเป็นต้องตรวจคําตอบของสมการ (หรืออสมการ) เมื่อใดบ้าง..
(1-บทที่ 2) เมื่อในโจทย์มีตวั แปรอยูท่ ี่ส่วน (เศษส่วน)
1 2x
* สมการ เช่น = ย้ายข้างคูณไขว้ได้
x−1 3x − 1
1 2x
* อสมการ เช่น > แบบนี้หา้ มคูณไขว้ ให้ย้ายมาลบกัน
x−1 3x − 1
1 2x
* แต่ถ้าเป็นแบบนี้ > สามารถคูณไขว้ได้ เพราะมัน่ ใจว่าส่วนไม่ตดิ ลบแน่นอน..
x−1 3x − 1

แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบใด, คูณไขว้ได้หรือไม่.. เมื่อได้ช่วงคําตอบแล้วต้องตัดค่า x ที่ทาํ ให้ส่วนเป็น 0 ทิ้งไปเสมอ

(2-บทที่ 2) เมื่อในโจทย์มีคา่ สัมบูรณ์ และจะใช้วธิ ียกกําลังสองทั้ง 2 ข้าง


เช่น 2x − 1 < 3x + 2 สามารถยกกําลังสองได้ เพราะมั่นใจว่าเป็นบวกทัง้ 2 ข้าง
แต่อย่าลืมเพิ่มเงือ่ นไขว่า ฝั่งขวามากกว่าหรือเท่ากับ 0 ด้วย (ให้ตัดช่วงคําตอบทีข่ ัดแย้งกับเงื่อนไขนี้ทงิ้ ไป)

(3-บทที่ 7) เมื่อในโจทย์มีฟงั ก์ชนั ตรีโกณมิตทิ ี่ไม่ใช่ sin กับ cos


เช่น 2 sin x = sec x มีฟังก์ชัน sec จึงต้องระวัง คําตอบที่ทาํ ให้ cos x = 0 จะใช้ไม่ได้
cosec x + cot x > 5/ 3 มีฟังก์ชัน cosec และ cot จึงต้องระวัง คําตอบที่ทาํ ให้ sin x = 0 จะใช้ไม่ได้

(4-บทที่ 7) เมื่อในโจทย์มีฟงั ก์ชนั ตรีโกณมิตผิ กผัน (หมายถึง arc- ต่างๆ)


เช่น arcsin (2x + 1) − arcsin (2x −1) = arccos (−1) แก้โดยใส่ cos หรือ sin ทัง้ สองข้างของสมการ
แต่ตอ้ งระวังว่าคําตอบที่ได้อาจไม่อยู่ในช่วงโดเมนมาตรฐาน (เช่นถ้าได้ x=1 จะใช้ไม่ได้ เพราะไม่มี arcsin3)
และยังต้องตรวจว่าคําตอบที่ได้ทาํ ให้สมการเป็นจริงหรือไม่

(5-บทที่ 8) เมื่อในโจทย์มี log


เช่น log2(2x − 1) + log2(x + 3) = 2 ต้องระวังว่า ภายในฟังก์ชัน log ต้องมากกว่าศูนย์เสมอ
และยังต้องตรวจว่าคําตอบที่ได้ทาํ ให้สมการเป็นจริงหรือไม่
2 log9 x + logx 9 = 3 มีตัวแปรทัง้ ใน log และที่ฐานของ log จึงต้องระวังทั้งสองอย่างคือ
ภายในฟังก์ชัน log ต้องมากกว่าศูนย์, ทีฐ่ านต้องมากกว่าศูนย์และไม่เท่ากับหนึ่ง
และยังต้องตรวจว่าคําตอบที่ได้ทาํ ให้สมการเป็นจริงหรือไม่

(6-บทที่ 8) เมื่อในโจทย์มีรากที่ n (หรือยกกําลัง 1/n) เมื่อ n เป็นจํานวนคู่


เช่น 2x + 1 − x −3 = 2 มีรากทีส่ อง จึงใช้วิธียกกําลังสองเพือ่ กําจัดเครื่องหมายรูท้
ต้องระวังคําตอบที่ได้วา่ ภายในรู้ทห้ามติดลบ (แต่ถ้าเป็นรากทีส่ าม ในรูท้ ติดลบได้)
และยังต้องตรวจว่าคําตอบที่ได้ทาํ ให้สมการเป็นจริงหรือไม่

(7-บทที่ 16) เมื่อในโจทย์มีแฟคทอเรียลของตัวแปร


เช่น (x + 3)! = 30(x + 1)! คําตอบที่ได้จะต้องทําให้หน้าแฟคทอเรียลเป็นจํานวนนับหรือศูนย์เท่านัน้
2 Px,2 + 50 = P2x,2 เมื่อกระจายแล้วจะมีแฟคทอเรียลเช่นกัน อย่าลืมตรวจคําตอบด้วยนะ :]

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 205 เมตริกซ

[m t r x]

º··Õè 9 eÁµÃi¡«
เมตริกซ์ (Matrix) เป็นกลุ่มของจํานวนที่เรียง
กันเป็นรูปสี่เหลี่ยม ภายในเครื่องหมายวงเล็บ ( )
หรือ [ ] เรียกจํานวนแต่ละจํานวนที่อยู่ในเมตริกซ์ว่า
สมาชิก (Entry) เราศึกษาเรื่องเมตริกซ์เพื่อใช้ช่วยใน
การแก้ระบบสมการเชิงเส้นหลายตัวแปร ซึ่งจะได้
อธิบายไว้ในหัวข้อสุดท้ายของบทนี้
⎛ 7 5⎞
ตัวอย่างเมตริกซ์ เช่น ⎜ 6 0 ⎟ , ⎡ 1 0 −2 ⎤ , ⎡3 4⎤
⎜⎜ ⎟⎟ ⎣ ⎦ ⎢2 2 ⎥
⎣ ⎦
⎝ −5 2 ⎠
ขนาดของเมตริกซ์ เรียกว่า มิติ (Dimension) (คิดจากจํานวน แถว; row คูณ หลัก; column)
ในตัวอย่างเป็นเมตริกซ์ที่มีมิติ 3×2, 1×3, 2×2 ตามลําดับ ... เมตริกซ์สองเมตริกซ์ จะเท่ากันได้ก็
ต่อเมื่อ “มีมิติเดียวกัน” (แปลว่า ขนาดเท่ากัน) และสมาชิกในตําแหน่งเดียวกันต้องมีค่าเท่ากัน

การเรียกชื่อเมตริกซ์นิยมใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ เช่น A, B, C และอาจเขียนมิติกํากับเป็นตัวห้อย


ไว้ เช่น A3 × 2 , B1× 3 , C2 × 2 โดยจะเรียกชื่อสมาชิกเป็นตัวพิมพ์เล็ก ที่มีตัวห้อยบอกตําแหน่งแถวและ
หลัก ในรูป aij (แถวที่ i และหลักที่ j) เช่น
⎡ a11 a12 ⎤
A = ⎢a21 a22 ⎥ B = ⎣⎡ b11 b12 b13 ⎦⎤ จะได้ a11 = 7 a21 = 6 b13 = −2
⎢ ⎥
⎣⎢a31 a32 ⎥⎦

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 206 เมตริกซ

หมายเหตุ เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิด หากจํานวนแถวหรือจํานวนหลักเท่ากับ 10 ขึ้นไป จะไม่เขียน


ตําแหน่งเป็นตัวห้อย ... แต่จะเขียนค่า i และ j กํากับไว้ด้านหลัง เช่น aij , i = 2, j = 11

ทรานสโพส (เมตริกซ์สลับเปลี่ยน; Transpose) ของเมตริกซ์ A


ใช้สัญลักษณ์ A t หรือ AT คือการเปลี่ยนแถวเป็นหลัก (หรือเปลี่ยนหลักเป็นแถว)
⎡ 7 5⎤
⎡7 6 −5⎤
เช่น A = ⎢ 6 0⎥ At = ⎢ ⎥
⎢ ⎥ ⎣5 0 2 ⎦
⎣⎢ −5 2⎦⎥
เมตริกซ์มิติ m×n เมื่อทําการทรานสโพส จะกลายเป็นมิติ n×m

เมตริกซ์ที่ควรรู้จัก
1. เมตริกซ์จัตุรัส (Square Matrix) คือเมตริกซ์ที่มีจํานวนแถว เท่ากับจํานวนหลัก
สมมติว่ามี n หลัก และ n แถว ( n × n ) เรียกสมาชิกในแนว 11, 22, 33, ..จนถึง nn ว่า เส้น
ทแยงมุมหลัก (Main Diagonal) และสมาชิกตัวอื่นที่เหลือจะเรียงเป็นรูปสามเหลี่ยม เรียกว่า
สามเหลี่ยมบน (Upper Triangle) และ สามเหลี่ยมล่าง (Lower Triangle)
⎡6 2 1 ⎤
⎡ 2 0⎤ ⎢3 1 −2⎥
⎣⎡ 5 ⎦⎤ 1× 1 ⎢ ⎥
⎣ − 1 1 ⎦2 × 2 ⎢ ⎥
⎣⎢3 0 1 ⎦⎥ 3 × 3
2. เมตริกซ์ศูนย์ (Zero Matrix; 0 ) คือเมตริกซ์ที่สมาชิกทุกตัวเป็นเลข 0 (จัตุรัสหรือไม่ก็ได้)
⎡0 0 0⎤
⎡0⎤ ⎡0 0 0⎤ ⎢0 0 0⎥
⎣⎡ 0 ⎦⎤ ⎢0⎥ ⎢0 0 0⎥ ⎢ ⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎣⎢0 0 0⎦⎥
3. เมตริกซ์หนึ่งหน่วย (Unit Matrix; I) คือเมตริกซ์จัตุรัส ที่มีสมาชิกในแนวเส้นทแยงมุมหลัก เป็น
1 และสมาชิกตัวอื่นที่เหลือทั้งหมดเป็น 0 อาจเขียนขนาดกํากับเป็นตัวห้อยเพียง 1 ตัว
⎡ 1 0 0⎤
⎡ 1 0⎤
I1 = ⎣⎡ 1 ⎦⎤ I2 = ⎢ ⎥ I3 = ⎢0 1 0⎥
⎣0 1 ⎦ ⎢ ⎥
⎣⎢0 0 1 ⎦⎥

9.1 การบวก ลบ และคูณเมตริกซ์


1. การบวกเมตริกซ์คู่หนึ่ง จะทําได้ก็ต่อเมื่อ เมตริกซ์ทั้งสองมีมิติเดียวกัน
ผลบวกที่ได้ จะมีมิติเดิม และสมาชิกของผลลัพธ์เกิดจากสมาชิกตําแหน่งเดียวกันนั้นบวกกัน
(สําหรับการลบก็เช่นกัน; สมาชิกผลลัพธ์ เกิดจากสมาชิกตําแหน่งเดียวกันลบกัน)
⎡ 1 −2 3⎤ ⎡0 2 − 1⎤ ⎡1 0 2⎤
⎢ − 4 5 6⎥ + ⎢3 −2 4 ⎥ = ⎢ − 1 3 10⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦

⎡ 1 −2 3⎤ ⎡0 2 − 1⎤ ⎡ 1 − 4 4⎤
⎢ − 4 5 6⎥ − ⎢3 −2 4 ⎥ = ⎢ − 7 7 2 ⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦
เอกลักษณ์การบวกของเมตริกซ์ ก็คือ เมตริกซ์ 0

2. การคูณเมตริกซ์ด้วยสเกลาร์ ผลที่ได้จะเป็นการคูณสมาชิกทุกตัวด้วยสเกลาร์นั้น
⎡ 1 2 3⎤ ⎡2 4 6 ⎤
2⎢ ⎥ = ⎢0 − 10 14⎥
⎣0 −5 7 ⎦ ⎣ ⎦

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 207 เมตริกซ

3. ส่วนการคูณเมตริกซ์คู่หนึ่งจะทําได้เมื่อ จํานวนหลักของตัวตั้งเท่ากับจํานวนแถวของตัวคูณ
และผลคูณที่ได้จะเป็นเมตริกซ์ที่มีจํานวนแถวเท่าตัวตั้ง จํานวนหลักเท่าตัวคูณ
หรือเขียนง่ายๆ ได้ดังนี้ Am × n × Bn × r = Cm × r
วิธีการหาสมาชิกของผลลัพธ์ ขอให้สังเกตจากตัวอย่าง (ยึดแถวตัวตั้ง ยึดหลักตัวคูณ)
⎡ 2 3⎤ ⎡0 1⎤ ⎡1 3 2⎤
A = ⎢ ⎥ , B = ⎢3 2⎥ , C = ⎢ − 1 0 −2⎥
⎣ − 1 4 ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎡ 2⋅0 + 3⋅3 2⋅1+ 3⋅2 ⎤ ⎡ 9 8⎤
จะได้ AB = ⎢−1⋅0+ 4 ⋅3 −1⋅1+ 4 ⋅2⎥ = ⎢12 7 ⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎡ 0⋅1+ 1(
⋅ −1) 0⋅3+ 1⋅0 0⋅2+ 1(⋅ −2)⎤ ⎡ − 1 0 −2⎤
BC = ⎢ ⎥ = ⎢1 9 2⎥
⎣ 3⋅1+2(⋅ −1) 3⋅3 +2⋅0 3⋅2 + 2(
⋅ −2)⎦ ⎣ ⎦
เอกลักษณ์การคูณของเมตริกซ์ ก็คือ เมตริกซ์ I
จะเรียกว่า เมตริกซ์เอกลักษณ์ (Identity Matrix) ก็ได้

สมบัติการบวกและการคูณ
การบวกเมตริกซ์ การคูณด้วยเมตริกซ์
• A +B = B + A
• AB ไม่จําเป็นต้องเท่ากับ BA
• (A + B) + C = A + (B + C)
• (AB) C = A (BC)
• A t + Bt = (A + B)t
• A (B + C) = AB + AC
• A + 0 = 0 + A = A
• (A + B) C = AC + BC
• A + (−A) = 0
• (AB)t = BtA t
การคูณด้วยสเกลาร์ • AI = IA = A
• (kA)t = k ⋅ A t
• k1(k2A) = k2(k1A) = (k1k2) A
• k(A + B) = kA + kB

แบบฝึกหัด 9.1
⎡2 3 − 1⎤ ⎡ −3 2 ⎤
(1) A = ⎢ ⎥ , B = ⎢ 5 4⎥ จงหาค่าของ a11 +b22 และ 2a12 − 3b21
⎣ 4 0 8 ⎦ ⎣ ⎦
⎧i + j ,i > j

(2) ให้เมตริกซ์ A มีมิติ 3×3 โดยที่ aij = ⎨ 1 ,i = j จงเขียนเมตริกซ์ A นั้น
⎪⎩i − j ,j > i
⎡ 2 − 4⎤ ⎡cosec 30° log 10−4 ⎤
(3) เมื่อ A = ⎢ 0 ⎥ , B = ⎢ ⎥ ถามว่า A = B หรือไม่
⎣2 + 1 5 ⎦ ⎢⎣ 4 25 ⎥⎦
⎡x2 x − x2 ⎤ ⎡x −1 1 ⎤
(4) ถ้า x2 − x + 1 = 0 และ A = ⎢ ⎥ , B = ⎢ ⎥ แล้ว A = B หรือไม่
⎣0 x ⎦ 2
⎣ 0 x + 1⎦
(5) จงหาค่าของ
⎡ 2 1⎤
⎡ 1 3 2⎤ ⎡2 6 1 ⎤
(5.1) ⎢0 1 5⎥ + ⎢4 1 2⎥ (5.3) 5 ⎢ 4 3⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎢ ⎥
⎢⎣ −2 8⎥⎦
⎡6 2 ⎤ ⎡ 1 5⎤
(5.2) ⎢8 4⎥ − ⎢ − 1 3⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎡ 2 3 ⎤ ⎡0 1 ⎤
(6) A = ⎢ ⎥ , B = ⎢ 3 2⎥ จงหา A + B, A t + Bt , (A + B)t , A + 0
⎣ − 1 4⎦ ⎣ ⎦

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 208 เมตริกซ

⎡2 −1 4⎤
(7) A = ⎢ ⎥ จงหา A t , 2A, −A
⎣3 0 1 ⎦
⎡a a ⎤ ⎡b11 b12 b13 ⎤
(8) A = ⎢ 11 12 ⎥ , B = จงเขียนเมตริกซ์ AB
⎣a21 a22 ⎦
⎢b21 b22 b23 ⎥
⎣ ⎦
(9) จงหาค่า x, y เมื่อกําหนดให้
(9.1) A2 × 5 × B5 × 3 = Cx × y (9.3) A x × 2 × B2 × 5 = C7 × y
(9.2) A3 × 5 × Bx × y = C3 × 4 (9.4) A2 × x × By × 5 = C2 × 5
(10) A3 × 2 , B2 × 4 จงหามิตขิ อง AB และ BA
⎡1 2⎤ ⎡3 0 ⎤
(11) A = ⎢ , B = ⎢ ⎥ จงหา AB, BA
⎣ −1 0⎥⎦ ⎣ 1 1⎦
S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S
⎡1 0⎤ ⎡ 3 − 4⎤
(12) A = ⎢ , B = ⎢
⎣4 2 ⎥⎦ ⎣ −1 5 ⎦

e¹×èo§¨Ò¡ AB Áa¡äÁ‹e·‹Ò¡aº BA
2 2 2
จงหา AB, BA, (A + B) , A + 2AB + B ´a§¹aé¹ (A + B)2 ≠ A2 + 2AB + B2 ¹a¤Ãaº
⎡2 1 ⎤ ⎡ 3 2⎤ æÅa¡çˌÒÁ桵aÇ»Ãa¡oºÊÁ¡ÒáíÒÅa§Êo§´ŒÇÂ
(13) A = ⎢ ⎥ , B = ⎢ 1 2⎥ จงหา A t × (B × A)
⎣0 3⎦ ⎣ ⎦ eª‹¹ (A + 2B)(3A + B) ≠ 3A2 + 7AB + 2B2
⎡3 0 1 ⎤ ⎡ 1 0 ⎤ 测e¹×èo§¨Ò¡ AI e·‹Ò¡aº IA eÊÁo
(14) ถ้า ⎢2 − 1 0⎥ ⎢ 1 − 1⎥ ⎡ − 1 0⎤ = C จงหาค่า c22
⎢ ⎥⎢ ⎥ ⎢⎣ 4 2 ⎥⎦ ´a§¹aé¹ (A + 2I)(3A + I) = 3A2 + 7A + 2I
⎣⎢ 1 1 2 ⎦⎥ ⎢⎣2 3 ⎦⎥
⎡2 1 ⎤ n
(15) A = ⎢ ⎥ จงหา A
⎣0 2⎦
⎡ x + y 2⎤ ⎡ 2 y⎤ ⎡ 1 a⎤
(16) [Ent’33] กําหนด A = ⎢ ⎥ , B = ⎢ −2 y ⎥ , C = ⎢0 1⎥ ถ้า AB = C จงหาค่า a
⎣ 3 z⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎡3 x ⎤
(17) A = ⎢
⎡1 2 0 ⎤
, B = ⎢ 1 y ⎥ , C = ⎡5 7 ⎤ ถ้า AB = C จงหาค่า x + y − z
1 0 2 ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ 7 5⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎣⎢ z 1 ⎥⎦

(18) ถ้า X = ⎡⎢0a −0b⎤⎥ และ X2 + 2X + I = 0 จงหา a, b


⎣ ⎦
⎡ a 4⎤ 2
(19) [Ent’30] A = ⎢ ⎥ ถ้า A + 4 A − 5I = 0 จงหา a, b
⎣2 b ⎦
⎡ x − 1 x2 ⎤ ⎡ −2 0 4⎤
⎢ ⎥
(20) A = ⎢y2 1 3 ⎥ , B = ⎢ 0 2 4⎥ ถ้า At + A = B แล้ว x, y เป็นเท่าใด
⎢ ⎥
⎢ 3 x2 y ⎥ ⎢⎣ 4 4 2 ⎦⎥
⎣ ⎦
⎡3 7⎤
(21) [Ent’39] A = ⎢ ⎥ , B = ⎣⎡ x y ⎦⎤ เซตของจุด (x, y) ซึ่งสอดคล้องกับสมการ
⎣ − 7 − 4⎦
BABt = [12] เป็นกราฟรูปอะไร

9.2 ดีเทอร์มินันต์
ดีเทอร์มินันต์ (ตัวกําหนด; Determinant) เป็นคุณสมบัติของเมตริกซ์จัตุรัสเท่านั้น
และดีเทอร์มินันต์มีค่าเป็นตัวเลข โดยเมตริกซ์หนึ่งๆ จะคํานวณดีเทอร์มินันต์ได้ค่าเดียวเสมอ
เครื่องหมายแสดง “ดีเทอร์มินันต์ของเมตริกซ์ A” คือ A หรือ det (A)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 209 เมตริกซ

วิธีหาดีเทอร์มินันต์
เมตริกซ์ 1 × 1 เมตริกซ์ 2×2
ถ้า A = ⎣⎡ a ⎦⎤ ⎡a b ⎤
ถ้า A = ⎢ ⎥
⎣c d⎦
จะได้ว่า det (A) = a
จะได้ว่า det (A) = ad − bc

เมตริกซ์ 3×3 ใช้หลักว่า “คูณเฉียงลงรวมกัน” ลบด้วย “คูณเฉียงขึ้นรวมกัน”


⎡a b c⎤
ถ้า A = ⎢d e f ⎥ จะได้ว่า det (A) = −gec − ahf − bdi + aei + gbf + hdc
⎢ ⎥
⎣⎢g h i ⎦⎥

ส่วนเมตริกซ์ n × n ใดๆ จะใช้ วิธีโคแฟกเตอร์ (ใช้ได้กับทุกขนาด ตั้งแต่ 2 × 2 ขึ้นไป)


det (A) = สมาชิก 1 แนว คูณกับโคแฟกเตอร์ของแนวนั้น (ตําแหน่งเดียวกันคูณกันแล้วรวม)
คําว่า “แนว” ในที่นี้ หมายถึงแถวหรือหลักก็ได้

1. ไมเนอร์ (Minor) ของเมตริกซ์ A ใช้สัญลักษณ์ว่า Mij (A)


คือ ค่า det ของสับเมตริกซ์ (เมตริกซ์ย่อย; Submatrix) ที่ตําแหน่งนั้น..
(ตัดแถว ตัดหลัก แล้วหา det)
2. โคแฟกเตอร์ (ตัวประกอบร่วมเกี่ยว; Cofactor) ของเมตริกซ์ A ใช้สัญลักษณ์ว่า Cij (A)
หรือ Cof (A)
คือค่าไมเนอร์ Mij (A) ที่นํามาใส่เครื่องหมาย บวกหรือลบ สลับกันตามรูปแบบ
Cij = (−1)i + j ⋅ Mij (ตําแหน่งแรกสุดใส่บวก, แล้วเติมเครื่องหมายบวกลบสลับกันไป)

⎡2 1 − 1⎤
ตัวอย่างเช่น ต้องการหาเมตริกซ์โคแฟกเตอร์ของ A = ⎢2 0 1 ⎥
⎢ ⎥
⎣⎢5 0 8 ⎥⎦
เริ่มจากหาค่าตัวเลขไมเนอร์ให้ครบทุกตําแหน่ง
0 1 2 1 2 1
M11 = = 0, M12 = = 11, ..., M33 = = −2
0 8 5 8 2 0
⎡0 11 0 ⎤ ⎡ +0 −11 +0 ⎤
∴ M (A) = ⎢8 21 −5⎥ → C (A) = ⎢ −8 +21 −(−5)⎥
⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣⎢ 1 4 −2⎥⎦ ⎣⎢ +1 −4 +(−2)⎦⎥
จากเมตริกซ์โคแฟกเตอร์ที่ได้ ทําให้หาค่า det (A) ได้ดังนี้
det (A) = 2⋅0 + 1 ⋅ (−11) + (−1) ⋅ 0 = − 11 (คิดจากแถวที่ 1)
det (A) = 5 ⋅ 1 + 0 ⋅ (−4) + 8 ⋅ (−2) = − 11 (คิดจากแถวที่ 3)
det (A) = 1 ⋅ (−11) + 0 ⋅ 21 + 0 ⋅ (−4) = − 11 (คิดจากหลักที่ 2)
จะพบว่า ไม่ว่าจะคิดจากแถว หรือหลักใด ก็จะได้ค่า det (A) เท่าเดิมเสมอ แต่โจทย์ข้อนี้คิดจาก
หลักที่ 2 จะง่ายที่สุด เพราะพจน์ที่สองกับสาม เป็น 0 ไม่จําเป็นต้องหาค่าโคแฟกเตอร์
det (A) = a12C12 + a22C22 + a32C32
=0 =0
= −a12M12 + a22 M22 − a32 M32
2 1
= −1 ⋅ = −11
5 8

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 210 เมตริกซ

สมบัติของดีเทอร์มินันต์
• det (AB) = det (A) ⋅ det (B) • det (I) = 1
• det (A t) = det (A) • det (0) = 0
• det (An) = (det (A))n เมือ
่ n∈I
• det (kA) = kn ⋅ det (A) เมือ
่ n = ขนาดของ A
S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S
เมตริกซ์ที่ค่า det เป็นศูนย์ เรียกว่า เมตริกซ์เอกฐาน ¶Ö§æÁŒÊ­a Åa¡É³¢o§ det ¨aeËÁ×o¹¤‹Ò
(Singular Matrix) เช่น เมตริกซ์ที่มีแนวใดแนวหนึ่งเป็น 0 ทุกตัว, ÊaÁºÙó æÅaÊÁºaµi¡ÒáÃa¨Ò¼Ťٳ
¼ÅËÒáçeËÁ×o¹¡a¹.. 测¨u´·Õµè ‹Ò§¡a¹¤×o
หรือเมตริกซ์ที่มี 2 แนวซ้ํากัน, หรือเป็น k เท่าของกันและกัน, ฯลฯ 1. ¤‹Ò det µi´Åºä´Œ eª‹¹ | -2 | = -2
2. ¡Òô֧ÊaÁ»ÃaÊi·¸iìoo¡ÁÒµŒo§Â¡¡íÒÅa§
n
เมตริกซ์ที่มีสามเหลี่ยมล่างหรือบน เป็น 0 ทุกตัว Áiµi´ŒÇ eª‹¹ | 3A | = 3 | A |
เรียกว่า เมตริกซ์สามเหลี่ยม (Triangular Matrix)
จะมีค่า det เป็น “ผลคูณของสมาชิกในเส้นทแยงมุมหลัก”

แบบฝึกหัด 9.2
(22) A = ⎡⎣ 2⎤⎦ , B = ⎡⎣ −5 ⎤⎦ จงหา det (A), det (B), det (01)
⎡2 −5⎤ ⎡ −2 − 4⎤
(23) A = ⎢ , B = ⎢ จงหา det (A), det (B)
⎣4 −6⎥⎦ ⎣3 6 ⎥⎦
⎡ 1 −5⎤ ⎡x x⎤ ⎡5 0 ⎤
(24) A = ⎢ ⎥ , B = ⎢ −1 , C = ⎢ จงหาค่า x ที่ทําให้ det (A) < det (B) < det (C)
⎣2 2 ⎦ ⎣ x ⎥⎦ ⎣0 4⎦

⎡ 3 −4 0 ⎤
(25) A = ⎢ −5 4 − 3⎥ จงหา det (A), M11(A), M32(A), C11(A), C32(A)
⎢ ⎥
⎣⎢ 2 −2 1 ⎦⎥
⎡ 6 1 2⎤
(26) จงหา det (A) เมื่อ A = ⎢ − 3 0 5⎥ โดยใช้วิธีโคแฟกเตอร์
⎢ ⎥
⎣⎢ 7 2 1 ⎦⎥
⎡ 5 3 −5⎤ n n
(27) A = ⎢4 2 1 ⎥ จงหา det (A) โดยใช้วิธี ∑ aijCij, ∑ aijCij, คูณทแยง
⎢ ⎥
⎣⎢ − 1 − 3 1 ⎦⎥
i=1 j=1

⎡ x y 4⎤
(28) [Ent’40] ให้ A = ⎢ −3 8 0 ⎥ โดยโคแฟกเตอร์ของ a21 คือ –6, โคแฟกเตอร์ของ a23 คือ
⎢ ⎥
⎣⎢ x − y − 1⎦⎥
4 แล้ว จงหาโคแฟกเตอร์ของ a33
⎡a − 1 0 ⎤
(29) [Ent’39] A = ⎢b 1 1 ⎥ ถ้า C12 (A) = 1 และ det (A) = −5 จงหาค่า a
⎢ ⎥
⎢⎣c 1 −1⎥⎦
⎡ −4 1 1 0⎤
⎢2 0 1 − 3⎥ C11 C21
(30) A = ⎢ ⎥ จงหา
⎢0 0 2 1⎥ C32 C44
⎣⎢ 1 −1 3 2 ⎥⎦
2 0 4 −6
1 a b+c n n+ 1 n+2
0 −4 0 0
(31) จงหาค่า และ 1 b a+c และ n+ 1 n+2 n+ 3
5 −2 0 0
1 c a +b n+2 n+ 3 n+ 4
1 3 −1 −3

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 211 เมตริกซ

⎡ −1 1 ⎤
(32) [Ent’36] ถ้า A = ⎢ จงหาค่า det (−2 A3A t(A + A t))
⎣ 3 −1⎦

⎡ 1 1⎤
(33) A = ⎢ จงหา det (−2 AnA t(A + A t)) เมื่อ n ∈ I+
⎣0 1⎦

⎡2 0⎤ ⎡0 5⎤ ⎡ 3 4⎤ ⎡ −1 4 ⎤
(34) กําหนด A = ⎢ ⎥ , B = ⎢ 1 0⎥ , C = ⎢2 1 ⎥ , D = ⎢ 3 −2⎥
⎣0 1 ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦
ถ้า AXB = CD จงหา X
⎡ −2 0 0⎤ ⎡12 4 10⎤
(35) จงหา det (X) เมื่อกําหนดให้ ⎢ 4 3 0⎥ X = ⎢ 0 −5 8 ⎥
⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎢⎣ 2 1 5⎥⎦ ⎢⎣ 0 0 1 ⎥⎦
1 ⎡ −2 −2⎤
(36) [Ent’36] ให้ A, B เป็น non-singular matrix โดย A = , B = ⎢ ⎥ และ
4 ⎣x y⎦
AB + 4A = 2I จะได้ค่า x + y เท่ากับเท่าใด
(37) [Ent’31] กําหนดให้ A, B, C, I เป็นเมตริกซ์มีมิติ 2×2 ถ้า det (− A3) = det (2 2 I) ,
⎡ −6 1 ⎤
det (C−1) = 4 และ ABtC = ⎢ ⎥ แล้ว det (B) มีค่าเท่าใด
⎣ 4 −2⎦
⎡ sin x 2 cos x ⎤
(38) A = ⎢ ⎥ จงหาค่า x ที่ทําให้ A เป็นเมตริกซ์เอกฐาน
⎣ − cos x 2 sin x ⎦
⎡ 1 0 − x2 ⎤
(39) [Ent’39] จงหาจํานวนจริง x ทั้งหมดที่ทําให้ ⎢2 1 0 ⎥ เป็นเมตริกซ์เอกฐาน
⎢ ⎥
⎢⎣x 3 5 ⎦⎥
⎡ 1 2 −1⎤
(40) จงหาค่า x ที่ทําให้ ⎢ −2 x −2⎥ เป็นเมตริกซ์เอกฐาน
⎢ ⎥
⎣⎢ 1 −2 1 ⎦⎥
⎡ log 2x −2x ⎤
(41) A = ⎢ x−1 ⎥ จงหาค่า x ที่ทําให้ A ไม่เป็นเมตริกซ์เอกฐาน
⎣⎢log 2 x ⎥⎦
(42) [Ent’34] ข้อใดถูกหรือผิดบ้าง เมื่อ A เป็นเมตริกซ์จัตุรัส มิติ 2 × 2
ก. ถ้า A = −At แล้ว สมาชิกในแนวทแยงมุมบนซ้ายถึงล่างขวาของ A เป็น 0 หมด
ข. ถ้า A2 = B และ B เป็นนอนซิงกูลาร์เมตริกซ์แล้ว A เป็นนอนซิงกูลาร์ด้วย

9.3 อินเวอร์สการคูณ
เรื่องเมตริกซ์ไม่มีการหาร มีแต่การคูณด้วย อินเวอร์ส (เมตริกซ์ผกผัน; Inverse Matrix)
และ อินเวอร์สการคูณของเมตริกซ์ A ใช้สัญลักษณ์ A−1 (มีอินเวอร์สเฉพาะเมตริกซ์จัตุรัสเท่านั้น)
โดยนิยามให้ A ⋅ A−1 = A−1⋅ A = I (เปรียบเสมือน A −1 = I )
A

วิธีหาอินเวอร์สการคูณ
เมตริกซ์ 1 × 1 เมตริกซ์ 2×2
ถ้า A = ⎡⎣ a ⎤⎦ ⎡a b ⎤
ถ้า A = ⎢ ⎥
⎣c d⎦
จะได้ว่า A −1 = ⎣⎡ 1/a ⎦⎤
1 ⎡ d −b ⎤
จะได้ว่า A −1 = ⋅ ⎢
det (A) ⎣ −c a ⎥⎦

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 212 เมตริกซ

ส่วนเมตริกซ์ n×n ใดๆ ตั้งแต่ 2×2 ขึ้นไป จะใช้ วิธีโคแฟกเตอร์ เช่นเดิม


(C (A))t
A −1 =
det (A)
เรียก (C (A))t ว่า เมตริกซ์ผูกพัน (Adjoint Matrix) ของ A
ใช้สัญลักษณ์เป็น adj A หรือ Adj (A) ก็ได้

สมบัติของอินเวอร์สการคูณ
• (AB)−1 = B−1A −1
1 • (A −1)n = (An)−1 = A −n
• (kA)−1 = ⋅ A −1
k • (A −1)−1 = A
−1 1
• A −1 = A =
A

เมตริกซ์ที่จะหาอินเวอร์สการคูณได้ ต้องเป็น เมตริกซ์ไม่เอกฐาน (Non-Singular Matrix)


คือ det ≠ 0 เท่านั้น

S ¡ÒÃ桌ÊÁ¡ÒÃeÁµÃi¡«ÁÕ¢Œo¤ÇÃÃaÇa§´a§¹Õé
1. eÁ×èo·íÒ¡ÒÌҢŒÒ§µaǤٳ ä»e»š¹oi¹eÇoÏÊoÂًo¡Õ ½˜›§ µŒo§¤íÒ¹Ö§¶Ö§ÅíÒ´aº´ŒÇ e¾ÃÒa¡ÒäٳäÁ‹ÁÕÊÁºaµ¡i ÒÃÊÅaº·Õ.è . eª‹¹
AB = C ¡ÅÒÂe»š¹ B = A −1C 䴌.. 测e»š¹ B = CA −1 äÁ‹ä´Œ

2. µÃǨÊoºeÊÁoÇ‹Ò ÊÁ¡ÒÃÂa§e»š¹eÁµÃi¡«·é§a Êo§¢ŒÒ§ËÃ×oäÁ‹ (ËҡŒÒ¢ŒÒ§eÁµÃi¡« ä»e»š¹oi¹eÇoÏʨ¹ËÁ´ o‹ÒÅ×ÁeËÅ×o


eÁµÃi¡« I änj´ŒÇÂ..) eª‹¹ ¨Ò¡ AB = 2C ËҡŒÒ¢ŒÒ§e»š¹ ABC−1 = 2 溺¹Õé¼i´ e¾ÃÒa½˜›§¢ÇÒ¡ÅÒÂe»š¹µaÇeÅ¢.. ·Õè
¶Ù¡µŒo§e»š¹ ABC−1 = 2 I

3. [Ent’27] ÊÁ¡ÒÃeÁµÃi¡«ÊÒÁÒö¤Ù³e¢ŒÒ·aé§Êo§¢ŒÒ§ä´ŒeÊÁo 测¡Òõa´oo¡·aé§Êo§¢ŒÒ§ºÒ§¤Ãaé§ãªŒäÁ‹ä´Œ .. eª‹¹


⎡ 1 1⎤ ⎡6 2 ⎤ ⎡ 1 8⎤
A = ⎢ ⎥ , B = ⎢0 9⎥ , C = ⎢5 3⎥ ¾ºÇ‹Ò AB = AC 测 B ≠ C
⎣2 2 ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦

4. ãʋe¤Ã×èo§ËÁÒ det ·aé§Êo§¢ŒÒ§ä´ŒeÊÁo 测¡Òõa´oo¡·aé§Êo§¢ŒÒ§¡çÁa¡¨a㪌äÁ‹ä´Œ


⎡ 1 2⎤ ⎡2 3⎤
eª‹¹ A = ⎢ ⎥ , B = ⎢ 4 5⎥ ¾ºÇ‹Ò det (A) = det (B) 测 A ≠ B
⎣3 4 ⎦ ⎣ ⎦

5. [Ent’21] ¶ŒÒ AB = 0 æÅŒÇ äÁ‹¨íÒe»š¹·Õè A ËÃ×o B µŒo§e»š¹ 0


⎡ 2 − 3⎤ ⎡3 6 ⎤
eª‹¹ A = ⎢ ⎥ , B = ⎢2 4⎥ ¡ç¾ºÇ‹Ò AB = 0 䴌eª‹¹¡a¹
⎣ −2 3 ⎦ ⎣ ⎦

แบบฝึกหัด 9.3
⎡ − 3 −2⎤ ⎡2 − 3⎤ −1 −1 −1 −1
(43) A = ⎢ ⎥ , B = ⎢4 −6⎥ จงหา A , B , 02 , I2
⎣ 4 2 ⎦ ⎣ ⎦
⎡4 3⎤ ⎡2 3 ⎤ −1 −1 −1
(44) A = ⎢
2 2 ⎥ , B = ⎢4 5⎥ จงหา (AB) , B A
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
(45) จงหาอินเวอร์สการคูณของ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 213 เมตริกซ

⎡ 1 2⎤ ⎡2 4⎤
(45.1)⎢2 3⎥ (45.3) ⎢ 1 2⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎡ cos θ sin θ ⎤
(45.2) ⎢−sin θ cos θ⎥
⎣ ⎦

(46) [Ent’41] A = ⎢−3 4 ⎥ , B = ⎡⎢−21


⎡ 1 −2⎤ 1⎤
1⎥⎦
จงหา 2A −1Bt
⎣ ⎦ ⎣
1 ⎡ −1 3⎤ −1 t
(47) A = ⎢ ⎥ และ B เป็นเมตริกซ์ที่สอดคล้องกับสมการ BA = A จงหา B
2 ⎣⎢ − 3 − 1 ⎥⎦
⎡2 −5⎤ ⎡ 1 2⎤ ⎡ 3 0⎤
(48) ⎢ 1 −2⎥ X + ⎢2 4⎥ = ⎢ 1 2 ⎥ จงหาเมตริกซ์ X
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎡4 6 ⎤ ⎡ 1 2⎤
(49) ถ้า ⎢8 12⎥ A = ⎢3 4⎥ จงหา A
⎣ ⎦ ⎣ ⎦

(50) [Ent’20] ถ้า A ⎢36 64⎥ = ⎡⎢04 04⎤⎥ จงหา A−1


⎡ 4 16 ⎤
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎡3 0 − 1⎤ ⎡1⎤
(51) AB = I, B = ⎢4 2 0 ⎥ จงหา A −1 ⋅ ⎢1⎥
⎢ ⎥ ⎢⎥
⎣⎢3 − 1 1 ⎥⎦ ⎣⎢1⎦⎥

(52) [Ent’40] กําหนด A = ⎡⎢23 43⎤⎥ , B = ⎡⎢−11 23⎤⎥ , X = ⎡⎢ac bd⎤⎥ และ AX + B = A
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦
จงหา b + c
⎡0 1 ⎤ ⎡ 2 − 1⎤ ⎡ −1 0 ⎤
(53) [Ent’38] A = ⎢ ⎥ , B = ⎢ −1 3 ⎥ , C = ⎢ 1 −2⎥ ถ้า X = (B + C) A จงหา X −1
⎣ 1 2⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎡ 1 2 − 1⎤ ⎡0 2 − 3⎤
1
(54) [Ent’37] ถ้า B = ⎢ 3 0 1 ⎥ , C = ⎢3 − 1 2 ⎥ และ AB − AC − I = 0 จงหา A −1
⎢ ⎥ ⎢ ⎥ 2
⎢⎣ −2 1 0 ⎥⎦ ⎢⎣0 2 1 ⎥⎦
⎡2 1 − 2⎤
* (55) A = ⎢3 0 0 ⎥ จงหา adj A, A (adj A), (adj A) A, det (A), A −1
⎢ ⎥
⎢⎣4 6 − 1 ⎥⎦
⎡2 − 3 2 ⎤
(56) จงหาอินเวอร์สการคูณของเมตริกซ์ A เมื่อ A = ⎢6 3 0⎥
⎢ ⎥
⎢⎣0 − 3 1 ⎥⎦
⎡3 4 ⎤ ⎡30 18⎤
(57) [Ent’41] A = ⎢ ⎥ , C = ⎢ 12 8 ⎥ , B เป็นเมตริกซ์ที่ทําให้ AB = C ข้อใดถูก
⎣ 1 2⎦ ⎣ ⎦
ก. det (B−1) = 12 ค. det (2 Bt) = 24
ข. det (B−1A −1) = 24 ง. det (A2B) = 48
⎡2 5 1 ⎤
(58) A −1 = ⎢ 3 0 0⎥ จงหา det (A t)−1
⎢ ⎥
⎢⎣4 −2 7 ⎥⎦
(59) 2A −1 = B และ det (A) ⋅ det (B) = 16 จงหามิติของเมตริกซ์ B
1 −1 3
(60) A มีมิติ 3×3 และ det (A) = 4 , ถ้า A2 − 3A + I = 0 และ B = A − I
2 2
จงหา det (B)
⎡ 1 2⎤ ⎡ −1 1⎤
(61) [Ent’27] A = ⎢ ⎥ , B = ⎢2 , C = 2AB−1 + B−1 จงหาค่า x เมื่อ det (C) = 1
⎣ x 3 ⎦ ⎣ 1⎥⎦

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 214 เมตริกซ

⎡c − 1 ⎤ 2 2 3 −1 t
(62) [Ent’32] A = ⎢ ⎥ และ det (2A ) + (1− c ) det (A ) = 45 จงหา c
⎣ 1 −c⎦
⎡ 1 a 0⎤
1
(63) A = ⎢1− a − a 1 ⎥ จงหาค่า a ที่ทําให้ a det (A −1)t + det (2A) + 4 = 0
⎢ ⎥ 4a
⎢⎣ 1 0 1 ⎥⎦
(64) [Ent’35] ข้อใดถูก
⎡5⎤ ⎡ 1⎤
ก. ถ้าเมตริกซ์ U = ⎣⎡ 1 − 1 − 4 ⎦⎤ , X = ⎣⎡ 0 1 2 ⎦⎤ , V = ⎢0⎥ , Y = ⎢ − 1⎥ แล้ว เมตริกซ์
⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣⎢ 1 ⎦⎥ ⎣⎢ 2 ⎦⎥
3UV − 2XY = ⎡⎣ 3 ⎤⎦
2 1
ข. ถ้า ⎡⎢a2 a⎤⎥ เป็นซิงกูลาร์เมตริกซ์แล้ว a = 2
⎣ ⎦
ค. ถ้า A, B เป็นเมตริกซ์จัตุรัสที่มีมิติเดียวกัน และ det (AB) = 0
แล้ว det (A) = 0 หรือ det (B) = 0
ง. ถ้า A เป็นนอนซิงกูลาร์เมตริกซ์มิติ 2 × 2 แล้ว det ((2A)−1) = det (2A −1)
⎡2 − 1⎤ ⎡ x −x ⎤
(65) [Ent’41] A = ⎢ ⎥ , M = ⎢3/7 x + 3⎥ จงหาเซตจํานวนจริง x ที่ทําให้
⎣1 3 ⎦ ⎣ ⎦
det (M) = det ((2A + A t) A −1)
1
(66) [Ent’36] กําหนด A, B เป็น non-singular matrix โดย det (A −1) = − และ
2
⎡ − 1 −2⎤
B = ⎢ ⎥ จงหา x + y ถ้า AB + 3A = 2I
⎣x y ⎦
⎡ 1 2 − 1⎤
* (67) [Ent’39] ให้ A = ⎢2 1 1 ⎥ ถ้า AB = BA = I จงหาค่า det (adj B−1)
⎢ ⎥
⎢⎣ − 1 1 0 ⎥⎦
⎡ 1 1 − 1⎤
* (68) [Ent’37] ถ้า A = ⎢2 1 3 ⎥ และ AB = BA = I จงหาเมตริกซ์ผูกพันของ B
⎢ ⎥
⎢⎣ 1 0 1 ⎥⎦
1 1 t
ก. A ข. −3A ค. A ง. −3A t
3 3
* (69) [Ent’38] ให้ A, B เป็นเมตริกซ์จัตุรัสมีมิติ 4×4 โดย A (adj A) − BA = I
ถ้า det (B) = 0 แล้ว det (A) มีค่าเท่าใด

หมายเหตุ
จากข้อ 55, 67, 68, 69 ซึ่งเป็นการคํานวณเกี่ยวกับ adj A นั้น เราสามารถพิสูจน์ความสัมพันธ์
จากสมการ A−1 = adj A ก่อน เพื่อความสะดวกในการคํานวณ
det (A)
A (adj A) A (adj A)
เช่น A ⋅ A −1 = → I = → det (A) ⋅ I = A (adj A)
det (A) det (A)
adj A A
ส่วนความสัมพันธ์อื่น ก็หาได้จาก A −1 = เหมือนกัน เช่น adj A −1 = ,
det (A) det (A)
det (adj A) = (det (A))n − 1 ฯลฯ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 215 เมตริกซ

9.4 การดําเนินการตามแถว
การดําเนินการตามแถว (Row Operation) ใช้หาอินเวอร์สการคูณ (A −1) ได้
ซึ่งการดําเนินการตามแถวนั้น สามารถกระทําได้ 3 ลักษณะ คือ
a) นําค่าคงที่ k (ที่ไม่ใช่ 0) ไปคูณไว้แถวใดแถวหนึ่ง
b) นําค่าคงที่ k ไปคูณแถวใดแถวหนึ่ง แล้วเอาไปบวกไว้ที่แถวอื่น
c) สลับแถวกัน 1 ครั้ง

การหาอินเวอร์สการคูณ (A-1) โดยดําเนินการตามแถว


มีหลักอยู่ว่า พยายามหาขั้นตอนทํา A ให้กลายเป็น I
แล้ววิธีเดียวกันนั้นจะทํา I ให้กลายเป็น A−1 ได้
เขียนเป็นสัญลักษณ์ได้ว่า ⎡⎣ A I ⎤⎦ ~ ⎡⎣ I A −1 ⎤⎦
⎡ 4 2⎤
ตัวอย่างเช่น ต้องการหา A −1 เมื่อ A = ⎢ ⎥
⎣ −8 3⎦
เราจะเริ่มจาก เขียน A กับ I ไว้ในแถวเดียวกัน เรียกว่า เมตริกซ์แต่งเติม (Augmented Matrix)
แล้วพยายามแปลง A ทางซ้ายมือ ให้เป็น I
~
⎡ 4 2 1 0⎤ ⎡4 0 3/7 −2/7 ⎤
⎡⎣ A I ⎤⎦ = ⎢ ⎥
⎣ −8 3 0 1 ⎦ R1 − 2R2
⎢0 1 2/7 1/7 ⎥
⎣ ⎦
~
R2 + 2R1
⎡4 2 1 0⎤
⎢0 7 2 1 ⎥ ~ ⎡ 1 0 3/28 − 1/14⎤
⎢0 1 2/7 1/7 ⎥⎦
⎣ ⎦ 1
R1 ⎣
~
4
⎡4 2 1 0 ⎤
1 ⎢0 1 2/7 1/7 ⎥ = ⎡ I
⎣ A -1 ⎤⎦
7
R2 ⎣ ⎦

เมื่อแปลง A ทางซ้ายมือ ให้เป็น I เรียบร้อยแล้ว, I ทางขวามือจะกลายเป็น A −1

ดังนั้น A−1 = ⎡⎢3/28


2/7
− 1/14⎤
1/7 ⎥
⎣ ⎦

ข้อสังเกต
1. เราใช้เครื่องหมาย ~ แทนการดําเนินการแต่ละขั้นตอน และเขียนวิธีกํากับไว้
2. นิยมเขียนแถวที่ถูกดําเนินการไว้ด้านหน้า เช่น R2 +2R1 แสดงว่า R2 จะเปลี่ยนไป
3. เทคนิคการทําให้เป็น I โดยเร็วที่สุดคือ ทําสมาชิกเป็น 0 ให้ครบทีละสามเหลี่ยม (ล่างหรือบน)
4. หากต้องการสลับที่ระหว่างแถว R1, R2 ก็จะใช้สัญลักษณ์กํากับว่า R12

การดําเนินการตามแถวทั้งสามแบบ ส่งผลต่อค่า det ดังนี้


a) นําค่าคงที่ k (ที่ไม่ใช่ 0) ไปคูณไว้แถวใดแถวหนึ่ง detใหม่ = k ⋅ detเก่า
b) นําค่าคงที่ k ไปคูณแถวใดแถวหนึ่ง แล้วเอาไปบวกไว้ที่แถวอื่น detใหม่ = detเก่า
(det ไม่เปลี่ยน จึงใช้วิธีนี้ช่วยในการคํานวณ det ได้ โดยปรับสมาชิกในเมตริกซ์ให้มี 0 มากๆ)
c) สลับแถวกัน 1 ครั้ง detใหม่ = − detเก่า
ทั้งนี้ การดําเนินการตามหลัก ก็ให้ผลเช่นเดียวกัน เนื่องจากสมบัติ det (At) = det (A)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 216 เมตริกซ

แบบฝึกหัด 9.4
⎡a b c⎤ ⎡d f e⎤
(70) ถ้า A = ⎢d e f ⎥ , B = ⎢2a 2c 2b ⎥ ถามว่า B เป็นกี่เท่าของ A
⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣⎢g h i ⎥⎦ ⎣⎢ g i h ⎥⎦
⎡ a b c⎤ ⎡4x 4y 4z⎤ ⎡p − a + x x ⎤
(71) ถ้า A = ⎢p q r ⎥ , det (A) = 3, B = ⎢ 2a 2b 2c ⎥ , C = ⎢ q −b + y y ⎥ จงหา det (3B−1)
⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣⎢x y z ⎥⎦ ⎣⎢ −p − q −r ⎦⎥ ⎣⎢ r − c + z z ⎦⎥
และ det (2C−1)
(72) [Ent’38] ให้ A เป็นเมตริกซ์จัตุรัส 4 × 4 และ M23(A) = 5 จงหา M32(2A)t
(73) [จากข้อ 43,55,56] จงหาอินเวอร์สการคูณของเมตริกซ์ A, B, C, D โดยใช้วิธีดําเนินการ ตาม
⎡2 1 −2⎤ ⎡2 − 3 2⎤
⎡ − 3 −2⎤ ⎡2 − 3 ⎤ ⎢3 0 0 ⎥ , D = ⎢6 3 0⎥
แถว เมื่อ A = ⎢ ⎥ , B = ⎢4 −6⎥ , C =
⎣4 2⎦ ⎣ ⎦ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎢⎣4 6 −1 ⎥⎦ ⎢⎣0 − 3 1 ⎥⎦

9.5 การใช้เมตริกซ์แก้ระบบสมการเชิงเส้น
ระบบสมการเชิงเส้น ที่มีจํานวนตัวแปรเท่ากับจํานวนสมการ เราจะเขียนให้อยู่ในรูปสมการ
เมตริกซ์ได้ เป็น AX = B (เรียก A ว่า เมตริกซ์สัมประสิทธิ์, X เป็นเมตริกซ์ตัวแปร, และ B เป็น
เมตริกซ์ค่าคงที่) สิ่งที่เราต้องการหาก็คือเมตริกซ์ X
⎧ 4x + 2y − z = 0

เช่น ระบบสมการ ⎨x − y = 3 มี 3 สมการ และมี 3 ตัวแปร
⎪ 5x − 3y + 2z + 1 = 0

⎡4 2 − 1⎤ ⎡ x ⎤ ⎡0⎤
แปลงเป็นสมการเมตริกซ์ AX = B ได้ว่า ⎢ 1 −1 0 ⎥ ⎢y ⎥ = ⎢ 3 ⎥
⎢ ⎥⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣⎢5 − 3 2 ⎦⎥ ⎣⎢ z ⎦⎥ ⎢⎣ − 1⎦⎥
วิธีแก้สมการเมตริกซ์นี้ มี 3 แบบ
1. วิธีอินเวอร์ส AX = B → X = A −1B เป็นวิธีทําแบบตรงๆ
−1
⎡x ⎤ ⎡4 2 − 1⎤ ⎡0⎤
นั่นคือ ⎢y ⎥ = ⎢ 1 −1 0 ⎥ ⎢3⎥ ก็ต้องหาอินเวอร์สก่อน แล้วคูณกันได้เป็นคําตอบ
⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎢⎣ z ⎥⎦ ⎢⎣5 − 3 2 ⎥⎦ ⎢⎣ − 1⎥⎦

det (Ai)
2. กฎของคราเมอร์ (Cramer’s Rule) xi =
det (A)
เมื่อ Ai คือนําเมตริกซ์ B มาแทนลงในหลักที่ i ของเมตริกซ์ A
0 2 −1 4 0 −1 4 2 0
3 −1 0 1 3 0 1 −1 3
−1 −3 2 5 −1 2 5 −3 −1
เช่น จากตัวอย่าง จะได้ x = 4 2 −1
, y = 4 2 −1
, z = 4 2 −1
1 −1 0 1 −1 0 1 −1 0
5 −3 2 5 −3 2 5 −3 2

3. การดําเนินการตามแถว (Row Operation) ⎡⎣ A B ⎤⎦ ~ ⎡⎣ I X ⎤⎦

มีหลักอยู่ว่า พยายามหาขั้นตอนทํา A ให้กลายเป็น I


แล้ววิธีเดียวกันนั้นจะทํา B ให้กลายเป็น X ได้
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 217 เมตริกซ

⎡4 2 − 1 0 ⎤ ⎡ 1 0 0 x⎤
จากตัวอย่างก็ตอ้ งเริ่มจาก ⎢ 1 −1 0 3 ⎥ แล้วทําให้เป็น ⎢0 1 0 y ⎥
⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣⎢5 −3 2 −1⎥⎦ ⎢⎣0 0 1 z ⎥⎦

แบบฝึกหัด 9.5
(74) จงหาคําตอบของระบบสมการต่อไปนี้ โดยใช้วิธีอินเวอร์ส
(74.1) x − 2y = 5 (74.2) 2x − 5y = 1
3x + 2y = −1 3x − 7y = 2
4x + 3y + 2z = 5
(75) จงหาคําตอบของระบบสมการ 3x − y − z = 6 โดยใช้วิธีอินเวอร์ส
−x + 2y + z = 1

3x + 2y = 6
(76) จงหาคําตอบของระบบสมการ − 4x + y = 14
โดยใช้กฎของคราเมอร์
(77) จงหาคําตอบระบบสมการนี้โดยใช้กฎของคราเมอร์
2x + 3y + z = 3 x + 2y + 3z = −1
(77.1) x + 2y + z = 1 (77.3) 2x + y − 4z = 9
−x + 4y = −2 x − y + 2z = −2

2x + y + z = 1
(77.2) x − 2y − 3z = 1
3x + 2y + 4z = 5
2x + 4y + z = 1
(78) [Ent’38] กําหนดระบบสมการเชิงเส้น x + 2y = −2 จงหาค่า x
−x − 3y + 2z = 3

(79) จงหาคําตอบระบบสมการต่อไปนี้ โดยการดําเนินการตามแถว


x + y + z = 10 2x + y − z = 5
(79.1) 3x + z = 13 (79.2) 3x − 2y + 2z = −3
y + 2x − z − 9 = 0 x − 3y − 3z = −2

(80) จงหาคําตอบของระบบสมการ
x − 2y − z = 1 x − 2y − z = 1
(80.1) 4x + 3y + 2z = −5 (80.2) 4x + 3y + 2z = −5
−2x + 4y + 2z = −4 −2x + 4y + 2z = −2

(81) จงหาคําตอบของระบบสมการ
2
x + 1
z = 0 2
x + 3 y + z = 3
(81.1) [Ent’25] 4
x + 2
y = 4 (81.2) 1
x +2 y + z = 1
3
y + 1
z = 2 − 1
x + 4 y = −2

−1
⎡ 1 0 2⎤ ⎡ 1⎤ ⎡x ⎤
(82) [Ent’25] ให้ A = ⎢2 − 1 1 ⎥ และ B = ⎢2 ⎥ จงหาค่า y ที่ได้จากสมการ A −1 ⎢ y ⎥ = B
⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣⎢5 1 2⎦⎥ ⎣⎢0⎦⎥ ⎣⎢ z ⎦⎥

(83) ให้หาค่า x และ y จากระบบสมการต่อไปนี้ ถ้า s เป็นค่าคงที่

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 218 เมตริกซ

s (x + y) − s = −x − 2y ___(1)
s (x + y) − y = 0 _______(2)

⎡ 1 2 3⎤ ⎡p ⎤ ⎡ 1⎤
(84) [Ent’40] ให้ A = ⎢0 − 1 0⎥ และ X = ⎢ q⎥ ถ้า A2(adj A) X = ⎢6⎥ จงหาค่า p
⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎢⎣2 1 0⎥⎦ ⎢⎣ r ⎥⎦ ⎢⎣0⎥⎦

⎡ 1 − 1 2⎤ ⎡ 1⎤
(85) [Ent’41] ให้ A = ⎢ −1 a 1 ⎥ และ B = ⎢0⎥ จงหาค่าของ a ที่ทําให้ AX = B หาคําตอบได้
⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣⎢ 1 − 1 a ⎦⎥ ⎣⎢ − 1⎦⎥

⎡ 1 2 a⎤ ⎡x ⎤ ⎡ 1⎤
(86) [Ent’40] ให้ A = ⎢ 2 3 b⎥ , X = ⎢y ⎥ และ B = ⎢ 1⎥ ถ้า AX = B และ
⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣⎢ − 1 0 c ⎦⎥ ⎢⎣ z ⎦⎥ ⎣⎢0⎦⎥
⎡1 2 3⎤
A ~ ⎢⎢−01 − 1 − 1⎥ R2−2 R1
0 2 ⎦⎥

แล้ว x มีค่าเท่าใด
⎣⎢

(87) (โจทย์ทบทวน) ประโยคต่อไปนี้ถูกหรือผิด


x (1) A + B ≠ B + A _____ (25) (A−1)n = (An)−1
_____ (2) At + Bt ≠ (A + B)t _____ (26) (A−1)−1 = A
t t t
_____ (3) A B ≠ (AB) _____ (27) (3A)−1 = 3 A−1
−1 −1 −1
_____ (4) [Ent’27] A B ≠ (AB) t
_____ (28) adj A = (C (A))
_____ (5) A + 0 = A det (A)
_____ (6) A × 1 = A 1
_____ (29) A ⋅ A = adj A

_____ (7) A × I = A _____ (30) [Ent’37] A = (adj A) ⋅ A


_____ (8) [Ent’21] AB = BA _____ (31) adj A = A n เมื่อ A มีมิติ n×n
_____ (9) k(A + B) ≠ kA + kB
_____ (10) (A + B) C = AC + BC _____ (32) 2A tA−1 = 8 เมื่อ A มีมิติ 3×3
_____ (11) A (B + C) = AC + AB _____ (33) A−1A tBAt = 3 เมื่อ AB = I3
_____ (12) (AB) C = C (BA) 1 tan θ ⎤
_____ (34) cos θ ⋅ ⎡⎢− tan θ 1 ⎥⎦
= 1
2 ⎣
_____ (13) I = I
a b c
_____ (14) AI = IA _____ (35) b c a = 0
_____ (15) AB = A ⋅ B c a b
_____ (16) An = A n _____ (36) ถ้า AB = 0 แล้ว
−1 −1
_____ (17) A = A A = 0 หรือ B = 0
t t
_____ (18) A = A _____ (37) [Ent’30] ถ้า AB = 0 แล้ว
_____ (19) [Ent’27] kA = k A A = 0 หรือ B = 0

_____ (20) I = 0
_____ (21) 0 = 0
_____ (22) 2 I = 2
_____ (23) A2 + 5A + 6I = (A + 2I)(A + 3I)
_____ (24) A2 + 5AB + 6B2 = (A + 2B)(A + 3B)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 219 เมตริกซ

เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(1) 6 และ –9 (26) –34 (27) 60 ⎡ − 1/4 1/4 1/2⎤
(56) ⎢ 1/2 − 1/6 − 1 ⎥
⎡ 1 − 1 −2⎤ (28) 14 (29) 2 ⎢ ⎥
⎢⎣ 3/2 − 1/2 −2 ⎥⎦
(30) −517 −04 = 28
(2) ⎢3 1 −1⎥ (3) เท่ากัน
⎢ ⎥
⎣⎢4 5 1 ⎦⎥ (57) ง. (58) -111
⎡ 3 9 3⎤ (31) –360, 0, 0 1
(4) เท่ากัน (5.1) (59) 4 × 4 (60) −
⎢4 2 7 ⎥
⎣ ⎦ (32) (−2)2(−2)4(−12) = −768 2

⎡ 10 5 ⎤ (33) (−2)2(1)n(1)(3) = 12 (61) 3 (62) 2 หรือ –2


⎡5 − 3⎤
(5.2) ⎢9 1 ⎥ (5.3) ⎢ 20 15 ⎥
⎢ ⎥ (34) –5 (35) 2 (36) 4 (63) ± 1 (64) ค.
⎣ ⎦ 2
⎣⎢ − 10 40⎦⎥ (37) 16 (38) ไม่มี
(6) ⎡2 4⎤ ⎡2 2⎤ ⎡2 2⎤
⎢2 6⎥ , ⎢4 6⎥ , ⎢4 6⎥ , (39) ⎪⎧ 5 ± 3 5 ⎪⎫
⎨1, ⎬ (40) 4
(65) { 11
7 }
, −5 (66) –4
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎪⎩ 2 ⎪⎭
(67) 36 (68) ก.
⎡ 2 3⎤ (41) x ≠ 0, 2/3
⎢ − 1 4⎥ (69) 1 (70) 2
⎣ ⎦
(42) ก.ถูก, ข.ถูก (71) –9/8, 8/3 (72) 40
⎡ 2 3⎤
(7) ⎢ − 1 0⎥ , ⎡4 −2 8⎤ , (43) ⎡⎢−12 −3/2
1 ⎤
⎥ , ไม่มี, ไม่มี,
(73) ดูทขี่ ้อ 43, 55, 56
⎢ ⎥ ⎢⎣6 0 2 ⎥⎦ ⎣ ⎦ (74.1) 1, –2 (74.2) 3, 1
⎣⎢ 4 1 ⎦⎥ 1 0
⎡ ⎤ ⎡ − 4 27/4⎤ (75) 5/4, 9/2, –27/4
⎡ −2 1 − 4⎤ ⎢0 1 ⎥ (44) ⎢3 −5 ⎥⎦
⎢ −3 0 −1 ⎥ ⎣ ⎦ ⎣ (76) –2, 6
⎣ ⎦ (77.1) 2, 0, –1
⎡ −3 2 ⎤
(8) ... (9.1) 2 และ 3 (45.1) ⎢ 2 − 1⎥ (77.2) 1, –3, 2
⎣ ⎦
(9.2) 5 และ 4 cos sin θ ⎤ (77.3) 13/9, 7/9, –4/3
(9.3) 7 และ 5 (45.2) ⎡⎢ sin θ −cos
θ
θ ⎥⎦ (78) –20

(9.4) x = y และเป็นจํานวนนับ (79.1) 25/7, 29/7, 16/7
(10) (AB)3 × 4 , BA ไม่มี (45.3) ไม่มี (46) ⎡⎢22 −−10 ⎤
7 ⎥⎦ (79.2) 1, 2, –1

⎡5 2⎤
⎡3 6⎤ (80.1) ไม่มีคาํ ตอบ
(11) ⎢ −3
⎣ 0⎥⎦
,
⎢0 2⎥
⎣ ⎦ (47) ⎡⎢01 01 ⎤⎥ (48) ⎡⎢−−94 −−62⎤⎥ (80.2) มีคําตอบหลายชุด
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎡3− 4⎤ ⎡ − 13 −8⎤ (81.1) 2, 1, –1
(12) , , 1 4
⎢10
⎣ −6⎥⎦ ⎢⎣ 19 10 ⎥⎦ (49) ไม่มี (50) ⎡⎢9 16⎤⎥ (81.2) 1/2, 0, –1 (82) 0
⎣ ⎦ s (s − 1) s2
⎡ 4 − 44⎤ ⎡20 − 40⎤ ⎡2⎤ (83) − ,
⎢33 37 ⎥ , ⎢24 21 ⎥ 2s + 1 2s + 1
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ (51) ⎢⎢6⎥⎥ (52) 6 + 5 = 11 (84) 1/2 (85) a ≠ 1, 2
⎡12 18 ⎤ ⎢⎣3⎥⎦
(13) ⎢12 30⎥ (14) 2 (86) –2/3
⎣ ⎦ ⎡ −2 − 1⎤
(53) ⎢ 1 1⎥ (87) ข้อที่ถูก คือ (3), (4),
⎡2n n ⋅ 2n ⎤ ⎣ ⎦
(15) ⎢ 2 ⎥ (16) 3 ⎡2 0 4⎤
(6), (7), (10), (11), (13),
⎢ n ⎥ 4 (14), (15), (16), (17), (21),
⎣0 2 ⎦
(54) ⎢ 0 2 −2⎥
(17) 3 +2 −2 = 3
⎢ ⎥
⎢⎣ − 4 −2 −2⎥⎦
(23), (25), (26), (29), (32),
(18) –1 และ 1 (34), (36)
⎡ 0 − 11 0 ⎤
(19) –1, –3 หรือ –3, –1 (55) ⎢⎢ 3 6 −6⎥⎥ , −33 I ,
(20) –1 และ 1 ⎢⎣18 −8 − 3⎥⎦
(21) กราฟไฮเพอร์โบลา 3x2 −4y2 =12 ⎡ 0 − 11 0⎤
1 ⎢
(22) 2, –5, 0 (23) 8, 0 − 33 I , − 33 , 3 6 −6⎥
− 33 ⎢ ⎥
(24) x ∈ (−5, −4)∪(3, 4) ⎢
⎣ 18 −8 − 3⎥⎦
(25) –2, –2, –9, –2, 9

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 220 เมตริกซ

เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
(1) a11 + b22 = 2 + 4 = 6 , สังเกต โดยปกติ AB มักจะไม่เท่ากับ BA
2a12 − 3b21 = 2(3) − 3(5) = −9 จึงทําให้ (A + B)2 ไม่เท่ากับ A2 + 2AB + B2 ด้วย
⎡ ○ ○⎤ i=j เพราะ (A + B)2 = (A + B)(A + B)
(2) ⎢Δ ○⎥ Δ i>j
⎢⎣ Δ Δ ⎥⎦ ○ j>i = A2 + AB + BA + B2 ... ซึง่ AB + BA ≠ 2AB
⎡ 1 1− 2 1− 3⎤ ⎡ 1 −1 −2⎤ 20 ⎛ 32 2 1 ⎞
จะได้ ⎢2 + 1 1 2 − 3⎥ = ⎢3 1 −1 ⎥ (13) A t(BA) = ⎡⎢ 1 3⎤⎥ ⎜ ⎡⎢ 1 2⎤⎥ ⎡⎢0 3⎤⎥ ⎟
⎣ ⎦ ⎝⎣ ⎦⎣ ⎦⎠
⎢⎣3 + 1 3 + 2 1 ⎥⎦ ⎢⎣4 5 1 ⎥⎦
20 69 12 18
(3) เท่ากัน เพราะ 2 = cosec 30° , = ⎡⎢ 1 3⎤⎥ ⎡⎢2 7 ⎤⎥ = ⎡⎢12 30⎤⎥
⎣ ⎦⎣ ⎦ ⎣ ⎦
−4 = log 10−4 , 20 + 1 = 4 และ 5 = 25 ⎡3 0 1 ⎤ ⎡ 1 0 ⎤ ⎡ −1 0⎤
(14) ⎢2 −1 0⎥ ⎢ 1 −1⎥ ⎢ 4 2⎥
(4) เท่ากัน ⎢⎣ 1 1 2 ⎥⎦ ⎣⎢2 3 ⎦⎥ ⎣ ⎦
(จากการย้ายข้างสมการ x2 − x + 1 = 0 จะได้ว่า ⎡ ⎤ −1 0 ⎡ ⎤
x2 = x − 1 , x − x2 = 1 , x = x2 + 1) = ⎢ 1 ⎥ ⎢⎡ 4 2 ⎥⎤ = ⎢ 2⎥ → ∴ c22 = 2
⎣ ⎦ ⎢ ⎥⎦
⎣⎢ ⎦⎥ ⎣
(5.1) ⎡3 9 3⎤
(5.2) ⎡5 −3⎤
⎢⎣4 2 7 ⎥⎦ ⎢⎣9 1 ⎥⎦ (เมื่อคุ้นเคยแล้วจะไม่จําเป็นต้องหาผลคูณให้ครบทุก
⎡ 10 5⎤ ตําแหน่งก็ได้)
(5.3) ⎢ 20 15 ⎥ (6) A + B = ⎡⎢22 64⎤⎥ (15) จาก A = ⎡⎢20 21⎤⎥ จะได้
⎢⎣ −10
40⎦ ⎥ ⎣ ⎦
⎣ ⎦
2 2 2 1 ⎤ ⎡2 1 ⎤ 44
A t + Bt = ⎡⎢4 6⎤⎥ = (A + B)t ⎡
→ A = ⎢0 2⎥ ⎢0 2⎥ = ⎡⎢0 4⎤⎥
2
⎣ ⎦ ⎣ ⎦⎣ ⎦ ⎣ ⎦
2 3 4 4⎤ ⎡2 1 ⎤ 8 12⎤
และ A + 0 = ⎢⎡ −1 4⎤⎥ = A 3 ⎡
→ A = ⎢0 4⎥ ⎢0 2⎥ = ⎢0 8 ⎥ ⎡
⎣ ⎦ ⎣ ⎦⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎡ 2 3 ⎤ 4 −2 8 4 ⎡ 8 12⎤ ⎡2 1 ⎤ ⎡ 16 30⎤
(7) A t = ⎢ −1 0⎥ , 2A = ⎡⎢6 0 2 ⎤⎥ , → A = ⎢0 8 ⎥ ⎢0 2⎥ = ⎢ 0 16 ⎥ ...ฯลฯ ...
⎣ ⎦⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎣⎢ 4 1 ⎦⎥
⎣ ⎦
⎡2n n ⋅ 2n ⎤
−2 1 −4 ดังนัน้ รูปทัว่ ไป An = ⎢ 2 n ⎥
และ −A = ⎡⎢ −3 0 −1 ⎤⎥
⎣ ⎦ ⎢0 2 ⎥⎦

a b +a b a b +a b a b +a b
(8) AB = ⎡a 11b11 + a12 b21 a 11b12 + a12 b22 a 11b13 + a12 b23 ⎤ (16) ตําแหน่ง 11; 2(x + y) − 4 = 1 .....(1)
⎣⎢ 21 11 22 21 21 12 22 22 21 13 22 23 ⎦⎥
(9.1) x = 2, y = 3 ตําแหน่ง 12; (x + y)(y) + 2y = a .....(2)
(9.2) x = 5, y = 4 ตําแหน่ง 21; 6 − 2z = 0 → z = 3 .....(3)
(9.3) x = 7, y = 5 ตําแหน่ง 22; 3y + zy = 1 .....(4)
แทน (3) ใน (4) ได้ y = 1 / 6 ,
(9.4) x = y และเป็นจํานวนนับเท่านัน้
(10) AB3 × 4 , ส่วน BA ไม่มี จาก (1) ได้ (x + y) = 5 / 2
ดังนัน้ จากสมการ (2) จะได้
(11) AB = ⎡⎢−11⋅⋅ 33 ++ 02 ⋅⋅ 11 −11⋅⋅00++20⋅ ⋅11⎤⎥ (5 / 2)(1 / 6) + 2(1 / 6) = a → a = 3/4
⎣ ⎦
5 2 (17) ตําแหน่ง 21; 3 + 2z = 7 → z = 2
= ⎡⎢ −3 0⎤⎥
⎣ ⎦ ตําแหน่ง 22; x + 2 = 5 → x = 3
3 ⋅ 1 + 0 ⋅ (−1) 3 ⋅ 2 + 0 ⋅ 0 36
BA = ⎢⎡ 1 ⋅ 1 + 1 ⋅ (−1) 1 ⋅ 2 + 1 ⋅ 0 ⎥⎤ = ⎢⎡0 2⎥⎤ ตําแหน่ง 12; x + 2y = 7
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
3 −4 −13 − 8
แทน x = 3 ได้ y = 2 ∴ x + y − z = 3
(12) AB = ⎡⎢10 −6⎤⎥ , BA = ⎡⎢ 19 10 ⎤⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ (18) X2 + 2X + I = 0 → (X + I)2 = 0
4 −4 4 −4 4 −44
(A + B)2 = ⎡⎢ 3 7 ⎤⎥ ⎡⎢ 3 7 ⎤⎥ = ⎡⎢33 37 ⎤⎥ (ทําได้เพราะ XI = IX )
⎣ ⎦⎣ ⎦ ⎣ ⎦ 2
a+1 0 00
1 0 1 0 6 −8 → ⎡⎢ 0 −b + 1⎤⎥ = ⎡⎢0 0⎤⎥ (ใช้เมตริกซ์คูณกันนะ)
A2 + 2AB + B2 = ⎡⎢4 2 ⎤⎥ ⎡⎢4 2⎤⎥ + ⎡⎢20 −12⎤⎥ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎣ ⎦⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎡(a + 1)2 0 ⎤ ⎡0 0⎤
3 −4 3 −4 20 −40 → ⎢ 2 ⎥ = ⎢0 0 ⎥ ∴ a = −1 , b = 1
+ ⎢⎡ −1 5 ⎥⎤ ⎢⎡ −1 5 ⎥⎤ = ⎡⎢24 21 ⎤⎥ ⎣ 0 (−b + 1) ⎦ ⎣ ⎦
⎣ ⎦⎣ ⎦ ⎣ ⎦

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 221 เมตริกซ

(19) A2 + 4A − 5I = 0 3 0
M32(A) = −5 −3 = −9
2
⎡ a + 8 4a + 4b ⎤ ⎡4a 16 ⎤ ⎡5 0⎤ ⎡0 0⎤
⎢2a + 2b 8 + b2 ⎥ + ⎢⎣ 8 4b ⎥⎦ − ⎢⎣0 5⎥⎦ = ⎢⎣0 0⎥⎦ C11(A) = −2 , C32(A) = 9
⎣ ⎦
แสดงว่า a2 + 4a + 3 = 0 .....(1) (26) เลือกหลักที่ 2
→ det(A) = a12c12 + a22c22 + a32c32
4a + 4b + 16 = 0 .....(2)
−3 5 62 6 2
2a + 2b + 8 = 0 .....(3) = −(1) 7 1 + (0) 7 1 − (2) −3 5
และ b2 + 4b + 3 = 0 .....(4) = 38 − 72 = −34
→ แก้ระบบสมการ ได้เป็น a = −1, b = −3 n
(27) วิธี ∑ aijcij (ตามหลัก) เลือกหลักที่ 1 (j = 1)
หรือ a = −3, b = −1 ก็ได้ i=1

det(A) = a11c11 + a21c21 + a31c31


หมายเหตุ A2 + 4A − 5I = (A + 5I)(A − I) = 0
2 1 3 −5 3 −5
ใช้ได้ เพราะ AI = IA = 5 −3 1 − 4 −3 1 + (−1) 2 1
แต่จะสรุปว่า A = −5 I, I ไม่ได้ = (5)(5) − (4)(−12) − (13) = 60
เพราะ Δ = 0 ไม่ได้แปลว่า หรือ Δ = 0 วิธี
n
Σ aijcij (ตามแถว) เลือกแถวที่ 2 (i = 2)
j=1
⎡ x y2 3 ⎤ ⎡ x −1 x2 ⎤
det(A) = a21c21 + a22c22 + a23c23
(20) A + A = ⎢⎢ −1 1 x2 ⎥⎥ + ⎢⎢y2 1 3 ⎥⎥
t
2 2
⎣⎢x 3 y ⎥⎦ ⎣⎢ 3 x y ⎦⎥ 3 −5 5 −5 5 3
= −4 −3 1 + 2 −1 1 − 1 −1 −3
⎡ 2x y2 − 1 x2 + 3⎤ ⎡ −2 0 4⎤
= ⎢ y2 − 1 2 x2 + 3⎥ = B = ⎢ 0 2 4⎥ = (−4)(−12) + (2)(0) − (−12) = 60
⎢ 2 2 ⎥ ⎢⎣ 4 4 2 ⎥⎦
⎣⎢ x + 3 x + 3 2y ⎦⎥ วิธีคณ
ู ทแยง
พิจารณาจากตําแหน่ง 11 กับ 33 det(A) = −10 − 12 + 15 + 10 − 3 + 60 = 60

ก็จะพบว่า x = −1, y = 1 คูณขึน้ คูณลง


ซึ่งตรวจสอบแล้วจะใช้ได้กับตําแหน่งอืน่ ๆ ที่เหลือด้วย (28) C21(A) = −6 = − −y −41
y

(21) [ x y] ⎡⎢ −37 −74⎤⎥ ⎡⎢⎣xy ⎤⎥⎦ = [12] → 6 = 3y → y = 2


⎣ ⎦
x x y
→ [3x − 7y 7x − 4y ] ⎡y ⎤ = [12] C23(A) = 4 = − x −y → 4 = 2xy →
⎢⎣ ⎥⎦
→ 3x2 − 7xy + 7xy − 4y2 = 12 ไฮเพอร์โบลา แทน y = 2 ได้ x = 1
x y 1 2
(22) det(A) = 2 , det(B) = −5 , det([0]) = 0 ∴ C33(A) = −3 8 = −3 8 = 8 + 6 = 14
[สังเกต det(B) ใช้สญั ลักษณ์ว่า |B| = | − 5| = −5 (29) det(A) = −5 = (a)C11 + (−1)C12 + (0)C13
ไม่ต้องตัดเครื่องหมายลบทิ้งไปแบบค่าสัมบูรณ์นะ!]
แทนค่า C11 = 11 −11 = −2, C12 = 1
(23) det(A) = 24 −−65 = (2)(−6) − (−5)(4) = 8
จะได้ a = 2
det(B) = −12 − (−12) = 0
0 1 −3
[แสดงว่า B เป็นเมตริกซ์เอกฐาน] (30) C11 = 0 2 1
−1 3 2
(24) |A | < |B| < |C| → 12 < x2 + x < 20
→ x2 + x − 12 > 0 และ x2 + x − 20 < 0 = −6 + 0 + 0 + 0 − 1 + 0 = −7
1 1 0
→ (x + 4)(x − 3) > 0 และ (x + 5)(x − 4) < 0 C21 = − 0 2 1
−1 3 2
เขียนเส้นจํานวน เอาช่วงคําตอบมาอินเตอร์เซคกัน
ได้เป็น (−5, −4) ∪ (3, 4) = −(0 + 0 − 3 + 4 + 0 − 1) = 0
3 −4 0 −4 1 1
(25) det(A) = −5 4 −3 C44 = 2 0 1
2 −2 1 0 02

= 0 − 18 − 20 + 12 + 0 + 24 = −2 = 0 + 0 − 4 + 0 + 0 + 0 = −4
C C −7 0
คูณขึน้ คูณลง ∴ C 11 C 21 = C −4 = 28
32 44 32
4 −3
M11(A) = −2 1 = −2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 222 เมตริกซ

2 0 4 −6 −6 1
2 4 −6 จาก ABtC = ⎡⎢ 4 −2⎤⎥
0 −4 0 0 ⎣ ⎦
(31) 5 −2 0 0 = (−4) 5 0 0
1 3 −1 −3 1 −1 −3 −6 1
→ A ⋅ B ⋅ C = 4 −2 = 8
⎛ 4 −6 ⎞
= (−4) ⎜ −(5) −1 −3 ⎟ = (−4)(−5)(−18) = −360 8
⎝ ⎠ → B = = 16
(2)(1 / 4)
ส่วนอีกสองเมตริกซ์นนั้ det มีค่าเป็น 0 (38) det(A) = 2 sin2 x + 2 cos2 x = 2 เสมอ
จะคิดโดยวิธีปกติ (คูณทแยง) ก็ได้ แต่ในทีน่ ี้จะแสดง (จากเอกลักษณ์ของตรีโกณมิติ) ดังนัน้ det ไม่มีทาง
โดยใช้สมบัตทิ ี่ว่า เป็น 0 ∴ ข้อนี้ ไม่มค
ี ําตอบ
(1) นําหลักบวกกัน ค่า det ไม่เปลีย่ น 1 0 −x2
(2) ถ้ามี 2 หลัก เป็น k เท่าของกัน det = 0 (39) 2 1 0 = x3 − 6x2 + 5 = 0
... จากเมตริกซ์แรก นําหลัก 2 ไปบวกหลัก 3 x 3 5
1 a a+b+c 5±3 5
= 1 b a+b+c = 0 → (x − 1)(x2 − 5x − 5) = 0 → x = 1,
1 c a+b+c 2
1 2 −1
(เพราะหลักที่ 3 เป็น a+b+c เท่าของหลักที่ 1) (40) −2 x −2 = x + 4 − 4 + x − 4 − 4
... จากเมตริกซ์ทสี่ อง นําหลัก 1 ไปบวกหลัก 3 1 −2 1
n n + 1 2n + 2 = 2x − 8 = 0 → x = 4
= n + 1 n + 2 2n + 4 = 0
n + 2 n + 3 2n + 6 [สังเกต หลักที่ 2 จะเป็น −2 เท่าของหลักที่ 3]
log 2x −2x
(เพราะหลักที่ 3 เป็น 2 เท่าของหลักที่ 2) (41) log 2x − 1 x
≠ 0
(32) det(−2A3A t(A + A t))
3 → x log 2x + 2x log 2x − 1 ≠ 0
= (−2)2 ⋅ A ⋅ A ⋅ A + At
4
→ x2 log 2 + (2x2 − 2x) log 2 ≠ 0
−1 1 −2 4 2
= 4 ⋅ 3 −1 ⋅ 4 −2
→ 3x2 − 2x ≠ 0 → x ≠ 0,
3
= 4 ⋅ (−2)4 ⋅ (−12) = −768
(42) ⎡a b ⎤ ⎡ −a −c ⎤
(33) det(−2AnA t(A + A t)) ⎢⎣c d⎥⎦ = ⎢⎣ −b −d⎥⎦ →
n
= (−2)2 ⋅ A ⋅ A ⋅ A + A t แสดงว่า a
กับ d เป็น 0 (ก. ถูก)
n+1 2
1 1 2 1 A = B และ B ≠ 0 → แสดงว่า A ≠ 0 ด้วย
= 4⋅ 01 ⋅ 12 = 4 ⋅ (1)n + 1 ⋅ (3) = 12 2
( A = B) → ข. ก็ถูก
(34) A ⋅ X ⋅ B = C ⋅ D ⎡ 1 1 ⎤
1 2 2
C ⋅ D (−5)(−10) (43) A −1 = ⋅ ⎢⎡ −4 −3⎥⎤ = ⎢ 3⎥ ,
→ X = = = −5 2 ⎣ ⎦ ⎢⎣ −2 − 2 ⎥⎦
A ⋅ B (2)(−5)
−2 0 0 12 4 10 1 ⎡ −6 3⎤
B−1 = ⋅ → หาไม่ได้ เพราะ B = 0
(35) 4 3 0 ⋅ X = 0 −5 8 0 ⎢⎣ −4 2⎥⎦
2 15 0 0 1 1 ⎡0 0⎤
02−1 = ⋅ → หาไม่ได้ เพราะ 0 = 0
→ (−30) X = (−60) → X = 2 0 ⎢⎣0 0⎥⎦
สังเกต ข้อนี้เป็นเมตริกซ์สามเหลีย่ ม จะหา det ง่าย 1 1 0 1 0
I2−1 = ⋅ ⎡⎢0 1 ⎤⎥ = ⎡⎢0 1 ⎤⎥ = I2
(36) AB + 4A = 2I → A(B + 4I) = 2I 1 ⎣ ⎦ ⎣ ⎦
−1
20 27
→ A ⋅ B + 4I = 2I (44) (AB)−1 = ⎡⎢ 12 16⎤⎥
⎣ ⎦
⎛ 1 ⎞ 2 −2 1 ⎡ 16 −27 ⎤
→ ⎜ ⎟ ⋅ x y + 4 = (2)2 −4 27/4
⎝4⎠ = = ⎡⎢ 3 −5 ⎤⎥
−4 ⎣⎢ −12 20 ⎦⎥ ⎣ ⎦
1
→ (2y + 8 + 2x) = 4 → x + y = 4 1 ⎡ 5 −3 ⎤⋅ ⎡ 1 2 −3⎤
4 B−1A −1 =
3
−2 ⎣⎢ −4 2 ⎦⎥ 2 ⎣⎢ −2 4 ⎦⎥
(37) จาก −A3 = 2 2I → (−1)2 A = (2 2)2 1 ⎡ 16 −27 ⎤ −4 27/4
= = ⎡⎢ 3 −5 ⎤⎥
−4 ⎣⎢ −12 20 ⎦⎥
3
→ A = 8 → A = 2 ⎣ ⎦
1 1 หมายเหตุ (AB)−1 = B−1 ⋅ A −1 เสมอ
จาก C−1 = 4 → = 4 → C =
C 4 −1
1 ⎡ 3 −2⎤
(45.1) ⎡ 1 2⎤ =
−3 2
= ⎡⎢ 2 −1⎤⎥
⎣⎢2 3⎥⎦ −1 ⎣⎢ −2 1 ⎦⎥ ⎣ ⎦

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 223 เมตริกซ
−1 det +, − t
(45.2) ⎡ cos θ sin θ ⎤ (55) ใช้ขั้นตอน A >M >C > adj
⎣⎢ − sin θ cos θ ⎦⎥
⎡2 1 −2⎤ ⎡ 0 −3 18 ⎤
1 ⎡cos θ − sin θ ⎤ = ⎡cos θ − sin θ ⎤ จาก A = ⎢ 3 0 0 ⎥ → M(A) = ⎢11 6 8 ⎥
=
cos θ + sin2 θ ⎣⎢ sin θ cos θ ⎦⎥
2 ⎢⎣ sin θ cos θ ⎦⎥ ⎢⎣4 6 −1 ⎥⎦ ⎢⎣ 0 6 −3⎥⎦

24 ⎡ 0 3 18 ⎤ ⎡ 0 −11 0 ⎤
(45.3) 12 = 0 ดังนั้นไม่มีคําตอบ → C(A) = ⎢ −11 6 −8⎥ → adj(A) = ⎢ 3 6 −6⎥
⎢⎣ 0 −6 −3 ⎥⎦ ⎢⎣18 −8 −3 ⎥⎦
1 ⎡4 2⎤ ⎡ −1 2⎤
(46) 2A −1Bt = 2 ⋅ ⋅
−2 ⎣⎢3 1⎦⎥ ⎢⎣ 1 1 ⎥⎦ โจทย์ถาม A ⋅ adj(A) กับ adj(A) ⋅ A
−2 10 2 −10 ⎡ −33 0 0 ⎤
= − ⎡⎢ −2 7 ⎤⎥ = ⎡⎢2 −7 ⎤⎥ ได้เป็น ⎢ 0 −33 0 ⎥ ทั้งสองอย่าง
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎢⎣ 0 0 −33⎥⎦
−1 t t
(47) BA = A → B = A ⋅A
1 ⎡ 0 −11 0 ⎤
1 ⎡ −1 − 3 ⎤ 1 ⎡ −1 3 ⎤ det(A) = −33 , A −1 = − ⎢ 3 6 −6⎥
= ⎢ ⎥⋅ ⎢ ⎥ 33 ⎢⎣18 −8 −3 ⎥⎦
2 ⎣ 3 −1 ⎦ 2 ⎣ − 3 −1 ⎦
1 ⎡4 0 ⎤ 1 0 [หมายเหตุ A ⋅ adj(A) = adj(A) ⋅ A = A ⋅ I
= = ⎡⎢0 1 ⎤⎥
4 ⎢⎣0 4⎥⎦ ⎣ ⎦
เสมอ → แสดงที่มาไว้ในเฉลยข้อ 69]
(48) ⎢ 1 −2⎥ X = ⎢⎡31 20⎥⎤ − ⎢⎡21 24⎥⎤ = ⎢⎡−21 −−22⎥⎤
⎡2 −5⎤
⎡ 3 6 −18⎤
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦ (56) จาก M(A) = ⎢ 3 2 −6 ⎥
2 −5⎤
−1
2 −2 ⎢⎣ −6 −12 24 ⎥⎦
→ X = ⎡⎢ 1 −2⎦⎥ ⋅ ⎡⎢ −1 −2⎤⎥
⎣ ⎣ ⎦ ⎡ 3 −6 −18⎤
1 −2 5 ⎡ 2 −2⎤ ⎡ −9 −6⎤ → C(A) = ⎢ −3 2 6 ⎥
= ⎢⎡ −1 2⎥⎤ ⎢⎣ −1 −2⎦⎥ = ⎣⎢ −4 −2 ⎦⎥ ⎢⎣ −6 12 24 ⎥⎦
1⎣ ⎦
4 6
−1
1 2 → det(A) = (แถว2) 6(−3) + 3(2) = −12
(49) A = ⎡⎢8 12⎤⎥ ⋅ ⎡⎢3 4⎤⎥ ⇒ หาไม่ได้
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎡ 3 −3 −6⎤
และ adj(A) = ⎢ −6 2 12 ⎥ ดังนั้น
4 6 ⎢⎣ −18 6 24⎥⎦
เพราะ 8 12 = 0 ดังนั้นข้อนี้ไม่มคี ําตอบ
1 4 1 ⎡ 3 −3 −6⎤ ⎡ −1/ 4 1/ 4 1/2⎤
(50) จาก A ⋅ 4 ⎡⎢9 16⎤⎥ = 4I A −1 = − ⎢ −6 2 12 ⎥ = ⎢ 1/2 −1/6 −1 ⎥
⎣ ⎦ 12 ⎢ −18 6 24⎥ ⎢⎣ 3/2 −1/2 −2 ⎥⎦
⎣ ⎦
→ ⎡ 1 4 ⎤ = A −1 ⋅ I = A −1 ตอบ ⎡1 4 ⎤
⎢⎣9 16⎥⎦ ⎢⎣9 16⎥⎦ (57) A = 2 , C = 24 → ∴ B = C ÷ A = 12

AB = I แสดงว่า A −1 = B
(51) ก. B−1 = 1 = 1 ข้อนี้ผดิ
B 12
⎡1⎤ ⎡3 0 −1⎤ ⎡1⎤ ⎡2⎤
→ A −1 ⋅ ⎢1⎥ = ⎢4 2 0 ⎥ ⎢1⎥ = ⎢6⎥ 1 1
ข. B−1A −1 = = ข้อนี้ผดิ
⎢⎣1⎥⎦ ⎢⎣3 −1 1 ⎥⎦ ⎢⎣1⎥⎦ ⎢⎣3⎥⎦ B ⋅ A 24

(52) AX + B = A → AX = A − B ค. 2Bt = 22 ⋅ B = 48 ข้อนี้ผดิ


→ X = A −1 ⋅ (A − B)
ง. A2B = A 2 ⋅ B = 48 ถูก
1 ⎡ 3 −4⎤ ⎡2 2 ⎤ −6 6 (58) = (At)−1 = A t −1 = A −1 = A−1
∴X = ⋅ = ⎢⎡ 5 −4⎥⎤
1 ⎢⎣ −2 3 ⎥⎦ ⎢⎣3 0⎥⎦ ⎣ ⎦ (เลือกแถว 2 ในการหา det)
→ b + c = 6 + 5 = 11 ตอบ −3 −52 71 = −3(37) = −111
(53) X −1 = A −1 ⋅ (B + C)−1
2n
0 1
−1
1 −1
−1
1 ⎡ 2 −1⎤ 1 ⎡ 1 1⎤ (59) 2A −1 = B → = B
= ⎡⎢ 1 2⎤⎥ ⋅ ⎡⎢0 1 ⎤⎥ = ⋅ A
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ −1 ⎣⎢ −1 0 ⎦⎥ 1 ⎣⎢0 1⎦⎥
→ 2n = 16 ∴n = มิติของ A และ B = 4
−2 −1
= ⎡⎢ 1 1 ⎤⎥
⎣ ⎦ ตอบ 4 × 4
1 (60) จาก A2 − 3A + I = 0 → I − 3A = − A2
(54) A(B − C) = I → 2(B − C) = A −1
2
⎡ 1 0 2⎤ ⎡2 0 4⎤ และ B = 1 A−1 − 3 I → 2BA = I − 3A
2 2
→ ∴ A −1 = 2 ⎢ 0 1 −1⎥ = ⎢ 0 2 −2⎥
⎣⎢ −2 −1 −1⎦⎥ ⎣⎢ −4 −2 −2⎦⎥ (ได้จากการนํา 2A คูณ) จากนั้น สมการทั้งสอง
เท่ากัน จะได้ 2BA = −A2
23 ⋅ B ⋅ 4 = (−1)3(4)2 ∴ B = −1 / 2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 224 เมตริกซ

2A + I (67) เนื่องจาก AB = BA = I แสดงว่า


(61) C = (2A + I)(B−1) → C =
B B−1 = A → โจทย์ถาม det(adj A)
3 4 −1 1 21 − 8x
∴ 1 = 2x 7 ÷ 2 1 =
−3
→ x = 3 พิสจู น์ จาก A−1 = adj(A)
A
(62) A = 1 − c2 → จากสมการในโจทย์จะได้ → A ⋅A −1
= adj(A) → ใส่ det ทั้งสองข้าง
2 −1
22 ⋅ A + (1 − c2)3 ⋅ A = 45 −1
→ A ⋅A = adj(A)
→ 4(1 − c2)2 + (1 − c2)2 = 45 → (1 − c2)2 = 9
2
ดังนัน้ adj(A) = A n ⋅ A −1 = A n − 1
→ 1 − c = 3 หรือ −3
โจทย์ขอ้ นี้ A = −6 ∴ adj(A) = (−6)3 − 1 = 36
นั่นคือ c2 = −2 (ใช้ไม่ได้) หรือ 4 → c = ±2
(68) โจทย์ให้หา adj(B) ก็คอื adj(A−1)
(63) A = a2 − a → จากสมการในโจทย์จะได้
−1 1 พิสูจน์ จาก A −1 = adj(A)
a⋅ A + ⋅ (2)3 ⋅ A + 4 = 0 A
4a
→ A ⋅ A −1 = adj(A)
1
→ + 2(a − 1) + 4 = 0
a−1 เปลี่ยน A เป็น A−1 → A −1 ⋅ A = adj(A −1)
→ 1 + 2(a − 1)2 + 4(a − 1) = 0
ดังนัน้ adj(A−1) = A
1 A
→ 2a2 − 1 = 0 → a = ±
2 โจทย์ขอ้ นี้ A = 3 ดังนัน้ ตอบ ก.
(64) ก.
⎡5⎤ ⎡ 1⎤
3 [1 − 1 − 4] ⎢0⎥ − 2 [0 1 2] ⎢ −1⎥
(69) พิสูจน์ จาก A −1 = adj(A)
A
⎢⎣ 1 ⎥⎦ ⎢⎣ 2 ⎥⎦
→ A ⋅ A −1 = adj(A) → นํา A คูณทั้งสองข้าง
= 3 [1] − 2 [3] = [ −3] ข้อนี้ผด
ิ → A ⋅ I = A ⋅ adj(A)
2 1 2
ข. a2 a = 2a − a = 0 → ดังนัน้ โจทย์จะกลายเป็น A I − BA = I
4
→ ( A − 1) I = BA → ( A − 1) = B ⋅ A
a = 0 หรือ 2 → ข้อนี้ผดิ
ค. AB = A ⋅ B = 0 → ซึ่ง det(B)=0 จึงได้ A −1= 0 → A = 1

A = 0 B = 0 ข้อนี้ถูก
หรือ ab c
(70) จาก A = de f
1 1 gh i
ง. 2A −1 = =
2A 4 A
de f
แต่ 2A−1 = 4 → ข้อนี้ผดิ สลับ R12 ได้เป็น ab c = − A
gh i
A

(65) M = x(x + 3) + x(3) = x2 + 24 x สลับ C23 ได้เป็น


d f e
a c b = − (− A ) = A
7 7
g i h
และ (2A + A t)(A−1) = 1 9 ÷ 1 3 = 55
6 − 1 2 −1
7 d f e
นํา 2 คูณ R2 ได้เป็น 2a 2c 2b = 2 A = B
ดังนัน้ x2 + 24 x = 55 → 7x2 + 24x − 55 = 0 g i h
7 7

→ (7x − 11)(x + 5) = 0 ∴ x ∈
11
7
,−5 { } ดังนัน้ ตอบ 2 เท่า
a b c
−1
(71) ก. A = p q r = 3 → สลับ R12 แล้วสลับ
(66) A(B + 3I) = 2I → B + 3I = 2A x y z
→ B + 3I = 22 ⋅ A −1 x y z
R13 อีกครั้ง → a b c = 3 (สลับ 2 ครั้ง det เท่า
2 −2 ⎛ 1⎞ p q r
→ x y + 3 = 4 ⋅ ⎜⎝ − 2 ⎟⎠
4, 2, −1 คูณแต่ละแถว
เดิม) จากนัน้ นํา
→ 2y + 6 + 2x = −2 → x + y = −4
4x 4y 4z
(ข้อ 67 ถึง 69 ควรศึกษาขั้นตอนการพิสจู น์ เพือ่ → 2a 2b 2c = 3 ⋅ (4)(2)(−1) = −24 = B
−p −q −r
นําไปปรับใช้กับโจทย์นอกเหนือจากนี้)
33 9
→ ∴ 3B−1 = = −
−24 8

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 225 เมตริกซ

~
a b c ⎡ 1 0 0 −1/ 4 1/ 4 1/2⎤
ข. จาก A = p q r = 3 → สลับ R12 → ⎢2 1 0 0 1/ 3 0 ⎥
x y z −(1/ 4)R1
(1/ 3)R2
⎢⎣6 0 1 0 1 1 ⎥⎦

~
p q r ⎡ 1 0 0 −1/ 4 1/ 4 1/2⎤
a b c = −3 → ทรานสโพส (det ไม่เปลี่ยน) และ ⎢0 1 0 1/2 −1/6 −1 ⎥
x y z R2 − 2R1 ⎢⎣0 0 1 3/2 −1/2 −2 ⎥⎦
R3 − 6R1
p −a x
นํา -1 คูณหลักที่ 2 → q −b y = −3 ⋅ (−1) = 3 (74.1) ⎡ 1 −2 ⎤ ⎡ x ⎤ = ⎡ 5 ⎤
r −c z ⎢⎣3 2 ⎥⎦ ⎢⎣y ⎥⎦ ⎢⎣ −1⎥⎦
−1
x 1 −2 5 1 ⎡ 2 2⎤ ⎡ 5 ⎤
หลักที่ 3 บวกหลักที่ 2 จะได้ → ⎡y ⎤ = ⎢⎡3 2 ⎥⎤ ⋅ ⎡ −1⎤ =
p −a + x x ⎣⎢ ⎦⎥ ⎣ ⎦ ⎢⎣ ⎦⎥ 8 ⎢⎣ −3 1⎥⎦ ⎣⎢ −1⎦⎥
23 8
q −b + y y = 3 = C ∴ 2C−1 = = 1
r −c + z z C 3 = ⎢⎡ −2⎥⎤ → ∴ x = 1, y = −2
⎣ ⎦
(72) M23(A) = 5 → หาค่า M32(2A)t ⎡ x ⎤ = ⎡2 −5⎤
−1
1
(74.2) ⋅ ⎡⎢2⎤⎥
3 t 3
= 2 ⋅ M32(A) = 2 ⋅ M23(A) = 2 ⋅ 5 = 40 3 ⎢⎣ y ⎥⎦ ⎢⎣3 −7 ⎥⎦ ⎣ ⎦
x 1 −7 5 1 3
หมายเหตุ → ⎡y ⎤ = ⎡⎢ −3 2 ⎤⎥ ⎡⎢2⎤⎥ = ⎡⎢ 1 ⎤⎥
⎢⎣ ⎥⎦ 1⎣ ⎦⎣ ⎦ ⎣ ⎦
1. M32(A)t = M23(A) เพราะทรานสโพสแล้วค่า det ∴ x = 3, y = 1
เท่าเดิม 4 3 2
−1
5
x
2. ค่า M คือ det ดังนั้นจึงดึง 2 ออกมาได้, แต่ (75) ⎡⎢y ⎤⎥ = ⎢⎡ 3 −1 −1⎥⎤ ⋅ ⎡⎢6⎤⎥
ต้องกลายเป็น 23 เพราะ M คือ det 3 × 3 ⎢⎣ z ⎥⎦ ⎢⎣ −1 2 1 ⎥⎦ ⎢⎣ 1 ⎥⎦

(73) แต่ละเมตริกซ์ มีวิธดี ําเนินการได้หลายแบบ หาอินเวอร์ส (ด้วยสูตร adj A / det A )


หลายลําดับ สัน้ ยาวต่างกันไปแล้วแต่คนมอง ในเฉลย ⎡x ⎤ 1 ⎡ 1 1 −1 ⎤ ⎡5⎤
ได้ เ ป็ น ⎢y ⎥ = ⎢ −2 6 10 ⎥ ⎢6⎥
นี้เป็นเพียงแบบหนึ่งเท่านั้น ⎣⎢ z ⎦⎥
8 ⎢ 5 −11 −13⎥ ⎢ 1 ⎥
~
⎣ ⎦⎣ ⎦
⎡ −3 −2 1 0⎤ ⎡ 1 0 1 1⎤
A; ⎢⎣ 4 2 0 1 ⎥⎦ R1 + R2 ⎢⎣4 2 0 1⎥⎦ ⎡ 5/ 4 ⎤ 5 9 27
= ⎢ 9/2 ⎥ ∴x = ,y = ,z = −
~ −4 −3⎦⎥ ~ ⎣⎢0 1
1 1⎤ 1 1 ⎤ ⎢⎣ −27/ 4⎥⎦ 4 2 4
⎡1 0 ⎡1 0
⎣⎢0 2 −2 −3/2⎦⎥
⎡ 3 2⎤ ⎡ x ⎤ = ⎡ 6 ⎤
R2 − 4R1 1
R2
2 (76)⎢⎣ −4 1 ⎥⎦ ⎢⎣ y ⎥⎦ ⎢⎣14⎥⎦
B; แถว 1 กับแถว 2 เป็น 2 เท่าของกัน แสดงว่า
6 2 3 2 −22
B = 0 จึงไม่สมารถหา B−1 ได้ → ไม่มีคําตอบ → x = 14 1 ÷ −4 1 = = −2
11
(Row Operation จะเกิดแถว 0 0 และทําต่อไม่ได้) แทนลงสมการในโจทย์ ได้ y = 6

~
⎡2 1 −2 1 0 0⎤ ⎡ 3 0 0 0 1 0⎤ 3 3 1 2 3 1
C; ⎢ 3 0 0 0 1 0⎥ ⎢2 1 −2 1 0 0⎥ −10
⎢4 6 −1 0 0 1 ⎥ R12 ⎢4 6 −1 0 0 1 ⎥ (77.1) x = 1 2 1 ÷ 1 2 1 = = 2
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ −2 4 0 −1 4 0 −5

~
(1/ 3)R1
⎡ 1 0 0 0 1/ 3 0 ⎤
⎢ −6 −11 0 1 0 −2⎥
แทนในสมการสุดท้าย ได้ y = 0
R2 − 2R3
⎢⎣ 4 6 −1 0 0 1 ⎥⎦ จากนั้นแทน x และ y ในสมการใดสมการหนึง่ ที่
~ ⎡ 1 0 0 0 1/ 3 0 ⎤ เหลือ ได้ z = −1
⎢0 −11 0 1 2 −2⎥ 1 1 1 2 1 1
R2 + 6R1 ⎢⎣0 6 −1 0 −4/ 3 1 ⎥⎦ −9
R3 − 4R1 (77.2) x = 1 −2 −3 ÷ 1 −2 −3 = = 1
5 2 4 3 2 4 −9
~
(−1/ 11)R2
⎡1 0 0 0
⎢⎣0 −6 1 0
1/ 3 0 ⎤
⎢0 1 0 −1/ 11 −2/ 11 2/ 11⎥
4/ 3 −1 ⎥⎦
2 1 1 27
− R3 → y = 1 1 −3 ÷ (−9) = = −3
35 4 −9
~
R3 + 6R2
⎡1 0 0 0 1/ 3 0 ⎤
⎢0 1 0 −1/ 11 −2/ 11 2/ 11⎥
⎢⎣0 0 1 −6/ 11 8/ 33 1/ 11 ⎥⎦
แทน x และ y ลงในสมการใดก็ได้ จะได้ z = 2
−1 2 3 1 2 3 −39 13
~
⎡2 −3 2 1 0 0⎤ ⎡8 0 2 1 1 0⎤ (77.3) x = 9 1 −4 ÷ 2 1 −4 = =
D; ⎢6 3 0 0 1 0⎥ ⎢6 3 0 0 1 0⎥ −2 −1 2 1 −1 2 −27 9
⎢0 −3 1 0 0 1 ⎥ R1 + R2 ⎢6 0 1 0 1 1 ⎥
⎣ ⎦ R3 + R2 ⎣ ⎦ 1 −1 3 −21 7
~ ⎡ −4 0 0 1 −1 −2⎤ → y = 2 9 −4 ÷ (−27) = =
⎢6 3 0 0 1 0⎥ 1 −2 2 −27 9
R1 − 2R3 ⎢⎣ 6 0 1 0 1 1 ⎥⎦
แทน x, y ลงในสมการใดก็ได้ จะได้ z = −4 / 3

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 226 เมตริกซ

x ควรใช้กฎคราเมอร์
(78) ต้องการหาค่าเฉพาะ ⎡ 2 3 1⎤ ⎡1/ x ⎤ ⎡3⎤
1 4 1 2 4 1 (81.2)⎢ 1 2 1⎥ ⎢ y⎥ = ⎢ 1 ⎥
20 ⎢⎣ −1 4 0⎥⎦ ⎢⎣ z ⎦⎥
→ x = −2 2 0 ÷ 1 2 0 = = −20 ⎣⎢ −2⎦⎥
3 −3 2 −1 −3 2 −1
1 3 3 1 2 3 1 −10
(79.1) [A | B] ~ [I | X] → = 1 2 1 ÷ 1 2 1 = = 2
x −2 4 0 −1 4 0 −5

~
⎡ 1 1 1 10⎤ ⎡ 1 1 1 10 ⎤
⎢3 0 1 13⎥ ⎢2 −1 0 3 ⎥ ∴ x = 1/2 แทนลงในโจทย์ ได้ y = 0, z = −1
⎢2 1 −1 9 ⎥ R3 + R1 ⎢3 2 0 19⎥
⎣ ⎦ R2 − R1 ⎣ ⎦ ⎡x ⎤ ⎡ 1 0 2⎤ ⎡ 1 ⎤ ⎡ ⎤
(82) ย้ายข้าง.. ⎢ y ⎥ = ⎢2 −1 1 ⎥ ⎢2 ⎥ = ⎢0 ⎥
~ ~
⎡ 1 1 1 10 ⎤ ⎡ 1 1 1 10 ⎤ ⎢⎣ z ⎥⎦ ⎢⎣5 1 2⎥⎦ ⎢⎣0⎥⎦ ⎢⎣ ⎥⎦
⎢2 −1 0 3 ⎥ ⎢2 −1 0 3 ⎥
R3 + 2R2 ⎢7 0 0 25⎥ (1/ 7)R3 ⎢ 1 0 0 25/7 ⎥ ∴y = 0
⎣ ⎦ ⎣ ⎦

~ ⎢⎢211 −011 001 ~


⎡ 25/ 7 ⎤ ⎡ 1 0 0 25/ 7 ⎤ (83) (s + 1) x + (s + 2) y = s .....(1)
3 ⎥ ⎢0 −1 0 −29/ 7 ⎥
sx + (s − 1) y = 0 .....(2)
R13
⎣ 10 ⎥⎦ R2 − 2R1
R3 − R1
⎢0 1 1 45/ 7 ⎥
⎣ ⎦
⎡x ⎤ = ⎡ s ⎤ →
⎡ s + 1 s +2⎤
~
⎡ 1 0 0 25/ 7 ⎤ x = 25/ 7 ⎣⎢y ⎦⎥ ⎢⎣0⎦⎥
ใช้กฎคราเมอร์ช่วย
⎢0 1 0 29/ 7 ⎥ ⎣⎢ s s − 1 ⎦⎥
∴ y = 29/ 7
R3 + R2 ⎢0 0 1 16/ 7 ⎥ z = 16/ 7 s s +2 s + 1 s +2
− R2 ⎣ ⎦ x = 0 s −1 ÷ s s −1

~
⎡2 1 −1 5 ⎤ ⎡ 2 1 −1 5 ⎤
⎢ 3 −2 2 − 3 ⎥ ⎢7 0 0 7 ⎥ s(s − 1) s(s − 1)
(79.2) = = −
⎢ 1 −3 −3 − 2 ⎥
⎣ ⎦
R2 + 2R1
R3 − 3R1
⎢ −5 −6 0 −17 ⎥
⎣ ⎦ (s + 1)(s − 1) − s(s + 2) 2s + 1

~ ~
⎡7 0 0 7 ⎤ ⎡ 1 0 0 1 ⎤ s+1 s s + 1 s +2
และ y = s 0 ÷ s s −1
⎢ −5 −6 0 −17 ⎥ ⎢ −5 −6 0 −17 ⎥
⎣ 2 1 −1 5 ⎦
ั แถว....⎢
สลับ ⎥ (1/ 7)R1 ⎢ 2 1 −1 5 ⎥
⎣ ⎦ −s2 s2
= =
~ ~
⎡1 0 0 1 ⎤ ⎡1 0 0 1 ⎤ (s + 1)(s − 1) − s(s + 2) 2s + 1
⎢0 −6 0 −12⎥ ⎢0 1 0 2 ⎥
R2 + 5R1 ⎢
R3 − 2R1 ⎣0 1 −1 3 ⎥⎦ (−1/ 6)R2
− R3
⎢0 −1 1 −3⎥
⎣ ⎦ ⎡ 1⎤
(84) A2(adj A) X = A ⋅ AX = ⎢6⎥

~ ⎣⎢0⎦⎥
⎡1 0 0 1⎤ x = 1
⎢0 1 0 2⎥ ∴ y = 2
R3 + R2 ⎢
−1⎥⎦ z = −1 หาค่า A ได้ 6 ดังนัน ้
⎣0 0 1
⎡ 1 2 3⎤ ⎡p ⎤ ⎡1/6⎤
(80) เนื่องจาก สมการที่ (1) กับ (3) มีสัมประสิทธิ์ ⎢0 −1 0⎥ ⎢q⎥ = ⎢ 1 ⎥ → กฎคราเมอร์
เป็น −2 เท่าของกัน ..ดังนั้น A = 0 ทําให้หา ⎢⎣2 1 0⎥⎦ ⎢⎣ r ⎥⎦ ⎣⎢ 0 ⎦⎥
คําตอบที่แน่นอนชุดหนึ่งไม่ได้ 1/6 2 3 1 2 3 3 1
(80.1) สมการ (1) กับ (3) ขัดแย้งกัน ไม่มีคําตอบ p = 1 −1 0 ÷ 0 −1 0 = =
0 1 0 2 1 0 6 2
(80.2) สมการ (1) กับ (3) เป็นสมการเดียวกัน
(85) หาคําตอบได้เสมอเมื่อ A ≠ 0
(จึงเหลือแค่ 2 สมการ) ... มีคําตอบหลายชุด 2
∴ a − 3a + 2 ≠ 0 → (a − 1)(a − 2) ≠ 0
⎡2 0 1 ⎤ ⎡1/ x ⎤ ⎡0 ⎤
(81.1) ⎢4 2 0⎥ ⎢1/ y ⎥ = ⎢4 ⎥ → a ≠ 1, 2
⎢⎣0 3 1 ⎥⎦ ⎢⎣ 1/ z ⎥⎦ ⎣⎢2 ⎦⎥
1 00 1
= 420 ÷ 42
2 0 1
0 =
8 1 (86)
⎡1 2
⎢2 3
a⎤
b⎥ ~ ⎡ 1 2 3⎤
⎢ 0 −1 −1⎥
⎣⎢ −1 0 c ⎥⎦ ⎣⎢ −1 0 2 ⎦⎥
→ = R2 − 2R1
x 2 3 1 0 3 1 16 2
แสดงว่า a = 3, b − 2a = − 1 → b = 5, c = 2
∴x = 2 แทนลงในโจทย์ ได้ y = 1, z = −1
⎡ 1 2 3⎤ ⎡x ⎤ ⎡ 1⎤
ดังนัน้ จะได้สมการ ⎢ 2 3 5⎥ ⎢y ⎥ = ⎢ 1 ⎥
⎣⎢ −1 0 2 ⎥⎦ ⎢⎣ z ⎥⎦ ⎣⎢0⎦⎥
1 2 3 1 2 3 2
และ x = 1 35 ÷ 2 35 = = −2 / 3
002 −1 0 2 −3

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 227 เวกเตอร

˜
v ⋅ cTR

º··Õè 10 eÇ¡eµoÏ
ปริมาณในโลกมีสองชนิด คือ ปริมาณสเกลาร์
(Scalar Quantity) และปริมาณเวกเตอร์ (Vector
Quantity) โดยที่ปริมาณสเกลาร์นั้นระบุเฉพาะขนาด
เช่น ระยะเวลา มวล ราคาสิ่งของ แต่ปริมาณเวกเตอร์
นั้นจะระบุทั้งขนาดและทิศทาง เช่น แรง ความเร็ว
ความเร่ง โมเมนตัม บทเรียนเรื่องเวกเตอร์นี้เป็น
พื้นฐานที่สําคัญของวิชากลศาสตร์ ไฟฟ้า และอื่นๆ
การเขียนปริมาณเวกเตอร์จะใช้รูปลูกศร โดยให้ความยาวลูกศรแทนขนาด และหัวลูกศร
ชี้บอกทิศทาง เช่น จากภาพ เวกเตอร์มี “ขนาด” 4 หน่วย และมี “ทิศทาง” ทํามุม 45° กับแกน x
ในทิศทวนเข็มนาฬิกา
B เขียนชื่อเวกเตอร์ ตามจุดเริ่มและจุดสิ้นสุดของลูกศร เช่น ˜
AB
หรือใช้ตัวพิมพ์เล็ก (ที่เติมขีดด้านบน) ก็ได้ เช่น u, v, w
u ขนาดของเวกเตอร์ u เขียนเป็นสัญลักษณ์ว่า u
y D
เวกเตอร์สองอันจะเท่ากัน ก็ต่อเมื่อ มีขนาด B
45°
x เท่ากัน และมีทิศทางเดียวกัน (ไม่จําเป็นต้อง
A
มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดเดียวกัน เช่น
˜AB = ˜ CD ก็ได้ ถ้ามีขนาดเท่ากัน และทิศ
เดียวกัน ดังภาพ) C
A
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 228 เวกเตอร

10.1 การบวกและลบเวกเตอร์
เวกเตอร์บวกกัน สามารถหาผลลัพธ์ได้สองวิธี คือ หัวต่อหาง และหางต่อหาง
1. หัวต่อหาง ให้นําเวกเตอร์มาเขียนต่อกัน โดยเอาหางลูกศรใหม่มาวางต่อที่หัวลูกศรเดิม
เวกเตอร์ลัพธ์ที่ได้ คือเวกเตอร์ที่ลากจากหางแรกสุด ไปถึงหัวลูกศรปลายสุด
˜ ˜ ˜
AB + BC = AC ในสี่เหลี่ยมด้านขนาน ABCD
v v w
w
u v
u u
u+v u+v+w

2. หางต่อหาง ให้นําหางเวกเตอร์ชนกัน แล้วต่อเติมรูปให้กลายเป็นสี่เหลี่ยมด้านขนาน


เวกเตอร์ลัพธ์ที่ได้ คือเวกเตอร์ที่ลากจากหางทีช่ นกัน ไปสุดแนวทแยงมุมสี่เหลี่ยมด้านขนาน
˜
AB + ˜
˜
AD = AC ในสี่เหลี่ยมด้านขนาน ABCD

w u+v+w
u v u
u+v u+v
v w

การบวกเวกเตอร์ มีสมบัติเหมือนการบวกจํานวนจริงทุกประการ ได้แก่


สมบัติปิด, สมบัติการสลับที่, สมบัติการเปลี่ยนกลุ่ม, การมีเอกลักษณ์, และการมีอินเวอร์ส
u+v = v +u (u + v) + w = u + (v + w)
เอกลักษณ์การบวกของเวกเตอร์ คือ เวกเตอร์ศูนย์ ( 0 ) เป็นเวกเตอร์ที่มีขนาด 0 หน่วย
u +0 = u u +(−u) = 0
“นิเสธของ u ” หรืออินเวอร์สการบวก เขียนสัญลักษณ์ว่า −u หมายถึง เวกเตอร์ขนาดเท่ากันแต่
ทิศตรงข้ามกับ u หรือกล่าวว่า − ˜
AB = ˜BA นั่นเอง

การลบเวกเตอร์ เป็นการบวกด้วยนิเสธ u − v = u +(− v)


ดังนั้นสามารถหาเวกเตอร์ลัพธ์ได้จากวิธีการบวก ทั้งสองวิธี คือหัวต่อหาง และหางต่อหาง
−v

u v
u−v
u u−v u

−v

หรือหาได้จากวิธีหางต่อหางแบบใหม่ ให้เขียนเวกเตอร์ตัวตั้งและตัวลบแบบหางชนกัน
เวกเตอร์ลัพธ์ที่ได้ จะลากจากปลายลูกศรของตัวลบ มายังปลายลูกศรของตัวตั้ง
˜AB − ˜AD = ˜ DB ในสี่เหลี่ยมด้านขนาน ABCD

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 229 เวกเตอร

u v u
u−v

ขนาดของเวกเตอร์ลัพธ์ หาได้จากกฎของโคไซน์ในเรื่องตรีโกณมิติ ซึ่งสรุปได้ดังนี้


(และสามารถนําขนาดที่ได้ไปคํานวณหาทิศทาง โดยกฎของไซน์กับรูปสามเหลี่ยม)
2 2
u+v = u + v + 2 u v cos θ
เมื่อ θ คือ มุมระหว่าง u กับ v
2 2
u −v = u + v − 2 u v cos θ

S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S
ÁuÁ θ ÃaËNjҧ u ¡aº v ¨aµŒo§Ça´¢³a¹íÒËÒ§µ‹oËÒ§eÊÁo¹a¤Ãaº æÅaÁÕ¢¹Ò´äÁ‹e¡i¹ 180 o§ÈÒ

a
a a2+ b2− 2 a b cos θ
a2+ b2+ 2 a b cos θ
θ θ
b b

แบบฝึกหัด 10.1
(1) กําหนดเวกเตอร์ u และ v ดังภาพ ให้วาดรูปหา u+v และ u−v โดยวิธีหัวต่อหาง และหาง
ต่อหาง (สี่เหลี่ยมด้านขนาน)
(2) ให้เขียนเวกเตอร์แสดงการเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 40 กม.ต่อ ชม. ไปทางทิศตะวันออก และ 60
กม.ต่อ ชม. ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
(3) ให้เขียนเวกเตอร์ขนาด 10 หน่วย ทิศ 030 ° , เวกเตอร์ 12 หน่วย ทิศ 135 ° , และเวกเตอร์ 5
หน่วย ทิศ 330 °
หมายเหตุ การบอกมุมในระบบ 3 หลัก (Three Figure System) จะให้ทิศเหนือเป็น 000 องศา
และเพิ่มขึ้นในทิศตามเข็มนาฬิกา (เช่น 090 องศา แทนทิศตะวันออก, 180 องศา แทนทิศใต้)
(4) ถ้า u แทนระยะทาง 50 กม. ในทิศ 170 ° จะได้ว่า −u คืออะไร
(5) นาย ก ออกเดินทางไปในทิศ 030 ° เป็นระยะทาง 1,000 กม. แล้วเดินทางต่อในทิศ 150 °
เป็นระยะทาง 500 กม. จงหาว่าเขาอยู่ทางทิศใดของจุดเริ่มต้น และอยู่ห่างเท่าใด
(6) เครื่องบินออกแรงบินไปทางทิศเหนือด้วยความเร็ว 240 กม.ต่อ ชม. ในบริเวณที่มีพายุพัดไปใน
ทิศตะวันออกด้วยความเร็ว 180 กม.ต่อ ชม. ถามว่า ความเร็วของเครื่องบินจะเป็นเท่าใด
(7) เครื่องบินออกแรงบินด้วยความเร็ว 200 กม.ต่อ ชม. ไปในทิศ 030 ° ถ้ากระแสลมพัดด้วย
ความเร็ว 50 กม.ต่อ ชม. ไปในทิศ 330 ° จงหาอัตราเร็วของเครื่องบินที่แท้จริง
(8) ชายคนหนึ่งพายเรือในน้ํานิ่งได้อัตราเร็ว 4 กม.ต่อ ชม. ถ้าเขาต้องการเดินทางไปทางทิศเหนือ
ขณะที่กระแสน้ําไหลไปทางทิศตะวันตกด้วยอัตราเร็ว 3 กม.ต่อ ชม. แล้ว เขาต้องออกแรงพายเรือไป
ในทิศใด ด้วยอัตราเร็วเท่าใด จึงได้อัตราเร็วเท่ากับการพายปกติในน้ํานิ่ง
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 230 เวกเตอร

(9) เวกเตอร์ ˜AB มีขนาด 6 หน่วย ขนานแกน x โดยมีทิศทางไปในแนว + x และเวกเตอร์ AC


˜
ทํามุม 60 ° กับเวกเตอร์ ˜
AB โดยมีขนาดเท่ากัน จงหาขนาดและทิศทางที่เป็นไปได้ของเวกเตอร์
˜
u = AB + AC และ v = ˜
˜ ˜
AB − AC

(10) จงหา u+v เมื่อ u กับ v ทํามุมกัน 0 ° , 90 ° , 180 °

(11) จงหา u−v เมื่อ u กับ v ทํามุมกัน 0 ° , 90 ° , 180 °

(12) ถ้า u+v +w = 0 และ u = 2, v = 4, w = 2 จงหา u−v และ u+v

(13) กําหนดให้ u = 1, v = 2, w = 3, w ตั้งฉากกับ v และมีทิศเดียวกับ u


จงหาค่า u + v + w
(14) กําหนด u และ v เป็นเวกเตอร์ในระนาบ
ถ้า u = 4 , v = 3 , u − v = 25 + 12 3 จงหามุมระหว่าง u กับ v

(15) ถ้า u = 10 , v = 5, u + v = 12 จงหา u−v

(16) [Ent’35] ถ้า u = 4 , v = 3 , u+v = 6 จงหา u −v

(17) ถ้า u = 4, v = 5, และ u ตั้งฉากกับ v จงหา 2 u + v +3 u −v

(18) ถ้า u = v จงหามุมระหว่าง u กับ v ที่ทําให้ u+ v = 2 u−v

(19) [Ent’37] เวกเตอร์ u , v , w มีสมบัติว่า u = w และ u − v = v + w


ถ้ามุมระหว่าง u กับ v เป็น π แล้ว มุมระหว่าง v กับ w เป็นเท่าใด
5

(20) กําหนด ABCDEF เป็นรูปหกเหลี่ยมด้านเท่ามุมเท่า มี O เป็นจุดกึ่งกลาง และ |˜


AB| = 2
ซม. เวกเตอร์ใดต่อไปนี้ยาวกว่า 4 ซม.
ก. ˜
AD + ˜ FD ข. ˜
AB + ˜
ED ค. ˜ ˜
FO + DO ง. ˜ ˜
OD + OB

10.2 การคูณเวกเตอร์ด้วยสเกลาร์
ผลที่ได้จากการคูณเวกเตอร์ u ด้วยสเกลาร์ a เป็นดังนี้
1. ถ้า a = 0 จะได้ au = 0
2. ถ้า a > 0 จะได้ au เป็นเวกเตอร์ที่มีทิศเดียวกันกับ u แต่มีขนาดเป็น a ⋅ u
3. ถ้า a < 0 จะได้ au เป็นเวกเตอร์ที่มีทิศตรงข้ามกับ u และมีขนาดเป็น a ⋅ u
การคูณด้วยสเกลาร์ มีสมบัติการเปลี่ยนกลุ่ม และการแจกแจง เช่นเดียวกับจํานวนจริง นั่น
คือ a (bu) = (ab) u , (a+b) u = au + bu , และ a (u + v) = au + av

ความสัมพันธ์ของ “การคูณด้วยสเกลาร์” และ “การขนานกันของเวกเตอร์”


เมื่อ u ≠ 0 และ v ≠ 0 จะได้ทฎษฎีว่า
1. u จะขนานกับ v ก็ต่อเมื่อ มีค่า a ≠ 0 ที่ทําให้ u = av
2. ถ้า u ไม่ขนานกับ v , หาก au + bv = 0 แสดงว่า a = 0 และ b = 0
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 231 เวกเตอร

แบบฝึกหัด 10.2
(21) กําหนดให้ u + 4v = 3v − 2w และ 3v − 4w = 2w + 5u
ถ้า w = 12 จงหาค่า u + v + w
(22) u = 2v − w โดยที่ v = w = 1 และมุมระหว่าง v กับ w เป็น 120 °
จงหามุม θ ระหว่าง u กับ v
(23) กําหนดให้ u ≠ 0 , v ≠ 0 และ u ขนานกับ v
จงหาค่า x ที่ทาํ ให้ (x2+ 6x − 2) u − v = (x − 2x2) u + x v
(24) กําหนดให้ u ≠ 0 , v ≠ 0 และ (x2− 5) u − v = (1 − x) u − 3 v แล้ว
u จะขนานกับ v เมื่อ x มีค่าเท่าใด

(25) กําหนดให้ u ≠ 0 , v ≠ 0 และ (x2− 5) u − v = (1 − x) u − 3 v แล้ว


u กับ v จะมีทิศทางเดียวกัน เมื่อ x มีค่าเท่าใด

2 2
(26) u กับ v มีทิศทางเดียวกัน ถ้า u + (6 − 3x2) v = 100 u + v จงหาค่า x
5 3

(27) กําหนดให้ u ≠ 0 , v ≠ 0 และ u ไม่ขนานกับ v


จงหาค่า x และ y ที่สอดคล้องกับสมการ xu + (x −8) v = (2+2y) u − yv
(28) u ≠ 0 , v ≠ 0 และ u กับ v ไม่ขนานกัน
ถ้า 3u + 8v = a (3u + v) + b (u − 2v) จงหาค่า a และ b
(29) ถ้า u ไม่ขนานกับ v และ w = (a + 4b) u + (2a+b + 1) v , s = (b −2a +2) u + (2a − 3b − 1) v
จงหาค่า a กับ b ที่ทําให้ 3w = 2s

10.3 เวกเตอร์กับเรขาคณิต
เราสามารถใช้ความรู้เกี่ยวกับเวกเตอร์ พิสูจน์ส่วนประกอบของรูปเรขาคณิตหลายเหลี่ยมได้
รวมทั้งแก้โจทย์ปัญหาประเภท “เขียนเวกเตอร์ที่กําหนด ในรูปผลรวมเชิงเส้นของเวกเตอร์อื่น”
เทคนิคที่ใช้ในการแก้โจทย์ปัญหาแบบนี้ คือ .. (ดูตัวอย่างประกอบ)
1. เขียนเวกเตอร์ที่กําหนด ในรูปผลรวมของเวกเตอร์อื่น แบบใดก็ได้ก่อน
2. พยายามเปลี่ยนเวกเตอร์ที่ไม่ต้องการ เป็นผลรวมของเวกเตอร์ที่ต้องการ ไปทีละขั้นๆ
3. เมื่อเหลือเพียงเวกเตอร์ที่ต้องการแล้ว ก็จัดเป็นรูปอย่างง่าย แล้วจึงตอบ
4. บางครั้งเราต้องอาศัยสมการเวกเตอร์อื่น เพื่อช่วยแปลงให้เป็นเวกเตอร์ที่ต้องการ

ตัวอยาง [Ent’35] สี่เหลี่ยมจัตุรัส ABCD มีจุด M และ N อยูท ี่กึ่งกลางดาน BC และ CD ตามลําดับ
จงหา ˜ AB ในเทอมของ ˜ AM กับ ˜ AN

วิธีคิด วาดภาพตามโจทยไดดังรูป

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 232 เวกเตอร

• เริ่มตน เขียน ˜
AB ในเทอมของเวกเตอรใดๆ กอน
A B ˜
เชน AB = AM + MB ˜ ˜ ____________________ (1)
จากนั้นพยายามเปลี่ยน MB AM หรือ ˜
˜ ใหเปน ˜ AN ใหได
M ˜ ˜
• จากรูป เราเชื่อม MB กับ AN ไดดังนี้
˜ AN + ˜
AB = ˜ NC + ˜
CB
C ˜ 1˜ ˜
D N = AN + AB + 2 MB
2
˜ 1˜ 1
หรือจัดรูปสมการไดวา MB = AB − ˜ AN _________________ (2)
4 2
1 1
เมื่อแทนคาจากสมการ (2) ลงใน (1) ก็จะไดคําตอบ ˜
AB = ˜
AM + ( ˜
4
AB − ˜
2
AN)

4˜ 2
= AM − ˜AN ตอบ
3 3

แบบฝึกหัด 10.3
(30) [Ent’26] สี่เหลี่ยมด้านขนาน ABCD มีจุด P เป็นจุดที่เส้นทแยงมุมตัดกัน จุด Q อยู่บนด้าน
AB โดย AQ : QB = 3 : 5 ถ้า ˜ AB = u และ ˜
AD = v จงหา ˜ PQ ในรูปของ u กับ v

(31) จากภาพ |˜ EF | : |˜FB | = 2 : 1 จงหา ˜


AF ในรูปผลรวมของ a กับ b

E 4a D D
N
F O
b M
2a a
C
A B C
B
ข้อ (31) A
ข้อ (32)
(32) จากภาพจุด B แบ่งครึ่งด้าน AC , จุด M แบ่งครึ่งด้าน AD , และจุด N กับ O แบ่งด้าน DC
ออกเป็นสามส่วนเท่าๆ กัน ถ้า ˜ AB = a และ ˜ BD = a + b ให้หา MN˜ ในรูปของ a กับ b
(33) สามเหลี่ยม ABC เป็นรูปสามเหลี่ยมใดๆ ให้ ˜ AB = a และ ˜ AC = b ถ้า ˜AD , ˜ BE , ˜
CF
คือมัธยฐานของสามเหลี่ยม ตัดกันที่จุด O จงเขียน ˜ DO ในรูปของ a กับ b

1
(34) สี่เหลี่ยม ABCD เป็นสี่เหลี่ยมด้านขนาน จุด E อยู่บน CB โดย ˜ CE = ˜ CB , จุด F เป็น
3
AC กับ ˜
จุดตัดของ ˜ DE , หาก ˜
EF = a ˜
˜
˜
ED และ CF
= b CA จงหาค่า a กับ b

(35) ให้ D เป็นจุดแบ่งด้าน AC ของสามเหลี่ยม ABC โดยที่ |˜ ˜


AD| : |DC| = m : n
จงหา ˜BD ในเทอมของ ˜ BA กับ ˜
BC

(36) สามเหลี่ยม ABC มีจุด D กับ E เป็นจุดกึ่งกลางด้าน AB กับ AC ตามลําดับ


ให้พิสูจน์ว่า
(36.1) ˜
DE ขนานกับ ˜
BC
1
DE = ˜
(36.2) ˜ BC
2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 233 เวกเตอร

(37) ในสี่เหลี่ยมคางหมูรูปหนึ่ง จงพิสูจน์ว่า ส่วนของเส้นตรงที่ลากเชื่อมจุดกึ่งกลางของด้านที่ไม่


ขนานกันนั้น จะขนานกับฐาน และยาวเป็นครึ่งหนึ่งของผลบวกด้านคู่ขนาน

10.4 เวกเตอร์ในพิกัดฉาก และเวกเตอร์หนึ่งหน่วย


เวกเตอร์ที่กล่าวถึงที่ผ่านมาทั้งหมด เป็นการมองในพิกัดเชิงขั้ว (Polar Coordinate หรือ
r−θ ) คืออ้างถึงเวกเตอร์ใดๆ ด้วยค่า ขนาด (ความยาว) และทิศทาง (มุมที่วัดทวนเข็มนาฬิกาจาก
แกน +x) แต่นอกจากนั้นเรายังสามารถอ้างถึงเวกเตอร์เหล่านี้ในพิกัดฉาก (Cartesian Coordinate
หรือ x −y ) ได้ ด้วยส่วนประกอบในแนวนอน (Δx) และแนวตั้ง (Δy) ดังภาพ
P (3,4)
B (x2,y2) u
⎡3⎤
u = ⎢ ⎥
O R (2,-2) ⎣4 ⎦
˜
AB
⎡ Δx ⎤
= ⎢ ⎥ = ⎢
⎡ x2 − x 1 ⎤
Δ
⎣ ⎦y ⎣ y2− y 1 ⎥⎦
A (x1,y1) v ⎡3⎤
v = ⎢ ⎥
⎣4 ⎦
Q (-1,-6)
S e¾ièÁeµiÁ! S
y2 − y 1 ⎤
ความสัมพันธ์ระหว่างพิกัดเชิงขั้ว กับพิกัดฉาก
ÃaÇa§o‹Òe¼ÅoeoÒ y oÂًº¹ x oÂًŋҧ! 溺¹Õé¹a¤Ãaº ⎡⎢ Δx = r cos θ
⎣ x2 − x 1 ⎥⎦
Δy = r sin θ
(e»š¹e¾ÃÒaNjÒe¤Âªi¹¡aºÊÙµÃËÒ¤ÇÒÁªa¹)
r = (Δx)2 + (Δy)2
tan θ = (Δy/ Δx) = ความชัน
เวกเตอร์สองอันจะเท่ากัน ก็ต่อเมื่อ Δx เท่ากัน และ Δy เท่ากัน เช่น ในภาพ u = v
เวกเตอร์สองอันจะขนานกัน ( u & v ) ก็ต่อเมื่อความชันเท่ากัน
(การขนานกันนั้น มีทั้งแบบทิศเดียวกันและทิศตรงข้ามกัน)
และเวกเตอร์สองอันจะตั้งฉากกัน ( u ⊥ v ) ก็ต่อเมื่อความชันคูณกันได้ –1
การบวกลบเวกเตอร์ และการคูณด้วยสเกลาร์ จะได้ผลเช่นเดียวกับเมตริกซ์ นั่นคือ
⎡a⎤ ⎡c ⎤ ⎡a+ c⎤ ⎡a ⎤ ⎡ka ⎤
⎢b ⎥ + ⎢d⎥ = ⎢b + d⎥ k ⋅ ⎢ ⎥ = ⎢ ⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣b ⎦ ⎣kb ⎦
⎡a⎤
หมายเหตุ บางตําราใช้ ⎡⎣a , b ⎤⎦ แทน ⎢b ⎥
⎣ ⎦
เวกเตอร์หนึ่งหน่วย (Unit Vector) ก็คือเวกเตอร์ที่มีขนาดเท่ากับ 1
เวกเตอร์หนึ่งหน่วยที่สําคัญในระบบพิกัดฉาก มีอยู่ 2 ตัว ได้แก่ i กับ j
โดย i แทนเวกเตอร์หนึ่งหน่วยในทิศทาง +x และ j แทนเวกเตอร์หนึ่งหน่วยในทิศทาง +y
นั่นคือ i = ⎡⎢01 ⎤⎥ และ j = ⎡⎢01 ⎤⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎡a⎤
เราสามารถเขียนเวกเตอร์ ⎢b ⎥ ใดๆ ในรูป “ผลรวมเชิงเส้นของ i กับ j ” ได้เสมอ
⎣ ⎦
⎡a⎤
หรือ นั่นเอง ซึ่งการเขียนในรูปแบบ a i + b j นั้นก็เป็นที่นิยมกว่า ⎡⎢ba⎤⎥
⎢b ⎥ = a i + b j
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
˜
ส่วนเวกเตอร์หนึ่งหน่วยในทิศทางของ AB ใดๆ (ที่ไม่ใช่ 0 ) สามารถสร้างได้จากการนํา
˜
AB
ขนาดของ ˜AB มาหาร (เพื่อทําให้ขนาดเหลือเพียง 1 หน่วย) เขียนเป็นสัญลักษณ์ได้ว่า
˜
|AB|

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 234 เวกเตอร

แบบฝึกหัด 10.4
(38) จงเขียน ˜PQ ให้อยู่ในระบบแกนฉาก เมื่อกําหนดจุดดังนี้
(38.1) P (2, 4), Q (3, 7) (38.2) P (−2, 3), Q (4, −5)

⎡ − 3⎤
(39) ถ้า ˜
PQ = ⎢ ⎥ ให้หา
⎣2⎦
(39.1) จุดเริ่มต้น เมื่อสิ้นสุดที่ Q (−2, −5)
(39.2) จุดสิ้นสุด เมื่อเริ่มต้นที่ P (4, −6)

(40) คู่อันดับ A (3, −4), B (6, 3), C (7, −1) จงหาเวกเตอร์ ˜ ˜˜


AB, AC, BC พร้อมขนาด

⎡3⎤ ⎡2⎤ ⎡ − 3⎤
(41) u = ⎢ ⎥, v = ⎢ ⎥, w = ⎢ ⎥ จงหา 2u − 3v + w และ 2u − 3v + w

⎣ ⎦4 −2
⎣ ⎦ ⎣4⎦

(42) เวกเตอร์ในแต่ละข้อ ขนานกันหรือไม่ ถ้าขนานให้บอกว่ามีทิศเดียวกันหรือตรงข้ามกัน


(42.1) ⎡⎢04⎤⎥ กับ ⎡⎢ −02⎤⎥ (42.2) ⎡⎢−04⎤⎥ กับ ⎡⎢ −02⎤⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎡0⎤ ⎡ − 3⎤ ⎡ 7 ⎤ ⎡ 1⎤
(42.3) ⎢3⎥ กับ ⎢0⎥ (42.4) ⎢ − 14⎥ กับ ⎢ −2⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦

⎡3⎤ ⎡2⎤ ⎡ − 1⎤
(43) u = ⎢ ⎥, v = ⎢ ⎥, w = ⎢ ⎥ จงเขียน w ในรูปของ au + bv
4
⎣ ⎦ −
⎣ ⎦1 ⎣2⎦

⎡6⎤ ⎡4⎤ ⎡ 1⎤
(44) ให้เขียนเวกเตอร์ w = ⎢ ⎥ ในรูปผลรวมเชิงเส้นของ u = ⎢ ⎥, v = ⎢ ⎥
⎣9⎦ 1
⎣ ⎦ ⎣4⎦

⎡2⎤ ⎡3⎤
(45) สี่เหลี่ยมด้านขนาน ABCD มี ˜
AB = ⎢ ⎥, ˜
3
AD = ⎢ ⎥ จงหาผลบวกของกําลังสองของความ

⎣ ⎦ ⎣4 ⎦
ยาวเส้นทแยงมุมทั้งสองเส้น
⎡3⎤ ⎡ − 4⎤ ⎡5⎤
(46) กําหนดให้ u = ⎢ ⎥, v = ⎢ ⎥, w = ⎢ ⎥ จงเขียนเวกเตอร์ต่อไปนี้ในรูป i กับ j
⎣ −2⎦ ⎣ 1⎦ ⎣ − 3⎦
(46.1) u (46.2) v (46.3) w
(46.4) u + v (46.5) 2u − w

(47) กําหนดคู่อันดับ A (−1, 2), B (−4, −2), C (−3, 4), D (2, −16/3) จงหา
(47.1) 2 ˜ ˜
AB − 3 CD ในรูป i กับ j (47.2) |2 ˜
AB
˜
− 3 CD|

⎡3⎤ ⎡ −2⎤
(48) กําหนดให้ u = ⎢ ⎥, v = ⎢ ⎥ จงหา
⎣ − 4⎦ ⎣8⎦
(48.1) เวกเตอร์หนึ่งหน่วย ที่มีทิศทางเดียวกับ u
(48.2) เวกเตอร์หนึ่งหน่วย ที่มีทิศทางตรงข้ามกับ v
(48.3) เวกเตอร์ขนาด 3 หน่วย ที่มีทิศทางเดียวกับ u + v
(48.4) เวกเตอร์ขนาดเท่ากับ u − v และมีทิศทางเดียวกับ u + v
(49) ถ้า u = 3 i + 4 j ขนานกับ ˜ PQ ซึ่งมีขนาด 15 หน่วย, จุด P คือ (2, 4) จงหาจุด Q

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 235 เวกเตอร

(50) กําหนดจุด P (c, d) และ Q (c + a, d+b) จงหาเวกเตอร์หนึ่งหน่วยทิศตรงข้ามกับ ˜


PQ

(51) [Ent’30] จงหาเวกเตอร์ที่มีความยาวเท่ากับ 3 2 หน่วย ทํามุม 45 ° กับเวกเตอร์ j และ


ตั้งฉากกับเวกเตอร์ − 1 i + 1 j
2 2

10.5 ผลคูณเชิงสเกลาร์
การคูณเวกเตอร์คู่หนึ่ง จะเกิดผลลัพธ์ได้ 2 แบบ คือ
1. การคูณแบบดอท (Dot Product) u ⋅v
ให้ผลลัพธ์เป็นสเกลาร์ (ตัวเลข) หรือเรียกว่าผลคูณเชิงสเกลาร์ (Scalar Product) ก็ได้
2. การคูณแบบครอส (Cross Product) u× v
ยังคงให้ผลลัพธ์เป็นเวกเตอร์ หรือเรียกว่าผลคูณเชิงเวกเตอร์ (Vector Product) ก็ได้

⎡a ⎤ ⎡c ⎤
นิยาม การคูณแบบดอท ในพิกัดฉาก... ⎢b ⎥ ⋅ ⎢d⎥ = (a i +b j) ⋅ (c i + d j) = ac + bd
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
การคูณแบบดอท ในพิกัดเชิงขั้ว... u ⋅ v = u v cos θ
เราสามารถใช้สมการทั้งสองร่วมกัน ในการคํานวณเกี่ยวกับมุม θ ระหว่าง u กับ v ได้

ข้อสังเกต การหาขนาดผลรวมเวกเตอร์ด้วยกฎของโคไซน์ อาจเขียนใหม่ได้ว่า


2 2
u+v = u + v + 2 (u ⋅ v)
เมื่อ θ คือ มุมระหว่าง u กับ v
2 2
u −v = u + v − 2 (u ⋅ v)

สมบัติของการคูณเวกเตอร์แบบดอท
2
• u ⋅v = v ⋅u • u ⋅u = u
• u ⋅ (v + w) = u ⋅ v + u ⋅ w • 0⋅u = 0
• a (u ⋅ v) = a u ⋅ v • u ⋅v = 0 ↔ u ⊥ v

สูตรในการหาพื้นที่สามเหลี่ยม
u
เมื่อมีด้านประชิดเป็นเวกเตอร์ u กับ v
และมุมระหว่างเวกเตอร์เป็น θ คือ 1 u v sin θ
θ 2
v พื้นที่สี่เหลี่ยมด้านขนาน คือ u v sin θ

แบบฝึกหัด 10.5
(52) จงหา u ⋅ v เมื่อ
⎡ 4 ⎤
(52.1) u = ⎡⎢−34⎤⎥ , ⎡2⎤
v = ⎢ ⎥ (52.2) u = ⎢
10
⎡ −2⎤
⎥, v = ⎢2⎥
⎣ ⎦ ⎣ − 3⎦ ⎣ − ⎦ ⎣ ⎦
3 4
(52.3) u = 3 i −5 j , v = −4 i +2 j (52.4) u = i − j , v = 2 i −5 j
4 5

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 236 เวกเตอร

(53) กําหนดคู่อันดับ A (3, −2), B (−3, 5), C (2, 4) จงหา


(53.1) AB˜⋅ ˜BC (53.2) AB ˜+˜
˜ ⋅ (BC AC)

(54) จงหามุมระหว่าง u กับ v เมื่อกําหนด


(54.1) u = 2 i −2 3 j , v = 3 i + j
(54.2) u = 2 3 i +2 j , v = −3 3 i + 3 j
(54.3) u = 2 i + 3 j , v = −3 i +2 j
(55) จงแสดงว่าสามเหลี่ยม ABC เป็นรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก โดยอาศัยการคูณเวกเตอร์ เมื่อกําหนด
คู่อันดับดังนี้ A (2, 2), B (6, 4), C (10, −14) และให้บอกว่ามุมใดเป็นมุมฉาก
(56) u = −i+j และ v = 2 i +x j ถ้ามุมระหว่าง u กับ v เป็น 135 ° จงหาค่าของ x
(57) ถ้า u กับ v ทํามุมกัน 60 ° และ u = 2, v = 3 จงหามุมระหว่าง v −u กับ u

(58) [Ent’38] กําหนด u = 3 i −4 j และ u (u − v) = 24


จงหา v cos θ เมื่อ θ คือ มุมระหว่าง u กับ v
(59) ˜ ˜
OP = 3 i −4 j , OQ = 12 i +5 j ลากเวกเตอร์ ˜
QR ตั้งฉาก ˜
OP ที่จุด R จงหา ˜
OR

(60) กําหนดให้ A (1, 1), B (−1, −2), C (7, 3), D (6, 5) เป็นจุดยอดของสี่เหลี่ยม ABCD ให้หา
ขนาดของมุมแหลม ที่เกิดจากเส้นทแยงมุมตัดกัน
(61) จงหาพื้นที่สามเหลี่ยมตามที่กําหนด
(61.1) สามเหลี่ยม OAB เมื่อ ˜ ˜
OA = 3 i +5 j , OB = 8 i +2 j
(61.2) สามเหลี่ยมมุมฉาก ABC เมื่อ ˜ ˜
AB = 2 i +2 j , AC = −3 i + 3 j
(61.3) สามเหลี่ยมที่มี u + v กับ u − v เป็นด้านสองด้าน เมื่อ u = 2 i − j , v = i + j
(62) ABCD เป็นสี่เหลี่ยมด้านขนาน มีพื้นที่ 24 ตารางหน่วย และ ˜ AB ⋅ ˜AD = 3 จงหาค่า
ˆ
tan(DAB) เมื่อ Â เป็นมุมแหลม
⎡2⎤ ⎡ 1⎤
(63) [Ent’36] u = ⎢ ⎥, v = ⎢ ⎥ ถ้า u ⋅ w = −11 และ v ⋅w = 8 จงหา w−v
−5
⎣ ⎦ ⎣2⎦

(64) กําหนดให้ ABC เป็นรูปสามเหลี่ยม ที่มี ˜


AB = u , ˜
BC = v, ˜
CA = w โดย u = 7,
w = 15 และ u ⋅ v = 28 จงหาค่า w (v − 2u)

(65) ให้นิยาม u ∗ v = (ac + bd) i − (bc − ad) j เมื่อ u = a i +b j , v = c i +d j


ถ้า a = 3 i −4 j , b = 2 i −3 j , c = 3 i +2 j จงหา a ⋅ (b ∗ c)
(66) ถ้า u+v+w = 0 , u = 2 , v = 3 , w = 4 จงหา u ⋅v

(67) [Ent’33] กําหนดเวกเตอร์ a = x i + y j , b = 4 i −3 j และ c = −5 i +5 j


ถ้า a ⊥ b , a = 3 และ a ⋅ c > 0 จงหาค่า x + y
(68) u = 3 i −4 j , v = 2 i −3 j ถ้า a เป็น unit vector ที่ตั้งฉากกับ u จงหาค่า v ⋅ a

(69) เวกเตอร์ใดประกอบกันเป็นรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 237 เวกเตอร

ก. 3 i +2 j , i +5 j , 2 i + 3 j ข. 3 i −2 j , i −5 j , 2 i + 3 j
ค. 3 i −2 j , − i −5 j , 2 i + 3 j ง. 3 i −2 j , 2 i + 3 j , − 3 i +2 j

(70) ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
ก. ถ้า cos2 θ = 1 โดย θ เป็นมุมระหว่าง u กับ v แล้ว u& v
6 12
ข. 2 i + j ตั้งฉากกับ − i + j
5 5
ค. (u + v) ⋅ (u + v) = u ⋅ u + 2 u ⋅ v + v ⋅ v
ง. ถ้า u = 3 i −4 j , v = 2 i + j แล้วมุมระหว่าง u กับ v เป็น arccos(2/5 5)

(71) [Ent’32] จากภาพ จงหา ˜ ˜


PQ ⋅ RQ P 1
3 Q
60°
O R

10.6 เวกเตอร์ในพิกัดฉากสามมิติ
ในเนื้อหาเรขาคณิตวิเคราะห์ได้กล่าวไปแล้วว่า
(1) ใน ระนาบ (Plane : R2 ) หนึ่งๆ เราจะอ้างถึงตําแหน่งหรือจุดใดๆ ได้ด้วยค่า พิกัด
(Coordinate) โดยระบบที่นิยมใช้มากที่สุดคือระบบ พิกัดฉาก (Cartesian Coordinate)
ประกอบด้วยแกนอ้างอิง 2 แกนที่ตั้งฉากกัน ณ จุดกําเนิด (จุด O) เรียกชื่อแกนนอนและแกนตั้ง ว่า
แกน x และ y ตามลําดับ
(2) แกนทั้งสองแบ่งพื้นที่ในระนาบ xy ออกเป็น 4 ส่วน เรียกแต่ละส่วนว่า จตุภาค (Quadrant)
(3) การอ้างถึงพิกัดในระบบพิกัดฉาก นิยมเขียนในรูป คู่อันดับ (Ordered Pair) ที่สมาชิกตัวแรก
แทนระยะทางในแนว +x และตัวหลังแทนระยะทางในแนว +y เช่น คู่อันดับ (2, 4)

แต่ในความเป็นจริงจุดใดๆ ไม่ได้อยู่ในระนาบเดียวกันเสมอไป แต่อยู่ใน ปริภูมิสามมิติ (3-


Dimensional Space : R3 ) ดังนั้นเราจําเป็นต้องใช้พิกัดฉาก 3 มิติ … ซึ่งประกอบด้วยแกน x, y,
และ z ตั้งฉากกันที่จุดกําเนิด ... ระนาบ xy, yz, xz แบ่งปริภูมิออกเป็น 8 ส่วน เรียกแต่ละส่วนว่า
อัฐภาค (Octant) โดยอัฐภาคที่ 1-4 และ 5-8 จะมีลําดับเหมือนจตุภาคที่ 1-4 ดังรูป
z z
ระนาบ yz (x = 0)
3 2 ระนาบ xz (y = 0)
O 1 ระนาบ xy (z = 0)
y 4 y
6
x 8 5
x

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 238 เวกเตอร

z z

Q(2,0,1) 1 P(2,4,1)
y 4 y
2
R(2,4,0)
x x

หลักในการตั้งลําดับแกนตามมาตรฐานคือ กฎมือขวา (Right Hand Rule) ... เมื่อแบมือ


ขวาขึ้นตรงๆ และแยกนิ้วโป้งให้ตั้งฉากกับนิ้วชี้ จะได้ว่าปลายนิ้วทั้งสี่ชี้ไปในทิศ +x, ฝ่ามือหันไปในทิศ
+y, และนิ้วโป้งชี้ไปในทิศ +z
ระบุตําแหน่งสิ่งต่างๆ ด้วย สามสิ่งอันดับ (Ordered Triple) ที่สมาชิกแต่ละตัวแทน
ระยะทางในแนว +x, แนว +y, และแนว +z ตามลําดับ เช่น สามสิ่งอันดับ (2, 4, 1)

เวกเตอร์ในพิกัดฉากสามมิติ จะอ้างถึงด้วย Δx , Δy และ Δz ดังรูป


B (x2,y2,z2) P (3,4,-3)
u
⎡3⎤
⎡ Δx ⎤ ⎡x2− x1 ⎤ u = ⎢4⎥
˜
AB = ⎢ Δy ⎥ = ⎢y2− y1 ⎥ ⎢ ⎥
⎢ ⎥ ⎢ ⎥ O ⎣ −3⎦
⎢⎣ Δz ⎥⎦ ⎢⎣z2− z1 ⎥⎦ R (2,-2,0)
A (x1,y1,z1) ⎡3⎤
v v = ⎢4⎥
⎢ ⎥
⎡a ⎤ ⎣ −3⎦
⎢b⎥ Q (-1,-6,3)
หมายเหตุ บางตําราใช้ ⎣⎡ a , b , c ⎦⎤ แทน ⎢ ⎥
⎣⎢c ⎦⎥

การคํานวณเกี่ยวกับเวกเตอร์สามมิติ
1. เวกเตอร์สองอันจะเท่ากัน ก็ต่อเมื่อ Δx เท่ากัน, Δy เท่ากัน, และ Δz เท่ากัน
⎡ 1⎤ ⎡0⎤ ⎡0⎤
2. เมื่อกําหนดเวกเตอร์หนึ่งหน่วยบนแต่ละแกนดังนี้ i = ⎢0⎥ , j = ⎢ 1⎥ , และ k = ⎢0⎥
⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣⎢0⎦⎥ ⎣⎢0⎦⎥ ⎣⎢ 1 ⎦⎥
⎡a⎤
ก็จะเขียนเวกเตอร์ ⎢b ⎥ ได้เป็น a i + bj + ck
⎢ ⎥
⎣⎢c ⎦⎥
3. ขนาดของเวกเตอร์ r = (Δx)2 + (Δy)2 + (Δz)2
(ใช้เป็นสูตรระยะทางระหว่างจุดสองจุด คล้ายทฤษฎีบทปีทาโกรัสใน 2 มิติ)
⎡a⎤ ⎡ d⎤ ⎡ a + d⎤ ⎡a ⎤ ⎡ka ⎤
4. การบวกลบเวกเตอร์ และการคูณด้วยสเกลาร์ ⎢b ⎥ + ⎢e ⎥ = ⎢b + e ⎥ k ⋅ ⎢b ⎥ = ⎢kb ⎥
⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣c ⎦ ⎣⎢ f ⎦⎥ ⎣⎢ c + f ⎦⎥ ⎣c ⎦ ⎣kc ⎦
⎡ a ⎤ ⎡ d⎤
5. การคูณแบบดอท ⎢b ⎥ ⋅ ⎢e ⎥ = (a i +b j + c k) ⋅ (d i + e j + f k) = ad + be + cf
⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣c ⎦ ⎣⎢ f ⎦⎥
และ u ⋅ v = u v cos θ (ใช้สมการทั้งสองร่วมกัน ในการคํานวณมุม θ ระหว่าง u กับ v )

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 239 เวกเตอร

สังเกตได้ว่าการคํานวณเกี่ยวกับเวกเตอร์ในสามมิตินั้น คล้ายคลึงกับเวกเตอร์ในสองมิติ
และสมบัติของเวกเตอร์ก็เป็นเช่นเดียวกันทั้งหมด ... จะมีเพียงสิ่งเดียวที่ต่างออกไป นั่นคือ การบอก
ทิศทางในสามมิติ จะไม่กล่าวถึงความชัน แต่จะวัดมุมที่เวกเตอร์กระทํากับแกนทั้งสาม เรียกว่า มุม
กําหนดทิศทาง (Direction Angle) ได้แก่ มุม α (alpha), β (beta) และ γ (gamma)
มุม α คือมุมที่เวกเตอร์ทํากับแกน +x z
มุม β คือมุมที่เวกเตอร์ทํากับแกน +y
มุม γ คือมุมที่เวกเตอร์ทํากับแกน +z u
γ
อาศัยผลคูณแบบดอท (นําเวกเตอร์ u = a i + b j + ck
α β y
มาดอทกับ i , j , k ทีละอัน) จะได้.. O
cos α =
a
, cos β = b , และ cos γ = c x
u u u
เรียกค่าทั้งสามนี้ว่า โคไซน์แสดงทิศทาง (Direction Cosine) มักกล่าวถึงค่าเหล่านี้แทนมุม
ข้อสังเกต cos 2 α + cos 2 β + cos 2 γ = 1

เวกเตอร์สองอันจะขนานกัน ( u & v ) ก็ต่อเมื่อ โคไซน์แสดงทิศทางของ u กับ v ทั้งชุด..


(1) มีค่าตรงกัน ... (แสดงว่า u กับ v มีทิศทางเดียวกัน)
หรือ (2) เป็นค่าติดลบของกัน ... (แสดงว่า u กับ v มีทิศทางตรงข้ามกัน)
และเวกเตอร์สองอันจะตั้งฉากกัน ( u ⊥ v ) ก็ต่อเมื่อ u ⋅ v = 0

แบบฝึกหัด 10.6
(72) กําหนดพิกัดจุด P (1, 2, 3) และ Q (−1, 3, 5) ให้หา
(72.1) เวกเตอร์ ˜ PQ
(72.2) เวกเตอร์หนึ่งหน่วยในทิศเดียวกับ ˜ PQ
(72.3) เวกเตอร์ขนาด 7 หน่วย ในทิศเดียวกับ ˜ QP

(73) กําหนด u = i + 3j และ v = −2 i − 2 j + 6 k ให้หา


(73.1) u+v (73.3) เวกเตอร์หนึ่งหน่วยในทิศ v
(73.2) u + v (73.4) ขนาดมุมระหว่าง u + v กับ v

(74) ให้หา u ⋅ v และมุมระหว่าง u กับ v ในแต่ละข้อ


(74.1) u = − i − k และ v = 3 i + j
(74.2) u = 2 i − j + k และ v = i + j + 2 k
(75) กําหนด u = i − 2 j + 3 k , v = 3 i + 4 j + 2 k และ w = 2i + 4j + 2k
ให้พิจารณาว่าเวกเตอร์คู่ใดบ้างที่ตั้งฉากกัน
(76) รูปสามเหลี่ยมที่มีจุด A (2, −1, 1) , B (7, 0, −2) , และ C (3, 2, −1) เป็นจุดยอด เป็นรูป
สามเหลี่ยมมุมฉากหรือไม่ .. ถ้าเป็น ให้ตอบด้วยว่ามุมใดเป็นมุมฉาก
(77) ให้หาโคไซน์แสดงทิศทางของ u = 2 i − j + 3 k และ v = −4 i + 2 j − 6 k
และพิจารณาว่าเวกเตอร์ดังกล่าวขนานกันหรือไม่

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 240 เวกเตอร

10.7 ผลคูณเชิงเวกเตอร์
การคูณเวกเตอร์แบบครอส เช่น u× v จะยังคงให้ผลลัพธ์เป็นเวกเตอร์
มีนิยามดังนี้
⎡ a ⎤ ⎡ d⎤ ⎡ bf − ce ⎤ i j k
⎢b ⎥ × ⎢e ⎥ = ⎢ cd− af ⎥ = a b c
⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣ c ⎦ ⎣⎢ f ⎦⎥ ⎣ae −bd⎦ d e f
u×v

&
(มักจะอาศัย det ของเมตริกซ์ช่วยจํารูปแบบการครอส
u
และหาผลลัพธ์โดยวิธีโคแฟกเตอร์ ตัดแถวตัดหลัก)
** ผลลัพธ์ที่ได้ จะตั้งฉากกับระนาบ uv ... หาทิศทางได้ด้วยกฎมือขวา v v×u
โดยสี่นิ้วพุ่งไปทาง u กํามือเข้าหา v ผลลัพธ์มีทิศทางตามนิ้วโป้งที่ชูขึ้น
(ดังนั้น i × j = k , j × k = i , k × i = j )

ขนาดของเวกเตอร์ลัพธ์ที่ได้ u × v = u v sin θ
ช่วยคํานวณมุม θ ระหว่าง u กับ v ได้

สมบัติของการคูณเวกเตอร์แบบครอส
• u × v = − (v × u)
• u× u = 0
• u × (v + w) = u × v + u × w
• 0× u = 0
• a (u × v) = a u × v
• u ⋅ (v × w) = (u × v) ⋅ w • u× v = 0 ↔ u & v

สูตรในการหาพื้นที่สามเหลี่ยม เมื่อมีด้านประชิดเป็น
u กับ v และมุมระหว่างเวกเตอร์เป็น θ คือ
u 1 1
u v sin θ → u×v
2 2
θ
พื้นที่สี่เหลี่ยมด้านขนาน คือ u v sin θ → u×v
v

ปริมาตรของ ทรงสี่เหลี่ยมหน้าขนาน (Parallelepiped) ที่มีด้านประชิดเป็นเวกเตอร์ u , v , w


คือผลคูณเชิงสเกลาร์ของสามเวกเตอร์ มีค่าเท่ากับ
u1 u2 u3
u ⋅ (v × w) = v 1 v2 v 3 ลูกบาศก์หน่วย
w 1 w2 w 3 u
(หากสลับลําดับเวกเตอร์ไม่ถูกต้อง ผลคูณที่ได้อาจติดลบ
w
จึงต้องใส่ค่าสัมบูรณ์กํากับไว้ด้วย)
v

แบบฝึกหัด 10.7
(78) ให้หา u × v และเวกเตอร์หนึ่งหน่วยที่ตั้งฉากกับ u และ v ในแต่ละข้อ
(78.1) u = 2 i − 3 j และ v = i − 5 j
(78.2) u = i − 2 j และ v = 3 i + k

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 241 เวกเตอร

(78.3) u = i + 3j และ v = −2 i − 6 j

(79) [จากข้อ 74.2] กําหนด u = 2 i − j + k และ v = i + j + 2 k


(79.1) u × v (79.3) ค่า sin ของมุมระหว่าง u และ v
(79.2) พื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมด้านขนานที่มีด้านประชิดเป็น u และ v
(80) ให้หาพื้นที่รูปสามเหลี่ยมที่มีจุดยอดดังนี้
(80.1) P (1, 2, 3) , Q (−1, 3, 5) และ R (3, −1, 0)
(80.2) A (2, 0, −3) , B (1, 4, 5) และ C (7, 2, 9)

(81) ให้หาพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมด้านขนาน ABCD เมื่อกําหนด


(81.1) A (2, 0, −3) , B (1, 4, 5) และ C (7, 2, 9)
(81.2) ˜ AB = 3 i − 2 j และ ˜ DA = − i + j − 2 k

(82) ให้หาปริมาตรของรูปทรงสี่เหลี่ยมหน้าขนาน ที่มีด้านประชิดเป็นเวกเตอร์ดังนี้


(82.1) u = i − 2 j + 3 k , v = 3 i + 4 j + 2 k และ w = i + 4 j − k
(82.2) u = −2 i − 6 j + k , v = 2 i + 4 j − k และ w = 4 i + 2 j − 2 k

เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(1) ถึง (3) ดูในเฉลยวิธีคดิ (25) −3 < x < 2 (44) w = u + 2v
(4) 50 กม. ทิศ 350 ° (26) − 4/3 < x < 4/3 (45) 50+26 = 76
(5) 500 3 กม. ทิศ 060 ° (27) x = 6 และ y = 2 (46.1) 3 i −2 j
(6) 300 กม./ชม. ทิศ 037 ° (28) a = 2 และ b = −3 (46.2) −4 i + j
(7) 50 21 กม./ชม. (29) a = 2 b = −1
และ (46.3) 5 i −3 j
1 1 1
(8) 5 กม./ชม. ทิศ 037 ° (30) − u − v (31) a + b (46.4) − i − j
8 2 3
(9) u มีขนาด 6 3 หน่วย 1 1 (46.5) i − j
ทิศ 060 ° หรือ 120 ° (32) a + b (33) − (a + b)
6 6 (47.1) −21i +20 j
และ v มีขนาด 6 หน่วย (34) a = b = 1/4 (47.2) 29
ทิศ 030 ° หรือ 150 °
m BC + n ˜
˜
BA (48.1) 3 i − 4 j
(10) u + v , u 2 + v 2 , u − v (35) (36-37) ... 5 5
m + n 1
(48.2) (i − 4 j)
(11) u − v , u 2 + v 2 , u + v (38) ⎡ 1 ⎤ , ⎡ 6 ⎤ (39) P (1, −7) , 17
⎢3⎥ ⎢ −8⎥
(12) 6, 2 (13) 20 ⎣ ⎦ ⎣ ⎦
(48.3) 3 (i + 4 j)
(14) 150 ° (15) 106 ⎡ 3⎤ 17
Q (1, −4) (40) ⎢ ⎥ → 58 ,
⎣7 ⎦ (48.4) 13
(i + 4 j)
(16) 14 (17) 5 41 17
(18) arccos (3/5) (19) 4π/5 ⎡⎢43⎤⎥ → 5 , ⎡⎢−14⎤⎥ → 17 (49) (11, 16) หรือ (−7, −8)
(20) ก. เพราะ ˜
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
AD ยาว 4 ซม. −a i − b j
(41) 13 , 15 − 6 2 (50)
(21) 18+6+ 12 = 36 (42.1) ขนานกัน ทิศตรงข้าม a2 + b2
(22) arcsin ( 3 /2 7) (42.2) ขนานกัน ทิศเดียวกัน (51) 3 i + 3 j
หรือตอบในรูป arccos (−5/2 7) (42.3) ไม่ขนานกัน (52) 18, –28, –22, 11/2
(23) x ≠ −1, −2, 1/3 (42.4) ขนานกัน ทิศเดียวกัน (53) –37, 11
(24) x ≠ −3, 2 (43) 3 u − 10 v (54) 90 ° , 120 ° , 90 °
11 11

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 242 เวกเตอร

(55) ˜ ˜
AB ⋅ AC = 0 และ 7 (78.1) −7 k และ ±k
(72.3) (2 i − j − 2 k)
3 (78.2) −2 i − j + 6 k และ
มุม A เป็นมุมฉาก (56) 0
(73.1) 38 (73.2) 10 + 44 1
(57) arccos (−1/2 7) หรือ ± (−2 i − j + 6 k)
180 ° − arcsin (3 3 /2 7) (73.3) 1 (−2 i − 5 j + 6 k) 41
38 (78.3) 0 และ ไม่มี
16
(58) 1/5 (59)
25
(3 i − 4 j)
(73.4) arccos( 18 ) (79.1) −3 i − 3 j + 3 k
418
(60) arccos (2/ 5) (79.2) 3 3 ตารางหน่วย
(61.1) 17 ตารางหน่วย (74.1) –3 และ arccos( −3 ) (79.3) 3 /2
20
(61.2) 6 ตารางหน่วย (74.2) 3 และ π/3 (80.1) 29/2 ตารางหน่วย
(61.3) 3 ตารางหน่วย (75) u ตั้งฉากกับ w (80.2) 9 13 ตารางหน่วย
(62) 8 (63) 2 (76) เป็นสามเหลี่ยมมุมฉาก, (81.1) 18 13 ตารางหน่วย
(64) 6 (65) 52 มุม C เป็นมุมฉาก (81.2) 53 ตารางหน่วย
(66) 3/2 (67) 21/5 2 −1 3 (82.1) 2 ลูกบาศก์หน่วย
(68) ± 1/5 (69) ข. (77) ( , , ) และ
(82.2) 0 ลูกบาศก์หน่วย
14 14 14
(70) ถูกทุกข้อ (71) 1/4 −2 1 −3 (ไม่เกิดทรงสี่เหลีย่ ม)
( , , ) ดังนั้นขนานกัน
(72.1) −2 i + j + 2 k 14 14 14
1 (ทิศตรงกันข้าม)
(72.2) (−2 i + j + 2 k)
3

เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
B
(1) หัวต่อหาง หางต่อหาง (5)
u+v u+v 1,000 30˚ 30˚ 500
v
v C
30˚ θ
u u
A
หัวต่อหาง หางต่อหาง
u ˜
| AC | = 2 2
1,000 + 500 − 2(1,000)(500)(cos 60°)
v u −v
u −v = 500 3 กม.
−v
u หาทิศด้วยกฎของ sin
คือ sin θ = sin 60° → θ = 30° ∴ ทิศ 060°
500 500 3
(2) 40 km/h (3) 10
5
(6) 180
60 km/h 12
240
θ 2402 + 1802 = 300 กม./ชม.
(4) −u คือ ระยะทาง 50 กม. ทิศ 350°
ทิศ ≈ 037° (เป็น Δ มุมฉาก อัตราส่วน 3:4:5)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 243 เวกเตอร

(7) (12) ถ้า u + v + w = 0 แสดงว่าหัวชนหางกันหมด


พอดี เป็นรูป Δ แต่จากขนาดที่ให้มา 2, 4, 2
ไม่เป็น Δ แต่เป็นแค่เส้นตรงดังรูป
200 u w
50 30˚30˚ v
∴ u −v = 2 + 4 = 6 , u+v = 4 − 2 = 2
ตอบ 502 + 2002 + 2(50)(200) cos 60° (13)
= 50 21 กม./ชม.
2 v
(8) w u
4 3 1
พายจริง u+v+w = 22 + 42 = 20
θ
ตอบ 5 กม./ชม. (14) 25+ 12 3 = 42 + 32 − 2(4)(3) cos θuv
3 ทิศ ≈ 037°
= 25 − 24 cos θuv
(9) กรณีที่ 1 C ∴ cos θuv = − 3 /2 → θuv = 150°
u (15) 12 = 2 2
10 + 5 + 2(10)(5) cos θuv
6 v
∴ 2(10)(5) cos θuv = 19
60˚ u−v = 102 + 52 − 2(10)(5) cos θuv
A 6 B = 102 + 52 − 19 = 106
2 2
u = 6 + 6 + 2(6)(6) cos 60° = 6 3 หน่วย (16) 6 = 42 + 32 + → = 11
2 2
v = 6 + 6 − 2(6)(6) cos 60° = 6 หน่วย ∴ u −v = 2
4 +3 − 2
11 = 14
( Δ ด้านเท่า) (17) u ⊥ v ดังนั้น
ทิศ u คือ 060° , ทิศ v คือ 150° u+v = u−v = 42 + 52 = 41
กรณีที่ 2 6 B
A ตอบ 2 41 + 3 41 = 5 41
60˚
(18) ให้ u = v = a จะได้ว่า
6 u
v a + a + 2a cos θ = 2 a2 + a2 − 2a2 cos θ
2 2 2

2a2(1 + cos θ) = 4(2a2)(1 − cos θ)


C
3 3
ทิศ u คือ 120° , ทิศ v คือ 030° ∴ cos θ = → θ = arccos
5 5
(10) 0° → u + v = u + v
(19) ให้ u = w = a จะได้
2 2
90° → u + v = u + v 2 2 2 2
a + v − 2a v cos θuv = v + a + 2 v a cos θvw
180° → u + v = u − v → cos θuv = − cos θvw
(11) 0° → u − v = u − v π 4π
เนื่องจาก θuv = ดังนัน้ θvw =
2 2 5 5
90° → u − v = u + v
(มองจากวงกลมหนึ่งหน่วยในเรื่องตรีโกณมิต)ิ
180° → u − v = u + v
[หมายเหตุ ข้อ 10, 11 จะคิดโดยวาดรูป หรือโดยใช้
กฎของ cos ก็ได้]

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 244 เวกเตอร

(20) F E (26) (6 − 3x2 − 2) v = (100 − 2) u


แสดงว่ายาว 2 ซม. ทุก 3 5
O ทิ ศเดี ยวกั น แสดงว่ า
A 2 D ส่วนเพราะประกอบจาก
สามเหลี่ยมด้านเท่า สัมประสิทธิ์ของ v เป็นบวกด้วย
16
C → − 3x2 + > 0 → 9x2 − 16 < 0
B 3
ก. ˜AD + ˜ FD ยาวเกิน 4 ซม. ถูก → −4 / 3 < x < 4 / 3
˜
เพราะแค่ AD ก็ยาว 4 ซม. แล้ว (27) u ไม่ขนาน v แสดงว่าสัมประสิทธิ์ = 0 ทุก
และ ˜ FD ยังชื้ในทิศต่อออกไปอีก ตัว → x − 2 − 2y = 0 ..... (1)
ข. ˜AB + ˜ ED ยาว 4 ซม. พอดี และ x − 8 + y = 0 ..... (2) ∴ x = 6, y = 2
˜ ˜
ค. FO + DO ยาว 2 ซม. (28) 3 − 3a − b = 0 .....(1)
ง. ˜
OD + ˜ OB ยาว 2 ซม. 8 − a + 2b = 0 .....(2) ∴ a = 2, b = −3
(21) u − 4v = 3v − 2w → 2w = −v − u (29) 3[(a+ 4b) u + (2a+b + 1) v]
และ 3v − 4w = 2w + 5u → 6w = 3v − 5u = 2[(b −2a +2) u + (2a − 3b − 1) v]
ดังนัน้ (จาก 2 สมการ) จะได้ → u ไม่ขนาน v ดังนัน้
u = 3v → w = −2v 3(a + 4b) − 2(b −2a +2) = 0 ..... (1)
∴ ถ้า w = 12 → v = 6 → u = 18 3(2a +b + 1) − 2(2a − 3b − 1) = 0 .....(2)
ตอบ 18 + 6 + 12 = 36 แก้ระบบสมการได้ a = 2, b = −1
(22) หาขนาดก่อน
(30) A 3 Q 5 B
u = 2v − w u
w v
120˚ P
v v
1 D C
u = 22 + 12 − 2(2)(1)(− ) = 7
2 ˜ PB + ˜
PQ = ˜ BQ
ก. หาค่า θ โดยกฎ sin
1 5 1 1
sin θ sin 120° 3 = ( u − v ) + (− u) = − u − v
= ∴ θ = arcsin( ) 2 8 8 2
1 7 2 7
[หมายเหตุ แบบฝึกหัดนี้แต่ละข้อทําได้หลายวิธี
หรือ ข. หาค่า θ โดยกฎ cos เช่นเดิมก็ได้ เช่น ข้อนี้อาจเริม่ จาก ˜ PA + ˜
PQ = ˜ AQ
w = 2v − u →
1 3 1 1
2 = − (u + v) + u = − u − v ]
w = 22 +7 − 2(2)( 7) cos θ = 1 2 8 8 2
5 (31) จากรูปในโจทย์
∴ θ = arccos(− ) (มีค่าเท่ากัน)
2 7
→ ˜
AF = ˜
AB + ˜
BF = (2a) +
1
(a + b − 4a)
(23) u // v → แสดงว่า สัมประสิทธิ์ ≠ 0 นัน่ คือ 3
1
x2 + 6x − 2 − x + 2x2 ≠ 0 และ −1 − x ≠ 0 = a+ b
3
→ 3x2 + 5x − 2 ≠ 0 → (3x − 1)(x + 2) ≠ 0 D
(32)
→ x ≠ 1 / 3, − 2, − 1 N
(24) u // v → x2 − 5 − 1 + x ≠ 0 M O
→ (x + 3)(x − 2) ≠ 0 → x ≠ −3, 2 a +b
a C
(25) จาก (x2 − 5 − 1 + x) u = −2v A B
˜
MN = ˜
MD + ˜
DN = ˜AD + ˜
1 1
u มีทิศเดียวกับ v แสดงว่า DC
2 3
สัมประสิทธิ์ของ u จะต้องติดลบด้วย 1 1 1
x2 + x − 6 < 0 → (x + 3)(x − 2) < 0 = (a + (a + b)) + (a − (a + b)) = a+ b
2 3 6
→ −3 < x < 2
˜
AB ˜
BD ˜
BC ˜
BD

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 245 เวกเตอร

(33) C (37) C D
b D E
O B
F
B A
a ˜BE = ˜ BC + ˜
CD + ˜
A DE .....(1)
˜
DO = ˜
1
DA =
1 1 1
(− (a + b)) = − (a + b) ˜ ˜ ˜ ˜
3 3 2 6 AF = AB + BE + EF

(34) D C =˜BC + ˜BE + ˜


DE .....(2)

3
1 (1)-(2); BE − AF = ˜
˜ ˜ CD − ˜ BE
F E จาก Δ คล้าย ˜ ˜
2 AFD กับ CFE ดังนัน้˜ CD + AF
BE =
2
A B
(38.1) ˜
PQ = ⎡3 − 2⎤ = ⎡ 1 ⎤
จะได้วา่ ˜
EF = ˜ED และ ˜
CF = ˜
1 1
CA ⎣⎢7 − 4⎦⎥ ⎢⎣3⎦⎥
4 4
ตอบ a = b = 1 / 4 (38.2) ˜
PQ = ⎡6⎤
⎣⎢ −8⎦⎥
(35) B C (39.1) ⎡ −3⎤ = ⎡ −2 − x ⎤ → P(x, y) = (1, −7)
จาก ˜BD = ˜
BC + ˜CD n ⎣⎢ 2 ⎦⎥ ⎢⎣ −5 − y ⎦⎥
⎡ −3⎤ = ⎡x − 4⎤ → Q(x, y) = (1, −4)
= ˜
n ˜ D (39.2)
BC + CA .....(1)
m+n ⎣⎢ 2 ⎦⎥ ⎣⎢ y + 6⎦⎥
และ ˜
BD = ˜
BA + ˜
AD m (40) ˜
AB
3 ˜
= ⎡⎢ 7 ⎤⎥ , AB = 32 + 72 = 58
⎣ ⎦
=˜BA −
m ˜
CA .....(2) A ˜ ˜
⎡ 1 ⎤ , BC = 17
m+n BC = ⎢⎣ −4 ⎥⎦
(1)+(2); ˜ ˜ ˜ n − m˜
2 BD = BC + BA + CA ˜
m+n ˜ 4
AC = ⎡⎢ 3 ⎤⎥ , AC = 5
แทน ˜
CA = ˜BA − ˜
BC →
⎣ ⎦
6−6−3 −3
(41) 2u − 3v + w = ⎡⎢ −8 + 6 + 4⎤⎥ = ⎡⎢ 2 ⎤⎥
BD = ˜
n − m⎞ ˜ ˜
2˜ BC + ˜
BA + ⎜⎛ ⎟ (BA − BC) ⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎝m + n⎠
˜ ˜ ∴ 2u − 3v + w = 32 + 22 = 13
˜ m BC + n BA
→ BD = ตอบ แต่ 2u − 3v + w = 2(5) − 3(2 2) + 5
m+n
[สังเกต ผลที่ได้เหมือนกับสูตรจุดแบ่งเส้นตรงเป็น = 15 − 6 2 [อย่าลืม!! u + v ≠ u + v ]
อัตราส่วน m:n ในบทเรียนเรขาคณิตวิเคราะห์] (42.1) ขนานกัน ทิศตรงข้ามกัน
(36) A (42.2) ขนานกัน ทิศเดียวกัน
(42.3) ไม่ขนานกัน
D (42.4) ขนานกัน (ความชัน = −2 ) ทิศเดียวกัน
E
(ดูทิศจากเครือ่ งหมายบวกลบที่ x, y )
B
C (43) ⎡⎢ −21⎤⎥ = a ⎡⎢43⎤⎥ + b ⎡⎢−21⎤⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦
˜
DE = ˜
DA + ˜
AE .....(1) −1 = 3a + 2b
และ 2 = 4a − b
แสดงว่า
˜ ˜ ˜
BC = BA + AC = 2 ˜ DA + 2 ˜ 3 10
AE .....(2)
∴a =ตอบ w = 3 u − 10 v
,b = −
11 11
11 11
เทียบ (1) กับ (2) พบว่าเป็น 2 เท่าของกันและกัน
(44) เหมื
อ นข้
อ ที แ
่ ล้ ว คื

DE = ˜
ดังนัน้ ˜ 1
BC และ ˜ DE // ˜ BC ด้วย
2 6 = 4a + b และ 9 = a + 4b ∴ a = 1, b = 2
(การพิสูจน์วา่ ขนาน ต้องพิสจู น์วา่ เป็น a เท่าของกัน) ตอบ w = u + 2v

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 246 เวกเตอร

(45) B C (51)
⎡2⎤ j 3 2
⎢⎣ −3⎥⎦ ⎡ −1/ 2 ⎤
⎢ 1/ 2 ⎥ 45˚
⎣ ⎦
A ⎡3 ⎤
D
⎢⎣4⎥⎦ เวกเตอร์ที่ตอ้ งการจะอยู่ใน Q1
เส้นทแยงมุมคือ ˜
AC กับ ˜
BD
แยกเวกเตอร์ขนาด 3 2 ลงบนแกน x และ y
˜ ˜ ˜ จะได้ดา้ นละ 3 หน่วย ดังนัน้ ตอบ 3 i + 3 j
หา AC ได้จาก AB + AD = ⎡⎢51 ⎤⎥
⎣ ⎦ (52.1) u ⋅ v = (3)(2) + (−4)(−3) = 18
BD ได้จาก ˜
หา ˜ AD − ˜
AB = ⎡ 1⎤
(52.2) −8 − 20 = −28
⎢⎣7 ⎥⎦

และได้ ˜ ˜
AC = 26 , BD = 50
(52.3) −12 − 10 = −22
ตอบ 26 + 50 = 76 (52.4) 3 + 4 = 11
2 2
(46.1) u = 3 i − 2 j ⎡ −6⎤ ⋅ ⎡ 5 ⎤ = −37
(53.1)
(46.2) v = −4 i + j ⎣⎢ 7 ⎦⎥ ⎣⎢ −1⎦⎥
(46.3) w = 5 i − 3 j ˜⋅ ˜
(53.2) AB ˜⋅ ˜
BC + AB AC
(46.4) u + v = − i − j −6 −1
= −37 + ⎡⎢ 7 ⎤⎥ ⋅ ⎡⎢ 6 ⎤⎥ = −37 + 48 = 11
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
(46.5) 2u − w = i − j
(54.1) u ⋅ v = u v cos θ
AB − 3 ˜
(47.1) 2 ˜ 28
CD = 2 (−3 i − 4 j) − 3(5 i − j)
3 → u ⋅ v = 2 3 − 2 3 = 0 → ∴ θ = 90°
= −21i + 20 j (54.2) u ⋅ v = (2 3)(−3 3) + (2)(3) = −12
AB − 3 ˜
(47.2) |2 ˜ CD| = 2
21 + 20 = 29 2
→ − 12 = (4)(6) cos θ → ∴ θ = 120°
u 3 4 (54.3) u ⋅ v = 0 → ∴ θ = 90°
(48.1) = i − j
u 5 5
(55) ˜
AB = ˜ ˜
⎡4⎤ , AC = ⎡ 8 ⎤ , BC = ⎡ 4 ⎤
(48.2) ใส่ลบเพราะต้องการทิศตรงข้าม ⎣⎢2 ⎦⎥ ⎢⎣ −16⎦⎥ ⎢⎣ −18⎦⎥
v 2 8 1 4
i − j = i − j
AB ⋅ ˜
พบว่า ˜
− =
v 68 68 17 17 AC = 0 ∴ มุม A = 90°
(48.3) u+v = i + 4 j → ต้องการ 3 หน่วย (56) u ⋅ v = u v cos θ
คือ 3 (i + 4 j)
→ −2 + x = ( 2)( 4 + x2 ) cos 135°
17 → x − 2 = − 4 + x2
2 2
(48.4) u−v = 5 + 12 = 13 หน่วย → x2 − 4x + 4 = 4 + x2 → x = 0
13 (57)
∴ ตอบ (i + 4 j)
17 คิดได้ 2 แบบ
v 3 v −u
˜
(49) PQ = ±15 (3 i + 4 j) = ±(9 i + 12 j)
5 5 60˚ 2 θ
[บวกลบ เพราะ “ขนานกัน” อาจเป็นทิศตรงข้ามก็ได้] u
ถ้า ˜
PQ = 9 i + 12 j ได้ Q(11, 16) แบบแรก กฎของ sin ใน Δ;
ถ้า ˜
PQ = −9 i − 12 j ได้ Q(−7, −8) หาขนาด v − u ก่อน
(50) ˜
PQ = a i + bj → ตอบ −a i − b j v −u = 32 + 22 − 2(3)(2) cos 60° = 7

sin → sin θ = sin 60°


2 2
a +b ใช้กฎของ
3 7
3 3
∴ θ = 180° − arcsin( )
2 7
(สาเหตุที่มี 180° − arcsin เพราะต้องการมุมป้าน
แต่คา่ arcsin นิยามไปถึงเพียง 90˚)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 247 เวกเตอร

แบบที่สอง ใช้การคูณเวกเตอร์ (62) B C


( v − u ) ⋅ u = v − u ⋅ u ⋅ cos θ
2
→ v⋅u − u = v − u ⋅ u ⋅ cos θ
→ (3)(2)(cos 60°) − (2)2 = ( 7)(2) cos θ D
∴ θ = arccos(−
1
) พื้นที่ , = ˜ ˜A
AB AD sin θ = 24
2 7
˜
AB ⋅ ˜
˜˜
AD = AB AD cos θ = 3
(หมายเหตุ 2 คําตอบนี้มคี ่ามุมเท่ากัน)
∴ tan θ = 8
(58) u (u − v) = 24 → u 2 − u ⋅ v = 24
a
→ (5)2 − (5) v cos θ = 24 → v cos θ = 1 / 5 (63) ให้ w = ⎡b ⎤ จะได้ 2a − 5b = −11
⎢⎣ ⎥⎦
(59) Q และ a + 2b = 8 ดังนั้น a = 2, b = 3
2 1
∴ w = ⎡⎢3⎤⎥ → w − v = ⎡1⎤
หามุม θ ก่อน ⎣ ⎦ ⎢⎣ ⎥⎦
P
จาก ˜OQ ⋅ ˜
OP
O
θ
R
→ w−v = 2
B
16 (64)
= 36 − 20 = 16 = (5)(13) cos θ → cos θ = u v
65 u = 7 , u ⋅ v = 28
˜ ˜
ดังนัน้ OR = OQ cos θ = 13 ⋅ 16 = 16 w = 15 u + v = −w
65 5 C
→ u + v = 15
˜
OR = เวกเตอร์
16
หน่วยในทิศ OP ˜ 2
A w
5 → 72 + v + 2(28) = 15
˜
∴ OR =
16 3 4
( i − j) =
16
(3 i − 4 j) → v = 120
5 5 5 25
หา w (v − 2u) = (−u − v)(v − 2u)
(60) ลองพล็อตจุดลงบนแกน เพือ่ หาลําดับการเรียง 2 2
= −u ⋅ v + 2 u − v + 2u ⋅ v
จะพบว่า เส้นทแยงมุมเป็น ˜
AC กับ ˜BD
2 2
˜ 6 ˜7 = u⋅v + 2 u − v = 28 + 2(7)2 − 120 = 6
→ AC = ⎡⎢2 ⎤⎥ , BD = ⎡⎢7 ⎤⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ (65) b ∗ c = [(2)(3) + (−3)(2)] i
มุมระหว่างเส้นทแยงมุม คิดจาก ˜
AC ⋅ ˜
BD − [(−3)(3) − (2)(2)] j = 13 j
→ 42 + 14 = ( 40)( 98)(cos θ)
∴ a ⋅ (b ∗ c) = (3 i − 4 j) ⋅ (13 j) = −52
→ θ = arccos 2/ 5
→ a ⋅ (b ∗ c) = 52
(61.1) หามุม θ OA กับ ˜
ระหว่าง ˜ OB ก่อน (66)
˜ ˜
→ OA ⋅ OB = 24 + 10 = 34 ⋅ 68 cos θ
u
θ v
→ θ = 45° ..พืน้ ที่ ΔOAB =
1 ˜˜
OA OB sin θ u+v +w = 0 3
2 2
1
= ⋅ 34 ⋅ 68 ⋅
1
= 17 ตร.หน่วย แสดงว่าเป็น Δ ดังรูป 4
2 2 หามุม θ โดย w
(61.2) ˜ AB ⋅ ˜
AC = 0 แสดงว่า มุม A = 90° 42 = 22 + 32 − 2(2)(3) cos θ

พื้นที่ Δ = 1 ˜ ˜
AB AC
→ cos θ = −1 / 4 .... ∴ θ = arccos(−1 / 4)
2 ∴ มุมระหว่าง u กับ v จะต้องวัดระหว่างหางกับ
1
= (2 2)(3 2) = 6 ตร.หน่วย 1
2 หางเท่านัน้ คือ 180° − arccos(− )
4
(61.3) u + v = 3 i , u − v = i − 2 j → 1
u ⋅ v = u v cos(180° − arccos(− ))
ดังนัน้
1 4
หามุม θ 3 = (3)( 5) cos θ → cos θ =
1 1 3
5
= u v (− cos(arccos(− )) = (2)(3)( ) =
2 1 2 4 4 2
∴ sin θ = → พืน้ ที่ Δ = (3)( 5)( )
5 2 5
= 3 ตร.หน่วย

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 248 เวกเตอร

(67) a ⊥ b → a ⋅ b = 0 → 4x − 3y = 0 ... (1) (72.3) ˜ QP = − ˜


PQ = 2 i − j − 2k
2 2 7
a = 3 → x +y = 3 ..... (2) ดังนัน้ ตอบ ⋅ (2 i − j − 2k)
3
แก้ระบบสมการได้ x = 9 / 5, y = 12 / 5 หรือ
(73.1) u + v = − i + j + 6k
x = −9 / 5, y = −12 / 5
9 12 = 1 + 1 + 62 =
2 2
38
โจทย์ให้ a⋅c > 0 ดังนัน้ a = i+ j
5 5 (73.2) u + v = 12 + 32 + 22 + 22 + 62
และ x + y = 9 / 5 + 12 / 5 = 21 / 5 เท่านัน้
= 10 + 44
(68) ให้ a = x i + y j จะได้ 3x − 4y = 0 .....(1)
(73.3) เนื่องจาก v = 38
และ x2 + y2 = 1 .....(2)
ดังนัน้ ตอบ 1 ⋅ (−2 i − 5 j + 6k)
4 3 4 3 38
∴ ได้ x = , y = หรือ x = − , y = −
5 5 5 5 (73.4) u + v = − i + j + 6k ,
8 9 1
v⋅a = − = − หรือ − 8 + 9 = 1 v = −2 i − 2 j + 6k นํามาดอทกัน
5 5 5 5 5 5
(69) เวกเตอร์ 3 อันจะประกอบเป็น Δ ได้ จะได้ (u + v) ⋅ v = 2 − 2 + 36

แสดงว่า ± a ± b ± c = 0 พอดี (บวกหรือลบก็ได้) = u + v ⋅ v ⋅ cos θ = 38 ⋅ 44 cos θ


2 2 2 36 18
Δ นี้เป็นมุมฉากด้วย แสดงว่า a = b + c ∴ cos θ = =
38 ⋅ 44 418
หรือมีคู่หนึ่งซึ่ง ma ⋅ mb = −1 18
ก. m = 2/ 3, 5, 3/2 ไม่ถูก → θ = arccos( )
418
ข. m = −2/ 3, − 5, 3/2 ถูก และพบว่า (74.1) u ⋅ v = −3 + 0 + 0 = −3
(3 i −2 j) − (i −5 j) − (2 i + 3 j) = 0 ด้วย ตอบ ข. −3
u = 2 v = 10 ∴ θ = arccos
ค. m = −2/3, 5, 3/2 ถูก แต่ไม่สามารถบวกลบ 20

กันให้เป็น 0 ได้เลย ข้อ ค. จึงยังไม่ใช่.. (74.2) u ⋅ v = 2 − 1 + 2 = 3


3 π
ง. m = −2/ 3, 3/2, − 2/3 ไม่เป็น Δ u = 6 v = 6 ∴ θ = arccos =
6 3
เพราะมีคหู่ นึ่งที่ขนานกัน (75) u ⋅ v = 3 − 8 + 6 = 1
(70) ก. cos θ = ±1 → θ = 0°, 180° ถูก v ⋅ w = 6 + 16 + 4 = 26
ข. ดอทกันได้ 0 → ∴ ตั้งฉาก ถูก w⋅u = 2−8+6 = 0 ∴u ⊥ w
ค. ถูก เพราะ u ⋅ v = v ⋅ u ˜
(76) AB = 5 i + j − 3 k
ง. ถูก จาก u ⋅ v = 6 − 4 = (5)( 5) cos θ ˜AC = i + 3 j − 2 k ˜
BC = −4 i + 2 j + k
∴ θ = arccos(2/5 5)
พบว่า ˜ AC ⋅ ˜
BC = 0
(71) ˜ PQ ⋅ ˜
RQ = ˜ ˜+˜
PQ ⋅ (RP PQ)
ดังนัน้ Δ ABC เป็น Δ มุมฉาก, มุม C = 90°
= ˜ RP + | ˜
PQ ⋅ ˜ PQ |2 ซึ่ง |˜PQ |2 = 12 = 1
(77) สําหรับ u .... u = 14
ดังนัน้ ˜
PQ ⋅ ˜
RQ = ˜PQ ⋅ ˜
RP + 1 2 −1
∴ cos α = , cos β = และ
หามุมระหว่าง ˜ PQ กับ ˜ RP P 120 ˚ 14 14
ได้เป็น 120° ดังภาพ 60˚ Q cos γ = 3
14
และ |˜ RP | = 3 sin 60° =
3
2 สําหรับ v .... v = 2 14
3 1 R −4 −2 1
∴ ตอบ (1)( )(cos 120°) + 1 = ∴ cos α = = , cos β =
2 4 2 14 14 14
(72.1) ˜
PQ = (−1 − 1)i + (3 − 2)j + (5 − 3) k และ cos γ =
−3
14
= −2 i + j + 2k
ดังนัน้ u กับ v ขนานกัน (โดยมีทิศตรงข้ามกัน)
(72.2) เนื่องจาก ˜PQ = 22 + 12 + 22

= 9 = 3 ดังนัน ้ ตอบ − 2 i + 1 j + 2 k
3 3 3

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 249 เวกเตอร

i j k (80.2) ˜
AB = − i + 4j + 8k
(78.1) เนื่องจาก u × v = 2 −3 0 ˜
1 −5 0 AC = 5 i + 2 j + 12 k

= 0 i + 0 j − 7k = −7k i j k
AB × ˜
˜ AC = −1 4 8 = 32 i + 52 j − 22 k
เวกเตอร์หนึง่ หน่วยทีต่ ั้งฉากกับ u และ v ก็คอื 5 2 12
เวกเตอร์ที่ขนานกับ u × v นัน่ เอง 1
พื้นที่ Δ = 322 + 522 + 222 = 9 13 ตร.หน่วย
∴ ตอบ ±k (นําขนาดคือ 7 ไปหาร) 2
i j k (81.1) ˜
BA = i − 4j − 8k
(78.2) u × v = 1 −2 0 = −2 i − j + 6k ˜
3 0 1 BC = 6 i − 2j + 4k

1 i j k
และเวกเตอร์หนึง่ หน่วย = ± (−2 i − j + 6k) BA × ˜
˜ BC = 1 −4 −8 = −32 i − 52 j + 22 k
41
6 −2 4
i j k
(78.3) u×v = 1 3 0 พื้นที่ , = 322 + 522 + 222 = 18 13 ตร.หน่วย
−2 −6 0
(81.2) ˜ AB = 3 i − 2 j , ˜
AD = i − j + 2k
= 0 i + 0 j + 0k = 0 (เนื่องจาก u // v นัน่ เอง) i j k
และเวกเตอร์หนึง่ หน่วย ไม่มี ˜ ˜
∴ AB × AD = 3 −2 0 = −4 i − 6 j − k
1 −1 2
i j k
(79.1) u × v = 2 −1 1 = −3 i − 3 j + 3k พื้นที่ , = 42 + 62 + 12 = 53 ตร.หน่วย
1 1 2
1 −2 3
(79.2) พื้นที่ , = u v sin θ = u × v (82.1) u ⋅ (v × w) = 3 4 2
2 2 2
1 4 −1
= 3 +3 +3 = 3 3 ตร.หน่วย
(79.3) จาก u × v = u v sin θ จะได้ = (1)(−12) − (−2)(−5) + (3)(8) = 2
ลบ.หน่วย
3 (หากคิดได้ติดลบ ให้ตอบเฉพาะขนาดนะ!)
3 3 = 6 ⋅ 6 ⋅ sin θ → sin θ = −2 −6 1
2
(82.2) u ⋅ (v × w) = 2 4 −1
(80.1) ˜
PQ = −2 i + j + 2 k 4 2 −2
˜
PR = 2 i − 3j − 3k = 0 ลบ.หน่วย (แสดงว่าไม่เกิดทรงสีเ่ หลี่ยม เพราะ
พื้นที่ Δ =
1 ˜˜ 1
PQ PR sin θ = | PQ × PR | ˜ ˜ เวกเตอร์ทั้งสามอยู่ในระนาบเดียวกัน)
2 2
i j k
จาก ˜
PQ × ˜
PR = −2 1 2 = 3 i − 2 j + 4 k
2 −3 −3
1 29
∴ พืน้ ที่ Δ = ⋅ 32 + 22 + 42 = ตร.หน่วย
2 2
[ใช้ ˜
QP × ˜ RP × ˜
QR หรือ ˜ RQ ก็ได้เช่นกัน]

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 250 เวกเตอร

eÃ×èo§æ¶Á
สิ่งที่ไม่ต้องรู้ก็ได้ : ลําดับการคิดค้นเนื้อหาคณิตศาสตร์..
เรื่อง ผู้คิดค้น (ประเทศ) ปี ค.ศ.
ระบบจํานวน 60 และ 360 (เช่น มุม, เวลา)
ชาวบาบิโลนและอียิปต์โบราณ -3000
แนวคิดเรื่องอัตราส่วน π
ทฤษฎีบทปีทาโกรัสในสามเหลี่ยมมุมฉาก Phythagoras of Samos (กรีก) -500
ขั้นตอนวิธีในการหา ห.ร.ม. Euclid (กรีก) -300
แนวคิดเรื่องตรีโกณมิติ Hipparchus (กรีก) -140
ค่าอัตราส่วนตรีโกณมิติของมุม 30° 45° 60° Ptolemy (กรีก) 200
แนวคิดเรื่องสมการกําลังสอง Abu Ja'far Muhammad ibn 830
Musa al-Khwarizmi (แบกแดด)
ลอการิทึมธรรมชาติ (ฐาน e) หรือลอการิทึมเนเปียร์ John Napier (สก๊อตแลนด์) 1618
ชื่อฟังก์ชันไซน์ และสัญลักษณ์ sin Edmund Gunter (อังกฤษ) 1624
หลักการแยกตัวประกอบและแก้สมการพหุนาม Thomas Harriot (อังกฤษ) 1631
การเขียนกราฟ, คูอ่ ันดับ, และผลคูณคาร์ทีเซียน René Descartes (ฝรั่งเศส) 1637
ทฤษฎีบททวินาม Blaise Pascal (ฝรั่งเศส) 1654
ใช้สัญลักษณ์ ∞ แทนจํานวนที่มีค่ามากจนไม่สิ้นสุด John Wallis (อังกฤษ) 1655
แคลคูลัส (อนุพันธ์และการอินทิเกรต) Isaac Newton (อังกฤษ) 1666
และ Gottfried Leibniz (เยอรมัน)
กฎของโลปีตาลในการคํานวณลิมิต Guillaume de L'Hôpital (ฝรั่งเศส) 1696
ใช้สัญลักษณ์ π แทนอัตราส่วนเส้นรอบวงกลม William Jones (อังกฤษ) 1706
สัญลักษณ์ e, i (จํานวนจินตภาพ), และ f(x) Leonhard Euler (สวิส) 1727
การกระจายแบบปกติ โค้งรูประฆัง Abraham de Miovre (ฝรั่งเศส) 1733
แก้ปัญหาสะพานเคอนิกส์แบร์ก Leonhard Euler (สวิส) 1736
กฎของคราเมอร์ (แก้ระบบสมการเชิงเส้นด้วย det) Gabriel Cramer (สวิส) 1750
หลักการมีตัวประกอบจํานวนเฉพาะชุดเดียว Karl Friedrich Gauss (เยอรมัน) 1801
ตรรกศาสตร์แบบสัญลักษณ์ George Boole (อังกฤษ) 1847
แผนภาพของเซต John Venn (อังกฤษ) และ 186x
Leonhard Euler (สวิส)
ทฤษฎีกราฟ Dénes König (ฮังการี) 1936
แผนภาพลําต้น-ใบ และแผนภาพกล่อง John Wilder Tukey (อเมริกา) 1977
ค่าของ e จนถึงทศนิยมละเอียดที่สุดที่คํานวณได้ Robert Nemiroff และ
1994
ความยาว 2 ล้านตําแหน่ง Jerry Bonnell (อเมริกา)
ค่าของ π จนถึงทศนิยมละเอียดที่สุดที่คํานวณได้ Yasumasa Kanada และ
1999
ความยาว 2 แสนล้านตําแหน่ง Daisuke Takahashi (ญี่ปุ่น)
จํานวนเฉพาะ ที่มีค่าสูงที่สุดที่ค้นพบ Curtis Cooper และ
2005
คือ 230402457 - 1 (มีอยู่ 9,152,052 หลัก) Steven R. Boone (อเมริกา)
หมายเหตุ นอกจากที่เราเห็นชื่อผู้คดิ ค้นอย่างชัดเจน เช่น ทฤษฎีบทปีทาโกรัส, กฎของโลปีตาล, กฎของคราเมอร์,
วิธีหา ห.ร.ม. ของยุคลิด, แผนภาพเวนน์-ออยเลอร์, สามเหลี่ยมปาสคาล ฯลฯ ยังมีอีกหลายชื่อที่น่าสนใจครับ..
(1) คําว่า algebra (พีชคณิต) และ algorithm (กระบวนการคิด) มาจากชื่อของ al-Khwarizmi
(2) คําว่า cartesian มาจากชื่อของ Descartes
(3) สัญลักษณ์ e มาจากชื่อย่อในลายเซ็นของ Euler ซึ่งเป็นผู้ประมาณค่าของ e และพิสูจน์ว่าเป็นจํานวนอตรรกยะ
ส่วน Jones เลือกใช้อักษรกรีก π (pi) แทนอัตราส่วน 3.14.. เพราะมีเสียงขึ้นต้นเหมือน perimeter (เส้นรอบรูป)
และ Wallis เลือกใช้สัญลักษณ์ ∞ แทนค่ามากจนไม่สิ้นสุด เพราะ ∞ เป็นตัวเลขในภาษากรีก แปลว่าหนึ่งพัน
(4) ตรรกศาสตร์แบบสัญลักษณ์ บางครั้งเรียกตัวแปรค่าความจริงว่า boolean มาจากชื่อของ Boole
(5) โค้งปกติรูประฆัง บางครัง้ เรียกว่า Gaussian distribution มาจากชื่อของ Gauss

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 251 จํานวนเชิงซอน

Cplx

º··Õè 11 ¨íҹǹeªi§«Œo¹
ระบบจํานวนที่ศึกษากันโดยปกติ คือระบบ
จํานวนจริง (Real Number; R ) ซึ่งเราพบว่าบาง
สมการไม่มีคําตอบที่เป็นจํานวนจริง เช่น x2+4 = 0
หรือ x2+x +2 = 0 ฯลฯ (เพราะในรากที่สองติดลบ) จึง
ได้มีการสมมติจํานวนแบบใหม่ขึ้นมาใช้เพิ่มเติม เพื่อให้
ทุกปัญหามีคําตอบเสมอ จํานวนแบบใหม่นี้เรียกว่า
จํานวนจินตภาพ (Imaginary Number; I m )
จํานวนจินตภาพ อยู่ในรูป bi โดย b ∈ R และนิยามให้ i = −1
เช่น สมการ x2+ 4 = 0 จะได้คําตอบเป็น x = ± − 4 นั่นคือ x = 2 i, − 2 i
−1 ± − 7 1 7
สมการ x2+ x +2 = 0 ใช้สูตรหาคําตอบจะได้ x = นั่นคือ x = − ± i
2 2 2
ระบบจํานวนที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งประกอบด้วยส่วนจริงและส่วนจินตภาพ ในรูป a + bi (โดย
a, b ∈ R ) เรียกว่า จํานวนเชิงซ้อน (Complex Number; C ) มี a เป็นส่วนจริง (Real Part) และ
b เป็นส่วนจินตภาพ (Imaginary Part) และมักแทนตัวแปรที่เป็นจํานวนเชิงซ้อนด้วย z

หมายเหตุ
1. จาก z = a + bi บางทีเขียนว่า a = Re (z) และ b = Im (z) ก็ได้
เช่น ถ้า z1 = 3 − 2 i จะได้ Re (z1) = 3 และ Im (z1) = −2
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 252 จํานวนเชิงซอน

2. บางตําราใช้ j = −1 แทน i เพื่อป้องกันการสับสนกับตัวแปรอื่น เช่น กระแสไฟฟ้า


* 3. ข้อสังเกต กําลังของ i มี 4 แบบหมุนเปลี่ยนกัน เริ่มจาก i2= −1 ... i3= − i ... i4= 1
i5= i ... i6= −1 ... i7 = − i ... i8= 1 ...

im
แผนภาพของจํานวนเชิงซ้อน เปลี่ยนจากเส้นจํานวนในแกนนอน
1 มิติ กลายเป็นระนาบ 2 มิติ (คือมีแกนจริง; Real Axis กับ แกน
จินตภาพ; Imaginary Axis ตั้งฉากกัน) เรียกว่า ระนาบเชิงซ้อน 0 3 re
(Complex Plane) ... และใช้คู่อันดับ (a, b) หรือเวกเตอร์ที่ชี้จาก
(0, 0) มายัง (a, b) แทนจํานวนเชิงซ้อน z = a + bi ได้
-2 (3,-2)
S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S
ÃaÇa§o‹ÒÊaºÊ¹¡aºeÇ¡eµoϹa¤Ãaº ... ã¹eÃ×èo§eÇ¡eµoϹaé¹æ¡¹¹o¹ÁÕ i 桹µaé§ÁÕ j
测¨íҹǹeªi§«Œo¹æ¡¹¹o¹äÁ‹ÁÕÊa­Åa¡É³oaäÃeÅ æÅa桹µa§é ÁÕ i

11.1 การคํานวณเบื้องต้น
ในการคํานวณเราปฏิบัติเหมือนว่า i เป็นตัวแปรหนึ่ง (ซึ่ง i2= −1 ) เพียงเท่านั้น
1. การเท่ากัน a + bi = c + di ก็ต่อเมื่อ a = c และ b = d
หรือเขียนเป็นคู่อันดับ (a, b) = (c, d) ก็ต่อเมื่อ a = c และ b = d
2. การบวก (a + bi) + (c + di) = (a + c) + (b + d) i
หรือเขียนเป็นคู่อันดับ (a, b) + (c, d) = (a+ c, b + d)
3. การคูณ (a + bi) × (c + di) = (ac −bd) + (ad+bc)i
หรือเขียนเป็นคู่อันดับ (a, b) × (c, d) = (ac−bd, ad+bc)

สมบัติของจํานวนเชิงซ้อน เหมือนกับสมบัติของจํานวนจริงทุกประการ (และจํานวนจริงก็คือ


จํานวนเชิงซ้อนประเภทหนึ่ง) นั่นคือ มีสมบัติปิด, การสลับที่การบวกและคูณ, การเปลี่ยนกลุ่มการ
บวกและคูณ, การแจกแจง, และการมีเอกลักษณ์กับอินเวอร์ส โดยเอกลักษณ์การบวกก็คือ 0 หรือ
0 + 0 i หรือ (0, 0) และเอกลักษณ์การคูณคือ 1 หรือ 1 + 0 i หรือ (1, 0) เช่นเดียวกับในระบบ
จํานวนจริง ... สรุปสั้นๆ ว่า ทุกกฎที่เคยใช้กับจํานวนจริง จะยังคงใช้ได้
S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S
ดังนั้น อินเวอร์สการบวกของ z = a + bi ก็คือ −z = −a − bi
¡ÒúǡæÅaź¨íҹǹeªi§«Œo¹
และอินเวอร์สการคูณของ z = a + bi คือ z−1 = 1 = 1
¹aé¹äÁ‹ÁÕoaäÃÂu‹§ÂÒ¡ 测¡Òäٳ
z a + bi
ซึ่งสามารถทําให้อยู่ในรูปปกติได้โดยนํา a − bi คูณทั้งเศษและส่วน จะได้ æÅa¡ÒÃËÒù‹Ò¨a½ƒ¡½¹ãˌ
¤uŒ¹e¤Â¹a¤Ãaº
1 a − bi ⎛ a ⎞ ⎛ b ⎞
= 2 2 = ⎜ 2 2⎟ − ⎜ 2 2⎟i
a + bi a +b ⎝ a +b ⎠ ⎝ a +b ⎠
และมีทฤษฎีบทเกี่ยวกับอินเวอร์สการคูณว่า (z1z2)−1 = z1−1 z2−1 และ (zn)−1 = (z−1)n = z−n

หมายเหตุ
1. ในระบบจํานวนเชิงซ้อนจะไม่มีการเปรียบเทียบมากกว่า, น้อยกว่า
2. สมการ a × b = ab จะไม่เป็นจริง หากว่า a, b ติดลบทั้งสองจํานวน

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 253 จํานวนเชิงซอน

• ตัวอยาง ใหหาผลบวก ลบ คูณ และหาร ของจํานวนเชิงซอน z1 = 3 − 2 i ดวย z2 = 1 + i


ตอบ z + z = (3 − 2 i) + (1 + i) = 4 − i
1 2

z1 − z2 = (3 − 2 i) − (1 + i) = 2 − 3 i

z1z2 = (3 − 2 i) ⋅ (1 + i) = 3 + 3 i − 2 i − 2 i 2 = 5 + i ... (อยาลืม i 2 = −1 )


z1 3 −2i 3 − 2i ⎛1− i⎞ 3 − 3 i − 2 i + 2 i2 1− 5i
= = ⋅⎜ ⎟ = = = (1/2) − (5/2) i
z2 1+ i 1+ i ⎝1− i⎠ 1 − i + i − i2 2

(1 + i)12
• ตัวอยาง ใหหาคา
(1 − i)10
วิธีคิด เนื่องจาก (1 + i)2 = 1 + 2 i + i 2 = 2 i และ (1 − i)2
= 1 − 2 i + i 2 = −2 i
(1 + i)12 (2 i)6 64 i 6
ดังนั้น = = = −2 i
(1 − i) 10
(−2 i)5 −32 i 5
⎛1+ i⎞ ⎛ 1+ i⎞ ⎛ 1+ i⎞ 2i
หรือคิดไดอีกวิธีดังนี้ ... เนื่องจาก ⎜ 1− i⎟ = ⎜ 1− i⎟ ⋅ ⎜ 1+ i⎟ = 2 = i
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
10
(1 + i)12 ⎛1 + i⎞
ดังนั้น 10
= ⎜ 2 10 11
⎟ (1 + i) = (i) (2 i) = 2 i = −2 i ... (อยาลืม i 11 = i 3 = − i )
(1 − i) ⎝1 − i⎠

แบบฝึกหัด 11.1
(1) z1 = (2, −3) , z2 = (−4, −1) , z3 = (−2, 1) จงหาค่า
(1.1) z1 + z2 (1.4) z1z2
(1.2) z1 − z3 (1.5) z1z3
(1.3) 2 z1 + 3 z2 (1.6) z1 (z2 + z3)

(2) จงหาอินเวอร์สการบวก และอินเวอร์สการคูณ ของ


(2.1) z1 = (2, −3) (2.3) z3 = (−2, 1)
(2.2) z2 = (−4, −1) (2.4) z4 = (1, 0)

(3) จงหาค่าของ
(3.1) (6, 4) − (3, 5) (3.4) (3, −2) ÷ (5, 4)
(3.2) (−3, −2) − (−4, 2) (3.5) (7, 2) ÷ (0, 3)
(3.3) (−4, 3) − (5, −6) (3.6) (6, 3) ÷ (3, 0)

(4) จงหาค่าจํานวนจริง x และ y เมื่อ


(4.1) (x, y) + (−2, 4) = (−4, −1)
(4.2) [Ent’25] (x, y) × (2, −3) = (−5, −3)
(4.3) (3, 1) ÷ (x, y) = (1, −2)
(4.4) x − 2y i = 1 + i + 2 + i … [ข้อสังเกต : 1
= − i]
i i i

(5) x2 + y2 + 2xy i − 1 − i = 0 จงหาค่า x และ y

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 254 จํานวนเชิงซอน

(6) ถ้า z1 = (2, −3) จงหาค่า 2 z1−2

(7) จงหาค่าของ
(7.1) 2 + 3 i (7.3) −14 + 23 i
+
16 + 12 i
4 − 2i 3 + 4i 4i
2 + i 3 + 4i
(7.2) +
2 −i 1 + 2i

3
⎛ 3+ 4 i 3− 4 i ⎞
(8) จงหาค่าของ ⎜ 3− 4 i − 3+ 4 i ⎟
⎝ ⎠

(9) ให้หาค่าต่อไปนี้
(9.1) i 29 (9.3) i 451
(9.2) i 42 (9.4) i 4, 040

(10) จงหาค่า i 135 + i 136 + i 137 + i 138 และ i 135 i 136 i 137 i 138

(11) [Ent’มี.ค.44] กําหนดให้ z = i 9 + i 10 + ... + i 126 เมื่อ i2= −1 แล้ว จงหาค่า 2 z−1

(1 + i)4
(12) จงหาอินเวอร์สของ
1−i

(13) จงหาค่าของ
(1 + i)16
(13.1) (1 + i)12 (13.3)
(1 − i)10
(1 + i)2 + (1 + i) + 1
(13.2)
1+ i
5m m
(14) จงหาค่า m ∈ I+ ที่น้อยที่สุด ที่ทําให้ ⎛1 + i⎞ = ⎛⎜
1 − i⎞
⎜ ⎟ ⎟
⎝1 − i⎠ ⎝1 + i⎠

11.2 สังยุค และค่าสัมบูรณ์


ในเศษส่วนหนึ่งๆ เมื่อมีจํานวนเชิงซ้อน a + bi เป็นตัวส่วน จะนํา สังยุค (conjugate)
ของ a + bi คือ a − bi มาคูณทั้งเศษและส่วน เพื่อให้ตัวส่วนกลายเป็นเลขจํานวนจริง ( a2+b2 )
สัญลักษณ์ที่ใช้แทนสังยุคของ z = a + bi คือ z = a − bi

ค่าสัมบูรณ์ (absolute value) ของจํานวนจริงและจํานวนเชิงซ้อนใดๆ คือระยะห่างจากจุด


นั้นไปถึงจุดกําเนิด (0, 0) ดังนั้น z = a + bi = a2+b2

สมบัติของสังยุคและค่าสัมบูรณ์
1. z = z ก็ต่อเมื่อ z เป็นจํานวนจริงเท่านั้น และ z = z เสมอ
2. (z−1) = (z)−1 และ z−1 = z −1
3. (zn) = (z)n และ zn = z n n ∈ I+
4. z1 ± z2 = z1 ± z2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 255 จํานวนเชิงซอน

5. z1z2 = z1z2 และ z1 ÷ z2 = z1 ÷ z2


6. z1z2 = z1 z2 และ z1 ÷ z2 = z1 ÷ z2
2
7. z มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 0 เสมอ และ z ⋅ z = z
8. z = −z = z

• ตัวอยาง ถา z1 = 1 + 2 i และ z1z2 − z2 = i จงหาคา z2−1


i
วิธีคิด จาก z z 1 2 − z2 = i → z2(z1 − 1) = i → z2 =
z1 − 1
−i
จากนั้นใสสังยุคทัง้ สองขางของสมการ เพื่อใหทางซายไมติดสังยุค ... จะได z2 =
z1 − 1
z1 − 1 2i
และหาอินเวอรสไดเปน z2−1 = = = −2
−i −i

(2−2 3 i) (3+ 4 i)3


• ตัวอยาง ใหหาคาของ z เมื่อ z =
(2 − i)2(1 + i)
1/ 2 3
(2−2 3 i)1/ 2(3+ 4 i)3 2−2 3 i 3+ 4 i (4)1/ 2(5)3
ตอบ 2
= 2
= = 25 2
(2 − i) (1 + i) 2−i 1+ i ( 5)2( 2)

แบบฝึกหัด 11.2
(15) z1 = 2 + 3 i , z2 = 3 − 4 i จงหาค่าของ
⎛ z1 ⎞
(15.1) z1 + z2 (15.4) ⎜z ⎟
⎝ 2⎠
(15.2) z1 − z2 (15.5) (z21)
(15.3) z1z2

(16) ถ้า z1 = 3 + 4 i และ z1z2 + z2 − 4 = 0 จงหาค่า z2−1

(17) จงหาค่า z ที่สอดคล้องกับสมการ z + i + 3 − 2 z = 1 + 2i

(18) จงหาค่าของ
(18.1) 3 + 4 i (18.4) −4 + 0 i
(18.2) −5 + 12 i (18.5) (0, −5)
(18.3) − 7 i
(19) จงหาค่า z เมื่อ z คือ
(1+ 3 i)2( 3 − i)4 (3+ 4 i)4
(19.1) (19.3)
(1− 3 i) 2
(1 + i)16
−2 i (1+ 3 i)5
(19.2) (19.4) ((1, 1)−1)4
(1+ 2 i)6

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 256 จํานวนเชิงซอน
3
(2−i)(3+2 i)(4− 3 i)(5+ 4 i)
(20) จงหาค่าของ (1+2 i)(2− 3 i)(−4−5 i)

(21) ถ้า z = (1+ 3 i)( 3 − i)(1 + i) จงหาค่า z −1

1 1
(22) ถ้า z1 + z2 = 0 และ z1 = z2 = 1 จงหาค่า +
z1 z2

(23) ให้แก้ระบบสมการต่อไปนี้ เพื่อหาค่า z (โดยสมมติ z = a +bi)


z + 1
(23.1) = 1 และ z = 149
z + 3 − 2i
z + 1
(23.2) [Ent’31] = 1 และ z z = 29
z + (3 − 2 i)
z − 4 z − 12 5
(23.3) = 1 และ =
z −8 z − 8i 3

(24) ถ้า z + 12 = 2 z + 3 จงหาค่า z

1 + z⎞
(25) เมื่อ z ≠ 1 จงหาค่า Re ⎛⎜ ⎟
⎝1 − z⎠

(26) [Ent’ต.ค.41] ถ้า z เป็นจํานวนเชิงซ้อนซึ่ง (i+ 1)(z + 1) = −1 แล้ว จงหาส่วนจริงของจํานวน


เชิงซ้อน z (z − z)15
(27) ข้อใดไม่ใช่กราฟวงกลม
2
ก. z z = 1 ค. z + z = z
ข. z + z = z ง. 3z +i = z + 3 i

(28) จงเขียนกราฟของ
(28.1) z−(2+3 i) = 1
(28.2) z +2 = 3 z−2+ 4 i
(28.3) z +2 i + z−2 i = 10
หมายเหตุ โจทย์ข้อนี้อาจเปลี่ยนเป็น “จงหาค่า z ที่สอดคล้องกับสมการต่อไปนี้” ก็ได้ และคําตอบจะ
มีได้มากมาย (ทุกๆ จุดในกราฟ) เพราะตัวแปร z นั้น สมการเดียวไม่เพียงพอ

11.3 รูปเชิงขั้ว
การอ้างถึงพิกัด (a, b) ของจํานวนเชิงซ้อน อาจจะกล่าวได้อีกแบบเป็น (r, θ)
im โดยที่ r แทน “ระยะห่างจากจุดกําเนิด” (modulus) และ
z (a,b) θ แทน “ทิศทาง” (argument) (มุมวัดทวนเข็มนาฬิกาจาก
b แกน +x ) เรียกรูปแบบนี้ว่า รูปเชิงขั้ว (Polar Form)
r
ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างสองระบบนี้เป็นดังนี้
θ re
O a a = r cos θ r = a2 + b2 = z
b = r sin θ tan θ = (b/a)
เราอาจเขียนรูปทั่วไปของ z = a + bi เป็น z = (r cos θ) + (r sin θ)i หรือ z = r (cos θ + i sin θ)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 257 จํานวนเชิงซอน

หมายเหตุ 1. จาก z = r (cos θ + i sin θ) บางทีเขียนว่า r = Abs (z) และ θ = Arg(z)


2. บางตําราใช้สัญลักษณ์ z = r ∠θ หรือ z = r cis θ เพื่อความสะดวกในการเขียน, คํานวณ

รูปเชิงขั้วสามารถนํามาใช้ประโยชน์ในการคูณ หาร ยกกําลัง และถอดรากของจํานวน


เชิงซ้อนได้สะดวก โดยมีทฤษฎีอยู่ดังนี้
ถ้า z1 = r1 (cos θ1 + i sin θ1) และ z2 = r2 (cos θ2 + i sin θ2) แล้ว
1. z1z2 = r1r2 (cos (θ1+θ2) + i sin(θ1+θ2))
2. z1 /z2 = (r1 /r2)(cos (θ1−θ2) + i sin(θ1−θ2))
3. zn = rn (cos (nθ) + i sin(nθ)) → ทฤษฎีบทของเดอมัวฟ์ (De Moivre’s Theorem)

4. รากที่ n ของ z นั้น จะมีอยู่ n แบบเสมอ เพราะมาจากสมการดีกรี n คือ (root)n = z

คําตอบแรกได้แก่ n r (cos (θ) + i sin(θ))


n n
และคําตอบที่เหลือจะมีขนาดเท่ากันแต่มุมต่างๆ กัน ... หาค่ามุมได้จากการแบ่งวงกลม 360°
ออกเป็น n ส่วนเท่าๆ กันโดยมีมุม θ/n นี้เป็นจุดๆ หนึ่งในบรรดาคําตอบ หรือเขียนเป็นสูตรว่า
n z = n r (cos (k
360° θ 360° θ
+ ) + i sin(k + )) โดย k = 0, 1, 2, ..., (n−1)
n n n n
สูตรลัดในการหารากที่สองของ a+bi คือ
⎛ r +a r −a ⎞ ⎛ r +a r −a ⎞
±⎜ + i⎟ เมื่อ b>0 ... และ ±⎜ − i⎟ เมื่อ b<0
⎝ 2 2 ⎠ ⎝ 2 2 ⎠

• ตัวอยาง ถา z = 2 + 2 3 i และ z = − 3 + i ใหอาศัยรูปเชิงขั้วเพื่อหาคาของ


1 2

ก. z z และ z /z
1 2 1 2

วิธีคิด แปลง z และ z ใหอยูในรูปเชิงขั้วไดดังนี้


1 2

2 2
z = 2 + (2 3) = 4 และมีมุมเทากับ 60° (หามุมวิธีเดียวกับเวกเตอรและตรีโกณฯ)
1

2 2
z = ( 3) + 1 = 2 และมีมุมเทากับ 150°
2

ดังนั้น z = 4 (cos 60° + i sin 60°) หรือเขียนยอๆ วา z = 4 ∠60°


1 1

และ z = 2 (cos 150° + i sin 150°) หรือเขียนยอๆ วา z = 2 ∠150°


2 2

จะได z z = (4 ⋅ 2) ∠(60° + 150°) = 8 ∠210° หรือ 8 (cos 210° + i sin 210°) = −4 3 − 4 i


1 2

และจะได z /z = (4/2) ∠(60° − 150°) = 2 ∠(−90°) หรือ − 2 i ... (มุม −90° คือ − i )
1 2

4
ข. z 2

วิธีคิด จาก z = 2 ∠150° ใชทฤษฎีบทของเดอมัวฟ ไดเปน


2
4 4
z = 2 ∠(150° ⋅ 4) = 16 ∠600° = 16 ∠240° หรือตอบวา
2

16 (cos 240° + i sin 240°) = −8 − 8 3 i

• ตัวอยาง ถา z = 64 i ใหหารากที่สามของ z


วิธีคิด แปลงเปนเชิงขั้ว ได z = 64 ∠90°
1/ 3
ดังนั้นรากที่สาม (คําตอบแรก) คือ 64 ∠(90°/3) = 4 ∠30° หรือ 2 3 +2i

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 258 จํานวนเชิงซอน

อีกสองคําตอบหาไดโดยบวกมุมเขาไป เพื่อใหตัดแบงวงกลม (ขนาด 4 หนวย) ออกเปน 3 สวนเทาๆ กัน


... นั่นคือ สวนละ 120 องศา
คําตอบทีส่ อง คือ 4 ∠(30° + 120°) = 4 ∠150° หรือ −2 3 + 2 i
คําตอบทีส่ าม คือ 4 ∠(150° + 120°) = 4 ∠270° หรือ − 4 i

แบบฝึกหัด 11.4
(29) ให้เขียนจํานวนเชิงซ้อนต่อไปนี้เป็นรูปเชิงขั้ว
(29.1) −1− 3 i (29.4) −5
(29.2) (4, −4) (29.5) 4i
(29.3) (10, 0) (29.6) −3 i

(30) ถ้า z1 = 4 (cos 30° + i sin 30°) และ z2 = 3 (cos 180° + i sin 180°)
จงหาค่า z1z2 ในรูป a + bi
(31) ถ้า z1 = 2 (cos 18° + i sin 18°) , z2 = −3 (cos 72° + i sin 72°) และ
zz
z3 = −4 (cos 30° + i sin 30°) จงหาค่า z1z2z3 และ 1 2 ในรูป a + bi
z3

(32) ถ้า z1 = 2 (cos 15° + i sin 15°) , z2 = 2 (cos


π − i sin
π) จงหาค่า z61 และ z28 ในรูป
3 3
a + bi

(33) จงหาค่า ( 3 + i)8 โดยวิธียกกําลังโดยตรง และวิธีแปลงเป็นเชิงขั้วก่อน


(34) [Ent’ต.ค.42] ถ้า z = −2+2 3 i เมื่อ i2= −1 แล้ว z17 อยู่ในควอดรันต์ใด
(35) จงหาค่า z0 และ z−10 เมื่อ z = −1+ 3 i

(36) จงหาค่าของ
50
(36.1) ⎛⎜ 3 i⎞
+ ⎟
⎝ 2 2⎠
−8 −8
⎛ −1+ −3 ⎞ ⎛ −1− −3 ⎞
(36.2) ⎜ ⎟ + ⎜ ⎟
⎝ 2 ⎠ ⎝ 2 ⎠
(1 + i)30
(36.3)
( 2 − 2 i)10

z18
(37) [Ent’มี.ค.44] ถ้า 2 z3 = 1+ 3 i และ = a + bi เมื่อ a และ b เป็นจํานวนจริง
i − z27
จงหาค่า a + b

(38) [Ent’ต.ค.43] กําหนดให้ z1 และ z2 เป็นจํานวนเชิงซ้อนที่ 2 z1z2 = 1 + z2 และ


z1 = (cos
π + i sin π )6 จงหาอินเวอร์สการคูณของ z
2
18 18

(39) จงหาค่า
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 259 จํานวนเชิงซอน

(39.1) รากที่สี่ของ −8 + 8 3 i
(39.2) รากที่สามของ 8 i ในรูป a + bi
(39.3) รากที่สามของ −8 i
(39.4) รากที่สองของ −4+ 4 3 i
(39.5) รากที่สองของ −2 3 − 2 i
(39.6) รากที่สองของ −15 − 8 i
(40) จงหารากที่สองของ 3+ 4i โดยวิธีสมมติคําตอบ (x + y i)2 = 3 + 4 i

2 2
(41) [Ent’24] ถ้าสมการ x2 = −2 − 2 3 i มีคําตอบเป็น z1 และ z2 แล้ว จงหา z1 + z2

11.4 สมการพหุนาม
จากนี้สมการพหุนามดีกรี n ในรูป anxn+ an − 1xn − 1+ an − 2xn − 2+ ... + a0 = 0 จะหาคําตอบ
ได้ n จํานวนเสมอ ซึ่งใน n คําตอบนี้ อาจเป็นจํานวนจริงและจํานวนเชิงซ้อนปนกันอยู่ สามารถ
คํานวณโดยแยกคําตอบที่เป็นจํานวนจริงออกจนเหลือเพียงดีกรีสอง แล้วอาศัยสูตร
−b ± b2− 4ac
x = ช่วยในการหาคําตอบที่เป็นจํานวนเชิงซ้อน
2a

ข้อสังเกต
−b ± b2− 4ac
1. จากสูตร x = ทําให้เราพบว่า ในสมการที่สัมประสิทธิ์ทั้งหมดเป็นจํานวนจริง ถ้า
2a
A + Bi เป็นคําตอบหนึง่ ของสมการแล้ว จะมีสังยุค A − B i เป็นอีกคําตอบด้วยเสมอ
2. หากไม่ต้องการใช้สูตร อาจใช้วิธีจัดกําลังสองสมบูรณ์ก็ได้
เช่น x2 + 4x + 7 = 0 → (x2 + 4x + 4) + 3 = 0 → (x + 2)2 + 3 = 0 → x = −2 ± 3 i
3. ทฤษฎีเศษเหลือ และทฤษฎีตัวประกอบ (หารลงตัว) ของพหุนาม ที่เคยได้ศึกษาในหัวข้อจํานวน
จริง ยังคงใช้ได้กับจํานวนเชิงซ้อน และนอกจากนี้การหารสังเคราะห์ก็ยังใช้ได้เช่นกัน
3 2
• ตัวอยาง ใหหาเซตคําตอบ (ทุกคําตอบ) ของสมการ x − 3x + 9x + 13 = 0
วิธีคิด ใชวิธีแยกตัวประกอบ (จากบทเรียนเรื่องพหุนาม) เชนการหารสังเคราะห
2
จะไดผลเปน (x + 1)(x − 4x + 13) = 0
ซึ่งวงเล็บหลังมีดีกรีสอง แตหาตัวเลขเพื่อแยกตัวประกอบไมได จึงใชสูตรไดวา
4 ± (−4)2− 4 (1)(13) 4 ± −36 4 ± 6i
x = = = = 2 ± 3i
2 (1) 2 2
ดังนั้น เซตคําตอบของสมการนีค้ ือ { 1, 2 + 3 i, 2 − 3 i }

4 3 2
• ตัวอยาง ใหหาเซตคําตอบของสมการ x − 3x + 6x − 6x + 4 = 0 เมื่อทราบวา
มี 1 + i เปนคําตอบหนึ่ง
วิธีคิด การมี 1 + i เปนคําตอบหนึ่ง แสดงวาตองมี 1 − i เปนอีกคําตอบดวย

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 260 จํานวนเชิงซอน

หรือกลาววา มี (x − (1 + i))(x − (1 − i)) เปนตัวประกอบของพหุนาม


2
และ เนื่องจาก (x − (1 + i))(x − (1 − i)) = (x − 1 − i)(x − 1 + i) = x − 2x + 2
2
เราจึงนํา x − 2x + 2 ไปหารพหุนามในโจทย (ตั้งหารยาว) เพื่อแยกตัวประกอบ
2 2
ไดเปน (x − 2x + 2)(x − x + 2) = 0
1 ± (−1)2− 4 (1)(2) 1± −7
ดังนั้น หาสองคําตอบที่เหลือไดจากสูตร x = =
2 (1) 2
เซตคําตอบของสมการนี้คือ { 1 + i, 1 − i, (1/2) + ( 7 /2) i , (1/2) − ( 7 /2)i }

แบบฝึกหัด 11.4
(42) จงหาคําตอบของสมการต่อไปนี้
(42.1) x2 + 16 = 0
(42.2) 2x2 − 3x + 4 = 0
(42.3) 2x3 − x + 1 = 0
(43) [Ent’26] ให้หาค่าสัมบูรณ์ของรากของสมการ z2(1−z2) = 16

* (44) ให้หาคําตอบของสมการ
(44.1) 2x2 + (1 − 2 i) x + 1 = 8 i
(44.2) 2 i x2− 3x − 3 i = 0
(44.3) x2 + 2(i − 1) x − 1 − 2 i = 0
(44.4) x2 − (2+ 3 i) x − 1 + 3 i = 0
[Hint : สูตรของสมการดีกรีสอง สามารถจัดรูปใหม่ได้ว่า (2ax +b)2 = b2−4ac ]

(45) จงแสดงว่า 2 + 3i เป็นคําตอบหนึ่งของ x3 − 3x2 + 9x + 13 = 0 โดยการแทนค่า และการ


แยกตัวประกอบ
(46) จงหาค่าสัมบูรณ์ของผลบวกของรากสมการ x3 − 17x2 + 83x − 67 = 0

(47) จงหาผลบวก และผลคูณ ของรากทั้งหมดของสมการ z3 + 2z2 + 9z + 18 = 0


[Hint : anxn+ an − 1xn − 1+ ... + a0 = 0 มีผลบวกรากเป็น − an − 1 และผลคูณ (−1)n a0 ]
an an

(48) ถ้าสมการกําลังสอง Ax2 + Bx + C = 0 มีรากหนึ่งเป็น 4 + 3i แล้ว ค่า A +B + C เมื่อ


A = 1 เป็นเท่าใด

(49) 2 และ 1−i เป็นคําตอบของสมการกําลังสาม สมการใด


(50) จงหาสมการพหุนามกําลังสี่ ซึ่งมีสัมประสิทธิ์เป็นจํานวนจริง และมี z1 = 2 − 2 3 i กับ
z2 = −4 i เป็นคําตอบของสมการ

(51) ถ้า 2 + 2i เป็นคําตอบของ x4 − 4x3 + x2 + 28x − 56 = 0 จงหาคําตอบที่เหลือ


(52) จงแก้สมการ x4 + 2x3 = 4x + 4 โดยทราบว่ามี −1 − i เป็นคําตอบหนึ่ง

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 261 จํานวนเชิงซอน

(53) ถ้า −1 + 3i เป็นรากหนึ่งของสมการ x5 + 9x3 − 8x2 − 72 = 0 จงหารากทั้งหมด


(54) จงหารากของสมการ
(54.1) x5 + x4 + x3 + x2 + x + 1 = 0
[Hint : (xn−1) = (x − 1)(xn − 1+ xn − 2+ ... + x + 1) ]
(54.2) x5 + 3x4 + 2x3 − 8x2 − 24x − 16 = 0
(55) จงหาผลบวกของรากสมการ x6 − x5 + x4 − x2 + x − 1 = 0

(56) จงหาผลบวกของค่าสัมบูรณ์ของรากสมการ
(56.1) [Ent’มี.ค.43] z4 + z2 + 2 = 0
(56.2) x4 − 2x3 + 12x2 − 8x + 32 = 0
* (56.3) [Ent’27] x5 − 3 i x4 + 4x − 12 i = 0

* (57) x3 − (5−2 i) x2 + (7 − 10 i) x + k หาร x + 2i ลงตัว จงหาค่า k


(58) ถ้า x = −2 − จงหาค่า 2x4 + 5x3 + 7x2
3i − x + 4
f (x)
[Hint : จากทฤษฎีเศษเหลือ จะได้ว่า f (−2 − 3 i) คือเศษของ ]
x2+ 4x + 7

(59) [Ent’มี.ค.42] ให้ P (x) เป็นฟังก์ชันพหุนามกําลังสาม ซึ่งมีสัมประสิทธิ์เป็นจํานวนจริง และ


สัมประสิทธิ์ของ x3 เป็น 1 ถ้า x − 2 หาร P (x) เหลือเศษ 5 และ 1+ 3 i เป็นรากหนึ่งของ
P (x) แล้ว รากที่เป็นจํานวนจริงของ P (x) มีค่าเท่าใด

เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(1.1) (−2, −4) (1.2) (4, −4) (7.1) 1 + 4 i (7.2) 14 + 2 i (19.4) 1/4 (20) 125
10 5 5 5 (21) 1/4 2 (22) 0
(1.3) (−8, −9) (1.4) (−11, 10) 3
48
(1.5) (−1, 8) (1.6) (−12, 18) (7.3) 5 + i (8) − ⎛⎜ ⎞⎟ i (23.1) 7 + 10 i หรือ
⎝ 25 ⎠ −10 − 7 i
(2.1) (−2, 3),(2/13, 3/13)
(9.1) i (9.2) –1 (9.3) –i (23.2) 2 + 5i หรือ −5 − 2 i
(2.2) (4, 1),(−4/17, 1/17) (9.4) 1 (10) 0, –1 (11) –1–i
(2.3) (2, −1),(−2/5, −1/5) (23.3) 6 + 17 i หรือ 6 + 8 i
(12) −1 + i (13.1) –64 2
(2.4) (−1, 0),(1, 0) (3.1) (3, −1) 4 4 1− z
(24) 6 (25)
(3.2) (1, −4) (3.3) (−9, 9) (13.2) + i (13.3) 8 i
5 2
1− z
2 2
(3.4) (7/41, −22/41) (26) 1/2 (27) ข.
(14) 2 (15.1) 5 + i (28.1) กราฟวงกลม รัศมี 1
(3.5) (2/3, −7/3) (3.6) (2, 1)
(15.2) −1 − 7 i (15.3) 18 − i หน่วย มีจดุ ศูนย์กลางที่ (2, 3)
(4.1) (−2, −5)
(15.4) −6 − 17 i (28.2) กราฟวงกลม รัศมี 4.5
(4.2) (− 1 , − 21) (4.3) ( 1 , 7) 25 25
หน่วย จุดศูนย์กลางอยูท่ ี่
13 13 5 5
(15.5) −5 − 12 i (16) 1 + i (2.5, −4.5)
(4.4) 2, 3/2
i (28.3) กราฟวงรีตามแกน y มี
(5) 1 , 1 หรือ − 1 , − 1 (17) 2 + 3 (18.1) 5 ศูนย์กลางที่จดุ กําเนิด แกนเอกยาว
2 2 2 2
(18.2) 13 (18.3) 7 (18.4) 4 10 แกนโทยาว 2 21 หน่วย
(6) (− 10 , 24 ) (18.5) 5 (19.1) 16
169 169 (29.1) 2 (cos 240° + i sin 240°)
(19.2) 64 (19.3) 625 หรือ 2 ∠240°
81 256

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 262 จํานวนเชิงซอน

(29.2) 4 2 ∠315° (38) − 3 i (44.3) 2–i, –i


(39.1) 2 ∠30° , 2 ∠120° , (44.4) 1 + 2 i, 1 + i
(29.3) 10 ∠0°
(29.4) 5 ∠180° 2 ∠210° , 2 ∠300°
(45) (x +1)(x2−4x + 13)=0
(29.5) 4 ∠90° (39.2) −2 i , i ± 3 (46) 17 (47) z = −2, ± 3 i
(29.6) 3 ∠270° (39.3) 2 ∠90° , 2 ∠210° , ตอบ –2, –18 (48) 18
(49) x3−4x2+6x −4=0
(30) −6 3 − 6 i 2 ∠330°
(50) x −4x + 32x −64x +256=0
4 3 2

(31) −12+ 12 3 i และ (39.4) 2 2 ∠60° , 2 2 ∠240°


(39.5) 2 ∠105° , 2 ∠285° (51) 2−2 i, ± 7
3 3 3
+ i (52) −1 ± i , ± 2
4 4 (39.6) ± (1−4 i) (40) ±(2 + i)
(32) 64 i และ −8−8 3 i
(53) −1± 3 i, 2, ± 3 i
(41) 8 (42.1) ±4 i
1 3
(33) −128− 128 3 i 3 23 (54.1) −1, ± ± i
(42.2) ± i 2 2
(34) 240° → Q3 4 4
(54.2) −1, ±2, −1± 3 i
(35) 1 ∠0° และ 2−10 ∠240° (42.3) −1, 1 ± i (43) 2
3
(55) 1 (56.1) 4 4 2
1 3 (44.1) 1 + 2i, − −i
(36.1) + i 2 (56.2) 4+4 2
2 2
(36.2) –1 (36.3) –32 (44.2) ±
15 3
− i
(56.3) 3+ 4 2 (57) 14 i
4 4 (58) –31 (59) 3/4
(37) 1/2 + (−1/2) = 0

เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
(1) z1 + z2 = (−2, −4) , z1 − z3 = (4, −4) , 3 − 2i (3 − 2 i)(5 − 4 i)
(3.4) =
5 + 4i 52 + 42
2 z1 + 3 z2 = (4, −6) + (−12, −3) = (−8, −9) ,
z1z2 = (2 − 3 i)(−4 − i) 15 − 10 i − 12 i − 8 7 22
= = ( ,− )
41 41 41
= −8 − 2 i + 12 i − 3 = (−11, 10) ,
7 +2i 7+2i −7 i + 2 2 7
z1z3 = (2 − 3 i)(−2 + i) (3.5) =( )(−i) = = ( ,− )
3i 3 3 3 3
= −4 + 2 i + 6 i + 3 = (−1, 8) 1
[ข้อสังเกต = −i ]
z1 (z2 + z3) = z1z2 + z1z3 = (−12, 18) i
(2.1) อินเวอร์สการบวก คือ −z1 = (−2, 3) 6 + 3i
(3.6) = (2, 1)
1 3
อินเวอร์สการคูณ คือ z1−1 = (4.1) (x, y) = (−4, −1) − (−2, 4) = (−2, −5)
2 − 3i
−5 − 3 i (−5 − 3 i)(2 + 3 i)
2 + 3i 2 3 (4.2) (x, y) = =
= =( , ) 2 − 3i 13
22 + 32 13 13
(2.2) −z2 = (4, 1) (−10 + 9) + (−6 − 15) i 1 21
= = (− ,− )
13 13 13
1 −4 + i 4 1
z2−1 = = (− , )
(4.3) (x, y) = 3 + i = (3 + i)(1 + 2 i)
=
−4 − i (−4)2 + 12 17 17
1 − 2i 5
(2.3) −z3 = (2, −1)
(3 − 2) + (1 + 6) i 1 7
1 −2 − i 2 1 = =( , )
z3−1 = = = (− , − ) 5 5 5
−2 + i (−2)2 + 12 5 5
1
(4.4) x − 2yi = 1 + 1 + 2 + 1
i i
(2.4) −z4 = (−1, 0) , z4 −1 = = (1, 0)
1 = −i + 1 − 2 i + 1 = 2 − 3 i
(3.1) (3, −1) (3.2) (1, −4) ∴ x = 2, y = 3 / 2
(3.3) (−9, 9)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 263 จํานวนเชิงซอน
2
(5) (x2 + y2) + (2xy) i = 1 + i (1 + i)4 [( 1 + i)2 ]
(12) จาก =
เทียบสัมประสิทธิ์ 1−i 1−i
2 2
ส่วนจริง x2 + y2 = 1 .....(1) ( 1 + 2 i − 1) (2 i ) −4 4
= = = =
และส่วนจินตภาพ 2xy = 1 .....(2) 1−i 1−i 1−i −1 + i
−1 + i
แก้ระบบสมการได้ x = 1 , y = 1 ∴ อินเวอร์ส คือ
4
2 2
1 1 [ข้อสังเกต ( 1 + i)2 = 2 i ]
หรือ x = − ,y = −
2 2 ( 1 + i)2 = 2i
−2 2 2 ( 1 − i)2 = −2 i
(6) 2z1 = 2 =
z1 (2 − 3 i)2 ⎛1 + i⎞
⎜ ⎟ = i
2 2 2(−5 + 12 i) ⎝1 − i⎠
= = = ⎛ 1 − i ⎞
(4 − 9) − 12 i −5 − 12 i 169 ⎜ ⎟ = −i
⎝1 + i⎠
10 24
= (− , ) (13.1) (1 + i)12 = (2 i)6 = 64 i2 = −64
169 169

(7.1) (2 + 3 i)(4 + 2 i) = 2 + 16 i = 1 + 4 i (13.2) ⎛ 1 ⎞


(1 + i) + (1) + ⎜ ⎟
⎝1 + i⎠
20 20 10 5
(2 + i)2 (3 + 4 i)(1 − 2 i) (1 − i) 5 1
(7.2) + = (1 + i) + (1) + = + i
5 5 2 2 2
(4 − 1) + 4 i + (3 + 8) + (4 − 6) i 14 2 ⎛1 + i⎞
10
= = + i (13.3) ⎜
6 10 3 13
⎟ (1 + i) = i (2 i) = 8 i = 8 i
5 5 5 ⎝1 − i⎠
(−14 + 23 i)(3 − 4 i) 4 ⎛1 + i⎞
5m
⎛1 −
m
i⎞ ⎛1 + i⎞
6m
(7.3) + ( + 3) (14) ⎜ ⎟ = ⎜ ⎟ → ⎜ ⎟ = 1
25 i ⎝1 − i⎠ ⎝1 + i⎠ ⎝1 − i⎠
50 + 125 i → i6m = 1 → m = 2
= + (−4 i + 3) = 5 + i
25
3 (15) z1 + z2 = 5 − i = 5 + i
⎛ (3 + 4 i)2 (3 − 4 i)2 ⎞
(8) ⎜ − ⎟ z1 − z2 = −1 + 7 i = −1 − 7 i
⎝ 25 25 ⎠
3 z1z2 = (2 − 3 i)(3 + 4 i) = 18 − i
⎛ (9 − 16 + 24 i) − (9 − 16 − 24 i) ⎞
= ⎜ ⎟ 2 − 3i (2 − 3 i)(3 − 4 i)
⎝ 25 ⎠ (z1 / z2) = =
3 3 3 + 4i 25
⎛ 48 i ⎞ ⎛ 48 ⎞
= ⎜ ⎟ = −⎜ ⎟ i 6 17
⎝ 25 ⎠ ⎝ 25 ⎠ = − − i
25 25
(9) i29 = i1 = i , i42 = i2 = −1 ,
(z21 ) = (2 − 3 i)2 = −5 − 12 i
451 3 4, 040 4
i = i = −i , i = i = 1 4
(16) จาก z1z2 + z2 − 4 = 0 → z2 =
(10) i 135 136
+i +i 137
+i138
(สี่ตวั เรียงกัน) z1 + 1
เท่ากับ (−i) + (1) + (i) + (−1) = 0 ⎛ 4 ⎞ 4
→ z2 = ⎜ =
i135 ⋅ i136 ⋅ i137 ⋅ i138 = (−i)(1)(i)(−1) = −1 ⎝ z1 + 1 ⎠⎟ z1 + 1
(11) z = i9 + i10 + i11 + i12 + ... z +1 4 + 4i

N ∴ z2−1 = 1 = = 1+ i
0 0 4 4
+ i121 + i122 + i123 + i124 + i125 + i126 (17) ให้ z = a + bi จะได้ว่า


0 (a + bi) + i + 3 − 2(a − bi) = 1 + 2 i


= i125 + i126 = i − 1 นั่นคือ a + 3 − 2a = 1 , b + 1 + 2b = 2
ดังนัน้ 2z−1 = 2 = 2(−i − 1) = −1 − i → a = 2, b =
1 1
→ ∴z = 2+ i
i−1 2 3 3
(18.1) 32 + 42 = 5
(18.2) 13
(18.3) 7
(18.4) 4
(18.5) 5
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 264 จํานวนเชิงซอน

22 ⋅ 24 (24) (a + 12)2 + b2 = 2 (a + 3)2 + b2 →


(19.1) = 16
22 a + 24a + 144 + b2 = 4a2 + 24a + 36 + 4b2
2

(2)(2)5 64
(19.2) = → 108 = 3a2 + 3b2 → 36 = a2 + b2
( 3)6 81
→ z = 6
54 625
(19.3) =
(25) 1+ z 1 + a + bi
2
16
256 =
1− z 1 − a − bi
4
1
(19.4) ( ( 2 )−1 ) = =
[(1 + a) + bi] [(1 − a) + bi]
4 (1 − a)2 + b2
3
⎛ 2−i 3 + 2i 5 + 4i ⎞ 1 + 2bi − b2 − a2
(20) ⋅ ⋅ 4 − 3i ⋅
⎜⎜ 1 + 2 i 2 − 3 i −

4 − 5 i ⎟⎠ = 2
⎝ 1− z
3
= (1 ⋅ 1 ⋅ 5 ⋅ 1) = 125 1 + z⎞ 1 − (a2 + b2) 1− z
2
∴ Re ⎛⎜ ⎟ = 2
= 2
(21) z = (2)(2)( 2) = 4 2 ⎝1 − z⎠ 1− z 1− z
1 −1 −1 + i
→ z−1 = (4 2)−1 = (26) (i+ 1)(z + 1) = − 1 → z + 1 = =
4 2 i+1 2
1 1 z + z1 −1 + i 3 1
(22) + = 2 = 0 → z = −1= − − i
z1 z2 z1z2 2 2 2
(หมายเหตุ โจทย์บอก z1 กับ z2 เพือ่ ป้องกัน ดังนัน้ z = − 3 + 1 i
2 2
ไม่ให้ส่วนเป็นศูนย์ เท่านัน้ )
(23) การหาค่า z จากสมการค่าสัมบูรณ์ หาค่า z(z − z)15 = ⎛⎜ − 3 + 1 i ⎞⎟ (i)15
⎝ 2 2 ⎠
ต้องทราบ 2 สมการ จึงแก้หา a, b ได้ ⎛ 3 1 ⎞
= ⎜ − + i ⎟ (−i) =
1 3
+ i
(23.1) a + bi + 1 = 1 ⎝ 2 2 ⎠ 2 2
a + bi + 3 − 2 i ∴ ส่วนจริง คือ 1 / 2

(a + 1)2 + b2
= 1
(27) ก. a2 + b2 = 1 เป็นกราฟวงกลม
(a + 3)2 + (b − 2)2 ข. 2a = a2 + b2 → 4a2 = a2 + b2
→ (a + 1)2 + b2 = (a + 3)2 + (b − 2)2 → 3a2 − b2 = 0 → 3a = b, 3a = −b
→ − 4a + 4b − 12 = 0 → a − b = − 3
.....(1) เป็นกราฟเส้นตรงสองเส้น (ตอบ ข.)
และ z = 149 → a + b = 149 .....(2) 2 2 ค. 2a = a2 + b2 → 1 = a2 + 2a + 1 + b2
แก้ระบบสมการได้ b = 10 → a = 7 หรือ → 1 = (a + 1)2 + b2 เป็นกราฟวงกลม
b = −7 → a = −10
ง. (3a)2 + (3b + 1)2 = a2 + (b + 3)2
∴ ตอบ z = 7 + 10 i หรือ −10 − 7 i → 8a2 + 8b2 = 8 → a2 + b2 = 1
(23.2) สมการแรกเหมือนข้อ (23.1) คือ เป็นกราฟวงกลม
a − b = −3 .....(1)
(28.1) (a − 2)2 + (b − 3)2 = 1
และสมการที่สอง คือ a2 + b2 = 29 .....(2)
→ (a − 2) + (b − 3)2 = 1
2
เป็นกราฟวงกลม
แก้ระบบสมการได้ b = 5 → a = 2 หรือ
b = −2 → a = −5 รัศมี 1 หน่วย และมีจุดศูนย์กลางที่ (2, 3)
∴ ตอบ z = 2 + 5i หรือ −5 − 2 i (28.2) (a + 2)2 + b2 = 3 (a − 2)2 + (b + 4)2

(23.3) (a − 4)2 + b2 = (a − 8)2 + b2 → a2 − 5a + b2 + 9b = −22


2 2
→ − 8a + 16 = −16a + 64 → a = 6 (a − 2.5) + (b + 4.5) = − 22 + 6.25 + 20.25 = 4.5
5 2 เป็นกราฟวงกลม รัศมี 4.5 หน่วย และมีจุด
และ (a − 12)2 + b2 = a + (b − 8)2 →
3 ศูนย์กลางอยู่ที่ (2.5, −4.5)
แทนค่า a = 6 ได้ b = 17 หรือ 8
ตอบ z = 6 + 17 i หรือ 6 + 8 i

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 265 จํานวนเชิงซอน

(28.3) a2 + (b + 2)2 + a2 + (b − 2)2 = 10 วิธีเชิงขั้ว → ( 3 + i)8 = (2∠30°)8 = 256∠240°


→ 25 − 2b = 5 a2 + (b − 2)2 = −128 − 128 3 i
2
→ 25a + 21b = 525 2

(34) z = −2 + 2 3 i = 4∠
2
a b 2 3
→ + = 1→ เป็นกราฟวงรีตามแกน y มี 34 π 4π
21 25 → z17 = 417 ∠ = 417 ∠ อยู่ใน
→ Q3
3 3
ศูนย์กลางที่จดุ กําเนิด แกนเอกยาว 10 หน่วย และ
แกนโทยาว 2 21 หน่วย (35) z = −1 + 3 i = 2∠ 2π
3
(29.1) คิดจาก −1 − 3 i = 2 0 0 2π
→ z = 2 ∠0( ) = 1∠0 = 1
3
และคิดมุมจากอัตราส่วน −1 : − 3 คือ 240°
ดังนัน้ −1 − 3 i = 2(cos 240° + i sin 240°) [ข้อสังเกต z0 = 1 เสมอ]
20π 4π
→ z−10 = 2−10 ∠(− ) = 2−10 ∠
หรือเขียนย่อว่า 2∠240° ก็ได้ 3 3
(29.2) 4 2∠315° = 2−10(cos 240° + i sin 240°)
(29.3) 10∠0°
(29.4) 5∠180° (36.1) (1∠ π)50 = 150 ∠ 50π = 150 ∠ 2π
6 6 6
(29.5) 4∠90° = 1∠60° =
1
+
3
i
(29.6) 3∠270° 2 2
−8 −8
หมายเหตุ ในหลักสูตร ควรเขียนตอบแบบเต็ม ⎛ 1 3 ⎞ ⎛ 1 3 ⎞
(36.2) ⎜− + i⎟ + ⎜ − − i⎟
เท่านั้น คือ r(cos θ + i sin θ) ส่วนสัญลักษณ์แบบ ⎝ 2 2 ⎠ ⎝ 2 2 ⎠
2π −8 4π −8
ย่อใช้เพือ่ ความสะดวกขณะคํานวณ = (1∠ ) + (1∠ )
3 3
(30) z1z2 = r1r2∠(θ1 + θ2) = 12∠210° 16π 32π 2π 4π
= 1∠(− ) + 1∠(− ) = 1∠ + 1∠
= 12 (cos 210° + i sin 210°) = −6 3 − 6 i 3 3 3 3
(31) z1z2z3 = r1r2r3 ∠(θ1 + θ2 + θ3) ⎛ 1 3 ⎞ ⎛ 1 3 ⎞
= ⎜− + i⎟ + ⎜ − − i ⎟ = −1
⎝ 2 2 ⎠ ⎝ 2 2 ⎠
= 24∠120° = 24(cos 120° + i sin 120°)
30 10
( 2∠45°) ⎛ 2∠45° ⎞
= −12 + 12 3 i (36.3) 10
= ⎜ ⎟ ⋅ ( 2∠45°)
20

(2∠45°) ⎝ 2∠45° ⎠
z1z2 rr 3 10
= 1 2 ∠(θ1 + θ2 − θ3) = ∠60° ⎛ 2⎞ 10 5
z3 r3 2 = ⎜ ⎟ (2 )∠900° = 2 ∠180° = −32
⎝ 2 ⎠
3 3 3
= + i 1+ 3i
4 4 (37) z3 = = 1∠60°
2
(32) z61 = r16∠6θ1 = 64∠90° = 64 i z18 (z3)6 16 ∠360°
→ = =
และสังเกต z2 = 2 (cos π − i sin π)
27 3 9
i−z i − (z ) i − 19 ∠540°
3 3 1 1 1 1
= = = − i
ตรงกลางเป็นเครือ่ งหมาย ลบ ต้องทําเป็นบวกก่อน i − (−1) 1+i 2 2
→ z2 = 2 (cos(−
π) + i sin(−
π)) ∴ a + b = 1/ 2 − 1/ 2 = 0
3 3 π⎞ π 1 6
3
จึงคํานวณต่อได้ (38) z1 = ⎜⎛ 1∠ ⎟ = 1∠ = + i →
⎝ 18 ⎠ 3 2 2
8π 4π 1
z28 = r28∠8θ2 = 16∠(− ) = 16∠ จาก 2z1z2 = 1 + z2 → z2 =
3 3 2z1 − 1
= −8 − 8 3 i 1 1
→ z2 = =
(33) วิธียกกําลังโดยตรง (1 + 3 i) − 1 3i
4
→ ( 3 + i)8 [( 3 + i)2 ] = (2 + 2 3 i)4 1
→ z2 = → z2−1 = − 3 i
2 − 3i
= ⎡⎣(2 + 2 3 i)2 ⎤⎦ = (−8 + 8 3 i)2
= −128 − 128 3 i

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 266 จํานวนเชิงซอน

(39.1) −8 + 8 3 i = 16∠120° (42.3) 2x3 − x + 1 = 0


1
120° → (x + 1)(2x2 − 2x + 1) = 0
รากที่สจี่ ะเริ่มจาก 164 ∠ คือ 2∠30°
4 2± 4−8
เฉพาะกําลังสอง ได้ x = = 1±i
และอีกสามคําตอบที่เหลือจะบวกไปทีละ 2
360° ∴ x = −1, 1 ± i
= 90°
4 (43) z4 − z2 + 16 = 0
ได้แก่ 2∠120°, 2∠210°, 2∠300° 1± 1 − 64 1 3 7
→ z2 = = ± i
∴ ตอบ 2∠30°, 2∠120°, 2∠210°, 2∠300° 2 2 2
2 2
(39.2) 8 i = 8∠90° → z
2
=
⎛ 1⎞ ⎛3 7 ⎞
= 4 ∴ z = 2
⎜ ⎟ +⎜ ⎟
1
90° ⎝2⎠ ⎝ 2 ⎠
รากที่สามเริ่มจาก 83 ∠ คือ 2∠30°
3 −(1 − 2 i) ± (1 − 2 i)2 − 4(2)(1 − 8 i)
360° (44.1) x =
จากนั้นบวกไปทีละ = 120° 4
3 −(1 − 2 i) ± −11 + 60 i
ได้แก่ 2∠150°, 2∠270° =
4
ตอบ (ในรูป a + bi ) 3 + i , − 3 + i , − 2 i ถอดรากด้วยวิธีขอ้ 39.6, 40
−(1 − 2 i) ± (5 + 6 i)
(39.3) −8 i = 8∠270° → = = 1 + 2 i, −3 / 2 − i
4
คําตอบแรกคือ 2∠90° 3 ± 9 − 4(2 i)(−3 i)
∴ ตอบ 2∠90°, 2∠210°, 2∠330° (44.2) x =
4i
(39.4) −4 + 4 3 i = 8∠120° → 3± 9 − 24 3 ± 15 i 3 15
= = = − i±
คําตอบแรกคือ 2 2∠60° 4i 4i 4 4
∴ ตอบ 2 2∠60°, 2 2∠240° −2(i − 1) ± [2(i − 1)]2 − 4(1)(−1 − 2 i)
(44.3) x =
(39.5) −2 3 − 2 i = 4∠210° → 2
−2(i − 1) ± 4 −2 i + 2 ± 2
คําตอบแรกคือ 2∠105° = = = 2 − i, − i
2 2
∴ ตอบ 2∠105°, 2∠285°
(2 + 3 i) ± (2 + 3 i)2 − 4(1)(−1 + 3 i)
(39.6) ใช้เชิงขั้วคิดจะยาก เพราะไม่ทราบมุม θ (44.4) x =
2
จึงใช้วธิ ีสมมติคําตอบเป็น x + yi ดังนั้น (2 + 3 i) ± −1 2 + 3i ± i
= = = 1 + 2 i, 1 + i
(x + yi)2 = −15 − 8 i → x2 − y2 = −15 .....(1) 2 2
และ 2xy = −8 .....(2) (45) วิธีแทนค่า
แก้ระบบสมการได้ x = 1 → y = −4 (2 + 3 i)3 − 3(2 + 3 i)2 + 9(2 + 3 i) + 13

หรือ x = −1 → y = 4 = (−46 + 9 i) + (15 − 36 i) + (18 + 27 i) + 13 = 0

∴ ตอบ 1 − 4 i และ −1 + 4 i วิธีแยกตัวประกอบ x3 − 3x2 + 9x + 13


2
= (x + 1)(x − 4x + 13) = 0
(40) x2 − y2 = 3 และ 2xy = 4 →
4± 16 − 52
จะได้ x = 2 → y = 1 ∴x = = 2 ± 3i
2
หรือ x = −2 → y = −1 → (46) x3 − 17x2 + 83x − 67
∴ ตอบ 2 + i และ −2 − i
= (x − 1)(x2 − 16 + 67) = 0
(41) z1 กับ z2 เป็นรากที่สองของ −2 − 2 3 i
2 2
เฉพาะกําลังสอง ได้
∴ z1 + z2 = −2 − 2 3 i + −2 − 2 3 i
16 ± 256 − 268
x = = 8± 3i
= 4+4 = 8 2
(42.1) x2 = −16 → x = ± −16 = ±4 i ∴ ตอบ (1) + (8 + 3 i) + (8 − 3 i) = 17
(42.2) x =
3± 9 − 32 (47) z3 + 2z2 + 9z + 18 = (z + 2)(z2 + 9) = 0
4 → z = −2, ± 3 i
3 −23 3 23
= ± = ± i ตอบ ผลบวก = −2 ผลคูณ = −18
4 4 4 4

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 267 จํานวนเชิงซอน

(48) แสดงว่าอีกรากคือ 4 − 3i (54.2) แยกตัวประกอบได้


2
∴ Ax + Bx + C = (x − 4 + 3 i)(x − 4 − 3 i) (x + 1)(x − 2)(x + 2)(x2 + 2x + 4) = 0

= x2 − 8x + 25 → A + B + C = 18 ∴ ตอบ −1, ± 2, − 1 ± 3i

(49) (x − 2)(x − 1 + i)(x − 1 − i) = 0 (55) แยกตัวประกอบได้ (x4 − 1)(x2 − x + 1) = 0


2
(x − 2)(x − 2x + 2) = 0 → (x − 1)(x + 1)(x2 + 1)(x2 − x + 1) = 0
3 2
→ x − 4x + 6x − 4 = 0 1 3
→ x = ± 1, ± i, ± i ตอบ ผลบวก = 1
(50) (x − 2 + 2 3 i)(x − 2 − 2 3 i) 2 2
(x + 4 i)(x − 4 i) = 0 −1 ± 1 − 8
(56.1) z2 =
2 2
2
→ (x − 4x + 16)(x + 16) = 0 2
2
→ x4 − 4x3 + 32x2 − 64x + 256 = 0 2 ⎛ 1⎞ ⎛ 7⎞
→ z = ⎜ ⎟ +⎜ ⎟ = 2
⎝2⎠ ⎝ 2 ⎠
2
(51) (x − 2 + 2 i)(x − 2 − 2 i) = x − 4x + 8
∴ z = 4
2 → ผลบวก 4 คําตอบ = 44 2
จากโจทย์แยกได้ (x2 − 4x + 8)(x2 − 7) = 0 2 2
(56.2) (x + 4)(x − 2x + 8) = 0
คําตอบที่เหลือคือ 2 − 2 i, ± 7 → x = ± 2 i, 1 ± 7 i
(52) (x + 1 + i)(x + 1 − i) = x2 + 2x + 2 ตอบ 2 i + −2 i + 1 + 7 i + 1 − 7 i = 4 + 4 2
จากโจทย์แยกได้ (x2 + 2x + 2)(x2 − 2) = 0
(56.3) (x4 + 4)(x − 3 i) = 0
คําตอบคือ −1 ± i, ± 2
→ x = 3 i หรือ x4 = −4
(53) (x + 1 − 3 i)(x + 1 + 3 i) = x2 + 2x + 4 ผลบวกค่าสัมบูรณ์ = 3 i + 4 4 + 4 4 + 4 4 + 4 4
จากโจทย์แยกได้ = 3+4 2
(x2 + 2x + 4)(x3 − 2x2 + 9x − 18) = 0
(57) แสดงว่า p(−2 i) = 0 [ทฤษฎีตวั ประกอบ]
→ (x2 + 2x + 4)(x − 2)(x2 + 9) = 0
3 2
(−2 i) − (5 − 2 i)(−2 i) + (7 − 10 i)(−2 i) + k = 0
∴ คําตอบคือ −1 ± 3 i, 2, ± 3 i
→ k = 14 i
(54.1) เนื่องจากสมการ x6 − 1 = 0 แยกตัว
ประกอบได้ (x − 1)(x5 + x4 + x3 + x2 + 1) = 0 (58) ถ้าแทนค่า x ลงไปในพหุนามจะคํานวณยาก
จึงใช้ทฤษฎีเศษเหลือ ตามคําใบ้ในโจทย์ (ซึ่งต้องตั้ง
แสดงว่าคําตอบของพหุนามดีกรี 5 ในโจทย์ ก็คือ หารยาว เพราะหารสังเคราะห์กาํ ลังสองไม่ได้, หาร
คําตอบของสมการ x6 − 1 = 0 ยกเว้น x=1 นั่นเอง สังเคราะห์กาํ ลังหนึ่งก็ยาก เพราะติด i) →
x6 − 1 = 0 → x6 = 1 ดังนั้น x เป็นรากที่ 6 ของ ได้คําตอบ (คือเศษ) = −31
1 (ซึ่งเราจะหาคําตอบทั้ง 6 ได้ โดยอาศัยรูปเชิงขัว้ ) (59) P(x) = x3 + Bx2 + Cx + D
ตอบ −1 , ± 1 ± 3 i จาก 1 + 3 i เป็นรากของ P(x)
2 2
→ (x − 1 − 3 i)(x − 1 + 3 i) = x2 − 2x + 4
เพิ่มเติม จากเนื้อหาเรื่องลําดับและอนุกรม แสดงว่า P(x) = (x2 − 2x + 4)(x − c)
ถ้าศึกษาเรื่องอนุกรมเรขาคณิตในบทที่ 13 แล้ว จะ P(2) = 5 จะได้ c = 3 / 4
สามารถจัดรูปสมการ x5 + x4 + x3 + x2 + 1 = 0
∴ รากที่เป็นจํานวนจริงของ P(x) คือ c = 3/4
x6 − 1
ให้เป็น = 0 ได้อย่างง่ายดายครับ!
x−1

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 268 จํานวนเชิงซอน

eÃ×èo§æ¶Á
ใช้จํานวนเชิงซ้อนช่วยคํานวณเกี่ยวกับวงจรไฟฟ้ากระแสสลับ..
การคํานวณวงจรไฟฟ้ากระแสสลับ ในวิชาฟิสิกส์ระดับ ม.ปลาย ไม่ได้กล่าวถึงจํานวนเชิงซ้อนเลย
แต่ให้ใช้เวกเตอร์ในการหาขนาดและมุม หรือที่เรียกกันว่าใช้ เฟสเซอร์ (Phaser) แต่อนั ทีจ่ ริงแล้ววงจรไฟฟ้า
กระแสสลับนัน้ เกี่ยวข้องกับจํานวนเชิงซ้อนโดยตรง ส่วนเฟสเซอร์เป็นเพียงการนําผลที่ได้จากจํานวนเชิงซ้อน
(ในรูปเชิงขัว้ ) ไปเขียนเป็นรูปภาพเท่านัน้ เอง..
หากมีความรู้ในเรื่องจํานวนเชิงซ้อนจะทําให้คํานวณวงจรไฟฟ้ากระแสสลับได้โดยง่าย เพราะเป็น
การคํานวณขนาดและมุมไปในตัวพร้อมๆ กัน ไม่ต้องยุ่งยากกับเฟสเซอร์เลยครับ (โดยเฉพาะในข้อสอบ
พื้นฐานวิศวะนั้นจําเป็นมากทีจ่ ะต้องใช้จาํ นวนเชิงซ้อนคิด เนือ่ งจากวงจรค่อนข้างซับซ้อน)

สิ่งทีต่ อ้ งทราบเพือ่ ใช้ในการคํานวณ (ด้วยจํานวนเชิงซ้อน) มีดังนี้


(1) นิยมใช้ j แทน i เพือ่ ไม่ให้สบั สนกับตัวแปร i ที่ใช้แทนกระแสไฟฟ้า
(2) นิยมให้แหล่งจ่ายแรงดันกระแสสลับ (สัญญาณรูปไซน์) มีมุมเป็นศูนย์ (คือ แรงดัน = V∠0° )
(3) ค่าอิมพีแดนซ์ (Z) หน่วยเป็นโอห์ม ของแต่ละอุปกรณ์เป็นดังนี้
ตัวต้านทาน ZR = R (มีแต่สว่ นจริง ไม่มสี ่วนจินตภาพ)
ตัวเหนี่ยวนํา ZL = j ωL (ชี้ขึ้น ขนาดเท่ากับ ωL หรือเขียนในรูป ωL∠90° )
ตัวเก็บประจุ ZC = 1 = −j ⎛⎜ 1 ⎞⎟ (ชี้ลง ขนาดเท่ากับ 1 หรือเขียนในรูป 1 ∠−90° )
jωC ⎝ ωC ⎠ ωC ωC
(4) เราคํานวณในวงจรเสมือนว่าเป็นวงจรไฟฟ้ากระแสตรงตามทีค่ นุ้ เคย เพียงแค่คดิ เลขเป็นจํานวนเชิงซ้อน
(กฎทุกกฎใช้ได้หมด ไม่ว่าจะเป็น V = I Z , การรวมค่าโอห์มแบบอนุกรมและแบบขนาน, กฎการแบ่ง
กระแส, การแบ่งแรงดัน, กฎของเคอร์ชอฟฟ์ ฯลฯ)

ตัวอย่าง ถ้าแหล่งกําเนิดแรงดันรูปไซน์มีขนาด 10 โวลต์(rms) และอุปกรณ์แต่ละชิน้ มีค่าอิมพีแดนซ์ตามที่


ระบุในรูป (คํานวณเป็นโอห์มให้แล้ว) ให้หาอิมพีแดนซ์รวม และกระแสรวมในวงจรนี้ (แบบ rms)
วิธีคิด ถ้าเป็นวงจรไฟฟ้ากระแสตรง เราจะใช้วิธีรวม R อนุกรมใน
แต่ละเส้น แล้วนําทั้งสองเส้นมารวมกันแบบขนาน จะได้ค่า R รวม
3Ω 4Ω ของวงจร แล้วก็ใช้สูตร V = I R ก็จะได้คา่ กระแสรวมของวงจร
10 V
4Ω 3Ω ถึงแม้วงจรนี้เป็นไฟฟ้ากระแสสลับ เราก็ยงั ยึดวิธคี ิดแบบเดิมได้
เส้นขวา มี 4 โอห์ม กับ j3 โอห์ม ต่อแบบอนุกรม
จึงได้ Zขวา = 4 + j3 โอห์ม
เส้นกลาง มี 3 โอห์ม กับ -j4 โอห์ม ต่อแบบอนุกรม
จึงได้ Zกลาง = 3 − j4 โอห์ม (อย่าลืมว่า C ต้องชี้ลงในทิศ -j)
จากนั้นรวมสองเส้น แบบขนาน Zรวม = (4 + j3) //(3 − j4)
(4 + j3)(3 − j4) 24 − j7
= = = 3.5 − j0.5 โอห์ม ... คิดเป็นขนาด 3.52 + 0.52 = 3.54 โอห์ม
(4 + j3) + (3 − j4) 7 − j1
V 10
ดังนัน้ Iรวม = = = 2.8 + j0.4 แอมแปร์ ..คิดเป็นขนาด 2.82 + 0.42 = 2.83 แอมแปร์
Zรวม 3.5 − j0.5
V 10
(ถ้าไม่ต้องการทราบมุม ต้องการเพียงขนาด ก็คดิ ตามนี้ก็ได้ครับ Iรวม = = = 2.83 )
Zรวม 3.54
หมายเหตุ ค่า Zรวม = 3.5 − j0.5 และ Iรวม = 2.8 + j0.4 นีน้ ําไปวาดเฟสเซอร์รว่ มกับค่า V ได้เลย
ตามสัดส่วนค่าจริง, จินตภาพ ที่ได้ออกมา เหมือนกับว่าคํานวณทีเดียวได้ทั้งขนาดและมุมพร้อมกัน...
และถ้าต้องการหากระแสในแต่ละเส้น หรือความต่างศักย์แต่ละจุดก็คงจะดัดแปลงวิธกี ารต่อไปได้แล้วนะครับ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 269 ทฤษฎีกราฟ

G,r,A,p,H

º··Õè 12 ·ÄɮաÃÒ¿
กราฟ (Graph) ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงกราฟของ
ความสัมพันธ์หรือฟังก์ชัน แบบทีเ่ คยศึกษาผ่านมาแล้ว
(คือกราฟของสมการระหว่าง x กับ y) แต่จะหมายถึง
แผนภาพซึ่งประกอบด้วยจุดและเส้นที่เชื่อมจุด เช่น
แผนภาพแสดงเส้นทางเดินรถไฟ, โครงสร้างทางเคมี,
วงจรไฟฟ้า... บางตําราจะใช้คําว่า ข่ายงาน (Network)
การศึกษา ทฤษฎีกราฟ (Graph Theory) จะช่วย
แก้ปัญหาบางอย่างได้เช่น การหาเส้นทางเดินให้ผ่าน
ทุกจุดโดยไม่ซ้ําทางเดิม, การหาเส้นทางไปยังจุดหมาย
ให้สั้นที่สุด, การเลือกวางเส้นทางให้เชื่อมทุกๆ จุดโดย
ประหยัดทีส่ ุด เป็นต้น
A e1 B
สมมติกราฟ G เป็นกราฟที่ใช้แทนเมือง 4 เมือง คือ
A, B, C, D และมีถนนเชื่อมระหว่างเมือง A–B, A–C, B–C, e2 e3
B–D, และ C–D จะเขียนแผนภาพของ G ได้ดังรูป e4
C e5 D

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 270 ทฤษฎีกราฟ

12.1 ส่วนประกอบของกราฟ
ส่วนประกอบของกราฟมี 2 เซต คือ
เซตของ จุดยอด (Vertex) : V (G) และเซตของ เส้นเชื่อม (Edge) : E (G)
ในตัวอย่างกราฟ G นี้ จะได้ V (G) = {A, B, C, D} และ E(G) = {AB, AC, BC, BD, CD}
หรืออาจเขียนเป็น E(G) = {e1, e2 , e3 , e4 , e5}
การเกิดเป็นกราฟได้จะต้องมีจุดอย่างน้อยหนึ่งจุด แต่กราฟอาจไม่มีเส้นเลยก็ได้
(หมายความว่า เซต V (G) ห้ามเป็นเซตว่าง แต่เซต E(G) สามารถเป็นเซตว่างได้)

ข้อตกลงในการเขียนแผนภาพของกราฟ คือ จะวางจุดยอดจุดใดไว้ตําแหน่งใดก็ได้ และจะ


ลากเส้นเชื่อมเป็นเส้นตรงหรือโค้งก็ได้ (แต่หากเส้นเชื่อมสองเส้นที่ลากขึ้นนั้นตัดกัน จุดตัดที่เกิดขึ้น
จะไม่นับเป็นจุดยอดของกราฟ) ... ดังนั้นกราฟ G ดังที่กําหนดให้ อาจเขียนแผนภาพแบบอื่นๆ ได้
มากมาย เช่น
B A e1 B
e1 e4 e4
A e1 B e2
A e3 D e3 C e5 e4 e3
D
e2 e5 e2 D e5 C
C

พิจารณากราฟ G ดังรูป e7
1. พบว่า e5 และ e6 เป็นเส้นที่เชื่อมจุดปลาย คู่เดียวกัน e1 B
A
เรียก e5 และ e6 ว่า เส้นเชื่อมขนาน (Parallel Edges) e2 e3
หมายเหตุ e4
e5
กราฟนี้มีเส้นเชื่อมขนาน เราไม่สามารถใช้คําว่า CD เขียนแทน C D
ทั้ง e5 กับ e6 ได้ จะต้องเขียน E(G) = {e1, e2 , e3 , e4 , e5 , e6 , e7 } เท่านั้น e6
2. พบว่า e7 เป็นเส้นเชื่อมที่มีปลายทั้งสองเป็นจุดๆ เดียว เรียก e7 ว่า วงวน (Loop)
3. เรียกจุดยอด A กับ B ว่า จุดยอดที่ประชิดกัน (Adjacent Vertices) A e1 B
เนื่องจากมีเส้นเชื่อมระหว่างจุดยอดทั้งสอง
(ตัวอย่างจุดยอดที่ไม่ประชิดกันเช่น จุดยอด A กับ D) e2 e3
e4
4. เรียกเส้นเชื่อม e1 “เกิดกับ (Incident) จุดยอด A”
เนื่องจากจุดยอด A เป็นปลายของ e1 C e5 D
(หรือจะกล่าวว่า e1 เกิดกับจุดยอด B ก็ถูกเช่นกัน) E
5. ดีกรี (Degree) ของจุดยอด คือจํานวนครั้งที่มีเส้นเชื่อมเกิดกับจุดยอดนั้น
“ดีกรีของจุดยอด A” ใช้สัญลักษณ์ deg A
ดังนั้น ในกราฟรูปล่าง deg A = 2 , deg B = 3 , deg C = 2 , deg D = 3 , และ deg E = 0
เรียกจุดยอดที่มีดีกรีเป็นจํานวนคู่ว่า จุดยอดคู่ (Even Vertex) เช่น จุด A, จุด C, จุด E
และเรียกจุดยอดที่มีดีกรีเป็นจํานวนคี่ว่า จุดยอดคี่ (Odd Vertex) เช่น จุด B, จุด D

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 271 ทฤษฎีกราฟ

ทฤษฎีบทที่สําคัญ ได้แก่ S e¾ièÁeµiÁ! S


1. ผลรวมดีกรีของจุดยอดทั้งหมดในกราฟ จะเป็น 2 เท่าของ Çi¸Õ¡ÒÃËÒ´Õ¡ÃÕ¢o§¨u´Âo´o‹ҧ§‹ÒÂæ ¤×o
จํานวนเส้นเชื่อม (ดังนั้น ผลรวมดีกรีย่อมเป็นจํานวนคู่เสมอ) e¢Õ¹ǧ¡ÅÁ¢¹Ò´eÅç¡æ ŌoÁÃoº¨u´Âo´¹a¹é
เช่น ในตัวอย่างที่แล้ว... deg รวม = 10 และจํานวนเส้นเชื่อม = 5 ǧ¡ÅÁ¹Õµé a´¡aºeʌ¹eª×èoÁ¡Õè¤Ãaé§ ¨u´Âo´¡ç¨aÁÕ
2. เนื่องจากผลรวมดีกรีต้องเป็นจํานวนคู่ ทําให้จํานวนจุดยอดคี่ ´Õ¡ÃÕe·‹Ò¹a鹤Ãaº..
ของกราฟเป็นจํานวนคู่เสมอ (ส่วนจุดยอดคู่จะมีเท่าใดก็ได้)
เช่น ในตัวอย่างที่แล้ว มีจุดยอดคี่อยู่ 2 จุด

แบบฝึกหัด 12.1
(1) ให้เขียนแผนภาพของกราฟ G ข้อละ 1 แบบ เมื่อกําหนด V (G) และ E(G) ให้ดังนี้
(1.1) V (G) = {w, x, y, z} และ E(G) = {wx, wy, wz, xy, xz, yz}
(1.2) V (G) = {A, B, C, D} และ E(G) = {AB, AC, BC, DD}
(1.3) V (G) = {v1, v2 , v3 , v4 , v5, v6} และ E(G) = {v1v3 , v2v4 , v2v5, v3v6, v4v6, v5v5}
(2) จากกราฟ G ที่กําหนดให้แต่ละข้อ ให้เขียน V (G) , E(G) , deg A , deg D
และตอบว่าจุดยอด D กับจุดยอดใดที่เป็นจุดยอดประชิด, และ เส้นเชื่อม e3 เกิดกับจุดยอดใด
(2.1) B (2.3) E
e1 e5 D e1 F
A e4 (2.2) B e6 e2
D
e5 e3
e3 e2
e1
C e5
C A C e
B 4 A
e6 e4 e2
e3
D

(3) โดยอาศัยทฤษฎีเกี่ยวกับจุดยอดคี่ ให้ตอบว่าแต่ละเหตุการณ์ต่อไปนี้เป็นไปได้หรือไม่


(3.1) กราฟ G มีจุดยอดทั้งสิ้น 4 จุด ซึ่งแต่ละจุดมีดีกรีเท่ากับ 1, 2, 3, และ 3
(3.2) ในจํานวน 5 เมือง มีเมืองที่มีถนนเชื่อมไปยังเมืองอื่น 3 สาย อยู่ 1 เมือง, 2 สาย
อยู่ 2 เมือง, และเมืองที่เหลือมีถนนเชื่อมไปยังเมืองอื่นเพียงเมืองละ 1 สาย
(3.3) นักเทนนิส 15 คน ทุกคนลงแข่งกับใครก็ได้ในกลุ่มนี้ 3 ครั้ง
(4) ให้ใช้ทฤษฎีกราฟเบื้องต้น ช่วยแก้ปัญหาต่อไปนี้
(4.1) หากมีข้อมูลว่า ประเทศไทยมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศพม่า ลาว กัมพูชา และ
มาเลเซีย, ประเทศลาวมีอาณาเขตติดต่อกับกัมพูชา พม่า และเวียดนาม, กัมพูชามีอาณาเขตติดต่อ
กับเวียดนาม, มาเลเซียติดกับสิงคโปร์ ... ต้องการระบายสีแผนที่ของประเทศที่กล่าวมานี้ โดยอาณา
บริเวณแต่ละประเทศที่ติดต่อกันต้องใช้คนละสี จะต้องเตรียมสีอย่างน้อยกี่สี
[ Hint : ให้จุดยอดแทนประเทศ และให้เส้นเชื่อมแทนการมีอาณาเขตติดต่อกัน ]
(4.2) ร้านกาแฟแห่งหนึ่งมีลูกค้าประจํา 7 คน ซึ่งจะมานั่งดื่มกาแฟในเวลาดังนี้
เกษม และขจร จะมาดื่มกาแฟด้วยกันทุกครั้ง ภายในช่วงเวลา 8.15 – 8.45 น.
คะนึง และงาม จะมานั่งดื่มกาแฟด้วยกัน ภายในช่วงเวลา 8.30 – 9.00 น.
จรูญ มานั่งดื่มกาแฟคนเดียว ภายในช่วงเวลา 8.20 – 8.40 น.
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 272 ทฤษฎีกราฟ

ฉลอง มานั่งดื่มกาแฟคนเดียว ภายในช่วงเวลา 8.50 – 9.15 น.


และชรัส มานั่งดื่มกาแฟคนเดียว ภายในช่วงเวลา 8.00 – 8.25 น.
ร้านกาแฟจะต้องจัดที่นั่งไว้รับรองลูกค้าประจํากลุ่มนี้ อย่างน้อยที่สุดกี่ที่
[ Hint : ให้จุดยอดแทนตัวลูกค้า และให้เส้นเชื่อมแทนการมีช่วงเวลาทับซ้อนกัน ]
(4.3) เพื่อนสนิทกลุ่มหนึ่งซึ่งมี 5 คน มีการคุยโทรศัพท์ระหว่างกันในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
เป็นจํานวน 2, 3, 3, 4, 4 ครั้ง ตามลําดับ แสดงว่ามีการโทรศัพท์เกิดขึ้นรวมทั้งหมดกี่ครั้ง
(4.4) การแข่งขันเทนนิสมีนักกีฬาเข้าร่วมแข่งขัน 10 คน เป็นการแข่งแบบพบกันหมด หาก
ใน 1 วัน จัดแข่งได้ 4 คู่ จะต้องใช้เวลาทั้งหมดกี่วัน

12.2 กราฟออยเลอร์
มีปัญหาที่คลาสสิคอยู่ข้อหนึ่ง กล่าวถึงสะพานข้ามแม่น้ํา แผ่นดิน C
พรีเกลในเมืองเคอนิกส์แบร์ก ประเทศเยอรมนี ... เรียกว่า
ปัญหาสะพานเคอนิกส์แบร์ก (Königsberg Bridge Problem)
สะพานเหล่านี้เชื่อมเกาะและแผ่นดินในลักษณะดังรูป เกาะ A เกาะ B

ปัญหาถามว่า เป็นไปได้ไหมที่เราจะเริ่มต้นจากจุดหนึ่ง
บนแผ่นดิน แล้วเดินข้ามสะพานให้ครบทุกอันจนกลับมายังจุดเริ่มต้น แผ่นดิน D
โดยไม่ซ้ําสะพานเดิมเลย
ลักษณะของปัญหาเหมือนกับ “การลากเส้นวาดรูปโดยไม่ยกดินสอ” C
นั่นเอง ซึ่งการจะตอบปัญหาลักษณะนี้ได้ ต้องเข้าใจเกี่ยวกับกราฟออยเลอร์ e1 e7
ก่อน ถ้าเราแปลงปัญหานี้เป็นกราฟ โดยให้แผ่นดินและเกาะเป็นจุดยอด e
และให้สะพานเป็นเส้นเชื่อม จะได้แผนภาพของกราฟดังนี้ A 2
B
e5
e4 e6
เราสามารถเดินทางจากจุด C ไปยังจุด D ได้หลายทาง e 3
เช่น C → B → D เขียนเป็นลําดับได้ว่า C, e7 , B, e6 , D D
หรือ C → A → D เขียนเป็นลําดับได้ว่า C, e1, A, e3 , D หรือ C, e1, A, e4 , D หรืออื่นๆ
หรือ C → B → A → D เขียนเป็นลําดับได้ว่า C, e7 , B, e5 , A, e3 , D หรืออื่นๆ
เรียกลําดับ (ที่ประกอบด้วยจุดสลับกับเส้น) เหล่านี้ว่า แนวเดิน (Walk)
ที่กล่าวมาทั้งหมดก็คือตัวอย่างของ “แนวเดิน C–D”

หมายเหตุ
หากกราฟไม่มีเส้นเชื่อมขนานและไม่มีวงวน สามารถเขียนลําดับของแนวเดินโดยใช้เฉพาะจุด ไม่ต้อง
บอกเส้นเชื่อมก็ได้ เช่น C, B, D หรือ C, A, D หรือ C, B, A, D ฯลฯ ... แต่ในตัวอย่างนี้ทําไม่ได้
เพราะมีเส้นเชื่อมขนาน (คําว่า C, A, D จะเป็นไปได้หลายทาง ไม่ชัดเจน)

กราฟนี้เป็น กราฟเชื่อมโยง (Connected Graph) เนื่องจากทุกๆ จุดยอดมีแนวเดินถึงกัน


แนวเดินซึ่งเริ่มและจบที่จุดเดียวกัน โดยไม่ใช้เส้นเชื่อมซ้ํากันเลย เรียกว่า วงจร (Circuit)
ถ้าวงจรนั้นผ่านจุดยอดและเส้นเชื่อมทั้งหมดที่มีในกราฟ เรียกว่า วงจรออยเลอร์ (Euler Circuit)
กราฟใดที่สามารถหาวงจรออยเลอร์ได้ จะถูกเรียกว่าเป็น กราฟออยเลอร์ (Eulerian Graph)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 273 ทฤษฎีกราฟ

ปัญหาสะพานเคอนิกส์แบร์ก ถูกแก้โดยนักคณิตศาสตร์ชื่อ เลออนาร์ด ออยเลอร์ ในปี ค.ศ.


1736 ... เมื่อได้แผนภาพแล้ว การแก้ปัญหาก็เพียงพิจารณาว่าแผนภาพที่ได้นั้น “เป็นกราฟออยเลอร์
หรือไม่” และเหตุผลที่เขาอธิบายคือ
“กราฟออยเลอร์จะต้องเป็นกราฟเชื่อมโยง และจุดยอดทุกจุดต้องเป็นจุดยอดคู่”
(เพราะไม่ว่าจุดใด จะต้องมีเส้นทางให้เดินเข้าเป็นจํานวนเท่ากับเส้นทางให้เดินออก) ... ดังนั้น
คําตอบของปัญหาสะพานเคอนิกส์แบร์ก คือ “เป็นไปไม่ได้” เพราะเป็นจุดยอดคี่ทั้ง 4 จุด
หมายเหตุ ปัจจุบันเมืองเคอนิกส์แบร์ก เปลี่ยนชื่อเป็น Kaliningrad และกลายเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย

แบบฝึกหัด 12.2
(5) มีแนวเดินจากจุด A ไปยังจุด D ซึ่งไม่ซ้ําเส้นทางเดิม C
ทั้งหมดกี่แบบ ได้แก่อะไรบ้าง E D
C
B A
B
D A (6) สําหรับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ซึ่งประกอบ
ด้วยคอมพิวเตอร์ 6 เครื่อง เชื่อมต่อเพื่อรับส่งข้อมูล
F ระหว่างกันตามรูป คอมพิวเตอร์เครื่องใดควรเฝ้าระวัง
E ไม่ให้เสียหายมากที่สุด ให้อธิบายเหตุผลโดยอ้าง
ทฤษฎีกราฟ

(7) กราฟต่อไปนี้เป็นกราฟออยเลอร์หรือไม่, ถ้าเป็น ให้เขียนลําดับแสดงวงจรออยเลอร์ด้วย


(7.1) E (7.2) E (7.3) E
F F

C C C
B A B A B A
(7.4) B (7.5) B (7.6) B

A C A C A C

D D D
(7.7) A (7.8) A (7.9) A
B F B F B F

C C C
E E
D D D E

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 274 ทฤษฎีกราฟ

(8) จากกราฟต่างๆ ในข้อ (7) ให้พิจารณาว่า กราฟในข้อใดสามารถลากเส้นจนครบทั้งรูปโดยไม่ทับ


เส้นทางเดิม และเส้นที่ลากนั้นไม่ขาดตอน ... เมื่อกําหนดเงื่อนไขว่า
(8.1) จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด ต้องเป็นจุดเดียวกัน
(8.2) จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด ต้องเป็นคนละจุดกัน
[ Hint : มีจุดยอดคี่ได้ 2 จุด … ให้จุดหนึ่งเป็นจุดเริ่มต้น อีกจุดเป็นจุดสิ้นสุด ]

(9) บ้านหลังหนึ่งมีแบบแปลนชั้นล่าง ดังรูป


A B C เป็นไปได้หรือไม่ที่จะออกเดินจากจุดๆ หนึ่ง
D E F ให้ผ่านครบทุกประตู ประตูละครั้งเดียว
(9.1) แล้วกลับมาที่จุดเริ่มต้นพอดี
(9.2) ไม่ต้องกลับมายังจุดเริ่มต้นก็ได้
G H
[ Hint : ให้จุดยอดแทนห้องและนอกตัวบ้าน (9 จุด) และให้เส้นเชื่อมแทนประตู (15 เส้น) ]

(10) ตอบคําถามต่อไปนี้
(10.1) หากปัญหาสะพานเคอนิกส์แบร์ก ยกเว้นเงื่อนไขที่ว่าจะต้องกลับมาสิ้นสุดที่จุดเริ่มต้น
แล้วคําตอบของปัญหานี้จะกลายเป็น “เป็นไปได้” หรือไม่ เพราะเหตุใด
(10.2) ถ้าข้อที่แล้วตอบว่า “ไม่” ... ให้พิจารณาว่าเราสามารถสร้างสะพาน 1 อัน เพิ่มเติม
ระหว่างจุดใด เพื่อให้คําตอบกลายเป็น “เป็นไปได้”

12.3 วิถีที่สั้นที่สุด และต้นไม้แผ่ทั่วที่น้อยที่สุด


เรานําทฤษฎีกราฟเบื้องต้นไปประยุกต์ใช้แก้ปัญหาบางอย่างได้ ดังที่เอ่ยถึงแล้วเช่น การหา
เส้นทางมุ่งไปยังจุดหมายให้สั้นที่สุด และการเลือกวางเส้นทางให้เชื่อมทุกจุดโดยประหยัดที่สุด ซึ่งมี
รายละเอียดคร่าวๆ ดังนี้.. (วิธีขั้นสูงจะยังไม่ศึกษาในระดับ ม.ปลาย)

รูปนี้เป็นตัวอย่างของ กราฟถ่วงน้ําหนัก
B C 3 (Weighted Graph) ... คือกราฟที่เส้นเชื่อมทุกเส้นมี
1 2 F จํานวนจริงบวกเขียนกํากับไว้ เรียกจํานวนนี้ว่า ค่า
A 2 2
4 น้ําหนัก (Weight) ซึ่งอาจใช้แทนระยะทางระหว่างจุด,
5 ระยะเวลาที่ใช้เดินทางระหว่างจุด, ค่าใช้จ่ายในการ
3 E
6 สร้างเส้นทาง, หรืออื่นๆ เพื่อบ่งบอกให้ทราบความ
D แตกต่างระหว่างแต่ละเส้น

1. การหา วิถีที่สั้นที่สุด (Shortest Path)


วิถี (Path) คือแนวเดินซึ่งไม่ซ้ําจุดยอดเดิม ... วิถีที่สั้นที่สุด คือวิถีที่ผลรวมค่าน้ําหนักน้อยที่สุด
เช่นในรูปตัวอย่าง วิถี A–F ที่สั้นที่สุด คือ A, B, C, F ซึ่งมีค่าน้ําหนักรวม 1 + 2 + 3 = 6
วิถี D–E ที่สั้นที่สุด คือ D, C, E ซึ่งมีค่าน้ําหนักรวม 5 + 2 = 7
วิถี B–D ที่สั้นที่สุด คือ B, A, D หรือ B, D ก็ได้ เพราะมีค่าน้ําหนักรวมเป็น 4 เหมือนกัน

2. การหา ต้นไม้แผ่ทั่วที่น้อยที่สุด (Minimal Spanning Tree)


ต้นไม้ (Tree) คือกราฟเชื่อมโยง ซึ่งไม่มีรูปปิด ... (รูปปิด เรียกว่า วัฏจักร (Cycle))

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 275 ทฤษฎีกราฟ

ต้นไม้แผ่ทั่ว (Spanning Tree) คือต้นไม้ที่ใช้จดุ ยอดครบทุกจุด


... ในตัวอย่างทีก่ ําหนดให้ จะสร้างต้นไม้แผ่ทั่วได้มากมาย เช่น
B C B C
3
1 2 F F
A 2 A 4 2
5
3 E H1 3 E H2
D D 6

B C B C
1 2 F 1 2 F
A 2 2 A 4 2

3 E H3 E H4
D 6
D

นอกจากนี้ยังมีแบบอื่นๆ อีก ... แต่ “ต้นไม้แผ่ทั่วที่น้อยที่สุด” (คือมีค่าน้ําหนักรวมน้อยที่สุด) ได้แก่


แบบ H3 ซึ่งมีค่าน้ําหนักรวมเท่ากับ 10
วิธีหาต้นไม้แผ่ทั่วที่น้อยที่สุดคือ เลือกเส้นเชื่อมทีละเส้นๆ เรียงจากเส้นที่ค่าน้ําหนักน้อยไป
มาก โดยไม่เลือกเส้นที่ทําให้เกิดรูปปิด
ข้อสังเกต
ต้นไม้แผ่ทั่วของกราฟที่มีจุดยอด n จุด จะมีเส้นเชื่อม n – 1 เส้นเสมอ

แบบฝึกหัด 12.3
(11) ให้หาวิถี X–Y ที่สั้นที่สุดของกราฟถ่วงน้ําหนักต่อไปนี้
(11.1) C 3 (11.2) D B
8 4
Y 2 3 Y
X 5 2 X 1 1
1
3 4
2 B 2 C
4 7
A
(11.3) A (11.4)
C
X 1 C B 1 2
6 3 4 12 D
1
A 2 A
3 D 22 1 2 G
B 7 E F
4 5 3 1
Y X Y
8

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 276 ทฤษฎีกราฟ

จังหวัด A B C D E (12) กําหนดระยะเวลาเดินทางด้วยรถโดยสาร


A - 45 - 70 - ระหว่างจังหวัดต่างๆ (หน่วยเป็นนาที) เป็นดังตาราง
B 45 - 40 55 - ให้หาเส้นทางที่เร็วที่สุดในการเดินทางด้วยรถโดยสาร
C - 40 - 30 60 จากจังหวัด A ไปยัง E
D 70 55 30 - 70
E - - 60 70 - (13) ให้หาต้นไม้แผ่ทั่วที่น้อยที่สุด ของกราฟถ่วง
น้ําหนักในข้อ (11)

(14) ให้หาเส้นทางการวางสายโทรศัพท์ไปตามถนนเพื่อให้เชื่อมต่อกันได้ครบทุกหมู่บ้าน โดยเสีย


ค่าใช้จ่ายในการวางสายน้อยที่สุด (ค่าใช้จ่ายแปรผันตามระยะทาง) กําหนดให้ถนนระหว่างหมู่บ้านมี
ระยะทางเป็นดังนี้ ... AB = 30 , AF = 40 , BC = 10 , BE = 50 , BF = 20 , CD = 20 , CE = 30 ,
DE = 10 , DF = 30 , และ EF = 60 (หน่วยเป็นกิโลเมตร)

เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(1) ดูในเฉลยวิธคี ิด (4.1) 3 สี (4.2) 5 ที่ (9.1) เป็นไปไม่ได้เพราะ
(2.1) V (G) = {A, B, C, D} , (4.3) 8 ครั้ง (4.4) 12 วัน ไม่ใช่กราฟออยเลอร์
E(G) = {AB, AC, BC, BD, CD} , (5) 5 แบบ ได้แก่ A, C, D ... (9.2) เป็นไปได้เพราะมี
A, B, C, D … A, B, E, C, D … จุดยอดคี่สองจุด
deg A = 2 , deg D = 2 ,
A, C, B, E, C, D … และ (10.1) ยังคงเป็นไปไม่ได้
จุดยอดประชิดกับ D คือ B กับ C, A, C, E, B, C, D เพราะมีจดุ ยอดคีม่ ากกว่า 2
เส้นเชือ่ ม e3 เกิดกับจุด A และ C (6) เครือ่ ง B เพราะถ้าขาดไป จุด (มีถึง 4 จุด)
(2.2) V (G) = {A, B, C, D} , กราฟจะไม่เชือ่ มโยงถึงกัน (แตกเป็น (10.2) ระหว่างจุดใดก็ได้
E(G) = {e1, e2 , e3 , e4 , e5 , e6 } , สองกลุ่มคือ A, F กับ C, D, E) เพราะจะทําให้เหลือจุดยอดคี่
deg A = 2 , deg D = 4 , (7) ข้อ ที เ
่ ป็ น ได้แ ก่ (7.1), (7.4), เพียง 2 จุด
(11.1) X, B, C, Y
จุดยอดประชิดกับ D คือ A, B, C, (7.7), (7.9) โดยมีวงจรออยเลอร์
เส้นเชือ่ ม e3 เกิดกับจุด C และ D ดังนี้ (วงจรออยเลอร์ในแต่ละข้อ (11.2) X, D, B, C, Y
สามารถเขียนได้หลายแบบ) (11.3) X, B, A, Y
(2.3) V (G) = {A, B, C, D, E, F} ,
(7.1) A, B, C, E, A (11.4) X, Y
E(G) = {AA, AB, AE, BC, CE, EF} ,
(7.4) C, D, C, B, D, A, C หรือ X, E, F, G, Y
deg A = 4 , deg D = 0 , (7.7) B, C, F, E, D, F, B, D, A, B (12) A, D, E
จุดยอดประชิดกับ D ไม่ม,ี (7.9) A, C, E, A, B, C, D, E, F, A (13) ดูในเฉลยวิธีคิด
เส้นเชือ่ ม e3 เกิดกับจุด A (8.1) คําตอบเหมือนในข้อ (7) (14) วางสายโทรศัพท์ไปตาม
(3) เป็นไปไม่ได้เลยสักข้อ (8.2) กราฟที ท
่ า
ํ ได้ ค อ
ื (7.2), (7.5), ถนน AB, BC, BF, CD, DE
และ (7.8)

เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
(1.1) x (1.2) B (1.3) v v3
1 v6
w A
y C v5 v2 v4
D
z กราฟในข้อนี้เป็นเพียงตัวอย่าง 1 แบบ คําตอบที่ถูกสามารถเขียนต่างจากนี้ได้มากมาย
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 277 ทฤษฎีกราฟ

(2.1) V (G) = {A, B, C, D} , (4.2) ให้จดุ ยอดแทนตัวลูกค้า และให้เส้นเชือ่ มแทน


E (G) = {AB, AC, BC, BD, CD} , การมีช่วงเวลาทับซ้อนกัน ข้อนี้พเิ ศษตรงที่มีลกู ค้าบาง
deg A = 2 , deg D = 2 ,
คนมาพร้อมกันเสมอ คือ ก+ข และ ค+ง จึงเขียนให้
สองคนเป็นจุดเดียวกัน เพือ่ ให้คิดง่ายขึน้
จุดยอดประชิดกับ D คือ B กับ C , ก+ข
เส้นเชือ่ ม e3 เกิดกับจุด A และ C
(2.2) V (G) = {A, B, C, D} , ค+ง ฉ
E (G) = {e1, e2 , e3 , e4 , e5 , e6 } , ช
deg A = 2 , deg D = 4 , จ
จุดยอดประชิดกับ D คือ A, B, C ,
เส้นเชือ่ ม e3 เกิดกับจุด C และ D ให้ ก+ข นั่งที่ที่ 1 กับ 2 ..และ ค+ง นั่งที่ที่ 3 กับ 4
จากนั้นหาคนที่ไม่ชนเวลากับ ก+ข จะให้นงั่ ทีท่ ี่ 1
(2.3) V (G) = {A, B, C, D, E, F} , ด้วย คือ ฉ ... ส่วนคนที่ไม่ชนกับ ค+ง จะให้นั่งทีท่ ี่ 3
E (G) = {AA, AB, AE, BC, CE, EF} , ด้วย คือ ช ... เหลือ จ ซึง่ ยังไม่มีที่นั่ง ก็ให้นั่งที่ใหม่
deg A = 4 , deg D = 0 , คือที่ที่ 5 สรุปแล้วต้องเตรียมไว้อย่างน้อย 5 ที่
จุดยอดประชิดกับ D ไม่มี, (4.3) จุดยอด 5 จุด แต่ละจุดมีดีกรี 2, 3, 3, 4, 4
เส้นเชือ่ ม e3 เกิดกับจุด A ซึ่งรวมดีกรีได้เป็น 16 ดังนัน้ จํานวนเส้นเชือ่ มคือ
(3) เป็นไปไม่ได้เลยสักข้อ เพราะแต่ละข้อเป็นกราฟ 16/2 = 8 เส้น
ที่มีจดุ ยอดคี่เป็นจํานวนคี่จดุ ดังนี้ (4.4) จุดยอด 10 จุด ทุกจุดมีดกี รี 9 เหมือนกัน
(3.1) จุดยอดทีม่ ีดีกรี 1,3,3 เป็นจุดยอดคีส่ ามจุด รวมดีกรีได้เป็น 90 ดังนัน้ จํานวนครั้งทีแ่ ข่งคือ 90/2
เป็นไปไม่ได้ (ถ้าลองวาดจะพบว่าไม่สามารถวาดได้) = 45 ครั้ง (หรือ 45 คู)่ แสดงว่าต้องใช้เวลา 12 วัน
(3.2) เป็นกราฟที่มีจดุ ยอด 5 จุด ดีกรีเท่ากับ 3, 2, (คิดจาก 45 หารด้วย 4 แล้วปัดเศษขึ้น เพราะวัน
2, 1, 1 ซึ่งก็เป็นจุดยอดคี่สามจุด เป็นไปไม่ได้ สุดท้ายแม้แข่งไม่ครบ 4 คู่ ก็ต้องนับเป็นวันแข่ง
(3.3) มีจุดยอด 15 จุด แต่ละจุดมีดีกรีเท่ากับ 3 เช่นกัน)
เป็นไปไม่ได้ (5) 5 แบบ ได้แก่
(4.1) นําข้อมูลที่มีมาเขียนเป็นกราฟก่อน โดยให้จุด A, C, D A, B, C, D
ยอดแทนประเทศ และถ้าประเทศใดมีอาณาเขต A, B, E, C, D A, C, B, E, C, D
ติดกันก็จะลากเส้นเชื่อมถึงกัน จะได้ลักษณะดังนี้ และ A, C, E, B, C, D
(ไม่จําเป็นต้องได้รูปเหมือนเป๊ะนะครับ) (6) เครือ่ ง B ควรระวังมากที่สดุ เพราะถ้าเครื่อง
ลาว ใดๆ ที่ไม่ใช่ B เสียไป เครือ่ งอืน่ ๆ ยังส่งข้อมูลถึงกัน
ได้อยู่ (ส่งผ่านหลายทอดก็ได้) แต่ถ้าเครื่อง B เสีย
กราฟจะไม่เชือ่ มโยงถึงกัน ..จะแตกเป็นสองกลุ่มคือ
A, F กับ C, D, E ซึ่งส่งข้อมูลไปหาอีกกลุ่มไม่ได้แล้ว
พม่า ไทย กั ม พู ชา เวียดนาม (7) กราฟออยเลอร์จะต้องเป็นกราฟเชื่อมโยง (ทุก
มาเลเซีย จุดเดินทางไปหากันได้) และจุดยอดทุกจุดเป็นจุดยอด
สิงคโปร์ คู่เท่านัน้ .. ซึ่งข้อที่เป็นกราฟออยเลอร์ได้แก่ (7.1),
(7.4), (7.7), และ (7.9) โดยมีวงจรออยเลอร์
ไทยและลาวมีเส้นเชื่อมมากที่สดุ คือ 4 เส้น จึงให้ ดังนี้ (วงจรออยเลอร์ในแต่ละข้อสามารถเขียนได้
ไทยเป็นสีที่ 1 และลาวเป็นสีที่ 2 (ใช้คนละสีเพราะ หลายแบบ)
อยู่ตดิ กัน) จากนัน้ หาประเทศที่ไม่ติดกับไทย คือ (7.1) A, B, C, E, A
สิงคโปร์และเวียดนาม จะให้ใช้สที ี่ 1 ได้ด้วย.. ส่วน (7.4) C, D, C, B, D, A, C
ประเทศที่ไม่ติดกับลาว คือมาเลเซีย จะให้ใช้สที ี่ 2 (7.7) B, C, F, E, D, F, B, D, A, B
ด้วย.. ตอนนี้เหลือพม่าและกัมพูชาที่ยงั ไม่มีสี ก็ให้ใช้ (7.9) A, C, E, A, B, C, D, E, F, A
สีที่ 3 (ใช้สีเดียวกันได้เพราะไม่ตดิ กัน) ดังนัน้ จะใช้ (8.1) คําตอบเหมือนในข้อ (7) เพราะถ้าเราสามารถ
สีนอ้ ยทีส่ ุด 3 สี ลากเส้นจนครบทัง้ รูปโดยไม่ทับเส้นทางเดิม ไม่ขาด
ตอน และจบทีจ่ ดุ เริ่มได้ แสดงว่ากราฟนัน้ ต้องเป็น
กราฟออยเลอร์นนั่ เอง

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 278 ทฤษฎีกราฟ

(8.2) ถ้าเราสามารถลากเส้นจนครบทั้งรูปโดยไม่ทับ (13) วิธหี าต้นไม้แผ่ทั่วที่นอ้ ยที่สดุ คือ เลือกเส้นทีม่ ี


เส้นทางเดิม ไม่ขาดตอน และจบคนละจุดกับจุดเริม่ น้ําหนักน้อยทีส่ ุด เรียงไปมาก จนกว่าจะครบ n-1
แสดงว่าต้องเป็นกราฟเชื่อมโยง ซึ่งมีจดุ ยอดคี่ 2 จุด เส้น (เมื่อ n คือจํานวนจุด) หากเส้นใดลากแล้วทําให้
เท่านั้น (ใช้จุดหนึ่งเป็นจุดเริ่มต้น อีกจุดเป็น เกิดรูปปิด ก็จะข้ามเส้นนัน้ ไปไม่ตอ้ งเลือก
จุดสิ้นสุด) กราฟที่ทาํ ได้คอื (7.2), (7.5), (13.1) มี 5 จุด จึงต้องเลือก 4 เส้น..
และ (7.8) - เลือกน้าํ หนักน้อยทีส่ ุด 2 คือ XA และ CB
(9) เขียนกราฟโดยให้จุดยอดแทนห้อง (A ถึง H) - เลือกน้าํ หนัก 3 ..พบว่า XA โค้งๆ เลือกไม่ได้
โดยมีจุดยอดแทนบริเวณนอกตัวบ้านด้วย (จุด O) (เนื่องจากเลือกแล้วเกิดรูปปิด) จึงเลือกเฉพาะ CY
และให้เส้นเชือ่ มแทนประตู เพือ่ แปลงปัญหาให้เป็น - เลือกน้าํ หนัก 4 คือ AB ... ได้ถึง 4 เส้นแล้วก็หยุด
กราฟซึ่งต้องการเดินผ่านครบทุกเส้น (ทุกประตู) C 3
โดยไม่ซ้ําเส้นเดิม (ประตูเดิม) Y
2
X
O
2 B
A C 4
B A
D E F (13.2) ได้คําตอบดังรูป (เลือก XA แทน XD ก็ได้)
D B
2 3 Y
G H X 1 1
1
มีจุดยอดคีอ่ ยู่ 2 จุด คือ O กับ D ดังนัน้ ข้อ (9.1) C
ทําไม่ได้ เพราะไม่ได้มีจุดยอดคู่ทกุ จุด (กราฟออย A
เลอร์) แต่ขอ้ (9.2) ทําได้ โดยให้เริ่มต้นและสิน้ สุดที่
จุด O กับ D (13.3) X 1 C
(10.1) ยังคงเป็นไปไม่ได้ เพราะมีจุดยอดคี่มากกว่า 3
2 จุด (มีถึง 4 จุด) A 2 3 D
(10.2) ระหว่างจุดใดกับจุดใดก็ได้ เพราะจะทําให้ B
กลายเป็นจุดยอดคู่ไป 2 จุด และเหลือจุดยอดคี่เพียง 4
2 จุด.. จะเหมือนข้อ (8.2) และ (9.2) Y
(11) วิธีการคิดในระดับชั้นนี้ยังไม่ได้อธิบายไว้ ให้ C
ทดลองบวกค่าน้าํ หนักของแต่ละเส้นทาง เพือ่ เลือก (13.4) B 1
เส้นทางทีน่ ้ําหนักรวมน้อยทีส่ ุดเอง.. 1 1
A D
(11.1) X, B, C, Y 1 2
(11.2) X, D, B, C, Y 2 G
E F
(11.3) X, B, A, Y 3 1
(11.4) X, Y X Y
หรือ X, E, F, G, Y
(12) แปลงตารางให้เป็นกราฟ ได้ดังนี้ (14) เขียนแผนภาพกราฟ (พยายามวางจุดแบบ
B ไม่ ให้มีเส้นลากไขว้ทับกัน เพื่อไม่ให้งง) แล้วหาต้นไม้
45 40 แผ่ทั่วที่นอ้ ยที่สดุ ได้ดงั เส้นหนาในรูป จึงตอบว่าต้อง
55 C 60 E วางสายโทรศั พท์ไปตามถนน AB, BC, BF, CD, DE
A 30 B10 C
70 70
D 30 30
20 50 E 20
แล้วหาวิถี A-E ที่สนั้ ทีส่ ุด ได้คาํ ตอบเป็น A,D,E A 60 10
(น้ําหนักรวมเป็น 140 นาที) 40
F 30 D

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 279 ลําดับและอนุกรม

s+e+r+i+e+s

º··Õè 13 ÅíÒ´aºæÅao¹u¡ÃÁ
ลําดับ (Sequence) คือฟังก์ชันที่มีโดเมนเป็น
เซตจํานวนนับ 1,2,3, ... เช่น สมมติเรามีฟังก์ชัน
f(n)=n2+1 เมื่อ n=1,2,3,... เราจะได้ f(1)=2, f(2)=5,
f(3)=10, f(4)=17, ... ค่าฟังก์ชันเหล่านี้ที่เขียนต่อกัน
เป็น 2, 5, 10, 17, ... จะเรียกว่าลําดับ
นิยมเขียนฟังก์ชันด้วย an คือใช้ a1, a2 , a3 , ..., an แทน f (1), f (2), f (3), ..., f (n) เพื่อให้
ทราบว่าเป็นลําดับ (โดเมนเป็นจํานวนนับเท่านั้น) เรียก a1 ว่า “พจน์ (term) ที่ 1” ของลําดับ,
เรียก a2 ว่าพจน์ที่ 2 ของลําดับ, ไปเรื่อยๆ จนถึงพจน์ที่ n ใดๆ เขียนแทนด้วย an จะเรียกว่า พจน์
ทั่วไป (general term) ของลําดับ
เช่น ลําดับ 2, 5, 10, 17, ... มีพจน์ทั่วไปเป็น an = n2+ 1 หรืออื่นๆ
1, 2, 3, 4, ... มีพจน์ทั่วไปเป็น an = n หรืออื่นๆ
3, 6, 9, 12, ... มีพจน์ทั่วไปเป็น an = 3 n หรืออื่นๆ
1, 3, 5, 7, ... มีพจน์ทั่วไปเป็น an = 2 n − 1 หรืออื่นๆ
1, 4, 9, 16, ... มีพจน์ทั่วไปเป็น an = n2 หรืออื่นๆ
3 5 7 2 n− 1
1, , , , ... มีพจน์ทั่วไปเป็น an = หรืออื่นๆ
4 9 16 n
2

− 1, 1, − 1, 1, ... มีพจน์ทั่วไปเป็น an = (−1)n หรืออื่นๆ


n−1
1, −2, 3, −4, ... มีพจน์ทั่วไปเป็น an = (−1) n หรืออื่นๆ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 280 ลําดับและอนุกรม

3, 17, 47, 99, 179, ... มีพจน์ทั่วไปเป็น an = n(n+ 1)2− 1 หรืออื่นๆ

คําว่า “หรืออื่นๆ” ในที่นี้เนื่องจากลําดับหนึ่งๆ ที่ให้มา จะหาพจน์ทั่วไปได้มากกว่า 1 แบบ


เสมอ เช่น ลําดับ 2, 4, 8, ... อาจมีพจน์ทั่วไปเป็น an = 2 n ซึ่งทําให้ a4 = 16
หรือมีพจน์ทั่วไปเป็น an = (n+ 1)(n 2−n+6)/6 ซึ่งทําให้ a4 = 15
ลําดับ 1, 2, 3, 4, ... อาจมีพจน์ทั่วไปเป็น an = n ซึ่งทําให้พจน์ที่ 5 มีค่าเท่ากับ 5
หรือ an = (n−1)(n−2)(n−3)(n−4) + n = n4−10n3+ 35n2−49n+24 ก็ได้ ซึ่งทําให้ a5 = 29
(กลายเป็นลําดับที่ต่างกัน)

ลําดับที่มีจํานวนพจน์ที่แน่นอน เช่น 8 พจน์, 15 พจน์, หรือ n พจน์ก็ได้ จะเรียกว่า ลําดับ


จํากัด (finite sequence) ส่วนลําดับที่มีจํานวนพจน์มากจนนับไม่ได้ จะเรียกว่า ลําดับอนันต์
(infinite sequence)

13.1 ลําดับเลขคณิตและเรขาคณิต
ลําดับที่เราพบบ่อย มีสองประเภท คือ ลําดับเลขคณิต (Arithmetic Sequence) และ
ลําดับเรขาคณิต (Geometric Sequence)

1. ลําดับเลขคณิต คือลําดับที่ “ผลต่างของพจน์ติดกันเป็นค่าคงตัว” เรียกค่านี้ว่า ผลต่าง


ร่วม (Common Difference) ใช้สัญลักษณ์ d นั่นคือ an + 1 − an = d เสมอ
พจน์ทั่วไปของลําดับเลขคณิต เป็น an = a1 + (n−1) d
2. ลําดับเรขาคณิต คือลําดับที่ “ผลหารของพจน์ติดกันเป็นค่าคงตัว” เรียกค่านี้ว่า
อัตราส่วนร่วม (Common Ratio) ใช้สัญลักษณ์ r นั่นคือ an + 1 ÷ an = r เสมอ
(n − 1)
พจน์ทั่วไปของลําดับเรขาคณิต เป็น an = a1 ⋅ r

ข้อสังเกต
ลําดับเลขคณิต จะมีพจน์ทั่วไปเป็นแบบ สมการเส้นตรง ที่มีความชัน = d
ส่วนลําดับเรขาคณิต จะมีพจน์ทั่วไปเป็นแบบ สมการเอ็กซ์โพเนนเชียล ที่มีฐาน = r

นอกจากลําดับเลขคณิตและลําดับเรขาคณิตแล้ว ยังมีลําดับอีกหลายประเภท เช่น


ลําดับสลับ (Alternating Sequence) มีเครื่องหมายบวกลบสลับกันไปในแต่ละพจน์
ลําดับฮาร์โมนิก (Harmonic Sequence) ส่วนกลับของแต่ละพจน์ เป็นลําดับเลขคณิต
ลําดับฟีโบนักชี (Fibonacci Sequence) พจน์ที่สามขึ้นไปหาได้จากผลบวกของ 2 พจน์ก่อนหน้า
ลําดับโคชี (Cauchy Sequence) ผลต่างของพจน์ติดกัน มีค่าเข้าใกล้หรือเป็น 0 เมื่อ n ยิ่งเพิ่มขึ้น

แบบฝึกหัด 13.1
(1) ให้หา 4 พจน์แรก ของลําดับต่อไปนี้
n
⎛ 1⎞
(1.1) an = 2n (1.3) an = ⎜ ⎟
⎝2⎠

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 281 ลําดับและอนุกรม

n
(1.2) an = 4 n−2 (1.4) an = (−1)n
(n+ 1)2

(2) ให้หาพจน์ทั่วไปของลําดับต่อไปนี้ ข้อละ 1 แบบ


(2.1) 1, 1 , 1 , 1 , ...
2 4 8 S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S
1 1 1
(2.2) 1, , , , ...
o¨·Âã¹º·¹Õé¤ÇÃo‹Ò¹o¨·ÂãˌÃoº¤oºÇ‹Ò
4 9 16
(2.3) 1, 5, 13, 29, ... e»š¹ “eÅ¢¤³iµ” ËÃ×o “eâҤ³iµ” Ái©a¹aé¹
oҨ㪌Êٵüi´ æÅa¤íÒµoº¼i´ä»ä´Œ..
(2.4) 3, 0.3, 0.03, 0.003, ...
(2.5) 2, 6, 12, 20, ...

(3) ให้บอกว่าลําดับต่อไปนี้เป็นลําดับเลขคณิตหรือเรขาคณิต และหาพจน์ทั่วไปของลําดับด้วย


(3.1) 15, 12, 9, 6, ... (3.5) 10, −5, 5 , ...
2
(3.2) 2, 4, 8, 16, ... (3.6) 4, 8, 12, ...
(3.3) x, x +2, x + 4, ... (3.7) 3, 3, 3, ...
(3.4) log 2, log 4, log 8, log 16, ...

(4) ให้หาพจน์ที่ 4, 5, 6 และ 20 ของลําดับเลขคณิตต่อไปนี้ 3, 3.5, 4, ...


(5) ให้หาพจน์ที่ 4, 5, 6 และ 20 ของลําดับเรขาคณิตต่อไปนี้ 1 , 1 , 1, ...
4 2
(6) พจน์ทั่วไปของลําดับเลขคณิต ที่มีพจน์ที่ 4 เป็น 20 และพจน์ที่ 16 เป็น 56 คืออะไร
(7) ลําดับเลขคณิตมีผลบวกพจน์ที่ 2 กับพจน์ที่ 13 เป็น 0 และผลบวกพจน์ที่ 4 กับพจน์ที่ 8 เป็น
12 จงหาสี่พจน์แรกของลําดับนี้
(8) ถ้าพจน์ที่ 7 ของลําดับเรขาคณิตที่มีอัตราส่วนร่วมเท่ากับ 2 คือ 128 จงหาสองพจน์แรก
(9) หาสี่พจน์แรกของลําดับเรขาคณิตที่มีอัตราส่วนร่วมเป็นบวก และ a1+ a2 = 8 , a3+ a4 = 72

(10) [Ent’41] ให้ x, y, z, w เป็นพจน์ 4 พจน์เรียงกันในลําดับเรขาคณิต ถ้า y + z = 6 และ


z + w = −12 จงหาค่าสัมบูรณ์ของพจน์ที่ 5 ของลําดับนี้

(11) ลําดับเลขคณิต 20, 16, 12, ... มีเลข –96 อยู่หรือไม่ ถ้ามีให้บอกว่าเป็นพจน์ที่เท่าใด
(12) พจน์ที่เท่าใดของลําดับเลขคณิต 3, 7, 11, ... มีค่า 75
(13) [Ent’40] พจน์แรกที่เป็นจํานวนเต็มลบของลําดับเลขคณิต 200, 182, 164, 146, ... มีค่าต่างจาก
พจน์ที่ 10 อยู่เท่าใด
(14) [Ent’39] จงหาค่า m ซึ่งเป็นจํานวนเต็มที่น้อยที่สุด ที่ทําให้พจน์ที่ m ของลําดับเลขคณิต
2, 5, 8, ... มีค่ามากกว่า 1,000

(15) ให้หาลําดับเรขาคณิต ที่มีผลบวกของสามพจน์แรกเป็น –3 และผลคูณเป็น 8


(16) ถ้า p, 5p, 6p+9 เป็นลําดับเลขคณิต จงเขียน 3 พจน์ถัดไป
(17) ต้องนําจํานวนเท่าใดมาบวกทุกพจน์ของลําดับ 3, 20, 105 จึงทําให้กลายเป็นลําดับเรขาคณิต

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 282 ลําดับและอนุกรม

(18) [Ent’มี.ค.44] กําหนดให้ a, b, c เป็น 3 พจน์เรียงกันในลําดับเรขาคณิต และมีผลคูณเป็น 27


ถ้า a, b+3, c+2 เป็น 3 พจน์เรียงติดกันในลําดับเลขคณิตแล้ว a + b + c มีค่าเท่าใด
(19) จงหาตัวกลางเลขคณิต ตามเงื่อนไขที่กําหนดให้
(19.1) พจน์สองพจน์ระหว่าง 7 กับ 16 ที่ทําให้ 4 พจน์นี้อยู่ในลําดับเลขคณิต
(19.2) สี่พจน์กลางระหว่าง 130 กับ 55 เมื่อลําดับนี้เป็นลําดับเลขคณิต
(20) จงหาตัวกลางเรขาคณิต ตามเงื่อนไขที่กําหนดให้
(20.1) พจน์กลางสี่พจน์ของลําดับเรขาคณิตที่อยู่ระหว่าง 3 กับ 96
(20.2) พจน์สามพจน์ระหว่าง 4 กับ 27 ที่ทําให้ 5 พจน์นี้อยู่ในลําดับเรขาคณิต
3 64

(21) ลําดับหนึ่งมีรูปทั่วไปเป็น 2 an + 1 = an + 3 และมีพจน์ที่ 5 เป็น 5 จงหาค่า a3 + a6

(22) เศรษฐี 3 คนแย่งกันประมูลสินค้า โดยจะเสนอราคาสูงขึ้นเป็น 2 เท่าเสมอ และผลัดกันเสนอ


ราคาทีละคนโดยไม่แซงคิวกัน หากเศรษฐีคนที่ 1 เริ่มประมูลโดยเสนอราคา 1 ล้านบาท ถามว่าใคร
จะเสนอราคาเกิน 250 ล้านบาทเป็นคนแรก

13.2 ลิมิตของลําดับอนันต์
หากต้องการทราบว่า ในลําดับอนันต์ลําดับหนึ่งนั้น ถ้า n ยิ่งมากขึ้นจนเข้าใกล้ ∞
( n → ∞ ) แล้ว ค่าของ an จะเข้าใกล้ค่าใด ( an → ? ) เราเรียกว่า การหาลิมิตของลําดับ นั่นเอง
และค่าที่ได้นี้เรียกว่า ลิมิต (limit)
n
ลําดับ an = ⎛⎜ 1 ⎞⎟ หรือ 1 , 1 , 1 , ... พบว่า เมื่อ n มากขึ้นจนเข้าใกล้ ∞ แล้ว ค่าของ
⎝2⎠ 2 4 8
an จะเข้าใกล้ 0 จึงกล่าวว่า “ลิมิตของลําดับนี้เท่ากับ 0” และเขียนด้วยสัญลักษณ์ lim an = 0
n→∞

ลําดับที่หาค่าลิมิตได้ เรียกว่า ลําดับลู่เข้า (Convergent Sequence)


และลําดับที่ไม่มีลิมิต หรือหาค่าลิมิตไม่ได้ จะเรียกว่า ลําดับลู่ออก (Divergent Sequence)
เช่น ลําดับ 1, 2, 3, 4, ... ถ้า n → ∞ แล้ว an → ∞ ด้วย แสดงว่า nlim →∞
an หาค่าไม่ได้

ส่วนลําดับ cos π, cos 2π, cos 3π, ... พบว่ามีค่าเป็น –1 กับ 1 สลับกันไปตลอด ไม่ได้เข้าใกล้ค่า
ใดค่าหนึ่งเป็นพิเศษเลย แสดงว่า nlim →∞
an ไม่มีค่า หรือ ลําดับนี้ไม่มีลิมิต

การหาค่าลิมิต สามารถใช้สมบัติการกระจาย แจกแจงได้ทุกรูปแบบ ทั้งการบวก ลบ คูณ


หาร ยกกําลัง หรือถอดราก (แต่ค่าสัมบูรณ์นั้น ใส่ลิมิตเข้าข้างในไม่ได้เสมอไป)
5n3+2n− 1 ⎛ 5n3+2n− 1 ⎞ ⎛ 5n + 23 − 14 ⎞ 0+0−0
an = จะได้ lim an = lim ⎜⎜ 2 4 ⎟ ⎟ = lim ⎜ n n ⎟ = = 0
7n2−8n4 n→∞ n→∞
⎝ 7n −8n ⎠ n→∞ ⎜
2 − 8
7 ⎟ 0−8
⎝ n ⎠

ข้อสังเกต
1. ลําดับที่เป็นผลหารของพหุนาม
P (n)
lim เป็น 0 เมื่อดีกรี P น้อยกว่า Q, เป็นสัมประสิทธิ์ตัวแรกหารกัน เมื่อดีกรีของ
n→∞ Q (n)
P และ Q เท่ากัน, และหาค่าไม่ได้ เมื่อดีกรี P มากกว่า Q

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 283 ลําดับและอนุกรม

2. ลําดับเรขาคณิต
lim (rn) เมื่อ r เป็นค่าคงที่ จะมีได้สี่กรณี คือ ไม่มีลิมิต เมื่อ r < −1 , เป็น 0 เมื่อ
n→∞

| r | < 1 , เป็น 1 เมื่อ r = 1 , และหาค่าไม่ได้ เมื่อ r > 1


3. ลําดับเลขคณิต
ลิมิตหาค่าไม่ได้เสมอ (ยกเว้นกรณีที่ d = 0 )

แบบฝึกหัด 13.2
(23) ลําดับต่อไปนี้มีค่า nlim
→∞
an เป็นเท่าใด

(23.1) an = 2 n−1 (23.3) an = sin nπ

(23.2) an = 1 (23.4) an = cos nπ


n

(24) ให้หาลิมิตของลําดับต่อไปนี้
5n2+ 4
(24.1) an = 4n+ 3 (24.4) an =
3n+ 1 n5+8
2n2+n−3 6n2+ 7
(24.2) an = (24.5) an =
5n2− 1 3n− 1
6n+ 7 n7 + 4
(24.3) an = (24.6) an =
5n2+ 4 n+ 1

(25) ให้หาค่าลิมิตของ an เมื่อ


1−2n− 3n3 (2n+ 1) n!
(25.1) an = (25.4) an =
(3n+ 1)3 (n+ 1)!
5
n + 1 ⎛ n +5 ⎞
(25.2) an = (25.5) an = ⎜⎜ ⎟⎟
n − 1 ⎝ 3 n− 1 ⎠
(25.3) an = n2− 3
S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S
ã¹¢Œo 25.1 ËÒ¡ã¤Ã㪌Çi¸ÅÕ a´ (Áo§ÊaÁ»ÃaÊi·¸iì) oÒ¨Å×Á¡¡íÒÅa§·Õµè aÇʋǹ

(26) จงหาค่า
⎛ 2 + ( 1 )n ⎞ ⎡⎛ 2n2+ 4n+ 1 ⎞2 ⎛ 4n ⎞ ⎤
2
(26.1) lim ⎜ ⎟ (26.2) lim ⎢⎜ ⎟⎟ ⎜ 1+ n ⎟ ⎥
3 n → ∞ ⎢⎜ 3n2
n→∞ ⎜


⎠ ⎣ ⎝ ⎠ ⎝ 5 ⎠ ⎥⎦

(26.3) [Ent’27] ลิมิตของลําดับอนันต์ 3, 3 3, 3 3 3 , 3 3 3 3 , ...

n2+n+ 1 2n−5n
(27) [Ent’41] ถ้า an = และ bn = แล้ว ลิมิตของลําดับที่มีพจน์ที่ n เป็น
3n2+ 1 5n+9
an−bn+ anbn มีค่าเท่าใด
⎡ 1/n n ⎤
(28) [Ent’38] สําหรับจํานวนเต็มบวก n ใดๆ ให้ Mn = ⎢ ⎥ และ an = det (Mn) แล้ว
⎣ − 1/n n+ 1⎦
lim an มีค่าเท่าใด
n→∞

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 284 ลําดับและอนุกรม

13.3 อนุกรมและซิกม่า
อนุกรม (Series) คือผลบวกของแต่ละพจน์ในลําดับ
อนุกรมที่พบบ่อยคือ อนุกรมเลขคณิต (Arithmetic Series) และ อนุกรมเรขาคณิต (Geometric
Series) เช่น ลําดับเลขคณิต 5, 9, 13, 17, ... เป็นอนุกรมเลขคณิต 5 + 9 + 13 + 17 + ...
ลําดับเรขาคณิต 2, 4, 8, 16, ... เป็นอนุกรมเรขาคณิต 2 + 4 + 8 + 16 + ...
ในทํานองเดียวกัน อนุกรมจํากัด (finite series) เกิดจากลําดับจํากัด และอนุกรมอนันต์
(infinite series) เกิดจากลําดับอนันต์
n
ค่าของอนุกรมสามารถเขียนเป็นสัญลักษณ์ซิกม่า (sigma) ในรูป ∑ ai ได้ เช่น
i=1

1 1 1 1 1 1 1
ลําดับ an = หรือ 1, , , , ... จะเขียนเป็นอนุกรมได้ว่า 1+ + + + ...
n 2 3 4 2 3 4
และมีค่าเท่ากับ ∑ ⎛⎜ 1 ⎞⎟

i=1 ⎝ i ⎠
n
“ผลบวกย่อย (partial sum) n พจน์แรก” ของอนุกรม จะใช้สัญลักษณ์ Sn = ∑ ai
i=1

ดังนั้น ค่าของอนุกรมอนันต์ก็คือ S∞ = ∑ ai = lim Sn
i=1 n→∞

สมบัติของ Σ สูตรผลบวก
n n n(n+ 1)
• ∑k = n⋅k • ∑i =
2
i=1 i=1
n n n
2 n(n+ 1)(2n+ 1)
• ∑ k ai = k ⋅ ∑ ai • ∑i = 6
i=1 i=1 i=1
n n n 2
• ∑ (ai ±bi) = ∑ ai ± ∑ bi
n
⎡ n(n+ 1)⎤
• ∑ i3 = ⎢ ⎥
i=1 i=1 i=1
i=1 ⎣ 2 ⎦

เพิ่มเติม
เรื่องซิกม่าและสมบัติของซิกม่านี้จะได้ใช้งานอีกครั้งในบทเรียนสถิติ (บทที่ 17)

แบบฝึกหัด 13.3
4
(29) ถ้า f (x) = 3x + 1 และ u1 = 3 , u2 = 2 , u3 = 1 , u4 = 5 จงหาค่า ∑ ui f (ui)
i=1

(30) จงเขียนอนุกรมต่อไปนี้โดยใช้สัญลักษณ์ Σ
(30.1) 1 ⋅ 2 + 2 ⋅ 3 + 3 ⋅ 4 + 4 ⋅ 5 + ... + 50 ⋅ 51
(30.2) 1 + 1 + 1 + ... + 1
2 4 6 2n
(30.3) 1 + 3 + 7 + 15 + ... + พจน์ที่ n
p p+1 p +2
(30.4) ar + ar + ar + ... + a rp + q
1 1 1
(30.5) + + + ...
4 5 6

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 285 ลําดับและอนุกรม

(31) หาค่าของอนุกรมต่อไปนี้
(31.1) 1 + 2 + 3 + 4 + ... + 50
(31.2) 12 + 22 + 32 + 42 + ... + 102
(31.3) 13 + 23 + 33 + 43 + ... + 73
(32) ให้หาค่าของอนุกรมต่อไปนี้
(32.3) ∑ ⎛⎜⎜ k + 4 ⎞⎟⎟
4 6
(32.1) ∑ i2(i−3)
i=1 k = 2 k −1
⎝ ⎠
3
(32.2) ∑ (n2+ 3)
n=1

30
(33) [Ent’มี.ค.42] ถ้า f (x) = x − 1 แล้ว ∑ (f D f)(n2) มีค่าเท่าใด
n = 10

(34) ให้หาค่าผลบวกต่อไปนี้
[หมายเหตุ หากรูปทั่วไปของอนุกรมเป็นแบบ เลข ⋅ เลข จะคํานวณด้วยสูตรซิกม่า]
(34.1) ผลบวก 10 พจน์แรก ของอนุกรม 1 ⋅ 2 + 2 ⋅ 3 + 3 ⋅ 4 + ... + n (n+ 1)
(34.2) S10 ของอนุกรม 1 ⋅ 4 ⋅ 7 + 2 ⋅ 5 ⋅ 8 + 3 ⋅ 6 ⋅ 9 + ...
(34.3) S8 ของอนุกรม 1 ⋅ 22 + 2 ⋅ 32 + 3 ⋅ 42 + ... + n(n+ 1)2
(34.4) S20 ของอนุกรม 1 + (1+2) + (1+2+ 3) + ... + (1+2+ 3+...+n)
n4 + 1
(35) [Ent’39] สําหรับแต่ละจํานวนเต็ม n > 4 จงหาค่าลิมิตของ
1 + 2 + 33 + ... + n3
3 3

(36) [Ent’มี.ค.43] ถ้าลําดับเลขคณิต a1, a2 , a3 , ... มีพจน์ที่ 10 และพจน์ที่ 15 เป็น –19 และ –34
20
ตามลําดับแล้ว ∑ (ai + 2 i) มีค่าเท่าใด
i=1

1 + (n−2) a
(37) [Ent’ต.ค.42] ให้ a เป็นจํานวนจริง กําหนดพจน์ที่ n ของอนุกรมคือ
1− a
1 + 38 a
ถ้าพจน์ที่ m คือ แล้วผลบวก m พจน์แรกของอนุกรมมีค่าเท่าใด
1− a

13.4 อนุกรมเลขคณิต เรขาคณิต และอื่นๆ


อนุกรมที่หาค่า S∞ ได้ เรียกว่า อนุกรมลู่เข้า (Convergent Series) และอนุกรมที่หาค่า
S∞ ไม่ได้ เรียกว่า อนุกรมลู่ออก (Divergent Series)
อนุกรมใดๆ จะหาค่า S∞ ได้ (ลู่เข้า) ก็ต่อเมื่อ nlim
→∞
rn < 1 และ lim an = 0 เท่านั้น
n→∞

n n S e¾ièÁeµiÁ! S
1. อนุกรมเลขคณิต Sn = ∑ ⎡⎣a1 + (i− 1) d⎤⎦ = (a1+ an)
i=1 2 1. ÅíÒ´aºÅÙe‹ ¢ŒÒ ¡aºo¹u¡ÃÁÅًe¢ŒÒ äÁ‹eËÁ×o¹¡a¹
หรืออาจเขียนเป็น Σ เพื่อใช้สูตรคํานวณค่าก็ได้ ¹a¤Ãaº ÅíÒ´aºÅÙe‹ ¢ŒÒ¤×oËÒ¾¨¹o¹a¹µä´Œ 测
S∞ หาค่าไม่ได้เสมอ (ยกเว้นอนุกรม 0 + 0 + 0 + …) o¹u¡ÃÁÅÙe‹ ¢ŒÒ¤×oËҼźǡ¶Ö§¾¨¹o¹a¹µä´Œ..
2. o¹u¡ÃÁ¨aÅًe¢ŒÒ䴌¹aé¹ ÅíÒ´aºµŒo§Åًe¢ŒÒÊً 0
¡‹o¹ 测ÅÒí ´aº·ÕÅè e‹Ù ¢ŒÒÊً 0 o¹u¡ÃÁoÒ¨¨aäÁ‹Å‹Ù
e¢ŒÒ¡ç䴌¹a¤Ãaº

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 286 ลําดับและอนุกรม

n a1(1 − rn)
2. อนุกรมเรขาคณิต Sn = ∑ ⎡⎣ a1 r(i − 1) ⎤⎦ =
1−r
i=1
a1
แต่ S∞ หาค่าได้ก็เมื่อ | r |< 1 เท่านั้น และค่าที่ได้คือ S∞ =
1−r

3. อนุกรมใดๆ ที่ไม่ใช่สองแบบข้างต้น จะมีวิธคี ํานวณต่างๆ กันไป


ซึ่งจะแนะนําวิธีคิดไว้เป็นหมายเหตุ ในแบบฝึกหัดข้อ (34), (49), (56), (58) สรุปคร่าวๆ ได้ดังนี้
- ¶ŒÒÃÙ»·aèÇä»e»š¹ÊÁ¡ÒÃeʌ¹µÃ§ e»š¹o¹u¡ÃÁeÅ¢¤³iµ (㪌ÊÙµÃeÅ¢¤³iµËÃ×oÊÙµÃ Σ ¡íÒÅa§Ë¹Ö觡ç䴌)
- ¶ŒÒÃÙ»·aèÇä»e»š¹ เลข + เลข ¡çãˌæ¡«i¡Á‹Ò¤i´·ÕÅaʋǹ
- ¶ŒÒÃÙ»·aèÇä»e»š¹¾Ëu¹ÒÁ´Õ¡ÃÕÊo§ËÃ×oÊÒÁ ¨aoÂًã¹ÃÙ» เลข ⋅ เลข (㪌ÊÙµÃ Σ ¡íÒÅa§Êo§, ¡íÒÅa§ÊÒÁ)
ËÁÒÂe˵u ¶ŒÒËҼŵ‹Ò§¢o§¼Åµ‹Ò§ (ź¡a¹Êo§ªaé¹) æŌÇe»š¹¤‹Ò¤§·Õè æÊ´§Ç‹Òe»š¹¾Ëu¹ÒÁ´Õ¡ÃÕÊo§
¶ŒÒËҼŵ‹Ò§o´Âź¡a¹ÊÒÁªaé¹æŌÇe»š¹¤‹Ò¤§·Õè æÊ´§Ç‹Òe»š¹¾Ëu¹ÒÁ´Õ¡ÃÕÊÒÁ
eËŋҹÕéËÒÃÙ»·aèÇä»ä´Œo´Âe¢Õ¹ÃÙ»·aèÇ仢o§¾Ëu¹ÒÁ æŌÇ桌ÃaººÊÁ¡ÒÃe¾×èoËÒÊaÁ»ÃaÊi·¸iì测ÅaµaÇ
1
- ¶ŒÒÃÙ»·aèÇ仢o§o¹u¡ÃÁe»š¹ eÃÕ¡NjÒo¹u¡ÃÁÎÒÏoÁ¹i¡ ..äÁ‹ä´ŒÈÖ¡ÉÒã¹·Õè¹éÕ
เลข
1
- ¶ŒÒÃÙ»·aèÇ仢o§o¹u¡ÃÁe»š¹ ¨a¤íҹdzo´Âæ¡e»š¹eÈÉʋǹ‹oÂ
เลข ⋅ เลข
- ¶ŒÒÃÙ»·aèÇä»e»š¹eo¡«o¾e¹¹eªÕÂÅ e»š¹o¹u¡ÃÁeâҤ³iµ (e¢Õ¹模樧oo¡ÁÒæŌÇ㪌ÊÙµÃeâÒ)
1 1
- ¶ŒÒÃÙ»·aèÇä»e»š¹ , เรขา ⋅ เรขา , ËÃ×o ¡çÂa§¤§e»š¹o¹u¡ÃÁeâҤ³iµ
เรขา เรขา ⋅ เรขา
(模樧oo¡ÁÒæŌÇ㪌ÊÙµÃeâÒ)
- ¶ŒÒÃÙ»·aèÇä»e»š¹ เรขา + เรขา ¡çãˌæ¡«i¡Á‹Ò¤i´·ÕÅaʋǹ

- ¶ŒÒÃÙ»·aèÇä»e»š¹ เลข ⋅ เรขา ËÃ×o เลข eÃÕ¡NjÒo¹u¡ÃÁ¼ÊÁ (¹íÒ¤‹Ò r ¢o§eâҤٳµÅo´


เรขา
æŌǵaé§ÊÁ¡ÒÃź¡a¹ e¾×èoãˌʋǹ·Õèe»š¹eÅ¢¤³iµËÒÂä»eËÅ×o测eâҤ³iµÅŒÇ¹æ)
- ¶ŒÒÃÙ»·aèÇä»e»š¹ เรขา ..äÁ‹ä´ŒÈÖ¡ÉÒã¹·Õè¹éÕ
เลข

แบบฝึกหัด 13.4
(38) ให้หาผลบวกย่อย 18 พจน์แรก ของอนุกรม 2 + 6 + 10 + ...

1
(39) ให้หาผลบวกย่อย 8 พจน์แรก ของอนุกรม + 1 + 2 + ...
2

(40) จงหาค่าของ 1 + 3 + 5 + ... + 101

(41) ลําดับเลขคณิต มีผลต่างร่วมเป็น 4 และมีพจน์ที่ 13 เป็น 51 จงหาผลบวก 10 พจน์แรก


(42) อนุกรมเลขคณิตมีพจน์ที่สิบเป็น 20 พจน์ที่ห้าเป็น 10 จงหาผลบวกย่อย a8 ถึง a15

(43) อนุกรมเรขาคณิตมีค่า a3 = 80 และ S3 = 65 จงหาพจน์แรก และอัตราส่วนร่วม


(44) อนุกรมเรขาคณิตมีพจน์แรกเป็น 160 และอัตราส่วนร่วมเป็น 3/2 ถ้าผลบวก n พจน์แรกเป็น
2,110 แล้ว จงหาค่า n
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 287 ลําดับและอนุกรม

(45) [Ent’ต.ค.43] ให้ 5, x, 20, ... เป็นลําดับเลขคณิตที่มีผลบวกของ 12 พจน์แรกเป็น a


และ 5, y, 20, ... เป็นลําดับเรขาคณิตที่มีพจน์ที่ 6 เป็น b โดยที่ y < 0 แล้ว จงหา a + b

(46) [Ent’40] a+3, a, a-2 เป็นลําดับเรขาคณิตที่มีอัตราส่วนร่วมเป็น r จงหาค่า ∑ a rn − 1
n=1

(47) [Ent’มี.ค.44] กําหนดให้ n เป็นจํานวนเต็มบวกที่ทําให้ ผลบวก n พจน์แรกของอนุกรมเลข


คณิต 7 + 15 + 23 + ... มีค่าเท่ากับ 217 แล้ว (2n + 2n + 1 + ... + 22n) / 28 มีค่าเท่ากับเท่าใด
1 1 1 1
(48) [Ent’36] จํานวนเต็มบวก m ซึ่งมากที่สุด ที่ทําให้อนุกรม − m + 1 + m + 2 − m + 3 + ...
2m 2 2 2
มีผลบวกมากกว่า 0.01 คือเท่าใด
(49) ให้หาผลบวก n พจน์แรก ของอนุกรม 4 + 44 + 444 + 4444 + ...
[Hint : ทําเป็นเลข 9 ทุกตัวก่อน เพื่อเปลี่ยนเป็น 10 n − 1 ]
(50) จงหาค่าของอนุกรมเรขาคณิตต่อไปนี้
(50.1) 1 + 1 + 1 + ... + 3 + ...
2 6 18 2 ⋅ 3n
1 1 1 (−1)n + 1
(50.2) − + − ... + + ...
2 4 8 2n
(50.3) 100 + 10 + 1 + 0.1 + ... + 103 − n + ...
4 8
(50.4) 3 +2 + + + ...
3 9
3 3
(50.5) 6 − 3 + − + ...
2 4
1 1 1
(50.6) 1+ + + + ...
0.9 (0.9)2 (0.9)3

(51) ชายคนหนึ่งเดินลากท่อนไม้ไปตามแนวราบ ก้าวแรกเขาเดินได้ระยะทาง 0.5 เมตร และด้วย


ความล้าทําให้ก้าวถัดไปได้ระยะทางเพียง 80% ของก้าวก่อนหน้าเสมอ ถามว่าเมื่อเขาเดินครบ 10
ก้าว จะอยู่ห่างจากจุดเริ่มต้นเท่าใด และถ้าปล่อยให้เดินไปเรื่อยๆ จะได้ระยะทางเท่าใด
(52) จงหาค่า x ที่ทําให้ 1 + x + x2 + ... = 4

2x 22x 23x
(53) [Ent’39] ถ้าอนุกรม 1+ x
+ x2
+ + ... มีผลบวกเท่ากับ 9 แล้ว
1+2 (1+2 ) (1+2x)3
จงหาค่าผลบวกของอนุกรม log2 x − (log2 x)2 + (log2 x)3 − (log2 x)4 + ...

(54) [Ent’36] ถ้า n เป็นจํานวนเต็มบวกซึ่งทําให้ 1 + log 2


2 + log3 2 2 + ... + logn 2 2 = n2−21

แล้ว 1 + 2 + 22 + ... + 2n มีค่าเท่าใด


(55) [Ent’41] ถ้า a1, a2 , ...
เป็นลําดับคอนเวอร์เจนต์ มีลิมิตเป็น 1 แล้ว อนุกรม

a1 + ∑ (an + 1−an) มีผลบวกเป็นเท่าใด
n=1

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 288 ลําดับและอนุกรม

(56) ให้หาค่าผลบวกต่อไปนี้
1
[หมายเหตุ หากรูปทั่วไปของอนุกรมเป็น
เลข ⋅ เลข
1 1 1 1
จะคํานวณโดยแยกเป็นเศษส่วนย่อย เช่น = ( − )⋅ ]
3⋅5 3 5 2
1 1 1 1
(56.1) + + + ... + + ...
3⋅5 5⋅7 7⋅9 (2n+ 1)(2n+ 3)
1 1 1 1
(56.2) S30 ของ + + + ... + + ...
1⋅ 3 3⋅5 5⋅7 (2n−1)(2n+ 1)
1 1 1 1
(56.3) + + + ... + + ...
1⋅ 3 ⋅5 3⋅5⋅7 5⋅7⋅9 (2n−1)(2n+ 1)(2n+ 3)
1 1 1 1 1
(56.4) S20 ของ + + + + ... + 3 + ...
6 24 60 120 n + 3n2 + 2n

1 2 3 n
(57) ให้หาผลบวก n พจน์แรกของอนุกรม log + log + log + ... + log + ...
2 3 4 n+ 1

(58) [Ent’35] อนุกรม ∑ ⎛⎜⎜ 5n 3 ⎞



− ⎟ มีผลบวกเป็นเท่าใด
n=1 2 ⎝ n(n+ 1) ⎟⎠

(59) ให้หาค่าผลบวกต่อไปนี้
[หมายเหตุ หากรูปทั่วไปของอนุกรมเป็น เลข ⋅ เรขา หรือ เลข (เรียกว่า อนุกรมผสม)
เรขา
จะคํานวณโดยนําค่า r ของเรขา คูณตลอดแล้วตั้งสมการลบกัน เพื่อให้ส่วนที่เป็นเลขคณิตหายไป
เหลือแต่เรขาคณิต]
5 8 11 14
ตัวอยางเชน หาคา S∞ = + + + + ...
2 4 8 16
1 1 5 8 11 14
นํา คูณ จะได S∞ = + + + + ...
2 2 4 8 16 32
1 5 ⎛3 3 3 ⎞ 5 ⎛ 3/4 ⎞
สองสมการลบกัน S∞ = +⎜ + + + ... ⎟ = + ⎜ ⎟ = 4 ..ดังนั้น S∞ = 8
2 2 ⎝4 8 16 ⎠ 2 ⎝ 1 − 1/2 ⎠

1 3 5 7 2 n− 1
(59.1) Sn ของ + + + + ... + + ...
2 4 8 16 2n
3 5 n+ 1
(59.2) 2 + + 1+ + ... + n − 1 + ...
2 8 2

(60) เขียนจํานวนต่อไปนี้ในรูปเศษส่วน
(60.1) 0.212121... (60.3) 7.256256...
(60.2) 0.61041041... (60.4) 2.9999...

เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
1 2 3 4 3
(1.1) 2,4,8,16 (1.2) 2,6,10,14 (1.4) − , ,− , (2.3) 2n + 1− 3 (2.4) n−1
4 9 16 25 10
(1.3) 1 , 1 , 1 , 1 n−1 2 (2.5) n (n+ 1)
2 4 8 16
(2.1) ⎛ 1⎞ (2.2) ⎛ 1⎞
⎜ ⎟ ⎜ ⎟
(3.2) เรขาคณิต, n
2 ⎝2⎠ ⎝n⎠ (3.1) เลขคณิต, 18 − 3 n

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 289 ลําดับและอนุกรม

(3.3) เลขคณิต, x +2 n−2 (23.1) หาค่าไม่ได้ (23.2) 0 (40) 2601 (41) 210
(3.4) เลขคณิต, n log 2 (23.3) 0 (23.4) 1 (24.1) 4/3 (42) 184
1
n (24.2) 2/5 (24.3) 0 (24.4) 0 (43) 5, –4 หรือ 45, –4/3
(3.5)เรขาคณิต, (−20) ⎛⎜ − ⎞⎟
⎝ 2⎠ (24.5 และ 24.6) หาค่าไม่ได้ (44) 5 (45) 395
(3.6) เลขคณิต, 4 n (25.1) -1/9 (25.2) 1 (46) 18 (47) 127.5
(3.7) เป็นทั้งเลขคณิตและ (25.3) หาค่าไม่ได้ (25.4) 2 (48) 6
เรขาคณิต, an = 3 (25.5) 1 / 35 (26.1) 2/3 (49) 4 ⎛⎜ 10 (10n−1)−n ⎞⎟
(26.2) 4/9 (26.3) 9 (27) 1 9⎝ 9 ⎠
(4) 4.5, 5, 5.5, 12.5 (50.1) 3/4 (50.2) 1/3
(5) 2, 4, 8, 217 (6) 3 n+8 (28) 2 (29) 128
50 n (50.3) 1000/9 (50.4) 9
(7) 26, 22, 18, 14 (8) 2, 4 (30.1) ∑ i (i+ 1) (30.2) ∑ ⎛⎜ 1 ⎞⎟ (50.5) 4 (50.6) ลูอ่ อก
i=1 i=1 ⎝ 2 i ⎠
(9) 2, 6, 18, 54 (10) 48 n q+1 (51) 2.23 และ 2.5
(11) มี, พจน์ที่ 30 (12) พจน์ที่ 19 (30.3) ∑ (2i−1) (30.4) ∑ a rp + i − 1 (52) 3/4
i=1 i=1
(13) 54 (14) 334 (53) หาไม่ได้ (ไดเวอร์เจนต์)
n ∞ ⎛ 1 ⎞
8 (−2) (30.5) (31.1) 1275
(15) n หรือ ∑ ⎜ ⎟ (54) 255 (55) 1
(−2) 2 i=1 ⎝ i + 3 ⎠
(56.1) 1/6 (56.2) 30/61
(16) 39, 51, 63 (17) 5/4 (31.2) 385 (31.3) 784 (32.1) 10 (56.3) 1/12
(18) 13 (19.1) 10, 13 (32.2) 23 (32.3) 197/12 (56.4) 115/462
(19.2) 115, 100, 85, 70 (33) 9128 (34.1) 440 (57) − log(n+ 1) (58) 2
(20.1) 6, 12, 24, 48 (34.2) 7480 (34.3) 1740
(59.1) 3 − 2 nn+ 3
(20.2) 1, 3 , 9 หรือ −1, 3 , − 9 (34.4) ∑ i (i+ 1) = 1, 540
20
2
4 16 4 16 i=1 2
(59.2) 6 (60.1) 21/99
(21) 15 (22) คนที่ 3 (35) 4 (36) 10 (60.2) 3049/4995
(37) 40 + 740 a (60.3) 7249/999
1− a
(60.4) 3
(38) 648 (39) 127.5

เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
(1.1) 21, 22 , 23 , 24 → 2, 4, 8, 16 (2.3) an : 1, 5, 13, 29, ...
(1.2) 4(1) − 2, 4(2) − 2, 4(3) − 2, 4(4) − 2 → an + 3 : 4, 8, 16, 32 → 22 , 23 , 24 , 25
→ 2, 6, 10, 14 ∴ an + 3 = 2n + 1 → an = 2n + 1 − 3
1 2
⎛ 1⎞ ⎛ 1⎞ ⎛ 1⎞ ⎛ 1⎞
3 4 3 3 3 3 3
(1.3) ⎜ ⎟ ,⎜ ⎟ ,⎜ ⎟ ,⎜ ⎟ (2.4) , , , → an =
⎝2⎠ ⎝2⎠ ⎝2⎠ ⎝2⎠ 100 101 102 103 10n − 1
1 1 1 1 (2.5) an : 2, 6, 12, 20, ...
→ , , ,
2 4 8 16 → an − n : 1, 4, 9, 16, ... = n2
(1.4) (−1)1 12 , (−1)2 22 , (−1)3 32 , (−1)4 42 → ∴ an = n2 + n
2 3 4 5
1 2 3 4 หรือ อีกวิธีหนึ่ง
→ − , ,− , an ÷ n : 2, 3, 4, 5, ... = n + 1
4 9 16 25
n−1
1 1 1 1 1 ⎛ 1⎞ → ∴ an = n(n + 1) = n2 + n
(2.1) , , , → an = n − 1 = ⎜ ⎟
20 21 22 23 2 ⎝2⎠ (3.1) ลําดับเลขคณิต
2
1 1 1 1 1 ⎛ 1⎞ → an = 15 + (n − 1)(−3) = 18 − 3n
(2.2) , , , → an = 2 = ⎜ ⎟
12 22 32 42 n ⎝n⎠ (3.2) ลําดับเรขาคณิต → an = 2(2)n − 1 = 2n

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 290 ลําดับและอนุกรม

(3.3) ลําดับเลขคณิต วิธีทสี่ อง หาพจน์แรกทีต่ ิดลบ โดยสมการ


→ an = x + (n − 1)(2) = x + 2n − 2 200 + (n − 1)(−18) < 0 จะได้ n > 12.11
(3.4) log 2, 2 log 2, 3 log 2, 4 log 2, ... → แสดงว่าเริ่มติดลบที่พจน์ 13
ลําดับเลขคณิต! a13 = 200 + (12)(−18) = −16 ..ก็จะได้คําตอบ
an = log 2 + (n − 1)(log 2) = n log 2 (14) 2 + (n − 1)(3) > 1, 000 → n > 333.67
(3.5) ลําดับเรขาคณิต แสดงว่าค่า m ที่ต้องการคือ 334
n−1 n
⎛ 1⎞ ⎛ 1⎞ (15) a1 + a1r + a1r2 = −3 .....(1)
→ an = 10 ⎜ − ⎟ = −20 ⋅ ⎜ − ⎟
⎝ 2⎠ ⎝ 2⎠
a1a1ra1r2 = a13r 3 = 8 .....(2)
(3.6) ลําดับเลขคณิต an = 4 + (n − 1)(4) = 4n แก้ระบบสมการได้
(3.7) มองเป็นลําดับเลขคณิตหรือเรขาคณิตก็ได้ r = − 2 → a1 = − 1 , r = − 1/2 → a1 = − 4
ลําดับเลขคณิต → an = 3 + (n − 1)(0) = 3 (−2)n
∴ an = −1(−2)n − 1 = หรือ
ลําดับเรขาคณิต → an = 3(1)n − 1 = 3 2
1 −8
(4) a4 , a5 , a6 = 4.5, 5, 5.5 an = −4(− )n − 1 =
2 (−2)n
→ a20 = 3 + (19)(0.5) = 12.5
(16) ค่า d → 5p − p = 6p + 9 − 5p
1 (19)
(5) a4 , a5 , a6 = 2, 4, 8 → a20 = (2) = 217 → ∴p = 3 จึงได้ลําดับเป็น 3, 15, 27
4
(6) a4 → a1 + 3d = 20 .....(1) ตอบ 39, 51, 63
a16 → a1 + 15d = 56 .....(2) (17) ลําดับคือ 3 + x, 20 + x, 105 + x ...
แก้ระบบสมการ ได้ a1 = 11, d = 3 หาค่า x โดยค่า r → 105 + x = 20 + x
20 + x 3+ x
∴ an = 11 + (n − 1)(3) = 3n + 8
→ 315 + 108x + x2 = 400 + 40x + x2
(7) a1 + d + a1 + 12d = 0 .....(1) → ∴ x = 85/68 = 5/ 4
a1 + 3d + a1 + 7d = 12 .....(2) b c
(18) = .....(1) abc = 27 .....(2)
แก้ระบบสมการ ได้ a1 = 26, d = −4 a b
ตอบ 26, 22, 18, 14 b + 3 − a = c + 2 − b − 3 .....(3)
(8) a1(2)(6) = 128 → a1 = 2 ตอบ 2, 4 แก้ ระบบสมการ (1),(2) ได้ b = 3, ac = 9 →
(9) a1 + a1r = 8 .....(1) ใส่ค่า b ใน (3) ได้ a + c = 10
a1r2 + a1r 3 = 72 → r2(a1 + a1r) = 72 .....(2)
บังเอิญโจทย์ถาม a + b + c จึงได้ 10 + 3 = 13
แก้ระบบสมการ (2) /(1) ได้ r = 3, a1 = 2 (ไม่ต้องแก้ a, c ต่อ)
[สมมติถา้ แก้สมการต่อ จะได้ผลเป็น a = 1, c = 9
ตอบ 2, 6, 18, 54
(10) xr + xr2 = 6 .....(1) หรือ a = 9, c = 1 ก็ได้]
xr2 + xr 3 = r(xr + xr2) = −12 .....(2) (19.1) 7, _, _, 16 → 16 = 7 + 3d
แก้ระบบสมการ (2) /(1) ได้ r = −2, x = 3 → d = 3 → ตอบ 10, 13

∴ a5 = 3(−2)4 = 48 (19.2) 130, _, _, _, _, 55 → 55 = 130 + 5d


(11) −96 = 20 + (n − 1)(−4) → n = 30 → d = −15 → ตอบ 115, 100, 85, 70
ตอบ มี, พจน์ที่ 30 (20.1) 3, _, _, _, _, 96 → 96 = 3 ⋅ r5
(ถ้าแก้สมการแล้ว n ไม่เป็นจํานวนนับ แสดงว่าไม่อยู่ → r = 2 → ตอบ 6, 12, 24, 48
ในลําดับนัน้ ) (20.2) 4 , _, _, _, 27 → 27 = 4 ⋅ r4
(12) 75 = 3 + (n − 1)(4) → n = 19 3 64 64 3
4
⎛3⎞ 3
ตอบ พจน์ที่ 19 → ⎜ ⎟ = r4 → r = หรือ − 3 →
(13) a10 = 200 + (9)(−18) = 38 ⎝ 4 ⎠ 4 4
3 9 3 9
วิธีแรก จะได้ ..., 38, 20, 2, − 16, ... ตอบ 1, , หรือ −1, , −
4 16 4 16
พบว่า 38 กับ -16 ต่างกันอยู่ 54 ตอบ [อย่าลืมว่ากําลังเลขคู่ จะต้องมี 2 คําตอบเสมอ!]

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 291 ลําดับและอนุกรม

(21) การบอกว่า 2an + 1 = an + 3 แบบนี้จะต้อง ⎛ 4 ⎞


⎜ 1 + n7 ⎟ 1
หาค่า a3 กับ a6 โดยไล่แทนค่าไปจาก a5 (24.6) lim ⎜ ⎟ = ⇒ หาค่าไม่ได้
n→∞
⎜⎜ 1 + 1 ⎟⎟ 0
คือ 2a6 = a5 + 3 → a6 = 4 ⎝ n6 n7 ⎠
และ 2a5 = a4 + 3 → a4 = 7 ข้อสังเกต จากข้อ 24 ลําดับที่เป็นฟังก์ชันตรรกยะ
→ 2a4 = a3 + 3 → a3 = 11 (คือพหุนามหารกัน) P(n) จะมีลิมิตเป็น
Q(n)
ตอบ a3 + a6 = 11 + 4 = 15
• 0 เมื่อ ดีกรี บน < ล่าง
(22) ลําดับเรขาคณิต → 1 ⋅ (2)n − 1 > 250
• หาค่าไม่ได้ เมือ่ ดีกรี บน > ล่าง
→ n = 9 ∴ ตอบ คนที่ 3
• สปส.ของตัวทีด่ กี รีสูงสุด เมื่อ ดีกรีเท่ากัน
(23.1) nlim an = หาค่าไม่ได้
⎛ 1 − 2n − 3n3 ⎞ 3 1
lim ⎜
→∞
(25.1) ⎟ = − = −
(ลําดับเลขคณิต ที่ d ≠ 0 จะหาลิมิตไม่ได้ เสมอ) n→∞ 3
⎝ 27n + ... ⎠ 27 9
1 ⎛ 1 ⎞
(23.2) nlim an = = 0 ⎜1 + n ⎟ 1
→∞ ∞ (25.2) lim ⎜ ⎟ = = 1
1 1 1 1 n→∞
⎜1 − 1 ⎟ 1
( , , , , ... → 0 ) ⎜
n⎠

1 2 3 4 ⎝
(23.3) nlim
→∞
an = 1 (25.3) lim
n→∞
n2 − 3 ⇒ หาค่าไม่ได้
(เพราะ sin π = 1, sin 2π = 1, sin 3π = 1, ... ) ⎛ 2n + 1 ⎞
(25.4) lim ⎜ ⎟ = 2
(23.4) nlim an = 1
n→∞ ⎝ n+1⎠
5 5
⎛ n + 5 ⎞⎞ ⎛ 1⎞ 1
→∞

(เพราะ cos π = −1 = 1, cos 2π = 1 = 1, ... ) (25.5) ⎜ nlim ⎜ ⎟⎟ = ⎜ ⎟ = 5
⎝ → ∞ ⎝ 3n − 1 ⎠ ⎠ ⎝ 3⎠ 3
(24) ในข้อนี้ ลําดับเป็นฟังก์ชันพหุนามหารกัน [ลิมิตแจกแจงได้เสมอ ไม่ว่าจะบวกลบคูณหาร, ยก
⎛ P(n) ⎞ กําลัง, ถอดราก]
⎜ ⎟ แทน n = ∞ ไม่ได้ เพราะจะกลายเป็น
⎝ Q(n) ⎠
(26) ข้อนี้ใช้หลักที่วา่ nlim rn = 0 เมื่อ r < 1
รูปแบบไม่กําหนด ⎛∞⎞ →∞
⎜ ⎟ n
⎝∞⎠ ⎛ ⎛ 1⎞ ⎞
⎜2 + ⎜ ⎟ ⎟
(24.1) ต้องใช้ n หารทัง้ เศษและส่วน (26.1) lim ⎜⎜ ⎝2⎠ ⎟ = 2 + 0 = 2

⎛ 3⎞ n→∞ ⎝ 3 ⎠ 3 3
⎜4 + n ⎟ 4+0 4 ⎛ 2n2 + 4n + 1 ⎞
2 n
→ lim ⎜ ⎟ = = ⎡ ⎛4⎞ ⎤
n→∞ 1 3 + 0 3 (26.2) lim ⎜ ⎟ ⋅ lim ⎢1 + ⎜ ⎟ ⎥
⎜⎜ 3 + ⎟⎟ n→∞ ⎝ 3n2
⎠ n→ ∞ ⎣ ⎝5⎠ ⎦
⎝ n⎠ 2
(24.2) ใช้ n2 หารทั้งเศษและส่วน ⎛2⎞ 4
= ⎜ ⎟ ⋅ (1 + 0) =
⎝3⎠ 9
⎛ 1 3 ⎞
⎜ 2 + n − n2 ⎟ 2 (26.3) หารูปทัว่ ไปของลําดับก่อน
→ lim ⎜ ⎟ =
⎜⎜ 5 − 1
3 7 15 1
n→∞
⎟⎟ 5 2 − ( )n − 1
→ 31, 32 , 34 , 3 8 , ... → an = 3 2
⎝ n2 ⎠
⎛6 7 ⎞ ∴ lim an = 32 − 0 = 9
n→∞
⎜ n + n2 ⎟ 0
(24.3) lim ⎜ ⎟ = = 0 1
n→∞ 4 5 (27) lim an =
⎜⎜ 5 + ⎟ n→∞ 3
2 ⎟
⎝ n ⎠
⎛ (2 / 5)n −
1⎞ 0−1
⎛ 5 4 ⎞ lim bn = lim ⎜ ⎟ = = −1
⎜ n3 + n5 ⎟ 0
n→∞ n→ ∞
⎜⎜ 1 + 9 ⎟⎟ 1+ 0
(24.4) lim ⎜ ⎟ = = 0 ⎝ 5n ⎠
n→∞
⎜⎜ 1 + 8 ⎟⎟ 5
n5 1 1
⎝ ⎠ ∴ lim (an − bn + anbn) = − (−1) + (− ) = 1
n→∞ 3 3
⎛ 7 ⎞
⎜ 6 + n2 ⎟ 6 (28) an = det(Mn) = n + 1 + 1 = 2 + 1
(24.5) lim ⎜ ⎟ = ⇒ หาค่าไม่ได้ n n
n→∞ 3
⎜⎜ − 1 ⎟⎟ 0
⎝n n ⎠ 2 1
→ lim an = lim (2 + ) = 2
n→∞ n→∞ n

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 292 ลําดับและอนุกรม
4 8
(29) ∑ ui f(u)i = u1f(u1) + u2f(u2) + u3f(u3) + u4f(u4) (34.3) S8 = ∑ (i3 + 2 i2 + i)
i=1 i=1
= (3)(10) + (2)(7) + (1)(4) + (5)(16) = 128 2
⎡ 8(9)⎤ (8)(9)(17) 8(9)
= ⎢ +2 + = 1,740
⎣ 2 ⎥⎦
50
(30.1) ∑ (i)(i + 1) 6 2
i=1
(34.4) an = 1 + 2 + 3 + ... + n = n(n + 1)
(30.2) ∑ ⎛⎜ 1 ⎞⎟ 2
n

2i i=1 ⎝ ⎠
20

20 i (i + 1) ∑ (i2 + i)
(30.3) an : 1, 3, 7, 15, ... → S20 = ∑ = i=1

i=1 2 2
→ an + 1 : 2, 4, 8, 16, ... = 2n
1 ⎛ 20(21)(41) 20(21) ⎞
an = 2n − 1
= ⎜ + ⎟ = 1,540
→ 2⎝ 6 2 ⎠
n
∴ ตอบ ∑ (2i − 1) n4 + 1 n4 + 1
(35) lim 2
= lim
i=1 n→∞
⎛ n(n + 1) ⎞ n→∞ ⎛ n4 + 2n3 + n2 ⎞
q q+1 ⎜ ⎟ ⎜ ⎟
(30.4) ∑ ar(p + i) หรือ ∑ ar(p + i − 1) ⎝ 2 ⎠ ⎝ 4 ⎠
i=0 i=1 ⎛ 4n4 + 4 ⎞
= lim ⎜ 4 ⎟ = 4

⎛ 1⎞ ∞
⎛ 1 ⎞ n → ∞ ⎝ n + 2n3 + n2 ⎠
(30.5) ∑ ⎜⎝ i ⎟⎠ หรือ ∑ ⎜⎝ i + 3 ⎟⎠
i=4 i=1
(36) a1 + 9d = −19 .....(1)
50 50(51)
(31.1) ∑ i = = 1,275 a1 + 14d = −34 .....(2)
i=1 2
10 10(11)(21) → a1 = 8, d = −3
(31.2) ∑ i2 = = 385
∴ an = 8 + (n − 1)(−3) = 11 − 3n
i=1 6
2 20 20
7
⎡ 7(8)⎤ โจทย์ให้หา ∑ (ai + 2 i) =
(31.3) ∑ i3 = ⎢ = 784 ∑ (11 − 3 i + 2 i)
i=1 ⎣ 2 ⎥⎦ i=1 i=1
4 4 4 20 20(21)
(32.1) ∑ (i 3
−3 i ) = 2
∑i 3
−3 ∑i 2
= ∑ (11 − i) = 20(11) − = 10
i=1 i=1 i=1 i=1 2
⎡ 4(5)⎤
2
⎛ 4(5)(9) ⎞ 1 + (n−2) a
= ⎢ − 3⎜ ⎟ = 10 (37) an = และ
⎣ 2 ⎦⎥ ⎝ 6 ⎠ 1− a
1 + 38 a
(32.2) ∑ n2 + ∑ 3 = 3(4)(7) + (3)(3) = 23
3 3
am = ∴ m = 40
n=1 n=1 6 1− a

วิธีแรก หา ∑ ⎡⎢ 1 + (i − 2) a ⎤⎥
40
(32.3) เป็นเศษส่วนซึ่งหารไม่ได้ จึงต้องกระจายเพื่อ
1− a
คิดตรงๆ → 6 + 7 + 8 + 9 + 10 = 197 i=1 ⎣ ⎦
1 2 3 4 5 12 40 ⎛1 − 2 a⎞ 40 ⎛ i a ⎞
2 2 2 2
= ∑ ⎜⎝ ⎟+
1− a ⎠
∑ ⎜⎝ 1 − a ⎟⎠
(33) (fof)(n ) = f(n − 1) = n − 1 − 1 = n − 2 i=1 i=1

30 30 30 40 − 80 a 40(41) a
→ ∑ (n2 − 2) = ∑ n2 − ∑ 2 = + ⋅
n = 10 n = 10 n = 10 1− a 2 1− a
30 9 30 40 + 740 a
= ∑n 2
−∑ n − 2
∑ 2 = ตอบ
n=1 n=1 n = 10 1− a

=
30(31)(61) 9(10)(19)
− − (21)(2) = 9,128
วิธีทสี่ อง ใช้สูตร Sn ของอนุกรมเลขคณิตก็ได้ จะ
6 6 คํานวณง่ายกว่ามาก แต่ตอ้ งสังเกตเห็นก่อนว่าเป็น
10 10
(34.1) S10 = ∑ i (i + 1) = ∑ (i2 + i) อนุกรมเลขคณิตจริงๆ
i=1 i=1
40 ⎛ 1 + (− a) 1 + 38 a ⎞
10(11)(21) 10(11) S40 = ⎜ + ⎟
= + = 440 2 ⎝ 1− a 1− a ⎠
6 2
10 (38) อนุกรมเลขคณิต คิดได้ 2 วิธี
(34.2) S10 = ∑ i (i + 3)(i + 6) วิธีแรก ใช้สตู ร Sn ของเลขคณิต
i=1
10 n
= ∑ (i3 + 9 i2 + 18 i) → Sn = (a1 + an)
i=1
2
18
⎡ 10(11)⎤
2
(10)(11)(21) ⎡ 10(11)⎤ → S18 = (2 + [2 + (17)(4)]) = 648
= ⎢ +9 + 18 ⎢ 2
⎣ 2 ⎥⎦ 6 ⎣ 2 ⎥⎦
= 7,480

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 293 ลําดับและอนุกรม

วิธีทสี่ อง ใช้สูตรซิกม่า ∞ 8
ให้หา ∑ arn − 1 = 6+4+ + ...
18 18 n=1 3
→ ∑ (2 + (i − 1)(4)) = ∑ (4 i − 2) 6
i=1 i=1 = = 18 (สูตรอนุกรมเรขาคณิต)
4(18)(19) 1 − 2/ 3
= − 18(2) = 648
2 n
(47) Sn = 217 =
(7 + 7 + (n − 1)(8))
(39) อนุกรมเรขาคณิต คิดได้วธิ ีเดียวคือใช้สตู ร Sn 2
1 → 4n2 + 3n − 217 = 0
(1 − 28)
a1(1 − rn) 2 → (4n + 31)(n − 7) = 0 ∴n = 7 เท่านั้น
→ Sn = → S8 =
1−r 1−2
⎛ 2 (1 − 28) ⎞
7
255 ⎜ ⎟
= 127.5 7 8 9
2 + 2 + 2 + ... + 2 14
= ⎝ 1 −8 2 ⎠
=
2 →
28 2
(40) an = 1 + (n − 1)(2) = 2n − 1 (จากสูตรอนุกรมเรขาคณิต จํานวนพจน์ n=8)
ผลบวก 51 พจน์ → S51 = 51 (1 + 101) = 2,601 27(28 − 1)
= 127.5
2 =
28
(41) 51 = a1 + 12(4) → a1 = 3 m

10 (48) a1 = 1 / 2 1 = 2 m > 0.01


→ S10 = (3 + (3 + (9)(4))) = 210 1−r 1 − (− ) 3⋅2
2 2
(42) a1 + 9d = 20 .....(1) 1
→ m > 0.015 → 2m < 66.67
a1 + 4d = 10 .....(2) 2
→ a1 = 2, d = 2 → an = 2 + (n − 1)(2) = 2n ∴m มากที่สดุ คือ 6
(49) sn = 4 + 44 + 444 + ... + 444444..4
หา ∑ (2 i) = 2 ⎡⎢(15)(16) − (7)(8)⎤⎥ = 184
15

⎣ 2 2 ⎦ 9
i=8 Sn = 9 + 99 + 999 + ... + 999999..9
(43) คิดด้วยสูตร Sn จะแก้สมการยาก 4
= 10 − 1 + 100 − 1 + 1,000 − 1 + ... + 10n − 1
ควรคิดตรงๆ คือสมมติเป็น a, b, 80
= (10 + 100 + 1,000 + ... + 10n) − n
จะได้ 80 = b .....(1) และ 10(1 − 10n) 10
b a = −n = (10n − 1) − n
a + b + 80 = 65 .....(2) 1 − 10 9
4 ⎡ 10 ⎤
จะได้ b = −20, a = 5 หรือ b = −60, a = 45 ∴ Sn = (10n − 1) − n⎥
9 ⎢⎣ 9 ⎦
∴ a1 = 5, r = −4 หรือ a1 = 45, r = −4 / 3
(50) ข้อนี้เป็นอนุกรมเรขาคณิตอนันต์
(44) (
160 1 − ( 3/2)
n
) = 2,110 (50.1) 1 / 2 = 3
1 − 3/2 1 − 1/ 3 4
n n 1/ 2 1
⎛3⎞ 2,110 ⎛3⎞ 243 (50.2) =
→ ⎜ ⎟ −1= → ⎜ ⎟ = 1 − (−1 / 2) 3
⎝2⎠ 320 ⎝2⎠ 32
100 1,000
∴n = 5 (50.3) =
1 − 0.1 9
(45) ก. 20 = 5 + 2d → d = 7.5 → 3
(50.4) = 9
หาค่า a = S12 = 12 (5 + 5 + (11)(7.5)) = 555 1−2/3
2 6
(50.5) = 4
ข. 20 = 5 ⋅ r2 → r2 = 4 → r = −2 1 − (−1 / 2)
(เพราะ y < 0 ) หาค่า b = a6 = 5(−2)5 = −160 (50.6) หาค่าไม่ได้ (ลู่ออก)
∴ a + b = 555 − 160 = 395 เพราะ r = 1 > 1 [ถ้าใช้สตู รคิดเลยทันทีจะผิด]
0.9
(46) หาค่า a โดย a = a − 2 (1/2)(1 − (0.8)10)
a+3 a (51.1) ≈ 2.23 เมตร ( Sn )
→ a2 = a2 + a − 6 → a = 6 1 − 0.8

ลําดับคือ 9, 6, 4 (51.2) 1/2 = 2.5 เมตร ( S∞ )


1 − 0.8
1 3
(52) = 4 → x =
1− x 4

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 294 ลําดับและอนุกรม

1 2x 8 (57) (log 1 − log 2) + (log 2 − log 3) + ...


(53) = 9 → x
=
x
⎛ 2 ⎞ 1 + 2 9 + (log n − log(n + 1))
1− ⎜ x ⎟
⎝1 + 2 ⎠ = log 1 − log(n + 1) = − log(n + 1)
→ 2x = 8 → x = 3 (เพราะ log1 = 0)
ดังนัน้ อนุกรมที่โจทย์ถามเป็นอนุกรมเรขาคณิต (58) ∑ ⎡⎢ 5n ⎤⎥ − ∑ ⎡⎢
∞ ∞ 3 ⎤
⎣2 ⎦ ⎥
มีค่า r = − log2 3 ซึ่งน้อยกว่า −1 n=1 n=1 ⎣ n(n + 1)⎦
ตอบ หาค่าไม่ได้ (เป็นอนุกรมไดเวอร์เจนต์)
(54) 1 + 2 + 3 + ... + n = n2 − 21
= ( 5
2
+
5
4
+
5
8
) ( ) (
+ ... − 3 ⎡ −
1 1
⎣⎢ 1 2
+
1

2 3
1
)
+ ...⎤
⎦⎥
5/2
n(n + 1) = −3 = 5−3 = 2
→ = n2 − 21 แก้สมการได้ n = 7 1 − 1/ 2
2

ตอบ 1(1 − 28)


= 255
(59.1) Sn = 1 + 3 + 5 + ... + 2n n− 1
2 4 8 2
1−2
1 1 3 5 2n − 3 2n − 1
∞ Sn = + + + ... + + n+1
(55) a1 + ∑ (an + 1− an) 2 4 8 16 2n 2
n=1

= a1 + (a2 − a1) + (a3 − a2) + (a4 − a3) + ...


ลบกัน (โดยนําพจน์ที่มีส่วนเท่ากันตั้งลบกัน) ได้เป็น
  1 1 ⎡2 2 2 2 ⎤ 2n − 1
a2 Sn = + + + + ... + n ⎥ − n + 1
  2 2 ⎢⎣ 4 8 16 2 ⎦ 2
a3
n−1
1 1 ⎡ 2/ 4 (1 − ( 1/2) )⎤ 2n − 1
= a∞ ตอบ 1 Sn = + ⎢ ⎥ − n+1
2 2 ⎢⎣ 1 − 1/2 ⎥⎦ 2
1 ⎛ 1 1⎞ 1 ⎛ 1 1⎞ 1 ⎛ 1 1⎞
(56.1) ⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ... 1 1 ⎛ 1⎞ 2n − 1
n−1
2 ⎝ 3 5⎠ 2 ⎝5 7⎠ 2 ⎝ 7 9⎠ → Sn = + 1− ⎜ ⎟ − n+1
1 ⎛ 1⎞ 1 2 2 ⎝2⎠ 2
= ⎜ ⎟ = 4 2n − 1 2n + 3
2 ⎝ 3⎠ 6 ∴ Sn = 1 + 2 − n − = 3−
2 2n 2n
(56.2) 1 1
2 1
( ) (

1
3
+
1
2 3
1

1
5
) + ... +
1
2 59
( 1

1
61
) (59.2) S∞ =
2 3 4 5
+ + + + ...
1⎛ 1⎞ 30 1 2 4 8
= ⎜1 − ⎟ = 1 2 3 4 5
2⎝ 61 ⎠ 61 → S∞ = + + + + ...
2 2 4 8 16
(56.3) ⎜ − 1 ⎞⎟ + 1 ⎛⎜ 1 − 1 ⎞⎟
1⎛ 1
ลบกัน ได้เป็น
4 ⎝ 1⋅ 3 3 ⋅ 5⎠ 4 ⎝ 3 ⋅ 5 5 ⋅ 7⎠
1 2 ⎛1 1 1 ⎞
1⎛ 1 1 ⎞ → S∞ = +⎜ + + + ... ⎟
+ − + ... 2 1 ⎝2 4 8 ⎠
4 ⎜⎝ 5 ⋅ 7 7 ⋅ 9 ⎟⎠
1/ 2
= 2+ = 3 → ∴ S∞ = 6
1⎛ 1 ⎞ 1 1 − 1/ 2
= ⎜ ⎟ =
4 ⎝1 ⋅ 3⎠ 12 (60.1) 0.21 + 0.0021 + 0.000021 + ...
(56.4) จากโจทย์จะได้ =
0.21
=
21
=
21
=
7
1 1 1 1 1 − 0.01 100 − 1 99 33
+ + + ... + + ...
1⋅ 2 ⋅ 3 2 ⋅ 3 ⋅ 4 3 ⋅ 4 ⋅ 5 (n)(n+ 1)(n+2) (60.2) 0.6 + 0.0104 + 0.0000104 + ...
ดังนัน้ ⎛ 0.0104 ⎞ 104 3,049
= 0.6 + ⎜ ⎟ = 0.6 + =
1 1 1 1 ⎝ 1 − 0.001 ⎠ 9,990 4,995
S20 = + + + ... +
1⋅ 2 ⋅ 3 2 ⋅ 3 ⋅ 4 3 ⋅ 4 ⋅ 5 20 ⋅ 21 ⋅ 22 (60.3) 7 + 0.256 + 0.000256 + ...
1 ⎛ 1 1 ⎞ 1⎛ 1 1 ⎞ 0.256 256 7,249
= = 7+ = 7+ =
2 ⎜ 1⋅ 2 − 2 ⋅ 3⎟ + 2 ⎜2 ⋅ 3 − 3 ⋅ 4⎟ 1 − 0.001 999 999
⎝ ⎠ ⎝ ⎠
(60.4) 2 + 0.9 + 0.09 + 0.009 + ...
1 ⎛ 1 1 ⎞
+ ... + ⎜ 20 ⋅ 21 − 21 ⋅ 22 ⎟ 0.9
2 ⎝ ⎠ = 2+ = 2+1= 3
1 − 0.1
1⎛ 1 1 ⎞ 115 [หมายเหตุ 0.9999... = 1 ]
= ⎜ − ⎟ =
2 ⎝ 1 ⋅ 2 21 ⋅ 22 ⎠ 462

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 295 ลิมิตและความตอเนื่อง

lim
t→
t 0

º··Õè 14 ÅiÁiµ/¤ÇÒÁµ‹oe¹×èo§
คณิตศาสตร์สาขาแคลคูลัส (Calculus) ถูกใช้
ประโยชน์ในทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่าง
กว้างขวาง โดยเฉพาะในด้านฟิสิกส์ แนวคิดพื้นฐาน
ของวิชาแคลคูลัสก็คือเรื่องลิมิตของฟังก์ชัน ซึ่งจะได้
ศึกษาในบทเรียนนี้ และขยายความไปสู่อนุพันธ์และ
การอินทิเกรตในบทถัดไป.. ในบทเรียนเรื่องลําดับเคย
ได้ศึกษาถึงลิมิตบ้างแล้วว่า การพิจารณาว่า เมื่อ x มี
ค่าเข้าใกล้จาํ นวนจริงค่าใดค่าหนึ่งแล้ว ฟังก์ชนั f(x)
จะมีค่าเข้าใกล้ค่าใด เรียกว่าการหาลิมติ ของฟังก์ชัน
และค่าลิมิตที่ได้จะเขียนเป็นสัญลักษณ์ว่า lim
x a
f(x) →

ตัวอย่างเช่น ฟังก์ชัน y = f (x) = x + 3 พบว่า เมื่อ x มีค่าเข้าใกล้ 5 (ไม่ว่า x จะมากกว่า


หรือน้อยกว่า 5) แล้ว y จะมีคา่ เข้าใกล้ 8 ดังนั้นจึงเขียนเป็นสัญลักษณ์ xlim →5
f (x) = 8

การหาค่าลิมิตของฟังก์ชันนั้น มีรายละเอียดย่อย 2 แบบ คือ ลิมิตซ้าย (Left-handed


limit) ซึ่งหาได้จากกรณีที่ x มีค่าเข้าใกล้ a ทางด้านซ้าย (หรือ x < a ) และ ลิมิตขวา (Right-
handed limit) ซึ่งหาได้จากกรณีที่ x มีค่าเข้าใกล้ a ทางด้านขวา (หรือ x > a )
สัญลักษณ์ที่ใช้แทนลิมิตซ้ายและลิมิตขวา คือ xlim
→a−
f (x) กับ lim f (x) ตามลําดับ
x→a +

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 296 ลิมิตและความตอเนื่อง

ฟังก์ชันใดๆ จะมีค่า xlim f (x) = L ก็ต่อเมื่อ lim f (x) = lim+ f (x) = L เท่านั้น แต่ถ้า
→a x → a− x→a

ลิมิตซ้ายกับลิมิตขวาไม่เท่ากันจะกล่าวว่า ไม่มีลิมิต

14.1 ทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิต
lim c = c lim [f (x)] n = [ lim f (x)] n
x→a x→a x→a

lim x = a lim n f (x) = n lim f (x)


x→a x→a x→a
n n
lim x = a lim [f (x) ± g (x)] = lim f (x) ± lim g (x)
x→a x→a x→a x→a
lim c f (x) = c lim f (x) lim [f (x) ⋅ g (x)] = lim f (x) ⋅ lim g (x)
x→a x→a x→a x→a x→a
lim [f (x) ÷ g(x)] = lim f (x) ÷ lim g(x)
x→a x→a x→a

• ตัวอยาง ใหหาคาลิมิตในแตละขอตอไปนี้
2
ก. lim (x + x + 1)
x → −1

ตอบ แทนคา x = −1 ลงไปไดเลย ไดลมิ ิตเทากับ 1


3
⎛ x −8 ⎞
lim ⎜
⎜ x − 2 ⎟⎟
* ข. x→0
⎝ ⎠
วิธีคิด หากแทนคา x → 0 (หรือมากกวา 0 เล็กนอย) จะไดเปน (−8) /(− 2) =
+
4 2
แตเมื่อ x → 0 ( x นอยกวา 0 เล็กนอย) จะทําให x ไมมีคา (ในรูทติดลบ)

สรุปวาลิมิตขวาเปน 4 2 แตไมมีลมิ ติ ซาย ... ดังนั้นคําตอบขอนี้คือ ไมมีลิมติ


⎛ x2 − 9 ⎞
ค. lim ⎜ ⎟⎟
x→3 ⎜ 3 − x
⎝ ⎠
วิธีคิด เมื่อลองแทนคา x = 3 จะได 0/0 ทําใหไมทราบคําตอบ
เราตองแยกคิดลิมิตซาย และลิมติ ขวา เพื่อใหถอดคาสัมบูรณออกได (ตามนิยามของคาสัมบูรณ)
ลิมิตซาย ทดลองแทนเลขทีน่ อยกวา 3 เล็กนอยลงไปเพือ่ ดูเครื่องหมายและถอดคาสัมบูรณ
⎛ x2 − 9 ⎞ ⎛ x2 − 9 ⎞
lim− ⎜ ⎟⎟ = lim− ⎜⎜ ⎟⎟ = lim− (− (x + 3)) = −6
x→3 ⎜ 3 − x
⎝ ⎠ x→3
⎝3−x⎠ x→3

ตอมาลิมิตขวา ทดลองแทนเลขที่มากกวา 3 เล็กนอยลงไปเพือ่ ถอดคาสัมบูรณ


⎛ x2 − 9 ⎞ ⎛ x2 − 9 ⎞
lim+ ⎜ ⎟⎟ = lim+ ⎜⎜ ⎟⎟ = lim+ (x + 3) = 6
x→3 ⎜ 3 − x
⎝ ⎠ x→3
⎝x−3⎠ x→3

พบวาลิมติ ซายกับขวามีคาไมเทากัน ดังนั้นขอนี้ตอบ ไมมีลิมิต


⎛ 5 − 2x − 3 ⎞
ง. lim ⎜ ⎟
x→4 ⎜
⎝ x − 4 ⎟⎠
วิธีคิด เมื่อลองแทนคา x = 4 ก็จะได 0/0 เราตองถอดคาสัมบูรณออกเชนเดิม
แตขอนี้บริเวณ x = 4 (ไมวาจะซายหรือขวา) นั้น ถอดคาสัมบูรณไดแบบเดียวคือ
⎛ 5 − 2x − 3 ⎞ ⎛ −5 + 2x − 3 ⎞ ⎛ 2x − 8 ⎞
lim ⎜ ⎟⎟ = lim ⎜ ⎟ = xlim ⎜ x − 4 ⎟ = xlim (2) = 2 ... ตอบ
x→4 ⎜
⎝ x − 4 ⎠
x→4
⎝ x − 4 ⎠ →4
⎝ ⎠ →4

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 297 ลิมิตและความตอเนื่อง

⎧⎪ x / x , x < −4.99
จ. lim− f (x) เมือ่ f (x) = ⎨
x →5 ⎪⎩ − x / x , x > 4.99
วิธีคิด ที่ x นอยกวา 5 เล็กนอย เชน 4.999999 จะตองใชเงื่อนไขลาง
จะได lim f (x) = lim (− x / x) =
x → 5− x → 5−
lim
x → 5−
(−1) = −1 ... ตอบ

⎧ x−4 , x < 6
ฉ. lim f (x) เมื่อ f (x) = ⎨
x →6
⎩ x −5 , x > 6
วิธีคิด ลิมิตซาย ( x นอยกวา 6 เล็กนอย) ใชเงื่อนไขบน ไดเทากับ 2
ลิมิตขวา ( x มากกวา 6 เล็กนอย) ใชเงื่อนไขลาง ไดเทากับ 1 ... ดังนั้นขอนีต้ อบวาไมมีลมิ ิต

แบบฝึกหัด 14.1
(1) จากกราฟ จงหาค่า xlim
→ −1
f (x) และ lim f (x)
x→1

(1.1) y (1.2) y

2
O 1 x -1 1 x
-1 -2

(2) จงหาค่าของ xlim


→2
f (x) เมื่อ

(2.1) f (x) = 1+ x (2.2) f (x) = x3+2x2+ x

(3) จงหาค่าของ
⎛ x2+ 1 ⎞ ⎛ x ⎞
(3.1) xlim
→1 ⎜⎜ x − 3 ⎟⎟ (3.3) lim ⎜
x→1 ⎜ x − 1


⎝ ⎠ ⎝ ⎠
(3.2) lim x2+ x
x→3
S e¾ièÁeµiÁ! S
(4) จงหาค่าของ
ÃaÇa§ÊaºÊ¹¤íÒÇ‹Ò äÁ‹ÁÅÕ Ái iµ ¡aº ËÒ¤‹ÒäÁ‹ä´Œ..
⎧x + 1 , x < 2
(4.1) xlim f (x) เมื่อ f (x) = ⎨ äÁ‹ÁÅÕ Ái iµ (ËÃ×oÅiÁµi äÁ‹Á¤Õ ‹Ò) æ»ÅNjÒäÁ‹ä´Œe¢ŒÒ
→2 ⎩2 , x > 2
ã¡ÅŒ¤‹Òã´e»š¹¾ieÈÉ (eª‹¹ ÅiÁµi «ŒÒ¡aºÅiÁµi
⎧x +2 , x > 3
(4.2) lim f (x) เมื่อ f (x) = ⎨ ¢ÇÒäÁ‹e·‹Ò¡a¹)
x→3 ⎩ x −5 , x < 3
测 ËÒ¤‹ÒäÁ‹ä´Œ æ»ÅÇ‹Ò ÁÕÅiÁµi e»š¹ ∞ ¤Ãaº
⎪⎧ x +5 , x > 4
(4.3) lim f (x) เมื่อ f (x) = ⎨ ( ∞ eÃÕ¡e»š¹ÀÒÉÒä·ÂÇ‹Ò ËÒ¤‹ÒäÁ‹ä´Œ)
x→4 ⎪⎩ 2x −5 , x < 4
⎧ x2 , x < 3
(4.4) lim f (x) และ lim f (x) เมื่อ f (x) = ⎨
x→3 x→4
⎩2x , x > 3

⎛ [(x +h)2+ 1] − (x2+ 1) ⎞


(5) จงหาค่าของ lim ⎜⎜ ⎟⎟
h→0
⎝ h ⎠

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 298 ลิมิตและความตอเนื่อง

(x −2)2
(6) [Ent’39] จงหาค่า lim− f (x) , lim+ f (x) , และ lim f (x) เมื่อ f (x) =
x →2 x →2 x →2 x −2
2
x −9
(7) [Ent’41] กําหนดให้ f (x) = จงหาค่า lim f (x) และ lim f (x)
x −3 x → −3 x→3

⎧ x2 , x > 1
⎪ ⎡ f (x − 1)⎤
* (8) [Ent’มี.ค.43] f (x) = ⎨x-1 , 0 < x < 1 จงหาค่า lim− f (x2) + lim+ ⎢ ⎥
x→0 x → 1 ⎣ x +2 ⎦
⎪ 0, x < 0

14.2 ลิมิตในรูปแบบยังไม่กาํ หนด


x2 − 9
ตัวอย่าง หาค่า lim f (x) เมื่อ f (x) =
x→3 x − 3
0
ในตัวอย่างนี้ จะพบว่าไม่สามารถหาลิมิตด้วยทฤษฎีบทได้ในทันที เพราะจะให้ผลเป็น ซึ่ง
0
เรียกว่า รูปแบบยังไม่กําหนด (indeterminate form) คือยังสรุปไม่ได้ว่าค่าลิมิตเป็นเท่าใด
x2 − 9 (x + 3)(x − 3)
วิธีคิด xlim = lim = lim (x + 3) = 6
→3 x − 3 x→3 x − 3
x→3

เทคนิคการคํานวณที่ใช้คือ พยายามให้ x −3 ในเศษและส่วนมาตัดกัน เพื่อไม่ให้เหลือตัวประกอบใน


เศษและส่วนเป็นเลข 0 (ในตัวอย่างใช้วิธีแยกตัวประกอบ แต่นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเทคนิค เช่นการ
นําพหุนามมาคูณทั้งเศษและส่วนตามความเหมาะสม)
y
สาเหตุที่เราสามารถกําจัด x −3 ทั้งเศษและส่วนได้
ก็เพราะการหาลิมิตนั้นไม่ได้คํานึงถึงตําแหน่งที่ x = 3 อยู่แล้ว 6
จะเห็นว่าตัวอย่างนี้แม้ f (3) จะหาค่าไม่ได้ แต่ xlim ก็ยังหาค่าได้
→3 x
(เท่ากับ 6) (ดูกราฟประกอบ) O 3

• ตัวอยาง ใหหาคาลิมิตในแตละขอตอไปนี้
⎛ x2 + 9 − 5 ⎞
ก. lim ⎜⎜ ⎟

x→4
⎝ x−4 ⎠
วิธีคิด เมื่อลองแทนคา x = 4 จะพบวาอยูในรูปแบบ 0/0 ทําใหยังไมทราบคําตอบ
2
ขอนี้มีรากที่สอง เราจึงจัดรูปใหมโดยใช x + 9 + 5 คูณทั้งเศษและสวน (เพื่อใหรูทหายไป)
2 2
ตามกฎที่วา (A − B)(A + B) = A − B ...
⎛ x2 + 9 − 5 ⎞ ⎛ x2 + 9 + 5 ⎞ ⎛ x2 + 9 − 25 ⎞
จะได lim ⎜⎜ ⎟⎜

⎟ = lim ⎜ ⎟
x 4 ⎜ 2
⎠ ⎝ x + 9 + 5⎠ ⎟ 2
⎝ (x − 4)( x + 9 + 5) ⎠
x→4 − x→4 ⎜ ⎟

⎛ x2 − 16 ⎞ ⎛ x+4 ⎞ 8
= lim ⎜ ⎟ = lim ⎜ ⎟ = ... ตอบ
2 2 10
⎝ (x − 4)( x + 9 + 5) ⎠
x→4 ⎜ ⎟ x → 4 ⎜ x + 9 + 5⎟
⎝ ⎠
⎛ x2 + 2x − 3 + 9−x⎞
ข. lim ⎜ ⎟
x→0 ⎝ x ⎠

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 299 ลิมิตและความตอเนื่อง

วิธีคิด เมื่อลองแทนคา x=0 จะพบวาอยูในรูปแบบ 0/0 เชนกัน ใชวิธีจัดรูปเหมือนขอ ก.


⎛ 3− 9−x⎞ ⎛3 − 9− x ⎞
lim ⎜ x + 2 − ⎟ = lim (x + 2) − lim ⎜ ⎟
x→0 ⎝ x ⎠ x → 0 x → 0 ⎝ x ⎠
⎛3 − 9 − x ⎞ ⎛3 + 9−x⎞ ⎛ 9 − (9 − x) ⎞
= 2 − lim ⎜ ⎟⎜ ⎟ = 2 − lim ⎜ ⎟
x→0 ⎝ x ⎠ ⎝⎜ 3 + 9 − x ⎠⎟ x → 0 (x)(3 +
⎝ 9 − x) ⎠
x ⎛ 1 ⎞ 1 11
= 2 − lim ⎜⎛ ⎞
⎟ = 2 − xlim ⎟ = 2 − 6 =
x → 0 (x)(3 + 9 − x) →0 ⎜ 3 + 9 − x 6
⎝ ⎠ ⎝ ⎠
⎛ 32 − 3x ⎞
ค. lim ⎜ ⎟
x →2 ⎜ 2 − x ⎟
⎝ ⎠
วิธีคิด โจทยรูปแบบ 0/0 ขอนีม้ ีรากที่สาม ดังนั้นพจนที่นํามาคูณเพือ่ ใหรูทหายไป จะตางจากเดิม ตาม
2 2 3 3
กฎที่วา (A − B)(A + AB + B ) = A − B ...
และขอนี้ตองคูณถึงสองรอบ เพราะตัวสวนก็มีรากที่สองดวย
⎛ 3 2 − 3 x ⎞ ⎛ 2 2/ 3+ (2x)1/ 3+ x 2/ 3 ⎞ ⎛ 2 + x ⎞ ⎛2 − x ⎞ ⎛ 2+ x ⎞
lim ⎜ ⎟⎟ ⎜⎜ 2/ 3 ⎟⎟ ⎜⎜ ⎟⎟ = lim ⎜ ⎟ ⎜⎜ 2/ 3 ⎟⎟
⎜ 1/ 3 2/ 3 x →2 2 − x 1/ 3 2/ 3
x →2
⎝ 2 − x ⎠ ⎝ 2 + (2x) + x ⎠⎝ 2 + x⎠ ⎝ ⎠ ⎝ 2 + (2x) + x ⎠
⎛ 2+ x ⎞ 2+ 2 2 2 2 5/ 6
= lim ⎜ 2/ 3 2/ 3 ⎟
= = =
x →2 ⎜ 2 1/ 3
+ (2x) + x ⎟ 2 + 2 2/ 3+ 2 2/ 3
2/ 3
3 × 2 2/ 3 3
⎝ ⎠

เพิ่มเติม จากเนื้อหาเรื่องอนุพันธ์ บทที่ 15 S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S


การหาลิมิตในรูปแบบยังไม่กําหนด มีวิธีการคํานวณอีก ¹Œo§æ Áa¡¢Õée¡Õ¨e¢Õ¹¤íÒÇ‹Ò xlim ¹íÒ˹ŒÒ测ÅaºÃ÷a´ã¹eÇÅÒ
→ ,
แบบซึ่งง่ายขึ้น เรียกว่า กฎของโลปีตาล (L’Hôpital’s
Rule) ได้อธิบายไว้ท้ายบทนี้แล้ว (ในหน้าแถม) ·´ËÃ×oæÊ´§Çi¸Õ·íÒ ... «Ö觶ŒÒäÁ‹e¢Õ¹¹o¡¨Ò¡¨a¼i´¤ÇÒÁËÁÒÂ
æÅŒÇ Âa§oÒ¨Å×Áæ·¹¤‹ÒµaÇeÅ¢´ŒÇ ¤íÒµoº¡ç¨a¼i´¹a¤Ãaº

แบบฝึกหัด 14.2
(9) หาค่าของลิมิตต่อไปนี้
⎛ x2− 4 ⎞ ⎛ x2−2x − 3 ⎞
(9.1) xlim ⎜
→2 ⎜
⎟⎟ (9.3) lim ⎜⎜ 2 ⎟⎟
⎝ x −2 ⎠ x → −1
⎝ x + 4x + 3 ⎠
⎛ x2− 4 ⎞ ⎛ x −a ⎞
(9.2) lim ⎜⎜ 2 ⎟⎟ (9.4) lim ⎜⎜ 2 2 ⎟⎟
x →2
⎝ x + x −6 ⎠ x→a
⎝ x −a ⎠

(10) หาค่าของลิมิตต่อไปนี้
⎛ 1− x ⎞ ⎛ 2x ⎞
(10.1) lim ⎜ ⎟⎟ (10.4) lim ⎜ ⎟
x→1 ⎜ 1− x x→0 ⎜ x +9 − 3 ⎟
⎝ ⎠ ⎝ ⎠
⎛ x −1 ⎞ ⎛ x + 1 −1 ⎞
(10.2) lim ⎜ ⎟ (10.5) lim ⎜ ⎟
x → 1 ⎜ 2− x + 3



x→0 ⎜
⎝ x ⎟

⎛ x −2 − 1 ⎞ ⎛ x− 2 ⎞
(10.3) lim ⎜ ⎟ (10.6) lim ⎜ 2 ⎟
x→3 ⎜ x −3 ⎟ x →2 ⎜ x −2x ⎟
⎝ ⎠ ⎝ ⎠

⎛ x2+ 3 −2 ⎞
(11) [Ent’มี.ค.44] lim ⎜ ⎟ มีค่าเท่ากับเท่าใด
x→1 ⎜ x −1 ⎟
⎝ ⎠

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 300 ลิมิตและความตอเนื่อง

(12) จงหาค่าของ
⎛ x3− 1 ⎞ ⎛ 1− x − 3 ⎞
(12.1) lim ⎜⎜ 2 ⎟⎟ (12.3) lim ⎜ ⎟
x → −8 ⎜ 2 + 3 x ⎟
x→1
⎝ x −1 ⎠ ⎝ ⎠
⎛ 3 x −1 −1 ⎞ ⎛ 4 x −1 ⎞
(12.2) lim ⎜ ⎟ (12.4) lim ⎜ ⎟
x →2 ⎜ x − 2 ⎟ x → 1 ⎜ 3 x −1 ⎟
⎝ ⎠ ⎝ ⎠
⎧ x −1
⎪ , x < 1
⎪ 1− x
(13) [Ent’38] จงหาค่า lim f (x) + lim+ f (x) เมื่อ f (x) = ⎨
x → 1− x→1
⎪ 1-x , x > 1
⎪ 1− x

14.3 ความต่อเนื่องของฟังก์ชัน
การพิจารณาความต่อเนื่องของฟังก์ชัน ณ จุดใดๆ ก็คือการบอกว่ากราฟของฟังก์ชันขาด
ตอนที่จุดนั้นหรือไม่ โดยสําหรับฟังก์ชัน f (x) ใดๆ จะต่อเนื่องที่ x = a ก็ต่อเมื่อ
lim f (x) = f (a) = lim f (x) เท่านั้น (และต้องหาค่าได้ทั้งสามตัว)
x→a −
x→a +

นิยามของ ความต่อเนื่องบนช่วง
1. ฟังก์ชัน f (x) ต่อเนื่องบนช่วงเปิด (a, b) ก็ต่อเมื่อ f (x) ต่อเนื่องทุกๆ จุดในช่วง (a, b)
2. ฟังก์ชัน f (x) ต่อเนื่องบนช่วงปิด [a, b] ก็ต่อเมื่อ f (x) ต่อเนื่องบนช่วง (a, b) , ต่อเนื่องทางขวา
ของ a [คือ f (a) = xlim
→a
f (x) ], และต่อเนื่องทางซ้ายของ b [คือ f (b) = lim f (x) ]
+
x →b −

⎧ f (x) , x < 1

• ตัวอยาง กําหนดให f (x) = mx + 1 เมื่อ m เปนคาคงตัว และ g(x) = ⎨f (x + 1) , x > 1
⎪ −1 , x = 1

ก. ถา g(x) มีลมิ ิตที่ x = 1 แลว m มีคาเทาใด
วิธีคิด g (x) มีลิมิตที่ x = 1 แสดงวา lim g(x) = lim g(x) ... นั่นคือ
x → 1− x → 1+
f (1) = f (1 + 1)

f (1) = f (2) → m + 1 = 2 m + 1 → m = 0 ... ตอบ


ข. ถา g (x) ตอเนื่องในชวง [0, 1] แลว m มีคาเทาใด
วิธีคิด g (x) ตอเนื่องในชวง [0, 1] แสดงวา lim g(x) เทากับ g(1) ...
x → 1−

นั่นคือ f (1) = −1 → m + 1 = −1 → m = −2 ... ตอบ


ค. ถา g (x) ตอเนือ่ งในชวง [1, 2] แลว m มีคาเทาใด
วิธีคิด g (x) ตอเนื่องในชวง [1, 2] แสดงวา lim g(x) เทากับ g(1) ...
x → 1+

นั่นคือ f (2) = −1 → 2 m + 1 = −1 → m = −1 ... ตอบ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 301 ลิมิตและความตอเนื่อง

แบบฝึกหัด 14.3
(14) ฟังก์ชันต่อไปนี้ มีความต่อเนื่องที่ x = 2 หรือไม่
⎧ x2− 4
x3−8 ⎪ , x ≠ 2
(14.1) f (x) = (14.2) f (x) = ⎨ x −2
x −2 ⎪ 4,
⎩ x = 2

(15) ฟังก์ชันต่อไปนี้มีความต่อเนื่องที่จุดใดบ้าง
⎧ x2− x ⎧x
f (x) = ⎨ x , x ≠ 0 h (x) = ⎨ x , x ≠ 0
⎪ ⎪
(15.1) (15.3)
⎪⎩ 1 , x = 0 ⎪ 2, x = 0

⎧ x2−9
⎪ , x ≠ 3
(15.2) g(x) = ⎨ x − 3
⎪ 2, x = 3

(16) ฟังก์ชัน f (x) = x + 1 ต่อเนื่องที่ x = −1 หรือไม่


⎧ −3/2 , x < −1
⎪2x2+ x − 1

⎪ , −1 < x < 1
(17) [Ent’มี.ค.42] กําหนดให้ f (x) = ⎨ 2 (x + 1) แล้ว ข้อความใดถูกบ้าง
⎪ 1− x
⎪ , x > 1
⎪⎩ 1− x

ก. f ต่อเนื่องที่ x = −1 ข. f ต่อเนื่องที่ x = 1

⎧ 1
⎪ 3x + 1 , 0 < x < 1
⎪⎪
(18) [Ent’ต.ค.41] กําหนดให้ f (x) = ⎨ 1, x = 1 แล้ว ข้อความใดถูกบ้าง
⎪ 2− 5− x
⎪ , x > 1
⎪⎩ x −1
ก. lim f (x) = lim+ f (x) ข. f เป็นฟังก์ชันต่อเนื่องที่ x = 1
x → 1− x→1

⎧3x + a , x = 2

(19) จงหาค่า a ที่ทําให้ฟังก์ชนั f (x) = ⎨ x2− 4 มีความต่อเนื่องที่ x = 2
⎪ x −2 , x ≠ 2

⎧ 1− x2 , x ∈ (−∞, 1)
(20) จงหาค่า b ที่ทําให้ฟังก์ชัน f (x) = ⎨ เป็นฟังก์ชันต่อเนื่อง
⎩ x +b , x ∈ [1, ∞)

⎧ 2, x < 1
⎪ x −5
⎪ , 1< x < 2
(21) จงหาค่า b ที่ทําให้ f (x) = ⎨ ต่อเนื่องที่ x = 2
x −2 −b

⎪ x2−5 , x > 2

และถามว่า ค่า b ที่ได้นี้ทําให้ f (x) ต่อเนื่องที่ x = 1 หรือไม่ เพราะเหตุใด
⎧ ax , x < 1

(22) ถ้าฟังก์ชัน f (x) = ⎨ 4 , x=1 ต่อเนื่องที่จดุ ซึ่ง x = 1 แล้ว จงหาค่า a, b
⎪x + b , x > 1

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 302 ลิมิตและความตอเนื่อง

(23) จงหาค่า h, k ในแต่ละข้อ เมื่อฟังก์ชันที่กําหนดให้นี้มีความต่อเนื่องบนช่วง [1, 3]


⎧(x −2)2 ⎧ h, x = 1
⎪ 2 , x > 2 ⎪ x+1
⎪ x −4 ⎪ , 1< x < 3
(23.1) f (x) = ⎨ (23.2) f (x) = ⎨ 2
x − 4x
⎪ h, x = 2 ⎪
⎪ 2x +k , x < 2 ⎪⎩ k , x = 3

x3−2x2− x +2
(24) [Ent’37] กําหนดให้ f (x) = ถ้าต้องการให้ f เป็นฟังก์ชันต่อเนื่องบนเซตของ
x2− 1
จํานวนจริงแล้ว จะต้องนิยามเพิ่มเติมให้ f (−1) และ f (1) มีค่าเท่าใด
x3− x2− 4x + 4
(25) [Ent’ต.ค.42] กําหนดให้ f เป็นฟังก์ชันต่อเนื่อง โดยที่ f (x) = เมื่อ x ≠ ±2
4 − x2
และ f (2) = a, f (−2) = b แล้ว a และ b มีค่าเท่าใด

เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(1.1) –1, ไม่มี (9.4) 1/2a (10.1) 1/2 (15.2) ทุกจุดยกเว้นที่ x = 3
(1.2) 0, ไม่มี (10.2) –4 (10.3) 1/2 (15.3) ทุกจุดยกเว้นที่ x = 0
(2.1) 3 (2.2) 18 (10.4) 12 (10.5) 1/2 (16) ต่อเนื่อง
(3.1) –1 (3.2) 12 (10.6) 1/4 2 (11) 1/2 (17) ก.ถูก และ ข.ถูก
(3.3) หาค่าไม่ได้ (4.1) ไม่มี (12.1) 3/2 (12.2) 1/3 (18) ก.ถูก และ ข.ผิด
(4.2) ไม่มี (4.3) 3 (12.3) –2 (12.4) 3/4 (19) –2 (20) –1
(4.4) ไม่มี, 8 (5) 2x (13) 0 + (−2) = −2 (21) 3, ไม่ต่อเนือ่ งที่ x = 1
(6) –1, 1, ไม่มี (14.1) ไม่ต่อเนื่อง เพราะไม่มี f (2) เพราะลิมติ ซ้ายไม่เท่ากับขวา
(7) 0, ไม่มีลิมิต (22) 4, 3 (23.1) 0, –4
(14.2) ต่อเนือ่ ง (23.2) –2/3, –4/3
(8) –4/3 (9.1) 4 (15.1) ทุกจุดยกเว้นที่ x = 0
(9.2) 4/5 (9.3) –2 (24) –3, –1 (25) –1, 3

เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
(1.1) พิจารณาจากกราฟ ที่ x = −1 (2.2) lim f(x) = 8 + 8 + 2 = 18
x →2
กราฟผ่านจุด (−1, −1) ทัง้ ทางซ้ายและขวา 1+ 1
(3.1) = −1
ดังนัน้ xlim
→ −1
f(x) = −1 1− 3

แต่ที่ x = 1 กราฟแยกกัน (3.2) 9 + 3 = 12


lim f(x) = −1 และ lim f(x) = 0 (3.3) 1 คือ หาค่าไม่ได้ ( ∞ )
x→1 −
x→1
+
0
ดังนัน้ xlim
→1
f(x) ไม่มีค่า (ไม่มีลิมิต) (4) ในข้อนี้มีการแยกกรณี จึงต้องพิจารณาซ้ายและ
(1.2) xlim f(x) = 0 แต่ lim f(x) ไม่มีค่า
ขวาแยกกัน
→ −1 x→1 (4.1) xlim
→2
f(x) = 2 + 1 = 3

(เนื่องจาก xlim f(x) = 2 และ lim f(x) = −2 )
→1

x→1
+
แต่ xlim
→2
f(x) = 2 ดังนัน
+
้ ไม่มีลิมิต
(2) และ (3) สามารถแทนค่าได้เลย ไม่มีปญ ั หา
เพราะฟังก์ชันเป็นฟังก์ชันเดียว (ไม่แยกเงื่อนไข และ (4.2) xlim
→3
f(x) = 3 − 5 = −2

ไม่ติดค่าสัมบูรณ์) แต่ xlim f(x) = 3 + 2 = 5 ดังนัน ้ ไม่มีลิมิต


→3 +
(2.1) xlim
→2
f(x) = 1 + 2 = 3

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 303 ลิมิตและความตอเนื่อง

(4.3) lim f(x) = 8 − 5 = 3 (8) lim f(x2) พิจารณาว่า x → 0 ทางซ้าย


x → 4− x → 0−

และ lim f(x) = 4+5 = 3 ดังนัน้ x2 → 0 ทางขวา จึงต้องเลือกใช้กรณีกลาง


x → 4+
มาคิด (0 < x < 1) ได้เป็น
จึงตอบว่า xlim f(x) = 3
→4 lim− f(x2) = lim−(x2 − 1) = −1
x →0 x→0
(4.4) xlim f(x) = 32 = 9
→3 ⎛ f(x − 1) ⎞

และเช่นกัน lim ⎜ ⎟ ถ้า x → 1 ทางขวา


แต่ lim+ f(x) = 2(3) = 6 ดังนั้น lim f(x) ไม่มี ⎝ x +2 ⎠
x → 1+
x→3 x→3

ส่วน xlim f(x) มี เท่ากับ 2(4) = 8


จะได้วา่ x − 1 → 0 ทางขวา จึงใช้กรณีกลาง
→4
เช่นเดิม ได้เป็น
(พิจารณาที่ x ใกล้ๆ 4 จึงมองเพียงกรณีล่าง คือ ⎛ f(x − 1) ⎞ ⎛ x − 1 − 1⎞ 1
lim ⎜ ⎟ = lim+ ⎜ ⎟ = −
x > 3 เท่านัน ้ ) x → 1+ ⎝ x+2 ⎠ x→1 ⎝ x + 2 ⎠ 3
(5) แทนค่ายังไม่ได้เพราะเป็น 0 ดังนัน้ ตอบ −1 − 1 = − 4
0 3 3
จึงควรกระจายก่อน (x − 2)(x + 2)
(9.1) xlim = lim(x + 2) = 4
⎛ x2 + 2xh + h2 + 1 − x2 − 1 ⎞ →2 x−2 x →2
lim ⎜ ⎟
h→0 ⎝ h ⎠ (x − 2)(x + 2) ⎛ x + 2⎞ 4
(9.2) xlim → 2 (x − 2)(x + 3)
= lim ⎜ ⎟ =
x →2 ⎝ x + 3 ⎠
⎛ 2xh + h2 ⎞ 5
= lim ⎜ ⎟ = hlim(2x + h) = 2x (x + 1)(x − 3) −4
h→0 ⎝ h ⎠ →0 (9.3) xlim = = −2
→ −1 (x + 1)(x + 3) 2
(x − 2)2 x−2 x−a 1
(6) f(x) = = (9.4) xlim =
x−2 x−2 → a (x − a)(x + a) 2a
หา lim f(x) โดยมองที่ x < 2 เล็กน้อย
x → 2− 1− x 1 1
(10.1) lim = =
x → 1 (1 − x)(1 + x) 1+ 1 2
จึงถอดค่าสัมบูรณ์ออกได้ แต่ต้องติดลบ
(เพราะ x − 2 < 0 ) ⎛1 − x ⎞ ⎛1 + x⎞
หรืออีกวิธหี นึง่ lim ⎜ ⎟⎜ ⎟
−(x − 2) ⎝ 1 − x ⎠ ⎝1 +
x→1 x⎠
→ lim− = lim−(−1) = −1
x →2 x −2 x →2 1− x 1
= lim =
และหา xlim f(x) โดยมองที่ x > 2 เล็กน้อย x → 1 (1 − x)(1 + x) 2
→2 +

x−1 ⎛2 + x + 3⎞
จึงถอดค่าสัมบูรณ์ได้เลยทันที (10.2) lim ⎜ ⎟
x → 1 (2 − x + 3) ⎝ 2 + x + 3⎠
(เพราะ x − 2 > 0 )
(x − 1)(2 + x + 3)
ดังนัน้ xlim f(x) = −1 , lim f(x) = 1 , = lim
→2 −
x →2 + x→1 1− x
และ lim f(x) ไม่มีค่า = lim − (2 + x + 3) = −4
x →2 x→1

(7) lim f(x) แทนค่า x = −3 ได้ทนั ทีไม่มีปญ


ั หา (10.3) ⎛ x − 2 − 1⎞ ⎛ x−2 + 1⎞
x → −3 lim ⎜ ⎟⎜ ⎟
0 ⎝ x − 3 ⎠⎝
x→3 x −2 + 1⎠
ได้เป็น = 0 (x − 3) 1
−6 = lim =
0 x → 3 (x − 3)( x − 2 + 1) 2
แต่ lim f(x) แทนเลยไม่ได้เพราะเป็น
x→3 0 ⎛ 2x ⎞ ⎛ x + 9 + 3⎞
lim ⎜
จึงต้องถอดค่าสัมบูรณ์ เพื่อแยกตัวประกอบมาตัดกัน (10.4) x →0
⎟⎜ ⎟
⎝ x + 9 − 3⎠ ⎝ x + 9 + 3⎠
− (x2 − 9) (2x)( x + 9 + 3)
lim− f(x) = lim− = lim
x→3 x→3 x−3 x →0 x
= lim− − (x + 3) = −6
x→3 = lim 2( x + 9 + 3) = 12
x →0
(x2 − 9)
แต่ xlim f(x) = lim+ = 6 ⎛ x + 1 − 1⎞ ⎛ x + 1 + 1⎞
→ 3+ x→3 x−3 (10.5) lim ⎜ ⎟⎜ ⎟

x →0 x ⎠ ⎝ x + 1 + 1⎠
ดังนัน้ lim f(x) ไม่มีค่า
x→3 x 1
= lim =
x → 0 (x)( x + 1 + 1) 2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 304 ลิมิตและความตอเนื่อง

(10.6) ⎛ x − 2⎞⎛ x + 2⎞
lim ⎜ 2
(14.1) แม้ว่าจะหา xlim →2
f(x) ได้โดยการแยกตัว
⎟⎜ ⎟
⎝ x − 2x ⎠ ⎝ x + 2 ⎠
x →2
ประกอบ (ได้เป็น 12) แต่ที่จริงแล้ว f(2) ไม่นิยาม
(x − 2) 1
= lim = ดังนัน้ ไม่ต่อเนื่อง ที่ x = 2
x → 2 (x)(x − 2)( x + 2) (2)(2 2)
1
(14.2) f(2) = 4 (กรณีล่าง)
=
4 2 หา xlim →2
f(x) โดยกรณีบน ได้เป็น
⎛ x2 + 3 − 2 ⎞ ⎛ x2 + 3 + 2 ⎞ lim(x + 2) = 4 ดังนั้น ต่อเนื่อง ที่ x = 2
(11) lim ⎜ ⎟⎜ ⎟ x →2
x→1 ⎝ x−1 ⎠ ⎜⎝ x2 + 3 + 2 ⎟⎠
(15) ฟังก์ชนั ทั่วไปจะไม่ต่อเนือ่ งแค่เพียงบางจุด การ
(x2 − 1) หาว่าต่อเนื่องทีจ่ ดุ ใดบ้าง ควรหาในแง่กลับกันว่า “จุด
= lim
(x − 1)( x2 + 3 + 2)
x→1
ใดไม่ต่อเนื่องบ้าง” แล้วตอบว่า “ต่อเนือ่ งทุกจุดยกเว้น
(x + 1) 2 1 ที่ ......” และจุดที่มีปัญหามักเป็นจุดที่แยกกรณีพอดี
= lim = =
x→1
( x2 + 3 + 2) 4 2
เช่นข้อ (15.1) ควรพิจารณาเฉพาะทีจ่ ุด x = 0
(x − 1)(x2 + x + 1) 1+ 1+ 1 (15.1) f(0) = 1
(12.1) lim =
x→1 (x − 1)(x + 1) 1+ 1 x(x − 1)
3 และ xlim f(x) = lim = 0 − 1 = −1
= →0 x→0 x
2 ดังนัน้ ตอบว่า ต่อเนื่องทุกจุด ยกเว้นทีจ่ ุดซึ่ง x = 0
⎛ 3 x − 1 − 1 ⎞ ⎛ (x − 1)2 / 3 + (x − 1)1/ 3 + 1 ⎞
(12.2) lim ⎜ ⎟ ⎜⎜ ⎟⎟ (15.2) g(3) = 2
⎝ x − 2 ⎠ ⎝ (x − 1) + (x − 1) + 1 ⎠
x →2 2/ 3 1/ 3
(x − 3)(x + 3)
(x − 2)
และ xlim g(x) = lim = 6
= lim
→3 x→3 (x − 3)
x →2 (x − 2)((x − 1)2 / 3 + (x − 1)1/ 3 + 1) ต่อเนื่องทุกจุดยกเว้นจุดซึง่ x = 3
1 1 ⎧⎪ 1, x > 0
= =
1+ 1+ 1 3 (15.3) h(x) = ⎨−1, x < 0
⎪⎩ 2, x = 0
(12.3)
⎛ 1 − x − 3 ⎞ ⎛ 1 − x + 3 ⎞ ⎛ 4 − 2 3 x + x2 / 3 ⎞ แสดงว่าลิมิตซ้าย, ขวา, และค่าฟังก์ชัน ไม่เท่ากันเลย
lim ⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ 2/ 3 ⎟
x → −8
⎝ 2 + x ⎠ ⎝ 1− x + 3 ⎠ ⎝ 4 −2 x + x ⎠
3 3 จึงตอบว่า ต่อเนือ่ งทุกจุดยกเว้นทีจ่ ุดซึง่ x = 0
(−x − 8)(4 − 23 x + x2 / 3) (16) f(−1) = 0 = 0
= lim lim f(x) = lim − − (x + 1) = −0 = 0
x → −8 (8 + x)( 1 − x + 3) x → −1− x → −1
2/ 3
⎛4 − 2 x + x 3 ⎞ และ x lim f(x) = lim (x + 1) = 0
= lim − ⎜ ⎟ → −1 +
x → −1 +
x → −8 ⎝ 1− x + 3 ⎠
4+4+4
ดังนัน้ ต่อเนื่อง ที่ x = −1
= − = −2 (17) ก. พิจารณาที่ x = −1 คือกรณีบนกับกลาง
3+3
4
x − 1⎞ ⎛ 4 x + 1
2/ 3 1/ 3
x + 1⎞ ⎛ x + x + 1⎞ (กรณีบน บอกลิมิตซ้ายและค่า f, ส่วนกรณีกลาง
(12.4) lim ⎛⎜ ⎟⎜ 4 ⋅ ⎟ ⎜ 2/ 3 1/ 3 ⎟ บอกลิมิตขวา)
⎝ x − 1⎠ ⎝ x + 1 x + 1⎠ ⎝ x + x + 1⎠
x→1 3

3
(x − 1)(x2/ 3 + x1/ 3 + 1) lim f(x) = f(−1) = −
= lim x → −1− 2
x → 1 (x − 1)(4 x + 1)( x + 1)
2x2 + x − 1
1+ 1+ 1 3 และ x lim f(x) = lim
= = → −1+ x → −1+ 2(x + 1)
(1 + 1)(1 + 1) 4
(x + 1)(2x − 1) 3
x −1 x −1 = lim + = − ดังนั้น ก. ถูก
(13) lim f(x) = lim− = lim− x → −1 2(x + 1) 2
x → 1− x→1 1− x x→1 1− x
−(1 − x) ข. พิจารณาที่ x = 1 คือ กรณีกลางกับล่าง จะได้ว่า
= lim− = lim− − 1 − x = 0
1− x 2(1)2 + 1 − 1 1
x→1 x→1
lim− f(x) = f(1) = =
1− x −(1 − x) x→1 2(1 + 1) 2
และ xlim f(x) = lim+
x→1 1 −
= lim+
⎛1 − x ⎞
→ 1+ x x→1 1 − x และ lim f(x) = lim+ ⎜ ⎟ =
x→1 ⎝ 1 − x ⎠
−(1 − x)(1 + x) x → 1+
= lim+ = lim+ − (1 + x)
x→1 1− x x→1 1− x 1
lim = ดังนัน้ ข. ถูก
= −2 ดังนัน้ ตอบ 0 − 2 = −2 x → 1+ (1 − x)(1 + x) 2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 305 ลิมิตและความตอเนื่อง

(18) ก. ลิมติ ซ้ายคือกรณีบน (23.1) ต่อเนื่องบนช่วง [1,3] แสดงว่า


1 1 ต่อเนื่องทีจ่ ุด x = 2 ด้วย
lim f(x) = =
x → 1− 3(1) + 1 4 lim f(x) = f(2)
x → 2−
ลิมิตขวาคือกรณีล่าง (x − 2)(x − 2) 0
⎡ ⎤
⎛2 − 5 − x ⎞ ⎛2 + 5 − x ⎞ ⎢ xlim (x 2)(x 2)
=
4
= 0⎥ = h
lim f(x) = lim+ ⎜ ⎣ 2 − + ⎦


⎟⎜ ⎟
x → 1+ x→1 ⎝ x − 1 ⎠ ⎝2 + 5 − x ⎠
→ h = 0
(x − 1) 1
= lim+ = ดังนัน้ ก. ถูก และ lim f(x) = f(2) → 2(2) + k = 0
x → 1 (x − 1)(2 + 5 − x) 4 x → 2+

ข. ผิด เพราะ f(1) = 1 ไม่เท่ากับลิมิตในข้อ ก. → k = −4


(จึงไม่ต่อเนื่องที่ x = 1 ) (23.2) ต่อเนื่องบนช่วง [1,3] แสดงว่า
(19) xlim→2
f(x) = f(2) ต่อเนื่องทางขวาของ 1 และทางซ้ายของ 3 ด้วย
1+ 1 2

→ ⎢ lim
(x − 2)(x + 2) ⎤
= 4⎥ = 3(2) + a
ดังนัน้ f(1) = xlim f(x) → h = = −
→1 +
1− 4 3
⎣x → 2 x+2 ⎦
3+1 4
→ a = −2 และ f(3) = lim− f(x) → k = = −
x→3 9 − 12 3
(20) lim f(x) = f(1) → 1 − 12 = 1 + b (x2 − 1)(x − 2)
x → 1− (24) พิจารณา f(x) = = x−2
→ b = −1 (x2 − 1)

(21) ต่อเนือ่ งที่ x = 2 แสดงว่า เมื่อ x ≠ 1, −1


2−5 ต้องการให้ตอ่ เนือ่ ง จึงต้องนิยามให้
lim f(x) = f(2) → = 22 − 5 f(−1) = lim f(x) = −1 − 2 = −3
x → 2− 2−2 −b x → −1
3 และให้ f(1) = lim f(x) = 1 − 2 = −1
→ = −1 → b = 3 x→1
−b
และพิจารณาที่ x = 1 บ้าง ... f(1) = 2 และ (x2 − 4)(x − 1)
(25) พิจารณา f(x) = = 1− x
(4 − x2)
1−5 4
lim f(x) = = = −2
x → 1+ 1−2 − 3 1− 3 เมื่อ x ≠ 2, −2
แสดงว่า ค่า b = 3 ทําให้ f(x) ไม่ต่อเนื่อง ที่ ถ้าต้องการให้ตอ่ เนื่องจึงต้องนิยามให้
f(2) = a = lim f(x) = 1 − 2 = −1
x = 1 เพราะ f(1) ≠ lim f(x) x →2
x→1 +

และให้ f(−2) = b = lim f(x) = 1 − (−2) = 3


(หรือตอบว่า เพราะไม่มีลิมติ ก็ได้, เนือ่ งจากลิมิต x → −2

ซ้ายเป็น 2 ลิมิตขวาเป็น -2)


(22) xlim
→1
f(x) = f(1) → a(1) = 4 → a = 4

lim f(x) = f(1) → 1 + b = 4 → b = 3


x → 1+

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 306 ลิมิตและความตอเนื่อง

eÃ×èo§æ¶Á
การคํานวณลิมิตในรูปแบบยังไม่กําหนด ด้วยกฎของโลปีตาล..
(1) รูปแบบยังไม่กําหนด (Indeterminate Form) มี 7 แบบ ได้แก่
0 ∞
0⋅∞ ∞ −∞ 00 ∞0 1∞
0 ∞
เราจะพบสองรูปแบบแรกบ่อยในระดับมัธยมศึกษา ซึง่ การหาลิมิตรูปแบบ 0 และ ∞ นอกจากจะหา
0 ∞
โดยการจัดรูปแล้ว สามารถหาอย่างง่ายๆ ได้โดย กฎของโลปีตาล (L’Hôpital’s Rule) ซึง่ จะต้องอาศัย
สูตรในการหาอนุพันธ์ของฟังก์ชนั จึงควรมีความรูพ้ ื้นฐานของบทที่ 15 (ในหัวข้อ 15.2) ก่อน..
f (x) f′ (x)
(2) กฎของโลปีตาลกล่าวว่า lim = lim ... เมื่อ f (a) = g (a) = 0 หรือ f (a) = g (a) = ∞
x→a g (x) x → a g′ (x)
0 ∞
เรานําไปใช้งานโดยเมื่อทดลองแทนค่าพบว่าลิมิตของฟังก์ชนั อยู่ในรูปแบบ หรือ แล้ว เราสามารถหา
0 ∞
0
อนุพันธ์ของเศษและของส่วน เพือ่ ให้ได้ฟังก์ชันใหม่ที่ยังคงมีค่าลิมติ เท่าเดิม หากลองแทนค่าแล้วยังเป็น
0

หรือ อยูอ่ ีกก็ให้ใช้กฎของโลปีตาล (คือหาอนุพนั ธ์เศษและส่วน) ซ้ําเรือ่ ยๆ จนกว่าจะได้คําตอบ

⎛ x3− 3x +2 ⎞
(3) ตัวอย่างเช่น ต้องการหาค่าของ lim ⎜⎜ 3 ⎟
x → 1 2x − 3x2 + 1 ⎟
⎝ ⎠
0
ลองแทน x ด้วย 1 แล้วพบว่าเป็นรูปแบบ จึงใช้กฎของโลปีตาลได้ ดังนี้
0
⎛ x3− 3x +2 ⎞ ⎛ 3x2 − 3 ⎞
lim ⎜⎜ 3 2 ⎟ = lim ⎜ 2
⎟ ⎟
x → 1 2x − 3x + 1 x → 1 ⎝ 6x − 6x ⎠
⎝ ⎠
0
จากนั้นลองแทน x ด้วย 1 แล้วยังเป็น จึงใช้กฎโลปีตาลอีกครั้ง เป็น
0
⎛ 3x2 − 3 ⎞ ⎛ 6x ⎞ 6
lim ⎜ 2 ⎟ = xlim ⎜ ⎟ = = 1
x → 1 ⎝ 6x − 6x ⎠ → 1 ⎝ 12x − 6 ⎠ 6
ดังนัน้ ค่าของลิมติ เท่ากับ 1
⎛ x2 −2x ⎞
(4) ตัวอย่างต่อมา ต้องการหาค่า lim ⎜ ⎟
⎜ x− 2 ⎟
x→∞
⎝ ⎠

ลองแทน x ด้วย ∞ พบว่าเป็นรูปแบบ จึงใช้กฎของโลปีตาลได้ ดังนี้

⎛ x2−2x ⎞ ⎛ 2x − 2 ⎞
lim ⎜ ⎟ = lim ⎜ = lim [(4x − 4) x]
1 −1/ 2 ⎟
⎝ x− 2 ⎠
x→∞ ⎜ ⎟ x x→∞
⎜ x
→ ∞

⎝2 ⎠
จากนั้นลองแทน x ด้วย ∞ อีกครั้ง พบว่าได้ ∞ ... ดังนัน้ คําตอบคือ หาค่าไม่ได้

หมายเหตุ (1) โจทย์ทุกข้อในแบบฝึกหัด 14.2 ทีผ่ ่านมา สามารถใช้กฎของโลปีตาลเพือ่ ให้คํานวณได้ง่ายขึ้น


(ลองฝึกทําดูสิครับ) แต่ในข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย มักจะตั้งโจทย์ในรูปแบบทีห่ าอนุพันธ์ยาก ก็จําเป็นต้องใช้
วิธีจดั รูปเช่นเดิม
(2) นําไปใช้กับลิมิตของลําดับได้ด้วย ถ้าพบว่าอยูใ่ นรูปแบบ ∞/∞
** (3) ไม่ว่ากรณีใดๆ ถ้าไม่ใช่ลมิ ิตรูปแบบ 0/0 หรือ ∞/∞ แต่ไปใช้กฎโลปีตาลคิด จะได้คําตอบที่ผดิ นะครับ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 307 อนุพันธและการอินทิเกรต

calculus
º··Õè 15 o¹u¾a¹¸æÅa
¡ÒÃoi¹·ie¡Ãµ
หลักการของวิชาแคลคูลัสที่จะได้ศกึ ษาในบทนี้
ได้แก่ การหาอนุพันธ์ และการอินทิเกรต ซึง่ เป็นการ
กระทํากับฟังก์ชันเพื่อให้ได้ฟังก์ชันใหม่ไปใช้ประโยชน์
โดยอนุพันธ์คือความชันของเส้นกราฟ และการอินทิ
เกรตคือการกระทําย้อนกลับของอนุพันธ์ และเป็นการ
หาพื้นที่ใต้กราฟด้วย

15.1 อัตราการเปลี่ยนแปลง
ในฟังก์ชัน y = f (x) ใดๆ เราพิจารณาหา “อัตราการเปลี่ยนแปลงของค่าฟังก์ชัน” ได้ดังนี้
ที่จุด x = x1 จะได้ y = f (x1)
ที่จุด x = x2 = x1+ h จะได้ y = f (x1+h)
ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงโดยเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในช่วง x1 ถึง x1+h คือ
Δy f (x1+ h) − f (x1) f (x1+ h) − f (x1)
= =
Δx (x1+ h) − (x1) h
หรือ “อัตราการเปลี่ยนแปลงโดยเฉลี่ยของ y เทียบกับ x (ในช่วง x ถึง x+h ใดๆ)” คือ
f (x + h) − f (x)
หรือ Δy
h Δx
และเมื่อเราบีบช่วง h ให้แคบลงจนใกล้ 0 ก็จะได้อัตราการเปลี่ยนแปลง ณ จุด x ที่กําหนด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 308 อนุพันธและการอินทิเกรต

ฉะนั้น “อัตราการเปลี่ยนแปลงของ y (ที่จุด x ใดๆ)” คือ


f (x + h) − f (x) Δy
lim หรือ Δlim
h→0 h x →0 Δx
0
(ไม่สามารถแทน h = 0 ลงไปตรงๆ ได้ เพราะจะเป็น จึงต้องใช้ลมิ ิตช่วยในการคํานวณ)
0

2
• ตัวอยาง ถา y = f (x) = 2x + 3x − 4 ใหหาอัตราการเปลี่ยนแปลงของ y เทียบกับ x
ก. โดยเฉลี่ยในชวง x = 1 ถึง 4
วิธีคิด ΔΔyx = f (4)4 −− 1f (1) = 40 − 1
4 − 1
= 13

(แปลวาในชวงทีก่ ําหนดนี้ เมื่อ x เพิ่มขึ้น 1 หนวยแลว y จะเพิ่มขึ้นประมาณ 13 หนวย)


ข. ที่จุดซึ่ง x = 2
Δy f (2+ h) − f (2) [2 (2+ h)2 + 3 (2+ h) − 4] − 10
วิธีคิด lim = lim = lim
Δx →0 Δx h→0 (2+ h) − 2 h→0 h
11h + 2h2
= lim = lim (11 + 2h) = 11
h→0 h h→0

(คํานวณโดยติดคา x ใดๆ ไวกอน จนไดผลเปน 4x + 3 แลวจึงแทนคา x =2 ลงไปก็ได)


อัตราการเปลี่ยนแปลงของ y = f (x) S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S
ที่จุด x ใดๆ เรียกอีกอย่างได้ว่า อนุพันธ์ eª‹¹e´ÕÂÇ¡aºã¹º··ÕèæÅŒÇ ¶ŒÒ¹Œo§æ ¢Õée¡Õ¨e¢Õ¹¤íÒÇ‹Ò lim
(Derivative) h→0

¹íÒ˹ŒÒ测ÅaºÃ÷a´ã¹eÇÅÒ·´ËÃ×oæÊ´§Çi¸Õ·Òí oÒ¨Å×Áæ·¹
สัญลักษณ์ที่ใช้แทนอนุพันธ์ของ f (x)
¤‹Ò h ´ŒÇ 0 æÅa¤íÒµoº¡ç¨a¼i´¹a¤Ãaº
ได้แก่ f′ (x) หรือ dy หรือ d f (x) หรือ y′
dx dx
dy
ส่วนสัญลักษณ์ที่ใช้เจาะจงตําแหน่ง เช่น อนุพันธ์ที่จุดซึ่ง x = 3 จะใช้ f′ (3) หรือ
dx x=3

f (x + h) − f (x) dy
ฉะนั้น อนุพันธ์ของ f (x) ก็คือ lim = นั่นเอง
h→0 h dx
นอกจากนั้นเรียกว่าเป็นค่า ความชัน (Gradient) ของกราฟ y = f (x) ณ จุดนั้นๆ ด้วย

แบบฝึกหัด 15.1
(1) ให้ y = x2− x + 1 จงหาอัตราการเปลี่ยนแปลงโดยเฉลี่ยของ y เมื่อเทียบกับ x
ในช่วง x = 3 ถึง 5
(2) จงหาอัตราการเปลี่ยนแปลงของ y
(2.1) y = 2x2+ 3x −4 เมือ่ x มีค่าใดๆ
(2.2) y = 3x2+ 7x +1 ที่จดุ x = 2
(3) ให้ y = x2 จงหาอัตราการเปลี่ยนแปลง
(3.1) โดยเฉลี่ยของ y เมื่อเทียบกับ x ในช่วง x = x1 ถึง x = x1+ h
(3.2) โดยเฉลี่ยของ y เมื่อเทียบกับ x ในช่วง x = 10 ถึง 13
(3.3) ของ y ทีจ่ ุด x = x1
(3.4) ของ y ทีจ่ ุด x = 10
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 309 อนุพันธและการอินทิเกรต

1
(4) ถ้า f (x) = จงหาอัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ f (x) เทียบกับ x
x
(4.1) ในช่วง x = 4 ถึง x = 5
(4.2) ในช่วง x = 4 ถึง x = 4.5
(4.3) ในช่วง x = 4 ถึง x = 4.01
(4.4) ที่จุดซึ่ง x = 4
(5) จงหาอัตราการเปลี่ยนแปลงโดยเฉลี่ยของปริมาตรทรงกลม เทียบกับรัศมี เมื่อรัศมีเปลี่ยนจาก 2
ถึง 3 หน่วย
(6) จงหาอัตราการเปลี่ยนแปลงของ
(6.1) พื้นที่รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเทียบกับความยาวด้าน ขณะที่ด้านยาว 5 ซม.
(6.2) พื้นที่วงกลมเทียบกับรัศมี ขณะที่รัศมียาว 10 นิ้ว
(7) ให้หาอัตราการเปลี่ยนแปลงของปริมาตรกรวยกลมตรง
(7.1) เทียบกับรัศมีฐาน r เมื่อส่วนสูง H คงตัว
(7.2) เทียบกับส่วนสูง H เมื่อรัศมีฐาน r คงตัว
(8) ในการสูบน้ําออกจากสระแห่งหนึ่ง หลังจากสูบได้ t นาที จะมีน้ําเหลืออยู่ในสระเป็นปริมาตร Q
ลบ.ม. โดยที่ Q = (12 − t )2 จงหาอัตราการเปลี่ยนแปลง
10
(8.1) โดยเฉลี่ย ของปริมาตรน้ําในสระ เทียบกับเวลา ในช่วง t = 0 ถึง t = 10 นาที
(8.2) ของปริมาตรน้ําในสระ เทียบกับเวลา ขณะที่ t = 10 นาที
(9) จงหาอนุพันธ์ของฟังก์ชัน f (x) ที่จุด x ใดๆ และที่จุด x = 2
(9.1) f (x) = 2x2
(9.2) f (x) = x2−2x +4
(9.3) f (x) = 3
(9.4) f (x) = 2−3t
(10) ถ้า y = x −2x2เป็นสมการเส้นโค้ง จงหา
(10.1) ความชันของเส้นโค้งนี้ที่จุด (2, −6)
(10.2) สมการเส้นสัมผัสโค้ง ณ จุดเดียวกันนี้
(11) ให้หาสมการเส้นสัมผัสโค้ง y = x3 ณ จุด (−1, −1)

15.2 สูตรในการหาอนุพันธ์
เนื่องจากการใช้ลิมิตคํานวณนั้นไม่สะดวก จึงได้มีการคิดสูตรในการหาอนุพันธ์ไว้ดังนี้
1. สูตรทั่วไป
d d
• x = 1 • c = 0
dx dx
d n d d
• x = n xn−1 • c f (x) = c f (x)
dx dx dx
2. การบวกลบคูณหารฟังก์ชัน

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 310 อนุพันธและการอินทิเกรต

d
• [ f (x) ± g(x)] = f′ (x) ± g′ (x)
dx
d
• [ f (x) ⋅ g (x)] = f (x) g′ (x) + g(x) f′ (x) (หน้า ดิฟหลัง + หลัง ดิฟหน้า)
dx
d ⎡ f (x) ⎤ g (x) f′ (x) − f (x) g′ (x)
• ⎢ ⎥ = ((ล่าง ดิฟบน - บน ดิฟล่าง) ส่วน ล่างกําลังสอง)
dx ⎣ g(x)⎦ [g(x)] 2
3. ฟังก์ชันประกอบ (กฎลูกโซ่; Chain Rule)
d dg df
• g (f (x)) = ⋅ หรือเขียนอีกแบบว่า (g D f)′ (x) = g′ (f (x)) ⋅ f′ (x)
dx df dx
dg dg dh df dx
หมายเหตุ กฎลูกโซ่จะเขียนยาวกี่ทอดก็ได้ เช่น = ⋅ ⋅ ⋅
dt dh df dx dt

n n
• ตัวอยาง ใหหาคา lim ⎛⎜⎝ (x + h)h − x ⎞⎟⎠
h→0
n
วิธีคิด ในขณะนีเ้ ราไมสามารถกระจาย (x + h) จึงไมมีวิธีคิดหาลิมิตแบบตรงๆ ได
แตพบวาอยูในรูปแบบนิยามของอนุพนั ธพอดี ..ดังนั้นคําตอบคือ อนุพนั ธของ x ตอบ n
n xn−1

2 3
• ตัวอยาง ใหหาความชันของเสนสัมผัสโคง y = 2x − 3x + x ที่จดุ (4, 24)
วิธีคิด dy
dx
้ dy
= 2 − 3 (2x) + (3x ) ดังนัน 2
dx
= 2 − 24 + 48 = 26
x=4
2
• ตัวอยาง ถา f (x) = (2x + 1)(3x − 2) ใหหาคา f′(x)
2 2
วิธีคิด ใชสูตรดิฟผลคูณดังนี้ f′(x) = (2x + 1)(6x) + (3x − 2)(2) = 18x + 6x − 4
3/ 2
• ตัวอยาง ถา f (x) = (2x + 1) ใหหาคา f′(4)
วิธีคิด f′(x) = 23 (2x + 1) ⋅ 2 = 3 2x + 1
1/ 2

(การดิฟลูกโซ .. มอง 2x+1 เปนตัวแปรกอนหนึ่ง เมื่อดิฟแลวจะตองคูณกับดิฟของ 2x+1 ดวย)


เพราะฉะนั้น f′(4) = 3 2 (4) + 1 = 9

(1 − 3x2)2
• ตัวอยาง ถา f (x) =
1 + 3x2
ใหหาอัตราการเปลี่ยนแปลงของ f (x) เทียบกับ x ขณะที่ x = 1
วิธีคิด อัตราการเปลี่ยนแปลงทีก่ ลาวถึงก็คือ f′(x) ... ขอนี้ใชสตู รดิฟผลหาร ปนกับดิฟลูกโซ
(1 + 3x2) ⋅ 2 (1 − 3x2)(−6x) − (1 − 3x2)2 ⋅ (6x)
ดังนี้ f′(x) = จากนัน้ แทนคา x=1
(1 + 3x2)2
จะได f′(1) = 4.5 ... จึงตอบวา อัตราการเปลี่ยนแปลงของ f (x) ขณะที่ x=1 เทากับ 4.5

อนุพันธ์อันดับสูง
dy
สมมติ f (x) = y = x3−2x2+ x+5 ดังนั้น หาอนุพันธ์ได้เป็น f′ (x) = = 3x2− 4x+ 1
dx
หากเราหาอนุพันธ์ของ f′ (x) ต่อไปอีก จะเรียกว่าเป็นอนุพันธ์ อันดับสูง (Higher Order)
d2y
เช่น อนุพันธ์อันดับสอง คือ f′′ (x) = = 6x− 4
dx2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 311 อนุพันธและการอินทิเกรต

d3y
อนุพันธ์อันดับสาม คือ f′′′ (x) = = 6
dx3
d4y
อนุพันธ์อันดับสี่ คือ f(4)(x) = = 0 ... ฯลฯ
dx4

dny
การเขียนสัญลักษณ์ อนุพันธ์อันดับที่ n จะเป็น หรือ f(n)(x)
dx n
แต่อันดับที่หนึ่ง สอง และสาม นิยมใช้เครื่องหมายขีด เป็น f′ (x), f′′ (x), f′′′ (x)
ข้อสังเกต ตัวอย่างที่ยกมาเป็นพหุนามดีกรี 3 จะเห็นได้ว่า อนุพันธ์อันดับที่สี่ขึ้นไปล้วนมีค่าเป็น 0
3/ 2
• ตัวอยาง ถา f (x) = (2x + 1) ใหหาคา f′′(4)
วิธีคิด จาก f′(x) = 23 (2x + 1) ⋅ 2 = 3 (2x + 1)
1/ 2 1/ 2
(ดิฟลูกโซ)
1 3
จะได f′′(x) = 3 ( )(2x + 1)−1/ 2 ⋅ 2 = (ดิฟลูกโซอีกครั้งหนึ่ง)
2 2x + 1
3
เพราะฉะนั้น f′′(4) = = 1
2 (4) + 1

แบบฝึกหัด 15.2
(12) จงหาค่า f′ (x) เมื่อกําหนด f (x) ให้ดังนี้
(12.1) f (x) = 5 (12.7) f (x) = (3x3−4x2) + (7x2−5)
(12.2) f (x) = x (12.8) f (x) = x5−x − 3
(12.3) f (x) = −3x (12.9) f (x) = 1/ x
(12.4) f (x) = −3x2 (12.10) f (x) = 2/ x2
(12.5) f (x) = x2+ x (12.11) f (x) = 6 x
(12.6) f (x) = 3x2−5x + 1 (12.12) f (x) = 1 / 3x x
(13) จงหาค่า f′ (x) เมื่อกําหนด f (x) ให้ดังนี้
(13.1) f (x) = (6x2+ 4)(3x3+5)
(13.2) f (x) = (2x4+1)(x2+ x + 1)
4x2+ 7x + 1
(13.3) f (x) =
3x2+8
x2+ 4x + 7
(13.4) f (x) =
3x − 1

(14) จงหาค่า f′ (x) เมื่อกําหนด f (x) ให้ดังนี้


(14.1) f (x) = (x + 3)2
(14.2) f (x) = (x2+1)3
(14.3) f (x) = (x3−x2+2x+ 1)2
(14.4) f (x) = (1−4x)4/ 5
(15) ตรวจสอบคําตอบข้อ (2), (3.3), (3.4), (4.4), (6), (7), (8.2) โดยใช้สูตรในการหาอนุพันธ์
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 312 อนุพันธและการอินทิเกรต

(16) จงหาค่า f′ (x) เมื่อกําหนด f (x) ให้ดังนี้


(16.1) f (x) = (2x+ 3)(3x−4)
4x5− 10x3+6x −8
(16.2) f (x) =
2x2
1+ 3x
(16.3) f (x) =
1−3x
(16.4) f (x) = (3x −5)3

(17) จงหาค่าของ
(17.1) dy เมื่อ y = f (x) = (2x + 1)2(3x −2)3
dx x=1

2
(17.2) f′ (1) เมื่อ f (x) =
2
3 x −2x + 3

(17.3) ความชันเส้นสัมผัสโค้ง ณ จุดที่ x =1 เมื่อ f (x) = x2+8(x2− 3)4

(17.4) อัตราการเปลี่ยนแปลงของ f (x) ณ จุดที่ x =1 เมื่อ f (x) = x2− 1

(18) ให้หาค่าอนุพันธ์อันดับสูง f′′ (x), f′′′ (x) และ f(4)(x) ของฟังก์ชันต่อไปนี้


(18.1) f (x) = x4+ 3x3+5x2 −7x −3
(18.2) f (x) = x5+ 3x4−4x3 + x −1
(19) จงหาค่า f (−3), f′ (−3), f′′ (−3) เมื่อ f (x) = x2 + x − 3

(20) หาค่า (f′′+ g′′)(1) เมื่อ f (x) = 2− x และ g(x) = (1− 3x)2

(21) จงหา f (n)(x) เมื่อ f (x) = 1/ x

15.3 ฟังก์ชันเพิ่ม ฟังก์ชันลด และค่าสุดขีด


ความหมายของฟังก์ชันเพิ่มคือ เมื่อ x เพิ่มขึ้นแล้ว f (x) ก็จะเพิ่มขึ้นด้วย หรือกล่าวว่า
ความชันเป็นบวก ส่วนฟังก์ชันลดนั้น เมื่อ x เพิ่มขึ้นแล้ว f (x) กลับลดลง หรือกล่าวว่า ความชัน
เป็นลบนั่นเอง ดังนั้นเมื่อพิจารณาถึงอนุพันธ์ f′ (x) ซึ่งเป็นค่าความชันของกราฟ จะได้กฎว่า
ช่วงที่ f′ (x) > 0 เป็นฟังก์ชันเพิ่ม และช่วงที่ f′ (x) < 0 เป็นฟังก์ชันลด
และเนื่องจากตําแหน่งที่ฟังก์ชันจะเปลี่ยนจากเพิ่มไปลด หรือจากลดไปเพิ่ม จะต้องมีการวกกลับของ
กราฟ ซึ่งทําให้เกิดจุดยอด (จุดสุดขีด; Extreme Point) ขึ้น สามารถหาโดย f′ (x) = 0
เราเรียกค่า x ณ ตําแหน่งที่ f′ (x) = 0 ว่า ค่าวิกฤต (Critical Value)
จุดสุดขีดมี 2 แบบคือจุดสูงสุดและจุดต่ําสุด ถ้าความชันเปลี่ยนจากลดไปเพิ่ม จะเกิดจุดต่ําสุด และ
ถ้าความชันเปลี่ยนจากเพิ่มไปลด ก็จะเกิดจุดสูงสุด

หมายเหตุ 1. f′ (x) = 0 ไม่ได้เป็นจุดสูงสุดหรือต่ําสุดเสมอไป อาจเป็นจุดเปลี่ยนความเว้าเท่านั้น


เราสามารถพิจารณาให้ละเอียดได้จาก อัตราการเปลี่ยนแปลงของความชัน หรือ f′′ (x)
หาก f′′ (x) > 0 แสดงว่าความชันมากขึ้นเรื่อยๆ (เปลี่ยนจากลบไปบวก) เกิดจุดต่ําสุด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 313 อนุพันธและการอินทิเกรต

หาก f′′ (x) < 0 แสดงว่าความชันน้อยลงเรื่อยๆ (เปลี่ยนจากบวกไปลบ) เกิดจุดสูงสุด


หาก f′′ (x) = 0 อาจเป็นจุดเปลี่ยนความเว้า หรือจุดสูงสุด หรือจุดต่ําสุดก็ได้
2. เราใช้ความรู้เรื่องค่าสูงสุดต่ําสุด (Maximum & Minimum) ของฟังก์ชัน ในการคํานวณโจทย์
ปัญหาที่เป็นเหตุการณ์จริง เช่น มีฟังก์ชันกําไร P (x) แล้วหาค่า x ที่ทําให้ได้กําไรมากที่สุด

พิจารณากราฟต่อไปนี้ เพื่อทําความเข้าใจเรื่อง สัมพัทธ์ (Relative) และ สัมบูรณ์


(Absolute) ฟังก์ชันหนึ่งๆ หากมีการวกกลับของกราฟ ณ จุดใด ก็จะเรียกจุดนั้นว่าจุดสุดขีดสัมพัทธ์
(แปลว่าเทียบกับจุดข้างเคียง จึงมีได้หลายจุด) และหากจุดใดมีค่าฟังก์ชันมากที่สุดหรือน้อยที่สุดของ
กราฟแล้ว จะเรียกจุดนั้นว่าจุดสุดขีดสัมบูรณ์ด้วย y
(สูงสุดกับต่ําสุด มีได้อย่างละ 1 จุด) C
จุดสูงสุดสัมพัทธ์ได้แก่ จุด A, C, E A
จุดสูงสุดสัมบูรณ์ คือจุด C เท่านั้น B
d e x
จุดต่ําสุดสัมพัทธ์ได้แก่ จุด B, D a b c O
จุดต่ําสุดสัมบูรณ์ ไม่มี E
D

• ตัวอยาง f (x) เปนฟงกชันพหุนามกําลังสาม ซึ่งหารดวย x + 1 แลวเหลือเศษ 6 ... สัมผัสกับ


เสนตรง 12x + y + 7 = 0 ณ จุดตัดแกน y ... และมีคาวิกฤตคาหนึง่ เปน 1
ก. ใหหาฟงกชัน f (x) นี้
3 2
วิธีคิด โดยทั่วไปพหุนามกําลังสาม ตองมีลกั ษณะเปน Ax + Bx + Cx + D ซึ่งมีสมั ประสิทธิ์ 4 ตัว เรา
จึงใชคําใบที่โจทยใหมา 4 อยาง ในการสรางระบบสมการเพือ่ หาสัมประสิทธิ์ 4 ตัวนี้
... จากทฤษฎีเศษเหลือ (ในเนือ้ หาจํานวนจริง) จะไดวา f (−1) = 6
หรือ −A + B − C + D = 6 .....(1)
ตัดแกน y ที่จุดเดียวกับ 12x + y + 7 = 0 คือจุด (0, −7) จะไดวา f (0) = −7
3 2
หรือ A (0) + B (0) + C (0) + D = −7 = D .....(2)
มีความชันเทากับเสนตรง 12x + y + 7 = 0 ที่จุด (0, −7) จะไดวา f′(0) = −12
2
หรือ 3 A (0) + 2 B (0) + C = −12 = C .....(3)
มีคาวิกฤตคาหนึง่ เปน 1 (คาวิกฤตคือคา x ณ จุดที่ความชันเปนศูนย) จะไดวา f′(1) = 0
หรือ 3 A + 2 B + C = 0 .....(4)
3 2
แกสี่สมการรวมกัน ไดผลเปน A = 2 , B = 3 ... ดังนัน้ f (x) = 2x + 3x − 12x − 7
ข. ฟงกชันนี้มีคาสูงสุดสัมพัทธ และคาต่ําสุดสัมพัทธเปนเทาใด
3 2 2
วิธีคิด จาก f (x) = 2x + 3x − 12x − 7 จะได f′(x) = 6x + 6x − 12
2
หาก f′(x) = 0 จะได 6x + 6x − 12 = 0 → x = −2, 1
เนื่องจาก f (−2) = 13 และ f (1) = −14
ดังนั้นคาสูงสุดสัมพัทธเทากับ 13 และคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ −14
ค. ฟงกชันนี้เปนฟงกชันลดในชวงใดบาง
2
วิธีคิด จาก f′(x) = 6x + 6x − 12 คือความชัน และเราตองการความชันติดลบ
2
ก็คือ 6x + 6x − 12 < 0 → 6 (x + 2)(x − 1) < 0 ... ไดคาํ ตอบเปนชวงเปด (−2, 1)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 314 อนุพันธและการอินทิเกรต

• ตัวอยาง ตองการสรางถังรูปทรงกระบอกเพื่อเก็บน้ํามัน ปริมาตร 16π ลูกบาศกเมตร โดยสิน้ เปลือง


วัสดุกอสราง (รวมฝาบนและลาง) ใหนอยทีส่ ุด ถังใบนี้จะตองมีรศั มีหนาตัดยาวเทาใด
วิธีคิด ใหพืน้ ทีผ่ วิ เปน A และใหความสูง h , รัศมีหนาตัด r
จะไดฟงกชัน A ในรูปของ h, r ดังนี้ ... A = 2πrh + 2 (πr ) 2

ในขอนี้เราตองการหาคาต่ําสุดของ A (หาคา h, r ทีท่ ําใหคา A ต่ําที่สุด)


... เนื่องจากโจทยกําหนดปริมาตรคงที่ 16π = πr h → h = 16/r2 2

จึงไดฟงกชัน A = 2πr (16/r ) + 2 (πr ) = 32π/r + 2πr = 2π (16/r + r )


2 2 2 2

จากนั้น dA dr
= 2π (−16/r + 2r) = 0
2
→ 2r = 16/r 2

S e¾ièÁeµiÁ! S
→ r = 2 แสดงวา A ทีต ่ ่ําที่สุดเกิดเมื่อ r = 2 เมตร ตอบ ¡ÒÃËÒ¤‹ÒÊÙ§Êu´ µèÒí Êu´ ¢o§¿˜§¡ªa¹ ´ŒÇÂo¹u¾a¹¸ µ‹Ò§¨Ò¡
º·eÃÕ¹eÃ×èo§¡íÒ˹´¡ÒÃeªi§eʌ¹ µÃ§·ÕèÇ‹Ò º·¹aé¹ÁÕµaÇ
æ»ÃµŒ¹ 2 µaǤ×o x æÅa y e»š¹µaÇæ»ÃµŒ¹·a§é ¤Ù‹ æÅa x
¡aº y ÁÕ¢Œo¨íÒ¡a´Ã‹ÇÁ¡a¹ºÒ§o‹ҧ (ã¹ÃÙ»oÊÁ¡ÒÃ
แบบฝึกหัด 15.3 eʌ¹µÃ§) 测º·¹ÕÁé ÕµaÇæ»ÃµŒ¹e»š¹ x e¾Õ§µaÇe´ÕÂÇ...
1. µŒo§¡ÒÃËÒ¤‹Òã´µèÒí Êu´ËÃ×oÊÙ§Êu´ ãˌe¢Õ¹¤‹Ò¹aé¹ã¹ÃÙ»
(22) จากกราฟในหน้าที่แล้ว ให้หาช่วงที่เป็น ¿˜§¡ªa¹¢o§¤‹Òo×è¹æ (¤×oãˌe»š¹ y) æÅaµŒo§ÁÕµÇa æ»ÃµŒ¹
ฟังก์ชันเพิ่ม และช่วงที่เป็นฟังก์ชันลด e¾Õ§o‹ҧe´ÕÂÇ eª‹¹¶ŒÒ x e»š¹µaÇæ»ÃµŒ¹ ¡çµoŒ §·íÒµaÇ
(23) หาค่าสูงสุดและต่ําสุด ของฟังก์ชันต่อไปนี้ æ»Ão×è¹æ ãˌoÂًã¹ÃÙ» x
(23.1) f (x) = −x2− x 2. ËÒ¡ÁÕ¤‹ÒÇi¡ÄµËÅÒ¤‹Ò ãˌe»ÃÕºe·ÕºNjҤ‹Òã´·Õè·Òí ãˌ
(23.2) f (x) = x2−x −1 e¡i´¨u´µèÒí Êu´ËÃ×oÊÙ§Êu´´a§·Õ赌o§¡ÒÃ
(23.3) f (x) = 3x +2
(24) จงหาค่าสุดขีดทั้งหมด และระบุช่วงที่เป็นฟังก์ชันเพิ่ม ฟังก์ชันลด สําหรับฟังก์ชันต่อไปนี้
(24.1) f (x) = x2−4x +5
(24.2) f (x) = x3−3x
(24.3) f (x) = 2x3+ 3x2 −12x −7
(24.4) f (x) = x4−3x3+ 3x2− x
(24.5) f (x) = x3
(24.6) f (x) = x2−2x + 1 ; x ∈ [−1, 2]
(25) ให้หาค่าสูงสุดสัมพัทธ์ และต่ําสุดสัมพัทธ์ทั้งหมดของฟังก์ชันต่อไปนี้ โดยไม่ต้องวาดกราฟ
(25.1) f (x) = 3−x2
(25.2) f (x) = x2+ 3x +4
(25.3) f (x) = x3−3x +3
(25.4) f (x) = x4−2x2 +3
(25.5) f (x) = x3+ x2 −8x −1
(26) ให้เขียนกราฟและบอกค่าสุดขีดสัมพัทธ์ของ y = 2x5− 30x3

(27) วัตถุเคลื่อนที่ได้ระยะทาง s = 3t2 −2t + 1 เมตร ในเวลา t วินาที จงหา


(27.1) ความเร็ว v ของวัตถุ ขณะเริ่มต้น และขณะ t = 2 วินาที

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 315 อนุพันธและการอินทิเกรต

(27.2) ระยะทางที่ไกลที่สุดจากจุดเริ่มต้นที่วัตถุเคลื่อนที่ไปถึง (ก่อนจะวกกลับ)


(28) จงหาจํานวนเต็มบวกสองจํานวนซึ่งรวมกันได้ 8 โดยที่ผลบวกของกําลังสามมีค่าน้อยที่สุด
(29) ชาวสวนปลูกมะม่วง 22 ต้นต่อไร่ จะได้ต้นละ 500 ผล และเขาพบว่าหากปลูกเพิ่มอีกไร่ละต้น
จะทําให้ผลลดลงต้นละ 10 ผล ดังนั้นแล้วเขาควรจะปลูกไร่ละกี่ต้นจึงจะได้ผลมากที่สุด
S
(30) จากภาพ บริษัทก่อสร้างต้องการวางท่อจากจุด P ไปยัง Q ตามแนว Q
PR และ RQ (โดยจุด R อยู่ทใี่ ดก็ได้บนเส้น TS) จงหาว่า R อยู่ที่ค่า x R
เป็นเท่าใด จึงสิ้นเปลืองค่าวางท่อน้อยที่สุด กําหนดให้ค่าก่อสร้าง (หน่วย

5 km
เป็นล้านบาท) ระหว่าง P ถึง R เป็นสองเท่าของกําลังสองของระยะทาง x
และระหว่าง R ถึง Q เป็นสามเท่าของกําลังสองของระยะทาง P 3 km T 4 km
(31) สามเหลี่ยมมุมฉากยาวด้านละ 90, 120, 150 หน่วย ให้หาว่าจะ
บรรจุสี่เหลี่ยมมุมฉากลงไปภายในสามเหลี่ยมนี้ (ให้มีมุมฉากร่วมกัน
ดังภาพ) ได้พื้นที่มากที่สุดเท่าใด

(32) ให้คํานวณค่าต่างๆ เมื่อต้องการทําให้เกิดค่ามากที่สุด ในแต่ละรูปต่อไปนี้


(32.1) พื้นที่สี่เหลี่ยมมุมฉากมากที่สุด (32.4) ปริมาตรกล่องมากที่สุดที่พับได้
บรรจุในสามเหลี่ยมมุมฉาก ใช้มุมฉากร่วมกัน เมื่อตัดมุมกระดาษรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสออก
กว้างยาว = ________ x = _________ x
พื้นที่ = ___________ x
a a

b a
(32.2) พื้นที่สี่เหลี่ยมมุมฉากมากที่สุด (32.5) ปริมาตรกรวยกลม มากที่สุด
บรรจุในวงกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง d บรรจุในทรงกลมรัศมี r
กว้างยาว = _______ ความสูงกรวย = ________
พื้นที่ = __________
d

หากเป็นครึ่งวงกลม จะได้พื้นที่ = _________


(32.6) ปริมาตรทรงกระบอกมากที่สุด
(32.3) พื้นที่สี่เหลี่ยมมุมฉากมากที่สุด บรรจุในกรวยกลมตรง สูง H
บรรจุในพาราโบลา โดยวางด้านหนึ่งบนโฟกัส ความสูงทรงกระบอก = _________
BF = _______

V B F

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 316 อนุพันธและการอินทิเกรต

โจทย์ทบทวนเรื่องอนุพันธ์
3x + 1
(33) [Ent’38] กําหนดให้ f (x) = และ g(x) = 3x2 + 1 อนุพันธ์ของ [f (x) + g (x)] ที่
2x − 1
x = 1 เท่ากับเท่าใด
(34) [Ent’38] สมการเส้นสัมผัสโค้ง y = 3 x2+2 ที่จุดซึ่ง x = 5 เป็นสมการใด
2x − a
(35) [Ent’39] กําหนดให้ f (x) = โดยที่ a และ b เป็นจํานวนจริงซึ่งไม่ใช่ศูนย์ ถ้า
x +b
f′ (0) = 4 และ f′′ (0) = −8 แล้ว ค่าของ f (0) เป็นเท่าใด
(36) [Ent’38] กําหนดให้ f (x) = x3+bx2+cx เมื่อ b, c เป็นจํานวนจริง ถ้า x = −2 เป็นค่า
วิกฤตของฟังก์ชัน f และ f′′ (−1) = 6 แล้ว ข้อใดถูก
ก. f เป็นฟังก์ชันเพิ่ม ข. f เป็นฟังก์ชันลด
ค. x = −2 ให้ค่าสูงสุดสัมพัทธ์ ง. x = −1 ให้ค่าต่ําสุดสัมพัทธ์
(37) [Ent’40] กําหนดให้ f (x) = ax3+bx2+ cx + d มี x −1 เป็นตัวประกอบหนึ่ง และ f (0) = 0 ,
f′ (0) = 2 , f′′ (0) + f′′′ (0) = 1 ดังนั้น f (2) มีค่าเท่ากับเท่าใด

(38) [Ent’37] ให้ f (x) = 3x − 10 และ h (x) = (f D g)(x) = ax2+bx + c ถ้า h (0) = 1 และ h มี
ค่าสูงสุดสัมพัทธ์ที่ x = −2 คือ 5 แล้วค่า g(1) เป็นเท่าใด
(x2− 1)3
(39) [Ent’41] กําหนดให้ f (x) = โดยที่ g(2) = f′ (2) = 3 แล้ว จงหา g′ (2)
g(x)

(40) [Ent’40] กําหนดให้ f (x) = (3x2+5x) g (x) ถ้า g เป็นฟังก์ชันพหุนามที่มีค่าสูงสุดสัมพัทธ์


เท่ากับ 5 ที่จุดซึ่ง x = 1 แล้ว f′ (1) มีค่าเท่าใด
(41) [Ent’39] กําหนดให้ g (x) เป็นพนุนามที่มีสัมประสิทธิ์เป็นจํานวนจริง และ
f (x) = (x − 1)2 g (x) ถ้า x −2 หาร f (x) เหลือเศษ 3 และ x −2 หาร f′ (x) เหลือเศษ 4 แล้ว
ค่าของ g′ (2) เป็นเท่าใด
(42) [Ent’36] ให้ f (x) = x + x แล้ว จงหาเซตของจํานวนจริง x ซึ่งทําให้ f′ (x) > 3

(43) [Ent’39] กําหนดให้ f (x) = x 2/ 3(x2− 16) จงหาเซต A = {x ∈ R | f′ (x) > 0 }

(44) [Ent’41] ถ้า f (x) = x + 1 , g(x) = x และ F (x) = (f D g)(x) เมื่อ x > 1 แล้ว (F−1)′ (2) มี
ค่าเท่ากับเท่าใด
(45) [Ent’39] สามเหลี่ยมมุมฉากรูปหนึ่งมีด้านทั้งสามยาว 3, 4, 5 นิ้ว ตามลําดับ สี่เหลี่ยมผืนผ้า
ที่มีพื้นที่มากที่สุดที่สามารถบรรจุลงในสามเหลี่ยมนี้ได้ จะมีพื้นที่กี่ตารางนิ้ว
(46) [Ent’38] สินค้าชนิดหนึ่งขายราคาชิ้นละ 24 บาท ต้นทุนในการผลิต x ชิ้นเท่ากับ
16+6x + 0.2x 3/ 2 บาท ถ้า N เป็นจํานวนชิ้นของสินค้าที่ผลิตเพื่อให้ได้กําไรสูงสุดแล้ว ข้อใดเป็นจริง
ก. 1 < N < 2000 ข. 2000 < N < 4000
ค. 4000 < N < 6000 ง. 6000 < N < 8000

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 317 อนุพันธและการอินทิเกรต

15.4 สูตรในการอินทิเกรต
การกระทําที่ตรงข้ามกับกระบวนการหาอนุพันธ์ เราเรียกว่า การอินทิเกรต (Integration)
นั่นคือ ถ้า d F (x) = f (x) แล้ว (การหาอนุพันธ์)
dx
จะได้ว่า ∫ f (x) dx = F (x) (การอินทิเกรต)
สัญลักษณ์ ∫ เรียกว่าเครื่องหมายอินทิกรัล และเรียก f (x) ว่า ตัวถูกอินทิเกรต (Integrand)

สิ่งที่หาอนุพันธ์ได้ตรงตามค่าที่ต้องการ จะเรียกว่า ปฏิยานุพันธ์ (Antiderivative) ทั้งหมด


ตัวอย่างเช่น F(x) 1 = x2 , F2(x) = x2+ 1 , F3(x) = x2+5 , F4(x) = x2− 7

ต่างก็เป็นปฏิยานุพันธ์ของ f (x) = 2x เนื่องจากล้วนทําให้ d F (x) = f (x)


dx

เราพบว่า รูปทั่วไปของปฏิยานุพนั ธ์ของ f (x) = 2x คือ x2+ c เมื่อ c เป็นค่าคงที่ใดๆ


เรียก “รูปทั่วไปของปฏิยานุพันธ์” นี้ว่า อินทิกรัลไม่จํากัดเขต (Indefinite Integral) ของ f (x)
และเขียนสัญลักษณ์เป็น ∫ f (x) dx ดังนั้นอินทิกรัลไม่จํากัดเขต ∫ f (x) dx = x2+ c นั่นเอง

ข้อสังเกต
ปฏิยานุพันธ์มีได้หลากหลาย แต่อินทิกรัลไม่จํากัดเขตมีแบบเดียวเสมอ
บางตําราใช้คําว่า ปริพันธ์ แทนคําว่าอินทิกรัล

สูตรในการหาอินทิกรัล
1. สูตรทั่วไป
n xn+1 • ∫ k dx = kx + c
• ∫x dx =
n+ 1
+ c
• ∫ k f (x) dx = k ∫ f (x) dx
2. การบวกลบฟังก์ชัน
• ∫ [ f (x) ± g (x)] dx = ∫ f (x) dx ± ∫ g (x) dx
การคูณและหาร ไม่มีสูตร

3. ฟังก์ชันประกอบ อาศัยเทคนิคการอินทิเกรตโดยเปลี่ยนตัวแปร
(เทคนิคการอินทิเกรตเป็นเรื่องที่เกินหลักสูตร จึงได้อธิบายไว้ในหน้าแถม ท้ายบทนี้)

3 x4 2x3 3x1
• ตัวอยางเชน ∫ (x − 2x2 + 3) dx = − + + C
4 3 1
3 4t4 3t3 2t2 1t1
∫ (4t − 3t2 + 2t − 1) dt = − + − + C = t4− t3+ t2− t + C
4 3 2 1
2x3+ 3x2+ 4 −2 2x2 3x1 4x −1 4
∫( ) dx = ∫ (2x + 3 + 4x ) dx = + + + C = x2+ 3x − + C
x2 2 1 −1 x
2
∫ 6(x + 2)(x − 1) dx = ∫ (6x + 6x − 12) dx = 2x3+ 3x2− 12x + C

n+ 1
หมายเหตุ สูตร ∫ x n dx = x + c ใช้ได้เมื่อ n ≠ −1 เท่านั้น
n+ 1
−1
ส่วน ∫ (x ) dx จะไม่มีในหลักสูตร ม.ปลาย ... (ผลลัพธ์ที่ได้เป็น ln x + C)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 318 อนุพันธและการอินทิเกรต

−2 − x
• ตัวอยาง ถา F(x)
′ = และ F (−1) = 1 จะไดฟงกชัน F (x) เปนอยางไร
x3
−2x −2 x −1 1 1
วิธีคิด F(x)
′ = −2x −3 − x −2 จะอินทิเกรตได F (x) = − + C = + + C
−2 −1 x2 x
1 1
โจทยใหคา F (−1) = 1 จึงหาคา C ได ... 2
+ + C = 1 → C = 1
(−1) (−1)
1 1
... ดังนั้นตอบ F (x) = + + 1
x2 x

แบบฝึกหัด 15.4
(47) จงหาค่า F (x) ที่ทําให้ F′ (x) = f (x) เมื่อกําหนดให้
(47.1) f (x) = x (47.5) f (x) = x3
(47.2) f (x) = 2x (47.6) f (x) = x x
(47.3) f (x) = 7 (47.7) f (x) = 1 / x5
(47.4) f (x) = 3x2
(48) ให้หาค่า ∫ f (x) dx เมื่อกําหนดให้
3
(48.1) f (x) = 5x4+ 3x2−2 (48.4) f (x) = x3− + 4
x3
1 x −2
(48.2) f (x) = 2x − (48.5) f (x) =
x2 x3
(48.3) f (x) = x2(x − 3) (48.6) f (x) = (4x2+ 1)(x − 1)

(49) f (x) = 3x2− 3 และ F เป็นปฏิยานุพันธ์ของ f หาก F (0) = 4 แล้ว จงหาค่า F (1)

dy
(50) [Ent’41] ถ้า = 5x4 + 3x2− 4x และ −y (1) = y (−1) แล้วจงหาค่าของ y (0)
dx

(51) โค้ง C มีความชันที่จุดใดๆ เป็น x2+2x−3 จงหาสมการโค้งนั้น ถ้าโค้งผ่านจุด (0, 1)

(52) [Ent’ต.ค.43] ถ้าเส้นโค้ง y = f (x) ผ่านจุด (0, 1) และ (4, c) เมื่อ c เป็นจํานวนจริง และ
ความชันของเส้นโค้งนี้ที่จุด (x, y) ใดๆ มีค่าเท่ากับ x − 1 แล้ว c มีค่าเท่าใด
(53) [Ent’40] ถ้าเส้นโค้ง y = f (x) มีอัตราการเปลี่ยนแปลงของความชันที่จุด (x, y) ใดๆ บนโค้ง
เป็น 2x −1 และเส้นสัมผัสเส้นโค้งที่จุด (1, 2) ตั้งฉากกับเส้นตรง x +2y −1 = 0 แล้ว ความชันของโค้ง
นี้ที่จุดซึ่ง x = 0 เท่ากับเท่าใด
(54) [Ent’30] จุดตัดระหว่างวงกลมที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ (0, 1) รัศมี 2 หน่วย กับเส้นโค้งที่ผ่าน
จุด (3, 10) และมีความชันที่จุด (x, y) ใดๆ เป็น 2x จะอยูใ่ นจตุภาคใด
(55) [Ent’ต.ค.41] กําหนดให้ f เป็นฟังก์ชันซึ่ง f (2) = −1 , f′ (1) = −3 , และ f′′ (x) = 3 ทุกๆ ค่า
x แล้ว f (0) มีค่าเท่าใด
(56) ในเวลา t วินาที รถไฟวิ่งด้วยความเร่ง a ฟุตต่อวินาที2 โดย a = 12t2+6t +10 หากเมื่อเวลา
เริ่มต้นพบว่าระยะทางเป็น 10 ฟุต และความเร็วเป็นศูนย์ จงหาระยะทางเมื่อเวลาผ่านไป 5 วินาที
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 319 อนุพันธและการอินทิเกรต

(57) [Ent’40] ถ้าวัตถุชิ้นหนึ่งเคลื่อนที่ด้วยความเร่งขณะเวลา t ใดๆ เป็น 24t2 เมตร/วินาที2 และ


ขณะเวลาเป็น t = 1 วินาที มีความเร็ว 16 เมตร/วินาที และเคลื่อนที่ได้ระยะทาง 8 เมตร แล้วเมื่อ
เวลา t = 2 วินาที วัตถุจะเคลื่อนที่ได้ระยะทางเท่าไร
(58) [Ent’28] ถ้ากําลังคนของบริษัทแห่งหนึ่งที่มีในปัจจุบันทําให้ได้ผลผลิต 3,000 ชิ้นต่อวัน และ
เมื่อคนเพิ่ม x คน จะมีอัตราการเปลี่ยนแปลงผลผลิต 80 − 6 x ชิ้นต่อวัน ถามว่าเมื่อเพิ่มคน 25
คน บริษัทแห่งนี้จะได้ผลผลิตกี่ชิ้นต่อวัน

15.5 อินทิกรัลจํากัดเขต และพื้นที่ใต้โค้ง


อินทิกรัลจํากัดเขต (Definite Integral) จะมีการระบุช่วงของ x ที่เครื่องหมายอินทิกรัล
b b
ดังสัญลักษณ์ a ∫ f (x) dx โดยมีค่าเป็น a ∫ f (x) dx = F (x) ba = F (b) − F (a)
3
• ตัวอยาง กําหนดให f (x) = x2 − 1 จะได ∫ 0
f (x) dx มีคาเทากับเทาใด
3
3
⎡ x3 ⎤
วิธีคิด ∫ 0
f (x) dx = ⎢
⎣3
− x + C⎥

= (6 + C) − (C) = 6 ... ตอบ
0

(ขอสังเกตคือ การอินทิเกรตแบบจํากัดเขตไมตองเขียน +C ก็ได เพราะจะลบกันหมดเสมอ)


a
• ตัวอยาง กําหนดฟงกชนั f (x) = x2 − 4x ใหหาคา a ทีท่ ําให - a ∫ f (x) dx = 18

a a
⎡ x3 ⎤ ⎛ a3 ⎞ ⎛ a3 ⎞ 2a3
วิธีคิด จาก −a ∫ f (x) dx = ⎢
⎣3
− 2x2 ⎥

= ⎜
⎝ 3
− 2a2 ⎟ − ⎜ −
⎠ ⎝ 3
− 2a2 ⎟

=
3
x = −a
3
2a
ดังนั้น = 18 → a3 = 27 → a = 3 ... ตอบ
3

ค่าของอินทิกรัลจํากัดเขตที่คํานวณได้ ก็คือพื้นที่ระหว่างโค้ง f (x) กับแกน x


ตั้งแต่ x = a จนถึง b โดยหากส่วนใดของโค้งนั้นอยู่ใต้แกนก็จะได้ผลเป็นค่าติดลบ
หากเราต้องการหาพื้นที่ระหว่างโค้ง f (x) กับแกน x ที่แท้จริง จะต้องตรวจสอบว่ามีช่วงใดของโค้งที่
อยู่ใต้แกน x ก่อน เพื่อแยกชิ้นส่วนในการคํานวณ ไม่ให้พื้นที่บริเวณใดมีค่าติดลบ
3
... เช่นในตัวอย่างที่แล้ว f (x) = x2 − 4x พบว่า −3 ∫ f (x) dx = 18 แต่เนื่องจากจุดตัดแกน x คือ 0
กับ 4, ซึ่ง 0 อยู่ภายในช่วง (−3, 3) แสดงว่าพื้นที่ไม่น่าจะเป็น 18 ตารางหน่วย
3 f(x) 5 ตร.หน่วย
จากกราฟที่สมมติขึ้นนี้ จะคํานวณได้ค่า 1
∫ f (x) dx = 5
4
และ 3
∫ f (x) dx = −2 และหากคํานวณพร้อมกันจะได้ 4 x
4 O 1 3
1
∫ f (x) dx = 3
ซึ่งถ้าต้องการหาพื้นที่ที่แรเงาที่แท้จริงจะต้องคิด
จาก 5 + 2 = 7 ตารางหน่วย (คืออินทิเกรตทีละชิ้นส่วน ซึ่งจะมี 2 ตร.หน่วย
บางส่วนที่ได้ค่าติดลบ แต่ให้คิดขนาดพื้นที่เป็นค่าบวกเสมอ)
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 320 อนุพันธและการอินทิเกรต

2
• ตัวอยาง จากตัวอยางที่แลว f (x) = x − 1
พื้นทีท่ ี่ปดลอมดวยเสนโคง y = f (x) และแกน x ในชวง x=0 ถึง x=3 มีขนาดเทาใด
3
วิธีคิด ถึงแม ∫ f (x) dx = 6 แตพื้นที่ปด ลอมในชวง x = 0 ถึง x = 3 อาจไมเทากับ 6
0

เราตองตรวจสอบวามีจุดตัดแกน x อยูภายในชวง (0, 3) หรือไม


2
หาจุดตัดแกน x จาก f (x) = x − 1 = 0 → x = 1, −1 (มีสองจุด แตเราสนใจที่ x = 1 )
จึงทราบวาในชวง (0, 1) กับชวง (1, 3) นัน้ กราฟชวงหนึ่งอยูเหนือแกน อีกชวงอยูใตแกน
(ตองการทราบวาชวงใดเหนือแกน ชวงใดใตแกน ทําไดโดยลองหาคา f (x) บริเวณนั้น)
1
ฉะนั้น อินทิเกรตแยกชิ้น ... ∫ f (x) dx 0
= −2/3 (คาที่ไดตดิ ลบ บงบอกวากราฟอยูใ ตแกน)
3
และ ∫ f (x) dx = 20/3 (กราฟสวนนี้ตองอยูเหนือแกน)
1

... พื้นที่ทีไ่ ดคือ 2/3 + 20/3 = 22/3 ตารางหนวย ... ตอบ

หมายเหตุ 1. ถ้ากราฟไม่มีจุดตัดแกน x ภายในช่วง (0, 3) จะตอบ 6 ตารางหน่วยได้ทันที


1 3 3
2. เนื่องจาก 0
∫ f (x) dx + ∫ 1
f (x) dx จะต้องมีค่าเท่ากับ 0
∫ f (x) dx พอดี..
3 1
ดังนั้นถ้าบังเอิญเราคํานวณ 0
∫ f (x) dx = 6 ไว้แล้ว และคํานวณ 0
∫ f (x) dx = −2/3
3
เราก็จะทราบว่า 1
∫ f (x) dx = 20/3 โดยไม่ต้องแทนค่าอินทิเกรตอีกครั้ง

⎧ x −3,x > 2 6
• ตัวอยาง กําหนด f (x) = ⎨ ใหหา ∫ f (x) dx
⎩ −1 ,x < 2 0

วิธีคิด วิธีแรก อินทิเกรตทีละชวงโดยตรง


2 2 2

0
∫ f (x) dx =
0
∫ (−1) dx = [−x]
0
= (−2) − (0) = −2
6 6 6
และ ∫ 2
f (x) dx =
2
∫ (x − 3) dx = [x2/2 − 3x] 2
= (0) − (−4) = 4
6 2 6
ดังนั้น ∫ 0
f (x) dx =
0
∫ f (x) dx + ∫ 2
f (x) dx = −2 + 4 = 2 ... ตอบ

วิธีคิด วิธีทีส่ อง คิดจากพืน้ ทีใ่ นกราฟ (เนื่องจากเห็นวาเปนสมการเสนตรง)


กราฟตัดแกน x ที่ x = 3 และมีลกั ษณะดังรูป y
พื้นที่ชนิ้ ลาง (สี่เหลี่ยมคางหมู) 2.5 ตารางหนวย 4.5 ตร.หน่วย
พื้นที่ชนิ้ บน (สามเหลี่ยม) 4.5 ตารางหนวย 3
(คํานวณจากสูตรพื้นที่ตามปกติ) O 23 x
6
6
ดังนั้น ∫ 0
f (x) dx = −2.5 + 4.5 = 2 ... ตอบ -1
2.5 ตร.หน่วย
(โจทยไมไดถามพื้นที่ แตถามคาอินทิเกรต ดังนั้นชิ้นสวนที่อยูใตแกนจะตองติดลบ
แตถาโจทยถามพื้นที่ คําตอบจะกลายเปน 2.5 + 4.5 = 7 ตารางหนวย)
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 321 อนุพันธและการอินทิเกรต

แบบฝึกหัด 15.5
(59) จงหาค่าของ
4 2
(59.1) 0 ∫ (3− x) dx (59.2) −2 ∫ (2x −1) dx
(59.3) พื้นที่ปิดล้อมด้วยเส้นตรง y = 3− x กับแกน x ในช่วง x = 0 ถึง 4
(59.4) พื้นที่ปิดล้อมด้วยเส้นตรง y = 2x − 1 กับแกน x ในช่วง x = −2 ถึง 2

(60) จงหาค่าของ
2 4
(60.1) −1∫ (3x2−2x) dx (60.3) −1
∫ (6+ x −x ) dx 2

3
(60.2) −1∫ (x3−4x) dx
(60.4) พื้นที่ปิดล้อมด้วยโค้ง y = 3x2−2x กับแกน x ในช่วง x = −1 ถึง 2
3
(60.5) พื้นที่ปิดล้อมด้วยโค้ง y = x − 4x กับแกน x ในช่วง x = − 1 ถึง 3
(60.6) พื้นที่ปิดล้อมด้วยโค้ง y = 6+ x − x2 กับแกน x ในช่วง x = − 1 ถึง 4

(61) จงหาพื้นที่ที่ล้อมด้วยโค้ง f (x) = x2−1 กับแกน x ในช่วงที่กําหนดให้ต่อไปนี้


(61.1) ในช่วง x = 1 ถึง 2
(61.2) ในช่วง x = −1 ถึง 1
(61.3) ในช่วง x = −2 ถึง 0
2
⎛ x4 + 1 ⎞ 1
(62) [Ent’40] ค่าของ 1
∫ ⎜⎝ x2 ⎠
⎟ dx +
0

(4 − x)2 dx เท่ากับเท่าใด

(63) [Ent’ต.ค.41] พื้นที่ปิดล้อมด้วยโค้ง y = x2− 3x +2 จาก x = 0 ถึง x = 2 เฉพาะส่วนที่อยู่


เหนือแกน x เท่ากับเท่าใด
(64) [Ent’ต.ค.42] ให้ f (x) = x2−c โดย c เป็นค่าคงตัวซึ่ง c > 4 ถ้าพื้นที่ที่ปิดล้อมด้วย
เส้นโค้ง y = f (x) จาก x = −2 ถึง x = 1 เท่ากับ 24 ตารางหน่วย แล้ว c มีค่าเท่าใด
(65) กําหนดให้ f (x) มีกราฟเป็นครึ่งวงกลมดังภาพ y
(2,7) (8,7)
8
จงหาค่า 5 ∫ f (x) dx
(66) [Ent’39] กําหนดฟังก์ชัน y = f (x) มีกราฟเป็นเส้นตรง
ตัดแกน x ที่จุด (−1, 0) และผ่านจุด (3, 6) แล้วค่าของ x
3

−1
∫ f (x) dx เท่ากับเท่าใด
3
(67) f (x) เป็นกราฟเส้นตรงที่ผ่านจุด (3, 5) และ (−2, 2) จงหาค่า −2
∫ f (x) dx

1
(68) [Ent’มี.ค.42] ถ้า θ∈ R และ sin θ
∫ (4x −3) dx = 0 แล้ว ค่า cos 2θ เป็นเท่าใด
sin θ
2
(69) [Ent’40] ถ้า 1
∫ x2 dx = −
3
แล้ว 1 + sin θ + cos θ เท่ากับเท่าใด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 322 อนุพันธและการอินทิเกรต

(70) [Ent’39] ถ้า ∫ (f D g)(x) dx = x2+5x + c โดยที่ c เป็นค่าคงตัว และ f (x) = 4x − 3 แล้วค่า
1
ของ 0 ∫ g (x) dx เป็นเท่าใด
(71) [Ent’41] ให้ b, c เป็นจํานวนจริง ถ้าเส้นโค้ง y = x2+bx + c มีจุด (−1, −4) เป็นจุดต่ําสุด
สัมพัทธ์แล้ว จงหาพื้นที่ที่ถูกปิดล้อมด้วยเส้นโค้งนี้และแกน x จาก x = −1 ถึง x = 1

เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(1) 7 (2.1) 4x+3 (16.1) 12x + 1 (24.6) ต่าํ สุดสัมพัทธ์และ
สั มบูรณ์ 0 สูงสุดสัมพัทธ์ไม่มี
(2.2) 19 (3.1) 2x1 +h (16.2) 6x2−5− 32 + 83 สูงสุดสัมบูรณ์ 4 ฟังก์ชันลด
(3.2) 23 (3.3) 2x1 x x
(16.3) 6 /(1−3x)2 (16.4) ในช่วง (−1, 1) เพิ่มในช่วง (1, 2)
(3.4) 20 (4.1) –1/20
9(3x −5)2 (17.1) 93 (17.2) 0 (25.1) สูงสุด 3 เมื่อ x = 0
(4.2) –1/18 (4.3) − 1
16.04 (17.3) –186.67 (17.4) หาค่าไม่ได้ (25.2) ต่ําสุด 7 เมื่อ x = − 3
4 2
(4.4) –1/16 (18.1) 12x2+ 18x + 10 , 24x + 18 , (25.3) ต่าํ สุด 1 เมื่อ x = 1
(5) 76π ลบ.หน่วย ต่อหน่วย 24 (18.2) 20x3+ 36x2−24x , และสูงสุด 5 เมือ่ x = −1
3
(6.1) 10 ตร.ซม. ต่อ ซม. 60x2+ 72x −24 , 120x + 72 (25.4) ต่ําสุด 2 เมื่อ x = 1, −1
(6.2) 20π ตร.นิ้ว ต่อนิ้ว (19) 3, –5, 2 (20) 17.75 และสูงสุด 3 เมือ่ x = 0
n
(25.5) ต่ําสุด –203/27
(7.1) 2 πrH (7.2) 1 πr2 (21) (−1) n +⋅1 n! เมื่อ x = 4 / 3
3 3 x
(8.1) –2.3 ลบ.ม. ต่อนาที (22) เพิ่ม (−∞, a) ∪ (b, c) ∪ (d, e) และสูงสุด 11 เมือ่ x = −2
(8.2) –2.2 ลบ.ม. ต่อนาที และลด (a, b) ∪ (c, d) ∪ (e, ∞) (26) ต่าํ สุด –324 เมื่อ x = 3
(9.1) 4x, 8 (9.2) 2x–2, 2 (23.1) สูงสุด 1/4 ต่ําสุดหาค่าไม่ได้ และสูงสุด 324 เมื่อ x = −3
(9.3) 0, 0 (9.4) 0, 0 (23.2) สูงสุดหาค่าไม่ได้ ต่าํ สุด -5/4 โดยมีจุดเปลี่ยนเว้าที่ (0, 0)
(10.1) –7 (10.2) y = −7x +8 (23.3) สูงสุดและต่ําสุดหาค่าไม่ได้ (27.1) -2 เมตร/วินาที
(11) y=3x+2 (12.1) 0 (24.1) ต่าํ สุดสัมพัทธ์และสัมบูรณ์ 1 และ 10 เมตร/วินาที
(12.2) 1 (12.3) –3 สูงสุดสัมพัทธ์ไม่มี สัมบูรณ์หาค่า (27.2) 2 เมตร (28) 4, 4
(12.4) –6x (12.5) 2x+1 ไม่ได้ ฟังก์ชันลดในช่วง (−∞, 2) 3
(12.6) 6x −5 (12.7) 9x2+6x เพิ่มในช่วง (2, ∞) (29) 36 ต้น (30) 3 กม.
(12.8) 5x4+ 3x−4 (12.9) −1 / x2 (31) 2,700 ตร.หน่วย
(24.2) ต่ําสุดสัมพัทธ์ –2 สัมบูรณ์ a b ab
(12.10) −4 / x3 (12.11) 3 / x หาค่าไม่ได้ สูงสุดสัมพัทธ์ 2 สัมบูรณ์ (32.1) 2 , 2 และ 4
หาค่าไม่ได้ ฟังก์ชันลดในช่วง (−1, 1)
(12.12) −1 / 2x2 x
เพิ่มในช่วง (−∞, −1) ∪ (1, ∞) (32.2) d , d และ
(13.1) 90x4+ 36x2+60x 2 2
(24.3) ต่าํ สุดสัมพัทธ์ –14 สัมบูรณ์ d2 d2
(13.2) 12x5+ 10x4+8x3+2x + 1 หาค่าไม่ได้ สูงสุดสัมพัทธ์ 13 และ (32.3) 2 VF
2 4 3
−21x2+58x +56 สัมบูรณ์หาค่าไม่ได้ ฟังก์ชันลดในช่วง (32.4) a/6 (32.5) 4r/3
(13.3)
(3x2+8)2 (−2, 1) เพิ่มในช่วง (−∞, −2) ∪ (1, ∞) (32.6) H/3 (33) –7/2
3x2−2x −25 (24.4) สูงสุดสัมพัทธ์ไม่มี สัมบูรณ์ (34) 10x −27y + 31 = 0
(13.4)
(3x − 1)2 หาค่าไม่ได้ ต่าํ สุดสัมพัทธ์และ (35) –2 (36) ก. (37) 1
(14.1) 2x +6 (14.2) 6x (x2+ 1)2 สัมบูรณ์ –27/256 ฟังก์ชนั เพิ่มใน (38) 2 (39) 11 (40) 55
ช่วง (1 / 4, ∞) ลดในช่วง (−∞, 1 / 4)
(14.3) 2(x − x +2x + 1)(3x −2x +2) (41) –2 (42) (0, 1 ]
3 2 2

16 (24.5) สูงสุดและต่ําสุดสัมพัทธ์ไม่มี, 16
(14.4) − (15) ... สัมบูรณ์หาค่าไม่ได้ ฟังก์ชันเพิ่มใน R
5 5 1− 4x

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 323 อนุพันธและการอินทิเกรต

(43) (−2, 0) ∪ (2, ∞) (44) 2 (45) 3 (59.1) 4 (59.2) –4


(46) ข. (47.1) x2 / 2 + c (47.2) x2+ c (59.3) 4.5 + 0.5 = 5 ตร.หน่วย
(47.3) 7x+ c (47.4) x3+ c (47.5) x4 / 4 + c (59.4) 6.25 + 2.25 = 8.5 ตร.หน่วย
(60.1) 6 (60.2) 4 (60.3) 95/6
(47.6) 2 x 5/ 2 / 5 + c (47.7) −1 / 4x4 + c
(48.1) x5+ x3−2x + c (48.2) x2+ 1/ x + c (60.4) 2 + 4 + 4 4 = 6 8 ตร.หน่วย
27 27 27
x 4
x 4
3 3 1
(48.3) − x3+ c (48.4) + + 4x + c (60.5) 1 + 4 + 6 = 12 ตร.หน่วย
4 4 2x2 4 4
3 2 112 17
1 1 4x x (60.6) + = 21.5 ตร.หน่วย
(48.5) − + 2
+c (48.6) 4
x − + −x+c 6 6
x x 3 2
x3
(61) 4/3, 4/3, 2 ตร.หน่วย (62) 14
(49) 2 (50) 2 (51) y =
3
+ x2− 3x + 1
(63) 5 (64) 9 (65) 21 − 9π ≈ 7.07
6 4
(52) 7/3 (53) 2 (66) พท. + ได้ 12 (67) พท. , ได้ 17.5
(54) จุด (±1, 2) → จตุภาคที่ 1 และ 2 (55) 5 (68) –1 หรือ 1/2 (69) 0 (70) 2.25
(56) 885 ฟุต (57) 46 เมตร (58) 4,500 (71) 16/3

เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
Δy f(5) − f(3) 21 − 7 1 1
(1) = = = 7 −
Δx 5−3 2 (4.2) 4.5 4 = − 1
Δy f(x + h) − f(x) 4.5 − 4 18
(2.1) Δlim
x → 0 Δx
= lim
1 1
h→0 h −
4.01 4 = − 1
⎡2(x + h)2 + 3(x + h) − 4⎦⎤ − ⎡⎣2x2 + 3x − 4⎤⎦ (4.3)
= lim ⎣ 4.01 − 4 16.04
h→0 h 1
4xh + 2h2 + 3h (4.4) ดูแนวโน้มจากข้อ 4.1 ถึง 4.3 จะได้ −
= lim = lim(4x + 2h + 3) 16
h→0 h h→0
⎡ 1 1⎤
= 4x + 3 ⎢4 + h − 4⎥
Δy f(2 + h) − f(2)
หรือคํานวณจาก hlim ⎢ ⎥ ก็ได้
→0 ⎣ h ⎦
(2.2) Δlim
x → 0 Δx
= lim
h→0 h 4 3 ΔV V(3) − V(2)
(5) V = πr → =
⎡3(2 + h)2 + 7(2 + h) + 1⎤⎦ − ⎡⎣3(2)2 + 7(2) + 1⎤⎦ 3 Δr 3−2
= lim ⎣ 4 4 76
h→0 h = 3
π3 − π2 =3
π ลบ.หน่วย/หน่วย
12h + 3h2 + 7h 3 3 3
= lim = lim(19 + 3h) = 19
h→0 h h→0 ΔA (5 + h)2 − 52
(6.1) A = x2 → lim = lim
[หรือคิดเป็น x ก่อน แล้วแทนค่า x ด้วย 2 ก็ได้] Δx → 0 Δx h→0 h
10h + h2
(3.1) Δy = f(x1 + h) − f(x1) = lim
h
= 10 ตร.ซม./ซม.
Δx h h→0

(x1 + h)2 − (x1)2 (6.2) A= πr2


= = 2x1 + h
h ΔA π(10 + h)2 − π(10)2
Δy → lim = lim
(3.2) แทน x1 = 10, h = 3 → = 23 Δr → 0 Δr h→0 h
Δx
= lim
π (20h + h2)
= 20π ตร.นิ้ว/นิ้ว
Δy
(3.3) lim = lim(2x1 + h) = 2x1 h→0 h
Δx
Δx → 0 h→0

(3.4) แทน x1 = 10 → Δlim Δy


= 20
(7.1) V = 1 πr2H
3
x → 0 Δx
1 1
1 1
ΔV
π(r + h)2H − πr2H

5 4 = − 1 → lim = lim 3 3
(4.1) Δr → 0 Δr h→0 h
5−4 20

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 324 อนุพันธและการอินทิเกรต

1 (10.2) y − y1 = m(x − x1)


π (2rh + h2)H 2
= lim 3 = πrH → y + 6 = −7(x − 2) → y = −7x + 8
h→0 h 3
1 2 dy (x + h)3 − x3
ΔV
πr (H + h) − 1 πr2H (11) = lim
(7.2) lim = lim 3 3 dx h→0 h
ΔH → 0 ΔH h
h→0
3x2h + 3xh2 + h3
1 = lim = 3x2
= πr2 h→0 h
3
ΔQ Q(t + h) − Q(t) ความชันหาจาก dy = 3
(8.1) = dx x = −1
Δt h
t + h⎞
2
t ⎞
2 สมการเส้นสัมผัสคือ
⎛ ⎛
⎜ 12 − ⎟ − ⎜ 12 − ⎟ y + 1 = 3(x + 1) → y = 3x + 2
= ⎝ 10 ⎠ ⎝ 10 ⎠
h (12.1) f′(x) = 0
12 t h (12.2) f′(x) = 1x0 = 1
= − + +
5 50 100
(12.3) f′(x) = −3x0 = −3
∴ ที่t = 0 ถึง 10 นาที จะได้
ΔQ 12 0 10 (12.4) f′(x) = −6x
→ = − + + = −2.3 ลบ.ม./นาที
Δt 5 50 100 (12.5) f′(x) = 2x + 1
ΔQ ⎛ 12 t h ⎞ (12.6) f′(x) = 6x − 5
(8.2) Δlim
t → 0 Δt
= lim ⎜ − + + ⎟
h→0 ⎝ 5 50 100 ⎠ (12.7) f′(x) = 9x2 − 8x + 14x = 9x2 + 6x
12 t
= − + (12.8) f′(x) = 5x4 + 3x −4
5 50
1
∴ ที่t = 10 นาที จะได้ (12.9) f(x) = x −1 → f′(x) = −x −2 = −
x2
ΔQ 12 10
→ lim = − + = −2.2 ลบ.ม./นาที 4
Δt → 0 Δt 5 50 (12.10) f(x) = 2x −2 → f′(x) = −4x −3 = −
x3
2(x + h)2 − 2x2
(9.1) dy = hlim (12.11)
1
f(x) = 6x 2 → f′(x) = 3x

1
3
dx → 0 h 2 =
x
4xh + 2h2 dy
= lim = 4x → = 8 1 −2
3
1 −
5
h→0 h dx x =2 (12.12) f(x) = x → f′(x) = − x 2
3 2
(9.2) dy
= lim
[(x + h) − 2(x + h) + 4] − [x
2 2
− 2x + 4 ] 1
dx h→0 h = −
2x2 x
2xh + h2 − 2h
= lim = 2x − 2 (13.1) f′(x) = (6x2 + 4)(9x2) + (3x3 + 5)(12x)
h→0 h
= 90x4 + 36x2 + 60x
dy
และ = 2 (13.2) f′(x) = (2x4 + 1)(2x + 1) + (x2 + x + 1)(8x3)
dx x = 2
dy 3−3 = 12x5 + 10x4 + 8x3 + 2x + 1
(9.3) = lim = lim 0 = 0
dx h→0 h h→0 2 2
(3x + 8)(8x + 7) − (4x + 7x + 1)(6x)
(13.3) f′(x) =
และเพราะไม่มี x ใน f(x) เลยดังนั้น dy
2 2
(3x + 8)
= 0
dx x =2 2
−21x + 58x + 56
=
(9.4) dy = hlim 2 − 3t − 2 − 3t
= lim 0 = 0
(3x2 + 8)2
dx →0 h h→0
(3x − 1)(2x + 4) − (x2 + 4x + 7)(3)
(13.4) f′(x) =
และเพราะไม่มี x ใน f(x) เลยดังนั้น dy = 0 (3x − 1)2
dx x = 2 2
3x − 2x − 25
⎡⎣(x + h) − 2(x + h)2 ⎤⎦ − ⎡⎣ x − 2x2 ⎤⎦ =
(10.1) dy = hlim (3x − 1)2
dx → 0 h
(14.1) f′(x) = 2(x + 3)(1) = 2x + 6
h + 4xh − 2h2
= lim = 1 − 4x (14.2) f′(x) = 3(x2 + 1)2(2x) = 6x(x2 + 1)2
h→0 h
เป็นความชัน ณ x ใดๆ (14.3) f′(x) = 2(x3 − x2 + 2x + 1)(3x2 − 2x + 2)
1
dy 4 − −16
ดังนัน้ ความชันที่จดุ (2,-6) เท่ากับ = −7 (14.4) f′(x) = (1 − 4x) 5(−4) = 5
dx x =2 5 5 1 − 4x

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 325 อนุพันธและการอินทิเกรต

dy 1 2
(15) ..(2.1) = 4x + 3 (17.4) (x − 1)−1/ 2(2x)
f′(x) =
dx 2
dy 1 1
(2.2) = (6x + 7) = 19 → f′(1) = (0)−1/ 2(2) = → หาค่าไม่ได้
dx x = 2 x =2 2 0
dy (18.1) f′(x) = 4x3 + 9x2 + 10x − 7
(3.3) = (2x) = 2x1
dx x = x1
x = x1
→ f′′(x) = 12x2 + 18x + 10
dy → f′′′(x) = 24x + 18 → f(4)(x) = 24
(3.4) = (2x) = 20
dx x = 10
x = 10
(18.2) f′(x) = 5x4 + 12x3 − 12x2 + 1
dy ⎛ 1 ⎞ 1 f′′(x) = 20x3 + 36x2 − 24x
(4.4) = ⎜− 2 ⎟ = − →
dx x=4 ⎝ x ⎠ x=4 16
→ f′′′(x) = 60x2 + 72x − 24
dA d(x2)
(6.1) = = (2x) = 10 → f(4)(x) = 120x + 72
dx x =5 dx x =5
x =5

(19) f(−3) = (−3)2 + (−3) − 3 = 3


dA d(πr2)
(6.2) = = (2πr) r = 10 = 20π f′(−3) = (2x + 1) = 2(−3) + 1 = −5
dr r = 10 dr r = 10 x = −3

dV d ⎛1 2 ⎞ 2 f′′(−3) = (2) x = −3
= 2
(7.1) = ⎜ πr H ⎟ = πrH
dr dr ⎝ 3 ⎠ 3 (20) (f′′ + g′′)(1) = f′′(1) + g′′(1)
dV d ⎛1 2 ⎞ 1 2 จาก f(x) = (2 − x)1/ 2
(7.2) = ⎜ πr H ⎟ = πr
dH dH ⎝ 3 ⎠ 3
1 1
dQ t ⎞ ⎛ 1 ⎞⎤ → f′(x) = (2 − x)−1/ 2(−1) = − (2 − x)−1/ 2
⎡ 2 2
(8.2) = ⎢2 ⎛⎜ 12 − ⎟ ⎜− ⎟
dt t = 10 ⎣ ⎝ 10 ⎠ ⎝ 10 ⎠ ⎥⎦ 3
t = 10 1 − 1
∴ f′′(x) = (2 − x) 2 (−1) → f′′(1) = −
⎛ 1 ⎞ 4 4
= 2(12 − 1) ⎜ − ⎟ = −2.2
⎝ 10 ⎠ จากg(x) = (1 − 3x)2
(16.1) f′(x) = (2x + 3)(3) + (3x − 4)(2) = 12x + 1 → g(x)
′ = 2(1 − 3x)(−3) = −6 + 18x
(16.2) f(x) = 2x3 − 5x + 3x −1 − 4x −2 ดังนัน้ g′′(x) = 18 → g′′(1) = 18
3 8 1 3
→ f′(x) = 6x2 − 5 − 2 + 3 ตอบ −+ 18 = 17
x x 4 4
(16.3) f′(x) = (1 − 3x)(3) − (1 +23x)(−3) = 6 2 (21) f(x) = 1 → f′(x) = − 12
(1 − 3x) (1 − 3x) x x
(16.4) f′(x) = 3(3x − 5)2(3) = 9(3x − 5)2 2 6
→ f′′(x) = 3 → f′′′(x) = − 4
(17) คําถามทั้งสี่ขอ้ ก็คอื อย่างเดียวกัน x x
dy 24 (−1)n ⋅ n !
• • f′(1) → f(4)(x) = 5
... จะได้วา่ f(n)(x) =
dx x xn + 1
x=1

• ความชันโค้ง ณ x = 1 (22) เป็นฟังก์ชนั เพิ่มในช่วง (−∞, a) ∪ (b, c) ∪ (d, e)


• อัตราการเปลี่ยนแปลงของ f(x) ณ x = 1
และลดในช่วง (a, b) ∪ (c, d) ∪ (e, ∞)
(17.1) f′(x) = (2x + 1)2(3)(3x − 2)2(3) (23.1) f′(x) = −2x − 1 = 0 → x = 1/2
+ (3x − 2)3(2)(2x + 1)(2)
แสดงว่า มีการวกกลับที่ x = 1/2 หนึ่งครั้ง
∴ f′(1) = (9)(3)(1)(3) + (1)(2)(3)(2) = 93
แทนค่า f(1/2) ได้ 1/ 4 และลองแทน x ค่าอืน่
(17.2) f(x) = 2(x2 − 2x + 3)−1/ 3 เช่น x = 0 เพือ่ ดูว่าเป็นกราฟ (1/2,1/4)
2 หงายหรือคว่ํา จะวาดได้ดงั ภาพ (คว่ํา)
→ f′(x) = − (x2 − 2x + 3)−4 / 3(2x − 2)
3 ดังนัน้ ค่าสูงสุดของฟังก์ชนั =1/4
⎛ 2 ⎞ −4 / 3
∴ f′(1) = ⎜ − ⎟ (2) (0) = 0
และค่าต่าํ สุด หาค่าไม่ได้
⎝ 3⎠ [หรือจัดรูปสมการแบบภาคตัดกรวยก็ได้(พาราโบลา)]
(17.3) f′(x) = ( x2 + 8)(4)(x2 − 3)3(2x) (23.2) f′(x) = 2x − 1 = 0 → x = 1/2
1 → f(1/2) = −5/ 4 วาดกราฟ
+ (x2 − 3)4( )(x2 + 8)−1/ 2(2x)
2 [แทน x = 0 ได้ y = −1
∴ f′(1) = (3)(4)(−8)(2) + (16)(1/2)(1/3)(2)
แสดงว่าเป็นพาราโบลาหงาย] (1/2,-5/4)
= −192 + 16/3 = −186.67
ตอบ ค่าสูงสุด หาค่าไม่ได้, ค่าต่าํ สุด -5/4
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 326 อนุพันธและการอินทิเกรต

(23.3) f′(x) = 3 → เป็นกราฟเส้นตรง ความชัน 3 (24.5) f′(x) = 3x2 = 0 → x = 0, 0


ไม่มีการวกกลับ m=3 (เปลี่ยนความเว้า)
∴ ค่าสูงสุดและต่าํ สุด 2 f′(x) + - +
หาค่าไม่ได้ เพิ่ม 0 0 เพิ่ม (0,0)
ตอบ สูงสุดและต่ําสุดสัมพัทธ์ ไม่มี,
(24.1) f′(x) = 2x − 4 = 0 → x = 2 สัมบูรณ์ หาค่าไม่ได้
f(2) = 1 และทดลองคิด f(0) = 5 และเป็นฟังก์ชันเพิ่มใน R (x ทุกค่า)
วาดกราฟได้ดังรูป (24.6) f′(x) = 2x − 2 = 0 → x = 1
ตอบ สูงสุดสัมพัทธ์ไม่มี (2,1) ซึ่ง f(1) = 0 , f(−1) = 4 ,
สูงสุด (สัมบูรณ์) หาค่าไม่ได้ และ f(2) = 1 (-1,4)
ต่ําสุดสัมพัทธ์และสัมบูรณ์ = 1 (2,1)
ตอบ สูงสุดสัมพัทธ์ไม่มี
ฟังก์ชนั เพิ่มในช่วง (2, ∞) ลดในช่วง (−∞, 2) สูงสุดสัมบูรณ์ 4 (1,0)
(24.2) f′(x) = 3x2 − 3 = 0 → x = −1, 1 ต่ําสุดสัมพัทธ์และสัมบูรณ์ 0
f(−1) = 2 , f(1) = −2 เป็นฟังก์ชนั เพิ่มในช่วง (1, 2) ลดในช่วง (−1, 1)
(-1,2)
ตอบ สูงสุดสัมบูรณ์และ (25.1) f′(x) = −2x = 0 → x = 0
ต่ําสุดสัมบูรณ์ หาค่าไม่ได้ f(0) = 3 → และเนื่องจาก f(1) = 2
สูงสุดสัมพัทธ์ = 2 (1,-2) แสดงว่าเป็นพาราโบลาคว่ํา
ต่ําสุดสัมพัทธ์ = −2 ดังนัน้ สูงสุดสัมพัทธ์ = 3 , ต่ําสุดสัมพัทธ์ ไม่มี
ฟังก์ชนั เพิ่มในช่วง (−∞, −1) ∪ (1, ∞) (25.2) f′(x) = 2x + 3 = 0 → x = −3/2
ลดในช่วง (−1, 1) f(−3/2) = 7/ 4 → และเนื่องจาก f(0) = 4
(24.3) f′(x) = 6x2 + 6x − 12 = 0 → x = 1, −2
แสดงว่าเป็นพาราโบลาหงาย
f(1) = −14 และ f(−2) = 13
สูงสุดสัมพัทธ์ ไม่มี , ต่าํ สุดสัมพัทธ์ 7/4
ตอบ สูงสุดสัมบูรณ์และ (-2,13) (25.3) f′(x) = 3x2 − 3 = 0 → x = 1, −1
ต่ําสุดสัมบูรณ์ หาค่าไม่ได้ ซึ่ง f(1) = 1, f(−1) = 5
สูงสุดสัมพัทธ์ = 13 (1,-14)
ต่ําสุดสัมพัทธ์ = −14 ดังนัน้ สูงสุดสัมพัทธ์ 5 , ต่ําสุดสัมพัทธ์ 1
(25.4) f′(x) = 4x3 − 4x = 0 → x = −1, 0, 1
ฟังก์ชนั เพิ่มในช่วง (−∞, −2) ∪ (1, ∞)
→ f(−1) = f(1) = 2, f(0) = 3
ลดในช่วง (−2, 1)
(24.4) f′(x) = 4x3 − 9x2 + 6x − 1 = 0 ∴ สูงสุดสัมพัทธ์ 3 , ต่ําสุดสัมพัทธ์ 2
(4x − 1)(x − 1)2 = 0 ดังนั้น x = 1/ 4, 1, 1
(25.5) f′(x) = 3x2 + 2x − 8 = 0
→ (3x − 4)(x + 2) = 0 → x = 4/ 3, −2
ซึ่ง f( 1) = − 27 และ f(1) = 0 ซึ่ง f(4/ 3) = −203/27, f(−2) = 11
4 256
มีการวกกลับที่ x = 1 สองครั้ง ดังนั้นที่ x = 1 เป็น ดังนัน้ สูงสุดสัมพัทธ์ 11 , ต่ําสุดสัมพัทธ์ −203/27
เพียงจุดเปลี่ยนความเว้า ไม่ใช่จุดสูงสุดต่าํ สุด (ดูจาก (26) dy = 10x4 − 90x2 = 0
เครื่องหมายบนเส้นจํานวน) dx
- + - + → 10x2(x2 − 9) = 0 → x = 0, 0, 3, −3
f′(x)
ลด 1/4 เพิ่ม 1 1 เพิ่ม ซึ่ง f(3) = −324, f(0) = 0, f(−3) = 324
ตอบ สูงสุดสัมพัทธ์ไม่มี (ที่ x=0 เป็นจุดเปลี่ยนความเว้า ดังรูป)
สูงสุดสัมบูรณ์ หาค่าไม่ได้
ต่ําสุดสัมพัทธ์และสัมบูรณ์ (1,0) (-3,324)
= −27 / 256
1 (1/4,-27/256) O
ฟังก์ชนั เพิ่มในช่วง ( , ∞)
4
1
(3,-324)
ลดในช่วง (−∞, )
4 ตอบ ค่าสูงสุดสัมพัทธ์ 324, ค่าต่ําสุดสัมพัทธ์ -324

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 327 อนุพันธและการอินทิเกรต

(27) ความเร็ว คือ อัตราการเปลี่ยนแปลงของ (32.1) พิจารณา Δ คล้าย


ระยะทาง เทียบกับเวลา (ทําเช่นเดียวกับข้อ 31) x
(27.1) v = dS = 6t − 2 m/ s b−x
=
b a
→ h = a− x a
dt h a b h
v(0) = −2 m/ s และ v(2) = 10 m/s
dS a a b
(27.2) หา Smax → = 0 → 6t − 2 = 0 A = x ⎛⎜ a − x ⎞⎟ = ax − x2
พื้นที่
dt ⎝ b ⎠ b
dA 2a b
ได้ t =
1
s. ดังนัน้ 1
Smax = S ( ) =
2
m. = a− x = 0 → x = และจะได้ h = a
3 3 3 dx b 2 2
a b ab
(28) ให้จาํ นวนที่ตอ้ งการเป็น x กับ 8-x ∴ ตอบ กว้างยาว , พืน้ ที่ =
2 2 4
จะได้ผลบวก y = x3 + (8 − x)3 →
(32.2) h = d2 − x2
dy
ymin หาจาก = 3x2 + 3(8 − x)2(−1) = 0
dx → A = x⋅ d2 − x2 d
x
→ 3(−64 + 16x) = 0 → x = 4
ดังนัน้ x = 4 เป็นค่าทีท่ ําให้เกิดค่า y ต่าํ สุดตาม ต้องการ Amax คิดจาก h
ต้องการ ตอบ 4 กับ 4 dA 1
(29) สมมติปลูกเพิ่ม ไร่ละ x ต้น จะได้ dx

= (x) ⎜
⎜ 2 d2 − x2

⎟⎟
(−2x) + ( d2 − x2 (1) = 0 )
⎝ ⎠
ผล y = (22 + x)(500 − 10x) → → − x2 + d2 − x2 = 0
ต้องการ ymax จึงคิดจาก d d
→ x = และจะได้ h =
dy 2 2
= (22 + x)(−10) + (500 − 10x)(1) = 0
dx d d d2
→ x = 14 ต้น เป็นค่าทีท่ ําให้เกิด ymax ตาม ตอบ กว้างยาว , พืน้ ที่
2 2 4
ต้องการ ตอบ ปลูกไร่ละ 22+14 = 36 ต้น (32.3) สมมติสมการ y2 = 4cx
(30) ค่าก่อสร้าง y = 2(32 + x2) + 3(42 + (5 − x)2) จะได้วา่ พืน้ ที่ A = (c − x)(2y) (x,y)
ต้องการ ymin คิดจาก y 2
y
= (c − )(2y) x
dy 4c
= 4x + 6(5 − x)(−1) = 0 → x = 3 y
dx y3
= 2cy − →
ดังนัน้ ค่า x ควรเป็น 3 km จึงเสียเงินน้อยสุด 2c c-x
(31) สมมติด้านนอนเป็น x หน่วยดังรูป → หา dA 3y2 2c
∴ = 2c − = 0 → y =
ความสูง h ในรูปของ x โดยพิจารณา Δ คล้าย dy 2c 3
120 − x 120 c 2
=
x และจะได้ x = → ∴ BF = VF
h 90 3 3
3 90 150
→ h = 90 − x (32.4) ปริมาตร V = (a − 2x)2(x)
4
h
= a x − 4ax + 4x3
2 2

∴ พืน้ ทีส่ ี่เหลี่ยม A = xh 120 dV


⎛ 3 ⎞ 3 ต้องการ Vmax = a2 − 8ax + 12x2 = 0
คิดจาก
= x ⋅ ⎜ 90 − x ⎟ = 90x − x2 dx
⎝ 4 ⎠ 4 a
ต้องการ Amax คิดจาก → (a − 6x)(a − 2x) = 0 → x = หรือ a
2 6
dA 3 a
→ = 90 − x = 0 → x = 60 หน่วย แต่ถ้า x = จะได้ V = 0 (Vmin)
dx 2 2
3
∴ h = 90 − (60) = 45 หน่วย ดังนัน้ คําตอบคือ x = a
4 6

}
และ พื้นที่ Amax = 60 ⋅ 45 = 2,700 ตร.หน่วย (32.5) ปริมาตรกรวย
∗ หมายเหตุ ข้อ (27.2) ถึง (31) เนือ ่ งจากได้คา่ V = 1 πx2(r − y) r
วิกฤต (x) เพียงค่าเดียวเท่านั้น จึงสรุปได้เลยว่าเป็น 3

ค่าที่โจทย์ตอ้ งการ (โดยไม่ต้องตรวจสอบว่าเป็น [ใช้


แต่
r-y เพราะค่า y ติดลบ]
x2 + y2 = r2 ดังนั้น
}y
จุดสูงสุด หรือ ต่าํ สุด) x (x,y)
1
V = π(r2 − y2)(r − y)
3

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 328 อนุพันธและการอินทิเกรต

ต้องการ Vmax คิดจาก (36) f′(x) = 3x2 + 2bx + c → f′(−2) = 0


dV 1 ดังนัน้ 12 − 4b + c = 0 .....(1)
= π ⎡⎣(r2 − y2)(−1) + (r − y)(−2y)⎤⎦ = 0
dy 3 f′′(x) = 6x + 2b → f′′(−1) = 6 ดังนั้น
→ 3y2 − 2ry − r2 = 0 → (3y + r)(y − r) = 0
−6 + 2b = 6 .....(2)
r
→ y = − ,r ได้ b = 6, c = 12
3
∴ f(x) = x3 + 6x2 + 12x
แต่ y = r ไม่ได้ เพราะส่วนสูงจะกลายเป็น
r − y = r − r = 0 (Vmin) ถ้า f′(x) = 0 → 3x2 + 12x + 12 = 0 →

r r 4 x = −2, −2 แสดงว่า มีการเปลี่ยนเว้าที่ x = −2


∴ ตอบ y = − คือ ส่วนสูง r − ⎛⎜ − ⎞⎟ = r + - +
3 ⎝ 3⎠ 3 f′(x)
(32.6) พิจารณา Δ คล้าย เพิ่ม -2 -2 เพิ่ม
H−h H R

= → r = R− h r ⎪ ดังนัน้ ตอบ ก. f เป็นฟังก์ชันเพิ่ม (ไม่มีจุดวกกลับ)
r R H ⎬ H (37) หา a, b, c, d เช่นเดิม โดยสมการ
h ⎪ f(1) = 0, f(0) = 0, f′(0) = 2, และ f′′(0) + f′′′(0) = 1
ดังนัน้ ปริมาตร V = πr2h 


2 2 3
จะได้ d = 0, c = 2, a = 5/ 4, b = −13/ 4
⎛ R ⎞ 2 ⎛ 2h h ⎞ R
= π ⎜ R − h ⎟ h = πR ⎜ h − + 2⎟ ดังนัน้ f(2) = 1
⎝ H ⎠ ⎝ H H ⎠
ต้องการ Vmax คิดจาก (38) หา a, b, c จากสมการ
h(0) = 1, h(−2) = 5, h(
′ −2) = 0
dV 4 3
= πR ⎛⎜ 1 − h + 2 h2 ⎞⎟ = 0
2
ได้ c = 1, a = −1, b = −4
dh ⎝ H H ⎠
H2 − 4Hh + 3h2 = 0 → (H − 3h)(H − h) = 0 → h(x) = −x2 − 4x + 1
→ h = H/3, H = (fog)(x) = 3(g(x)) − 10
x2 4x 11
แต่ h = H ไม่ได้ เพราะ r = 0 → V = 0 (Vmin) ∴ g(x) = − − + จะได้ g(1) = 2
3 3 3
ตอบ h = H / 3 2 2 2 3
(g(2))(3)(2 − 1) (2)(2) − (2 − 1) ⋅ g(2)

(33) [f(x) + g(x)]′ = f′(x) + g(x)

(39) f′(2) =
[g(2)]2
(2x − 1)(3) − (3x + 1)(2) (3 ⋅ 3 ⋅ 9 ⋅ 4) − (27)g(2)

→ f′(x) = → f′(1) = −5 3 = ∴ g(2)
′ = 11
(2x − 1)2 9
1 (40) g(1) = 5, g(1
′ )= 0
g(x)
′ = (3x2 + 1)−1/ 2(6x)
2
→ f′(1) = [3(1)2 + 5(1)] [g(1
′ )] + [g(1)] [6(1) + 5]
1 1 3 3 7
′ ) = ⎛⎜ ⎞⎟ (6) =
→ g(1 ตอบ −5 + = − = 8 ⋅ 0 + 5 ⋅ 11 = 55
2 ⎝2⎠ 2 2 2
2 (41) f(2) = 3, f′(2) = 4 → หา g(2) โดย
dy 1 2 −
(34) ความชัน = (x + 2) 3(2x) 2
dx x =5 3 x =5
f(2) = 3 = (2 − 1) ⋅ g(2) → g(2) = 3

1 −
2
10 → f′(2) = (2 − 1)2 ⋅ g(2)
′ + g(2) ⋅ 2(2 − 1)(1)
= (27) 3(10) = → สร้างสมการ
3 27 → 4 = g(2)
′ + 3 ⋅ 2 → ∴ g(2)
′ = −2

ผ่านจุด (5, 3) → y − 3 = 10 (x − 5) (42) f′(x) =


1
+1→
1
+ 1> 3
27 2 x 2 x
→ 10x − 27y + 31 = 0 1 1 1
→ >2 → x < → 0 < x <
(35) f′(x) = (x + b)(2) − (2x2 − a)(1) 2 x 4 16
(x + b) 1
ตอบ (0, ] ... [เป็น 0 ไม่ได้ เพราะเป็นตัวส่วน]
2b + a 2b + a 16
= 2
→ f′(0) = 4 → = 4 .....(1)
(x + b) b2 (43) f(x) = x8/ 3 − 16x2/ 3
−2(2b + a) 8 32 −1/ 3
f′′(x) = → f′′(0) = −8 → f′(x) = x5/ 3 − x
(x + b)3 3 3
−2(2b + a) → f′(x) > 0 จะได้ x5/ 3 − 4x −1/ 3 > 0
→ = −8 .....(2)
b3
−a
นํา x4 / 3 คูณตลอด กลายเป็น x3 − 4x > 0
จะได้ b = 1, a = 2 → f(0) = = −2 ตอบ (−2, 0) ∪ (2, ∞)
b

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 329 อนุพันธและการอินทิเกรต

(44) F(x) = x + 1 → F−1(x) = (x − 1)2 (50) y = ∫ (5x


4
+ 3x2 − 4x) dx
→ (F−1)′ (x) = 2(x − 1)(1) = x5 + x3 − 2x2 + c
−1
∴ (F )′ (2) = 2 โจทย์บอกใบ้ −y(1) = y(−1)
(45) วิธีคดิ เช่นเดียวกับข้อ (31) และ (32.1) จะ จะได้ −c = −4 + c ∴ c = 2 = y(0)
ได้ว่า พืน้ ที่ , = 3 ⋅ 4 = 3 ตร.นิว้ (51) ความชัน = dy = x2 + 2x − 3
2 2 dx
(46) ต้องการกําไรสูงสุด 2 x3
∴y = ∫ (x + 2x − 3) dx = + x2 − 3x + c
∴ ให้ y = กําไร = รายรับ - ต้นทุน 3
= 24x − (16 + 6x + 0.2x3/ 2) โค้งผ่านจุด (0, 1) ∴c = 1
dy x 3
= 0 → 24 − 6 − 0.3x1/ 2 = 0 ตอบ y = + x2 − 3x + 1
dx 3
→ x1/ 2 = 60 → x = 3,600 ชิ้น dy
(52) เช่นเดียวกับข้อ (51) คือ = x −1
∴ ค่า N = จํานวนชิ้นที่ได้กาํ ไรสูงสุด = 3,600 ชิ้น dx
2 2
(47.1) ∫ f(x) dx = ∫ x dx = x + c → y = ∫ ( x − 1) dx = x3 / 2
3
−x+K
2
2 โค้ ง ผ่ านจุ
ด (0, 1) ∴ K = 1
(47.2) ∫ f(x) dx = 2x + c = x2 + c 2 3/ 2
2 → y = x −x+1
(47.3) ∫ f(x) dx = 7x + c 3
โจทย์ถาม c = y(4) = 7 / 3
3x3
(47.4) ∫ f(x) dx = + c = x3 + c (53) อัตราการเปลี่ยนแปลงความชัน คือ f′′(x)
3
x4 [เพราะความชันคือ f′(x) ]
(47.5) ∫ f(x) dx = +c
∴ f′′(x) = 2x − 1
4
3 5
x5/ 2
2 → f′(x) = ∫ (2x − 1) dx = x2 − x + C1
(47.6) ∫ x2 dx = +c = x2 +c
5/2 5 หาค่า C1 โดยคําใบ้ที่วา่ ที่จุด (1, 2) ความชันตั้งฉาก
x −4 1 ⎡ 1⎤
(47.7) ∫ x−5 dx = +c = − +c กับ x + 2y − 1 = 0 ⎢⎣m = − 2 ⎥⎦ ดังนัน้
−4 4x4
(48.1) ∫ f(x) dx = x5 + x3 − 2x + c f′(1) = 2 [เพราะความชันคูณกันต้องได้ -1]
2 −1
2x x → ∴ C1 = 2 → f′(x) = x2 − x + 2
(48.2) ∫ (2x − x−2) dx = − +c
2 −1 โจทย์ถามความชันที่ x = 0 คือ f′(0) = 2
1
= x2 + + c (54) สมการวงกลมคือ (x)2 + (y − 1)2 = 2
x
x4 และสมการโค้งคือ y = ∫ (2x) dx = x2 + c
(48.3) ∫ (x3 − 3x2) dx = − x3 + c
4 (ผ่านจุด (3, 10) ∴ c = 1 ) → y = x2 + 1
x4 3x −2
(48.4) ∫ (x3 − 3x−3 + 4) dx = − + 4x + c แก้ระบบสมการหาจุดตัดได้เป็น
4 −2
(y − 1)2 + (y − 1) − 2 = 0
x4 3
= + + 4x + c → (y − 1 + 2)(y − 1 − 1) = 0
4 2x2
x −1
2x −2 จะได้ y = −1 → x = เป็นไปไม่ได้
(48.5) ∫ (x−2 − 2x−3) dx = − +c
−1 −2 หรือ y = 2 → x = ±1
1 1
= − + 2 +c ดังนัน้ จุดตัดคือ (1,2), (-1,2) อยู่ใน Q1 และ Q2
x x
(48.6) ∫ (4x3 − 4x2 + x − 1) dx (55) f′′(x) = 3 → f′(x) = 3x + C1
4 3 x2
แต่ f′(1) = −3 ∴ C1 = −6 → f′(x) = 3x − 6
= x4 − x + −x+c
3 2 3x2
→ f(x) = − 6x + C2
F(x) = 2
− 3) dx = x3 − 3x + c 2
(49) ∫ (3x
แต่ f(2) = −1 ∴ C2 = 5 → f(0) = 5
→ F(0) = 4 ∴c = 4
และจะได้ F(1) = 1 − 3 + 4 = 2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 330 อนุพันธและการอินทิเกรต

(56), (57) ต้องทราบว่า ds dv 2


2
= v, = a (60.1) (3x2 − 2x) dx = (x3 − x2)
dt dt −1 −1

จึงจะแก้ปญ
ั หาได้ = (8 − 4) − (−1 − 1) = 6
(56) a = 12t2 + 6t + 10 3
⎛ x4
3

→ v = ∫ a dt
3 2
= 4t + 3t + 10t + C1 (60.2) −1
∫ (x3 − 4x) dx = ⎜
⎝ 4

− 2x2 ⎟
⎠ −1

แต่ v(0) = 0 ∴ C1 = 0 ⎛ 81 ⎞ ⎛1 ⎞
= ⎜ − 18 ⎟ − ⎜ − 2 ⎟ = 4
S = = t4 + t3 + 5t2 + C2 ⎝4 ⎠ ⎝4 ⎠
∫ v dt 4
4
⎡ x2 x3 ⎤
แต่ S(0) = 10 ∴ C2 = 10 (60.3) −1∫ (6 + x − x ) dx = ⎢6x + 2
− ⎥
⎣ 2 3⎦
→ S = t4 + t3 + 5t2 + 10 −1

⎛ 64 ⎞ ⎛ 1 1⎞ 95
จะได้ S(5) = 625 + 125 + 125 + 10 = 885 ฟุต = ⎜ 24 + 8 − ⎟ − ⎜ −6 + + ⎟ =
⎝ 3 ⎠ ⎝ 2 3⎠ 6
(57) a = 24t2 → v = 8t3 + C1 (60.4) y = 3x2 − 2x
แต่ v(1) = 16 → C1 = 8 → S = 2t4 + 8t + C2 มีจุดตัดแกน x ที่ 2 4/27
แต่ S(1) = 8 ∴ C2 = − 2 → S = 2t4 + 8t − 2 x = 0, 2/ 3 ดังภาพ
→ ∴ S(2) = 32 + 16 − 2 = 46 เมตร
-1 0 2/3 2
(58) ให้ y แทนปริมาณผลผลิตทีไ่ ด้ 4+4/27
เมื่อเพิ่ม x คน อัตราการเปลี่ยนแปลงผลผลิต การหาพืน้ ที่ปดิ ล้อม ต้องแยกคิดทีละช่วง
dy เพราะช่วง 0 ถึง 2/ 3 จะได้ติดลบ
80 − 6 x ชิ้นต่อวัน =
dx (ต้องเอาเครือ่ งหมายลบออก)
3/2
∴ y = ∫ (80 − 6 x) dx = 80x − 4x +C 0 2/ 3 2

แต่โจทย์ใบ้ว่า ถ้าไม่เพิ่มคนเลย (x = 0) จะได้ =


−1
∫ f (x) dx −
0
∫ f (x) dx +
2 /3
∫ f (x) dx
3,000 ชิ้นต่อวัน → C = 3,000 (ใส่ลบตรงส่วนทีอ่ ยู่ใต้แกน เพือ่ ให้คา่ กลายเป็นบวก)
0 2/ 3 2
ตอบ y(25) = 80 ⋅ 25 − 4 ⋅ 125 + 3,000 = (x3 − x2) −1
− (x3 − x2) 0
+ (x3 − x2) 2/ 3

= 4,500 ชิน้ ต่อวัน ⎛ 4 ⎞ 4 8


4 = 2 − ⎜− ⎟+4 = 6 ตร.หน่วย
4
⎡ x ⎤ 2 ⎝ 27 ⎠ 27 27
(59.1) 0
∫ (3 − x) dx = ⎢3x −
⎣ 2⎦

0 [เช็คข้อ 60.1 จะได้ 2−
4
+4
4
= 6 ถูกต้อง]
= (12 − 8) − (0 − 0) = 4 27 27
2 (60.5) y = x3 − 4x

2
(59.2) (2x − 1) dx = [ x2 − x ]
−2 −2 มีจุดตัดแกน x ที่ 0, 2, −2
= (4 − 2) − (4 + 2) = −4 ดังภาพ 1+3/4 6+1/4
(59.3) y = 3 − x 4.5 ตร.หน่วย 4
มีจุดตัดแกน x (แทน y=0) 3
ที่จดุ (3, 0) ดังภาพ O 3 4 -2 -1 0 2 3
-1 0 2 3
พื้นที่ =
1
2
×3×3 +
1
2
× 1× 1 0.5 ตร.หน่วย พื้นที่ =
−1
∫ f (x) dx − ∫ f (x) dx + ∫ f (x) dx
0 2

= 4.5 + 0.5 = 5 ตร.หน่วย 3 1


= 1 − (−4) + 6 = 12 ตร.หน่วย
4 4
[ข้อ 59.1 คิดจาก 4.5 − 0.5 = 4 ก็ได้] 3 1
(59.4) y = 2x − 1 [เช็คข้อ 60.2 จะได้ 1 −4+6 = 4 ถูกต้อง]
2.25 4 4
1 6.25 (60.6) y = 6 + x − x2
มีจุดตัดแกน x ที่ ( , 0) 3
2 -2 มีจุดตัดแกน x ที่ 112/6
ดังภาพ 0.5 2 x = −2, 3 ดังภาพ
1 1
พื้นที่ = × 2.5 × 5 + × 1.5 × 3 -5 4
2 2 -2 -1 3
= 6.25 + 2.25 = 8.5 ตร.หน่วย 17/6
[ข้อ 59.2 คิดจาก −6.25 + 2.25 = −4 ก็ได้]

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 331 อนุพันธและการอินทิเกรต
3 4
(65)
พื้นที่ = ∫ f (x) dx − ∫ f (x) dx 8

∫ f (x) dx =
−1 3

112 ⎛ 17 ⎞ 5
พืน้ ที่ใต้กราฟ
= − ⎜− ⎟ = 21.5 ตร.หน่วย
6 ⎝ 6⎠ 1 7
112 17 95
= พืน้ ที่ , − พื้นที่วงกลม
4
[เช็คข้อ 60.3 จะได้ − = ถูกต้อง]
6 6 6 π32 9π 3
2 = 7×3− = 21 − ≈ 7.07
(61) y = x − 1 4 4
มีกราฟดังภาพ 4/3
4/3 4/3 (66) ไม่จําเป็นต้องสร้าง
สมการเส้นตรงเพื่ออินทิเกรต 6
-2 1 1 2 เพราะเป็นรูป Δ
3 -1
2
⎛ x3 ⎞
2
4

−1
∫ f (x) dx 3
(61.1) 1
∫ 2
(x − 1) dx = ⎜
⎝ 3
− x⎟
⎠ 1
=
3
ตร.น. =
1
× 4 × 6 = 12
2
1 1
⎛ x3 ⎞ 4
(61.2) −
−1
∫ (x2 − 1) dx = − ⎜
⎝ 3
− x⎟

=
3
ตร.น. (67) เช่นเดียวกับข้อ (66) คือ
3
5
−1 0
−1
∫ f (x) dx = พื้นที่ , คางหมู 2
∫ ∫ f (x) dx
−2
(61.3) f (x) dx − 1
−2 −1
= × 5 × (2 + 5) = 17.5 -2 3
4 ⎛ 2⎞ 2
= − ⎜− ⎟ = 2 ตร.หน่วย 1
3 ⎝ 3⎠

1
(68) (4x − 3) dx = [2x2 − 3x ] sin θ
2 2
x4 + 1 sin θ
(62) 1
∫ x2
dx =
1
∫ (x2 + x −2) dx = −1 − 2 sin θ + 3 sin θ = 0 2

2 → (2 sin θ − 1)(sin θ − 1) = 0
⎡ x3 1⎤ ⎛8 1⎞ ⎛ 1 ⎞ 5
= ⎢ − ⎥ = ⎜ − ⎟ − ⎜ − 1⎟ = 2 → sin θ = 1 , 1/2 → cos 2θ = 1 − 2 sin2 θ
⎣3 x⎦ 1 ⎝ 3 2⎠ ⎝ 3 ⎠ 6
1 1 = −1 หรือ 1/2
0
∫ (4 − x)2 dx =
0
∫ (16 − 8 x + x) dx
sin θ
⎡ x3 ⎤
sin θ

⎡ 16 3 / 2 x2 ⎤
1
⎛ 16 1 ⎞
(69) 1
∫ x2 dx = ⎢ ⎥
⎣3⎦
= ⎢16x − x + ⎥ = ⎜ 16 − + ⎟ 1
⎣ 3 2⎦ 0 ⎝ 3 2⎠ sin θ 1 3
2
= − = − → sin θ = −1
1 3 3 3
= 11 ตอบ 14
6 ∴ 1 + sin θ + cos θ = 1 − 1 + 0 = 0
(63) พิจารณากราฟ (70) (fog)(x) = 2x + 5, f(x) = 4x − 3 →
พื้นที่เหนือแกน x เท่ากับ
1 แก้ฟังก์ชัน หา g(x) ได้เป็น g(x) = x + 2
0
∫ (x2 − 3x + 2) dx
1 2
1
2
x ⎛x ⎞ 1
⎡ x3
= ⎢ −
3x2 ⎤
+ 2x ⎥
1
0 1 2 ∴
0
∫ ( + 2) dx = ⎜
2 ⎝4
+ 2x ⎟
⎠ 0
=
4
+ 2 = 2.25
⎣3 2 ⎦ 0
(71) หา b, c จาก f(−1) = −4, f′(−1) = 0 →
1 3 5
= − +2 = ได้ b = 2, c = −3
3 2 6
(64) y = x2 − c y = x2 + 2x − 3

ถ้า c > 4 แสดงว่า วาดกราฟได้ดังรูป -3 -1 1


ตัดแกน x ที่ ±c -2 1
เกิน ±2 ดังภาพ 1


1
ดังนัน้ −2 ∫ (x2 − c) dx = −24 พื้นที่ = −
−1
(x2 + 2x − 3) dx
1
⎛ x3 ⎞
1
⎛ x3 ⎞
→ ⎜ − cx ⎟ = −24 = −⎜ + x2 − 3x ⎟ = 16 / 3
⎝ 3 ⎠ ⎝ 3 ⎠ −1
−2

⎛1 ⎞ ⎛ 8 ⎞
→ ⎜ − c ⎟ − ⎜ − + 2c ⎟ = −24 → c = 9
⎝3 ⎠ ⎝ 3 ⎠

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 332 อนุพันธและการอินทิเกรต

eÃ×èo§æ¶Á
เทคนิคการอินทิเกรตโดยเปลีย่ นตัวแปร..
ฟังก์ชนั ประกอบที่หาอนุพันธ์ไว้โดยใช้กฎลูกโซ่ (หรือดิฟก้อน) เมือ่ เราต้องการจะอินทิเกรตกลับไปต้องอาศัย
เทคนิค การเปลี่ยนตัวแปร (Substitution) มิฉะนัน้ จะอินทิเกรตไม่ได้

ตัวอย่างเช่น f (x) = (3x3 + 4)10 มีอนุพันธ์เป็น f′ (x) = 10(3x3 + 4)9(9x2) = 90x2(3x3 + 4)9
ถ้าเราต้องการหาค่า ∫ 90 x2(3x3 + 4)9 dx เราไม่สามารถกระจายฟังก์ชนั กําลัง 9 ได้ จึงต้องใช้เทคนิค
เปลี่ยนตัวแปร x ให้เป็น u ที่เหมาะสม ... ในตัวอย่างนี้ให้ u = 3x3 + 4
du du
จะได้ = 9x2 นัน่ คือ dx = (ย้ายข้างสมการ)
dx 9x2
แทนค่าตัวแปรใหม่ลงไปใน ∫ 90 x2(3x3 + 4)9 dx ได้เป็น ∫ 90 x2(u)9 du2
9x
9
เศษส่วนหารกันได้ ∫ 10 (u) du จะพบว่าเหลือตัวแปร u ล้วนๆ และอยู่ในรูปทีอ่ นิ ทิเกรตได้
(แสดงว่าเลือกตัวแปร u ได้ถูกต้อง) ผลที่ได้คอื u10 + C = (3x3 + 4)10 + C นั่นเอง..

หลักในการเลือกว่าให้ก้อนใดเป็น u ก็คอื ต้องเลือกก้อนที่เมือ่ ดิฟแล้วออกมาคล้ายส่วนที่เหลือ


(เพื่อให้สามารถกําจัด x ที่ยังคงเหลือไปให้หมด)
เช่น จาก ∫ t (1−2t2)8 dt เราเลือก u = 1−2t2 เพราะเมือ่ ดิฟแล้วได้ −4t มาตัดกับ t ที่เหลือได้พอดี
หรือ จาก ∫ x3(4− x2)3 dx ถ้าเลือก u = x3 เมื่อดิฟแล้วจะได้ 3x2 ไม่สามารถไปตัดกับ 4 − x2 ได้
จึงต้องเลือก u = 4 − x2 เมื่อดิฟแล้วได้ −2x ตัดกับ x3 เหลือ x2 ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็น x2 = 4 − u ได้

du du
จาก ∫ x3(4− x2)3 dx ให้ u = 4 − x2 → = −2x จะได้ ∫ x3u3dx = 3 3
∫x u
dx −2x
1 2 3 1 3 1 3 4 1 ⎡ 4 u5 ⎤
= −
2
∫ x u du = − 2 ∫ (4 − u)u du = − 2 ∫ (4u − u ) du = − 2 ⎢u −
⎣ 5⎦
⎥ + C

1⎡ (4 − x2)5 ⎤
= − ⎢(4 − x2)4 − ⎥ + C
2⎣ 5 ⎦

ทดลองทําดูนะครับ เฉลย
ก. ∫ t (1−2t2)8 dt u9
ก. − + c เมื่อ u = 1−2t2
36
ข. ∫ (3x2+2) 2x3+ 4x + 1 dx 1 3/ 2
ข. u + c เมื่อ u = 2x3+ 4x + 1
3
ค. ∫ x + 3 (x + 1)2 dx 7
2 2 8 2 8 2
5 3
ค. u − u + u + c เมื่อ u = x+3
ง. ∫ 2x2/ 3 dx 7 5 3
(1− x) 1
3 3
4
ง. −6u3 + u + c เมื่อ u = 1− x
จ. ∫ 18+ 12x2 5 dx 2
(4−9x − 3x ) 1
จ. + c เมื่อ u = 4 −9x − 3x2
2 u4

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 333 ความนาจะเปน

Pr,o + b!

º··Õè 16 ¤ÇÒÁ¹‹Ò¨ae»š¹
ความน่าจะเป็นและสถิติ เป็นวิชาที่มีบทบาท
สําคัญทั้งในทางพาณิชยศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ รวม
ไปถึงการแพทย์และจิตวิทยาด้วย ทฤษฎีมากมายใน
ปัจจุบัน ถูกพัฒนาขึ้นจากหลักการของความน่าจะเป็น
นอกจากประโยชน์ดังกล่าวแล้ว เรายังปรับใช้ความ
น่าจะเป็นในชีวิตประจําวันได้โดยอาจไม่รู้ตัว เช่น การ
นับจํานวนแบบที่เป็นไปได้ การคาดคะเนโอกาสที่
เหตุการณ์หนึ่งๆ (หรือหลายเหตุการณ์) จะเกิดขึ้น

16.1 หลักมูลฐานเกี่ยวกับการนับ
ถ้าเราต้องทํางาน k อย่าง โดยที่งานอย่างแรกมีทางเลือกทําได้ n1 แบบ และในแต่ละแบบก็
เลือกทํางานอย่างที่สองได้ n2 แบบ และในแต่ละแบบ... (ไปเรื่อยๆ) จะมีจํานวนวิธีเลือกทํางานจน
ครบทุกอย่าง เท่ากับ n1 × n2 × ... × nk วิธี
เรียกกฎนี้ว่า หลักมูลฐานเกี่ยวกับการนับ (Fundamental Principles of Counting)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 334 ความนาจะเปน

ตัวอยาง มีเสื้อ 3 ตัว กางเกง 4 ตัว ก1 (ส1,ก1)


จะจัดเปนชุดที่ไมซ้ํากันเลยไดกี่แบบ ก2 (ส1,ก2)
ส1 ก3 (ส1,ก3)
ตอบ 3 × 4 = 12 แบบ
ก4 (ส1,ก4)
เขียนเปนแผนภาพตนไม (Tree Diagram) ไดดังรูป ก1 (ส2,ก1)
ส2 ก2 (ส2,ก2)
ตัวอยาง มีเรือวิง่ ขามฟาก 3 ลํา ก3 (ส2,ก3)
จะนั่งเรือไปและกลับไมใหซ้ําลํากัน ไดกี่วิธี ก4 (ส2,ก4)
ตอบ 3 × 2 = 6 วิธี ก1 (ส3,ก1)
ส3 ก2 (ส3,ก2)
ตัวอยาง ทอดลูกเตา 2 ครั้ง จะมีผลออกมาไดกี่แบบ ก3 (ส3,ก3)
ตอบ 6 × 6 = 36 แบบ ก4 (ส3,ก4)

แบบฝึกหัด 16.1
(1) จากตาราง เรามีวิธีเดินทางจาก การเดินทาง รถยนต์ เรือ รถไฟ เครื่องบิน
เมือง ก ไปเมือง ง โดยผ่านทุก ก → ข ได้ ไม่ได้ ได้ ได้
เมืองได้กี่วิธี ข → ค ได้ ได้ ไม่ได้ ไม่ได้
ค → ง ไม่ ไ ด้ ได้ ได้ ได้
(2) มีหีบ 5 ใบวางเรียงกัน จะมีวิธีเอาบอล 3 ลูกใส่ในหีบ ทีละลูกๆ ทั้งหมดกี่วิธี
(3) ร้านฟาสต์ฟู้ดมีเบอร์เกอร์อยู่ 6 ชนิดและเครื่องดื่ม 4 ชนิด โดยเครื่องดื่มแต่ละชนิดนั้นมี 3
ขนาด จะมีวิธีจัดชุดอาหารกับเครื่องดื่มคู่กันกี่แบบ
(4) นําอักษรจากคําว่า SPECIAL มาสลับเป็นคําได้ทั้งหมดกี่แบบ (ไม่คํานึงถึงความหมาย)
(5) มีถุง 2 ใบ ใบแรกมีบอลสีแดง 3 ลูก สีดํา 2 ลูก สีขาว 1 ลูก (ซึ่งแต่ละลูกถือว่าต่างกัน) ใบที่
สองมีบอลสีแดง 2 ลูก สีดํา 2 ลูก สีขาว 2 ลูก หยิบลูกบอลจากใบแรกไปใส่ในใบที่สอง 1 ลูก และ
หยิบจากใบที่สองออกมา 1 ลูก มีกี่วิธีซึ่งบอลที่หยิบจากใบแรกเป็นสีแดง และบอลที่หยิบออกจากใบที่
สองไม่ใช่สีขาว
(6) ข้อสอบฉบับหนึ่งประกอบด้วย โจทย์ปัญหาแบบถูก-ผิด 5 ข้อ และปรนัย (ก,ข,ค,ง) อีก 7 ข้อ
จะมีวิธีเดาข้อสอบที่ไม่ซ้ํากันเลยได้กี่แบบ
S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S
(7) กล่องใบหนึ่งบรรจุสลากเลข 0 ถึง 9 อย่างละใบ ถ้า
หยิบมา 2 ใบ (ทีละใบโดยไม่ใส่คืน) จะมีกี่วิธีที่ผลรวมเลข o¨·Âº·¹ÕéÇi¸¤Õ i´Êaé¹ÁÒ¡æ 测¡çµoº¼i´ä´Œ§‹ÒÂ
เป็นจํานวนคี่ ¹Œo§æ ËÅÒ¤¹eËç¹µaÇeÅ¢ã¹o¨·Â¡çËÂiºÁÒ¤Ù³¡a¹
ËÃ×o¡¡íÒÅa§¡a¹´×éoæ eÅ 溺¹ÕéäÁ‹¤ÇäÃaº Áa¹äÁ‹ä´Œ
(8) [Ent’24] ใช้ตัวเลข 0 ถึง 5 มาสร้างจํานวน 3 หลัก e»š¹æºº¹aé¹·u¡¢Œo oÂً·èÊÕ ¶Ò¹¡Òóã¹o¨·Â´ŒÇÂ..
จะสร้างได้กี่จํานวน ถ้ากําหนดให้ Çi¸Õ·è´Õ Õ·èÊÕ u´¤×o¤‹oÂæ ¹Ö¡Ç‹Ò ¢Œo¹ÕéÁÕ¡Ò÷íÒ§Ò¹
(8.1) แต่ละหลักไม่ซ้ํากัน (ËÃ×o¡Òõa´Êi¹ã¨) ¡Õ袹éa µo¹ ¨a䴌eoÒ¨íҹǹ·Ò§eÅ×o¡
(8.2) เป็นจํานวนคี่ และแต่ละหลักไม่ซ้ํากัน ã¹æµ‹Åa¢aé¹µo¹ÁÒ¤Ù³¡a¹ä´Œ¶¡Ù µŒo§
(8.3) มีค่ามากกว่า 350 และแต่ละหลักไม่ซ้ํากัน ».Å. äÁ‹¤Ç÷‹o§ÊÙµÃÅa´»ÃaeÀ·Ç‹Ò Êiè§ÁÕªÇÕ iµ äÁ‹ÁÕ
(8.4) หาร 10 ลงตัว ªÕÇiµ ã¤ÃÁÒ¡¡íÒÅa§ã¤Ã ÏÅÏ e¾ÃÒaÁa¹¼i´§‹ÒÂæÅa㪌
äÁ‹ä´ŒeÊÁo仹a¤Ãaº ¤i´µÃ§æ ªaÇÏÊu´!

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 335 ความนาจะเปน

(9) ต้องการเลือกประธาน รองประธาน และเหรัญญิก ตําแหน่งละ 1 คน โดยเลือกจากนักเรียน


ชาย 5 คน หญิง 4 คน จะเลือกได้กี่ชุด หากกําหนดว่าประธานและรองประธานเป็นเพศเดียวกัน
และคนละเพศกับเหรัญญิก

16.2 วิธีเรียงสับเปลี่ยน
จํานวน วิธีเรียงสับเปลี่ยน (Permutation) สิ่งของต่างๆ กัน n สิ่ง จะมี n! วิธี
แต่ถ้าเอามาเรียงเพียงแค่ r สิ่ง จะมี n! วิธี เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ Pn,r หรือ nPr
(n−r)!
เครื่องหมาย ! เรียกว่า แฟคทอเรียล (Factorial)
มีนิยามว่า n! = n ⋅ (n−1) ⋅ (n−2) ⋅ ... ⋅ 3 ⋅ 2 ⋅ 1 เมื่อ n เป็นจํานวนนับ
และกําหนดให้ 0 ! = 1 เพื่อให้สอดคล้องกับสมการ Pn,n = n!

8! 8 × 7 × 6!
ตัวอยาง 3! = 3 × 2 × 1 = 6 = = 56
6! 6!
7!
P7, 3 = = 7×6×5
4!

ตัวอยาง จัดคน 3 คน ใหยืนเรียงแถวเปนเสนตรง ไดกี่วิธี


ตอบ คิดแบบการนับ ได 3 × 2 × 1 = 6 วิธี หรือคิดแบบเรียงสับเปลี่ยน P3,3 = 3 ! = 6 วิธี

ตัวอยาง มีธง 5 ผืน ผืนละสีไมซ้ํากัน จะมีวิธีสงสัญญาณโดยเอาธง 3 ผืนมาวางเรียงกัน ไดกี่วิธี


ตอบ คิดแบบการนับ 5 × 4 × 3 = 60 วิธี หรือคิดแบบเรียงสับเปลี่ยน P5,3 = 5! 2!
= 60 วิธี

จํานวนวิธีเรียงสับเปลี่ยนสิ่งของทั้งหมด n สิ่ง ที่มีสิ่งของซ้ํากัน k1 สิ่ง, k2 สิ่ง, ...


n!
จะเรียงได้ วิธี
k1 ! ⋅ k2 ! ⋅ ...
(แต่ถ้าไม่นํามาเรียงครบทั้ง n สิ่ง ก็จะต้องพิจารณาการซ้ํากันนั้น แยกเป็นหลายๆ กรณี)

จํานวนวิธีเรียงสับเปลี่ยนสิ่งของต่างๆ กัน n สิ่ง เป็นรูปวงกลม (Circular Permutation) จะ


ทําให้ไม่มีหัวแถวหรือปลายแถว ดังนั้นจํานวนวิธีจึงลดลง ให้คิดว่าระบุตําแหน่งเจาะจงก่อน 1 สิ่ง แล้ว
ที่เหลือจึงจัดแบบเส้นตรงปกติ นั่นคือ (n−1)! วิธี
(แต่หากการจัดนี้สามารถมองได้สองด้าน จํานวนวิธีจะลดลงอีก เหลือ (n−1)! วิธี)
2

แบบฝึกหัด 16.2
10 ! 6! 3 !
(10) ให้หาค่าของ , , P4,3 , และ P7,3
7! 4! 7!
(n+ 3)!
(11) ถ้า = 30 จงหาค่า n
(n+ 1)!

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 336 ความนาจะเปน

(12) ให้หาค่า n ซึ่งทําให้ 2 Pn,2 + 50 = P2n,2


S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S
(13) ของต่างๆ กัน 4 ชิ้น นํามาจัดเป็นแถวได้กี่วิธี ถ้า ÂéÒí oÕ¡·ÕÇ‹Ò ÁÒ¶Ö§ËÂiºµaÇeÅ¢·ÕèeËç¹ä»¤Ù³ ËÃ×o
(13.1) ใช้ทุกชิ้นเท่านั้น ¡¡íÒÅa§ ËÃ×oãʋ濤·oeÃÕÂÅæËÅ¡eÅÂäÁ‹ä´Œ¹a
¤Ãaº µŒo§¤‹oÂæ ¤i´eËÁ×o¹ËaÇ¢Œo·ÕèæŌǡ‹o¹.. æÅa
(13.2) ใช้มากกว่า 1 ชิ้น
¶ŒÒºa§eoi­Áa¹ÁÕeÅ¢e´ÕÂÇ¡a¹¤Ù³¡a¹«éÒí æ Áa¹¡çe¡i´
(14) นําอักษรจากคําว่า STAND มาเรียงเป็นคําได้กี่แบบ ถ้า ¡Òá¡íÒÅa§¢Öé¹eo§ ËÃ×o¶ŒÒ¤Ù³æŌÇeÅ¢¤‹oÂæ
(14.1) ใช้ทุกตัว Ŵŧæ Áa¹¡çe¡i´æ¿¤·oeÃÕÂÅ¢Öé¹eo§
(14.2) เลือกมาเพียง 3 ตัว ¤×o¡Òäi´µÃ§æ ÁÒ¡‹o¹ æŌÇe¢Õ¹¤íÒµoºãˌ
ÊǧÒÁã¹Ãٻ¡¡íÒÅa§ ËÃ×o濤·oeÃÕš礋oÂNjÒ
(15) คําว่า HONESTY สามารถนําอักษรมาเรียงเป็นคําได้กี่คํา ¡a¹ËÅa§¨Ò¡¹a鹤Ãaº..
หาก (15.1) S และ T ต้องติดกันเสมอ
(15.2) S และ T ต้องไม่ติดกัน
(16) มีชาย 3 คน หญิง 2 คน จะจัดคนทั้ง 5 มายืนเรียงแถว โดยผู้ชายยืนติดกันและผู้หญิงยืน
ติดกัน ได้กี่วิธี และถ้าบังคับให้ยืนสลับกันจะได้กี่วิธี
(17) จงหาจํานวนวิธีที่จะจัดชาย 5 คน หญิง 4 คน นั่งบนเก้าอี้เรียงยาว โดยต้องไม่มีผู้หญิงคนใดนั่ง
ติดกัน
(18) มีชาย 3 คน หญิง 2 คน โดยใน 2 คนนี้มี ด.ญ.อ้อ รวมอยู่ด้วย จะจัดแถวได้กี่แบบ ถ้า ด.ญ.
อ้อ ต้องยืนหัวแถวหรือท้ายแถวเสมอ
(19) อักษรคําว่า TRIANGLE นํามาจัดเป็นคําได้กี่คํา หากต้องขึ้นต้นด้วย T และลงท้ายด้วย E
(20) สลับที่ตัวอักษรจากคําว่า AMPLITUDE (โดยไม่คํานึงถึงความหมาย) ได้กี่คํา เมื่อ
(20.1) สระไม่ติดกัน
(20.2) พยัญชนะไม่ติดกัน
(20.3) ต้องขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ และสระต้องไม่ติดกัน
(20.4) ต้องขึ้นต้นด้วยสระ และสระต้องไม่ติดกัน
(21) นําอักษรในคําว่า MISSISSIPPI มาเรียงสับเปลี่ยนได้กี่แบบ
(22) นําอักษรในคําว่า TROTTING มาเรียงสับเปลี่ยนได้กี่แบบ ถ้าบังคับว่า ต้องขึ้นต้นด้วยสระ และ
ลงท้ายด้วยตัว T
(23) นําอักษรในคําว่า ALGEBRA มาเรียงสับเปลี่ยนได้กี่แบบ ถ้าต้องรักษาลําดับของสระและ
พยัญชนะให้เป็นแบบเดิม
B
(24) มีวิธีเดินทางจาก A ไป B ได้กี่แบบ ถ้าเดินทางได้ตาม N
เส้นที่กําหนดเท่านั้น และเดินทางได้เฉพาะทิศเหนือ กับทิศ
ตะวันออก
(25) นําอักษรจากคําว่า ARRANGE มา 3 ตัวเพื่อจัดเป็นคํา A
จะจัดได้กี่แบบ
(26) จัดคน 4 คน คือ ก, ข, ค, ง นั่งล้อมเป็นวงกลมได้กี่วิธี ให้ตรวจสอบคําตอบโดยการเขียนวิธี
ทั้งหมด
(27) จัดลูกปัด 4 สี มาร้อยเป็นวงได้กี่วิธี ให้ตรวจสอบคําตอบโดยการเขียนวิธีทั้งหมด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 337 ความนาจะเปน

(28) มีชาย 3 คน หญิง 3 คน จะนั่งสลับชายหญิงรอบโต๊ะอาหารวงกลมได้กี่แบบ


(29) ชาย 6 คน หญิง 6 คน นั่งรอบโต๊ะกลม โดยชายหญิงต้องสลับกันครั้งละ 2 คน จะมีวิธีจัดกี่
แบบ
(30) สามีภรรยาเชิญแขกมารับประทานอาหาร 4 คน จะจัดที่นั่งรอบโต๊ะกลมได้กี่แบบ หากสามี
ภรรยาต้องนั่งติดกันเสมอ
(31) มีวิธีจัดชาย 5 คน หญิง 4 คน นั่งรอบโต๊ะกลมได้กี่วิธี ถ้าไม่มีหญิงคนใดนั่งติดกันเลย

16.3 วิธีจัดหมู่ และกฎการแบ่งกลุ่ม


วิธีจัดหมู่ (Combination) ต่างจากเรียงสับเปลี่ยน ตรงที่จะไม่คํานึงถึงลําดับก่อนหลัง
เช่น สมมติมีตัวอักษร 3 ตัว คือ ABC จะได้ว่า
P3,2 = 6 ได้แก่ AB, AC, BA, BC, CA, CB

แต่ C3,2 = 3 ได้แก่ AB, AC, BC


AB กับ BA การเรียงสับเปลี่ยนถือว่าต่างกัน แต่การจัดหมู่ถือว่าเป็นวิธีเดียวกัน
n!
จํานวนวิธีจัดหมู่สิ่งของต่างๆ กัน n สิ่ง โดยทีค่ ัดออกมา r สิ่ง จะมี วิธี
(n−r)! ⋅ r !
⎛ n⎞
เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ Cn,r หรือ n Cr และนิยมเขียนเป็น ⎜r ⎟ อ่านว่า “n เลือก(choose) r”
⎝ ⎠
nPr
ข้อสังเกต สูตรการจัดหมู่ คิดโดยนําการเรียงสับเปลี่ยนมาแล้วหารลําดับทิ้งไป คือ n Cr =
r!

ตัวอยาง จงหาจํานวนวิธีที่จะหยิบสลาก 5 ชิ้น ออกมาจากกองทีม่ ีอยู 12 ชิ้น


12 !
ตอบ ⎛⎜ 12 5⎟

=
7 ! ⋅ 5!
= 792 วิธี
⎝ ⎠
⎛ 12 ⎞ ⎛ 12 ⎞ ⎛n⎞ ⎛ n ⎞
ขอสังเกต ⎜5⎟ = ⎜7⎟ หรือ ⎜ r ⎟ = ⎜ n −r ⎟
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠

ตัวอยาง ดินสอสี 1 โหล มีสีตางๆ กัน ตองการหยิบ 5 แทง ตามเงือ่ นไขตอไปนี้ จะไดกี่วิธี
(ก) แตละครั้งตองมีสีแดง ตอบ ⎛⎜ 11⎞⎟ ⎛⎜ 114 ⎞⎟ = 330 วิธี
⎝ ⎠⎝ ⎠
⎛ 11⎞
(ข) แตละครั้งตองไมมีสีแดง ตอบ ⎜ 5 ⎟ = 462 วิธี
⎝ ⎠
⎛ 12 ⎞
หรือ คิดจาก จํานวนวิธีทั้งหมด ลบดวยจํานวนวิธีที่มีสีแดง ก็ได ⎜ 5 ⎟ − 330 = 462 วิธี
⎝ ⎠

5
จากการหยิบของ 5 ชิ้น ออกจากกองที่มี 12 ชิ้น 12
ก็เหมือนการแบ่งแยกของออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มละ 5 และ 7 ชิ้น 7
ซึ่งแบ่งกลุ่มได้ 12 ! วิธี เรียกว่า กฎการแบ่งกลุ่ม (Partitioning Law) 5
5! ⋅ 7 !
ขยายผลออกไปถึงการแบ่งของ 12 ชิ้น เป็นสามกอง ดังนี้ 12 4
3
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 338 ความนาจะเปน

12 ! ⎛ 12 ⎞ ⎛ 7 ⎞ ⎛ 3 ⎞
ก็จะมีจํานวนวิธีเป็น วิธี (พิสูจน์ได้จาก ⎜ 5 ⎟ ⎜ 4⎟ ⎜ 3⎟ )
5! ⋅ 4 ! ⋅ 3 ! ⎝ ⎠⎝ ⎠⎝ ⎠ 2
2
แต่ถ้ามีกองใดที่จํานวนเท่ากัน ที่ถือว่าไม่แตกต่างกัน จํานวนวิธีจะ 2
ลดลงโดยคิดเช่นเดียวกับการสับเปลี่ยน เช่น จากแผนภาพด้านขวานี้ 12
12 ! 1
จะแบ่งได้ 3
วิธี
(2 !) ⋅ 3 ! ⋅ 1! ⋅ 5 ! 5
3! ที่เพิ่มเข้ามา เนื่องจากมี 3 กองที่สลับกันเองไม่มีความหมาย จํานวนวิธีจึงต้องลดลง

ตัวอยาง มีคน 4 คน จัดเปนสองกลุม กลุมละ 2 คน ไดกี่แบบ


ตอบ (2 !)4 !⋅ 2 ! = 3 แบบ
2

ตัวอยาง คน 12 คน แบงเปน 5 กลุม ทีม่ ีจํานวน 2, 2, 2, 3, 3 คน ไมใหซ้ําแบบกันเลยไดกี่แบบ


ตอบ (2 !) ⋅ 312 3
!
2
! ⋅ (3 !) ⋅ 2 !
= 138, 600 แบบ

แบบฝึกหัด 16.3
(32) ถ้า C18,r = C18,r + 2 จงหาค่า r
(33) [Ent’20] มีนวนิยายที่น่าอ่านวางอยู่ 10 เล่ม ขอยืมไปอ่าน 3 เล่ม จะมีวิธีเลือกหนังสือกี่วิธี
(34) จุด 6 จุด กระจายกันอยูบ่ นเส้นรอบวงกลม จะสร้างสามเหลี่ยมจากจุดเหล่านี้ได้กี่รูป
(35) หาจํานวนวิธีเลือกกรรมการชุดละ 8 คน จากนักเรียนหญิง 6 คน ชาย 10 คน โดย
(35.1) ไม่มีเงื่อนไขเพิ่มเติม
(35.2) ต้องมีหญิง 2 คนเท่านั้น
(35.3) ต้องมีหญิงอย่างน้อย 5 คน
(35.4) ต้องมีหญิงมากกว่า 1 คน
(36) ถุงใบหนึ่งมีบอลสีขาว 6 ลูก สีดํา 5 ลูก จะมีกี่วิธีที่หยิบบอลออกมา 4 ลูกพร้อมกัน และได้สี
ขาวกับดํา อย่างละ 2 ลูก
(37) ในการประชุม มีนักธุรกิจ 3 คน นักวิชาการ 8 คน และอาชีพอื่นๆ 10 คน ต้องการเลือก
กรรมการ 4 คน โดยต้องมีนักธุรกิจรวมอยู่อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง จะมีวิธีจัดกรรมการกี่แบบ
(38) รถโรงเรียน 2 คัน มี 6 และ 9 ที่นั่ง ตามลําดับ จะจัด S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S
นักเรียน 13 คน ประจํารถได้กี่แบบ (มีที่ว่าง 2 ที่)
¤‹Ò¢o§ ()
7
2 ¡aº ( 71 ) (61 ) äÁ‹e·‹Ò¡a¹¹a¤Ãaº
(39) มีอักษร A, B, C, m, p, q, r, s, a, e, o, u นําอักษร eÃÒµŒo§eÅ×o¡ãªŒãˌ¶Ù¡æºº ...¤ÇÒÁ浡µ‹Ò§¤×o
ทั้งหมดมาจัดเป็นคําโดยให้มีอักษรตัวพิมพ์ใหญ่ขึ้นต้น และ
พยัญชนะตัวเล็ก 3 ตัว สระ 2 ตัว ได้กี่คํา ( 71 ) (61 ) ¹aé¹ÁÕÅíÒ´aºe¡i´¢Öé¹´ŒÇ (Êi觷ÕèeÅ×o¡ÁÒ䴌
ã¹æµ‹Åa¢aé¹µo¹¶×oNjÒÊÅaº¡a¹æŌǼÅÅa¾¸e»ÅÕÂè ¹)
(40) อักษรชุดหนึ่งได้แก่ a, a, a, b, b, c, c, d, d, e, f
นํามาจัดเป็นคําที่มีความยาว 4 ตัวอักษร ได้กี่แบบ
测 (27 ) ¹aé¹eÅ×o¡¾ÃŒoÁæ ¡a¹ o´ÂäÁ‹¤Òí ¹Ö§ÅíÒ´aº
¡‹o¹ËÅa§ (Êo§ªi¹é ·ÕèeÅ×o¡ÁÒ¶×oNjÒÈa¡´iìÈÃÕe·‹Ò¡a¹)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 339 ความนาจะเปน

(41) การแข่งขันเทนนิสมีนักกีฬาเข้าร่วมแข่งขัน 10 คน เป็นการแข่งแบบพบกันหมด หากใน 1 วัน


จัดแข่งได้ 4 คู่ จะต้องใช้เวลาทั้งหมดกี่วัน
(42) มีคน 9 คน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ตามเงื่อนไขต่อไปนี้ได้กี่วิธี
(42.1) 4, 3, 2 คน
(42.2) กลุ่มละ 3 คน
(43) นักกีฬาเทนนิส 9 คน ถูกแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 3 คน เพื่อไปแข่งที่สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ
, ฝรั่งเศส จะแบ่งได้กี่วิธี
(44) นักเรียน 7 คน เข้าห้องพัก 3 ห้อง ซึ่งมีขนาด 3, 2, 2 คน แต่ละห้องถือว่าต่างกัน จะจัดได้กี่
วิธี (ลองคิดแบบแบ่งกลุ่มก่อน แล้วค่อยจัดเข้าห้อง)

16.4 การนับในกรณีอื่นๆ
การนับรูปเรขาคณิต
1. จํานวนเส้นตรง
⎛5⎞
จุด 5 จุด (ที่ไม่มีสามจุดใดอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน) สร้างเส้นตรงได้ ⎜2⎟ เส้น
⎝ ⎠
⎛5⎞ ⎛ 3⎞
แต่ถ้ามี 3 จุดอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน สร้างเส้นตรงได้ ⎜2⎟ − ⎜2 ⎟ + 1 เส้น
⎝ ⎠ ⎝ ⎠
⎛ 3⎞
หมายเหตุ การลบ ⎜2⎟ แล้วบวก 1 หมายความว่า จุดสามจุดในแนวเดียวกันทําให้จํานวนเส้นตรงที่
⎝ ⎠
ได้นั้นหายไปหมด เหลือเพียงเส้นเดียว จึงลบเส้นตรงที่เกิดจากสามจุดนี้ออกให้หมด แล้วบวกกลับไป
เพียง 1 เส้น

2. จํานวนสามเหลี่ยม
⎛5⎞
จุด 5 จุด (ที่ไม่มีสามจุดใดอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน) สร้างสามเหลี่ยมได้ ⎜ 3⎟ รูป
⎝ ⎠
⎛5⎞ ⎛ 3⎞
แต่ถ้ามี 3 จุดอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน สร้างสามเหลี่ยมได้ ⎜ 3⎟ − ⎜ 3⎟ รูป
⎝ ⎠ ⎝ ⎠

3. จํานวนจุดตัดของเส้นตรง กับวงกลม
⎛8⎞
เส้นตรง 8 เส้น จะมีจุดตัดเกิดขึ้นได้มากที่สุด ⎜2⎟ จุด
⎝ ⎠
⎛5⎞
วงกลม 5 วง รัศมีต่างๆ กัน จะมีจุดตัดเกิดขึ้นมากที่สุด 2 ⋅ ⎜ ⎟ จุด
⎝2⎠

เส้นตรง 8 เส้นกับวงกลม 5 วง ตัดกัน เกิดจุดตัดมากที่สุด ⎛⎜ 82 ⎞⎟ + 2 ⋅ ⎛⎜ 52 ⎞⎟ + 2 ⋅ ⎛⎜ 81 ⎞⎟ ⎛⎜ 51 ⎞⎟ จุด


⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠

4. จํานวนสี่เหลี่ยม
เส้นขนานสองชุด จํานวน 5 เส้น กับ 4 เส้น ดังภาพ
จะเกิดรูปสี่เหลี่ยมขึ้น ⎛⎜ 52 ⎞⎟ ⎛⎜ 24 ⎞⎟ รูป
⎝ ⎠⎝ ⎠

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 340 ความนาจะเปน

การจัดหมู่สิ่งของที่เหมือนกันหมด (Stars and Bars)


กรณีที่สิ่งของที่เราจะจัดหมู่นั้นเหมือนกันหมด เช่น การแจกลูกอมให้เด็กๆ และต้องการคิด
ว่าแบ่งเป็นปริมาณต่างๆ กันได้กี่ลักษณะ จะต้องใช้หลัก Stars and Bars ดังตัวอย่างนี้

ตัวอยาง มีลูกอมที่เหมือนกัน 9 เม็ด ตองการแบงใหเด็ก 3 คน ตามเงื่อนไขตอไปนี้ จะไดกี่วิธี


(ก) ทุกคนตองไดรับ (อยางนอยคนละ 1 เม็ด)
วิธีคิด นําลูกอมมาวางเรียงแถวกัน 9 เม็ด จะเกิดชองวาง 8 ชอง (เปรียบเทียบลูกอมเหมือน
ดวงดาว) ใหเราเอาไม 2 อันไปวางกั้นในชองสองชองใดๆ ก็จะไดลูกอมเปน 3 กองพอดี นั่นคือ ⎛⎜ 82 ⎞⎟ วิธี
⎝ ⎠
(ข) บางคนอาจจะไมไดรับ (คือแบงอยางไรก็ได)
วิธีคิด ใหเพิ่มลูกอมเขาไปเทาจํานวนคนกอน กลายเปน 12 เม็ด มีชอง 11 ชอง แบงใหคนสาม
คนตามหลัก Stars and Bars ในขอ (ก) ซึ่งทุกคนจะไดอยางนอย 1 เม็ด แลวไมวาจะแบงวิธีใดก็เอาคืนมา
จากเด็กคนละเม็ด (เหลือ 9 เม็ดเทาเดิม) จะทําใหบางคนไมมีลูกอมอยูเลย ดังนัน้ แบงได ⎛⎜ 112⎞⎟ วิธี
⎝ ⎠

การแบ่งของแบบ Stars and Bars นั้น ของแต่ละกลุ่มที่ได้ถือว่าต่างกัน (มีลําดับเกิดขึ้น)


เช่น เป็นการแบ่งลูกอมให้เด็ก 3 คน ชื่อ ก, ข, ค ตามลําดับ.. แต่หากจะแบ่งลูกอมเป็นกองๆ 3
กอง (ซึ่งสลับกันไม่มีความหมาย) จะใช้ Stars and Bars ไม่ได้ ต้องนับเอาโดยตรง

การนับ “จํานวนเต็มที่หารลงตัว”
เราสามารถนําการนับเบื้องต้นผสมกับการสังเกต เพื่อนับจํานวนเกี่ยวกับการหารลงตัวได้
ดังตัวอย่างต่อไปนี้
8 = 23 มีจํานวนเต็มบวกที่หารลงตัว 4 จํานวน คือ 20 , 21, 22 , 23
25 = 52 มีจํานวนเต็มบวกที่หารลงตัว 3 จํานวน คือ 50 , 51, 52
120 = 23 × 31 × 51 มีจํานวนเต็มบวกที่หารลงตัว 16 จํานวน (4x2x2) คือ
20 × 30 × 50 | 20 × 30 × 51 | 20 × 31 × 50 | 20 × 31 × 51
21 × 30 × 50 | 21 × 30 × 51 | 21 × 31 × 50 | 21 × 31 × 51
22 × 30 × 50 | 22 × 30 × 51 | … | 23 × 31 × 51

แบบฝึกหัด 16.4
(45) จุด 6 จุด ไม่มี 3 จุดใดที่อยู่ในแนวเดียวกันเลย จะสร้างเส้นตรงได้กี่เส้น และสร้างรูปเหลี่ยม
ใดๆ ได้กี่รูป
(46) จุด 7 จุด มี 4 จุดอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน และอีก 3 จุดก็อยู่ในแนวเส้นตรงเช่นกัน จะ
สามารถลากเส้นตรงได้กี่แบบ และสร้างสามเหลี่ยมได้กี่รูป
(47) รูปหกเหลี่ยม มีจุดยอด 6 จุด จุดกึ่งกลางด้านอีก 6 จุด จะลากเส้นเชื่อมจุดได้กี่เส้น
(48) รูป 20 เหลี่ยมด้านเท่า มีเส้นทแยงมุมกี่เส้น
(49) เส้นตรง 5 เส้นไม่ขนานกัน กับวงกลมรัศมีต่างๆ กัน 4 วง จะเกิดจุดตัดมากที่สุดเท่าใด
(50) เส้นขนานชุดหนึ่งมี 6 เส้น อีกชุดมี 3 เส้น ตัดกันจะเกิดสี่เหลี่ยมด้านขนานกี่รูป

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 341 ความนาจะเปน

(51) [พื้นฐานวิศวะ '39]


รูปที่กําหนดให้นี้ มีรูปสี่เหลี่ยมอยู่ทั้งหมดกี่รูป

(52) มีบอล 6 ลูกซึ่งเหมือนกัน แบ่งให้ นาย ก และ ข จะแบ่งได้กี่วิธี หากกําหนดว่า


(52.1) แต่ละคนต้องได้รับอย่างน้อย 1 ลูก
(52.2) บางคนอาจไม่ได้รับ
(53) มีบอล 6 ลูกซึ่งเหมือนกัน แบ่งออกเป็น 2 กอง จะแบ่งได้กี่วิธี หากแต่ละกองต้องมีอย่างน้อย
1 ลูก เทียบผลกับข้อ (52.1)
(54) ลูกอมแบบเดียวกัน 7 เม็ด แบ่งให้เด็ก 4 คน ได้กี่วิธี
(54.1) แต่ละคนได้อย่างน้อย 1 เม็ด
(54.2) แบ่งอย่างไรก็ได้
(55) ลูกอมแบบเดียวกัน 7 เม็ด แบ่งเป็น 4 กอง ได้กี่วิธี ถ้าแต่ละกองต้องมีอย่างน้อย 1 เม็ด
เทียบผลกับข้อ (54.1)
(56) มีจํานวนเต็มบวกที่หาร 100,000 ลงตัวกี่จํานวน
(57) มีจํานวนที่หาร 120 ลงตัว กี่จํานวน (จํานวนเต็มบวก, เต็มลบ)
(58) มีจํานวนที่หาร xayb ลงตัวกี่จํานวน ถ้า x, y เป็นจํานวนเฉพาะ

16.5 ทฤษฎีบททวินาม
สามเหลี่ยมของปาสคาล
1
(a + b)0 = 1
(a + b)1 = a + b 1 1
2 2 2
(a + b) = a + 2ab + b 1 2 1
3 3 2 2 3
(a + b) = a + 3a b + 3ab + b 1 3 3 1
(a + b)4 = a4 + 4a3b + 6a2b2 + 4ab3 + b4
1 4 6 4 1
ทฤษฎีบททวินาม (Binomial Theorem) คือ ทฤษฎีที่กล่าวถึงการกระจายทวินาม (a + b)n
เมื่อ a และ b เป็นจํานวนจริง, n และ r เป็นจํานวนนับ โดย 0 < r < n
จะได้ (a + b)n = ⎛⎜ 0n ⎞⎟ anb0 + ⎛⎜ n1 ⎞⎟ an − 1b1 + ⎛⎜ 2n ⎞⎟ an − 2b2 + ... + ⎛⎜ nn ⎞⎟ a0bn
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
⎛n⎞ ⎛n⎞
เรียกพจน์ที่ r+1 เป็นพจน์ทั่วไป Tr + 1 = ⎜ ⎟ an − rbr และเรียก ⎜r ⎟ ใดๆ ว่าสัมประสิทธิ์ทวินาม
⎝r ⎠ ⎝ ⎠

ข้อสังเกต
⎛n⎞ ⎛ n⎞
1. จํานวนพจน์ทั้งหมดจะมี n+1 พจน์ คือเริ่มจากสัมประสิทธิ์ ⎜0⎟ ถึง ⎜ n⎟
⎝ ⎠ ⎝ ⎠
กําลังของ a ค่อยๆ ลดลง ในขณะที่กําลังของ b เพิ่มขึ้น และนํากําลังมารวมกันจะได้ n เสมอ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 342 ความนาจะเปน

2. สัมประสิทธิ์ทวินามอาจไม่ใช่สัมประสิทธิ์จริงๆ ของพจน์นั้น
(หากใน a หรือ b มีสัมประสิทธิ์อยู่อีก)
3. ⎛⎜ 0n ⎞⎟ + ⎛⎜ n1 ⎞⎟ + ⎛⎜ 2n ⎞⎟ + ... + ⎛⎜ nn ⎞⎟ = 2n
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
ดังเช่นเคยพบตอนที่หาจํานวนสับเซตทั้งหมด ของเซตที่มีสมาชิก n ตัว

แบบฝึกหัด 16.5
(59) จงกระจายโดยอาศัยทฤษฎีบททวินาม
(59.1) (a + b)5
(59.2) (2x − 3y)4
(59.3) (1 − 2x + x2)4
18
(60) จากการกระจาย (3x + ) จงหา
y
(60.1) พจน์ที่ 4
(60.2) สัมประสิทธิ์ทวินามของพจน์ที่ 6
(60.3) สัมประสิทธิ์ทวินามของพจน์ที่มี x6
(60.4) สัมประสิทธิ์ของพจน์กลาง
3 12
(61) จากการกระจาย (x2 + ) จงหา
x4
(61.1) พจน์ที่ 6
(61.2) สัมประสิทธิ์ทวินามของพจน์ที่ 6
(61.3) สัมประสิทธิ์ของ x6
(61.4) พจน์ที่ไม่มีตัวแปร x
(62) จงหาค่าโดยประมาณของ (2.001)7 โดยบอกทศนิยม 6 ตําแหน่ง
[ Hint : (2 + 0.001)7 ]
* (63) จากการกระจาย (2x + 3y)7 จงหา
(63.1) ผลบวกของสัมประสิทธิ์ทวินามของทุกพจน์
(63.2) ผลบวกของสัมประสิทธิ์ของทุกพจน์

โจทย์ทบทวนเรื่องเทคนิคการนับ
(64) หาจํานวนวิธีในการแบ่งหนังสือ 12 เล่มต่างๆ กัน ออกเป็นกองๆ 3 กอง
(64.1) กองละ 3, 4, 5 เล่ม
(64.2) ทุกกองจํานวนเท่ากัน
(65) หนังสือ 9 เล่ม แบ่งให้นาย ก, ข, ค ได้กี่วิธี ถ้าหาก
(65.1) คนหนึ่งได้ 2 เล่ม อีกคนได้ 3 เล่ม อีกคนได้ 4 เล่ม
(65.2) คนหนึ่งได้ 5 เล่ม อีก 2 คนได้เท่ากัน
(65.3) หนังสือทั้ง 9 เล่มเหมือนกันหมด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 343 ความนาจะเปน

(66) เด็กคนหนึ่งมีบอลต่างๆ กัน 10 ลูก จะแบ่งเป็น 5 กอง โดยมี 3 กองที่กองละ 2 ลูก และอีก
2 กองมีกองละลูก ได้กี่วิธี
(67) เด็กคนหนึ่งมีบอลต่างๆ กัน 10 ลูก จะแบ่งให้เพื่อน 5 คน โดยมี 3 คนได้คนละ 2 ลูก และ
อีก 2 คนได้คนละลูก ได้กี่วิธี
(68) แบ่งชาย 5 คน หญิง 3 คน เข้าพักในห้อง 3 ห้องที่มีขนาด 3, 3, 2 คน (ห้องต่างกัน) จงหา
จํานวนวิธีแบ่ง เมื่อ
(68.1) ใครอยู่ห้องไหนก็ได้
(68.2) ผู้หญิง 3 คนต้องอยู่ดว้ ยกัน
(68.3) ผู้หญิง 3 คนต้องอยู่คนละห้องกัน
(69) จงหาจํานวนวิธีแบ่งพนักงาน 6 คนเป็น 3 กลุ่ม (กลุ่มละกี่คนก็ได้) เพื่อไปทํางาน 3 อย่าง
(69.1) ที่แตกต่างกัน
(69.2) ที่เหมือนกัน
(70) ครูมีหนังสือ 8 เล่มที่ต่างกัน จะแบ่งให้เด็ก 3 คน อย่างน้อยคนละเล่ม ได้กี่วิธี
(71) นักเรียน 12 คน ในจํานวนนี้มีนาย ก, ข, ค ด้วย แบ่งเป็น 3 กลุ่ม เท่าๆ กัน จะแบ่งได้กี่วิธี
ถ้า (71.1) ไม่มีเงื่อนไขเพิ่มเติม
(71.2) นาย ก, ข, ค อยู่ด้วยกัน
(71.3) นาย ก, ข, ค อยู่แยกกันหมด
(72) เด็กคนหนึ่งมีลูกแก้วเหมือนกัน 12 ลูก ต้องการแบ่งให้เพื่อน 3 คน จงหาจํานวนวิธี เมื่อ
(72.1) แต่ละคนได้อย่างน้อย 1 ลูก
(72.2) แต่ละคนได้อย่างน้อย 2 ลูก
(72.3) อาจมีบางคนไม่ได้รับเลย
(73) จดหมายเหมือนกัน 9 ฉบับ ต้องการใส่ตู้ไปรษณีย์ 5 ตู้ จะมีกี่วิธี เมื่อ
(73.1) ทุกตู้ต้องมีจดหมาย
(73.2) ใส่เพียง 3 ตู้เท่านั้น
(74) ชายคนหนึ่งประกอบรถยนต์จําหน่าย เขามีตัวถังรถ 4 ชนิด เครื่องยนต์ 2 ชนิด สีพ่นรถ 5 สี
เขาจะผลิตรถยนต์ต่างๆ กันได้กี่แบบ
(75) ผู้ตรวจงานจะต้องตรวจเครื่องจักร 6 เครื่องทุกวัน เขาพยายามเปลี่ยนลําดับก่อนหลังในการ
ตรวจ เพื่อไม่ให้พนักงานรู้ตัว จงหาวิธีทั้งหมดที่จะใช้ได้
(76) สารเคมีชนิดหนึ่งเกิดจากสาร 5 ชนิดผสมกัน โดยเทสารผสมทีละอย่าง จงหาว่ามีวิธีผสมกี่วิธี
ถ้าสมมติว่าเทสารใดก่อนหลังก็ได้
(77) ในการจัดแถวเด็กชาย 5 คน ซึ่งมี ด.ช.บอย รวมอยู่ด้วย และมีเด็กหญิงอีก 5 คน จงคํานวณ
วิธีจัด ถ้า
(77.1) ด.ช.บอย ต้องยืนหัวแถวเสมอ
(77.2) ด.ช.บอยยืนหัวแถว และสลับชายหญิง
(78) เซต A = { 3, 4, 5 } จงหาว่ามีเลขกี่จํานวนซึ่งประกอบด้วยเลขจากเซต A และ
(78.1) มีค่าน้อยกว่า 500
(78.2) มีค่าน้อยกว่า 500 และเป็นจํานวนคู่

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 344 ความนาจะเปน

(79) มีกี่จํานวนที่ประกอบจากเลข 2, 4, 6, 8 (ใช้ได้เพียงตัวละครั้ง) แล้วมีค่ามากกว่า 999


(80) นําอักษรในคําว่า SPECTRUM มาเรียงเป็นคําที่มี 4 อักษร โดยอักษรในคําไม่ซ้ํากัน
(80.1) ได้กี่คํา
(80.2) ถ้าตัวสุดท้ายเป็นสระเสมอ ได้กี่คํา
(81) จงหาจํานวนวิธีทั้งหมดที่จะจัดนักเรียน 6 คน นั่งล้อมรอบโต๊ะกลม โดยที่นาย ก และ ข ซึ่งอยู่
ในจํานวน 6 คนนั้น จะต้องนั่งติดกันเสมอ
(82) มีจุด 10 จุดบนเส้นรอบวงกลม จะสร้างหกเหลี่ยมได้กี่รูป
(83) มีจํานวนบวก 6 จํานวน, จํานวนลบ 8 จํานวน, ถ้าเลือกมา 4 จํานวนโดยการสุ่ม จงหาจํานวน
วิธีที่เลข 4 จํานวนนั้นคูณกันแล้วได้ผลลัพธ์เป็นบวก
(84) มีหนังสือบนชั้น 12 เล่ม จงหาจํานวนวิธีแบ่งหนังสือให้นาย ก 4 เล่ม และนาย ข 3 เล่ม
(85) ตะกร้าใบหนึ่งบรรจุบอลสีแดง 5 ลูก ขาว 4 ลูก ถ้าหยิบมา 3 ลูก จะมีกี่วิธีที่บอล 3 ลูกนั้นมี
สีขาวอย่างน้อย 1 ลูก เมื่อ
(85.1) หยิบออกมาทีละลูก โดยไม่ใส่คืน
(85.2) หยิบพร้อมกันทั้ง 3 ลูก
(86) จงหาจํานวนวิธีเลือกไพ่ 4 ใบจากไพ่สํารับหนึ่ง แล้วได้ A, K, Q, J โดยที่ไพ่เหล่านี้
(86.1) มาจากชุดต่างกันหมด
(86.2) มาจากชุดเดียวกันหมด
(86.3) มาจากชุดใดก็ได้
หมายเหตุ ชุดของไพ่ มี 4 ชุด (ดอก) และ ชนิดของไพ่ มี 13 ชนิด (เลข)
(87) แจกไพ่ทีละ 5 ใบ จงหาจํานวนวิธีทั้งหมด ที่ไพ่ในมือหนึ่งจะเป็นชุดเดียวกันทั้ง 5 ใบ
(88) หาวิธีที่ไพ่ในมือหนึ่งมีโพดํา 5 ใบ โพแดง 5 ใบ และ ข้าวหลามตัด 5 ใบ
(89) หาวิธีที่ไพ่ในมือหนึ่งซึ่งมี 5 ใบ จะมีชนิดเดียวกัน 3 ใบ และอีกชนิด 2 ใบ เช่น AAA22
(90) หาวิธีที่ไพ่ในมือหนึ่งซึ่งมี 5 ใบ จะมีชนิดเดียวกัน 2 ใบ อีกชนิด 2 ใบ และอีกชนิด 1 ใบ เช่น
AA223
(91) ชาย 5 คน หญิง 5 คน ถ่ายรูปร่วมกัน โดยผู้ชายยืนแถวหลัง ผู้หญิงนั่งแถวหน้า ได้กี่แบบ
(92) จงหาจํานวนผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นได้ จากการยิงปืน 10 นัดไปยังเป้าที่แบ่งเป็น 5 ส่วน
(93) ทีมฟุตบอล 10 ทีม จัดประกบคู่กัน 5 คู่ โดยแข่งวันละคู่ จะมีการจัดที่เป็นไปได้กี่แบบ
(94) ระบายสี 6 สีบนลูกเต๋า ด้านละสี ได้กี่แบบ
(95) ระบายสี 5 สีบนลูกเต๋า ด้านละสี โดยไม่ให้สีเดียวกันอยู่ติดกัน ได้กี่แบบ
(96) ระบายสีบนลูกบาศก์หน้าเกลี้ยง ด้านละสี ได้กี่แบบ ถ้า
(96.1) ระบาย 6 สี
(96.2) ระบาย 5 สี โดยสีเดียวกันต้องไม่อยู่ติดกัน
(96.3) ระบาย 4 สี โดยสีเดียวกันต้องไม่อยู่ติดกัน
(97) นาย ก และ ข อยู่ในหมู่ 7 คน จงหาวิธจี ัด 7 คนนั่งล้อมวง โดยไม่ให้ 2 คนนี้อยู่ติดกัน

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 345 ความนาจะเปน

(98) จํานวนเต็มบวกที่หาร 25,000,000 ลงตัว มีกี่จํานวน B


(99) เส้นทางการเดินทางจากเมือง A ไป B เป็นดังรูป ถ้า
ไปได้ทางทิศเหนือกับตะวันออกเท่านั้น จะไปได้กี่เส้นทาง N
และหากต้องแวะเติมน้ํามันที่จุด F ด้วย จะเหลือกี่เส้นทาง F
(100) คณะผู้แทนไทย 25 คนไปเยี่ยมประเทศจีน และมี
เจ้าภาพมาต้อนรับ 15 คน ถ้าผู้แทนทุกคนต้องทักทาย A
เจ้าภาพให้ครบทุกคนด้วย จะมีการทักทายเกิดขึ้นทั้งหมดกี่ครั้ง
(101) ในงานเลี้ยงศิษย์เก่า มีผู้ไปงาน 150 คน ถ้าทุกคนทักทายกันและกัน จะมีการทักทายกี่ครั้ง
(102) มีกี่จํานวนที่สร้างจาก 0 0 1 1 2 3 3 แล้วมีค่าเกิน 1 ล้าน
(103) จัดคน 5 คน เข้าพักในห้อง 3 ห้องต่างๆ กัน ซึ่งจุห้องละ 2 คน ได้ทั้งหมดกี่วิธี
(104) แบ่งนักเรียน ชาย 3 คน หญิง 5 คน ออกเป็น 2 กลุ่มเท่ากัน เป็นกลุ่ม A และ B โดยแต่
ละกลุ่มต้องมีผู้ชายอยู่ด้วย ได้กี่แบบ
(105) ชาย 5 คน หญิง 5 คน ยืนสลับกันในแถวตรง โดยนาย ก กับนางสาว ข ต้องอยู่ติดกันเสมอ
ได้กี่แบบ
(106) นักเรียน 10 คน เรียงแถวเป็นวงกลม โดยมี 1 คนอยู่กลางวง ได้กี่แบบ
(107) แจกของเล่น 5 ชิ้นต่างๆ กัน ให้เด็ก 3 คน (ทุกคนต้องได้อย่างน้อย 1 ชิ้น) ได้กี่วิธี
(108) แบ่งทอฟฟี่ 5 ชนิด ชนิดละ 2 เม็ด ให้เด็ก 2 คน คนละ 5 เม็ด ได้กี่แบบ
(109) บ้านพักมี 5 ห้อง เป็นห้องคู่ 3 ห้อง และห้องเดี่ยว 2 ห้อง สามารถจัดคน 8 คนเข้าพักโดย
ในจํานวนนี้มีสามีภรรยาคู่หนึ่งต้องพักด้วยกัน ได้ทั้งหมดกี่วิธี
(110) ลูกเต๋า 2 ลูกที่ต่างกัน นํามาวางประกบกันได้ทั้งหมดกี่แบบ
(111) นาย ก และนาย ข เข้าไปจอดรถในที่จอดซึ่งเป็นแถวยาว จอดได้ n คัน โดย ก และ ข ต้อง
จอดห่างกันเว้น 1 ช่อง สามารถทําได้กี่แบบ (ขณะนั้นไม่มีรถคันอื่นอยู่เลย)
* (112) กําหนด A = {1, 2, 3, 4, 5, 6}, B = {1, 3, 5, 7}
ถ้าให้ C = { E | E ⊂ A และ E ∩ B ≠ ∅ } จงหาจํานวนสมาชิกของเซต C
* (113) A = {1, 2, 3, 4}
(113.1) มีความสัมพันธ์ภายใน A ทั้งหมดกี่แบบ
(113.2) มีความสัมพันธ์ภายใน A ที่มี A เป็นโดเมน ทั้งหมดกี่แบบ
(113.3) มีฟังก์ชันจาก A ไป A ทั้งหมดกี่แบบ
(113.4) มีฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง จาก A ไปทั่วถึง A ทั้งหมดกี่แบบ

16.6 ความน่าจะเป็น
การทดลองสุ่ม (Random Experiment) คือการกระทําที่เราไม่สามารถบอกได้ว่าแต่ละครั้ง
จะเกิด ผลลัพธ์ (Outcome) อะไร แต่สามารถบอกได้ว่ามีผลลัพธ์อะไรบ้างที่เป็นไปได้
เซตของ “ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ทั้งหมด” เรียกว่า ปริภูมิตัวอย่าง (Sample Space; S)
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 346 ความนาจะเปน

และเซตของ “ผลลัพธ์ใดๆ ที่เราสนใจ” เรียกว่า เหตุการณ์ (Event; E) ดังนั้น E ⊂ S

ตัวอยาง การทดลองสุม โยนเหรียญ 1 อัน 3 ครัง้ มีผลลัพธที่เปนไปไดตางๆ กัน 8 แบบ


ดังนั้น ปริภูมิตัวอยาง S = { HHH, HHT, HTH, HTT, THH, THT, TTH, TTT }
มีเหตุการณ E ⊂ S ที่เปนไปได 2 = 256 แบบ
8

เชน E = ออกหัวเกิน 1 ครั้ง = { HHH, HHT, HTH, THH }


1 S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S
E = ออกอยางใดอยางหนึ่งลวน = { HHH, TTT }
2
ÃaÇa§ÊaºÊ¹ÃaËNjҧ¤íÒÇ‹Ò “e˵u¡Òó” ¡aº¤íÒNjÒ
E = ออกกอยในครั้งที่สอง = { HTH, HTT, TTH, TTT }
“¼ÅÅa¾¸” ¹a¤Ãaº µŒo§¤i´ãˌÃoº¤oºÇ‹Òo¨·Â
3
¶ÒÁoaäÃ
E = ออกหัวและกอยเทาๆ กัน = ∅
4

ความน่าจะเป็น (Probability) ของเหตุการณ์ที่เราสนใจ


จะหาได้เฉพาะเหตุการณ์ที่เป็นการทดลองสุ่มซึ่งโอกาสเกิดแต่ละผลลัพธ์มีค่าเท่าๆ กันเท่านั้น
โดยความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ A ใช้สัญลักษณ์ P (A) จะคํานวณได้จาก P (A) = n(A)
n(S)
เมื่อ n(A) คือจํานวนผลลัพธ์ที่อยู่ใน A และ n(S) คือจํานวนผลลัพธ์ทั้งหมดที่เป็นไปได้

สมบัติของความน่าจะเป็น
1. ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ใดๆ มีค่าอยู่ในช่วง 0 ถึง 1 เท่านั้น 0 < P (A) < 1
โดยความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ที่ไม่มีผลลัพธ์เลย มีค่าเป็น 0 P (∅) = 0
และความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ที่มีผลลัพธ์ได้ทุกแบบ มีค่าเป็น 1 P (S) = 1
2. ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ที่เราสนใจ รวมกับความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ที่เหลือ (ที่เราไม่
สนใจ) จะได้ 1 เสมอ P (A) = 1 − P (A ')
3. ความน่าจะเป็นของสองเหตุการณ์ หาได้จาก P (A ∪ B) = P (A) + P (B) − P (A ∩ B)
ซึ่งจากสมบัติข้อ 2 และ 3 ทําให้เราสามารถใช้แผนภาพเซต (เวนน์-ออยเลอร์) ช่วยคํานวณได้

หมายเหตุ
ความหมายของ A ∩ B ก็คือเหตุการณ์ “A และ B” (เกิดขึ้นครบทั้งสองอย่าง)
ส่วน A ∪ B ก็คือเหตุการณ์ “A หรือ B” (เกิดขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างก็ได้)
หากเหตุการณ์สองเหตุการณ์ มีลักษณะดังนี้ A ∩ B = ∅
เราจะเรียกเหตุการณ์ A และ B ว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เกิดร่วมกัน (Mutually Exclusive) (หรือ
Disjoint) และจะทําให้ P (A ∪ B) = P (A) + P (B)
แต่หากเหตุการณ์สองเหตุการณ์มีลักษณะดังนี้ P (A ∩ B) = P (A) ⋅ P (B)
เราจะเรียกเหตุการณ์ A และ B ว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ขึ้นต่อกัน หรือ อิสระจากกัน (Independent)
และจะทําให้ P (A ∪ B) = P (A) + P (B) − P (A) ⋅ P (B)

แบบฝึกหัด 16.6
(114) โยนลูกเต๋า 2 ลูกพร้อมกัน สนใจผลรวมแต้มของลูกเต๋า จงหาปริภูมิตัวอย่าง
(115) ผลลัพธ์ของหน้าลูกเต๋าสองลูก (ลูกเต๋าไม่ต่างกัน) ที่โยนพร้อมๆ กัน มีกี่แบบ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 347 ความนาจะเปน

(116) โยนเหรียญ 1 อัน และสนใจหน้าเหรียญที่หงายขึ้น จะมีเหตุการณ์กี่แบบ อะไรบ้าง


(117) ถ้า P (A) = 0.48 , P (B) = 0.32 , และ P (A ∩ B) = 0.25
จงหา P (A ∪ B) , P (A − B) , P (A ') , และ P (B ')

(118) ถ้า P (A) = 0.4 , P (B) = 0.55 , และ P (A ∩ B) = 0.15 จงหาความน่าจะเป็นของ


(118.1) เหตุการณ์ A และ B
(118.2) เหตุการณ์ A หรือ B
(118.3) เหตุการณ์ที่ไม่ใช่ทั้ง A และ B
2 4
(119) [Ent’39] ความน่าจะเป็นที่สมศักดิ์จะสอบผ่านวิชาคณิตศาสตร์ และเคมี เป็น และ
3 9
1
ตามลําดับ ถ้าความน่าจะเป็นที่เขาจะสอบผ่านทั้งสองวิชา เป็น จงหา
4
(119.1) P {ผ่านอย่างน้อย 1 วิชา}
(119.2) P {ผ่านเพียงวิชาเดียว}
(119.3) P {ไม่ผ่านทั้ง 2 วิชา}
(120) [Ent’39] ลูกเต๋าลูกหนึ่ง ถูกถ่วงน้ําหนักให้แต้มคู่แต่ละหน้ามีโอกาสเกิดเป็น 2 เท่าของแต้มคี่
จงหาความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ต่อไปนี้ในการโยนแต่ละครั้ง
(120.1) ได้แต้มคู่
(120.2) ได้แต้มคี่
(120.3) ได้จํานวนเฉพาะ
(120.4) ได้แต้ม 1 หรือแต้มคู่
(121) โยนลูกเต๋าที่แตกต่างกัน 2 ลูก 1 ครั้ง จงหาความน่าจะเป็นของเหตุการณ์
(121.1) ผลรวมแต้มได้ 8
(121.2) ผลรวมแต้มเป็นจํานวนเฉพาะ
(121.3) ผลรวมแต้มเป็นจํานวนคู่
(122) ถ้าสลับอักษรในคําว่า STATISTICS อย่างสุ่ม จงหาความน่าจะเป็นที่คําที่ได้นั้นจะ
(122.1) มีตัว T ติดกัน 3 ตัว
(122.2) มีตัว T ติดกัน 2 ตัว
(123) กล่องใส่ลูกบอลสองใบ ใบแรกมีบอลสีแดง 2 ลูก สีขาว 3 ลูก และกล่องที่สองมีบอลสีแดง 3
ลูก สีขาว 4 ลูก ถ้าสุ่มหยิบบอลอย่างสุ่มออกมากล่องละ 2 ลูก จงหาความน่าจะเป็นที่
(123.1) ได้สีแดงทั้ง 4 ลูก
(123.2) ได้สีขาวทั้ง 4 ลูก
(123.3) ได้สีแดงอย่างน้อย 1 ลูก
(123.4) ได้สีขาวอย่างน้อย 1 ลูก
(123.5) ได้สีละ 2 ลูก
(124) [Ent’38] ในการประกวดร้องเพลงครั้งหนึ่ง มีผู้เข้ารอบ 3 คน แต่ละคนต้องสุ่มเลือกเพลงที่จะ
ร้อง 1 เพลง จากเพลงบังคับที่มีอยู่ 5 เพลง จงหาความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ต่อไปนี้
(124.1) เลือกร้องเพลงเดียวกันทั้ง 3 คน
(124.2) เลือกร้องเพลงเดียวกันเพียง 2 คน
(124.3) มีคนร้องเพลงซ้ํากัน
(124.4) ไม่มีคนร้องเพลงซ้ํากัน
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 348 ความนาจะเปน

(125) มีเลข 9 จํานวน ซึ่งเป็นบวก 6 จํานวน ลบ 2 จํานวน และศูนย์ 1 จํานวน ในจํานวนบวกมี


เลขคู่กับคี่เท่าๆ กัน ในจํานวนลบก็เช่นกัน ถ้าสุ่มเลขดังกล่าวมา 4 จํานวน จงหา
(125.1) P{ผลคูณของเลขสี่จํานวน เป็นศูนย์}
(125.2) P{ผลคูณของเลขสี่จํานวน มากกว่าศูนย์}
(125.3) P{ผลคูณของเลขสี่จํานวน น้อยกว่าศูนย์}
(125.4) P{ผลคูณของเลขสี่จํานวน มากกว่าศูนย์และเป็นจํานวนคู่}
(125.5) [Ent’37] P{ผลคูณของเลขสี่จํานวน น้อยกว่าศูนย์และเป็นจํานวนคี่}
(126) นักเรียน ม.4, 5, 6 ส่งตัวแทนชายหญิงมาชั้นละคู่ หากสุ่มเลือกตัวแทนออกมา 2 คน ความ
น่าจะเป็นที่จะได้ชายและหญิงที่มาจากชั้นต่างกัน เป็นเท่าใด
(127) ครูมีหนังสือเรียน 5 วิชา วิชาละ 2 เล่ม (ที่เหมือนกัน) นํามาแบ่งให้นักเรียน 2 คน คนละ 5
เล่มอย่างสุ่ม ให้หาความน่าจะเป็นที่นักเรียนแต่ละคนจะได้หนังสือครบทุกวิชา
(128) จากการกระจาย (4a + 5b)8 ถ้าสุ่มหยิบสัมประสิทธิ์ทวินามออกมา 2 จํานวน ให้หาความ
น่าจะเป็นที่จํานวนทั้งสองจะมีค่าไม่เท่ากัน
(129) กล่องใบหนึ่งมีสลากตัวเลขจํานวนเต็มที่ไม่ซ้ํากัน ทุกใบเป็นจํานวนที่หารด้วย 4 หรือ 6 ลงตัว
และมีค่ามากกว่า 10 แต่ไม่เกิน 100 หากสุ่มหยิบสลากออกมา 1 ใบ ให้คํานวณหาโอกาสที่ตัวเลข
นั้นจะหารด้วย 4 ไม่ลงตัว หรือหารด้วย 6 ไม่ลงตัว
⎡k − 4 1 ⎤
(130) กําหนดเมตริกซ์ A = ⎢ ⎥ และเซต B = { x ∈ I | x2 < 21x } สุ่มสมาชิกจาก B
⎣ k k −6⎦
มา 1 ตัว เพื่อแทนค่า k ในเมตริกซ์ A จงหาโอกาสที่ A จะเป็นนอนซิงกูลาร์เมตริกซ์
(131) ตารางขนาด 12 ช่องนี้ ถูกทาสีลงไปตามลําดับทีละช่องอย่างสุ่ม A
โดยการโยนเหรียญ คือถ้าเหรียญออกหัวจะทาสีแดง และถ้าออกก้อยจะ
B C
ทาสีเขียว ทําเช่นนี้จนครบทุกช่อง จงหาความน่าจะเป็นที่ช่อง A, B, C, D
จะเป็นสีแดงหมดทั้งสี่ช่อง D
(132) สลากเลข 1 ถึง 4 อยู่ในกล่อง สุ่มหยิบขึ้นมาทีละใบจนครบทุกใบ ให้หาความน่าจะเป็นที่จะได้
เลขเรียงจากน้อยไปมากพอดี (ลองคิดทั้งแบบการนับ และแบบความน่าจะเป็นคูณกัน)
(133) ในโรงพยาบาลมีผู้ป่วยโรคหืดหรือหอบ 60% เป็นหืด 41% เป็นหอบ 28% ถ้าสุ่มเลือกผู้ป่วย
มา 1 คน ให้หาความน่าจะเป็นที่คนไข้คนนี้จะเป็นโรคหืดเพียงอย่างเดียว

เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(1) 18 (2) 125 (3) 72 (15) 6 ! 2 ! , 7 !− 6! 2 ! 3!
(26) 3! (27) (28) 2! 3!
(4) 7 ! (5) 15 (6) 2 4 5 7 (16) 24, 12 (17) 5! × P6,4 2
(7) (5×5) + (5×5) (8) 100, (18) 4 ! × 2 (19) 6 ! (29) 2 × 5! 6 ! (30) 2 ! 4 !
48, 43, 30 (9) 140 (31) 4 ! × P5,4 (32) 8
(20) 5! ×P6,4 , 4 ! 5! , 5! ×P5,4 ,
(10) 720, 1/28, 24, 210
(11) 3 (12) 5 (13) 4 ! , 4×5! ×P5,3 (21) 4 ! 4 ! 2 !
11! (33) ( )
10
3 (34) ( ) (35) ( ) ,
6
3
16
8

P4,2+P4,3 +P4,4 = 60 ⎛ 6 ⎞ ⎛ 10 ⎞ , ⎛ 6 ⎞ ⎛ 10 ⎞ + ⎛ 6 ⎞ ⎛ 10 ⎞ ,
6! ⎜ 2 ⎟ ⎜ 6 ⎟ ⎜5⎟ ⎜ 3 ⎟ ⎜6⎟ ⎜ 2 ⎟
5!
(22) 2× ×1 (23) 3 ! 4 ! ⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠
(14) 5! , 2! 2! ⎛ 16 ⎞ − ⎛ 6 ⎞ ⎛ 10 ⎞ − ⎛ 10 ⎞
2! 7! 3! ⎜ 8 ⎟ ⎜ 1⎟ ⎜ 7 ⎟ ⎜ 8 ⎟
⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠
(24) (25) (2×4× ) + P5,3
4! 3! 2!

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 349 ความนาจะเปน

(36) ⎛6⎞ ⎛5⎞ (37) ⎛⎜ 23 ⎞⎟ ⎛⎜ 18 ⎞ + ⎛ 3 ⎞ ⎛ 18 ⎞


⎜2 ⎟ ⎜2⎟ ⎟ ⎜ 3⎟ ⎜ 1 ⎟
⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ 2 ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠ (74) 40 (75) 6 ! (76) 5 !
⎛ 13 ⎞ + ⎛ 13 ⎞ + ⎛ 13 ⎞ (39) 5 4
⎛ 3 ⎞ ⎛ ⎞ ⎛ ⎞ 5! (77) 9 ! , 5! 4 ! (78) 30, 10 (79) 4 !
(38) ⎜6⎟ ⎜5⎟ ⎜4⎟ ⎜ 1 ⎟ ⎜ 3⎟ ⎜ 2 ⎟
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠⎝ ⎠ (80) P8, 4 , 7×6×5×2 (81) 2 ! 4 !
(40) 20 + 36 + 480 + 360 (41) ⎛⎜ 10 ⎞ ÷ 4 → 12
⎟ (82) ⎛⎜ 10 ⎞ (83) ⎛⎜ 64 ⎞⎟ + ⎛⎜ 62 ⎞⎟ ⎛⎜ 82 ⎞⎟ + ⎛⎜ 84 ⎞⎟
⎝2⎠ ⎝6⎠

⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠
9! 9! 9! 12 !
(42.1) (42.2) (43) (84) (85.1) 9×8×7 − 5×4×3
4! 3!2! (3 !)3 3 ! (3 !)3 3 ! 4 ! 5!
(44) 7 ! (45) ⎛⎜ 62 ⎞⎟ , ⎛⎜ 63 ⎞⎟ + ⎛⎜ 64 ⎞⎟ + ⎛⎜ 65 ⎞⎟ + ⎛⎜ 66 ⎞⎟ (85.2) ⎛⎜ 93 ⎞⎟ − ⎛⎜ 53 ⎞⎟ (86) 4 ! , 4 , 44
3!2!2! ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
⎛ 7⎞ ⎛ 4⎞ ⎛ 3⎞ ⎛ 7 ⎞ ⎛ 4⎞ ⎛ 3⎞ ⎛ ⎞ × 4 (88) ⎛ 13 ⎞
13
3
(46) ⎜ 2 ⎟ −⎜ 2 ⎟ + 1−⎜ 2 ⎟ + 1 , ⎜ 3 ⎟ −⎜ 3 ⎟ −⎜ 3 ⎟ (87) ⎜ ⎟ ⎜ ⎟
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝5⎠ ⎝5⎠
12 ⎞ ⎛ 3 ⎞ 20 ⎞
(89) ⎛⎜ 131 ⎞⎟ ⎛⎜ 43 ⎞⎟ ⎛⎜ 121 ⎞⎟ ⎛⎜ 24 ⎞⎟

(47) ⎜ 2 ⎟ −6 ⎜ 2 ⎟ +6 (48) ⎜ 2 ⎟ −20 ⎛
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠⎝ ⎠⎝ ⎠
(49) ⎛⎜ 52 ⎞⎟ +2 ⎛⎜ 24 ⎞⎟ +2 ⎛⎜ 51 ⎞⎟ ⎛⎜ 41 ⎞⎟ (50) ⎛⎜ 62 ⎞⎟ ⎛⎜ 23 ⎞⎟ (90) ⎜ 13
⎛ ⎞ ⎛ 4 ⎞ ⎛ 4 ⎞ ⎛ 11⎞ ⎛ 4 ⎞
⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟⎜ ⎟ (91) 5! 5!
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ 2 ⎠ ⎝2⎠ ⎝2⎠ ⎝ 1 ⎠ ⎝ 1 ⎠
(51) ⎛⎜ 52 ⎞⎟ ⎛⎜ 23 ⎞⎟ + ⎛⎜ 23 ⎞⎟ ⎛⎜ 24 ⎞⎟ −⎛⎜ 23 ⎞⎟ ⎛⎜ 23 ⎞⎟ (52) ⎛⎜ 51 ⎞⎟ , ⎛⎜ 71 ⎞⎟ (92) 610 (93) 10 !5 (94) 6 !
⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ (2 !)
⎛ 6 ⎞ ⎛ 10 ⎞
(53) 3 (54) ⎜ 3 ⎟ , ⎜ 3 ⎟ (55) 3 (56) 36
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ (95) ⎛⎜ 51 ⎞⎟ ⎛⎜ 31 ⎞⎟ 4 ! (96) ⎛⎜ 51 ⎞⎟ 3 ! , ⎛⎜ 51 ⎞⎟ 3 ! ÷ 2 ,
⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
(57) 32 (58) 2 (a+ 1)(b + 1) ⎛ 4⎞
⎜2⎟ (97) 6!− 2 ! 5! (98) 63
(59.1) a5+5a4b + 10a3b2+ 10a2b3+5ab4 −56x3+b5 ⎝ ⎠
(59.2) 16x4−96x3y +216x2y2−216xy3+81y4 (98) 10 ! , 4 ! × 6 ! (100) 25 × 15
5! 5! 2 ! 2 ! 3 ! 3 !
(59.3) 1−8x +28x2 + 70x4−56x5+28x6−8x7+ x8
5 1 3
(101) ⎛⎜ 150 ⎞
⎟ (102) 450
⎛ 8⎞
(60.1) ⎜ 3 ⎟ (3x) ( ) (60.2) ⎜ 5 ⎟ (60.3) ⎜ 2 ⎟ ⎛ 8⎞ ⎛ 8⎞ ⎝ 2 ⎠
⎝ ⎠ y ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ 5!
(103) × 3 ! (104) 60
8 12 3 1!(2 !)22 !
(60.4) ⎛⎜ 4 ⎞⎟ (34) (61.1) ⎛⎜ 5 ⎞⎟ (x2)7( 4 )5
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ x (105) 9(4 ! 4 !) × 2 (106) 10 × 8 !
⎛ 12 ⎞ ⎛ 12 ⎞ 3
(61.2) ⎜ 5 ⎟ (61.3) พจน์ที่ 4 → ⎜ 3 ⎟ (3 )
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ (107) ⎛⎜ 5!2 + 25! ⎞⎟ 3 !
⎝ 1!(2!) 2! (1!) 2! 3 ! ⎠
(61.4) พจน์ที่ 5 → ⎛⎜ 12 ⎞ (x2)8( 3 )4

⎝4⎠ x4 (108) ⎛⎜ 52 ⎞⎟ ⎛⎜ 31 ⎞⎟ + ⎛⎜ 51 ⎞⎟ ⎛⎜ 43 ⎞⎟ + 1
7 ⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠
(62) 128.448673 (63.1) 2 (63.2) 5 7

(64) 12 ! , 123! (65) 9! 3 ! , (109) 62 ! 2 × 3 (110) ⎛⎜ 61 ⎞⎟ ⎛⎜ 61 ⎞⎟ × 4


(2 !) (1!) ⎝ ⎠⎝ ⎠
3 ! 4 ! 5! (4 !) 3 ! 2! 3! 4!
6 3
9! 8 8! (111) 2 (n−2) (112) 2 − 2
3 ! , ⎛⎜ 2 ⎞⎟ (66) ⎛⎜ 10 8


2
5!(2 !) 2 ! ⎝ ⎠ 3
⎝ ⎠ (2 !) 3 !(1!) 2 ! 2
(113) 216 , 154 , 44 , 4 !
(67) ข้อที่แล้ว × 5 ! (68) 8 ! , 5 ! 2 ! , 5! 3 ! (114) S={2,3,4,5,6,7,8,9,10,11,12}
3 ! 3 ! 2 ! 3 ! 2 ! 1! 2 ! 2 ! (115) 21 แบบ (116) 4 แบบ
⎛ 6! 6! 6! ⎞ คื อ E1 = ∅ , E2 = { H} , E3 = { T } ,
(69.1) ⎜ 2 + + ⎟ × 3!
⎝ (1!) 2! 4 ! 1! 2 ! 3 ! (2!) 3 ! ⎠
3
E4 = { H, T } (117) 0.55, 0.23, 0.52, 0.68
(69.2) เหมือนข้อที่แล้ว แต่ไม่ตอ้ งคูณ 3 ! (118) 0.15, 0.8, 0.2
(70) ⎛⎜ 28 ! + 8 ! + 8 ! + 28 ! + 8 ! 2 ⎞⎟ 3 ! (119) 31/36, 11/18, 5/36
⎝ (1!) 2 ! 6 ! 1! 2 ! 5 ! 1! 3 ! 4 ! (2 !) 2 ! 4 ! 2 !(3 !) 2 ! ⎠
(120) 2/3, 1/3, 4/9, 7/9
(71) 123! , 9!
, 9!
3 ! (121) 5/36, 15/36, 18/36
(4 !) 3 ! (4 !)22 ! 1! (3 !)3 3 !
(122) 1/15, 7/15
(72) ⎛ 11⎞ , ⎛ 8 ⎞ , ⎛ 14 ⎞ (73) ⎛8⎞ , ⎛5⎞ ⎛8⎞
⎜ 2 ⎟ ⎜2⎟ ⎜ 2 ⎟
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
⎜ 4⎟ ⎜ 3⎟ ⎜2 ⎟
⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠
(123) 1/70, 3/35, 32/35, 69/70, 29/70

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 350 ความนาจะเปน

(124) 1/25, 12/25, 13/25, 12/25 (128) 8/9 (129) 1 – (8/30)


(125) 4/9, 5/21, 20/63, 5/21, 1/126 (130) 9/10 (131) 1/16
(126) 2/5 (127) 1/51 (132) 1/24 (133) 32%

เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
(1) มีการเลือกอยู่ 3 ขั้นตอน (ก ไป ข, ข ไป ค, (8.3) • กรณีหลักร้อยเป็น 3
ค ไป ง) จํานวนวิธีของขัน้ ตอนแรก คือ 3 วิธี หลักร้อยได้ 1 วิธี คือ 3, หลักสิบได้ 1 วิธีคือ 5
ขั้นตอนสอง คือ 2 วิธี และขั้นตอนสามคือ 3 วิธี หลักหน่วย 3 วิธี (ต้องไม่เป็น 0 เพราะจะได้ 350)
จึงได้วา่ 3 × 2 × 3 = 18 วิธี จึงได้ 1 × 1 × 3 = 3
(2) มี 3 ขัน้ ตอน คือ • กรณีหลักร้อยเป็น 4 หรือ 5
- บอลลูกแรกใส่หีบไหนดี (5 วิธ)ี หลักร้อยเลือกได้ 2 วิธ,ี หลักสิบกับหลักหน่วยเป็น
- บอลลูกสองใส่หีบไหนดี (5 วิธ)ี อะไรก็ได้ จึงได้ 2 × 5 × 4 = 40
- บอลลูกสามใส่หีบไหนดี (5 วิธ)ี ∴ ตอบ 43 จํานวน (นําผลแต่ละกรณีมาบวกกัน)
ตอบ 5 × 5 × 5 = 125 วิธี (8.4) ไม่ได้บอกว่าแต่ละหลักห้ามซ้ํากัน!
(3) 6 × 4 × 3 = 72 แบบ หลักหน่วย ได้ 1 วิธี คือ 0, หลักร้อยได้ 5 วิธี คือ 1
(4) เอาตัวไหนมาวางหน้าสุด เลือกได้ 7 วิธี ถึง 5, หลักสิบ เป็นอะไรก็ได้ คือ 6 วิธี
ตัวถัดมาเหลือ 6 วิธี เพราะห้ามใช้ตัวซ้าํ จึงได้ 1 × 5 × 6 = 30
ถัดมาก็เหลือ 5, 4, 3 ไปเรื่อยๆ จนถึง 1 (9) • กรณี ช ญ ช 5 × 4 × 4 = 80
ดังนัน้ คําตอบคือ 7 × 6 × 5 × 4 × 3 × 2 × 1 • กรณี ญ ช ญ 4 × 5 × 3 = 60 รวม 140 ชุด
= 5,040 แบบ 10 ! 10 × 9 × 8 × 7 !
(10) = = 720
(5) หยิบสีแดงจากถุงใบแรก ได้ 3 วิธี 7! 7!
6! 3! 1 1 4!
หยิบจากถุงใบสองได้ 5 วิธี (ถุงใบสองมีสีแดง 3 ลูก = = P4, 3 = = 24
4!7! 4⋅7 28 1!
แล้ว และมีสดี ํา 2 ลูก) ดังนัน้ 3 × 5 = 15 วิธี 7!
P7, 3 = = 7 × 6 × 5 = 210
(6) มีการตัดสินใจเลือกอยู่ 12 ครั้ง ดังนี้ 4!
2 × 2 × 2 × 2 × 2 × 4 × 4 × 4 × 4 × ... × 4 (11) (n + 3)(n + 2) = 30 → n2 + 5n − 24 = 0



ถูก-ผิด ก,ข,ค,ง → (n + 8)(n − 3) = 0 → n = 3 เท่านัน้


= 25 ⋅ 47 = 16,416 แบบ (เพราะถ้า n = − 8 จะทําให้หน้าแฟคทอเรียลติดลบ)
(7) คิดแบบแยกกรณี (12) 2 (n)(n − 1) + 50 = (2n)(2n − 1)
• กรณีแรก คู่ + คี่ = 5 × 5 = 25
→ 50 = 2n2 → n = 5 เท่านัน ้
• กรณีสอง คี่ + คู่ = 5 × 5 = 25 รวม 50 วิธี
(13.1) 4 × 3 × 2 × 1 ( = P4, 4) = 24 วิธี
หรือคิดแบบไม่ตอ้ งแยกกรณีก็ได้ ดังนี้
ใบแรกเป็นใบไหนก็ได้ = 10 วิธี (13.2) • ใช้ 2 ชิ้น 4 × 3 ( = P4, 2) = 12
ไม่ว่าใบแรกจะเป็นเลขใด ใบทีส่ องก็จะเลือกได้ 5 วิธี • ใช้ 3 ชิน้ 4 × 3 × 2 ( = P4, 3) = 24
จึงได้ 10 × 5 = 50 วิธี • ใช้ 4 ชิน ้ P4, 4 = 24 ดังนั้นได้ 60 วิธี
(8.1) หลักร้อยห้ามเป็นเลข “0” จะเลือกได้ 5 แบบ (14.1) P5, 5 = 5 ! = 5 × 4 × 3 × 2 × 1 = 120
หลักสิบห้ามซ้าํ กับหลักร้อย จึงเหลือให้เลือก 5 แบบ (14.2) P5, 3 = 5 × 4 × 3 = 60
(รวม 0 ด้วย, ใช้ 1 ถึง 5 ไปแล้วในหลักร้อย 1 ตัว) (15.1) มอง S กับ T ติดกัน จะเหลืออักษรเพียง 6
หลักหน่วย เหลือให้เลือก 4 แบบ ตัว คือ H, O, N, E, ST, Y สลับได้ 6 ! แบบ
จึงได้ 5 × 5 × 4 = 100 จํานวน
แต่ในทุกแบบสามารถสลับภายใน ST ได้ 2 ! แบบ
(8.2) เลือกหลักหน่วย ได้ 3 แบบ ด้วย (คือ ST, TS) ∴ ตอบ 6 ! × 2 ! = 1,440 คํา
หลักร้อย เหลือ 4 แบบ แล้วมาหลักสิบ ก็ 4 แบบ
จึงได้ 3 × 4 × 4 = 48 จํานวน (15.2) ใช้วิธีลบออก ดังนี้
ST ไม่ติดกัน = วิธีทงั้ หมด - ST ติดกัน
(สังเกต ควรคิดจากหลักที่มีเงื่อนไขมากๆ ก่อน) = 7 ! − 6 ! 2 ! = 3,600 คํา
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 351 ความนาจะเปน

(16) ยืนติดกัน (22) เลือกสระหน้าสุดได้ 2 แบบ นําตัว T ไปวาง


ชายสลับกันเอง 3 ! , หญิงสลับกันเอง 2! หลังสุดได้ 1 แบบ (ไม่ต้องเลือกเพราะ T ทั้งสามตัว
และนํามาวางต่อกันได้อีก 2 ! แบบ ถือว่าเหมือนกัน) และเหลือตรงกลาง 6 ตัวซึง่ มี T
(คือ ชชชญญ กับ ญญชชช) ซ้ํากันอยู่ 2 ตัว จะได้ 2 × 1 × 6 ! = 720 แบบ
∴ ตอบ 3 ! 2 ! 2 ! = 24 วิธี 2!

ยืนสลับกัน (23) ส พพ ส พพ ส
เรียงพยัญชนะสลับกันเอง ได้ 4 ! แบบ
3 × 2 × 2 × 1× 1
ช ญ ช ญ ช เรียงสระได้ 3 ! ← (มี A ซ้ํากัน)
2!
หรือมองเฉพาะชาย 3 ! , หญิง 2 ! ก็ได้ 3!
(นํามาต่อกันได้เพียง 1 แบบ คือ ชญชญช) ∴ 4!×
ตอบ = 72 แบบ
2!
∴ ตอบ 3 ! 2 ! = 12 วิธี (24) ไม่ว่าจะไปด้วยเส้นทางใด จะต้องมีการขึ้นเหนือ
(17) (N) 3 ครั้ง และไปทางตะวันออก (E) 4 ครั้ง
∗ ¢Œo¹Õé¤ÇÃÈÖ¡ÉÒe·¤¹i¤¡Òäi´ãˌ´Õ ∗ ∴ เปรียบเหมือนการสลับลําดับในคําว่า NNNEEEE
“¼ÙŒË­i§ 4 ¤¹ËŒÒÁµi´¡a¹” ¨a¤i´æººÊaºËNjҧ eËÁ×o¹¢Œo 16 ตอบ 7 ! = 35 แบบ
3! 4!
äÁ‹ä´Œ e¾ÃÒa¡ÒÃˌÒÁË­i§µi´¡a¹¹aé¹ ªÒµi´¡a¹ä´Œ ... ËÃ×o¶ŒÒ¨a¤i´
(25) • กรณี 1-1-1 (ไม่ใช้อักษรซ้าํ เลย)
溺ź¡a¹eËÁ×o¹¢Œo 15.2 ¡çäÁ‹ä´Œ e¾ÃÒaµŒo§ÅºËÅÒÂ¡Ã³Õ มี A,R,N,G,E → 5 × 4 × 3 = 60 แบบ (P5, 3)
æÅa¤íҹdzÂÒ¡ (·a§é ËÁ´ - µi´ 4 ¤¹ - µi´ 3 ¤¹ - µi´ 2 ¤¹) • กรณี 2-1 (ใช้อักษรซ้าํ 1 คู่)
เทคนิคการคิด คือ วางผู้ชาย 5 คนเป็นแถวก่อน มีทั้งหมด 8 กรณี ได้แก่ AAR, AAN, AAG, AAE,
ได้ 5 4 3 2 1 = 5 ! วิธี RRA, RRN, RRG, RRE (คิดจาก 2x4 ก็ได้)
จะมีช่องว่าง 6 ช่อง (นับช่องหน้าสุดและหลังสุดด้วย) ในแต่ละแบบสลับที่ได้ → 3 ! = 3 แบบ
จะให้ผหู้ ญิง 4 คน เลือกอยู่กนั คนละช่อง (เพื่อจะได้ 2!
ไม่ติดกัน) ได้ 6 × 5 × 4 × 3 ∴ ตอบ 60 + 8 (3) = 84 แบบ

∴ ตอบ 5 ! × P6, 4 = 43,200 วิธี (26) = 3 ! = 6 วิธี ได้แก่

(18) สลับคน 4 คน ได้ 4! แบบ ก ก ก


ข ง ค ง ง ค
ข้อนีเ้ กิดได้ 2 กรณี คือ อ้ออยูห่ วั / อยู่ท้าย ค ข ข
ดังนัน้ คําตอบคือ 4 ! × 2 = 48 แบบ ก ก ก
(19) T 6 ตัว E ข ค ค ข ง ข
T กับ E สลับไม่ได้ ก็จะเหลือเพียง 6 ตัวที่สลับกันได้ ง ง ค
ดังนัน้ จะได้ 6 ! = 720 คํา (27) 3 ! (หาร 2 เพราะพลิกด้านได้) = 3 วิธี
2
(20) คิดเหมือนข้อ 17 คือ ... A A A
ได้แก่ B D C D B C
(20.1) วางพยัญชนะ 5 ! C B D
วางสระ 6 × 5 × 4 × 3 ตอบ 5 ! × P6, 4 คํา
(28) ไม่ต้องเลือก (ใครก็ได้ เพศใดก็ได้)
(20.2) วางสระ 4 ! 3 ! 2 ! = 24 แบบ
วางพยัญชนะ 5 × 4 × 3 × 2 × 1 ตอบ 4 ! 5 ! คํา
(สังเกต ใช้ครบทุกช่องพอดี = สับหว่าง)
(20.3) พยัญชนะตัวหน้าสุด เลือกได้ 5 แบบ
เหลือพยัญชนะกับสระอย่างละ 4 ตัว (29) มี 2 กรณีดังรูป
จึงตอบ 5 × 4 ! × 5 × 4 × 3 × 2 = 5 ! × P5, 4 คํา จึงได้ 6 ! 5 ! × 2
(20.4) สระตัวหน้าสุด เลือกได้ 4 แบบ = 172,800 แบบ
เหลือพยัญขนะ 5 และสระ 3 ตัว
(30)
จึงตอบ 4 × 5 ! × 5 × 4 × 3 = 4 × 5 ! × P5, 3 คํา ส ภ 2 ! × 4 ! = 48 แบบ
(เราเริ่มเลือกช่องจาก 5 ช่องเท่านั้น เพราะช่องแรก
สุดห้ามใช้ มิฉะนั้นสระอาจจะติดกัน)
(21) 11! = 34,650 แบบ
4! 4!2!

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 352 ความนาจะเปน

(31) วิธีคล้ายข้อ 17 แต่เปลี่ยนเป็นวงกลม (40) • กรณี 1-1-1-1


วางผู้ชายเป็นวงกลมก่อน = 4 ! วิธี 6
เลือก a, b, c, d, e, f → ⎛⎜ 4 ⎞⎟ สลับ 4 ! → 360
⎝ ⎠
พบว่ามีชอ่ งว่าง 5 ช่อง
ผู้หญิงจึงเลือกทีอ่ ยู่ได้ 5 × 4 × 3 × 2 วิธี • กรณี 2-1-1
⎛5⎞ 4!
∴ ตอบ 4 ! × P5, 4 = 2,880 วิธี เลือก a, b, c, d → ⎛⎜ 41 ⎞⎟ ⎜ ⎟ สลับ → 480
⎝ ⎠ ⎝2⎠ 2!
(32) ( 18 r ) = ⎜ r + 2 ⎟ แสดงว่า
⎛ 18 ⎞ 1 คู่ เดี่ยว 2
⎝ ⎠
r + (r + 2) = 18 ∴r = 8
• กรณี 3-1
4!
⎛ 10 ⎞ = 10 ! = 10 × 9 × 8 = 120
เลือก a → ⎛⎜ 11⎞⎟ ⎛5⎞
⎜ 1⎟ สลับ → 20
(33) ⎜3⎟ แบบ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ 3!
⎝ ⎠ 7! 3! 3×2
1 สาม เดีย่ ว 1
[เป็น C10, 3 ไม่ใช่ P10, 3 เพราะเราไม่สนใจลําดับการ • กรณี 2-2
สลับกัน, แต่ถา้ ต้องเลือกยืมวันจันทร์ อังคาร พุธ ที เลือก a, b, c, d → ⎛ 4 ⎞ สลับ 4 ! → 36
⎜2⎟
ละเล่ม แบบนีล้ ําดับถือว่าสําคัญ ต้องใช้ P10, 3 ] ⎝ ⎠ 2!2!
(34) สามเหลี่ยมรูปหนึ่งเกิดจากการเลือกจุดมา 3 2 คู ่
จุด และแน่นอนว่าไม่คาํ นึงลําดับ เช่น Δ ABC กับ ∴ ตอบ 896 แบบ
Δ BCA ถือเป็นรูปเดียวกัน (41) จํานวนคูท่ เี่ กิดขึน้ = ⎜⎛ 10 ⎞
⎟ = 45 คู่
⎝2⎠
ดังนัน้ จะได้ ⎛⎜ 63 ⎞⎟ = 6 ! = 20 รูป ∴ ใช้เวลา 12 วัน
⎝ ⎠ 3! 3!
9!
= 1,260 วิธี
(35.1) ⎛ 16 ⎞ [เลือกทีเดียว 8 คน และไม่มีลําดับ] (42.1) กฎการแบ่งกลุ่ม
⎜8⎟ 4! 3!2!
⎝ ⎠
9!
(42.2) กฎการแบ่งกลุ่ม = 280 วิธี
(35.2) ⎛ 6 ⎞ ⎛ 10 ⎞ (3 !)3 3 !
⎜2⎟ × ⎜ 6 ⎟
⎝ ⎠ ⎝ ⎠
9!
ญ ช (43) × 3! = 1,680 วิธี
(3 !)3 ⋅ 3 !
6 10 6 10
(35.3) ญ 5 + ญ 6 = ⎛⎜ 5 ⎞⎟ ⎛⎜ 3 ⎞⎟ + ⎛⎜ 6 ⎞⎟ ⎛⎜ 2 ⎞⎟
⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠ เลือกกลุ่ม (C) สลับประเทศ (P)
7!
(35.4) ใช้วิธีบวกกันจะยาว (44) 2
× 2!
3 !(2 !) ⋅ 2 !
(ญ2 + ญ3 + ญ4 + ญ5 + ญ6)
จึงใช้ วิธที ั้งหมด ลบด้วย ญ1 และลบด้วย ญ0 จัดกลุ่ม สลับเข้าห้อง
16 6 10 6 10
หมายเหตุ การสลับเข้าห้องเป็น 2 ! เพราะกลุ่ม
= ⎛⎜ 8 ⎞⎟ − ⎛⎜ 1 ⎞⎟ ⎛⎜ 7 ⎞⎟ − ⎛⎜ 0 ⎞⎟ ⎛⎜ 8 ⎞⎟ ขนาด 3 คนนั้นนําไปใส่เข้าห้องขนาดเล็กไม่ได้)
⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠

(36) ⎛6⎞ ⎛5⎞ (45) ⎛⎜ 62 ⎞⎟ เส้น, ⎛⎜ 63 ⎞⎟ + ⎛⎜ 64 ⎞⎟ + ⎛⎜ 65 ⎞⎟ + ⎛⎜ 66 ⎞⎟ รูป


⎜2⎟ ⎜2⎟ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
⎝ ⎠⎝ ⎠
(37) นักธุรกิจ 2 + นักธุรกิจ 3 (สามเหลี่ยม + สี่เหลี่ยม + ห้าเหลี่ยม + หกเหลีย่ ม)
3 18 3 18
= ⎛⎜ 2 ⎞⎟ ⎛⎜ 2 ⎞⎟ + ⎛⎜ 3 ⎞⎟ ⎛⎜ 1 ⎞⎟
(46) ⎜⎛ 27 ⎟⎞ − ⎜⎛ 24 ⎟⎞ + 1 − ⎜⎛ 23 ⎟⎞ + 1 เส้น
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠
⎛ 7 ⎞ − ⎛ 4⎞ − ⎛ 3⎞ รูป
(38) 67 + 58 + 49 ⎜ 3⎟ ⎜ 3⎟ ⎜ 3⎟
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
13 ⎛ 7 ⎞ + ⎛ 13 ⎞ + ⎛ 13 ⎞ ⎛ 12 ⎞ − 6 ⋅ ⎛ 3 ⎞ + 6
= ⎛⎜ 6 ⎞⎟ ⎜7⎟ ⎜ 5 ⎟ ⎜ 4 ⎟ (47) ⎜2⎟ ⎜2⎟ เส้น
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
⎛ 7 ⎞ ⎛8⎞ ⎛9⎞ (มีแนวเดียวกันอยู่ 6 แนว)
[หมายเหตุ ⎜ 7 ⎟ , ⎜8⎟ , ⎜9⎟ = 1 ไม่ตอ้ งคิด]
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
หรือถ้ามองอีกคันหนึ่งเป็นหลัก อาจตอบในรูป (48) เลือกจุดสองจุดใดๆ จะสร้างเส้นตรงได้ 1 เส้น
⎛ 13 ⎞ + ⎛ 13 ⎞ + ⎛ 13 ⎞ ก็ได้ แต่ถ้าไปเลือกโดนจุดทีต่ ิดกัน จะเกิดเส้นรอบรูป ไม่ใช่
⎜7⎟ ⎜8⎟ ⎜9⎟
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
เส้นทแยงมุม (มีเส้นรอบรูป 20 เส้น)
(39) การคิดจะเริ่มจาก “เลือก” แล้วค่อย “สลับ”
ดังนัน้ ตอบ ⎛⎜ 20 ⎞
2 ⎟ − 20 เส้น
เลือก ⎛⎜ 31 ⎞⎟ ⎛⎜ 53 ⎞⎟ ⎛⎜ 24 ⎞⎟ → สลับ 1 × 5 ! ⎝ ⎠
⎝ ⎠⎝ ⎠⎝ ⎠
(49) ⎛ ⎞ + 2 ⎛ 4 ⎞ + 2 ⎛5⎞ ⎛ 4 ⎞
5
ใหญ่ เล็ก สระ ∴ ตอบ ⎛ 3⎞ ⎛5⎞ ⎛ 4⎞ 5 ! ⎜2⎟
⎝ ⎠
⎜2⎟
⎝ ⎠
⎜ 1⎟ ⎜ 1⎟
⎝ ⎠⎝ ⎠
⎜ 1 ⎟ ⎜ 3⎟ ⎜ 2 ⎟
⎝ ⎠⎝ ⎠⎝ ⎠

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 353 ความนาจะเปน

⎛6⎞ ⎛ 3⎞ 8 1
(50) ⎜2⎟ ⎜2⎟ รูป (60.1) T4 = ⎛⎜ 3 ⎞⎟ (3x)5( )3
⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠ y
(51) คิดด้วยวิธดี ังรูป (คล้ายสูตรในเรือ่ งเซต) (60.2) ⎛8⎞
⎜5⎟
⎝ ⎠
⎛8⎞ 8 1
(60.3) [มาจาก T3 = ⎛⎜ 2 ⎞⎟ (3x)6( )2 ]
= + - ⎜2⎟
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ y
4 3 3 5 3 3 (60.4) ⎛ 8 ⎞ (34)
= ⎛⎜ 2 ⎞⎟ ⎛⎜ 2 ⎞⎟ + ⎛⎜ 2 ⎞⎟ ⎛⎜ 2 ⎞⎟ − ⎛⎜ 2 ⎞⎟ ⎛⎜ 2 ⎞⎟ = 39 รูป ⎜ 4⎟
⎝ ⎠
⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠
(52.1) stars&bars 6 : 2 [สัมประสิทธิ์ ไม่เหมือนกับสัมประสิทธิ์ทวินาม]
5 (61.1) T6 = ⎛⎜ 12 ⎞ 27 3 5
→ ⎛⎜ 1 ⎞⎟ = 5 วิธี ได้แก่ 5,1 4,2 3,3 2,4 1,5 5 ⎟ (x ) ( 4 )
⎝ ⎠ x
⎝ ⎠
(52.2) stars&bars 8 : 2 (61.2) ⎛ 12 ⎞
⎜5⎟
⎝ ⎠
(ใส่เผื่อเข้าไป 2 ลูก เพื่อจะดึงออกคนละลูกทีหลัง)
7
(61.3) หาว่าพจน์ใดเป็น x6 ก่อน
→ ⎛⎜ 1 ⎞⎟ = 7 วิธี
โดย Tr = ( 12r ) (x2)12 − r ⎛⎜ 34 ⎞⎟ มองทีก่ ําลังของ x
r
⎝ ⎠
⎝x ⎠
ได้แก่ 6,0 5,1 4,2 3,3 2,4 1,5 0,6
→ 2 (12 − r) − 4r = 6 ∴r = 3
(53) ต้องใช้วิธนี ับเอาเท่านัน้ (เพราะ stars&bars
12
จะต้องมีคนรอรับของแล้ว) ตอบ สัมประสิทธิ์ = ⎛⎜ 3 ⎞⎟ (33)
⎝ ⎠
ได้เป็น 5, 1 4, 2 3, 3 → 3 วิธี
(61.4) หาว่าพจน์ใดเป็น x0
(54.1) stars&bars 7 : 4 → ⎛⎜ 63 ⎞⎟ = 20 วิธี → 2 (12 − r) − 4r = 0 ∴ r = 4
⎝ ⎠
หมายเหตุ อาจคิดอีกวิธีโดย ตอบ พจน์นนั้ = ⎛⎜ 12 ⎞ (34)
⎟ [ไม่มี x ในพจน์น]ี้
⎝4⎠
1, 1, 1, 4 สลับได้ 4 !/ 3 ! = 4 วิธี
1, 1, 2, 3 สลับได้ 4 !/ 2 ! = 12 วิธี (62) (2 + 0.001)7 = ⎛⎜ 07 ⎞⎟ (2)7 + ⎛⎜ 71 ⎞⎟ (2)6(0.001) +
⎝ ⎠ ⎝ ⎠
1, 2, 2, 2 สลับได้ 4 !/ 3 ! = 4 วิธี รวม = 20 วิธี
⎛ 7 ⎞ (2)5(0.001)2 + ⎛ 7 ⎞ (2)4(0.001)3 + ...
(54.2) stars&bars 11 : 4 → ⎛⎜ 10 ⎞
3 ⎟ = 120 วิธี
⎜2⎟
⎝ ⎠
⎜ 3⎟
⎝ ⎠
⎝ ⎠
= 128 + 0.448 + 0.000672 + 0.000000560 + ...
(55) 1, 1, 1, 4 1, 1, 2, 3 1, 2, 2, 2 → 3 วิธี = 128.448673
(56) 100,000 = 25 ⋅ 55 → ตอบ 6 × 6 = 36 ⎛ 7 ⎞ + ⎛ 7 ⎞ + ⎛ 7 ⎞ + ⎛ 7 ⎞ + ... + ⎛ 7 ⎞
(63.1) ⎜ 0⎟ ⎜ 1 ⎟ ⎜2⎟ ⎜ 3⎟ ⎜7⎟
(57) 120 = 23 × 31 × 51 ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
ดังนัน้ จํานวนเต็มบวกมีอยู่ 4 × 2 × 2 = 16 จํานวน = 27 = 128
ตอบ 32 (เพราะมีจํานวนเต็มลบอีก 16 จํานวน) [พิสูจน์ จาก
(58) 2 (a + 1)(b + 1) n
() n
() n
(a + b)n = 0 anb0 + 1 an − 1b1 + ... + n a0bn ()
(คูณ 2 เพราะต้องนับจํานวนลบด้วย) แทน a = b = 1 จะได้วา่
(59.1) ⎛⎜ 50 ⎞⎟ a5b0 + ⎛⎜ 51 ⎞⎟ a4b1 + ⎛⎜ 52 ⎞⎟ a3b2 +
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
n n
() () ()
n n
2 = 0 + 1 + 2 + ... + n
n
()
⎛ 5 ⎞ a2b3 + ⎛ 5 ⎞ a1b4 + ⎛ 5 ⎞ a0b5
⎜ 3⎟
⎝ ⎠
⎜ 4⎟
⎝ ⎠
⎜5⎟
⎝ ⎠
เช่นข้อนี้ ให้ 2x = 1, 3y = 1 ]
ตอบ a5 + 5a4b + 10a3b2 + 10a2b3 + 5ab4 + b5 (63.2) อยากทราบค่าผลบวกสัมประสิทธิ์ ก็ทาํ
คล้ายๆ ข้อ 63.1 แต่เราจะแทนเพียง x และ y ด้วย
(59.2) ⎜⎛ 04 ⎟⎞ (2x)4 + ⎜⎛ 41 ⎟⎞ (2x)3(−3y) + 1 ... ก็จะได้วา่
⎝ ⎠ ⎝ ⎠
7 7
⎛ 4 ⎞ (2x)2(−3y)2 + ⎛ 4 ⎞ (2x)(−3y)3 + ⎛ 4 ⎞ (−3y)4 (2 + 3)7 = ⎜⎛ 0 ⎟⎞ (2)7(3)0 + ⎜⎛ 1 ⎟⎞ (2)6(3)1 + ...
⎜2⎟ ⎜ 3⎟ ⎜ 4⎟ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
ตอบ 16x4 − 96x3y + 216x2y2 − 216xy3 + 81y4 นั่นคือ ผลบวกสัมประสิทธิ์เท่ากับ (2 + 3)7 = 57
(59.3) ⎡⎣(1 − x)2 ⎤⎦4 = (1 − x)8 (64-71) ใช้กฎการแบ่งกลุ่ม (แล้วจะคูณการสลับ
2 3 4 5 6 7 8
ลําดับอีกหรือไม่ ก็แล้วแต่สถานการณ์ข้อนั้น)
= 1 − 8x + 28x − 56x + 70x − 56x + 28x − 8x + x
(64.1) 12 !
3! 4!5!

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 354 ความนาจะเปน

12 ! (72.3) ใส่เพิ่ม 3 ลูกเป็น 15


(64.2)
(4 !)3 3 ! ⎛ 14 ⎞
(แล้วค่อยดึงออกคนละลูกทีหลัง) ∴ ได้ ⎜2⎟ วิธี
9! ⎝ ⎠
(65.1) × 3 ! (3! เกิดจากการสลับให้คน)
2! 3! 4! 8
(73.1) stars&bars 9 : 5 → ⎛⎜ 4 ⎞⎟
9! ⎝ ⎠
(65.2) × 3!
5 !(2 !)2 2 ! (73.2) ⎛5⎞ × ⎛8⎞
⎜ 3⎟ ⎜2⎟
⎛8⎞ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
(65.3) stars&bars ⎜2⎟
เลือกตู้ stars&bars 9 : 3
⎝ ⎠
(66) สังเกต 2 +2 +2 + 1+ 1 = 8 (74) 4 × 2 × 5 = 40
ลูกเท่านัน้
⎛ 10 ⎞ 8! (75) 6 × 5 × 4 × 3 × 2 × 1 = 6 !
จึงต้องได้เป็น ⎜8⎟
⎝ ⎠ (2 !)3 3 !(1!)22 ! (76) 5 × 4 × 3 × 2 × 1 = 5 !
(67) นําคําตอบข้อ 66 มาคูณ 5 ! (77.1) บอย 9 คน = 9 !
8! (77.2) บอย ญชญชญชญชญ = 5 ! 4 !
(68.1) × 2!
(3 !)2 2 ! 2 ! (78) การดึงเลขจากเซต ใช้ซา้ํ ได้
จัดกลุ่มคน สลับห้อง และระวัง.. โจทย์ไม่ได้บอกว่าต้องเป็นเลข 3 หลัก
(68.2) หญิง 3 คน ไม่ตอ้ งแบ่งกลุ่ม ฉะนั้น มี 3 กรณี ดังนี้
ชาย 5 คน ต้องแบ่งเป็น 3 และ 2 คน (78.1) • 3 หลัก 2 × 3 × 3 = 18
5!
ตอบ × 2! (2! เกิดจากการสลับห้อง) • 2 หลัก 3 × 3 = 9
3!2!
(68.3) ชาย 5 คน แบ่งกลุ่มเป็น 2, 2, 1 คน • 1 หลัก 3 = 3 ตอบ 30 จํานวน
5! (78.2) 2 × 3 × 1 + 3 × 1 + 1 = 10 จํานวน
→ × 3! × 2!
(2 !)22 ! 1!
(79) ประกอบยังไงก็มากกว่า 999 อยู่แล้ว ถ้ามี 4
จัดหญิงลงกลุ่ม สลับห้อง หลัก ... ดังนั้น ตอบ 4 !
(69.1) อาจแบ่ง 6 คน เป็น 1,1,4 หรือ 1,2,3 หรือ
(80.1) 8 × 7 × 6 × 5 = P8, 4 หรือ ⎛⎜ 84 ⎞⎟ × 4 ! ก็ได้
2,2,2 จึงได้วา่ ⎝ ⎠
⎛ 6! 6! 6! ⎞ (80.2) 2 × 7 × 6 × 5 (81) 2!× 4!
⎜ (1!)22 ! 4 ! + 1! 2 ! 3 ! + (2 !)3 3 ! ⎟ × 3 !
⎝ ⎠ ตัวสุดท้าย 3 ตัวแรก
จัดกลุ่มคน มอบหมายงาน ก ข
(69.2) ข้อนี้งานเหมือนกันหมด
(82) ⎛⎜ 10 ⎞

จึงตอบเหมือนข้อ 69.1 โดยไม่ตอ้ งคูณ 3! ⎝6⎠
(70) หนังสือต่างกัน จึงไม่ใช่ stars&bars (83) มี 3 กรณี คือ
แต่ตอ้ งคิดแยกกรณีตรงๆ เหมือนข้อ 69.1 คือ อาจ บวกทั้งหมด, บวก 2 ลบ 2, ลบทั้งหมด
แบ่งเป็น 1,1,6 หรือ 1,2,5 หรือ 1,3,4 หรือ 2,2,4 ∴ ตอบ ⎛⎜ 6 ⎞⎟ + ⎛⎜ 6 ⎞⎟ ⎛⎜ 8 ⎞⎟ + ⎛⎜ 8 ⎞⎟
หรือ 2,3,3 ∴ ตอบ ⎝ 4⎠ ⎝2⎠ ⎝2⎠ ⎝ 4⎠

( 8!
2
+
(1!) 2!6!
8!
+
1!2!5!
8!
+
8!
1!3!4!
+ 2
8!
(2!) 2!4!
× 3! 2
2!(3!) 2!
)
(84) 7 แบ่งเป็น 4 (ก) กับ 3 (ข)
⎛ 12 ⎞ × 7 ! = 12 !
⎜7⎟
(71.1) แบ่ง 12 คน เป็น 4,4,4 จะได้ 123! ⎝ ⎠ 4! 3! 5! 4! 3!
(4 !) 3 ! หรือมองเป็น 12 แบ่งเป็น 5 (เก็บ), 4 (ก), 3 (ข)
(71.2) แบ่ง 9 คน เป็น 1,4,4 จะได้ 9 !2 ก็ได้ 12 ! เช่นกัน
1!(4 !) 2 ! 5! 4! 3!
(กลุ่มที่มี 1 คน จะถูกเติม ก,ข,ค ลงไปด้วย) (85.1) วิธที ั้งหมด - วิธที ี่ไม่มีสขี าวเลย
= 9×8×7 −5×4×3
(71.3) แบ่ง 9 เป็น 3,3,3 จะได้ 93! × 3 !
(3 !) 3 !
(85.2) ⎛⎜ 93 ⎞⎟ − ⎛⎜ 53 ⎞⎟
(3! เกิดจากการเลือกใส่ ก,ข,ค ลงไปกลุ่มละ 1 คน) ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
A K Q J
(72.1) stars&bars 12 : 3 → ⎛⎜ 11
2⎟
⎞ (86.1) ? ? ? ? = 4 ! = 24 วิธี
⎝ ⎠
(72.2) แจกไปก่อนเลยคนละ 1 ลูก, (86.2) ⎛ 4⎞ = 4 วิธี
⎜ 1⎟
⎛8⎞ ⎝ ⎠
แล้วจึงคิดแบบ stars&bars 9 : 3 → ⎜2⎟
⎝ ⎠ (86.3) 4 × 4 × 4 × 4 = 44 = 256 วิธี

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 355 ความนาจะเปน

[สังเกตความต่างของแต่ละข้อ จะเป็น (96.3) 4 ด้านแรก (2 คู่)


4 × 3 × 2 × 1 → 4 × 1× 1× 1 → 4 × 4 × 4 × 4 ] เลือกสีทจี่ ะใช้ซ้ํา ได้
⎛ 4⎞ ⎛ 13 ⎞ ⎛ 4 ⎞ แบบ
(87) ดอกเดียวกัน 5 ใบ ⎜ 1⎟ ⎜5⎟ ⎜2⎟
⎝ ⎠
⎝ ⎠ ⎝ ⎠
เลือกดอก เลือกเลข
(88) ความหมายของโจทย์คือ ถือไพ่อยู่ 15 ใบ อีก 2 ด้านที่เหลือ ทา 2 สีได้เลย
เราต้องเลือกเลขสําหรับแต่ละดอก (สลับกันไม่นับ เพราะพลิกด้านได้ เกิดสภาพเดิม)
ดังนัน้ ตอบ ⎛⎜ 13 ⎞ ⎛ 13 ⎞ ⎛ 13 ⎞
5⎟⎜5⎟⎜5⎟
4
∴ ตอบ ⎛⎜ 2 ⎞⎟ = 6 วิธี
⎝ ⎠⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠
(89) ⎛ 13 ⎞ ⎛ 4 ⎞ × ⎛ 12 ⎞ ⎛ 4 ⎞ (97) วิธที ั้งหมด - สองคนติดกัน = 6 ! − 2 ! 5 !
⎜ 1 ⎟ ⎜ 3⎟ ⎜ 1 ⎟ ⎜2⎟
⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠
(98) 25,000,000 = 26 ⋅ 58
สําหรับ 3 ตัวซ้ํา สําหรับ 2 ตัวซ้ํา ดังนัน้ ตอบ 7 × 9 = 63
(90) ⎛⎜ 13 ⎞ ⎛ 4 ⎞ ⎛ 4 ⎞ × ⎛ 11⎞ ⎛ 4 ⎞
⎟ ⎜ ⎟ ⎜
⎝ 2 ⎠ ⎝2⎠ ⎝2⎠
⎟ ⎜ ⎟ ⎜
⎝ 1 ⎠ ⎝ 1⎠

(99) จาก A ไปถึง B (N5, E5) → 10 ! เส้นทาง
5!5!
สําหรับ 2 คู่ สําหรับ 1 เดี่ยว จาก A ไปถึ ง F (N2E2) และ F ไปถึ ง B (N3E3)
หมายเหตุ ใช้ ⎛⎜ 131 ⎞⎟ ⎛⎜ 121 ⎞⎟ แทน ⎛⎜ 13 ⎞ ไม่ได้นะครับ!
⎟ 4 ! 6 !
⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝2⎠ → × เส้นทาง
2!2! 3! 3!
(91) 5 ! 5 ! [ถ้าโจทย์ถามเส้นทางที่ไม่ผ่าน F, ก็เอาคําตอบที่ได้ลบกัน]
(92) 6 × 6 × 6 × ... × 6 = 610
(100) 25 × 15 (101) ⎛⎜ 150 ⎞

[นับแต่ละครั้งเป็น 6 แบบ เพราะมีการยิงไม่โดนด้วย] ⎝ 2 ⎠

(93) 105! × 5 ! [สังเกตความแตกต่างของข้อ 100 กับ 101 นะครับ]


(2 !) 5 ! (102) ต้องใช้ครบทุกเลข
จัดกลุ่ม เลือกวันแข่ง • หลักล้านเป็น 1 หรือ 3 → 2×
6!
(94) เนื่องจากลูกเต๋ามีหมายเลขกํากับ จึงมองเป็น 2!2!
การจับคู่หมายเลข 1 ถึง 6 เข้ากับสี 6 สี → 6 ! 6!
• หลักล้านเป็น 2 → 1 ×
2!2!2!
(95) เลือกสีที่จะใช้สองครั้ง ได้ 5 วิธี
เลือกด้านคูต่ รงข้ามกันเพือ่ ทีจ่ ะทาสีซา้ํ นัน้ ได้ 3 วิธี บวกกัน = 450
เหลือ 4 ด้าน 4 สี จับคู่กนั ได้ 4 ! หรือคิดจาก วิธที ั้งหมด - วิธที ี่ขนึ้ ด้วย 0
ดังนัน้ จะได้ 5 × 3 × 4 ! 7! 6! 5 × 6!
= − = = 450
2!2!2! 2!2! (2 !)3
(96) ลูกบาศก์หน้าเกลี้ยง จะคิดต่างจากลูกเต๋า
เนื่องจากไม่มีหมายเลขประจําด้าน (แต่ละด้านไม่ (103) แบ่ง 5 เป็น 2,2,1
ต่างกัน) และลูกบาศก์เป็นทรงสามมิติทหี่ มุนได้และ → 52 ! × 3 ! (คูณ 3! = เข้าห้อง)
(2 !) 2 ! 1!
พลิกด้านได้ ต้องคิดคล้ายการจัดแบบวงกลม ดังนี้
(96.1) ไม่ตอ้ งนับด้านแรก (104) แบ่งชาย 3 คน เป็น 1,2
ใช้สีใดก็ได้ทาด้านใดก็ได้ไปก่อน แบ่งหญิง 5 คน เป็น 3,2
ด้านตรงข้าม (แล้วชายกับหญิงก็จะรวมกัน 1+3 และ 2+2 คน)
เลือกสีได้ 5 แบบ ดังนัน้ ตอบ 3 ! × 5 ! × 2 ! = 60
1! 2 ! 3 ! 2 !
เหลือด้านรอบๆ 4 ด้าน (2! คือ การให้ชอื่ กลุ่ม)
สลับสีเป็นวงกลม 3 ! แบบ หรือคิดจาก วิธที ั้งหมด - วิธที ี่ชายอยูก่ ลุ่มเดียวกัน
∴ ตอบ 5 × 3 ! = 30 วิธี
(แบ่งหญิง 5 คน เป็น 4,1 ชาย 3 คนไม่ตอ้ งแบ่ง)
(96.2) คู่แรกเลือกสีทจี่ ะใช้ซา้ํ ⎡ 8! 5! ⎤
ได้ 5 แบบ แล้วก็ทาลงไป → ⎢⎣(4 !)22 ! − 4 ! 1!⎥⎦ × 2 ! = 60
เหลือ 4 ด้านรอบๆ (105) กข + 8 คนสลับกัน
สลับสีเป็นวงกลม ได้ จัดคน 8 คนสลับกัน ได้ 4!4! x 2 แบบ
3 ! ÷ 2 แบบ [คูณ 2 เพราะมี 2 กรณี]
[หาร 2 เพราะวงกลมพลิกด้านแล้วเกิดสภาพเดิม] และให้ ก, ข ไปอยู่ในช่องว่าง ได้ 9 ช่อง
3! ดังนัน้ ตอบ 4 ! 4 ! × 2 × 9
∴ ตอบ 5 × = 15 วิธี
2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 356 ความนาจะเปน

(106) เลือกตรงกลางวงได้ 10 แบบ (116) S = {H, T} → n(S) = 2


นอกนั้นจัดแบบวงกลมได้ 8! แบบ ∴ เหตุการณ์ E จะมี 22 = 4 แบบ
จึงตอบ 10 ⋅ 8 ! ได้แก่ ∅, {H}, {T}, {H, T}
(107) คิดเหมือนข้อ 70 → (117) P(A ∪ B) = 0.48 + 0.32 − 0.25 = 0.55
แบ่ง 5 เป็น 1,1,3 หรือ 1,2,2 P(A − B) = 0.48 − 0.25 = 0.23
ตอบ ⎡⎢ 25 ! + 5 !2 ⎤⎥ × 3 ! P(A') = 1 − 0.48 = 0.52
⎣(1!) 2 ! 3 ! 1!(2 !) 2 ! ⎦
P(B') = 1 − 0.32 = 0.68
(108) • กรณีไม่ซ้ําเลย = 1 แบบ
5 4 (118.1) P(A ∩ B) = 0.15
• กรณีซา้ํ 1 คู่ = ⎛⎜ 1 ⎞⎟ ⎛⎜ 3 ⎞⎟ = 20 แบบ
⎝ ⎠⎝ ⎠ (118.2) P(A ∪ B) = 0.4 + 0.55 − 0.15 = 0.8
5 3 (118.3) P [(A ∪ B)'] = 1 − 0.8 = 0.2
• กรณีซา้ํ 2 คู่ = ⎛⎜ 2 ⎞⎟ ⎛⎜ 1 ⎞⎟ = 30
แบบ
⎝ ⎠⎝ ⎠
(119) ให้ M = คณิตศาสตร์, C = เคมี จะได้ว่า..
∴ ตอบ 51 วิธี 2 4 1 31
(109) แบ่ง 6 คนเป็น 2,2,1,1 และอีกกลุ่มเป็นสามี (119.1) P(M ∪ C) = 3 + 9 − 4 = 36
ภรรยา (2 คน) (119.2) P [(M − C) ∪ (C − M)]
6!
จะได้ × 3!2! ⎛2 1⎞ ⎛4 1⎞ 11
2 2
(2 !) 2 !(1!) 2 ! = ⎜ − ⎟+⎜ − ⎟ =
⎝3 4⎠ ⎝9 4⎠ 18
(3!2! คือการสลับเข้าห้อง) (119.3) P [(M ∪ C)'] = 1 − 31 = 5
(110) เลือกหน้าทีจ่ ะชนกัน ได้ 6 x 6 แบบ 36 36
จากนั้นแต่ละวิธยี ังบิดได้ 4 แบบ จึงตอบ 6 × 6 × 4 (120) แต้ม 1 2 3 4 5 6
โอกาส x 2x x 2x x 2x
(111) ก ข ... ก ข
∴ x + 2x + x + 2x + x + 2x = 1 → x = 1 / 9
1 n−2
เลื่อนจากหัวถึงท้าย ได้ n − 2 ตําแหน่ง (120.1) แต้มคู่ = 2x + 2x + 2x = 6/9 = 2 / 3
ในแต่ละตําแหน่งยังสลับ ก,ข ได้อกี 2 แบบ (120.2) แต้มคี่ = x + x + x = 1 / 3
ตอบ 2 (n − 2) (120.3) จํานวนเฉพาะ (2,3,5)
= 2x + x + x = 4 / 9
(112) วิธที ั้งหมด - วิธที ี่ E ∩ B = ∅
= 26 − 23 = 56 (120.4) 1 หรือคู่ = x + 2x + 2x + 2x = 7 / 9
{1, 2, 3, ..., 6} {2, 4, 6} (121) วิธที ั้งหมด n(S) = 6 × 6 = 36
(113) ข้อนี้ให้ศกึ ษาจากเรือ่ งแถมท้ายบทนะครับ :] เรื่องของผลบวก ต้องนับจํานวนเอาโดยตรง
(113.1) 24 × 4 = 216 (121.1) ผลรวมเป็น 8 ได้แก่
(2, 6) (6, 2) (3, 5) (5, 3) และ (4, 4)
(113.2) (24 − 1)4 = 154
(113.3) 4 × 4 × 4 × 4 = 44 ∴ ความน่าจะเป็น = 5 / 36

(113.4) 4 × 3 × 2 × 1 = 4 ! (121.2) ผลรวมเป็น 2,3,5,7,11 ได้แก่


(1, 1) (1, 2) (2, 1) (1, 4) (4, 1)
(114) S = {2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12} (2, 3) (3, 2) (1, 6) (6, 1) (2, 5)
(115) ถ้าลูกเต๋าต่างกัน จะมี 6 × 6 = 36 แบบ (5, 2) (3, 4) (4, 3) (5, 6) (6, 5)
คือ (1, 1) (1, 2) (1, 3) ไปจนถึง (6, 6) ∴ ความน่าจะเป็น = 15 / 36 = 5 / 12
แต่วา่ ลูกเต๋าไม่ต่างกัน ฉะนั้น (1, 2) ถือว่าซ้ํากับ (121.3) ผลรวมเป็นคู่ มีวิธอี ยู่ 6 × 3 = 18 แบบ
(2, 1) ... ฯลฯ ผลลัพธ์จะลดลงเหลือเพียง 21 แบบ ∴ ความน่าจะเป็น = 18 / 36 = 1 / 2
(ลองเขียนแล้วนับดู จะรูว้ ่าทําไมไม่ใช่ 18)
(122) วิธที ั้งหมด = 10 !
3! 3!2!
(1, 1) (1, 2) (1, 3) (1, 4) (1, 5) (1, 6)
(2, 1) (2, 2) (2, 3) (2, 4) (2, 5) (2, 6) (122.1) มอง T เป็น 1 ตัวติดกัน จะได้ 8 !
3!2!
(3, 1) (3, 2) (3, 3) (3, 4) (3, 5) (3, 6)
(4, 1) (4, 2) (4, 3) (4, 4) (4, 5) (4, 6)
(ไม่ต้องสลับ T ภายใน, เพราะ T ถือว่าเหมือนกัน)
(5, 1) (5, 2) (5, 3) (5, 4) (5, 5) (5, 6) จะได้ ความน่าจะเป็น = 8 ! / 3 ! 2 ! = 1
10 ! / 3 ! 3 ! 2 ! 15
(6, 1) (6, 2) (6, 3) (6, 4) (6, 5) (6, 6)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 357 ความนาจะเปน

(122.2) วิธที ั้งหมด - T ติดกัน 3 ตัว - T ไม่ติดเลย (125.5) น้อยกว่าศูนย์และเป็นคี่ เป็นไปได้


7! 1
1
8
× ⎛⎜ 3 ⎞⎟
1 7 7
คือ + + + - (คี่ทุกตัว) = ⎛⎜ 33 ⎞⎟ ⎛⎜ 11⎞⎟ ÷ ⎛⎜ 94 ⎞⎟ =
126
− 3!2! ⎝ ⎠ = 1 −
⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠
= 1− − =
15 10 ! / 3 ! 3 ! 2 ! 15 15 15 6
(126) วิธที ั้งหมด = ⎛⎜ 2 ⎞⎟ = 15
5 7 ⎝ ⎠
(123) วิธที ั้งหมด = ⎛⎜ 2 ⎞⎟ ⎛⎜ 2 ⎞⎟
⎝ ⎠⎝ ⎠ 6×2
วิธีทสี่ นใจ = = 6
⎛2⎞ ⎛ 3⎞ 5 7 1 2!
(123.1) ⎜2⎟ ⎜ 2 ⎟ ÷ ⎛⎜ 2 ⎞⎟ ⎛⎜ 2 ⎞⎟ =
⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠ 70 (6 คือใครก็ได้, แต่ไม่ว่าคนแรกจะเป็นใคร คนทีส่ อง
⎛ 3⎞ ⎛ 4⎞ 5 7 3 จะเหลือเพียง 2 วิธ,ี จากนั้น หาร 2! เพื่อกําจัด
(123.2) ⎜2⎟ ⎜2⎟ ÷ ⎛⎜ 2 ⎞⎟ ⎛⎜ 2 ⎞⎟ =
⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠ 35 ลําดับทิ้งไป)
(123.3) วิธที ั้งหมด - วิธีที่ไม่มแี ดงเลย ∴ ตอบ = 6 / 15 = 2 / 5
= 1 − 3/ 35 = 32 / 35
3
→ หรือคิดจาก ⎛⎜ 2 ⎞⎟ × 2 ! ก็ได้
(123.4) 1 − 1/ 70 = 69 / 70 ⎝ ⎠
(123.5) มี 3 กรณี คือ ดด/ขข ดข/ดข ขข/ดด เลือกชั้น ม.4,5,6 สลับเพศ
∴ จะได้ (127) ใช้ผลจากข้อ 108
⎛2⎞ ⎛ 4⎞ + ⎛2⎞ ⎛ 3⎞ ⎛ 3⎞ ⎛ 4⎞ + ⎛ 3⎞ ⎛ 3⎞ • ไม่ซ้ําเลย 1 แบบ • ซ้ํา 1 คู่ 20 แบบ
⎜2⎟ ⎜ 2 ⎟ ⎜ 1 ⎟ ⎜ 1 ⎟ ⎜ 1 ⎟ ⎜ 1 ⎟ ⎜ 2 ⎟ ⎜ 2 ⎟
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ = 29 • ซ้ํา 2 คู่ 30 แบบ
⎛5⎞ ⎛ 7 ⎞ 70 1 1
⎜2⎟ ⎜2⎟ ∴ ตอบ =
⎝ ⎠⎝ ⎠ 1 + 20 + 30 51
(124) วิธที ั้งหมด = 5 × 5 × 5 ⎛ 8 ⎞ , ⎛ 8 ⎞ , ⎛ 8 ⎞ , ..., ⎛ 8 ⎞
1 (128) สปส.ทวินามได้แก่ ⎜0⎟ ⎜ 1 ⎟ ⎜2⎟ ⎜8⎟
(124.1) ⎛⎜ 51 ⎞⎟ ÷ (5 × 5 × 5) = ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
⎝ ⎠ 25
ซึ่งมี 9 ตัว และมีค่าเท่ากันเป็นคูๆ่ 4 คู่
(124.2) วิธที ั้งหมด - ซ้าํ 3 - ไม่ซ้ําเลย
1 5×4×3 12
(ตรงกลางคือ ⎛⎜ 84 ⎞⎟ ไม่เท่ากับตัวอื่นเลย)
= 1− − = ⎝ ⎠
25 5 × 5 × 5 25 → หยิบ 2 ตัวแล้วไม่เท่ากัน คิดง่ายๆ จาก
(124.3) 1 − 5 × 4 × 3 = 13 วิธีทงั้ หมด - หยิบ 2 ตัวแล้วเท่ากัน (ซึ่งมี 4 คู่)
5×5×5 25 4
5×4×3 12 = 1− = 1 − 1/ 9 = 8 / 9
(124.4) = 9
⎛ ⎞
5×5×5 25 ⎜2⎟
⎝ ⎠
9 (129)
(125) วิธที ั้งหมด = ⎛⎜ 4 ⎞⎟ U
⎝ ⎠
1 8 9 4 ก ข ค
(125.1) ต้องมีศูนย์ → ⎛⎜ 1⎞⎟ ⎛⎜ 3 ⎞⎟ ÷ ⎛⎜ 4 ⎞⎟ = ง
⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠ 9
(125.2) ต้องเป็น + + + + หรือ + + - - หาร4 หาร6
⎛ 6 6 2 ⎞ 9 5 ให้ F = หาร 4 ลงตัว และ S = หาร 6 ลงตัว
→ ⎜ ⎛⎜ 4 ⎞⎟ + ⎛⎜ 2 ⎞⎟ ⎛⎜ 2 ⎞⎟ ⎟ ÷ ⎛⎜ 4 ⎞⎟ =
⎝⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎠ ⎝ ⎠ 21 → ชิ้น ข คือ F ∩ S
(125.3) ต้องเป็น + + + - เท่านัน้ หาจํานวนจาก “หาร 12 (ค.ร.น.ของ 4 กับ 6) ลงตัว”
6 2 9
→ ⎛⎜ 3 ⎞⎟ ⎛⎜ 1 ⎞⎟ ÷ ⎛⎜ 4 ⎞⎟ =
20 คือ 12, 24, 36, ..., 96 → 8 ตัว
⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠ 63 → n(F) = 23, n(S) = 15
4 5 20 ∴ n(F ∪ S) = 23 + 15 − 8 =
30 ตัว
หรือคิดจาก 1− − = ก็ได้
9 21 63
→ โจทย์ถาม “หาร 4 หรือ 6 ไม่ลงตัว”
(125.4) การคูณกันแล้วเป็นจํานวนคู่ แปลว่า ต้องมี คือ ก + ค → ตอบ 1 − 8 / 30 = 11 / 15
เลขคูอ่ ย่างน้อย 1 ตัว แต่ถา้ คูณกันได้จาํ นวนคี่ แสดง (130) จาก x2 < 21x → x (x − 21) < 0
ว่า เป็นเลขคี่ทั้งหมด
→ B = {1, 2, 3, ..., 20}
∴ คิดจาก มากกว่าศูนย์ - มากกว่าศูนย์และเป็นคี่
ซึ่งพบว่า มากกว่าศูนย์และเป็นคีน่ ั้น เป็นไปไม่ได้ และพบว่า A ≠ 0 ก็เมือ่ (k − 4)(k − 6) − k ≠ 0

จึงตอบ 5 / 21 แก้สมการกําลังสอง ได้ k ≠ 3, 8


ดังนัน้ ตอบ 1 − 2 / 20 = 9 / 10

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 358 ความนาจะเปน

(131) พิจารณาเฉพาะ 4 ช่อง A-B-C-D (เพราะช่อง คิดแบบความน่าจะเป็น แต่ละขัน้ ตอน


อื่นไม่มีผลต่อการคํานวณ) จะได้ว่า โอกาสที่แต่ละ โอกาสทีจ่ ะหยิบถูกทุกครั้ง = 1 × 1 × 1 × 1 = 1
ช่องจะเป็นสีแดง = 1 / 2 (จากการโยนหัวก้อย) 4 3 2 24
1 1 1 1 1 (133) U
∴ ตอบ × × × =
2 2 2 2 16 ก + ข = 41%
1 1
ก ข ค
หรือ คิดจากจํานวนวิธี = ง ข + ค = 28%
2×2×2×2 16 ก + ข + ค = 60%
หืด หอบ
(คือสีแดงล้วน 1 วิธี และวิธที ั้งหมดสีต่างๆ 16 วิธี)
(132) คิดแบบการนับ P{หืดอย่างเดียว} = 60% − 28% = 32%
วิธีที่ถกู ต้อง มี 1 วิธี และวิธที ั้งหมดมี 4x3x2x1 วิธี (ชิ้นส่วน ก)
1 1
จะได้ =
4 × 3 × 2 × 1 24

eÃ×èo§æ¶Á
เรื่องของการนับจํานวนความสัมพันธ์ จํานวนฟังก์ชัน..
(1) ความสัมพันธ์จาก A ไป B ... จะใช้ A กี่ตัวก็ได้ และ B กี่ตัวก็ได้
ดังนัน้ เราสร้างเซต AxB ขึ้นก่อน ซึ่งมีสมาชิกเป็นคู่อันดับจํานวน n(A)xn(B) คู่อนั ดับ
แล้วความสัมพันธ์จาก A ไป B จะเลือกคู่อนั ดับไปจากเซตนี้กคี่ ู่อนั ดับก็ได้
เปรียบเหมือนสับเซตของ AxB นัน่ เอง จะมีทั้งหมด 2 n(A)× n(B) แบบ
(2) ความสัมพันธ์จาก A ไป B ซึ่งบังคับว่าโดเมนเท่ากับ A ... แปลว่าต้องใช้สมาชิก A ให้ครบทุกตัว
เราจะพิจารณาสมาชิกในโดเมนทีละตัว สมาชิกตัวหนึ่งสามารถจับคูก่ ับสมาชิกของ B กี่ตัวก็ได้ (แต่ไม่จับเลย
ไม่ได้) สมาชิกตัวนี้จงึ เลือกคู่ได้ 2 n(B) − 1 แบบ แต่ตอ้ งใช้สมาชิกทุกตัวของ A ให้ครบ แสดงว่าต้องคูณกัน
n(A) ครั้ง ...ดังนั้น จะมีทงั้ หมด (2 n(B) − 1)n(A) แบบ
(3) ฟังก์ชนั จาก A ไป B ... จะต้องใช้ A ให้ครบเสมอ แต่ใช้สมาชิก B กี่ตัวก็ได้
และด้วยความเป็นฟังก์ชัน สมาชิกใน A แต่ละตัวจึงจับคูส่ มาชิก B ได้เพียง 1 ตัวเท่านั้น คือ n(B) แบบ
เราจึงคิดจํานวนฟังก์ชนั โดยการคูณ n(B) เป็นจํานวน n(A) ครั้ง... ดังนั้นคําตอบคือ (n(B))n(A) แบบ
(4) ฟังก์ชนั หนึ่งต่อหนึง่ จาก A ไป B ... นอกจากเงื่อนไขของฟังก์ชันจาก A ไป B ในข้อที่แล้ว
ยังต้องเพิ่มเงื่อนไขว่าสมาชิกใน B ต้องไม่ถูกเลือกซ้ํา (แสดงว่า n(B) ต้องไม่น้อยกว่า n(A))
คําตอบที่ได้คอื n(B) ⋅ (n(B) − 1) ⋅ (n(B) − 2) ⋅ ...


n(A) ตัว
(5) ฟังก์ชนั จาก A ไปทั่วถึง B ... ใช้วิธลี บออก คือจํานวนแบบทั้งหมดลบด้วยจํานวนแบบที่ไม่ทวั่ ถึง

ตัวอย่าง กําหนด A = {1, 2, 3} , B = {2, 3} , และ C = {−1, 0, 2, 5}


* ความสัมพันธ์จาก A ไป B มีทั้งหมด 2 3 × 2 = 64 แบบ
* ความสัมพันธ์จาก A ไป B ซึ่งมีโดเมนเป็น A มีทั้งหมด 3 × 3 × 3 = 27 แบบ
* ความสัมพันธ์ภายใน A (แปลว่าจาก A ไป A) มีทั้งหมด 2 3 × 3 = 512 แบบ
* ความสัมพันธ์ภายใน A ซึ่งมีโดเมนเป็น A มีทั้งหมด 7 × 7 × 7 = 343 แบบ
* ฟังก์ชันจาก C ไป B มีทั้งหมด 2 × 2 × 2 × 2 = 16 แบบ
* ฟังก์ชันจาก C ไปทั่วถึง B มีทงั้ หมด 16 − 2 = 14 แบบ
* ฟังก์ชันหนึง่ ต่อหนึ่งจาก A ไป C มีทั้งหมด 4 × 3 × 2 = 24 แบบ
* ฟังก์ชันจาก A ไป C ซึ่ง f (x) < x (แปลว่าตัวหลัง < ตัวหน้า) มีทั้งหมด 2 × 3 × 3 = 18 แบบ
หมายเหตุ ไม่ควรท่องเป็นสูตรเพราะในข้อสอบอาจจะเพิ่มเงือ่ นไขให้แปลกไป ควรทําความเข้าใจในวิธีคิด :]
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 359 สถิติ

stat

º··Õè 17 ʶiµi
สถิติศาสตร์ (Statistics) คือวิชาที่เกี่ยวกับการ
เก็บรวบรวม นําเสนอ และวิเคราะห์ข้อมูล เมื่อเรามี
ข้อมูล (Data) จํานวนหนึ่ง เรามักจําเป็นต้องวิเคราะห์
ข้อมูลก่อนถึงจะนําไปใช้ประโยชน์ (เพื่อการตัดสินใจ
หรือการวางแผน) ต่อได้ การวิเคราะห์ข้อมูลแบ่งเป็น
การวิเคราะห์เบื้องต้น เช่น การแจกแจงความถี่, การ
หาค่ากลาง, การหาค่าการกระจาย และการวิเคราะห์
ขั้นสูง เช่น การประมาณค่า, การหาความสัมพันธ์
ระหว่างข้อมูลสองชุด โดยสิ่งทีไ่ ด้จากการวิเคราะห์จะ
เรียกว่า สารสนเทศ หรือ ข่าวสาร (Information)
ลักษณะของข้อมูล
1. ข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative Data) เป็นข้อมูลที่ใช้แทนขนาดหรือปริมาณที่วัดเป็นตัวเลข เช่น
น้ําหนัก ส่วนสูง คะแนนสอบ ... สามารถนําไปคํานวณหรือเปรียบเทียบได้โดยตรง อาจเป็นข้อมูลที่
ต่อเนื่อง (เช่นส่วนสูง จะมีค่าทศนิยมเท่าใดก็ได้) หรือไม่ต่อเนื่อง (เช่นยอดขายสินค้า จะต้องเป็น
จํานวนนับเท่านั้น)
2. ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Data) ไม่ได้เป็นตัวเลข เช่น เพศ ศาสนา สี ความพึงพอใจ ...
หากเราต้องการวิเคราะห์อาจจะต้องกําหนดตัวเลขเพื่อใช้แทนข้อมูลเหล่านี้ก่อน

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 360 สถิติ

17.1 การรวบรวมและนําเสนอข้อมูล
ประเภทข้อมูลแบ่งตามแหล่งที่มา
1. ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data) คือข้อมูลที่ได้จากการสํารวจเองโดยตรง (ไม่ว่าจะเป็นการนับ
การวัด การทดลอง การสอบถาม การสังเกต) ซึ่งจะเก็บรวบรวมได้ใน 2 ระดับ คือ
- ระดับประชากร (Population)
เก็บข้อมูลจากทุกๆ สิ่งที่เราสนใจ เรียกว่า การสํามะโน (Census)
- ระดับตัวอย่าง (Sample)
เก็บข้อมูลจากสิ่งที่สุ่มเลือกมา เรียกว่า การสํารวจตัวอย่าง (Sample Survey หรือ Sampling)
2. ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) คือข้อมูลที่มีผู้รวบรวมไว้แล้ว (และมักผ่านการวิเคราะห์
ขั้นต้นแล้วด้วย) ผู้ใช้ไม่ต้องทําการสํารวจเอง เช่น ข้อมูลจากหน่วยงานราชการ องค์กรของรัฐ
รายงานและบทความจากหนังสือ

การนําเสนอข้อมูล
1. ข้อความ บทความ
ใช้เมื่อข้อมูลที่ต้องการนําเสนอมีไม่มากนัก บางครั้งอาจมีการจัดตัวเลขเรียงเป็นแถวคล้าย
ตารางเพื่อให้อ่านง่าย

2. ตาราง
2.1 การนําเสนอข้อมูลโดยใช้ ตาราง (Table) เป็นการจัดระเบียบข้อมูลตามลักษณะต่างๆ
ที่น่าสนใจ ทําให้เปรียบเทียบข้อมูลได้สะดวกกว่าการนําเสนอด้วยข้อความ ... ซึ่งตารางที่ใช้ อาจเป็น
ตารางแบบทางเดียว แบบสองทาง (จําแนกข้อมูลเป็นสองแถว) หรือแบบหลายทาง (จําแนกย่อยลง
ไปมากกว่าสองแถว)

2.2 การสร้าง ตารางแจกแจงความถี่ (Frequency Distribution Table) คือการจัดข้อมูลที่


มีอยู่ให้เป็นกลุ่มๆ โดยให้ข้อมูลที่มีค่าใกล้เคียงกันอยู่ด้วยกัน เพื่อความสะดวกในการวิเคราะห์และ
การจัดเก็บ ... มีขั้นตอนดังนี้
(1) แบ่งค่าข้อมูลที่เป็นไปได้ทั้งหมดออกเป็นช่วงๆ ตามที่ต้องการ เรียกแต่ละช่วงว่า อันตร
ภาคชั้น (Class Interval) เช่น “30 – 39”, “40 – 49”, “50 – 59”
(2) พิจารณาว่าบรรดาข้อมูลที่มีนั้น มีค่าตกอยู่ในแต่ละช่วงเป็นปริมาณเท่าใด เรียกปริมาณ
ข้อมูลที่ปรากฏในแต่ละช่วงว่า ความถี่ (Frequency)
มักเขียนอันตรภาคชั้นและความถี่ของแต่ละชั้น ในรูปตารางขนาดประมาณ 5 ถึง 20 ชั้น
และมักกําหนดความกว้างแต่ละชั้นเท่าๆ กัน ... แม้โดยทั่วไปไม่จําเป็นต้องเท่ากันก็ได้ อีกทั้งอันตร
ภาคชั้นต่ําสุดหรือสูงสุดอาจเป็น อันตรภาคชั้นเปิด (Open-Ended Class Interval) ก็ได้ เช่น “น้อย
กว่า 30”, “มากกว่า 60”

• ตัวอย่างเช่น ข้อมูลน้ําหนัก (กก.) ของนักเรียน 40 คนในชั้นเรียน ได้แก่


40 45 46 46 50 51 49 52 42 41
50 55 51 53 54 40 43 48 53 55
58 62 64 61 50 48 48 56 58 58
59 64 63 68 59 65 61 67 66 64
หากต้องการตารางแจกแจงความถี่ขนาด 6 ชั้น อาจเขียนได้ดังนี้

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 361 สถิติ

น้ําหนัก (กก.) จํานวนนักเรียน • อันตรภาคชั้น ได้แก่ 40 – 44, 45 – 49, 50 –


40 – 44 5 54, 55 – 59, 60 – 64, และ 65 – 69 โดยมี
45 – 49 7 ความถี่ของแต่ละชั้น ได้แก่ 5, 7, 9, 8, 7, และ 4
50 – 54 9 ตามลําดับ
55 – 59 8
60 – 64 7 • ค่า ขอบล่าง (Lower Boundary) และ ขอบบน
65 – 69 4 (Upper Boundary) คือค่ากึ่งกลางระหว่างรอยต่อ
รวม 40 อันตรภาคชั้น เช่น ชั้น 45 – 49 มีค่า 44.5 เป็น
ขอบล่าง ซึ่งค่า 44.5 ก็เป็นขอบบนของชั้น 40 – 44 ด้วย
• ความกว้างอันตรภาคชั้น หาได้จาก “ผลต่างของขอบบนและขอบล่างของชั้นนั้น” ในตัวอย่างนี้
ความกว้างแต่ละชั้นเป็น 5 เท่ากันหมด

ความถี่สะสม (Cumulative Frequency; CF หรือ Σf) คือ “ผลรวมความถี่ชั้นนั้น กับ


ความถี่ชั้นที่มีค่าข้อมูลต่ํากว่าทั้งหมด” ในบางครั้งอาจให้ความถี่สะสมเป็นผลรวมความถี่ชั้นนั้นกับชั้น
ที่ค่าข้อมูลสูงกว่าทั้งหมดก็ได้ แต่ไม่เป็นที่นิยม
ความถี่สัมพัทธ์ (Relative Frequency) และ ความถี่สะสมสัมพัทธ์ (Relative Cumulative
Frequency) ก็คืออัตราส่วนความถี่หรือความถี่สะสม เทียบกับความถี่รวม (N) ดังนั้นความถี่สัมพัทธ์
รวมทุกชั้นต้องได้ 1 เสมอ และความถี่สะสมสัมพัทธ์ของชั้นสูงสุดก็ต้องเป็น 1 เช่นกัน (บางครั้งจะใช้
เป็นหน่วย “ร้อยละ” ซึ่งจะปรับให้ผลรวมความถี่เป็นร้อยละ 100)

3. แผนภูมิ กราฟ
การนําเสนอข้อมูลแบบนี้สะดวกที่สุด เมื่อต้องการผลสรุปในเชิงเปรียบเทียบ
3.1 แผนภูมิแท่ง (Bar Chart) และ แผนภูมิเชิงเส้น (Line Chart) นิยมใช้แสดงข้อมูลที่
เปลี่ยนไปตามเวลา เช่น ยอดขายผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งในแต่ละเดือน ... ส่วน แผนภูมิวงกลม (Pie
Chart) นิยมใช้แสดงสัดส่วนข้อมูลเป็นร้อยละ เช่น ส่วนแบ่งตลาดของผลิตภัณฑ์แต่ละยี่ห้อ

3.2 ฮิสโทแกรม (Histogram) คือแผนภูมิแท่งสี่เหลี่ยมวางเรียงชิดกัน ใช้แสดงข้อมูลจาก


แต่ละอันตรภาคชั้น โดยให้แกนนอนแทนค่าข้อมูล x เขียนกํากับด้วยขอบบน-ขอบล่างของชั้น หรือ
ด้วย จุดกึ่งกลางชั้น (Midpoint) ก็ได้ และให้แกนตั้งแทนค่าความถี่ f … ความสูงของแท่งสี่เหลี่ยม
จะแปรตามความถี่ชั้นนั้นๆ
รูปหลายเหลี่ยมของความถี่ (Frequency Polygon) คือรูปที่เกิดจากการลากเส้นตรงเชื่อม
จุดกึ่งกลางยอดแท่งสี่เหลี่ยมของฮิสโทแกรมแต่ละแท่ง (โดยสมมติให้มีอันตรภาคชั้นก่อนหน้าและ
หลังอันตรภาคชั้นทั้งหมดที่มีอยู่ ฝั่งละ 1 ชั้น และลากเส้นตรงไปบรรจบแกนนอนที่กึ่งกลางชัน้ ทั้งสอง
นี้ เพื่อให้เป็นรูปปิดที่มีพื้นที่เท่ากับฮิสโทแกรมเดิม)
เส้นโค้งของความถี่ (Frequency Curve) คือรูปที่เกิดจากการปรับเส้นตรงในรูปหลาย
เหลี่ยมของความถี่ ให้เป็นเส้นโค้งเรียบ และพยายามให้พื้นที่ใต้เส้นโค้งมีขนาดใกล้เคียงพื้นที่รูปเดิม
ที่สุด
ถ้าเราสร้างฮิสโทแกรมโดยใช้ความถี่สะสม และปรับให้เป็น เส้นโค้งของความถี่สะสม
(Ogive) จะได้เส้นโค้งที่เริ่มจาก 0 ขึ้นไปถึง N เสมอ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 362 สถิติ

น้ําหนัก (กก.) ความถี่ ความถี่สะสม f (ความถี่)


40 – 44 5 5
45 – 49 7 12 8
50 – 54 9 21
6
55 – 59 8 29
60 – 64 7 36 4
65 – 69 4 40 2
รวม 40 x
O 39.5 44.5 49.5 54.5 59.5 64.5 69.5
(กก.)
ฮิสโทแกรม (1) แสดงน้ําหนักนักเรียน 40 คน
f (ความถี่) f (ความถี่)
8 8
6 6
4 4
2 2
O x O x
42 47 52 57 62 67 (กก.) 37 42 47 52 57 62 67 72 (กก.)
ฮิสโทแกรม (2) แสดงน้ําหนักนักเรียน 40 คน รูปหลายเหลี่ยมของความถี่
แสดงน้ําหนักนักเรียน 40 คน
f (ความถี่) cf (ความถี่สะสม)
40
8
6 30
4
20
2
x 10
O 37 42 47 52 57 62 67 72 (กก.) x
O 37 42 47 52 57 62 67 72 (กก.)
เส้นโค้งของความถี่ แสดงน้ําหนักนักเรียน 40 คน
เส้นโค้งของความถี่สะสม (Ogive)
แสดงน้ําหนักนักเรียน 40 คน

3.3 แผนภาพลําต้น-ใบ (Stem-and-Leaf Diagram)


ใช้จัดข้อมูลให้เป็นกลุ่มเพื่อเห็นลักษณะคร่าวๆ และมีข้อดีคือข้อมูลดิบแต่ละค่าไม่สูญหายไป (การ
สร้างตารางแจกแจงความถี่ หรือสร้างฮิสโทแกรม จะทําให้รายละเอียดของข้อมูลสูญหายไป)
การเขียนแผนภาพลําต้น-ใบ จะตัดเลขในหลักขวาออกก่อน (กี่หลักแล้วแต่ความเหมาะสม)
แล้วนําหลักที่เหลือมาเรียงไว้เป็นลําต้นในแนวตั้ง จากนั้นจึงนําเลขที่ตัดออกมาเขียนต่อท้ายในบรรทัด
เดียวกัน เรียกว่าใบ (ควรเรียงลําดับจากน้อยไปมากด้วย เพื่อให้เป็นระเบียบและวิเคราะห์ข้อมูลได้
สะดวก)
ในตัวอย่างข้างต้น จะเขียนแผนภาพลําต้น-ใบ ได้ดังนี้

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 363 สถิติ

ต้น ใบ
4 0 0 1 2 3 5 6 6 8 8 8 9
5 0 0 0 1 1 2 3 3 4 5 5 6 8 8 8 9 9
6 1 1 2 3 4 4 4 5 6 7 8
จากแผนภาพต้น-ใบ อาจวิเคราะห์ข้อมูลคร่าวๆ ได้ว่า
(1) มองเป็นแผนภูมิแท่งแนวนอน จะได้ว่า ช่วงข้อมูล 50 – 59 มีความถี่มากที่สุด
(2) ข้อมูลที่ต่ําที่สุดคือ 40 และสูงที่สุดคือ 68 ... มีค่าต่างกันอยู่ 28
(3) ข้อมูลตรงกลางมีค่าประมาณ 53 หรือ 54

• ตัวอย่าง ข้อมูลคะแนนสอบของนักเรียน 20 คนในห้อง ก และ ข ได้แก่


ก 158 162 164 161 150 148 180 156 145 158
ข 180 163 160 158 162 167 181 175 175 172
เราสามารถเขียนแผนภาพของข้อมูลสองชุดนี้ด้วยกัน ดังนี้
ใบ (ห้อง ก)
ต้น ใบ (ห้อง ข)
5 8
14
0 6 8 8
15 8
1 2 4
16 0 2 3 7
17 2 5 5
0 18 0 1
จากแผนภาพต้น-ใบ อาจวิเคราะห์ข้อมูลคร่าวๆ ว่า
(1) นักเรียนห้อง ก ส่วนมากได้คะแนน 150 – 159 และห้อง ข ส่วนมากได้คะแนน 160 – 169
(2) คะแนนต่ําสุดของแต่ละห้อง คือ 145 และ 158, คะแนนสูงสุดคือ 180 และ 181
(3) ห้อง ก มี ข้อมูลที่ผิดปกติ (Outlier) คือ 180
(4) คะแนนเฉลี่ยของนักเรียนห้อง ข น่าจะสูงกว่าห้อง ก

17.2 ค่ากลางของข้อมูล
ค่ากลางของข้อมูล (Central Value) เป็นตัวเลขที่ใช้แทนข้อมูลทั้งหมด จะช่วยให้วิเคราะห์ข้อมูลได้
อย่างกว้างๆ ซึ่งค่ากลางที่นิยมใช้ มี 3 ชนิด ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน และฐานนิยม

1. ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (Arithmetic Mean)


ค่าเฉลี่ยเลขคณิตของข้อมูล x1, x2 , x3 , ..., xN ใช้สัญลักษณ์ว่า X (อ่านว่า x-bar)
เป็นค่ากลางที่ให้ความสําคัญกับ ค่าของข้อมูล โดยตรง จึงเหมาะกับชุดข้อมูลที่มีค่าใกล้เคียงกันทุกค่า
ไม่มีค่าใดสูงหรือต่ําผิดปกติไปจากค่าอื่นๆ (มิฉะนั้นค่าที่ได้จะไม่มีคุณภาพ)
ข้อมูลที่ยังไม่ได้แจกแจงความถี่ (Ungrouped Data)
N

x1 + x2 + x3 + ... + xN
∑ xi
X = = i=1
N N
xi คือข้อมูลตัวที่ i, และมีจาํ นวนข้อมูล (Units) ทัง้ หมดเท่ากับ N ตัว

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 364 สถิติ

ข้อมูลที่ยังไม่ได้แจกแจงความถี่ คิดแบบถ่วงน้ําหนัก (Weighted)


N

w1x1 + w2x2 + w3x3 + ... + wNxN


∑ w i xi
X = = i=1
N
w1 + w2 + w3 + ... + wN
∑ wi
i=1

xi คือข้อมูลตัวที่ i, wi คือน้าํ หนักของข้อมูลตัวที่ i, และมีข้อมูลทั้งหมด N ตัว


ข้อมูลที่แจกแจงความถี่แล้ว (Grouped Data)
k k

f x + f2x2 + f3x3 + ... + fk xk


∑ fx
i i ∑ fx
i i
X = 1 1 = i=1
k
= i=1
f1 + f2 + f3 + ... + fk N
∑ fi
i=1

xi กึ่งกลางชั้นที่ i, fi คือความถี่ชั้นที่ i, มีทั้งหมด k ชั้น, และมีข้อมูลทั้งหมด N ตัว


ข้อมูลที่แจกแจงความถี่แล้ว (สูตรลดทอน)
k
∑ fd
i i
X = a + ID เมื่อ D = i=1
N
a คือกึ่งกลางของชั้นใดชัน้ หนึ่งที่เลือก (ชั้นใดก็ได้), I คือความกว้างชั้น (เท่ากันทุกชั้น)
di เป็นจํานวนเต็ม โดยให้ชน ั้ ที่มคี ่า a นัน้ เป็น d = 0
และชั้นที่มีขอ้ มูลน้อยลง d = −1, −2, ... ไปเรือ่ ยๆ ส่วนชัน้ ทีข่ ้อมูลสูงขึ้น d = 1, 2, ... ไปเรื่อยๆ

หมายเหตุ สัญลักษณ์ ∑ (Capital Sigma) อ่านว่า Summation


ใช้แทนผลรวมของพจน์ต่างๆ โดยมีตัวแปร i กํากับไว้ว่าในแต่ละพจน์จะแปรค่าจากเท่าใดจนถึงเท่าใด
(เช่น i = 1 ถึง N)
สมบัติของ ∑ ที่ควรทราบมีดังนี้
N N N N
• ∑c = N⋅c • ∑ (xi ± yi) = ∑ xi ± ∑ yi
i=1 i=1 i=1 i=1
N N
• ∑ c xi = c⋅ ∑ xi c เป็นค่าคงที่
i=1 i=1

ค่าเฉลี่ยเลขคณิตรวม (Combined Arithmetic Mean) ของข้อมูลหลายๆ ชุด


k

(∑ x)c N x + N2x2 + N3x3 + ... + Nk xk


∑ Nixi
Xc = = 1 1 = i=1
k
Nc N1 + N2 + N3 + ... + Nk
∑ Ni
i=1

xi คือค่าเฉลี่ยเลขคณิตของข้อมูลชุดที่ i, Ni คือจํานวนข้อมูลชุดที่ i จากทัง้ หมด k ชุด


หมายเหตุ อาจมองในแง่ว่า เป็นการนําค่าเฉลี่ยแต่ละชุด มาถ่วงน้าํ หนักด้วยจํานวนข้อมูลก็ได้

ในตําราสถิติ นิยมใช้สัญลักษณ์แทนค่าเฉลี่ยเลขคณิตเป็น μ (Mu) และ X


โดยให้นิยามว่า μ คือค่าเฉลี่ยเลขคณิตของข้อมูลทั้งหมด (Population Mean) เป็นค่าแท้จริง
และ X คือค่าเฉลี่ยเลขคณิตของกลุ่มตัวอย่าง (Sample Mean) เป็นค่าประมาณ
นั่นคือ ถ้า N คือจํานวนข้อมูลทั้งหมด และถูกสุ่มมาเป็นตัวอย่างจํานวน n ข้อมูล จะได้
N n
∑ xi ∑ xi
μ = i=1
และ X = i=1
N n
แต่ในหนังสือเล่มนี้จะใช้สัญลักษณ์ X กล่าวรวมถึงค่าเฉลี่ยเลขคณิตทั้งสองแบบ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 365 สถิติ

2. มัธยฐาน (Median; Med)


มัธยฐาน คือค่าที่มีตําแหน่งอยู่กึ่งกลางของข้อมูลทั้งหมด (เมื่อเรียงลําดับข้อมูลจากน้อยไป
มาก หรือมากไปน้อย) เป็นค่ากลางที่ให้ความสําคัญกับ ลําดับของข้อมูล (บอกให้ทราบว่ามีข้อมูลที่มี
ค่ามากกว่าค่านี้ กับน้อยกว่าค่านี้ อยู่ปริมาณเท่าๆ กัน) จึงยังคงใช้ได้ดีกับข้อมูลชุดที่มีบางค่าสูงหรือ
ต่ํากว่าค่าอื่นอย่างผิดปกติ
ข้อมูลที่ยังไม่ได้แจกแจงความถี่
N + 1
Med คือข้อมูล ในตําแหน่งที่ (ตําแหน่งกึ่งกลาง)
2
เมื่อมีข้อมูลทัง้ หมด N ตัว และเรียงลําดับแล้ว
ข้อมูลที่แจกแจงความถี่แล้ว
⎛N ⎞
− ∑ fL ⎟
Med = L + I ⎜ 2 ข้อสังเกต ใช้ N/2 โดยไม่ต้องบวกหนึ่ง
⎜ ⎟
⎝ fMed ⎠
L คือขอบล่างชั้นที่มีมัธยฐานอยู่ (ตัวที่ N/2) ซึ่งชัน้ นัน้ มีความกว้าง I และมีความถี่เป็น fMed
∑ fL คือความถีส่ ะสมจนถึงขอบล่าง
หมายเหตุ บางตําราใช้สัญลักษณ์ Med = X
i

3. ฐานนิยม (Mode; Mo)


ฐานนิยม คือค่าข้อมูลตัวที่ปรากฏบ่อยครั้งที่สดุ (มีความถี่สูงที่สุด) เป็นค่ากลางที่ให้ความ-
สําคัญกับ ความถี่ของข้อมูล จะเหมาะสมที่สุดกับข้อมูลเชิงคุณภาพ เช่น การลงคะแนนเลือกตั้ง
ข้อมูลที่ยังไม่ได้แจกแจงความถี่
Mo คือข้อมูลตัวที่มีความถี่มากที่สุด
หมายเหตุ โดยทัว่ ไปจะเป็นฐานนิยมร่วมกันได้ไม่เกิน 2 ค่า
ข้อมูลที่แจกแจงความถี่แล้ว
⎛ dL ⎞
Mo = L + I ⎜ ⎟
⎝ dL + dU ⎠
L คือขอบล่างชั้นที่มีฐานนิยมอยู่ (ชั้นที่ความถี่สงู สุด) ซึ่งทุกๆ ชั้นมีความกว้าง I
dL คือผลต่างความถี่ ชั้นนัน้ กับชั้นทีค่ ่าข้อมูลน้อยลง (ขอบล่าง)
dU คือผลต่างความถี่ ชั้นนัน ้ กับชั้นทีค่ ่าข้อมูลมากขึน้ (ขอบบน)
หมายเหตุ บางตําราใช้สัญลักษณ์ Mo = X
l

• ตัวอยาง ขอมูลน้ําหนัก (กก.) ของนักเรียน 9 คนเปนดังนี้


40 45 46 46 50 51 49 52 42 ใหหาคาเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน และฐานนิยม ของขอมูลชุดนี้
ตอบ ก. คาเฉลีย่ เลขคณิต X = 40 + 45 + 46 + 46 + 50 9
+ 51 + 49 + 52 + 42
= 46.78 กก.

ข. มัธยฐาน (ตองเรียงลําดับขอมูลกอน กลายเปน 40 42 45 46 46 49 50 51 52)


อยูตําแหนงกึ่งกลาง คือตําแหนงที่ 9 2+ 1 = 5 S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S
มีคาเปน Med = 46 กก. ¤‹ Ò (N+1)/2 e»š¹µíÒæ˹‹§¢o§Áa¸Â°Ò¹ äÁ‹ãª‹¤‹Ò
ค. ฐานนิยม (ดูจากขอมูลที่ปรากฏบอยครั้งที่สุด) ¢o§Áa¸Â°Ò¹o´ÂµÃ§ ´a§¹aé¹ ËŒÒÁe¢ÕÂ¹Ç‹Ò Med =
(9+1)/2 = 5 ¹a¤Ãaº e¾ÃÒa·Õè¨Ãi§ Med = 46
มีคาเปน Mo = 46 กก.

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 366 สถิติ

• ตัวอยาง ขอมูลน้ําหนัก (กก.) ของนักเรียน 10 คนเปนดังนี้


40 45 46 46 50 51 49 52 42 50
ใหหาคาเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน และฐานนิยม ของขอมูลชุดดังกลาว
ตอบ ก. คาเฉลีย่ เลขคณิต X = 40 + 45 + 46 + 46 + 5010+ 51 + 49 + 52 + 42 + 50 = 47.1 กก.
ข. มัธยฐาน (เรียงลําดับขอมูลไดเปน 40 42 45 46 46 49 50 50 51 52)
อยูตําแหนงกึ่งกลาง คือตําแหนงที่ 102+ 1 = 5.5 ... แปลวากึ่งกลางระหวาง 46 และ 49
ดังนั้นมีคาเปน Med = 46 2+ 49 = 47.5 กก. (ใชวิธีเฉลี่ยแบงครึ่งเอา)
ค. ฐานนิยม ในตัวอยางนี้มีคาเปน Mo = 46 และ 50 กก.
หมายเหตุ มีขอมูลที่เปนฐานนิยมรวมกันได 2 คา (หากเกินจะถือวาขอมูลชุดนี้ไมมีฐานนิยม)

• ตัวอยาง ตารางแจกแจงความถี่ของคะแนนสอบของนักเรียนจํานวน 100 คน เปนดังนี้


คะแนน จํานวนนักเรียน คะแนน จํานวนนักเรียน
20 – 29 2 60 – 69 30
30 – 39 9 70 – 79 15
40 – 49 13 80 – 89 10
50 – 59 20 90 – 99 1
ก. ใหหาคาเฉลี่ยเลขคณิตของคะแนนสอบ
วิธีคิด การหาคาเฉลี่ยเลขคณิต จะใชวิธีถวงน้ําหนักโดยตรงก็ได แตคํานวณยากมาก
นั่นคือ X = 24.5(2) + 34.5(9) +100 44.5(13) + ... + 94.5(1)
= 60.2 คะแนน

(สังเกต : คาขอมูลทีใ่ ชเปนตัวแทนของแตละชั้น คือกึ่งกลางของชั้นนั้น)


เราสามารถใชวิธีลัดในการหาคาเฉลี่ยเลขคณิตไดเสมอ โดยตองเพิม่ ชอง d กอนดังนี้
x f d x f d
20 – 29 2 -4 60 – 69 30 0
30 – 39 9 -3 70 – 79 15 1
40 – 49 13 -2 80 – 89 10 2
50 – 59 20 -1 90 – 99 1 3
หลักในการกําหนดคา d คือ เลือกชั้นใดก็ได 1 ชั้น กําหนดคา d = 0
จากนั้นพิจารณาชั้นที่มีคาขอมูล (คา x ) สูงขึ้น ให d = 1, 2, 3, ... ตามลําดับ
สวนชั้นที่มีคาขอมูล (คา x ) ต่ําลง ก็ให d = − 1, −2, −3, ... ตามลําดับเชนกัน
วิธีคํานวณคาเฉลี่ยเลขคณิต คือ X = a + I D โดย a คือกึ่งกลางของชั้นที่ d = 0
ดังนั้นในตัวอยางนี้ a = 64.5 ... I = ความกวางชั้น = 10 ...
และ D = − 4(2) − 3(9) − 2(13) − 1(20)100 + 0(30) + 1(15) + 2(10) + 3(1)
= −0.43

จึงสรุปไดวา X = 64.5 + (10)(−0.43) = 60.2 คะแนน

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 367 สถิติ

จะเห็นวาวิธีคํานวณ X ดวย D นี้ ทําใหสะดวกมากขึน้ และผลลัพธที่ไดจะถูกตองเสมอ (ไมใชคําตอบจาก


การประมาณ) S ¢Œo¤ÇÃÃaÇa§ã¹¡ÒÃËÒ¤‹Òe©ÅÕèÂeÅ¢¤³iµ¨Ò¡µÒÃÒ§! S
1. ãˌÃaÇa§Ç‹ÒµÒÃÒ§¢ŒoÁÙÅeÃÕ§¡Åaº´ŒÒ¹ (Áҡ仹ŒoÂ) ËÃ×oäÁ‹
2. ¤‹Òe©ÅÕèÂeÅ¢¤³iµ·Õè¤Òí ¹Ç³ä´Œ äÁ‹¨Òí e»š¹µŒo§ÁÕ¤‹ÒoÂً㹪aé¹·ÕèeÅ×o¡ d = 0 eÊÁoä»
e¾ÃÒa·Õè¨Ãi§¨aeÅ×o¡ªaé¹ã´¡ç䴌 䴌¤íÒµoºe·‹Ò¡a¹ (·aèÇä»Áa¡eÅ×o¡ªaé¹·Õè¤ÇÒÁ¶ÕèÊÙ§Êu´ e¾×èoãˌ¤i´eÅ¢§‹ÒÂ)
3. Êٵà X = a + I D ¹Õé㪌䴌eÁ×èo¤ÇÒÁ¡ÇŒÒ§ (I) ·u¡æ ªaé¹e·‹Ò¡a¹e·‹Ò¹aé¹

ข. ใหหามัธยฐานของคะแนนสอบ
วิธีคิด มัธยฐาน อยูตําแหนงที่ 100
2
่ จกแจงความถี่แลว จะใช N2 )
= 50 (สําหรับขอมูลทีแ

การหาคามัธยฐาน ตองเพิ่มชองความถี่สะสมกอน ดังนี้


x f cf x f cf
20 – 29 2 2 60 – 69 30 74
30 – 39 9 11 70 – 79 15 89
40 – 49 13 24 80 – 89 10 99
50 – 59 20 44 90 – 99 1 100
จะพบวา มัธยฐาน (คือตัวที่ 50) นั้นอยูใ นชั้น “60 – 69” (เพราะเกินตัวที่ 44 แตยงั ไมถึง 74)
⎛N ⎞
− ∑ fL ⎟ 50 − 44
ดังนั้น มัธยฐาน Med = L + I ⎜ 2 = 59.5 + (10)( ) = 61.5 คะแนน

f
⎟ 30
⎝ Med ⎠
L คือขอบลางของชั้นที่มัธยฐานอยู คือ 59.5
ซึ่งชั้นนั้นมีความกวาง I คือ 10 และมีความถี่เปน fMed คือ 30
สวน ∑ f คือความถีส่ ะสมที่ขอบลาง คือ 44
L

S ¢Œo¤ÇÃÃaÇa§ã¹¡ÒÃËÒ¤‹ÒÁa¸Â°Ò¹¨Ò¡µÒÃÒ§! S
1. ãˌÃaÇa§Ç‹ÒµÒÃÒ§¢ŒoÁÙÅeÃÕ§¡Åaº´ŒÒ¹ (Áҡ仹ŒoÂ) ËÃ×oäÁ‹
2. ãˌʧa e¡µÇ‹Ò¤‹ÒÁa¸Â°Ò¹·Õè¤Òí ¹Ç³ä´Œ oÂً㹪aé¹ “60 – 69” ¨Ãi§ËÃ×oäÁ‹ ¶ŒÒäÁ‹ãª‹æÊ´§Ç‹Ò¤i´¼i´

ค. ใหหาฐานนิยมของคะแนนสอบ
วิธีคิด ฐานนิยมจะคํานวณงายทีส่ ุดในบรรดาคากลางทั้งสามอยาง เพราะไมตองเพิม่ ชองในตาราง ... ฐาน
นิยมจะอยูในชัน้ ที่มีความถี่สูงสุด ในตัวอยางนีก้ ็คือชั้น “60 – 69”
คะแนน จํานวนนักเรียน คะแนน จํานวนนักเรียน
20 – 29 2 60 – 69 30
30 – 39 9 70 – 79 15
40 – 49 13 80 – 89 10
50 – 59 20 90 – 99 1
⎛ dL ⎞ 10
คํานวณจาก Mo = L + I ⎜ ⎟ = 59.5 + (10)( ) = 63.5 คะแนน
⎝ dL + dU ⎠ 10 + 15
L คือขอบลางของชั้นที่ฐานนิยมอยู คือ 59.5 ... ซึ่งชั้นนั้นมีความกวาง I คือ 10
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 368 สถิติ

สวน d คือผลตางความถี่ ชั้นนัน้ กับชั้นที่คาขอมูลนอยลง (ขอบลาง) คือ 30-20 = 10


L

d คือผลตางความถี่ ชั้นนั้นกับชัน
U ้ ทีค่ าขอมูลมากขึ้น (ขอบบน) คือ 30-15 = 15
S ¢Œo¤ÇÃÃaÇa§ã¹¡ÒÃËÒ¤‹Ò°Ò¹¹iÂÁ¨Ò¡µÒÃÒ§! S
1. ãˌÃaÇa§Ç‹ÒµÒÃÒ§¢ŒoÁÙÅeÃÕ§¡Åaº´ŒÒ¹ (Áҡ仹ŒoÂ) ËÃ×oäÁ‹
2. ãˌʧa e¡µÇ‹Ò¤‹Ò°Ò¹¹iÂÁ·Õè¤Òí ¹Ç³ä´Œ oÂً㹪aé¹ “60 – 69” ¨Ãi§ËÃ×oäÁ‹ ¶ŒÒäÁ‹ãª‹æÊ´§Ç‹Ò¤i´¼i´

ง. เมื่อนําความถีใ่ นตารางไปสรางเสนโคงของความถี่ จะพบวามีการแจกแจงแบบใด


(ขอ ง. นี้ ใชความรูในบทเรียนสถิติ (2) ประกอบดวย)
ตอบ มีวิธีคิดสองแบบ คือดูแนวโนมจากคาความถี่ในตาราง พบวาซีกขวาสูงกวาซีกซาย ก็ได หรือจะดู
จากคาที่คํานวณไวในขอ ก. ถึง ค. ก็ได ... X < Med < Mo แสดงวาเปนโคงเบซาย

จ. หากตัดอันตรภาคชั้น 20 – 29 และ 30 – 39 ทิ้งไป ใหเหลือขอมูลเพียง 89 จํานวน แลว


คาเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน และฐานนิยม จะเปลีย่ นแปลงอยางไร
ตอบ คาเฉลี่ยเลขคณิต และมัธยฐาน จะเพิ่มขึน้
(คิดงายๆ วาถาเพิ่มขอมูลในชั้นลางสุดมากๆ คาเฉลี่ยเลขคณิตและมัธยฐาน ยอมถูกดึงใหลดลง
ดังนั้น ในทางกลับกัน ถาตัดชั้นลางสุดทิ้งไป คาเฉลี่ยเลขคณิตและมัธยฐาน ก็ยอ มเพิ่มขึ้น)
สวนฐานนิยมนัน้ เทาเดิม สังเกตไดจากสองชั้นลางสุดไมไดมีผลในการคํานวณฐานนิยมเลย

นอกจากการคํานวณจากข้อมูลโดยตรงแล้ว เรายังสามารถหาค่ามัธยฐานได้จากเส้นโค้งของ
ความถี่สะสม และหาฐานนิยมได้จากฮิสโทแกรม ดังภาพ
cf (ความถีส่ ะสม) การหาค่ามัธยฐานจาก f (ความถี)่
การหาค่าฐานนิยมจากฮิสโทแกรม
เส้นโค้งของความถี่สะสม
N

N/2

x O x
O Med Mo
ในการคํานวณค่ากลาง จะพบว่าข้อมูลบางลักษณะไม่เหมาะสมกับค่ากลางบางชนิด ซึ่งมี
ผลสรุปไว้คร่าวๆ ดังตารางนี้

ลักษณะข้อมูล ค่าเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน ฐานนิยม


- ข้อมูลเชิงคุณภาพ ไม่เหมาะสม ไม่เหมาะสม ใช้ได้
แจกแจง
ยังไม่

- เกาะกลุ่มกันปกติ ใช้ได้ ใช้ได้ ใช้ได้


- บางค่าต่างไปจนผิดปกติ ไม่เหมาะสม ใช้ได้ ใช้ได้
- ทุกชัน้ กว้างเท่ากัน ใช้ได้ ใช้ได้ ใช้ได้
แจกแจง
แล้ว

- มีอันตรภาคชั้นเปิด ไม่เหมาะสม ใช้ได้ ใช้ได้


- บางชั้นกว้างไม่เท่ากัน ไม่เหมาะสม ใช้ได้ ไม่เหมาะสม

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 369 สถิติ

สมบัติของค่าเฉลี่ยเลขคณิต
N
(1) N X = ∑ xi ค่าเฉลี่ยเลขคณิต คูณกับจํานวนข้อมูล จะได้เป็นผลรวมข้อมูลทั้งหมด
i=1
N
(2) ∑ (xi − X) = 0 ผลรวมของค่าเบี่ยงเบนทั้งหมดเป็นศูนย์
i=1
N
(3) ∑ (xi − K)2 จะน้อยทีส่ ุด ก็เมื่อ K = X
i=1

สมบัติของมัธยฐาน
N
∑ xi − K จะน้อยที่สุด ก็เมื่อ K = Med (คล้ายข้อ 3 ของ X)
i=1

สมบัติของค่ากลางทั้ง 3 ชนิด
(1) ค่ากลางที่ได้ จะมีค่าอยู่ระหว่างข้อมูลที่น้อยที่สุดกับมากที่สุด เสมอ
(2) ถ้าข้อมูลชุด Y ทุกๆ ตัว สัมพันธ์กับข้อมูลชุด X แต่ละตัว ตามสมการ yi = m xi + c
จะได้ว่า (ค่ากลางของY) = m ⋅ (ค่ากลางของX) + c ด้วย เช่น Y = m X + c
5
2
• ตัวอยาง ใหหาคา a ที่ทําให ∑ (a − xi) มีคา นอยทีส่ ุด สําหรับขอมูล x : 2, 3, 6, 12, 20
i=1
8
และหาคา b ที่ทําให ∑ b − yi มีคานอยที่สดุ สําหรับขอมูล y : 3, 5, 6, 7, 8, 10, 15, 16
i=1
5 5
2 2
ตอบ คา a ก็คือ X นั่นเอง เพราะ ∑ (a − xi) ก็เหมือนกับ ∑ (xi − a) ดังนั้น a = 8.6
i=1 i=1
8 8
สวนคา b ก็คือ Medy เพราะ ∑ b − yi เหมือนกับ ∑ yi − b ดังนั้น b = 7.5
i=1 i=1

• ตัวอยาง ในการวัดความสูงของนักเรียนกลุมหนึง่ ไดคาเฉลี่ยเลขคณิตเปน 155 ซม. แตพบวาไมเมตรที่


ใชในการวัดมีขอผิดพลาด สวนสูงจริงของแตละคนตองเพิม่ ขึ้น 3 ซม. แสดงวาคาเฉลี่ยเลขคณิตที่แทจริง
เปนเทาใด
ตอบ ขอมูลทุกตัวถูกบวก 3 ดังนั้น คาเฉลี่ยเลขคณิตก็บวก 3 เปน 158 ซม.
• ตัวอยาง ในการวัดความสูงของนักเรียนกลุมหนึง่ ไดคาเฉลี่ยเลขคณิตเปน 155 ซม. แตพบวาไมเมตรที่
ใชในการวัดมีขอผิดพลาด สวนสูงจริงของแตละคนตองเพิม่ ขึ้นเปน 1.02 เทา แสดงวาคาเฉลี่ยเลขคณิตที่
แทจริงเปนเทาใด
ตอบ ขอมูลทุกตัวถูกคูณ 1.02 ดังนั้น คาเฉลี่ยเลขคณิตก็คูณ 1.02 เปน 158.1 ซม.
• ตัวอยาง สมการแทนความสัมพันธระหวางน้ําหนัก ( W : กก.) กับสวนสูง ( H : ซม.) ของนักเรียน
กลุมหนึ่ง เปน W = H3 − 2 ถาทราบวาสวนสูงเฉลี่ย เทากับ 162 ซม. แลวน้ําหนักเฉลี่ยจะเปนเทาใด
H
ตอบ เนื่องจาก W = −2 เสมอ ทุกๆ คา H
3
H 162
ดังนั้น W = −2 ดวย ... สรุปวา W = − 2 = 52 กก.
3 3

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 370 สถิติ

4. ค่ากลางอื่นๆ (ไม่นิยมใช้)
ค่าเฉลี่ยเรขาคณิต (Geometric Mean; GM)
ใช้แทนค่าเฉลี่ยเลขคณิต ในกรณีที่มีข้อมูลบางตัวค่าสูงหรือต่ําผิดปกติ เพราะค่าเหล่านี้มีผล
เปลี่ยนแปลงค่าเฉลี่ยเรขาคณิตไม่มากนัก
N
N
ข้อมูลที่ยังไม่ได้แจกแจงความถี่ GM = x1x2x3...xN = N
∏ xi
i=1

xi คือข้อมูลตัวที่ i, และมีขอ้ มูลทั้งหมด N ตัว โดยทุกข้อมูลเป็นจํานวนจริงบวก


k
∑ fi k
ข้อมูลที่แจกแจงความถี่แล้ว GM = i=1
x1f1 x2f2 x3f3 ...xkfk = N
∏ xif i

i=1

xiกึ่งกลางชั้นที่ i, fi คือความถี่ชั้นที่ i, มีทั้งหมด k ชั้น,


และมีข้อมูลทัง้ หมด N ตัว โดยทุกข้อมูลเป็นจํานวนจริงบวก
หมายเหตุ 1. สัญลักษณ์ ∏ (Pi) ใช้แทนผลคูณ โดยมีตัวแปร i กํากับไว้ว่าในแต่ละตัวคูณจะแปรค่า
จากเท่าใดจนถึงเท่าใด (เช่น i = 1 ถึง N) คล้ายสัญลักษณ์ ∑ (Sigma)
2. นิยมใช้สมบัติของ log ช่วยในการคํานวณรากที่ N ดังนี้ ...
1 N 1 N
log GM = ∑ log xi และ log GM = ∑ fi log xi
n i=1 n i=1

ค่าเฉลี่ยฮาร์โมนิก (Harmonic Mean; HM)


ใช้หาค่าเฉลี่ยของข้อมูลที่เป็นอัตราส่วน เช่น กิโลเมตรต่อชั่วโมง, ราคาต่อชิ้น ฯลฯ
N N
ข้อมูลที่ยังไม่ได้แจกแจงความถี่ HM = =
1 1 1 1 N
⎛ 1⎞
+ + + ... + ∑⎜ ⎟
x1 x2 x3 xN i = 1 ⎝ xi ⎠

xi คือข้อมูลตัวที่ i, และมีขอ้ มูลทั้งหมด N ตัว


k

f1 + f2 + f3 + ... + fk
∑ fi N
ข้อมูลที่แจกแจงความถี่แล้ว HM = = i=1
=
f1 f f f k⎛f ⎞ k ⎛f ⎞
+ 2 + 3 + ... + k ∑ ⎜ xi ⎟ ∑ ⎜ xi ⎟
x1 x2 x3 xk i=1 ⎝ i ⎠ i=1 ⎝ i ⎠

xi กึ่งกลางชั้นที่ i, fi คือความถี่ชั้นที่ i, มีทั้งหมด k ชั้น, และมีข้อมูลทั้งหมด N ตัว

กึ่งกลางพิสัย (Midrange)
xmax + xmin
ข้อมูลที่ยังไม่ได้แจกแจงความถี่ Midrange =
2
xmax คือข้อมูลที่มคี ่าสูงทีส่ ุด, Xmin คือข้อมูลที่มีคา่ ต่าํ ที่สดุ
U + Lmin
ข้อมูลที่แจกแจงความถี่แล้ว Midrange = max
2
Umax คือขอบบนของชั้นที่คา่ ข้อมูลสูงทีส่ ุด, Lmin คือขอบล่างของชั้นที่คา่ ข้อมูลต่าํ ที่สดุ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 371 สถิติ

แบบฝึกหัด 17.2
(1) ส่วนสูงนักเรียน 8 คน วัดได้ดังนี้ 112, 120, 114, 122, 112, 110, 114, 112 ซม. จงหาค่าเฉลี่ย
เลขคณิต มัธยฐาน และฐานนิยม
(2) [Ent’38] จากข้อมูลที่กําหนดให้ ชุด A: 1, 3, 2, 2, 5, 3, 4, 4, 3 และชุด B: 1, 2, 4, 1, 2,
5, 2, 5, 1, 5, 5, 3 พิจารณาข้อความต่อไปนี้ ข้อใดถูกหรือผิดบ้าง
ก. ค่าเฉลี่ยเลขคณิตของข้อมูลสองชุดนี้ เท่ากัน
ข. มัธยฐานของข้อมูลสองชุดนี้ เท่ากัน
(3) [Ent’31] ข้อมูลชุดหนึ่งประกอบด้วย 5, 1, 3, 2, 5, 4, 2, 7, 8, 3, 2, 1, 9, 8, 3, 5, 6, 9,
4, 3 แล้วข้อมูลชุดนี้มีการแจกแจงแบบใด ค่าเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน และฐานนิยมเป็นเท่าใด
(4) จงหาข้อมูล 4 จํานวน ซึ่งมีฐานนิยมและมัธยฐานเป็น 70 เท่ากัน มีค่าเฉลี่ยเลขคณิตเป็น 75
และพิสัยเป็น 80
(5) ค่าเฉลี่ยเลขคณิตของคะแนนสอบของนักเรียน 10 คน เป็น 65 คะแนน ถ้านักเรียน 7 คนแรก
มีคะแนนสอบดังนี้ 55, 43, 67, 80, 85, 74, 38 คะแนน ส่วนอีก 3 คน มีคนได้คะแนนเท่ากัน 2
คน และมากกว่าอีกคนหนึ่งอยู่ 11 คะแนน จงหามัธยฐาน และฐานนิยมของคะแนนสอบของนักเรียน
10 คนนี้
(6) [Ent’ต.ค.41] ข้อมูลชุดหนึ่งเรียงลําดับจากน้อยไปมากได้ 10, 20, 30, 30, a, b, 60, 60, 90,
120 ถ้าฐานนิยมและมัธยฐานเป็น 30 และ 40 ตามลําดับแล้ว ข้อมูลชุดต่อไปนี้จะมีค่าเฉลี่ยเลข
คณิตเท่าใด 11, 22, 33, 34, a+5, b+6, 67, 68, 99, 130
(7) [Ent’40] คะแนนสอบของนักเรียนกลุ่มหนึ่งมีเส้นโค้งความถี่เป็นโค้งเบ้ซ้าย โดยที่ 80
เปอร์เซ็นต์ของนักเรียนทั้งหมดสอบได้คะแนนเท่ากันคือ 75 คะแนน สมชายสอบได้คะแนนเท่ากับ
ค่าเฉลี่ยเลขคณิตของคะแนนสอบ โดยที่คะแนนของสมชายต่างจากฐานนิยมอยู่ 6 คะแนน สมชาย
สอบได้คะแนนเท่าใด
(8) ครอบครัวหนึ่งมีบุตร 5 คน คนโตอายุ 15 ปี คนสุดท้องอายุ 4 ปี ค่าเฉลี่ยอายุบุตรทุกคนเป็น
11 ปี มัธยฐานเป็น 12 ปี หากบุตรคนที่ 4 อายุน้อยกว่าคนที่ 2 อยู่ 4 ปี จงหาค่าเฉลี่ยของอายุบุตร
ในอีก 3 ปีข้างหน้า
(9) [Ent’41] ความสัมพันธ์ระหว่างกําไร (y) และราคาทุน (x) ของสินค้าชนิดหนึ่งเป็น
y = 7 + 0.25 x ถ้าราคาทุนของสินค้า 5 ชิ้นเป็น 32, 48, 40, 56, 44 บาท แล้ว จงหา
ค่าเฉลี่ยเลขคณิตของกําไรของสินค้า 5 ชิ้นนี้
(10) [Ent’22] จากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างน้ําหนัก (กก.; W) กับส่วนสูง (ซม.; H) ของ
คน 15 คน พบว่าเป็นไปตามสมการ 3 W = H − 15 ถ้าค่าเฉลี่ยของส่วนสูง 6 คนแรกเป็น 159
ซม. และของอีก 9 คนที่เหลือเป็น 156 ซม. ให้หาค่าเฉลี่ยของน้ําหนักคน 15 คนนี้
(11) ข้อมูลชุดหนึ่งมี X เป็น 11 ถ้ามีข้อมูลค่า 29 เพิ่มอีกตัว จะทําให้ X กลายเป็น 13 ให้หาว่า
เดิมมีข้อมูลอยู่กี่ตัว
(12) ข้อมูล N จํานวน มีค่าเฉลี่ยเลขคณิตเป็น 15 ภายหลังพบว่าอ่านข้อมูลผิด คือจาก 21 อ่านผิด
เป็น 12 จึงทําการหาค่าเฉลี่ยเลขคณิตใหม่ได้เป็น 16 จงหาจํานวนข้อมูล

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 372 สถิติ

(13) จากการหาตัวกลางเลขคณิต หรือ X ของข้อมูล 10 ตัว ได้ค่าเป็น 12 แต่ปรากฏว่าอ่านข้อมูล


ผิดไป จากข้อมูลจริงคือ 3 แต่อ่านเป็น 8 ดังนั้นค่า X ที่แท้จริงคือเท่าใด
(14) น้ําหนักเฉลี่ยของนักเรียนชายเป็น 70 กก. นักเรียนหญิงเป็น 55 กก. และน้ําหนักเฉลี่ยของ
นักเรียนทั้งหมด 150 คน เป็น 60 กก. ให้หาจํานวนนักเรียนชาย และนักเรียนหญิง
(15) จากผลสอบของนักเรียน 30 คนในห้องหนึ่ง พบว่าค่าเฉลี่ยของคะแนนนักเรียนชายเท่ากับ
จํานวนนักเรียนชายพอดี และค่าเฉลี่ยของคะแนนนักเรียนหญิงก็เท่ากับจํานวนนักเรียนหญิงด้วย หาก
ค่าเฉลี่ยรวมทั้งห้องเป็น 50/3 คะแนน และจํานวนนักเรียนชายน้อยกว่านักเรียนหญิง จงหาจํานวน
นักเรียนชาย
(16) คนกลุ่มหนึ่งเป็นชาย 40 คน และหญิง 60 คน เงินรวมกัน 18,630 บาท ถ้าค่าเฉลีย่ ของเงินที่
ผู้หญิงมีน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของเงินที่ผู้ชายมี อยู่ 10 บาท จงหาผลรวมของค่าเฉลี่ยทั้งสองนี้
(17) [Ent’41] ตารางต่อไปนี้เป็นเกณฑ์การคิดคะแนนที่ผู้สอนกําหนดไว้ และผลการเรียนของ
นักเรียนคนหนึ่ง ถ้านักเรียนคนนี้ได้คะแนนเฉลี่ยตลอดภาคเป็น 79% แล้ว ให้หาคะแนนสอบปลาย
ภาคที่นักเรียนคนนี้ได้รับ
สอบย่อย
การบ้าน สอบปลายภาค
ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2
เกณฑ์ 20% 20% 30% 30%
คะแนนที่ได้ (100) 92 84 63
(18) [Ent’มี.ค.44] กําหนดให้ x1, x2 , ..., x10 มีค่าเป็น 5, 6, a , 7, 10, 15, 5, 10, 10, 9
ตามลําดับ โดยที่ a < 15 ถ้าพิสัยของข้อมูลชุดนี้คือ 12
10
b เป็นจํานวนจริงที่ทําให้ ∑ (xi − b)2 มีค่าน้อยที่สุด
i=1
10
และ c เป็นจํานวนจริงที่ทําให้ ∑ xi − c มีค่าน้อยที่สุด แล้ว a + b + c มีค่าเท่าใด
i=1

(19) [Ent’มี.ค.43] ข้อมูลชุดหนึ่งประกอบด้วย x1, x2 , ..., x20 โดยมีสมบัติดังนี้


20 20
∑ xi − a มีค่าน้อยที่สุดเมื่อ a = 5 และ ∑ (xi − b)2 มีค่าน้อยที่สุดเมื่อ b = 8
i=1 i=1

พิจารณาข้อความต่อไปนี้ ข้อใดถูกหรือผิดบ้าง
ก. ข้อมูลชุดนี้มีค่าเฉลี่ยเลขคณิตน้อยกว่ามัธยฐาน
ข. ผลรวมของข้อมูลชุดนี้ทั้งหมด เท่ากับ 100
3 3 3
(20) กําหนดให้ ∑ (xi + yi) = 9 และ ∑ (xi − yi) = 7 หากต้องการให้ ∑ (xi − a)2 มีค่าน้อยที่สุด
i=1 i=1 i=1

เท่าที่เป็นไปได้ a ต้องมีค่าเท่าใด
(21) กําหนดข้อมูลชุดหนึ่งเป็น x1, x2 , x3 , ..., xN และกําหนดเงื่อนไขต่อไปนี้ จงหาค่า X
20 20
(21.1) ∑ (xi + 1)2 = ∑ (xi − 3)2
i=1 i=1
8 8
2
(21.2) ∑ (xi + 1) = 1 และ ∑ (xi + 2)2 = 9
i=1 i=1
N N
(21.3) ∑ x2i = A และ ∑ (xi + 2)2 = B
i=1 i=1

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 373 สถิติ

(22) ให้หาค่าเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน และฐานนิยม ของข้อมูลตารางแจกแจงความถี่ต่อไปนี้


(22.1) ข้อมูล ความถี่ (22.2) คะแนน ความถี่
3–5 10 0 – 19 5
6–8 12 20 – 39 10
9 – 11 15 40 – 59 15
12 – 14 5 60 – 79 25
15 – 17 3 80 – 99 20
(22.4) อันตรภาคชั้น ความถี่
(22.3) อันตรภาคชั้น ความถี่ 30 – 39 1
10 – 14 10 40 – 49 2
15 – 19 12 50 – 59 6
20 – 24 15 60 – 69 20
25 – 29 9 70 – 79 21
30 – 34 4 80 – 89 8
90 – 99 2
(22.5) อันตรภาคชั้น ความถี่ รวม 60
0–9 5
10 – 19 8 (22.6) รายได้ (บาท) จํานวนคน
20 – 29 7 2,100 – 2,199 1
30 – 39 12 2,000 – 2,099 2
40 – 49 28 1,900 – 1,999 6
50 – 59 20 1,800 – 1,899 10
60 – 69 10 1,700 – 1,799 12
70 – 79 10 1,600 – 1,699 7
รวม 100 1,500 – 1,599 2
รวม 40
(22.7)
ราคา (บาท) 90 – 94 95 – 99 100 – 104 105 – 109 110 – 114
จํานวนร้านค้า 5 20 30 35 10
(22.8)
น้ําหนัก (กก.) 60 – 62 63 – 65 66 – 68 69 – 71 72 – 74
ความถี่สัมพัทธ์ 0.05 0.18 0.42 0.27 0.08
(23) [Ent’30] ความสัมพันธ์ระหว่างค่าที่สังเกตได้ กับร้อยละของความถี่สะสมสัมพัทธ์ของค่าเหล่านี้
เป็นไปตามตาราง ให้หาค่าเฉลี่ยเลขคณิตของข้อมูล
x -4 -3 1 2 3
y 30 50 60 80 100
(24) จงหาค่าเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน และฐานนิยมของคะแนนสอบ จากผลสอบดังต่อไปนี้
น้อยกว่า 10 คะแนน 5 คน น้อยกว่า 50 คะแนน 60 คน
น้อยกว่า 20 คะแนน 13 คน น้อยกว่า 60 คะแนน 80 คน
น้อยกว่า 30 คะแนน 20 คน น้อยกว่า 70 คะแนน 90 คน
น้อยกว่า 40 คะแนน 32 คน น้อยกว่า 80 คะแนน 100 คน
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 374 สถิติ

(25) [Ent’มี.ค.42] เมื่อสร้างตารางแจกแจงความถี่ของคะแนนของนักเรียน 36 คน โดยใช้ความ


กว้างแต่ละอันตรภาคชั้นเป็น 10 แล้ว ปรากฏว่ามัธยฐานของคะแนนทั้งหมดอยู่ในช่วง 50 – 59 ถ้า
มีนักเรียนที่สอบได้คะแนนต่ํากว่า 49.5 อยู่ 12 คน และต่ํากว่า 59.5 อยู่ 20 คน แล้ว มัธยฐาน
ของคะแนนสอบมีค่าเท่าใด
(26) [Ent’38] อายุของเด็กกลุ่มหนึ่งมีการแจกแจงดังนี้ ถ้ามัธยฐานเป็น 7 ปีแล้ว a มีค่าเท่าใด
อายุ (ปี) 1–3 4–6 7–9 10 – 12
จํานวนเด็ก 3 a 6 4
(27) ตารางต่อไปนี้แสดงรายจ่ายต่อเดือนของครอบครัวจํานวน 100 ครัวเรือน หากมัธยฐานเป็น
49.5 แล้วค่า f1 , f2 เป็นเท่าใด
รายจ่าย (ร้อยบาท) 0 – 19 20 – 39 40 – 59 60 – 79 80 – 99
จํานวนครัวเรือน 14 f1 28 f2 15
(28) [Ent’35] ในการสอบวิชาภาษาไทยของนักเรียน 25 คน สมัยเป็นนักเรียนคนหนึ่งที่เข้าสอบ
พบว่าได้ 62 คะแนน เป็นมัธยฐานพอดี และมี 8 คนที่ได้สูงกว่า 69 คะแนน ถ้ามีการจัดกลุ่ม
คะแนนสอบเป็นช่วงๆ กว้างเท่ากัน และคะแนนของสมัยตกอยู่ในอันตรภาคชั้น 60 – 69 แล้ว
จํานวนนักเรียนที่สอบได้ในช่วง 60 – 69 คะแนน เป็นเท่าใด

17.3 ตําแหน่งสัมพัทธ์ของข้อมูล
ในหัวข้อที่แล้วเราได้ศึกษาการหาค่ากลางของข้อมูล ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใช้แทนค่าข้อมูลทั้งหมด
ที่นิยมใช้มี 3 ชนิด ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน และฐานนิยม โดยที่ มัธยฐาน เป็นค่าข้อมูลใน
ตําแหน่งกึ่งกลางเมื่อถูกเรียงลําดับจากน้อยไปมากแล้ว ค่ามัธยฐานบอกให้ทราบว่า มีข้อมูลที่ค่าสูง
กว่าค่านี้ และค่าต่ํากว่าค่านี้ อยู่เป็นปริมาณเท่าๆ กัน

เมื่อเรียงลําดับข้อมูลจากน้อยไปมากแล้ว นอกเหนือจากการระบุตําแหน่งกึ่งกลางของข้อมูล
(คือแบ่งข้อมูลออกเป็นสองส่วนเท่าๆ กัน) เรายังสามารถระบุตําแหน่งใดๆ ของข้อมูลก็ได้ (คือแบ่ง
ข้อมูลออกเป็นกี่ส่วนก็ได้) ถ้าเราแบ่งข้อมูลออกเป็น 4 ส่วนเท่าๆ กัน จุดแบ่งทั้งสามจุดนั้นจะเรียกว่า
ควอร์ไทล์ (Quartile) ที่ 1 หรือ Q 1 , ควอร์ไทล์ที่ 2 ( Q 2 ), และควอร์ไทล์ที่ 3 ( Q 3 ) ตามลําดับ
ความหมายของควอร์ไทล์ที่ 1 คือมีข้อมูลที่ต่ํากว่าค่านี้อยู่เป็นปริมาณ 1/4 และมากกว่าค่านี้อยู่อีก
3/4 โดยประมาณ
Med
Q1 Q2 Q3
D1 D2 D3 D4 D5 D6 D7 D8 D9
น้อย x (ข้อมูล) มาก
การบอกตําแหน่งข้อมูลที่นิยมใช้กันมีอีก 2 ชื่อ นั่นคือ เดไซล์ (Decile; D) แทนการแบ่งข้อมูลเป็น
10 ส่วน และ เปอร์เซ็นไทล์ (Percentile; P) แทนการแบ่งข้อมูลเป็น 100 ส่วน

ทั้งมัธยฐาน ควอร์ไทล์ เดไซล์ และเปอร์เซ็นไทล์ เรียกว่า ตําแหน่งสัมพัทธ์ของข้อมูล


(Relative Standing) การคํานวณหาค่าควอร์ไทล์ เดไซล์ และเปอร์เซ็นไทล์ที่ต้องการ เป็นแบบ
เดียวกับการคํานวณหามัธยฐาน ดังสรุปได้ดังนี้
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 375 สถิติ

ข้อมูลที่ยังไม่ได้แจกแจงความถี่
r r
Qr คือข้อมูล ในตําแหน่งที่ (N + 1) Dr คือข้อมูล ในตําแหน่งที่ (N + 1)
4 10
r
Pr คือข้อมูล ในตําแหน่งที่ (N + 1)
100
เมื่อมีข้อมูลทัง้ หมด N ตัว และเรียงลําดับจากน้อยไปมากแล้ว
ข้อมูลที่แจกแจงความถี่แล้ว
⎛r N − ∑f ⎞ ⎛ r N − ∑f ⎞
Qr = L + I ⎜ 4 L ⎟
Dr = L + I ⎜ 10 L ⎟
⎜ ⎟ ⎜ ⎟
⎝ fQr ⎠ ⎝ fDr ⎠
⎛ r N − ∑f ⎞
r r r
Pr = L + I ⎜ 100 L ⎟
ข้อสังเกต ใช้ N, N, N โดยไม่ต้องบวกหนึง่

fPr
⎟ 4 10 100
⎝ ⎠
L คือขอบล่างชั้นที่มีควอร์ไทล์ (หรือเดไซล์หรือเปอร์เซ็นไทล์) ทีต่ อ้ งการอยู่
ซึ่งชั้นนั้นมีความกว้าง I และมีความถี่เป็น fQr (หรือ fDr หรือ fPr )
∑ fL คือความถีส ่ ะสมที่ขอบล่าง

และสามารถหาค่าได้จากเส้นโค้งของความถี่สะสม cf (ความถีส่ ะสม)


ด้วยเช่นกัน ภาพด้านขวาเป็นตัวอย่างการหาค่า N
ควอร์ไทล์ที่ 1, 2, และ 3 จากกราฟ 3N/4
2N/4
N/4
O x (ข้อมูล)
Q1 Q2 Q3
• ตัวอยาง ขอมูลน้ําหนัก (กก.) ของนักเรียน 9 คนเปนดังนี้
40 45 46 46 50 51 49 52 42
ใหหาคามัธยฐาน ควอรไทลที่ 3 และเปอรเซ็นไทลที่ 14 ของขอมูลชุดดังกลาว
ตอบ (ตองเรียงลําดับขอมูลกอน กลายเปน 40 42 45 46 46 49 50 51 52)
ก. มัธยฐาน อยูต ําแหนงกึ่งกลาง คือตําแหนงที่ 9 2+ 1 = 5 ... มีคาเปน Med = 46 กก.
3 50 + 51
ข. ควอรไทลที่ 3 อยูตําแหนงที่ (9 + 1) = 7.5 ... มีคาเปน Q3 = = 50.5 กก.
4 2
14
ค. เปอรเซ็นไทลที่ 14 อยูตําแหนงที่ (9 + 1) = 1.4 ... มีคาเปน
100
P14 = 40 + 0.4 (42 − 40) = 40.8 กก.
ขอสังเกต : เมื่อตําแหนงที่ตองการนั้นไมลงตัว (เปนทศนิยม) จะใชวิธีเทียบสัดสวนเอา
เชน ขอมูลตําแหนงที่ 1.4 หาโดย นําขอมูลตําแหนงที่ 1 มาบวกเพิ่มไป 0.4 ของระยะหาง

S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S
ÊÁÁµiNjÒÁÕ¤aæ¹¹¢o§¹a¡eÃÕ¹oÂً 200 ¤¹ e»oÏe«ç¹ä·Å·èÕ 75 ËÁÒ¶֧Êoºä´Œ·èÕ 150 㪋ÃÖe»Å‹Ò¤Ãaº ...
¶ŒÒ¿˜§e¼i¹æ ¡çeËÁ×o¹¨a㪋 测·è¨Õ Ãi§æŌÇäÁ‹ãª‹¹a¤Ãaº e¾ÃÒae»oÏe«ç¹ä·Å¹é¹a eÃÕ§¨Ò¡¤aæ¹¹¹ŒoÂä»ÁÒ¡
测Êoºä´Œ·èeÕ ·‹Òã´¹aé¹eÃÕ§¨Ò¡¤aæ¹¹Áҡ仹Œo ©a¹aé¹µŒo§µoºÇ‹ÒÊoºä´Œ·èÕ 50

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 376 สถิติ

• ตัวอยาง สวนสูงของนักเรียนกลุม หนึ่งเปนดังนี้ สวนสูง (ซม.) จํานวนคน ความถี่สะสม


(กอนศึกษาตัวอยางนี้ ใหทบทวนการหามัธยฐานของ 150 – 154 5 5
ขอมูลแบบตาราง ในตัวอยางหัวขอที่แลว) 155 – 159 10 15
160 – 164 12 27
ก. สมชายและสมหญิงเปนนักเรียนในกลุม 165 – 169 14 41
นี้ โดยสมชายมีสว นสูงอยูในตําแหนงควอรไทลที่ 3 170 – 174 8 49
และสมหญิงมีสวนสูงอยูในตําแหนงเปอรเซ็นไทลที่ 175 – 179 7 56
45 ดังนัน้ สมชายสูงกวาสมหญิงอยูเทาใด 180 – 184 4 60
วิธีคิด การวัดตําแหนงของขอมูล (มัธยฐาน ควอรไทล เดไซล และเปอรเซ็นไทล) จะตองเพิ่มชองความถี่
สะสม (ซึ่งในตารางนี้มีแลว) ... ควอรไทลที่ 3 อยูต ําแหนงที่ 43 × 60 = 45
จะพบวา ควอรไทลที่ 3 (คือตัวที่ 45) นัน้ อยูในชัน้ “170 – 174”
⎛3 ⎞
N − ∑ fL ⎟ 45 − 41
ดังนั้น Q3 = L + I ⎜ 4 = 169.5 + (5)( ) = 172 ซม.
⎜ ⎟ 8
⎝ fQ3 ⎠
* ขอสังเกต : ตําแหนงที่ตองการ (45) อยูกึ่งกลางระหวาง 41 กับ 49 พอดี
จึงทําใหขอมูลทีค่ ํานวณได เปนกึ่งกลางชั้น (ระหวาง 170 – 174) และจะเปนแบบนี้เสมอ
ดังนั้นถาพบวาตําแหนงที่ตองการอยูตรงกลางพอดี ก็ใหตอบกึ่งกลางชั้นไดเลย ... ไมตองใชสูตร
45
ตอมา หาเปอรเซ็นไทลที่ 45 พบวาอยูตําแหนงที่ 100 × 60 = 27

ซึ่งตําแหนงนี้อยูต ัวสุดทายของชัน้ “160 – 164” พอดี! จึงไดคาเปนขอบบนของชั้น


ดังนั้น P = 164.5 ซม. (ไมตองใชสูตรเชนกัน)
45

ถาลองคํานวณจากสูตรก็จะไดผลเทากัน P = 159.5 + (5)(27 12− 15) = 164.5 ซม.


45

สรุปวา สมชายสูงกวาสมหญิงอยู 172 − 164.5 = 7.5 ซม.

ข. สวนสูง 159.5 เซนติเมตร คิดเปนเดไซลที่เทาใด


วิธีคิด สวนสูง 159.5 ซม. อยูขอบบนของชั้น “155 – 159” พอดี
แปลวามีจํานวนคนทีส่ วนสูงนอยกวานี้ อยู 15 คน และมากกวานีอ้ ยู (ที่เหลือ) 45 คน
15
ดังนั้น สวนสูง 159.5 ซม. คิดเปนเดไซลที่ 60 × 10 = 2.5

(คือเทียบสัดสวน วาจํานวนคน 15 ใน 60 นั้น คิดเปนเทาใดใน 10 สวน)

แผนภาพชนิดหนึ่งช่วยให้มองการกระจายของข้อมูลในแต่ละส่วนย่อยๆ ได้ เรียกว่า


แผนภาพกล่อง (Box-and-Whisker Plot) ... เขียนได้โดยอาศัยข้อมูลต่ําสุด, ข้อมูลสูงสุด, และข้อมูล
ในตําแหน่งควอร์ไทล์ที่ 1, 2, 3
เช่น น้ําหนัก (กก.) ของนักเรียน 9 คนได้แก่ 40 45 46 46 50 51 49 52 42
พบว่า xmin = 40 , Q1 = 43.5 , Q2 = 46 , Q3 = 50.5 , และ xmax = 52
จะเขียนแผนภาพได้ดังนี้ (บริเวณ 40 – 43.5
และ 50.5 – 52 เรียกว่าหนวด หรือ Whisker,
บริเวณ 43.5 – 50.5 เรียกว่ากล่อง หรือ Box) 40 42 44 46 48 50 52
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 377 สถิติ

ทําให้เราทราบว่า (1) ข้อมูลในช่วง 40 – 43.5 และในช่วง 50.5 – 52 มีปริมาณเท่ากัน


(2) ข้อมูลในช่วง 43.5 – 50.5 มีปริมาณเป็นครึ่งหนึ่งของทั้งหมด คือ 40 – 52
(3) ข้อมูลในช่วง Q2 – Q3 มีการกระจายมากที่สุด และช่วง Q3 – Q4 มีการกระจายน้อยที่สุด

แบบฝึกหัด 17.3
(29) “สมพรสอบได้คะแนนคิดเป็นเปอร์เซ็นไทล์ที่ 80 จากจํานวนผู้สอบ 4,000 คน” ข้อใดถูกต้อง
ก. สมพรสอบได้ที่ 80
ข. สมพรสอบได้ 80% ของคะแนนเต็ม
ค. ผู้ที่ได้คะแนนน้อยกว่าสมพร มีประมาณ 80 คน
ง. ผู้ที่ได้คะแนนมากกว่าสมพร มีประมาณ 800 คน
(30) ผลคะแนนสอบของนักเรียน 15 คนเป็นดังนี้ 16, 19, 32, 30, 4, 9, 4, 12, 20, 26, 12, 31,
20, 17, 24 จงหาคะแนนที่ตรงกับควอร์ไทล์ที่ 3, เดไซล์ที่ 6, และเปอร์เซ็นไทล์ที่ 80
(31) จากข้อมูลชุดหนึ่งได้แก่ 4, 5, 8, 9, 12, 15, 17, 19, 23 จงหาค่าเฉลี่ยเลขคณิตของ P 10 ,
D 2 , P 60 และ Q 3

(32) ข้อมูลที่เรียงลําดับแล้วเป็นดังนี้ 5, 7, 8, 10, 12, 14, 15, x, 23, 24, 27, 28, 30
ถ้าทราบว่า D6 = 20 แล้วจงหาค่า x
(33) กําหนดข้อมูลชุดหนึ่งเป็น 28, 15, 19, 11, 29, 12, 27, 24, 30 จงหาว่า
(33.1) 28 คิดเป็นเปอร์เซ็นไทล์ที่เท่าใด
(33.2) 15 คิดเป็นควอร์ไทล์ที่เท่าใด Y (ความถี่สะสม)
(34) ผลสอบของนักเรียน 32 คน เขียนเป็น 32
กราฟของความถี่สะสมได้ดังภาพ โดย
เส้นโค้งนี้ตรงกับสมการ Y = 4 log2 X
จงหาว่าควอร์ไทล์ที่ 3 กับเปอร์เซ็นไทล์ที่ 50
มีค่าต่างกันอยู่เท่าใด O X (คะแนน)
1 256

น้ําหนัก (กก.) จํานวน (คน)


(35) จากการสํารวจน้ําหนักของนักเรียนได้ผลดังตาราง
31 – 40 3
41 – 50 7 จงหาเดไซล์ที่ 6 และเปอร์เซ็นไทล์ที่ 92
51 – 60 24
61 – 70 10
71 – 80 5
81 – 90 1 คะแนน จํานวนคน
30 – 39 2
(36) ผลการสอบของนักเรียน 40 คนเป็นดังตาราง หาก 40 – 49 5
อาจารย์ต้องการตัดเกรดเพียง 3 เกรดคือ A, B, F โดย 50 – 59 6
ต้องการให้เกรด A มีจํานวนนักเรียน 20% เกรด B มีจํานวน 60 – 69 11
40% และที่เหลือได้เกรด F ถามว่าจะต้องตัดเกรดที่คะแนน 70 – 79 11
เท่าใด และหากได้ 71 คะแนนจะได้เกรดใด 80 – 89 4
90 – 99 1

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 378 สถิติ

ค่าจ้าง (บาท) จํานวนคน (37) [Ent’37] กําหนดค่าจ้างรายวันของคนงานกลุ่มหนึ่งมีการ


81 – 85 1 แจกแจงดังตาราง ถ้าข้อมูลชุดนี้มีค่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 25 เป็น
86 – 90 3 100.5 บาท และควอร์ไทล์ที่ 3 เป็น 110.5 บาทแล้ว จํานวน
91 – 95 x คนงานที่ได้ค่าจ้างรายวันต่ํากว่า 105.5 บาท เท่ากับเท่าใด
96 – 100 5
101 – 105 8
106 – 110 y
111 – 115 10
116 – 120 4

17.4 ค่าการกระจายของข้อมูล
พิจารณาข้อมูลสองชุดได้แก่ ชุดที่ 1; 8, 10, 12, 20, 5, 1, 7, 7 มีค่าเฉลี่ยเลขคณิต 7.5
และชุดที่ 2; 8, 7, 7, 8, 7, 8, 8, 7 มีค่าเฉลี่ยเลขคณิต 7.5 เท่ากัน จะเห็นว่าค่ากลางของข้อมูล
นั้นไม่สามารถบอกลักษณะข้อมูลชุดต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์ ควรใช้อีกค่าหนึ่งร่วมกันด้วย นั่นคือค่า
การกระจาย (Dispersion) ค่าการกระจายยิ่งมาก แสดงว่าข้อมูลยิ่งแตกต่างกัน ไม่เกาะกลุ่มกัน เช่น
ในตัวอย่างข้างต้น ข้อมูลชุดที่ 1 จะมีค่าการกระจายมากกว่าชุดที่ 2

การวัดการกระจายแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ การกระจายสัมบูรณ์ (Absolute Variation)


ซึ่งใช้สําหรับข้อมูลชุดนั้นเพียงชุดเดียว และการกระจายสัมพัทธ์ (Relative Variation) ซึ่งใช้
เปรียบเทียบการกระจายระหว่างข้อมูลสองชุดได้
การกระจายสัมบูรณ์ที่นิยมใช้ มี 4 แบบ ดังนี้

1. พิสัย (Range)
เป็นค่าที่วัดได้รวดเร็ว แต่จะมีข้อผิดพลาดมากหากข้อมูลบางจํานวนมีค่าสูงเกินไป หรือต่ําเกินไปแบบ
ผิดปกติ จึงเหมาะกับการวัดโดยคร่าวๆ ที่ไม่ต้องการความแม่นยํามากนัก
ข้อมูลที่ยังไม่ได้แจกแจงความถี่
Range = xmax − xmin
xmax คือข้อมูลที่มคี ่าสูงทีส่ ุด, xmin คือข้อมูลที่มีคา่ ต่าํ ที่สดุ
ข้อมูลที่แจกแจงความถี่แล้ว
Range = Umax − Lmin
Umax คือขอบบนของชั้นที่คา่ ข้อมูลสูงที่สดุ , Lmin คือขอบล่างของชัน้ ทีค่ ่าข้อมูลต่าํ ทีส่ ุด

2. ส่วนเบี่ยงเบนควอร์ไทล์ (Quartile Deviation; QD)


บางครั้งเรียกว่า กึ่งพิสัยควอร์ไทล์ (Semi-interquartile Range)
ถึงแม้ว่าการวัดที่ได้จะไม่ละเอียดนัก เพราะใช้เพียงข้อมูลที่ใกล้เคียงกับควอร์ไทล์ที่ 1 และ 3 เท่านั้น
แต่ก็มีส่วนดีเนื่องจากใช้ได้กับการแจกแจงความถี่ที่มีอันตรภาคชั้นเปิด และใช้ได้กับข้อมูลชุดที่มีบาง
จํานวนค่าสูงหรือต่ําเกินไปแบบผิดปกติ
ข้อมูลที่ยังไม่ได้แจกแจงความถี่ หรือข้อมูลที่แจกแจงความถี่แล้ว
Q3 − Q 1
QD =
2
Q3 คือข้อมูลในตําแหน่งควอร์ไทล์ที่ 3, Q1 คือข้อมูลในตําแหน่งควอร์ไทล์ที่ 1

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 379 สถิติ

3. ส่วนเบี่ยงเบนเฉลี่ย (Mean Deviation; MD หรือ Average Deviation)


เป็นค่าที่วัดได้ละเอียดกว่าสองแบบแรกเพราะคํานวณจากข้อมูลทุกตัว แต่มีข้อเสียที่การคํานวณ
ยุ่งยากกว่า
ข้อมูลที่ยังไม่ได้แจกแจงความถี่
N

x1 − X + x2 − X + ... + xN − X ∑ xi − X
MD = = i=1
N N
xi คือข้อมูลตัวที่ i จากทัง้ หมด N ตัว, X คือค่าเฉลีย่ เลขคณิตของข้อมูล
ข้อมูลที่แจกแจงความถี่แล้ว
k

f1 x1 − X + f2 x2 − X + ... + fk xk − X ∑ fi xi − X
MD = = i=1
f1 + f2 + ... + fk N
xi กึ่งกลางชั้นที่ i จาก k ชั้น ซึ่งมีความถี่ fi , และมีข้อมูลทั้งหมด N ตัว,
X คือค่าเฉลี่ยเลขคณิต

4. ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation; SD หรือ s)


เป็นค่าที่นิยมใช้มากที่สุด เนื่องจากมีความละเอียด เชื่อถือได้ สามารถคํานวณได้ง่ายกว่าส่วน
เบี่ยงเบนเฉลี่ย (โดยใช้สูตรที่จัดรูปแล้ว) และนําไปใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงได้
ข้อมูลที่ยังไม่ได้แจกแจงความถี่
N

(x1 − X)2 + (x2 − X)2 + ... + (xN − X)2 ∑ (xi − X)2


s = = i=1
N N
N
∑ x2i
หรือจัดรูปได้ว่า s = i=1
− X2
N
xi คือข้อมูลตัวที่ i จากทัง้ หมด N ตัว, X คือค่าเฉลีย่ เลขคณิตของข้อมูล
ข้อมูลที่แจกแจงความถี่แล้ว
k
2
2 2
f1(x1 − X) + f2(x2 − X) + ... + fk(xk − X) 2 ∑ f(x
i i − X)
s = = i=1
f1 + f2 + ... + fk N
N N k
2 2
∑ fx
i i ∑ fd
i i ∑ fd
i i
หรือจัดรูปได้ว่า s = i=1
− X2 = I ⋅ i=1
− D2 เมื่อ D = i=1
N N N
xi กึ่งกลางชั้นที่ i จาก k ชั้น ซึ่งมีความถี่ fi , และมีข้อมูลทั้งหมด N ตัว,
X คือค่าเฉลี่ยเลขคณิต
di เป็นจํานวนเต็ม โดยให้ชน ั้ ที่มคี ่า a นัน้ เป็น d = 0
และชั้นที่มีขอ้ มูลค่าน้อยลง d = −1, −2, ... ไปเรือ่ ยๆ ส่วนชั้นที่ขอ้ มูลค่าสูงขึน้ d = 1, 2, ... ไปเรื่อยๆ

ในตําราสถิติ นิยมใช้สัญลักษณ์แทนส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเป็น σ (Sigma) และ s


โดยให้นิยามว่า σ คือส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของข้อมูลทั้งหมด เป็นค่าแท้จริง
และ s คือส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของกลุ่มตัวอย่าง เป็นค่าประมาณ
นั่นคือ ถ้า N คือจํานวนข้อมูลทั้งหมด และถูกสุ่มมาเป็นตัวอย่างจํานวน n ข้อมูล จะได้
N N n N
∑ (xi − μ)2 ∑ x2i ∑ (xi − X)2 ∑ x2i n X2
σ = i=1
= i=1
− μ2 และ s = i=1
= i=1

N N n − 1 n − 1 n − 1

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 380 สถิติ

ข้อสังเกต 1. ในระดับประชากรใช้ตัวหารเป็น N แต่ในระดับตัวอย่างใช้ตัวหารเป็น n – 1


ซึ่งกําหนดเช่นนี้เพื่อให้สนับสนุนสมบัติต่างๆ ในสถิติขั้นสูง (และยังไม่กล่าวถึงในระดับ ม.ปลาย) แต่
จะสังเกตได้ว่า ยิ่งมีจํานวนข้อมูลมากๆ การใช้ตัวหาร N กับ n – 1 จะยิ่งให้ผลใกล้เคียงกัน
2. ในทางปฏิบัตินิยมใช้ตัวหารเป็น n – 1 เพราะมักเป็นการคํานวณในระดับตัวอย่าง
แต่การศึกษาระดับชั้นนี้ เราใช้ตัวหารเป็น N เพราะในโจทย์จะบอกข้อมูลให้เราทราบครบทุกตัว
และในหนังสือเล่มนี้จะใช้สัญลักษณ์ s กล่าวรวมถึงส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานทั้งสองแบบ

• ตัวอยาง อายุของสมาชิกในครอบครัวหนึ่งซึ่งมี 5 คน ไดแก 15, 35, 35, 35, 55 ป


ใหหาคาการกระจายของขอมูลชุดนี้ ในแบบตางๆ
ก. พิสัย
ตอบ Range = 55 − 15 = 40 ป
ข. สวนเบี่ยงเบนควอรไทล
ตอบ การหาคาสวนเบี่ยงเบนควอรไทล จะตองรู Q และ Q กอน 1 3

1 15 + 35
Q อยูในตําแหนงที่
1 × (5 + 1) = 1.5 ... ดังนั้น Q = 1= 25 ป
4 2
3 35 + 55
Q3 × (5 + 1) = 4.5
อยูในตําแหนงที่ ... ดังนั้น Q3 = = 45 ป
4 2
Q − Q1 45 − 25
สรุปวา QD = 3 = = 10 ป
2 2
ค. สวนเบี่ยงเบนเฉลี่ย
15 + 35 + 35 + 35 + 55
ตอบ การหาคาสวนเบี่ยงเบนเฉลี่ย ตองรู X กอน ... X = = 35 ป
5
จากสูตร MD = 20 + 0 + 50 + 0 + 20 = 8 ป
(นําผลตางระหวาง ขอมูลแตละตัว กับ X มาเฉลี่ยกัน)
ง. สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ตอบ การหาคาสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ตองรู X กอน ... คํานวณแลวในขอ ค. ได X = 35 ป
2 2 2 2 2
จากสูตร SD = 20 + 0 + 05 + 0 + 20 = 160 ≈ 12.65 ป
(วิธีหา SD คลายกับ MD ... แตผลตางที่ได ตองนํามายกกําลังสองทุกตัว และถอดรูท ตอนจบ)
ขอสังเกต : คา QD, MD, SD ที่ได จะใกลเคียงกันเสมอ

สมบัติของค่าการกระจายสัมบูรณ์
(1) ค่าการกระจายเป็นบวกหรือศูนย์เสมอ โดยเป็นศูนย์ก็เมื่อข้อมูลทุกค่าเหมือนกันหมด
(2) ถ้าข้อมูลชุด Y ทุกๆ ตัว สัมพันธ์กับข้อมูลชุด X แต่ละตัว ตามสมการ yi = m xi + c
จะได้ว่าค่าการกระจายของข้อมูลชุด Y เป็น m เท่าของชุด X
ข้อสังเกต
ค่ากลาง ถูกกระทบทั้งการบวกและคูณ แต่ ค่าการกระจาย ถูกกระทบเฉพาะการคูณ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 381 สถิติ

สมบัติของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
N
(1) จากสมบัติของค่าเฉลี่ยเลขคณิต ที่ว่า ∑ (xi − K)2 จะน้อยที่สุด ก็เมื่อ K = X
i=1

⎛N 2⎞
ทําให้เราทราบว่า ค่า M = ⎜ ∑ (xi − K) ⎟ ÷ N จะน้อยที่สุดก็เมื่อ M = SD (K = X)
⎝i=1 ⎠
(2) ค่า s2 หรือ σ 2 เรียกว่า ความแปรปรวน (Variance; Var)

ความแปรปรวนรวม (Combined Variance หรือ Pooled Variance) ของข้อมูลหลายชุด


คํานวณจาก
k
2 2
N1(s21 + X21 ) + N2(s22
+ X22)
+ ... + Nk(s2k + X2k ) ∑ N(s
i i + Xi )
s2p + X2c = = i=1
k
N1 + N2 + ... + Nk
∑ Ni
i=1

Xi คือค่าเฉลี่ยเลขคณิตของข้อมูลชุดที่ i, s2i
คือความแปรปรวนของข้อมูลชุดที่ i
Ni คือจํานวนของข้อมูลชุดที่ i จากทั้งหมด k ชุด

ส่วนการกระจายสัมพัทธ์ มี 4 แบบ คํานวณได้จากการกระจายสัมบูรณ์ โดยใช้คําว่า


สัมประสิทธิ์ของ... (Coefficient of…) นําหน้า ได้แก่
สัมประสิทธิ์ของพิสัย = xmax − xmin
xmax + xmin
Q3 − Q 1
สัมประสิทธิ์ของส่วนเบี่ยงเบนควอร์ไทล์ =
Q3 + Q1
MD
สัมประสิทธิ์ของส่วนเบี่ยงเบนเฉลี่ย =
X
s
สัมประสิทธิ์ของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน =
X
ซึ่งสัมประสิทธิ์ของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานนี้ เป็นค่าการกระจายสัมพัทธ์ที่นิยมใช้มากที่สุด
เรียกสั้นๆ ว่า สัมประสิทธิ์การแปรผัน (Coefficient of Variation; CV)

ข้อสังเกต
ค่ากลาง และ ค่าการกระจายสัมบูรณ์ มีหน่วยอย่างเดียวกับข้อมูล
ความแปรปรวน มีหน่วยเหมือนข้อมูลยกกําลังสอง
แต่ ค่าการกระจายสัมพัทธ์ ไม่มีหน่วย

• ตัวอยาง (ตัวอยางนี้มีการทบทวนเนื้อหาเรื่องสมบัติของคากลางดวย)
ในการสอบครั้งหนึ่ง คาเฉลี่ยเลขคณิตและความแปรปรวนของคะแนนสอบของนักเรียน เปน 14 คะแนน
และ 1.4 คะแนน2 ตามลําดับ
ก. หากผูส อนเพิม่ คะแนนเก็บใหทุกคน คนละ 5 คะแนน แลวคาเฉลี่ยเลขคณิตและความ
แปรปรวนของคะแนนชุดใหม เปนเทาใด
ตอบ ขอมูลทุกตัวถูกบวก 5 ดังนั้น คาเฉลี่ยเลขคณิตก็บวก 5 เปน 19 คะแนน
แตการบวกไมมีผลตอคาการกระจาย ดังนั้น ความแปรปรวนยังคงเปน 1.4 คะแนน2
ข. หากผูสอนปรับคะแนนเต็มจากเดิม 20 คะแนน ใหกลายเปน 60 คะแนน แลวคาเฉลี่ยเลขคณิต
และความแปรปรวนของคะแนนชุดใหม เปนเทาใด
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 382 สถิติ

ตอบ ขอมูลทุกตัวถูกคูณ 3 ดังนั้น คาเฉลี่ยเลขคณิตก็คณู 3 เปน 52 คะแนน


และสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( s ) ก็จะกลายเปน 3 เทาจากเดิมดวย
2 2
แตขอนี้คิดความแปรปรวน ( s ) ดังนั้นจะตองเพิม่ ขึ้นเปน 1.4 × 3 = 12.6 คะแนน2
2 2 2 2
หมายเหตุ : สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน s = 3s ทําใหความแปรปรวน s = (3s ) = 3 s
2 1 2 1 1

แบบฝึกหัด 17.4
(38) ข้อมูลชุดหนึ่งมีค่า 12, 14, 14, 17, 18, 21 จงหาค่าการกระจายสัมบูรณ์ทั้งสี่แบบ
(39) โค้งความถี่สะสมของคะแนนนักเรียนจํานวน 400 คน เป็นไปตามสมการ F = 100 log4 X จง
หาค่าส่วนเบี่ยงเบนควอร์ไทล์
(40) ข้อมูลชุดหนึ่งมีส่วนเบี่ยงเบนควอร์ไทล์เป็น 2 และสัมประสิทธิ์ของส่วนเบี่ยงเบนควอร์ไทล์เป็น
2/3 จงหาค่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 75
(41) [Ent’38] ข้อมูล 4 จํานวนมีค่าดังนี้ 5, a, b, 1 โดยที่ 1 < a < b ถ้าข้อมูลชุดนี้มีค่าเฉลี่ย
เลขคณิตเท่ากับ 4 และความแปรปรวนเท่ากับ 5 แล้ว จงหาค่าของ b – a
(42) [Ent’37] ข้อมูล 7 จํานวนมีค่าต่างกันดังนี้ 9, 6, 15, a, 2, 4, 12 โดยที่ 2 < a < 12 ถ้า
ค่าเฉลี่ยเลขคณิตของข้อมูลเป็น 2 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนควอร์ไทล์ ค่า a จะเป็นเท่าใด
(43) ในการวัดความสูงของนักเรียน คํานวณค่า s ได้ 10 ซม. แต่พบว่าสเกลของไม้เมตรผิดพลาด
ขาดไป 10% ของส่วนสูงจริง ดังนั้นค่า s ที่ถูกต้องคือเท่าใด
(44) นักเรียนคนหนึ่งคิดว่าค่าเฉลี่ยเลขคณิตเป็น 42 จึงหาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ 6 แต่มาพบว่า
ที่จริงค่าเฉลี่ยเลขคณิตเป็น 40 ดังนั้นส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานที่แท้จริงเป็นเท่าใด
(45) จงหาค่าความแปรปรวนของข้อมูลแต่ละชุด และความแปรปรวนรวมของทั้งสองชุด
ชุดที่ 1; 3, 6, 9, 12, 15 ชุดที่ 2; 3, 9, 15
(46) ข้อมูลสองชุดมีจํานวนเท่ากัน ชุดแรกมีค่าเฉลี่ยเลขคณิต 5 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0 และชุด
ที่สองมีค่าเฉลี่ยเลขคณิต 3 ถ้าพบว่าข้อมูลรวมมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเป็น 3 จงหาส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐานของข้อมูลชุดที่ 2
(47) นักเรียนชาย m คน ทุกคนอายุ x ปี และนักเรียนหญิง n คน ทุกคนอายุ y ปี จงหาความ
แปรปรวนรวมของอายุนักเรียนทั้งหมด
(48) [Ent’36] ในการสอบของนักเรียนห้องหนึ่งซึ่งมี 60 คน ได้คะแนนรวม 1,320 คะแนน โดยมี
ความแปรปรวนเป็น 100 คะแนน2 ถ้ามีนักเรียนได้ 32 คะแนนอยู่ 10 คน จงหาความแปรปรวนของ
คะแนนของนักเรียน 50 คนที่เหลือ
(49) [Ent’36] ถ้านักเรียน 20 คนมีส่วนสูงเฉลี่ย 150 ซม. และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเป็น 3 ซม.
นักเรียนชายซึ่งมี 12 คนมีส่วนสูงเฉลี่ย 150 ซม. และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2 ซม. ถามว่าส่วนสูง
ของนักเรียนหญิงหรือชายมีการกระจายมากกว่ากัน และมากกว่ากันกี่เท่า
10 10
(50) จงหาความแปรปรวนของข้อมูลชุดหนึ่ง ซึ่งมี ∑ xi = 60 และ ∑ (xi − 5)2 = 370
i=1 i=1

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 383 สถิติ

(51) จากการสํารวจอายุการใช้งานแบตเตอรี่ 2 ยี่ห้อ ได้ผลดังนี้


ยี่ห้อ A; 30, 26, 32, 46, 21 เดือน ค่าเฉลี่ยเลขคณิตเป็น 31
ยี่ห้อ B; 28, 53, 40, 18, 34, 31 เดือน ค่าเฉลี่ยเลขคณิตเป็น 34
อยากทราบว่ายีห่ ้อใดมีคุณภาพดีกว่ากัน
[คุณภาพดี หมายถึงผลิตออกมาใช้งานได้ใกล้เคียงกันทุกชิ้น] คะแนน ความถี่
50 – 59 15
(52) กําหนดตารางแจกแจงความถี่ของคะแนนสอบนักเรียน 100 60 – 69 20
คน จงหาค่าการกระจายสัมบูรณ์ทั้งสี่แบบ 70 – 79 40
80 – 89 15
90 – 99 10

17.5 ค่ามาตรฐาน และการแจกแจงแบบปกติ


สมมตินาย ก สอบวิชาภาษาไทยได้ 80% และสอบวิชาภาษาอังกฤษได้ 87% ยังสรุปไม่ได้
ทันทีว่าเขาสอบวิชาใดได้ดีกว่ากัน เพราะต้องคํานึงถึงค่าเฉลี่ย และค่าการกระจายของคะแนนแต่ละ
วิชาประกอบกันด้วย
ค่ามาตรฐาน (Standard Score หรือ Z-Score; z) เป็นค่าที่ใช้เทียบข้อมูลที่ดึงมาจากต่าง
ชุดกันได้ เพราะเป็นการปรับค่าเฉลี่ยเลขคณิต และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานให้เท่ากัน
xi − X
zi = i = 1, 2, 3, ..., N
s
ข้อสังเกต
1. ค่า z ไม่มีหน่วย
2. ค่า z ของข้อมูลที่ค่ามากกว่าค่าเฉลี่ยเลขคณิต จะเครื่องหมายบวก,
น้อยกว่าค่าเฉลี่ยจะเป็นลบ, ตรงกับค่าเฉลี่ยพอดี จะเป็น 0
3. สามารถเขียนด้วยสัญลักษณ์อีกแบบได้เป็น zi = xi − μ โดย i = 1, 2, 3, ..., N
σ
4. อาจเขียนข้อมูลที่ตําแหน่ง z = c ในรูปแบบ x = X + c s ก็ได้
เช่น X − 2 s หมายถึงข้อมูลที่มีค่า z = −2 , หรือ X + 0.5 s หมายถึงข้อมูลที่มีค่า z = 0.5

สมบัติของค่ามาตรฐาน
N
(1) ∑ zi = 0 (ผลรวมของข้อมูลชุด z ใดๆ เป็น 0 เสมอ)
i=1

(2) Z = 0 เสมอ (ผลจากข้อ 1) และ sZ = 1 เสมอ


(3) The 95% Rule : “โดยทัว่ ไปข้อมูลที่อยู่ระหว่าง z = −2 ถึง z = 2 จะมีปริมาณร้อยละ 95
ของจํานวนข้อมูลทั้งหมด” ... หมายความว่าข้อมูลเกือบทุกค่าจะอยู่ในช่วง (X − 2 s, X + 2 s) และ
เราอาจประมาณ Range ≈ 4 s ก็ได้ (คือเมื่อทราบค่าพิสัย จะประมาณค่า s ได้)

• ตัวอยาง ในการสอบวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนหองหนึ่ง ปรากฏวาคาเฉลี่ยเลขคณิตและสวน


เบี่ยงเบนมาตรฐาน เปน 60 และ 10 คะแนน ตามลําดับ โดยที่นาย ก ไดคะแนนคิดเปนคามาตรฐานเทากับ
1.3 และนาย ข ไดคะแนนนอยกวานาย ก อยู 8 คะแนน
ก. นาย ข ไดกี่คะแนน

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 384 สถิติ

วิธีคิด คํานวณหาคะแนนของนาย ก จากสมการ zก = xก s− X → 1.3 = xก 10 − 60

ไดเปน xก = 73 คะแนน ... ดังนัน้ คะแนนของนาย ข เทากับ xข = 73 − 8 = 65 คะแนน


ข. เมื่อรวมคะแนนเก็บซึ่งทุกคนได 5 คะแนนเทากันแลว คะแนนรวมของนาย ข คิดเปนคา
มาตรฐานเทากับเทาใด
วิธีคิด คะแนนรวมของนาย ข คือ 70 คะแนน คิดเปนคามาตรฐาน zรวม,ข = 70 10 − 65
= 0.5

(สังเกต : X ตองเปลี่ยนเปน 65 เพราะขอมูลทุกตัวถูกบวก 5, แตการบวกไมมีผลกับ s )

การคํานวณเกี่ยวกับเส้นโค้งของความถี่
ลักษณะของเส้นโค้งของความถี่มี 3 แบบ (หรือกล่าวว่าลักษณะการแจกแจงมี 3 แบบ) คือ
(1) โค้งปกติ (Normal Curve) หรือ โค้งรูประฆัง (Belled-Shaped Curve) เป็นโค้งของข้อมูลที่พบ
บ่อยที่สุดโดยเฉพาะข้อมูลจากธรรมชาติ เช่น ส่วนสูง น้ําหนัก ปริมาณผลผลิตการเกษตร
(2) โค้งเบ้ลาดทางซ้าย (หรือทางลบ) (Negatively Skewed Curve)
(3) โค้งเบ้ลาดทางขวา (หรือทางบวก) (Positively Skewed Curve)
ซึ่งโค้งแต่ละแบบ บอกความสัมพันธ์ระหว่างค่าเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน และฐานนิยม ดังภาพ
f f f
โค้งปกติ โค้งเบ้ซ้าย โค้งเบ้ขวา

O x = Med = Mo x O x < Med < Mo x O Mo < Med < x x

S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S
เนื่องจากพื้นที่ใต้เส้นโค้งจะเท่ากับความถี่รวมพอดี o¤Œ§eºŒ«ŒÒ‹oÁÒ¨Ò¡ o¤Œ§eºŒ”ÅÒ´·Ò§«ŒÒ” o¤Œ§eºŒ
(เป็นสิ่งที่ได้จากการสร้างฮิสโทแกรม) เราจึงสามารถคํานวณ ¢ÇÒ‹oÁÒ¨Ò¡ o¤Œ§eºŒ”ÅÒ´·Ò§¢ÇҔ ... ¶ŒÒ¶ÒÁNjÒÃÙ»
เกี่ยวกับการวัดตําแหน่งของข้อมูล (มัธยฐาน, ควอร์ไทล์, ä˹e»š¹o¤Œ§eºŒ«ŒÒ ÃÙ»ä˹o¤Œ§eºŒ¢ÇÒ ¹Œo§æ
เดไซล์, เปอร์เซ็นไทล์) ได้ โดยจะศึกษาเฉพาะโค้งปกติซึ่ง ʋǹÁÒ¡¨ae´ÒÊÅaº¡a¹ ©a¹aé¹ãˌÊa§e¡µ´Õæ ¹a¤Ãaº
ใช้ตารางท้ายบทเรียนในการหาค่าพื้นที่ใต้โค้ง ¾oeÃÕ¡‹oæŌÇoÒ¨·íÒãˌe¢ŒÒ㨤ÇÒÁËÁÒ¼i´ä»

ในทางปฏิบัตินนั้ เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างตารางหลายตาราง
เพื่อใช้แทนข้อมูลที่มีค่ากลางและค่าการกระจายต่างๆ กัน ดังนั้น
จึงต้องใช้วิธีเปลี่ยนค่า x ให้เป็นค่ามาตรฐาน z ก่อน (ค่าเฉลี่ย
จะเป็น 0 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเป็น 1 ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล
ชุดใด) เรียกโค้งปกติที่ปรับค่าข้อมูลให้เป็นค่ามาตรฐานแล้วนี้ว่า X x
โค้งปกติมาตรฐาน -3 -2 -1 0 1 2 3 z

สิ่งสําคัญในตารางแสดงพื้นที่ใต้กราฟของโค้งปกติมาตรฐาน
1. พื้นที่ใต้โค้งรวมกันทั้งหมด (ความถี่รวม) จะมีค่าเท่ากับ 1.00 พอดี
2. ค่าที่ระบุในตาราง แสดงพื้นที่ที่วัดระหว่าง z=0 ไปถึง z ใดๆ โดยมีเพียงค่า z เป็นบวก
เท่านั้น (ซีกขวาของโค้ง) เราสามารถหาพื้นที่ซีกซ้ายได้โดยอาศัยความสมมาตรของรูปกราฟ
3. หาค่าเปอร์เซ็นไทล์ (เดไซล์, ควอร์ไทล์) ได้โดยการนําพื้นที่ที่ต้องการไปเทียบเป็นค่า z

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 385 สถิติ

ตัวอย่างเช่น เราสามารถหาว่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 65 มีค่าเท่าใด


จากการเปิดตารางที่พื้นที่ 0.15 ซึ่งในตารางระบุว่า z=0.385 A = 0.3 A = 0.15
(จากนั้นนําไปคํานวณกลับเป็นค่าข้อมูล x ได้)
ในทํานองเดียวกัน เปอร์เซ็นไทล์ที่ 20 หาได้จากการเปิดตาราง
ที่พื้นที่ 0.3 ได้ค่า z=0.841 แต่เนื่องจากเป็นพื้นที่ทางซีกซ้าย P20 P65 x
ค่า z ที่แท้จริงจึงเป็น -0.841 -0.841 0.385 z

ใช้สูตร เปิดตาราง เทียบสัดส่วน


x ←⎯⎯⎯
→ z ←⎯⎯⎯
→ A ←⎯⎯⎯
→ P, D, Q

• ตัวอยาง ถาคะแนนสอบวิชาภาษาอังกฤษมีการแจกแจงปกติ โดยมีคะแนนเฉลี่ยและความแปรปรวน


เทากับ 60 และ 25 ตามลําดับ และผูสอบผานตองไดคะแนนไมนอยกวา 54 คะแนน สมมตินาย ก, นาย ข,
และนาย ค ทราบวาตนเองไดคะแนนอยูในตําแหนงเปอรเซ็นไทลที่ 10, 15, และ 33 ตามลําดับ
กําหนดตารางแสดงพื้นที่ใตโคงปกติ z 0.35 0.40 0.44 1.20
ตั้งแตคามาตรฐาน 0 ถึง z ดังนี้ A 0.1368 0.1554 0.1700 0.3849
ก. นาย ค สอบไดกี่คะแนน
วิธีคิด ขอนี้เราทราบตําแหนงเปอรเซ็นไทล ( P ) และตองการเทียบเปนขอมูลคะแนน ( xค )
33

เริ่มจากการเทียบ P เปนพื้นที่ จะพบวาอยูทางซีกซายของโคง และหางจากแกนกลางอยู 0.17 ซึ่งระบุ


33

ในตารางวา คามาตรฐานเปน 0.44


เนื่องจากอยูทางซาย จึงตองไมลืมวา คามาตรฐานที่แทจริงเปน −0.44 ... จากนัน้ ทําการ
คํานวณเปนคา xค ไดตามตองการ คือ −0.44 = xค −5 60 → xค = 57.8 คะแนน
(อยาลืมวาตัวเลข 25 ที่โจทยใหมาเปนความแปรปรวน ตองถอดรูทกอนจึงเปนคา s )
ข. นักเรียนสามคนนี้ ใครสอบผานบาง
วิธีคิด นักเรียนที่สอบผานจะตองได 54 คะแนนขึ้นไป ฉะนัน้ ผลจากการคํานวณขอ ก. เราทราบแลววานาย
ค สอบผาน ... ตอมาจะใชวิธีเดิมเพื่อคํานวณหาคะแนนนาย ก ( P ) และ ข ( P ) ดวย ... เริ่มจากการ
10 15

เทียบ P และ P เปนพื้นที่ จะพบวาอยูทางซีกซายของโคง และหางจากแกนกลางอยู 0.40 และ


10 15

0.35 ตามลําดับ แตปรากฏวาในตารางไมไดกําหนดคามาให!


(ขอควรระวัง : อยาดู z กับ A สลับชองกัน เชนในตารางมีคา z = 0.35, 0.40 มาให แตไมไดใช ...
เพราะที่เราตองการคือ A = 0.35, 0.40 ซึ่งไมมีให)
ดังนั้นขอนี้จึงตองคิดดวยวิธีอื่น คือแปลงจากคะแนน 54 คะแนน มาเปนเปอรเซ็นไทลบาง แบบนี้
ก็จะชวยใหเทียบวาใครสอบผาน ไดรวดเร็วกวาเดิมอีก ... การคํานวณเริ่มจากคิด 54 ใหเปนคามาตรฐาน
54 − 60
z =
54 = −1.2 ดูในตาราง ไดพืน ้ ที่เทากับ 0.3849 (แตอยูซีกซายของโคง) นัน่ คือเปอรเซ็นไทล
5
ที่ 50 − 38.49 = 11.51 ... แสดงวาผูส อบผานตองไดเปอรเซ็นไทลที่ 11.51 ขึ้นไป ... สรุปวา นาย ข
และนาย ค สอบผาน

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 386 สถิติ

• ตัวอยาง คะแนนสอบวิชาคณิตศาสตรมีคาเฉลีย่ เลขคณิตเทากับ 64 คะแนน และการแจกแจงเปนโคงรูป


ระฆัง ถามีนักเรียนสอบไดมากกวา 80 คะแนนอยู 15.87% และพื้นทีใ่ ตโคงปกติระหวาง z = 0 ถึง 1
เทากับ 0.3413 แลว สัมประสิทธิ์การแปรผันของคะแนนสอบนี้เปนเทาใด
วิธีคิด สัมประสิทธิ์การแปรผัน หาไดจาก s/ X ... เราทราบคา X แลว แตยังไมทราบ s
สามารถหาคา s ไดจากคําใบที่วา “มีนกั เรียนสอบไดมากกวา 80 คะแนนอยู 15.87%”
นั่นคือ คะแนน 80 อยูในตําแหนงพื้นที่ 0.5 − 0.1587 = 0.3413 ... ซึ่งระบุคา z = 1
ดังนั้น 1 = 80 −s 64 ไดคา s = 16 ... สรุปวา สัมประสิทธิ์การแปรผัน = 16/64 = 0.25

เพิ่มเติม จากเนื้อหาเรื่องการอินทิเกรต (บทที่ 15) S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S


นอกจากจะใช้ตารางแล้ว ยังหาพื้นที่ใต้กราฟอย่างละเอียดได้โดย µŒo§·íÒ¤ÇÒÁe¢ŒÒã¨eÃ×èo§ x, z, A ãˌ´Õæ ¹a¤Ãaº e¾×èo
ใช้เครื่องช่วยคํานวณอินทิเกรตสมการของเส้นโค้งปกติ คือ ¨a䴌äÁ‹e»´µÒÃÒ§ÊÅaº¡a¹ÃaËNjҧ z ¡aº A
2
1 ⎛x−μ⎞
− ⎜ ⎟
f (x) = e 2 ⎝ σ ⎠
÷ σ 2π
(ซึ่งจะพบว่ามีการเลื่อนแกน
และความสูงของกราฟ ต่างๆ กันไปตามค่า μ และ σ )
และสมการของโค้งปกติมาตรฐาน ที่กลายเป็น
1 2
− z
f (z) = e 2 ÷ 2π (ซึ่งจะไม่ขึ้นกับค่า μ และ σ )

แบบฝึกหัด 17.5
(53) นาย ก สอบวิชาภาษาไทยได้ 48 คะแนน และภาษาอังกฤษได้ 35 คะแนน โดยค่าเฉลี่ยของ
คะแนนสอบวิชาภาษาไทยและภาษาอังกฤษเป็น 45 กับ 32 คะแนนตามลําดับ และส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐานเป็น 12 กับ 10 คะแนนตามลําดับ ถามว่าเขาสอบวิชาใดได้ดีกว่ากัน
(54) นักเรียน 40 คนมีอายุรวมกัน 640 ปี และมีค่าความแปรปรวนของอายุเป็น 4 ปี2 ถ้า ก และ
ข อยู่ในกลุ่มนี้โดยที่ ก อายุ 18 ปี และค่ามาตรฐานของอายุ ก น้อยกว่า ข อยู่ 0.5 แล้ว จงหาอายุ
ของ ข
(55) คนงาน 100 คน มีอายุเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของอายุเป็น 25 และ 13 ปี
ตามลําดับ ถ้าผลรวมของค่ามาตรฐานของอายุคนงาน 99 คน เป็น -0.25 แล้ว อายุของคนงานอีก
คนที่เหลือเป็นเท่าใด
(56) ค่ามาตรฐานคะแนนสอบของ ก ข และ ค เป็น -1.6, 1.28, 2.4 ตามลําดับ ถ้า ก ได้คะแนน
น้อยกว่าค่าเฉลี่ยเลขคณิตอยู่ 5 คะแนน และ ข ได้ 60 คะแนน ถามว่าคะแนนของ ค เป็นเท่าใด
(57) [Ent’38] จากข้อมูลการสอบของนักเรียน 6 คนดังตาราง จงหาสัมประสิทธิ์ของการแปรผัน
คะแนน 30 40 45 60 85 100
ค่ามาตรฐาน -1.2 -0.8 -0.6 0 1.0 1.6
(58) [Ent’35] ในการสอบ นักเรียนที่ได้ 70 คะแนนคิดเป็นค่ามาตรฐาน 1 ถ้าสัมประสิทธิ์การแปร
ผันคือ 30% แล้ว จงหาคะแนนเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน พร้อมทั้งบอกด้วยว่าคนที่ได้ค่า
มาตรฐานเป็น -1 นั้นมีคะแนนสอบเท่าใด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 387 สถิติ

ตารางต่อไปนี้แสดงค่าพื้นที่ใต้โค้งปกติมาตรฐาน ระหว่าง z = 0 ถึง z = z


ใช้สําหรับโจทย์แบบฝึกหัดตัง้ แต่ขอ้ 59 เป็นต้นไป (ยกเว้นข้อที่โจทย์ระบุคา่ มาให้)
z A z A z A z A
0.00 0.0000 0.72 0.2642 1.20 0.3849 1.96 0.4750
0.44 0.1700 0.84 0.3000 1.25 0.3944 2.00 0.4773
0.50 0.1915 1.00 0.3413 1.29 0.4000 2.03 0.4788
0.67 0.2500 1.12 0.3686 1.50 0.4330 2.50 0.4938
0.71 0.2612 1.19 0.3830 1.56 0.4400 3.00 0.4987

(59) ให้หาพื้นที่ใต้โค้งปกติมาตรฐาน ในช่วงค่า z ที่กําหนด


(59.1) z = 0 ถึง 1.12 (59.4) z = 2 ถึง 3
(59.2) z = 0 ถึง -2.03 (59.5) z < -1.19
(59.3) z = -1.19 ถึง 2
(60) [Ent’40] คะแนนสอบที่มีการแจกแจงปกติชุดหนึ่งมีสัมประสิทธิ์การแปรผัน 24% และส่วน
เบี่ยงเบนมาตรฐาน 12 คะแนน ให้หาตําแหน่งเปอร์เซ็นไทล์ของนักเรียนที่ได้ 65 คะแนน
(61) ผลการสอบของนักเรียน 300 คน มีการแจกแจงแบบปกติ ค่าเฉลี่ยของคะแนนสอบเป็น 72
คะแนน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 10 คะแนน ผู้ที่สอบได้เปอร์เซ็นไทล์ที่ 10 จะสอบได้กี่คะแนน
(62) [Ent’36] ถ้าคะแนนสอบวิชาภาษาไทยมีการแจกแจงปกติ ค่าเฉลี่ย 80 คะแนน ส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐาน 15 คะแนน นักเรียนที่ได้คะแนนเป็นเดไซล์ที่ 3.3 จะมีผลสอบกี่คะแนน
(63) [Ent’35] ในการสอบครั้งหนึ่งซึ่งมีการแจกแจงแบบปกติ และมีคะแนนเต็ม 100 คะแนน ถ้า
ค่าเฉลี่ยเลขคณิตเท่ากับ 60 และความแปรปรวนเท่ากับ 100 ข้อใดต่อไปนี้มีค่าสูงที่สุด
ก. คะแนน ณ เปอร์เซ็นไทล์ที่ 80 ข. คะแนนมาตรฐาน 1.50
ค. คะแนนดิบ 85 ง. คะแนน ณ เดไซล์ที่ 7
(64) [Ent’38] ข้อมูลที่แจกแจงแบบปกติชุดหนึ่งมีค่าสูงสุดเป็นเปอร์เซ็นไทล์ที่ 97.5, คะแนนต่ําสุด
เป็นเปอร์เซ็นไทล์ที่ 33 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเป็น 10 ให้หาพิสัยของข้อมูลชุดนี้
(65) จากการสํารวจผู้สอบคณิตศาสตร์กลุ่มหนึ่ง พบว่าผลการสอบมีการแจกแจงแบบปกติ ค่าเฉลี่ย
เลขคณิตเป็น 97 คะแนน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเป็น 20 คะแนน ส่วนเบี่ยงเบนควอร์ไทล์ของ
คะแนนสอบเป็นเท่าใด [กําหนดพื้นที่ทางขวาของ z=0 เป็น 50%, z=0.25 เป็น 40.13%, z=0.5
เป็น 30.85%, z=0.675 เป็น 25.00%, และ z=0.75 เป็น 22.66%]
(66) การแจกแจงความถี่ของรายได้พนักงานบริษัทแห่งหนึ่งเป็นแบบปกติ ผูม้ ีรายได้ต่อเดือนต่ํากว่า
3,000 บาทมีอยู่ 33% ผู้มีรายได้ในช่วง 3,000 ถึง 5,000 บาทมี 61% และที่เหลือได้มากกว่า
5,000 บาท จงหาสัมประสิทธิ์การแปรผันของรายได้ทั้งหมดนี้
(67) [Ent’39] คะแนนสอบที่มีการแจกแจงเป็นโค้งรูประฆัง มีจํานวนนักเรียนได้ต่ํากว่า 40 คะแนน
อยู่ 15.87% และสูงกว่า 70 คะแนนอยู่ 2.27% จงหาสัมประสิทธิ์การกระจายของคะแนนสอบกลุ่ม
นี้ และหาว่ามีนักเรียนที่สอบได้มากกว่า 30 คะแนนอยู่ร้อยละเท่าใด
(68) [Ent’40] ผลการสอบของนักเรียนห้องหนึ่งเป็นการแจกแจงปกติที่มีความแปรปรวน 9 ถ้า
จํานวนนักเรียนที่ได้น้อยกว่า 60 คะแนนเท่ากับคนที่ได้มากกว่า 72 คะแนน ให้หาว่าจํานวนคนที่ได้
น้อยกว่า 60 คะแนนคิดเป็นร้อยละเท่าใด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 388 สถิติ

(69) ผลสอบของ 500 คนเป็นการแจกแจงปกติ มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 20 คะแนน, ก และ ข


เป็นนักเรียนในกลุ่มนี้โดย ก สอบได้ 40% ของคะแนนเต็ม และ ข สอบได้ 20% ของคะแนนเต็ม
ถ้าการสอบนี้เต็ม 200 คะแนนและมีคนได้คะแนนน้อยกว่า ก อยู่ 450 คน ข้อใดถูกต้อง
ก. คะแนนของ ก ได้เปอร์เซ็นไทล์ที่ 80 ข. คะแนนของ ข ได้เปอร์เซ็นไทล์ที่ 20
ค. มีคนได้คะแนนน้อยกว่า ข 119 คน ง. ไม่สามารถหาค่าเฉลี่ยได้เพราะข้อมูลไม่พอ
(70) [Ent’33] คะแนนสอบของนักเรียน 1,000 คนมีการแจกแจงแบบปกติ โดยมีส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐาน 10 ถ้ามีนักเรียน 900 คนได้ต่ํากว่า 80 คะแนน (กําหนดพื้นที่ใต้โค้งระหว่าง z=0 ถึง
1.3 เป็น 0.4) ข้อใดผิด
ก. คะแนนเฉลี่ยน้อยกว่า 80 ข. คะแนน 54 เป็นค่ามาตรฐาน -1.3
ค. คะแนน 54 เป็นเปอร์เซ็นไทล์ 10 ง. ผูไ้ ด้คะแนน 54 ถึง 80 มีมากกว่า 800 คน
(71) [Ent’39] คะแนนสอบของนักเรียนกลุ่มหนึ่งมีการแจกแจงปกติ โดยมีสัมประสิทธิ์การแปรผัน
1/4 ถ้าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนสอบเท่ากับ 3 แล้ว มัธยฐานเท่ากับเท่าใด
(72) [Ent’39] กําหนดพื้นที่ใต้โค้งปกติมาตรฐานทางขวามือของ z=0.67 เป็น 0.25 ถ้าข้อมูลชุด
หนึ่งแจกแจงแบบปกติโดยส่วนเบี่ยงเบนควอร์ไทล์เป็น 2 และสัมประสิทธิ์ส่วนเบี่ยงเบนควอร์ไทล์เป็น
2/3 จงหาค่าเฉลี่ยเลขคณิตและความแปรปรวน

17.6 ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันระหว่างข้อมูล
หากเรามีคู่อันดับ (x, y) จํานวนหนึ่ง หลังจากสร้าง แผนภาพการกระจายตัว (Scatter
Plot) เราจะเห็นลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร x กับ y และสามารถหาความสัมพันธ์ระหว่าง
x กับ y เป็นสมการในรูป y = f (x) “เพื่อใช้ทํานายค่า y” ที่ค่า x ตามต้องการได้
รูปแบบความสัมพันธ์ที่พบบ่อย ได้แก่ เส้นตรง พาราโบลา และเอกซ์โพเนนเชียล
แต่ละรูปแบบเราจะต้องคํานวณหาค่าคงตัวทีบ่ ่งบอกลักษณะของกราฟ ดังนี้
y
1. ฟังก์ชันเส้นตรง รูปทั่วไป Y = mX + c
หาค่าคงตัว m กับ c โดยสมการ
Σy = mΣx + c N __________(1)
Σxy = mΣx2 + cΣx ________(2)
(N คือจํานวนคูอ่ ันดับ หรือจํานวนจุด) x
O
S ¨u´·Õè¼i´º‹oÂ! S
¤‹Ò Σxy ≠ Σx ⋅ Σy ¹a¤Ãaº.. µŒo§¤Ù³ x⋅y ãˌ¤Ãº¡‹o¹æŌǨ֧ÃÇÁ

y
2. ฟังก์ชันพาราโบลา รูปทั่วไป Y = aX2 + bX + c
หาค่าคงตัว a, b และ c โดยสมการ
Σy = aΣx2 + bΣx + c N ________(1)
Σxy = aΣx3 + bΣx2 + cΣx ______(2)
x
Σx2y = aΣx4 + bΣx3 + cΣx2 _____(3) O

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 389 สถิติ

3. ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล รูปทั่วไป Y = abX y


หรือ log Y = log a + X log b

หาค่าคงตัว log a กับ log b โดยสมการ


Σ (log y) = N log a + log b Σx _______(1)
x
Σ (x log y) = log a Σx + log b Σx2 _____(2) O

ข้อสังเกต
สมการเหล่านี้เรียกว่า สมการปกติ (Normal Equations) หาได้จากกระบวนการเดียวกันคือ
สมการที่หนึ่ง เติมเครื่องหมาย Σ ทั้งสองข้างของสมการ
สมการที่สอง นําสมการแรกมาเติมตัวแปรต้น คือ x ไว้ภายใน Σ ทุกพจน์
สมการต่อๆไป หากจํานวนสมการยังไม่ครบ ให้เพิ่ม x ไว้ภายใน Σ อีก ทีละตัวๆ

การหาค่าคงตัวด้วยสมการเหล่านี้ เรียกว่า ระเบียบวิธีกําลังสองน้อยที่สุด (Method of


Least Squares) เป็นวิธีที่ทําให้ค่า y ที่ได้ มี ความคลาดเคลื่อนกําลังสอง (Square Error หรือ
Σ (yi − Y)
l 2 ) น้อยที่สุด

Y คือค่าจริง และ Yl (อ่านว่า y-hat) คือค่าที่ได้จากการประมาณด้วยฟังก์ชัน ... ซึ่งการ


ทํานายค่าของ y ที่ค่า x ภายในพิสัยของข้อมูลที่มี เรียกว่า การพยากรณ์ในช่วง (Interpolation)
และที่ค่า x นอกพิสัยที่มี เรียกว่า การพยากรณ์นอกช่วง (Extrapolation)

ข้อควรระวัง สมการที่หาได้ไม่สามารถทํานายค่า x จาก y ได้ ... ถ้าต้องการประมาณค่า x ก็ต้อง


เปลี่ยนฟังก์ชันทั้งหมด ให้เป็น x = f (y) แทน (คือให้ y เป็นตัวแปรต้น)

• ตัวอยาง จากการสอบถามรายจายของ 8 ครอบครัวในหมูบานหนึง่ ไดผลสัมพันธกับรายได ดังตาราง


จงหาความสัมพันธที่ใชประมาณรายจายจากรายได และถามวาถาครอบครัวหนึ่งในหมูบานนีม้ ีรายได
4, 500 บาท จะมีรายจายประมาณเทาใด

รายได (พันบาท) 1 3 4 6 8 9 11 14
รายจาย (พันบาท) 1 2 4 4 5 7 8 9
วิธีคิด โจทยตองการทํานายรายจาย จากรายได แสดงวาในที่นี้ Y คือรายจาย และ X คือรายได เมื่อวาง
คูอันดับเหลานี้ลงในแกนพิกัดฉากแลวพบวา มีความสัมพันธกนั แบบเสนตรง ดังนัน้ สมการที่เราจะใชคือ
Y = mX + c และดําเนินการหาคา m, c โดย..
→ Σy = mΣx + c N และ Σxy = mΣx + cΣx 2

แทนคา Σy = 40 , Σx = 56 , N = 8 , Σxy = 364 และ Σx = 524 จะได..2

→ 40 = 56m + 8c และ 364 = 524m + 56c


แกระบบสมการ ไดคําตอบ m = 0.636 และ c = 0.545
(1) ความสัมพันธที่ใชประมาณรายจายจากรายได คือ Y = 0.636 X + 0.545
เมื่อ Y คือรายจาย (พันบาท) และ X คือรายได (พันบาท) ตอบ
(2) Y = 0.636(4.5) + 0.545 = 3.407 ดังนั้น ครอบครัวที่มีรายได 4, 500 บาท
l

จะมีรายจายประมาณ 3, 407 บาท ตอบ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 390 สถิติ

• ตัวอยาง จากตัวอยางที่แลว ถามวาถาครอบครัวหนึ่งในหมูบานนี้มีรายจาย 3, 500 บาท จะมีรายได


ประมาณเทาใด
* วิธีคิด โจทยตอ งการทํานายรายไดจากรายจาย แสดงวาหากเราจะใช Y เปนรายจาย และ X เปน
รายไดเชนเดิม จะตองเปลี่ยนรูปสมการเปน X = mY + c และหาคา m, c โดย..
→ Σx = mΣy + c N และ Σxy = mΣy + cΣy 2

แทนคา Σx = 56 , Σy = 40 , N = 8 , Σxy = 364 และ Σy = 256 จะได.. 2

56 = 40m + 8c และ 364 = 256m + 40c


แกระบบสมการ ไดคําตอบ m = 1.5 และ c = −0.5 ดังนั้น ความสัมพันธที่ใชประมาณรายไดจาก
รายจาย คือ X = 1.5Y − 0.5 เมือ่ Y คือรายจาย (พันบาท) และ X คือรายได (พันบาท)
จึงไดวา ครอบครัวที่มีรายจาย 3, 500 บาท จะมีรายไดประมาณ 4, 750 บาท ตอบ

• ตัวอยาง ถาความสัมพันธเชิงฟงกชันทีใ่ ชทํานายกําไร ( y : พันบาท) จากตนทุน ( x : รอยบาท) อยู


ในรูป y = mx + c โดยมีสมการที่ไดจากระเบียบวิธีกําลังสองนอยทีส่ ุด ดังนี้
19 = 30 m + 10 c ___ (1) และ 6.6 = 10 m + 4 c ___ (2)
ก. เมือ่ ตนทุนเปน 400 บาท จะทํานายกําไรไดเปนกีบ่ าท
วิธีคิด การทํานายกําไร ( y ) จากตนทุน ( x ) สามารถทําได
แกระบบสมการ ได m = 0.5 และ c = 0.4 ... นัน่ คือสมการทีใ่ ชไดแก y = 0.5 x + 0.4
... และเมื่อตนทุนเปน 400 บาท ( x = 4 ) จะได y = 0.5(4) + 0.4 = 2.4
ดังนั้นตอบวา กําไรเทากับ 2,400 บาท
ข. เมื่อกําไรเปน 400 บาท จะสามารถทํานายตนทุนได ตองกําหนดคาใดเพิ่มเติมให
วิธีคิด จากสมการที่โจทยใหมา คือสมการ Σy = mΣx + c N และ Σxy = mΣx + cΣx 2

ซึ่งใชทํานายคา y จาก x ... แตถาตองการทํานายคา x จาก y ตองใชสมการ Σx = mΣy + c N


และ Σxy = mΣy + cΣy ซึ่งเมื่อเทียบกันดูแลว พบวายังตองทราบเพิม่ อีกอยางหนึ่ง นั่นคือ Σy
2 2

ค. ตนทุนเฉลี่ย X เทากับกี่บาท
วิธีคิด จากขอ ข. เทียบกับสมการในโจทย ไดวา Σy = 6.6 , Σx = 10 , N = 4 , Σxy = 19 , และ
Σx = 30 ... จากนัน้ หา X จาก Σx/N = 10/4 = 2.5 หรือตนทุนเฉลี่ยเทากับ 250 บาท
2

• ตัวอยาง ถาใหสมการแทนความสัมพันธเชิงฟงกชันที่ใชประมาณน้ําหนัก ( W : กก.) จากสวนสูง ( H :


ซม.) ของนักเรียนกลุม หนึ่ง เปน W = H3 − a โดยทีท่ ราบวาน้าํ หนักเฉลี่ยและสวนสูงเฉลี่ย เทากับ 52
กก. และ 162 ซม. ตามลําดับ
ก. นักเรียนคนหนึ่งในกลุม นี้สูง 159 ซม. จะมีน้ําหนักประมาณเทาใด
วิธีคิด จากสมการ W = H3 − a ยังทํานายน้าํ หนักไมไดเพราะไมทราบคา a
เราสามารถหาคา a ไดจากคําใบทีว่ า W = 52 และ H = 162
H 162
จากความสัมพันธ W = − a ... แทนคา 52 = − a ... จะได a = 2
3 3

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 391 สถิติ

ดังนั้น นักเรียนทีส่ ูง 159 ซม. จะมีน้ําหนัก W


l = 159/3 − 2 = 51 กก.
(หมายเหตุ : การที่ถา W = H3 − a แลว W = H3 − a ดวย จะบอกถึงทีม่ าในแบบฝกหัดขอ 79)
ข. หากนักเรียนคนหนึ่งสูงขึ้น 12 ซม. น้ําหนักจะเพิ่มขึ้นประมาณเทาใด
* วิธีคิด ขอนี้หามคํานวณจาก W = 12/3 − 2 เด็ดขาด! เพราะการที่ H เพิ่มขึน้ 12 ซม. ไมไดแปลวา
้ คือ +W = 12/3 = 4 กก.
H = 12 ... วิธีคิดที่จริงคือ +W = +H/3 เทานัน

(หมายเหตุ ในกราฟเสนตรง สัดสวนการเปลี่ยนแปลงของ y และ x จะดูที่ความชัน m เทานั้น ... สวน


คา c จะเปนเทาใด ก็เพียงทําใหกราฟยกขึ้นลง แตไมมีผลตอการเปลี่ยนแปลงเลย)

ข้อมูลในรูปอนุกรมเวลา
หากข้อมูลที่เราสนใจ (Y) เป็นข้อมูลที่ตัวแปรต้นมีช่วงห่างเท่าๆ กัน เช่น ตัวแปรต้นเป็นปี
พ.ศ. ที่ห่างเท่าๆ กันแล้ว เราจะเรียกข้อมูล Y ชุดนั้นว่า ข้อมูลในรูปอนุกรมเวลา (Time Series
Data) ซึ่งจะสามารถแทนค่าตัวแปรต้น X ด้วยตัวเลขค่าน้อยๆ ได้เพื่อให้สะดวกในการคํานวณ วิธีที่
นิยมที่สุดคือ ให้ข้อมูลตรงกลางเป็นเลข 0 แล้วนับขึ้นลงเป็น ±1, ± 2 ต่อไปจนครบทุกจุด เพราะวิธี
นี้จะทําให้ Σx = 0 จึงแก้ระบบสมการหาค่าคงที่ (เช่น m, c) ได้ง่าย โดยเฉพาะสมการเส้นตรง
กับสมการเอกซ์โพเนนเชียล
หากจํานวนข้อมูลเป็นจํานวนคู่ ไม่มีจุดตรงกลาง ก็จะให้ปีระหว่างกลางนั้นเป็น ±1 และคู่
ถัดไปเป็น ±3, ± 5 ไปเรื่อยๆ (เพื่อรักษาระยะห่างให้เท่าๆ กัน) แบบนี้ก็ยังได้ Σx = 0 เช่นกัน

• ตัวอยาง จงสรางสมการทํานายประชากรในทองที่หนึ่ง ถากําหนดขอมูลที่สํารวจไดดังตาราง และจากนั้น


ใหประมาณจํานวนประชากรในทองที่นีใ้ นป 2547
พ.ศ. 2535 2537 2539 2541 2543
จํานวนประชากร (พันคน) 0.8 0.9 1.1 1.4 2.0
วิธีคิด ให Y คือจํานวนประชากร และให X เปน −2, −1, 0, 1, 2 แทน พ.ศ. 2535, 2537, ...
ตามลําดับ เมือ่ วางคูอันดับเหลานี้ลงในแกนพิกัดฉากแลวพบวา มีความสัมพันธกนั แบบเอ็กซโพเนนเชียล
ดังนั้นสมการที่เราจะใชคือ log y = log a + x log b และจะหาคา log a, log b โดย..
Σ (log y) = N log a + log b Σx และ Σ (x log y) = log a Σx + log b Σx 2

แทนคา Σ (log y) = 0.345 , Σx = 0 , N = 5 , Σ (x log y) = 0.988 และ Σx = 10 จะได.. 2

→ 0.345 = 5 log a และ 0.988 = 10 log b


ไดคําตอบ log a = 0.069 และ log b = 0.0988
(1) ความสัมพันธที่ใชประมาณจํานวนประชากร คือ log Yl = 0.069 + 0.0988 X เมื่อ Y คือจํานวน
ประชากร (พันคน) และ X แทนเวลาตามที่ไดกําหนด ตอบ
(2) ป พ.ศ. 2547 มีคา X = 4 จะได log Yl = 0.069 + 0.0988(4) = 0.4642 หรือ
0.4642
Y
l = 10 = 2.912 … ในป พ.ศ. 2547 จะมีประชากรประมาณ 2, 912 คน ตอบ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 392 สถิติ

แบบฝึกหัด 17.6
(73) [Ent’40] พิจารณาแผนภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร y
x และ y ดังรูป สมการที่ใช้แทนความสัมพันธ์ระหว่าง x และ y
อยู่ในรูปใดต่อไปนี้
ก. y = x − 1 ข. y = a − bx, a, b > 0
ค. y = a − bx2 , a, b > 0 ง. y = a + bx, a, b > 0 x
O
(74) [Ent’38] จากการทดลองวัดความสัมพันธ์ระหว่างเวลา t (วินาที) และระยะทาง s (เมตร)
ของวัตถุที่เคลื่อนที่ ได้ผลดังนี้
t 1 2 3 4
s 2 8 18 32
ถ้าความสัมพันธ์เป็นแบบเส้นตรงแล้ว เราจะทํานายระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ได้ ในขณะที่ t = 1.5
วินาทีได้เท่าใด
(75) [Ent’30] ในการประมาณความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันเส้นตรง ของ x กับ y โดยวิธีกําลังสองน้อย
ที่สุด เมื่อมีข้อมูล (x, y) ดังนี้ (0, 5) , (1, 2) , (2, 1) จงทํานายค่า y เมื่อ x = 1
3

(76) [Ent’ต.ค.43] ถ้า y = mx + c เป็นความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันเพื่อการทํานายรายจ่ายหมวด


บริการลูกค้า (y) จากจํานวนพนักงานของโรงแรม (x) ในจังหวัดหนึ่ง จํานวนข้อมูลที่นํามาสร้าง
ความสัมพันธ์เท่ากับ 5 และมีสมการดังนี้
28 = 5c + 10m และ 67 = 10c + 30m
พิจารณาข้อความต่อไปนี้ ข้อใดถูกหรือผิดบ้าง
ก. ถ้า x = 5 ค่าประมาณของ y = 8.9 ข. X = 5.6
(77) [Ent’31,ต.ค.41] กําหนดให้ความสัมพันธ์ระหว่างรายได้ (x) และรายจ่าย (y) ต่อเดือนของ
ครอบครัวที่อาศัยในอําเภอหนึ่งเป็น y = 200 + 0.85x ถ้าครอบครัว 2 ครอบครัวมีรายได้ต่างกัน
1,000 บาท จะมีรายจ่ายโดยประมาณ ต่างกันเท่าใด
(78) [Ent’ต.ค.42] พิจารณาข้อมูลของ x และ y ดังนี้
x -3 -1 0 1 3
y 0 a a+3 a+4 a+6
เมื่อ a เป็นค่าคงที่ ให้ x และ y มีความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันเป็นกราฟเส้นตรงความชัน 1.55
ถ้า x = 4 จะประมาณค่า y ได้เท่าใด
(79) [Ent’มี.ค.43] ถ้าให้สมการที่ใช้แทนความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันที่ใช้สําหรับประมาณจํานวนห้องพัก
ที่มีแขกมาพัก (แทนด้วย y) จากจํานวนห้องพักที่มีการขอจองล่วงหน้า (x) คือ y = a + 0.75x
โดยที่ X = 40 , Y = 60 ถามว่าถ้า x = 60 แล้ว จํานวนห้องพักที่มีแขกมาพักจริงโดยประมาณ
เท่ากับเท่าใด
[Hint : จากสมการที่ 1 ของสมการเส้นตรง นํา N หารสองข้าง จะได้ Y = mX + c ]

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 393 สถิติ

(80) [Ent’37] จากการสอบถามครอบครัว n ครอบครัว ที่มีรายได้ต่อเดือน 5,000 ถึง 20,000


บาท เกี่ยวกับรายจ่ายต่อเดือน ปรากฏผลดังนี้
รายได้ (พันบาท) : x x 1 x 2 x 3 … xn
รายจ่าย (พันบาท) : y y1 y2 y3 … yn
และมีค่า X = 12 , Y = 5 โดยสมการเส้นตรงที่แทนความสัมพันธ์นี้ตัดแกน y ที่จุด (0, −3) ถ้า
ครอบครัวมีรายได้ 15,000 บาท จะมีรายจ่ายโดยประมาณเป็นเท่าใด
(81) [Ent’35] ถ้าค่าของตัวแปร x และ y คือ
x -1 0 1 2 3
y 1 0 1 3 10
และสมการที่ใช้ประมาณความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวแปรนี้คือ y = kx2 จงหาค่า k
(82) [Ent’36] จากการสอบถามถึงรายจ่ายของครอบครัว 8 ครอบครัว ที่มีรายได้ตั้งแต่ 1,000 ถึง
14,000 บาท ได้สมการที่ใช้แสดงความสัมพันธ์ของรายได้ (X) และรายจ่าย (Y) คือ
Y = 0.636 X + 0.545 พิจารณาข้อความต่อไปนี้ ข้อใดถูกหรือผิดบ้าง
ก. เราสามารถใช้สมการข้างต้นประมาณ S ¢Œo¤ÇÃÃaÇa§! S
รายได้ เมื่อทราบรายจ่าย 1. ¶ŒÒÁÕÊÁ¡Òà Y = ...X... æÊ´§Ç‹Ò㪌·Òí ¹Ò Y eÁ×oè ºo¡¤‹Ò X ÁÒ
ข. ถ้าเพิ่มข้อมูลอีก 7 ครอบครัว สมการที่ ãˌe·‹Ò¹aé¹ äÁ‹ÊÒÁÒöeoÒä»ãªŒ·Òí ¹Ò X ¨Ò¡¤‹Ò Y 䴌 ¶ŒÒoÂÒ¡
ใช้แทนความสัมพันธ์ยังคงเป็นสมการเดิม ·íÒ¹Ò¨aµŒo§ãˌ¤Ù‹oa¹´aºÁÒe¾×èoÊÌҧÊÁ¡ÒÃãËÁ‹ã¹ÃÙ» X = ...Y...
(83) [Ent’33] สมการแสดงความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชัน 2. ¶ŒÒºo¡¤‹Ò X ·Õèe»ÅÕèÂ¹ä» (e¾ièÁ¢Öé¹ËÃ×oŴŧ¡ç䴌) ÁÒãˌ æŌÇ
ระหว่างต้นทุน (Y: พันบาท) กับจํานวนสินค้าที่ผลิต ¶ÒÁ Y ·Õèe»ÅÕèÂ¹ä» ¨a¤i´e©¾Òa m e·‹Ò¹aé¹ ... e¾ÃÒa㹡ÃÒ¿
eʌ¹µÃ§ Êa´Ê‹Ç¹¡ÒÃe»ÅÕè¹æ»Å§¢o§ Y æÅa X ¨a¢Ö鹡aº¤ÇÒÁ
(X: ร้อยชิ้น) คือ Y = 2X + 5 ข้อความต่อไปนี้
ªa¹ m e¾Õ§o‹ҧe´ÕÂÇ (¤‹Ò c äÁ‹Á¼Õ Å)
ข้อใดถูกหรือผิดบ้าง
ก. ถ้าต้นทุนเป็น 7,000 บาท คาดว่าผลิตได้ 100 ชิ้น
ข. ถ้าผลิตเพิ่ม 200 ชิ้น คาดว่าต้นทุนเพิ่ม 4,000 บาท
(84) [Ent’23] ตารางที่กําหนดให้นี้เป็นข้อมูลเกี่ยวกับเงินที่ใช้โฆษณาสินค้าต่อเดือน (X: หมื่นบาท)
และเงินที่ได้จากการขายต่อเดือน (Y: แสนบาท)
x 5 1 3 4 2
y 10 3 6 7 4
หาค่าต่างๆ ได้ดังนี้ Σx = 15 , Σy = 30 , Σx2 = 55 , Σy2 = 210 , Σxy = 107 และ
กําหนดให้สัมพันธ์กันแบบเส้นตรง หากต้องการขายสินค้าให้ได้เดือนละ 12,000,000 บาท ควร
ลงทุนโฆษณาเท่าใด
(85) [Ent’26] จากตารางซึ่งข้อมูลสัมพันธ์กันแบบเส้นตรง พิจารณาว่าข้อความใดถูกหรือผิดบ้าง
x 1 2 3 4
y 2 5 7 8
ก. ถ้า y = 10 ทํานาย x ได้ 4.75 ข. Y
l = 2X + 0.5

(86) [Ent’34] ข้อมูลอนุกรมเวลา (Y) มีค่าดังนี้


พ.ศ. 2526 2527 2528 2529 2530
y 20 30 20 40 60
ถ้า Y สัมพันธ์กับเวลาในลักษณะเส้นตรงแล้ว จะสามารถทํานายค่า Y ในปี 2535 ได้เท่าใด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 394 สถิติ

(87) [Ent’31] มูลค่าอุตสาหกรรมสิ่งทอส่งออกระหว่างปี 2520 ถึง 2524 เป็นดังนี้


พ.ศ. 2520 2521 2522 2523 2524
มูลค่า (ล้านบาท) 1 3 4 5 9
ถ้าพยากรณ์โดยใช้ความสัมพันธ์เส้นตรงแบบกําลังสองน้อยที่สุด จงหามูลค่าส่งออกเฉลี่ย 6 เดือน
แรก ของปี 2525

สูตรสําเร็จของสมการเส้นตรง
ในกรณีทั่วๆ ไป ระบบสมการที่ใช้หาพารามิเตอร์นั้นมักจะแก้หาคําตอบได้ยาก (เนื่องจาก
ความแตกต่างของตัวเลขสัมประสิทธิ์) สําหรับรูปแบบเส้นตรงนั้น เราใช้เมตริกซ์แก้ระบบสมการ
ได้ผลเป็นสูตรสําเร็จดังนี้
1. หาค่า m จากสูตร m = N Σ(xy)2 − Σx Σ2y
N Σ(x ) − (Σx)
2. ต่อจากนั้นอาจหาค่า c โดยอาศัยสมบัติของค่าเฉลี่ยเลขคณิต คือ ใช้สมการ Y = mX + c
(สมการนี้ได้จาก นํา N ไปหารสมการปกติที่ (1) ของรูปแบบเส้นตรง นั่นเอง)

เฉลยแบบฝึกหัด (คําตอบ)
(1) 114.5, 113, 112 ซม. (24) 44.5, 45.93, 46.17 (59.1) 0.3686
(2) ก. ถูก ข. ผิด (25) 57 คะแนน (26) 5 คน (59.2) 0.4788
(3) เบ้ขวา, 4.5, 4, 3 (27) 22, 21 (28) 6 คน (59.3) 0.8603
(4) 40, 70, 70, 120 (29) ง. (30) 26, 20, 29.2 (59.4) 0.0214
(5) 70, 73 คะแนน (31) (4+5+15+18)/4=10.5 (59.5) 0.1170
(6) 55.5 (7) 69 คะแนน (32) 18 (33) 70, 1.2 (60) 89.44
(8) 14 ปี (9) 18 บาท (34) 64-16=48 คะแนน (61) 59.1 คะแนน
(10) 47.4 กก. (11) 8 ตัว (35) 58.83, 74.5 กก. (62) 73.4 คะแนน
(12) 9 ตัว (13) 11.5 (36) 62.23, 76.77 คะแนน, เกรด B (63) ค. (64) 24
(14) 50, 100 คน (15) 10 คน (37) 22 คน (65) 13.5 คะแนน
(16) 192.3+182.3= 374.6 บาท (38) 9, 2.625, 2.67, 3 (66) 0.29
(17) 83 คะแนน (18) 19 (39) (64-4)/2=30 (40) 5 (67) 0.2, 97.73
(19) ผิดทั้ง 2 ข้อ (20) 8/3 (41) 7–3=4 (42) 8 (68) 2.27 (69) ค.
(21.1) 1 (21.2) –1 (43) 11.11 ซม. (44) 14.14 (70) ง. (71) 12
B−A (45) 18, 24, 20.25 (46) 4 (72) 3, 8.91 (73) ข.
(21.3) − 1 2 2 2
4N
(47) mx + ny − ⎛⎜ mx + ny ⎞⎟ (74) 5 เมตร (75) 4
(22.1) 8.6, 8.6, 9.2 m + n ⎝ m + n ⎠ (76) ก. ถูก และ ข. ผิด
(22.2) 61.5, 65.5, 72.83 (48) 96 (49) หญิง, 16.5 / 2 เท่า (77) 850 บาท (78) 11.2
(22.3) 20.5, 20.5, 21.17 (50) 36 (51) ยีห่ ้อ A (79) 75 (80) 7,000 บาท
(22.4) 69.5, 69.98, 70.21 (52) 50, 7.5, 8.95, 11.52 (81) 1 (82) ก. และ ข. ผิด
(22.5) 44.50, 45.93, 46.17 (53) อังกฤษ (54) 19 ปี (83) ก. ผิด และ ข. ถูก
(22.6) 1802, 1791.17, 1770.93 บาท (55) 28.25 ปี (84) 676,000 บาทต่อเดือน
(22.7) 103.25, 103.67, 105.33 บาท (56) 63.5 คะแนน (85) ก. ผิด และ ข. ถูก
(22.8) 67.45, 67.43, 67.35 (57) 5/12 (86) 97 (87) 4.9 ล้านบาท
(23) –0.7 (58) 53.85, 16.15, 37.7

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 395 สถิติ

เฉลยแบบฝึกหัด (วิธีคดิ )
112 + 120 + 114 + 122 + 112 + 110 + 114 + 112 ∴ ข้อมูลทัง้ หมด 10 จํานวน ได้แก่
(1) X =
8 38, 43, 55, 62, 67, 73, 73, 74, 80, 85
916
=
8
= 114.5 ซม. ตอบ Med = (67 + 73) = 70 คะแนน,
2
หรือใช้สมบัติของค่ากลางช่วยคิด โดยการลดทอน Mo = 73 คะแนน
ตัวเลขลงให้คาํ นวณง่ายขึน้ เช่น นํา 115 ไปลบออก (6) ฐานนิยม = 30 แสดงว่า a = 30
ทุกจํานวน กลายเป็น −3, 5, −1, 7, −3, −5, −1, −3 (เพราะต้องมี 30 อย่างน้อย 3 ตัว)
หาค่าเฉลี่ยได้เป็น
−3 + 5 − 1 + 7 − 3 − 5 − 1 − 3 −4 มัธยฐาน = 40 แสดงว่า a + b = 40
= = −0.5 2
8 8
∴ b = 50 → หา X ของข้อมูล
ดังนัน้ (บวก 115 กลับคืนไป) 11, 22, 33, 34, 35, 56, 67, 68, 99, 130
X = −0.5 + 115 = 114.5 ซม. 555
→ X = = 55.5
Med → เรียงลําดับข้อมูลเป็น 10
110, 112, 112, 112,
 114

, 114, 120, 122 (7) ฐานนิยม = 75 เพราะมีผู้ได้คะแนน 75
Med เหมือนๆ กันอยูถ่ ึง 80% ของจํานวนคนทัง้ หมด
∴ Med = 113 ซม. (อยูต่ ําแหน่งตรงกลางพอดี) สมชายได้คะแนน = X = 75 − 6 = 69 คะแนน
และ Mo = 112 ซม. (มีข้อมูลซ้ํามากทีส่ ุด) [ใช้ 75-6 เพราะเป็นโค้งเบ้ซา้ ย ดังนั้น X < Mo ]
(2) A : 1, 2, 2, 3, 3, 3, 4, 4, 5 → XA = 3 และ (8) ไม่จําเป็นต้องคิดละเอียดถึงขนาดหาอายุของแต่
MedA = 3 ละคน เพราะว่า X = 11 ปี →
B : 1, 1, 1, 2, 2, 2, 3, 4, 5, 5, 5, 5 → XB = 3
และ อีก 3 ปีข้างหน้าจะได้ X ใหม่ = 11 + 3 = 14 ปี
MedB = 2.5 ดังนัน้ ก. ถูก และ ข. ผิด [เป็นสมบัติของค่ากลาง คือ ถ้า y = mx + c แล้ว
(3) เรียงลําดับข้อมูล Y = mX + c ด้วย]
1, 1, 2, 2, 2, 3, 3, 3, 3, 4, 4, 5, 5, 5, 6, 7, 8, 8, 9, 9 (9) Y = 7 + 0.25 X ด้วย → ดังนัน้ หาค่า X
X = 4.5 , Med = 4 , Mo = 3
ก่อนได้เลย → X = 32 + 48 + 40 + 56 + 44 = 44
5
การแจกแจงเป็นแบบ “เบ้ลาดทางขวา”
(เพราะข้อมูลส่วนมากไปอยูท่ างค่าน้อย, หรืออาจมอง ∴ Y = 7 + (0.25)(44) = 18 บาท
จาก Mo < Med < X ก็ได้) (10) 3W = H − 15 ด้วย
∑H
(4) A, B, C, D → หา H โดย H =
15
Mo = 70, Med = 70 แสดงว่า B = C = 70 6(159) + 9(156)
= = 157.2 ซม.
จากนั้น หา A กับ D จากพิสยั และ X 15
157.2 − 15
โดย A + 70 + 70 + D = 75 .....(1) → ∴ W =
3
= 47.4 กก.
4
และ D − A = 80.....(2) ∑ xเดิม
(11) จาก Xเดิม =
→ แก้ระบบสมการ ได้ A = 20, D = 100 N
∑ xเดิม
∴ ตอบ ข้อมูล 4 จํานวนได้แก่ 20, 70, 70, 100 → 11 = → ∑ xเดิม = 11 N
N
(5) N = 10, X = 65 ∑ xเดิม + 29
X ใหม่ = = 13
→ ∑ x = 65 × 10 = 650 คะแนน N+1
11N + 29
7 คนแรกได้คะแนนรวม → = 13 → N = 8 ตัว
N+1
55 + 43 + 67 + 80 + 85 + 74 + 38 = 442
(12) ∑ xผิด = 15N
∴ 3 คนที่เหลือ มีคะแนนรวมกัน 208 คะแนน
a , a + 11, a + 11 → 3a + 22 = 208 → a = 62 → ∑ xถูก = 15N − 12 + 21 = 15N + 9
15N + 9
∴ 16 = → N = 9 ตัว
N

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 396 สถิติ

(13) ∑ xผิด = 12 × 10 = 120 (21.3) ∑ x2 = A .....(1)


→ ∑ xถูก = 120 − 8 + 3 = 115 และ ∑ x2 + 4 ∑ x + 4 N = B .....(2)
∴ Xถูก =
115
= 11.5
แทนค่า (1) ใน (2) จะได้ A + 4 ∑ x + 4 N = B
10
N x +N x
ดังนัน้ ∑ x = B − A − 4 N → X = B − A − 1
4 4N
(14) จาก Xรวม = ช ช ญ ญ
Nช + Nญ (22.1) ข้อมูล ความถี่ d CF
Nช(70) + Nญ(55) 3–5 10 -2 10
จะได้ 60 = .....(1)
150 6–8 12 -1 22
และโจทย์กําหนด Nช + Nญ = 150 .....(2) 9 – 11 15 0 37
แก้ระบบสมการได้ Nช = 50 คน, Nญ = 100 คน 12 – 14 5 1 42
15 – 17 3 2 45
(15) สมมติ Nช = Xช = A, Nญ = Xญ = B
สําหรับคิด x
จะได้วา่ A + B = 30 .....(1) สําหรับคิด Med
2 2
และจากสูตร Xรวม จะได้ 50 = A + B .....(2) ⎛ −20 − 12 + 5 + 6 ⎞
X = a + I D = 10 + 3 ⎜ ⎟
3 30 ⎝ 45 ⎠
แก้ระบบสมการ ได้ A = 10, B = 20 = 10 − 1.4 = 8.6
(เพราะโจทย์ระบุว่า A < B ) ∴ ตอบ ชาย 10 คน [หมายเหตุ การคิด X อาจเลือกชัน้ ใดก็ได้ ไม่
(16) 18,630 = 40Xช + 60Xญ จําเป็นต้องคิดตรงตามนี้ แต่คาํ ตอบจะเท่ากันเสมอ]
= 40Xช + 60 (Xช − 10) ⎛ N/2 − ∑ fL ⎞
Med = L + I ⎜
⎝ fMed
⎟ = 8.5 + 3

22.5 − 22
15
( )
จะได้ Xช = 192.3 บาท = 8.5 + 0.1 = 8.6
∴ Xญ = 182.3 บาท รวมกันเป็น 374.6 บาท ⎛ dL ⎞ ⎛ 3 ⎞
Mo = L + I ⎜ ⎟ = 8.5 + 3 ⎜ 3 + 10 ⎟ ≈ 9.2
20(92) + 20(84) + 30(63) + 30(x) d + d ⎝ ⎠
(17) 79 = ⎝ L U⎠
100
[หมายเหตุ การคิด Med กับ Mo ต้องเลือกชัน้ ตามนี้
∴ x = 83 คะแนน เท่านั้น]
(18) พิสยั = 12 และ a < 15 → ดังนัน้ a = 3
∑ (xi − b)2 น้อยสุด → ดังนั้น b = X = 8
(22.2) X = 69.5 + 20 ⎛⎜ −15 − 20 − 15 + 20 ⎞⎟
⎝ 75 ⎠
∑ xi − c น้อยสุด → ดังนั้น c = Medx = 8 = 69.5 − 8 = 61.5

ตอบ 3 + 8 + 8 = 19 ⎛ 37.5 − 30 ⎞
Med = 59.5 + 20 ⎜ ⎟ = 59.5 + 6
⎝ 25 ⎠
(19) ก. a = Medx = 5, b = X = 8 ดังนั้น ก.ผิด = 65.5
ข. ∑ x = N X = (20)(8) = 160 ดังนัน้ ข.ผิด ⎛ 10 ⎞
Mo = 59.5 + 20 ⎜ ⎟ = 59.5 + 13.33 = 72.83
(20) ∑ x + ∑ y = 9 .....(1) ⎝ 10 + 5 ⎠
∑ x − ∑ y = 7 .....(2) ∴ ∑ x = 8, ∑ y = 1
ต้องการ ∑ (xi − a)2 น้อยสุด
(22.3) X = 22 + 5 ( −20 − 12 + 9 + 8
50
) = 22 − 1.5
= 20.5
ดังนัน้ a = X =
∑x = 8/3 ⎛ 25 − 22 ⎞
N Med = 19.5 + 5 ⎜ ⎟ = 19.5 + 1 = 20.5
3
⎝ 15 ⎠
หมายเหตุ ค่า N ได้มาจากบนซิกม่า → ∑ ⎛ 3 ⎞
Mo = 19.5 + 5 ⎜
i=1 ⎟ ≈ 19.5 + 1.67 ≈ 21.17
⎝ 3+6⎠
(21.1) ∑ x2 + 2 ∑ x + ∑ 1 = ∑ x2 − 6 ∑ x + ∑ 9
⎛ −30 ⎞
8 ∑ x = ∑ 9 − ∑ 1 = 180 − 20 (22.4)X = 74.5 + 10 ⎜ ⎟ = 69.5
⎝ 60 ⎠
20
∴ ∑ x = 20 → X = = 1 ⎛ 30 − 29 ⎞
20 Med = 69.5 + 10 ⎜ ⎟ ≈ 69.98
⎝ 21 ⎠
(21.2) ∑ x2 + 2 ∑ x + 8 = 1 .....(1) ⎛ 1 ⎞
Mo = 69.5 + 10 ⎜ ⎟ ≈ 70.21
และ ∑ x2 + 4 ∑ x + 32 = 9 .....(2) ⎝ 1 + 13 ⎠
(2)-(1) ; 2 ∑ x = −16 → ∑ x = −8
→ X = −8 / 8 = −1

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 397 สถิติ

(22.5) X = 44.5 + 10(0) = 44.5 ⎛ 50 − (14 + f1) ⎞


(27) 49.5 = 39.5 + 20 ⎜ ⎟
⎛ 50 − 32 ⎞ ⎝ 28 ⎠
Med = 39.5 + 10 ⎜ ⎟ ≈ 45.93
⎝ 28 ⎠ → f1 = 22 คน
⎛ 16 ⎞ ∴ f2 = 100 − (14 + 22 + 28 + 15) = 21 คน
Mo = 39.5 + 10 ⎜ ⎟ ≈ 46.17
⎝ 16 + 8 ⎠
หรือ ถ้าสังเกตว่า 49.5 อยู่กึ่งกลางชัน้ พอดี
(22.6) ข้อนี้ระวัง ตาราง “ตีลงั กา” แสดงว่าแบ่ง 28 ออกเป็น ฝัง่ ละ 14 คน
⎛ 21 ⎞
X = 1,749.5 + (100) ⎜ ⎟ = 1,802 บาท คือ 14 + f1 + 14 = 50 คน (ซ้าย)
⎝ 40 ⎠

Med = 1,699.5 + 100


12
( 20 − 9
) ≈ 1,791.17 บาท และ 14 + f2 + 15 = 50 คน (ขวา)
ก็จะได้ f1 = 22 , f2 = 21 โดยง่าย..
⎛ 5 ⎞
Mo = 1,699.5 + 100 ⎜ ⎟ ≈ 1,770.93 บาท ⎛ 12.5 − ( 17 − fMed ) ⎞
⎝5+2⎠ (28) 62 = 59.5 + 10 ⎜ ⎟
⎝ fMed ⎠
⎛ −75 ⎞
(22.7)X = 107 + 5 ⎜ ⎟ = 103.25 บาท → fMed = 6 คน
⎝ 100 ⎠
⎛ 50 − 25 ⎞
Med = 99.5 + 5 ⎜
(29) P80 จาก 4,000 คน แปลว่ามีคนที่ได้คะแนน
⎟ ≈ 103.67 บาท
⎝ 30 ⎠ น้อยกว่าอยู่ 80% และมากกว่าอยู่ 20%
⎛ 5 ⎞ ดังนัน้ ข้อ ง. จึงถูก (20% ของ 4,000 = 800 คน)
Mo = 104.5 + 5 ⎜ ⎟ ≈ 105.33 บาท
⎝ 5 + 25 ⎠
ส่วนข้อ ข. นัน้ ไม่เกี่ยวข้องเลย ( P80 ไม่สามารถบอก
(22.8) X = 67 + 3(0.15) = 67.45 กก. ได้ว่าได้กี่คะแนน)
Med = 65.5 + 3 ( 0.50 − 0.23
0.42
) ≈ 67.43 กก. (30) เรียงข้อมูล จากน้อยไปมาก เท่านัน้
0.24 4, 4, 9, 12, 12, 16, 17, 19, 20, 20, 24, 26, 30, 31, 32
Mo = 65.5 + 3 ⎛⎜ ⎞ ≈ 67.35
⎟ กก. 3
⎝ 0.24 + 0.15 ⎠ Q3 อยูต่ ําแหน่งที่ (15 + 1) = 12
4
(23) ข้อมูล -4 -3 1 2 3 6
D6 อยูต่ ําแหน่งที่ (15 + 1) = 9.6
ความถี่ 30 20 10 20 20 10
−4(30) − 3(20) + 1(10) + 2(20) + 3(20) ดังนัน้ Q3 = 26 และ D6 = 20
X = = −0.7
100
P80 อยูต่ ําแหน่งที่ 80 (15 + 1) = 12.8
(24) แปลงข้อมูล 100
คะแนน จํานวนคน
เป็นตาราง ∴ P80 = 26 + (0.8)(4) = 29.2
0–9 5
แล้วจึงคํานวณ 10 – 19 8 (ในกรอบเป็นการเทียบสัดส่วน... 0.8 คือตําแหน่งที่
20 – 29 7 ต้องการ และ 4 คือผลต่างระหว่าง 26 กับ 30)
30 – 39 12 (31) P10 อยูต่ าํ แหน่งที่ 10 (9 + 1) = 1
40 – 49 28 100
50 – 59 20 2
D2 อยูต่ ําแหน่งที่ (9 + 1) = 2
60 – 69 10 10
70 – 79 10 ดังนัน้ P10 = 4 และ D2 = 5
X = 44.5 + 10(0) = 44.5 คะแนน และ P60 = 15, Q3 = 18 (คิดแบบเดียวกัน)
Med = 39.5 + 10 ( 50 − 32
) ≈ 45.93 คะแนน ∴ ค่าเฉลีย ่ = 4 + 5 + 15 + 18 = 10.5
28 4
⎛ 16 ⎞ 6
Mo = 39.5 + 10 ⎜ (32) D6 (13 + 1) = 8.4
อยูต่ าํ แหน่งที่
⎟ ≈ 46.17 คะแนน 10
⎝ 16 + 8 ⎠
∴ 20 = x + (0.4)(23 − x) → x = 18
(25) Med = 49.5 + 10 ( 18 − 12
8
) = 57 คะแนน (33.1) เรียงข้อมูลเป็น
⎛ ⎛ 13 + a ⎞ ⎞ 11, 12, 15, 19, 24, 27, 28, 29, 30
⎜⎜ ⎟ − (3 + a) ⎟
(26) 7 = 6.5 + 3 ⎜ ⎝ 2 ⎠ ⎟ 28 อยูต่ ําแหน่งที่ 7 จาก 9
⎝ 6 ⎠
r
→ a = 5 คน → ∴ (9 + 1) = 7 → r = 70 (P70)
100
(ในกรอบเป็นสมการบอก “ตําแหน่งที”่ )

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 398 สถิติ

(33.2) 15 อยูต่ าํ แหน่งที่ 3 จาก 9 P25 = 100.5 และ Q3 = 110.5


r
→ ∴ (9 + 1) = 3 → r = 1.2 (Q1.2) ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่า 100.5 กับ 110.5 เป็นขอบ
4
ของชัน้ พอดี แสดงว่า ตารางโดนตัดแบ่งเป็น
(34) Q3 อยูต่ าํ แหน่งที่ 3 (32) = 24 อัตราส่วน 1 : 2 : 1 ดังแสดงให้ดู
4
→ 24 = 4 log2 x → x = 64 = Q3 ∴ จะหาค่า x ได้ จาก 1 + 3 + x + 5 = 10 + 4
50 และ ตอบ 1 + 3 + x + 5 + 8 = 14 + 8 = 22 คน
P50 (32) = 16
อยูต่ ําแหน่งที่
100 [หมายเหตุ อาจจะหา x = 5 ก่อนก็ได้, และยัง
→ 16 = 4 log2 x → x = 16 = P50 สามารถหา y ได้โดย 8 + y = 2 (10 + 4) ด้วย]
∴ ตอบ 64 − 16 = 48 คะแนน (38) Range = 21 − 12 = 9
(35) กก. คน CF QD = Q3 − Q1 → ต้องหาค่า Q3 , Q1 ก่อน
31 – 40 3 3 3
41 – 50 7 10 Q3 (6 + 1) = 5.25
อยูต่ ําแหน่งที่
4
51 – 60 24 34 ∴ Q3 = 18 + (0.25)(3) = 18.75
61 – 70 10 44 1
71 – 80 5 49 Q1 (6 + 1) = 1.75
อยูต่ ําแหน่งที่
4
81 – 90 1 50 ∴ Q1 = 12 + (0.75)(2) = 13.5
6 18.75 − 13.5
D6 อยูต่ ําแหน่งที่ (50) = 30 → QD = = 2.625
10 2
⎛ 30 − 10 ⎞ MD กับ SD ต้องหาค่า X ก่อน
∴ D6 = 50.5 + (10) ⎜ ⎟ ≈ 58.83 กก.
⎝ 24 ⎠ 12 + 14 + 14 + 17 + 18 + 21
X = = 16
่ ําแหน่งที่ 92 (50) = 46
P92 อยูต 6
100 4 +2 +2 + 1+2+5
MD = = 2.67
⎛ 46 − 44 ⎞ 6
∴ P92 = 70.5 + (10) ⎜ ⎟ = 74.5 กก.
⎝ 5 ⎠ 42 + 22 + 22 + 12 + 22 + 52
SD = = 9 = 3
(36) 6
F 40% B 40% A 20% ข้อสังเกต QD, MD, SD จะต้องมีค่าใกล้เคียงกัน
P40 P80 (39) Q3 อยูต่ าํ แหน่ง 300
แสดงว่าต้องการทราบค่าคะแนนที่ตรงกับ P40 , P80 → 300 = 100 log4 x → x = 64 = Q3
่ ําแหน่งที่ 40 (40) = 16
P40 อยูต Q1 อยูต่ ําแหน่ง 100
100
→ 100 = 100 log4 x → x = 4 = Q1
→ P40 = 59.5 + 10 ( 16 − 13
11
) ≈ 62.23 คะแนน ∴ QD =
64 − 4
= 30 คะแนน
80 2
P80 อยูต่ ําแหน่งที่ (40) = 32
100 (40) จาก Q3 − Q1 = 2 และ Q3 − Q1 = 2
→ P80 = 69.5 + 10 ( 11 ) 32 − 24
คะแนน ≈ 76.77
จะได้
2
Q1 = 1, Q3 = 5
Q3 + Q1
ดังนั้น
3
P75 = Q3 = 5
∴ ตอบ ตัดเกรดที่ 62.23 กับ 76.77 คะแนน 1+ a +b +5
(41) 1, a, b, 5 → = 4 .....(1)
และถ้าได้ 71 คะแนน จะได้เกรด B 4
(37) และ 32 + (a − 4)2 + (b − 4)2 + 12
= 5 .....(2)
ค่าจ้าง (บาท) จํานวนคน 4
81 – 85 1 แก้ระบบสมการได้ a = 3, b = 7
86 – 90 3
1

91 – 95 x (เพราะโจทย์กาํ หนด a < b ) → ∴b −a = 4


96 – 100 5
: 2 : 1

101 – 105 8
106 – 110 y
111 – 115 10
116 – 120 4

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 399 สถิติ

(42) X = 2QD → หา X ได้เป็น 48 + a (48) Xรวม =


1,320
= 22 คะแนน
7 60
หา QD ได้ 2 กรณี ดังนี้ → กลุ่ม 10 คน X1 = 32, s1 = 0
ก. ถ้าเรียงข้อมูลเป็น 2, a , 4, 6, 9, 12 , 15 → กลุ่ม 50 คน 1,000
X2 =
= 20, s2 = ?
จะได้ QD = 12 − a → a = 4.5 (ผิด) 50
2 10(02 + 322) + 50(s22 + 202)
สูตร 100 + 222 =
ข. ถ้า 4 < a < 12 จะได้ขอ้ มูลเป็น 60
2, 4 , 6 9 , 12 , 15 → s22 = 96 คะแนน 2
(a) (a) (a)
12(150) + 8(Xญ)
(ค่า a อยูท่ ี่ใดทีห่ นึ่งใน 3 ช่องนี)้ (49) สูตร Xรวม = 150 =
20
ซึ่งพบว่า QD = 12 − 4 → a = 8 (ถูก) → Xญ = 150 ซม. ด้วย
2
(43) 90% ของ sจริง = 10 ซม. สูตร s2รวม ไม่ต้องคิด X เพราะสองกลุม่ เท่ากัน
100 12(22) + 8(s2ญ)
→ sจริง = 10 × = 11.11 ซม. → 32 = → Sญ = 16.5
90 20
∑ x2 ∑ x2 สปส.การแปรผัน ⎛s⎞ ญ= 16.5
,ช =
2
(44) 6 = − 422 → = 1,800 ⎜ ⎟
N N ⎝X⎠ 150 150

→ sจริง = 1,800 − 402 = 200 ≈ 14.14 จึงตอบว่า หญิงกระจายมากกว่าอยู่ 16.5 / 2 เท่า


3 + 6 + 9 + 12 + 15 (50) ∑(x − 5)2 = ∑ x2 − 10 ∑ x + 250 = 370
(45) X1 = = 9
5 แทนค่า ∑ x = 60 จะได้ ∑ x2 = 720
3 + 9 + 15 2
และ X2 =
3
= 9 ความแปรปรวน s2 = ∑ x − X2
N
เนื่องจาก X1 = X2 ดังนัน้ สูตรหาความแปรปรวน 720 ⎛ 60 ⎞
2
= −⎜ ⎟ = 36
N1s21 + N2s22 10 ⎝ 10 ⎠
รวม จะลดเหลือเพียง s2รวม =
N1 + N2 (51) การวัดคุณภาพการผลิต ไม่ได้เทียบกันที่ X
2 2 2 2 2
ซึ่งข้อนี้ = 6 + 3 + 0 + 3 + 6 = 18
s21
แต่จะเทียบกันทีก่ ารกระจาย ดังนั้นเราต้องหา s / X
5 2 2
1 + 5 + 1 + 15 + 10
2 2 2

2 2 2 sA = = 70.4 ≈ 8.39
6 + 0 + 6 5
และ s22 = = 24
3 s 8.39
→ = = 0.27
จึงได้ s2รวม = 5(18) + 3(24) = 20.25 X 31
8 2 2 2 2 2 2
6 + 19 + 6 + 16 + 0 + 3
N(5) + N(3) sB = ≈ 116.33
(46) Xรวม = = 4 6
2N
s 10.79
N(02 + 52) + N(s22 + 32) ≈ 10.79 → = = 0.32
สูตร s2รวม 2
→ 3 +4 = 2 X 34
2N
∴ ยี่หอ
้ A คุณภาพดีกว่า (เพราะค่าการกระจาย
→ s2 = 4
น้อยกว่า)
(47) Xช = x, Xญ = y, sช = 0, sญ = 0 (52) Range = 99.5 − 49.5 = 50 คะแนน
(เพราะทุกคนอายุเท่ากันหมด) QD → หา Q3 กับ Q1 ก่อน
จะได้ Xรวม = mx + ny Q3 อยูต ่ ําแหน่งที่ 75 → Q3 = 79.5 (ขอบพอดี)
m+n
m(02 + x2) + n(02 + y2) Q1 อยูต่ ําแหน่งที่ 25 → Q1 = 64.5 (กึ่งกลางชั้น
สูตร s2รวม + X2รวม
=
m+n พอดี) ∴ QD = 79.5 − 64.5 = 7.5 คะแนน
mx2 + ny2 ⎛ mx + ny ⎞
2 2
∴ s2รวม = −⎜ ⎟ ปี
2
m+n ⎝ m+n ⎠

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 400 สถิติ

MD กับ SD X ก่อน
ต้องหา (59.1) 0.3686 (59.2) 0.4788
⎛ −15 ⎞
→ X = 74.5 + (10) ⎜ ⎟ = 73 คะแนน
⎝ 100 ⎠
15(18.5) + 20(8.5) + 40(1.5) + 15(11.5) + 10(21.5)
MD =
100
= 8.95 คะแนน (59.3) 0.3830 + 0.4773 = 0.8603
และ SD =
2 2 2 2 2
15(18.5) + 20(8.5) + 40(1.5) + 15(11.5) + 10(21.5)
100
= 132.75 ≈ 11.52 คะแนน
(59.4) 0.4987 − 0.4773 = 0.0214
(53) z ไทย = 48 − 45 = 0.25
12
35 − 32
zอังกฤษ = = 0.3
10
∴ อังกฤษดีกว่า (59.5) 0.5 − 0.3830 = 0.1170
(54) X = 640 = 16 ปี s = 2 ปี
40
18 − 16
→ zn = = 1 → zข = 1.5
2
s
x − 16 (60) s = 12,
= 0.24 ∴ X = 50
∴ 1.5 = ข → xข = 19 ปี X
2
65 − 50
(55) จากสมบัตวิ ่า ∑ z = 0 ดังนัน
้ x = 65 → z = = 1.25
12
x − 25
zคนสุดท้าย = 0.25 = → x = 28.25 ปี → A = 0.3944 ทางขวา
13
xก − X คิดเป็น P89.44
(56) จาก zก =
s
−5
จะได้ −1.6 = → s = 3.125 คะแนน (61) P10 → A = 0.4 ทางซ้าย
s
x − 72
60 − X → z = −1.29 =
จาก zข = 1.28 = → X = 56 คะแนน 10
3.125
xค − 56 → x = 59.1 คะแนน
∴ 2.4 = → xค = 63.5 คะแนน
3.125 (62) (เหมือนข้อที่แล้ว)
(57) เลือกใช้ 2 ช่องใดๆ คํานวณก็ได้ D3.3 → A = 0.17 ทางซ้าย
แต่ถ้าเลือก z = 0 จะง่าย เพราะได้ x = X เลย x − 80
→ z = −0.44 =
15
นั่นคือถ้า z = 0 → 0 = 60 − X → X = 60 → x = 73.4 คะแนน
s
85 − 60 (63) แปลงทุกข้อให้อยู่ในรูปเดียวกัน
และจาก 1.0 = → s = 25
s
(เช่นแปลงเป็นค่า z ก็ได้)
ดังนัน้ สัมประสิทธิ์การแปรผัน = 25/60 = 5 / 12
ก. P80 → A = 0.3 ทางขวา → z = 0.84
70 − X
(58) 1= → 70 − X = s .....(1) ข. z = 1.50
s
s
= 0.3 → s = 0.3X .....(2) ค. z = 85 − 60 = 2.5
10
X
ง. D7 คือ P70 จึงน้อยกว่า P80 ในข้อ ก. แน่นอน
แก้ระบบสมการได้ X = 53.85 คะแนน
s = 16.15 คะแนน
∴ ตอบ ค.
และ −1 = x − 53.85 → x = 37.7 คะแนน
16.15

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 401 สถิติ

(64) P97.5 → A = 0.475 ทางขวา (68)


xmax − X
→ z = 1.96 = .....(1) A B
10
P33 → A = 0.17 ทางซ้าย 60 x 72 x
xmin − X พื้นที่ A = B แสดงว่า X อยู่กึ่งกลางระหว่าง 60
→ z = −0.44 = .....(2)
10 กับ 72 นั่นคือ X = 60 + 72 = 66 คะแนน
2
(1)-(2); xmax − xmin = 19.6 + 4.4 = 24 60 − 66
ดังนัน้ พิสยั = 24 คะแนน ถ้า x = 60 → z = = −2 →
3
(65) หา Q3 → A = 0.25 ทางขวา พื้นที่ = 0.4773 ซ้าย
Q − 97 ∴ มีคนได้นอ ้ ยกว่า 60 คะแนนอยู่
→ z = 0.675 = 3 .....(1)
20 50 − 47.73 = 2.27%
Q1 → A = 0.25 ทางซ้าย (69) ก ได้ 80 คะแนน
Q − 97
→ z = −0.675 = 1 .....(2) ตรงกับเปอร์เซ็นไทล์ที่ 450 × 100 = 90
20 500
(1)-(2); Q3 − Q1 = 6.75 + 6.75 = 13.5 → A = 0.4 ทางขวา → z = 1.29
2
80 − X
ดังนัน้ QD = 13.5 คะแนน ∴ 1.29 = → X = 54.2 คะแนน
20
(66) (ก.ผิด, ง.ผิด)
0.61 40 − 54.2
ข ได้ 40 คะแนน → zข = = −0.71
20
0.44
0.17
0.33

→ A = 0.2612 ทางซ้าย
3000 5000 x
∴ คิดเป็น P23.88 (ข.ผิด) คือมีคนได้นอ
้ ยกว่า ข.
โจทย์ไม่บอกทั้ง X, s จึงต้องแก้ระบบสมการ
23.88
5,000 − X อยู่ × 500 = 119.4 คน (ค. ถูก)
A = 0.44 → z = 1.56 = .....(1) 100
s
3,000 − X
(70) 900 คน ได้ต่ํากว่า 80 คะแนน
A = 0.17 → z = −0.44 = .....(2) แปลว่า P90 = 80
s
จะได้ s = 1,000 และ X = 3,440 P90 → A = 0.4 ทางขวา

ดังนัน้ สัมประสิทธิ์การแปรผัน = 1,000 ≈ 0.29 → z = 1.3 =


80 − X
→ X = 67 คะแนน
3,440 10
(67)
0.3413
0.4773
0.1587

0.0227

0.4 0.4
54 67 80 x
40 70 x
พิจารณาที่ 54 คะแนน
70 − X 54 − 67
A = 0.4773 → z = 2 = .....(1) → z = = −1.3 → คิดเป็น P10
s 10
40 − X ∴ ก,ข,ค ถูก และ ง.ผิด
A = 0.3413 → z = −1 = .....(2)
s (เพราะมีผู้ได้ 54 ถึง 80 ประมาณ 800 คนพอดี)
จะได้ s = 10, X = 50
10
(71) s = 1 และ s = 3
X 4
∴ สัมประสิทธิ์การแปรผัน = = 0.2
50 ∴ X = 12 และทําให้ Med = 12 ด้วย (โค้งปกติ)
ถ้า x = 30 → z = 30 − 50 = −2
10
แสดงว่ามีนักเรียนที่
ได้คะแนนมากกว่านีอ้ ยู่
47.73 + 50 = 97.73%
-2 0 z

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 402 สถิติ

Q3 − Q 1 Q3 − Q1 2 → m = 2/3
(72) จาก = 2 และ =
2 Q3 + Q1 3 2
∴ Ŷ = (15) − 3 = 7 → ตอบ 7,000 บาท
จะได้ Q3 = 5, Q1 = 1 3
5+1 (81) ∑ y = k ∑ x2 → 15 = k(15) → k = 1
∴X = = 3 (ความสมมาตรของโค้งปกติ)
2 (82) ก. ผิด (ต้องรู้ X ทํานาย Y เท่านั้น)
5−3 ข. ผิด เพราะอีก 7 ครอบครัวไม่น่าจะอยู่บนเส้นตรง
พิจารณาที่ Q3 → z = 0.67 → 0.67 =
s
Y = 0.636X + 0.545 ทุกจุด หรือแบ่งฝั่งกันดึงให้
→ s = 2.985 → s2 ≈ 8.91
เส้นตรงคงอยู่ที่เดิมได้ (น่าจะดึงให้เบนไปจากเดิม)
(73) มีแนวโน้มเป็นเส้นตรง ทีต่ ดั แกน y ทางบวก (83) ก. ผิด (ต้องรู้ X ทํานาย Y เท่านั้น)
และความชันเป็นลบ จึงตอบข้อ ข. ข. ถูก ( Δy = 2 Δx = 2 (2) = 4 → 4,000 บาท)
(74) ∑ y = m ∑ x + cN .....(1)
→ 60 = 10m + 4c
(84) รู้ Y จะทํานาย X ต้องเปลีย่ นตัวแปรเป็นดังนี้
∑ x = m ∑ y + cN, ∑ xy = m ∑ y2 + c ∑ y
∑ xy = m ∑ x2 + c ∑ x .....(2)
จะได้ 15 = 30m + 5c กับ 107 = 210m + 30c
→ 200 = 30m + 10c
17 2
ได้ m = 10, c = −10 ∴ Ŷ = 10X − 10 → ∴m = ,c = −
30 5
ดังนัน้ ที่ 1.5 วินาที Ŷ = 10(1.5) − 10 = 5 เมตร ดังนัน้ X̂ = 17 Y − 2
(75) ∑ y = m ∑ x + cN → 8 = 3m + 3c 30 5
17 2
∑ xy = m ∑ x2 + c ∑ x → 4 = 5m + 3c → X̂ = (120) − = 67.6
30 5
14 ตอบ 676,000 บาท ต่อเดือน
ได้ m = −2, c =
3
14 2 14
(85) ก. รู้ Y ทํานาย X
∴ Ŷ = −2X + ⇒ − + = 4 → 10 = 22m + 4c และ 65 = 142m + 22c
3 3 3
10 5
(76) ก. แก้ระบบสมการได้ m = 1.1, c = 3.4 → m = ,c = −
21 42
Ŷ = 1.1(5) + 3.4 = 8.9 ข้อ ก. ถูก 10 5
ดังนัน้ X̂ = (10) − ≈ 4.64 ผิด
ข. เทียบสมการที่โจทย์ให้มา กับสมการปกติ พบว่า 21 42
∑ y = 28, ∑ x = 10, ∑ xy = 67, ∑ x2 = 30 ข. รู้ X ทํานาย Y
∑x 10 → 22 = 10m + 4c และ 65 = 30m + 10c
∴X = = = 2 ข้อ ข. ผิด
N 5 → m = 2, c = 0.5 ถูก
หมายเหตุ ถ้าโจทย์ให้คํานวณความแปรปรวนก็ทาํ ได้ (86)
2 x -2 -1 0 1 2
โดยใช้สูตร s2 = ∑ x − X2 = 30 − 22 = 2 y 20 30 20 40 60
N 5
(77) Δy = m Δx จาก ∑ y = m ∑ x + cN
→ Δy = 0.85 (1,000) = 850 บาท จะได้ 170 = 5c → c = 34
(78) ∑ y = m ∑ x + cN และจาก ∑ xy = m ∑ x2 + c ∑ x
→ 4a + 13 = (1.55)(0) + (5)c ..... (1) จะได้ 90 = 10m → m = 9
2
∑ xy = m ∑ x + c ∑ x คิดปี 2535 เทียบเป็นค่า X ได้ 7;
→ 3a + 22 = (1.55)(20) + (0)c .....(2) → Ŷ = 9(7) + 34 = 97
ได้ a = 3 → c = 5 (87) กําหนด X = -2, -1, 0, 1, 2 เช่นเดิม
∴ Ŷ = 1.55(4) + 5 = 11.2 จะได้ 22 = 5c → c = 4.4
(79)Y = a + 0.75X ด้วย (สมบัติของ X ) และ 18 = 10m → m = 1.8
→ 60 = a + 0.75(40) → a = 30 คิดปี 2525 เทียบเป็นค่า X ได้ 3;
∴ Ŷ = 30 + 0.75(60) = 75 ห้อง → Ŷ = 1.8(3) + 4.4 = 9.8 ล้านบาท
(80) ตัดแกน y ที่ −3 → c = −3 ดังนัน้ เฉลี่ย 6 เดือนแรก (ครึ่งปี)
9.8
จาก Y = mX + c จะได้ 5 = m(12) − 3 = = 4.9 ล้านบาท
2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 403 ขอสอบเขาฯ แยกตามหัวขอ

¢ŒoÊoºe¢ŒÒÁËÒÇi·ÂÒÅa æ¡µÒÁËaÇ¢Œo
ข้อสอบฉบับที่ 7
ตอนที่ 2
i2/15 ข้อที่ 15
บทที่ 1 เซต
1. นับจํานวนแบบของเซต
d2/25 f1/1 n1/1 p1/10
2. หาจํานวนสมาชิกเกี่ยวกับเพาเวอร์เซต
c1/1 d1/1 g2/1 k2/1
3. คิดชิ้นส่วนแผนภาพเวนน์-ออยเลอร์ หรือโจทย์ปัญหา
c2/21 g1/1 h2/1 i2/1 j2/1 l2/4 o2/1 q2/1

บทที่ 2 ระบบจํานวนจริง
1. ทฤษฎีเศษและทฤษฎีตัวประกอบในพหุนาม
c2/10 h2/3 i2/3 n1/3 o2/3 p2/1
2. แก้สมการและอสมการ ดีกรีสองขึ้นไป หรือมีค่าสัมบูรณ์, การดําเนินการเกี่ยวกับช่วง
c2/2 d2/1 e2/2 g1/2 h2/4 i2/2 j2/2 k2/2 l1/1, 2/5 o2/2 p2/6 q2/3,24
3. ทฤษฎีจํานวนเกี่ยวกับการหารลงตัว, ห.ร.ม. และ ค.ร.น., วิธีของยูคลิด
c2/14 d1/2 e2/3 f2/2 g2/2 j1/1 k2/3 n2/1 p1/7, 2/2 q1/10

บทที่ 3 ตรรกศาสตร์
1. ค่าความจริงของรูปแบบประพจน์, ตรวจสอบการสมมูลกัน, ตรวจสอบสัจนิรันดร์
c2/3 d2/2 g1/3 h2/5 i2/5 j2/4 l2/2 o2/4 q2/6
2. การอ้างเหตุผล ... สมเหตุสมผลหรือไม่, ผลในข้อใดที่ทําให้สมเหตุสมผล
c2/4 d2/3 e2/4 f2/4 l2/3 n2/2
3. หาค่าความจริงของประโยคเปิดที่มีตัวบ่งปริมาณ, หานิเสธของประโยคเปิดที่มีตัวบ่งปริมาณ
e2/5 f2/3 h2/6 j2/3 k2/4,5 n2/3 o2/5 p2/8,9 q2/7
4. การให้เหตุผล (อุปนัย/นิรนัย)
ยังไม่เคยมีในข้อสอบ เนื่องจากเป็นเนื้อหาในหลักสูตรใหม่

บทที่ 4 เรขาคณิตวิเคราะห์
1. การสร้างสมการเส้นตรงจากสิ่งที่กําหนดให้ เช่น จุด, ความชัน, เส้นขนานหรือเส้นตั้งฉาก
c1/2 l2/11 q2/2
2. ภาคตัดกรวยสองรูป ... โดยหาส่วนประกอบจากรูปแรกเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบของอีกรูป
c2/7 d2/8,9 f2/10 i2/11,12 k2/10 n2/7,8 o2/10
3. ภาคตัดกรวยรูปเดียว … หาจุด, พื้นที่, ถามนิยาม, หรือใช้เรื่องอื่นช่วยคิดเช่น อนุพันธ์, ตรีโกณฯ
e1/1, 2/8 f2/9 g1/10,11 h2/11,12 j2/10,11 k2/11 l2/10 o1/3 p1/1, 2/4,7 q1/7,8

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 404 ขอสอบเขาฯ แยกตามหัวขอ

บทที่ 5 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน
1. นับจํานวนความสัมพันธ์จาก A ไป B, จํานวนคู่อันดับ
c2/5 f2/1
2. หาโดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์ (อาจเป็นสมการภาคตัดกรวย), จัดรูปหา r −1
d2/4 f2/5 h2/7 i2/6 l2/8 n2/6 o2/6
3. นับจํานวนฟังก์ชันที่เป็นไปได้ ... เช่น ฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งจาก A ไป B
c2/20,25 e2/21 g1/6 h2/2 i1/1 l2/1 q2/18
4. จัดรูปหา g D f , จัดรูปหา f − 1 , การใช้กราฟของฟังก์ชัน
d2/5 e1/2 f2/25 h2/8 k1/1, 2/6,7,8 l2/7 n2/5 o2/8 p2/10,13 q2/15
5. การแก้ฟังก์ชัน (มี g D f กับ f − 1 ผสมด้วย)
g1/7 i2/8 j2/8 l2/6 n1/2, 2/4 o2/7
6. หาโดเมนและเรนจ์ของ g D f , ฟังก์ชันที่มีโดเมนเป็นเซตจํานวนเต็ม
c2/26 e2/1 g1/5 h2/9 i2/7 j2/6,7 o1/1

บทที่ 6 กําหนดการเชิงเส้น
1. คิดค่าสูงสุดต่ําสุด ... อาจเป็นโจทย์ปัญหาสถานการณ์ หรืออาจมีสมการมาให้เลย
c2/13 d2/12 e2/12 f2/13 g1/15 i2/15 j2/15 l1/5 p1/4 q2/21
2. บอกค่าสูงสุดหรือต่ําสุดมาให้ แล้วให้ย้อนกลับไปหาค่าคงทีใ่ นสมการจุดประสงค์
h2/15 k2/14 n2/14 o2/13

บทที่ 7 ฟังก์ชันตรีโกณมิติ
1. พื้นฐานของตรีโกณมิติ
e2/7 g1/8 j1/2
2. แก้สมการหรืออสมการ, ใช้สูตรผลบวกผลลบ ... อาจปนเรื่องอื่น เช่น อนุกรม, ฟังก์ชัน
c2/27 d2/6 e2/6 i2/4,9,10 j2/9 n2/9 p2/15 q2/8
3. เกี่ยวกับ arc (ให้หาค่า หรือแก้สมการ)
c1/3 d2/7 e2/26 f2/8 g1/9 k1/2 l2/9 n1/4 o1/2 q2/9
4. กฎของ sin, cos (อาจติดมุมผลบวกผลลบ หรือติด arc), การหาระยะทางและความสูง
e2/9 f2/7 h2/10 k2/9 l1/2 o2/9 p1/3

บทที่ 8 ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียลและลอการิทึม
1. การจัดรูปเลขยกกําลัง, ลอการิทึม, และโดเมน เรนจ์
c2/6 d1/3, 2/10,26 f2/11 j2/5 k1/3
2. แก้สมการเอกซ์โพเนนเชียลและลอการิทึม
c2/8 e1/4, 2/10 f1/2 g1/4,12,13 i2/13 j1/3 l1/3 n2/10 o1/4 p1/2 q1/1
3. แก้อสมการ
h1/1, 2/13 i1/2 j2/12 k2/12 l2/12 n2/11 o2/11 p2/14 q2/11

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 405 ขอสอบเขาฯ แยกตามหัวขอ

บทที่ 9 เมตริกซ์
1. การหา det, การแก้สมการเกี่ยวกับ det, สมบัติของ det
c2/12 e2/11 f2/12 g1/14, 2/3 h1/6 i2/14 k1/4 l1/4
2. ไมเนอร์และโคแฟกเตอร์, การใช้โคแฟกเตอร์ช่วยหา det
d1/4 e1/3 f1/3 h1/2 i1/3 n2/12 o2/12 p2/20
3. คํานวณเกี่ยวกับ adj A และ A−1
c2/11 h2/14 j2/13,14 k2/13 l2/13 n2/13 o1/5
4. การดําเนินการตามแถว และแก้ระบบสมการ
d2/11 p1/5 q2/12,13

บทที่ 10 เวกเตอร์
1. การเขียนเวกเตอร์ในรูปผลรวมของเวกเตอร์อื่น
d2/14 e2/14 g2/4 h2/17 j2/17 n2/15 o2/14 p2/25
2. การคูณแบบดอท, การหามุมระหว่างเวกเตอร์
c1/4 f2/14 g1/16 h2/16 i2/17 j2/16 k2/16 l2/14 n1/5 o1/6 q1/5
3. สูตรของขนาดเวกเตอร์ลัพธ์ (กฎของ cos)
d2/13 e2/13 f2/15 i2/16 k2/15 l1/6 p2/5
4. เวกเตอร์ในสามมิติ และการคูณแบบครอส
ยังไม่เคยมีในข้อสอบ เนื่องจากเป็นเนื้อหาในหลักสูตรใหม่

บทที่ 11 จํานวนเชิงซ้อน
1. การบวกลบคูณหาร, การยกกําลัง (เชิงขั้ว), การจัดรูปสมการ
c2/9 e2/15 f2/16 g1/17 h2/18,19 i1/4 j2/18,19 k2/17 n2/16 o2/16 p1/6
2. การถอดราก (เชิงขั้ว)
k2/18 l2/15 o2/15 p2/24
3. ค่าสัมบูรณ์, สมบัติของค่าสัมบูรณ์
d1/5 g1/18 n2/17 q1/9
4. รากคําตอบของสมการพหุนาม
d2/15 e2/16 f2/17 i2/18 l2/16 p2/12 q2/10

บทที่ 12 ทฤษฎีกราฟ
ยังไม่เคยมีในข้อสอบ เนื่องจากเป็นเนื้อหาในหลักสูตรใหม่

บทที่ 13 ลําดับและอนุกรม
1. ลําดับเลขคณิต, ลําดับเรขาคณิต, สูตรอนุกรม
g1/20 h1/3, 2/20 j1/4 k2/19 p2/11 q1/4
2. สูตรของซิกม่า, อนุกรมที่ไม่ใช่เลขคณิตหรือเรขาคณิต
d2/27 e2/17 f2/18 g1/21 n2/19 q2/14
3. ลิมิตของลําดับอนันต์ใดๆ
c2/28 i1/5 o2/17

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 406 ขอสอบเขาฯ แยกตามหัวขอ

บทที่ 14 ลิมิตและความต่อเนื่อง
1. ลิมิตของฟังก์ชัน
h1/4 k2/20 l2/17 n2/18 q2/16
2. ความต่อเนื่องของฟังก์ชัน
c2/15 d2/16 e2/18 f2/26 i2/19 j2/20 l2/18 o2/18

บทที่ 15 อนุพันธ์และการอินทิเกรต
1. หาอนุพันธ์, ความชันเส้นโค้ง, การประยุกต์ของกฎลูกโซ่
c2/16 d1/6 e1/5 f2/6 g1/19,22 h1/7 i2/20 j2/21 k2/21,22 p2/3 q2/4
2. ค่าวิกฤต, จุดสูงสุดต่ําสุด, ช่วงที่เป็นฟังก์ชันเพิ่มและลด, โจทย์ปัญหา
d2/17 f2/19 h2/21 i2/21 l2/20 n1/6 o2/19,20
3. อินทิกรัลไม่จํากัดเขต
c2/18 e2/19,25 f2/20,21 g1/23 h2/22 i2/22 j2/22 l2/19 n2/20 o1/7
4. อินทิกรัลจํากัดเขต
d2/18 h2/23 k1/5, 2/23 l2/21 n2/22 o2/21 p2/16 (q2/5 พื้นที่ใต้กราฟ)
5. พื้นที่ใต้กราฟ
c2/17 g2/5 i1/6 j1/5, 2/23 l2/22 n2/21 p2/23 q2/17

บทที่ 16 ความน่าจะเป็น
1. การนับเบื้องต้น และการเรียงสับเปลี่ยน
c2/1,19 e1/6 f2/22,23 g2/6 h2/24 k1/6 o2/22 q1/3
2. การจัดหมู่
d2/20 i2/23 j2/24 l2/23 n1/8 p1/8
3. ทฤษฎีบททวินาม
d2/19 h1/5 p1/9 q1/2, 2/25
4. ความน่าจะเป็นของการนับเบื้องต้น และการเรียงสับเปลี่ยน
c1/6 d2/21 e2/27 f1/4, 2/27 g1/25 j1/6 k2/24,25 n2/24 o2/23 p2/21,22 q2/20
5. ความน่าจะเป็นของการจัดหมู่
e2/20 g1/24,26 i2/24 j2/25 l1/7, 2/24 n2/23 o2/24 q2/19
6. สมบัติของความน่าจะเป็น
h2/25 i1/7

บทที่ 17 สถิติ
1. ค่ากลางของข้อมูล
c2/23 d2/23 h1/8 i2/26 (l1/8 p2/17 q2/23 ปนกับควอร์ไทล์) q1/6
2. ค่าการกระจายของข้อมูล ... มักจะปนกับเรื่องค่ากลางด้วย
d2/22 e2/23 f2/28 g1/28 i2/25 j2/26,27 k1/7, 2/26 n2/25 o2/26 p2/18
3. ค่ามาตรฐาน, สมบัติของค่ามาตรฐาน
h2/26 j1/7 k2/28 l2/26 n2/26 o2/25
4. การคํานวณเกี่ยวกับพื้นที่ใต้โค้งปกติ
c2/24d2/28e2/28f2/24g2/7h2/27i2/28j2/28k2/27l2/27n2/27o2/27q2/22
5. การประมาณความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชัน
c1/5 e2/22 f1/5 g1/27 i2/27 l2/25 n1/7 o1/8 p2/19

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 407 ขอสอบเขาฯ แยกตามหัวขอ

ตารางสรุป แยกตามฉบับและบทเรียน
หมายเหตุ : สําหรับข้อที่รวมเนือ้ หาหลายบทเรียนด้วยกัน จะจัดไว้ในบทเรียนที่เป็นประเด็นหลักของข้อนัน้ ๆ

ฉบับ c d e f g h i j k l n o p q
เรื่อง ต.ค. มี.ค. ต.ค. มี.ค. ต.ค. มี.ค. ต.ค. มี.ค. ต.ค. มี.ค. ต.ค. มี.ค. ต.ค. มี.ค.
41 42 42 43 43 44 44 45 45 46 46 47 47 48
เซต 1/1 1/1 -- 1/1 1/1 2/1 2/1 2/1 2/1 2/4 1/1 2/1 1/10 2/1
2/21 2/25 2/1
2/2 1/7 1/10
จํานวน 2/10 1/2 2/2 2/2 1/2 2/3 2/2 1/1 2/2 1/1 1/3 2/2 2/1 2/3
จริง 2/14 2/1 2/3 2/2 2/4 2/3 2/2 2/3 2/5 2/1 2/3 2/2 2/24
2/6
ตรรก 2/3 2/2 2/4 2/3 1/3 2/5 2/5 2/3 2/4 2/2 2/2 2/4 2/8 2/6
ศาสตร์ 2/4 2/3 2/5 2/4 2/6 2/4 2/5 2/3 2/3 2/5 2/9 2/7
เรขาคณิต 1/2 2/8 1/1 2/9 1/10 2/11 2/11 2/10 2/10 2/10 2/7 1/3 1/1 1/7
วิเคราะห์ 2/7 2/9 2/8 2/10 1/11 2/12 2/12 2/11 2/11 2/11 2/8 2/10 2/4
2/7
1/8
2/2
2/5
ความสัม 2/20 2/1 1/5 2/2 1/1 1/1 2/1 1/2 1/1
พันธ์+ 2/4 1/2
2/1 2/5 1/6 2/7 2/6 2/6 2/6
2/7 2/7 2/6 2/4 2/6 2/10 2/15
2/25 2/5 2/21 2/25 1/7 2/8 2/7 2/8 2/8 2/7 2/5 2/7 2/13 2/18
ฟังก์ชัน 2/26 2/9 2/8 2/8 2/6 2/8
กําหนด
การเชิง 2/13 2/12 2/12 2/13 1/15 2/15 2/15 2/15 2/14 1/5 2/14 2/13 1/4 2/21
เส้น
ตรีโกณ 1/3 2/6 2/6 2/7 1/8 2/4 1/2 1/2 1/2 1/4 1/2 1/3 2/8
มิติ 2/27 2/7 2/7,9 2/8 1/9 2/10 2/9 2/9 2/9 2/9 2/9 2/9 2/15 2/9
2/26 2/10
เอกซ์โพ+ 2/6 1/3 1/4 1/2 1/4 1/1 1/2 1/3 1/3 1/3 2/10 1/4 1/2 1/1
ลอการิทึม 2/8 2/10 2/10 2/11 1/12 2/13 2/13 2/5 2/12 2/12 2/11 2/11 2/14 2/11
2/26 1/13 2/12
2/11 1/4 1/3 1/3 1/14 1/2 1/3 2/13 1/4 1/4 2/12 1/51/5 2/12
เมตริกซ์ 2/12 2/11 2/11 2/12 2/3 1/6 2/14 2/14 2/13 2/13 2/13 2/12
2/20 2/13
2/14
เวกเตอร์ 1/4 2/13 2/13 2/14 1/16 2/16 2/16 2/16 2/15 1/6 1/5 1/62/5 1/5
2/14 2/14 2/15 2/4 2/17 2/17 2/17 2/16 2/14 2/15 2/14
2/25
จํานวน 1/5 2/15 2/16 1/17 2/18 1/4 2/18 2/17 2/15 2/16 2/151/6 1/9
เชิงซ้อน 2/9 2/15 2/16 2/17 1/18 2/19 2/18 2/19 2/18 2/16 2/17 2/12
2/16 2/10
2/24
ลําดับ+ 2/28 2/27 2/17 2/18 1/20 1/3 1/4
อนุกรม 1/21 2/20 1/5 1/4 2/19 -- 2/19 2/17 2/11 2/14
ลิมิต+ 2/17 2/18 2/18
ความ 2/15 2/16 2/18 2/26 -- 1/4 2/19 2/20 2/20 2/18 -- 2/16
ต่อเนื่อง
2/6 1/19 1/7 1/6 1/5 1/5 2/19 1/6 1/7 2/3 2/4
อนุพันธ์+ 2/16
2/17
1/6 1/5 2/19
2/17 2/19 1/22 2/21 2/20 2/21 2/21 2/20 2/20 2/19 2/16 2/5
อินทิเกรต 2/18 2/18 2/25 2/20 1/23 2/22 2/21 2/22 2/22 2/21 2/21 2/20 2/23 2/17
2/21 2/5 2/23 2/22 2/23 2/23 2/22 2/22 2/21
1/4 1/24 1/2
ความน่า 1/6 2/19 1/6 2/22 1/25 1/5 1/7 1/6 1/6 1/7 1/8 2/22 1/8
1/9 1/3
2/1 2/20 2/20 2/24 2/23 2/24 2/24 2/23 2/23 2/23 2/21 2/19
จะเป็น 2/19 2/21 2/27 2/23
2/27
1/26
2/6 2/25 2/24 2/25 2/25 2/24 2/24 2/24 2/22 2/20
2/25
1/5 2/22 2/22 1/5 1/27 1/8 2/25 2/26
1/7 1/7 1/8 1/7 1/8 2/17 1/6
สถิติ 2/23 2/23 2/23 2/24 1/28 2/26 2/26
2/27 2/27
2/26
2/27
2/25
2/26
2/25
2/26
2/25
2/26 2/18 2/22
2/24 2/28 2/28 2/28 2/7 2/27 2/28 2/28 2/28 2/27 2/27 2/27 2/19 2/23
เลขดัชนี 2/22 2/24 2/24 1/6 2/8 2/28 1/8 1/8 1/8 2/28 2/28 2/28 -- --
--ยกเลิก--
เนื้อหาที่ยังไม่เคยมีในข้อสอบ เนื่องจากเพิ่งเพิ่มในหลักสูตรใหม่ คือ
การให้เหตุผลแบบอุปนัย/นิรนัย, เวกเตอร์ใน 3 มิติ, ทฤษฎีกราฟ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 408 ขอสอบเขาฯ ต.ค.41

¢ŒoÊoºe¢ŒÒÁËÒÇi·ÂÒÅa µ.¤.41 ( c)
ตอนที่ 1 ข้อ 1 – 6 เป็นข้อสอบแบบอัตนัย ข้อละ 2 คะแนน
1. ถ้า A = {∅, 0, 1, {0}, {0, 1}} และ P (A) เป็นเพาเวอร์เซตของ A
แล้ว เซต P (A) − A มีสมาชิกกี่ตัว

2. ถ้า L1 เป็นเส้นตรงที่ผ่านจุด (−2, 0) และ (−1, 2) และ L2 เป็นเส้นตรงที่ผ่านจุดกําเนิดและตั้ง


ฉากกับ L1 แล้ว พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยมที่ล้อมรอบด้วยแกน x เส้นตรง L1 และเส้นตรง L2
เท่ากับกี่ตารางหน่วย
1
3. sec (2 arcsin ) มีค่าเท่ากับเท่าใด
3

4. ให้ u = a i + b j โดย a > 0 ถ้า u ตั้งฉากกับเวกเตอร์ − i + 2 j แล้ว


มุมระหว่างเวกเตอร์ u กับเวกเตอร์ 3 i − j (มุมแหลม) มีขนาดกี่องศา

5. กําหนดให้ ความสัมพันธ์ระหว่างรายได้ ( x ) และรายจ่าย ( y ) ต่อเดือนของครอบครัวที่อาศัยใน


อําเภอหนึ่งมีสมการเป็น y = 200 + 0.85x ครอบครัวสองครอบครัวในอําเภอนี้ซึ่งมีรายได้ต่างกัน
1,000 บาท จะมีรายจ่ายโดยประมาณต่างกันเท่าใด

6. ชาย 3 คน และหญิง 3 คน เข้าคิวในแถวเดียวกันเพื่อซื้อตั๋วภาพยนตร์ ความน่าจะเป็นที่หญิงทั้ง


3 คน จะยืนเรียงติดกันทั้งหมดในแถวมีค่าเท่ากับเท่าใด

ตอนที่ 2 ข้อ 1 – 24 เป็นข้อสอบแบบปรนัย ข้อละ 3 คะแนน


1. จํานวนเต็มบวกทั้งหมดที่หาร 210 ลงตัว มีจํานวนเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 14 2. 15 3. 16 4. 17

3 − x2
2. กําหนดให้ A และ B เป็นเซตคําตอบของอสมการ > 0 และ 2 − x2 < 2
x +2
ตามลําดับ เซตในข้อใดเป็นสับเซตของ B−A
1. {−1.6, 1.6} 2. {−1.7, 1.7}
3. {−1.8, 1.8} 4. {−1.8, 1.7}

3. ประพจน์ ~ p → (q → (r ∨ p)) สมมูลกับประพจน์ในข้อใดต่อไปนี้


1. (~ p) ∨ q ∨ r 2. p ∨ (~ q) ∨ r
3. p ∨ q ∨ (~ r) 4. p ∨ (~ q) ∨ (~ r)
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 409 ขอสอบเขาฯ ต.ค.41

4. พิจารณาการอ้างเหตุผลต่อไปนี้ เมื่อ p, q และ r เป็นประพจน์


ก. เหตุ 1) p ∨ (p ∧ ~ q) ข. เหตุ 1) ~ p → r
2) p → q 2) ~ r ∨ s
ผล q 3) ~ s
ผล p
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก สมเหตุสมผล ข สมเหตุสมผล 2. ก สมเหตุสมผล ข ไม่สมเหตุสมผล
3. ก ไม่สมเหตุสมผล ข สมเหตุสมผล 4. ก ไม่สมเหตุสมผล ข ไม่สมเหตุสมผล

5. กําหนดให้ S = {x | x เป็นจํานวนเต็ม และ x < 5}


3 2 2
x − x − 4x + a
และ f (x) = โดยที่ a ∈ S, b ∈ S
x4 + bx + 4
จํานวนคู่ลําดับ (a, b) ∈ S × S ทั้งหมดที่ทําให้ f (1) = 0 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 15 2. 18 3. 20 4. 22

6. กําหนดให้ f = {(x, y) | y = log (x + 1) + log (x + 2) − log (4 − x2) }


และ g = {(x, y) | y = 2 x − 1 และ x > 0 }
ถ้า Df = โดเมนของ f และ Rg = เรนจ์ของ g
แล้ว Df ∩ Rg เป็นสับเซตของเซตในข้อใดต่อไปนี้
1. [0, 1.5) 2. [0.5, 2.5) 3. [1, 3) 4. [1.5, 4)

7. สมการของพาราโบลาที่มีจุดยอดเป็น (0, −1) และผ่านโฟกัสทั้งสองของวงรี


3x2 + 4y2 − 16y + 4 = 0 ผ่านจุดในข้อใดต่อไปนี้
2 3 1 1
1. ( , 1) 2. ( , 1) 3. ( , 1) 4. ( , 1)
3 2 2 3

8. เซตคําตอบของสมการ log 2 (x2 − x − 4)2 = log 0.1(0.01) เป็นสับเซตของเซตในข้อใดต่อไปนี้


1. R − [−2, 2] 2. R − [−1, 3] 3. [−4, 2] 4. [−3, 3]

9. ถ้า z เป็นจํานวนเชิงซ้อนซึ่ง (1 + i)(z + 1) = −1 แล้ว ส่วนจริงของจํานวนเชิงซ้อน z (z − z)15


เท่ากับข้อใด
1. − 3 2. 3 3. −
1
4. 1
2 2 2 2

10. กําหนด p (x) = x6 + ax3 − x + b โดยที่ a และ b เป็นจํานวนจริง ถ้า x − 1 หาร p (x)
เหลือเศษ −1 และ x + 1 หาร p (x) เหลือเศษ 1 แล้ว x หาร p (x) จะเหลือเศษเท่ากับข้อใด
ต่อไปนี้
1. −1 2. 0 3. 1 4. 2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 410 ขอสอบเขาฯ ต.ค.41

⎡ 1 −1⎤
11. กําหนดให้ A = ⎢ ถ้า B เป็นเมตริกซ์ที่ B = 2A −1 แล้ว
⎣2 1 ⎦

ข้อใดต่อไปนี้เป็นค่าของ det (3 adj B)


1. 6 2. 9 3. 12 4. 18

⎡ x2 − 1 y ⎤
12. ในการสร้างเมตริกซ์ในรูปแบบ ⎢ 0 2 + x⎥ แบบสุ่ม โดย x และ y เป็นสมาชิกของเซต
⎣ ⎦
{−2, −1, 0, 1, 2} ความน่าจะเป็นที่จะได้เมตริกซ์เอกฐาน มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 2 2. 3 3. 2 4. 3
25 25 5 5

13. บริษัทผลิตโทรศัพท์แห่งหนึ่ง ได้ผลิตโทรศัพท์รุ่นใหม่ออกมา 2 รุ่น คือรุ่น P1 และ P2 โดยที่รุ่น


P1 จะขายได้กําไรเครื่องละ 1,000 บาท และรุ่น P2 จะขายได้กําไรเครื่องละ 500 บาท ในแต่ละ
วันบริษัทตั้งใจจะผลิตโทรศัพท์รุ่น P1 ไม่น้อยกว่า 80 เครื่อง และรุ่น P2 ระหว่าง 50 ถึง 100
เครื่อง ถ้าบริษัทมีความสามารถในการผลิตโทรศัพท์ทั้ง 2 รุ่นรวมกันในแต่ละวันไม่เกิน 150 เครื่อง
แล้วบริษัทจะได้กําไรสูงสุดจากการผลิตโทรศัพท์ทั้ง 2 รุ่น เป็นจํานวนเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 105,000 บาท 2. 115,000 บาท 3. 125,000 บาท 4. 130,000 บาท

14. จํานวนสมาชิกในเซต {100, 101, 102, ..., 600} ซึ่งหารด้วย 8 หรือ 12 ลงตัวเท่ากับข้อใด
ต่อไปนี้
1. 84 2. 92 3. 100 4. 125

⎧ 1
⎪ 3x + 1 ,0< x < 1
⎪⎪
15. กําหนดให้ f (x) = ⎨ 1 , x = 1
⎪2 − 5 − x
⎪ , x > 1
⎪⎩ x − 1
พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. xlim
→1
f (x) = lim f (x)

x→1 +
ข. f เป็นฟังก์ชันต่อเนื่องที่ x = 1

ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

16. กําหนด f เป็นฟังก์ชันที่มีอนุพันธ์ และ F (x) = (f(x))3 + 15 ถ้า F (1) = f′ (1) = 4 แล้ว
F′ (1) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้

1. 1 2. 3 3. 8 4. 24
2 2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 411 ขอสอบเขาฯ ต.ค.41

17. พื้นที่ที่ปิดล้อมด้วยเส้นโค้ง y = x2 − 3x + 2 จาก x = 0 ถึง x = 2 เฉพาะส่วนที่อยู่เหนือ


แกน x เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 3 ตารางหน่วย 2. 1
ตารางหน่วย
2 6
2 5
3. ตารางหน่วย 4. ตารางหน่วย
3 6

18. กําหนดให้ f เป็นฟังก์ชันซึ่ง f (2) = −1 , f′(1) = −3 , และ f′′(x) = 3 ทุกค่า x แล้ว f (0) มี
ค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 5 2. 6 3. 12 4. 15

19. ถ้าจัดนักเรียน 6 คน ซึ่งมีเมตตาและปรานีรวมอยู่ด้วยให้เรียงแถวเป็น 2 แบบ แบบที่หนึ่ง


นักเรียนทั้งหมดยืนเป็นแถวตรงโดยที่เมตตาและปรานียืนติดกัน และแบบที่สองนักเรียนทั้งหมดยืน
เป็นวงกลมโดยที่เมตตาและปรานียืนตรงกันข้าม แล้วจํานวนวิธีของการจัดแต่ละแบบแตกต่างกัน
เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 96 2. 120 3. 196 4. 216

20. ให้ A = {1, 2, 3} และ B = {a, b, c, d} แล้ว


จํานวนสมาชิกของเซต { f : A > B | f ไม่เป็นฟังก์ชัน 1−1 } เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 40 2. 34 3. 30 4. 24

21. จากการสํารวจแม่บ้านที่ดูละครโทรทัศน์จํานวน 200 คน ปรากฏว่ามี


65 คน ดูละครเรื่องที่ 1 90 คน ดูละครเรื่องที่ 2
45 คน ดูละครเรื่องที่ 2 เรื่องเดียว 35 คน ดูละครเรื่องที่ 3 เรื่องเดียว
15 คน ดูละครเรื่องที่ 1 และเรื่องที่ 3 35 คน ดูละครเรื่องที่ 2 และเรื่องที่ 3
และมี 30 คน ที่ไม่ได้ดูละครทั้ง 3 เรื่องนี้
ถ้าสุ่มเลือกแม่บ้านจากกลุ่มนี้มา 1 คน แล้วข้อใดต่อไปนี้ผิด
1. ความน่าจะเป็นที่จะได้ผู้ที่ดูละครทั้ง 3 เรื่องนี้ เท่ากับ 0.05
2. ความน่าจะเป็นที่จะได้ผู้ที่ดูละครอย่างน้อยหนึ่งเรื่อง เท่ากับ 0.85
3. ความน่าจะเป็นที่จะได้ผู้ที่ดูละครเรื่องที่ 1 เรื่องเดียว เท่ากับ 0.2
4. ความน่าจะเป็นที่จะได้ผู้ที่ดูละครเรื่องที่ 3 เท่ากับ 0.45

22. ถ้าในปี 2538 นายเสริมได้รับเงินเดือน เดือนละ 16,000 บาท และในปี 2541 นายเสริมได้รับ
เงินเดือนใหม่เป็น 24,000 บาท โดยที่ดัชนีราคาผู้บริโภคของปี 2541 เทียบกับปี 2538 มีค่าเท่ากับ
125 พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ถ้านายเสริมได้รับการปรับเงินเดือนขึ้นตามดัชนีราคาผู้บริโภค แล้วนายเสริมควรได้รับ
เงินเดือนใหม่เท่ากับ 25,000 บาท
ข. รายได้ที่แท้จริงของนายเสริมในปี 2541 เมื่อเทียบกับปี 2538 เท่ากับ 19,200 บาท
ข้อใดต่อไปนี้ถูกต้อง
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 412 ขอสอบเขาฯ ต.ค.41

23. ข้อมูลชุดหนึ่งเรียงลําดับจากน้อยไปมากได้เป็น 10, 20, 30, 30, a, b, 60, 60, 90, 120
ถ้าฐานนิยมและมัธยฐานของคะแนนชุดนี้เป็น 30 และ 40 ตามลําดับ
แล้วข้อมูลชุดต่อไปนี้คือ 11, 22, 33, 34, a+5, b+6, 67, 68, 99, 130 มีค่าเฉลี่ยเลขคณิตเท่ากับ
ข้อใดต่อไปนี้
1. 50 2. 55.5 3. 60 4. 60.5

24. ถ้าน้ําหนักแรกเกิดของเด็กไทยมีการแจกแจงปกติ โดยในปี 2533 มีน้ําหนักเฉลี่ย 2,500 กรัม


และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเป็น 250 กรัม และในปี 2540 มีน้ําหนักเฉลี่ย 3,240 กรัม และส่วน
เบี่ยงเบนมาตรฐานเป็น 200 กรัม น้ําหนักแรกเกิดของเด็กไทยที่อยู่ในตําแหน่งเปอร์เซ็นไทล์ที่ 97.73
ในปี 2533 จะอยู่ในตําแหน่งเปอร์เซ็นไทล์ตามข้อใดต่อไปนี้ในปี 2540
กําหนดตารางแสดงพื้นที่ใต้โค้งปกติดังนี้
z 1.0 1.2 2.0 2.2
A 0.3413 0.3849 0.4773 0.4861
1. 11.51 2. 38.49 3. 48.61 4. 61.51

ตอนที่ 3 ข้อ 25 – 28 เป็นข้อสอบแบบปรนัย ข้อละ 4 คะแนน


25. ถ้า A = {1, 2, 3, 4, 5, 6} และ B = {1, 2, 3} แล้ว
จํานวนฟังก์ชัน f : A > B ทั้งหมดซึ่ง f (1) ≠ 1 หรือ f (2) ≠ 2 หรือ f (3) ≠ 3
เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 530 2. 612 3. 702 4. 814

26. ให้ I เป็นเซตของจํานวนเต็ม ถ้า f และ g เป็นฟังก์ชันซึ่งกําหนดโดย f (x) = 2x และ


g(x) = x − 1 ทุก x ∈ I แล้ว เรนจ์ของ (f D g) + f คือเซตในข้อใดต่อไปนี้

1. { x ∈ I | x เป็นจํานวนเต็มคี่ } 2. { x ∈ I | x เป็นจํานวนเต็มคู่ }
2 2
3. เซตของจํานวนเต็มคี่ทั้งหมด 4. เซตของจํานวนเต็มคู่ทั้งหมด

27. ให้ S = (−
π , π) และ F (x) = sin2 x + sin4 x + sin6 x + ... โดย x ∈ S
2 2
ถ้า a เป็นสมาชิกของเซต S ที่น้อยที่สุดที่ทําให้ F (a) < 1 แล้ว F (a) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 0 2. 1 3. 1
4. 1
4 2

28. ให้ f (x) = x8 − x6 และ f′ คืออนุพันธ์ของ f


ถ้า {an} เป็นลําดับซึ่งมี nlim
→∞
an = 1 แล้ว lim (f D f′)(an) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
n→∞

1. 68 2. 92 3. 150 4. 192

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 413 ขอสอบเขาฯ ต.ค.41

เฉลยคําตอบ
ตอนที่ 1 (1) 29 (2) 0.8 (3) 3 (4) 45 (5) 850 (6) 0.2
ตอนที่ 2 (1) 3 (2) 3 (3) 2 (4) 1 (5) 3 (6) 2 (7) 1 (8) 4 (9) 4
(10) 1 (11) 3 (12) 4 (13) 3 (14) 1 (15) 2 (16) 2 (17) 4 (18) 1 (19)
4 (20) 1 (21) 4 (22) 3 (23) 2 (24) 1
ตอนที่ 3 (25) 3 (26) 1 (27) 4 (28) 4

เฉลยวิธีคิด
ตอนที่ 1 (4) หามุมระหว่าง − i + 2j กับ 3i − j ก่อนเลย
(1) P(A) มีสมาชิก 25 = 32 ตัว, โดยการดอทกัน
A มีสมาชิก 5 ตัว −1)(3) + (2)(−1) = (−1)2 + 22 32 + (−1)2 cos θ
(

แต่สมาชิกของ A ที่อยู่ใน P(A) นั้นมี 3 ตัว


ดอทด้วยตัวเลข ดอทด้วยขนาดและมุม
คือ ∅, {0}, {0, 1} 1
→ cos θ = − ∴ θ = 135°
∴ n [P(A) − A ] = 32 − 3 = 29 ตัว ตอบ 2

(2) mL1 = 2 − 0 = 2 → ∴ mL2 = − 1 และเนือ่ งจาก u ทํามุม 90° กับ − i + 2j


(−1) − (−2) 2
−i + 2j
1 ∴ มุมแหลมระหว่าง u
แสดงว่าสมการ L2 คือ y = − x (ผ่านจุด O)
2 u กับ 3 i − j คือ 45°
45° 3i − j ตอบ
(-8/5,4/5)
-2 O (5) y = 200 + 0.85x ดังนั้น Δy = 0.85 Δx
L1 L2 ถ้า Δx = 1,000 จะได้ Δy = 850 บาท ตอบ
สมการ L1 คือ y = 2(x + 2) = 2x + 4 (6) วิธที ั้งหมด คือ 6!
วิธีทตี่ อ้ งการคิด (ญ ติดกันหมด) คือ 4! 3!
หาจุดตัดของสองเส้นตรงได้ (− 8 , 4) ช ช ช ญญญ
5 5
1 4 (รวมผู้หญิงไว้ด้วยกัน สลับรวมกับผู้ชายภายนอกได้
พื้นที่ Δ = × ( ) × (2) = 0.8 ตร.หน่วย ตอบ
2 5 4! และสลับภายในกลุ่มผูห้ ญิงกันเอง 3!)
(3) หา cos(2 arcsin 1 ) ก่อน ดังนัน้ ความน่าจะเป็น = 4 ! 3 ! = 0.2 ตอบ
3 6!
1 ตอนที่ 2
ให้ arcsin = A จะได้
3 (1) 210 = 21 × 31 × 51 × 71
2
⎛ 1 ⎞ 1 ดังนัน้ จํานวนเต็มบวกที่หารลงตัว
cos(2A) = 1 − 2 sin2 A = 1 − 2 ⎜ ⎟ = 3
⎝ 3 ⎠ มีอยู่ 2 × 2 × 2 × 2 = 16 จํานวน ตอบ
1 1 (หมายเหตุ วิธีคดิ จากเนือ้ หาเรื่องความน่าจะเป็น คือ
∴ sec(2 arcsin )= = 3
3 cos(2A)
แยกตัวประกอบให้เป็นจํานวนเฉพาะ แล้วนําเลขชี้
กําลังแต่ละตัวมาบวกหนึง่ แล้วคูณกันทัง้ หมด)
2
(2) A; x − 3 < 0 → (x − 3)(x + 3) < 0
x+2 x +2
เขียนเส้นจํานวนได้ A = (−∞, −2) ∪ [− 3, 3]
B; x2 − 2 < 2 → −2 < x2 − 2 < 2
→ 0 < x2 < 4 → −2 < x < 2 → B = [−2, 2]
จะได้ B − A คือช่วง [−2, − 3) ∪ ( 3, 2]
ซึ่ง 3 ≈ 1.732 ดังนัน้ ตอบ ข้อ 3.
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 414 ขอสอบเขาฯ ต.ค.41

(3) ~ p → (q → (r ∨ p)) ≡ p ∨ (~ q ∨ (r ∨ p)) (8) log2(x2 − x − 4)2 = log0.1(0.1)2 = 2


≡ p ∨ (~ q) ∨ r ตอบ → (x2 − x − 4)2 = 22 = 4
(4) ก. ใช้วธิ ีตรวจสอบสัจนิรนั ดร์ ถ้าเหตุเป็นจริงทุก x2 − x − 4 = 2 หรือ −2
ข้อและผลเป็นเท็จได้ จะไม่สมเหตุสมผล นั่นคือ x − x − 6 = 0 หรือ x2 − x − 2 = 0
2

... จากผล q บังคับให้เป็นเท็จ นําไปคิดที่เหตุ 2 แยกตัวประกอบ ได้เป็น (x − 3)(x + 2) = 0 หรือ


บังคับให้เหตุเป็นจริง จะได้ว่า p ต้องเป็นเท็จด้วย แต่ (x − 2)(x + 1) = 0
เมื่อนําค่าความจริงของ p กับ q ไปคิดที่เหตุ 1 พบว่า
เป็นเท็จเสมอ ดังนั้นเราไม่สามารถทําเหตุเป็นจริงทุก ดังนัน้ x = −1, −2, 2, 3 ตอบ ข้อ 4.
ข้อและผลเป็นเท็จได้ ข้อนี้จึงสมเหตุสมผล (9) (z + 1) = − 1 → z + 1 = − 1
1+i 1−i
ข. จากเหตุ 1 คือ ~ p → r รวมกับเหตุ 2 คือ 1 1+i 3 i
→ z = − −1 −1
= − = − −
~ r ∨ s ≡ r → s จะได้ผลเป็น ~ p → s นําไปรวม 1−i 2 2 2
กับเหตุ 3 คือ ~ s ได้ผลสรุปเป็น p ตรงกับที่ให้มา จะได้วา่ z (z − z)15 = ⎜⎛ − 3 − i ⎟⎞ (−i)15
⎝ 2 2⎠
ในโจทย์ ดังนั้นข้อนีส้ มเหตุสมผล ตอบ ข้อ 1.
(5) S = {−5, −4, −3, −2, −1, 0, 1, 2, 3, 4, 5}
⎛ 3 i⎞
= ⎜ − − ⎟ (i) = ⎜ − ⎛ 3i 1⎞
+ ⎟ ตอบ 1
⎝ 2 2⎠ ⎝ 2 2⎠ 2
2 2
ถ้า f(1) = 0 → 1 − 1 − 4 + a = a − 4 = 0 (10) x −1 หาร p(x) เหลือเศษ −1
1+b + 4 b+5 → p(1) = −1 → 1 + a − 1 + b = −1 .....(1)
a เป็น 2 หรือ -2 และ b ห้ามเป็น -5 x+1 หาร p(x) เหลือเศษ 1
จํานวนวิธีเลือก a กับ b เป็น 2 กับ 10 ตามลําดับ
→ p(−1) = 1 → 1 − a + 1 + b = 1 .....(2)
จึงตอบ 2 × 10 = 20 ตอบ
(6) Df; x + 1 > 0 และ x + 2 > 0 แก้ระบบสมการได้ a = 0, b = −1
และ 4 − x2 > 0 (โดเมนของฟังก์ชัน log) ดังนัน้ p(0) = b = −1 ตอบ
แสดงว่า x > −1 และ x > −2 และ −2 < x < 2 (11) หา adj B ก่อน โดย adj B = adj (2A−1)
อินเตอร์เซคกันได้เป็น Df = (−1, 2) และข้อนี้ det (A) = 3
Rg; จาก x > 0 จะได้ x − 1 > −1 adj A adj (2A −1)
จาก = A −1 → = (2A −1)−1
ทําให้ 2x − 1 > 2−1 → y > 1/2 A 2A −1
จึงได้วา่ Rg = [0.5, ∞) adj (2A −1) 1
→ = A
22 / 3 2
สรุป Df ∩ Rg = [0.5, 2) ตอบ ข้อ 2.
2
(7) จัดรูปวงรีกอ่ น 3x2 + 4 (y2 − 4y + 4) = −4 + 16 ดังนัน้ adj B = adj (2A −1) = A
3
x2 (y − 2)2 โจทย์ถาม det (3 adj B) = det (2A) = 22(3)
→ 3x2 + 4 (y − 2)2 = 12 → + = 1
4 3 = 12 ตอบ
จุดศูนย์กลาง (0,2) รีตามแกน x และมีระยะโฟกัส (12) det = 0 → (x2 − 1)(2 + x) = 0
c = 4−3 = 1
→ x = 1 หรือ −1 หรือ −2
ดังนัน้ จุดโฟกัสได้แก่ (1,2) และ (-1,2) ดังนัน้ เลือก x ได้ 3 วิธี และ y เป็นอะไรก็ได้ (5
ต่อมาคิดพาราโบลา
จากรูปพบว่าเป็นพาราโบลาหงาย (-1,2) (1,2) วิธี) ความน่าจะเป็น = 3 × 5 = 3 ตอบ
5×5 5
ตามสมการ y − k = 4c(x − h)2 (13) กําไร = 1,000x + 500y
→ y + 1 = 4cx2 V(0,-1) เมื่อผลิต P1 x เครือ่ ง
หาค่า c โดยแทนจุดที่ผา่ น และ P2 y เครือ่ ง
คือ (1,2) ลงไป ได้ 4c = 3 100 (80,70)
เงื่อนไขได้แก่ x > 80,
2 2
สมการพาราโบลาเป็น y + 1 = 3x → y = 3x − 1 50 < y < 100, 50 (100,50)
ตอบ ข้อ 1. x + y < 150
(80,50)
O 80
จากกราฟพบว่า (80, 70) → กําไร 115,000 บาท
(100, 50) → กําไร 125,000 บาท (สูงสุด) ตอบ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 415 ขอสอบเขาฯ ต.ค.41

(14) (18) f′′(x) = 3 → f′(x) = 3x + C1


แต่ f′(1) = −3 ∴ C1 = −6 → f′(x) = 3x − 6
A B 3x 2
→ f(x) = − 6x + C2
หาร8ลงตัว หาร12ลงตัว 2
ภายใน A มี 104, 112, 120, ..., 600 แต่ f(2) = −1 ∴ C2 = 5 → f(0) = 5 ตอบ
คือเริ่มจาก 8x13 ถึง 8x75 รวม 63 ตัว (19) จัดแถวตรงได้ 5!2! = 240 วิธี
ภายใน B มี 108, 120, 132, ..., 600 (5! คือสลับภายนอก
คือเริ่มจาก 12x9 ถึง 12x50 รวม 42 ตัว และ 2! คือสลับภายในกันเอง)
และภายใน A ∩ B (คือหาร ค.ร.น.=24 ลงตัว) จัดวงกลมได้ 4! = 24 วิธี
มี 120, 144, ..., 600 (สองคนวางตรงข้ามกันตรงไหนก็ได้
เริ่มจาก 24x5 ถึง 24x25 รวม 21 ตัว จัดเฉพาะคนอืน่ ที่เหลือเป็นเส้นตรง)
ตอบ n (A ∪ B) = 63 + 42 − 21 = 84 ดังนัน้ ต่างกัน 216 วิธี ตอบ
1 1 (20) วิธที ั้งหมด - วิธีที่เป็นหนึ่งต่อหนึง่
(15) xlim f (x) = lim = = (4 × 4 × 4) − (4 × 3 × 2) = 40 วิธี ตอบ
→1 x→1
− −
3x + 1 4
2− 5−x (21)
และ lim f (x) = lim+ “2”
x → 1+ x→1 x−1 “1”
A B E
⎛2 − 5 − x ⎞ ⎛2 + 5 − x ⎞ 45
= lim+ ⎜ ⎟⎜ ⎟ C D F 35
x→1 ⎜ x − 1 ⎠⎟ ⎝⎜ 2 + 5 − x ⎠⎟

G
⎛ 4−5+x ⎞ 1 H “3” 35
= lim+ ⎜ ⎟ = lim+ 30
x → 1 ⎝ (2 + 5 − x)(x − 1) ⎠ x → 1 (2 + 5 − x)

1 1 A + B + C + D = 65
= = ดังนัน้ ก. ถูก
2+2 4 แต่ C + D = 15 ดังนั้น A + B = 50
1
แต่ f(1) = 1 ไม่เท่ากับ ดังนัน้ ข. ผิด ตอบ และจะได้ว่า
4
200 − H = (A + B) + E + (D + F) + G + C
1
(16) F(x)
′ = ((f(x))3 + 15)−1/ 2 ⋅ 3(f(x))2 ⋅ f′(x) 200 − 30 = 170 = 50 + 45 + 35 + 35 + C
2
แทนค่า x ด้วย 1 จะได้ จะได้C =5
1 ∴ D = 10 → F = 25
′ ) = ((f(1))3 + 15)−1/ 2 ⋅ 3(f(1))2 ⋅ f′(1)
F(1
2 หา B จาก 90 − 35 − 45 = 10 → A = 40
หาค่า f(1) จาก F (x) = (f(x))3 + 15
1. ดูทงั้ สามเรือ่ ง 10 = 0.05 ถูก
200
F (1) = (f(1))3 + 15 = 4 ดังนั้น f (1) = 1
170
1 3 2. ดูอย่างน้อยหนึ่งเรือ่ ง = 0.85 ถูก
แทนค่า F(1
′ )= (1 + 15)−1/ 2 ⋅ 3(1)2 ⋅ 4 = ตอบ 200
2 2
(17) หาจุดตัดแกน x ได้เป็น x = 1, 2 3. ดูเรื่องทีห่ นึง่ เท่านั้น 40 = 0.2 ถูก
200
วาดกราฟคร่าวๆ ได้ดงั นี้ 5 + 35 + 35
4. ดูเรือ่ งที่สาม = 0.375 ผิด ตอบ
พื้นที่เหนือแกน x เท่ากับ 200
1
(22) ก. 16,000 × 125 = 20,000 บาท
0
∫ (x2 − 3x + 2) dx 100
100
⎡ x3 3x2 ⎤
1 ข. 24,000 × = 19,200 บาท
= ⎢ − + 2x ⎥ 0 1 2 125
⎣3 2 ⎦ 0 ตอบ ก. ผิด ข. ถูก
1 3 5
= − +2 = ตารางหน่วย ตอบ
3 2 6

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 416 ขอสอบเขาฯ ต.ค.41

(23) 10, 20, 30, 30, a, b, 60, 60, 90, 120 (27) F (a) < 1 → sin2 a + sin4 a + sin6 a + ... < 1
ฐานนิยม = 30 แสดงว่า a = 30 sin2 a sin2 a − 1 + sin2 a
<1 → <0
(เพราะมี 60 อยู่สองตัว ดังนัน้ 30 ต้องมีมากกว่า 1 − sin2 a 1 − sin2 a
สองตัว) 2 sin2 a − 1
>0
มัธยฐาน = 40 = a + b ดังนั้น b = 50

sin2 a − 1
2
11 + 22 + 33 + 34 + ... + 120 500 + 55 แยกตัวประกอบแล้วเขียนเส้นจํานวน ได้เป็น
X = = 1 1
10 10 sin a ∈ (−∞, −1) ∪ [− , ] ∪ (1, ∞)
= 55.5 ตอบ 2 2

(24) ปี 2533; P97.73 → A = 0.4773 ทางขวา แต่เงือ่ นไขของ sin จึงได้ sin a ∈ [− 1 , 1 ] เท่านัน้
2 2
x − 2500
z = 2.0 = ดังนั้น x = 3000 กรัม
250
3000 − 3240
ปี 2540; x = 3000 → z = = − 1.2
200
→ A = 0.3849 ทางซ้าย
จะได้ P50 − 38.49 = P11.51 ตอบ −
π = a
4
(25) ใช้วิธีลบออกด้วยนิเสธ คือ จํานวนวิธีทงั้ หมด
หาก a ∈ (−
π , π) ค่า a ที่นอ้ ยทีส่ ุดคือ π
ลบด้วยวิธที ี่ “f(1)=1 และ f(2)=2 และ f(3)=3” 2 2

4
= (3 × 3 × 3 × 3 × 3 × 3) − (1 × 1 × 1 × 3 × 3 × 3)
π sin2(−π / 4)
= 702 วิธี ตอบ ∴ F (a) = F(− ) =
4 1 − sin2(−π / 4)
ตอนที่ 3 1/2
(26) (fog)(x) + f(x) = 2(x − 1) + 2x = 4x − 2 = = 1 ตอบ
1 − 1/2
โดย x ∈ I (28) nlim (fof′)(an) = lim f(8an7 − 6a5n )
ดังนัน้ Rfog + f = {±2, ±6, ±10, ±14, ...} ตอบ ข้อ 1. →∞
7 5 8
n→∞
7 5 6
= lim [(8an − 6an ) − (8an − 6an ) ]
n→∞

ซึ่งเราทราบว่า nlim
→∞
an = 1 ดังนัน

ตอบ (8 − 6)8 − (8 − 6)6 = 192

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 417 ขอสอบเขาฯ มี.ค.42

¢ŒoÊoºe¢ŒÒÁËÒÇi·ÂÒÅa ÁÕ.¤.42 (d)


ตอนที่ 1 ข้อ 1 – 6 เป็นข้อสอบแบบอัตนัย ข้อละ 2 คะแนน
1. ถ้า A = {1, 2, 3, 4, ...}
และ B = {{1, 2}, {3, 4, 5}, 6, 7, 8, ...}
แล้ว (A − B) ∪ (B − A) มีสมาชิกกี่ตัว

2. ถ้า A = { p | p เป็นจํานวนเฉพาะบวก และ p|(980−p)3 }


แล้วผลบวกของสมาชิกทั้งหมดใน A มีค่าเท่าใด

3. log 10 28 − log 1 325 + log 1 91 มีค่าเท่าใด


10 100

⎡ x y 0⎤
4. ถ้า A = [aij ]3 × 3 = ⎢ 1 2 0⎥ , det A = 1 และโคแฟกเตอร์ของ a21 = 3
⎢ ⎥
⎢⎣ −1 −x 1 ⎥⎦
แล้ว det (A + I) เท่ากับเท่าใด
(เมื่อ I เป็นเมตริกซ์เอกลักษณ์ขนาด 3×3)

5. ถ้า z เป็นจํานวนเชิงซ้อนซึ่ง (7 − 24 i)(3 + 4 i) z 6 = 1 แล้ว zz มีค่าเท่าใด

6. ให้ f เป็นฟังก์ชันที่หาอนุพันธ์ได้ และ f (3) = −2 , f′(3) = 5

ถ้า g(x) = f2(x) แล้ว g(3)′ มีค่าเท่าใด


x +1

ตอนที่ 2 ข้อ 1 – 24 เป็นข้อสอบแบบปรนัย ข้อละ 3 คะแนน


1. ให้ S เป็นเซตของจํานวนจริง m ทั้งหมด
ที่ทําให้เส้นตรง y = mx ตัดกับวงกลม x2 + y2 − 10x + 16 = 0
ขอบเขตบนค่าน้อยที่สุดของ S คือจํานวนในข้อใดต่อไปนี้
1. 1 2. 2 3. 3 4. 4
2 3 4 5

2. กําหนดให้ p, q และ r เป็นประพจน์


ประพจน์ ~ [(p ∧ q) → (~ q ∨ r)] สมมูลกับประพจน์ในข้อใดต่อไปนี้
1. p ∧ ~ (q → r) 2. ~ q ∨ (~ p ∧ r)
3. ~ (p ∧ q) ∧ (q ∧ r) 4. ~ (p ∧ q) → (q ∧ ~ r)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 418 ขอสอบเขาฯ มี.ค.42

3. พิจารณาการให้เหตุผลต่อไปนี้
ก. เหตุ 1) p → (q → r) ข. เหตุ 1) p → (q → ~ s)
2) p 2) p ∧ s
3) ~ r → q ผล q
ผล r→t
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก และ ข สมเหตุสมผล 2. ก สมเหตุสมผล แต่ ข ไม่สมเหตุสมผล
3. ก ไม่สมเหตุสมผล แต่ ข สมเหตุสมผล 4. ก และ ข ไม่สมเหตุสมผล

4. กําหนดให้ r เป็นความสัมพันธ์ในเซตของจํานวนจริง
1 − x2
โดยที่ r = {(x, y) | y = } ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1 + x2
1. Dr = [−1, 1], Dr −1 = [−1, 1] 2. Dr = [−1, 1], Dr −1 = [0, 1]

3. Dr = [0, 1], Dr −1 = [−1, 1] 4. Dr = [0, 1], Dr −1 = [0, 1]

5. กําหนดให้ f (x) = x และ A = { x ∈ R | f −1(x) + [f (x)] 2 = 2 }


พิจารณาค่าความจริงของข้อความต่อไปนี้
ก. ∃x ∈ A [ x2 − x − 6 = 0 ] ข. ∀x ∈ A [ x2 + 2x − 3 = 0 ]
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. จริง ข. จริง 2. ก. จริง ข. เท็จ
3. ก. เท็จ ข. จริง 4. ก. เท็จ ข. เท็จ

6. ถ้า 1 + cos2 θ + cos4 θ + ... = a โดยที่ a เป็นจํานวนจริง


แล้ว cos (π − 2θ) sin(π − 2θ) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
2
2 2 2 2
⎛a − 2⎞ ⎛a − 2⎞ ⎛ a ⎞ ⎛ a ⎞
1. −⎜ ⎟ 2. ⎜ ⎟ 3. − ⎜⎜ ⎟⎟ 4. ⎜⎜ ⎟⎟
⎝ a ⎠ ⎝ a ⎠ ⎝a + 2⎠ ⎝a + 2⎠

7. ให้ A เป็นเซตคําตอบของสมการ cos (2 arcsin x) + 2 = 4 sin 2(arccos x)


ข้อใดต่อไปนี้คือผลคูณของสมาชิกในเซต A
1. − 1 2. − 1 3. 1
4. 1
4 2 4 2

8. ถ้าไฮเพอร์โบลา H มีสมการเป็น 16x2 − 64x − 9y2 − 80 = 0 แล้ววงรีที่มีจุดยอดอยู่ที่จุดโฟกัสทั้ง


สองของ H และมีแกนโทคือแกนสังยุคของ H มีสมการเป็นข้อใดต่อไปนี้
1. 16x2 − 64x + 25y2 − 464 = 0 2. 16x2 − 64x + 25y2 − 336 = 0
3. 25x2 − 100x + 16y2 − 464 = 0 4. 25x2 − 100x + 16y2 − 336 = 0

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 419 ขอสอบเขาฯ มี.ค.42

9. วงรีวงหนึ่งมีจุดศูนย์กลางที่ (3, 1) จุดโฟกัสจุดหนึ่งที่ (5, 1) และสัมผัสแกน y ที่จุด (0, 1)


สมการของวงกลมที่มีจุดศูนย์กลางที่ (−2, 1) และมีรัศมีเท่ากับความยาวแกนโทของวงรี คือข้อใด
ต่อไปนี้
1. x2 + y2 + 4x − 2y = 0 2. x2 + y2 + 4x − 2y − 1 = 0
3. x2 + y2 + 4x − 2y − 4 = 0 4. x2 + y2 + 4x − 2y − 15 = 0

10. ถ้า x, y สอดคล้องกับระบบสมการ


log 3 x log 2 y
9 + 4 = 16
log 3 x − log 1 y = 2 − log 3 2
3

2 2
แล้ว x −y มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 5 + 7 2. 5 − 7 3. 5 7 4. 10 7

11. ถ้า x1 สอดคล้องระบบสมการ


x1 + 2x2 + x3 = 0
3x1 + x2 − 2x3 = 5
2x1 − 3x2 − 3x3 = 9
⎡ x + y 2x1 ⎤
และ A = ⎢ 1
⎣ 3 y ⎥⎦
แล้วผลบวกของ y ทั้งหมดที่ทําให้ A เป็นเมตริกซ์เอกฐาน เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 0 2. −1 3. −2 4. −3

12. กําหนดสมการจุดประสงค์ P = 7x + 5y และอสมการข้อจํากัดคือ


2x + y > 40 , 2x + 3y < 60 , 0 < x < 24 , y > 0
ถ้า (a, b) เป็นจุดมุมที่ได้จากอสมการข้อจํากัด และให้ค่า P น้อยที่สดุ
แล้ว a + b เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 20 2. 24 3. 25 4. 28

13. ให้ u+v = 5 2 และ u−v = 26 แล้ว u⋅v เท่ากับข้อใดต่อไปนี้


1. 3 2. 6 3. 8 4. 12

14. กําหนดให้ ABC เป็นสามเหลี่ยมใดๆ และ E เป็นจุดที่ทําให้ ˜ CE = 2 ˜BA


ถ้า ˜ ˜ ˜
BE = a CB + b CA เมื่อ a, b เป็นค่าคงตัว แล้ว b − a คือค่าในข้อใดต่อไปนี้
1. −1 2. 2 3. 3 4. 5

15. ให้ P (x) เป็นฟังก์ชันพหุนามกําลังสาม ซึ่งมีสัมประสิทธิ์เป็นจํานวนจริง และสัมประสิทธิ์ของ


x3 เป็น 1 ถ้า x − 2 หาร P (x) เหลือเศษ 5 และ (1+ 3 i) เป็นรากหนึ่งของ P (x) แล้วรากที่
เป็นจํานวนจริงของ P (x) คือค่าในข้อใดต่อไปนี้
1. 3 2. 4 3. 5 4. 4
4 3 4 5

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 420 ขอสอบเขาฯ มี.ค.42

⎧ -3/2 , x < −1
⎪2x2+ x − 1

⎪ , −1 < x < 1
16. กําหนดให้ f (x) = ⎨ 2 (x + 1)
⎪ 1− x
⎪ , x > 1
⎪⎩ 1 − x

พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. f ต่อเนื่องที่จดุ x = −1 ข. f ต่อเนื่องที่จุด x = 1
ข้อใดต่อไปนี้เป็นจริง
1. ก. ถูก, ข. ถูก 2. ก. ถูก, ข. ผิด
3. ก. ผิด, ข. ถูก 4. ก. ผิด, ข. ผิด

17. กําหนดให้ a, b, c, d เป็นจํานวนจริง และ f (x) = ax3+bx2+ cx + d โดยที่ f มีค่าสูงสุดสัมพัทธ์


เป็น 2 ที่ x = 1 และ f′′ (1) = −4 ถ้า f (0) = 1 แล้ว f มีค่าต่ําสุดสัมพัทธ์ที่จุดในข้อใดต่อไปนี้
1. x = −3 2. x = −1/3
3. x = 1/3 4. x = 3
1
18. ถ้า θ∈ R และ sin θ
∫ (4x − 3) dx = 0 แล้ว cos 2θ เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
3 3
1. 0 หรือ 2. 0 หรือ −
2 2
1
3. −1 หรือ 4. −1 หรือ 1
2

10
⎛ 4 1 ⎞
19. ถ้า a และ b เป็นสัมประสิทธิ์ของ x −2 และ x4 ของการกระจาย ⎜x − 2 ⎟ ตามลําดับ
⎝ 2x ⎠
a
แล้ว เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
b
2 1 1 4
1. − 2. − 3. − 4. −
7 2 3 15

20. ในการเก็บตัวนักกีฬา ได้จดั ให้นักกีฬาพักรวมกันห้องละ 2 คน ถ้ามีนักกีฬาจากต่างจังหวัด 4


คน และจากกรุงเทพฯ 4 คน แล้วจํานวนวิธีที่จะจัดให้มีเพียง 2 ห้องเท่านั้นที่แต่ละห้องมีนักกีฬาจาก
ต่างจังหวัดและนักกีฬาจากกรุงเทพฯ พักด้วยกัน มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 36 2. 72 3. 108 4. 144

21. ถุงใบหนึ่งมีลูกแก้วขนาดเดียวกันอยู่ 10 ลูก เป็นสีแดง 3 ลูก สีขาว 5 ลูก สีดํา 2 ลูก สุ่มหยิบ
ลูกแก้วจากถุงสองครั้งๆ ละลูกโดยไม่ใส่คืน ความน่าจะเป็นที่จะหยิบได้ลูกที่สองเป็นสีแดงเท่ากับข้อใด
ต่อไปนี้
1. 1 2. 3 3. 27 4. 33
3 10 100 100

22. ข้อมูลชุดหนึ่งมี 5 จํานวน มีฐานนิยม มัธยฐาน และค่าเฉลี่ยเลขคณิตเป็น 15, 16 และ 17


ตามลําดับ และพิสัยของข้อมูลชุดนี้เท่ากับ 5 ความแปรปรวนของข้อมูลชุดนี้มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 31 2. 24 3. 22 4. 19
5 5 5 5

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 421 ขอสอบเขาฯ มี.ค.42

23. เมื่อสร้างตารางแจกแจงความถี่ของคะแนนของนักเรียน 36 คน โดยใช้ความกว้างของแต่ละ


อันตรภาคชั้นเป็น 10 แล้ว ปรากฏว่ามัธยฐานของคะแนนทั้งหมดอยู่ในช่วง 50 – 59 ถ้ามีนกั เรียนที่
สอบได้คะแนนต่ํากว่า 49.5 คะแนน อยู่จํานวน 12 คน และมีนักเรียนได้คะแนนต่ํากว่า 59.5
คะแนน อยู่จํานวน 20 คน แล้วมัธยฐานของคะแนนการสอบครั้งนี้มีค่าเท่ากับเท่าใด
1. 53 2. 54 3. 56 4. 57

24. ตัวแทนจําหน่ายหม้อหุงข้าวไฟฟ้ายี่ห้อหนึ่ง ขายหม้อหุงข้าวขนาด 1 ลิตร, 2 ลิตร, 3 ลิตร และ


4 ลิตร ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมาด้วยราคาและปริมาณดังต่อไปนี้
ขนาดของ ปริมาณหม้อ ราคา
หม้อหุงข้าวไฟฟ้า 2540 2541 2540 2541
1 ลิตร 300 250 400 400
2 ลิตร 220 230 500 450
3 ลิตร 200 200 600 a
4 ลิตร 150 130 1000 950
ถ้าดัชนีราคาอย่างง่ายแบบใช้ราคารวมของ พ.ศ. 2541 เมื่อเทียบกับ พ.ศ. 2540 เท่ากับ 96.00
แล้ว ดัชนีราคาแบบใช้ราคารวมโดยถ่วงน้ําหนักด้วยปริมาณในปีฐาน (วิธีของลาสไพเยอเรส) ของ
พ.ศ. 2541 เมื่อใช้ พ.ศ. 2540 เป็นปีฐาน เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 80.00 2. 86.80 3. 90.00 4. 96.30

ตอนที่ 3 ข้อ 25 – 28 เป็นข้อสอบแบบปรนัย ข้อละ 4 คะแนน


25. ถ้า A = {5, 6, 7, ..., 20} และ B = {1, 2, 3, ..., 15} แล้ว
จํานวนสมาชิกในเซต { x | x เป็นสับเซตของ A และ x ไม่เป็นสับเซตของ B }
เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 7 × 2 10 2. 31 × 2 11 3. 31 × 2 10 4. 63 × 2 11

⎧1 , x < 0
26. กําหนด f (x) = ⎨
⎩0 , x > 0
ถ้า g = {(x, y) | y = f (1 − e x) และ y > 0} แล้วข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. Dg ⊂ R 'g 2. D 'g ⊂ Rg
3. Dg ⊂ Rg ∪ [1, ∞) 4. Rg ⊂ Dg ∩ [1, ∞)
30
27. ถ้า f (x) = x − 1 แล้ว ∑ (f D f)(n2) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
n = 10

1. 9028 2. 9030 3. 9128 4. 9170

28. คะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นหนึ่งมีการแจกแจงปกติ โดยมีค่าเฉลี่ยเลขคณิตเป็น


64 คะแนน ถ้านักเรียนที่สอบได้คะแนนมากกว่า 80 คะแนนมีอยู่ 15.87% แล้วสัมประสิทธิ์ของการ
แปรผันของคะแนนสอบวิชานี้คือข้อใดต่อไปนี้
(พื้นที่ใต้เส้นโค้งปกติระหว่าง z=0 ถึง z=1 คือ 0.3413)
1. 35% 2. 30% 3. 25% 4. 20%

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 422 ขอสอบเขาฯ มี.ค.42

เฉลยคําตอบ
ตอนที่ 1 (1) 7 (2) 14 (3) 1 (4) 6 (5) 0.2 (6) 0.62
ตอนที่ 2 (1) 3 (2) 1 (3) 4 (4) 2 (5) 3 (6) 1 (7) 2 (8) 2 (9) 4
(10) 3 (11) 4 (12) 1 (13) 2 (14) 4 (15) 1 (16) 1 (17) 2 (18) 3 (19) 1
(20) 2 (21) 2 (22) 3 (23) 4 (24) 4
ตอนที่ 3 (25) 2 (26) 4 (27) 3 (28) 3

เฉลยวิธีคิด
ตอนที่ 1 ตอนที่ 2
(1) A − B = {1, 2, 3, 4, 5} , (1) เส้นตรง y = mx
ตัดกับวงกลม
B − A = {{1, 2}, {3, 4, 5}} → ตอบ 7 ตัว x2 + y2 − 10x + 16 = 0
แสดงว่า
(2) จากการกระจาย จะต้องสามารถแก้ระบบสมการเพือ่ หาจุดตัดได้
(980 − p)3 = 9803 − 3(980)2(p) + 3(980)(p)2 − p3 → x2 + (mx)2 − 10x + 16 = 0
พบว่าสามพจน์หลังย่อมหาร p ลงตัวเสมอ → (m2 + 1)x2 − 10x + 16 = 0

(เพราะมี p คูณอยู่ในนัน้ ) 10 ± 100 − 64(m2 + 1)


→ x =
3
∴ p | (980 − p) ก็ตอ ่ เมื่อ p | 9803 2(m2 + 1)

ซึ่ง 9803 = 26 × 53 × 76 จะมีคําตอบ (มีจดุ ตัด) เมือ่ 100 − 64 (m2 + 1) > 0


ดังนัน้ A = {2, 5, 7} → ผลบวกเท่ากับ 14 ตอบ → m2 + 1 < 100 → m2 < 36 → − 6 < m < 6
64 64 8 8
(3) log10 28 − log10 325 + log10 91
−1 −2
6 3
1
ขอบเขตบนค่าน้อยทีส่ ุดคือ = ตอบ
= log10 28 + log10 325 − log10 91 8 4
2 (2) ~ [~(p ∧ q) ∨ ~ q ∨ r] ≡ (p ∧ q) ∧ q ∧ ~r
28 ⋅ 325 9100 ≡ p ∧ q ∧ (~r)
= log10( ) = log10( )
91 91
ซึ่งจากข้อ 1. นัน้ p ∧ ~(q → r) ≡ p ∧ (q ∧ ~r)
= log10 10 = 1 ตอบ
ดังนัน้ ตอบ ข้อ 1.
(4) |A | = 1 → 2x − y = 1 .....(1) (3) ก. จากเหตุ 1 คือ p → (q → r) กับเหตุ 2 คือ p
y 0
C21 = 3 → − −x 1 = − y = 3 .....(2) รวมกันได้ผลเป็น q → r
แก้ระบบสมการได้ y = −3, x = −1 นําไปรวมกับเหตุ 3 คือ ~r → q (ใช้ q เป็นตัวร่วม)
0 −3 0 ได้ผลคือ ~r → r เป็นจริง แสดงว่า r เป็นจริง
∴ |A + I| = 1 3 0 = 6 ตอบ
−1 1 2 แต่ผลในโจทย์คือ r → t เราสามารถทําให้เป็นเท็จได้
(5) |7 − 24 i| ⋅ |3 + 4 i| ⋅ |z|6 = |1|
(โดยให้ t เป็นเท็จ) ดังนั้นข้อ ก. ไม่สมเหตุสมผล
1
ข. จากเหตุ 2 คือ p ∧ s เราสามารถแยกเป็นเหตุ p
→ 25 ⋅ 5 |z|6 = 1 → |z|6 =
125 และเหตุ s ไว้คนละข้อกันก็ได้
1 จากเหตุ 1 คือ p → (q → ~ s) ไปรวมกับเหตุ p
∴ z z = |z|2 = = 0.2 ตอบ
5 ได้เป็น q → ~ s นําไปรวมกับเหตุ s จะได้ผล ~ q
(32 + 1)f′(3) − f(3)[2(3)]
(6) g(3)
′ = ซึ่งพบว่าตรงข้ามกับผลที่ให้มาในโจทย์
[32 + 1]2
(10)(5) − (−2)(6)
ดังนัน้ ข้อ ข. ไม่สมเหตุสมผล ตอบ ข้อ 4.
= = 0.62 ตอบ
100

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 423 ขอสอบเขาฯ มี.ค.42

1 − x2 (8) จัดรูปไฮเพอร์โบลา;
(4) หาโดเมน จาก y = จะได้เงื่อนไขว่า
1 + x2 16 (x2 − 4x + 4) − 9y2 = 80 + 64
2 2
1− x > 0 (เพราะตัวส่วน 1+ x > 0 อยู่แล้ว) (x − 2)2 y2
→ − = 1
2
ดังนัน้ x < 1 → −1 < x < 1 ∴ Dr = [−1, 1] 9 16
หาเรนจ์ (เพราะ Dr = Rr ) −1
จุดศูนย์กลาง (2, 0) , อ้อมแกน x,
1 − x2
ระยะโฟกัส c = 9 + 16 = 5
จัดรูป y2 = → y2 + x2y2 = 1 − x2 จุดโฟกัสคือ (−3, 0) กับ (7, 0)
1 + x2
1 − y2 และจุดปลายแกนสังยุคคือ (2, 4) , (2, −4)
→ x2 + x2y2 = 1 − y2 → x2 =
1 + y2 (2,4)
2
1− y
ดังนัน้ เงือ่ นไขคือ >0 → 1 − y2 > 0 (-3,0) O (2,0) (7,0)
1 + y2
นั่นคือ y2 < 1 → −1 < y < 1
แต่อย่าลืมว่ามีการยกกําลังสองเอง ต้องมองเงื่อนไข (2,-4)
รู้ทในโจทย์ คือ y > 0 เท่านัน้ ∴ Dr = [0, 1] (x − 2)2 (y)2
−1 ∴ สมการวงรีคอื + = 1
25 16
ตอบ ข้อ 2. → 16x2 − 64x + 25y2 − 336 = 0 ตอบ
(5) f(x) = x (y > 0) กลายเป็น
(9)
f −1(x) = x2 (x > 0)
(0,1) (3,1) (5,1)
f(x)
f-1(x)

จาก a = 3, c = 2 จะได้ b = 9 − 4 = 5
ดังนัน้ A = {x ∈ R | x2 + x − 2 = 0} = {1, −2 } → แกนโทยาว 2 5 หน่วย
( x = −2 ไม่ได้ เพราะจาก f −1 นัน้ ต้อง x > 0 ) ∴ สมการวงกลม คือ (x + 2)2 + (y − 1)2 = (2 5)2
สรุปว่า A = {1} → x2 + y2 + 4x − 2y − 15 = 0 ตอบ
2
ก. 1 − 1 − 6 ≠ 0 เท็จ หมายเหตุ ในข้อสอบพิมพ์คาํ ตอบผิดเป็น
ข. 12 + 2 − 3 = 0 จริง ดังนัน้ ตอบ ข้อ 3. x2 + y2 − 4x − 2y − 15 = 0 ข้อนี้จงึ ให้คะแนนฟรี
1
(6) ยุบอนุกรมเรขา → = a (10) จัดรูปสมการแรกเป็น xlog 9 + ylog 4 = 16 3 2
1 − cos2 θ
→ x2 + y2 = 16 .....(1)
นั่นคือ cos2 θ = ⎛⎜ a − 1 ⎞⎟
⎝ a ⎠ สมการสอง log3 x + log3 y = log3 9 − log3 2
โจทย์ถาม cos(π − 2θ) sin( − 2θ)π → xy = 9 / 2 หรือ 2xy = 9 .....(2)
2 2
(1)+(2) จะได้ x + 2xy + y2 = 25
= [− cos(2θ)] ⋅ [cos(2θ)] = − cos2 2θ
⎡ ⎛ a − 1⎞ ⎤
2 และ (1)–(2) จะได้ x2 − 2xy + y2 = 7
2 2
= − (2 cos θ − 1) = − ⎢2 ⎜ ⎟ − 1⎥ ∴ โจทย์ถาม |x2 − y2 | = |(x + y)(x − y)|
⎣ ⎝ a ⎠ ⎦
⎛ a −2⎞
2 = 25 ⋅ 7 = 5 7 ตอบ
= −⎜ ⎟ ตอบ
⎝ a ⎠ (11) หา x 1 ด้ ว ยกฎของคราเมอร์
(7) cos (2 arcsin x) = −2 (1 − 2 sin2(arccos x)) 0 2 1 1 2 1
x1 = 5 1 −2 ÷ 3 1 −2
ให้ A = arcsin x, B = arccos x 9 −3 −3 2 −3 −3
จะได้ cos 2A = −2 cos 2B −9 + 30 − 15 − 36
= = 3
→ 1 − 2 sin2 A = −2 (2 cos2 B − 1) −2 + 18 − 6 − 3 − 9 − 8
→ 1 − 2x2 = −2 (2x2 − 1) → 2x2 = 1 3 + y 6⎤
∴ A = ⎡⎢ 3 y ⎥⎦ เป็นเมตริกซ์เอกฐาน

1 1
x = หรือ − ตรวจคําตอบพบว่าใช้ได้ทงั้ คู่ แสดงว่า |A | = 0 = 3y + y2 − 18 → y = 3, −6
2 2
∴ ผลคูณ = −1 / 2 ตอบ ผลบวกคําตอบคือ −3 ตอบ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 424 ขอสอบเขาฯ มี.ค.42

(12) y (17) โจทย์กาํ หนด f(0) = 1 .....(1) และ


f′′(1) = −4 .....(2)
(15, 10) → P = 155 ประโยค “มีค่าสูงสุดสัมพัทธ์เป็น 2 ที่ x=1” แปลว่า
(15,10)
(20, 0) → P = 140
f(1) = 2 .....(3) และ f′(1) = 0 .....(4)
(24, 4) → P = 188 (24,4)
(24, 0) → P = 168
x จากสมการ (1); 0 + 0 + 0 + d = 1 → d = 1
O 20 24 แทนลงในสมการ (3); a + b + c + 1 = 2
∴ Pmin = 140 เกิดเมื่อ (a, b) = (20, 0) ตอบ 20 จาก (4) จะได้ 3a + 2b + c = 0
(13) จาก |u + v | = 5 2 จะได้ และ (2) จะได้ 6a + 2b = −4
2 2
|u| + |v | + 2 u ⋅ v = 50 .....(1) แก้ระบบสมการได้ a = −1 , b = 1 , c = 1
∴ f(x) = −x3 + x2 + x + 1
และจาก |u − v | = 26 จะได้
หาค่าวิกฤตจาก f′(x) = −3x2 + 2x + 1 = 0
|u|2 + |v |2 − 2 u ⋅ v = 26 .....(2)
→ x = −1/ 3, 1
(1)-(2) จะได้ 4 u ⋅ v = 24 ดังนัน้ u ⋅ v = 6 ตอบ แต่โจทย์บอกว่าค่าสูงสุดเกิดที่ x = 1 ไปแล้ว
(14) B ดังนัน้ ค่าต่าํ สุดต้องเกิดที่ x = −1/ 3 ตอบ
A C (18) จาก (2x2 − 3x) |sin 1
θ= 0

→ (−1) − (2 sin2 θ − 3 sin θ) = 0


แก้สมการได้ sin θ = 1, 1/2
E แทนลงในสูตร cos 2θ = 1 − 2 sin2 θ
˜
BE ˜ ˜ = −˜
= BC + CE CB + 2 ˜
BA จะได้ cos 2θ = −1, 1/2 ตอบ
= − CB + 2 (CA − CB) = −3 CB + 2 ˜
˜ ˜ ˜ ˜ CA (19) พจน์ทวั่ ไปจากการกระจาย
(10r ) (x ) (10r ) ⎛⎜⎝ − 21 ⎞⎟⎠ x
r
∴ a = −3, b = 2 จะได้ b − a = 5 ตอบ 4 10 − r 1 r 40 − 6r
= (− ) =
2x2
(15) 1 + 3 i เป็นรากหนึ่งของ P(x) แสดงว่า
หาพจน์ทเี่ ป็น x −2 โดยบังคับให้ 40 − 6r = −2
ต้องมี 1 − 3 i (สังยุค) เป็นรากด้วย 7
จะได้ r = 7 ∴ สัมประสิทธิ์ = ⎜⎛ 10 ⎞ ⎛− 1⎞ = a
นั่นคือ P(x) = (x − c)(x − 1 − 3 i)(x − 1 + 3 i) 7 ⎟ ⎜ ⎟
⎝ ⎠ ⎝ 2⎠
2 4
= (x − c)(x − 2x + 4) หาพจน์ทเี่ ป็น x โดย 40 − 6r = 4
6
หาค่า c จาก ทฤษฎีเศษ P(2) = 5 10 ⎛ 1 ⎞
จะได้ r = 6 ∴ สัมประสิทธิ์ = ⎜⎛ 6 ⎟⎞ ⎜ − ⎟ = b
5 = (2 − c)(4 − 4 + 4) ดังนั้น c = 3/4 ตอบ ⎝ ⎠ ⎝ 2⎠
2
2x + x − 1 ⎛ 10 ⎞
a ⎜7⎟ 10 ! 6 ! 4 ! ⎛ 1 ⎞
(16) ก. lim + f(x) = lim + ⎛ 1⎞
x → −1 x → −1 2(x + 1) ดังนัน้ = ⎝ ⎠ ⎜− ⎟ = ⎜− ⎟
b ⎛ 10 ⎞ ⎝ 2 ⎠ 7 ! 3 ! 10 ! ⎝ 2 ⎠
(2x − 1)(x + 1) 3 ⎜6⎟
= lim + = − ⎝ ⎠
x → −1 2(x + 1) 2
= −2 / 7 ตอบ
3
ซึ่ง lim f(x) = f(−1) = − ด้วย (ก. ถูก) (20) มีห้องดังนี้ กก ตต กต กต
x → −1− 2
2(1) + 1 − 1 1 จึงแบ่งกรุงเทพ 4 คนออกเป็น 2, 1, 1
ข. f(1) = = และ
2(2) 2 และแบ่งต่างจังหวัด 4 คนออกเป็น 2, 1, 1 ด้วย
4!
1− x 1
lim f(x) = lim+ = (ข. ถูก) ได้ส่วนละ 2 !(1!)22 ! วิธี
x → 1+ x→1 (1 − x)(1 + x) 2
4! 4!
ดังนัน้ ตอบ ข้อ 1. ดังนัน้ คําตอบคือ ⋅ ⋅ 2 ! = 72
2 !(1!)22 ! 2 !(1!)22 !
(คูณ 2! เพราะกรุงเทพ 1 คน จับคู่กับต่างจังหวัด
1 คนนั้น สามารถเลือกสลับคู่ได้) ตอบ 72 วิธี
หมายเหตุ ถ้าคิดว่าห้องต่างกันจะต้องเลือกห้องด้วย
จะได้ 72 × 4 ! = 1,728 วิธี

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 425 ขอสอบเขาฯ มี.ค.42

(21) มี 2 กรณีคือ แดง-แดง กับ อื่น-แดง (26) หา Dg และ Rg


จึงได้ 3 × 2 + 7 × 3 = 3 ตอบ จาก y = f(1 − ex) และ y > 0
10 × 9 10
แสดงว่า y = 1 เท่านัน้ (เพราะสิ่งที่ได้ออกมาจาก f
(22) สมมติให้เป็น A, B, C, D, E
มีเพียงเลข 0 กับ 1) สรุปว่า Rg = {1}
มัธยฐาน = 16 แสดงว่า C = 16
ฐานนิยม = 15 แสดงว่า A = B = 15 จาก f(1 − e ) = 1 จึงได้ว่า 1 − ex < 0
x

พิสัย = 5 แสดงว่า E = 20 → ex > 1 → x > ln 1 → x > 0


ค่าเฉลี่ยเลขคณิต = 17 แสดงว่า สรุปว่า Dg = (0, ∞)
15 + 15 + 16 + D + 20 ดังนัน้ ข้อที่ถูกคือ ข้อ 4. Rg ⊂ Dg ∩ [1, ∞) ตอบ
= 17 → D = 19
5
30 30
ทราบครบทุกข้อมูลแล้ว หาความแปรปรวนได้ดังนี้ (27) ∑ (fof)(n2) = ∑ f(n2 − 1)
n = 10 n = 10
22 + 22 + 12 + 22 + 32 22
s2 = = ตอบ 30
⎡ 30 9
⎤ 30
5 5 = ∑ (n2 − 2) = ⎢ ∑ n2 − ∑ n2 ⎥ − ∑ 2
n = 10 ⎣n = 1 n=1 ⎦ n = 10
⎛ N/2 − ∑ fL ⎞
(23) Med = L + I ⎜ ⎟ 30(31)(61) 9(10)(19)
− (21)(2)
⎝ fMed ⎠ = −
6 6
⎛ 18 − 12 ⎞ = 9,455 − 285 − 42 = 9,128 ตอบ
= 49.5 + 10 ⎜ ⎟ = 57 คะแนน ตอบ
⎝ 20 − 12 ⎠
(28) ที่ x = 80
400 + 450 + a + 950
(24) จาก 0.96 =
400 + 500 + 600 + 1,000

0.1587
0.3413
จะได้ a = 600 ดังนั้น IL คํานวณได้จาก
400(300) + 450(220) + 600(200) + 950(150) 64 80 x
× 100
400(300) + 500(220) + 600(200) + 1,000(150)
= 0.5 − 0.1587 = 0.3413 ทางขวา
พื้นที่
= 96.30 ตอบ 80 − 64
จะได้ z = 1 → 1= → s = 16
ตอนที่ 3 s
(25) X ⊂ A และ X ⊄ B;
สัมประสิทธิ์การแปรผัน = s = 16 = 0.25
A = { 5, 6, 7, 8, ..., 15 , 16, 17, 18, 19, 20} , X 64

B = {1, 2, 3, 4, 5, ..., 15 } หรือ 25% ตอบ


แสดงว่า 5 ถึง 15 จะอยู่ใน X กี่ตัวก็ได้ ไม่อยูก่ ็ได้
จัดได้ 211 แบบ
แต่ 16 ถึง 20 บังคับว่าจะต้องอยู่ใน X ด้วย กีต่ วั ก็
ได้ แต่ไม่อยู่เลยไม่ได้ ..จัดได้ 25 − 1 แบบ
∴ ตอบ 211 ⋅ (25 − 1) = 31 × 211

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 426 ขอสอบเขาฯ ต.ค.42

¢ŒoÊoºe¢ŒÒÁËÒÇi·ÂÒÅa µ.¤.42 (e )
ตอนที่ 1 ข้อ 1 – 6 เป็นข้อสอบแบบอัตนัย ข้อละ 2 คะแนน
1. พื้นที่ของสามเหลี่ยมที่มีจุดยอดเป็น จุดกําเนิด และจุดโฟกัสทั้งสองของวงรี
x2 + 2y2 + 4x − 4y − 2 = 0 เท่ากับเท่าใด

2
2. ถ้า f (x) = 4x และ g(x) = แล้ว
x−1
ค่า x ที่ทําให้ (f D g)(x) = (g D f)(x) เท่ากับเท่าใด

3. ให้ A เป็นเมตริกซ์มิติ 3×3


⎡ −1 3⎤ ⎡ −1 1 ⎤ ⎡ 2 1⎤
ถ้า M 13 = ⎢ ⎥ , M 21 = ⎢ 2 4⎥ และ M 32 = ⎢ ⎥ แล้ว
⎣ 1 2 ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ −1 0⎦
det A มีค่าเท่ากับเท่าใด
1
2x x−
4. กําหนดให้ A = { x ∈ R | 5 3 + 3 = 255(3 )} 2

ผลบวกของสมาชิกทั้งหมดของ A มีค่าเท่ากับเท่าใด
u (x)
5. ให้ u และ v เป็นฟังก์ชันของ x โดยที่ v (x) = x2 − 2x และ f (x) =
v (x)
และ u (3) = −9 , u(3)
′ = 3 แล้ว ค่าของ f′(3) เท่ากับเท่าใด

6. ในการประชุมครั้งหนึ่ง มีผู้แทนจาก 3 ประเทศเข้าร่วมประชุม โดยมีผู้แทนประเทศละ 3 คน


จํานวนวิธีทั้งหมดที่จะจัดให้ผู้แทนแต่ละประเทศต้องนั่งติดกันในการประชุมโต๊ะกลม เท่ากับเท่าใด

ตอนที่ 2 ข้อ 1 – 24 เป็นข้อสอบแบบปรนัย ข้อละ 3 คะแนน


x
1. กําหนดให้ f (x) = และ g(x) = x2 − 1
1− x
ถ้า A = Dgof และ B = Dg แล้ว (A ∪ B ') คือเซตในข้อใดต่อไปนี้
1. R − {−1, 1} 2. (−1, ∞)
1
3. ( , 1) ∪ (1, ∞) 4. (−1, 1) ∪ (1, ∞)
2

2. ให้ A = { x | x − 2 < 4 } และ B = { x | 15x −2 − 8x −1 + 1 > 0 }


แล้ว A ∩ B คือเซตในข้อใดต่อไปนี้
1. (−2, 3) ∪ (5, 6) 2. (0, 3) ∪ (5, 6)
3. (0, 3) ∪ (3, 5) ∪ (5, 6) 4. (−2, 0) ∪ (0, 3) ∪ (5, 6)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 427 ขอสอบเขาฯ ต.ค.42

3. สําหรับจํานวนเต็ม a, b ใดๆ ให้ (a, b) = ห.ร.ม. ของ a และ b


ให้ A = {1, 2, 3, ..., 400} จํานวนสมาชิกของเซต { x ∈ A | (x, 40) = 5 } มีค่าเท่ากับข้อใด
1. 30 2. 40 3. 60 4. 80

4. พิจารณาการอ้างเหตุผลต่อไปนี้
ก. เหตุ 1) p → (q → ~ r) ข. เหตุ 1) (p ∧ q) → r
2) q 2) ~ (r ∨ s)
3) r 3) p
ผล p ผล ~q
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก และ ข สมเหตุสมผล 2. ก สมเหตุสมผล แต่ ข ไม่สมเหตุสมผล
3. ก ไม่สมเหตุสมผล แต่ ข สมเหตุสมผล 4. ก และ ข ไม่สมเหตุสมผล

5. เอกภพสัมพัทธ์ U ที่กําหนดในข้อใดต่อไปนี้ที่ทําให้ประโยค
2
∃x [ 2x + x − 1 < 0 ∧ x2 − 4x + 4 < 3 ] มีค่าความจริงเป็นจริง
1. U = เซตของจํานวนเต็มบวกคู่ 2. U = เซตของจํานวนเต็มบวกคี่
3. U = เซตของจํานวนเต็มลบคู่ 4. U = เซตของจํานวนเต็มลบคี่

6. ให้ f (x) = arcsin x , g(x) = cos x และ h (x) = (f D g)(x)


พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. โดเมนของ h คือเซตของจํานวนจริง และ g(π − h (x)) = g(x)
2
ข. h เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง
ข้อใดต่อไปนี้เป็นจริง
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

7. {cos A | 0 < A < และ 5 − 3 sin 3A มีค่ามากที่สุด }
3
เป็นสับเซตของเซตในข้อใดต่อไปนี้
1. {− 1 , 0, 3 } 2. {−
3 1
, − , 0}
2 2 2 2
1 3 3 1 3
3. {0, , } 4. {− , , }
2 2 2 2 2

8. ถ้า A เป็นจุดบนวงกลม x2 + y2 + 4x − 6y + 11 = 0 ซึ่งอยู่ใกล้กับจุดโฟกัส F ของพาราโบลา


x2 − 12x + 4y + 52 = 0 มากที่สุด แล้วระยะระหว่างจุด A กับ F มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 7 2 2. 8 2 3. 7 2 − 2 4. 8 2 − 2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 428 ขอสอบเขาฯ ต.ค.42

9. ให้ O เป็นจุดกําเนิด, A เป็นจุดบนแกน x และ B เป็นจุดในระนาบซึ่งทําให้เส้นตรง OB มี


ความชันเท่ากับ 2 และเส้นตรง AB มีความชันเท่ากับ 1
ˆ
ถ้า θ = ABO แล้ว sec2 θ เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 10/9 2. 11/9 3. 10 4. 11

10. กําหนดให้ a, b เป็นคําตอบของสมการ log 3 x + 6 log x 3 = 5 โดยที่ a < b


ถ้า A = { x ∈ I+ | x ∈ [a, b] และ 3 x } เมื่อ I+ เป็นเซตของจํานวนเต็มบวก
แล้ว A มีจํานวนสมาชิกเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 6 2. 7 3. 18 4. 19

⎡ x 5 −1 ⎤
11. กําหนดให้ A = ⎢0 4 −2⎥ โดยที่ det A = −1 และ x เป็นจํานวนจริง
⎢ ⎥
⎢⎣0 0 −x ⎥⎦
ถ้า I เป็นเมตริกซ์เอกลักษณ์ขนาด 3×3 แล้ว det (2 (I − A) A t) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 4 2. 8 3. 12 4. 18

12. โรงงานแห่งหนึ่งต้องการผลิตสินค้า A และ B โดยที่มีราคาขายต่อชิ้นเป็น 10 และ 15 บาท


ตามลําดับ ถ้าโรงงานนี้ผลิตสินค้า A ได้ x ชิ้น และผลิตสินค้า B ได้ y ชิ้น โดยมีอสมการ
ข้อจํากัดดังนี้
x > 0 0 < y < 5 x + y < 10 และ 2x + y < 16
แล้วโรงงานจะขายสินค้าได้เงินมากที่สุดเป็นจํานวนเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 120 2. 125 3. 130 4. 150

13. ถ้า u และ v ทํามุมกัน 60° และ u+v = 37 , u−v = 13


แล้ว u + v มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 5 2. 7 3. 37 4. 50

14. กําหนดให้ O เป็นจุดกําเนิด ˜ ˜


OA = 3 i + 4 j , OB = 5 i − 2 j
จากจุด A ลากเส้นตรงไปตั้งฉากกับ ˜OB ที่จุด D แล้ว ˜ OD คือข้อใดต่อไปนี้
7
1. (5 i − 2 j) 2. 7 (5 i − 2 j)
29 29
8 8
3. (5 i − 2 j) 4. (5 i − 2 j)
29 29

15. ถ้า z = −2 + 2 3 i เมื่อ i2= −1 แล้ว z17 อยู่ในควอดแรนต์ในข้อใดต่อไปนี้


1. 1 2. 2 3. 3 4. 4

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 429 ขอสอบเขาฯ ต.ค.42

16. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ถ้า A = { x ∈ R | (1+i) x3 + (1+2i) x2 − (1+i) x − (1+2i) = 0 } แล้ว A ⊆ [−1.5, 1.5]

ข. ถ้า z เป็นจํานวนเชิงซ้อนซึ่ง z 6 = 1 i แล้ว z เท่ากับ 1


8 2
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
1 + (n−2) a
17. ให้ a เป็นจํานวนจริง กําหนดพจน์ที่ n ของอนุกรมคือ
1− a
1 + 38 a
ถ้าพจน์ที่ m คือ แล้วผลบวก m พจน์แรกของอนุกรมนี้มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1− a
40 + 740 a 40 + 790 a
1. 2.
1− a 1− a
20 + 720 a 20 + 760 a
3. 4.
1− a 1− a

x3− x2− 4x + 4
18. กําหนดให้ f เป็นฟังก์ชันต่อเนื่อง โดยที่ f (x) = เมื่อ x ≠ ±2
4 − x2
และ f (2) = a, f (−2) = b แล้ว a และ b เป็นจริงตามข้อใดต่อไปนี้
1. a = 1, b = −3 2. a = 1, b = 3
3. a = −1, b = −3 4. a = −1, b = 3

19. ถ้า f เป็นฟังก์ชันซึ่งมีกราฟผ่านจุด (0, 2) และ f′(x) = 3x2− 12x + 9


แล้ว ค่าสูงสุดสัมพัทธ์ของ f เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 2 2. 3 3. 6 4. 8

20. ในจํานวนเด็ก 12 คน มีเด็กถนัดซ้าย 4 คน ถ้าเลือกเด็ก 5 คนโดยการสุ่มจากเด็กเหล่านี้ แล้ว


ความน่าจะเป็นที่จะมีเด็กถนัดซ้ายอยู่ในกลุ่มที่เลือกเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 35 2. 47 3. 63 4. 92
99 99 99 99

21. ให้ A = {1, 2, 3} และ B = {3, 4}


ถ้า S = { f : A ∪ B > A × B | f เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง }
แล้วจํานวนสมาชิกของ S เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 120 2. 240 3. 360 4. 480

22. พิจารณาข้อมูลของ x และ y ดังนี้


x -3 -1 0 1 3
y 0 a a+3 a+4 a+6
เมื่อ a เป็นค่าคงที่ ให้ x และ y มีความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันเป็นกราฟเส้นตรง โดยที่ความชัน
เท่ากับ 1.55 ถ้า x = 4 จะประมาณค่า y ได้เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 8.7 2. 10.8 3. 11.2 4. 12.8
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 430 ขอสอบเขาฯ ต.ค.42

23. แผนภูมิวงกลมต่อไปนี้แสดงจํานวนนักเรียนทั้งหมด 500 คนของโรงเรียนแห่งหนึ่ง จําแนกตาม


คะแนนสอบวิชาหนึ่ง 2
40% 1. นักเรียนที่ได้คะแนน 1 – 20 คะแนน
2. นักเรียนที่ได้คะแนน 21 – 40 คะแนน
24% 3 3. นักเรียนที่ได้คะแนน 41 – 60 คะแนน
20% 4. นักเรียนที่ได้คะแนน 61 – 80 คะแนน
1 10%
6% 5. นักเรียนที่ได้คะแนน 81 – 100 คะแนน
5 4
ถ้าความแปรปรวนของคะแนนสอบเท่ากับ 481.44 พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ครึ่งหนึ่งของนักเรียนโรงเรียนนี้ได้คะแนนมากกว่า 40 คะแนน
ข. สัมประสิทธิ์ของการแปรผันของคะแนนสอบวิชานี้เท่ากับ 0.50
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

24. ในปี พ.ศ. 2540 สุเมธมีรายได้เดือนละ 15,000 บาท โดยที่รายได้ต่อเดือนที่แท้จริงของเขาเป็น


12,500 บาท เทียบกับปี พ.ศ. 2538
ถ้าดัชนีราคาผู้บริโภคในปี พ.ศ. 2541 สูงกว่าปี พ.ศ. 2540 อยู่ 5%
แล้วค่าครองชีพในปี พ.ศ. 2541 สูงกว่าปี พ.ศ. 2538 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
(โดยคิดจากดัชนีราคาผู้บริโภค เมื่อใช้ปี พ.ศ. 2538 เป็นปีฐาน)
1. 20% 2. 25% 3. 26% 4. 30%

ตอนที่ 3 ข้อ 25 – 28 เป็นข้อสอบแบบปรนัย ข้อละ 4 คะแนน


25. ให้ F (x) = f (g (x)) ถ้า g(x) = x3+ 2x + 2 และ ∫ F (x) dx = 5x3+ 2x + c แล้ว ค่าของ f′(5)
เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 6 2. 5 3. 4 4. 3

x + 7⎞
26. กําหนดให้ f (x) = π ⎛⎜ ⎟ เมื่อ −3 < x < 3 และ f (x + 6) = f (x) ทุกๆ x ∈ R
⎝ 24 ⎠
ถ้า g(x) = A + arcsin x โดยที่ A ∈ [0, π] และ cos A = 2/ 5
แล้วค่าของ (g−1 D f)(5) เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 1 2. 1 3. −1
4. −1
10 5 5 10

27. กล่องใบหนึ่งบรรจุขนมชั้น 24 ชิ้น แต่ละชิ้นมี 4 ชั้นๆ ละสี ซึ่งมีสีเขียว ขาว แดง เหลือง และ
การเรียงลําดับสีของแต่ละชิ้นทั้ง 24 ชิ้นแตกต่างกันหมด ถ้าหยิบขนม 1 ชิ้นจากกล่องนี้โดยสุ่ม แล้ว
ความน่าจะเป็นที่ชิ้นที่หยิบได้มีสองชั้นบนไม่ใช่สีแดงและไม่ใช่สีเหลืองเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 1 2. 1 3. 1 4. 1
24 12 6 4

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 431 ขอสอบเขาฯ ต.ค.42

28. ถ้าคะแนนสอบวิชาภาษาอังกฤษของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งมีการแจกแจงปกติ โดยมี


คะแนนเฉลี่ยและความแปรปรวนของคะแนนเท่ากับ 60 และ 25 ตามลําดับ และผู้สอนกําหนดว่า
นักศึกษาที่จะสอบผ่านต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่า 54 คะแนน ถ้านายขาว นายแดง และนายดํา สอบ
ได้คะแนนอยู่ในตําแหน่งเปอร์เซ็นไตล์ที่ 10, 15 และ 33 ตามลําดับ
จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. นายขาวสอบไม่ผ่าน แต่นายแดงและนายดําสอบผ่าน
ข. นายดําสอบได้ 57.8 คะแนน
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
กําหนดตารางแสดงพืน้ ที่ใต้โค้งปกติดังนี้
พื้นที่จาก z=0 ถึง z=0.24 เท่ากับ 0.0948
พื้นที่จาก z=0 ถึง z=0.44 เท่ากับ 0.1700
พื้นที่จาก z=0 ถึง z=1.2 เท่ากับ 0.3849

เฉลยคําตอบ
ตอนที่ 1 (1) 2 (2) 0.2 (3) 15 (4) 1 (5) 5 (6) 432
ตอนที่ 2 (1) 4 (2) 4 (3) 2 (4) 3 (5) 4 (6) 2 (7) 2 (8) 1 (9) 1
(10) 2 (11) 4 (12) 2 (13) 2 (14) 2 (15) 3 (16) 1 (17) 1 (18) 4 (19)
3 (20) 4 (21) 3 (22) 3 (23) 4 (24) 3
ตอนที่ 3 (25) 1 (26) 1 (27) 3 (28) 1

เฉลยวิธีคิด
ตอนที่ 1 ⎡• • • ⎤
(3) สมมติ A = ⎢• • • ⎥
(1) จัดรูปสมการ ⎢⎣• • • ⎥⎦
(x2 + 4x + 4) + 2 (y2 − 2y + 1) = 2 + 4 + 2
⎡• • •⎤
→ (x + 2)2 + 2 (y − 1)2 = 8 จาก M13 จะได้ A = ⎢ −1 3 •⎥
⎢⎣ 1 2 •⎥⎦
(x + 2)2 (y − 1)2
→ + = 1
8 4 ⎡ • −1 1 ⎤
จาก M21 จะได้ A = ⎢ −1 3 • ⎥
เป็นวงรีตามแกน x จุดศูนย์กลาง (−2, 1) ⎢⎣ 1 2 4⎥⎦
ระยะโฟกัส c = 8 − 4 = 2 ⎡ 2 −1 1 ⎤
∴ จุดโฟกัสคือ (−4, 1) และจาก M32 จะได้ A = ⎢ −1 3 0 ⎥
2 2 ⎢⎣ 1 2 4⎥⎦
กับ (0, 1) 1
det(A) = −3 − 4 + 24 − 2 = 15 ตอบ
32x + 3 10(3x − 1/ 2 )
1
(4) จาก 5 = 5
พื้นที่ Δ = ×4×1= 2 ตร.หน่วย ตอบ
2 เอาฐาน 5 เท่ากันออก จะได้ 32x + 3 = 10(3x − 1/ 2)
⎛ 2 ⎞
(fog)(x) = (gof)(x) → 4 ⎜
(2) ⎟ =
2 ให้ 3x = A จะได้ A2 + 3 = 10 A
⎝ x − 1⎠ 4x − 1 3
8 2 → 3A2 − 10A + 3 3 = 0
→ = → 8 (4x − 1) = 2 (x − 1)
x−1 4x − 1 → ( 3A − 1)(A − 3 3) = 0
→ 30x = 6 ดังนั้น x = 0.2 ตอบ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 432 ขอสอบเขาฯ ต.ค.42

1 ก็จะได้ผลสรุปคือ ~p
ดังนัน้ A = หรือ 3 3
3
1 3
แต่ผลที่ให้มาในโจทย์คือ p ตรงข้ามกับผลที่เราได้
− 1 3 ดังนัน้ ข้อ ก. ไม่สมเหตุสมผล
→ 3x = 3 หรือ 32 จะได้
2 x = − ,
2 2
ข. จากเหตุ 2 คือ ~r ∧ ~ s สามารถแยกข้อเป็นเหตุ
ตอบ ผลบวกคําตอบคือ 1
~r และเหตุ ~ s ได้
(5) f′(3) = v(3)u(3)
′ − u(3)v′(3)
2
[ v(3)] นําเหตุ ~r ไปรวมกับเหตุ 1 คือ (p ∧ q) → r จะ
(3)(3) − (−9)(2(3) − 2) ได้ผลเป็น ~ (p ∧ q) ก็คอื ~p ∨ ~ q ก็คอื p → ~ q
= = 5 ตอบ
(3)2 ดังนัน้ เมื่อรวมกับเหตุ 3 คือ p ก็จะได้ผลสรุป ~ q
(6) มองเป็นกลุ่มละ 3 คน ข้อ ข. จึงสมเหตุสมผล ตอบ ข้อ 3.
จํานวน 3 กลุ่ม 2
(5) จาก 2x + x − 1 < 0 → (2x − 1)(x + 1) < 0
จะได้ −1 < x < 1/2
สลับวงกลม (ภายนอก) ได้ 2! แบบ และจาก (x − 2)2 < 3 → | x − 2| < 3
สลับกันเองภายในแต่ละกลุ่ม ได้ 3! แบบ → −3 < x − 2 < 3 จะได้ −1 < x < 5
ดังนัน้ ตอบ 2 ! × (3 !)3 = 432 วิธี นํามาอินเตอร์เซคชันกัน (เพราะเชื่อมด้วย “และ”)
ตอนที่ 2 จะได้วา่ โจทย์กลายเป็น ∃x [−1 < x < 1/2]
(1) หา Dg ก่อน จากเงือ่ นไขรู้ท ดังนัน้ ตอบ ข้อ 4. (เพราะมี x = −1 ที่ใช้ได้)
x2 − 1 > 0 → (x − 1)(x + 1) > 0 (6) ก. h(x) = arcsin(cos x)
ดังนัน้ B = Dg = (−∞, −1] ∪ [1, ∞) โดเมนเป็นจํานวนจริงใดๆ ถูก
ต่อมา หา Dgof จาก (gof)(x) = (f(x))2 − 1 เพราะไม่ว่า x เป็นเท่าใดก็หา cos x ได้เสมอ และไม่
ว่า cos x จะมีคา่ เท่าใด ก็ยังหา arcsin ได้เสมอ..
แสดงว่า f(x) ต้องอยู่ในช่วง (−∞, −1] ∪ [1, ∞)
ต่อมาพิจารณา g (π − h(x)) = cos (π − h(x))
กรณีซ้าย x < −1 → x + 1 − x < 0 2 2
1− x 1− x = sin[h(x)] = sin(arcsin(cos x)) = cos x = g(x)
1
→ > 0 จะได้ x > 1 ก็ถูกเช่นกัน
x−1
ข. h เป็นฟังก์ชนั หนึ่งต่อหนึ่ง ผิด
กรณีขวา x > 1 → x − 1 + x > 0 เพราะ x ที่ตา่ งกันสามารถให้คา่ h(x) ที่เหมือนกันได้
1− x 1− x

2x − 1
< 0 จะได้ 1/2 < x < 1
เช่น x = 0 h(x) = arcsin(cos 0) = arcsin 1 = π/2
x−1 x = 2π h(x) = arcsin(cos 2π) = arcsin 1 = π /2
ดังนัน้ A = Dgof = [1/2, 1) ∪ (1, ∞) สรุปว่า ก. ถูก ข. ผิด ตอบ ข้อ 2.
และจะได้ A ∪ B ' = (−1, 1) ∪ (1, ∞) ตอบ (7) 5 − 3 sin 3A มากที่สดุ แสดงว่า sin 3A
(2) A; −4 < x − 2 < 4 → −2 < x < 6 จะต้องน้อยที่สดุ นั่นคือ sin 3A = −1
B; นํา x2 คูณสองข้าง (โดยที่ x ≠ 0 ) พิจารณาในช่วง 0 < 3A < 4π จะได้ว่า
3π 7π π , 7π
จะได้ 15 − 8x + x2 > 0 → (x − 3)(x − 5) > 0 3A = , → A =
2 2 2 6
→ x < 3, x > 5, x ≠ 0
∴ cos A = 0, − 3 /2 ตอบ ข้อ 2.
∴ A ∩ B = (−2, 0) ∪ (0, 3) ∪ (5, 6) ตอบ
(8) จัดรูปพาราโบลา;
(3) จาก 40 = 23 × 5 (x2 − 12x + 36) = −4y − 52 + 36
ห.ร.ม. ของ x กับ 40 เท่ากับ 5 แสดงว่า → (x − 6)2 = 4(−1)(y + 4) → c = −1
ใน x ต้องมี 5 อยู่ และต้องไม่มี 2 อยู่
สรุปว่า x เป็นเลขคี่ ที่หาร 5 ลงตัว นั่นเอง เป็นพาราโบลาคว่ํา, จุดยอดอยูท่ ี่ (6, −4)
ได้แก่ 5, 15, 25, 35, ..., 395 รวม 40 จํานวน ตอบ จุดโฟกัสอยู่ที่ (6, −5)
(4) ก. จากเหตุ 1 คือ p → (q → ~r) → จัดรูปวงกลม;
(x2 + 4x + 4) + (y2 − 6y + 9) = −11 + 4 + 9
จัดรูปใหม่ได้ว่า q → (p → ~r)
→ (x + 2)2 + (y − 3)2 = 2
นําไปรวมกับเหตุ 2 คือ q จะได้เป็น p → ~r
∴ จุดศูนย์กลาง (−2, 3) , รัศมี 2 หน่วย
จากนั้นนําผลที่ได้ไปรวมกับเหตุ 3 คือ r อีก
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 433 ขอสอบเขาฯ ต.ค.42

จุด (0, 5)..ได้ 75 บาท


C(-2,3) (5, 5) ..ได้ 125 บาท (5,5)
A
F(6,-5) (6, 4) ..ได้ 120 บาท 5 (6,4)
(8, 0) ..ได้ 80 บาท
→ ระยะ AF = CF − CA = 82 + 82 − 2 ดังนัน้ ตอบ 125 บาท O 8 10
= 8 2 − 2 = 7 2 หน่วย ตอบ (13) จาก |u + v | = 37 จะได้
(9) |u|2 + |v |2 + 2|u|| v | cos 60D = 37
B
θ นั่นคือ |u|2 + |v |2 + |u||v | = 37 .....(1)
และจาก |u − v | = 13 จะได้
α β
A O C |u|2 + |v |2 − |u||v | = 13 .....(2)
สมการ (1)+(2) หาร 2; |u|2 + |v |2 = 25
tan α = 1 → tan ABC ˆ = 1
สมการ (1)-(2); 2 |u||v | = 24
tan β = 2 → tan OBC ˆ = 1
2 บวกกันได้ |u|2 + 2|u||v | + | v |2 = 25 + 24 = 49
ˆ − OBC)
ดังนัน้ tan θ = tan (ABC ˆ → (|u| + |v |)2 = 49 → |u| + |v | = 7 ตอบ
1 − 1/2
=
1 (เป็นค่าบวกเสมอ เพราะเป็นขนาดเวกเตอร์)
1 + (1)(1/2) 3 (14) A ˜ ˜
m1 − m2 2−1 1 | OD | = |OA |cos θ
หรือ คิดจากสูตร tan θ = = =
1 + m1m2 1+2 3
1 10 θ
โจทย์ถาม sec2 θ = tan2 θ + 1 =
+1= ตอบ O
9 9 D B
6
(10) ให้ A = log3 x จะได้ A + = 5
A → หาได้จาก ˜ OB ⋅ ˜
OA = |˜
OB ||˜
OA | cos θ
→ A2 − 5A + 6 = 0 → A = 2, 3
จะได้ (5)(3) + (−2)(4) = 29 |˜
OA | cos θ
→ x = 9, 27 ∴ a = 9, b = 27 ˜
∴ | OA | cos θ = 7/ 29
หาจํานวนในช่วง [9, 27] ทีห่ าร 3 ลงตัว ˜
OD คือเวกเตอร์ขนาด 7/ 29 หน่วย ในทิศ ˜ OB
ได้แก่ 9, 12, 15, 18, 21, 24, 27 ตอบ 7 จํานวน ˜ ˜
ทํา OB ให้เหลือ 1 หน่วยได้เป็น OB 5 i − 2 j
(11) det A = −1 = −4x2 ∴ x = 1 หรือ − 1 =
2 2 |˜
OB | 29
โจทย์ถาม det(2(I − A)A t) = 23 det(I − A) det(A)
∴˜
7 ⎛ 5i − 2j ⎞ 7
OD = ⎜ ⎟ = (5 i − 2 j) ตอบ
= −8 det(I − A) 29 ⎜⎝ 29 ⎟
⎠ 29
ดังนัน้ ต้องหาค่า det(I − A) ก่อน 2π 34π
(15) z = 4∠ → z17 = 417 ∠
3 3
1 ⎡1/2 5 −1 ⎤
กรณี x = → A = ⎢ 0 4 −2 ⎥ 34π 4π
2
→ ซึ่ง = 10π + ∴ อยู่ใน Q3 ตอบ
⎢⎣ 0 0 −1/2⎥⎦ 3 3
⎡1/2 −5 1 ⎤ (16) ก. จัดรูปสมการ
9
→ I − A = ⎢ 0 −3 2 ⎥ → det(I − A) = − (1 + i) x [x2 − 1] + (1 + 2i)[x2 − 1] = 0
⎢⎣ 0 0 3/2⎥⎦ 4
→ [(1 + i) x + (1 + 2i)] ⎡⎣x2 − 1⎤⎦ = 0
⎡3/2 −5 1 ⎤
กรณี x = − 1 → I − A = ⎢ 0 −3 2 ⎥ แต่ x ∈ R เท่านัน้ ดังนั้น x = 1, −1 ถูก
2 ⎢⎣ 0 0 1/2⎥⎦
9
ข. |z6 | = |z|6 = 1 i = 1
8 8
→ det(I − A) = − เช่นกัน
4 1 1
→ |z| = |z| = 6 = ถูก ดังนัน้ ตอบ ข้อ 1.
ดังนัน้ คําตอบคือ = −8 (− 9) = 18 ตอบ 8 2
4
(17) พจน์ที่ m → m − 2 = 38 ∴ m = 40
(12) เงินได้ = 10x + 15y สังเกตดี ๆ เป็นอนุกรมเลขคณิต (เพราะ n กําลัง 1)
จากบริเวณที่แรเงาในกราฟ จะได้ว่า
ใช้สูตร Sn = n (a1 + an)
2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 434 ขอสอบเขาฯ ต.ค.42

40 ⎛ 1 − a 1 + 38 a ⎞ 15,000
∴ S40 = ⎜ + ⎟ (24) ดัชนีปี 40 เทียบ 38 = × 100 = 120
2 ⎝ 1− a 1− a ⎠ 12,000

⎛ 2 + 37 a ⎞ 40 + 740 a ดัชนีปี 41 สูงขึน้ 5% ดังนัน้


= 20 ⎜ ตอบ
⎝ 1 − a
⎟ =
⎠ 1− a ดัชนีปี 41 เทียบ 38 = 120 × 105 = 126
100
2
(18) f(x) = (x − 4)(x2 − 1) = −x + 1 ตอบ 26%
4−x
ตอนที่ 3
เมื่อ x ≠ ±2
ถ้าจะให้เป็นฟังก์ชันต่อเนือ่ ง จะต้องให้ (25) F(x) = d (5x3 + 2x + c) = 15x2 + 2
dx
f(2) = lim f(x) = −2 + 1 = −1 และ ดังนัน้ (fog)(x) = 15x2 + 2
x →2

f(−2) = lim f(x) = −(−2) + 1 = 3 ตอบ ข้อ 4. จากกฎลูกโซ่ (fog)′ (x) = f′(g(x)) ⋅ g(x)

x → −2
→ 30x = f′(g(x)) ⋅ (3x2 + 2)
(19) f(x) = ∫ (3x2 − 12x + 9) dx
เราต้องการ f′(5) จึงต้องให้ g(x) = 5 พบว่าควร
= x3 − 6x2 + 9x + C → ผ่าน (0, 2) ∴ C = 2
แทน x ด้วย 1 (ใช้วิธีเดาเอาเพราะแก้ยาก)
→ หาค่าสูงสุด f′(x) = 3x2 − 12x + 9 = 0
ได้เป็น 30 ⋅ 1 = f′(5) ⋅ (3 + 2)
ดังนัน้ x = 1, 3 ∴ f′(5) = 30/5 = 6 ตอบ
ซึ่ง f(1) = 1 − 6 + 9 + 2 = 6 , −1 −1
(26) (g of)(5) = g (f(5))
และ f(3) = 27 − 54 + 27 + 2 = 2 ∴ ตอบ 6 แทน x = 5 เลยยังไม่ได้ เพราะนิยามแค่
(20) คําว่า “มี” คิดยาก เพราะมีได้หลายกรณี (กี่ −3 < x < 3 จึงต้องใช้วิธล ี ดค่า ตามสมการ
คนก็ได้) จึงควรใช้วิธีลบออก
f(x + 6) = f(x) → พบว่า f(−1) = f(5)
คือวิธีทงั้ หมด – วิธีที่ “ไม่มี” (แปลว่าถนัดขวาล้วนๆ)
6π π
⎛8⎞ ∴ g−1(f(5)) = g−1(f(−1)) = g−1( ) = g−1( )
⎜5⎟ 8!5! 7! 92 24 4
= 1− ⎝ ⎠ = 1− = ตอบ π
⎛ 12 ⎞ 5 ! 3 ! 12 ! 99 → จาก g(x) = A + arcsin x จะหา g−1( )
⎜5⎟ 4
⎝ ⎠
(21) n(A ∪ B) = 4 , n(A × B) = 3 × 2 = 6 คือ หาค่า x ที่ทาํ ให้ A + arcsin x =
π
4
ตอบ 6 × 5 × 4 × 3 = 360 ⎛ π ⎞ π π
→ x = sin ⎜ − A ⎟ = sin cos A − cos sin A
(22) จาก ∑ y = m ∑ x + c N ⎝4 ⎠ 4 4
จะได้ 4a + 13 = 1.55(0) + 5c .....(1) ⎛ 1 ⎞⎛ 2 ⎞ ⎛ 1 ⎞⎛ 1 ⎞ 1
= ⎜ ⎟⎜ ⎟−⎜ ⎟⎜ ⎟ = ตอบ
และจาก ∑ xy = m ∑ x2 + c ∑ x ⎝ 2⎠⎝ 5⎠ ⎝ 2⎠⎝ 5⎠ 10

จะได้ 3a + 22 = 1.55(20) + c(0) .....(2) (27) สองชั้นบนไม่ใช่แดงและเหลือง แสดงว่าต้อง


เป็นเขียวและขาว สลับกันได้ 2! แบบ
แก้ระบบสมการได้ a = 3, c = 5 สองชัน้ ล่างก็จะเป็นแดงและเหลือง สลับได้ 2! แบบ
∴ Ŷ = 1.55X + 5
ความน่าจะเป็น = 2 ! 2 ! = 1 ตอบ
ถ้า x = 4 จะได้ Ŷ = 1.55(4) + 5 = 11.2 ตอบ 24 6
(23) คะแนน ความถี่ d
(หมายเหตุ วิธที งั้ หมด 24 แบบ ก็คือ 4! นั่นเอง)
1 – 20 20% -2 (28) ก. คิดที่เกณฑ์ 54 คะแนน
54 − 60
21 – 40 40% -1 → z = = −1.2 → A = 0.3849 ซ้าย
5
41 – 60 24% 0
61 – 80 10% 1 คิดเป็น P11.51 ดังนั้น ข้อ ก. ถูก เพราะมีขาวคนเดียว
81 – 100 6% 2 ที่ได้ไม่ถึง P11.51
ก. เกิน 40 คะแนนมี 24 + 10 + 6 = 40% ข. คิดนายดํา P33 → A = 0.17 ซ้าย
ข. หา X = a + I D xดํา − 60
→ z = −0.44 =
−40 − 40 + 10 + 12 ⎞ 5
= 50.5 + (20) ⎛⎜ ⎟ = 38.9 คะแนน จะได้ x = 57.8 คะแนน ดังนั้น ข้อ ข. ถูก
⎝ 100 ⎠ ดํา

s 481.44 ตอบ ข้ อ 1.
สัมประสิทธิ์การแปรผัน = = = 0.56
X 38.9
ดังนัน้ ก. ผิด และ ข. ผิด ตอบ ข้อ 4.
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 435 ขอสอบเขาฯ มี.ค.43

¢ŒoÊoºe¢ŒÒÁËÒÇi·ÂÒÅa ÁÕ.¤.43 (f)


ตอนที่ 1 ข้อ 1 – 6 เป็นข้อสอบแบบอัตนัย ข้อละ 2 คะแนน
1. ให้ A = {0, ±1, ±2, ..., ±20}
และ B = { x ∈ A | |x| เป็นจํานวนเต็ม }
จํานวนสมาชิกของเซต { C ⊂ B | 0 ∈ C และ 1∉ C } เท่ากับเท่าใด

2. ถ้า x เป็นรากของสมการ 2 3x − 1⋅ 6 x ⋅ 25 5x − 1 = 75 x แล้ว x มีค่าเท่ากับเท่าใด

⎡ 5 4 6⎤
⎡C (A) C23(A)⎤
3. ถ้า A = ⎢ −2 0 7 ⎥ และ B = ⎢ 13 แล้ว det (B−1) มีค่าเท่ากับเท่าใด
⎢ ⎥ ⎣ 3 2 ⎥⎦
⎣⎢ 1 2 0⎥⎦

4. ในการทอดลูกเต๋า 2 ลูกพร้อมกัน 1 ครั้ง ความน่าจะเป็นที่ผลบวกของแต้มบนหน้าลูกเต๋าทั้งสอง


ลูกจะเป็นเลขที่หารด้วย 4 ไม่ลงตัว มีค่าเท่ากับเท่าใด

5. ถ้าให้สมการที่ใช้แทนความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันที่ใช้สําหรับการประมาณจํานวนห้องพักที่มีแขกมา
พักจริง (แทนด้วย y ) จากจํานวนห้องพักที่มีการจองล่วงหน้า (แทนด้วย x ) คือ y = a + 0.75x
โดยที่ X = 40 และ Y = 60
ถ้า x = 60 แล้ว จํานวนห้องพักที่มีแขกมาพักจริง โดยประมาณเท่ากับเท่าใด

6. กําหนดดัชนีราคาผู้บริโภคของปีต่างๆ โดยมีปี 2535 เป็นปีฐาน ดังนี้


ปี 2535 2536 2537
ดัชนี 100 90 108
ถ้ารายได้ที่เป็นตัวเงินของชายผู้หนึ่งในปี 2536 เท่ากับ 900 บาท และรายได้ที่แท้จริงของเขาในปี
2537 เท่ากับรายได้ที่แท้จริงของเขาในปี 2536 เมื่อเทียบกับรายได้ในปี 2535 แล้ว รายได้ที่เป็นตัว
เงินที่เขาควรจะได้รับในปี 2537 เท่ากับเท่าใด

ตอนที่ 2 ข้อ 1 – 24 เป็นข้อสอบแบบปรนัย ข้อละ 3 คะแนน


1. กําหนดให้ S เป็นเซตคําตอบของอสมการ x2 < 8x + 20
ถ้า A = { x ∈ S | x เป็นจํานวนเฉพาะบวก } และ B = { x ∈ S | x เป็นจํานวนเต็มคี่ }
แล้ว (A × B) − (B × A) มีจํานวนสมาชิกเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 11 2. 15 3. 21 4. 23

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 436 ขอสอบเขาฯ มี.ค.43

2. ให้ S = {0, 1, 2, ..., 7}


และ นิยาม a ∗ b = เศษเหลือจากการหารผลคูณ ab ด้วย 6 ทุก a, b ∈ S
พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. x ∗ 1 = x ทุก x ∈ S ข. {4 ∗ x | x ∈ S} = {0, 2, 4}
ข้อใดต่อไปนี้เป็นจริง
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก แต่ ข. ผิด
3. ก. ผิด แต่ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

3. นิเสธของข้อความ ∃x [P (x) ∧ ~ Q (x)] คือข้อความในข้อใดต่อไปนี้


1. ∀x [P (x) → ~ Q (x)] 2. ∃x [~ P (x) → Q (x)]
3. ∀x [P (x) → Q (x)] 4. ∃x [Q (x) → P (x)]

4. กําหนดให้ 1) ~ p → ~ q
เหตุ 3) q∨ t
2) p → (r ∨ s) 4) ~t
ผลในข้อใดต่อไปนี้ทําให้การอ้างเหตุผลนี้ สมเหตุสมผล
1. s → r 2. s →~r
3. r → ~ s 4. ~r →s

1
5. กําหนดให้ r = {(x, y) | y = 9 − x2 } และ s = {(x, y) | y = }
2
x −9
พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. Dr ∩ Rs = ∅ −1 ข. Rr ∪ Ds−1 = (0, ∞)

ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

6. กําหนดให้ f (x) = ax3 + x2 + x + b เมื่อ a, b เป็นจํานวนจริง และ f (1) = 3 , f′(1) = 0 ถ้า


g(x) = f′′(x) แล้ว (g D f)(−1) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −16 2. −4 3. 4 4. 16

7. ถ้าสามเหลี่ยม ABC มีมุม BAC = 45° , มุม ACB = 60° และด้าน AC ยาว 20 นิ้ว แล้ว
พื้นที่ของสามเหลี่ยม ABC มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 300 2 ตารางหน่วย 2. 300 3 ตารางหน่วย
3+1 3+1
200 2 200 3
3. ตารางหน่วย 4. ตารางหน่วย
3+1 3+1

⎛1 3 3 ⎞ ⎛1 4 4 ⎞
8. sec ⎜ (arcsin + arccos )⎟ + tan ⎜ (arcsin + arccos )⎟ มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
⎝2 5 5 ⎠ ⎝2 5 5 ⎠
1. 2 2. 3 3. 1+ 2 4. 2+ 3

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 437 ขอสอบเขาฯ มี.ค.43

9. กําหนดให้เส้นตรง 3x − 4y − 5 = 0 ขนานกับเส้นตรง x + ky + 5 = 0 เมื่อ k เป็นจํานวนจริง


ถ้าวงกลมซึ่งมีเส้นตรงทั้งสองนี้เป็นเส้นสัมผัส มีจุดศูนย์กลางอยู่บนแกน y และผ่านจุด (a, 1/4)
แล้ว a เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 6/2 2. 7 /2 3. 2 4. 3

10. ให้ C เป็นวงกลม x2 + y2 − 2x − 4y − 20 = 0 มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่จุด (h, k) และมีรัศมี r


สมการพาราโบลาซึ่งมี (h, k) เป็นจุดยอด และ x = r เป็นสมการไดเรกตริกซ์ คือข้อใดต่อไปนี้
1. y2 − 4y + 20x − 16 = 0 2. y2 + 4y − 16x − 12 = 0
3. y2 − 4y + 16x − 12 = 0 4. y2 − 4y + 16x − 14 = 0

3 + 3 27
11. log3 มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
( 3 +5 3 + 6)
3 1
1. − log3(3 1/ 4 + 2) 2. − log3(3 1/ 2 + 2)
4 4
3 1 1 1
3. − log3 19 4. − log3 19
4 4 4 4

⎡ cos 2x − sin x cos x ⎤


12. กําหนดให้ A = ⎢ และ
⎣2 sin 3x cos 3x ⎥⎦
S = { x ∈ [0, π] | 2 det (A2) − 3 3 det (A) + det ( 3 I) = 9 เมื่อ I คือเมตริกซ์เอกลักษณ์มิติ
2×2} ผลบวกของสมาชิกทั้งหมดของ S มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้

1. 2. 3π 3. 4π 4. 5π
6 6 6 6

13. แม่ค้าคนหนึ่งทําขนมขายส่งสองชนิด โดยขายขนมชนิดแรกราคาชิ้นละ 12 บาท ชนิดทีส่ องราคา


ชิ้นละ 10 บาท ถ้าแม่ค้าทําขนมชนิดแรก x ชิ้น และชนิดที่สอง y ชิ้น โดยมีอสมการข้อจํากัดดังนี้
x > 0, y > 0 5x + 6y < 15000 และ 3x + 2y < 6000
แล้ว แม่ค้าจะขายขนมได้เงินสูงสุดเมื่อขายขนมทั้งสองชนิดรวมกันเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 2575 ชิ้น 2. 2625 ชิ้น 3. 2875 ชิ้น 4. 3205 ชิ้น

14. ให้ u = i + 3 j , v = 2 i + j
ถ้า θ เป็นมุมระหว่าง (u + v) และ (u − v) แล้ว cos θ มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 1 2. 2
3. 1 4. 2
5 5 5 5

15. กําหนดให้ u − v = 3 และ u ⋅ v = −2 จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้


ก. u + v เป็นเวกเตอร์หนึ่งหน่วย ข. u 2 + v 2 = 3
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 438 ขอสอบเขาฯ มี.ค.43

16. ถ้า z1 = cos 12° + i sin 12° และ z2 = − cos 16° − i sin 16°
15
⎛ z1 ⎞
แล้ว ⎜ ⎟ เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
⎝ z2 ⎠
−1 + 3 i 1+ 3 i − 3 +i − 3 −i
1. 2. 3. 4.
2 2 2 2

17. ให้ z1, z2 , z3 , z4 เป็นรากของสมการ z4 + z2 + 2 = 0


z1 + z2 + z3 + z4 มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 2 2. 4 3. 2 5/ 2 4. 2 9/ 4

18. ถ้าลําดับเลขคณิต a1, a2 , a3 , ... มีพจน์ที่ 10 และพจน์ที่ 15 เป็น −19 และ −34
20
ตามลําดับ แล้ว ∑ (a i + 2 i) เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
i=1

1. −30 2. −15 3. 10 4. 20

19. กําหนดให้ f (x) = x3+ cx2− 9x เมื่อ c เป็นจํานวนจริง ถ้าค่าวิกฤตค่าหนึ่งของ f คือ 1 แล้ว
f เป็นฟังก์ชันลดในเซตใดต่อไปนี้
1. (−3, 1) 2. (−∞, −3) ∪ (1, ∞)
3. (−1, 4) 4. (−∞, −1) ∪ (4, ∞)

20. ให้ F เป็นปฏิยานุพันธ์ของ f โดยที่ f (x) = 3x2− 6x + 3 ถ้า F (0) = −1 และ F มีค่าสูงสุด
สัมบูรณ์ในช่วง [0, 2] ที่จุด x = c แล้ว F (c) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −1 2. 0 3. 1 4. 2

21. กําหนดให้ f เป็นฟังก์ชันที่มีอนุพันธ์ และ g(x) = (x + 1) f (x)


ถ้า ∫ g (x) dx = x2− x + c แล้ว f′ (1) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 3 2. 5 3. 3 4. 5
4 4 2 2

22. ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง มีนักกีฬาฟุตบอลและนักกีฬาบาสเกตบอลรวมกัน 30 คน เป็นนักกีฬา


ฟุตบอล 17 คน และนักกีฬาบาสเกตบอล 18 คน ถ้าจะเลือกประธานกีฬาของโรงเรียน 1 คน และ
รองประธานกีฬา 1 คน จากนักกีฬากลุ่มนี้ โดยที่ประธานต้องเป็นทั้งนักกีฬาฟุตบอลและนักกีฬา
บาสเกตบอล แล้วจํานวนวิธีการเลือกดังกล่าวมีทั้งหมดเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 125 2. 130 3. 145 4. 150

23. ถ้าต้องการเขียนจํานวนที่มี 7 หลัก โดยใช้ตัวเลขโดด 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 และให้มีเลขโดด 3,


4, 5 อยู่ติดกันตรงกลางระหว่างเลขโดดคู่และเลขโดดคี่ โดยแต่ละจํานวนไม่มีเลขซ้ํา แล้วจะเขียนได้
ทั้งหมดเป็นจํานวนเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 8 2. 16 3. 24 4. 48

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 439 ขอสอบเขาฯ มี.ค.43

24. โรงเรียนแห่งหนึ่งมีนักเรียนชั้น ม.6 จํานวน 300 คน สมชาย สมศักดิ์และสมศรี เป็นนักเรียน


ชั้น ม.6 ของโรงเรียนนี้ โดยที่
เกรดเฉลี่ยของสมชายอยู่ในตําแหน่งเดไซล์ที่ 8.15
เกรดเฉลี่ยของสมศักดิ์คิดเป็นค่ามาตรฐานเท่ากับ 1
นักเรียนชัน้ ม.6 ที่ได้เกรดเฉลี่ยมากกว่าสมศรีมีจํานวน 50 คน
ถ้าสมมติว่าเกรดเฉลี่ยของนักเรียนชั้น ม.6 มีการแจกแจงปกติ ข้อใดต่อไปนี้เป็นรายชื่อนักเรียน
เรียงลําดับจากคนที่ได้เกรดเฉลี่ยมากที่สุดไปน้อยที่สุด
(กําหนดพื้นที่ใต้โค้งปกติ z=0 ถึง z=1 มีค่าเท่ากับ 0.3413)
1. สมชาย สมศักดิ์ สมศรี 2. สมศักดิ์ สมศรี สมชาย
3. สมศรี สมศักดิ์ สมชาย 4. สมศักดิ์ สมชาย สมศรี

ตอนที่ 3 ข้อ 25 – 28 เป็นข้อสอบแบบปรนัย ข้อละ 4 คะแนน


x
25. ให้ f, g : R > R กําหนดโดย f (x) =
x +1
และ g(x) = จํานวนเต็มซึ่งน้อยที่สุด ที่มากกว่าหรือเท่ากับ x
(เช่น g(1.01) = 2 , g(−6) = −6 , g(−7.99) = −7 เป็นต้น)
ถ้า F (x) = (f D g)(x) และ G(x) = (g D f)(x) แล้วข้อใดต่อไปนี้เป็นเท็จ
1. DF = (−∞, ∞) 2. RF = (0, 1)
3. G(x) = 1 เมื่อ x > 0 4. G(x) = 0 เมื่อ x < 0

⎧ x2 , x > 1

26. ถ้า f (x) = ⎨x − 1 , 0 < x < 1
⎪0 , x < 0

⎡ f (x − 1)⎤
แล้ว lim f (x2) + lim+ ⎢ ⎥ เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
x → 0− x→1
⎣ x+2 ⎦
4 1
1. − 2. −1 3. 0 4.
3 3

27. กล่องใบหนึ่งมีลูกหินสีขาว 5 ลูก สีเขียว 3 ลูก สีน้ําเงิน 2 ลูก ถ้าหยิบลูกหินอย่างสุ่มครั้งละ 1


ลูก โดยไม่ใส่คืน 3 ครั้ง แล้วความน่าจะเป็นที่จะหยิบได้ลูกหินสีเดียวกันอย่างน้อย 2 ลูก มีค่าเท่ากับ
ข้อใดต่อไปนี้
1. 1 2. 23 3. 1 4. 3
24 24 4 4

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 440 ขอสอบเขาฯ มี.ค.43

28. ข้อมูลชุดหนึ่งประกอบด้วย x1, x2 , x3 , ..., x20 โดยมีสมบัติดังนี้


20 20
∑ (xi − 5)2 = 500 , ∑ |xi − a| มีค่าน้อยที่สุด เมื่อ a = 5
i=1 i=1
20
2
และ ∑ (xi − b) มีค่าน้อยที่สุด เมื่อ b = 8
i=1

ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ข้อมูลชุดนี้มีค่าเฉลี่ยเลขคณิตน้อยกว่าค่ามัธยฐาน
2. ผลรวมของข้อมูลชุดนี้ทั้งหมดเท่ากับ 100
3. ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของข้อมูลชุดนี้มีค่าเท่ากับ 5
4. สัมประสิทธิ์ของการแปรผันของข้อมูลชุดนี้มีค่าเท่ากับ 50%

เฉลยคําตอบ
ตอนที่ 1 (1) 128 (2) 0.25 (3) 0.1 (4) 0.75 (5) 75 (6) 1080
ตอนที่ 2 (1) 2 (2) 3 (3) 3 (4) 4 (5) 2 (6) 1 (7) 4 (8) 3 (9) 4
(10) 3 (11) 1 (12) 4 (13) 2 (14) 1 (15) 2 (16) 1 (17) 4 (18) 3 (19) 1
(20) 3 (21) 1 (22) 3 (23) 4 (24) 2
ตอนที่ 3 (25) 2 (26) 1 (27) 4 (28) 4

เฉลยวิธีคิด
ตอนที่ 1 (5) Y = a + 0.75X ด้วย
(1) B = {0, ±1, ±4, ±9, ±16} → n(B) = 9 → 60 = a + 0.75(40) → a = 30
จํานวนแบบของ C ⊂ B โดย 0 ∈ C และ 1 ∉ C ∴ Ŷ = 30 + 0.75 X → ถ้า x = 60 จะได้
มีตัวอิสระให้เลือก 7 ตัว ตอบ 27 = 128 Ŷ = 30 + 0.75(60) = 75 ห้อง ตอบ
x x
(2) 23x − 1 ⋅ 255x − 1 = ⎛⎜ 75 ⎞⎟ = ⎛⎜ 25 ⎞⎟ (6) ปี 2536 ได้ 900 บาท
⎝ 6 ⎠ ⎝ 2 ⎠
→2 4x − 1 4x − 1
⋅ 25 = 1 → (50) 4x − 1
= 1
คิดเป็นรายได้แท้จริง 900 × 100 = 1,000 บาท
90
→ 4x − 1 = 0 → x = 0.25 ตอบ ∴ ปี 2537 มีรายได้แท้จริง 1,000 บาทด้วย
(3) −2 0 54
C13(A) = 1 2 = −4, C23(A) = − 1 2 = −6 คิดเป็นตัวเงิน 1,000 × 108 = 1,080 บาท ตอบ
100

(ตําแหน่ง C23 อย่าลืมใส่ลบ) ตอนที่ 2


−4 −6
(1) S ; x2 − 8x − 20 < 0 → (x − 10)(x + 2) < 0
∴ B = ⎡⎢ 3 2 ⎤⎥
⎣ ⎦ นั่นคือ S = [−2, 10]
1 1 A = {2, 3, 5, 7} B = {−1, 1, 3, 5, 7, 9}
และ det(B−1) = = = 0.1 ตอบ
det(B) −8 + 18 ∴ n(A × B) = 4 × 6 = 24
(4) นับจํานวนวิธีที่ผลรวมหารด้วย 4 ลงตัวก่อน จากนั้นหาว่า (A × B) กับ (B × A) มีตัวซ้ํากันกีต่ ัว
คือ ผลรวมเป็น 4, 8, หรือ 12 เนื่องจาก A ∩ B = {3, 5, 7} ดังนัน้ ใน A × B กับ
ได้แก่ (1, 3) (3, 1) (2, 2) (2, 6) (6, 2) (3, 5) B × A จะมีตว ั ซ้าํ กัน 3 × 3 = 9 ตัว
(5, 3) (4, 4) (6, 6) มีอยู่ 9 วิธี [ได้แก่ (3, 3) (3, 5) (3, 7) (5, 3) (5, 5) (5, 7)
ตอบ 1 − 9 = 0.75 (7, 3) (7, 5) และ (7, 7) ]
6×6
ตอบ 24 − 9 = 15

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 441 ขอสอบเขาฯ มี.ค.43

(2) ก. ผิด เพราะว่า 6 ∗ 1 = 0, 7 ∗ 1 = 1 3 +1


= sin 45° cos 30° + cos 45° sin 30° =
ข. ถูก เพราะ 4 ∗ 0 = 0, 4 ∗ 1 = 4, 4 ∗ 2 = 2 2 2

4 ∗ 3 = 0, 4 ∗ 4 = 4, 4 ∗ 5 = 2 ฉะนั้นกฎของไซน์จะเป็นดังนี้
sin 60° sin 75° 20 ( 3 /2)
4 ∗ 6 = 0, 4 ∗ 7 = 4 = → AB =
AB 20 ⎛ 3 + 1⎞
ตอบ ก. ผิด ข. ถูก ⎜⎜ ⎟⎟
⎝ 2 2 ⎠
(3) ~ ∃x [P(x) ∧ ~ Q(x)] ≡ ∀x [~ P(x) ∨ Q(x)]
20 6
≡ ∀x [P(x) → Q(x)] ตอบ จัดรูปได้ AB =
3 +1
(4) จากเหตุ 3 คือ q ∨ t กับเหตุ 4 คือ ~ t สรุป 1
พื้นที่ Δ = (AB)(AC)(sin A)
ได้ว่า q ...จากนัน้ นําไปรวมกับเหตุ 1 คือ ~ p → ~ q 2

ได้เป็น p ...สุดท้ายไปรวมกับเหตุ 2 คือ p → (r ∨ s) 1 ⎛ 20 6 ⎞ ⎛ 1 ⎞ 200 3


= ⎜⎜ ⎟⎟ (20) ⎜ ⎟ = ตอบ
2 ⎝ 3 + 1 ⎠ ⎝ 2 ⎠ 3 +1
ได้ผลเป็น r ∨ s ≡ ~ r → s ตอบ
(8) จากการสังเกต จะพบว่า
(5) ดู r ก่อน;
arcsin , + arccos , = 90° เสมอ เมือ่ 0 <,< 1
Dr คิดจาก 9 − x2 > 0 → x2 − 9 < 0
ดังนัน้ Dr = [−3, 3] เช่น arcsin 3 + arccos 3 = 90°, B
5 5
ส่วน Rr คิดจาก x2 > 0 เสมอ → 9 − x2 < 9 4 4
5 4
arcsin + arccos = 90° ดังรูป
5 5
∴ 0 < 9 − x2 < 3 ดังนัน้ Rr = [0, 3] A
ต่อมา ดู s บ้าง; 3
[ถ้าไม่ทราบ จะเปลี่ยนเป็น arctan แล้วคํานวณก็ได้]
Rs คือ Ds คิดจาก x2 − 9 > 0 (ห้ามเป็น 0)
−1
⎛1 ⎞ ⎛1 ⎞
∴ sec ⎜ × 90° ⎟ + tan ⎜ × 90° ⎟
ดังนัน้ Rs = (−∞, −3) ∪ (3, ∞)
−1 ⎝2 ⎠ ⎝2 ⎠

Ds คือ Rs คิดจาก x2 − 9 > 0 = sec 45° + tan 45° = 2 +1


ตอบ
−1

(9) เส้นตรง 3x − 4y − 5 = 0
ขนานกับ
1
→ x2 − 9 > 0 → > 0
2
x −9 x + ky + 5 = 0 ... นํา 3 คูณสมการหลังจะได้
ดังนัน้ Ds = (0, ∞)
−1
3x + 3ky + 15 = 0 → นั่นคือ 3x − 4y + 15 = 0

∴ ก. Dr ∩ Rs = ∅ −1
อย่างแน่นอน (ให้ 3k = −4 ความชันจึงเท่ากัน)
ข. Rr ∪ Ds = [0, ∞) ตอบ ข้อ ก. ถูก ข. ผิด
−1
ระยะห่างระหว่างเส้นตรง 15 2− (−5)2 = 4 หน่วย
3 +4
(6) f(1) = 3 → a + 1 + 1 + b = 3 → จะหาวงกลมรัศมี 2 หน่วย
f′(1) = 0 → 3a + 2 + 1 = 0
ซึ่งอยู่ในเส้นคูข่ นานนี้ แสดงว่า
ดังนัน้ a = −1 และ b = 2 จุดศูนย์กลางอยูต่ รงกลางเป๊ะ L2
∴ f(x) = −x3 + x2 + x + 2
เส้นแรกตัดแกน y ที่ (0, − 5) ,
f′(x) = −3x2 + 2x + 1 และ g(x) = f′′(x) = −6x + 2 4 L1
15
→ (gof)(−1) = g(f(−1)) = g(3) = −16 ตอบ เส้นหลังตัดแกน y ที่ (0, )
4
(7) A 5
45° ดังนัน้ จุด C มีพกิ ัด (0, ) [จุดกึ่งกลาง]
20 นิ้ว 4
2
⎛ 5⎞
→ สมการวงกลม คือ x2 + ⎜ y − ⎟ = 22
60° ⎝ 4⎠
C B 2
ˆ = 180° − 45° − 60° = 75° 1 ⎛ 1 5⎞
จะได้ ABC ผ่านจุด (a, ) → a2 + ⎜ − ⎟ = 22
4 ⎝4 4⎠
หาความยาว AB ได้จากกฎของไซน์ → a2 = 4 − 1 = 3 → a = 3 ตอบ
sin C sin B
→ = ... ซึง่ sin B = sin 75°
AB AC

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 442 ขอสอบเขาฯ มี.ค.43

(10) จัดรูปสมการวงกลม (15) u − v = 3 → u 2 + v 2 − 2u ⋅ v = 9


(x2 − 2x + 1) + (y2 − 4y + 4) = 20 + 1 + 4
แทนค่า u ⋅ v = −2 จะได้ u 2 + v 2 = 5
→ (x − 1)2 + (y − 2)2 = 52
ดังนัน้ ข. ผิด
∴ (h, k) = (1, 2), r = 5 → หาพาราโบลาทีจ ่ ดุ ยอดอยูท่ ี่ ต่อมา หาขนาดของ u + v บ้าง
(1, 2) และมีไดเรกตริกซ์เป็น x = 5 → แสดงว่าเปิด 2 2
u + v + 2u ⋅ v = 5 + 2(−2) = 1
ซ้ายดังรูป และ c = −4
จาก (y − k)2 = 4c(x − h) แสดงว่า ก. ถูก ตอบ
2
จะได้ (y − 2) = −16(x − 1) 2 (16) z1 = 1∠12°, z2 = −1∠16°
15 15
→ y2 − 4y + 4 = −16x + 16 1 5 ⎛z ⎞ ⎛ 1 ⎞
∴ ⎜ 1 ⎟ = ⎜ − ∠(12°− 16°)⎟ = (−1 ∠(− 4°))15
→ y2 − 4y + 16x − 12 = 0 ตอบ ⎝ z2 ⎠ ⎝ 1 ⎠
= −1 ∠(−60°) = − cos(−60°) − i sin(−60°)
(11) พิจารณา
3+3 27 = 3 + 3 (33 / 4) = 3 (1 + 33 / 4) −1 + 3 i
= − cos 60° + i sin 60° = ตอบ
2
และ 3 +5 3 +6 =( 3 + 2)( 3 + 3) (17) z4 + z2 + 2 = 0 ใช้สตู รหาคําตอบได้เป็น
1/ 4 1/ 4 1/ 4 3/ 4 1/ 4
= (3 + 2)(3 + 3) = (3 + 2)(1 + 3 )(3 ) −1 ± 1−8 1 7
z2 = = − ± i
⎛ 3 (1 + 33 / 4) ⎞ 2 2 2
ดังนัน้ จากโจทย์ = log3 ⎜ ⎟ 2 2
⎜ (3 + 2)(1 + 3 )(3 ) ⎟
1/ 4 3 / 4 1/ 4 ⎛ 1⎞ ⎛ 7⎞
⎝ ⎠ ดังนัน้ z2 = ⎜ ⎟ +⎜ ⎟ = 2
⎝2⎠ ⎝ 2 ⎠
⎛ 3 3/ 4
⎞ 3
= log3 ⎜ 1/ 4 = − log3(31/ 4 + 2) ตอบ → z = 21/ 4 [เท่ากันทั้งสี่คาํ ตอบเสมอ]
⎜ 3 + 2 ⎟⎟ 4
⎝ ⎠ 1/ 4 1/ 4 1/ 4 1/ 4
= 4 ⋅ 21/ 4 = 29/ 4
(12) det(A) = cos 2x cos 3x + 2 sin x cos x sin 3x ตอบ 2 + 2 + 2 + 2
ซึ่ง 2 sin x cos x = sin 2x (18) −19 = a1 + 9d และ −34 = a1 + 14d
ดังนัน้ det(A) = cos(3x − 2x) = cos x จะได้ d = −3 กับ a1 = 8
2
จาก 2 A − 3 3 A + 3I = 9 ∴ รูปทัว่ ไป an = 8 + (n − 1)(−3) = 11 − 3n
20 20
→ 2 cos2 x − 3 3 cos x + 3 = 9 โจทย์ถาม ∑ (ai + 2i) = ∑ (11 − 3i + 2i)
i=1 i=1
(อย่าลืม 3I = ( 3)2 I = 3 ) 20 20(21)
= ∑ (11 − i) = 220 − = 10 ตอบ
2
→ 2 cos x − 3 3 cos x − 6 = 0 i=1 2
→ (2 cos x + 3)(cos x − 2 3) = 0 (19) ค่าวิกฤตเป็น 1 แสดงว่า f′(1) = 0

2
3 → 3(1) + 2c(1) − 9 = 0 → c = 3
→ cos x = − เท่านัน้ ∴x = ตอบ
2 6 ดังนัน้ f′(x) = 3x2 + 6x − 9
(13) P = 12x + 10y
หาช่วงทีเ่ ป็นฟังก์ชันลด คือ 3x2 + 6x − 9 < 0
(0, 2500) → P = 25,000
→ 3(x + 3)(x − 1) < 0 ตอบ ช่วงเปิด (−3, 1)
(2000, 0) → P = 24,000 (750,1875) (20)
2500 F(x) = x3 − 3x2 + 3x + C → F(0) = −1
(750, 1875) → P = 27,750
แสดงว่า C = −1 ...หาค่าสูงสุดสัมบูรณ์
เป็น Pmax ดังนั้น
O 2000 F(x)
′ = f(x) = 3x2 − 6x + 3 = 0 → x = 1, 1
ตอบ 750 + 1,875 = 2,625 ชิ้น
มี 1 ซ้าํ สองครั้งแสดงว่าเป็น
(14) u + v = 3 i + 4 j จุดเปลี่ยนความเว้าเท่านั้น
และ u − v = − i + 2 j ไม่ใช่จุดสูงสุดต่าํ สุด 1
หามุมระหว่างกันได้จากการดอท → จึงเช็คทีป ่ ลายช่วง O
→ (3)(−1) + (4)(2) = (5)( 5) cos θ -1 1 2
F(0) = −1, F(2) = 1
5 1
∴ cos θ = = ตอบ ดังนัน้ ตอบ ค่าสูงสุดคือ 1
5 5 5

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 443 ขอสอบเขาฯ มี.ค.43

d 2 (26) lim f(x2) = lim f(x2) = lim (x2 − 1) = −1


(21) g(x) = (x − x + c) = 2x − 1 x → 0− x2 → 0+ x2 → 0+
dx
2x − 1 ⎛ f(x − 1) ⎞ ⎛ f(x − 1) ⎞
∴ f(x) = และ f′(x) = (x + 1)(2) − (2x2 − 1)(1) และ lim ⎜ ⎟ = lim ⎜
⎝ x + 2 ⎠ x − 1 → 0+ ⎝ x + 2 ⎠

x+1 (x + 1) x → 1+

(x − 1) − 1 1
→ f′(1) =
(2)(2) − (1)(1)
=
3
ตอบ = lim = − ดังนัน้ ตอบ − 4
22 4 x→1 x+2 3 3
x − 1→ 0
(22) (27) คิดจาก วิธีทั้งหมด - หยิบได้สีไม่ซา้ํ เลย
x = 17 + 18 − 30 = 5 คน ⎛5⎞ ⎛ 3⎞ ⎛2⎞ 3 !
⎜ 1⎟ ⎜ 1 ⎟ ⎜ 1⎟ 3
x = 1− ⎝ ⎠⎝ ⎠⎝ ⎠ = ตอบ
10 × 9 × 8 4
ฟุต17 บาส18 (28) Σ xi − a น้อยสุด แสดงว่า a = Med = 5
2
∴ เลือกประธานได้ 5 แบบ Σ(xi − b) น้อยสุด แสดงว่า b = X = 8
เลือกรองประธานจากคนอืน่ ที่เหลือ ได้ 29 แบบ ดังนัน้ ข้อ 1. ผิด
ตอบ 5 × 29 = 145 ข้อ 2. Σx = NX = (20)(8) = 160 (ผิด)
(23) , , 3 4 5 Δ Δ ต่อมา จาก Σ(xi − 5)2 = 500
สลับภายในแต่ละกลุ่ม ได้ 2!, 3!, 2! ตามลําดับ → Σx2 − 10Σx + Σ25 = 500
และยังสลับระหว่างกลุ่มเลขคู่กับเลขคี่ได้ 2 กรณี → Σx2 − 10 (160) + (500) = 500
จึงได้ (2 ! 3 ! 2 !) × 2 = 48 จํานวน ตอบ จะได้ Σx2 = 1,600
(24) แปลงทุกคนเป็นเดไซล์ → สมชาย D8.15 Σx2 1,600
s = − X2 = − 82
สมศักดิ์ z = 1 → A = 0.3413 ทางขวา → D8.413 N 20

สมศรี มีคนน้อยกว่าสมศรีอยู่ 250 × 100 = 80 − 64 = 4 → ข้อ 3. ผิด


300 s
∴ ข้อ 4. สัมประสิทธิ์การแปรผัน =
= 83.33% → D 8.333 X
ดังนัน้ ตอบ สมศักดิ์ สมศรี สมชาย 4
= = 0.5 (หรือ 50%) ตอบ ข้อ 4.
ตอนที่ 3 8
(25) พิจารณา เฉพาะ f(x) กับ g(x) ก่อน
Df = R เพราะว่า x เป็นอะไรก็ได้
( x ≠ −1 อยู่แล้ว)
x
Rf = (−1, 1) จากการลองแทนค่าดูจะพบว่า
x +1
นั้นเป็นเศษส่วนที่อยูร่ ะหว่าง -1 กับ 1 เสมอ
Dg = R เพราะว่า x เป็นอะไรก็ได้
(g เป็นฟังก์ชัน “ปัดขึน้ ”)
Rg = I เพราะไม่วา่ x เป็นอะไร g(x) จะเป็น
จํานวนเต็มเสมอ
1. Dfog = R ถูก
เพราะไม่ว่า x เป็นอะไรก็หา fog ได้
2. Rfog = (0, 1) ผิด ต้องได้ (−1, 1) ตอบ ข้อ 2.
3. (gof)(x) = 1 เมื่อ x > 0 ถูก
เพราะ f(x) = ถูกปัดขึน้ เป็น 1 จริง
+1
4. (gof)(x) = 0 เมื่อ x < 0 ถูก
เพราะ f(x) = − ถูกปัดขึน้ เป็น 0 จริง
+1

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 444 ขอสอบเขาฯ ต.ค.43

¢ŒoÊoºe¢ŒÒÁËÒÇi·ÂÒÅa µ.¤.43 (g )
ตอนที่ 1 ข้อ 1 – 28 เป็นข้อสอบแบบปรนัย ข้อละ 3 คะแนน
1. กําหนดให้ A, B, C เป็นเซต โดยที่ A ∩ B ⊂ B ∩ C
ถ้า n (A) = 25, n (C) = 23, n (B ∩ C) = 7, n (A ∩ C) = 10 และ n (A ∪ B ∪ C) = 49 แล้ว n (B)
เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 11 2. 14 3. 15 4. 18

2. กําหนดให้ A = {x | x −4 > 5}
B = {x | x+3− x < 1}
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. A ∪ B = (−∞, −1) ∪ (1, ∞) 2. (A ∩ B) ' = (9, ∞)
3. B − A = [1, 9) 4. A − B = (−∞, −1)

3. ให้ p, q, r, s และ t เป็นประพจน์ ถ้าประพจน์ (p ∧ q) → (r ∨ s) มีค่าความจริงเป็นเท็จแล้ว


ประพจน์ในข้อใดต่อไปนี้มีค่าความจริงเป็นเท็จ
1. (p ∧ r) ↔ (s ∧ t) 2. (p ∧ s) → (q ∨ t)
3. (p ∧ s) ∨ (r ∧ t) 4. (r → p) ∧ (s → t)

4. กําหนดให้เอกภพสัมพัทธ์คือ U = { 2n | n ∈ I+ } เมื่อ I+ เป็นเซตของจํานวนเต็มบวก


พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ∃x [2 2x + 3 − 18 (2 x) + 4 = 0] มีค่าความจริงเป็นจริง
ข. ∃x [log 2(x + 2) + log 2(x − 1) = 2] มีค่าความจริงเป็นจริง
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

5. ให้ f (x) = (x + 1)2


และ g(x) = x + 1
Dfog ∩ R 'gof คือเซตในข้อใดต่อไปนี้
1. [0, 1) 2. [0, 2) 3. [1, ∞) 4. [2, ∞)

6. ให้ A = {1, 2, 3, 4, 5} และ B = {a, b}


และให้ S = { f | f : A > B เป็นฟังก์ชันทั่วถึง }
จํานวนสมาชิกของเซต S เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 22 2. 25 3. 27 4. 30

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 445 ขอสอบเขาฯ ต.ค.43

1
7. ถ้า (f g)(x) = 3x − 14 และ f ( x + 2) = x − 2 แล้ว
3
(g−1 f)(x) เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 3x − 4 2. 3x − 6 3. 3x − 8 4. 3x − 10

3
8. ถ้า sin x =และ tan x = − 3 แล้ว
5 4
⎛ ⎡cosec x sec x ⎤ ⎞
det ⎜ 2 ⎢ เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
⎝ ⎣ 1 cos x ⎥⎦ ⎟⎠
1 1 2
1. − 2. − 3. − 4. −1
6 3 3

1 1
9. ถ้า arctan x = arctan − 2 arctan แล้ว
4 2
sin(180° + arctan x) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
13
1. 2. 16 3. −13
4. −16
5 17 5 17 5 17 5 17

10. กําหนดให้ P เป็นพาราโบลา y = x2 และ L เป็นเส้นตรง x − y − 2 = 0


ระยะทางที่สั้นที่สุดระหว่าง P และ L มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 7 2 หน่วย 2. 7 หน่วย 3. 7 2 หน่วย 4. 7
หน่วย
8 8 16 16

11. กําหนดวงกลม C มีจุดศูนย์กลางที่ (−1, 2) และสัมผัสแกน x ที่จดุ P


เส้นตรง L ผ่านจุดศูนย์กลางของวงกลม C และมีความชันเป็น 1 ถ้า Q เป็นจุดตัดของ
C และ L ที่อยู่ในควอดรันต์ที่ 2 แล้ว กําลังสองของระยะ PQ เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 6 − 4 2 หน่วย 2. 7 − 4 2 หน่วย
3. 8 − 4 2 หน่วย 4. 9 − 4 2 หน่วย

x3
12. กําหนดให้ A เป็นเซตคําตอบของสมการ x log 3
= 9x

และ B เป็นเซตคําตอบของสมการ log 3 x x = x


3
ถ้า C = { ab | a ∈ A และ b ∈ B} แล้วเซตในข้อใดต่อไปนี้เป็นสับเซตของ C
− 1/ 3 2
1. {3 ,3 } 2. { 3 − 1/ 3 , 3 4/ 3}
4/ 3
3. {3 , 3 2} 4. { 3 − 1/ 3 , 3 2/ 3}

13. กําหนดให้เส้นโค้ง y = 2 2x − 2 x +2 − 45 ตัดแกน x ที่จุด A ถ้าเส้นตรงที่ผ่านจุด A และจุด


B (0, b) ขนานกับเส้นตรง y = (log 3 2) x − 4 แล้ว b มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้

1. 2 2. 1 3. −1 4. −2

14. ให้ และ C เป็นเมตริกซ์มิติ 3 × 3 ถ้า


A, B det (A) = −3 และ A tB − 2A tCt = −3A −1 แล้ว
t
det (2C − B ) เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −3 2. −1 3. 1 4. 3

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 446 ขอสอบเขาฯ ต.ค.43

15. บริษัทแห่งหนึ่งผลิตเก้าอี้โยกมีกําไร 50 บาท/ตัว และผลิตเก้าอี้นั่งธรรมดามีกําไร 30 บาท/ตัว


ถ้าบริษัทผลิตเก้าอี้โยก x ตัว/วัน และเก้าอี้นั่งธรรมดา y ตัว/วัน แล้วจะมีเงื่อนไขการผลิตดังนี้
6x + 3y < 900 และ 3x + 4y < 600
แล้ว บริษัทจะมีกําไรมากที่สุดเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 4, 500 บาท/วัน 2. 7, 500 บาท/วัน
3. 7, 800 บาท/วัน 4. 9, 500 บาท/วัน

16. ให้ u และ v เป็นเวกเตอร์ และ θ เป็นมุมระหว่าง u และ v


ถ้า u + v ตั้งฉากกับ u − 2v และ u + 2v ตั้งฉากกับ 2u − v
และ u = 2 แล้ว cos θ มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
−1 −1 −1 −1
1. 2. 3. 4.
10 6 4 2

17. กําหนดให้ z1 และ z2 เป็นจํานวนเชิงซ้อนที่ 2z1z2 = 1 + z2


และ z1 = (cos π + i sin π )6 ข้อใดต่อไปนี้คือ อินเวอร์สการคูณของ z2
18 18
1 3i 1 3i
1. − 2. + 3. 3i 4. − 3i
2 2 2 2

18. ถ้า z เป็นจํานวนเชิงซ้อน ซึ่ง z = 3 − 4i และ z − 1 = 30 แล้ว


ส่วนจินตภาพของ z อยู่ในเซตใดต่อไปนี้
1. {−4, 4} 2. {− 21, 21} 3. {−3, 3} 4. {− 24, 24}

19. ให้ f (x) = x3 − x2 + g (x) และ f′(2) = f (2) = 2

แล้ว ⎛ g ⎞′ (2) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้


⎜ ⎟
⎝f⎠
1. −2 2. 1/2 3. 0 4. 2

20. ให้ 5, x, 20, ... เป็นลําดับเลขคณิตที่มีผลบวกของ 12 พจน์แรกเป็น a และ


5, y, 20, ... เป็นลําดับเรขาคณิตที่มีพจน์ที่ 6 เป็น b โดยที่ y < 0 แล้ว a+b มีค่าเท่าใด
1. 205 2. 395 3. 435 4. 845
10 10 10 10
21. ถ้า ∑ xi = −8 , ∑ yi = 4 และ ∑ (5 − xi)(yi + 2) = 76 แล้ว ∑ (xiyi) มีค่าเท่ากับข้อใด
i=1 i=1 i=1 i=1

ต่อไปนี้
1. −60 2. −30 3. 30 4. 60

⎧f (x) , x > 1
3 2 ⎪
22. กําหนดให้ f (x) = ax − 4x + 1 เมื่อ a เป็นค่าคงตัว และ g(x) = ⎨f′(x) , x < 1
⎪0 , x = 1

ถ้า g(x) มีลิมิตที่ 1 แล้ว a เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 0 2. 5 3. 8
4. 3
2 3

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 447 ขอสอบเขาฯ ต.ค.43

23. ถ้าเส้นโค้ง y = f (x) ผ่านจุด (0, 1) และ (4, c) เมื่อ c เป็นจํานวนจริง และความชันของเส้น
โค้งนี้ที่จุด (x, y) ใดๆ มีค่าเท่ากับ x − 1 แล้ว c มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 4 2. 7 3. 8 4. 9
3 3

24. ในการจัดคน 6 คน ซึ่งมีนาย ก และนาย ข รวมอยู่ด้วย เข้าพักในห้อง 3 ห้อง โดยที่หอ้ งที่หนึ่ง


พักได้ 3 คน ห้องที่สองพักได้ 2 คน และห้องที่สามพักได้ 1 คน ความน่าจะเป็นที่นาย ก และนาย
ข จะได้พักห้องเดียวกันเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 1 2. 3 3. 4 4. 5
15 15 15 15

25. กล่องใบหนึ่งมีบัตรอยู่ 5 ใบ หมายเลข 1, 2, 3, 4, 5 หยิบบัตร 2 ใบโดยหยิบทีละใบแบบไม่คืนที่


ให้ x เป็นหมายเลขบัตรใบแรกที่หยิบได้ และ y เป็นหมายเลขบัตรใบที่สองที่หยิบได้ ความน่าจะ
เป็นที่จะได้ x < y และ 4 < xy < 12 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 1 2. 2 3. 3 4. 4
5 5 5 5

26. ค่าแรงงานต่อวันของคนงานกลุ่มหนึ่งจํานวน 8 คน เป็น 150, 152, 158, 168, 170, 177, 180,
185 บาท ถ้าสุม่ เลือกคนงานจากกลุ่มนี้มา 2 คนแล้ว ความน่าจะเป็นที่จะได้คนงานอย่างน้อยหนึ่งคน
ที่มีค่าแรงงานต่อวันต่ํากว่าค่าแรงงานเฉลี่ยของคนงานกลุ่มนี้ เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 3 2. 5 3. 9 4. 11
14 14 14 14

27. ถ้า y = mx + c เป็นความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันเพื่อการทํานายรายจ่ายหมวดบริการลูกค้า ( y )


จากจํานวนพนักงานของโรงแรม ( x ) ในจังหวัดหนึ่ง และจํานวนข้อมูลทั้งหมดที่นํามาสร้าง
ความสัมพันธ์เท่ากับ 5 โดยมีสมการปกติดังนี้
28 = 5c + 10m ___(1) และ 67 = 10c + 30m ___(2)
พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ถ้า x = 5 ค่าประมาณของ y = 8.9
ข. X = 5.6
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

28. กําหนดข้อมูลสองชุดดังนี้
ชุดที่หนึ่ง คือ 5, 8, 6, 7, 9 ชุดที่สอง คือ x1, x2, x3, x4, x5
ถ้าสัมประสิทธิ์ของการแปรผันของข้อมูลชุดที่หนึ่งเป็น 2 เท่าของข้อมูลชุดที่สอง และความแปรปรวน
ของข้อมูลชุดที่สองเท่ากับ 9 แล้ว ค่าเฉลี่ยเลขคณิตของข้อมูลชุดที่สองเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 21 2 2. 42 2 3. 18 4. 16

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 448 ขอสอบเขาฯ ต.ค.43

ตอนที่ 2 ข้อ 1 – 8 เป็นข้อสอบแบบอัตนัย ข้อละ 2 คะแนน


1. ถ้า A = {∅, 0, 1, {0, 1}}
และ B = {∅, {∅}, {0, {0, 1}}, {0, {1}}}
แล้ว เซต P (A) − B มีจํานวนสมาชิกเท่าใด

2. ให้ x, y, z เป็นจํานวนเต็มบวกที่มีค่าเรียงติดกันจากน้อยไปมาก
ถ้า y เป็นจํานวนเต็มบวกที่มีค่าน้อยที่สุดที่ทําให้ 3 x + y + z เป็นจํานวนเต็มบวก
แล้ว y มีค่าเท่าใด

⎡ 3 2⎤
3. ถ้า A = ⎢ ⎥ แล้ว det (4 (A −1)) + det (4 (A −1)2) + det (4 (A −1)3) + ... + det (4 (A −1)6) มีค่า
⎣2 2⎦
เท่าใด

4. กําหนดจุด A (3, −2), B (9, 4)


และ O (0, 0) ถ้าแบ่งส่วนของเส้นตรง AB เป็น 3 ส่วนเท่าๆ กัน
ที่จุด C และ D ˜ ˜
แล้ว OC ⋅ OD มีค่าเท่าใด

5. ให้ f (x) = x2 − c โดยที่ c เป็นค่าคงตัว ซึ่ง c > 4


ถ้าพื้นที่ที่ปิดล้อมด้วยเส้นโค้ง y = f (x) จาก x = −2 ถึง x = 1 เท่ากับ 24 ตารางหน่วย
แล้ว c มีค่าเท่าใด

6. จํานวนเลขสามหลักซึ่งหารด้วย 5 ลงตัว และตัวเลขหลักสิบแตกต่างจากตัวเลขหลักร้อย มีจํานวน


ทั้งหมดเท่าใด

7. อายุของคนงานกลุ่มหนึ่งมีการแจกแจงปกติโดยมีค่าเฉลี่ยเลขคณิตเป็น X และความแปรปรวน
เป็น s2 สมหวังมีอายุ X − 0.51 s ปี จํานวนคนในกลุ่มนี้ที่มีอายุน้อยกว่าสมหวังมีจํานวนเป็นร้อยละ
เท่าใด (พื้นที่ใต้โค้งปกติระหว่าง z=0 และ z=0.51 เท่ากับ 0.195)

8. ราคาและปริมาณสินค้า 3 ชนิดที่ร้านค้าแห่งหนึ่งจําหน่ายในปี พ.ศ. 2541 และปี พ.ศ. 2542


เป็นดังตาราง
ปริมาณ (หน่วย) ราคาต่อหน่วย (บาท)
ชนิดสินค้า
2541 2542 2541 2542
หม้อหุงข้าว 15 20 500 500
กระติกน้ําร้อน 10 8 300 450
พัดลม 80 100 400 x
ถ้าดัชนีราคาถ่วงน้ําหนักแบบใช้ราคารวมโดยวิธีของพาเช่อ ของปี พ.ศ. 2542 เมื่อใช้ปี พ.ศ. 2541
เป็นปีฐาน เท่ากับ 126 แล้ว ราคาของพัดลมในปี พ.ศ. 2542 เป็นเท่าใด (บาท)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 449 ขอสอบเขาฯ ต.ค.43

เฉลยคําตอบ
ตอนที่ 1 (1) 4 (2) 4 (3) 3 (4) 3 (5) 1 (6) 4 (7) 2 (8) 2 (9) 1
(10) 1 (11) 3 (12) 2 (13) 4 (14) 4 (15) 3 (16) 1 (17) 4 (18) 2 (19)
1 (20) 2 (21) 4 (22) 2 (23) 2 (24) 3 (25) 1 (26) 3 (27) 2 (28) 1
ตอนที่ 2 (1) 13 (2) 9 (3) 15.75 (4) 35 (5) 9 (6) 162 (7) 30.5 (8)
524.24

เฉลยวิธีคิด
ตอนที่ 1 ข. log2((x + 2)(x − 1)) = 2
(1) วาดแผนภาพ A B → (x + 2)(x − 1) = 4 → x2 + x − 6 = 0
โดยให้ A ∩ B ⊂ B ∩ C → x = −3, 2 [ซึ่ง x = −3 ไม่ได้ เพราะทําให้ใน
แสดงว่าส่วนที่แรเงา x
log เป็นลบ] ∴ x = 2 → อยู่ใน U ∴ ข. ถูก
นั้นไม่มีสมาชิก ตอบ ข้อ 3.
C
แทนค่าตามสูตรของเซต (5) หา Dfog → พิจารณา f(x) = (x + 1)2 พบว่า x
49 = 25 + n(B) + 23 − x − 7 − 10 + x
เป็นอะไรก็ได้ (โดเมนของ f)
∴ n(B) = 18 ตอบ ∴ (fog)(x) = (g(x) + 1)2 → g(x) เป็นอะไรก็ได้
(2) A; x − 4 > 5 หรือ x − 4 < −5 → Dfog จึงเท่ากับ Dg → x > 0 ∴ Dfog = [0, ∞)
→ x > 9 หรือ x < −1
B; x + 3 < 1 + x ยกกําลังสอง หา Rgof → พิจารณา f(x) พบว่า f(x) > 0 เสมอ
→ x + 3< 1+2 x + x (เรนจ์ของ f)
> 2
→ 2 x → x 1 → x 1 ∴ (gof)(x) = f(x) + 1 > 1 ∴ Rgof = [1, ∞)
(ตรวจสอบเงือ่ นไขของรู้ท พบว่าใช้ได้หมด) และจะได้ Dfog ∩ R 'gof = [0, 1)
ดังนัน้ 1. A ∪ B = (−∞, −1) ∪ [1, ∞) → ผิด (6) วิธที ั้งหมด – วิธที ี่ไม่ทั่วถึง
2. (A ∩ B)' = (−∞, 9] → ผิด (วิธีที่ไม่ทวั่ ถึง มี 2 แบบ คือเรนจ์เป็น a ล้วน หรือ
3. B − A = [1, 9] → ผิด เป็น b ล้วน)
4. A − B = (−∞, −1) → ข้อ 4. ถูก ตอบ จะได้ = 2 × 2 × 2 × 2 × 2 − 2 = 30 ตอบ
(3) (p ∧ q) → (r ∨ s) เป็นเท็จ (7) f( 1 x + 2) = x − 2 → ให้ A = 1 x + 2
3 3
แสดงว่า p กับ q เป็นจริง, r กับ s เป็นเท็จ
นั่นคือ x = 3(A − 2) → f(A) = 3(A − 2) − 2
1. (p ∧ r) ↔ (s ∧ t) ≡ (T ∧ F) ↔ (F ∧ t)
= 3A − 8 ∴ f(x) = 3x − 8
≡ F ↔ F ≡ T
จาก (fog)(x) = 3x − 14 แต่ f(g(x)) = 3(g(x)) − 8
2. (p ∧ s) → (q ∨ t) ≡ F → (q ∨ t) ≡ T
∴ 3x − 14 = 3(g(x)) − 8
3. (p ∧ s) ∨ (r ∧ t) ≡ F ∨ (F ∧ t) ≡ F ∨ F ≡ F
4. (r → p) ∧ (s → t) ≡ (F → T) ∧ (F → t)
จะได้ g(x) = x − 2 → g−1(x) = x + 2
≡ T ∧T ≡ T ตอบ ข้อ 3. ตอบ (g−1of)(x) = (3x − 8) + 2 = 3x − 6
(4) U = {2, 4, 6, 8, 10, …} (8) det ⎛⎜ 2 ⎡⎢csc1 x cos
sec x ⎤ ⎞
x⎥ ⎟
⎝ ⎣ ⎦⎠
ก. ให้ A = 2x จะได้ 8A2 − 18A + 4 = 0 = 22 ⋅ (csc x cos x − sec x) = 4(cot x − sec x)
1
→ 2 (4A − 1)(A − 2) = 0 → A = ,2
4 โจทย์ให้ sin x = 3 , tan x = − 3
1 5 4
→ 2x = ,2 → x = −2, 1 4 5
4 ∴ cot x = − , sec x = −
3 4 5
แต่ -2 กับ 1 ไม่อยู่ใน U เลย ∴ ก. ผิด 4 5 1 3
ตอบ 4(− + ) = −
3 4 3 -4

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 450 ขอสอบเขาฯ ต.ค.43

⎛ 1⎞ ⎛ 1⎞ x
⎜ ⎟+⎜ ⎟ B; จาก log3 xx = → นํา 3 ยกกําลังทั้งสองข้าง
1 3
(9) 2 arctan = arctan ⎝ 2 ⎠ 1 ⎝ 21⎠
2 ⎛ ⎞⎛ ⎞ x
x
1− ⎜ ⎟⎜ ⎟ → xx = 33 → x log x = log 3
⎝2⎠ ⎝2⎠ 3
4 1 4 1
= arctan ∴ arctan x = arctan − arctan → x (log x − log 3) = 0
3 4 3 3
1 4 → x = 0 หรือ x = 31/ 3 [ซึ่ง 0 ใช้ไม่ได้]

4 3 ⎛ 13 ⎞
= arctan = arctan ⎜ − ⎟
1 4
⎛ 1 ⎞ ⎛4⎞

1+ ⎜ ⎟⎜ ⎟ ⎝ 16 ⎠ ∴x = 3 1/ 3
ดังนั้น ตอบ {3 3 , 33 }
⎝4⎠ ⎝ 3⎠ (13) หาจุดตัดแกน x โดยให้ y = 0
โจทย์ถาม sin(180° + arctan x)
16
→ 22x − 4 ⋅ 2x − 45 = 0 → (2x − 9)(2x + 5) = 0
13 -13
= − sin(arctan x) = ตอบ → 2x = 9 เท่านัน้ (ติดลบไม่ได้) → x = log2 9
5 17 5 17

[หมายเหตุ ดูจาก Δ ในรูป] จะได้จดุ A (log2 9, 0) , ความชันเส้นตรง = log3 2


และความชัน AB คือ b
(10) พิจารณากราฟ − log2 9
y=x2 b
ระยะทางทีส่ นั้ ทีส่ ุด “ขนานกัน” แสดงว่า log3 2 =
A − log2 9
จากเส้นตรง L1 ถึง x-y-2=0
→ b = −(log3 2)(log2 9) = − log3 9 = −2 ตอบ
พาราโบลา คือระยะ t t t −1
ไปยังเส้นสัมผัส ( L2 ) L2 (14) จาก A B − 2A C = −3A ดึงตัวร่วม แล้วใส่
L1
(−3)3
นั่นเอง.. det ทั้งสองข้าง → A t B − 2C t =
A
dy
→ ความชันโค้งพาราโบลา = 2x
dx แทนค่า A = −3 และ A t = A = −3 ด้วย
ความชันเส้นตรง L1 = 1 และเท่ากับ L2 ด้วย ∴ B − 2Ct = −3 → 2Ct − B = (−1)3(−3) = 3
ดังนัน้ ทีจ่ ุด A มีความชัน 2x = 1 → x = 1 และเนือ่ งจากใส่ทรานสโพสแล้ว det ไม่เปลีย่ น
2
1 1 ดังนัน้ 2C − Bt = 3 ตอบ
แสดงว่าจุด A มีพิกัด ( , )
2 4 (15) P = 50x + 30y
⎛ 1⎞ ⎛ 1⎞ (150, 0) → P = 7,500
⎜ ⎟−⎜ ⎟−2
⎝2⎠ ⎝ 4⎠ (120, 60) → P = 7,800
ระยะทางทีต่ อ้ งการ = 150 (120,60)
12 + 12 (0, 150) → P = 4,500
(7/ 4) 7 2 ตอบ 7,800 บาท
= = หน่วย ตอบ
2 8 O 150
(11) ข้อนี้คดิ จากรูปง่ายกว่า (16) ตั้งฉากกันแสดงว่าดอทกันได้ 0
วงกลมมีรัศมี = 2 หน่วย L 2 2
C(-1,2) (u + v) ⋅ (u − 2v) = u − u ⋅ v − 2 v = 0 .....(1)
= CQ = CP 2 2
2 (u + 2v) ⋅ (2u − v) = 2 u + 3u ⋅ v − 2 v = 0 ...(2)
เราทราบว่า mL = 1 2
Q แทนค่า u = 2 แล้วแก้ระบบสมการ
ˆ = 45°
ดังนัน้ QCP
P 1 5
หาระยะ PQ จากกฎของ cos ได้ u⋅v = − , v =
2 2
2 2
→ PQ = 2 + 2 − 2(2)(2) cos 45°
และจาก u ⋅ v = u v cos θ จะได้
โจทย์ถาม PQ 2 = 8 − 4 2 ตอบ 1 ⎛ 5⎞ 1
(12) A; ใส่ log3 ทัง้ สองข้าง − = ( 2) ⎜ ⎟ cos θ → cos θ = − ตอบ
2 ⎝ 2 ⎠ 10
→ log3 x3 ⋅ log3 x = log3 9 + log3 x
→ 3(log3 x)2 − (log3 x) − 2 = 0
→ (3 log3 x + 2)(log3 x − 1) = 0
2
→ log3 x = − ,1 → x = 3−2 / 3 , 3
3

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 451 ขอสอบเขาฯ ต.ค.43

(17) z1 = (1 ∠
π )6 = 16 ∠ 6π = 1 ∠ π (23) f′(x) = x − 1 → f(x) =
2 3/2
x − x + C1
18 18 3 3
1 3 ผ่านจุด (0, 1) แสดงว่า C1 = 1
= + i
2 2 โจทย์ถาม (4, c) แสดงว่า c = f(4)
จาก 2 z1 z2 = 1 + z2 → 2 z1 z2 − z2 = 1 2 3/2 16 7
= (4) − 4 + 1 = −3 = ตอบ
1 1 3 3 3
→ z2 = → z2 = ... กลับเศษส่วน
2z1 − 1 2z1 − 1 (24) ใช้กฎการแบ่งกลุ่ม
⎛1 3 ⎞ 6!
z2−1 = 2z1 − 1 = 2 ⎜⎜ − i ⎟⎟ − 1 = − 3 i ตอบ วิธีทงั้ หมด = 3 ! 2 ! 1! = 60
⎝2 2 ⎠
(18) สมมติ z = a + bi
วิธีทสี่ นใจ (ก, ข อยูห่ ้องเดียวกัน) มี 2 กรณี
2 2
คือ แบ่ง 4 เป็น 2, 1, 1+กข
z = a +b = 3 − 4i = 5 .....(1)
จะได้ = 4 !2 × 2 = 12 วิธี
z−1 = 2
(a − 1) + b 2
= 30 .....(2) 2 !(1!) 2 !
แก้ระบบสมการดังนี้ (คูณ 2 เพราะ กข เลือกอยูห่ ้อง 1 คนได้ 2 แบบ)
a2 + b2 = 25, a2 − 2a + 1 + b2 = 30 และแบ่ง 4 เป็น 3, 1 (กข อยู่หอ้ ง 2 คน)
→ −2a + 1 + 25 = 30 → a = −2 จะได้ = 4 ! = 4 วิธี
3 ! 1!
ดังนัน้ 4 + b2 = 25 → b = ± 21 12 + 4 4
ตอบ {− 21, 21} ตอบ =
60 15

⎛ g ⎞′ (2) = f(2)g(2)
′ − g(2)f′(2) (25) วิธที ั้งหมด 5 × 4 = 20 วิธี
(19) ⎜ ⎟ วิธีทสี่ นใจ ได้แก่ → (1, 5) (2, 3) (2, 4) (2, 5)
⎝f⎠ [f(2)]2
โจทย์บอกว่า f′(2) = f(2) = 2 แล้ว มีอยู่ 4 วิธี ดังนั้น ตอบ 4 = 1
20 5
หาค่า g(2) และ g(2)′ ดังนี้ 150 + 152 + 158 + … + 185
(26) X =
→ g(x) = f(x) − x3 + x2 แทน x = 2 ได้วา่ 8
g(2) = f(2) − 8 + 4 = 2 − 8 + 4 = −2 = 167.5 บาท ซึ่งมีคนน้อยกว่าอยู่ 3 คน (และเกิน
และจากการหาอนุพนั ธ์ อยู่ 5 คน)
g(x)
′ = f′(x) − 3x2 + 2x แทน x = 2 ได้วา่ ข้อนีค้ ิดจาก วิธีทงั้ หมด – วิธีที่ไม่มีใครน้อยกว่าเลย
g(2)
′ = 2 − 12 + 4 = −6 ⎛5⎞
⎜2⎟ 9
= 1− ⎝ ⎠ = ตอบ
ดังนัน้ ⎛ g ⎞′ (2) = (2)(−6) − (−2)(2) = −2 ตอบ ⎛8⎞ 14
⎜ ⎟ ⎜2⎟
⎝f⎠ 4 ⎝ ⎠
(20) ลําดับเลขคณิต; d = 20 − 5 = 7.5 (27) เทียบกับ Σy = mΣ x + c N และ
2
12 Σxy = mΣx2 + cΣx พบว่า N = 5
→ a = S12 = (5 + 5 + (11)(7.5)) = 555
2 → Σy = 28, Σx = 10, Σxy = 67, Σx2 = 30

ลําดับเรขาคณิต; r2 = 20 → r = −2 ก. แก้ระบบสมการได้ m = 1.1, c = 3.4


5
(เพราะ y < 0 ) → b = a6 = 5(−2)5 = −160
ดังนัน้ Ŷ = (1.1)(5) + 3.4 = 8.9 ถูก
ดังนัน้ ตอบ 555 − 160 = 395 ข. X = Σx = 10 = 2 → ผิด ตอบ ข้อ 2.
N 5
(21) จาก Σ (5 − x)(y + 2) = 76 (28) X1 =
5+8+6+7+9
= 7
→ 5 Σy − 2 Σx − Σxy + Σ10 = 76 5
แทนค่า 5(4) − 2(−8) − Σxy + (10)(10) = 76 22 + 12 + 12 + 02 + 22
s1 = = 2
∴ Σxy = 60 ตอบ 5
⎛ s1 ⎞ ⎛ s2 ⎞
(22) g(x) มีลิมติ ที่ 1 แสดงว่า โจทย์บอกว่า ⎜ ⎟ = 2⎜ ⎟
X
⎝ 1⎠ ⎝ X2 ⎠
lim g(x) = lim+ g(x) → f′(1) = f(1)
x → 1− x→1
⎛ 2⎞ ⎛ 3 ⎞ 42
5 → ⎜⎜ ⎟⎟ = 2 ⎜ ⎟ → X2 = = 21 2 ตอบ
→ 3a(1) − 8(1) = a(1)3 − 4(1)2 + 1
2
→ a = ตอบ ⎝ 7 ⎠ ⎝ X2 ⎠ 2
2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 452 ขอสอบเขาฯ ต.ค.43

ตอนที่ 2 (5) y = x2 − c
(1) P(A) มีจาํ นวนสมาชิก 24 = 16 ตัว, ถ้า c > 4 แสดงว่า
ซ้ํากับ B อยู่ 3 ตัว คือ ∅, {∅}, {0, {0, 1}} ตัดแกน x ที่ ± c -2 1
ดังนัน้ P(A) − B มีสมาชิกอยู่ 16 − 3 = 13 ตัว ตอบ เกิน ±2 ดังภาพ
1
(2) ให้ x, y, z เป็น y-1, y, y+1 ดังนัน้ −2 ∫ (x2 − c) dx = −24
∴ 3 x + y + z = 3 (y − 1) + y + (y + 1) = 3 3y
(ใส่ติดลบ เพราะพื้นที่อยู่ใต้แกนทัง้ ช่วงเลย)
หาค่า y ที่นอ้ ยทีส่ ุดที่ 3 3y เป็นจํานวนเต็มบวก ⎛ x3 ⎞
1

ลองแทนค่าดู y = 1 → 3 3 ไม่ได้, y = 2 → 3 6 → ⎜⎝ 3 − cx ⎟⎠ −2 = −24


ไม่ได้, y = 3 ...ไปเรือ่ ยๆ จนถึง y = 9 ⎛1 ⎞ ⎛ 8 ⎞
→ ⎜ − c ⎟ − ⎜ − + 2c ⎟ = −24 → c = 9 ตอบ
→ 3 27 = 3 ใช้ได้ ดังนัน ้ ตอบ 9 ⎝3 ⎠ ⎝ 3 ⎠
⎛ 2 2 2 2 ⎞ (6) 9 × 9 × 2 = 162 จํานวน ตอบ
(3) จาก ⎜⎜ 4 + 4 2 + 4 3 + … + 4 6 ⎟⎟
⎝A A A A ⎠ 1-9 ห้ามซ้ํา 0,5(ซ้ําได้)
⎛1 1 1 1 ⎞ (X − 0.51s) − X
= 16 ⎜ + (7) z = = −0.51
+ +…+ ⎟ เป็นอนุกรมเรขาฯ s
⎝2 4 8 64 ⎠
⎛1 ⎞ → A = 0.195 ทางซ้าย
(1 − (1/2)6) ⎟ 1 ⎞

0.195

= 16 ⎜ 2 = 16 ⎜ 1 − ⎟
⎜⎜ ⎟⎟ ⎝ 64 ⎠
⎝ 1 − (1/2) ⎠
⎛ 63 ⎞
= 16 ⎜
63
= 15.75 ตอบ คิดเป็นเปอร์เซ็นไทล์ 50 − 19.5 = 30.5 ตอบ
⎟ =
⎝ 64 ⎠ 4 (8) 1.26 = 500(20) + 450(8) + x(100)
˜ ˜ 500(20) + 300(8) + 400(100)
(4) จาก OA = ⎡⎢−32⎤⎥ และ OB = ⎡⎢94⎤⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ → x = 524.24 บาท ตอบ
O
A
C
ใช้สูตร (ถ่วงน้าํ หนัก) D
จะได้วา่ B
˜ 2˜
OA + 1 ˜
OB 2⎡3⎤ 1 9 5
OC = = + ⎡ ⎤ = ⎡⎢0⎤⎥
3 3 ⎢⎣ −2⎥⎦ 3 ⎢⎣4⎥⎦ ⎣ ⎦
˜ 1˜
OA + 2 ˜
OB 1 3 2 9 7
OD = = ⎢⎡ −2⎥⎤ + ⎡⎢4⎤⎥ = ⎡⎢2⎤⎥
3 3⎣ ⎦ 3⎣ ⎦ ⎣ ⎦
∴˜
OC ⋅ ˜
OD = 35 ตอบ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 453 ขอสอบเขาฯ มี.ค.44

¢ŒoÊoºe¢ŒÒÁËÒÇi·ÂÒÅa ÁÕ.¤.44 (h)


ตอนที่ 1 ข้อ 1 – 8 เป็นข้อสอบแบบอัตนัย ข้อละ 2 คะแนน
1. กําหนดให้ A เป็นเซตคําตอบของอสมการ log4 log3 log2(x2 + 2x) < 0
จํานวนเต็มที่เป็นสมาชิกของ A มีทั้งหมดกี่จํานวน

⎡ x −1 6⎤
2. กําหนดให้ A = ⎢2 5 7 ⎥ ถ้าไมเนอร์ของ a 32 เท่ากับ 23
⎢ ⎥
⎣4 2y 9⎦
และโคแฟกเตอร์ของ a 23 เท่ากับ −44 แล้ว x+y มีค่าเท่ากับเท่าใด

3. กําหนดให้ a, b, c เป็น 3 พจน์เรียงติดกันในลําดับเรขาคณิต และมีผลคูณเป็น 27 ถ้า


a, b + 3, c +2 เป็น 3 พจน์เรียงติดกันในลําดับเลขคณิตแล้ว a + b + c มีค่าเท่ากับเท่าใด

x2 + 3 − 2
4. lim มีค่าเท่ากับเท่าใด
x→1 x−1

n
5. กําหนดให้ n เป็นจํานวนเต็มบวก ซึ่งทําให้พจน์ที่ไม่มี x ในการกระจาย ⎛ 2 1 ⎞
⎜x + ⎟
⎝ 2x ⎠
คือพจน์ที่ 9 สัมประสิทธิ์ของ x 15 ในการกระจายนี้เท่ากับเท่าใด

⎡ x2 x − 4⎤
6. ในการสร้างเมตริกซ์ในรูป ⎢ −x x − 1 ⎥ แบบสุ่ม โดยที่ x ∈ {0, 1, 2, 3, 4}
⎣ ⎦
ความน่าจะเป็นที่จะได้เมตริกซ์เอกฐานเท่ากับเท่าใด
5 1 1
7. ถ้าเส้นสัมผัสเส้นโค้ง y = (x − 1)2(2x − ) ที่จุด ( ,− ) ทํามุม θ กับแกน x โดยที่
4 2 16
0 < θ <
π แล้ว sin2 θ
มีค่าเท่ากับเท่าใด
2 2

8. กําหนดให้ x1, x2 , ..., x10 มีค่าเป็น 5, 6, a, 7, 10, 15, 5, 10, 10, 9 ตามลําดับ
โดยที่ a < 15 ถ้า พิสัยของข้อมูลชุดนี้เท่ากับ 12
10
b เป็นจํานวนจริงที่ทําให้ ∑ (xi − b)2 มีค่าน้อยที่สุด
i=1
10
และ c เป็นจํานวนจริงที่ทําให้ ∑ xi − c มีค่าน้อยที่สุด แล้ว a + b + c มีค่าเท่าใด
i=1

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 454 ขอสอบเขาฯ มี.ค.44

ตอนที่ 2 ข้อ 1 – 28 เป็นข้อสอบแบบปรนัย ข้อละ 3 คะแนน


1. กําหนดให้ A, B, C เป็นเซต ถ้า n(B) = 42 , n(C) = 28 , n(A ∩ C) = 8 ,
n(A ∩ B ∩ C) = 3 , n(A ∩ B ∩ C ') = 2 , n(A ∩ B '∩ C ') = 20 และ n(A ∪ B ∪ C) = 80 แล้ว
n(A '∩ B ∩ C) เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 5 2. 7 3. 10 4. 13

2. ให้ A, B และ F เป็นเซตซึ่งกําหนดดังนี้


A = {1, 2, 3, 4, 5, 6}
B = {{1}, {1, 2}, {1, 2, 3}, {1, 2, 3, 4}}
F = {f : B > A | f (x) ∉ x ทุกเซต x ∈ B }
จํานวนสมาชิกของ F เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 24 2. 60 3. 100 4. 120

3. กําหนดให้ x + 1 และ x − 1 เป็นตัวประกอบของพหุนาม p (x) = 3x3 + x2 − ax + b เมื่อ a, b


เป็นค่าคงตัว เศษเหลือที่ได้จากการหาร p (x) ด้วย x − a − b เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 15 2. 17 3. 19 4. 21
1 1
4. กําหนดให้ A = { x | x −1 < 2 และ > } และ B = { x | x2 + 2x < 0 }
x +1 2
A ∩B คือช่วงในข้อใดต่อไปนี้
1. (−1, 0) 2. [−1, 0) 3. (0, 1) 4. (0, 1]

5. กําหนดให้ p, q, r เป็นประพจน์
ถ้าประพจน์ p → (q ∧ r) มีค่าความจริงเป็นเท็จ และ (p ∨ q) ↔ r มีค่าความจริงเป็นจริง แล้ว
พิจารณาค่าความจริงของประพจน์ต่อไปนี้
ก. (p ↔ q) ↔ ~ r ข. p ↔ (q ∨ ~ r)
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. จริง และ ข. จริง 2. ก. จริง และ ข. เท็จ
3. ก. เท็จ และ ข. จริง 4. ก. เท็จ และ ข. เท็จ

6. เอกภพสัมพัทธ์ในข้อใดที่ทําให้ข้อความ (∀x [x2 < 2x + 3]) ∧ ( ∃y [y2 − 4 > 0]) มีค่าความจริงเป็น


จริง
1. [−3, 0] 2. [−1.5, 1.5] 3. [−1, 2] 4. [−0.5, 2.5]

1
7. กําหนดความสัมพันธ์ r = {(x, y) | y = } พิจารณาข้อความต่อไปนี้
x2 − 1
1+ x
ก. Dr = (−∞, −1) ∪ (1, ∞) ข. r − 1 = {(x, y) | y = ± }
x
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 455 ขอสอบเขาฯ มี.ค.44

x x
8. กําหนดให้ f (x) = , x≠−1 และ g(x) = , x≠1
1+ x 1− x
ข้อใดต่อไปนี้ผิด
1. (f g)− 1(x) = x ,x ≠1 2. (f −1 g−1)(x) = x ,x≠ −1
x x
3. (f −1 g)(x) = ,x ≠1 4. −1
(g f)(x) = ,x ≠ −1
1 + 2x 1 + 2x

x
9. กําหนดให้ f (x) = 2 sin และ g(x) = x2 − 1
2
เซต (R f ∩ Dg) − R gof คือเซตในข้อใดต่อไปนี้
1. {−1, 1} 2. {−2, 2}
3. [2, − 3] ∪ [1, 2] 4. [−2, −1] ∪ ( 3, 2]

10. รูปสามเหลี่ยม ABC มี a, b และ c เป็นความยาวของด้านตรงข้ามมุม A, B และ C


ตามลําดับ ถ้า cos B = 1/4 และ (a+b + c)(a−b + c) = 30 แล้ว ac มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 12 2. 20 3. 20/3 4. 40/3

11. กําหนดให้ A และ B เป็นจุดโฟกัสของวงรี x2 + 2y2 + 4x − 4y + 2 = 0 และวงรีนี้ตัดแกน x ที่


จุด C และ D โดยทําให้ ABCD เป็นรูปสี่เหลี่ยม พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ABCD เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ข. พื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยม ABCD เท่ากับ 4 2 ตารางหน่วย
ข้อใดต่อไปนี้เป็นจริง
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

12. กําหนดให้ L เป็นเส้นตรงที่ผ่านจุด (1, 4) และมีความชันเท่ากับ 3/4 ถ้าเส้นตรง L สัมผัส


วงกลม C ซึ่งมีจุดศูนย์กลางที่จุด (1, 2) แล้ว จุดใดต่อไปนี้เป็นจุดบนวงกลม C
1. (1, 2) 2. (1, 16) 3. (− 13 , 2) 4. (3 , 2)
5 5 5 5

2
2(x − 3) ( − x)
13. เซตคําตอบของอสมการ 2x < 8 3 เป็นสับเซตของเซตในข้อใดต่อไปนี้
1. (1, ∞) 2. (−2, 100) 3. (−10, 10) 4. (−∞, 2)
i−1
⎪⎧2 ,i = j
14. กําหนดให้ A = [aij ]3× 3 โดยที่ aij = ⎨
⎪⎩2 ,i ≠ j
⎛ adj (A t) ⎞
det ⎜⎜ 4 ⎟⎟ เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
⎝ det (A) ⎠
1. −16 2. −4 3. 4 4. 16

15. กําหนดให้ P = a x + 2 y และมีเงื่อนไขข้อจํากัดดังนี้ 2x + y < 50 , x + 2y < 70 , x > 0,


y > 0 ถ้าค่าสูงสุดของ P เท่ากับ 100 แล้ว a เท่ากับค่าในข้อใดต่อไปนี้
1. 1 2. 2 3. 4 4. 6
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 456 ขอสอบเขาฯ มี.ค.44

16. ให้ u = a i + b j โดยที่ a > 0 และ b > 0 และ u ⋅ (5 i − 2 j) = 14 ถ้า u ทํามุม θ กับ
เวกเตอร์ i และ cos θ = 3/5 แล้ว a + b มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 7 2. 14 3. 18 4. 21

17. ให้ A, B, C เป็นจุดในระนาบ และ O เป็นจุดกําเนิด


โดยที่ ˜ ˜
OA = 3 i − 2 j และ OB = 2 i + 5 j ถ้า ˜
AC = ˜
2
AB
3

แล้ว |˜OC|2 มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้


113 98 193 153
1. 2. 3. 4.
9 9 9 9

z 18
18. ถ้า 2 z3 = 1 + 3 i และ = a + bi เมื่อ a, b เป็นจํานวนจริง
i − z 27
แล้ว a+b มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −1 2. 0 3. 1 4. 2

19. กําหนดให้ z = i 9 + i 10 + ... + i 126 เมื่อ i 2 = −1 แล้ว 2 z − 1 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้


1. 1 + i 2. 1− i 3. −1 + i 4. −1 − i

20. กําหนดให้ n
เป็นจํานวนเต็มบวกที่ทําให้ผลบวก n พจน์แรกของอนุกรมเลขคณิต
2 n + 2 n + 1 + ... + 2 2n
7 + 15 + 23 + ... มีค่าเท่ากับ 217 แล้ว 8
มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
2
1. 127 2. 128 3. 127.5 4. 128.5

21. กําหนดให้ f (x) = ax3 + bx เมื่อ a, b เป็นจํานวนจริง และ f มีค่าต่ําสุดสัมพัทธ์เท่ากับ −2


ที่จุด x = 1 ถ้า g(x) = x3 + f′(x) แล้ว g เป็นฟังก์ชันลดในช่วงใดต่อไปนี้
1. (0, 2) 2. (−3, −1) 3. (−1, 1) 4. (−2, 0)

22. กําหนดให้ f (x) = ax3 + bx2 + 2x − 2 เมื่อ a, b เป็นจํานวนจริง ถ้า f′ (1) = 5 และ
f′′ (0) = −12 แล้ว ∫ (f′(x) + f′′(x)) dx เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 5x3 + 9x2 − 10x + c 2. 5x3 + 9x2 + 10x + c
3. 5x3 − 9x2 + 10x + c 4. 5x3 − 9x2 − 10x + c

f (x)
23. ให้ f เป็นฟังก์ชัน ซึ่งอนุพันธ์ของ f เป็นฟังก์ชันต่อเนื่องบนช่วงปิด [0, 1] และ g(x) =
x4 + 1
1
ถ้า f (1) = f′(1) = 1 และ f (0) = f′(0) = −2 แล้ว 0
∫ g′′(x) dx เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
5 1 3 7
1. − 2. − 3. 4.
2 2 2 2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 457 ขอสอบเขาฯ มี.ค.44

24. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. จํานวนวิธีในการจัดเด็ก 5 คน และผู้ใหญ่ 5 คน ถ่ายรูปหมู่ โดยให้เด็กยืนแถวหน้าและ
ผู้ใหญ่ยืนแถวหลัง เท่ากับ 5 ! 5 !
ข. จํานวนวิธีในการจัดชาย 6 คน หญิง 6 คน นั่งโต๊ะกลม 2 โต๊ะที่ต่างกัน ซึ่งมีโต๊ะละ 6 ที่
นั่ง โดยที่ชายและหญิงนั่งแยกโต๊ะกัน เท่ากับ 5 ! 5 !
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

25. ความน่าจะเป็นที่นักเรียนคนหนึ่งสอบผ่านวิชาคณิตศาสตร์เท่ากับ 2/5 และสอบผ่านวิชา


ภาษาอังกฤษเท่ากับ 1/3 ถ้าความน่าจะเป็นในการสอบผ่านอย่างมากหนึ่งวิชา เท่ากับ 13/15 แล้ว
ความน่าจะเป็นที่เขาจะสอบผ่านอย่างน้อยหนึ่งวิชาเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 7 2. 4 3. 3 4. 1
15 15 5 5

26. ในการสอบวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนห้องหนึ่ง ปรากฏว่าค่าเฉลี่ยเลขคณิตและส่วนเบี่ยงเบน


มาตรฐาน เป็น 55 และ 10 ตามลําดับ โดยที่นาย ก ได้คะแนนคิดเป็นค่ามาตรฐานเท่ากับ 1.3
และเมื่อรวมคะแนนเก็บระหว่างภาคการศึกษา ซึ่งนักเรียนทุกคนได้คนละ 5 คะแนนแล้ว นาย ข ได้
คะแนนรวมน้อยกว่าคะแนนรวมของนาย ก 8 คะแนน ข้อใดต่อไปนี้เป็นคะแนนรวม และค่า
มาตรฐานของคะแนนรวมของนาย ข ตามลําดับ
1. 60 , 0.5 2. 60 , 1
3. 65 , 0.5 4. 65 , 1

27. กําหนดตารางแสดงพื้นที่ใต้โค้งปกติดังนี้
z 0.97 1.58
A 0.334 0.443
คะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนห้องหนึ่งมีการแจกแจงปกติ นายคณิตและนายวิทยาเป็น
นักเรียนห้องนี้ ถ้าปรากฏว่ามีนักเรียน 5.7 เปอร์เซ็นต์ที่สอบได้คะแนนมากกว่านายคณิต และมี
นักเรียน 16.6 เปอร์เซ็นต์ที่สอบได้คะแนนน้อยกว่านายวิทยา และนายคณิตได้คะแนนมากกว่านาย
วิทยาอยู่ 51 คะแนน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของการสอบครั้งนี้เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 12 2. 15 3. 18 4. 20

28. ถ้าราคาเฉลี่ยของเมล็ดถั่วเหลืองต่อกิโลกรัม ในแต่ละเดือนของปี พ.ศ. 2542 ที่จังหวัดหนึ่งเป็น


ดังนี้ เดือน มกราคม ราคา 13 บาท เดือน กุมภาพันธ์ ราคา 11 บาท
เดือน มีนาคม ราคา 12 บาท
แล้ว พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ดัชนีราคาเมล็ดถั่วเหลืองของเดือนกุมภาพันธ์ เทียบกับของเดือนมกราคม เท่ากับ
84.62 เปอร์เซ็นต์
ข. ดัชนีราคาเมล็ดถั่วเหลืองของเดือนมีนาคม เทียบกับของเดือนกุมภาพันธ์ เพิ่มขึ้น 10.09
เปอร์เซ็นต์
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 458 ขอสอบเขาฯ มี.ค.44

เฉลยคําตอบ
ตอนที่ 1 (1) 4 (2) 9 (3) 13 (4) 0.5 (5) 27.5 (6) 0.4 (7) 0.1 (8) 19
ตอนที่ 2 (1) 2 (2) 4 (3) 4 (4) 1 (5) 2 (6) 4 (7) 2 (8) 3 (9) 4
(10) 1 (11) 2 (12) 1 (13) 4 (14) 1 (15) 3 (16) 2 (17) 1 (18) 2 (19) 4
(20) 3 (21) 4 (22) 1 (23) 3 (24) 2 (25) 3 (26) 3 (27) 4 (28) 2

เฉลยวิธีคิด
ตอนที่ 1 (5) พจน์ที่ 9 มีค่า
(1) log4 log3 log2(x2 + 2x) < 0
(8n ) (x ) ()
8 8
2 n −8 ⎛ 1 ⎞ n ⎛ 1⎞ 2n − 16 − 8
⎜ ⎟ = 8 ⎜ ⎟ ⋅x
→ log3 log2(x2 + 2x) < 40 ⇒ 1 ⎝ 2x ⎠ ⎝2⎠
→ log2(x2 + 2x) < 31 → x2 + 2x < 23 “พจน์นี้ไม่มี x” แสดงว่า
2
→ x + 2x − 8 < 0 ได้เป็น −4 < x < 2 กําลังของ x คือ 2n − 16 − 8 = 0 → n = 12

(12r ) ⎛⎜⎝ 21 ⎞⎟⎠ ⋅ x


r
อย่าลืมเงือ่ นไขของ log คือ x2 + 2x > 0 หาพจน์ที่มี x15 จากพจน์ทวั่ ไป 24 − 2r − r

(แยกตัวประกอบได้ช่วง x < −2 , x > 0 )


→ 24 − 2r − r = 15 → r = 3
ดังนัน้ เซต A คือ [−4, −2) ∪ (0, 2] 3
12 ⎛ 1 ⎞
∴ จํานวนเต็มใน A ได้แก่ -4, -3, 1, 2 ดังนัน้ สัมประสิทธิ์ของพจน์นี้ = ⎛⎜ 3 ⎞⎟ ⎜ ⎟
⎝ ⎠ ⎝2⎠
รวม 4 จํานวน ตอบ 12 !
= 27.5 ตอบ
(2) M32 = 2x 67 = 7x − 12 = 23 → x = 5
=
9! 3!⋅ 8

x −1 (6) det = 0 → x2(x − 1) + x(x − 4) = 0


C23 = − 4 2y = −2xy − 4 = −44 → y = 4
→ x3 − 4x = 0 → x = 0, 2, −2
ดังนัน้ x + y = 9 ตอบ นํา x มาจาก {0, 1, 2, 3, 4} ...มีเลข 0 กับ 2 ที่ใช้ได้
(3) ลําดับเรขาคณิต b = c .....(1) ดังนัน้ ความน่าจะเป็น = 2 = 0.4 ตอบ
a b 5
ผลคูณ abc = 27 .....(2) 5
(7) y′ = ความชัน = 2 (x − 1)(2x − ) + (x − 1)2(2)
ลําดับเลขคณิต b + 3 − a = c + 2 − b − 3 .....(3) 4
1 3
แก้ระบบสมการ (1),(2) ได้ b = 3, ac = 9 → แทน x = จะได้ความชัน =
2 4
ใส่ค่า b ใน (3) ได้ a + c = 10 3 4 θ
∴ tan θ = → cos θ = = 1 − 2 sin2 ⎛⎜ ⎞⎟
บังเอิญโจทย์ถาม a + b + c 4 5 ⎝2⎠
จึงได้ 10 + 3 = 13 ตอบ จะได้ sin2 ⎛⎜ θ ⎞⎟ = 1 = 0.1 ตอบ
[ไม่ต้องแก้ a, c ต่อ แต่สมมติถ้าแก้สมการต่อ จะ ⎝2⎠ 10
ได้ผลเป็น a = 1, c = 9 หรือ a = 9, c = 1 ก็ได้] (8) พิสยั และ a < 15 → ดังนัน้ a = 3
= 12
2
⎛ x2 + 3 − 2 ⎞ ⎛ x2 + 3 + 2 ⎞ ∑ (xi − b) น้อยสุด → ดังนั้น b = X = 8
(4) lim ⎜ ⎟⎜ ⎟ ∑ xi − c น้อยสุด → ดังนั้น c = Medx = 8
x→1 ⎝ x−1 ⎠ ⎜⎝ x2 + 3 + 2 ⎟⎠
(x2 − 1) (จากสมบัติของ X และ Med)
= lim
x→1
(x − 1)( x2 + 3 + 2) ตอบ 3 + 8 + 8 = 19
(x + 1) 2
= lim = = 0.5 ตอบ
x→1 2
( x + 3 + 2) 4

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 459 ขอสอบเขาฯ มี.ค.44

ตอนที่ 2 (6) แสดงว่าต้องจริงทั้ง 2 อย่าง


(1) คิดจากแผนภาพ x2 < 2x + 3 → −1 < x < 3
n(A ∩ B ∩ C) = จ = 3 A B
y2 − 4 > 0 → y < −2 หรือ y > 2
ก ข ค
n(A ∩ B ' ∩ C ') = ก = 20 ดังนัน้ ∀x [−1 < x < 3] ∧ ∃y [y < − 2 หรือ y > 2]
ง จ ฉ
โจทย์ถาม ตอบ ข้อที่ถูกคือข้อ 4. เพราะทุกๆ x อยู่ใน [−1, 3]

n(A ' ∩ B ∩ C) = ฉ C และมีบาง x อยู่ใน (−∞, −2) ∪ (2, ∞)
ถ้ามองแค่ B กับ C สองเซต
จะได้สตู รว่า (7) ก. หา Dr; 2 1 > 0 เพราะอีกฝั่งเป็นค่า
x −1
= + - 1
สัมบูรณ์ → >0
80 − 20 = 42 + 28 − ◊ (x − 1)(x + 1)
→ ◊ = 10 แต่ จ = 3 ตอบ 7 Dr = (−∞, −1) ∪ (1, ∞) ∴ ข้อ ก. ถูก
(2) โดเมนคือ {1} {1, 2} {1, 2, 3} {1, 2, 3, 4} 1 1
ข. หา r −1; x = → y2 − 1 =
y2 − 1 x
แต่เรนจ์ห้ามอยู่ในโดเมน (f(x) ∉ x)
1 1+ x
∴ {1} จับเรนจ์ได้ 5 วิธี (2ถึง6) → y2 = +1 → y = ±
x x
{1, 2} จับได้ 4 วิธี (3ถึง6)
1+ x
{1, 2, 3} ได้ 3 วิธี (4ถึง6) ซึ่งไม่เหมือนกับ ± ∴ ข้อ ข. ผิด
x
และ {1, 2, 3, 4} ได้ 2 วิธี (5,6) [เพราะ x มีทั้งค่าบวกและลบ เช่น ถ้า x = −0.5
ตอบ 5 × 4 × 3 × 2 = 120 สองแบบนีจ้ ะได้คา่ ไม่เท่ากัน] ตอบ ข้อ 2.
(3) “เป็นตัวประกอบ” (8) หา f −1(x) กับ g−1(x) ก่อน
แสดงว่า p(−1) = 0 และ p(1) = 0 ได้สมการดังนี้ y
→ f −1(x); x = → x + xy = y
−3 + 1 + a + b = 0 .....(1) 1+ y
3 + 1 − a + b = 0 .....(2) −x x
→ xy − y = −x → y = =
∴ a = 3, b = −1 x−1 1− x
หาร p(x) = 3x3 + x2 − 3x − 1 ด้วย x
∴ f −1(x) = (x ≠ 1) ซึ่งเหมือน g(x)
1− x
x −a−b = x−2 ได้เศษ = p(2) = 21 ตอบ
แสดงว่า g−1(x) = f(x) ด้วย
(4) A; x − 1 < 2 → −2 < x − 1 < 2
1. (fog)−1(x) = (g−1of −1)(x) = g−1(g(x)) = x ถูก
→ −1 < x < 3
2. (f −1og−1)(x) = f −1(f(x)) = x ถูก
และ 1 > 1 → 2 > x+1 ⎛ x ⎞
x+1 2 ⎜ ⎟
−1 ⎛
−1 x ⎞ ⎝1 − x⎠
3. (f og)(x) = f ⎜ ⎟ =
(ย้ายข้างคูณไขว้ได้เพราะมากกว่า 0 เสมอ) ⎝1 − x⎠ x ⎞
1 − ⎜⎛ ⎟
→ −2 < x + 1 < 2 → −3 < x < 1 ⎝1 − x⎠
แต่อย่าลืม x ≠ −1 ด้วย x x
= = → ข้อ 3. ผิด
B; x (x + 2) < 0 → −2 < x < 0 1− x − x 1 − 2x
⎛ x ⎞
ดังนัน้ A ∩ B = (−1, 0) ตอบ −1 ⎛ x ⎞ ⎜
⎝1 + x⎠

4. (g−1of)(x) = g ⎜ ⎟ =
(5) p → (q ∧ r) ≡ F แสดงว่า p เป็นจริง, ⎝1 + x⎠ x
1 + ⎜⎛ ⎞

q กับ r มีเป็นเท็จอย่างน้อย 1 ตัว ⎝1 + x⎠
(p ∨ q) ↔ r ≡ T ↔ r ≡ T แสดงว่า r เป็นจริง x x
= = ถูก
1+ x + x 1 + 2x
∴ q เป็นเท็จ
ดังนัน้ ตอบ ข้อ 3.
ก. (p ↔ q) ↔ ~ r ≡ F ↔ F ≡ จริง 1
[หมายเหตุ ทีจ่ ริงข้อ 4. ต้องเพิ่มว่า x ≠ − ด้วย]
ข. p ↔ (q ∨ ~ r) ≡ T ↔ F ≡ เท็จ ตอบ 2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 460 ขอสอบเขาฯ มี.ค.44

⎛2
(9) Rf = [−2, 2] (แอมพลิจดู เป็น 2) 2

3 ⎜ − x⎟
(13) 2x (x − 3)
< 2 ⎝3 ⎠
Dg; x2 − 1 > 0 → ( −∞, −1] ∪ [1, ∞ )
⎛2 ⎞
→ x2(x − 3) < 3 ⎜ − x ⎟
Rgof; คิดจาก −2 < f(x) < 2 → 0 < [f(x)]2 < 4 ⎝3 ⎠

→ 0< [f(x)]2 − 1 < 3 → Rgof = [0, 3] → x3 − 3x2 + 3x − 2 < 0


→ (x − 2)(x2 − x + 1) < 0
ดังนัน้ Rf ∩ Dg = [−2, −1] ∪ [1, 2]
ซึ่ง x2 − x + 1 แยกตัวประกอบไม่ได้
→ (Rf ∩ Dg) − Rgof = [−2, −1] ∪ ( 3, 2] ตอบ 2
⎛ 1⎞ 3
แต่จดั รูปเป็น ⎜x − ⎟ + “มากกว่า 0 เสมอ”
(10) จาก (a + b + c)(a − b + c) = 30 ⎝ 2 ⎠ 4
→ a2 + 2ac + c2 − b2 = 30 .....(1) ดังนัน้ (x − 2) < 0 → x < 2 ตอบ ข้อ 4.
จากกฎของ cos; b2 = a2 + c2 − 2ac cos B [หมายเหตุ อันที่จริงหากพหุนามกําลังสองใด
ac แยกตัวประกอบไม่ได้ (รู้ทติดลบ) พหุนามนัน้ จะมีค่า
→ b2 = a2 + c2 − .....(2)
2 มากกว่า 0 เสมอ ไม่จาํ เป็นต้องจัดรูปก็ได้]
สมการ (1)-(2); 5 ac = 30 → ∴ ac = 12 ตอบ ⎡20 2 2 ⎤
2
(14) A = ⎢ 2 21 2 ⎥ → det(A) = −4
(11) จัดรูปวงรี; ⎢ 2⎥
⎢⎣ 2 2 2 ⎥⎦
(x2 + 4x + 4) + 2(y2 − 2y + 1) = −2 + 4 + 2
พิสูจน์ จาก adj(A) = A ⋅ A −1
→ (x + 2)2 + 2(y − 1)2 = 4
n −1 n−1
→ adjA = A ⋅ A = A
(x + 2)2 (y − 1)2
→ + = 1→ วงรีตามแกน x 3
4 2 4 ⎛ 4 ⎞
∴ โจทย์ถาม ⋅ adj(A t) = ⎜⎜ ⎟⎟ adj(A)
จุดศูนย์กลางอยูท่ ี่ (−2, 1) A ⎝A⎠
ระยะโฟกัส c = 4 − 2 = 2 = (−1)3 ⋅ (−4)3 − 1 = −16 ตอบ
ดังนัน้ จุดโฟกัสได้แก่ A(−2 − 2, 1) , B(−2 + 2, 1) (15)
ต่อไปหาจุดตัดแกน x; แทน y = 0
จะได้ (x + 2)2 + 2 = 4 → x = −2 ± 2 35 (10,30)
แสดงว่าจุดตัดแกน x ได้แก่ C(−2 + 2, 0)
D(−2 − 2, 0) ดังรูป A B
O 25
1 สมมติ (10, 30) เป็นจุดที่ทาํ ให้เกิด Pmax
D 2 2 C ∴ 100 = a(10) + 2(30) → a = 4
∴ ABCD เป็น ผืนผ้า,
ตรวจสอบคําตอบโดยลองแทนจุดอืน่ ดู
พื้นที่ = 2 2 ตร.หน่วย ตอบ ก. ถูก ข. ผิด (25, 0) → P = 100, (0, 35) → P = 70
(12) สมการ L;
3
แสดงว่า Pmax = 100 เกิดทีจ่ ุด (10, 30) จริงๆ
y −4 = (x − 1) → 4y − 3x − 13 = 0
4 ∴ ตอบ a = 4
สัมผัสวงกลม C ที่มีศูนย์กลางที่ (1, 2) [หมายเหตุ ถ้าจุดอืน่ ให้ P สูงกว่า ก็ต้องคิดใหม่โดย
แสดงว่ารัศมี r = 4(2) −23(1) −2 13 = 8 ให้จุดทีส่ ูงกว่านั้นเป็นจุดทีเ่ กิด Pmax จริง แล้วหาค่า a]
4 +3 5 (16) (a i + b j) ⋅ (5 i − 2 j) = 5a − 2b = 14 .....(1)
ดูในตัวเลือก มี x = 1 กับ y = 2 u กับ i ทํามุมกัน
จะสังเกตว่าไม่ตอ้ งสร้างสมการวงกลมก็คดิ ได้ 3 (a,b)
arccos ดังรูป
1. (1, 2 − 8) = (1, 2) ถูก 5 5
4
5 5 2. θ
8 18
2. (1, 2 + ) = (1, ) 3. (1,2) 3
5 5 4. a 3
8 3 แสดงว่า = → 4a = 3b .....(2)
3. (1 − , 2) = (− , 2) 1. b 4
5 5
แก้ระบบสมการได้ a = 6, b = 8 ตอบ 14
8 13
4. (1 + , 2) = ( , 2)
5 5
ตอบ ข้อ 1.
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 461 ขอสอบเขาฯ มี.ค.44
1
(17) ใช้สูตรการแบ่งเวกเตอร์ O B (23) ∫ g′′(x) dx = [g(x)]

1
= g(1
′ ) − g(0)

˜ ˜ ˜
2 OB + 1 OA 1 0
0
OC =
3 C หาค่า g(1
′ ) กับ g(0)
′ จาก
2 1
= (2 i + 5 j) + (3 i − 2 j) 2 (x + 1)(f′(x)) − (f(x))(4x3)
4
3 3 g(x)
′ =
(x4 + 1)2
7 8 A
= i + j (2)(1) − (1)(4) 1
3 3 → g(1′ )= = − และ
2 2 4 2
˜ ⎛7⎞ ⎛8⎞
→ | OC |2 = ⎜ ⎟ + ⎜ ⎟ =
113
(1)(−2) − (−2)(0)
3
⎝ ⎠ 3
⎝ ⎠ 9 g(0)
′ = = −2
1
1 3 π
(18) z3 =
2
+
2
i = 1∠
3
ตอบ − 1 − (−2) = 3
2 2
⎛ 1∠ π ⎞
6

⎜ ⎟
(24) ก. 5 ! 5 ! ถูกแล้ว
z 18
3⎠ 1∠2π ข. โต๊ะวางติดกัน จึงเหมือนมีตาํ แหน่งเกิดขึ้นภายใน
โจทย์ถาม = ⎝ =
1− z 27
π 9
i − 1∠3π
i − ⎛⎜ 1∠ ⎞⎟ โต๊ะแล้ว จัดแต่ละโต๊ะได้เป็น 6!6!
⎝ 3⎠
โต๊ะต่างกันจึงคูณ 2! ข้อนีจ้ ึงต้องเป็น 6 ! 6 ! 2 !
1 1 1−i 1 1
= = = ∴ ตอบ − = 0 ตอบ ก. ถูก ข. ผิด
i − (−1) i + 1 2 2 2
(19) i9 + i10 + i11 + i12 = 0, i13 + i14 + i15 + i16 = 0 (25) ก + ข = 2
5
ก ข ค
ไปเรื่อยๆ ดังนัน้ z = i125 + i126 = i1 + i2 = i − 1 1 ง
ข+ค =
2 2(−1 − i) 3
→ 2z−1 = = = −1 − i ตอบ
i−1 2 ก + ค + ง = 13 ∴ ข = 1−
13
=
2
n 15 15 15
(20) Sn = (a1 + an)
2 ก+ข+ค =2+ 1

2
=
3
ตอบ
n n 5 3 15 5
→ 217 = (7 + 7 + (n − 1)(8)) = (8n + 6)
2 2 (26) คิดที่นาย ก ก่อน
31 xก − 55
→ 4n2 + 3n − 217 = 0 → n = 7, − → 1.3 = → xก = 68 คะแนน
4 10
แต่ n ∈ I+ ∴ n = 7 เท่านัน้ ข น้อยกว่า ก อยู่ 8, แต่บวกไปคนละ 5 ด้วย
โจทย์ถาม (27 + 28 + 29 + … + 214) ÷ 28 ดังนัน้ xรวม, ข = 68 − 8 + 5 = 65
⎡ 27(1 − 28)⎤
= ⎢ 8
⎥ ÷2 =
27(28 − 1) 28 − 1
= คิดเป็นค่ามาตรฐาน → zรวม, ข = 65 − 60 = 0.5
10
⎣ 1−2 ⎦ 28 2
[อย่าลืมว่าทุกคนได้บวก 5 ทําให้ X เปลี่ยน]
= 127.5 ตอบ
(21) f(1) = −2 และ f′(1) = 0 ตอบ 65, 0.5
ทําให้ได้สมการว่า a + b = −2 และ 3a + b = 0
(27)
จะได้วา่
0.3340
0.4430

แก้ระบบสมการได้ a = 1, b = −3 zค = 1.58 และ


→ f(x) = x3 − 3x → g(x) = x3 + (3x2 − 3) 16.6% 5.7%
zว = −0.97
หาช่วงทีเ่ ป็นฟังก์ชันลด g(x)
′ = 3x2 + 6x < 0 วิทยา คณิต
ตอบ (−2, 0) xค − X x −X
จากสูตรจะได้ 1.58 = , − 0.97 = ว
s s
(22) f′(1) = 5 และ f′′(0) = −12 xค − x ว
ทําให้ได้สมการว่า 3a + 2b + 2 = 5, 0 + 2b = −12 นําสองสมการมาลบกัน ได้เป็น 2.55 =
s
∴ b = −6, a = 5 ซึ่งโจทย์บอกว่า xค − x ว = 51
นั่นคือ f(x) = 5x3 − 6x2 + 2x − 2 51
∴s = = 20 คะแนน ตอบ
หาค่า ∫ [f′(x) + f′′(x)] dx 2.55

จะได้ผลคล้ายๆ กับ f(x) + f′(x) แต่ติดค่า C1, C2 (28) ก. 11 × 100 = 84.62% ถูก
13
ดังนี้ (5x3 − 6x2 + 2x + C1) + (15x2 − 12x + C2) ข. เพิ่มขึ้น 12 − 11 × 100 = 9.09% ผิด ตอบ
= 5x3 + 9x2 − 10x + c ตอบ 11

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 462 ขอสอบเขาฯ ต.ค.44

¢ŒoÊoºe¢ŒÒÁËÒÇi·ÂÒÅa µ.¤.44 (i )
ตอนที่ 1 ข้อ 1 – 8 เป็นข้อสอบแบบอัตนัย ข้อละ 2 คะแนน
1. กําหนดให้ A = {1, 2, 3, 4} และ S = { f : A > A | f (x) < x+1 ทุก x ∈ A}
จํานวนฟังก์ชันทั้งหมดที่เป็นสมาชิกของ S เท่ากับเท่าใด

2. ให้ช่วงเปิด (a, b) เป็นเซตคําตอบของอสมการ log (3x + 4) > log (x − 1) + 1


แล้ว a + b มีค่าเท่ากับเท่าใด

⎡ 1 0 −1 ⎤
3. ถ้า A = ⎢3 −1 −2⎥ และ C11(A) = 2 แล้ว det (−3A −1) มีค่าเท่ากับเท่าใด
⎢ ⎥
⎣2 5 a ⎦

4. ให้ z = −1 − 3i แล้ว z6 + z 6 เท่ากับเท่าใด

3cn3 − n2 + cn ∞(−2)n − 1
5. ถ้า c เป็นจํานวนจริง ซึ่ง lim = ∑ แล้ว c มีค่าเท่าใด
n→∞ (2n + 1)3 n=1 3
n −2

6. ถ้าเส้นตรง x = a แบ่งครึ่งพื้นที่ที่ปิดล้อมด้วยเส้นโค้ง y = 2x จาก x = 0 ถึง x = 8 แล้ว


a 3 มีค่าเท่าใด

7. กําหนดความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ A, B และ A ∩B ดังนี้


P (A) = 0.5 , P (B) = 0.3 และ P (A ∩ B) = 0.1 แล้ว P (A ' ∪ B') มีค่าเท่ากับเท่าใด

8. ร้านค้าแห่งหนึ่งขายพัดลม 3 ขนาด ในการหาดัชนีราคาพัดลมทั้ง 3 ขนาด ถ้าดัชนีราคาอย่างง่าย


แบบใช้ราคารวมของ พ.ศ. 2543 โดยใช้ พ.ศ. 2542 และ พ.ศ. 2541 เป็นปีฐาน เท่ากับ 80 และ
120 ตามลําดับแล้ว ราคาเฉลี่ยของพัดลมทั้ง 3 ขนาด ใน พ.ศ. 2542 เมื่อหาโดยใช้ดัชนีราคาอย่าง
ง่ายแบบใช้ราคารวม เพิ่มขึ้นจากราคาเฉลี่ยของพัดลมทั้ง 3 ขนาดในพ.ศ. 2541 ร้อยละเท่าใด

ตอนที่ 2 ข้อ 1 – 28 เป็นข้อสอบแบบปรนัย ข้อละ 3 คะแนน


1. ให้ A, B, C เป็นเซตที่มีสมาชิก เซตละ 2 ตัว และ a ∈ A, b ∈ B, c ∈ C โดยที่
A ∪ B ∪ C = {a, b, c, d} ถ้า (A ∩ B) ∪ (A ∩ C) = ∅ แล้ว พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. d ∈ A ข. B = C
ข้อใดต่อไปนี้เป็นจริง
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 463 ขอสอบเขาฯ ต.ค.44

(1/2)x + 1
2. ถ้า −2 < x < 2 และ 8 < y < 13 แล้ว ค่ามากที่สุดของ เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
y+2
1. 1 2. 1/2 3. 1/3 4. 1/8

3. กําหนดให้ P (x) = x3 + ax2 + bx + 2 โดยที่ a และ b เป็นจํานวนจริง ถ้า x − 1 และ x+3


ต่างก็หาร P (x) แล้วเหลือเศษ 5 ดังนั้น a + 2b มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −11 2. −1 3. 1 4. 9

4. พิจารณาข้อความต่อไปนี้ เมื่อเอกภพสัมพัทธ์คือเซตของจํานวนจริง
1
ก. ∃x [cot 2x − cot x = 0 ] ข. ∀x [sin4 x + cos4 x = 1− sin2 2x ]
2
ค่าความจริงของข้อความ ก. และข้อความ ข. เป็นไปตามข้อใดต่อไปนี้
1. ก. เป็นจริง และ ข. เป็นจริง 2. ก. เป็นจริง และ ข. เป็นเท็จ
3. ก. เป็นเท็จ และ ข. เป็นจริง 4. ก. เป็นเท็จ และ ข. เป็นเท็จ

5. กําหนดให้ p, q, r เป็นประพจน์ที่มีค่าความจริงเป็น จริง เท็จ และเท็จ ตามลําดับ ประพจน์ใน


ข้อใดต่อไปนี้มีค่าความจริงเหมือนกับประพจน์ (p → ~ q) ∨ (r ∧ ~ p)
1. (~ r → p) ∧ (q ∨ r) 2. (q ∧ ~ r) ↔ (~ p → ~ q)
3. (~ p ∨ r) → (q ∧ ~ r) 4. (p → q) ∨ (~ r ↔ q)

6. ถ้า r = {(x, y) ∈ R × R | 2x3 + 3xy2 − x2 + y2 = 0 } แล้ว เรนจ์ของ r −1 เท่ากับข้อใด


1 1 1 1
1. (− , ] 2. [− , )
3 2 2 3
1 1
3. (−∞, − ) ∪ (− , ∞) 4. (−∞, ∞)
3 3

1
7. กําหนดให้ f (x) = 4 − x2 และ g(x) =
9 − x2
จํานวนในข้อใดต่อไปนี้เป็นสมาชิกของ Rgof
1 1 1 1
1. 2. 3. 4.
2 4 8 14

8. กําหนดให้ f (x + 1) = 3x + 2 + f (x) และ g(3x − 1) = 2x + 8 ถ้า f (0) = 1


แล้ว g−1(f (2)) เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −1 2. 0 3. 1 4. 2

9. ถ้า sin 15° + sin 55° = x และ cos 15° + cos 55° = y
แล้ว (x + y)2 − 2xy เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 4 cos2 20° 2. 2 cos2 20° 3. 4 cos2 40° 4. 2 cos2 40°

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 464 ขอสอบเขาฯ ต.ค.44

10. ถ้า 0<x<


π แล้ว
4
เซตคําตอบของ log 0.5(sin x) + log 0.5(sin 2x) < log 0.5(cos x) + log 0.5(cos 2x)

คือเซตในข้อใดต่อไปนี้
1. ∅ 2. (0, π) 3. ( π , π) 4. (π , π)
6 12 6 6 4

11. ให้ C เป็นวงกลมที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่จุดศูนย์กลางของวงรี x2 + 2y2 + 4x − 4y + 2 = 0 และ


ผ่านจุดโฟกัสทั้งสองของวงรีนี้ ถ้าวงกลม C ตัดเส้นตรง y = −x ที่จุด A และ B แล้ว ระยะ AB
ยาวเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 3 หน่วย 2. 5 หน่วย 3. 6 หน่วย 4. 8 หน่วย

12. กําหนดให้ P เป็นพาราโบลา y2 − 2y − 8x − 7 = 0 ซึ่งมี L เป็นเส้นไดเรกตริกซ์ สมการ


วงกลมซึ่งมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่จุดโฟกัสของ P และมี L เป็นเส้นสัมผัส คือข้อใดต่อไปนี้
1. x2 + y2 + 2x − 2y − 14 = 0 2. x2 + y2 + 2x − 2y − 2 = 0
3. x2 + y2 + 2x + 2y − 2 = 0 4. x2 + y2 − 2x − 2y − 14 = 0

13. เซตคําตอบของสมการ 4 ⋅ 3 2x + 9 ⋅ 2 2x = 13 ⋅ 6x เป็นสับเซตของเซตในข้อใดต่อไปนี้


1. [−4, 0] 2. [−3, 1] 3. [−2, 2] 4. [1, 3]

⎛ ⎡x2 −x 1⎤ ⎞
⎜⎢ ⎟
14. ให้ f (x) = det ⎜ 0 1 2⎥ ⎟ ถ้าช่วง [a, b] เป็นเซตคําตอบของอสมการ f (x) > −2 แล้ว
⎢ ⎥
⎜ ⎢ x 1 1⎥ ⎟
⎝⎣ ⎦⎠
a−b คือข้อใดต่อไปนี้
1. 1 2. 2
3. 4
4. 5
3 3 3 3

15. ค่าของ x, y ทีท่ ําให้ P = 2x + 3y มีค่าสูงสุดตามเงื่อนไขข้อจํากัดที่กําหนดให้ต่อไปนี้


x + y > 4 , 3x + 2y < 10 , 2x − y < 1 , x > 0 และ y > 0 สอดคล้องกับข้อใดต่อไปนี้
1. x + y =5 2. x + y = 4 3. x + y = 39 4. x + y = 33
8 8

2
16. กําหนดให้ u = , u + v = 5, u −v = 4 ถ้า θ เป็นมุมระหว่าง u และ v
2
แล้ว θ อยู่ในช่วงใดต่อไปนี้
1. (0, π) 2. (π , π) 3. (π , π) 4. (π , π)
6 6 4 4 3 3 2
˜
17. กําหนดจุด A (1, 1), B (4, 10), C (7, 9) และ D เป็นจุดที่อยู่บนด้าน AB โดยที่ |˜
AD|
=
2
ถ้า
|AB| 3
θ คือมุมระหว่าง ˜
CA และ ˜
DC แล้ว cos θ คือค่าในข้อใดต่อไปนี้
1. −2 2. −2 3. 2 4. 2
5 10 5 10

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 465 ขอสอบเขาฯ ต.ค.44

3 39
18. ถ้า + i เป็นคําตอบหนึ่งของสมการ ax2 − 3x + c = 0 โดยที่ a และ c เป็นจํานวน
4 4
จริงแล้ว เศษที่เหลือจากการหาร ax2 − 3x + c ด้วย x +2 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 8 2. 12 3. 16 4. 20

⎧ 1
⎪ ,x ≠ 1
19. กําหนดให้ f (x) = ⎨ x − 1 และ g(x) = x3 + x − 2
⎪ 2 ,x = 1

ถ้า h (x) = f (x) g(x) แล้ว ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. h ต่อเนื่องที่จดุ x = 1 และ xlim
→1
h (x) = 0

2. h ต่อเนื่องที่จุด x = 1 และ xlim→1


h (x) = 4

3. h ไม่ต่อเนื่องที่จุด x = 1 และ xlim→1


h (x) = 0

4. h ไม่ต่อเนื่องที่จุด x = 1 และ xlim→1


h (x) = 4

20. กําหนดให้ g เป็นฟังก์ชันซึ่งมีอนุพันธ์ที่ทุกจุด x > 0 และ g(3)


′ = 3
n 3 2
จํานวนเต็มบวก n ที่ทาํ ให้ g(x + 2x) = 4x + 6x + 31 คือจํานวนในข้อใดต่อไปนี้
1. 5 2. 6 3. 7 4. 8

21. ให้ f เป็นฟังก์ชันพหุนามกําลังสาม ซึ่งมีค่าสูงสุดสัมพัทธ์เท่ากับสามเท่าของค่าต่ําสุดสัมพัทธ์


และ f (0) = 2 ถ้า f มีค่าสูงสุดสัมพัทธ์ที่ x = − 1 และมีค่าต่ําสุดสัมพัทธ์ที่ x = 1 แล้ว f (4)
เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −28 2. −24 3. 24 4. 28

22. กําหนดให้เส้นโค้ง y = f (x) ผ่านจุด (1, 0) และมีความชันที่จุด (x, y) ใดๆ เป็น


2
3x2 − 4x + 2 ถ้า (a, b) เป็นจุดตัดระหว่างเส้นโค้งนี้กับเส้นตรง x − 2 = 0 แล้ว a + b มีค่า
x
เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 3 2. 2 3. 7
4. 4
2 2

23. คนกลุ่มหนึ่งเป็นชายและหญิงจํานวนเท่ากัน โดยที่อัตราส่วนของจํานวนวิธีที่ชายและหญิงยืนสลับ


ที่กันเป็นแถวตรง กับจํานวนวิธที ี่ชายและหญิงยืนสลับที่กันเป็นวงกลม เท่ากับ 10 : 1 จํานวนวิธีที่จะ
เลือกตัวแทน 2 คนจากคนกลุ่มนี้ โดยมีชายอย่างน้อย 1 คน เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 30 2. 35 3. 40 4. 45

24. ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งจัดรายการสมนาคุณแก่ลูกค้า โดยจะให้ลูกค้าทุกคนสุ่มหยิบคูปอง


ส่วนลดได้ 2 ใบ จากกล่องซึ่งมีคูปองทั้งหมด 12 ใบ ซึ่งมีคูปองมูลค่า 50 บาท 5 ใบ คูปองมูลค่า
100 บาท 3 ใบ คูปองมูลค่า 200 บาท 3 ใบ และคูปองมูลค่า 500 บาท 1 ใบ ความน่าจะเป็นที่
ลูกค้าคนหนึ่งจะสุ่มหยิบคูปอง 2 ใบ และได้คูปองที่มีมูลค่าส่วนลดรวมมากกว่า 300 บาท มีค่า
เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 11 2. 14 3. 20 4. 23
66 66 66 66

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 466 ขอสอบเขาฯ ต.ค.44

25. นักเรียนอนุบาล 4 คน มีอายุเป็น x1, x2 , x3 , x4 ปี โดยมีค่าเฉลี่ยเลขคณิตของอายุเป็น 5.5


4
ปี และ ∑ x2i = 141 ถ้ามีนักเรียนที่มีอายุ 3 ปี มาเพิ่มอีก 1 คน แล้ว สัมประสิทธิ์ของการแปรผัน
i=1

ของอายุนักเรียนทั้ง 5 คนนี้ เท่ากับข้อใดต่อไปนี้


1. 5 2. 1 3. 2 5
4. 5
5 5

26. ถ้าตารางแจกแจงความถี่ของข้อมูลชุดหนึ่ง ซึ่งมีความกว้างของแต่ละอันตรภาคชั้นเท่ากัน เป็น


ดังต่อไปนี้
ชั้นที่ จุดกึ่งกลางของอันตรภาคชั้น ความถี่สะสม
1 ... 8
2 ... 16
3 ... 36
4 25 40
5 30 50
ให้ x เป็นค่าเฉลี่ยเลขคณิต และ med เป็นมัธยฐานของข้อมูล ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. x = 19 และ med = 19.75 2. x = 19 และ med = 17.5
3. x = 20 และ med = 19.75 4. x = 20 และ med = 17.5

27. ถ้าจากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างจํานวนชั่วโมงต่อสัปดาห์ที่ใช้ในการทบทวนวิชาต่างๆ (แทน


ด้วย X ) และผลการเรียนเฉลี่ย หรือ GPA (แทนด้วย Y ) ได้สมการที่ใช้ประมาณผลการเรียน
เฉลี่ย จากจํานวนชั่วโมงต่อสัปดาห์ที่ใช้ในการทบทวนวิชาต่างๆ เป็นสมการเส้นตรงที่มีความชัน
เท่ากับ 0.02 และระยะตัดแกน Y เท่ากับ 2.7
พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ถ้าจํานวนชั่วโมงที่ใช้ในการทบทวนวิชาต่างๆ เพิ่มขึ้น 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ผลการเรียน
เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 0.2
ข. ถ้าผลการเรียนเฉลี่ยเท่ากับ 3 ทํานายว่าจํานวนชั่วโมงที่ใช้ในการทบทวนวิชาต่างๆ เท่ากับ
15 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
ข้อใดต่อไปนี้เป็นจริง
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

28. พื้นที่ใต้เส้นโค้งปกติระหว่าง z = −1.2 ถึง z = 0 เท่ากับ 0.3849 คะแนนสอบของนักเรียน


กลุ่มหนึ่งมีการแจกแจงแบบปกติโดยมีค่าเฉลี่ยเลขคณิตและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 50
คะแนน และ 10 คะแนน ตามลําดับ ถ้านายคํานวณสอบได้ในตําแหน่งเปอร์เซ็นไทล์เท่ากับ 88.49
แล้ว นายคํานวณสอบได้คะแนนเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 58 คะแนน 2. 60 คะแนน 3. 62 คะแนน 4. 65 คะแนน

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 467 ขอสอบเขาฯ ต.ค.44

เฉลยคําตอบ
ตอนที่ 1 (1) 96 (2) 3 (3) 1.8 (4) 128 (5) 4.8 (6) 128 (7) 0.9 (8) 50
ตอนที่ 2 (1) 1 (2) 2 (3) 3 (4) 3 (5) 3 (6) 1 (7) 3 (8) 1 (9) 1
(10) 4 (11) 3 (12) 4 (13) 3 (14) 4 (15) 1 (16) 2 (17) 1 (18) 4 (19)
4 (20) 2 (21) 4 (22) 4 (23) 2 (24) 2 (25) 1 (26) 3 (27) 2 (28) 3

เฉลยวิธีคิด
ตอนที่ 1 (6)
(1) ตัวหน้า (1, _) (2, _) (3, _) (4, _) a 8
จะได้วา่ ∫ y dx = ∫ y dx
และตัวหลัง y < x + 1 0 a

จะได้วา่ (1, _) เลือกตัวหลังได้ 1,2 รวม 2 แบบ


(2, _) เลือกตัวหลังได้ 1,2,3 รวม 3 แบบ
0 a 8
a 8
(3, _) เลือกตัวหลังได้ 1,2,3,4 รวม 4 แบบ ⎡ 2⎤ ⎡ 2⎤
→ ⎢ 2x3 / 2 ⋅ ⎥ = ⎢ 2x3 / 2 ⋅ ⎥
⎣ 3⎦ 0 ⎣ 3⎦ a
(4, _) เลือกตัวหลังได้ 1,2,3,4 รวม 4 แบบ
2
รวม 2 × 3 × 4 × 4 = 96 แบบ ตอบ ตัดสัมประสิทธิ์ 2⋅ ทั้งสองข้างของสมการ
3
(2) log(3x + 4) > log(x − 1) + log 10 3 3 3 3 3 3

→ 3x + 4 > 10(x − 1) → 14 > 7x → x < 2 → a 2 − 0 2 = 82 − a 2 → 2a2 = 82

แต่อย่าลืมเงื่อนไขของ log คือ 3x + 4 > 0 และ 83


→ 4a3 = 83 → a3 = = 128 ตอบ
4 4
x − 1 > 0 จะได้ x > − และ x > 1
3 (7) P(A ' ∪ B ' ) = 1 − P(A ∩ B)
ดังนัน้ ได้ช่วงคําตอบ (1, 2) ตอบ 3 = 1 − 0.1 = 0.9 ตอบ
−1 −2
(3) C11(A) = 2 → 5 a = 2 → −a + 10 = 2 (8) I43 = 80, I42 = 120
→ a = 8 เพิ่มขึน้ 120 − 80 × 100 = ร้อยละ 50 ตอบ
80
∴ A = −8 + 0 − 15 − 2 + 0 + 10 = −15
ตอนที่ 2
(−3)3 −27 (1) A = {a, _} B = {b, _} C = {c, _}
→ −3A −1 = = = 1.8 ตอบ
A −15
ซึ่งถ้า (A ∩ B) ∪ (A ∩ C) = ∅
(4) z = 2∠ 4π , z = 2∠(− 4π) แสดงว่า A ∩ B = ∅ และ A ∩ C = ∅
3 3
24π 24π ฉะนั ้น b และ c ต้องไม่อยู่ใน A
→ z6 + z6 = 26 ∠ + 26 ∠(− )
3 3 จึงสรุปว่า A = {a, d} ก. ถูก
6 6
= 2 ∠0 + 2 ∠0 = 64 + 64 = 128 ตอบ และ a กับ d ต้องไม่อยู่ใน B, C เลย
3 2
3cn − n + cn ∴ B = {b, c} C = {c, b} ข. ถูก ตอบ
(5) nlim 1
→∞ 8n3 + … + 1 (2) −2 < x < 2 → < 2x < 4
1 c 4
3c −
+ 2
n n 3c 1 1
x
5 1
x
= lim
1
= → < ⎛⎜ ⎞⎟ < 4 → < ⎛⎜ ⎞⎟ + 1 < 5
n→∞
8+…+ 3 8 4 ⎝2⎠ 4 ⎝2⎠
n
n−1
และ 8 < y < 13 → 10 < y + 2 < 15
และ ∑ (−2)n − 2 = 3 − 2 + 4 − 8 + …

n=1 3 3 9
ดังนัน้ เมื่อนํามาหารกันทีละคู่ ผลที่ได้
3 9 เป็น 5 = 1 , 5 = 1 , 5 = 1 , 5
=
1
=
2
= 40 8 60 12 10 2 15 3
1 − (− ) 5 1
3 ค่ามากทีส่ ุด = ตอบ
3c 9 2
∴ = → c = 4.8 ตอบ
8 5

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 468 ขอสอบเขาฯ ต.ค.44

(3) P(1) = 5 → 1 + a + b + 2 = 5
.....(1) (8) หา f(2) จาก f(0) โดยไล่ไปทีละตัว
P(−3) = 5 → −27 + 9a − 3b + 2 = 5 .....(2) f(1) = 3(0) + 2 + f(0) → f(1) = 2 + 1 = 3
แก้ระบบสมการได้ a = 3 และ b = −1 ∴ f(2) = 3(1) + 2 + f(1) = 3 + 2 + 3 = 8
∴ ตอบ 1 โจทย์ถาม g−1(8)
(4) ก. cot 2x − cot x = 0 จาก g−1(2x + 8) = 3x − 1 ให้ 2x + 8 = 8
cos 2x cos x พบว่าต้องใส่ x = 0 ดังนั้น g−1(8) = −1 ตอบ
→ − = 0
sin 2x sin x
sin x cos 2x − cos x sin 2x
(9) (x + y)2 − 2xy = x2 + y2
→ = 0 = (sin 15° + sin 55°)2 + (cos 15° + cos 55°)2
sin 2x sin x
sin(−x) −1 = sin2 15° + 2 sin 15° sin 55° + sin2 55°
→ = 0 → = 0
sin 2x sin x sin 2x + cos2 15° + 2 cos 15° cos 55° + cos2 55°
เป็นไปไม่ได้ ∴ ก. เท็จ = 2 + 2 sin 15° sin 55° + 2 cos 15° cos 55°
ข. sin4 x + cos4 x = 2 − (cos 70° − cos 40°) + (cos 70° + cos 40°)
= [sin4 x + 2 sin2 x cos2 x + cos4 x] − 2 sin2 x cos2 x = 2 + 2 cos 40° = 2 + 2 (2 cos2 20° − 1)
2 2 2 2 2
= (sin x + cos x) − 2 sin x cos x = 4 cos2 20° ตอบ
2
(2 sin x cos x) 1 log0.5(sin x sin 2x) < log0.5(cos x cos 2x)
= 1 −2
= 1 − sin2 2x ∴ ข. จริง (10)
2 2 → sin x sin 2x > cos x cos 2x
ตอบ ข้อ 3. (อย่าลืมกลับเครือ่ งหมาย เพราะฐานเป็น 0.5)
(5) โจทย์ (p → ~ q) ∨ (r ∧ ~ p) → 0 > cos x cos 2x − sin x sin 2x
≡ (T → T) ∨ (F ∧ F) ≡ T ∨ F ≡ T → 0 > cos 3x
ข้อที่ถูกคือ ข้อ 3. (F ∨ F) → … ≡ T ขยายช่วง 0 < x < π เป็น 0 < 3x <

ส่วนอีก 3 ข้อเป็นเท็จ ดังนี้ 4 4
1. … ∧ (F ∨ F) ≡ F เพื่อหาช่วงคําตอบ
2. (F ∧ …) ↔ (F → …) ≡ F ↔ T ≡ F จากรูป ถ้า cos 3x < 0
4. (T → F) ∨ (T ↔ F) ≡ F ∨ F ≡ F จะได้ π < 3x < 3π
2 4
ตอบ ข้อ 3. π π
→ < x <
(6) เรนจ์ของ r −1 ก็คือโดเมนของ r; 6 4
x2 − 2x3 (อย่าลืมเช็คเงือ่ นไข log ว่า sin x > 0, sin 2x > 0,
จาก 2x3 + 3xy2 − x2 + y2 = 0 → y2 =
3x + 1
cos x > 0, cos 2x > 0 จริงๆ ด้วย) ตอบ ⎛⎜ , ⎞⎟
π π
1 ⎝6 4⎠
ดังนัน้ 3x + 1 ≠ 0 → x ≠ −
3 (11) จัดรูปวงรี;
x2 − 2x3 x2(2x − 1) (x2 + 4x + 4) + 2(y2 − 2y + 1) = −2 + 4 + 2
และ >0 → <0
3x + 1 3x + 1
(x + 2)2 (y − 1)2
เขียนเส้นจํานวนได้ช่วง (−1/ 3, 0] ∪ [0, 1/2] → + = 1 จุดศูนย์กลาง (−2, 1)
4 2
⎛ 1 1⎤ รีตามแกน x โดย
ดังนัน้ ตอบ ⎜− , ⎥
⎝ 3 2⎦ ระยะโฟกัส = 4 − 2 = 2
(7) หา Rgof เริ่มคิดจาก f; วงกลมผ่านจุดโฟกัส 2

x2 > 0 → 4 − x2 < 4 → 0 < 4 − x2 < 2 แสดงว่า รัศมีวงกลม = 2 ด้วย


2
∴ 0 < f(x) < 2 → 0 < [f(x)] < 4
→ 5 < 9 − [f(x)]2 < 9 ได้สมการวงกลมคือ (x + 2)2 + (y − 1)2 = 2 .....(1)
1 1 1 ตัดกับเส้นตรง y = −x .....(2)
→ < <
9 9 − [f(x)]2 5 แก้ระบบสมการ ได้จุดตัด 2 จุด คือ
1 1 ⎛ −3 − 3 3 + 3 ⎞ ⎛ −3 + 3 3 − 3 ⎞
∴ < (gof)(x) < ตอบ ข้อ 3. ⎜⎜ , ⎟ กับ ⎜⎜ , ⎟
9 5 ⎝ 2 2 ⎟⎠ ⎝ 2 2 ⎟⎠
1
[หมายเหตุ ห้ามนํา f ไปใส่ใน g เป็น ∴ ระยะห่าง ( 3)2 + ( 3)2 = 6 หน่วย ตอบ
9 − 4 + x2
แล้วค่อยคิด เพราะจะทําให้ขอ้ จํากัดใน f หายไป]
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 469 ขอสอบเขาฯ ต.ค.44

(12) จัดรูปพาราโบลา; y2 − 2y + 1 = 8x + 7 + 1 2
โจทย์บอก u =
2
→ (y − 1) = (4)(2)(x + 1) เป็นพาราโบลาเปิดขวา 2
2
จุดยอดอยูท่ ี่ (−1, 1) → ระยะโฟกัส = 2 ⎛ 2⎞ 2 41
∴ ⎜⎜ ⎟⎟ + v = → v = 20
2 2
ดังนัน้ จุดโฟกัส (1, 1) ⎝ ⎠
ไดเรกตริกซ์ x = −3 ⎛ 2⎞ 9
จะได้ u v cos θ = ⎜⎜ ⎟⎟ ( 20) cos θ =
F ⎝ 2 ⎠ 4
9
→ cos θ = ≈ 0.712
4 10

หาสมการวงกลมที่มีจดุ ศูนย์กลางที่ (1, 1) เราทราบว่า cos


π =
2
≈ 0.707
4 2
และมีรัศมี = 2c = 4 π เล็กน้อย
นั่นคือ (x − 1)2 + (y − 1)2 = 16 ดังนัน้ θ < ตอบ ข้อ 2.
4
(17) ˜ 1− 7 −6
2 2
→ x + y − 2x − 2y − 14 = 0 ตอบ CA = ⎡⎢1 − 9⎤⎥ = ⎡⎢ −8⎤⎥
x x ⎣ ⎦ ⎣ ⎦ C B
(13) มอง 3 = A และ 2 = B จะได้
2 2
4A + 9B = 13AB → 4A − 13AB + 9B = 0 2 2 ˜ 4−7 −3
CB = ⎡⎢10 − 9⎤⎥ = ⎡⎢ 1 ⎤⎥ 1
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ D
A 9
→ (4A − 9B)(A − B) = 0 → = หรือ 1 ใช้สูตรการแบ่งเวกเตอร์
B 4 2
˜ 1˜
CA + 2 ˜
CB −4
⎛3⎞ 9
x
CD = = ⎡⎢ −2⎤⎥
→ ⎜ ⎟ = หรือ 1 → x = 2 หรือ 0 3 ⎣ ⎦ A
⎝2⎠ 4
∴˜
4
∴ ตอบ ข้อ 3. DC = ⎡ ⎤ ⎢⎣2 ⎥⎦
(14) ⎡ −6⎤ ⎡4 ⎤
f(x) = x2 + 0 − 2x2 − x − 0 − 2x2 = −3x2 − x
หามุมระหว่าง ⎢⎣ −8⎥⎦ กับ ⎢⎣2 ⎥⎦ ใช้วธิ ีการดอท;
แก้อสมการ −3x2 − x > −2 → 3x2 + x − 2 < 0 (−6)(4) + (−8)(2) = (10) ⋅ ( 20) ⋅ cos θ
→ (3x − 2)(x + 1) < 0 ได้ช่วง [−1, 2/ 3] ย้ายข้าง → cos θ = − 2 ตอบ
5
2 5
∴ a − b = −1 − = ตอบ 3 39
3 3 (18) แสดงว่ามี − i เป็นคําตอบด้วย
4 4
(15) ⎛ 3 39 ⎞⎛ 3 39 ⎞
(0, 5) → P = 15 ⎜⎜ x − −
ดังนัน้ พหุนามคือ i ⎟⎟ ⎜⎜ x − + i ⎟⎟
⎝ 4 4 ⎠⎝ 4 4 ⎠
5 7 31
( , )→P = ≈ 10.33 3 9 39
3 3 3 = x2 − x + + = 0
(0, 4) → P = 12 2 16 16
12 17 75 นํา 2 คูณ เพือ่ ปรับให้ตรงตามโจทย์
( , )→P = ≈ 10.7
7 7 7 → 2x2 − 3x + 6 = 0
่ ุด (0, 5)
∴ Pmax เกิดทีจ จะได้ เศษเหลือคือ 2 (−2)2 − 3 (−2) + 6 = 20 ตอบ
3
ตอบ x + y = 5 ⎛ x + x − 2⎞
(19) lim h(x) = lim ⎜ ⎟
(16) จาก u + v = 5 จะได้ x→1 x→1
⎝ x −1 ⎠
2 2 = lim (x2 + x + 2) = 4
u + v + 2 u v cos θ = 25 .....(1) x→1

และจาก u−v = 4 จะได้ และ h(1) = 2 ⋅ (13 + 1 − 2) = 0


2 2
u + v − 2 u v cos θ = 16 .....(2) ไม่เท่ากัน ดังนั้น ไม่ต่อเนื่องที่ x = 1 ตอบ ข้อ 4.
(1) + (2)
(20) กฎลูกโซ่ g(f(x))
′ ⋅ f′(x) = (gof)′ (x)
สมการ ได้ u 2 + v 2 = 41 จะได้ g(x′ n
+ 2x) ⋅ (nx n−1
+ 2) = 12x2 + 12x
2 2
(1) − (2)
และสมการ ได้ u v cos θ = 9 ′ n + 2x) =
→ g(x
12x2 + 12x
4 4 nxn − 1 + 2
g(3)
ต้องการคิดที่′ จะสังเกตได้วา่ ควรแทน x = 1
12 + 12
→ g(3)
′ = = 3 →n = 6 ตอบ
n+2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 470 ขอสอบเขาฯ ต.ค.44

(21) ให้ f(x) = Ax3 + Bx2 + Cx + D (25) Σxเก่า = (4)(5.5) = 22


f(0) = 2 → ได้ D = 2 25
→ Σx ใหม่ = 22 + 3 = 25 → X ใหม่ = = 5
f′(−1) = 0 → 3A − 2B + C = 0 5
2
f′(1) = 0 → 3A + 2B + C = 0 Σxเก่ า
= 141 → Σx2ใหม่ = 141 + 32 = 150
แก้สองสมการนี้ได้ B = 0 และ 3A + C = 0 .....(1)
s ใหม่ =
150
− 52 = 5
อีกคําใบ้คือ f(−1) = 3 ⋅ f(1) 5
→ −A + B − C + D = 3(A + B + C + D) s 5
สัมประสิทธิ์การแปรผัน = = ตอบ
แทน B = 0, D = 2 ได้เป็น A + C = −1 .....(2) X 5

แก้ระบบสมการ (1) กับ (2) อีกครั้ง (26) หาขอบระหว่างชั้นที่ 4 กับ 5


สรุปว่า A = 1 , C = − 3 จากการเฉลี่ย 25 + 30 = 27.5
2
2 2
1 3 ความกว้างชั้นคิดจาก 30 − 25 = 5
ดังนัน้ f(4) = (64) + 0 − (4) + 2 = 28 ตอบ ดังนัน้ ขอบแต่ละชั้น คือ 27.5, 22.5, 17.5, …
2 2
(22) f′(x) = 3x2 − 4x + 2x −2 ดังตาราง
ดังนัน้ f(x) = x3 − 2x2 − 2x−1 + C x CF f d
โดยผ่าน (1, 0) จะได้วา่ 1 − 2 − 2 + C = 0 8 - 12 8 8 -2
13 - 17 16 8 -1
นั่นคือ C = 3 → f(x) = x3 − 2x2 − 2 + 3 18 - 22 36 20 0
x
ตัดกับ x = 2 แสดงว่าค่า y คือ f(2) 23 - 27 40 4 1
f(2) = 8 − 8 − 1 + 3 = 2 28 - 32 50 10 2
→ (a, b) = (2, 2) ตอบ 4 ⎛ −16 − 8 + 4 + 20 ⎞
X = a + I D = 20 + (5) ⎜ ⎟ = 20
⎝ 50 ⎠
(23) สมมติมีชาย n คน, หญิง n คน
⎛ N/2 − ΣfL ⎞ ⎛ 25 − 16 ⎞
→ เส้นตรง = n ! n ! × 2 Med = L + I ⎜ ⎟ = 17.5 + (5) ⎜ ⎟
⎝ fMed ⎠ ⎝ 20 ⎠
วงกลม = n ! × (n − 1)!
= 19.75 ตอบ
n!n! × 2
∴ = 10 → 2n = 10 → n = 5 (27) m = 0.02, c = 2.7 → Yˆ = 0.02 X + 2.7
n !(n − 1)!
วิธีเลือกให้มีชายอย่างน้อย 1 คน ก. Δx = 10 → ΔYˆ = mΔx = (0.02)(10) = 0.2
คิดจากวิธที ั้งหมด – วิธที ี่ได้หญิงล้วน ข. รู้ y ทํานาย X̂ ไม่ได้ (ข้อมูลไม่เพียงพอ)
10 5 ตอบ ก. ถูก ข. ผิด
= ⎛⎜ 2 ⎞⎟ − ⎛⎜ 2 ⎞⎟ = 35 ตอบ
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ (28) P88.49 → A = 0.3849 ทางขวา
(24) กรณี 500, → จํานวนวิธี 1 × 11 = 11 x − 50
→ z = 1.2 → 1.2 =
กรณี 200, 200 → จํานวนวิธี ⎛⎜ 23 ⎞⎟ = 3 10
⎝ ⎠ ∴ x = 62 คะแนน ตอบ
11 + 3 14
ดังนัน้ ความน่าจะเป็น = = ตอบ
⎛ 12 ⎞ 66
⎜2⎟
⎝ ⎠

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 471 ขอสอบเขาฯ มี.ค.45

¢ŒoÊoºe¢ŒÒÁËÒÇi·ÂÒÅa ÁÕ.¤.45 (j)


ตอนที่ 1 ข้อ 1 – 8 เป็นข้อสอบแบบอัตนัย ข้อละ 2 คะแนน
1. กําหนดให้ S = { n ∈ I+ | n < 1000 และ ห.ร.ม.ของ n และ 100 เท่ากับ 1}
จํานวนสมาชิกของเซต S เท่ากับเท่าใด

2. − sin2 1° + sin2 2° − sin2 3° + ... − sin2 89° + sin2 90° มีค่าเท่ากับเท่าใด


log 2x
3. x ที่สอดคล้องกับสมการ + log3(x − 12) = log 3 [ x ( x +5 − x −5)]
log 3
มีค่าเท่ากับเท่าใด
k−1 k−1
4. กําหนดให้ Sn =
n
⎛ 1 ⎞ และ S =

⎛ 1 ⎞
∑⎜ ⎟ ∑⎜ ⎟
k = 1 ⎝ 10 ⎠ k = 1 ⎝ 10 ⎠

1
จํานวนเต็มบวก n ที่ทําให้ S − Sn = (10−5) เท่ากับเท่าใด
9

5. ถ้า a คือจํานวนจริงที่ทําให้พื้นที่ที่ปิดล้อมด้วยโค้ง y = a2x2 + 4ax + 10 จาก x=0 ถึง x=1


มีค่าน้อยที่สุด แล้วพื้นที่ที่ได้เท่ากับเท่าใด

6. กล่องใบหนึ่งบรรจุสลากสีแดงซึ่งเขียนหมายเลข 1, 2, 3 ไว้สลากละหนึ่งหมายเลข รวมกับสลากสี


เขียวซึ่งเขียนหมายเลข 1, 2, 3 ไว้สลากละหนึ่งหมายเลขเช่นเดียวกัน ถ้าจับสลากสองใบจากกล่อง
โดยจับทีละใบแบบไม่ใส่กลับคืน ความน่าจะเป็นที่จะได้สลากสีเหมือนกัน หรือหมายเลขเดียวกัน
เท่ากับเท่าใด

7. จากข้อมูลความสูงของพ่อ และลูก (ซึ่งมีอายุ 10 ปี) กลุ่มหนึ่ง ปรากฏความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชัน


เป็น y = 0.9 x + 54.8 เมื่อ y แทนความสูงของพ่อ และ x แทนความสูงของลูก ปรากฏว่าความ
สูงเฉลี่ยของเด็กในกลุ่มนี้เท่ากับ 120 เซนติเมตร ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของความสูงของเด็ก
เท่ากับ 8 เซนติเมตร ถ้าเด็กคนหนึ่งในกลุ่มนี้มีค่ามาตรฐานของความสูงเท่ากับ −1.8 แล้ว เรา
ประมาณความสูงของพ่อได้เท่ากับกี่เซนติเมตร

8. ตัวแทนจําหน่ายกระติกน้ําร้อนยี่ห้อหนึ่ง ขายกระติกน้ําร้อน 3 ขนาด ในปี 2543 และ 2544


ด้วยราคาดังต่อไปนี้
ราคา (บาท)
ขนาดของกระติกน้ําร้อน ราคาสัมพัทธ์
2543 2544
เล็ก 600 660 1.10
กลาง 800 1,000 1.25
ใหญ่ 1,000 a b

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 472 ขอสอบเขาฯ มี.ค.45

ถ้าดัชนีราคาอย่างง่ายแบบใช้ราคารวมของ พ.ศ. 2544 เมื่อเทียบกับ พ.ศ. 2543 เท่ากับ 120 แล้ว


ราคาเฉลี่ยของกระติกน้ําร้อนทั้ง 3 ขนาดใน พ.ศ. 2544 เมื่อหาโดยใช้ดัชนีราคาอย่างง่ายแบบใช้
ค่าเฉลี่ยราคาสัมพัทธ์ เพิ่มขึ้นจากราคาเฉลี่ยของกระติกน้ําร้อนทั้ง 3 ขนาดนี้ใน พ.ศ. 2543 ร้อยละ
เท่าใด

ตอนที่ 2 ข้อ 1 – 28 เป็นข้อสอบแบบปรนัย ข้อละ 3 คะแนน


1. กําหนดให้เอกภพสัมพัทธ์คือเซต U = {1, 2, 3, 4, 5} และ A, B, C เป็นเซตซึ่งมีเงื่อนไขว่า
n(A) = n(B) = n(C) = 3 และ n(A ∩ B) = n(B ∩ C) = n(A ∩ C) = 2
ถ้า A ∪ B ∪ C = U แล้ว ข้อใดต่อไปนี้ผิด
1. n(A ∪ B) = 4 2. n(A ∪ (B ∩ C)) = 3
3. n(A ∩ (B ∪ C)) = 2 4. n(A ∩ B ∩ C) = 1

2. กําหนดให้ A เป็นเซตคําตอบของอสมการ 12 + x − x2 < 0


และ B เป็นเซตคําตอบของอสมการ 3 − x < 1
เซต A ∩ B เป็นสับเซตของช่วงใดต่อไปนี้
1. (−5, −3) 2. (−3, −1) 3. (1, 3) 4. (3, 5)

3. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ถ้าเอกภพสัมพัทธ์คือเซต U = (0, 1) ∪ (2, ∞) แล้ว
ประพจน์ ∀x [(x − 1)2 < 1 หรือ (x − 1)2 > 1 ] มีค่าความจริงเป็นจริง
2 4
ข. ถ้า p, q, r เป็นประพจน์ แล้ว p → (q ∧ r) สมมูลกับ (p → q) ∨ (p → r)
ข้อใดต่อไปนี้เป็นจริง
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

4. ให้ p, q, r, s เป็นประพจน์ ถ้า [p → (q → r)] ↔ (s ∧ r) มีค่าความจริงเป็นจริง และ ~ p ∨ s มี


ค่าความจริงเป็นเท็จ แล้วข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. p → q มีค่าความจริงเป็นจริง 2. q → r มีค่าความจริงเป็นจริง
3. r → s มีค่าความจริงเป็นเท็จ 4. s → p มีค่าความจริงเป็นเท็จ

5. กําหนดให้ r1 = {(x, y) | e x + y < 1 }


และ r2 = {(x, y) | ln (x −3y +5) > 0 }
พื้นที่ของบริเวณที่เป็นกราฟของ r1 ∩ r2 ซึ่งอยู่เหนือแกน x เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 1.5 ตารางหน่วย 2. 2 ตารางหน่วย
3. 2.5 ตารางหน่วย 4. 3 ตารางหน่วย

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 473 ขอสอบเขาฯ มี.ค.45

6. กําหนดให้ I เป็นเซตของจํานวนเต็ม และให้ f, g


เป็นฟังก์ชันจาก I ไป I
⎧x/2 , x เป็นจํานวนคู่
ซึ่งกําหนดโดย f (x) = 2x และ g(x) = ⎪⎨
⎪⎩x , x เป็นจํานวนคี่
แล้ว g f − f เป็นฟังก์ชันจาก I ไป I ที่มีสมบัติตามข้อใดต่อไปนี้
1. หนึ่งต่อหนึ่งและทั่วถึง 2. หนึ่งต่อหนึ่งแต่ไม่ทั่วถึง
3. ทั่วถึงแต่ไม่หนึ่งต่อหนึ่ง 4. ไม่หนึ่งต่อหนึ่งและไม่ทั่วถึง

7. กําหนดให้ f (x) = 5 − g (x) โดยที่ g(x) = 5 + 2x


ถ้า Dfog = [a, b] แล้ว 4 (a + b) เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 15 2. 20 3. 25 4. 30

8. กําหนดให้ f, g เป็นฟังก์ชันที่มีสมบัติว่า f −1(g(x)) = x + 2 ทุก x ∈ R


พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. f (2x) = g (2 (x −1)) ทุก x ∈ R ข. g−1(f (x)) เป็นฟังก์ชันเพิ่มใน R
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

9. กําหนดให้ 0 < θ < 2π


2
เซตคําตอบของอสมการ cos θ − cos θ
< 0 เป็นสับเซตของเซตในข้อใดต่อไปนี้
sin θ − 1/2

1. (0,
π) 2. (π , 5π)
3 3 6
3. (0, π) ∪ (5π , π) 4. (π , π) ∪ (3π , 3π)
4 6 6 2 4 2

10. วงกลมวงหนึ่งมีจุดศูนย์กลาง (h, k) อยู่บนเส้นตรง 2x + 3y = 6 โดยที่ h, k เป็นจํานวนเต็ม


ถ้าวงกลมวงนี้มีเส้นตรง 2x − y = 1 และเส้นตรง 2x + y = −3 เป็นเส้นสัมผัสแล้ว ความยาวรัศมีของ
วงกลมนี้อยู่ในช่วงใดต่อไปนี้
1. [2, 4] 2. [4, 5] 3. [5, 6] 4. [6, 7]

11. กําหนดให้ F1 และ F1 เป็นจุดโฟกัสของไฮเพอร์โบลา x2 + 6x − y2 − 14y − 41 = 0 ถ้า P1 (0, y1)


และ P2 (0, y2) เป็นจุดสองจุดที่ทําให้พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม PFF1 1 2 และพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม

P2FF
1 2 ต่างก็เท่ากับ 2 2 ตารางหน่วยแล้ว y 1 − y2
2 2
มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 28 2. 56 3. 84 4. 120

12. กําหนดให้ a > 0 เป็นคําตอบของสมการ 4 a − 9 ⋅ 2 a − 1 + 2 = 0


เซตคําตอบของอสมการ 2 loga(x +2) − loga(x −1) < 4 เป็นสับเซตของช่วงใดต่อไปนี้
1. (−3, 3) 2. (−2, 7) 3. (0, 8) 4. (1, 10)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 474 ขอสอบเขาฯ มี.ค.45

⎡(tan 30°)x −1⎤


13. กําหนดให้ A = ⎢ x ⎥ และ det (A) = 9
⎢⎣(cot 60°) 2 ⎥⎦
A −1 คือเมตริกซ์ในข้อใดต่อไปนี้
1. ⎡⎢2/9 −1/3⎤
1/9 1/3 ⎥
2. ⎡ 2/9
⎢ −1/9
1/3⎤
1/3⎥⎦
⎣ ⎦ ⎣
⎡1/3 −1/3⎤ ⎡ 2/9 1/9⎤
3. ⎢1/9 2/9 ⎥ 4. ⎢ −1/3 1/3⎥⎦
⎣ ⎦ ⎣

14. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
⎛ ⎡x x x ⎤ ⎞
ก. ถ้า x ∈ R และ det ⎜ ⎢ 1 x x ⎥ ⎟ = −4 แล้ว x < 2
⎜⎜ ⎢ ⎥ ⎟⎟
⎝ ⎣ 1 1 x⎦ ⎠
⎡ a 2⎤
ข. กําหนดให้ a, b ∈ R และ A = ⎢ ⎥ ถ้า A = b adj A แล้ว a +b > 2
⎣2 b 3⎦
ข้อใดต่อไปนี้เป็นจริง
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

15. น้ํามันดีเซล 100 ลิตร ราคาต้นทุนลิตรละ 12 บาท และน้ํามันปาล์ม 120 ลิตร ราคาต้นทุนลิตร
ละ 8 บาท ถ้าจะผสมน้ํามันสองชนิดนี้รวมกันให้มีจํานวนไม่น้อยกว่า 150 ลิตร และขายน้ํามันผสมนี้
ในราคาลิตรละ 11 บาท ให้ได้กาํ ไรมากที่สุดแล้ว กําไรที่ได้เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 230 บาท 2. 260 บาท 3. 330 บาท 4. 460 บาท

16. กําหนดจุด P (−1, 2) , R (3, 3) , O (0, 0) และ Q เป็นจุดบนส่วนของเส้นตรง PR โดยที่


|PR | ถ้า A (x, y) เป็นจุดในควอดรันต์ที่ 2 ที่ทําให้ ˜
OA ตั้งฉากกับ ˜
1 ˜

PQ| = OQ และ
3

OA| = 5 หน่วยแล้ว x + y เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
−6 −6 6 6
1. 2. 3. 4.
10 2 10 2

AB| = |˜
17. กําหนดให้ ABC เป็นรูปสามเหลี่ยมที่มีสมบัติว่า 5|˜ BC | + |˜
CA| ถ้า M และ N เป็น
จุดแบ่งครึ่งด้าน BC และ AC ตามลําดับแล้ว พิจารณาข้อความต่อไปนี้
˜ = 1 (BC
ก. MN ˜−˜ AC) ข. ˜
AM ⋅ ˜
BN = 0
2
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

18. กําหนดให้ ω = cos θ + i cos θ เมื่อ cos θ < 0 และ 2 cos2 θ = 1

ถ้า z เป็นจํานวนเชิงซ้อนมีสมบัติว่า ωz = 2 และอาร์กิวเมนต์ของ z


เท่ากับ π แล้ว
ω 4
2
z +z+1 มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −3 + 2 i 2. −3 − 2 i 3. 3 +2i 4. 3−2i

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 475 ขอสอบเขาฯ มี.ค.45

19. กําหนดให้ จํานวนเชิงซ้อน z1, z2 , z3 เป็นจุดยอดของรูปสามเหลี่ยมด้านเท่ารูปหนึ่ง


ถ้า z3 − z1 = cos π + i sin π , z1z2 = 1 + i , z2z3 = 2 + 2 i , z3z1 = 3 + 4 i แล้ว
z2 − z1 3 3
พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. z3 − z2 = cos π + i sin
π ข. z21 + z22 + z23 = 6 + 7 i
z1 − z2 3 3
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
⎧(x − 4)( x + 2) a
⎪ ,x > 4
x −2
20. ให้ f (x) = ⎪⎨ 1 ,x = 4
โดยที่ a, b เป็นจํานวนจริง

⎪ x2 − b ,x < 4

b ⎞
ถ้า f ต่อเนื่องที่จุด x = 4 แล้ว f ⎛⎜ a + ⎟ เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
⎝ 16 ⎠
1. −16 2. −14 3. 14 4. 16

21. กําหนดให้ f (x) = 3x + 1 ถ้า g เป็นฟังก์ชันซึ่ง (f g)(x) = x2 + 1 ทุก x ∈ R แล้ว


f′(1) + g(1)
′ มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 41 2. 35
3. 33
4. 39
12 12 4 4

22. กําหนดให้ g(x) = x2 f (x) ถ้า f′(x) = 2x + 3 และ g′′(1) = 0 แล้ว f (4) มีค่าเท่ากับข้อใด
ต่อไปนี้
1. 0 2. 11 3. 13 4. 28

23. กําหนดให้กราฟของ y = f (x) เป็นเส้นโค้งที่อยู่เหนือแกน x และมีความชันของเส้นสัมผัสเส้น


โค้งที่จุด (x, y) ใดๆ เท่ากับ 6x + 2 b เมื่อ b เป็นจํานวนจริง ถ้าพื้นที่ที่ปิดล้อมด้วยเส้นโค้งนี้จาก
x = 0 ถึง x = 2 เท่ากับสองเท่าของพื้นที่ที่ปิดล้อมด้วยเส้นโค้งนี้จาก x = 0 ถึง x = 1 แล้ว f
มีค่าต่ําสุดสัมพัทธ์ที่จุด x ในข้อใดต่อไปนี้
1. x = 2 2. x = 1 3. x = 0 4. x = −1

24. กําหนดจุด 10 จุดบนแผ่นกระดาษ มี 4 จุดอยู่บนเส้นตรงเดียวกัน นอกนั้นไม่มี 3 จุดใดอยู่บน


เส้นตรงเดียวกัน จํานวนรูปสามเหลี่ยมที่เกิดจากการลากเส้นตรงเชื่อมจุดที่กําหนดให้ เท่ากับข้อใด
ต่อไปนี้
1. 80 2. 106 3. 116 4. 120

25. ในการใส่จดหมาย 5 ฉบับที่เขียนถึงคน 5 คน คนละ 1 ฉบับ ลงในซองที่จ่าหน้าไว้แล้ว 5 ซอง


ซองละหนึ่งฉบับ ความน่าจะเป็นที่ใส่จดหมายลงในซองได้ตรงกับชื่อหน้าซองไม่เกิน 3 ซอง และไม่
น้อยกว่า 1 ซอง เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 75 2. 85 3. 90 4. 96
120 120 120 120

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 476 ขอสอบเขาฯ มี.ค.45

26. ถ้าตารางแจกแจงความถี่ของคะแนนวิชาหนึ่งของนักเรียน 20 คน ของโรงเรียนแห่งหนึ่งเป็นดังนี้


คะแนน 31 – 39 40 – 48 49 – 57 58 – 66 67 – 75 76 – 84 85 – 93
จํานวนนักเรียน 2 3 5 4 3 2 1
พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ค่าเฉลี่ยเลขคณิต มากกว่าฐานนิยม
ข. ค่าการกระจายของคะแนน ที่วัดโดยส่วนเบี่ยงเบนควอร์ไทล์ เท่ากับ 10.5 คะแนน
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

27. ในการชั่งน้ําหนักกระเป๋าเดินทาง 4 ใบ ปรากฏว่าได้น้ําหนักเป็น 15.5, 14.8, 14.5 และ 15.2


กิโลกรัม ถ้าชั่งน้ําหนักของกระเป๋าเดินทาง 4 ใบนี้รวมกับกระเป๋าเดินทางอีกใบหนึ่งได้ค่าเฉลี่ยเลข
คณิตของน้ําหนักของกระเป๋า 5 ใบนี้เป็น 16 กิโลกรัม แล้ว ค่ามัธยฐาน และความแปรปรวนของ
น้ําหนักของกระเป๋าเดินทางทั้งห้าใบนี้ตามลําดับเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 15 , 4.58 2. 15.2 , 4.58 3. 15 , 4.116 4. 15.2 , 4.116

28. ถ้าความสูงของนักเรียนห้องหนึ่งมีการแจกแจงปกติที่มีมัธยฐานเท่ากับ 160 เซนติเมตร และมี


นักเรียนที่สูงน้อยกว่า 158 เซนติเมตรอยู่ 34.46% สัมประสิทธิ์การแปรผันของความสูงของ
นักเรียนห้องนี้เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
ตารางแสดงพื้นที่ใต้เส้นโค้งปกติ
z 0.3 0.4 0.5
A 0.1179 0.1554 0.1915
1. 1.563% 2. 2.432% 3. 3.125% 4. 4.346%

เฉลยคําตอบ
ตอนที่ 1 (1) 400 (2) 0.5 (3) 13 (4) 6 (5) 7 (6) 0.6 (7) 149.84 (8) 19
ตอนที่ 2 (1) 4 (2) 1 (3) 2 (4) 1 (5) 2 (6) 1 (7) (ตอบ 180) (8) 1
(9) 4 (10) 3 (11) 2 (12) 4 (13) 4 (14) 1 (15) 3 (16) 2 (17) 2 (18) 2
(19) 4 (20) 2 (21) 1 (22) 3 (23) 2 (24) 3 (25) 1 (26) 1 (27) 4
(28) 3

เฉลยวิธีคิด
ตอนที่ 1
(1) หาจํานวนนับ n < 1,000 ซึ่งหาร 2 ไม่ลงตัว
400 100 100
และหาร 5 ไม่ลงตัว ว่ามีเท่าใด n
หาร 2 ลงตัว มี 500 จํานวน, หาร2 หาร5
หาร 5 ลงตัว มี 200 จํานวน, ∴ จะได้ n ที่ตอ
้ งการ
หารทั้ง 2 และ 5 ลงตัว คือหาร 10 ลงตัว มี 100 = 1,000 − (500 + 200 − 100)
จํานวน = 400 จํานวน ตอบ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 477 ขอสอบเขาฯ มี.ค.45

(2) − sin2 1° + sin2 2° − … + sin2 44° − sin2 45° (6) จับทีละใบไม่ใส่คืน วิธที ั้งหมด = 6 × 5
2 2 2 2
+ sin 46° − … + sin 88° − sin 89° + sin 90° ต้องการวิธที สี่ ีเหมือนหรือเลขเหมือน
เปลี่ยน sin 46° เป็น cos 44° คิดจาก วิธที ั้งหมด – วิธสี ีตา่ งและเลขต่าง
เปลี่ยน sin 47° เป็น cos 43° ฯลฯ ตอบ 1 − 6 × 2 = 0.6
ไปจนถึงเปลี่ยน sin 89° เป็น cos 1° 6×5
xลูก − 120
และเนือ่ งจาก − sin2 1° − cos2 1° = −1 (7) zลูก = −1.8 =
8
และ sin2 2° + cos2 2° = 1 ก็จะรวมกันเป็นศูนย์
→ xลูก = 105.6 ซม.
ซึ่งคู่ของ 3° กับ 4° ก็รวมกันได้ศูนย์
ไปเรื่อยๆ จนถึงคู่ของ 43° กับ 44° ก็เช่นกัน.. พ่อสูง 0.9(105.6) + 54.8 = 149.84 ซม. ตอบ
ดังนัน้ เหลือเพียง − sin2 45° + sin2 90° (8) 1.20 = 660 + 1,000 + a
1 600 + 800 + 1,000
= − + 1 = 0.5 ตอบ 1,200
2 → a = 1,220 บาท → b = = 1.22
1,000
(3)
⎛ 1.10 + 1.25 + 1.22 ⎞
log3 2x + log3(x − 12) = 2 log3 [ x( x + 5 − x − 5)] ดัชนี ISR = ⎜ ⎟ × 100 = 119
⎝ 3 ⎠
→ 2x(x − 12) = [ x( x + 5 − x − 5)]2
แสดงว่า เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 ตอบ
→ 2x(x − 12) = x(x + 5 − 2 x2 − 25 + x − 5) ตอนที่ 2
→ 2x(x − 12) = x(2x − 2 x2 − 25) (1) n(A ∪ B ∪ C) = n(U) = 5
แต่ x ห้ามเป็น 0 เพราะอยู่ใน log จึงสามารถ → 5 = 3 + 3 + 3 − 2 − 2 − 2 + n(A ∩ B ∩ C)
นํา 2x หารสองข้างได้ กลายเป็น ∴ n(A ∩ B ∩ C) = 2
A B
x − 12 = x − x2 − 25 1 0 1
→ 12 = x2 − 25 → x = 13 ตอบ 2
0 0
( x > 0 เสมอ เพราะอยู่ใน log) 1
(4) S = 1 + 1 + 1 + … อนุกรมเรขาคณิต ข้อที่ผิดจึงเป็น ข้อ 4. ตอบ C
10 100
(2) A; x2 − x − 12 > 0
1(1 − 0.1n) 10 → (x − 4)(x + 3) > 0 → A = (−∞, −3) ∪ (4, ∞)
∴ Sn = = (1 − 0.1n)
1 − 0.1 9
B; −1 < 3 − x < 1 → 2 < x < 4
และ S = S∞ = 1 = 10 B = (−4, −2) ∪ (2, 4)
1 − 0.1 9
10−5 ดังนัน้ A ∩ B = (−4, −3) ตอบ ข้อ 1.
โจทย์บอกว่า S − Sn =
9
(3) ก. จาก (x − 1)2 − 1 < 0
10 ⎛ 10 10 ⎞ 10−5 2 4
→ −⎜ − (0.1)n ⎟ =
9 ⎝9 9 ⎠ 9 1 1 1 1
→ (x − − )(x − + ) < 0
10 10−5 2 2 2 2
→ (0.1)n = → 10(0.1)n = 10−5 → (x − 1)(x) < 0 ได้เป็นช่วง (0, 1)
9 9
2
→ (0.1) = 10n −6
∴n = 6
ตอบ และ (x − 1) − 1 > 0 → (x − 1 − 1)(x − 1 + 1) > 0

(5) กราฟนี้ไม่ตดั แกน x (เพราะเมื่อให้ y=0 แล้ว → (x − 2)(x) > 0 ได้เป็นช่วง (−∞, 0) ∪ (2, ∞)
พบว่าไม่มีคาํ ตอบ; B2 − 4AC < 0 ) ดังนัน้ ∀x [0 < x < 1 หรือ x < 0 หรือ x > 2]
1
→ พืน้ ที่เท่ากับ ∫ (a2x2 + 4ax + 10) dx ซึ่งพบว่าทุกๆ ค่าใน U ทําให้เป็นจริง ∴ ก. ถูก
0 ข. p → (q ∧ r) ≡ ~ p ∨ (q ∧ r)
1
2 3
⎛a x ⎞ a2 ≡ (~ p ∨ q) ∧ (~ p ∨ r) ≡ (p → q) ∧ (p → r) ข. ผิด
= ⎜ + 2ax2 + 10x ⎟ = + 2a + 10
⎝ 3 ⎠ 3
0 ตอบ ข้อ 2.
ต้องการค่า a ทีท่ ําให้พนื้ ทีน่ ้อยทีส่ ุด (4) ~ p ∨ s ≡ p → s เป็นเท็จ
∴ หาอนุพน ั ธ์ dA = 2a + 2 = 0 → a = −3 แสดงว่า p จริง, s เท็จ
da 3
พื้นที่ A = 3 − 6 + 10 = 7 ตร.หน่วย ตอบ และจะได้ [T → (q → r)] ↔ (F ∧ r) เป็นจริง
แสดงว่า q → r เป็นเท็จ ∴ q จริง, r เท็จ
ดังนัน้ ตอบ ข้อ 1. p → q ≡ T → T ≡ T
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 478 ขอสอบเขาฯ มี.ค.45

(5) r1 ; ex + y < 1 → ex + y < e0 กรณีที่สอง บน > 0 และล่าง < 0


→ x+y <0 cos θ 5π/6
r2 ; ln(x − 3y + 5) > ln 1 → x − 3y + 5 > 1
0 1
→ x − 3y > −4 sin θ
เขียนกราฟได้ดังนี้ 1/2 3π/2
(-1,1)
แก้สมการหาจุดตัด π π 5π 3π
ดังนัน้ ช่วงคําตอบคือ ( , ) ∪ ( , )
ได้ (−1, 1) 6 2 6 2
-4 0
1 ตอบ เป็นสับเซตของข้อ 4.
ดังนัน้ พื้นที่ Δ = (4)(1) = 2 ตร.หน่วย ตอบ ⎛ 6 − 2h ⎞
2 (10) สมมติจุดศูนย์กลางเป็น (h, k) = ⎜ h, ⎟
(6) (gof)(x) = g(f(x)) = g(2x) ⎝ 3 ⎠

ซึ่ง 2x ย่อมเป็นจํานวนคู่เสมอ จึงได้ (เพราะอยู่บนเส้นตรง 2x + 3y = 6 )


(2x) ระยะทางจากจุดนี้ไปยังเส้นตรงทัง้ สอง เท่ากัน
(gof)(x) = = x เมื่อ x ∈ I
2 ⎛ 6 − 2h ⎞ ⎛ 6 − 2h ⎞
∴ [(gof) − f](x) = x − 2x = −x 2h − ⎜ ⎟−1 2h + ⎜ ⎟+3
⎝ 3 ⎠ ⎝ 3 ⎠
เนื่องจากพบว่าแต่ละค่าของ x ให้ผลออกมาแบบเดียว → 5
=
5
ไม่ซ้ํากัน และครอบคลุมจํานวนเต็มทั้งหมด ดังนั้น → 8 4
h−3 = h+5
เป็นฟังก์ชนั หนึ่งต่อหนึง่ และทั่วถึง ตอบ 3 3
(7) g(x) = 5 + 2x 8 4
ถ้า h−3 = h+5 → h = 6
3 3
f(x) = 5 − g(x) = 5 − 5 + 2x
และถ้า h − 3 = − 4 h − 5 → h = − 1
8
ดังนัน้ (fog)(x) = 5 − 5 + 2 5 + 2x 3 3 2
(ใช้ไม่ได้เพราะโจทย์บอกว่า h ∈ I)
หา Dfog; 5 + 2x > 0 → x > − 5 8
2 (6) − 3
3 13 169
และ 5 + 2 5 + 2x > 0 → จริงเสมอ ∴ รัศมี = = = = 33.8
5 5 5
(เมื่อ 5 + 2x > 0 )
ตอบ ข้อ 3.
และ 5 − 5 + 2 5 + 2x > 0 (11) จัดรูป
→ 5 + 2 5 + 2x < 5 (x2 + 6x + 9) − (y2 + 14y + 49) = 41 + 9 − 49
→ 5 + 2 5 + 2x < 25 → (x + 3)2 − (y + 7)2 = 1
→ 5 + 2x < 10 → 5 + 2x < 100 เป็นไฮเพอร์โบลาอ้อมแกน x มีจดุ ศูนย์กลางที่
95 ⎡ 5 95 ⎤(−3, −7) และระยะโฟกัส = 1 + 1 = 2
→ x < ดังนั้น Dfog = ⎢− ,
2 ⎣ 2 2 ⎥⎦∴ จุดโฟกัสคือ (−3 ± 2, −7)
⎛ 90 ⎞
ทําให้ 4(a + b) = 4 ⎜ ⎟ = 180 (ไม่มีข้อถูก) ตอบ แสดงว่าฐาน Δ
⎝ 2 ⎠
−1
ยาว 2c = 2 2 หน่วย P1(0,-5)
(8) จาก f (g(x)) = x + 2 → f(x + 2) = g(x) จะได้สว่ นสูงของ Δ
→ f(x) = g(x − 2) F1 F 2
1 -7
จาก ⋅h⋅2 2 = 2 2
ก. f(2x) = g(2x − 2) 2
P2(0,-9)
−1
ข. g (f(x)) = x − 2 เป็นฟังก์ชนั เพิ่มใน R → h = 2
ตอบ ถูกทั้งสองข้อ y1กับ y2 คือ −7 ± 2 นัน่ เอง ดังรูป
(9) แยกตัวประกอบได้ (cos θ)(cos θ − 1) < 0 ตอบ 81 − 25 = 56
sin θ − 1/2
กรณีแรก บน < 0 และล่าง > 0
เขียนเส้นจํานวนแล้วหาช่วงในวงกลม
π/2
cos θ π/6
0 1
sin θ
1/2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 479 ขอสอบเขาฯ มี.ค.45

9 a
(12) 22a − ⋅2 +2 = 0 มอง 2a = A จะได้ว่า (16) สูตรแบ่
˜ ˜
งเวกเตอร์
1 Q 2
R
2 A P
9A
˜
OQ =
2 OP + 1 OR
A2 − + 2 = 0 → 2A2 − 9A + 4 = 0 3
2 2 ⎡ −1⎤ 1 3 1/ 3
1 = + ⎡ ⎤ = ⎡⎢7/ 3⎤⎥ O
→ (2A − 1)(A − 4) = 0 → A = หรือ 4 3 ⎢⎣ 2 ⎥⎦ 3 ⎢⎣3⎥⎦ ⎣ ⎦
2
∴ a = −1 หรือ 2
มีความชัน = 7 แสดงว่าความชัน OA คือ -1/7
∴˜
−7
โจทย์ให้ a > 0 ดังนัน้ a = 2 เท่านั้น OA มีทิศเดียวกับ ⎡ 1 ⎤ แต่ยาว 5 หน่วย
⎢ ⎥ ⎣ ⎦
2 log2(x + 2) − log2(x − 1) < log2 16
˜
OA = 5
(−7 i + j)
= −
7
i +
1
j ตอบ −
6
(x + 2)2 (x2 + 4x + 4) − 16x + 16 50 2 2 2
→ < 16 → < 0
x−1 x−1 MN = ˜
(17) ก. จาก ˜ MC + ˜
CN C
x2 − 12x + 20 (x − 10)(x − 2) 1 ˜1 ˜
→ < 0 → < 0 = BC + CA N
x −1 x−1 2 2 M
ได้ช่วง (−∞, 1) ∪ (2, 10) 1 ˜ ˜
= (BC − AC) ถูก A
แต่มีเงื่อนไข log ว่า x > −2 และ x > 1 2 B
ดังนัน้ x ∈ (2, 10) ตอบ ข้อ 4. ˜ ˜ ˜ ˜
ข. AM ⋅ BN = (AC + AB) ⋅ 1 (BA + BC)
1 ˜ ˜
2 2
(13) A = 9 = 2(tan 30°)x + (cot 60°)x
1 ˜ ˜ ˜ ˜ ˜ ˜ ˜ ˜
x x x = [(AC ⋅ BA) + (AC ⋅ BC) + (AB ⋅ BA) + (AB ⋅ BC)]
⎛ 1 ⎞ ⎛ 1 ⎞ ⎛ 1 ⎞ 4
= 2⎜ ⎟ +⎜ ⎟ = 3⎜ ⎟
⎝ 3 ⎠ ⎝ 3 ⎠ ⎝ 3⎠ 1 2
= [bc cos(180°− A) + ab cos C − c + ac cos(180°−B)]
x 4
⎛ 1 ⎞
→ 9 = 3⎜ ⎟ → x = −2 1
⎝ 3⎠ = [−bc cos A + ab cos C − c2 − ac cos B]
4
1 ⎡ d −b ⎤ 1 ⎡ 2 1 ⎤
A −1 = = −2 −2 ⎥ 1 a2 −b2 − c2 a2 +b2 − c2 b2 − a2 − c2
A ⎣⎢ −c a ⎦⎥

9 ⎢⎣ − 1/ 3( 1/ 3 ) ( ) ⎦⎥
= [
4 2
+
2
− c2 +
2
]
1 ⎡ 2 1⎤ 2/9 1/9 1
= = ⎡⎢ −1/ 3 1/ 3⎤⎥ ตอบ = [a2 + b2 − 5c2 ] ≠ 0 ผิด ตอบ ข้อ 2.
9 ⎢⎣ −3 3⎥⎦ ⎣ ⎦ 8
(14) ก. det = −x2 − x2 − x2 + x3 + x2 + x = −4 (18) 2 cos2 θ = 1 → cos θ = − 1
2
→ x3 − 2x2 + x + 4 = 0
1 1 5π
→ (x + 1)(x2 − 3x + 4) = 0 → ω = − − i = 1∠
2 2 4
→ x = −1 เท่านัน้ ∴ ก. ถูก จาก ωz = ω ⋅ z = 2 → 1⋅ z = 2 → z = 2
3 −2
adj A = ⎡⎢ −2b a ⎤⎥ π 5π π
ข.
⎣ ⎦ และจาก ∠ z = ∠z − ∠ω = → ∠z − =
ω 4 4 4
→ A = b adj A จะได้ว่า ⎡ a 2 ⎤ = ⎡ 3b −2b ⎤ 3π 3π
⎢⎣2b 3⎥⎦ ⎢ −2b2 ab ⎥ → ∠z = ดังนั้น z = 2∠ = −2i
⎣ ⎦ 2 2
→ b = −1, a = −3 ข. ถูก ตอบ ข้อ 1.
∴ จะได้ z2 + z + 1 = −4 − 2i + 1 = −3 − 2i ตอบ
(15) น้ํามันดีเซล x ลิตร, น้ํามันปาล์ม y ลิตร (19) ก. z3 − z2
= 1−
⎛ z3 − z1 ⎞
⎜ ⎟
จะได้สมการจุดประสงค์ z1 − z2 ⎝ z2 − z1 ⎠
P (กําไร) = 11(x + y) − 12x − 8y = 3y − x ⎛1 3 ⎞ 1 3
= 1 − ⎜⎜ + i⎟ = − i ดังนัน
้ ก. ผิด
เงื่อนไขคือ 0 < x < 100, 0 < y < 120 ⎝2 2 ⎟⎠ 2 2
และ x + y > 150 ข. z21 = z1z2 ⋅ z3z1 = (i + 1)(3 + 4i) = 3 + 2i
วาดกราฟแล้วพบว่า z2z3 2 + 2i 2
(30, 120) → P = 330 (100,120) z1z2 ⋅ z2z3 (i + 1)(2 + 2i) 16 12
z22 = = = + i
(100, 120) → P = 260 (30,120) z1z3 3 + 4i 25 25
(100, 50) → P = 50
(100,50) z2z3 ⋅ z3z1 (2 + 2i)(3 + 4i)
z23 = = = 6 + 8i
z1z2 1+i
ตอบ Pmax = 330 บาท O
จะได้ z21 + z22 + z23 = 407 + 262 i
50 25
ดังนัน้ ข. ผิด ตอบ ข้อ 4.

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 480 ขอสอบเขาฯ มี.ค.45

(20) lim f(x) = 42 − b = 16 − b และ f(4) = 1 (26) ก. ลองร่างโค้งความถี่ พบว่าเป็นโค้งเบ้ขวา


x → 4−
∴ X > Mode ก. ถูก
( x − 2)( x + 2)2
และ lim+ f(x) = lim+ a = 16a หรือ จะคํานวณเอาก็ได้
x→4 x→4 ( x − 2)
x = 4 แปลว่าสามค่านีเ้ ท่ากัน
ฟังก์ชนั นีต้ ่อเนือ่ งที่ x f d CF
1 31 - 39 2 -3 2
∴ b = 15, a =
16 40 - 48 3 -2 5
⎛ 1 15 ⎞ 49 - 57 5 -1 10
จะได้ f ⎜ + ⎟ = f(1) = −14 ตอบ
⎝ 16 16 ⎠ 58 - 66 4 0 14
(21) (fog)(x) = 3(g(x)) + 1 = x2 + 1 67 - 75 3 1 17
(x2 + 1)2 − 1 76 - 84 2 2 19
→ g(x) = 85 - 93 1 3 20
3
1 3 ⎛ −6 − 6 − 5 + 3 + 4 + 3 ⎞
ดังนัน้ f′(x) = ⋅ 3 → f′(1) = X = a + I D = 62 + (9) ⎜ ⎟
2 3x + 1 4 ⎝ 20 ⎠
2(x2 + 1) 4 8 = 62 − 3.15 = 58.85 คะแนน
และ g(x)
′ = ⋅ (2x) → g(1
′ ) = (2) =
3 3 3 แต่ Mo เท่ากับ 57.5 คะแนน (อยู่ทขี่ อบชั้นพอดี)
3 8 41
ตอบ + = ..ดังนัน้ X > Mode แน่ๆ
4 3 12
ข. หา Q1 กับ Q3
(22) f(x) = ∫ (2x + 3) dx = x2 + 3x + C
หาค่า C จาก g(x) = x2 ⋅ f(x) Q1 อยูต ่ ําแหน่งที่ 1 × 20 = 5
4
g(x) = x4 + 3x3 + Cx2 ∴ Q1 = 48.5 คะแนน (สุดท้ายของชัน้ พอดี)
→ g(x)
′ = 4x3 + 9x2 + 2Cx 3
Q3 อยู่ตาํ แหน่งที่ × 20 = 15
→ g′′(x) = 12x2 + 18x + 2C → g′′(1) = 0 4
∴ 12 + 18 + 2C = 0 → C = −15 ⎛ 15 − 14 ⎞
∴ Q3 = 66.5 + 9 ⎜ ⎟ = 69.5 คะแนน
⎝ 3 ⎠
จะได้ f(4) = 16 + 12 − 15 = 13 ตอบ
(23) f′(x) = 6x + 2b → f(x) = 3x2 + 2bx + C จะได้ QD = 69.5 − 48.5 = 10.5 ข. ถูก
2
2 1
พื้นที่ ∫ = 2 ∫ ตอบ ข้อ 1.
0 0
(27) 15.5 + 14.8 + 14.5 + 15.2 + x = 16
2 1 5
→ (x3 + bx2 + Cx) = 2 (x3 + bx2 + Cx)
0 0 → x = 20 กก.
→ 8 + 4b + 2C = 2(1 + b + C)
เรียงข้อมูล; 14.5, 14.8, 15.2, 15.5, 20
→ b = −3 → f(x) = 3x2 − 6x + C จึงได้ว่า → Med = 15.2 กก.
f′(x) = 6x − 6 = 0 เมื่อ x = 1 เป็นจุดต่าํ สุด ความแปรปรวน
สัมพัทธ์ ตอบ s2 =
(1.5)2 + (1.2)2 + (0.8)2 + (0.5)2 + 42
(24) รูปทัง้ หมด - รูปที่ไม่ใช่ Δ 5
2
10 4 = 4.116 กก. ตอบ
= ⎛⎜ 3 ⎞⎟ − ⎛⎜ 3 ⎞⎟ = 120 − 4 = 116 รูป
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ (28) Med = X = 160
(25) กรณีแรก ตรง 3 ซอง เลือกว่าใครจะได้ตรง ที่ x = 158 ซม. จะได้
5
= ⎛⎜ 3 ⎞⎟ = 10 วิธี และอีก 2 ซองสลับให้ไม่ตรงได้ 1 พืน
้ ที่ = 0.5 − 0.3446
0.1554

⎝ ⎠ 0.3446
= 0.1554 ทางซ้าย
วิธี กรณีทสี่ อง ตรง 2 ซอง เลือกว่าใครตรง
⎛ 5 ⎞ = 10 วิธี และอีก 3 ซองสลับให้ไม่ตรงได้ 2 วิธี
⎜2⎟ 158 − 160
⎝ ⎠ → z = −0.4 ∴ −0.4 =
s
(ไล่เขียนเพื่อนับ) กรณีที่สาม ตรง 1 ซอง เลือกว่า s 5
→ s = 5 → = = 3.125% ตอบ
ใครตรง ⎛⎜ 51 ⎞⎟ = 5 วิธี และอีก 4 ซองสลับให้ไม่ตรง X 160
⎝ ⎠
ได้ 9 วิธี (ไล่เขียนเพือ่ นับ)
10 × 1 + 10 × 2 + 5 × 9 75
∴ ตอบ =
5! 120

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 481 ขอสอบเขาฯ ต.ค.45

¢ŒoÊoºe¢ŒÒÁËÒÇi·ÂÒÅa µ.¤.45 (k)


ตอนที่ 1 ข้อ 1 – 8 เป็นข้อสอบแบบอัตนัย ข้อละ 2 คะแนน
1
1. กําหนดให้ f (x) = 36− 4x2
3
ถ้า A = { x | x ∈ [−3, 3] และ f (x) ∈ {0, 1, 2, 3}} แล้ว
จํานวนสมาชิกของเซต A เท่ากับเท่าใด

2. ถ้า a และ b เป็นคําตอบของสมการ sin (2 arcsin x) = x โดยที่ a ≠ 0, b ≠ 0


และ a ≠ b แล้ว sin arctan(ab) เท่ากับเท่าใด
n
3. กําหนดให้ log8(log4(log2 x)) = 2 ถ้า x = 4(2 )
แล้ว n มีค่าเท่ากับเท่าใด

⎡4 −2⎤ ⎡ 1 0⎤
4. กําหนดให้ A = ⎢ ⎥ , I = ⎢0 1 ⎥ และ c เป็นจํานวนจริงที่น้อยที่สุดที่ทําให้
⎣ 1 1 ⎦ ⎣ ⎦
⎡ 1 c c⎤
1
det (A − c I) = 0 ถ้า B = ⎢c 1 c ⎥ แล้ว det ( B) เท่ากับเท่าใด
⎢ ⎥ 2
⎣c c 1⎦

2
⎪⎧3x + 1 , 0 < x < b
5. ให้ b เป็นจํานวนจริง และกําหนดให้ f (x) = ⎨
⎪⎩ 1 ,x < 0
b
ถ้า −2
∫ f (x) dx = 12 แล้ว b มีค่าเท่ากับเท่าใด

6. ในการเรียงสับเปลี่ยนตัวเลขทั้ง 7 ตัวในเซต {1, 2, 3, 4, 5, 6, 7} จํานวนวิธีที่เรียงได้เลข 7 หลัก


ซึ่งผลบวกของเลขโดดในหลักหน่วยและหลักสิบมีค่าน้อยกว่า 7 เท่ากับเท่าใด

7. ข้อมูลชุดหนึ่งเรียงลําดับจากน้อยไปมากคือ a 4 5 6 b ซึ่งมีค่าเฉลี่ยเลขคณิต และส่วน


เบี่ยงเบนเฉลี่ยเท่ากับ 6 และ 3 ตามลําดับ สัมประสิทธิ์ของพิสัยของข้อมูลชุดนี้เท่ากับเท่าใด

8. ตัวแทนจําหน่ายโทรทัศน์สียี่ห้อหนึ่ง ขายโทรทัศน์สี 3 ขนาด ในรอบปี 2542, 2543 และ 2544


ด้วยราคาดังต่อไปนี้
ขนาดของ ราคา (บาท) ราคาสัมพัทธ์ในการหาดัชนีราคา
โทรทัศน์สี 2544 2542 ปี 2543 เมื่อใช้ปี 2542 เป็นปีฐาน
20 นิว้ 9,639 9,000 1.02
29 นิว้ 21,218 20,000 1.03
34 นิ้ว 38,885 35,000 1.10
ดัชนีราคาโทรทัศน์สีทั้ง 3 ขนาด อย่างง่ายแบบใช้ค่าเฉลี่ยราคาสัมพัทธ์ของ พ.ศ. 2544 เมื่อใช้ พ.ศ.
2543 เป็นปีฐานเท่ากับเท่าใด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 482 ขอสอบเขาฯ ต.ค.45

ตอนที่ 2 ข้อ 1 – 28 เป็นข้อสอบแบบปรนัย ข้อละ 3 คะแนน


1. สําหรับเซต X ใดๆ ให้ P (X) แทนเพาเวอร์เซตของ X และ n(X) แทนจํานวนสมาชิกของ X
ถ้า A และ B เป็นเซตซึ่ง n(P (A ∩B)) = 4 และ n((A ∩B) × (A ∪B)) = 12 แล้ว
n(P (A ∪B) − P ((A −B) ∪ (B− A))) เท่ากับข้อใด
1. 16 2. 32 3. 48 4. 56
3x − 2
2. ให้ S เป็นเซตคําตอบของอสมการ > 2 พิจารณาข้อความต่อไปนี้
x −1
ก. S = (−1, 0] ∪ (1, ∞) ข. ∃x [x ∈ S ∧ (x + 2) ∉ S]
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

3. กําหนดให้ a , b เป็นจํานวนเต็ม ซึ่ง a เป็น ห.ร.ม. ของ b และ 216


ให้ q1 , q2 เป็นจํานวนเต็มบวก โดยที่ 216 = b q1 + 106 , b = 106 q2 + 4
ถ้า f (x) = x3 + ax2 + bx − 36 แล้ว เมื่อหาร f (x) ด้วย x − a ได้เศษเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 192 2. 200 3. 236 4. 272

4. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ถ้า p , q เป็นประพจน์ โดยที่ p มีค่าความจริงเป็นจริง
และ ~ q → (~ p ∨ q) เป็นสัจนิรันดร์ แล้ว q มีค่าความจริงเป็นจริง
ข. นิเสธของข้อความ ∃x [(~ P (x)) ∧ Q (x) ∧ (~ R (x))]
คือข้อความ ∀x [Q (x) → (P (x) ∨ R (x))]
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

5. กําหนดให้ P (x) และ Q (x) เป็นประโยคเปิด โดยที่ ∀x [P (x)] → ∃x [~ Q (x)] มีค่าความจริง


เป็นเท็จ เมื่อเอกภพสัมพัทธ์คือเซตของจํานวนจริง ข้อใดต่อไปนี้มีค่าความจริงเป็นจริง
1. ∃x [P (x) ∧ ~ Q (x)] 2. ∃x [~ P (x) ∨ ~ Q (x)]
3. ∀x [P (x) → ~ Q (x)] 4. ∀x [P (x) → Q (x)]

6. กําหนดให้ k เป็นค่าคงตัว และ r = {(x, y) ∈ R+ × R+ | x + k x = y + k y }


พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ถ้า k = 1 แล้ว r เป็นฟังก์ชัน ข. ถ้า k = −1 แล้ว r เป็นฟังก์ชัน
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 483 ขอสอบเขาฯ ต.ค.45

⎧ 2 , x < −1

7. กําหนดให้ f (x) = ⎨(x − 1) , −1 < x < 2
2
และ g(x) = f (x) + 2

⎩ x+1 ,x > 2
ถ้า k เป็นจํานวนเต็มที่น้อยที่สุดที่ทําให้ g(k) > 5 แล้ว (g D f)(k) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 5 2. 6 3. 7 4. 8

⎧ x ,0 < x < 1
8. กําหนดให้ f (x) = x เมื่อ x > 0 และ g(x) = ⎨
⎩ x + 1 , 1< x
พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. g D f −1 เป็นฟังก์ชันเพิ่มบน Rf ข. f D g−1 เป็นฟังก์ชันเพิ่มบน Rg
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

9. นายดํายืนอยู่บนสนามแห่งหนึ่ง มองเห็นยอดเสาธงเป็นมุมเงย 60° แต่เมื่อเขาเดินตรงเข้าไปหา


เสาธงอีก 20 เมตร เขามองเห็นยอดเสาธงเป็นมุมเงย 75° ในขณะที่เขามองเห็นยอดเสาธงเป็นมุม
เงย 60° นั้น เขายืนอยู่ห่างจากเสาธงเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 10 (2 + 3 3) เมตร 2. 10 (2 + 1 3) เมตร
2 2
3. 10 (2 + 2 3) เมตร 4. 10 (2 + 3) เมตร

10. ถ้าไฮเพอร์โบลา H มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่จุดศูนย์กลางของวงรี 4x2 + 9y2 − 8x − 36y + 4 = 0 จุด


ยอดอยู่ที่จุดโฟกัสทั้งสองจุดของวงรีนี้ และผ่านจุด (5, 5)
แล้ว จุดโฟกัสของไฮเพอร์โบลา H คือจุดในข้อใดต่อไปนี้
1. (1 − 7 , 2) และ (1 + 7 , 2) 2. (1 − 8
, 2) และ (1 +
8
, 2)
11 11 11 11
9 9 10 10
3. (1 − , 2) และ (1 + , 2) 4. (1 − , 2) และ (1 + , 2)
11 11 11 11

x 3
11. กําหนดให้ f1(x) = − + เมื่อ x < 1 และ f2(x) = 3x − 2 เมื่อ x > 1
2 2
ถ้า P (a, b) เป็นจุดศูนย์กลางของวงกลมที่มีรัศมียาว 7/ 5 หน่วย
และสัมผัสกราฟของ f1 และ f2 แล้ว a + b เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −2 2 2. 2 2 3. 6− 2 4. 6+ 2

12. ให้ A เป็นเซตคําตอบของอสมการ log16 x + log4 x + log2 x < 7 และ


B เป็นเซตคําตอบของอสมการ 3 4x − 3 − 26 (3 2x − 3) > 1 แล้ว A − B คือช่วงในข้อใดต่อไปนี้

1. (0, 3) 2. [ 3 , 16) 3. (0, 3] 4. [3, 16)


2 2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 484 ขอสอบเขาฯ ต.ค.45

⎡1 2 0⎤
13. ถ้า A เป็นเมตริกซ์ซึ่ง A −1 = ⎢ 3 1 −1 ⎥ , x > 0
⎢ ⎥
⎣ x 0 −2⎦
และ det (2 adj A) = 1/18 แล้ว x เป็นจริงตามข้อใดต่อไปนี้
1. x <5 2. 5 < x < 9 3. 9 < x < 13 4. x > 13

14. กําหนดให้สมการจุดประสงค์คือ P = 2ax + 3ay โดยที่ a > 0


อสมการข้อจํากัดคือ 2x + y < 1000 , x + 3y < 900 , x > 0 และ y > 0
ถ้าค่าสูงสุดของ P คือ 33, 000 แล้ว a เป็นจริงตามข้อใดต่อไปนี้
1. 10 < a < 20 2. 20 < a < 30 3. 30 < a < 40 4. 40 < a < 50

15. กําหนดให้ ABC เป็นรูปสามเหลี่ยม โดยที่ |˜ ˜


BC | = 1 , |CA| = 2

ถ้า u = 1 (CA
˜ + 2˜CB) , θ เป็นมุมระหว่าง u และ CB
˜
3
และ l = 1
cos BCA แล้ว cos θ เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
4
5 5 5 5
1. 2. 3. 4.
4 2 4 2 2 2

16. กําหนดให้ ABC เป็นรูปสามเหลี่ยม โดยที่ |˜ ˜ ˜


AB| = c , |BC | = a , |CA| = b
AB ⋅ ˜
ถ้า a2 + b2 + c2 = 13 แล้ว ˜ BC + ˜
BC ⋅ ˜
CA + ˜
CA ⋅ ˜
AB เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
13 13 13 13
1. 2. − 3. 4. −
2 2 3 3

17. กําหนดให้ เป็นจํานวนเชิงซ้อน ซึ่งมีสมบัติว่า z1 = z2 =


z1 , z2 , z3 z3 = 1 และ
z1 + z2 + z3 = 0 และให้ Re (z) แทนส่วนจริงของจํานวนเชิงซ้อน z
พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. Re (z1z2) = 1 ข. z1 − z2 = 3
2
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

18. กําหนดให้ z เป็นจํานวนเชิงซ้อน ถ้า −1 + 3 i เป็นรากที่ 5 ของ z แล้ว รากที่ 2 ของ z


คือจํานวนในข้อใดต่อไปนี้
1. 2 2(− 3 − i), 2 2( 3 + i) 2. 2 2(−1− 3 i), 2 2(1+ 3 i)
3. 2 2(− 3 + i), 2 2( 3 − i) 4. 2 2(−1+ 3 i), 2 2(1− 3 i)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 485 ขอสอบเขาฯ ต.ค.45

19. กําหนดให้ log x , log (x +2) , log (x + 16) เป็นสามพจน์แรกที่เรียงกันของลําดับเลขคณิต ถ้า


a10 เป็นพจน์ที่ 10 และ S10 เป็นผลบวก 10 พจน์แรกของลําดับนี้แล้ว ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. a10 = 9 log 5 − 8 log 3 , S10 = 5 [9 log 5 − 7 log 3]
2. a10 = 9 log 5 − 8 log 3 , S10 = 5 [9 log 7 − 2 log 3]
3. a10 = 9 log 7 − log 3 , S10 = 5 [9 log 5 − 7 log 3]
4. a10 = 9 log 7 − log 3 , S10 = 5 [9 log 7 − 2 log 3]

⎧ x ,x < a
⎪⎪ x +2
20. กําหนดให้ a > 0, f (x) = ⎨ และ g(x) = x2
⎪ x+1 ,x > a
⎪⎩ x
11
ถ้า lim (f D g)( x) − lim (g D f)(x) = แล้ว a มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
x→a+ x→a− a (a + 2)
1. 1 2. 3 3. 5 4. 9

21. กําหนดให้ f (x) = x2 − 6x + c โดยที่ c เป็นจํานวนจริง ถ้า a และ b เป็นรากของสมการ


f (x) = 0 และ 3a + 2b = 20 แล้ว f′(c) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −38 2. −26 3. 26 4. 38

22. กําหนดให้ f (x) = x2 − 2 x และ g(x) = x2 + 1


(g D f)′ (−3) + (f D g)′ (3) เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −132 2. −84 3. 84 4. 132

23. กําหนดให้ f′′(x) = ax เมื่อ a เป็นค่าคงตัว ถ้าเส้นตรง 2x + y − 6 = 0 สัมผัสกับกราฟของ


1
f ที่จุด (1, 4) และ f (0) = 8 แล้ว 0
∫ f (x) dx เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
22 23 42 43
1. 2. 3. 4.
4 4 4 4

24. ถุงใบหนึ่งมีลูกกวาดขนาดเดียวกัน เป็นสีแดง 24 เม็ด ที่เหลือเป็นลูกกวาดสีขาวและลูกกวาดสี


เขียว ถ้าสุ่มหยิบลูกกวาดขึ้นมา 1 เม็ด ความน่าจะเป็นที่ได้ลูกกวาดสีขาวหรือสีเขียวเท่ากับ 5/6
และความน่าจะเป็นที่ได้ลูกกวาดสีเขียวหรือสีแดงเท่ากับ 3/4 แล้ว จํานวนลูกกวาดสีเขียวเท่ากับข้อ
ใดต่อไปนี้
1. 36 2. 60 3. 72 4. 84

25. ชมรมกีฬาของโรงเรียนแห่งหนึ่งมีสมาชิกทั้งหมด 80 คน สมาชิกทุกคนต้องเล่นกีฬาอย่างน้อย


หนึ่งอย่าง และมีสมาชิกเป็นนักฟุตบอล 49 คน นักบาสเกตบอล 40 คน นักเทนนิส 33 คน
นักกีฬาทั้งสามอย่าง 5 คน นักเทนนิสอย่างเดียว 10 คน นักบาสเกตบอลอย่างเดียว 13 คน นัก
บาสเกตบอลและนักเทนนิส 13 คน ความน่าจะเป็นในการเลือกประธาน รองประธาน และเลขานุการ
ของชมรมตําแหน่งละ 1 คน จากสมาชิกทั้งหมด โดยที่ประธานต้องเป็นนักกีฬาทั้งสามอย่าง และรอง
ประธานจะต้องเป็นนักกีฬาอย่างน้อย 2 อย่าง เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 9 2. 11 3. 15 4. 23
316 316 632 632

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 486 ขอสอบเขาฯ ต.ค.45

26. ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันระหว่างต้นทุนการผลิตสินค้าต่อหน่วย ( y ) (หน่วยเป็นบาท) กับ


จํานวนสินค้าที่ผลิตได้ในแต่ละวัน ( x ) (หน่วยเป็นชิ้น) ของโรงงานแห่งหนึ่งที่ได้จากการเก็บข้อมูล
ตั้งแต่วันที่ 1 – 30 กันยายน 2545 อยู่ในรูปสมการ y = 8 − 0.5 x
ถ้าจํานวนสินค้าที่โรงงานแห่งนี้ผลิตได้ในวันที่ 1 – 4 ตุลาคม 2545 เป็น 4, 2, 8, 10 ชิ้น
ตามลําดับ แล้ว ความแปรปรวนของต้นทุนการผลิตสินค้าต่อหน่วยที่ทํานายได้ในช่วงเวลาดังกล่าว
เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 2.5 2. 10 3. 17.5 4. 22.5

27. ถ้าน้ําหนักของนักเรียนชั้นอนุบาลในโรงเรียนแห่งหนึ่งมีการแจกแจงปกติ โดยมีค่ามัธยฐานเป็น


สามเท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ 55.57 เปอร์เซ็นต์ของนักเรียนกลุ่มนี้มีน้ําหนักน้อยกว่า
15.7 กิโลกรัม แล้ว เปอร์เซ็นต์ของนักเรียนกลุ่มนี้ที่มีน้ําหนักอยู่ระหว่าง 13 กิโลกรัม ถึง 18
กิโลกรัม เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
กําหนดตารางแสดงพื้นที่ใต้โค้งปกติมาตรฐาน ที่อยู่ระหว่าง 0 ถึง z
z 0.13 0.14 0.2 0.4 0.6 0.7
พื้นที่ 0.0517 0.0557 0.0793 0.1554 0.2258 0.2580
1. 30.51% 2. 33.73% 3. 38.12% 4. 41.34%

28. ในการสอบวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนห้องหนึ่ง ซึ่งมีคะแนนเต็ม 70 คะแนน มีสัมประสิทธิ์


ของการแปรผันของคะแนนเท่ากับ 2/7 ถ้านายบัณฑิตสอบได้ 65 คะแนน ซึ่งคิดเป็นคะแนน
มาตรฐานเท่ากับ 3 และนางสาวบังอรสอบได้คะแนนซึ่งคิดเป็นค่ามาตรฐานเท่ากับ 1.9 แล้ว
นางสาวบังอรสอบได้คะแนนเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 50 คะแนน 2. 52 คะแนน 3. 54 คะแนน 4. 56 คะแนน

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 487 ขอสอบเขาฯ ต.ค.45

เฉลยคําตอบ
ตอนที่ 1 (1) 5 (2) 0.6 (3) 127 (4) 0.625 (5) 2 (6) 1440 (7) 0.8 (8)
102.14
ตอนที่ 2 (1) 3 (2) 2 (3) 2 (4) 1 (5) 4 (6) 2 (7) 3 (8) 1 (9) 4
(10) 4 (11) 3 (12) 1 (13) 3 (14) 2 (15) 4 (16) 2 (17) 3 (18) 4 (19)
4 (20) 2 (21) 1 (22) 3 (23) 2 (24) 4 (25) 1 (26) 1 (27) 3 (28) 3

เฉลยวิธีคิด
ตอนที่ 1 4 − c −2
(4) A − cI = ⎡⎢ 1 1− c ⎤⎥
1 ⎣ ⎦
(1) y = 36 − 4x2 → 3y = 36 − 4x2
3 → A − cI = (4 − c)(1 − c) + 2 = 0
→ 9y2 = 36 − 4x2 → 4x2 + 9y2 = 36 จะได้ 4 − 5c + c2 + 2 = 0
2 2
x y 2 → (c − 3)(c − 2) = 0 → c ที่นอ้ ยที่สดุ คือ 2
→ + = 1
9 4 122 3
1 1 ⎛ 1⎞
โดยที่ y > 0 หา B = ⎜ ⎟ 2 12
0 2 ⎝2⎠ 2 2 1
(เป็นรูปครึ่งวงรี) -3 3
3
จากกราฟพบว่า ⎛ 1⎞ 5
= ⎜ ⎟ (−4 − 4 − 4 + 1 + 8 + 8) = = 0.625
ถ้า y ∈ {0, 1, 2, 3} จะมี x อยู่ 5 ตัว ตอบ ⎝2⎠ 8

(2) ให้ A = arcsin x จะได้วา่ ตอบ


sin A = x, cos A = 1 − x2
[หมายเหตุ ข้อนีค้ ําตอบเป็นทศนิยมเกิน 2 ตําแหน่ง,
จะตอบ 0.62 หรือ 0.63 ก็ได้ เนื่องจากในการ
ดังนัน้ จากโจทย์ → sin(2A) = x
ตรวจข้อสอบ ยินยอมให้ทศนิยมตําแหน่งที่สอง
→ 2 sin A cos A = x → 2x 1 − x2 = x คลาดเคลื่อนได้ ±1 อยู่แล้ว]
→ x (2 1 − x2 − 1) = 0 (5)
1
จะได้ x = 0 หรือ 1 − x2 = → แต่โจทย์บอก 1
2 พื้นที่ซา้ ย = , =2
2 1
ว่าคําตอบไม่ใช่ 0 ดังนั้น 1− x = -2 0 b
2
1 3 3
1 − x2 = → x2 = → x = ± b
2 b
4 4 2 พื้นที่ขวา = ∫ (3x + 1) dx = (x3 + x) = b3 + b
0
0
(ตัวหนึ่งเป็น a และอีกตัวเป็น b คูณกันได้ -3/4)
∴ b3 + b + 2 = 12 → b3 + b = 10
ให้หาค่า sin ⎛⎜ arctan ⎛⎜ − 3 ⎞⎟ ⎞⎟ → b = 2 ตอบ
⎝ ⎝ 4 ⎠⎠
(6) เลือกเลขหลักหน่วยและสิบ ได้ดังนี้ 1, 2 1, 3
3
ถ้า tan = − ย่อมได้ว่า sin = 3 = 0.6 ตอบ 1, 4 1, 5 2, 3 2, 4 รวม 6 กรณี
4 5
(3) log4(log2 x) = 82 = 64 แต่ละกรณีสลับได้ 5 ! × 2 ! แบบ
→ log2 x = 464 = 2128 → x = 2(2 ) = 4(2 ) ตอบ 6 × 5 ! × 2 ! = 1,440 วิธี
128 127

∴ n = 127 ตอบ (7) X = 6 = a + 4 + 5 + 6 + b


5
→ a + b = 15 .....(1)
(6 − a) + 2 + 1 + 0 + (b − 6)
MD = 3 =
5
→ b − a = 12 .....(2)
สัมประสิทธิ์ของพิสัย = b − a =
12
= 0.8 ตอบ
b+a 15

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 488 ขอสอบเขาฯ ต.ค.45

ส่วนค่า b ได้จากการพิจารณาสมการที่ (1)


(8) หาราคา ปี 2543 โดยใช้ข้อมูลช่องขวาที่ให้มา
x คือ bq1 = 216 − 106 = 110 โดย q1 เป็นจํานวน
= 1.02 → x = 9,180 บาท
9,000
y
นับ และ b > 106 (ตัวหารต้องมากกว่าเศษ)
= 1.03 → y = 20,600 บาท ∴ b = 110 เท่านัน ้ (q1 = 1)
20,000
z (ไม่สามารถเป็น 55 × 2 ได้ เพราะ 55 < 106 )
= 1.10 → z = 38,500 บาท
35,000 ∴ f(x) = x3 + 2x2 + 110x − 36 หารด้วย x − 2
∴ ISR ปี 2544 เทียบ 2543 ได้เศษ = f(2) = 8 + 8 + 220 − 36 = 200 ตอบ
⎛ 9,639 21,218 38,885 ⎞ 100 (4) ก. p เป็นจริง และ ~ q → (F ∨ q) เป็นจริง
= ⎜ + + ⎟×
⎝ 9,180 20,600 38,500 ⎠ 3
แสดงว่า ~ q → q เป็นจริง
100
= (1.05 + 1.03 + 1.01) × = 103 ตอบ ∴ q เป็นจริงเท่านัน้ ก. ถูก
3
ตอนที่ 2 ข. นิเสธคือ ∀x ⎡⎣P(x) ∨ ~ Q(x) ∨ R(x)⎤⎦
2
(1) n(P(A ∩ B)) = 4 = 2 แสดงว่า ≡ ∀x ⎡⎣Q(x) → (P(x) ∨ R(x))⎤⎦ ข. ถูก ตอบ ข้อ 1.
n(A ∩ B) = 2 (5) ∀x [P(x)] → ∃x [~ Q(x)] เป็นเท็จ
จาก n((A ∩ B) × (A ∪ B)) = 12 = 2 × 6 แสดงว่า ∀x [P(x)] เป็นจริง
แสดงว่า n(A ∪ B) = 6 และ ∃x [~ Q(x)] เป็นเท็จ (คือ ∀x [Q(x)] จริงด้วย)
ดังนัน้ n[(A − B) ∪ (B − A)] พิจารณาว่าตัวเลือกในข้อใดเป็นจริง
= 6−2 = 4
โดยยึดในใจว่า ∀x [P(x)] จริง, ∀x [Q(x)] จริง
โจทย์ถาม n[P(A ∪ B) − P((A − B) ∪ (B − A))]
1. มีบาง x ซึ่ง P จริง และ Q เท็จ ...ไม่ใช่
เนื่องจาก (A − B) ∪ (B − A) เป็นสับเซตของ 2. มีบาง x ซึ่ง P เท็จ หรือ Q เท็จ ...ก็ไม่ใช่
A ∪ B เพาเวอร์เซตจึงเป็นสับเซตของกันด้วย
3. ทุกๆ x ถ้า P จริง แล้ว Q เท็จ ...ไม่ใช่
สามารถลบจํานวนได้เลยดังนี้ 26 − 24 = 48 ตอบ 4. ทุกๆ x ถ้า P จริง แล้ว Q จริง ...ใช่ ตอบ ข้อ 4.
(2) แยกช่วงย่อยคิด (6) ก. x + x = y + y
กรณีแรก ถ้า x < 0 จะได้อสมการกลายเป็น → y + y − (x + x) = 0
3x − 2 3x − 2
>2 → <2
−x−1 x+1 −1 ± 1 + 4(x + x)
→ y =
3x − 2 − 2x − 2 x−4 2
→ <0 → <0 −1 ±
4x + 4 x + 1
x+1 x+1 ∴ y =
2
นั่นคือ (−1, 4] และนําไปอินเตอร์เซคกับเงื่อนไข −1 ± (2 x + 1)
เหลือแค่ (−1, 0) = = x หรือ −1 − x
2
กรณีที่สอง ถ้า x > 0 จะได้อสมการกลายเป็น แต่ y = −1 − x ไม่ได้ เพราะติดลบ
3x − 2 3x − 2 − 2x + 2
>2 → >0 ∴ y = x เท่านัน้ จึงเป็นฟังก์ชนั
x−1 x−1
ข. x− x = y− y
x
→ >0 นั่นคือ (−∞, 0] ∪ (1, ∞) → y− y − (x − x) = 0
x−1
อินเตอร์เซคกับเงือ่ นไข เหลือแค่ {0} ∪ (1, ∞) 1 ± 1 + 4(x − x)
→ y =
2
ดังนัน้ ก. S = ( −1, 0] ∪ (1, ∞) ถูก
ข. มีบาง x ซึ่ง x ∈ S และ (x + 2) ∉ S ไม่จริง ∴ y = 1 ± 4x −2 4 x + 1
เพราะ S ไม่มีขอบเขตบน ดังนั้นไม่ว่า x เป็นจํานวน 1 ± (2 x − 1)
เท่าใด (x + 2) ย่อม ∈ S เสมอ ผิด ตอบ ข้อ 2. = = x หรือ 1 − x
2
(3) การหา ห.ร.ม. ด้วยวิธขี องยุคลิด ซึ่งเป็นไปได้ทั้ง 2 อย่าง จึงไม่เป็นฟังก์ชัน
จาก 216 = b q1 + 106 .....(1) (เช่น ถ้า x=1 จะได้ y=1 ก็ได้, y=0 ก็ได้)
และ b = 106 q2 + 4 .....(2) ตอบ ข้อ 2.
ทําต่อไป 106 = 4(26) + 2 และ 4 = 2 (2)
ดังนัน้ ห.ร.ม. a = 2
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 489 ขอสอบเขาฯ ต.ค.45

(7) จาก g(k) > 5 → f(k) + 2 > 5 → f(k) > 3 ุ ศูนย์กลาง (1, 2)
∴ ไฮเพอร์โบลามีจด อ้อมแกน x
⎧⎪ 2 , k < −1 (x − 1) 2
(y − 2)2
และ f(k) = ⎨ (k − 1)2 , −1 < k < 2 และค่า a = 5 → − = 1
5 b2
⎪⎩ k + 1 , k > 2
ผ่านจุด (5, 5) จะได้วา่ 16 − 92 = 1
ลองแทนค่าจํานวนเต็ม k ไล่ไปเรือ่ ยๆ 5 b
กรณีบน f(k)=2 เสมอ ไม่มากกว่า 3 อยู่แล้ว 45 45 10
2
b = → ดังนั้น c = 5 + =
กรณีกลาง ถ้า k = 0 ได้ f(0) = 1 , 11 11 11
ถ้า k = 1 ได้ f(1) = 0 แสดงว่าไม่มี k ที่ใช้ได้เลย ⎛ 10 ⎞
จุดโฟกัสคือ ⎜1 ± , 2⎟ ตอบ
⎝ 11 ⎠
กรณีล่าง ถ้า k = 2 ได้ f(2) = 3 ,
(11) ระยะทางจากจุดศูนย์กลาง P(a, b) ไปยัง
ถ้า k = 3 ได้ f(3) = 4
∴ จํานวนเต็ม k ที่นอ ้ ยทีส่ ุดทีท่ ําให้ f(k)>3 คือ 3 เส้นตรงทั้งสอง = 7
5
(gof)(3) = g(4) = f(4) + 2 = 7 ตอบ P
จากการวาดกราฟคร่าวๆ f2
(8) ก. f −1(x) = x2 เมื่อ x > 0 พบว่าวิธหี าจุด (a, b) f1
⎧ x2 ; 0 < x2 < 1 อย่างง่ายคือ ขยับเส้นตรง
∴ gof −1(x) = ⎨ 2 2
⎩ x + 1; x > 1 f1 และ f2 ขึน ้ ไปจากเดิม 1
เป็นฟังก์ชนั เพิ่มในช่วง [0, ∞ ) จริง 7
หน่วย แล้วจึงแก้ระบบสมการเพือ่ หาจุดตัดกัน
ข. g−1(x) = ⎧⎨ x x− 1;; 0 x<>x 2< 1 (เงื่อนไขมาจาก Rg ) 5
⎩ x 3
f1; y = −
+ → 2y + x − 3 = 0
⎪⎧ x ;0< x < 1 2 2
∴ fog−1(x) = ⎨ 7 −3 − C ใหม่
⎪⎩ x − 1 ; x >2 ∴ = → C ใหม่ = −10
5 5
เป็นฟังก์ชนั เพิ่มในช่วง [0, 1) ∪ [2, ∞ ) จริง ดังนัน้ f1 ใหม่ คือ 2y + x − 10 = 0
∴ ตอบ ก. ถูก และ ข. ถูก
f2; y = 3x − 2 → y − 3x + 2 = 0
(9) 2 − C ใหม่
7
h = a tan 75° .....(1) ∴ = → C ใหม่ = 2 − 7 2
h 5 10
h = (20 + a) tan 60° .....(2)
ดังนัน้ f2 ใหม่ คือ y − 3x + 2 − 7 2 = 0
60° 75° แก้ระบบสมการหาจุดตัดได้
20 a x = 2 − 2 2, y = 4 + 2 → ตอบ 6 − 2
20 tan 60°
แก้ระบบสมการ จะได้ a =
tan 75° − tan 60° (12) A; 1 log2 x + 1 log2 x + log2 x < log2 (27)
4 2
หาค่า tan 75° จาก 7
7
1 → log2 x < log2 (27) → x 4 < 27
1+ 4
3 = 3 +1
tan(45° + 30°) = = 2+ 3 1
1 3 −1 → x4 < 2 → x < 16
1−
3
แต่มีเงื่อนไข log จึงได้เพียง 0 < x < 16 เท่านั้น
20( 3)
∴a = = 10 3 B; นํา 33 = 27 คูณทั้งสองข้าง
(2 + 3) − 3
→ 34x − 26 ⋅ 32x > 27
ตอบ 20 + 10 3 = 10 (2 + 3) เมตร [มอง 32x = A ] จะได้วา่
(10) วงรี; 2
A − 26A − 27 > 0 → (A − 27)(A + 1) > 0
4(x2 − 2x + 1) + 9(y2 − 4y + 4) = −4 + 4 + 36
นั่นคือ A < −1 หรือ A > 27
(x − 1)2 (y − 2)2
→ + = 1 แต่ 32x < −1 ไม่ได้ ∴ 32x > 27 → 2x > 3
9 4
จุดศูนย์กลาง (1, 2) รีตามแกน x x > 3/2 ตอบ A − B = (0, 3)
2
ระยะโฟกัส c = 9 − 4 = 5

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 490 ขอสอบเขาฯ ต.ค.45

(13) [พิสูจน์ จาก adjA = A ⋅ A−1 AB ⋅ ˜


โจทย์ถาม ˜ BC + ˜
BC ⋅ ˜
CA + ˜
CA ⋅ ˜
AB
จะได้ adjA = A n ⋅ A −1 = A n − 1 ] = ca cos(180°− B) + ab cos(180°− C) + bc cos(180°− A)

ดังนัน้ 2adjA = 23 adjA = 8 A 2 = −ca cos B − ab cos C − bc cos A

หา A จากในโจทย์ก่อน จาก a2 + b2 + c2 = 13 ใช้กฎของ cos ใน Δ


จะได้วา่
A −1 = 12 − 2 − 2x = 10 − 2x
(b2 + c2 − 2bc cos A) + (a2 + c2 − 2ac cos B)
1 2 1
∴ A = → จะได้ว่า 8 A = + (a2 + b2 − 2ab cos C) = 13
10 − 2x 18
2 2 2
8 1 แทนค่า a +b +c = 13 ลงไป จะได้
→ = → (10 − 2x)2 = 144
(10 − 2x)2 18 −2 bc cos A − 2 ac cos B − 2 ab cos C = − 13
→ x = 11 ตอบ ข้อ 3. 13
ดังนัน้ ตอบ −
(14) 2
(17) เนื่องจากขนาด z1 , z2 , z3 เป็น 1
300 (420,160) และรวมกันเป็น 0 แสดงว่า z1 , z2 , z3 อยู่บน
วงกลมหนึง่ หน่วย และห่างเป็นระยะเท่าๆ กัน
O 500 คือห่างกัน 120° ดังนัน้ ถ้าให้ z1 = 1∠θ จะได้
z2 = 1∠(θ+ 120°), z3 = 1∠(θ− 120°)
สมมติวา่ จุด (420, 160) ทําให้เกิด Pmax
ก. z2 = 1∠(−θ− 120°) ดังนัน้
∴ 33,000 = 2a(420) + 3a(160)
z1z2 = 1∠(θ + (−θ− 120°)) = 1∠(−120°)
ได้ a = 25 ..ลองแทนค่าจุดอืน่ หา P ดูก่อน ∴ Re(z1z2) = 1 cos(−120°)
(500, 0) ได้ P = 25,000 1
(0, 300) ได้ P = 22,500 = cos 120° = − เสมอ
2
แสดงว่าจุดที่เลือก เกิด Pmax จริงๆ ข. z1 − z2
∴ ตอบ ข้อ 2. = (cos θ + i sin θ) − (cos(θ+ 120°) + i sin(θ+ 120°))
(15) A = ⎣⎡cos θ − cos(θ+ 120°)⎦⎤ + i ⎣⎡sin θ − sin(θ+ 120°)⎦⎤
arccos 1/4
นํา u มาดอท 2 3 3 3 3
กับ ˜CB จะได้มุม θ
C
= ( cos θ +
2 2
sin θ) + i ( sin θ −
2 2
cos θ)

B 3
1 = ⎡( 3 cos θ + sin θ) + i ( 3 sin θ − cos θ)⎤⎦
2 ⎣
˜ 1 ˜˜
u ⋅ CB = [CA ⋅ CB + 2| CB |2 ] ˜ ∴ z1 − z2 =
3
3
˜ 1 ˜ ˜1
u | CB | cos θ = [| CA || CB | ( ) + 2| CB |2 ] ˜ 2
3 cos2 θ + sin2 θ + 3 sin2 θ + cos2 θ
3 4
แทนค่า |˜
CA | = 2, |˜
CB | = 1
(พจน์กลางคือ 2 3 sin θ cos θ หักล้างกันแล้ว)
3
จะได้ u cos θ = 5 =
2
4 cos2 θ + 4 sin2 θ = 3
6
1 ˜ ˜ ตอบ ข้อ ก. ผิด, ข.ถูก
หาขนาด u จาก u =
| CA + 2 CB |
3 หมายเหตุ ข้อ ข. อาจพิสจู น์แบบเวกเตอร์
1 10 z1 − z2 = 12 + 12 − 2(1)(1) cos(120°) = 3 ก็ได้
= 22 + 22 + 2(2)(2) ( 1/ 4 ) =
3 3 (18) z = (−1 + 5
3 i) = (2∠120°) 5

5 10 5
∴ cos θ = ÷ = ตอบ = 32∠600° = 32∠240°
6 3 2 2
รากที่สองของ z ได้แก่ 32∠120° กับ
(16) B 32∠(120°+ 180°)
a
c 1 3 1 3
นั่นคือ 32 (− + i) กับ 32 ( − i)
C 2 2 2 2
A ตอบ 2 2(−1 + 3i) และ 2 2(1 − 3i)
b

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 491 ขอสอบเขาฯ ต.ค.45
1 1
(19) log(x + 2) − log x = log(x + 16) − log(x + 2)
ดังนัน้ ∫ f(x) dx = ∫ (x3 − 5x + 8) dx
x +2 x + 16 0 0
→ = → x2 + 4x + 4 = x2 + 16x
x x +2 ⎛x 54

1
23
1 = ⎜ − x2 + 8x ⎟ = ตอบ
→ x = ⎝ 4 2 ⎠ 0
4
3
1 7 1 (24) แดง 24 เม็ด, ขาว x เม็ด, เขียว y เม็ด
∴ a1 = log( ) และ d = log( ) − log( ) = log(7) 5 x+y
3 3 3 ∴ = และ 3 = 24 + y
1 6 24 + x + y 4 24 + x + y
→ a10 = log( ) + 9 log(7) = 9 log 7 − log 3
3 แก้ระบบสมการ จาก (1) ได้
5
และ S10 = 10 (log( 1) + (9 log 7 − log 3)) (24 + x + y) = x + y → x + y = 120
2 3 6
= 5 (9 log 7 − 2 log 3) ตอบ ข้อ 4. แทนใน (2) 3 = 24 + y ได้ y = 84 เม็ด ตอบ
a+1 4 144
(20) xlim (fog)( x) = lim+ f(x) = (25) จํานวนคน = 80 คน,
→ a+ x→a a
x ⎞ = ⎛ a ⎞
2 เป็นนักกีฬาครบทุกอย่าง = 5 คน
lim−(gof)(x) = lim− g ⎛⎜ ⎟ ⎜ ⎟
x→a x→a ⎝ x + 2⎠ ⎝a + 2⎠ เป็นนักกีฬาสองอย่างขึ้นไป B
a+1 a 11 (คิดจากรูป) = 37 คน F
จะได้ − = 20 14 13
a a+2 a(a + 2)
ตอบ 5 × 36 × 78 = 9 10 5 8
→ (a + 1)(a + 2) − a2 = 11 → 3a + 2 = 11 80 × 79 × 78 316
10
→ a = 3 ตอบ T
2
(21) x − 6x + c = (x − a)(x − b)
4 + 2 + 8 + 10
แสดงว่า a + b = 6 .....(1) (26) หา s2x ; X = =6
4
จากโจทย์บอกเพิม่ ว่า 3a + 2b = 20 .....(2) 22 + 42 + 22 + 42
∴ s2x = = 10
แก้ระบบสมการได้ a = 8 , b = −2 4
∴ f(x) = (x − 8)(x + 2) = x2 − 6x − 16 → c = −16 จาก Y = 8 − 0.5 X จะได้ sY = 0.5sx
โจทย์ถาม f′(−16) = 2(−16) − 6 = −38 ตอบ → s2Y = (0.5)2 s2x 2
= (0.5) ⋅ 10 = 2.5 ตอบ
(22) ต้องถอดค่าสัมบูรณ์ออกก่อนจึงดิฟได้ (27) Med = X = 3s .....(1)
ก. ที่ x = −3 และ x = 15.7 → พืน้ ที่ A = 0.0557 ทางขวา
→ (gof)(x) = g(x2 + 2x) = (x2 + 2x)2 + 1
15.7 − X
→ (gof)′ (x) = 2(x2 + 2x)(2x + 2) → z = 0.14 = .....(2)
s
→ (gof)′ (−3) = 2(9 − 6)(−4) = −24 แก้ระบบสมการได้ s = 5, X = 15
ข. ที่ x = 3 ได้ g(3) = 10 ดังนัน้
ดังนัน้ z13 = 13 − 15 = −0.4
→ (fog)(x) = f(x + 1) = (x + 1)2 − 2(x2 + 1)
2 2
5
→ (fog)′ (x) = 2(x2 + 1)(2x) − 4x 18 − 15
และ z18 = = 0.6
5
→ (fog)′ (3) = 2(10)(6) − 12 = 108 ตอบ 84
(23) เส้นตรง 2x + y − 6 = 0 สัมผัสกราฟที่จดุ 0.1554 0.2258
(1, 4) แสดงว่า f(1) = 4 และความชัน f′(1) = −2
ax2 -0.4 0.6 z
จาก f′′(x) = ax → f′(x) = +b
2 ตอบ 15.54 + 22.58 = 38.12%
a
จะได้ f′(1) = + b = −2 .....(1)
2 (28) s = 2 , 3 = 65 − X
X 7 s
ax3
จาก f(x) = + bx + c แก้ระบบสมการได้ s = 10 และ X = 35
6
จะได้ f(1) =
a
+b+c = 4 .....(2) ดังนัน้ 1.9 = xบังอร − 35
6 10
และ f(0) = c = 8 → xบังอร = 54 คะแนน ตอบ
แก้ระบบสมการ ได้ a = 6, b = −5

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 492 ขอสอบเขาฯ มี.ค.46

¢ŒoÊoºe¢ŒÒÁËÒÇi·ÂÒÅa ÁÕ.¤.46 (l)


ตอนที่ 1 ข้อ 1 – 8 เป็นข้อสอบแบบอัตนัย ข้อละ 2 คะแนน
1. กําหนดให้ A เป็นเซตคําตอบของอสมการ x > x−1
x −5
และ B เป็นเซตคําตอบของอสมการ > 0
(x + 1)(x + 3)
ถ้า A −B คือช่วง (a, b) แล้ว a + b มีค่าเท่ากับเท่าใด

2. ในรูปสามเหลี่ยม ABC ถ้า A = 30° ด้าน BC ยาว 2 เซนติเมตร และด้าน AC ยาว 3


เซนติเมตร แล้ว 4 sin 3B มีคา่ เท่ากับเท่าใด

3. ถ้า log9 3 , log9(3x − 2) , log9(3x + 16) เป็นสามพจน์แรกที่เรียงกันในอนุกรมเลขคณิต และ S


เป็นผลบวกของสี่พจน์แรกของอนุกรมนี้ แล้ว 3 S มีค่าเท่ากับเท่าใด

4. กําหนดให้ A และ B เป็นเมตริกซ์ขนาด 2×2


⎡5 4 ⎤ ⎡2 1 ⎤
ถ้า A + 2B = ⎢ และ A −B = ⎢ แล้ว det (2A −1B) มีค่าเท่ากับเท่าใด
⎣8 16⎦
⎥ ⎥
⎣ −1 −5⎦

5. กําหนดสมการจุดประสงค์คือ P = 3x + 2y โดยมีอสมการข้อจํากัดคือ 0 < x < 4 และ


6 < x + y < 7 แล้ว ค่าสูงสุดของ P เท่ากับเท่าใด

6. ถ้า u = 4i + 3j , v = u และ u+v = 8 แล้ว u ⋅v มีค่าเท่าใด

7. สลาก 11 ใบ มีหมายเลข 1 ถึง 11 กํากับอยูใ่ บละ 1 หมายเลข สุ่มหยิบสลากมา 4 ใบ ความ


น่าจะเป็นที่สลากที่หยิบมา มีผลคูณของหมายเลขเป็นจํานวนคู่ แต่ผลบวกของหมายเลขเป็นจํานวนคี่
มีค่าเท่าใด (ตอบทศนิยม 2 ตําแหน่ง)

8. กําหนดตารางแจกแจงความถี่ของคะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนห้องหนึ่งดังนี้
คะแนน ความถี่
16 – 18 a
19 – 21 2
22 – 24 3
25 – 27 6
28 – 30 4
ถ้าควอร์ไทล์ที่หนึ่ง ( Q1 ) เท่ากับ 18.5 คะแนน แล้ว มัธยฐานของคะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ของ
นักเรียนห้องนี้เท่ากับเท่าใด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 493 ขอสอบเขาฯ มี.ค.46

ตอนที่ 2 ข้อ 1 – 28 เป็นข้อสอบแบบปรนัย ข้อละ 3 คะแนน


1. กําหนดให้ A = { 1, 2 } , B = { 1, 2, 3, ..., 10 }
เซต { f | f : A 1−1 > B และมี x ∈ A ซึ่ง f (x) = x} มีจํานวนสมาชิกเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 16 2. 17 3. 18 4. 19

2. ให้ p , q และ r เป็นประพจน์ พิจารณาข้อความต่อไปนี้


ก. ถ้า [(p ∧ ~ r) ∧ q] → ~ (p ∧ q) เป็นเท็จ แล้ว (p ∨ q) → r เป็นจริง
ข. ถ้า q ∨ ~ r เป็นเท็จ แล้ว [p ∨ (q → r)] → ~ q เป็นเท็จ
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

3. กําหนดให้ p , q , r และ s เป็นประพจน์


ในการอ้างเหตุผล ถ้า “เหตุ” คือ 1. (p ∨ q) → (r ∧ s)
2. r → ~ s
แล้ว ประพจน์ในข้อใดต่อไปนี้เป็น “ผล” ที่ทําให้การอ้างเหตุผลมีความสมเหตุสมผล
1. p 2. q 3. ~ p ∧ ~ q 4. ~ p ∧ q

4. ให้ A, Bและ C เป็นเซตซึ่ง n (A ∪B) = 16 , n (A) = 8 , n (B) = 14 , n (C) = 5 และ


n (A ∩B∩C) = 2 ค่าสูงสุดของ n [(A ∩B) × (C − A)] ที่เป็นไปได้ เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 6 2. 12 3. 18 4. 24

5. กําหนดให้ I คือเซตของจํานวนเต็ม และ S = {x | x −1 − 1 ⋅ x − 1 + 1 < 50 } จํานวน


สมาชิกของเซต S ∩ I เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 13 2. 14 3. 15 4. 16

6. กําหนดให้ f และ g เป็นฟังก์ชัน ซึ่ง f (x) < 0 ทุก x


ถ้า (g f)(x) = 2 [f (x)]2 + 2 f (x) − 4 และ g−1(x) = x + 1 แล้ว
3
พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. g f เป็นฟังก์ชันคงตัว ข. f (100) + g(100) = 300
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 494 ขอสอบเขาฯ มี.ค.46

7. กําหนดให้ f (x) = − (x −1)2 ทุก x < 1 และ g(x) = 1− x ทุก x < 1


พิจารณาข้อความต่อไปนี้
1 3
ก. f −1(x) = 1 − x ทุก x < 0 ข. (g−1 f −1)(− ) =
4 4
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

8. กําหนดให้ r = {(x, y) | 0 < x, 0 < y < 5 และ x2 − y2 − 2x + 6y < 8 }


พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. Dr = [0, 3] ข. ถ้า 0 < c และ (3, c) ∈ r แล้ว c = 5
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

9. ถ้า arccos x − arcsin x =


π แล้ว arccos x − arctan 2x มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
6
1. π 2. 5π 3. 7π 4. 11π
12 12 12 12

10. ให้ E เป็นวงรีซึ่งผลบวกของระยะทางจากจุดใดๆ บนวงรี E ไปยังจุด (−3, 2) และ (5, 2)


เท่ากับ 12 หน่วย ถ้า A และ B เป็นจุดยอดของวงรี E และวงรี E ตัดแกน y ที่จุด C และ
D แล้ว พื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยม ABCD เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 10 5 ตารางหน่วย 2. 20 5 ตารางหน่วย
3. 10 7 ตารางหน่วย 4. 20 7 ตารางหน่วย

11. กําหนดให้ a เป็นจํานวนจริง และ A (a, 1) , B (−5, −4) , C (1, −2) , D (2, 3) เป็นจุดยอดของรูป
สี่เหลี่ยมด้านขนาน ABCD ถ้า L เป็นเส้นตรงที่ตั้งฉากกับ AC และผ่านจุดกึ่งกลางของด้าน AC
แล้ว สมการของเส้นตรง L คือสมการในข้อใดต่อไปนี้
1. 5x − 3y + 6 = 0 2. 5x − 3y − 6 = 0
3. 5x + 3y + 9 = 0 4. 5x + 3y − 9 = 0

12. เซตคําตอบของอสมการ (4x − 2) log(1 − x2) > 0 เป็นสับเซตของเซตในข้อใดต่อไปนี้


1. (−2, 1/2) 2. (−1/2, 2) 3. (0, 10) 4. (1/2, 20)

⎡x +2 x x + 1⎤
⎡ x x + 1⎤
13. กําหนดให้ A = ⎢ 0 x x + 1⎥ และ B = ⎢
⎣2x 3 ⎦
⎢ ⎥ ⎥
⎣ x + 1 −1 x ⎦
ถ้า x เป็นจํานวนจริงที่ทําให้ det (A) = 0 แล้ว adj B คือเมตริกซ์ในข้อใดต่อไปนี้
⎡3 −2⎤ ⎡3 0 ⎤
1. ⎢ −2 1 ⎥⎦
2. ⎢2 −1⎥
⎣ ⎣ ⎦
⎡3 −3⎤ ⎡3 1 ⎤
3. ⎢ −4 2 ⎥⎦
4. ⎢4 −2⎥
⎣ ⎣ ⎦

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 495 ขอสอบเขาฯ มี.ค.46

14. ให้ A , B เป็นจุดสองจุดบนเส้นตรง y = 2x ถ้าจุด C (−2, 1) ทําให้ ˜


CA ⋅ ˜
CB = 0 และ
˜ ˜
|CA| = |CB| แล้ว รูปสามเหลี่ยม ABC มีพื้นที่เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 2 5 ตารางหน่วย 2. 10 ตารางหน่วย
3. 5 ตารางหน่วย 4. 10 ตารางหน่วย

15. กําหนดให้ z1 , z2 , z3 เป็นรากของสมการ (1−i) z 3 = 2 โดยที่ z1 , z2 , z3 อยู่ใน


ควอดรันต์ที่ 1 , 2 , 3 ตามลําดับ z1z3 + z22 มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −2 i 2. 2 i 3. −2 4. 2

16. กําหนดให้ a , b เป็นจํานวนจริง และ f (x) = x4 − 6x3 + 15x2 + ax + b ถ้าจํานวนเชิงซ้อน


1 + i และ 2 + i เป็นรากของ f (x) แล้ว a + b มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −10 2. −8 3. 8 4. 10
1 ⎡
17. lim 1+ x − 1− x − (1+ x)(1− x2) + (1− x)(1− x2)⎤⎦ มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
x→0 x3 ⎣
1 1
1. 0 2. 3. 4. 1
4 2

18. กําหนดให้ f และ g เป็นฟังก์ชันต่อเนื่องที่จดุ x = 4 และ


⎧ ⎛ x −4 ⎞
⎪ f (x) ⎜ x −2 ⎟ ,x ≠ 4
g(x) = ⎨ ⎝ ⎠ โดยที่ k เป็นค่าคงตัว
⎪ 2
⎩ 4 − kx ,x = 4
ถ้ากราฟของ f ตัดเส้นตรง y = x+1 ที่จุดซึ่ง x = 4 แล้ว k อยู่ในช่วงใดต่อไปนี้
1. (−3, − 1) 2. (−2, 0) 3. (−1, 1) 4. (0, 2)

1
19. กําหนดให้ f เป็นฟังก์ชันซึ่ง f′′(x) = 2x + 1 ถ้าค่าสูงสุดสัมพัทธ์ของ f เท่ากับ ที่ x = −1
2
แล้ว ค่าต่ําสุดสัมพัทธ์ของ f เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −1 2. − 1 3. 0 4. 1
3 3

20. ในการจัดไปทัศนศึกษาครั้งหนึ่ง ผู้จัดคิดค่าบริการเป็นเงื่อนไขดังนี้


ถ้ามีผู้ร่วมเดินทาง 50 คน ผู้จดั จะคิดค่าบริการอัตราหนึ่ง
ถ้ามีผู้ร่วมเดินทาง 51 คน ค่าบริการจะลดลงคนละ 2 บาท
ถ้ามีผู้ร่วมเดินทาง 52 คน ค่าบริการจะลดลงคนละ 4 บาท
ถ้ามีผู้ร่วมเดินทาง 53 คน ค่าบริการจะลดลงคนละ 6 บาท เป็นเช่นนี้เรื่อยไป
ปรากฏว่า ถ้ามีผู้ร่วมเดินทาง 90 คน แล้วจะเก็บค่าบริการได้มากที่สุด
ถ้ามีผู้ร่วมเดินทาง 100 คน จะเก็บค่าบริการได้ทั้งหมดเป็นเงินเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 16,000 บาท 2. 16,200 บาท 3. 16,400 บาท 4. 16,600 บาท

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 496 ขอสอบเขาฯ มี.ค.46
2
21. ถ้าความชันของเส้นโค้ง y = f (x) ที่จุด (x, y) ใดๆ เท่ากับ x2 − 3x + 2 และ 0
∫ f (x) dx = 4
แล้ว จุด (x, y) ในข้อใดต่อไปนี้อยู่บนเส้นโค้ง y = f (x)
1. (0, 4) 2. (0, − 4) 3. (1, 13) 4. (1, −
13
)
3 3 4 4

22. กําหนดให้ A เป็นบริเวณในระนาบ xy ซึ่งปิดล้อมด้วยพาราโบลา y = x2 − 7 และแกน x


จาก x = 0 ถึง x = a เมื่อ a เป็นค่าคงตัว ถ้าพื้นที่ของบริเวณ A ส่วนที่อยู่เหนือแกน x
มากกว่าพื้นที่ของบริเวณ A ส่วนที่อยู่ใต้แกน x เท่ากับ 2a ตารางหน่วย แล้ว a คือจํานวนในข้อ
ใดต่อไปนี้
1. 2 3 2. 3 3 3. 5 4. 7

23. มีคนงานหญิง 6 คน และคนงานชาย 8 คน ซึ่งมีนายดํารวมอยู่ด้วย ถ้าจะเลือกคนงาน 4 คน


ไปทํางานที่ต่างกัน 4 ประเภท โดยให้เป็นหญิง 2 คน เป็นชาย 2 คน และให้มีนายดําอยู่ใน 4 คนนี้
ด้วย จํานวนวิธีการเลือกคนงานดังกล่าวเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 1920 วิธี 2. 2400 วิธี 3. 2520 วิธี 4. 2880 วิธี

24. นายกวีและนายขจรได้รับเชิญไปงานเลี้ยง ซึ่งมีผู้ได้รับเชิญทั้งหมด 20 คน เจ้าภาพจัด (โดยสุ่ม)


ให้ผู้ร่วมงานนั่งโต๊ะกลม 2 โต๊ะ ๆ ละ 10 ที่นั่ง ความน่าจะเป็นที่นายกวีและนายขจรจะได้นั่งติดกัน
ในโต๊ะตัวเดียวกันเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 1 2. 2 3. 2 4. 4
19 19 9 9

25. จากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างยอดขาย ( y ) (หน่วยเป็นหมื่นบาท) ของพนักงานขาย


ประกันในบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่งกับประสบการณ์การขาย ( x ) (หน่วยเป็นปี) ของพนักงานขาย
โดยเก็บข้อมูลจากพนักงานขายประกัน 8 คน ได้ข้อมูลดังนี้
8 8 8 8
∑ xi = 48 , ∑ yi = 41 , ∑ xiyi = 286 , ∑ x2i = 348 พิจารณาข้อความต่อไปนี้
i=1 i=1 i=1 i=1

ก. ถ้าพนักงานขายประกันคนหนึ่งมีประสบการณ์การขาย 6 ปี ยอดขายโดยประมาณของ
พนักงานคนนี้เท่ากับ 51, 250 บาท
ข. ประสบการณ์การขายเพิ่มขึ้น 1 ปี ทําให้ยอดขายประกันเพิ่มขึ้น 11, 250 บาท
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

26. ในการสอบครั้งหนึ่ง มีผู้เข้าสอบจํานวนหนึ่งซึ่งมีนายคณิตและนายวิทยารวมอยู่ด้วย โดยที่


ค่าเฉลี่ยเลขคณิตของผลการสอบเท่ากับ 60 คะแนน และสัมประสิทธิ์ของการแปรผันเท่ากับ 0.25
นายคณิตสอบได้มากกว่านายวิทยา 9 คะแนน และผลบวกของค่ามาตรฐานของคะแนนของคนทั้ง
สองเท่ากับ 1.5
ถ้าให้ A = ค่ามาตรฐานของคะแนนของนายคณิต และ B = คะแนนของนายวิทยา
แล้ว A และ B เป็นจริงตามข้อใดต่อไปนี้
1. A = 0.45 , B = 65.75 คะแนน 2. A = 0.45 , B = 66 คะแนน
3. A = 1.05 , B = 66.75 คะแนน 4. A = 1.05 , B = 68 คะแนน

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 497 ขอสอบเขาฯ มี.ค.46

27. การแจกแจงความสูงของนักเรียนกลุ่มหนึ่งเป็นการแจกแจงปกติ ถ้านักเรียนที่มีความสูงมากกว่า


149.4 เซนติเมตร มีอยู่ 3% และนักเรียนที่มีความสูงน้อยกว่าฐานนิยมแต่มากกว่า 136.5
เซนติเมตร มีอยู่ 25.8% แล้ว ข้อใดต่อไปนี้คือฐานนิยม และความแปรปรวนของความสูงของ
นักเรียนกลุ่มนี้ตามลําดับ (หน่วยเป็นเซนติเมตร)
กําหนดตารางแสดงพื้นที่ใต้เส้นโค้งปกติมาตรฐานที่อยู่ระหว่าง 0 ถึง z
z 0.3 0.7 1.49 1.88
พื้นที่ 0.1179 0.2580 0.4139 0.4700
1. 144.4 , 5 2. 144.4 , 25 3. 140 , 5 4. 140 , 25

28. ร้านสุขสวัสดิ์จําหน่ายเสื้อนักเรียนยี่ห้อหนึ่ง โดยที่ราคาของเสื้อนักเรียนในปี 2544 และ 2545


เป็นดังนี้
ราคา (บาท)
ขนาดเสื้อนักเรียน
2544 2545
เล็ก 100 105
กลาง 115 125
ใหญ่ 125 130
ถ้าดัชนีราคาอย่างง่ายแบบใช้ราคารวมของ พ.ศ. 2544 เทียบกับ พ.ศ. 2543 เท่ากับ 1.19 แล้ว
ดัชนีราคาอย่างง่ายแบบใช้ราคารวมของ พ.ศ. 2545 เทียบกับ พ.ศ. 2543 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 1.06 2. 1.12 3. 1.16 4. 1.26

เฉลยคําตอบ
ตอนที่ 1 (1) 5.5 (2) 2.25 (3) 243 (4) 8 (5) 18 (6) 7 (7) 0.48 (8)
24.5
ตอนที่ 2 (1) 2 (2) 4 (3) 3 (4) 3 (5) 3 (6) 2 (7) 1 (8) 4 (9) 1
(10) 4 (11) 1 (12) 1 (13) 4 (14) 3 (15) 1 (16) 2 (17) 3 (18) 2 (19)
4 (20) 1 (21) 1 (22) 2 (23) 3 (24) 2 (25) 2 (26) 3 (27) 4 (28) 4

เฉลยวิธีคิด
ตอนที่ 1 = 2 sin B(1 − sin2 B) + (1 − 2 sin2 B)(sin B)
(1) A; เนือ่ งจากเป็นบวกแน่นอนทั้งสองข้าง จึงยก = 3 sin B − 4 sin3 B ดังนัน
้ ในข้อนีถ้ าม 4 sin 3B
กําลังสองได้ เป็น x2 > (x − 1)2 แล้วย้ายมาลบกัน ⎡ 3 3 3⎤
= 4 ⎢3 ( ) − 4 ( ) ⎥ =
9
= 2.25 ตอบ
x2 − (x − 1)2 > 0 → (x − x + 1)(x + x − 1) > 0 ⎣ 4 4 ⎦ 4
1 (3) อนุกรมเลขคณิต;
→ 2x − 1 > 0 ∴ A = ( , ∞)
2 log9(3x − 2) − log9 3 = log9(3x + 16) − log9(3x − 2)
B; เขียนเส้นจํานวนได้คําตอบเป็น (−3, −1) ∪ [5, ∞) 3x − 2 3x + 16
→ = x → ให้ 3x = A
ดังนัน้ A − B = ( 1 , 5) → 1 + 5 = 5.5 ตอบ 3 3 −2
2 2 จะได้ (A − 2)2 = 3(A + 16) → A2 − 7A − 44 = 0
sin B sin 30° 3
(2) กฎของ sine; = → sin B = → (A − 11)(A + 4) = 0 → 3x = 11 เท่านัน้
3 2 4
พิสูจน์ sin 3B = sin(2B + B) ดังนัน้ อนุกรมนีค้ ือ log9 3 + log9 9 + log9 27
= sin 2B cos B + cos 2B sin B = 0.5 + 1 + 1.5 + … → ผลบวก 4 พจน์แรก
= (2 sin B cos B)(cos B) + (1 − 2 sin2 B)(sin B) S = 0.5 + 1 + 1.5 + 2 = 5 → ตอบ 35 = 243
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 498 ขอสอบเขาฯ มี.ค.46

(4) นําสองสมการมาลบกัน จะได้ (2) ก. (p ∧ ~ r) ∧ q เป็นจริง,


3 3 1 1
3B = ⎢⎡9 21⎥⎤ → B = ⎢⎡3 7 ⎥⎤ → B = 7−3 = 4 (p ∧ q) เป็นจริง ดังนั้น p จริง, r เท็จ, q จริง
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
2 1
จะได้ (p ∨ q) → r ≡ T → F ≡ เท็จ ∴ ก. ผิด
จากA − B = ⎡⎢ −1 −5⎤⎥
⎣ ⎦ ข. q ∨ ~ r เท็จ แสดงว่า q เท็จ, r จริง
2 1 1 1 32 จะได้ […] → T ≡ T เสมอ ข. ผิด ตอบ ข้อ 4.
→ A = ⎡⎢ −1 −5⎤⎥ + ⎡⎢3 7 ⎤⎥ = ⎡⎢2 2⎤⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦
(3) เหตุ (2) จัดรูปใหม่ได้เป็น ~(r ∧ s)
→ A = 6−4 = 2
−1 1
และเหตุ (1) จัดรูปได้เป็น ~(r ∧ s) → (~ p ∧ ~ q)
ตอบ 22 ⋅ A ⋅ B = 4⋅ ⋅4 = 8
2 ดังนัน้ เมื่อนําเหตุมารวมกัน จะได้ผลเป็น ~ p ∧ ~ q
(5) ตอบ ข้อ 3.
(0, 6) → P = 12 7 (4) 16 = 8 + 14 − ◊ ∴ ◊ = 6
(4, 2) → P = 16
6 (4,3) ดังนัน้ ได้ n(A ∩ B ∩ C ') = 4 ดังรูป
(0, 7) → P = 14
(4,2) A B
(4, 3) → P = 18 4
2
∴ Pmax = 18 ตอบ O 4
0 2
(6) u = 4i + 3j → u = 42 + 32 = 5 3
∴ v = 5 C
ดังนัน้ u + v = 52 + 52 + 2u ⋅ v = 8 ต้องการ n(A ∩ B) × n(C − A) มากทีส่ ุด
จะได้ u ⋅ v = 7 ตอบ แต่ n(A ∩ B) = 6 เท่านัน้ (เปลี่ยนไม่ได้)
(7) การที่ผลคูณเป็นจํานวนคู่ แสดงว่า ต้องมีเลขคู่ แสดงว่าต้องพยายามจัดให้ n(C − A) มากที่สดุ
อย่างน้อย 1 ใบ ... การที่ผลบวกเป็นจํานวนคี่ แสดง ดังนัน้ ถ้า n(C) = 5 ก็เอา 3 ไว้ในส่วนที่แรเงา
ว่า ต้องมีเลขคี่ 1 หรือ 3 ใบ n(A) = 8 ก็เอา 2 ไว้นอกสุด ดังรูป
เพราะฉะนั้นมี 2 กรณีคอื คู่ 3 คี่ 1 และ คู่ 1 คี่ 3 จะได้ n(C − A) = 3 และ ตอบ 18
จะได้ความน่าจะเป็น ⎡⎢⎛⎜ 53 ⎞⎟ ⎛⎜ 61 ⎞⎟ + ⎛⎜ 51 ⎞⎟ ⎛⎜ 63 ⎞⎟⎤⎥ ÷ ⎛⎜ 11
4⎟

(5) x − 1 2 − 1 < 50 → −50 < x − 1 2 − 1 < 50
⎣⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎦ ⎝ ⎠
60 + 100 2
→ −49 < x − 1 < 51 → − 51 < x − 1 < 51
= ≈ 0.48 ตอบ
330
→ 1 − 51 < x < 1 + 51
(8) Q1 = 18.5 = ขอบของชัน้
→ −6 กว่า < x < 8 กว่า
แสดงว่า a : (2 + 3 + 6 + 4) = 1 : 3
∴ S มีจํานวนเต็มคือ -6, -5, -4,…, 6, 7, 8
→ 3a = 2 + 3 + 6 + 4 → a = 5
รวม 15 จํานวน ตอบ
20
มัธยฐานอยู่ตาํ แหน่งที่
2
= 10 เป็นขอบพอดี (6) จาก g−1(x) = x + 1 → g(x) = 3x − 1
3
เช่นกัน ∴ Med = 24.5 คะแนน ตอบ → (gof)(x) = 3f(x) − 1 แต่โจทย์บอกว่า
ตอนที่ 2 2
(gof)(x) = 2[(f(x)] + 2f(x) − 4
(1) คําว่า “มี” x ซึ่ง f(x) = x ดังนัน้2[(f(x)]2 + 2f(x) − 4 = 3f(x) − 1
แสดงว่ามี f(1) = 1 หรือ f(2) = 2 ก็ได้ 3
→ (2f(x) − 3)(f(x) + 1) = 0 → f(x) = , −1
นําจํานวนแบบมาบวกกันเลยทันทีไม่ได้ เพราะจะมี 2
บางแบบที่นับซ้าํ เราต้องใช้วิธเี หมือนเรือ่ งเซต แต่ให้ f(x) < 0 ดังนัน้ f(x) = −1 เท่านั้น
คิด f(1) = 1 ; มีอยู่ 1 × 9 = 9 แบบ ก. (gof)(x) = g(−1) = −4 เป็นฟังก์ชนั คงตัว ถูก
คิด f(2) = 2 ; มีอยู่ 1 × 9 = 9 แบบ ข. f(100) + g(100) = (−1) + (300 − 1) = 298 ผิด
คิด f(1) = 1 และ f(2) = 2 ; ตอบ ข้อ 2.
มีอยู่ 1 × 1 = 1 แบบ 8 1 8
f(1)=1 f(2)=2
∴ ตอบ 9 + 9 − 1 = 17 แบบ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 499 ขอสอบเขาฯ มี.ค.46

(7) ก. จาก y = −(x − 1)2 เมื่อ x < 1→ y <0 (10) แสดงว่าจุดโฟกัสคือ (−3, 2) กับ (5, 2)
จะได้อนิ เวอร์สเป็น x = −(y − 1)2 → −x = (y − 1) 2
จุดศูนย์กลาง (h, k) = (1, 2) ระยะโฟกัส c = 4 ,
→ ± −x = y − 1 วงรีตามแกน x ...คําว่า 12 หน่วย แสดงว่า a = 6
แต่ y <1 ทําให้ได้ − −x เท่านั้น ∴ จุดยอด A(−5, 2) B(7, 2)
− −x = y − 1 → y = 1 − −x (x − 1)2 (y − 2)2
สมการวงรีคือ + 2 = 1
ซึ่ง x <0 เสมอ สามารถเขียน −x เป็น x ได้ 62 6 − 42
−1
หาจุดตัดแกน y; แทน x = 0
→ f (x) = 1 − x ถูก
1 (y − 2)2 175
= 1 → (y − 2)2 =
ข. หา f −1(− 1) → − 1 = −(x − 1)2
→ +
36 20 9
4 4
5 7 D
1 1 → y = 2±
→ x−1= ± → x = เท่านัน้ 3
2 2 A (0,2) B
1 1
∴ f −1(− ) =
4 2
C
ต่อมา หา g−1( 1) → 1 = 1 − x → x = 3 ถูก
2 2 4 ∴ พืน้ ที่ ABCD ซึ่งเป็น รูปว่าว
ตอบ ข้อ 1. 1
= × ผลคูณเส้นทแยงมุม
(8) x2 − y2 − 2x + 6y < 8 2
→ (x − 2x + 1) − (y2 − 6y + 9) < 8 + 1 − 9
2
1 10 7
= × 12 × = 20 7 ตร.หน่วย
→ (x − 1)2 − (y − 3)2 < 0 2 3

ด้านขวาเป็น 0 จึงไม่ใช่ไฮเพอร์โบลา แต่เป็นเพียง [หมายเหตุ ทีจ่ ริงต้องเรียกว่า ACBD ]


เส้นตรงสองเส้นตั้งฉากกัน (11) mAB = mCD → 1 − (−4) = −2 − 3
a − (−5) 1−2
คือ (x − 1 − y + 3)(x − 1 + y − 3) < 0
→ a = −4
→ (x − y + 2)(x + y − 4) < 0 1 − (−2) 3
mAC = = −
วาดกราฟแรเงาได้ดังภาพ x-y+2=0 −4 − 1 5
5
∴ Dr = [0, 4] ก. ผิด (3,5) จุดกึง่ กลาง AC คือ (−4 + 1 , 1 + (−2)) = (− 3 , − 1)
4 2 2 2 2
2 1 5⎛ 3⎞
และถ้า (3, c) ∈ r แล้ว ดังนัน้ สมการ L คือ y + = ⎜ x + ⎟
(4,0) 2 3⎝ 2⎠
c ไม่จําเป็นต้องเป็น 5 → 5x − 3y + 6 = 0 ตอบ
O 3
ดังนัน้ ข. ผิด ตอบ ข้อ 4. x+y-4=0 x
(12) กรณีแรก 4 − 2 > 0 และ log(1 − x2) > 0
(9) ให้ arccos x = A, arcsin x = B x
4 >2 1 − x2 > 1
จะได้ A − B = π → ใส่ sin สองข้าง; x >
1
x2 < 0
6
1 2
sin A cos B − cos A sin B = ซึ่ง x2 < 0 นั้นเป็นไปไม่ได้ กรณีนี้ไม่มคี ําตอบ
2
→ 1 − x2 ⋅ 1 − x2 − x ⋅ x =
1 กรณีที่สอง 4x − 2 < 0 และ log(1 − x2) < 0
2 4x < 2 1 − x2 < 1
1 1 1 1
→ 1 − 2x2 = → x2 = → x = ± x < x2 > 0
2 4 2 2
1 จะได้คาํ ตอบกรณีนี้เป็นช่วง (−∞, 1/2) − {0}
ตรวจคําตอบพบว่า x = เท่านั้น ถึงจะถูก
2
1 π−π= π แต่อย่าลืมเงื่อนไข ภายใน log ต้องมากกว่าศูนย์
∴ arccos − arctan 1 = ตอบ → 1 − x2 > 0 ∴ −1 < x < 1
2 3 4 12
1
ตอบ (−1, ) − {0} คือข้อ 1.
2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 500 ขอสอบเขาฯ มี.ค.46

(13) (18) f ตัดเส้นตรง y = x+1 ที่ x = 4


2 2 2
A = x (x +2)+ x(x + 1) − x(x + 1) +(x +2)(x + 1) = 0 แสดงว่า f(4) = 5
→ x2(x + 2) + (x + 2)(x + 1) = 0 → g ต่อเนือ่ งที่ x = 4 แสดงว่า
→ (x + 2)(x2 + x + 1) = 0 → x = −2 เท่านัน้ lim g(x) = g(4) → f(4) ⋅ ( 4 + 2) = 4 − k(4)2
x→4
−2 −1
∴ B = ⎡⎢ −4 3 ⎤⎥ → 5(4) = 4 − 16k → k = −1 ตอบ ข้อ 2.
⎣ ⎦
1
d −b 3 1 (19) ค่าสูงสุดคือ ที่ x = −1
และ → adj B = ⎡ −c a ⎤ = ⎡⎢4 −2⎤⎥ ตอบ 2
⎢⎣ ⎥⎦ ⎣ ⎦
1
(14) ข้อนี้วาดรูปแล้วคิดจากตรีโกณมิตจิ ะง่าย แสดงว่า f(−1) = และ f′(−1) = 0
2
เริ่มจากวาดเส้นตรง L; y = 2x → f′(x) = x2 + x + C1 แทนค่า -1
y=2x
พบว่า CO ตั้งฉากกับ L พอดี จะได้ 0 = 1 − 1 + C1 → C1 = 0
1 A
(mCO = − , mL = 2) C 3 2
2 x x
→ f(x) = + + C2 แทนค่า -1
˜
→ | CO |= 4 + 1 = 5 3 2
O
โจทย์บอกว่า ˜ CA ⋅ ˜
CB = 0 B จะได้ 1 = − 1 + 1 + C2 → C2 = 1
2 3 2 3
แสดงว่า CA ตั้งฉากกับ ˜
˜ CB หาค่าต่ําสุด; f′(x) = 0 → x (x + 1) = 0
และโจทย์บอกว่า |˜ CA | = |˜
CB | แสดงว่า OAC
→ x = 0, − 1 แต่ที่ -1 เป็นจุดสูงสุดไปแล้ว
กับ OBC เป็น Δ หน้าจั่ว มุม 45° , 45° , 90° ∴ จุดต่าํ สุดเกิดที่ x = 0 และค่าต่าํ สุดเท่ากับ
˜ | = |˜
ดังนัน้ |OA OB | = 5 1
f(0) = C2 = ตอบ
จะได้ พื้นที่ Δ ABC = 1 |˜ CO ||˜
AB | 3
2 (20) สมมติเมือ่ มี 50 คน คิดคนละ a บาท
1
= ( 5)(2 5) = 5 ตร.หน่วย ตอบ และให้ y = ค่าบริการที่ได้ เมื่อมีคน 50 + x คน
2
จะได้วา่ y = (50 + x)(a − 2x)
(15) z3 = 2 = 2∠0 = 1∠(−315°) ค่าสูงสุดของ y เกิดที่ 90 คน (x = 40)
1−i 2∠315°
ดังนัน้ z = 1∠(−105°) ← Q3 → y′ = (50 + x)(−2) + (a − 2x)(1) = 0
→ −100 − 4x + a = 0 → แทน x ด้วย 40 จะได้
1∠15° ← Q1 และ 1∠135° ← Q2
a = 260 บาท โจทย์ถามค่าบริการสําหรับ 100 คน
∴ z1z3 + z22 = 1∠(−90°) + 1∠270°
คือ y = 100 (260 − 2 (50)) = 16,000 บาท ตอบ
= − i − i = −2 i ตอบ
(21) f′(x) = x2 − 3x + 2
(16) แสดงว่า
f(x) = (x − 1 − i)(x − 1 + i)(x − 2 − i)(x − 2 + i) x3 3x2
→ f(x) = − + 2x + C
3 2
= (x2 − 2x + 2)(x2 − 4x + 5) 2
2
⎛ x4 x3 ⎞
4 3 2
= x − 6x + 15x − 18x + 10 → ∫ f(x) dx = ⎜ − + x2 + Cx ⎟
0 ⎝ 12 2 ⎠ 0
ตอบ −18 + 10 = −8 4 4
(17) มอง 1 + x = A, 1− x = B จะได้ = − 4 + 4 + 2C = 4 → C =
3 3
1 4
lim (A − B − AAB + BBA) ∴ f(0) = ตอบ ข้อ 1.
x → 0 x3 3
1
= lim 3 [A (1 − AB) − B (1 − AB)]
x →0 x

1
= lim 3 (A − B)(1 − AB)
x →0 x

1 ⎛ A2 − B2 ⎞ ⎛ 1 − A2B2 ⎞
= lim 3 ⎜ ⎟⎜ ⎟
x →0 x
⎝ A + B ⎠ ⎝ 1 + AB ⎠
1 ⎛ 2x ⎞ ⎛ x2 ⎞
= lim 3 ⎜ ⎟⎜ ⎟
x → 0 x ⎝ A + B ⎠ 1 + AB
⎝ ⎠
2 2 1
= lim = = ตอบ
x → 0 (A + B)(1 + AB) (2)(2) 2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 501 ขอสอบเขาฯ มี.ค.46

(22) s
(26) X = 60, = 0.25 → s = 15
X
xค − x ว = 9 .....(1)
a ⎛ 7 ⎞ 0 7 a xค − 60 x ว − 60
⎟⎟ = 2a zค + zว = + = 1.5
∫ − ⎜− ∫
⎜ 15 15
7 ⎝ 0 ⎠
a 7
→ xค + x ว = 142.5 .....(2)
⎛ x3 ⎞ ⎛ x3 ⎞ 142.5 − 9
→ ⎜ − 7x ⎟ +⎜ − 7x ⎟ = 2a แก้ระบบสมการได้ xว = = 66.75
⎝ 3 ⎠ 7 ⎝ 3 ⎠ 0 2
⎡ ⎛ a3 ⎞ ⎛7 7 ⎞ ⎤ ⎡⎛ 7 7 ⎞ ⎤ คะแนน จึงตอบ ข้อ 3.
⎢⎜ − 7a ⎟ − ⎜ − 7 7 ⎟ ⎥ + ⎢⎜ − 7 7 ⎟ − (0)⎥
(ถ้าอยากคิด zค จะได้
⎣⎝ 3 ⎠ ⎝ 3 ⎠ ⎦ ⎣⎝ 3 ⎠ ⎦
= 2a 75.75 − 60
xค = 75.75 → zค = = 1.05 )
15
a3
→ − 9a = 0 → a = 3 3 ตอบ (27)
3
(23) เลือก ⎛⎜ 62 ⎞⎟ ⎛⎜ 71 ⎞⎟ ⎛⎜ 11⎞⎟ และสลับได้ 4!

0.258
0.47
⎝ ⎠⎝ ⎠⎝ ⎠

0.03
∴ คูณกันได้ 2,520 วิธี ตอบ 136.5 Mo 149.4 x
(24) วิธที ั้งหมดเท่ากับ 20 !
(สาเหตุที่เป็น 20 ! เนื่องจากโต๊ะอยู่ใกล้กนั จึง ที่ 136.5 → A = 0.258 ทางซ้าย
เปรียบเหมือนมีตาํ แหน่งที่นั่งเกิดขึน้ แล้ว จะไม่ใช่ 136.5 − X
→ z = −0.7 = .....(1)
วงกลมอีกต่อไป) s
ที่ 149.4 → A = 0.47 ทางขวา
วิธีทตี่ อ้ งการ ⎛⎜ 20 ⎞
1 ⎟×2 × 18 !
⎝ ⎠ 149.4 − X
→ z = 1.88 = .....(2)
2 คนเลือกที่นั่ง 18 คนที่เหลือ s
2 แก้ระบบสมการได้ s = 5, X = 140 ซม.
นํามาหารกันได้คาํ ตอบเป็น ตอบ
19
∴ ตอบ ฐานนิยม (Mo) = X = 140 ซม.
(25) แก้ตามสูตร
Σy = mΣx + cN → 41 = 48m + 8c
และ s2 = 25 ซม.2
และ Σxy = mΣx2 + cΣx → 286 = 348m + 48c
(28) ปี 44 เทียบ 43;
100 + 115 + 125 2,000
1.19 = → ΣP43 = บาท
จะได้ m = 2 และ c = 9 ∴ Ŷ 2
= X+
9
ΣP43 7
3 8 3 8
105 + 125 + 130
ก. x = 6 → Yˆ = 2 (6) + 9 = 5.125 ปี 45 เทียบ 43;
(2,000/ 7)
= 1.26 ตอบ
3 8
→ 51,250 บาท

ข. Δx = 1 → ΔYˆ = 2 (1) = 0.6667


3
→ 6,667 บาท ตอบ ก. ถูก ข. ผิด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 502 ขอสอบเขาฯ ต.ค.46

¢ŒoÊoºe¢ŒÒÁËÒÇi·ÂÒÅa µ.¤.46 (n)


ตอนที่ 1 ข้อ 1 – 8 เป็นข้อสอบแบบอัตนัย ข้อละ 2 คะแนน
1. กําหนดให้ A, B เป็นเซต ซึ่ง n(A) = a, n(B) = b ถ้า n [(A −B) ∪ (B−A)] = 7 และ
n (A × B) = 40 แล้ว n({C | C ⊆ A ∪B และ n (C) < 2}) เท่ากับเท่าใด

2. กําหนดให้ a > 0 และ f (x) = ax2 , x > 0 และ g(x) = x3


f −1(64)
ถ้า (f −1 g)(4) = 2 แล้ว มีค่าเท่ากับเท่าใด
g−1(64)

3. กําหนดให้ f (x) = x3 + kx2 + mx + 4 เมื่อ k และ m เป็นค่าคงตัว


ถ้า x − 2 เป็นตัวประกอบหนึ่งของ f (x) และเมื่อนํา x + 1 ไปหาร f (x) ได้เศษเหลือ 3 แล้ว ค่า
สัมบูรณ์ของ k + m เท่ากับเท่าใด

4. 1 + cos (
π + (arccos 4 − arctan 4)) เท่ากับเท่าใด
2 5 3

5. กําหนดเวกเตอร์ a, b, c ดังนี้ a = 4 i − 2 j , a + b = 6 i + 4 j
และ c = c1 i + c2 j โดยที่ c1 > 0 , c2 > 0 และ c = 2 17
ถ้า c ตั้งฉากกับ (a − b) แล้ว c1 + c2 มีค่าเท่ากับเท่าใด

6. กําหนดให้เส้นตรง y = −6x − 5 สัมผัสเส้นโค้ง y = f (x) ที่จุด x = −1 ถ้า


3 2
f (x) = ax + bx − 3 เมื่อ a, b เป็นจํานวนจริงแล้ว ค่าสูงสุดสัมพัทธ์ของ f เท่ากับเท่าใด

7. ในการศึกษาความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันของปริมาณนมโดยเฉลี่ย (ลิตร) ที่เด็กแต่ละคนในตําบลหนึ่ง


บริโภคต่อปี ( y ) ระหว่างปี พ.ศ. 2538 – 2545 พบว่า เมื่อเปลี่ยนช่วงเวลาให้อยู่ในรูปของค่า x
ดังนี้
พ.ศ. 2538 2539 2540 2541 2542 2543 2544 2545
x -7 -5 -3 -1 1 3 5 7
จะได้สมการแสดงความสัมพันธ์ (ทศนิยม 2 ตําแหน่ง) เป็น y = 0.54 x + 38.85
ถ้าใช้ความสัมพันธ์นี้ทํานายปริมาณนมโดยเฉลี่ยที่เด็กแต่ละคนในตําบลนี้บริโภคใน พ.ศ. 2547 แล้ว
จะได้ว่าปริมาณนมโดยเฉลี่ยที่เด็กแต่ละคนบริโภคโดยประมาณ เท่ากับเท่าใด

8. ข้อสอบชุดหนึ่งมี 2 ตอน ตอนละ 4 ข้อ มีคําสั่งให้ผู้สอบทําข้อสอบตอนที่หนึ่งอย่างน้อย 1 ข้อ


และทําข้อสอบตอนที่สอง 2 ข้อ จํานวนวิธีที่ผู้สอบจะทําข้อสอบชุดนี้ เท่ากับเท่าใด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 503 ขอสอบเขาฯ ต.ค.46

ตอนที่ 2 ข้อ 1 – 28 เป็นข้อสอบแบบปรนัย ข้อละ 3 คะแนน


1. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ถ้า a, b และ c เป็นจํานวนเต็มซึ่ง a | (2b − c) และ a2 | (b + c) แล้ว a | 3c
2
x −2x +2
ข. ถ้า A ={x∈ R | < 1} และ B = { x ∈ R | x3−2x2 < 0 } แล้ว A =B
x −2
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

2. พิจารณาการอ้างเหตุผลต่อไปนี้
ก. เหตุ 1) p ∧ q ข. เหตุ 1) P (x) → ~ Q (x)
2) (q ∨ r) → (s ∧ p) 2) Q (x) ∨ R (x)
3) p → ~ r ผล P (x) → R (x)
ผล s ∧ ~r
ข้อความใดต่อไปนี้ถูก
1. ก และ ข สมเหตุสมผลทั้งคู่ 2. ก สมเหตุสมผล แต่ ข ไม่สมเหตุสมผล
3. ก ไม่สมเหตุสมผล แต่ ข สมเหตุสมผล 4. ก และ ข ไม่สมเหตุสมผลทั้งคู่

3. ให้เอกภพสัมพัทธ์คือเซตของจํานวนจริง
ถ้า P (x) แทนข้อความ x2 − 3x < 0 และ Q (x) แทนข้อความ −2 < log 1/ 3 x < −1 แล้ว
ประโยคในข้อใดต่อไปนี้มีค่าความจริงเป็นจริง
1. ∀x [P (x) → Q (x)] 2. ∀x [Q (x) → P (x)]
3. ∀x [~ P (x) → Q (x)] 4. ∀x [P (x) → ~ Q (x)]

4. กําหนดให้ f, g เป็นฟังก์ชันซึ่ง Df = [0, ∞)


โดยที่ f −1(x) = x2 , x > 0 และ g−1(x) = (f (x))2 + 1 , x > 0
ถ้า a > 0 และ f (a) + g(a) = 19 แล้ว f −1(a) + g−1(a) เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 273 2. 274
3. 513 4. 514

⎧⎪ −a (10 x) , x < 1
5. กําหนดให้ a > 0 และ g(x) = ⎨ 3
⎪⎩ x − 1 ,x > 1
ถ้า Rg = (−2.5, ∞) แล้ว พิจารณาข้อความต่อไปนี้
⎧⎪ log(4|x|) , x < 0
ก. g−1(a − 1) = log 2 ข. g−1(x) = ⎨
⎪⎩ 3 x + 1 ,x > 0
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 504 ขอสอบเขาฯ ต.ค.46

x2 − 4
6. ให้ r = {(x, y) | y = } พิจารณาข้อความต่อไปนี้
x −2
ก. 4 ∈ Rr ข. Rr −1 = [0, 4) ∪ (4, ∞)
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

7. ให้ H เป็นไฮเพอร์โบลา 12y2 − 4x2 + 72y + 16x + 44 = 0 ซึ่งมีจุดโฟกัสคือ F1 และ F2


ให้ E เป็นวงรีซึ่งมีจุดศูนย์กลางร่วมกับ H โดยมี F1 และ F2 เป็นจุดยอด และสัมผัสแกน y
ถ้า E ตัดแกน x ที่จุด A และ B แล้ว AB ยาวเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 8 หน่วย 2. 7 หน่วย 3. 6 หน่วย 4. 5 หน่วย

8. กําหนดให้วงกลม C มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่จุดโฟกัสของพาราโบลา y = 1 − 8(x − 2)2


ถ้าเส้นตรง 3x − 4y + 5 = 0 เป็นเส้นสัมผัสวงกลม C แล้ว จุดในข้อใดต่อไปนี้อยู่บนวงกลม C
1. (0, 1+ 5) 2. (1−2 2, 0)
3. (−1, − 1) 4. (2, − 2)

sin A 2 cos A 1
9. ถ้า = และ = แล้ว tan 2 B มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
sin B 3 cos B 2
1. 4 2. 32 3. 1 4. 23

10. ถ้า a, b เป็นคําตอบของสมการ 6 x − 3 x + 1 − 2 x + 2 + 12 = 0 แล้ว


คําตอบของสมการ (ab)2x + 1 = (ab+ 3)x เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
log 3 log 4
1. 2.
log 2 − log 3 log 7 − log 16
1 1
3. 4.
log 3 8 − 2 log 2 5 − 2

x + 3⎞
11. กําหนดให้ S เป็นเซตคําตอบของอสมการ log x ⎛⎜ ⎟ > 1 และ
⎝ x − 1⎠
T = { log 3 x | x ∈ S } แล้ว T เป็นสับเซตของช่วงใดต่อไปนี้
1. [0, 2] 2. [1, 3] 3. [1/2, 5/2] 4. [1/3, 7/3]

⎡ a 1 2a + 6 ⎤
12. กําหนดให้ a เป็นจํานวนจริง และ A = ⎢6 a 3 ⎥⎥

⎢⎣ a 2 a ⎥⎦
ถ้า M11(A) = 18 และ M22(A) = −12 แล้ว C31(A) เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −57 2. −33 3. −15 4. −3

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 505 ขอสอบเขาฯ ต.ค.46

⎡ 1 0 2⎤
13. กําหนดให้ a เป็นจํานวนจริง และ A = ⎢0 3 0⎥
⎢ ⎥
⎣4 0 a⎦
ถ้า a > 10 และ det (adj A) = 225 แล้ว a มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 11 2. 12 3. 13 4. 14

14. กําหนดสมการจุดประสงค์คือ P (x, y) = (a2− 1) x + a y โดยที่ a เป็นจํานวนจริงบวก ซึ่ง


a2− a − 2 > 0 และมีอสมการข้อจํากัดคือ 2 < x < 4 , y > 1 และ x + y < 7 ถ้าค่าสูงสุดของ
P (x, y) เท่ากับ 41 แล้ว a มีค่าอยู่ในช่วงใดต่อไปนี้
1. [2, 2.5) 2. [2.5, 3) 3. [3, 3.5) 4. [3.5, 4)

15. กําหนดให้ ABC เป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า


และ D เป็นจุดบนด้าน BC ซึ่งทําให้ |˜ ˜
BD|:|BC | = 1 : 3
พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. 3 ˜
AD = 2 ˜
˜
AB + BC ข. ˜AD ⋅ ˜
BC = −
1 ˜2
|BC |
6
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

16. กําหนดจํานวนเชิงซ้อน z1 = a , z2 = b (cos θ + i sin θ) โดยที่ a > 0 , b > 0 และ


0 < θ < π 2 ถ้า 2 i|z1z2|sin θ = c z1z2 + d z1z2 โดยที่ c, d เป็นจํานวนจริง
แล้ว 5c + 2d มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 4 2. 3 3. 2 4. 1

z2 + 4z − 32
17. ให้ z = a + bi ซึ่ง b > 0 ถ้า z สอดคล้องกับ = 1 และ z z = 61
z2 − 64
แล้ว a + b มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 9 2. 10 3. 11 4. 12

18. กําหนดให้ f (x) = | x2 + 4x | และ g(x) = | x2 − 16 |


ถ้า a, b เป็นคําตอบทั้งสองของสมการ f (x) = g (x)
f (x) f (x)
แล้ว xlim + lim เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
→a g (x)
x →b g (x)
3 5 1 1
1. 2. 3. 4.
2 6 2 3

19. ให้ x เป็นจํานวนจริง ซึ่ง |x| < 1 ถ้าอนุกรม


1 1 1 16
1 + (1+ x)( ) + (1+ x + x2)( )2 + (1+ x + x2+ x3)( )3 + ... มีผลบวกเท่ากับ
2 2 2 7
แล้ว x มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. − 1 2. −
1
3. 1
4. 1
3 4 3 4

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 506 ขอสอบเขาฯ ต.ค.46

20. กําหนดให้ g เป็นฟังก์ชันพหุนาม และ f (x) = x g (x) ถ้า f′ (x) = 4x3 + 9x2 และ f (0) = 0
d ⎡ f (x) ⎤
แล้ว ⎢ ⎥ ที่จุด x = −2 มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
dx ⎣ g(x + 1)⎦
1. −4 2. −2 3. 2 4. 4

21. กําหนดให้ f (x) = x2 − 1 พิจารณาข้อความต่อไปนี้


1
4
ก. −1
∫ f (x) dx = 3
4
ข. พื้นที่ทปี่ ิดล้อมด้วยโค้ง y = f (x) จาก x = −1 ถึง x = 1 เท่ากับ ตารางหน่วย
3
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

22. กําหนดให้ a, b เป็นจํานวนจริง และ f (x) = x3 + ax2 + bx + 1 ถ้า f′ (1) = 15 และ


1

0
∫ f (x) dx = 55
12
แล้ว f (1) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 9 2. 10 3. 11 4. 12

23. กล่องใบหนึ่งมีลูกแก้วขนาดเดียวกัน 3 สี เป็นสีขาว 4 ลูก สีแดงและสีเขียวมีจํานวนเท่ากัน เมื่อ


สุ่มหยิบลูกแก้วมา 2 ลูก ความน่าจะเป็นที่จะได้ลูกแก้วสีขาวทั้ง 2 ลูกเท่ากับ 2/15 ถ้าสุ่มหยิบ
ลูกแก้วมา 4 ลูก ความน่าจะเป็นที่จะได้ลูกแก้วเป็นสีเขียว 1 ลูก และสีแดงอย่างน้อย 1 ลูก เท่ากับ
ข้อใดต่อไปนี้
1. 30 2. 31 3. 29 4. 33
70 70 35 35

24. ในการยืนเรียงเป็นแถวตรงของนักเรียนชาย 6 คน และนักเรียนหญิง 4 คน ถ้าความน่าจะเป็นที่


ไม่มีนักเรียนหญิงสองคนใดยืนติดกันเลย เท่ากับ a และความน่าจะเป็นที่นักเรียนหญิงทั้งหมดต้อง
ยืนติดกันเท่ากับ b แล้ว a + b เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 0.20 2. 0.25 3. 0.30 4. 0.35

25. ในการสํารวจน้ําหนักตัวของนักเรียน 200 คน มีการแจกแจงความถี่ดังนี้


น้ําหนักตัว (ก.ก.) ความถี่
19 – 22 20
23 – 26 60
27 – 30 30
31 – 34 40
35 – 38 50
จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. น้าํ หนักตัวของนักเรียน 200 คนนี้ มีฐานนิยมมากกว่ามัธยฐาน
ข. สัมประสิทธิ์ของส่วนเบี่ยงเบนควอร์ไทล์ของน้ําหนักตัวนักเรียน 200 คนนี้เท่ากับ 0.15
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 507 ขอสอบเขาฯ ต.ค.46

26. โรงงานแห่งหนึ่งคัดเลือกคนงานจากผู้สมัครเข้าทํางานทั้งหมด โดยมีเงื่อนไขว่าผู้ที่จะได้รับการ


พิจารณาคัดเลือกเข้าทํางานต้องมีค่ามาตรฐานของอายุไม่น้อยกว่า 1.5 และไม่เกิน 3.5
ถ้าค่าเฉลี่ยเลขคณิตและความแปรปรวนของอายุของผู้สมัครทั้งหมดเป็น 23 ปี และ a ปี2
ตามลําดับ และถ้านําค่ามาตรฐานของอายุของผู้สมัครทั้งหมดมาหาความแปรปรวนได้ความแปรปรวน
เท่ากับ a/4 แล้ว ผู้สมัครที่อยู่ในข่ายที่จะได้รับการคัดเลือกเข้าทํางานจะต้องมีอายุตามข้อใดต่อไปนี้
1. ไม่น้อยกว่า 26 ปี และไม่เกิน 37 ปี 2. ไม่น้อยกว่า 29 ปี และไม่เกิน 37 ปี
3. ไม่น้อยกว่า 26 ปี และไม่เกิน 30 ปี 4. ไม่น้อยกว่า 29 ปี และไม่เกิน 30 ปี

27. ในการสอบวิชาหนึ่งมีนักเรียนสอบสองห้อง เป็นห้อง ก และห้อง ข พบว่าคะแนนสอบของทั้งสอง


ห้องมีการแจกแจงปกติ โดยมีมัธยฐานเท่ากันและเท่ากับ a สัมประสิทธิ์ของการแปรผันของคะแนน
ของนักเรียนห้อง ก และห้อง ข เท่ากับ c และ c + 5 a ตามลําดับ ถ้าในการสอบครั้งนี้เด็กหญิง
สดซึ่งอยู่ห้อง ก และเด็กหญิงใสซึ่งอยู่ห้อง ข ทําคะแนนได้ในตําแหน่งเปอร์เซ็นไทล์ที่ 78.81 ทั้งคู่
แล้วเด็กหญิงใสได้คะแนนมากกว่าเด็กหญิงสดเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
กําหนดตารางแสดงพื้นที่ใต้เส้นโค้งปกติดังนี้
z 0.70 0.80 0.90
A 0.2580 0.2881 0.3159
1. 5 2. 4 3. 3.5 4. 2

28. ให้ปี พ.ศ. 2539 เป็นปีฐานในการหาดัชนีราคาผู้บริโภคตัง้ แต่ พ.ศ. 2540 เป็นต้นไป สมมติว่า
ดัชนีราคาผู้บริโภคใน พ.ศ. 2540 เท่ากับ 104 และค่าครองชีพใน พ.ศ. 2543 สูงกว่าค่าครองชีพใน
พ.ศ. 2540 เท่ากับ 25 เปอร์เซ็นต์ ถ้านายสุจริตมีรายได้ต่อเดือนที่แท้จริงใน พ.ศ. 2543 เท่ากับ
20,000 บาท แล้ว เขามีรายได้ต่อเดือนเป็นตัวเงินเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 23,000 บาท 2. 24,000 บาท 3. 25,000 บาท 4. 26,000 บาท

เฉลยคําตอบ
ตอนที่ 1 (1) 56 (2) 0.5 (3) 4 (4) 1.28 (5) 10 (6) 5 (7) 44.79 (8) 90
ตอนที่ 2 (1) 2 (2) 1 (3) 4 (4) 1 (5) 4 (6) 3 (7) 2 (8) ไม่มีข้อถูก (9)
2 (10) 4 (11) 1 (12) 2 (13) 3 (14) 3 (15) 3 (16) 2 (17) 3 (18) 1
(19) 4 (20) 1 (21) 3 (22) 2 (23) 2 (24) 1 (25) 4 (26) 3 (27) 2
(28) 4

เฉลยวิธีคิด
ตอนที่ 1 a+b ต้องเป็นจํานวนคี่เท่านัน้
(1) n(A × B) = 40 m ∴ a, b = 5 กับ 8 ... จะได้ m = (13 − 7) / 2 = 3
แสดงว่า ab = 40 .....(1) n(A ∪ B) = 5 + 8 − 3 = 10
n [(A − B) ∪ (B − A)] = 7 แสดงว่า ดังนัน้ จํานวนสับเซตของ A ∪ B ซึ่งหยิบสมาชิกมา
(a − m) + (b − m) = 7 → a + b = 2 m + 7 .....(2) < 2 ตัว คือ = ⎛⎜ 10 ⎞ ⎛ 10 ⎞ ⎛ 10 ⎞
0 ⎟ + ⎜ 1 ⎟ + ⎜ 2 ⎟ = 56 ตอบ
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
โดยที่ a, b, m เป็นจํานวนนับ และ m < a, b
[หมายเหตุ a, b เป็น 1, 40 ไม่ได้
จากสมการแรกพบว่ามี a, b หลายคู่ คือ 1, 40
เพราะจะทําให้ m = (41 − 7) / 2 = 17 มากกว่า a ]
2, 20 4, 10 5, 8 แต่จากสมการที่สองจะทราบว่า

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 508 ขอสอบเขาฯ ต.ค.46

(2) g(4) = 43 = 64 แสดงว่า ตอนที่ 2


−1
f (64) = 2 → f(2) = 64 → a(2 ) = 64 2
(1) ก. สัญลักษณ์ a b แปลว่า a ไปหาร b ลงตัว
∴ a = 16 b
(หมายถึง = จํานวนเต็ม)
f −1(64) 2 a
โจทย์ถาม = = 0.5 ตอบ
g−1(64) 4 สิ่งทีค่ วรทราบคือ (เมื่อ a, b, c, n เป็นจํานวนนับ)
(3) f(2) = 0 → 8 + 4k + 2m + 4 = 0 .....(1) (i) ถ้า a b และ a c แล้ว a (b ± c)
f(−1) = 3 → −1 + k − m + 4 = 3 .....(2) (ii) ถ้า a b แล้ว a bc
ได้ k = −2, m = −2 ตอบ 4 (iii) ถ้า an b แล้ว a b
(4) cos ⎛⎜ π + θ ⎞⎟ = − sin θ ดังนั้น จากโจทย์จะได้ จาก a (2b − c) .....(1) และ a (b + c) .....(2)
2

⎝2 ⎠
⎛ 4 4⎞
ประโยค (2) แสดงว่า a (b + c) ∴ a (2b + 2c)
1 − sin ⎜ arccos − arctan ⎟
⎝ 5 3⎠ นําไปลบกับ (1) เพื่อกําจัด b ทิ้งไป จะได้ว่า
ใช้สูตร sin(A − B) = sin A cos B − cos A sin B a [(2b + 2c) − (2b − c)] → a 3c ก. ถูก
⎛3 3 4 4⎞ x2 − 2x + 2 − x + 2
ได้เป็น 1 − ⎜ ⋅ − ⋅ ⎟ = 1.28 ตอบ ข. A; < 0
⎝5 5 5 5⎠ x −2
(5) a = 4i − 2j.....(1) x2 − 3x + 4
→ < 0 → x −2 < 0
a + b = 6 i + 4 j .....(2) x−2
นําสมการ (2) ลบด้วยสมการ (1) (เพราะ x2 − 3x + 4 แยกไม่ได้) ∴ A = (−∞, 2)
ได้ b = 2 i + 6 j ∴ (a − b) = 2 i − 8 j B; x2(x − 2) < 0 → เขียนเส้นจํานวนโดยให้มีเลข
เวกเตอร์ c มีขนาด 2 17 → c21 + c22 = 2 17 0 สองครั้งด้วย จะได้ B = (−∞, 2) − {0} ข. ผิด
และตั้งฉากกับ 2 i − 8 j (ดอทกันได้ 0) ตอบ ข้อ 2.
(2) ก. ให้เหตุเป็นจริงทุกข้อ
→ 2c1 − 8c2 = 0 แก้ระบบสมการ จะได้วา่ p จริง, q จริง, r เท็จ, s จริง
จะได้ c1 = 8, c2 = 2 ตอบ 10 พบว่าผลจะเป็นจริงเสมอ ดังนัน้ ก. สมเหตุสมผล
(6) y สัมผัสกับ L; y = −6x − 5 ที่จดุ x = −1 ข. เหตุ 2 คือ Q(x) ∨ R(x) เปลี่ยนรูปเป็น
แสดงว่า f(−1) = −6(−1) − 5 = 1 → −a + b − 3 = 1 ~ Q(x) → R(x) แล้วนําไปรวมกับเหตุ 1 คือ
และความชัน f′(−1) = −6 → 3a − 2b = −6 P(x) → ~ Q(x) ได้ผลเป็น P(x) → R(x)
แก้ระบบสมการได้ a = 2 และ b = 6 ดังนัน้ ข. สมเหตุสมผล ตอบ ข้อ 1.
∴ f(x) = 2x3 + 6x2 − 3 → f′(x) = 6x2 + 12x = 0 (3) P(x); x (x − 3) < 0 → 0 < x < 3
→ x = 0, −2 แสดงว่า P(x) แทนข้อความ “ x ∈ (0, 3) ”
f(0) = −3 , f(−2) = 5
ซึ่ง −1 −2
⎛ 1⎞ ⎛ 1⎞
∴ ค่าสูงสุดสัมพัทธ์ = 5 ตอบ Q(x); ⎜ ⎟ < x < ⎜ ⎟ → 3 < x < 9
⎝3⎠ ⎝3⎠
(7) ปี 2547; เทียบเป็นค่า x = 11 แสดงว่า Q(x) แทนข้อความ “ x ∈ (3, 9) ”
∴ Ŷ = 0.54(11) + 38.85 = 44.79 ลิตร ตอบ ∴ ข้อที่ถูกคือ ข้อ 4. ตอบ
(8) ตอนที่ 1 เลือกทํากีข่ ้อก็ได้ ยกเว้นไม่ทําเลย [สําหรับทุกๆ x, ถ้า x ∈ (0, 3) แล้ว x ∉ (3, 9) ]
4 4 4 4
→ ⎛⎜ 1 ⎞⎟ + ⎛⎜ 2 ⎞⎟ + ⎛⎜ 3 ⎞⎟ + ⎛⎜ 4 ⎞⎟ = 24 − 1 = 15 วิธี (4) f −1(x) = x2 → f(x) = x
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
4 g−1(x) = ( x)2 + 1 = x + 1 → g(x) = x − 1
ตอนที่ 2 เลือกสองข้อเท่านั้น → ⎛⎜ 2 ⎞⎟ = 6 วิธี
⎝ ⎠ ดังนัน้ f(a) + g(a) = a + a − 1 = 19
∴ ตอบ 15 × 6 = 90 วิธี → a+ a − 20 = 0 → ( a − 4)( a + 5) = 0
จะได้ a = 16 เท่านัน้
∴ f −1(16) + g−1(16) = 162 + 16 + 1 = 273 ตอบ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 509 ขอสอบเขาฯ ต.ค.46

(5) พิจารณา Rg ทีละช่วง 7


ดังนัน้ x = 2±
2
กรณีแรก ถ้า x < 1
→ 0 < 10x < 10 → −10a < −a(10x) < 0
และระยะ AB คือ 7 หน่วย ตอบ
ดังนัน้ Rg ช่วงแรกคือ (−10a, 0)
(8) จัดรูปพาราโบลา;
y = 1 − 8(x − 2)2 → y − 1 = −8(x − 2)2
กรณีที่สอง ถ้า x > 1 1
→ (x − 2)2 = 4 (− )(y − 1)
→ x3 > 1 → x3 − 1 > 0 32
ดังนัน้ Rg อีกช่วงคือ [0, ∞ ) 1
เป็นพาราโบลาคว่ํา จุดยอด (1, 2) และ c = −
32
1
∴ −10 a = −2.5 → a = 63
4 ดังนัน้ จุดโฟกัสคือ (1, ) หารัศมีวงกลมจากระยะ
32
ก. g−1(a − 1) = g−1(− 3) ..พบว่า − 3 ∈ (−2.5, 0) ระหว่างจุด 63
(1, ) ไปถึงเส้นตรง
4 4
32
1 x 3
จึงคิดจาก − (10 ) = − 3(1) − 4(63 / 32) + 5 1/ 8 1
4 4 r = = =
32 + 42 5 40
∴ 10x = 3 → x = log 3
ก. ผิด
−1
ข. g (x) ที่โจทย์ให้มานั้นผิดตรงเงือ่ นไข สมการวงกลม (x − 1)2 + (y − 63)2 = ( 1 )2
32 40
คือ เราพบว่า Rg = (−2.5, 0) ∪ [0, ∞ ) ในตัวเลือกที่ให้มา ไม่มีขอ้ ถูกเลย ตอบ
ดังนัน้ g−1(x) ต้องเป็น (9) sin A = 2 sin B .....(1)
⎧ log ( 4 x ) , − 2.5 < x < 0 3
g−1(x) = ⎨ 3 ข. ผิด 1
⎩ x+1 , x>0 cos A = cos B .....(2)
2
ตอบ ข้อ 4.
แต่ sin2 A + cos2 A = 1 จะได้
(6) ก. พิจารณาว่า 4 ∈ Rr หรือไม่ 2 1
ทําได้โดยให้ y = 4 ดูวา่ มีค่า x หรือไม่ ( sin B)2 + ( cos B)2 = 1
3 2
x2 − 4 4 1
→ 4 = → 4 x − 8 = x2 − 4 → sin2 B + cos2 B = 1
x −2 3 2
→ x2 − 4 x + 4 = 0 → มอง x = A จะได้ 4 1
→ sin2 B + (1 − sin2 B) = 1
4
3 2
A − 4A + 4 = 0 ซึ่งถ้าลองแยกตัวประกอบ 5 1 3
→ sin2 B = → sin2 B =
(จํานวนจริง) จะแยกไม่ได้ ∴ ก. ผิด 6 2 5
ข. Rr = Dr; x − 2 ≠ 0 และ x > 0 (ในรู้ท) 3 2 3
−1
∴ cos2 B = 1 − = → tan2 B = ตอบ
5 5 2
∴ x ≠ 2 → x ≠ 4 จะได้ [0, 4) ∪ (4, ∞) ข. ถูก
(10) ให้ 3x = A, 2x = B
ตอบ ข้อ 3. → AB − 3A − 4B + 12 = 0
(7) จัดรูป; → A (B − 3) − 4 (B − 3) = 0
12(y2 + 6y + 9) − 4(x2 − 4x + 4) = − 44 + 108 − 16
→ (A − 4)(B − 3) = 0 → 3x = 4 หรือ 2x = 3
(y + 3)2 (x − 2)2
→ − = 1 → x = log3 4 หรือ x = log2 3
4 12
เป็นไฮเพอร์โบลา เปิดบนล่าง, จุดศูนย์กลาง (2, −3) ดังนัน้ ab = log2 4 = 2
และระยะโฟกัส c = 4 + 12 = 4 โจทย์ถาม (ab)2x + 1 = (ab + 3)x → 22x + 1 = 5x
ดังนัน้ วงรีทตี่ ้องการ มีจุดศูนย์กลางที่ (2, −3) ใส่ log ฐานสอง ทั้งสองข้าง (2x + 1) = x log2 5
จุดยอด a = 4 −1 1
A B → x = = ตอบ
“สัมผัสแกน y” แปลว่า 2 − log2 5 log2 5 − 2
ค่า b = 2 ดังรูป 2 (2,-3) x+3
(11) จากเงือ่ นไขของ log จะได้ > 0 เสมอ
(y + 3)2 (x − 2)2 x−1
จะได้ + = 1 4
16 4 คือ (−∞, −3) ∪ (1, ∞) แต่ x ต้องเป็นฐานด้วย
หาจุดตัดแกน x โดยแทน y = 0 ∴x > 1 เท่านัน้ (แสดงว่าเป็นฟังก์ชันเพิ่ม)
9 (x − 2)2 7 x+3 x + 3 − x2 + x
→ + = 1 → (x − 2)2 = → > x1 → >0
16 4 4 x−1 x−1

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 510 ขอสอบเขาฯ ต.ค.46

x2 − 2x − 3 (x − 3)(x + 1) (15) ก. จากสูตรแบ่งเวกเตอร์


<0 <0
AB + 1 ˜

→ →
x−1 x−1 ˜
AD =
AC A B
ได้เป็น (−∞, −1] ∪ (1, 3] และมีเงือ่ นไข x > 1 3 1
จึงสรุปว่า S = (1, 3] ∴ 3˜ AB + 1 ˜
AD = 2 ˜ AC D
ดังนัน้ ก. ผิด 2
→ T = (log 3 1, log 3 3] = (0, 2] ตอบ ข้อ 1.
(เพราะในโจทย์เป็น ˜BC )
C
C31 = 1 2a + 6 = 3 − 2a2 − 6a
ข. ˜AD ⋅ ˜BC = [ ˜AB + ˜ AC] ⋅ ˜
(12) 2 1
a 3 BC
3 3
a 3
จาก M11 = 2 a = a2 − 6 = 18 → a2 = 24 =
2 ˜ ˜ 1 ˜ ˜
AB ⋅ BC + AC ⋅ BC (ทุกด้านยาว a หมด)
3 3
และ M22 = a 2a + 6 = a2 − 2a2 − 6a = −12 2 1 1
a a = (a)(a) cos 120° + (a)(a) cos 60° = − a2
3 3 6
แทนค่า a2 = 24 ลงไป จะได้ ดังนัน้ ข. ถูก ตอบ ข้อ 3.
2
→ 24 − 2a − 6a = −12 → − 2a − 6a = −36 2 (16) z1 = a, z2 = b,
∴ C31 = 3 − 36 = −33 ตอบ z1 = a, z2 = b (cos θ − i sin θ)

[หมายเหตุ จะแก้สมการให้ได้ a = −2 6 ก่อนก็ได้] จะได้สมการในโจทย์เป็น


2 i ab sin θ = cab (cos θ + i sin θ) + dab (cos θ − i sin θ)
(13) พิสูจน์
adjA = A ⋅ A −1 → adjA = A ⋅ A −1 = A
n n−1 จัดกลุ่มส่วนจริง กับส่วนจินตภาพ
(2ab sin θ) i = ⎡⎣(c + d)ab cos θ ⎤⎦ + ⎡⎣(c − d)ab sin θ ⎤⎦ i
โจทย์บอกว่า adjA = 225
แล้วเทียบสัมประสิทธิ์
→ (3a − 24)2 = 225 → 3a − 24 = ±15
เนื่องจาก a ≠ 0, b ≠ 0, cos θ และ sin θ ≠ 0
→ a = 13 เท่านัน้ ตอบ ดังนัน้ c + d = 0 และ c − d = 2
(14) จะได้ c = 1 และ d = −1 ตอบ 3
(2,5) (17) (z + 8)(z − 4) = 1 → z − 4 = z − 8
(4,3) (z + 8)(z − 8)
1 → (a − 4)2 + b2 = (a − 8)2 + b2
→ (a − 4)2 = (a − 8)2
O 2 4
→ a2 − 8a + 16 = a2 − 16a + 64 → a = 6
2
เนื่องจาก P = (a − 1) x + ay โดย a > 0 จาก zz = 61 → a2 + b2 = 61
ดังนัน้ P(2, 5) ย่อมมากกว่า P(2, 1) → b2 = 61 − 36 ∴ b = ±5
และ P(4, 3) ย่อมมากกว่า P(4, 1) แต่โจทย์ว่า b > 0 ดังนั้น b = 5
ตัด (2, 1) กับ (4, 1) ทิ้งไป ตอบ 6 + 5 = 11
ต่อมาพิจารณาว่าจุด (2, 5) หรือ (4, 3) ที่เกิด Pmax (18) จากสมการ x2 + 4x = x2 − 16
2
a −1
เนื่องจากความชันของ P คือ − กรณีแรก x2 + 4x = x2 − 16
a
→ 4x = −16 → x = −4
โจทย์บอกว่า a2 − a − 2 > 0 → a2 − 1 > a + 1
กรณีที่สอง x2 + 4x = −x2 + 16
แสดงว่า a2 − 1 > a แน่นอน ดังนัน้ ความชัน P จึง → x2 + 2x − 8 = 0 → x = 2, −4
ติดลบมากกว่า 1 ∴ แสดงว่าโจทย์ถาม lim + lim
x →2 x → −4
m<-1
f(x) 12
∴ จุด (4, 3) เกิด (4,3) ซึ่ง lim = = 1 และ
x →2 g(x) 12
Pmax ดังภาพ m=-1 f(x) (x)(x + 4) −4 1
lim = lim = =
x → −4 g(x) x → −4 (x − 4)(x + 4) −4 − 4 2
O 2 4
3
2
41 = (a − 1)(4) + a(3) → (4a + 15)(a − 3) = 0
ดังนัน้ ตอบ
2
→ a = 3 เท่านัน ้ ตอบ ข้อ 3.
[จะใช้วิธที ดลองหา a ก่อน แล้วค่อยตรวจสอบก็ได้]
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 511 ขอสอบเขาฯ ต.ค.46

1 1 (23) สมมติมลี กู แก้วรวม n ลูก


(19) ให้ S∞ = 1 + (1+ x)( ) + (1+ x + x2)( )2 + …
2 2 ⎛ 4⎞

()
1 2 ⎜2⎟ 6 × 15
n
นํา คูณทั้งสองข้าง จะได้ จะได้วา่ = ⎝ ⎠ → 2 = = 45
1
2
1 1 1
S∞ = 1( ) + (1+ x)( )2 + (1+ x + x2)( )3 + …
15 n
2 () 2

2 2 2 2 ∴ n = 10 แสดงว่า มีแดงกับเขียวอย่างละ 3 ลูก


1 x x2 1 สิ่งที่โจทย์ถาม คิดจาก
ลบกัน ได้ S∞ = 1 + + +… =
2 2 22 1 − (x / 2) วิธีที่ “เขียว 1 ลูก” ลบด้วย “เขียว 1 และขาว 3”
(ใช้สูตรอนุกรมเรขาคณิต) ⎛ 3⎞ ⎛ 7 ⎞ − ⎛ 3⎞ ⎛ 4⎞
2 4 ⎜ 1 ⎟ ⎜ 3⎟ ⎜ 1 ⎟ ⎜ 3⎟
∴ S∞ = = โจทย์ให้ S∞ =
16 ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ = 3(35) − 3(4) = 31 ตอบ
1 − (x / 2) 2 − x 7 ⎛ 10 ⎞ 210 70
⎜4⎟
4 16 1 ⎝ ⎠
ดังนัน้ = → x = ตอบ
2−x 7 4 (24) a = 6 ! × 7 × 6 × 5 × 4 = 1
(20) f′(x) = 4x3 + 9x2 → f(x) = x4 + 3x3 + C 10 ! 6
7!4! 1
แต่ f(0) = 0 ∴ C = 0 b = = ∴ a + b = 0.2 ตอบ
10 ! 30
และ g(x) = f(x) → g(x) = x3 + 3x2 (25) ก. โค้งเป็นแบบเบ้ขวา ∴ Mo < Med ก. ผิด
x (หรือคิดอีกแบบคือ.. Mo อยู่ชั้น 23 − 26
d ⎛ f(x) ⎞
โจทย์ถาม ⎜ ⎟ ที่ x = −2 แต่ Med อยู่ชั้น 27 − 30 ∴ Mo < Med แน่ๆ)
dx ⎝ g(x + 1) ⎠
ข. Q3 อยู่ตาํ แหน่ง 150 → ขอบพอดี
g(x + 1)f′(x) − f(x)g(x
′ + 1) ∴ Q3 = 34.5
จะได้ = 2
[g(x + 1)] x = −2 Q1 อยูต่ ําแหน่ง 50 → กึง่ กลางชั้นพอดี
g(−1)f′(−2) − f(−2)g(
′ −1)
∴ Q1 = 24.5
=
[g(−1)]2 34.5 − 24.5
(2)(4) − (−8)(−3) สัมประสิทธิ์ = = 0.17 ข. ผิด
= = −4 ตอบ 34.5 + 24.5
22 ตอบ ข้อ 4.
1
3
(21) ก. ∫ (x2 − 1) dx = ⎛⎜ x − x ⎞⎟
1
(26) จากสมบัตขิ องค่ามาตรฐานที่วา่ sz = 1 เสมอ
−1 ⎝ 3 ⎠ −1 a
∴ = 1 → a = 4
1 1 4 4
= ( − 1) − (− + 1) = − ก. ผิด
3 3 3 xmin − 23
zmin = 1.5 = → xmin = 26 ปี,
ข. จุดตัดแกน x คือ 2
x − 23
-1 กับ 1 ดังกราฟ zmax = 3.5 = max → xmax = 30 ปี
2
∴ พืน ้ ที่ = 4 ตร.หน่วย ตอบ ข้อ 3.
3 -1 1
ดังนัน้ ข. ถูก ตอบ ข้อ 3. (27) X = a , ห้อง ก s = ac
(22) f′(x) = 3x2 + 2ax + b ห้อง ข s = ac + 5
→ f′(1) = 15 แสดงว่า 3 + 2a + b = 15 .....(1) A=0.2881ขวา จะได้ z=0.8
1
⎛x ax 4
bx ⎞ 3 2
1 สด (ห้อง ก) 0.8 = xสด − a P78.81
ac
∫ f(x)dx = ⎜ 4 + 3 + 2 + x ⎟
0 ⎝ ⎠ 0 → 0.8ac = xสด − a .....(1)
1 a b 55 x ใส − a
= + + +1= .....(2) ใส (ห้อง ข) 0.8 =
4 3 2 12 ac + 5
แก้ระบบสมการ ได้ a = 4, b = 4 → 0.8ac + 4 = x ใส − a .....(2)
∴ f(1) = 1 + 4 + 4 + 1 = 10 ตอบ สมการลบกัน (2)-(1); x ใส − xสด = 4 ตอบ
125
(28) ดัชนี43 = × 104 = 130
100
ดังนัน้ รายได้ที่เป็นตัวเงิน = 130 × 20,000
100
= 26,000 บาท ตอบ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 512 ขอสอบเขาฯ มี.ค.47

¢ŒoÊoºe¢ŒÒÁËÒÇi·ÂÒÅa ÁÕ.¤.47 (o )
ตอนที่ 1 ข้อ 1 – 8 เป็นข้อสอบแบบอัตนัย ข้อละ 2 คะแนน
1. กําหนดให้ f (x) = 10 x และ g(x) = 100 − 3x2
จํานวนเต็มที่มีค่ามากที่สุดที่เป็นสมาชิกของ Rgof มีค่าเท่าใด

1 1
2. ค่า sin(2 arctan ) + cot 2(arcsin ) เท่ากับเท่าใด
2 3

3. กําหนดให้ P คือพาราโบลา x2 + 8y + 2x + a = 0 โดยที่ a < 0


และมีเส้นตรง y = 4 เป็นเส้นไดเรกตริกซ์ ถ้า P ตัดแกน x ทางลบที่จุด A แล้ว
เส้นตรงที่ผ่านจุด A และจุดยอดของ P มีความชันเท่ากับเท่าใด

4. ผลบวกของคําตอบของสมการ log2(4 x − 1 + 2 x − 1 + 6) = 2 + log2(2 x − 1 + 1) มีค่าเท่าใด

5. ให้ A, B เป็นเมตริกซ์มิติ 3 × 3
1
ถ้า A B = 3 I โดยที่ I เป็นเมตริกซ์เอกลักษณ์ และ adj B = A
3
แล้ว det (A) มีค่าเท่ากับเท่าใด

⎡ 1⎤ ⎡ −8⎤ ⎡5⎤ ⎡ 1⎤ ⎡ −8⎤


6. กําหนดให้เวกเตอร์ ⎢4 ⎥ ตั้งฉากกับเวกเตอร์ ⎢a⎥ และ ⎢ 3⎥ = b ⎢ 4 ⎥ + c ⎢ a ⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎡a⎤ ⎡b ⎤
ถ้า θ เป็นมุมระหว่างเวกเตอร์ ⎢0⎥ และ ⎢c ⎥ แล้ว cos 2 θ เท่ากับเท่าใด
⎣ ⎦ ⎣ ⎦

7. กําหนดให้ f (x) = 3x + 1 และ (f g)′ (x) = 3x2 + 1


1
ถ้า g(0) = 1 แล้ว 0
∫ g (x) dx มีค่าเท่ากับเท่าใด
8. ถ้านําปริมาณข้าวกล้องที่ร้านค้าแห่งหนึ่งขายได้รายปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 ถึงปี พ.ศ. 2546 ( y )
(หน่วยเป็นกิโลกรัม) มาสร้างความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันกับช่วงเวลา ( x ) โดยกําหนดให้ปี พ.ศ. 2541
และ 2542 มีค่า x = −1 และ 1 ตามลําดับ แล้วได้ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันของปริมาณข้าวกล้องที่
ร้านค้าแห่งนี้ขายได้โดยประมาณ คือ y = 192 + c x
ถ้าทํานายโดยใช้ความสัมพันธ์นี้ ปรากฏว่าปริมาณข้าวกล้องที่ร้านค้าแห่งนี้ขายได้ในปี พ.ศ.
2547 โดยประมาณเท่ากับ 316.3 กิโลกรัม แล้วในปี พ.ศ. 2548 จะทํานายว่าปริมาณข้าวกล้องที่
ร้านค้าแห่งนี้ขายได้โดยประมาณเท่ากับเท่าใด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 513 ขอสอบเขาฯ มี.ค.47

ตอนที่ 2 ข้อ 1 – 28 เป็นข้อสอบแบบปรนัย ข้อละ 3 คะแนน


1. สําหรับเซต X ใดๆ ให้ n(X) แทนจํานวนสมาชิกของเซต X
กําหนดให้ U เป็นเอกภพสัมพัทธ์ที่มีสมาชิก 240 ตัว และ A, B, C เป็นเซตที่มีสมบัติดังนี้
n(A) = 5x , n(B) = 5x , n(C) = 4x , n(A ∩ B) = n(B ∩ C) = n(A ∩ C) = y ,
n(A ∩ B ∩ C) = x , n [(A ∪ B ∪ C)'] = 60
ถ้า y − x = 20 แล้ว x เป็นจริงตามข้อใดต่อไปนี้
1. 18 < x < 21 2. 21 < x < 24
3. 24 < x < 27 4. 27 < x < 30
3x − 2
2. ให้ S เป็นเซตคําตอบของอสมการ > 0
x−1 −1
เซต {x | x >0 และ x∉S } เป็นสับเซตของช่วงใดต่อไปนี้
1. [0, 1] 2. [ 1 , 3] 3. [ 1 , 2] 4. 3
[ , 3]
4 2 2 4

3. ให้ a และ b เป็นจํานวนจริงที่ทําให้ x2 + ax + b หาร x3 − 3x2 + 5x + 7 มีเศษเหลือเท่ากับ


10 ค่า a + b เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 1 2. 2 3. 3 4. 4

4. กําหนดให้ ประพจน์ (~ p ↔ ~ r) ∨ (p ↔ q) มีค่าความจริงเป็นเท็จ


ประพจน์ใดต่อไปนี้มีค่าความจริงเป็นเท็จ
1. ~ p → (q ∨ r) 2. ~ p → (q ∧ r)
3. p ∨ q ∨ ~ r 4. p ∧ q ∧ ~ r

5. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ประพจน์ [p → (q → r)] ↔ [q → (p → r)] เป็นสัจนิรันดร์
ข. มีจํานวนจริง a อยู่ในช่วง (0, 1) ทําให้ประโยค ∃x [x2 + x + a = 0] มีค่าความจริงเป็นจริง
4
1
เมื่อเอกภพสัมพัทธ์คือ U = (− , 0)
2
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

6. กําหนดให้ r = {(x, y) | x > y และ y2 = x2 + 2x − 3 } พิจารณาข้อความต่อไปนี้


ก. Dr = [1, ∞) ข. Rr = (−∞, ∞)
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 514 ขอสอบเขาฯ มี.ค.47

7. กําหนดให้ f (x) = ax2 + b และ g(x − 1) = 6x + c เมื่อ a, b, c เป็นค่าคงตัว


ถ้า f (x) = g (x) เมื่อ x = 1, 2 และ (f + g)(1) = 8
แล้ว (f g−1)(16) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 31 2. 61 3. 10 4. 20
9 9

⎧⎪ 1 − x , x ∈ [0, 1]
8. กําหนดให้ f (x) = ⎨
⎪⎩1 + x − 1 , x ∈ (1, ∞)
พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. f −1(x) ≠ f (x) ทุก x ∈ (1, ∞)
ข. มีจํานวนจริง a > 0 เพียง 2 จํานวนเท่านั้น ซึ่ง f −1(a) = a
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

9. กําหนดให้ ABC เป็นรูปสามเหลี่ยม ซึ่งมี ACB = 60° ลากเส้นตรงจากจุด A ไปพบด้าน BC


ที่จุด D โดยทําให้ BAD = 30° ถ้าระยะ BD ยาว 3 หน่วย และระยะ AD ยาว 2 หน่วย แล้ว
ระยะ CD ยาวเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 4 3 2. 5 3 3. 7 6 4. 8 6
3 3 9 9

10. ให้ A เป็นจุดในควอดรันต์ที่หนึ่ง และเป็นจุดศูนย์กลางของวงกลม C ซึ่งมีรัศมี 3 หน่วย ถ้า


C ผ่านจุดโฟกัสทั้งสองของไฮเพอร์โบลา 2y2 − 12y − 3x2 + 6x + 9 = 0 แล้ว ระยะทางจากจุด
กําเนิดไปยังจุด A มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 15 2. 18 3. 20 4. 24
x
2 (log + 1)
11. กําหนดให้ S เป็นเซตคําตอบของอสมการ 4 ⋅ 2 log x − 9 ⋅ 2 10 + 2 < 0
ถ้า a และ b เป็นสมาชิกของ S ที่มีค่ามากสุดและค่าน้อยสุดตามลําดับ แล้ว a เท่ากับข้อใด
b
ต่อไปนี้
1. 20 2. 100 3. 200 4. 1000

⎡ a a −2 −1⎤
12. กําหนดให้ A = ⎢ −1 a 1⎥ เมื่อ a เป็นจํานวนจริง
⎢ ⎥
⎣ 1 − 1 a ⎦
ถ้า M11(A) = 5 และ M33(A) = 0 แล้ว พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. det (A) = 11 ข. C13(A) = −1
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 515 ขอสอบเขาฯ มี.ค.47

13. กําหนดให้ สมการจุดประสงค์คือ P = a2x + a y โดย a เป็นจํานวนจริงบวก


และอสมการข้อจํากัดคือ 2x + y < 8 , x + y > 6 , x > 0 , y > 0
ถ้าค่ามากที่สุดของ P เท่ากับ 70 แล้ว a เป็นจริงตามข้อใด
1. 1 < a < 4 2. 4 < a < 7 3. 7 < a < 10 4. a > 10

14. ให้ A, B, C
เป็นจุดสามจุดที่ไม่อยู่บนเส้นตรงเดียวกัน และ D เป็นจุดบนเส้นตรง BC ที่ทําให้
BD : DC = 2 : 1 ถ้า |˜AD|2 = a |˜
˜
AB|2 + b |AC|2 + c |˜
˜
AB ⋅ AC| โดยที่ a, b, c เป็น
˜ ˜
จํานวนจริง และ AB ⋅ AC ≠ 0 แล้ว a + b + c มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
2 2 2

1. 31 2. 32 3. 10 4. 11
81 81 27 27

15. ถ้า z1 และ z2 เป็นรากของสมการ (z − 2 3)3 = − 8 i ซึ่งมีขนาดเป็นจํานวนเต็ม


แล้ว z1 + z2 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. − 3 − i 2. 3 − i 3. 3 3 −i 4. 3 3 +i

16. กําหนดให้ z1, z2 , z3 เป็นจํานวนเชิงซ้อน


1 1 1
ซึ่งสอดคล้อง z1z2z3 = 1 และ z1 + z2 + z3 = + +
z1 z2 z3
พิจารณาข้อความต่อไปนี้
1 1
ก. (1 − z1)(1 − z2) = (1 − )(1 − )
z1 z2
ข. ถ้า z1 ≠ 1 และ z2 ≠ 1 แล้ว z3 + i z3 − i = 4
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

17. กําหนดพจน์ที่ n ของลําดับสองลําดับดังนี้


n(1 + 2 + 3 + ... + n) 3n + 2 − 3n + 1
an = และ bn =
3 (12 + 22 + 32 + ... + n2) n+2 − n+1
lim (an + bn) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
n→∞
1 1 1 1
1. 1+ 2. 1+ 3 3. + 4. + 3
3 2 3 2

⎧ 1
⎪ ,x≠0 1
18. กําหนดให้ f (x) = ⎨ x และ g(x) =
⎪⎩ 1 , x = 0 x−1

พิจารณาข้อความต่อไปนี้
1 1
ก. f g ต่อเนื่องที่ x=0 ข. f′ (− ) = g′ ( )
2 2
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 516 ขอสอบเขาฯ มี.ค.47

1 4 2 3 1 2 1
19. เมื่อพิจารณากราฟของฟังก์ชัน f (x) = x − x − x + 2x −
4 3 2 3
พบว่า กราฟของ f มีจุดวิกฤต (c, f (c)) ซึ่ง c > 0 เป็นจํานวน a จุด และกราฟของ f ตัดแกน
x เป็นจํานวน b จุด ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. a = 1, b = 2 2. a = 1, b = 4 3. a = 2, b = 2 4. a = 2, b = 4

20. กําหนดให้ f เป็นฟังก์ชันซึ่งหาอนุพันธ์ได้ที่ทุกจุด และ h (x) = x3 + 1 ถ้า a เป็นจํานวนจริงซึ่ง


(h f)(a) = 9 , (h f)′ (a) = 0 , (h f)′′ (a) = −1 แล้วข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. f มีค่าสูงสุดสัมพัทธ์ที่จุด a และมีค่าเท่ากับ 1
2. f มีค่าสูงสุดสัมพัทธ์ที่จุด a และมีค่าเท่ากับ 2
3. f มีค่าต่ําสุดสัมพัทธ์ที่จุด a และมีค่าเท่ากับ 1
4. f มีค่าต่ําสุดสัมพัทธ์ที่จุด a และมีค่าเท่ากับ 2

21. กําหนดให้ f เป็นฟังก์ชันพหุนามกําลังสาม ซึ่ง f (0) = 1 = f (1)


1
ถ้า f′ (0) = 1 และ −1
∫ f (x) dx = 6 แล้ว f (−1) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −7 2. −1 3. 13 4. 15

22. วิธีในการเขียนจํานวนคู่ทมี่ ีสามหลักจากตัวเลข 0, 1, 2, 3, 4, 5 โดยทีห่ ลักร้อยและหลักหน่วยเป็น


ตัวเลขที่แตกต่างกัน และมีค่าไม่น้อยกว่า 200 มีจํานวนวิธีเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 72 2. 71 3. 60 4. 59

23. จัดคน 8 คนซึ่งมีสมศักดิ์ สมชาย และสมหญิง รวมอยู่ด้วย เข้านั่งรอบโต๊ะกลมซึ่งมี 8 ที่นั่ง


ความน่าจะเป็นที่สมชายได้นั่งติดกับสมหญิง และสมศักดิ์ไม่นั่งติดกับสมชาย เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 1 2. 5 3. 11 4. 5
7 21 42 42

24. ในการเลือกประธาน รองประธาน และเหรัญญิก จากนักเรียนชาย 6 คนและนักเรียนหญิง 4


คน ซึ่งมีนายกําธรรวมอยู่ด้วย ความน่าจะเป็นที่การเลือกครั้งนี้นายกําธรได้เป็นประธาน และมี
นักเรียนหญิงได้รับเลือกอย่างน้อยหนึ่งคนเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 13 2. 13 3. 2 4. 4
180 360 45 45

25. คะแนนการสอบวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นหนึ่งซึ่งมีสองห้อง มีค่าเฉลี่ยเลขคณิตรวมเท่ากับ


54 คะแนน โดยที่ห้อง ก และห้อง ข มีนักเรียน 30 และ 20 คนตามลําดับ ถ้าคะแนนเฉลี่ยของ
นักเรียนห้อง ก เท่ากับ 50 คะแนน เมื่อแยกพิจารณาผลสอบแต่ละห้อง พบว่านักเรียนห้อง ก ผู้ได้
คะแนน 55 คิดเป็นค่ามาตรฐาน 1.0 เท่ากับค่ามาตรฐานของนักเรียนห้อง ข ผู้ที่ได้คะแนน 66
พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ความแปรปรวนของคะแนนของนักเรียนห้อง ก เท่ากับ 25
ข. สัมประสิทธิ์ของการแปรผันของคะแนนของนักเรียนห้อง ก มากกว่าสัมประสิทธิ์ของการ
แปรผันของคะแนนห้อง ข
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 517 ขอสอบเขาฯ มี.ค.47

26. ถ้า 20, x2 , ..., x25 เป็นข้อมูลที่เรียงจากค่าน้อยไปมาก และเป็นลําดับเลขคณิต และควอร์ไทล์ที่


หนึ่งของข้อมูลชุดนี้เท่ากับ 31 แล้ว ส่วนเบี่ยงเบนเฉลี่ยของข้อมูลชุดนี้เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 6.24 2. 10.28 3. 12.48 4. 24.96

27. อายุของนักเรียนห้องหนึ่ง มีการแจกแจงปกติที่มีความแปรปรวนเท่ากับ 4 และมีนักเรียนจํานวน


50.4% ที่มีอายุไม่เกิน 14 ปี
เมื่อพิจารณาอายุของนักเรียนห้องนี้ในอีก 2 ปีข้างหน้า และให้ a แทนตําแหน่งเปอร์เซ็นไทล์
ของนักเรียนที่อายุ 16 ปี ให้ b แทนจํานวนเปอร์เซ็นต์ของนักเรียนที่มีอายุ (หน่วยเป็นปี) อยู่ในช่วง
[14, 16] แล้ว a และ b มีค่าเท่ากับค่าในข้อใดต่อไปนี้
กําหนดตารางแสดงพื้นที่ใต้เส้นโค้งปกติดังนี้
z 0.01 0.99 1.01 2.65
A 0.004 0.3389 0.3438 0.496
1. a = 50.4, b = 33.78% 2. a = 50.4, b = 34.29%
3. a = 99.6, b = 33.78% 4. a = 99.6, b = 34.29%

28. ถ้าตัวแทนจําหน่ายเตาไมโครเวฟยี่ห้อหนึ่ง ขายเตาไมโครเวฟ 3 ชนิดในปี พ.ศ. 2544, 2545


และ 2546 ด้วยราคาต่อไปนี้
ชนิดของเตา ราคาต่อหน่วย (บาท)
ไมโครเวฟ 2544 2545 2546
ชนิดที่ 1 2,000 2,200 3,080
ชนิดที่ 2 4,000 5,000 5,400
ชนิดที่ 3 a a 6,720
ถ้าดัชนีราคาอย่างง่ายแบบใช้ราคารวมของ พ.ศ. 2545 เทียบกับ พ.ศ. 2544 เท่ากับ 110 แล้ว
ดัชนีราคาอย่างง่ายแบบใช้ค่าเฉลี่ยราคาสัมพัทธ์ของ พ.ศ. 2546 เทียบกับ พ.ศ. 2545 เท่ากับข้อใด
ต่อไปนี้
1. 108 2. 120 3. 129 4. 140

เฉลยคําตอบ
ตอนที่ 1 (1) 9 (2) 8.8 (3) 0.5 (4) 3 (5) 27 (6) 0.8 (7) 1.25 (8)
338.9
ตอนที่ 2 (1) 1 (2) 3 (3) 1 (4) 4 (5) 1 (6) 2 (7) 4 (8) 3 (9) 4
(10) 2 (11) 4 (12) 4 (13) 2 (14) 4 (15) 4 (16) 2 (17) 3 (18) 1 (19)
3 (20) 2 (21) 3 (22) 3 (23) 2 (24) 1 (25) 2 (26) 3 (27) 2 (28) 2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 518 ขอสอบเขาฯ มี.ค.47

เฉลยวิธีคิด
ตอนที่ 1 1
(5) AB = 3I .....(1) และ adjB = A .....(2)
2 3
(1) (gof)(x) = 100 − 3(f(x))
จาก f(x) = 10x ∴ f(x) > 0 เสมอ จาก (1) จะได้ B = 3A−1
ดังนัน้ adj B = adj (3A−1)
→ f(x)2 > 0 → 3(f(x))2 > 0
33 1
→ 100 − 3(f(x))2 < 100 = 3A −1 ⋅ (3A −1)−1 = ⋅ A
A 3
→ 0 < 100 − 3(f(x))2 < 10 ∴ Rgof = [0, 10) 1
แต่สมการ (2) บอกว่า adjB = A
จํานวนเต็มที่มากที่สดุ คือ 9 ตอบ 3
(2) 33
∴ = 1 → A = 27 ตอบ
A
5 3 ⎡ 1 ⎤ ตั้งฉากกับ ⎡ −8⎤ แสดงว่าดอทกันได้
1 1 (6) 0
⎢⎣4⎥⎦ ⎢⎣ a ⎥⎦
A B → −8 + 4a = 0 → a = 2
2 8
จาก ⎡5⎤ = ⎡ b ⎤ + ⎡ −8c ⎤
sin(2A) + cot2(B) = 2 sin A cos A + cot2 B
⎣⎢3⎦⎥ ⎢⎣4b ⎦⎥ ⎢⎣ 2c ⎦⎥
1 2 4
= 2( )( ) + ( 8)2 = + 8 = 8.8 ตอบ ∴ b − 8c = 5 และ 4b + 2c = 3
5 5 5
1
(3) จัดรูปสมการ; x2 + 2x + 1 = −8y − a + 1 ได้ b = 1 และ c = −
2
a−1 ⎡2 ⎤ 1 ⎤
→ (x + 1)2 = 4(−2)(y +
8
) หามุมระหว่าง ⎢⎣0⎥⎦ กับ ⎡⎢ −1/2 ⎥⎦ → ดอทกัน;

..เป็นพาราโบลาคว่ํา จุดยอด V(h, k) = (−1, − a − 1) 1
(2)(1) + (0)(− ) =
1
22 + 02 12 + (− )2 cos θ
8 2 2
และระยะโฟกัสเท่ากับ 2 หน่วย 5
แต่โจทย์บอกว่า y = 4 เป็นไดเรกตริกซ์ → 2 = (2)( ) cos θ
2
แสดงว่าจุดยอด ต้องเป็น V(−1, 2) 2
→ cos2 θ = ( )2 = 0.8 ตอบ
จึงได้วา่ 2 = − a − 1 → a = −15 5
8 (7) (fog)(x) = 3g(x) + 1 → ∴ (fog)′ (x) = 3g(x) ′
ดังนัน้ สมการพาราโบลาคือ x2 + 8y + 2x − 15 = 0 แต่โจทย์ให้ (fog)′ (x) = 3x2 + 1 ∴ 3g(x)′ 2
= 3x + 1
..หาจุดตัดแกน x โดยแทน y = 0 1 x 3
x
→ g(x) ′ = x2 + → g(x) = + +C
→ x2 + 2x − 15 = 0 → x = −5 หรือ 3 3 3 3
แต่โจทย์จะใช้จดุ ที่ตดั แกน x ทางลบ ∴ A (−5, 0) ซึ่ง g(0) = 1 ดังนั้น C = 1
1
ความชันระหว่าง A กับ V = 2 − 0 = 0.5 ตอบ → ∫1 g(x) dx = ⎛⎜ x4 + x2 + x ⎞⎟
−1 + 5
x−1
0 ⎝ 12 6 ⎠ 0
(4) มอง 2 = A จะได้ว่า 1 1
log2(A2 + A + 6) = log2 4 + log2(A + 1) = + + 1 = 1.25 ตอบ
12 6
∴ A2 + A + 6 = 4(A + 1) → A2 − 3A + 2 = 0 (8) Ŷ = 192 + cx ;
→ A = 2 หรือ 1 แสดงว่า 2x − 1 = 2 หรือ 1 โจทย์บอกว่า ปี 2547 (x = 11) นัน้ Ŷ = 316.3
→ x − 1 = 1 หรือ 0 → x = 2 หรือ 1 → 316.3 = 192 + c(11) → c = 11.3
∴ ตอบ 3 โจทย์ถาม x = 13 ˆ = 192 + (11.3)(13)
→ Y
= 338.9 กก. ตอบ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 519 ขอสอบเขาฯ มี.ค.47

ตอนที่ 2 (6) จัดรูป y2 = x2 + 2x − 3


(1) n(A ∪ B ∪ C) = 240 − 60 = 180 → 3 = x2 + 2x − y2 → 3 + 1 = (x2 + 2x + 1) − y2
ใช้สูตรของแผนภาพเซต →
(x + 1)2

y2
= 1
180 = 5x + 5x + 4x − y − y − y + x 4 4
จะได้ 15x − 3y = 180 .....(1) เป็นไฮเพอร์โบลาที่มีศูนย์กลางที่ (−1, 0)
แต่โจทย์บอก y − x = 20 .....(2) และ a = b = 2 (นั่นคือเส้นกํากับตัง้ ฉากกัน)
แก้ระบบสมการได้ x = 20 ตอบ ข้อ 1. วาดกราฟได้ดังรูป
(2) แยกช่วงย่อยคิด (3/2,3/2)
ก. เมื่อ x < 1 จะได้อสมการกลายเป็น (-1,0)
3x − 2 3x − 2 แต่โจทย์บอกว่า (1,0)
>0 → <0
1− x − 1 x x > y ด้วย จึงมี
เขียนเส้นจํานวนได้ (0, 2/ 3] เพียงเสี้ยวขวาเท่านัน้ x=y
นําไปอินเตอร์เซคกับเงื่อนไข ได้ (0, 2/ 3] เช่นเดิม จุดตัด (3/2,3/2) ในรูป หาจากการแก้ระบบสมการ
ข. เมื่อ x > 1 จะได้อสมการกลายเป็น ดังนัน้ Dr = [1, ∞) และ Rr = (−∞, 3]
3x − 2 2
> 0 เขียนเส้นจํานวน (−∞, 2/ 3] ∪ (2, ∞)
x −2 ตอบ ก. ถูก, ข. ผิด
นําไปอินเตอร์เซคกับเงื่อนไข เหลือเพียง (2, ∞) (7) จาก f(1) = g(1) และ
f(1) + g(1) = 8

ดังนัน้ ได้ S = (0, 2/3] ∪ (2, ∞) ∴ f(1) = 4 → a + b = 4 .....(1)


ซึ่ง {x > 0 และ x ∉ S} คือ (2 , 2] ตอบ ข้อ 3. และ g(1) = 4 → แทน x ด้วย 2
3 → 12 + c = 4 → c = −8
3 2
(3) หาร x − 3x + 5x + 7 เหลือเศษ 10 และจาก f(2) = g(2)
→ แสดงว่าหาร x3 − 3x2 + 5x + 7 − 10 ลงตัว → 4a + b = 18 − 8 = 10 .....(2)
พิจารณา x3 − 3x2 + 5x − 3 แก้สมการ (1), (2) ได้ a = 2 , b = 2
แยกตัวประกอบได้ (x − 1)(x2 − 2x + 3) ∴ f(x) = 2x2 + 2, g(x − 1) = 6x − 8
ซึ่งก้อนหลังนีแ้ ยกต่อไม่ได้แล้ว
หา g−1(16) โดย g−1(6x − 8) = x − 1
แสดงว่า x + ax + b = x2 − 2x + 3
2

∴ a = −2 , b = 3 ตอบ a + b = 1 แทน x ด้วย 4 ได้ g−1(16) = 3


(4) (~ p ↔ ~ r) ∨ (p ↔ q) หา f(g−1(16)) = f(3) = 2(9) + 2 = 20 ตอบ
F F (8) ข้อนี้วาดกราฟจะพิจารณาได้เร็วขึน้
แสดงว่า ค่าความจริงของ p ตรงข้ามกับ q, r เมื่อ 0 < x < 1 เป็นเส้นตรง y = 1 − x
∴ ข้อที่เป็นเท็จคือ ข้อ 4. p ∧ q ∧ ~ r และเมื่อ x > 1 เป็นครึ่งพาราโบลา
(เพราะ p กับ q ต้องมีตวั หนึ่งเท็จแน่นอน) ตอบ y−1= x − 1 → (y − 1)2 = x − 1
(5) ก. เนื่องจาก โดย y > 1; เปิดขวา, จุดยอดอยูท่ ี่ (1, 1)
~ p ∨ (~ q ∨ r) ≡ ~ q ∨ (~ p ∨ r) ≡ q → (p → r)
ซ้ายกับขวาสมมูลกัน และเชือ่ มด้วย ↔ (2,2)
จึงเป็นสัจนิรนั ดร์ ก. ถูก 1
ข. ∃x เป็นจริง เมื่อ x ∈ U (1/2,1/2)
ดังนัน้ ลองเลือก x = − 1 จะได้ว่า O
4 1
1 1 3
(− )2 + (− ) + a = 0 → a = ก. ผิด เพราะกราฟผ่านจุด (2, 2)
4 4 16
แสดงว่า f(2) = f −1(2)
ซึ่งมี a อยู่ใน (0, 1) จริง ข. ถูก ตอบ ข้อ 1.
4 ข. ถูก คือ f −1( 1) = 1 และ f −1(2) = 2
2 2
(มี 2 ค่าเท่านัน้ ) ตอบ ข้อ 3.

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 520 ขอสอบเขาฯ มี.ค.47

(9) กฎของ sin; C (13)


3 2 60°
= 8
sin 30° sin B D
1 2 3
→ sin B = 6 (2,4)
3 30°
8 A B
∴ cos B =
3
สมมติ Pmax เกิดที่ (2, 4)
และ AB = 2 cos 30° + 3 cos B = 3 + 8
∴ 70 = a (2) + a(4) → a2 + 2a − 35 = 0
2

คิดรูปใหญ่; CB = 3 + 8 → a = 5 หรือ -7
sin A sin 60°
2 แต่ a เป็นจํานวนบวก ∴ a = 5
→ CB = ( 3 + 8) sin A
3 ทดลองแทนค่าจุด (0, 8) ได้ P = 40 < 70 ,
หา sin A จาก
จุด (0, 6) ได้ P = 30 < 70
sin(180° − 60° − B) = sin(120° − B)
∴ จุด (2, 4) เกิด Pmax จริงๆ ตอบ ข้อ 2.
3 8 1 1 24 + 1
=( )( ) − (− )( ) = (14) จากสูตรแบ่งเวกเตอร์ A C
2 3 2 3 6
˜
AD = ˜AB + ˜
1 2 1
2 24 + 1 8 6 AC
∴ CB = ( 3 + 8)( )= 3+ 3 3 D
3 6 9
ยกกําลังสองทั้งสองข้าง 2
จะได้ CD = CB − 3 = 8 6 ตอบ (นําตัวเองมาดอท)
9 B
(10) จัดรูปไฮเพอร์โบลา ˜ 1 4˜ 4˜˜ ˜
2(y2 − 6y + 9) − 3(x2 − 2x + 1) = −9 + 18 − 3 → |AD|2 = |AB|2 + |AB ⋅ AC| + |AC|2
9 9 9
(y − 3)2 (x − 1)2 1 4 4 11
→ − = 1 → (h, k) = (1, 3) ∴ a2 + b2 + c2 = ( )2 + ( )2 + ( )2 = ตอบ
3 2 9 9 9 27
เปิดบนล่าง, c = 5 F (15) z − 2 3 คือรากทีส่ ามของ −8 i
r=3 ซึ่ง −8 i = 8∠270° มีรากทีส่ ามได้แก่
5
ดังนัน้ จาก A 2∠90° = 2 i , 2∠210° = − 3 − i , และ
P (1,3)
Δ มุมฉาก APF 2∠330° = 3 −i
ได้ AP = 2 หน่วย ดังนัน้ z = 2 3 + 2 i , 3 − i , 3 3 − i
∴ จุด A มีพิกด ั (3,3) O ตัวที่มขี นาดเป็นจํานวนเต็มคือ 2 3 + 2 i
ระยะทางทีต่ อ้ งการ = 32 + 32 = 18 ตอบ
(ขนาด=4) และ 3 − i (ขนาด=2)
(11) 4 ⋅ 22 log x − 9 ⋅ 2log x − log 10 + 1 + 2 < 0
∴ ตอบ (2 3 + 2 i) + ( 3 − i) = 3 3 + i
มอง 2log x = A จะได้ว่า 4A2 − 9A + 2 < 0
1 (16) z1z2z3 = 1 .....(1)
→ (4A − 1)(A − 2) < 0 → < A<2

1
4
และ z1 + z2 + z3 = 1 + 1 + 1 .....(2)
< 2log x < 2 → −2 < log x < 1 z1 z2 z3

4 ก. ซ้าย = 1 − z1 − z2 + z1z2
1 a
→ < x < 10 ∴ = 1,000 ตอบ 1
100 b = 1 − z1 − z2 + (จาก(1))
z3
(12) M11 = −a1 a1 = 5 → a2 + 1 = 5 → a = ±2
ขวา = 1 − 1 − 1 + 1
a a −2 z1 z2 z1z2
M33 = −1 a = 0 → a2 + a − 2 = 0 1 1
= 1− − + z3 (จาก(1))
z1 z2
∴ a = −2 เท่านัน้
−2 −4 −1 ถ้าซ้าย = ขวา จะได้
ก. A = −1 −2 1 = −8 − 1 − 4 − 2 − 2 + 8 = −9 1 1 1
1 −1 −2 1 − z1 − z2 + = 1− − + z3
z3 z1 z2
−1 −2 1 1 1
ข. C13 = 1 −1 = 1 + 2 = 3 ตอบ ก.ผิด, ข.ผิด → + + = z1 + z2 + z3 ตรงกับ (2) (ก.ถูก)
z1 z2 z3

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 521 ขอสอบเขาฯ มี.ค.47

1 ⎧ x − 1 , g(x) ≠ 0
ข. จาก (1) z2z3 = .....(1a) (18) ก. (fog)(x) = ⎨
z1 ⎩ 1 , g(x) = 0
1 1 1 (กรณีบน x ≠ 1 ด้วย มิฉะนั้นจะหา g(x) ไม่ได้)
จาก (2) z2 + z3 − − = − z1
z2 z3 z1
และพบว่า กรณีล่าง g(x) = 0 นั้นเป็นไปไม่ได้
z3 + z2 1
→ z2 + z3 − = − z1 ∴ (fog)(x) = x − 1 เท่านัน
้ ต่อเนื่องที่ x = 0 แน่ๆ
z2z3 z1

→ z2 + z3 − z1(z2 + z3) =
1
− z1 ข. f′(− 1) = (− 12 ) 1 = −4
z1 2 x x=−
2
1 1 1
− z1 g(
′ )= − = −4
z1 1 − z21 2 (x − 1)2 1
→ z2 + z3 = = x=
2
1 − z1 z1(1 − z1)
1 + z1 1 ตอบ ก.ถูก และ ข.ถูก
= = + 1 .....(2a) (19) f′(x) = x3 − 2x2 −x+2 = 0
z1 z1
→ (x − 2)(x − 1)(x + 1) = 0 → x = −1, 1, 2
มอง 1 = A จะได้ (1a) z2z3 = A ,
z1 ∴ ที่ c > 0 มีจดุ วิกฤต 2 จุด
และ (2a) z2 + z3 = A + 1 ..แก้ระบบสมการ (คือ x = 1 , x = 2 )
A
+ z3 = A + 1 → z23 − (A + 1)z3 + A = 0 แทนค่า f(−1) = 1 + 2 − 1 − 2 − 1
= ติดลบ,
z3 4 3 2 3
1 2 1 1
A + 1±A2 + 2A + 1 − 4A f(1) = − − +2− = เป็นบวก,
→ z3 = 4 3 2 3
2
(A + 1) ± (A − 1) และ f(2) = 4 − 16 − 2 + 4 − 1 = เป็นบวก
→ z3 = = A หรือ 1 3 3
2 แสดงว่ากราฟเป็นดังรูป
∴ z2 = 1 หรือ A ∴ มีจุดตัดแกน x
1 รวม 2 จุด -1
แต่โจทย์บอกว่า z1 ≠ 1, z2 ≠ 1 ∴ z2 = A =
z1 1 2
ตอบ ข้อ 3.
และ z3 ต้องเป็น 1 เสมอ
ทําให้ z3 + i z3 − i = 2 ⋅ 2 = 2 (ข.ผิด) (20) (hof)(x) = [f(x)]3 + 1
ตอบ ข้อ 2. จาก (hof)(a) = 9 → [f(a)]3 + 1 = 9 → f(a) = 2
⎛ n(n + 1) ⎞ จาก (hof)′ (a) = 0 → 3[f(a)]2 ⋅ f′(a) = 0
n ⎜ ⎟
(17) คิด nlim an = lim ⎝ 2 ⎠
→∞ n → ∞ 3 ⎛ n(n + 1)(2n + 1) ⎞
→ 3(2)2 ⋅ f′(a) = 0 → f′(a) = 0
⎜ ⎟ และจาก (hof)′′ (a) = −1
⎝ 6 ⎠
⎛ n ⎞ 1 → 3[f(a)]2 f′′(a) + 3f′(a) ⋅ 2[f(a)]f′(a) = −1
= lim ⎜ ⎟ =
n → ∞ ⎝ 2n + 1 ⎠ 2 → 3(2)2 ⋅ f′′(a) + 3(0)(2)(2)(0) = −1
( 3n + 2 − 3n + 1) 1
ต่อมา คิด lim bn = lim → f′′(a) = −
n→∞ n→ ∞ ( n + 2 − n + 1) 12
⎛ 3n + 2 + 3n + 1 n+2 + n+ 1⎞ สรุป f′(a) = 0 แปลว่า เกิดค่าวิกฤตที่ x=a
คูณด้วย ⎜⎜ ⋅ ⎟
f′′(a)ติดลบ แปลว่า เป็นจุดสูงสุดสัมพัทธ์
⎝ 3n + 2 + 3n + 1 n + 2 + n + 1 ⎟⎠
1 ( n+2 + n + 1) f(a) = 2 แปลว่า ค่าสูงสุดนัน
้ เท่ากับ 2 ตอบ ข้อ 2.
จะได้ = lim
n→∞ 1 ( 3n + 2 + 3n + 1)
นํา n หารทั้งเศษและส่วน ได้
2 1
1+
+ 1+
n n = 1+ 1 1
= lim =
n→∞ 2 1 3 + 3 3
3+ + 3+
n n
ตอบ 1 + 1
2 3

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 522 ขอสอบเขาฯ มี.ค.47

(21) f(x) = Ax3 + Bx2 + Cx + D 1


(26) Q1 อยูต่ าํ แหน่งที่ (25 + 1) = 6.5
f(0) = 1 → 0 + 0 + 0 + D = 1 → D = 1 4
f(1) = 1 → A + B + C + 1 = 1 → A + B + C = 0 มีค่า 31 ∴ 31 = 20 + 5.5d → d = 2
f′(0) = 1 → 3A(0)2 + 2B(0) + C = 1 → C = 1 ดังนัน้ ข้อมูลชุดนีค้ ือ 20, 22, 24, … , 68
ดังนัน้ A + B = −1 → เนือ ่ งจากเป็นลําดับเลขคณิต จึงหา X ได้ง่ายๆ
1 20 + 68
และจาก ∫ f(x) dx = 6 จะได้ จาก = 44
2
−1
24 + 22 + 20 + … + 2 + 0 + 2 + … + 22 + 24
Ax4 Bx3 x2
1 ∴ MD =
( + + + x) = 6 25
4 3 2 −1 2
= (12 + 11 + 10 + … + 0 + … + 12)
A B 1 A B 1 25
→ + + + 1− + − +1= 6
4 3 2 4 3 2 4 4 ⎡(12)(13)⎤
= (12 + 11 + 10 + … + 1) =
2B 25 25 ⎢⎣ 2 ⎥⎦
→ + 2 = 6 → B = 6 ∴ A = −7
3
= 12.48 ตอบ
ตอบ f(−1) = −7(−1) + 6 + (−1) + 1 = 13 (27) x = 14
(22) จํานวนคู,่ มากกว่า200 A=0.004
→ A = 0.004 ทางขวา
แสดงว่า อยู่ในรูปแบบ 2-3-4-5 , __ _ , เลขคู่ . 14 − X
และหลักร้อยต้องต่างกับหลักหน่วย → z = 0.01 =
2
กรณีแรก ลงท้ายด้วย 2 หรือ 4 → X = 13.98
14
จะได้ 3 × 6 × 2 = 36 แบบ ต่อมาพิจารณาอีก 2 ปีข้างหน้า
กรณีที่สอง ลงท้ายด้วย 0 X กลายเป็น 15.98, s = 2 เช่นเดิม
จะได้ 4 × 6 × 1 = 24 แบบ
ตอบ 36 + 24 = 60 จํานวน ที่ 16 ปี;
(23) วิธที ั้งหมด = 7 ! 16 − 15.98
z = = 0.01 14 16
วิธีทสี่ มชายติดสมหญิง, สมศักดิ์ไม่ติดสมชาย 2
คิดโดย นําสมชายกับสมหญิงวางติดกันตรงไหนก็ได้ → A = 0.004 ทางขวา ∴ เป็นเปอร์เซ็นไทล์ที่ 50.4
สลับทีก่ ันเองได้ 2! แบบ จากนัน้ วางคนที่เหลือ 5 ที่ 14 ปี; z = 14 − 15.98 = −0.99
คน มองให้เป็นแบบเส้นตรง ได้ 5! แบบ และจากนั้น 2
มีช่อง 5 ช่องทีส่ มศักดิ์เลือกได้ (โดยไม่ติดกับ → A = 0.3389 ทางซ้าย
สมชาย) จึงได้รวม = 2 ! × 5 ! × 5 ∴ ระหว่าง 14 ถึง 16 มีพนื้ ที่
= 0.3389 + 0.004 = 0.3429 คือ 34.29%
∴ ตอบ 2 ! × 5 ! × 5 = 5 ตอบ ข้อ 2.
7! 21
(24) กําธรได้เป็นประธาน ลบด้วย กําธรเป็น 2,200 + 5,000 + a
(28) ISA45 = 1.10 =
2,000 + 4,000 + a
ประธานและไม่มีหญิงเลย
1× 9 × 8 − 1× 5 × 4 52 13 → (1.10)(6,000 + a) = 7,200 + a
= = = ตอบ → 0.1 a = 600 ∴ a = 6,000
10 × 9 × 8 720 180
หรือ คิดบวกกัน 3 กรณีก็ได้ คือ ⎛ 3,080 5,400 6,720 ⎞ 100
จะได้ ISR46 = ⎜ + + ⎟×
1× 5 × 4 + 1× 4 × 5 + 1× 4 × 3 13 ⎝ 2,200 5,000 6,000 ⎠ 3
=
10 × 9 × 8 180 100
= (1.4 + 1.08 + 1.12) × = 120 ตอบ
3
(25) หา Xข จากสูตร Xรวม คือ
30(50) + 20Xข
54 = → Xข = 60
50
55 − 50
ก. 1= → sก = 5 → s2ก = 25 ก.ถูก
sก
66 − 60
ข. 1= → sข = 6
sข
sข 6 sก 5
→ = = 0.1, = = 0.1 ข.ผิด
Xข 60 Xก 50
ตอบ ข้อ 2.
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 523 ขอสอบเขาฯ ต.ค.47

¢ŒoÊoºe¢ŒÒÁËÒÇi·ÂÒÅa µ.¤.47 (p )
ตอนที่ 1 ข้อ 1 – 10 เป็นข้อสอบแบบอัตนัย
ข้อ 1 – 5 ข้อละ 2 คะแนน ข้อ 6 – 10 ข้อละ 3 คะแนน
(x − 1)2 (y − 2)2
1. กําหนดให้ A เป็นจุดๆ หนึ่งบนไฮเพอร์โบลา − = 1
9 16
ถ้าระยะห่างระหว่างจุด A และจุดโฟกัสจุดหนึ่งของไฮเพอร์โบลาคือ 3 หน่วย แล้ว
ระยะห่างระหว่างจุด A กับจุดโฟกัสอีกจุดหนึ่งของไฮเพอร์โบลา มีค่าเท่ากับกี่หน่วย

2. ผลบวกของคําตอบของสมการ 1 + (2 log x 3)(log 9(9 − x)) = log x 14 มีค่าเท่ากับเท่าใด

3. กําหนดให้รูปสามเหลี่ยม ABC มีด้าน BC ยาว 3 หน่วย ด้าน AC ยาว 2 หน่วย


ถ้ามุม B = arctan ⎛⎜ 1 ⎞⎟ แล้วค่าของ sin (A + B) + sin (A − B) เท่ากับเท่าใด
⎝ 3⎠

4. ถ้าสมการจุดประสงค์คือ P = 35x − 25y และอสมการข้อจํากัดคือ


2x + 3y < 15 , 3x + y < 12 , x > 0 , y > 0 แล้ว ค่าสูงสุดของ P เท่ากับเท่าใด

5. ให้ x, y, z
เป็นคําตอบของระบบสมการเชิงเส้น
a11x + a12y + a13z = 2 , a21x + a22y + a23z = 1 , a31x + a32y + a33z = 0
⎡ a11 a12 a13 1 0 0⎤ ⎡1 0 0 1 −1 1 ⎤
ถ้า ⎢a21 a22 a23 0 1 0⎥ ~ ⎢0 1 0 0 −2 1 ⎥ แล้ว ค่าของ x+y+z เท่ากับเท่าใด
⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣a31 a32 a33 0 0 1 ⎦⎥ ⎣⎢0 0 1 2 3 0⎦⎥

2
3+ i z−i
6. ถ้า z = แล้ว ค่าของ เท่ากับเท่าใด
2 z + z3 + 2
6

7. กําหนดให้ m เป็นจํานวนเต็มบวก และ n เป็นจํานวนเฉพาะ


ถ้า m หาร 777 และ 910 แล้วเหลือเศษ n แล้ว m − n มีค่าเท่ากับเท่าใด

8. ถ้า S คือเซตของล็อตเตอรี่รัฐบาล ซึ่งมีเลข 6 หลัก และมีเลข 0 อยู่ 4 ตัว


แล้ว จํานวนสมาชิกของ S เท่ากับเท่าใด

9. ถ้า a และ b เป็นคําตอบของสมการ 3x + 5 = x + 2


⎛8⎞ ⎛8⎞ ⎛8⎞
แล้ว ค่าของ a8 − ⎜ ⎟ a7b + ⎜ ⎟ a6b2 − ... − ⎜ ⎟ ab7 + b8 เท่ากับเท่าใด
⎝ 1⎠ ⎝2⎠ ⎝7⎠

10. ถ้า A = {1, 2, 3, ..., 9} และ S = { B | B ⊂ A และ ( 1∈ B หรือ 9 ∈ B )}


แล้ว จํานวนสมาชิกของ S เท่ากับเท่าใด
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 524 ขอสอบเขาฯ ต.ค.47

ตอนที่ 2 ข้อ 1 – 25 เป็นข้อสอบแบบปรนัย ข้อละ 3 คะแนน


1. กําหนดให้ P (x) เป็นพหุนามที่มีสัมประสิทธิ์เป็นจํานวนจริง ข้อใดต่อไปนี้ผิด
1. x − c เป็นตัวประกอบของ P (x) ก็ต่อเมื่อ P (c) = 0
2. ถ้าจํานวนเชิงซ้อน z0 เป็นคําตอบของสมการ P (x) = 0 แล้ว z0 จะเป็น
คําตอบของสมการนี้ด้วย
3. ถ้าสัมประสิทธิ์ของ P (x) เป็นจํานวนเต็ม และมี x − m เป็นตัวประกอบ
แล้ว m จะต้องเป็นจํานวนตรรกยะ
4. ถ้า P (a) = b แล้ว x − a จะเป็นตัวประกอบของ P (x) − b

2. ข้อความในข้อใดต่อไปนี้ผิด
1. ถ้า a, b, n เป็นจํานวนเต็มบวก ซึ่ง n|a และ n| b แล้ว
จะได้ว่า n หาร ห.ร.ม. ของ a, b ลงตัวด้วย
2. ถ้า a, b, n เป็นจํานวนเต็มบวก ซึ่ง a| n และ b| n แล้ว
จะได้ว่า ค.ร.น. ของ a, b หาร n ลงตัวด้วย
3. ถ้า a, m, n เป็นจํานวนเต็มบวก และ a| mn แล้ว จะได้ว่า a| m หรือ a| n
4. ถ้า d และ c เป็น ห.ร.ม. และ ค.ร.น. ของจํานวนเต็มบวก m, n แล้ว
จะได้ว่า dc = mn

3. ถ้า f (x) และ g (x)เป็นฟังก์ชันซึ่งหาอนุพันธ์ได้ และมีสมบัติดังนี้


1
f′(g(x)) = และ f (g (0)) = 5 แล้วค่าของ f (g (2)) เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
g(x)

1. 1 2. 3 3. 5 4. 7

4. ถ้า F1 และ F2 เป็นโฟกัสของวงรี x2 + 3y2 − 2x − 23 = 0


และ P (4, 5) เป็นจุดซึ่งอยู่บนวงรีนี้แล้ว ค่าของ cos (F1P F2) เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. − 1 2. − 1 3. 3 4. 3
9 7 4 5

5. ให้ A, B, C เป็นจุดยอดของรูปสามเหลี่ยมใดๆ พิจารณาข้อความต่อไปนี้


ก. ˜AB + ˜ BC + ˜
CA = 0 ข. (BC)2 < (CA)2 + (AB)2
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
x2 − 6
6. จํานวนคําตอบที่เป็นจํานวนเต็มของอสมการ −5 < < 1 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
x
1. 8 2. 9 3. 10 4. 11

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 525 ขอสอบเขาฯ ต.ค.47

7. กําหนดให้ L เป็นเส้นตรงซึ่งผ่านจุด (2, 1) และมีระยะห่างระหว่างจุดกําเนิดและเส้นตรง L


เท่ากับ 1 หน่วย ถ้า L ตั้งฉากกับเส้นสัมผัสพาราโบลา y = ax2 − 4a + 1 ที่จุด (2, 1) แล้ว a มีค่า
เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. − 3 2. − 1 3. − 3 4. − 1
16 16 8 8

8. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ถ้าประพจน์ [p ∧ (q → r)] → (r ∨ s) มีค่าความจริงเป็นเท็จ
แล้ว p ∧ q → s มีค่าความจริงเป็นเท็จ
ข. นิเสธของข้อความ ∀x∃y [ (x > y) ∧ (x2 < y) ] คือ ∃x∀y [ (x > y) → (y < x2) ]
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

9. กําหนดเอกภพสัมพัทธ์คือช่วงเปิด (−2, 2) พิจารณาข้อความต่อไปนี้


ก. ประพจน์ ∀x [ x + x2 < x + x2 และ x < x2 ] มีค่าความจริงเป็นจริง
ข. ประพจน์ ∃x [ x2 − x − 6 > 0 ] มีค่าความจริงเป็นจริง
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
x
10. กําหนดให้ f (x) = เมื่อ x ∈ (−1, 1)
1 − x2
พิจารณาข้อความต่อไปนี้
⎧ −1 − 1 + 4x2
ก. ⎪
f (x) = ⎨
−1 , x ≠ 0 ข. f เป็นฟังก์ชันเพิ่มในช่วง (−1, 1)
2x
⎪ 0 , x = 0

ข้อใดต่อไปนี้จริง
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

11. กําหนดให้ r = 1 + sin


π ผลบวกของอนุกรมในข้อใดต่อไปนี้เท่ากับ 1
8 1+ r
∞ ∞ ∞ 1 ∞ (−1)n
1. ∑ rn 2. ∑ (−1)n r n 3. ∑ 4. ∑
n=0 n=0 n=0 r n+ 1 n=0 r n+1

12. ให้ f (x) = x3 + ax2 + bx + c เมื่อ a, b, c เป็นจํานวนจริง


ถ้า x − 3 หาร f (x) แล้วเหลือเศษ 10 และ 1 + i เป็นรากหนึ่งของ f′(x) แล้ว
ค่าของ f (1) เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −4 2. −2 3. 0 4. 1

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 526 ขอสอบเขาฯ ต.ค.47

⎧x+1 , x > 0
13. กําหนดให้ f (x) = ⎨
⎩ x−1 , x < 0
ฟังก์ชัน g ในข้อใดต่อไปนี้ ทําให้ฟังก์ชัน g f ไม่ต่อเนื่อง
1. g(x) = 1 เมื่อ x ∈ (−∞, −1) ∪ [1, ∞)
−1
2. g(x) = f (x) เมื่อ x ∈ (−∞, −1) ∪ [1, ∞)
⎧⎪ (x − 1)2 , x > 1
3. g(x) = ⎨ 2
⎪⎩ (x + 1) , x < −1
4. g(x) = x 3 เมื่อ x ∈ (−∞, −1) ∪ [1, ∞)

14. ให้ S เป็นเซตคําตอบของอสมการ 5 2x + 11 < 12(5 x) − 9


ถ้า a และ b เป็นสมาชิกของ S ที่มีค่ามากที่สุดและน้อยที่สุด ตามลําดับ
แล้ว a + b เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. log 5 15 2. log 5 20 3. 2 4. log 5 30

15. กําหนดให้ π π
θ ∈ ⎡⎢ − , ⎤⎥
⎣ 4 4⎦
π
tan2 ⎛⎜ − θ ⎞⎟ − 1
⎝4 ⎠ 3
ถ้า = แล้ว cos 2 θ มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
2⎛ π ⎞ 5
tan ⎜ − θ ⎟ + 1
⎝4 ⎠
3 4 7 9
1. 2. 3. 4.
5 5 10 10

16. กําหนดให้ y = f (x) เป็นฟังก์ชันพหุนามซึ่งมีค่าต่ําสุดสัมพัทธ์เท่ากับ 3 ที่จุด x =2


และมีเส้นตรง 3x + y − 7 = 0 เป็นเส้นสัมผัสกราฟที่จุด (1, 4)
2
ถ้า g(x) = x 2 f (x) แล้ว ค่าของ 1
∫ g′′(x) dx เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 5 2. 7 3. 8 4. 10

17. กําหนดตารางแจกแจงความถี่ของคะแนนสอบวิชาสถิติที่เป็นจํานวนเต็มของนักเรียน 40 คน
ดังนี้
คะแนน จํานวนนักเรียน
60 – 64 4
65 – 69 a
70 – 74 10
75 – 79 b
80 – 84 7
เมื่อสุ่มเลือกนักเรียนกลุ่มนี้มาหนึ่งคน ได้ว่าความน่าจะเป็นที่นักเรียนคนนี้ได้คะแนนน้อยกว่า 70
คะแนน มีค่าเท่ากับ 0.30 มัธยฐานของคะแนนชุดนี้เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 71.50 2. 73.50 3. 73.75 4. 74.50

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 527 ขอสอบเขาฯ ต.ค.47

18. ให้ x1, x2 , ..., x5 เป็นข้อมูลชุดหนึ่งซึ่งมีค่าเฉลี่ยเลขคณิตเท่ากับ 6


5
ถ้า ∑ (x i − 4)2 = 30 แล้ว ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของข้อมูลชุดนี้เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
i=1

1. 2 2. 2 3. 6 4. 2 2

19. จากรายการซ่อมแซมเครื่องซักผ้า 6 เครื่อง ปรากฏผลดังนี้


เครื่องซักผ้าเครือ่ งที่ 1 2 3 4 5 6
จํานวนปีที่ใช้งาน : X 1 2 3 2 1 3
ค่าซ่อมแซมต่อปี (ร้อยบาท) : Y 4 7 10 8 3 10
สมการที่ใช้แทนความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันสําหรับการประมาณค่าซ่อมแซมจากจํานวนปีที่ใช้ คือข้อใด
ต่อไปนี้
1. Y = 3.25 X + 0.5 2. Y = 3.5 X + 0.5
3. Y = 3.5 X + 0.75 4. Y = 3.75 X + 0.25

20. กําหนดให้ A เป็นเมตริกซ์มิติ 3 × 3


และ A ij คือเมตริกซ์ที่ได้จากการตัดแถวที่ i และหลักที่ j ของเมตริกซ์ A ออก
⎡ 2 −5 −1⎤
⎡ −1 −2⎤ ⎡ 1 −1 ⎤
ถ้า adj A = ⎢ −28 10 −1⎥ A 11 = ⎢ และ A 32 = ⎢
⎣3 −2⎦

⎣5 8 ⎦
⎢ ⎥ ⎥
⎣ 17 −5 −1⎦
แล้ว det (A) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −92 2. −15 3. 15 4. 92

⎪⎧ ⎡a b ⎤ ⎪⎫
21. กําหนดให้ S คือเซตของเมตริกซ์ ⎨ ⎢c d⎥ a, b, c, d ∈ {0, 1}⎬
⎩⎪ ⎣ ⎦ ⎭⎪
ความน่าจะเป็นในการสุ่มหยิบเมตริกซ์ A จากเซต S
โดยมีสมบัติ det (A) = 0 หรือ det (A) = 1 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 3 2. 5 3. 11 4. 13
4 8 16 16

22. ในการออกรางวัลเลขท้ายสองตัวของล็อตเตอรี่รัฐบาล ความน่าจะเป็นที่รางวัลเลขท้ายสองตัวมี


หลักสิบที่เป็นเลขที่มากกว่าหรือเท่ากับ 7 หรือหลักหน่วยเป็นเลขที่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 2 มีค่า
เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 0.40 2. 0.51 3. 0.54 4. 0.60
⎧ x −n , 2n < x < 2n+ 1
23. ถ้า f (x) = ⎨ โดยที่ n = 0, 1, 2, ..., 9
⎩ n+ 1 , 2n+ 1 < x < 2n+2
20
แล้วค่าของ 0
∫ f (x) dx เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 105 2. 115 3. 125 4. 135

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 528 ขอสอบเขาฯ ต.ค.47

24. ถ้า A เป็นเซตคําตอบของสมการ z 14 − i = 0


และ B เป็นเซตคําตอบของสมการ z 22 − i = 0
แล้ว จํานวนสมาชิกของ A ∩ B เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 0 2. 1 3. 2 4. 3

1 1
25. ถ้า vn = i + 1− j เมื่อ n = 1, 2, 3, ..., 99
n n2
99
แล้วค่าของ ∑ vn + 1 − vn อยู่ในช่วงใดต่อไปนี้
n=1

1. (1, 1.2) 2. (1.2, 1.4) 3. (1.4, 1.6) 4. (1.6, 1.8)

เฉลยคําตอบ
ตอนที่ 1 (1) 9 (2) 9 (3) 0.75 (4) 140 (5) 6 (6) 0.5 (7) 2 (8) 1215 (9) 625
(10) 384
ตอนที่ 2 (1) 3 (2) 3 (3) 4 (4) 1 (5) 2 (6) 1 (7) 1 (8) 3 (9) 4
(10) 3 (11) 4 (12) 1 (13) 4 (14) 2 (15) 4 (16) 2 (17) 2 (18) 1 (19)
1 (20) 2 (21) 4 (22) 2 (23) 1 (24) 3 (25) 3

เฉลยวิธีคิด
ตอนที่ 1 (4) (0, 5) → P = −125
(1) ไฮเพอร์โบลา a = 3, b = 4 (3, 3) → P = 30
นิยามของไฮเพอร์โบลาคือ ระยะห่างจากจุดๆ หนึง่ ไป (4, 0) → P = 140 5 (3,3)
ยังโฟกัสทั้งสอง มีผลต่างเป็น 2a = 6 ดังนัน้ ∴ Pmax = 140
d − 3 = 6 → d = 9 หน่วย ตอบ
2 log 3 log(9 − x) log 14
O 4
(2) 1+ =
log x log 9 log x ⎡ a11 a12 a13 ⎤ ⎡x ⎤ ⎡2⎤
(5) ⎢a21 a22 a23 ⎥ ⎢y ⎥ = ⎢ 1 ⎥ → AX = B
แต่ 2 log 3 = log 9 ดังนั้น ⎣⎢a31 a32 a33 ⎦⎥ ⎢⎣ z ⎦⎥ ⎢⎣0⎥⎦
จะได้ → 1 + log(9 − x) = log 14 ดังนัน้ X = A −1B
log x log x
→ log x + log(9 − x) = log 14
หา A−1 โดยการดําเนินการตามแถว (row-
→ x(9 − x) = 14 ∴ x = 2, 7 operation) คือ ⎡⎣ A I ⎤⎦ ~ ⎡⎣ I A−1 ⎤⎦
ตอบ 2 + 7 = 9 ⎡ 1 −1 1 ⎤
เทียบจากโจทย์ จะพบว่า A −1 = ⎢0 −2 1 ⎥
(3) sin(A + B) + sin(A − B) = 2 sin A cos B ⎢⎣2 3 0⎥⎦
หา sin A จากกฎของไซน์ ⎡x ⎤ ⎡ 1 −1 1 ⎤ ⎡2⎤ ⎡ 1⎤
sin A sin B 2 ∴ ⎢y ⎥ = ⎢0 −2 1 ⎥ ⎢ 1 ⎥ = ⎢ −2⎥
= 1 ⎢⎣ z ⎥⎦ ⎢⎣ 7 ⎥⎦
3 2 ⎣⎢2 3 0⎦⎥ ⎣⎢0⎦⎥
1 3 3 B ตอบ 1−2 + 7 = 6
→ sin A = ( )( ) = 3
2 2 4
3
และหา cos B จาก Δ จะได้
2
3 3
∴ ตอบ 2( )( ) = 0.75
4 2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 529 ขอสอบเขาฯ ต.ค.47
2
⎛ z−i ⎞ (3) กฎลูกโซ่; (fog)′ (x) = f′(g(x)) ⋅ g(x)′
(6) โจทย์ถาม ⎜
6 3

⎜z +z +2⎟ ดังนัน้ ข้อนี้ (ย้ายข้าง) f′(g(x)) ⋅ g(x)
′ = 1 = (fog)′ (x)
⎝ ⎠
และอินทิเกรตได้ (fog)(x) = x + c
3 i 3 1
ก. z−i = − = + = 1 หาค่า c จาก (fog)(0) = 5 → c = 5
2 2 4 4
ข. z6 = (1∠30°)6 = 1∠180° = −1
จะได้ (fog)(2) = 2 + 5 = 7 ตอบ
z = (1∠30°)3 = 1∠90° = i
3 (4) จัดรูปวงรี;
(x − 1)2 y2
∴ z6 + z3 + 2 = −1 + i + 2 = 1 + i = 2 (x2 − 2x + 1) + 3y2 = 23 + 1 → + = 1
24 8
2
⎛ 1 ⎞ ระยะโฟกัส = 24 − 8 = 4 หน่วย
ตอบ ⎜ ⎟ = 0.5
⎝ 2⎠ จุดศูนย์กลาง (1, 0) P
(7) จากบทนิยามของการหาร; F1 C F2
777 = mq1 + n และ 910 = mq2 + n
(-3,0) (1,0) (5,0)
นํามาลบกันกลายเป็น 133 = m(q2 − q1)
นั่นคือ “m ต้องหาร 133 ลงตัว” หามุมระหว่าง ˜ PF1 กับ PF̃2
→ พิจารณา 133 = 7 × 19 คิดโดยใช้เวกเตอร์ดอทกัน
⎡ −7 ⎤ ˜ ⎡ 1 ⎤
ถ้า m = 7 จะได้เศษ n = 0 ซึ่งผิดเงื่อนไข จาก ˜PF1 = ⎢
− 5⎥
, PF2 = ⎢⎣ − 5 ⎥⎦
∴ m = 19 , ได้เศษ n = 17 ตอบ 19 − 17 = 2 ⎣ ⎦
(8) กรณีที่ 1; สองตัวที่เหลือ เลขซ้าํ กัน จะได้ ˜ PF1 ⋅ ˜
PF2 = −7 + 5 = − 2
9 ⎛ 6! ⎞ ˜ ˜
และ PF1 ⋅ PF2 = 54 6 cos θ
→ ⎛⎜ 1 ⎞⎟ × ⎜ ⎟ = 135 วิธี
⎝ ⎠ ⎝ 4 ! 2 !⎠ −2 1
ดังนัน้ cos θ = = − ตอบ
กรณีที่ 2; สองตัวที่เหลือ เลขไม่ซ้ํากัน 54 ⋅ 6 9
9 ⎛ 6!⎞ (5) ก. ถูก B
→ ⎛⎜ 2 ⎞⎟ × ⎜ ⎟ = 1,080 วิธี
⎝ ⎠ ⎝ 4 !⎠
ตอบ 135 + 1,080 = 1,215 จํานวน C
(9) 3x + 5 = x + 2 A
→ 3x + 5 = x2 + 4x + 4 ข. จากกฎของ cos;
1 5 (BC)2 = (CA)2 + (AB)2 − 2(CA)(AB) cos A
→ x2 + x − 1 = 0 → x = − ±
2 2 ดังนัน้ (BC)2 จะมากหรือน้อยกว่า (CA)2 + (AB)2
ดังนัน้ a, b = − 1 ± 5 ขึ้นอยู่กับเครือ่ งหมายของ cos A
2 2 (มุมแหลมเครือ่ งหมายบวก มุมป้านเครื่องหมายลบ)
สิ่งที่โจทย์ถามคือ (a − b)8 [จากทฤษฎีบททวินาม] ตอบ ก. ถูก, ข. ผิด
ดังนัน้ (a − b)8 = ( 5)8 = 625 ตอบ 2 2

(10) มีคําว่า “หรือ” จึงควรใช้วิธลี บออกด้วยนิเสธ (6) จาก −5 x − 6 → x + 5x − 6 0


x x
คือ วิธที ั้งหมด ลบด้วยวิธีที่ (1 ∉ B และ 9 ∉ B) จะได้ช่วงคําตอบ [−6, 0) ∪ [1, ∞)
→ 29 − 27 = 384 จํานวน ตอบ x2 − 6 x2 − x − 6
และจาก <1 → <0
หรือ สามารถคิดโดยตรงด้วยสูตรยูเนียนของเซต x x
คือ (1 ∈ B) + (9 ∈ B) − (1 ∈ B และ 9 ∈ B) จะได้ช่วงคําตอบ (−∞, −2] ∪ (0, 3]
= 28 + 28 − 27 ก็ได้เช่นกัน อินเตอร์เซคกันได้ [−6, −2] ∪ [1, 3]
ตอนที่ 2 ตอบ 8 จํานวน
(1) ข้อ 1, 2, 4 เป็นทฤษฎีที่ควรรู้ (ถูกแน่นอน) (7) หาสมการเส้นตรง L;
ส่วนข้อ 3 นัน้ ผิด เช่น สมมติ P(x) = x2 − 2 จะได้ (y − 1) = m(x − 2) → y − mx + 2m − 1 = 0
(x − 2)(x + 2) ซึ่ง 2 ไม่ใช่จํานวนตรรกยะ ระยะห่างไปยังจุดกําเนิด (0, 0) เท่ากับ 1
ตอบ ข้อ 3. 0 − m(0) + 2m − 1
→ 1= → 1 + m2 = 2m − 1
(2) ข้อ 1, 2, 4 ถูกแล้ว 1 + m2
ส่วนข้อ 3 ผิด เช่น เมือ่ a = 6, b = 2, c = 3
ตอบ ข้อ 3.
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 530 ขอสอบเขาฯ ต.ค.47

→ m = 0, 4/ 3 แต่ m = 0
ไม่ได้ (เพราะจะหา (12) ทฤษฎีเศษ; f(3) = 10
เส้นตั้งฉากไม่ได้) ∴ m = 4/ 3 จึงได้ความชันของ ทฤษฎีของจํานวนเชิงซ้อน;
เส้นสัมผัสพาราโบลา = −3/4 (ตั้งฉากกับ L) f′(x) = k (x − 1 − i)(x − 1 + i) = k (x2 − 2x + 2)

y′(2) = 2a(2) = −3/ 4 → a = −3/ 16 ตอบ แต่โจทย์ให้ f′(x) = 3x2 + 2ax + b


(8) ก. [p ∧ (q → r)] → (r ∨ s) ≡ F ดังนัน้ จัดการเทียบได้ k = 3, a = −3, b = 6
3 2
T F ∴ f(3) = 10 = (3) − 3(3) + 6(3) + c
T F F F F → c = −8 → f(1) = 1 − 3 + 6 − 8 = −4 ตอบ
จะได้วา่ (p ∧ q) → s ≡ (T ∧ F) → F ≡ T (ก.ผิด)
ข. เนือ่ งจาก ~ (P(x) ∧ Q(x)) ≡ ~ P(x) ∨ ~ Q(x) (13) ข้อ 1. (gof)(x) = 1 → ต่อเนือ่ ง
≡ P(x) → ~ Q(x)
ข้อ 2. (gof)(x) = (f −1of)(x) = x → ต่อเนือ่ ง
ดังนัน้ นิเสธของ ∀x∃y [P(x, y) ∧ Q(x, y)] ข้อ 3. (gof)(x) = x2 → ต่อเนื่อง
3
⎪⎧ (x + 1) ; x > 0
คือ ∃x∀y [P(x, y) → ~ Q(x, y)] (ข.ถูก) ตอบ ข้อ 4. (gof)(x) = ⎨ 3
⎪⎩ (x − 1) ; x < 0
(9) ก. เท็จ เช่น x = 0.5 จะได้วา่ ไม่ต่อเนื่องที่ x=0 ดังนัน้ ตอบ ข้อ 4.
x < x2 คือ 0.5 < 0.25 ซึ่งเป็นเท็จ
(14) ให้ 5x = A จะได้ A2 + 11 < 12A − 9
[ส่วน x + x2 < x + x2 นั้นเป็นจริงเสมอ เพราะ
แยกช่วงย่อยคิด
เป็นสมบัติของค่าสัมบูรณ์ของผลบวก] ก. เมื่อ A > 3/ 4 จะได้อสมการกลายเป็น
ข. ∃x [(x − 3)(x + 2) > 0] → A2 + 11 < 12A − 9 → A2 − 12A + 20 < 0
≡ ∃x [x ∈ (−∞, −2] ∪ [3, ∞)] เท็จ
แยกตัวประกอบแล้วเขียนเส้นจํานวนได้ A ∈ [2, 10]
ตอบ ก. ผิด, ข. ผิด ข. เมื่อ A < 3/ 4 จะได้อสมการกลายเป็น
(10) ก. จาก y = x 2 → A2 + 11 < −12A + 9 → A2 + 12A + 2 < 0
1− x
y ซึ่งแยกตัวประกอบเป็นจํานวนจริงไม่ได้ → ∅
อินเวอร์สคือ x =
1 − y2 ดังนัน้ คําตอบได้จากกรณีแรกเท่านั้น คือ
→ x − xy2 = y → xy2 + y − x = 0 2 < 5x < 10 → log5 2 < x < log5 10

−1 + 1 + 4x2 ตอบ log5 2 + log5 10 = log5 20


∴ f −1(x) = y =
2x
(15) นํา cos2(π − θ) คูณทัง้ เศษและส่วน
ต้องเลือกใช้เครือ่ งหมายบวก เพราะพบว่า f(x) เป็น 4
บวก เมื่อ x เป็นบวก และ f(x) เป็นลบ เมื่อ x ติด 2
sin (
π − θ) − cos2(
π − θ)
4 4 3
→ =
ลบ … ดังนัน้ ก. ผิด sin2(
π − θ) + cos2(
π − θ) 5
2
x2 + 1 4 4
ข. f′(x) = (1 − x )(1) −2(x)(
2
−2x)
= 2 2
(1 − x ) (1 − x ) ตัวเศษคล้ายสูตร cos มุม 2 เท่า และตัวส่วนเป็น 1
พบว่ามากกว่า 0 เสมอ ตอบ ก. ผิด, ข. ถูก สมการจึงกลายเป็น − cos ⎜⎛ π − 2θ ⎟⎞ = 3
⎝2 5
(11) ข้อ 1. 1 + r + r2 + … = 1

1−r 3 4
→ − sin(2θ) = → cos(2θ) = [2θ ∈ Q1, Q4 ]
1 5 5
ข้อ 2. 1 − r + r2 − … =
1+r 4 9
→ 2 cos2 θ − 1 = → cos2 θ = ตอบ
1 1 1 (1 / r) 1 5 10
ข้อ 3. + + 3 +… = =
r r2 r 1 − (1 / r) r − 1 (16) f มีค่าต่ําสุดสัมพัทธ์เป็น 3 เมื่อ x = 2
1 1 1 (1 / r) 1 แปลว่า f(2) = 3, f′(2) = 0
ข้อ 4. − + 3 −… = =
r r2 r 1 + (1 / r) 1+r
เส้นตรง 3x + y − 7 = 0 สัมผัส f ที่ (1, 4)
พบว่ามีข้อที่นา่ จะใช้ได้อยู่ 2 ข้อ คือ 2. กับ 4. แปลว่า f(1) = 4, f′(1) = −3
แต่ทจี่ ริงแล้วข้อ 1. กับ 2. นั้นผิด เพราะเป็นอนุกรม 2
อนันต์ที่มีอตั ราส่วนร่วมมากกว่า 1 จะไม่สามารถหา โจทย์ถาม ∫ g′′(x) dx = g(2) ′ − g(1′ )
π
ผลบวกถึงอนันต์ได้ (sin ≈ 0.กว่า) ตอบ ข้อ 4. จาก g(x)
1

8 ′ = x2 f′(x) + 2xf(x) ดังนัน



2 2
ตอบ [2 (0) + (2)(2)(3)] − [1 (−3) + 2(1)(4)] = 7

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 531 ขอสอบเขาฯ ต.ค.47

(17) ความน่าจะเป็น 0.30


แสดงว่า 4 + a = 0.30 → a = 8


x , 0<x<1
1 , 1< x < 2 } n=0

}

40 ⎪⎪ x −1 , 2 < x < 3
n=1
(23) จาก f(x) = ⎨ 2 , 3< x<4
⎛ 20 − 12 ⎞
∴ Med = 69.5 + 5 ⎜ ⎟ = 73.50 ตอบ ⎪ .....
⎝ 10 ⎠
}
⎪ x −9, 18 < x < 19
⎪ n=9
(18) X = 6 แสดงว่า Σx = 6 ⋅ 5 = 30 ⎪⎩ 10 , 19 < x < 20
จาก Σ(x − 4)2 = 30 → Σx2 − 8Σx + 16 ⋅ 5 = 30 เขียนกราฟได้ดังนี้
190 10
∴ Σx2 = 190 → s = − 62 = 2 ตอบ 9
5
4
(19) ใช้สมบัติวา่ ถ้า y = mx + c แล้ว 3
2
Y = mX + c ด้วย 1
จากโจทย์ X = (1 + 2 + 3 + 2 + 1 + 3) = 2 O 2 4 6 8 18 20
6
20
(4 + 7 + 10 + 8 + 3 + 10) โจทย์ถาม ∫ f(x) dx = พื้นทีใ่ ต้กราฟ นัน่ เอง
และ Y = = 7
6 0

ซึ่งพบว่าสอดคล้องกับข้อ 1. (Y = 3.25X + 0.5) 1


คิดจาก 0 ถึง 2 ได้ × 1 × 3 = 1.5 ตร.หน่วย
2
ตอบ ข้อ 1.
[หมายเหตุ จะคํานวณจากวิธีเต็มก็ได้ จาก 2 ถึง 4 ได้ 1.5 + 2 = 3.5
คือ Σy = mΣx + cN , Σxy = mΣx2 + cΣx ] ไปเรื่อยๆ ถึง 20 ... นํามารวมกัน
1.5 + 3.5 + 5.5 + … + 19.5 = 105 ตอบ
(20) นํา A11 กับ A32 มาประกอบกัน (24) แก้ระบบสมการ z22 = i และ z14 = i
⎡ 1 a −1 ⎤ โดยนําสมการมาหารกัน ได้เป็น z8 = 1
ได้เป็น A = ⎢3 −1 −2⎥
⎢⎣b 5 8 ⎥⎦ (ที่หารกันได้เพราะทราบว่า z ≠ 0 แน่นอน)
8 14 6
จากนั้นใช้ความรูท้ ี่วา่ det หาโดยนําสมาชิก A แนว า z = 61 หารออกจาก z =8 i จะได้ z = i
นํ
ใดแนวหนึง่ คูณกับสมาชิก C(A) แนวเดียวกันนัน้ และนํา z = i หารออกจาก z = 1 อีกครั้ง
⎡ 2 −28 17 ⎤ จะได้ z2 = 1 = −i = 1∠270°
ซึ่ง C(A) = (adj A) = ⎢−5 10 −5⎥
t i
⎣⎢ −1 −1 −1 ⎦⎥ z = 1∠135° หรือ 1∠315°
นําแถวกลางคูณกัน ได้เป็น ∴ ตอบ 2 คําตอบ
det(A) = 3(−5) + (−1)(10) + (−2)(−5) = −15 ตอบ [หมายเหตุ การหารซ้าํ ๆ เพือ ่ ลดทอนกําลังลง (นํา
[หมายเหตุ จะใช้สมบัติทวี่ ่า A ⋅ adj A = det(A) ⋅ I กํ า ลั
ง มาลบกั น เรื
อ ่ ยๆ) ก็ เหมื อ นวิธีหา หรม. ของ 14
ก็ได้ โดยนํา Aแถว2 และ adjหลัก2 มาคูณกัน] กับ 22 นั่นเอง จึงได้กาํ ลังสุดท้ายเป็น 2 แสดงว่า
(21) det(A) = ad − bc ต้องมี 2 คําตอบ]
วิธีทงั้ หมด = 2 × 2 × 2 × 2 = 16 แบบ (25) ลองแทนค่า B V3 − V2
โจทย์ตอ้ งการ det(A) = 0 หรือ 1 n = 1,2,3,… ลงไป
จะพบว่า vn = 1 เสมอ V99
จะใช้วิธนี ับเอาก็ได้ แต่ถ้าสังเกตว่า det(A) เป็นไปได้ V3 V2 − V1
แค่ 0, 1, -1 เท่านั้น ก็จะคํานวณได้จาก แต่ทิศทางเปลี่ยนไปดังรูป V2

วิธีทงั้ หมดลบด้วยวิธที ี่ det เป็น -1 (อยู่ใน Q1 และหมุนขึ้นๆ V1

คือ (0 ⋅ 0 − 1 ⋅ 1), (0 ⋅ 1 − 1 ⋅ 1), (1 ⋅ 0 − 1 ⋅ 1) จนเข้ า ใกล้ แกน y มากๆ) 1 หน่ วย A


โจทย์ถามผลรวมของขนาด
รวม 3 กรณี ตอบ 1 − 3 = 13 v2 − v1 + v3 − v2 + v4 − v3 + … + v100 − v99
16 16
(22) โจทย์มีคาํ ว่า “หรือ” ควรคิดแบบลบด้วยนิเสธ จะเป็นเส้นตรงไต่ไปตามโค้ง และมีค่าอยู่ระหว่าง
คือ วิธที ั้งหมด - (หลักสิบน้อยกว่า 7 และ หลัก ความยาวเส้นตรง AB กับโค้ง AB แน่นอน
หน่วยมากกว่า 2) = 1 − 7 × 7 = 0.51 ตอบ ซึ่ง AB = 12 + 12 ≈ 1.414, AB = π ≈ 1.57
10 × 10 2
∴ ตอบ ข้อ 3.
[หมายเหตุ โจทย์ลืมนิยาม v100 ครับ]

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 532 ขอสอบเขาฯ มี.ค.48

¢ŒoÊoºe¢ŒÒÁËÒÇi·ÂÒÅa ÁÕ.¤.48 (q)


ตอนที่ 1 ข้อ 1 – 10 เป็นข้อสอบแบบอัตนัย
ข้อ 1 – 5 ข้อละ 2 คะแนน ข้อ 6 – 10 ข้อละ 3 คะแนน
1. ผลบวกของคําตอบของสมการ 12 x − 2 (3 x) − 9(4 x) + 18 = 0 มีค่าเท่ากับเท่าใด

2. พจน์ที่เป็นค่าคงตัวที่เกิดจากการกระจาย (tan x − 2 cot x)8 มีค่าเท่ากับเท่าใด

3. ในคณะกรรมการนักเรียนจํานวน 10 คน จะมีวิธีเลือกประธาน รองประธาน และเลขานุการ ได้กี่


วิธี ถ้ากรรมการคนหนึ่งไม่สมัครที่จะเป็นประธาน

4. นายแดงนําเงินไปฝากธนาคารออมสิน โดยฝากเดือนแรก 100 บาท เดือนต่อไปฝากเพิ่มขึ้นเดือน


ละ 5 บาท ทุกเดือน เมื่อครบ 2 ปี นายแดงนําเงินไปฝากทั้งหมดเท่าใด

5. กําหนดให้ u , v , w เป็นเวกเตอร์ที่สอดคล้องกับสมการ u + 5 v − 2 w = 0
โดยที่ u = 3 i + 4 j และ u ตั้งฉากกับ v
ถ้า θ เป็นมุมระหว่าง u และ w แล้ว ค่าของ |w| cos θ เท่ากับเท่าใด

6. ข้อมูลชุดหนึ่งประกอบด้วย x1, x2 , ..., x13 โดยที่ xn = 5 − n เมื่อ n = 1, 2, ..., 13


13
จํานวนจริง a ทีท่ ําให้ ∑ xn − a มีค่าน้อยที่สุด เท่ากับเท่าใด
n=1

(x − 1)2 (y − 1)2
7. กําหนดให้เส้นตรง x = y ตัดวงรี + = 1 ที่จุด A และ B
9 4
ถ้า F1 และ F2 เป็นจุดโฟกัสของวงรีนี้ แล้ว AF1 + AF2 + BF1 + BF2 มีค่าเท่ากับเท่าใด

8. กําหนดให้พาราโบลารูปหนึ่งมีสมการเป็น y2 − 4y − 16x − 12 = 0
ถ้า L เป็นเส้นตรงที่ผ่านโฟกัสของพาราโบลารูปนี้ และตั้งฉากกับเส้นตรง 3x − 2y + 5 = 0
แล้ว ระยะตัดแกน y ของเส้นตรง L มีค่าเท่ากับเท่าใด

9. ถ้า z1 = 4 (cos 145° + i sin 145°) และ z2 = 3 (cos 115° + i sin 115°) แล้ว
ค่าของ z1 − z2 2 เท่ากับเท่าใด

10. ถ้า n เป็นจํานวนเต็มบวกที่มีสมบัติดังนี้


100 < n < 1000 45 และ 75 หาร n ลงตัว
7 หาร n เหลือเศษ 3
แล้ว n มีค่าเท่ากับเท่าใด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 533 ขอสอบเขาฯ มี.ค.48

ตอนที่ 2 ข้อ 1 – 25 เป็นข้อสอบแบบปรนัย ข้อละ 3 คะแนน


1. สําหรับเซต A และ B ใดๆ ข้อใดต่อไปนี้ ผิด
1. ถ้า A ∩ B = ∅ แล้ว A ⊂ B ' และ B ⊂ A'
2. A − (A ∩ B) = A − B
3. (A ∪ B) − A = B
4. ถ้า (A ∩ B) = A แล้ว A ⊂ B

2. ข้อใดต่อไปนี้ ผิด
1. เส้นตรง y = 3x + 2 ขนานกับเส้นตรง 3x − y − 4 = 0
2. เส้นตรง y + 5x + 8 = 0 ตั้งฉากกับเส้นตรง 5y = x + 3
3. ระยะห่างระหว่างจุด (0, 0) กับเส้นตรง 3x + 4y − 10 = 0 เท่ากับ 2
4. ระยะห่างระหว่างเส้นตรง x − 2y + 5 = 0 กับเส้นตรง x − 2y − 5 = 0 เท่ากับ 2

3. เซตในข้อใดต่อไปนี้เป็นเซตคําตอบของสมการ 9x 3 + 12x 2 + x − 2 = 0

1. {−2, 1 , 3} 2. {−1,
−2 1
, }
3 2 3 2
1 2 −2 1
3. {−1, , } 4. {−1, , }
3 3 3 3

4. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
f (x + h) − f (x) f (x + h) − f (x)
ก. ถ้า f และ g เป็นฟังก์ชันซึ่ง lim = lim = g(x)
h → 0+ h h → 0− h
แล้ว g(x) = f′(x)
ข. ถ้า f เป็นฟังก์ชันซึ่ง f (x) > 0 สําหรับทุกๆ จํานวนจริง x และ f′(a) ≠ 0 แล้ว
ความชันของเส้นสัมผัสกราฟของฟังก์ชัน y = 1 ที่จุด a คือ 1
f (x) f (a)

ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
2
5. ค่าของ −2 ∫ 4 − x2 dx อยู่ในช่วงใดต่อไปนี้
1. (3.1, 3.2) 2. (3.2, 3.3) 3. (6.1, 6.2) 4. (6.2, 6.3)

6. ให้ p, q, r, s
เป็นประพจน์ ถ้า [(p → ~ q) ∨ r] ∧ (q ∨ s) มีค่าความจริงเป็นจริง และ
(p ∧ s) → r มีค่าความจริงเป็นเท็จแล้ว ประพจน์ในข้อใดต่อไปนี้มีค่าความจริงเป็น เท็จ
1. p → q 2. q → r 3. r → s 4. s → p

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 534 ขอสอบเขาฯ มี.ค.48

7. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ถ้าเอกภพสัมพัทธ์คือ เซตของจํานวนเต็มแล้ว
ข้อความ ∃m ∃n [5m + 7n = 1] มีค่าความจริงเป็นจริง
ข. นิเสธของข้อความ ∀x ∃y [ (x2 − 2x > y − 2) ∧ (y > sin x) ]
คือ ∃x ∀y [ (x2 − 2x < y − 2) ∨ (y < sin x) ]
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
sin 2 3A cos 2 3A
8. ถ้า 2
− = 2 แล้ว cos 2A มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
sin A cos 2A
1 1 1 1
1. 2. 3. 4.
4 2 2 3

9. ถ้า tan (arccos x) = − 3 แล้ว ค่าของ x sin (2 arccos x) เท่ากับข้อใดต่อไปนี้


3 1 1 3
1. − 2. − 3. 4.
4 2 2 4

10. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. เซตคําตอบของ x4 − 2x3 + x2 + 4x − 6 = 0 คือ { 2, − 2, 1+ 2 i, − 2 + i }
6 6
⎛1+ 3i⎞ ⎛1− 3i⎞
ข. ⎜ ⎟ + ⎜ ⎟ < 2
⎝ 2 ⎠ ⎝ 2 ⎠
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

11. ให้ S เป็นเซตคําตอบของอสมการ log (log x) + log (9 − log x2) > 1


ถ้า a และ b เป็นสมาชิกของ S ที่มีค่ามากที่สุดและค่าน้อยที่สุด ตามลําดับ
แล้ว ab มีค่าเท่ากับข้อใด
1. 10 7 / 2 2. 10 9/ 2 3. 10 11/ 2 4. 10 13/ 2

⎡ 1 −1 0 ⎤ ⎡ 1⎤ ⎡x⎤
12. กําหนดให้ B = ⎢0 1 2 ⎥ , C = ⎢0⎥ , X = ⎢ y ⎥ และ I เป็นเมตริกซ์เอกลักษณ์
⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣3 0 1 ⎦ ⎣2 ⎦ ⎣z⎦
ถ้า A เป็นเมตริกซ์มิติ 3 × 3 ซึ่งสอดคล้องกับสมการ 2AB = I และ AX = C
แล้ว ค่าของ x + y + z เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 20 2. 24 3. 26 4. 30

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 535 ขอสอบเขาฯ มี.ค.48

⎡ 4 12 −9 ⎤
13. กําหนดให้ A = ⎢ 7 −10 5 ⎥
⎢ ⎥
⎣1 0 0 ⎦
และ B, C, D เป็นเมตริกซ์มิติ 3 × 3 ซึ่ง A ~ B ~ C ~ D
4
โดยที่ B ได้จาก A โดยการดําเนินการ R1 − R2
3
C
ได้จาก B โดยการดําเนินการ 5 R1
D ได้จาก C โดยการดําเนินการ R23
แล้ว det (D) เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −3750 2. −150 3. 150 4. 3750

14. ถ้า an เป็นค่าเฉลี่ยเลขคณิตของข้อมูล


มี n พจน์
1, 2, 2, 3, 3, 3, ..., n, n, n, ..., n
a
แล้ว lim n เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
n→∞ n

1 1 2
1. 0 2. 3. 4.
2 3 3

⎡ 1 1⎤
15. กําหนดให้ f (x) = det ⎢ 1− x ⎥ เมื่อ x ≠ 1 ข้อใดต่อไปนี้ถูก
⎢⎣ 1 1⎥⎦

⎡ 1 1⎤
−1
1. f เป็นฟังก์ชัน 1− 1 และ f −1(x) = det ⎢ 1− x ⎥ เมื่อ x ≠ 0 , x ≠ 1
⎢⎣ 1 1⎥⎦
⎡ 1 1⎤
2. f เป็นฟังก์ชัน 1− 1 และ f −1(x) = det ⎢ 1 ⎥ เมื่อ x ≠ −1
1⎥
⎣⎢ 1+ x ⎦
⎡ 1 1⎤
3. f ไม่เป็นฟังก์ชัน 1− 1 เนื่องจากมีค่า x ที่ทําให้ det ⎢ 1− x ⎥ = 0
⎢⎣ 1 1⎥⎦

⎡ 1 1⎤ 2
4. f ไม่เป็นฟังก์ชัน 1− 1 และ (f f)(x) = det ⎢ 1− x ⎥ เมื่อ x ≠ 1
⎢⎣ 1 1⎥⎦

⎧ 1 ,x < 0
16. กําหนดให้ f (x) = ⎨ พิจารณาข้อความต่อไปนี้
⎩ 0 ,x > 0
ก. xlim
→0
(f f)(x) = 0

ข. lim (f f)(x) = 1
x → 0+

ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

17. ถ้าความชันของเส้นสัมผัสเส้นโค้ง y = f (x) ที่จุด (x, y) ใดๆ เป็น 2x − 4


และ f มีค่าต่ําสุดสัมพัทธ์เท่ากับ 10 หน่วยแล้ว
พื้นที่ปิดล้อมด้วยกราฟของ y = f (x) กับแกน x จาก x = 0 ถึง x = 3 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 33 2. 36 3. 39 4. 42
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 536 ขอสอบเขาฯ มี.ค.48

18. ให้ A = {1, 2, 3, 4} และ B = {1, 2, 3, 4, 5}


ถ้า f เป็นฟังก์ชันจาก A ไป B โดยที่ f (1) = 2 หรือ f (2) = m เมื่อ m เป็นจํานวนคี่
แล้ว จํานวนของฟังก์ชัน f ที่มีสมบัติดังกล่าว เท่ากับข้อใด
1. 75 2. 150 3. 425 4. 500

19. กล่องใบหนึ่งมีลูกบอลสีดํา 4 ลูก และสีแดง 6 ลูก ถ้าสุ่มหยิบลูกบอลจากกล่องใบนี้มา 3 ลูก


ความน่าจะเป็นที่จะได้ลูกบอลสีละอย่างน้อยหนึง่ ลูก เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 0.78 2. 0.80 3. 0.82 4. 0.84

20. ในการสุ่มหยิบเลข 3 หลัก ที่มากกว่าหรือเท่ากับ 100 มาหนึ่งจํานวน ความน่าจะเป็นที่เลข


จํานวนนั้นมีเลข 8 อย่างน้อย 1 หลัก และไม่มีเลข 9 ในหลักใดๆ จะเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 1 2. 1 3. 2 4. 2
8 9 8 9

21. กําหนดสมการจุดประสงค์ z = a x + b y โดยที่ a > 0 , b > 0


และมีอสมการข้อจํากัดคือ x − 2y < 0 , x + y > 3 , 2x + y > 4 , x > 0 , y > 0
เมื่อ z = 0 จะได้เส้นตรง a x + b y = 0 มีความชันเท่ากับ −3/2
ถ้า z มีค่าน้อยทีส่ ุดที่จุด (x0 , y0) แล้ว ค่าของ x0 − y0 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −4 2. −1 3. 1 4. 3

22. กําหนดพื้นที่ใต้เส้นโค้งปกติระหว่าง z = 0 ถึง z = 1 เท่ากับ 0.3413


ถ้าคะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนกลุ่มหนึ่งซึ่งมีจํานวน 20,000 คน มีการแจกแจงปกติ
แล้ว จํานวนนักเรียนที่สอบได้คะแนนซึ่งต่างจากคะแนนเฉลี่ยมากกว่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ
ข้อใดต่อไปนี้
1. 3,413 2. 6,348 3. 6,826 4. 13,652

23. กําหนดฮิสโทแกรมของคะแนน ความถี่สัมพัทธ์


สอบวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียน
80 คน ดังนี้ 0.375
0.350

0.075
0.050
0.025
O 29.5 39.5 49.5 59.5 69.5 79.5 89.5 99.5 คะแนน
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. นักเรียนที่สอบได้คะแนนระหว่าง 50 − 79 มีจํานวนมากกว่านักเรียนที่สอบได้
คะแนน 90 คะแนนขึ้นไป เท่ากับ 50 คน
2. นักเรียนที่สอบได้คะแนน 90 คะแนนขึ้นไป มีร้อยละ 10 ของนักเรียนทั้งหมด
3. ควอร์ไทล์ที่หนึ่งของคะแนนสอบมีค่าอยู่ระหว่าง 60 − 69 คะแนน
4. ควอร์ไทล์ที่สามของคะแนนสอบมีค่าอยู่ระหว่าง 80 − 89 คะแนน

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 537 ขอสอบเขาฯ มี.ค.48

24. กําหนดให้วงกลม x2 + y2 + 2ax + 2by + c = 0 ตัดแกน y ที่จุด 2 จุด แต่ไม่ตัดแกน x


ข้อความในข้อใดต่อไปนี้เป็นจริง
1. a2 > c และ b2 > c 2. a2 > c และ b2 < c
3. a2 < c และ b2 > c 4. a2 < c และ b2 < c

25. ถ้า S เป็นเซตของจํานวนเต็ม m ที่มีสมบัติดังนี้


50 < m < 100 และ 7 หาร m3 เหลือเศษ 6
แล้วจํานวนสมาชิกของ S เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 7 2. 14 3. 18 4. 21

เฉลยคําตอบ
ตอนที่ 1 (1) 2.5 (2) 1120 (3) 648 (4) 3780 (5) 2.5 (6) 3 (7) 12 (8) 4 (9) 7
(10) 675
ตอนที่ 2 (1) 3 (2) 4 (3) 4 (4) 2 (5) 4 (6) 1 (7) 1 (8) 1 (9) 4
(10) 3 (11) 2 (12) 1 (13) 3 (14) 4 (15) 2 (16) 1 (17) 1 (18) 3 (19)
2 (20) 4 (21) 2 (22) 2 (23) 3 (24) 3 (25) 4

เฉลยวิธีคิด
ตอนที่ 1 (5) u + 5v − 2w = 0 → u + 5v = 2w
(1) มอง 3x = A, 4x = B นํา u ดอททั้งสองข้าง;
จะได้ AB − 2A − 9B + 18 = 0 ได้เป็น u ⋅ u + 5u ⋅ v = 2u ⋅ w = 2 u w cos θ
→ A(B − 2) − 9(B − 2) = 0
ซึ่ง u ⋅ u = u 2 = 32 + 42 = 25
→ (A − 9)(B − 2) = 0
และ u ⋅ v = 0 เนือ่ งจาก u ⊥ v
→ 3x = 9 หรือ 4x = 2
∴ จะได้ 25 + 0 = 2(5) w cos θ
1
→ x = 2 หรือ ∴ ตอบ 2.5 → w cos θ = 2.5 ตอบ
2
(2) พจน์ทวั่ ไปคือ (8r ) (tan x)8 − r(−2)(cot
r
x)r
(6) ข้อมูล x1, x2 , x3 , … , x13
คือ 4, 3, 2, 1, 0, 1, 2, … , 8
“พจน์ที่เป็นค่าคงตัว” หมายถึงไม่ติดตัวแปร x Σ xn − a น้อยสุด แสดงว่า a = Med
(แสดงว่า tan x กับ cot x คูณกันแล้วหมดไปพอดี)
∴8−r = r → r = 4
เรียงเลขก่อน; 0, 1, 1, 2, 2, 3, 3 , 4, 4, 5, 6, 7, 8
∴ Med = 3 ตอบ
จะได้คา่ ของพจน์นั้น = ⎛⎜ 84 ⎞⎟ (tan x)4(−2)4(cot x)4 (7)
⎝ ⎠ B
⎛ 8⎞ 4
= ⎜ 4 ⎟ (−2) = 1,120 ตอบ F1 F2
⎝ ⎠
(3) ประธาน 9 × รอง 9 × เลขา 8 A
= 648 วิธี ตอบ
(4) 100 + 105 + 110 + … + พจน์ที่ 24 จากนิยามวงรี AF1 + AF2 = 2a
24 และ BF1 + BF2 = 2a
= (100 + (100 + 23 × 5)) = 3,780 ตอบ
2
∴ ตอบ 2(3) + 2(3) = 12

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 538 ขอสอบเขาฯ มี.ค.48

(8) y2 − 4y + 4 = 16x + 12 + 4 (4) ก. ถูก ตามนิยาม


2
→ (y − 2) = 4(4)(x + 1) เป็นพาราโบลาเปิดขวา (1) ลิมิต h → 0 จะมีได้ก็เมื่อ
จุดยอด (−1, 2) ∴ จุดโฟกัส (3, 2) ลิมิต h → 0+ กับ h → 0− ต้องเท่ากัน
f(x + h) − f(x)
เส้นตรงในโจทย์มีความชัน = 3 / 2 (2) hlim = f′(x)
→0 h
ดังนัน้ เส้นตรงที่ตอ้ งการ (L) มีความชัน −2 / 3 1 1
2 2 ข. ผิด จาก y = จะได้ y′ = − ⋅ f′(x)
→ y −2 = − (x − 3) → y = − x + 4 f(x) f(x)2
3 3
f′(a)
∴ ระยะตัดแกน y คือ 4 ตอบ จึงต้องตอบว่าความชัน = −
f(a)2
(9) z1 − z2 2 = z1 2 − 2 z1 z2 cos θ + z2
2
ตอบ ข้อ 2.
เมื่อ θ = มุมระหว่าง z1, z2 2
2
(5) y = 4 − x2
2
∴ z1 − z2 = 42 − 2(4)( 3) cos 30° + 3 มีกราฟเป็นรูปครึง่ วงกลม
= 16 − 12 + 3 = 7 ตอบ รัศมี 2 หน่วย ดังนี้ -2 O 2
2
(10) เนื่องจาก 45 และ 75 หาร n ลงตัว ∴ ∫ 4 − x2 dx = พื้นทีค ่ รึ่งวงกลม
หา ค.ร.น. ของ 45, 75 ได้เป็น 225 −2

แสดงว่า n อาจเป็น 225, 225 × 2, 225 × 3, 1


= π (2)2 = 2π ≈ 6.28 ตอบ ข้อ 4.
2
หรือ 225 × 4 ก็ได้
(คือเป็น 225, 450, 675, หรือ 900) (6) จาก (p ∧ s) → r ≡ F แสดงว่า p, s จริง, r เท็จ
แต่ 7 หาร n แล้วต้องเหลือเศษ 3 และจาก (p → ~ q) ∨ r ≡ T แสดงว่า q เท็จ
จึงพบว่า n ต้องเป็น 675 ตอบ ∴ ตอบ ข้อ 1. p → q ≡ F
ตอนที่ 2 (7) ก. ถูก จากสมบัติทวี่ ่า เราสามารถเขียน ห.ร.ม.
(1) ข้อ 1, 2, 4 ถูกต้องแล้ว (สามารถตรวจสอบได้ ของ 5 กับ 7 (คือ 1) ในรูปผลรวมเชิงเส้นของ 5
จากแผนภาพ) กับ 7 ได้หนึ่งแบบเสมอ (ในข้อนี้ m=10 และ n=-7)
ส่วนข้อ 3. ผิด เพราะ ข. ถูก เพราะ ~ ∀x∃y [P ∧ Q] ≡ ∃x∀y [~ P ∨ ~ Q]
“ (A ∪ B) − A = B ” ก็เมื่อ ตอบ ข้อ 1.
“A กับ B ไม่ซ้อนทับกัน” 2 2 2 2

เท่านั้น (คือ A ∩ B = ∅ )
A B (8) sin 3A cos 2A − cos2 3A sin A = 2
sin A cos A
แต่ถ้า A กับ B มีส่วน (s3A cA − c3A sA)(s3A cA + c3A sA))
→ = 2
ที่ซอ้ นทับกัน จะได้ (sin A cos A)2
(A ∪ B) − A = B − A (sin 2A)(sin 4A) 2
→ = (เติม 2 กับ 4 เอง)
ตอบ ข้อ 3. A B (2 sin A cos A)2 4
(2) 1. m1 = 3 , m2 = 3 (sin2A)(2 sin2A cos 2A) 2
→ =
(sin 2A)2
4
2. m1 = −5 , m2 = 1 / 5
3(0) + 4(0) − 10
ดังนัน้ cos 2A = 1/ 4 ตอบ
10
3. d = = = 2 (9) tan(arccos x) = − 3
32 + 42 5

4. d =
5 − (−5) 10
= 2 5 ตอบ ข้อ 4. แสดงว่า arccos x = 2π และจะได้ x = −
1
= 3 2
12 + 22 5
1 4π
−1 9 12 1 − 2 ∴ x sin(2 arccos x) = − sin
2 3
(3) หารสังเคราะห์ −9 −3 2
1 3 3
9 3 −2 = (− )(− )= ตอบ
2 2 4
∴ จากโจทย์แยกได้ (x + 1)(9x2 + 3x − 2) = 0
(10) ก. ผิด ถ้าสัมประสิทธิ์เป็นจํานวนจริงทุกตัว
−3 ± 9 + 72
คําตอบที่เป็นเชิงซ้อนจะต้องเป็นสังยุคของกัน
คําตอบที่เหลือ คือ x = ข. ถูก จากสมบัติว่า + Δ < + Δ เสมอ
18
−3 ± 9 1 2 ⎛ 1+ 3 i ⎞
6
⎛ 1− 3 i ⎞
6
= = , − (ใช้วิธีแยกตัวประกอบก็ได้) < 16 + 16 ⇒ 2
18 3 3 ∴ ⎜⎜ 2 ⎟⎟ + ⎜⎜ 2 ⎟⎟
⎝ ⎠ ⎝ ⎠
⎧ 1 2⎫
∴ ตอบ ⎨−1, , − ⎬
⎩ 3 3⎭ ตอบ ข้อ 3.
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 539 ขอสอบเขาฯ มี.ค.48

(11) log (log x ⋅ (9 − log x2)) > 1 (16) ก. f(f(0−)) = f(1) = 0 ถูก
→ log x ⋅ (9 − log x2) > 10 ข. f(f(0+)) = f(0) = 1 ถูก ตอบ ข้อ 1.
ให้ log x = A จะได้ (17) f′(x) = 2x − 4 → f(x) = x2 − 4x + C
A (9 − 2A) > 10 → 2A2 − 9A + 10 < 0 จากค่าต่ําสุดสัมพัทธ์ = 10 เกิดที่ 2x − 4 = 0
→ (2A − 5)(A − 2) < 0 → 2 < A < 5/2 → x = 2 ∴ f(2) = 10 , ได้ค่า C = 14
∴ 2 < log x < 5/2 → 102 < x < 105/ 2 ต่อมาหาพื้นที่ปิดล้อม ต้องคํานึงถึงจุดตัดแกน x ก่อน
ตอบ ab = 10 9/ 2 → f(x) = x2 − 4x + 14 = 0 ไม่มีคําตอบ

(12) เนื่องจาก 2AB = I → 2B = A−1 แสดงว่ากราฟไม่ตัดแกน x จึงอินทิเกรตรวดเดียวได้


3
ดังนัน้ จาก AX = C → X = A−1C = 2BC 3
⎛ x3 ⎞
→ ∫ f(x) dx = ⎜ − 2x2 + 14x ⎟
⎝ 3 ⎠
⎡ 1 −1 0⎤ ⎡ 1 ⎤ ⎡2⎤ 0 0
∴ X = 2 ⎢0 1 2 ⎥ ⎢0⎥ = ⎢ 8 ⎥ = 9 − 18 + 42 = 33 ตอบ
⎢⎣3 0 1 ⎥⎦ ⎢⎣2⎥⎦ ⎢⎣10⎥⎦
(18) มีคําว่า “หรือ” จึงคิดแบบทัง้ หมดลบด้วยนิเสธ
ตอบ 2 + 8 + 10 = 20 = ทั้งหมด (A → B) ลบด้วย “ f(1) ≠ 2 และ
(13) จาก A = −90 + 60 = −30 f(2) ≠ จํานวนคี”่
row-operation “ A → B ” det ไม่เปลี่ยน = 5 × 5 × 5 × 5 − 4 × 2 × 5 × 5 = 425 ตอบ
“ B → C ” det คูณ 5 กลายเป็น -150 (19) มีคําว่า “อย่างน้อย” จึงคิดแบบนิเสธ
“ C → D ” สลับแถวกัน det กลับเครื่องหมาย ±
เช่นเดียวกับข้อ 18
กลายเป็น 150 ตอบ = ความน่าจะเป็นรวม (1) ลบด้วย ความน่าจะเป็นที่
(14) 1, 2, 2, 3, 3, 3, … , n, n, n, … , n
สีเดียวล้วนๆ
1 พจน์ 2 พจน์ 3 พจน์ n พจน์ ⎛ 4⎞ + ⎛6⎞
ผลรวมข้อมูล ⎜ 3 ⎟ ⎜ 3⎟ 4 + 20
an = ค่าเฉลีย่ เลขคณิต = = 1− ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ = 1− = 0.8 ตอบ
จํานวนข้อมูล ⎛ 10 ⎞ 120
⎜3⎟
(1) + (2 + 2) + (3 + 3 + 3) + … + (n + n + n + … + n) ⎝ ⎠
=
1+2 + 3 +…+n (20) มีคําว่า “อย่างน้อย” เช่นเดียวกับข้อ 18, 19
1 + 4 + 9 + ... + n2 → ในข้อนี้เราจะไม่มองเลข 9 จะได้ว่า
=
1 + 2 + 3 + ... + n = วิธที ั้งหมด - วิธีที่ไม่มีเลข 8 เลย
⎡ n(n + 1)(2n + 1)⎤ = 8 × 9 × 9 − 7 × 8 × 8 = 200 จํานวน
⎢ ⎥
(จากสูตรซิกม่า) = ⎣ n(n6+ 1) ⎦ = 2n + 1 (1-8) (0-8) (0-8) (1-7) (0-7) (0-7)

⎢⎣ 2 ⎥⎦
⎤ 3
∴ ตอบ 200 = 2
900 9
a
∴ lim n = lim ⎛⎜
2n + 1 ⎞ 2
ตอบ (21)
n→∞ n
⎟ =
n → ∞ ⎝ 3n ⎠ 3 มีจุดยอดมุม
(15) f(x) = 1 − 1 = 1 − (1 − x) = x 3 จุดดังภาพ A m=0.5
1− x 1− x 1− x
ตรวจสอบว่าเป็น f : 1 − 1 หรือไม่ B
โดยหาอินเวอร์สดูว่าเป็นฟังก์ชันหรือเปล่า C
y O m=-2 m=-1
จาก y = x แลก x กับ y เป็น x =
1− x 1− y
→ x − xy = y → x = y + xy
สมการจุดประสงค์ z
x
มีความชัน −1.5 A
→ = y แสดงว่าจุด B เป็นจุด
1+ x B
พบว่าอินเวอร์สเป็นฟังก์ชัน แสดงว่า เป็น 1 − 1 ที่เกิด zmin
C
และจึงรู้ว่า f −1(x) = x ซึ่งตรงกับข้อ 2. ตอบ O m=-1.5
1+ x
x ⎞
−1
1− x
แก้ระบบสมการ x + y = 3 และ 2x + y = 4
(หมายเหตุ ข้อ 1. f −1(x) = ⎛⎜ ⎟ = ผิด, ได้จุดตัดเป็น x = 1, y = 2
⎝1 − x⎠ x
1 x ตอบ 1 − 2 = −1
ข้อ 2. f (x) = 1 −
−1
= ถูก)
1+ x 1+ x

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 540 ขอสอบเขาฯ มี.ค.48

(22) คะแนนซึ่งห่างจาก X อยูเ่ ท่ากับ s (24) หาจุดตัดแกน x (ให้ y = 0) จะได้


คือค่า z = ±1 ดังรูป −2a ± 4a2 − 4c
x2 + 2ax + c = 0 → x =
(เพราะ x = X ± s 2
ทําให้ z = ±1 จาก A A โจทย์วา่ ไม่มีจดุ ตัดแกน x เลย
สมการ z = x − X ) -1 0 1 z แสดงว่ าในรูท้ ติดลบ นัน่ คือ 4a2 < 4c
s → a2 < c
โจทย์ตอ้ งการจํานวนคนในบริเวณที่แรเงา ต่อมาหาจุดตัดแกน y (ให้ x = 0) จะได้
เนื่องจากพืน้ ที่ A = 0.3413 −2b ± 4b2 − 4c
ดังนัน้ ส่วนที่แรเงา = 1 − 0.6826 = 0.3174 y2 + 2by + c = 0 → y =
2
คิดเป็นจํานวนคน = 0.3174 × 20,000 โจทย์วา่ มี 2 จุด แสดงว่าถอดรู้ทได้สองค่าตามปกติ
= 6,348 คน ตอบ นั่นคือ 4b2 > 4c → b2 > c ตอบ ข้อ 3.
(23) เขียนเป็นตารางได้ดังนี้ (หมายเหตุ ถ้าโจทย์บอกว่า “สัมผัส” คือตัด 1 จุด
คะแนน f สัมพัทธ์ CF สัมพัทธ์ จะแปลว่าในรู้ทเป็น 0 พอดี คือ 4b2 = 4c )
30 – 39 0.025 0.025 (25) ให้ m = 49 + a เมื่อ a = 1, 2, 3, … , 51
40 – 49 0.050 0.075 เราพบว่า (49 + a)3 = 493 + 3(49)2 a + 3(49)a2 + a3
50 – 59 0.075 0.150 นั้นสามพจน์แรกหาร 7 ลงตัว (เพราะมี 49 คูณอยู่)
60 – 69 0.350 0.500 แสดงว่า เศษเกิดจากพจน์สุดท้าย (a3) เท่านั้น
70 – 79 0.375 0.875
80 – 89 0.075 0.950 ดังนัน้ ข้อนี้เราสามารถนับจํานวนได้จาก
13 , 23 , 33 , 43 , … , 513 (ลดทอนตัวเลขลง)
90 – 99 0.050 1.000
ซึ่งเริ่มไล่จาก 13 ÷ 7 ได้เศษ 1
ข้อ 1. 50 − 79 มี (0.075 + 0.35 + 0.375) × 80 23 ÷ 7 ได้เศษ 1 33 ÷ 7 ได้เศษ 6
= 64 คน และ 90 ขึน ้ ไป มี 0.05 × 80 = 4 คน 4 ÷ 7 ได้เศษ 1
3
53 ÷ 7 ได้เศษ 6
ดังนัน้ ข้อนี้ผดิ 63 ÷ 7 ได้เศษ 6 และ 73 ÷ 7 ลงตัว (เศษ 0)
ข้อ 2. 0.05 คือร้อยละ 5 ดังนั้นข้อนี้ผดิ 3 3 3
สําหรับ 8 , 9 , … , 51 นัน้ สามารถลดทอนลงได้
ข้อ 3. ความถี่สะสมที่ 0.250 ด้วยเหตุเดิมคือ 83 = (7 + 1)3 จึงได้เศษเหมือน 13
อยู่ในช่วง 60 − 69 ถูก ... 93 = (7 + 2)3 จึงได้เศษเหมือน 23 ... ฯลฯ
ข้อ 4. ความถีส่ ะสมที่ 0.750 วนไปจนถึง 513 = (49 + 2)3
อยู่ในช่วง 70 − 79 ดังนัน้ ข้อนี้ผดิ จะพบว่าได้เศษเป็น 6 อยู่ชดุ ละ 3 ตัว รวม 7 ชุด
ตอบ ข้อ 3. ตอบ 21 จํานวน

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 541 สถิติคะแนนสอบฯ

ʶiµi¤aæ¹¹Êoº ¤³iµÈÒʵÏ 1
ที่มา : http://www.entrance.mis.mua.go.th และ http://www.entrance.co.th/newentinfo/stat/stat.asp
สถิตทิ ี่ให้มาในตารางนี้ สําหรับผูท้ ตี่ ้องการประเมินตนเองก่อนถึงการสอบจริงโดยทดลองทําข้อสอบฉบับเก่าๆ
คะแนน 0-10 11-20 21-30 31-40 41-50 51-60 61-70 71-80 81-90 91-100 รวม
(ต่ําสุด) (เฉลี่ย) (สูงสุด) (SD)
ต.ค.41 4,495 40,972 61,452 25,434 6,044 1,867 621 243 74 30 141,232
(0.00) (25.28) (100.00) (9.74)
มี.ค.42 1,141 21,383 52,528 31,526 8,711 2,684 1,015 368 105 15 119,476
(3.00) (28.77) (100.00) (10.20)
ต.ค.42 5,884 46,996 65,383 25,631 5,766 1,611 582 211 62 13 152,139
(0.00) (24.58) (97.00) (9.51)
มี.ค.43 2,464 25,754 50,432 29,863 10,149 3,720 1,481 628 181 46 124,718
(0.00) (28.73) (100.00) (11.49)
ต.ค.43 6,958 53,464 71,551 22,916 6,543 2,445 1,138 570 255 57 165,897
(2.00) (24.46) (98.00) (10.64)
มี.ค.44 1,866 24,474 53,865 25,366 9,860 4,107 2,045 1,010 541 177 123,311
(3.00) (29.23) (100.00) (12.64)
ต.ค.44 5,341 47,058 77,649 21,070 6,007 2,271 1,011 412 128 43 160,990
(2.00) (24.66) (100.00) (10.01)
มี.ค.45 3,733 34,141 58,352 18,501 6,493 2,472 858 203 50 1 124,804
(3.00) (25.48) (92.00) (10.31)
ต.ค.45 3,805 43,527 85,139 25,799 5,564 1,370 384 96 14 3 165,701
(2.00) (24.91) (95.00) (8.61)
มี.ค.46 2,589 32,096 59,202 22,551 6,324 2,199 836 310 70 13 126,190
(0.00) (26.20) (97.00) (10.05)
ต.ค.46 1,508 31,938 86,787 34,843 8,895 2,443 858 287 79 9 167,647
(3.00) (27.26) (97.00) (9.23)
มี.ค.47 3,636 34,317 61,414 16,976 4,458 1,416 492 139 36 5 122,889
(0.00) (24.61) (94.00) (9.26)
ต.ค.47 930 49,375 74,967 31,154 4,606 917 364 120 16 7 162,456
(5.00) (25.48) (97.00) (7.87)
มี.ค.48 3,758 33,629 51,122 20,145 6,317 2,264 970 323 87 24 118,639
(0.00) (25.76) (100.00) (10.70)

ข้อสังเกต คะแนนต่าํ สุดน่าจะเป็น 0 คะแนนทุกครั้ง (น่าจะมีผู้ไม่เข้าสอบอย่างน้อย 1 คน) ส่วน


ครั้งทีเ่ ป็น 2, 3, หรือ 5 คะแนน เป็นเพราะมีขอ้ ที่โจทย์ผดิ และได้คะแนนฟรีทกุ คน ... คะแนนสูงสุดฉบับ
แรกๆ มีผู้ได้ถึง 100 คะแนนเต็ม แต่ในช่วงหลังนี้ไม่มีเลย และจํานวนผูท้ ี่ได้เกิน 80 คะแนนขึน้ ไปก็ลดลง
มาก (เพราะมีบางบทเรียนซึ่งข้อสอบยากจนไม่นา่ มีใครคิดได้ทัน) สังเกตให้ดี ปี 2545 คะแนนออกมาต่าํ
ที่สดุ (แม้จะได้บวกคะแนนฟรีกต็ าม) ... มองภาพรวมของสถิติและตัวข้อสอบ ตลอดปี 2546 ข้อสอบง่ายลง
กว่า 2545 และมาถึง มี.ค.47 ก็ยากขึน้ อีกเล็กน้อย ส่วน ต.ค.47 และ มี.ค.48 ข้อสอบเปลี่ยนแนวไปทําให้
หลายคนว่ายากขึน้ มาก ส่วนตัวผมว่าเป็นข้อสอบทีด่ ีเพราะเริ่มเน้นความเข้าใจในเนือ้ หา แต่อาจารย์กวดวิชา
คงลําบาก เพราะนักเรียนทีจ่ ะทําข้อสอบแบบนี้ได้ถูก ต้องรู้ลกึ และแม่นจริงครับ การขยันเรียนที่โรงเรียนมา
ตลอดน่าจะได้ผลมากกว่ากวดวิชา
ข้อสังเกตนี้เป็นเพียง “ความเห็นส่วนตัว” ซึ่งวิเคราะห์จากสถิติและโจทย์ขอ้ สอบเก่าเท่านัน้ อาจจะ
วิเคราะห์ผดิ ก็ได้ ไม่ควรยึดถือว่าต้องเป็นไปตามนีจ้ ริง ... ขยันฝึกทําโจทย์และทดลองจับเวลา จนกว่าจะได้
คะแนนอยูต่ ัวในระดับที่หวังไว้ ดีทสี่ ุดครับ ... ฝากทิ้งท้ายว่า “อย่าเอาสถิติมาบั่นทอนกําลังใจตัวเอง แต่เอาไว้
เป็นเป้าหมายถึงจะดี :]”
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 542 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)

¢ŒoÊoºe¢ŒÒÏ ¾×é¹°Ò¹ÇiÈÇa ’32-’41


e©¾Òa¢Œo·Õèe»š¹¤³iµÈÒʵÏ
ข้อสอบทุกข้อเป็นแบบปรนัย ข้อละ 2 คะแนน
y
ปี 2532
1. จงหาพื้นที่ของระนาบ กขค บนแกน xyz ดังแสดงในรูป ข
กําหนดให้ระยะ กค = 10 เมตร ระยะ งข = 4 เมตร และระยะ 4
งจ = 3 เมตร ขจ ตั้งได้ฉากกับฐาน กค ง ก x
1. 15 ตร.ม. 2. 20 ตร.ม. 3
3. 25 ตร.ม. 4. 50 ตร.ม. ค จ10
z
2. ขึงลวดสลิงเป็นรูปพาราโบลา โดยมีช่วงยาวระหว่างปลายทั้งสองข้าง กข = 4.0 เมตร
y ลวดสลิงตกท้องช้างที่กลางช่วงจุด ค 1.0 เมตร
จงหาสมการความสัมพันธ์ของรูปลวดสลิง
ก ข x 1. y = x
ค 1.0 2. y = x 2 − 3
2.0 2.0
4.0 3. y = (x + x 2) / 2
4. y = x − x 2/4
y
3. y เป็นฟังก์ชันของ x ซึ่งมีกราฟแสดงความสัมพันธ์ (1,4)
4
ได้ดังรูป ต้องการทราบว่าค่าอนุพันธ์ dy/dx มีค่าเท่าไร
1. −4 2. −2 0 x
3. 2 4. 4 1 2 3
-4 (3,-4)
4. สมการการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสี N = N0e−λt สามารถเขียนให้อยู่ในรูปลอการิทึมฐาน e
ได้เป็น ln N = −λt + ln N0 ให้หาว่ากราฟรูปใดแสดงความสัมพันธ์ของการสลายตัวนี้
1. ln N 2. ln N 3. ln N 4. ln N

t t t t
5. พาราโบลาที่มีเส้นตรง y = −2 เป็นไดเรกตริกซ์ และจุด (0, 0) เป็นโฟกัส จะผ่านจุดใด
1. (0, 0) 2. (0, −1) 3. (0, 1) 4. (0, −2)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 543 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)

1
6. จงหาโคออร์ดิเนตของจุดตัดระหว่างกราฟเส้นตรง y = x+3 กับ y = 2x + 1
2
3
1. (2, 4) 2. ( , 4) 3. (4 , 11) 4. 5 11
( , )
2 3 3 4 4

7. กลุ่มตัวเลขต่อไปนี้ กลุ่มใดมีทั้งพิสัยต่ําสุดและฐานนิยมสูงสุด
กลุ่มที่ 1 1, 5, 7, 6, 5 กลุ่มที่ 2 2, 3, 6, 6, 4
กลุ่มที่ 3 2, 7, 4, 7, 3 กลุ่มที่ 4 3, 6, 7, 7, 4
1. กลุ่มที่ 1 2. กลุ่มที่ 2 3. กลุ่มที่ 3 4. กลุ่มที่ 4
8. เส้นโค้งสองเส้นต่อไปนี้ มีความชันเท่ากันเมื่อ x มีค่าเท่าใด
y = 3x 2 − 3x + 1 และ y = x 3 + 1
1. 0 2. 1 3. 2 4. 3

9. มีเส้นคู่ขนานสองเส้นคือ x − y + 5 = 0 และ x − y − 5 = 0
ระยะห่างระหว่างเส้นคู่ขนานสองเส้นนี้จะเป็นเท่าใด
1. 10 2 2. 10/ 2 3. 2 /10 4. 10 /2

10. ความสัมพันธ์ระหว่างต้นทุนการผลิตเครื่องจักรต่อเครื่อง กับจํานวนการผลิตเป็นดังนี้


จํานวนการผลิต x (เครื่อง) 1 2 3 4
ต้นทุนต่อเครื่อง y (หน่วย 100 บาท) 65 35 25 20
ถ้านําข้อมูลไปหาความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชัน จะได้ความสัมพันธ์แบบใด
1. y = ax 2 2. y = ax + b 3. y = a2 4. y=
a
+b
x x

1 B 1/y
11. สมการ = x + A เขียนเป็นกราฟได้ดังรูป จงหาค่า B
y A
tan θ
1. B = tan θ 2. B =
RO R
3. B = RO tan θ 4. B = PO RO
θ x
P O
ปี 2533
12. คนงาน 4 คน ได้รับมอบหมายให้ทําชิ้นงานที่เหมือนๆ กัน
นาย ก ทํา 4 ชิ้น ใช้เวลาทํา 32 นาที นาย ข ทํา 6 ชิ้น ใช้เวลาทํา 24 นาที
นาย ค ทํา 4 ชิ้น ใช้เวลาทํา 24 นาที นาย ง ทํา 7 ชิ้น ใช้เวลาทํา 28 นาที
หากให้คนงานทัง้ 4 คนนี้ทาํ งานร่วมกันเป็นทีมในเวลา 5 ชั่วโมง จะได้ชิ้นงานรวมกี่ชิ้น
1. 233 ชิ้น 2. 237 ชิ้น 3. 250 ชิ้น 4. 300 ชิ้น
13. ในการสร้างอาคารสูงหลังหนึ่ง เสียค่าใช้จา่ ยคงที่เป็น 450 เท่าของค่าก่อสร้างอาคารชั้นแรก
โดยค่าก่อสร้างชั้นต่อๆ ไปมีค่าเป็น 2, 3, 4, ... เท่าของชั้นแรก ตามลําดับ จะต้องสร้างอาคารนี้สูงกี่
ชั้นจึงจะเสียค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อชัน้ น้อยที่สุด
1. 30 ชั้น 2. 34 ชั้น 3. 39 ชั้น 4. 42 ชั้น
14. ผลรวมของมุมภายในของรูปสามเหลี่ยม, สี่เหลี่ยม และห้าเหลี่ยม มีค่าเท่ากับ 180°, 360° และ
540° ตามลําดับ จงหาว่าผลรวมของมุมภายในของรูปยี่สิบเหลี่ยมมีค่าเท่าไร
1. 2160° 2. 2700° 3. 3240° 4. 3780°

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 544 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)

15. นักศึกษา 110 คน แต่ละคนต้องเลือกเรียนวิชาฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ อย่างน้อย


หนึ่งวิชา นักศึกษาเลือกเรียนวิชาฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ เป็นจํานวน 80, 60 และ
40 คน ตามลําดับ ในจํานวนดังกล่าวนี้มีนักศึกษาที่เลือกเรียนทั้งสามวิชาเป็นจํานวน 10 คน เลือก
เรียนวิชาฟิสิกส์อย่างเดียว 20 คน เลือกเรียนวิชาคณิตศาสตร์อย่างเดียว 30 คน และนักศึกษาที่
เลือกเรียนภาษาอังกฤษทุกคนจะเลือกเรียนวิชาฟิสิกส์ด้วย จงหาความน่าจะเป็นที่นักศึกษาเลือกเรียน
วิชาคณิตศาสตร์หรือภาษาอังกฤษ
1. 7/11 2. 8/11 3. 9/11 4. 10/11
16. เครื่องบินเคลื่อนที่เป็นเส้นตรงในแนวระดับ ผ่านเหนือเจดีย์ด้วยความเร็วคงที่ 450
V = 450 ก.ม./ชม. กิโลเมตร/ชั่วโมง เมื่อถึงตําแหน่ง A นักบินมองเห็น
A
30° 60° ยอดเจดีย์เป็นมุมก้มเท่ากับ 30° กับแนวราบ หลัง
จากนั้นอีก 20 วินาที นักบินมองเห็นยอดเจดีย์เป็น
มุมก้ม 60° กับแนวราบ จงหาว่าเครื่องบินลํานี้บินสูง
จากยอดเจดีย์เท่าไร
1. 1250 เมตร 2. 1250 3 เมตร
เจดีย์ 3. 2500 เมตร 4. 2500 3 เมตร

17. วงกลมรัศมี r เมตร สองวง แต่ละวงมีจุดศูนย์กลางตั้งอยู่


บนเส้นรอบวงของอีกวงหนึ่ง พื้นที่ร่วมกันระหว่างวงกลมทั้ง
สองจะมีค่าโดยประมาณใกล้เคียงที่สุดเท่ากับ r r
2 2
1. 1.00 r ตารางเมตร 2. 1.23 r ตารางเมตร
2
3. 1.41 r ตารางเมตร 4. 1.73 r2 ตารางเมตร
18. ทิศทางของเวกเตอร์ Ã , B̃ และ D̃ ดังแสดงในรูป กําหนดให้ ˜ ˜ ˜
C = A + B
ขนาดของ ˜ A = 20 หน่วย = 2 เท่าของขนาดของ B̃

30 และขนาดของ ˜ D = 20 3 หน่วย
B̃ ° ˜ ˜
à D̃ จงคํ า นวณหาขนาดของ D − C
60° 1. 10 3 หน่วย 2. 15 หน่วย
3. 20 3 หน่วย 4. 30 หน่วย
z
19. ต้องการเดินท่อจากตําแหน่ง B ไปยัง O ในแนว 9 เมตร
เส้นทแยงมุม OB ของรูปปริซึม ท่อจะมีความยาวเท่าไร y
A 30° B
กําหนดให้ AB ทํามุม 30° กับ OB
1. 17.319 เมตร 2. 17.414 เมตร O
3. 17.732 เมตร 4. 17.886 เมตร 12 เมตร
x
20. จงหาระยะทางที่สั้นที่สุดจากจุดตัดของเส้นตรง y = x − 5 กับเส้นตรง y = −2x − 5 ไปยังแนว
ของเส้นตรง y = − 3 x + 3
4
1. 3/5 2. 8/5 3. 27/5 4. 32/5

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 545 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)

21. คะแนนสอบของวิชาพื้นฐานทางวิศวกรรม มีการแจกแจงปกติ โดยผู้ได้คะแนนตั้งแต่ 61 – 70


คะแนน มีอยู่ 13.6% ส่วนผู้ที่ได้คะแนนเท่ากับหรือต่ํากว่า 60 คะแนน มีอยู่ 84.13%
กําหนดให้ 0 < ค่ามาตรฐาน < 1 มีพื้นที่ใต้โค้ง = 0.3413
0 < ค่ามาตรฐาน < 2 มีพื้นที่ใต้โค้ง = 0.4773
ค่าเฉลี่ยเลขคณิตและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของวิชา มีค่าเป็นเท่าไร
1. X = 40, σ = 10 2. X = 40, σ = 15
3. X = 50, σ = 10 4. X = 50, σ = 15
22. สมการ log 16 x + log 4 x + log 2 x = 7 ค่าของ x จากสมการนี้จะเท่ากับ
1. 4 2. 8 3. 14 4. 16

23. แนวถนนตรงสองสายตัดกันเป็นมุม 60° ที่จุด ค ค 60°


หากต้องการสร้างถนนใหม่เป็นแนวโค้งเชื่อมต่อแนวถนนเดิม แนวถนน แนวถนน
โดยใส่ส่วนโค้งของวงกลมรัศมี 510 เมตร ดังรูป ระยะที่สั้น เดิม แนวถนน เดิม
ที่สุดจากจุดตัดเดิมไปยังแนวถนนใหม่นี้จะมีค่าประมาณเท่าไร ใหม่
1. 60 เมตร 2. 80 เมตร
3. 100 เมตร 4. 120 เมตร R = 510 เมตร
24. ขึงเชือกให้เป็นรูปพาราโบลาระหว่างจุด A และ B ระยะห่าง 10 เมตร และระยะหย่อน
y ต่ําสุดที่กึ่งกลาง ณ จุด C เป็น 1 เมตร
5 เมตร ให้หาระยะหย่อนของเชือกที่จุด D
2 เมตร 1. 12/25 เมตร 2. 14/25 เมตร
A D C B x 3. 16/25 เมตร 4. 20/25 เมตร
1 เมตร
10 เมตร f1(x)
5
25. กราฟของฟังก์ชัน f1(x) และ f2(x) มีดังแสดงในรูป 4
3
ค่าอนุพันธ์ของฟังก์ชันนี้เท่ากัน เมื่อ x มีค่าเท่าใด 2
1. x = 1.5 1
2. x = 3.0 x
3. x = 5.5 f2(x) 1 2 3 4 5 6 7 8 9
4. x = 7.5 5
4
3
2
1
26. ต้องการสร้างถังเก็บน้ําทรงกระบอก ให้สามารถจุ x
ปริมาตรได้เท่ากับ 16 π ลูกบาศก์เมตร จงหาว่าขนาด 1 2 3 4 5 6 7 8 9
ของถังใบนี้มีค่าเป็นเท่าไร จึงทําให้พื้นที่ผิวของน้ํามัน(รวมพื้นที่ฝาและฐาน) มีค่าน้อยที่สุด
R ให้ R เป็นขนาดความยาวรัศมีของถัง
และ h เป็นขนาดความสูงของถัง
1. R = 1.59 เมตร, h = 6.35 เมตร
h 2. R = 2 เมตร, h = 4 เมตร
3. R = 2.52 เมตร, h = 2.52 เมตร
4. R = 2.83 เมตร, h = 2 เมตร
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 546 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)

27. เซตคําตอบของสมการ 2x4 + 3x3 + 2x2 − 1 = 0 คือ


1 1 1 3 1 3
1. {−1, , − 1 + 3 i, 1 − 3 i } 2. {−1, , − + i, − − i}
2 2 2 2 2 2
1 1 3 1 3 1
3. {−1, , − i, + i} 4. {−1, , 2 + 3 i, − 2 − 3 i }
2 2 2 2 2 2

ปี 2534
28. สมการจํานวนเชิงซ้อน 3 x + 4 y i = 2 (cos
π + i
1 π
sin )2 โดยที่ i = −1
4 2 4
ฉะนั้นค่าของ x จากสมการนี้จะเท่ากับ
1. 2 − 2 2. 2 3. 1
+
2
4. 1
3 2 3 2 2 3 2 6

29. ในการวางท่อน้ําประปาจากจุด A ไปจุด B ตามรูปข้างล่างนี้ ค่าใช้จ่ายในการวางท่อขนาน


กับถนนเท่ากับ 100 บาทต่อเมตร และเท่ากับ 200 บาท B
ต่อเมตรเมื่อวางท่อข้ามถนน เพื่อให้เสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด
จงหาระยะ AP ซึ่งท่อน้ําเริ่มเลี้ยวข้ามถนน ถนนกว้าง 15 ม.
A P
1. 85.5 เมตร 2. 91.4 เมตร 100 ม.
3. 95.7 เมตร 4. 100 เมตร
30. ในการทดลองอบแห้งพืชชนิดหนึ่งโดยการวัดน้ําหนักของพืช ( M ) และเวลาที่ใช้ในการอบแห้ง
( t ) ได้ข้อมูลดังต่อไปนี้
เวลา (ชั่วโมง) 0 10 20 30 40
น้ําหนักพืช (กรัม) 99 36 15 5 2
จงหาสมการที่จะแสดงความสัมพันธ์ระหว่างน้ําหนักพืชและเวลาที่ใช้ในการอบแห้ง ที่ดีที่สุด
1. M = 100 − e−0.1 t 2. M = 100 − e0.1 t
3. M = 100 e−0.1 t 4. M = 100 e0.1 t
31. แรงดันไฟฟ้า e = 100 sin θ โวลต์, กระแสไฟฟ้า i = 10 sin(θ − 60°) แอมแปร์
กําลังไฟฟ้า P เท่ากับผลคูณของ e และ i กําลังไฟฟ้าสูงสุดจะมีค่าเท่าใด
1. 750 วัตต์ 2. 1000 วัตต์ 3. 500 วัตต์ 4. 250 วัตต์
⎡ 1 2 −1 ⎤
32. จงหาค่า x ที่ทําให้เมตริกซ์ A = ⎢ −2 x −2⎥ เป็นซิงกูลาร์เมตริกซ์
⎢ ⎥
⎣ 1 −2 1 ⎦
1. 4 2. 2 3. 1 4. 0

33. โดมรูปครึ่งทรงกลม มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว


50 เมตร ตัดยอดออกในแนวราบที่ระดับ 20 เมตร
จากฐาน จงหาพื้นที่ของวงกลมส่วนที่ตัด
1. 225π / 4 ตารางเมตร 20 ม.
2. 225π ตารางเมตร
3. 400π ตารางเมตร
4. 500π ตารางเมตร r = 25 ม. r = 25 ม.

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 547 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)

34. จุดยอดของรูปสามเหลี่ยมอยู่ที่ (1, 1), (−1, −1) และ (−4, 2) บนระนาบ x และ y จงหาพื้นที่
ของสามเหลี่ยมนี้
1. 6.5 ตารางหน่วย 2. 5 ตารางหน่วย
3. 6 ตารางหน่วย 4. 5.5 ตารางหน่วย

35. จงหาค่าของ x เมื่อ log (5x + 10) = log (3x − 2) + 1


1. 0.8 2. 0.4 3. 1.2 4. −6

ปี 2535
36. ช่างสํารวจได้ทําการจดข้อมูลการวัดดังนี้คือ AB ยาว 60 เมตร โดยแนว AB ขนานกับริมฝั่ง
แม่น้ํา มีระยะห่าง 5 เมตร จุด C อยู่ห่างจากริมฝั่งอีกข้างหนึ่งเท่ากับ 12 เมตร ถ้าช่างวัดขนาด
ของมุม BAC และ CBA ได้ 75 องศา และ 45 องศา ตามลําดับ จงหาว่าแม่น้ําสายนี้กว้าง
เท่าใด C
12 เมตร (กําหนดว่า sin 75° = 3 + 1 )
2 2
1. 18.49 เมตร 2. 30.32 เมตร
ทิศการไหล
3. 35.49 เมตร 4. 47.32 เมตร
45° 5 เมตร
A 75° B
df
37. ถ้า f (x) = x 2 sin 2x จงหา
dx
d(uv) u dv v du
กําหนดให้ = + เมื่อ u และ v เป็นฟังก์ชันของ x
dx dx dx
d
และ (sin 2x) = 2 cos 2x
dx
1. 2x 2 cos 2x + 2x sin 2x 2. x 2 cos 2x + 2x sin 2x
3. 2x 2 cos 2x + x sin 2x 4. x 2 cos 2x + x sin 2x

⎡2 1 ⎤ ⎡ 3 2⎤
38. กําหนดให้ A = ⎢ ⎥ และ B = ⎢ ⎥
⎣0 3⎦ ⎣ 1 2⎦
จงหาค่าของ A T × (B × A)
⎡14 12 ⎤ ⎡12 18 ⎤ ⎡21 27 ⎤ ⎡20 18⎤
1. ⎢16 24⎥ 2. ⎢12 30⎥ 3. ⎢ 11 21 ⎥ 4. ⎢ 12 18⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦

39. เด็กกลุ่มหนึ่งมี 5 คน สี่คนแรกมีอายุ 1, 4, 6 และ 8 ปี ตามลําดับ ถ้าค่าเฉลี่ยเลขคณิตของ


อายุเด็กทั้ง 5 คน คือ 6 ปี ค่ากึ่งกลางพิสัยของอายุเด็กกลุ่มนี้คือ
1. 4.5 ปี 2. 5.0 ปี 3. 6.0 ปี 4. 11.0 ปี
40. ถ้าค่าเฉลี่ยเลขคณิตของอายุนักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 4, 5 และ 6 ของโรงเรียนแห่งหนึ่งเป็น 16,
17 และ 18 ปี ตามลําดับ และจํานวนนักเรียนในแต่ละชั้นดังกล่าวเป็น 60, 50 และ 30 คน
ตามลําดับ ค่าเฉลี่ยเลขคณิตรวมของอายุนักเรียนทั้งหมดคือ
1. 16.5 ปี 2. 16.8 ปี 3. 17.0 ปี 4. 17.5 ปี
41. ถ้า U(x) = x 2 − 2.6 x + 1.5 , 0 < x < 3 ค่าน้อยที่สุดของฟังก์ชัน U คือ
1. −0.23 2. −0.19 3. −0.15 4. 1.50

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 548 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)

42. หน้าตัดส่วนหนึ่งของท่อรับอากาศเข้าของเครื่องบิน F-100 เป็นรูปวงรีที่มีโฟกัสอยู่ที่จุด (-4,-5)


มีแกนเอกยาว 14 หน่วย และมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ (-4,1) สมการของวงรีนี้คือ
(x + 4)2 (y − 1)2 (x + 4)2 (y − 1)2
1. + = 1 2. + = 1
49 25 13 49
(x + 4)2 (y − 1)2
3. + = 1 4. ไม่มีคําตอบที่ถูกต้อง
25 13

43. กําหนดให้ เมื่อ x = 0, v = 1


d 2v d ⎛ dv ⎞
เมื่อ x = 1, = ⎜ ⎟ = 6
dx 2 dx ⎝ dx ⎠
dv
และ = ax 2 + 3 จงหา v (x)
dx
x3
1. + 3x + 1 2. x 3 + 3x + 1
3
3. 2x 3 + 3x + 1 4. 3x 3 + 3x + 1

44. กําหนดให้ A = {a, b, c} จงเลือกข้อความที่ถูกต้อง


1. a ⊂ A 2. A ⊂ {b, c} 3. ∅ ⊂ A 4. {b} ∈ A

45. กําหนดให้ A = 1+ 2i, B = 2 + 3i, C = 3 + 4i


(B + C) C
จงหาค่าของ โดยที่ B คือสังยุคของ B และ C คือค่าสัมบูรณ์ของ C
A
1. 6 −8i 2. 7 −9i 3. 6 +8i 4. 7 + 9i

46. เส้นโค้งเส้นหนึ่งผ่านจุด (2, a) และ (1, 1) ถ้าความชันของเส้นสัมผัสเส้นโค้งนี้ที่จุด (x, y) ใดๆ


เป็น 3x 2 − 2 จงหาค่าของ a
1. 2 2. 4 3. 6 4. 8

47. แผงรับแสงอาทิตย์ประกอบด้วยกระจกสะท้อนแสงรูปพาราโบลา ที่เขียนได้เป็นสมการ


x2 − 12y − 6x = 3 พื้นผิวนี้จะมี
1. โฟกัสที่ (2, 3) จุดยอดที่ (−1, 3) และไดเรกตริกซ์ x = −4
2. โฟกัสที่ (2, 3) จุดยอดที่ (1, −3) และไดเรกตริกซ์ x = 4
3. โฟกัสที่ (3, 2) จุดยอดที่ (3, 1) และไดเรกตริกซ์ y = 4
4. โฟกัสที่ (3, 2) จุดยอดที่ (3, −1) และไดเรกตริกซ์ y = −4
1
48. ถ้า log x = log a − log b และกําหนดให้ a = 27 b 6 อยากทราบว่า x มีค่าเป็นเท่าไร
3
1. 3b 2. 3 3 b2 3. b (3 b − 1) 4. 9 b5

7
49. ท่อน้ําในโรงงานแห่งหนึ่งวางเอียงและเขียนเป็นสมการได้ y−4 = (x − 3)
5
จากจุด P (9, 12) ต้องการดึงเชือกไปผูกกับท่อที่ P1 โดยให้เชือกทํามุมฉากกับท่อ ความยาว PP1
ของเส้นเชือกคือ
2
1. 2 2. 2 3. 2
4.
37 37 37 37

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 549 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)

50. เวกเตอร์สองเวกเตอร์ซึ่งมีขนาด 8 หน่วย และ 12 3 y


หน่วย ทํามุมกับแกนระบบพิกัดฉาก 30 องศา และ 60 องศา 8 หน่วย
ดังรูป จะต้องใช้เวกเตอร์ใดมารวมกับเวกเตอร์ทั้งสอง ทําให้
ได้เวกเตอร์ลัพธ์เป็นศูนย์ 30° x
1. − (10 3) i − 22 j 2. − (2 3) i − 14 j 60°

3. (10 3) i + 22 j 4. (2 3) i + 14 j 12 3 หน่วย

ปี 2536
51. จากการศึกษาอายุการใช้งานของเครื่องยนต์เล็กชนิดเดียวกัน 3 ยี่ห้อ ยีห่ อ้ แรกศึกษามาจาก 22
เครื่อง ได้อายุเฉลี่ย 12 ปี ยี่หอ้ ที่สอง 8 เครื่อง อายุเฉลี่ยรวมของทั้งสองยี่ห้อ 13.6 ปี ส่วนยี่ห้อที่
สามจําไม่ได้ว่ากี่เครื่อง แต่มีอายุเฉลี่ย 16 ปี ถ้าอายุเฉลี่ยรวมของทั้งสามยี่ห้อเป็น 14.2 ปี จงหา
จํานวนเครื่องของยี่ห้อที่สาม
1. 10 เครื่อง 2. 14 เครื่อง 3. 15 เครื่อง 4. 18 เครื่อง
52. ถ้า (x − y i)(2 + i) = 7 + 4 i เมื่อ x และ y เป็นจํานวนจริง จงหาว่า x + 2y มีค่าเท่าใด
3
1. 1 2. 2 2 3. 3 1 4. 4
1
5 3 5 3

53. รถยนต์คันหนึ่งแล่นในแนวเส้นตรง เริ่มออกแล่นในช่วง 12 วินาทีแรกด้วยสมการความเร็ว


v 2 = 6 2 − (t − 6)2 เมื่อ v = ความเร็ว (เมตรต่อวินาที) t = เวลา (วินาที) หลังจากสิ้นวินาทีที่
12 รถยนต์เร่งเครื่องด้วยอัตราเร่งคงตัวจนกระทั่งมีความเร็วเป็น 5π เมตรต่อวินาที ภายใน 4
วินาที ระยะทางทั้งหมดที่รถแล่นได้มีค่าเท่าใด
1. 18π เมตร 2. 26π เมตร 3. 28π เมตร 4. 46π เมตร
54. จานรับสัญญาณดาวเทียมถูกออกแบบให้เป็นโค้ง Y (cm)
พาราโบลาดังรูป โดยสัญญาณจะมารวมกันที่จุดโฟกัส 42
สมการและค่าโฟกัสของจานใบนี้คือ
1. 600y = 7x 2 โฟกัสคือ 21.43 cm
2. 600x = 7y 2 โฟกัสคือ 21.43 cm 120 X (cm)
3. 147y = 5x 2 โฟกัสคือ 7.35 cm F
4. 147x = 5y 2 โฟกัสคือ 7.35 cm
1
55. ถ้า log x = log a − 2 log b + 2 log c
3
8 b9
และกําหนดให้ a = ดังนั้น x จะมีค่าเท่าใด
c3
2 2b 2c
1. 2bc 2. 3. 4.
bc c b

56. เสี้ยว 1/4 ของวงกลมดังรูป แสดงตําแหน่งของจุดโคออร์ดิเนตดังนี้ y


A (3, 11) , B (3, −2) , C (16, −2) และ D (8, 10)
A
สมการของเส้นตรงที่สัมผัสกับเสี้ยววงกลมที่จุด D คือ D
1. 5x − 12y = 148 2. 12x + 5y = 146
3. 5x + 12y = 160 4. 6x + 11y = 158
x
B C
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 550 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)

57. อุโมงค์รถไฟแห่งหนึ่ง ถูกออกแบบเป็นรูปครึ่งวงรี


ซึ่งมีฐานกว้าง 36 เมตร และสูง 12 เมตร ความสูงของ
อุโมงค์ที่ระยะทางห่างจากศูนย์กลางเท่ากับ 6 เมตร 12
จะมีค่าเท่าใด 120 X (cm)
1. 5 3 เมตร 2. 6 3 เมตร 6
3. 7 2 เมตร 4. 8 2 เมตร 36
58. จากเส้นโค้งปกติและเส้นโค้งปกติมาตรฐาน ดังรูป
กําหนดให้ z1 = x1 − x , z2 = x2 − x , และพื้นที่ B = 0.05 อยากทราบว่าพื้นที่ A ซึ่งอยู่
s s
ระหว่าง x1 และ x2 มีค่าเท่าใด
A 1. 0.90 2. 0.95
3. 0.96 4. 0.99
x1 x x2
f(x)

B 18
16
z1 = − 1.96 0 z2 = 1.96 14
12
59. ฟังก์ชัน f (x) ของกราฟต่อไปนี้ คืออะไร 10
8
1. f (x) = 2 x + x 6
2. f (x) = 2x2 + 1 4
3. f (x) = x2 + x + 1 2
4. f (x) = x3 − 2x2 + 3x + 1 x
0 1 2 3
x n+ 1
60. กําหนดให้ f′(x) = x n แล้วจะได้ f (x) = + c โดยที่ n ≠ −1 และ c เป็นค่าคงตัว ถ้า
n+1
4
หาก f′(x) = 3x2 − −2 และ f (2) = 8 แล้วจงหาว่า c มีค่าเท่าใด
x2
1. 2 2. 7/2 3. 11/2 4. 6
y
61. กําหนดเวกเตอร์ P̃ และ Q̃ ดังรูป ถ้าขนาดผลรวมของ Q̃
เวกเตอร์ทั้งสองในแนวแกน x และแกน y มีค่า 21 หน่วย P̃
และ 18 หน่วยตามลําดับ ขนาดของเวกเตอร์ P̃ ได้แก่ (4,2)
1. 3 5 หน่วย 2. 5 5 หน่วย (-1,2)
3. 8 5 หน่วย 4. 12 5 หน่วย x
0
62. เด็ก 4 คนมีค่าเฉลี่ยเลขคณิตของอายุ 5 ปี โดยที่เด็ก 3 คนมีอายุ 4.3, 5.3 และ 6.4 ปี พิสัย
ของอายุของเด็กทั้ง 4 คนนี้ มีค่าเท่าใด
1. 0.7 ปี 2. 1.4 ปี 3. 2.1 ปี 4. 2.4 ปี

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 551 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)

⎡3 x ⎤
⎡1 2 0⎤ ⎢ ⎡5 7 ⎤
⎢1 0 2 ⎥ ⎢ 1 y ⎥ = ⎢5 5⎥
63. ถ้า ⎥ แล้ว x + y − z จะมีค่าเท่าใด
⎣ ⎦ z 1 ⎣ ⎦
⎣ ⎦
1. 4 2. 5 3. 6 4. 7

4 + 3n(2n + 1) + 9n3(3n + 1)
64. ถ้า y = lim จงหาว่า y มีค่าเท่าใด
n→∞ 1 − 3 (n + 1) + 9n3(n + 1)
1. 1 2. 2 3. 3 4. 4

65. สุดายืนอยู่ทางทิศใต้ของเสาธง มองดูยอดเสาธงเป็นมุมเงย 60 องศา เมื่อสุดาเดินตรงไปทาง


ทิศตะวันตกเป็นระยะทาง 10 เมตร มองดูยอดเสาธงเป็นมุมเงย 45 องศา จงหาว่าเสาธงสูงกว่า
ระดับสายตาของสุดากี่เมตร
1. 7.1 เมตร 2. 10 เมตร 3. 12.2 เมตร 4. 23.7 เมตร
66. ถ้า u = x 3 − 3.63 x + 1.362 , 0 < x < 3 ค่าน้อยที่สุดของ u คืออะไร
1. −1.362 2. −1.300 3. 1.100 4. 1.362

67. บริษัทแห่งหนึ่งจําหน่ายสินค้า 3 ชนิด ต้องการเปรียบเทียบการขายของพนักงาน 4 คน โดยมี


ข้อมูลดังแสดงใน จํานวนสินค้าที่ขายได้ ตาราง
ผู้ที่ขายเก่งที่สุดคือใคร พนักงาน ชนิดที่ 1 ชนิดที่ 2 ชนิดที่ 3
1. คนที่ 1 คนที่ 1 8 5 9
2. คนที่ 2 คนที่ 2 7 7 8
3. คนที่ 3 คนที่ 3 8 8 6
4. คนที่ 4 คนที่ 4 8 9 5
ค่าเฉลี่ยเลขคณิต 7 8 7
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1 1 2
68. นาย ก, ข, ค และ ง ยืนอยู่ที่ตําแหน่ง (3, 5), (2, 4), (2, 3) และ (4, 2) ตามลําดับ โดยหน่วย
เป็นกิโลเมตร ถ้าทั้งสี่คนออกเดินทางพร้อมกันตรงไปยังจุดหมาย จ ที่ (3, 10) ด้วยความเร็ว 25 ,
38 , 49 และ 64 กิโลเมตรต่อชั่วโมงตามลําดับ ผู้ที่ไปถึงจุดหมายหลังสุดคือใคร
1. นาย ก 2. นาย ข 3. นาย ค 4. นาย ง

ปี 2537
69. ถ้าค่าเฉลี่ยเลขคณิตของส่วนสูงของนักเรียนในโรงเรียนแห่งหนึ่งเป็น 165 เซนติเมตร โดยมี
จํานวนนักเรียนทั้งสิ้น 200 คน ต่อมาปรากฏว่ามีนักเรียนซึ่งมีส่วนสูง 150 เซนติเมตร จํานวน 20
คนได้ลาออกไป ถามว่าค่าเฉลี่ยเลขคณิตของส่วนสูงของนักเรียนโรงเรียนนี้จะเป็นเท่าไร หลังจาก
นักเรียนกลุ่มดังกล่าวได้ลาออกไป
1. 167.67 ซม. 2. 166.67 ซม. 3. 177.67 ซม. 4. 176.67 ซม.
70. จงหาผลคูณเชิงสเกลาร์ u ⋅ n ระหว่างเวกเตอร์ u จากจุด A (6, 4) ไปยังจุด B (−2, −2) กับ
เวกเตอร์ n ซึ่งเป็นเวกเตอร์หนึ่งหน่วย (unit vector) ที่มีทิศทางเดียวกับเวกเตอร์จากจุด C (−1, 2)
ไปยังจุด D (2, 6)
1. −4.8 2. −48 3. −9.6 4. 9.6

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 552 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)

71. AB และ CD เป็นเส้นผ่านศูนย์กลางของวงกลมวงเดียว ถ้าจุด A , B และ C มีพิกัดดังนี้


A(5,1.732) A (5, 1.732) , B (3, −1.732) และ C (2.268, 1)
C(2.268,1) ให้หาพิกัดของจุด D
1. (5.628, −1) 2. (5.732, −1)
3. (6.628, −1) 4. (6.732, −1)
D
B(3,-1.732)
72. จากการศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างแรงและความเร่ง ได้ข้อมูลดังนี้
แรง (N) 1 2 3 4
ความเร่ง (m/s2) 0.1 0.2 0.6 0.8
กําหนดให้วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของแรง ( F ) และความเร่ง ( a ) ในเชิงสมการเส้นตรง จงทํานายค่า
ความเร่งเมื่อแรง F = 3.5 N
1. 0.665 m/s2 2. 0.675 m/s2 3. 0.680 m/s2 4. 0.700 m/s2
dA ⎡ d(aij)⎤
73. กําหนดนิยามดังนี้ เมื่อ A เป็นเมตริกซ์จัตุรัส n×n ใดๆ แล้ว = ⎢ ⎥
dx ⎣ dx ⎦ n × n
⎡x3 x2 + x/2⎤ ⎡ 1⎤ ⎡0⎤
ถ้า A = ⎢ ⎥ B = ⎢ ⎥C = ⎢ ⎥
⎣2 x ⎦ ⎣2⎦ ⎣2 ⎦
dA
จงหาผลรวมของค่า x ที่สอดคล้องกับสมการ ⋅B = C
dx
1. 0 2. −1/3 3. −4/3 4. −1

74. กําหนดให้ z คือจํานวนเชิงซ้อน โดยที่ z = x+yi จงหาความชันของเส้นโค้ง z−1 = 2 ที่


จุด (x, y) ใดๆ
1. − y 2. 1 − x 3. 1+ y
4. 1− y
x y x x

75. กําหนดให้ log 10 5 = A จงหาค่าของ 2 + log 10 1.25

1. A 2. 2A 3. 3A 4. 4A

76. นาย ก และนาย ข ออกเดินทางจากจุดเริ่มต้นเดียวกัน นาย ก เดินด้วยความเร็ว 2 กิโลเมตร


ต่อชั่วโมง มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงไปทางเหนือเล็กน้อยเป็นมุม 30° กับทิศตะวันออก นาย
ข เดินด้วยความเร็ว 4 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไปทางทิศใต้ เมื่อเวลาผ่านไป 90 นาที นาย ก และนาย
ข จะอยู่ห่างกันเท่าใด
1. 3 7 กม. 2. 3 3 กม. 3. 45 + 18 3 กม. 4. 45 − 18 3 กม.
77. กําหนดให้ ˜ ˜
AB = 3 i + j และ AC = 2 i + 3 j จงหาขนาดของมุม BAC
(กําหนด 1.3 = 1.14 )
1. 30° 2. 38° 3. 45° 4. 60°
78. กําหนดให้ M = 2x + 3y จงหาค่า M สูงสุดตามเงื่อนไขต่อไปนี้
x + y > 4 , 5x + 2.5y < 25 , 0 < x < 5 และ 0 < y < 5
1. 15 2. 20 3. 21 4. 25

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 553 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)

79. จงหาขนาดของพื้นที่ทั้งหมดที่แรเงาในรูป y
1. 18 27
2. 36 y=x −9
2

3. 54
4. 72
O x
-9 6

80. หากมีโปรแกรม 2 โปรแกรมสามารถสั่งให้คอมพิวเตอร์คํานวณเพื่อแก้ปัญหาชนิดเดียวกัน แต่


ด้วยวิธีการที่ต่างกัน การเลือกโปรแกรมที่ดีกว่าควรดูความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลกับเวลาที่
คอมพิวเตอร์ใช้ในการคํานวณ ถ้าจํานวนข้อมูลมากๆ แล้วใช้เวลาน้อยๆ ความสัมพันธ์นั้นจะชี้ให้เห็น
ว่าโปรแกรมหนึ่งดีกว่าอีกโปรแกรมหนึ่ง
กําหนดให้ f แทนความสัมพันธ์
n ∈ I+ แทนจํานวนข้อมูล, t ∈ R + แทนเวลาที่ใช้คํานวณ
ข้อใดต่อไปนี้เป็นข้อที่ถูกต้อง (ให้เปรียบเทียบด้วยจํานวนข้อมูลที่เท่ากัน)
1. f = {(n, t) | t = n } ดีกว่า f = {(n, t) | t = 100 }
2. f = {(n, t) | t = n } ดีกว่า f = {(n, t) | t = log n 2 }
3. f = {(n, t) | t = 100 n + 5 } ดีกว่า f = {(n, t) | t = n 2 }
4. f = {(n, t) | t = 2 n } ดีกว่า f = {(n, t) | t = n 2 }
⎡cos(π − θ) sin(π − θ) ⎤
⎢ 2 2 ⎥
81. กําหนดให้เมตริกซ์ A = ⎢ ⎥ จะได้ det (A) มีค่าเท่ากับ
π π
⎢ sin( − θ) cos( − θ)⎥
⎣ 2 2 ⎦
1. cos 2θ 2. sin 2θ 3. cos 2 (
π − θ) 4. 1 + 2 cos 2 θ
2

82. ข้อใดเป็นกราฟของ y = x + x
1. y 2. y 3. y 4. y

x x x x

d
83. กําหนดนิยาม f (x) คือการหาอนุพันธ์ของ f (x) เทียบกับ x แล้วแทนค่า x = a
dx x=a

และกําหนดให้ f1(x) = cos x , f2(x) = arcsin x โดย 0 < f2(x) < π/2
f3(x) = e x , f4(x) = ln x
จงพิจารณาว่าข้อใดต่อไปนี้ผิด
1. d f1(x) <
d
f2(x) 2. d
f1(x) <
d
f4(x)
dx x = 0.5 dx x = 0.5 dx x=1 dx x=1

d d d d
3. f1(x) > f3(x) 4. f4(x) > f4(x)
dx x = 0.75 dx x = 0.75 dx x = cos π / 4 dx x = cos π /6

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 554 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)

4n + 2 n + 9n 3(2n + 2)
84. ถ้า A = lim จงหาค่า A
n→∞ 2 n + 1 + 5n 3(n + 4)
1. 0 2. ∞ 3. 1/2 4. 18/5

y
85. สมการของเส้นกราฟอยู่ในรูปแบบ y = ax 2 + bx + c
50
โดย a, b, c เป็นค่าคงที่ จงหาค่าความชันของเส้นกราฟ
ที่จุด x = 4 20
1. 11 2. 6.25
10
3. 5 4. 14
O x
5 8
ปี 2538
86. จงหาค่าของ (0.0981)1/ 5 โดยอาศัยข้อมูลต่อไปนี้
log (0.0981) = −1.0083 , log (9.81) = 0.9917
log (6.280) = 0.7979 , log (6.285) = 0.7983
1. 0.6280 2. 0.6285 3. 0.6290 4. 0.6295

2x + 1
87. กําหนดให้ f (x) = , g−1(x) = 3
x และ y = (g f)(x)
1 − 2x
dy
จงหาค่าของ
dx x =0

1. −4 2. 0 3. 6 4. 12

⎡a b ⎤
88. กําหนดให้เซต S = {1, 2, 3, 4, 5} , A = ⎢ ⎥ และเวกเตอร์ x = ad i + bc j
⎣c d⎦
ถ้า P คือความน่าจะเป็นในการเลือกค่า a, b, c และ d จากเซต S โดยที่ค่าที่เลือกสามารถซ้ํากัน
ได้ และให้ได้ det (A) > x จงหาว่าค่า P น่าจะอยู่ในช่วงคําตอบใด
1. [0, 0.1] 2. [0.1, 0.5] 3. [0.5, 0.9] 4. [0.9, 1]
89. จากการทดสอบมนุษย์หุ่นยนต์ Super Girl I เกี่ยวกับเวลาที่ใช้ในการวิ่ง และความเร็วในการวิ่ง
ได้ผลการทดสอบดังนี้
เวลาที่ใช้ในการวิ่ง (หน่วยเป็นวินาที) : x x1 x2 … xn
ความเร็วที่ใช้ในการวิ่ง (หน่วยเป็นเมตร/วินาที) : y y1 y2 … yn
และ x = 53 , y = 109 โดยที่สมการเส้นตรงซึ่งแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเวลา ( x ) และ
ความเร็ว ( y ) ผ่านจุด (1, 5) จงทํานายความเร็วของหุ่นยนต์ Super Girl I เมื่อเวลาวิ่งผ่านไป 20
วินาที
1. 43 m/s 2. 75 m/s 3. 89 m/s 4. 100 m/s
90. จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ผลรวมของรากคําตอบของอสมการ x − 6 + x+4 > 6−x เท่ากับ 0

ข. รากคําตอบที่เป็นจํานวนจริงของสมการ 3 ( x)x = x มี 2 ค่า


1. ข้อ ก ถูก ข้อ ข ผิด 2. ข้อ ก ผิด ข้อ ข ถูก
3. ถูกทั้ง ก และ ข 4. ผิดทั้ง ก และ ข

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 555 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)

91. กําหนดให้ θ = arctan(3/4) จงหาค่าของ cos 2θ


1. 0.28 2. 0.48 3. 0.56 4. 0.96

92. ถ้า f (x) = x5 + 9x3 − 8x2 − 72 และ x = −1 + i 3 เป็นรากคําตอบหนึ่งของสมการ f (x) = 0


จงหาค่าผลรวมของรากคําตอบของสมการ f (x) = 0
1. 0 2. 1 3. 2 4. 4

93. ในระบบเลขฐาน 10 ที่ใช้กันในปัจจุบัน หลักของตัวเลขถูกกําหนดโดย 10 n เมื่อ n = 1


หมายถึงหลักหน่วย ( 1 ), เมื่อ n = 2 หมายถึงหลักสิบ ( 10 ) ฯลฯ และค่าตัวเลขในแต่ละหลักนั้น
คือผลคูณของค่าหลัก เช่น 215 = 2 × 102 + 1 × 101 + 5 × 100 ดังนั้นถ้าในระบบเลขฐาน 16 ซึ่ง
นิยมใช้ในการเขียนโปรแกรมสั่งงานคอมพิวเตอร์มีสัญลักษณ์ที่ใช้แทนคือ 0, 1, 2, 3, 4,
5, 6, 7, 8, 9, A, B, C, D, E, F (โดยในที่นี้ A = 10, B = 11, ..., F = 15 ในเลขฐาน 10 ตามลําดับ)
ดังนั้นตัวเลข 31B ในฐาน 16 จะมีค่าเทียบเท่ากับเลขฐาน 10 ในข้อใด
1. 768 2. 779 3. 795 4. 805
⎡0 1⎤ ⎡ λ 0⎤
94. กําหนดให้ A = ⎢ ⎥ และ λI = ⎢ ⎥
⎣ −2 −2⎦ ⎣0 λ ⎦
จงหาค่าของ λ ซึ่งเป็นค่าคงที่ใดๆ จากสมการ det (λI − A) = 0
1. −2 + 2 i, −2 − 2 i 2. −1 + i, − 1 − i
3. −1 + 2 i, −1 − 2 i 4. −2 + i, −2 − i

95. สมการในข้อใดที่เป็นสมการของเส้นกํากับ (Asymptotes)


ของสมการ 16y2 − 25x2 − 64y + 50x + 439 = 0
1. y = ± 4 (x − 1) − 2 2. y = 4
±(x − 1) + 2
5 5
5 5
3. y = ± (x − 1) − 2 4. y = ± (x − 1) + 2
4 4
96. ชาวนาคนหนึ่งมีลวดหนามยาว 80 เมตร หากต้องการใช้ล้อมรั้ว
ที่ดินรูปสี่เหลี่ยม จํานวน 3 แปลง ดังรูป ถามว่าพื้นที่รวมมากที่สุด
ที่ชาวนาสามารถล้อมได้ เป็นเท่าไร
1. 192 ตร.ม. 2. 200 ตร.ม. 3. 220 ตร.ม. 4. 234 ตร.ม.
1
97. กําหนดให้ (g f)(x) = 3
และ f(x) = ln x3 + 2 จงหาค่าของ g(x) เมื่อ x < −1
ln x + 3
1 1 1 1
1. 2. 3. 4.
5−x 2 x −5 x+1 2 x+1

98. กําหนดให้ T = 25x + 22y จงหาค่า T สูงสุดที่เป็นไปตามเงื่อนไขนี้


x + y < 5 , 3x + 2y < 12 , 3x + 6y < 18 , x > 0 และ 0 < y < 2
1. 94 2. 100 3. 108 4. 122

99. ถ้าเวกเตอร์ ˜ AB + ˜
AC = ˜ BC จงหามุม θ ระหว่าง
y
B(1,9) C(8,11)
เวกเตอร์ ˜AC กับ ˜ AD โดยจุด A, B, C และ D มีพิกัดตามรูป
1. cos−1 24 2. cos−1 50 D(6,6)
25 50
θ
−1 22 −1 43
3. cos 4. cos A(2,3)
25 50
x
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 556 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)

⎡a a ⎤ ⎡b b ⎤ ⎡c c ⎤
100. กําหนด A = ⎢ 11 12 ⎥ , B = ⎢ 11 12 ⎥ , C = ⎢ 11 12 ⎥
a a
⎣ 21 22 ⎦ b b
⎣ 21 22 ⎦ ⎣c21 c22 ⎦
จงหาค่า cij ซึ่งเป็นสมาชิกของ C ในแถวที่ i และหลักที่ j เมื่อ C = (AB)T
1. aj1b1i + aj2b2i 2. ai1b1j + ai2b2j
3. aj1b1i + ai2b2j 4. ai1b1j + aj2b2i
y
101. จงหาพื้นที่แรเงาในรูป
1. 27 2. 36 y=3 x (9,9)
3. 54 4. 34

102. จงหาพื้นที่ที่ล้อมรอบด้วยเส้นกราฟของสมการ
y − 1 = x − 2 และสมการ x = 0 x
(0,0) (5,0)
1. 2 ตร.หน่วย 2. 4 ตร.หน่วย
3. 8 ตร.หน่วย 4. 16 ตร.หน่วย
n n
103. นิยาม ∪ A i = A1 ∪ A2 ∪ ... ∪ An และ ∩ A i = A1 ∩ A2 ∩ ... ∩ An
i=1 i=1

10 8n − 2
กําหนดให้ An = [ − , ], n ∈ I+ จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้
n 2n + 1

10 ∞ 8n − 2 ∞ ∞ ∞ ∞
ก. ∪ A i = [− , 4] ข. ∩ A i = [0, ] ค. ∪ ⎡⎢ ∩ A i ⎤⎥ − ∩ ⎡⎢ ∪ A i ⎤⎥ = ∅
i=n n i=n 2n + 1 i = 1 ⎣i = n ⎦ i = 1 ⎣i = n ⎦
1. มีข้อความที่ถูก 1 ข้อ 2. มีข้อความที่ถูก 2 ข้อ
3. ถูก 3 ทั้งข้อความ 4. ผิดทุกข้อ

ปี 2539
104. ในการก่อสร้างอาคารหลังหนึ่ง จะต้องเสียค่าใช้จ่ายคงทีส่ ําหรับการก่อสร้าง เท่ากับ 800
หน่วย และจะต้องเสียค่าใช้จ่ายสําหรับการก่อสร้างอาคารชั้นที่ n เท่ากับ n หน่วย จงคํานวณหาว่า
จะต้องสูงกี่ชั้น จึงจะเสียค่าใช้จา่ ยสําหรับการก่อสร้างเฉลี่ยต่อชั้นน้อยที่สุด
1. 20 ชั้น 2. 40 ชั้น 3. 80 ชั้น 4. 160 ชั้น
100
105. ให้ an = n สําหรับ n เป็นเลขคี่ และ an = 2 n/ 2 สําหรับ n เป็นเลขคู่ จงหาค่า ∑ an
n=1
n
กําหนดให้ 2 25 = x และผลบวกของอนุกรมเลขคณิต Sn = (a1 + an)
2
a1(1 − rn)
ผลบวกของอนุกรมเรขาคณิต Sn =
(1 − r)
1. 2500 + 2 (x2 − 1) 2. 2500 + 2 (x4 − 1)
3. 5050 + 2 (x2 − 1) 4. 5050 + 2 (x4 − 1)

106. จากความสัมพันธ์ระหว่าง f (x) กับ x ดังแสดงในกราฟ f(x)


3
ต่อไปนี้ จงหาค่าของ 1
∫ log [f (x)] dx 1000
1. 1010 2. 200 100
3. 6 4. 4 10
1
0.10 x
1 2 3
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 557 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)

107. โปรเจคชันของส่วนของเส้นตรง PP1 2 บนแกน x ยาว 2 หน่วย และบนแกน y ยาว 3


หน่วย จงหาความยาวของส่วนของเส้นตรง PP 1 2

1. 13 2. 13 3. 5 4. 5

108. จงหาค่า k ที่ทําให้ระบบสมการเชิงเส้นต่อไปนี้ ไม่สามารถหาคําตอบได้


2x − y + 3z = 1 −x + ky − z = 3 และ x − y + z = −2
1. −2 2. −1 3. 0 4. 1

109. เมื่อ p (x) คือพหุนามที่มีดีกรีเท่ากับ 3 และสัมประสิทธิ์ของพหุนามนี้เป็นจํานวนเต็ม


ถ้าหารพหุนาม p (x) ด้วย (x − 2) แล้ว จะเหลือเศษ 0
ถ้าหารพหุนาม p (x) ด้วย (x + 1) แล้ว จะเหลือเศษ 0
ถ้าหารพหุนาม p (x) ด้วย x แล้ว จะเหลือเศษ 8
จงหา p (x) ว่าจะเท่ากับข้อใด
1. (x − 2)(x + 1)(x − 4) 2. (x − 2)(x + 1)(x + 4)
3. (x − 2)(x + 1)(x + 8) 4. (x − 2)(x + 1)(x − 8)
110. สามเหลี่ยม ABC มีพื้นที่ 2 ตารางหน่วย AB มีความยาวเท่ากับ 1 หน่วย ถ้า BE มี
A ความยาวเท่ากับ 0.8 หน่วย และเส้น DE ขนานกับเส้น AC
จงหาค่าความยาวของ BD
E 1. 4.0 หน่วย 2. 3.2 หน่วย
3. 1.8 หน่วย 4. 1.6 หน่วย

B D C
111. แผ่นโลหะรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสยาวด้านละ 16 cm ต้องการตัดมุมทั้งสี่
ออกเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส แล้วพับตามรอยเส้นประเพื่อทําเป็นกล่อง ดังรูป
กล่องจะมีปริมาตรได้มากที่สุดเท่าไร
1. 9812 cm3 2. 9218 cm3
27 27
8291 3 8192
3. cm 4. cm3
27 27

112. ข้อต่อไปนี้ข้อใดผิด
ก. sin (α−β) = sin α cos β + cos α sin β ข. cos (α−β) = cos α cos β + sin α sin β
ค. sin 2α = 2 sin α cos α ง. cos (α− 30°) + cos (α+ 30°) = sin α
1. ข้อ ก กับข้อ ข 2. ข้อ ข กับข้อ ค
3. ข้อ ค กับข้อ ง 4. ข้อ ง กับข้อ ก
113. จากรูปที่กําหนดให้ดังต่อไปนี้ อยากทราบว่ามีรูปสี่เหลี่ยมรวมทั้งหมดกี่รูป
1. 39 รูป 2. 40 รูป
3. 41 รูป 4. 42 รูป

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 558 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)

y3 + 4y2 − 9
114. ถ้า = 3 และ f (x) = x3 − 2x + 5 อยากทราบว่า f (y) จะมีค่าเท่าไรบ้าง
y+3
ก. −16 ข. 9 ค. 26
1. ข้อ ก ถูก 2. ข้อ ข ถูก 3. ข้อ ค ถูก 4. ข้อ ก และข้อ ข ถูก
115. กําหนดวงกลมรัศมีเท่ากับ 1 cm สองวงตัดกันดังรูป จงหา
พื้นที่แรเงา
1. 0.33 cm2 2. 0.45 cm2
3. 0.50 cm2 4. 0.57 cm2
116. มีลวดหนามยาว L ต้องการนําไปล้อมรั้วเพื่อจับจองที่ดิน ถามว่า
จะต้องล้อมให้เป็นรูปอย่างไรจึงจะได้พื้นที่มากที่สุด กําหนดว่าการล้อม
รั้วจะต้องให้ปลายลวดข้างหนึ่งต่อกับปลายอีกข้างหนึ่งพอดี
1. รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า 2. รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
3. รูปหกเหลี่ยมด้านเท่า 4. รูปวงกลม
117. เชือกเส้นหนึ่งยาว 10 m นํามาตัดแบ่งครึ่งความยาว แล้วนําส่วนที่แบ่งแล้วมาตัดแบ่งครึ่งอีก
นําส่วนที่ถูกตัดแบ่งครึ่งแล้วมาตัดแบ่งครึ่งไปเรื่อยๆ ถามว่าจะต้องตัดอย่างน้อยที่สุดกี่ครั้ง ความยาว
ของเชือกที่ถูกแบ่งครั้งสุดท้ายจึงจะเหลือไม่ถึง 1 mm
(กําหนดให้ log 2 = 0.301 )
1. 12 2. 13 3. 14 4. 15
118. ถ้าความน่าจะเป็นที่พรุ่งนี้จะมีฝนตกเท่ากับ 0.35 และความน่าจะเป็นที่พรุ่งนี้จะมีเมฆมาก
เท่ากับ 0.4 โดยทีค่ วามน่าจะเป็นที่พรุ่งนี้จะมีเมฆมากและมีฝนตก เท่ากับ 0.25 จงหาความน่าจะ
เป็นที่พรุ่งนี้มีเมฆมากหรือไม่มีฝนตก
1. 0.95 2. 0.90 3. 0.85 4. 0.80

ปี 2540
119. เส้นตรงเส้นหนึ่งผ่านจุด A (2, 2, 2) และ B (6, 5, 2) อยากทราบว่า ถ้าลากเส้นจากจุด
C (−4, 0, −3) ไปตั้งฉากกับเส้นตรงที่ลากผ่านจุด A และ B ข้างต้น เส้นตั้งฉากนี้จะมีความยาว
เท่าไร
1. 33 หน่วย 2. 221 หน่วย 3. 61 หน่วย 4. 221 หน่วย
5 5

120. รูปหกเหลี่ยมด้านเท่าบรรจุอยู่ในวงกลมที่มีรัศมีเท่ากับ 7 cm
พื้นที่แรเงาจะเท่ากับเท่าไร
7 cm
1. 21.22 cm2 2. 26.70 cm2
2
3. 42.44 cm 4. 127.30 cm2

121. สําหรับสมการ f (x) และ g(x) ใดๆ


กําหนดให้ log (f (x) g(x)) = 4 และ log (10 f (x)) = 3 , g (x) ≠ 0
g (x)
จงหาค่า x ถ้า g(x) = x2 + 1
1. ±2 2. ±3 3. ±5 4. ±7

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 559 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)

df (x) f(x)
122. กําหนด f (x) ดังรูป และ g(x) = + x
dx 8
4
7
จงหา 1
∫ g(x) dx 6
1. 5.5 2. 6.0 5
3. 7.5 4. 8.0

123. จงหาค่าของ ln j j x
1 2 3 4 5 6 7 8
กําหนดให้ j = −1 และ z = x + j y = r e jθ
โดยที่ r = x2 + y2 และ θ = tan−1(y/ x)
1. π/2 2. eπ / 2 3. −π/2 4. e− π / 2

124. จากข้อมูลสภาพการจราจรและอัตราการเกิดอุบัติเหตุ บนถนนสายหลักสายหนึ่งในช่วง 16.00-


18.00 น. พบว่าความน่าจะเป็นของการเกิดการจราจรติดขัดคิดเป็น 0.85 และความน่าจะเป็นของ
การเกิดอุบัติเหตุเท่ากับ 0.5 ถ้าความน่าจะเป็นของการเกิดการจราจรติดขัดและการเกิดอุบัติเหตุ
เท่ากับ 0.3 จงหาความน่าจะเป็นที่การจราจรไม่ติดขัดหรือเกิดอุบัติเหตุ
1. 0.15 2. 0.35 3. 0.45 4. 0.50
125. ในการวิ่งมาราธอนครั้งหนึ่ง ถ้าความเร็วเฉลี่ยของนักวิ่งทั้ง 200 คน เท่ากับ 15 km/h และมี
การกระจายของค่าความเร็วเป็นแบบโค้งปกติ โดยมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.5 km/h จงหาว่า
นักวิ่งคนหนึ่งทีท่ ําความเร็วเฉลี่ยได้ 16 km/h จะเข้าเส้นชัยประมาณลําดับที่เท่าไร
หมายเหตุ ให้ประมาณว่าพื้นที่ใต้โค้งของการกระจาย
ช่วง ±σ มีค่าประมาณ 2/3 ของพื้นที่ใต้โค้งทั้งหมด
ช่วง ±2σ มีค่าประมาณ 19/20 ของพื้นที่ใต้โค้งทั้งหมด
ช่วง ±3σ มีค่าประมาณ 9975/10000 ของพื้นที่ใต้โค้งทั้งหมด
1. มากกว่าลําดับที่ 12 2. ลําดับที่ 10 3. ลําดับที่ 5 4. ลําดับที่ 3
126. ถ้าเขียนกราฟนี้บนสเกล x −y กราฟพาราโบลาที่ได้จะมีจุดโฟกัสที่จุดใด
y
1. (0, 9) 2. (0,
29
)
2 6
4 1 1
3. (0, ) 4. (0, − )
6 6
2

O x2
2 4
127. แนวถนนตรงสองสายที่จะสร้างใหม่ตัดกันที่จุด A วิศวกรต้องการสร้างทางโค้งแบบวงกลม
รัศมี R = 200 3 m เชื่อมแนวถนนตรงทั้งสองสาย โดยมีจุดเริ่มโค้งที่จุด B และ C ตามลําดับ
ตําแหน่งจุด B จําเป็นต้องหาจากจุด A แต่จุด A เข้าถึงไม่ได้เพราะอยู่ในเหวลึก ทางออกทางหนึง่
คือการกําหนดจุด X และจุด Y บนแนวถนนตรงซึ่งสามารถมองเห็นกัน A
ได้ ถ้ามุม PXY , มุม QYX และระยะ XY จากการสํารวจครั้งนี้เท่ากับ
90° , 150° และ 105 3 m ตามลําดับ ระยะ XB จะเท่ากับเท่าไร X
หมายเหตุ รูปนี้ไม่ได้วาดตามสเกล B Y
1. 475 m 2. 495 m R C
3. 515 m 4. 525 m P Q

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 560 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)

128. จากเงื่อนไขที่กําหนดให้ดังต่อไปนี้
ก. มหาวิทยาลัยที่สอนพยาบาลศาสตร์ทุกแห่ง มีการสอนแพทยศาสตร์
ข. มหาวิทยาลัยที่สอนพยาบาลศาสตร์ทุกแห่ง ไม่มีการสอนวิศวกรรมศาสตร์
ค. ครึ่งหนึ่งของมหาวิทยาลัยที่สอนวิศวกรรมศาสตร์ มีการสอนแพทยศาสตร์
ง. ครึ่งหนึ่งของมหาวิทยาลัยที่สอนแพทยศาสตร์ มีการสอนพยาบาลศาสตร์
จ. ไม่มีมหาวิทยาลัยใดที่สอนเฉพาะแพทยศาสตร์เพียงอย่างเดียว
อยากทราบว่า ถ้ามีมหาวิทยาลัยที่สอนแพทยศาสตร์ทั้งหมด 10 แห่ง จะมีมหาวิทยาลัยที่สอน
วิศวกรรมศาสตร์กี่แห่ง
1. 5 แห่ง 2. 10 แห่ง 3. 15 แห่ง 4. 20 แห่ง
129. จากสมการ y3 + 3y2 = 4 (y + 3) และฟังก์ชัน f (x) = x2 − x
อยากทราบว่า f (y) จะมีค่าเท่าไร เมื่อ y ≠ −3
1. {2, 6} 2. {2, 12} 3. {2, 9, 12} 4. {6, 9, 12}

ปี 2541
(i + 1)20
130. กําหนดให้ i = −1 จงหาค่า
(i − 1)16
1. 4 2. −4 3. −4 i 4. 4i

131. แผ่นฟิล์มกรองแสงชนิดหนึ่ง กรองแสงออกได้ 20 เปอร์เซ็นต์ ถ้าต้องการนําแผ่นฟิล์มกรองแสง


ชนิดนี้ไปติดรถยนต์เพื่อให้กรองแสงออกได้ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ โดยใช้แผ่นฟิล์มชนิดนี้ซ้อนกัน
อยากทราบว่าจะต้องใช้แผ่นฟิล์มชนิดนี้กี่ชั้น สมมติให้แสงผ่านกระจกได้ 100 เปอร์เซ็นต์
1. 2 2. 3 3. 4 4. 5
132. ถ้าประพจน์ต่อไปนี้ “ถ้าพ่อค้ากักตุนน้ําตาล แล้วราคาน้ําตาลจะสูงขึ้น” เป็นความจริง ข้อใดเป็น
การให้เหตุผลที่ถูกต้อง
1. เนื่องจากราคาน้ําตาลสูงขึ้น จึงสรุปได้ว่าพ่อค้ากักตุนน้ําตาล
2. เนื่องจากพ่อค้าไม่ได้กักตุนน้าํ ตาล จึงสรุปได้ว่าราคาน้ําตาลไม่ได้สูงขึ้น
3. เนื่องจากราคาน้ําตาลไม่สูงขึ้น จึงสรุปได้ว่าพ่อค้าไม่ได้กักตุนน้ําตาล
4. มีข้อถูกมากกว่า 1 ข้อ
⎡ 1 2 0⎤ ⎡ a 0 0⎤
133. กําหนด A = ⎢0 2 1 ⎥ และ B = ⎢ 1 2 0⎥ จงหาค่า a ซึ่งทําให้ det (AB) = 8
⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣0 0 2 ⎦ ⎣3 0 1 ⎦
1. 1/8 2. 1 3. 8 4. ไม่สามารถหาค่า a ได้
134. ในการหาความกว้างของลําน้ํา เนื่องจากไม่สามารถวัดระยะโดยตรงได้ จึงทําการวัดระยะ AC
ได้ 50 เมตร, มุม CAB ได้ 105° และมุม ACB ได้ 45° จงหาความกว้างของลําน้ํา (ระยะ
AB ) B
2 3
1. 50 เมตร 2. 50 เมตร ลําน้ํา
3 2
3. 50 2 เมตร 4. 50 3 เมตร A
C
⎛ 4n5 + n3 ⎞
135. จงหาค่าของ nlim ⎜ 5 ⎟⎟ 3 cos (nπ) โดยที่ n เป็นจํานวนเต็มบวก
→∞ ⎜
⎝ 5n − 38 ⎠
1. 0 2. 0.8 3. 2.4 4. ∞

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 561 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)

136. รถไฟที่แล่นด้วยความเร็วคงที่ v กิโลเมตรต่อชั่วโมง ต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นค่าน้ํามัน v2/5


บาทต่อชั่วโมง และค่าจ้างพนักงานเดินรถ 40 บาทต่อชั่วโมง ถ้าต้องเดินทางระยะทาง 500
กิโลเมตร ควรจะแล่นด้วยความเร็วเท่าใดจึงจะเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด
1. 10 2 2. 20 2 3. 50 2 4. ไม่มีความเร็วที่เสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด
137. วงกลม Cn + 1 สร้างจากวงกลม Cn โดยที่ n = 1, 2, 3, ... โดยการสร้างสี่เหลี่ยมจัตุรัสบรรจุใน
วงกลม Cn แล้วสร้างวงกลม Cn + 1 บรรจุในสี่เหลี่ยมจัตุรัสดังกล่าว ดังแสดงในรูป ถ้า
วงกลม C1 มีเส้นผ่านศูนย์กลาง d จงหาผลบวกของเส้น
Cn รอบวงของวงกลมทั้งหมด
1. (2 − 2) π d 2. 2( 2 − 1) π d
Cn+1
3. ( 2 − 1) π d 4. 2 π d
2 2−1

138. ถังน้ําใบหนึ่งมีเครื่องสูบน้ําเข้าถังสองเครื่อง ถ้าทดลองเปิดเครื่องสูบน้ําทีละเครื่องเพื่อสูบน้ําใส่


ถังเปล่าจนเต็มถัง พบว่าเครื่องหนึ่งจะใช้เวลาน้อยกว่าอีกเครื่องหนึ่ง 3 ชั่วโมง แต่ถ้าเปิดเครื่องทั้ง
สองพร้อมกัน พบว่าน้ําจะเต็มถังในเวลา 2 ชั่วโมง ข้อใดเป็นระยะเวลาที่เครื่องใดเครื่องหนึ่งใช้ใน
การสูบน้ําใส่ถังเปล่าจนเต็มถัง
1. 1 ชั่วโมง 2. 3 ชั่วโมง 3. 4 ชั่วโมง 4. 2 + 10 ชั่วโมง
2
139. สมการเส้นตรงชุดใดต่อไปนี้ประกอบเป็นรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก
1. 3x − 5y + 10 = 0 , x + 4y − 6 = 0 , 6x − 10y − 1 = 0
2. x − 3y + 1 = 0 , 3x + y + 1 = 0 , −2x + 6y + 5 = 0
3. x − 4y + 2 = 0 , 2x + y = 0 , 2x + 3y − 5 = 0
4. 5x − 3y + 7 = 0 , 2x − y = 0 , 9x + 15y − 4 = 0

เฉลยคําตอบ
(1) 3 (2) ไม่มีข้อถูก (ตอบ y = (x 2/4) − x ) (3) 1 (4) 2 (5) 2 (6) 3 (7) 4 (8) 2
(9) 2 (10) 4 (11) 3 (12) 2 (13) 1 (14) 3 (15) 3 (16) 2 (17) 2 (18) 4
(19) 1 (20) 4 (21) 3 (22) 4 (23) 2 (24) 3 (25) 3 (26) 2 (27) 2 (28) 4
(29) 2 (30) 3 (31) 1 (32) 1 (33) 2 (34) 3 (35) 3 (36) 2 (37) 1 (38) 2
(39) 3 (40) 2 (41) 2 (42) 2 (43) 2 (44) 3 (45) 2 (46) 3 (47) 4 (48) 1
(49) 2 (50) 4 (51) 1 (52) 3 (53) 3 (54) 2 (55) 1 (56) 3 (57) 4 (58) 1
(59) 4 (60) 1 (61) 4 (62) 4 (63) 1 (64) 3 (65) 3 (66) 2 (67) 2 (68) 3
(69) 2 (70) 3 (71) 2 (72) 2 (73) 3 (74) 2 (75) 3 (76) 1 (77) 2 (78) 2
(79) 3 (80) 3 (81) 3 (82) 4 (83) 3 (84) 3 (85) 3 (86) 2 (87) 4 (88) 1
(89) 1 (90) 2 (91) 1 (92) 1 (93) 3 (94) 2 (95) 4 (96) 2 (97) 3 (98) 3
(99) 1 (100) 1 (101) 2 (102) 2 (103) 3 (104) 2 (105) 1 (106) 4 (107) 1
(108) 4 (109) 1 (110) 2 (111) 4 (112) 4 (113) 1 (114) 2 (115) 4 (116) 4
(117) 3 (118) 2 (119) ไม่มขี ้อถูก (ตอบ 29 ) (120) 2 (121) 2 (122) 1 (123) 3
(124) โจทย์ผิด เพราะ P (A ∪ B) > 1 ไม่ได้ (125) 3 (126) ไม่มีข้อถูก (ตอบ (0, 103/24) )
(127) 2 (128) 2 (129) 1 (130) 2 (131) 3 (132) 3 (133) 2 (134) 3 (135) 3
(136) 1 (137) 4 (138) 2 (139) 4
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 562 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)

เฉลยวิธีคิด
(1) Δขงจ จะได้ ขจ = 32 + 42 = 5 (10) ลองพล็อตจุดคร่าวๆ พบว่ารูปกราฟคล้าย
พื้นที่ Δกขค = 1 ⋅ 5 ⋅ 10 = 25 ตร.ม. ตอบ ไฮเพอร์โบลามุมฉาก ดังนั้นตัดข้อ 1. (พาราโบลา)
2 กับข้อ 2. (เส้นตรง) เหลือเพียงข้อ 3. กับ 4. ที่
(2) พาราโบลาหงาย มีจุดยอดที่ (2, −1) เป็นไปได้
2
→ (x − 2) = 4c(y + 1) จากนั้นทดลองแทนค่าดูดังนี้...
หาค่า c ก่อน โดยกราฟผ่านจุด (0,0) ข้อ 3; yx2 = a ลองเอาข้อมูลมาคูณดูเพือ่ เป็นค่า a
→ (−2)2 = 4c(1) → c = 1 จะได้ 65 (1)2 = 65 , 35 (2)2 = 140 ,
ดังนัน้ สมการที่ได้คือ (x − 2)2 = 4 (y + 1) 25 (3)2 = 225 พบว่าค่า a ที่ได้นนั้ แตกต่างกันมาก
หรือ x2 − 4x + 4 = 4y + 4 จึงไม่นา่ ใช่ข้อ 3. ตอบ ข้อ 4.
x2 [หมายเหตุ ถ้าลองนําข้อมูลมาแก้สมการเพือ่ หา a, b
จัดรูปได้วา่ y = −x ตอบ ไม่มีขอ้ ถูก
dy
4
−4 − 4
ในข้อ 4. จะได้เป็น y = 60 + 5 ]
x
(3) = ความชัน = = −4 ตอบ
dx 3−1 1 B
(11) จาก = x+A
(4) ln N = −λt + ln N0 y A

แกน y คือ ln N และแกน x คือ t เมื่อแกน Y เป็น 1 และแกน X เป็น x จะอยู่ในรูป


y
สมการจะอยู่ในรูป Y = −λ X + ln N0
B B
∴เป็นกราฟเส้นตรง และ λ > 0 ดังนัน้ ความชัน Y = A X + A ซึ่งเป็นกราฟเส้นตรง ความชัน A
ติดลบ ตอบ ข้อ 2. และตัดแกน Y ที่ A
(5) จุดยอดอยู่กงึ่ กลาง B
∴ = tan θ และ A = RO
ระหว่าง F กับ Directrix A
F
ตอบ (0, −1) รวมสองสมการได้เป็น B = RO tan θ ตอบ
y = -2
(12) เวลา 5 ช.ม. คิดเป็น 300 นาที
(6) แก้ระบบสมการ ดั งนัน้ ชิน้ งานที่ได้ = ก + ข + ค + ง

1
2
x + 3 = 2x + 1 → 2 = 1.5x → x =
4
3
= ( 300
32
) (
×4 +
300
24
) (
×6 +
300
24
) (
×4 +
300
28
×7 )
ตอบ ข้อ 3. = 37.5 + 75 + 50 + 75 = 237.5 ชิ้น
(7) กลุ่ม 1; พิสยั 7 − 1 = 6 แต่นาย ก ทําชิน้ สุดท้ายไม่เสร็จ จึงต้องปัดเศษทิ้ง
กลุ่ม 2; พิสัย 6 − 2 = 4 → ฐานนิยม = 6 ตอบ 237 ชิ้น
กลุ่ม 3; พิสัย 7 − 2 = 5 (13) สมมติชนั้ แรกเสีย a บาท และสร้าง x ชั้น
กลุ่ม 4; พิสัย 7 − 3 = 4 → ฐานนิยม = 7 จะได้ ค่าก่อสร้างเฉลี่ย;
450a + (a + 2a + 3a + 4a + .... + xa)
ตอบ กลุ่มที่ 4 y =
x
(8) dy = 6x − 3 และ dy = 3x2 450a + a ⎜
⎛ x(x + 1) ⎞
dx dx ⎟
= ⎝ 2 ⎠ = 450a + a (x + 1)
∴ 6x − 3 = 3x2 → 3(x − 1)2 = 0 x x 2
→ x = 1 ตอบ 450a a
ดังนัน้ y = − 2 + = 0 จะได้ x2 = 900

5 − ( −5) 10 x 2
(9) d = = ตอบ
12 + 12 2 คือ x = 30 ชั้น ตอบ
(14) รูป n เหลีย่ ม จะแบ่ง
เป็น Δ ภายในได้ n รูป
มุมที่เกิดขึ้นคิดจาก
= มุมรวมใน Δ ทั้งหมด - มุมรอบจุดยอดตรงกลาง
= 180 n − 360 องศา
ดังนัน้ ตอบ 180 (20) − 360 = 3240 องศา

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 563 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)

(15) ข้อนี้ไม่จาํ เป็นต้องวาดแผนภาพ เพราะตัวเลขที่ (20) y = x − 5 และ y = −2x − 5


ให้มาสามารถคํานวณได้ทนั ที ตัดกันที่ x − 5 = −2x − 5 → x = 0 , y = −5
ความน่าจะเป็นทีเ่ รียนคณิตหรืออังกฤษ หาระยะจาก (0, −5) ไปยัง 3x + 4y − 12 = 0
= 1 − ฟิสิกส์เท่านัน ้ = 1 − 20 = 9 ตอบ ได้เป็น 3(0) + 24(−5)2 − 12 = 32 ตอบ
110 11
3 +4 5
(16) แปลงหน่วยของความเร็วก่อน
กม. 450 × 1,000 ม. ม. (21) พิจารณาที่ 60 คะแนน
450 = = 125
ชม. 3,600 วินาที วินาที พื้นที่ A = 0.3413 → z = 1
A B D
ดังนัน้ ระยะ AB
30° 120° 60° ที่ 70 คะแนน 60 70
= 125 × 20 = 2,500 เมตร h พื้นที่ A = 0.3413 + 0.1360 = 0.4773 → z = 2
60 − X
ΔABC เป็น Δ หน้าจั่ว 30° ∴1= และ 2 = 70 − X
s s
∴ BC = 2,500 ด้วย
C จะได้ s = 10 , X = 50 ตอบ ข้อ 3.
h = BC sin 60° = 2500 ( 3 /2)
1 1
(22) log2 x + log2 x + log2 x = 7
= 1,250 3 เมตร ตอบ 4 2
(17) 7
→ log2 x = 7 → log2 x = 4
r 4
จากรูป h = 1 r
2 ตอบ x = 24 = 16
θ
h h 1 (23)
→ =
r 2 ค 60° ระยะทีต่ ้องการคือ ขค
ดังนัน้ θ = 60° จ ข ง คิดจาก กค – กข
1
พื้นที่สว่ นโค้งมุม 120° = ของวงกลม = 1 πr2 510
3 3
และพืน้ ทีท่ ี่ตอ้ งการ คิดเหมือนยูเนียนของเซต คือ 510 หา กค จากตรีโกณมิติ
มุมที่โจทย์ให้มา 60° ดังนัน้
ก ˆ + กคง
กคจ ˆ = 120°
+ - ˆ = 60° (เพราะ Δ กจค, Δ กคง เท่ากัน)
แสดงว่า กคง
กง 510
Δ กคง; sin 60° = =
1 1 1 กค กค
= πr2 + πr2
− 4 ( h r sin 60°)
3 3 2 2
∴ กค = 510 × ≈ 590 เมตร
2
= πr2 − 4 × 1 × 1 r × 3 r 3
3 2 2 2 และ ขค ≈ 590 − 510 = 80 เมตร ตอบ
⎛2 3⎞ 2 (24) พาราโบลาหงาย มีจุดยอดที่ (5, −1)
= ⎜⎜ π − ⎟r ≈ 1.23 r 2
ตอบ
⎝3 2 ⎟⎠ จะได้สมการเป็น (x − 5)2 = 4c(y + 1)
(18) ˜
A = 20 sin 60° i + 20 cos 60° j ผ่านจุด (0,0) ดังนั้น หาค่า c ได้เป็น 25 = 4c
= 10 3 i + 10 j , ˜
B = −10 j , สมการที่ได้คือ (x − 5)2 = 25 (y + 1)
˜
D = 20 3 sin 30° i − 20 3 cos 30° j โจทย์ถาม y เมื่อ x = 2
= 10 3 i − 30 j 16
→ 9 = 25 (y + 1) → y = − ตอบ ข้อ 3.
25
..โจทย์ถาม D −˜
˜ C = ˜
D −˜
A −˜
B = −30 j
(25) อนุพันธ์ของฟังก์ชัน ก็คอื ความชันของกราฟ
D −˜
∴ |˜ C | = 30 หน่วย ตอบ เมื่อพิจารณาจากรูปทีละช่วงๆ พบว่าระหว่าง x = 5
(19) หาความยาว AB ถึง x = 6 เท่านั้น ทีค่ วามชันเท่ากัน
→ AB = 92 + 122 = 15 เมตร
(ความชันเป็น Δy = 1 ) ดังนัน้ ตอบ ข้อ 3.
15 Δx 2
ΔABO; = cos 30°
OB
15 30
ดังนัน้ OB = = = 10 3 เมตร
3 /2 3
≈ 17.319 เมตร ตอบ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 564 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)

(26) พื้นที่ผวิ A = ผิวข้าง + ฝาและฐาน (31) P = (100 sin θ)(10 sin(θ − 60°))
= 2πRh + 2(πR2) แต่โจทย์บังคับว่าปริมาตร 16π = 500 (2 sin θ sin(θ − 60°))

ดังนัน้ πR2h = 16π → h = 162 = 500 (cos 60° − cos(2θ − 60°))


R = 250 − 500 cos(2θ − 60°)
⎛ 16 ⎞ 32π
∴ A = 2πR ⎜ 2 ⎟ + 2πR =2
+ 2πR2 ต้องการ P สูงสุด แสดงว่า cos(2θ − 60°) ต้องน้อย
⎝R ⎠ R
dA 32π
ที่สดุ คือเป็น −1 จะได้ Pmax = 750 วัตต์ ตอบ
→ = − 2 + 4πR = 0
dR R (32) ซิงกูลาร์เมตริกซ์ แปลว่า det เท่ากับ 0;
จะได้ 4πR = 322π → R3 = 8 → R = 2 เมตร จาก A = x − 4 − 4 + x + 4 − 4 = 2x − 8
R
16
แสดงว่า 2x − 8 = 0 นั่นคือ x = 4 ตอบ
และ h = 2 = 4 เมตร ตอบ ข้อ 2. (33) มองด้านข้าง เป็นรูปครึง่ วงกลม
2
ซึ่งมาจากสมการวงกลม
(27) สังเกตจากตัวเลือกพบว่า −1 กับ 1 เป็น x2 + y2 = 252

20 ⎨
2 ⎩
คําตอบอย่างแน่นอน จึงนําไปหารออกได้เป็น 15
2
(x + 1)(2x − 1)(x + x + 1) = 0 ต้องการตําแหน่งความสูง y = 20 จะได้วา่
2 2 2
ซึ่ง 2
x +x+1= 0 นัน้ ได้คาํ ตอบเป็น x = 25 − 20 = 225 ∴ x = ± 15
−1 ± 2
1 −4 1 3 พื้นที่วงกลมที่ตดั = π (15)2 = 225π ตร.ม. ตอบ
x = = − ± iตอบ ข้อ 2.
2 2 2 (34) (-4,2)
(28) แปลงด้านขวามือของสมการได้ดังนี้ (1,1) 1 1
2 1 −4 2
⎛ 1 1 ⎞ ⎛1 1 1⎞ 1 พื้นที่ Δ = −1
2⎜ + i⎟ = 2 ⎜ + i− ⎟ = + 2i 2 −1
⎝ 2 2 ⎠ ⎝ 2 2 4 ⎠ 2 1 1
(-1,-1)
ดังนัน้ เทียบสัมประสิทธิ์กับฝัง่ ซ้ายมือได้วา่ 1
1 = (4 + 2 + 1 + 2 + 4 − 1) = 6 ตร.หน่วย ตอบ
3x = และ 4y = 2 ตอบ x = 1 2
2 6 (35) log(5x + 10) = log(3x − 2) + log 10
(29) ให้ y = ค่าใช้จา่ ย B → 5x + 10 = (3x − 2)(10) → x = 1.2 ตอบ
15 ม. (36) A = 75° , C
100-x B = 45° 12
A P x ม. ดังนัน้ C = 60°
ดังนัน้ y = 100 (100 − x) + 200 ( 152 + x2 )
จากกฎของ sine;
sin 60° sin 45° 5 45°
⎛ 1 ⎞ 60
=
AC A 75° D B
∴ y′ = −100 + 200 ⎜⎜ ⎟ (2x ) = 0
⎝ 2 152
+ x2 ⎟
⎠ จะได้ AC = 60 sin 45° = 20 6 เมตร
sin 60°
x 1
152 + x2
จะได้
152 + x2
=
2
→ 2x =
ต่อไปหาระยะ CD ซึ่ง CD = sin 75°
AC
→ 4x2 = 225 + x2 → x2 = 75 → x ≈ 8.6 ⎛ 3 + 1⎞
ดังนัน้ CD = AC sin 75° = 20 6 ⎜⎜ ⎟⎟
ดังนัน้ ระยะ AP ประมาณ 91.4 เมตร ตอบ ⎝ 2 2 ⎠
(30) เนื่องจากตัวเลือกเป็นเอกซ์โพเนนเชียล จึงไม่ = 10 3 ( )
3 + 1 = 30 + 10 3 ≈ 47.32
สะดวกทีจ่ ะคํานวณสมการออกมาโดยตรง
ใช้วิธีลองแทนค่าดีกว่า ... ที่ t = 0 จะได้ ∴ แม่นา้ํ กว้าง = CD − 17 = 30.32 เมตร ตอบ
1. M = 100 − 1 = 99 2. M = 99 (37) f′(x) = x2 d (sin 2x) + sin 2x d (x2)
dx dx
3. M = 100 4. M = 100 = 2x2 cos 2x + 2x sin 2x ตอบ
ถือว่าใกล้เคียงทัง้ หมด จึงลองแทน t = 10 จะได้ ⎡ 3 2⎤ ⎡2 1 ⎤ ⎡6 9⎤
(38) BA = ⎢ 1 2⎥ ⎢0 3⎥ = ⎢2 7 ⎥
1. M = 100 − 1 ซึ่ง e ≈ 2.7 ดังนัน้ M ≈ 99 ⎣ ⎦⎣ ⎦ ⎣ ⎦
e 2 0⎤ ⎡6 9⎤ 12 18 ⎤
t ⎡ ⎡
A (BA ) = ⎢ 1 3⎥ ⎢2 7 ⎥ = ⎢12 30⎥ ตอบ
100
2. M = 100 − e ≈ 97 3. M = ≈ 30 ⎣ ⎦⎣ ⎦ ⎣ ⎦
e
4. M = 100e ≈ 270 ดังนั้นควรเลือกข้อ 3. ตอบ
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 565 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)

1+ 4 +6+8+ x (49) จัดสมการใหม่เป็น


(39) 6 = → x = 11 ปี
5 5 (y − 4) = 7 (x − 3) → 7x − 5y − 1 = 0
กึ่งกลางพิสยั = 11 + 1 = 6 ปี ตอบ หาระยะตั้งฉาก จาก (9,12) ได้วา่
2
60(16) + 50(17) + 30(18) 7(9) − 5(12) − 1 2 2
(40) Xรวม = d = = = ตอบ
60 + 50 + 30 72 + 52 74 37
2,350 (50) หาผลรวมของเวกเตอร์ทั้งสองก่อน
= ≈ 16.8 ปี ตอบ
140 (8 cos 30° i + 8 sin 30° j)
(41) หา Umin ; U(x)′ = 2x − 2.6 = 0
+ (−12 3 cos 60° i − 12 3 sin 60° j)
ค่าวิกฤต x = 1.3 ซึ่ง U ( 1.3) = −0.19 , = 4 3 i + 4 j − 6 3 i − 18 j = −2 3 i − 14 j
เช็คที่ปลายช่วง U (0) = 1.5 และ U ( 3) = 2.7
ดังนัน้ ต้องตอบ 2 3 i + 14 j ตอบ
∴ Umin = −0.19 ตอบ (22 + 8) ( 13.6) + N3 ( 16)
(51) 14.2 =
(42) วงรีตั้ง เพราะโฟกัสกับจุดศูนย์กลางมีค่า x 22 + 8 + N3
เท่ากัน ...แกนเอกยาว 14 แสดงว่า a = 7 → 426 + 14.2 N3 = 408 + 16 N3
ระยะโฟกัส c = 1 − ( −5) = 6 ดังนัน้ N3 = 10 เครือ่ ง ตอบ
∴ b2 = a2 − c2 = 49 − 36 = 13
(52) จาก (x − y i)(2 + i) = (2x + y) + (x − 2y) i
(x + 4)2 (y − 1)2
ตอบ + = 1 เทียบสัมประสิทธิ์ได้ 2x + y = 7 และ x − 2y = 4
13 49
2
(43) d v2 = 2ax → 2a(1) = 6 → a = 3 แก้ระบบสมการได้ x = 18 , y = − 1
5 5
dx
18 2 16 1
แสดงว่า dv = 3x2 + 3 ∴ x + 2y =
5

5
=
5
ตอบ= 3
5
dx
v(x) = ∫ (3x2 + 3) dx = x3 + 3x + c (53) ข้อนี้เป็นโจทย์คณิตศาสตร์ครับ ไม่สามารถใช้
สูตรในวิชาฟิสิกส์คํานวณ เพราะว่า a ไม่คงที่
หา c จาก (0,1) จะได้ c = 1 วาดกราฟ v-t ได้ดังนี้
ตอบ v(x) = x3 + 3x + 1 v2 + (t − 6)2 = 62 เป็นรูป(ครึ่ง)วงกลม ดังภาพ
(44) เนื่องจาก ∅ เป็นสับเซตของเซตใดๆ ทุกเซต v
ดังนัน้ ตอบ ข้อ 3. 5π
(45) (B + C) = (2 − 3 i) + (3 + 4 i) = 5 + i , a คงตัว
6
C = 32 + 42 = 5
(5 + i)(5) (5 + i)(1 − 2 i)(5) 6 12 16 t
ดังนัน้ หาค่าของ = O
1 + 2i 12 + 22
= (5 + i)(1 − 2 i) = 7 − 9 i ตอบ ระยะทาง = พืน้ ที่ใต้กราฟ v-t
1
(46) dy
= 3x2 − 2 → y = x3 − 2x + C = π62 + 1 (5π)(4) = 28π
เมตร ตอบ
dx 2 2
หา C จากจุดที่ผา่ นคือ (1,1) ได้วา่ 1 − 2 + C = 1 (54) พาราโบลาเปิดขวา และจุดยอด (0,0)
∴ C = 2 ดังนัน ้ y = x3 − 2x + 2 มีรูปทั่วไปคือ y2 = 4cx
และ a = 23 − 2(2) + 2 = 6 ตอบ หาค่า 4c จากกราฟผ่านจุด (42,60)
(47) จัดรูปพาราโบลา; x2 − 6x + 9 = 12y + 3 + 9 602 = 4c(42) → 4c = 600
7
จะได้ (x − 3)2 = 4(3)(y + 1) ดังนั้นพาราโบลามีจุด 600
ดังนัน้ สมการคือ y2 = x
ยอดอยูท่ ี่ (3, −1) เลือกข้อ 4. ได้เลย ตอบ 7
2
1/ 3 หรือเขียนว่า 600x = 7y ตอบ ข้อ 2.
(48) log x = log a1/ 3 − log b → x = a
b (55) จาก log x = log a1/ 3 − log b2 + log c2
6 1/ 3 2
ดังนัน้ x = (27b ) = 3b = 3b ตอบ 1/ 3 9 1/ 3
จะได้ x = a ⋅ c2 = ⎛⎜ 8b ⎞⎟ ⋅ c
2

b b
b2 3
⎝ c ⎠ b2
⎛ 2b3 ⎞ c2
= ⎜ ⎟ 2 = 2bc ตอบ
⎝ c ⎠b

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 566 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)

4.3 + 5.3 + 6.4 + x


(56) mBD = 10 − ( −2) = 12 และเส้นตรงต้องตั้ง (62) 5 =
4
8−3 5
ฉากกับ BD เพราะเป็นเส้นสัมผัสวงกลม ดังนั้น → x = 4 → พิสัย = 6.4 − 4 = 2.4 ปี ตอบ
เส้นตรงนั้นมีความชัน −5 ตอบ ข้อ 3. ได้ทนั ที (63) ตําแหน่ง 21; 1(3) + 2(z) = 5 → z = 1
12 ตําแหน่ง 22; 1(x) + 2(1) = 5 → x = 3
(57) นําแกนพิกดั ฉาก x-y ไปตั้งไว้ตรงกลางเพื่อให้
จุดศูนย์กลางอยูท่ ี่ (0,0) จะได้คาํ นวณง่าย ตําแหน่ง 12; 1(x) + 2 (y) = 7 → y = 7 − x = 2
2
x2 y2 ∴x+y −z = 3+2−1= 4 ตอบ
∴ a = 18 , b = 12 → 2
+ 2 = 1
18 12
4 + 6n2 + 3n + 27n4 + 9n3
62 y2 (64) nlim
หาความสูง ณ x = 6 จาก + 2 = 1 →∞ 1 − 3n − 3 + 9n4 + 9n3
2
18 12
y2 1 8
นํา n4 หารเศษและส่วน ได้คําตอบ 27 = 3 ตอบ
→ = 1− → y2 = 144 × 9
122 9 9 60°;
(65) ที่มุม
ดังนัน้ y = 8 2 เมตร ตอบ h h
AB = = .....(1) h
x1 − X tan 60° 3
(58) z1 = แสดงว่า x1 ตรงกับค่า
s 45°;
ที่มุม
มาตรฐาน z1 = −1.96 , และ x2 ตรงกับ A 60°
h
CB = = h .....(2) 10 5° B
z2 = 1.96 ดังนัน้ พื้นที่ A = 1−B −B tan 45° 4
C
= 1 − 0.05 − 0.05 = 0.90 ตอบ N
ที่ ΔABC ; AB2 + 102 = CB2
(59) ลองแทน x = 3
h 2 2
ข้อ 1. f(x) = 23 + 3 = 11 →( ) + 102 = h2 → h2 = 100
3 3
ข้อ 2. f(x) = 2 (3)2 + 1 = 19 ∴ h = 150 ≈ 12.2 เมตร ตอบ
ข้อ 3. f(x) = 32 + 3 + 1 = 13 (66) u′ = 3x2 − 3.63 → u′ = 0 จะได้ x = ±1.1
และข้อ 4. f(x) = 33 − 2 (3)2 + 3 (3) + 1 = 19 คิดทีป่ ลายช่วง 0 < x < 3 ด้วย
ดังนัน้ มีขอ้ 1. กับ 3. ไม่ถูกแน่นอน ได้ u(1.1) = −1.3, u(0) = 1.362, u(3) = 17.472
ต่อไปลองแทน x = 2 จะได้วา่ ดังนัน้ umin = −1.3 ตอบ
ข้อ 2. f(x) = 2 (2)2 + 1 = 9
(67) การเปรียบเทียบต้องคิดเป็นค่ามาตรฐาน (z)
และข้อ 4. f(x) = 23 − 2 (2)2 + 3 (2) + 1 = 7
ดังนัน้ ตอบ ข้อ 4. คนที่ 1; zรวม = 8 − 7 + 5 − 8 + 9 − 7 = −1
1 1 2
7−7 7−8 8−7
(60) f(x) = x3 + 4 − 2x + c คนที่ 2; zรวม = + + = −0.5
x 1 1 2
f(2) = 8 จะได้ว่า 8 + 2 − 4 + c = 8 ด้วยวิธีเดียวกันได้ zรวม คนที่ 3 = 0.5
ดังนัน้ c = 2 ตอบ Q และ zรวม คนที่ 4 = 1 ∴ ตอบ คนที่ 4
2 2 P (68) นาย ก; ระยะทาง = 10 − 5 = 5 ก.ม.
(61) mP = , mQ = − θ
4 1 α 5
∴˜
P กับ ตั้งฉากกัน
Q̃ → เวลาที่ใช้ = = 1 ชม.
α θ 25
ทําให้ θ + α = 90° ดังรูป 0 นาย ข; ระยะทาง = 12 + 62 = 37 ก.ม.
สมมติ P̃ ยาว p , Q̃ ยาว q 37
→ เวลาที่ใช้ = < 1 ชม.
คิดทีแ่ กน x; p cos θ − q sin θ = 21 .....(1) 38
คิดทีแ่ กน y; p sin θ + q cos θ = 18 .....(2) นาย ค; ใช้เวลา 50
> 1 ชม.
แต่จากจุด (4,2) ซึ่งห่างจากจุดกําเนิดอยู่ 20 49
หน่วย และทํามุม θ กับแกน x ทําให้เราทราบว่า 65
และนาย ง; > 1 ชม.
2 1 64
sin θ = = และ cos θ = 4 = 2
20 5 20 5 ดังนัน้ ต้องเปรียบเทียบระหว่าง นาย ค กับนาย ง
2p 1q 1p 2q
กลายเป็น − = 21 และ + = 18 พบว่า 50 > 65 ∴ นาย ค ถึงหลังสุด ตอบ
5 5 5 5 49 64
แก้ระบบสมการได้ p = 12 5 ตอบ
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 567 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)

20(150) + 180(X2) (77) มุม BAC เป็นมุม θ ระหว่างเวกเตอร์ทั้งสอง


(69) 165 =
200 หาได้โดยสูตรการดอทเวกเตอร์;
30,000
→ X2 = = 166.67 ซม. ตอบ 3(2) + 1(3) = 32 + 12 ⋅ 22 + 32 cos θ
180
9
→ 9 = 10 ⋅ 13 cos θ → cos θ = ≈ 0.8
(70) u = ⎢⎡−−22−−64⎤⎥ = ⎡⎢−−86⎤⎥ 11.4
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
˜ 2−(−1)⎤ 3
˜CD 3/5
→ θ = 38° ตอบ y
CD = ⎡ = ⎡⎢4⎤⎥ → n = = ⎡⎢4/5⎤⎥ (78) (0, 4) → M = 12
⎣⎢ 6−2 ⎦⎥ ⎣ ⎦ ˜
| CD | ⎣ ⎦ (2.5,5)
(5, 0) → M = 10
3 4 48 5
∴ u ⋅ n = (−8)( ) + (−6)( ) = − = −9.6 ตอบ (0, 5) → M = 15
5 5 5
(71) อาศัยความสมมาตรของรูป ABCD ที่วาง (2.5, 5) → M = 20 4
(4, 0) → M = 8
ตะแคงอยู่ จาก xB − xC = 3 − 2.268 = 0.732 x
∴ Mmax = 20 O 4 5
ดังนัน้ xD − xA = 0.732 ด้วย → xD = 5.732 (79) จุดตัดแกน x คือ x = 3
จึงเลือกข้อ 2. ตอบ 3 6

(72) ∑ a = m ∑ F + c N → 1.7 = 10 m + 4 c ดังนัน้ A = − ∫ + ∫ (ใส่ลบเพื่อให้พนื้ ทีเ่ ป็นบวก)


0 3
2
∑ F a = m ∑ F + c ∑ F → 5.5 = 30 m + 10 c 3 6
x3 x3
แก้ระบบสมการได้ m = 0.25 และ c = −0.2 = −( − 9x) +( − 9x)
3 0
3 3
∴ â = 0.25F − 0.2
= −(9 − 27) + [(72 − 54) − (9 − 27)] = 54 ตอบ
หาค่า â (ที่ 3.5) = 0.25 ( 3.5) − 0.2
(80) ตรวจสอบโดยแทนค่า n เช่น แทน n = 106
= 0.675 m/ s2 ตอบ ข้อ 1. t = 106 ดีกว่า t = 100 ผิด (t น้อยดีกว่า)
dA ⎡ 2 1⎤
(73) 1 0
⋅ B = C → ⎢3x 2x + 2 ⎥ ⎡⎢2⎤⎥ = ⎢⎡2⎥⎤
ข้อ 2. t = 1,000 ดีกว่า t = 12 ผิด
dx ⎢⎣ 0 1 ⎥⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ข้อ 3. t = 108 + 5 ดีกว่า t = 1012 ถูก
1 ข้อ 4. t = 21,000 = (1,024)3 ดีกว่า t = 1012 ก็ถูก
→ 3x2 + 2(2x + ) = 0
2 เปรียบเทียบข้อ 3. กับ 4. ด้วยข้อมูลที่เท่ากัน
1 ทางขวาเหมือนกัน จึงพิจารณาจากทางซ้าย
→ 3x2 + 4x + 1 = 0 → x = − , −1
3
→ t = 100n + 5 ย่อมน้อยกว่า t = 2 n
ผลรวมคําตอบ คือ − 4 ตอบ ดังนัน้ เลือกข้อ 3. ตอบ
3
(74) z−1 = 2 → (x − 1)2 + y2 = 2 (81) A = cos2(π − θ) − sin2(π − θ)
2 2
→ (x − 1)2 + y2 = 4 → x2 − 2x + y2 = 3 π
= cos ⎡⎢2( − θ)⎤⎥ ตอบ
* ข้อนี้เกินหลักสูตรม.ปลาย เพราะต้องหาอนุพนั ธ์ ⎣ 2 ⎦
ตลอดสมการ ดังนี้ (82) เนื่องจากมี x ดังนัน้ x ติดลบไม่ได้
dy → เหลือเพียงข้อ 2. กับ 4. ที่เป็นไปได้
2x − 2 + 2y ⋅ = 0
dx ลองแทนค่า x = 1 → y = 2 ,
dy 2 − 2x 1− x
→∴ = = ตอบ x = 2 → y = 3.414 , x = 3 → y = 4.732 ,
dx 2y y
x = 4 → y = 6 พบว่ามีลักษณะการโค้งแบบข้อ 4.
(75) 2 + log10 1.25 = log10 100 + log10 1.25
ตอบ ข้อ 4.
= log10 125 = 3 log10 5 = 3A ตอบ (83) * ข้อนี้ถา้ ต้องหาอนุพนั ธ์จริงๆ จะยาก เพราะ
(76) เวลา 90 นาที นาย ก ได้ 2 (1.5) = 3 กม. เกินหลักสูตร (ดิฟ cos, arcsin, ex , ln x ) แต่ถ้าเรา
นาย ข ได้ 4 (1.5) = 6 กม. 3 ต้องการพิจารณาแค่ว่า ”ค่าใดมากกว่ากัน” สามารถ
A 30° C
ใช้กฎของ cos; ทําได้โดยดูจากความชันของกราฟ
CB = 62 + 32 − 2(6)(3) cos 120° 6 f1 เนื่องจาก π ≈ 1.57
2
= 3 7 กม. ตอบ 1
B ดังนัน้ ที่ x = 0.5, 1,
π/2 x
0 0.75 นั้น f1 ความชัน
-1 ติดลบทั้ง 3 ตัว

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 568 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)

→ ส่วน f2 = arcsin f2 (88) A = ad − bc, x = (ad)2 + (bc)2


เป็นฟังก์ชนั เพิ่มเสมอ π/2 โจทย์ตอ้ งการ ad − bc > (ad)2 + (bc)2
(ความชันเป็นบวก) -1 1 → (ad)2 − 2abcd + (bc)2 > (ad)2 + (bc)2
ฉะนั้น ข้อ 1. ถูกแล้ว x
O → −2abcd > 0 → abcd < 0 เป็นไปไม่ได้เลย
f4 −π/2 ∴P = 0 ตอบ ข้อ 1.
เป็นฟังก์ชันเพิ่ม (89) Ŷ = mX + c → Y = mX + c ด้วย
→ f4 = ln x
∴ 109 = 53m + c .....(1)
O x เช่นกัน ฉะนั้น ความชันเป็น และ 5 = m (1) + c .....(2)
1 บวก ข้อ 2. ถูกแล้ว
f3 แก้ระบบสมการได้ m = 2 , c = 3
x
→ f3 = e ก็เป็น ∴ เมื่อ x = 20 วินาที
1 จะได้ Ŷ = 2(20) + 3 = 43 m/s ตอบ
ฟังก์ชนั เพิ่ม ดังนัน้
ข้อ 3. ผิด x (90) ก. จากเงือ่ นไขของรู้ท พบว่า x − 6 > 0 และ
O
x + 4 > 0 และ 6 − x > 0 นํามาอินเตอร์เซคกัน

ส่วนข้อ 4. นั้นถูกแล้ว เนือ่ งจาก cos π < cos π เหลือแค่เลข 6 แค่ตัวเดียว


4 6 → แทนค่า x = 6 ดู พบว่า 0 + 10 > 0 จริง
π
ความชันของกราฟ f4 ที่ cos จึงมากกว่า ∴ ผลบวกคําตอบก็คือ 6 ข้อ ก. ผิด
4
ข. ( x)x = x3; โดย x > 0
ตอบ ข้อ 3.
4n + 18n4 + 18n3 + 2n ใส่ log 2 ข้าง; x log x = 3 log x
(84) nlim ; 2
→∞ 5n4 + 20n3 + 2 ⋅ 2n x
[นํา 2n ไปหารทั้งเศษและส่วน] → ( − 3)(log x) = 0
2
4n + 18n4 + 18n3
n
+1 จะได้ x − 3 = 0 หรือ log x = 0
→ lim 2 2
n→∞ 5n4 + 20n3 → x = 6 หรือ 1 ข้อ ข. ถูก ตอบ ข้อ 2.
+2
2n 3 3
θ = arctan ∴ sin θ =
ซึ่งถ้า n → ∞ แล้ว n4 << 2n (น้อยกว่ามากๆๆๆ) (91) ให้ 4 5
n4 1 18
∴ lim = 0 ดังนั้น ตอบ → cos 2θ = 1 − 2 sin2 θ = 1 − = 0.28 ตอบ
n→∞ 2n 2 25
(85) กราฟผ่าน (0, 10) → จะได้ c = 10 (92) −1 + i 3 เป็นคําตอบ แสดงว่า สังยุคคือ
ผ่าน (5, 20) → 20 = 25a + 5b + 10 .....(1) −1 − i 3 ต้องเป็นคําตอบด้วย
ผ่าน (8, 50) → 50 = 64a + 8b + 10 .....(2) จาก (x + 1 − i 3)(x + 1 + i 3) = x2 + 2x + 4
ได้ a = 1, b = −3 ∴ y = x2 − 3x + 10 นําไปหารยาวออกจาก f(x) ได้ผลเป็น
(x2 + 2x + 4)(x3 − 2x2 + 9x − 18) = 0
ซึ่ง y′(4) = 2(4) − 3 = 5 ตอบ
(86) ให้ x = (0.0981)1/ 5 แยกตัวประกอบ
→ (x2 + 2x + 4)(x − 2)(x2 + 9) = 0
1 1.0083
→ log x = log(0.0981) = − = −0.2017
5 5 ดังนัน้ คําตอบคือ −1 + i 3, −1 − i 3, 2, −3i, 3i
= −1 + 0.7983 = log(0.1) + log(6.285) ผลบวกคําตอบ = 0 ตอบ
= log 0.6285 → x = 0.6285 ตอบ [อาจใช้สตู รลัดที่ให้ไว้ในบทจํานวนเชิงซ้อนก็ได้]
(87) −1
g (x) = 3
x → g(x) = x 3 (93) 31B16 = 3 × 162 + 1 × 161 + 11 × 160
3 = 768 + 16 + 11 = 795 ตอบ
2x + 1 ⎞
→ (gof)(x) = y = ⎛⎜ ⎟ λ −1
⎝ 1 − 2x ⎠ (94) λI − A = 2 λ+2
2
dy 2x + 1 ⎞ ⎛ (1 − 2x)(2) − (2x + 1)(−2) ⎞
∴ = 3 ⎜⎛ ⎟ ⎜ ⎟ = λ(λ + 2) + 2 = λ2 + 2λ + 2 = 0
dx ⎝ 1 − 2x ⎠ ⎝ (1 − 2x)2 ⎠
dy 2 + 2⎞ −2 ± 4−8
= 3 (1)2 ⎛⎜ ∴λ = = −1 ± i ตอบ
→ ⎟ = 12 ตอบ 2
dx x=0 ⎝ 1 ⎠

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 569 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)

(95) จัดรูป; (102) สมการ y − 1 = x − 2


2 2
16 (y − 4y + 4) − 25 (x − 2x + 1) = − 439 + 64 − 25 ได้แก่ (y − 1) = (x − 2) และ (y − 1) = −(x − 2)
→ 16(y − 2)2 − 25(x + 1)2 = −400 เป็นเส้นตรงสองเส้นกากบาท
(x + 1)2 (y − 2)2 ผ่านจุด (2, 1) 3
→ − = 1
16 25
เป็นไฮเพอร์โบลาเปิดซ้ายขวา a = 4, b = 5
เส้นกํากับต้องผ่านจุดยอด (−1, 2) พื้นที่ Δ = 1 × 4 × 2
2
-1 2
และมีความชัน ± (b/ a) = 4 ตร.หน่วย ตอบ

ดังนัน้ ตอบ y − 2 = ± 5 (x + 1) คือ ข้อ 4. (103) A1 = [−10, 2] , A2 = [−5,


14
],
4 5
(96) b
10 22
A 3 = [− , ] , ...
3 7
a 10 8n − 2
A∞ = [ lim(− ), lim ( )] = [0, 4]
n→∞ n n → ∞ 2n + 1
ความยาวลวด 80 เมตร (เป็นช่วงที่ไม่เกิดขึ้นจริงเพราะเกิดที่อนันต์)
→ 80 = 2b + 4a ∴ b = 40 − 2a
ก. An ∪ An + 1 ∪ An + 2 ∪ … ∪ A∞ = ⎡⎢ − 10 , 4 ⎞⎟ ถูก
พื้นที่ A = ab = a (40 − 2a) = 40a − 2a2 ⎣ n ⎠
จะได้ A′ = 40 − 4a = 0 → a = 10 ⎛ 8n − 2 ⎤
ข. A n ∩ An + 1 ∩ An + 2 ∩ … ∩ A ∞ = ⎜ 0, ถูก
ดังนัน้ Amax = 10(40 − 20) = 200 ตร.ม. ตอบ ⎝ 2n + 1 ⎦⎥

ค. ∪ ⎡⎢ − 10 , 4 ⎞⎟ − ∩ ⎛⎜ 0, 8n − 2 ⎤⎥
∞ ∞

(97) g(ln x 3 +2) = 31 = 3


1
⎣ n ⎠ ⎝ 2n + 1 ⎦
ln x + 3 (ln x +2) + 1 i=1 i=1

1 = (0, 4) − (0, 4) = ∅ ถูก ดังนัน้ ตอบ ถูก 3 ข้อ


∴ g(x) = ตอบ
x+1 (104) สมมติสร้าง n ชั้น
(98) (0, 2) → T = 44
y
ค่าใช้จา่ ยเฉลี่ย y = 800 + (1 + 2 + 3 + ... + n)
n
(4, 0) → T = 100
(2,2) ⎡(n)(n + 1)⎤
(2, 2) → T = 94 800 ⎣⎢ 2 ⎦⎥ = 800 + n + 1
(3, 1.5) → T = 108
2 = +
(3,1.5) 2 n n 2
∴ Tmax = 108 ตอบ 800 1 2
∴ y′ = − 2 + = 0 → n = 1,600
x n 2
O 4
→ n = 40 ชั้น ตอบ
(99) ˜
AC = ˜
⎡6⎤ , AD = ⎡4⎤
⎢⎣3 ⎥⎦
100
⎣⎢8⎦⎥ (105) ∑ an = a1 + a2 + a3 + … + a100
n=1
หามุม θ โดยการดอท;
= 1 + 21 + 3 + 22 + … + 99 + 250
6(4) + 8(3) = (10)(5) cos θ
= (1 + 3 + 5 + … + 99) + (21 + 22 + 23 + … + 250)
48 24
→ cos θ = ∴ θ = cos −1 ตอบ 50 ⎞ ⎛ 2(1 − 250) ⎞
50 25 = ⎛⎜ (1 + 99)⎟ + ⎜ ⎟
⎝ 2 ⎠ ⎝ 1−2 ⎠
(100) C = (AB)T = BT AT = ⎡⎢bb1211 bb2221 ⎤⎥ ⎡⎣⎢aa1211 aa2221 ⎤⎥⎦ = 2,500 + 2 (250 − 1) = 2,500 + 2 (x2 − 1)
ตอบ
⎣ ⎦
⎡ a11b11 + a12b21 a21b11 + a22b21 ⎤ (106) แปลงกราฟเป็น แกน log(f(x)) จะได้ดังนี้
= ⎢a b + a b
⎣ 11 12 12 22 a21b21 + a22b22 ⎥⎦
(log 1 = 0 ดังนัน้ แกน x จึงต้องขยับขึ้นมา 1 ช่อง)
พิจารณา c12 = a21b11 + a22b21 log f(x)
และ c21 = a11b12 + a12b22
นั่นคือ aj1b1i + aj2b2i ตอบ ข้อ 1. 3
(101) พื้นที่แรเงา = พื้นที่ใต้กราฟจาก 0 ถึง 9 2
ลบด้วยพื้นที่สามเหลี่ยม 1
9
1 9
0 1 2 3 x
= ∫ (3 x) dx − × 4 × 9 = (2x3 / 2) − 18 -1
0 2 0

= 54 − 18 = 36 ตอบ
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 570 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)
3
(115) พื้นที่แรเงาดังนี้
∫ log[f(x)]dx = พืน้ ที่ใต้กราฟจาก 1 ถึง 3
1 เท่ากับ 1 ของวงกลม
1 4 A B
= × 2 × (3 + 1) = 4 ตอบ
2 ลบด้วยพื้นที่ ΔABC
(107) จะได้ = 1 π 12 − 1 × 1 × 1
4 2 C
PP
1 2 = 22 + 32 = 13
3
=
π−
1
และในโจทย์มรี ูปนี้ 2 ซีกรวมกัน
ตอบ 4 2

2 ตอบ 2 (π − 1) = π − 1 ≈ 0.57 cm2


4 2 2
(108) พิจารณาสมการ −x + ky − z = 3 กับ (116) เปรียบเทียบได้ดังนี้
x − y + z = −2 พบว่า สัมประสิทธิ์ของ x และของ 1. ผืนผ้า ไม่ต้องคิด เพราะพื้นที่นอ้ ยกว่า จัตรุ ัส
z ถูกคูณ -1 ดังนั้นจะไม่มีคําตอบเมื่อ k = 1 ตอบ อยู่แล้ว (ความรูจ้ ากเรื่องอนุพนั ธ์)
[จะคํานวณจาก det = 0 ก็ได้] 2. จัตุรัส พื้นที่ = ด้าน2
2
L2
(109) หาร x − 2 กับ x + 1 ลงตัว แสดงว่า แต่ 4ด้าน = L ∴ พื้นที่ = ⎛⎜ L ⎞⎟ =
p(x) = (x − 2)(x + 1)(x − c) ⎝4⎠ 16

หาค่า c โดย “หาร x แล้วเหลือเศษ 8” 3. หกเหลี่ยมด้านเท่า พื้นที่ = 6 รูป Δ ด้านเท่า


นั่นคือ p(0) = 8 → 8 = (−2)(1)(−c) → c = 4 1 3 3
= 6 ( × ด้าน × ด้าน × sin 60° ) = ด้าน2
2 2
ตอบ p(x) = (x − 2)(x + 1)(x − 4) 2
3 3 ⎛L⎞ L2
(110) พื้นที่ ΔABC = 2 = 1 × 1 × BC → BC = 4
แต่ 6ด้ า น = L ∴ พื้นที่ = ⎜
2 ⎝6⎠
⎟ =
24 3
2
1
AB BE 1 0.8 (หมายเหตุ คิดพืน้ ทีส่ ามเหลีย่ มจาก [ab sin C] )
Δ คล้าย; = → = 2
AC BD 4 BD
→ BD = 3.2 หน่วย ตอบ 4. วงกลม พื้นที่ = π รัศมี2
2 2
(111) จากการพิสจู น์แล้วในหัวข้อ “อนุพนั ธ์” (บทที่ แต่ L = 2π รัศมี ∴ พืน้ ที่ = π ⎛⎜ L ⎞⎟ = L
⎝ 2π ⎠ 4π
15) จะได้วา่ ต้องตัดออก “ด้านละ 1 ใน 6” ดังนัน้
2 เปรี ยบเที ยบกัน พบว่ า 4π < 16 < 24 3
ปริมาตร = ⎛⎜ 4 × 16 ⎞⎟ × 16 = 8,192 ลบ.ซม. ตอบ ดังนัน้ วงกลมมีพื้นที่มากทีส่ ุด ตอบ
⎝6 ⎠ 6 27
(112) ก. ผิด (117) 10 เมตร = 104 มิลลิเมตร
4 4
ต้องเป็น sin(α − β) = sin α cos β − cos α sin β ตัดครั้งแรกเหลือ 10 , ตัดครั้งทีส่ องเหลือ 102 ,
2 2
ข. กับ ค. ถูกแล้ว 4
ง. ผิด ต้องเป็น cos(α − 30°) + cos(α + 30°) ครั้งทีส่ ามเหลือ 103 , ฯลฯ
2
= 2 cos α cos 30° = 3 cos α ตอบ ข้อ 4. 104
∴ n < 1 → 2n > 104 → n log 2 > 4
(113) คิดด้วยวิธีดังรูป (คล้ายสูตรในเรื่องเซต) 2
4
→ n > ซึ่ง 4 ≈ 13 กว่า
0.301 0.301
= + - ∴ ต้องตัด 14
ครั้งขึน้ ไป ตอบ
4 3 3 5 3 3 (118) มี เมฆมาก
= ⎛⎜ 2 ⎞⎟ ⎛⎜ 2 ⎞⎟ + ⎛⎜ 2 ⎞⎟ ⎛⎜ 2 ⎞⎟ − ⎛⎜ 2 ⎞⎟ ⎛⎜ 2 ⎞⎟ = 39 รูป ตอบ
⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠ หรือไม่มีฝนตก
(114) y3 + 4y2 − 9 = 3y + 9 แรเงาได้ดังภาพ
→ y3 + 4y2 − 3y − 18 = 0 → (y − 2)(y + 3)2 = 0
เมฆมาก ฝนตก
แต่จากโจทย์มีตวั ส่วน ดังนัน้ y ≠ −3 คิดจาก
จึงได้วา่ y = 2 เท่านั้น 1 − (P{ ฝนตก } − P{ เมฆมากและฝนตก })
3
∴ f(2) = 2 − 2(2) + 5 = 9 ตอบ ข้อ 2. = 1 − ( 0.35 − 0.25) = 0.90 ตอบ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 571 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)

(119) คิดที่ระนาบ z = 2 ก่อน (มองเฉพาะ x,y) (125) 16 − 15


z = = 2
0.5
ได้สมการเส้นตรง AB เป็น (y − 2) = 3 (x − 2) A
4
→ 3x − 4y + 2 = 0 z=2
A B
D 2 z=-3 19/20
-2 0 2 z
5 A = = 47.5%
2
C (หาร 2 เพราะโจทย์บอกมาเป็นช่วง ±2 )
ระยะจากจุด D (−4, 0, 2) มาถึง AB ดังนัน้ พืน้ ที่ดา้ นขวาของ A = 50 − 47.5 = 2.5%
3(−4) − 4(0) + 2 คือมีคนมากกว่าเขาอยู่ 2.5% ดังนั้น
คิดจาก = 2 หน่วย
32 + 42
เขาได้ลําดับที่ประมาณ 2.5% × 200 = 5 ตอบ
จากนั้นมองว่า ระยะทางนีต้ ั้งฉากกับ CD (126) สมการเส้นตรง ผ่านจุด (1,4)
2
ซึ่งยาว 2 − (−3) = 5 หน่วย → (y − 4) = − (x2 − 1)
3
คําตอบคือ 22 + 52 = 29 หน่วย ไม่มีขอ้ ใดถูก กระจายได้เป็น 2x2 = −3y + 14
(120) พื้นทีห่ กเหลี่ยม = 6 ⋅ Δ 3 3
→ x2 = − y + 7 = 4(− )(y −
14
)
1 147 3 2 8 3
= 6( × 7 × 7 × sin 60°) = ≈ 127.3
2 2 14
เป็นพาราโบลาคว่ํา จุดยอด V(h, k) = (0, )
3
พื้นที่วงกลม = π (7)2 ≈ 22 × 72 = 154 14 3 103
7 จุดโฟกัส F(0, − ) = (0, ) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 154 − 127.3 = 26.7 cm2 3 8 24
(127) A โจทย์บอก ˆ = 150°
XYC
(121) log(f(x)) + log(g(x)) = 4
105 3 ∴ AYXˆ = 30°
และ log 10 + log(f(x)) − log(g(x)) = 3 X
ˆ = 90°
แต่มุม AXY จะได้
จะได้ log(f(x)) = 3 , log(g(x)) = 1 Y ˆ = 60°
XAY ถูกแบ่งครึ่ง
ดังนัน้ g(x) = 10 → x2 + 1 = 10 → x = ±3 ตอบ B C
ด้วย ˆ = 30°
AO → BAO
⎡ df(x) ⎡ df(x)⎤
4 4 4

(122) ∫ ⎢ dx + x ⎥ dx = ∫ ⎢ dx ⎥ dx + ∫ x dx 200 3
1 ⎣ ⎦ 1 ⎣ ⎦ 1
O
200 3
⎡ x2 ⎤
4
4
42 12 จาก ΔOAB จะได้ tan 30° =
= ⎡⎣ f(x) ⎤⎦ + ⎢ ⎥ = (f(4) − f(1)) + ( − ) AB
⎣2⎦ 1 2 2
1
→ AB = 600 เมตร
1 AX
= (6 − 8) + (8 − ) = 5.5 ตอบ จาก ΔAXY จะได้ tan 30° =
2 105 3
[หมายเหตุ ค่า f(4) และ f(1) ดูจากกราฟ] → AX = 105 เมตร
π
(123) จาก j = −1 = 1∠
π ดังนั้น j = 1e
j
2 ตอบ XB = 600 − 105 = 495 เมตร
2 (128) แพทย์ 10 → จากข้อ ง. และ ก. ได้วา่ มี
π
→ ln j j = j ln j = j ln e
j
2 = j2
π ln e พยาบาล 5 → แสดงว่ามีแพทย์ที่ไม่พยาบาลอีก
2 5 → แต่จากข้อ จ. ทําให้ทราบว่า 5 แห่งนีต ้ อ้ งสอน
2
ซึ่ง j = −1 และ ln e = 1 ตอบ π
∴ −
2
วิศวะ → จากข้อ ข. ทําให้ทราบว่า วิศวะกับแพทย์มี
(124) 5 และวิศวะกับพยาบาลไม่มีเลย → ดังนั้น จากข้อ
P(J) = 0.85, ค. ทําให้ทราบว่า วิศวะทัง้ หมดมี 10 แห่ง ตอบ
P(A) = 0.5, พยาบาล
ติดขัด (J) อุบัติ (A) P(J ∩ A) = 0.3
5 5 5 วิศวะ
∴ P(J ∪ A) = 0.85 + 0.5 − 0.3 = 1.05
ความน่าจะเป็นเกิน 1 ดังนั้น โจทย์ขอ้ นี้ผดิ ตอบ แพทย์
(แต่ถ้ามั่วทําต่อก็พอไหว โจทย์ถาม (J' ∪ A) คือ (129) y2(y + 3) = 4(y + 3) แต่โจทย์บอกว่า
ส่วนที่แรเงา คิดจาก 1 − (P(J) − P(J ∩ A)) y ≠ −3 ดังนั้น 2
y = 4 → y = 2, −2
= 1 − (0.85 − 0.3) = 0.45 ก็อาจเฉลยข้อ 3.) ∴ f(2) = 2, f(−2) = 6 ตอบ {2, 6}
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 572 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (เกา)

(130) จากโจทย์ =
[(i + 1)2 ]10 (137) เส้นรอบวง วงนอกสุด = πd
[(i − 1)2 ]8
(2i)10 d
= = (2i)2 = −4 ตอบ
(−2i)8 d 2 2 d/2
(131) ต้องการกรองแสง เหลือประมาณ 0.40
1 ชั้น เหลือแสง 0.80
2 ชั้น เหลือ 0.80 × 0.80 = 0.64 d πd
3 ชั้น เหลือ 0.80 × 0.64 = 0.512 รัศมีวงถัดไป = → เส้นรอบวง =
2 2 2
4 ชั้น เหลือ 0.80 × 0.512 = 0.4096 ดังนัน้ ผลบวกคือ πd + πd +
πd +…
ดังนัน้ ตอบ 4 ชั้น 2 ( 2)2
(132) โจทย์คือ p → q πd 2πd
[อนุกรมเรขาฯอนันต์] =
1
= ตอบ
ข้อ 1. q → p ผิด ข้อ 2. ~ p → ~ q ผิด 1−( ) 2 −1
2
∴ ข้อ 3. ถูก (คือ ~ q → ~ p ) ตอบ
(138) สมมติความเร็วเป็น x กับ y และถังมี
(133) A = 1 ⋅ 2 ⋅ 2 = 4, B = a ⋅ 2 ⋅ 1 = 2a
→ AB = 4 ⋅ 2a = 8 → a = 1 ตอบ ปริมาตรเท่ากับ 1 จะได้วา่ 1 − 1 = 3 .....(1)
x y
(134) มุม ABC ˆ = 30° 1
และ = 2 .....(2)
x+y
จากกฎของ sin; AB = 50 1 1
sin 45° sin 30° แก้ระบบสมการได้ x = , y =
ดังนัน้ AB = 50 2 เมตร ตอบ 6 3
⎛ 1 ⎞ ดังนัน้ เวลาที่ใช้สูบ คือ 6 และ 3 ชม. ตอบ ข้อ 2.
⎜ 4 + n2 ⎟
(135) lim ⎜
⎛ 4n5 + n3 ⎞
⎟ = nlim ⎜ ⎟ =
4 (139) ข้อ 1. ความชัน 3 , − 1 , 3
n → ∞ ⎝ 5n5 − 38 ⎠ →∞
⎜⎜ 5 − 38 ⎟⎟ 5 5 4 5
⎝ n5 ⎠ 1 1
ข้อ 2. ความชัน , −3 ,
n5 หารทัง้ เศษและส่วน)
(ใช้วิธีนํา 3 3
lim 3 cos(nπ) = 3 lim cos(nπ) 1 2
n→ ∞ n→ ∞ ข้อ 3. ความชัน , −2, −
4 3
= 3 lim
n→∞
{ −1 , 1 , −1 , 1 , −1 , … } = 3 ⋅ 1 = 3
5 3
ข้อ 4. ความชัน , 2, −
4 3 5
ตอบ × 3 = 2.4
5
มีข้อ 2. กับ 4. ที่มีเส้นสองเส้นตัง้ ฉากกัน (ความชัน
(136) ระยะทาง 500 กม. ความเร็ว v กม./ชม. คูณกันได้ -1) แต่ว่าข้อ 2. อีกเส้นก็ตงั้ ฉากด้วย (คือ
แสดงว่าใช้เวลาวิง่ 500 ชม. มี 1 เท่ากันสองเส้น) จึงไม่เกิดสามเหลี่ยม
v
3
v2 500
→ ค่าใช้จ่าย f(v) = (
+ 40)( ) ดังนัน้ ตอบ ข้อ 4.
5 v
20,000
= 100v +
v
20,000
f′(v) = 100 − = 0 → v2 = 200
v2
∴v = 200 = 10 2 กม./ชม. (จึงจะเสียค่าใช้จา่ ย
น้อยที่สดุ ) ตอบ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 573 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (ใหม)

¢ŒoÊoºe¢ŒÒÏ ¾×é¹°Ò¹ÇiÈÇa ’41-’48


e©¾Òa¢Œo·Õèe»š¹¤³iµÈÒʵÏ
หมายเหตุ ข้อสอบแบบปรนัย ข้อละ 2 คะแนน
และข้อสอบแบบอัตนัย ข้อละ 3 คะแนน
ตุลาคม 2541
1. จากการสังเกต ณ จุด A มุมระหว่างแนวราบและแนวที่มองไปยังยอดตึกแห่งหนึ่งเป็น 30 องศา
เมื่อเดินจากจุด A มุ่งไปยังตึกนี้เป็นระยะทาง 200 เมตร ถึงจุด B พบว่ามุมระหว่างแนวราบและ
แนวที่มองไปยังยอดตึกนี้เป็นมุม 45 องศาพอดี ความสูงของตึกหลังนี้สูงกี่เมตร โดยประมาณ
1. 271 2. 273 3. 275 4. 277

2. วิศวกรคนหนึ่งมีลูกน้อง 10 คน จะแบ่งกลุ่มลูกน้องเป็นสองกลุ่มให้มีคนกลุ่มละเท่าๆ กัน วิศวกร


ผู้นั้นจะมีวิธีจัดกลุ่มลูกน้องได้กี่วิธี
1. 45 วิธี 2. 90 วิธี 3. 126 วิธี 4. 252 วิธี
f(t)
2
3. จงหา 0 ∫ f (t) dt 5 1. 0
2. 2.5
t 3. 5
O 1 2 3 4 4. 10
-5

4. จากการวิเคราะห์แนวโน้มของปริมาณรถที่วิ่งผ่านถนนสายหนึ่งในอดีตพบว่า ปริมาณรถที่วิ่งผ่าน
แปรผันตามรากที่สองของจํานวนประชากรในเมือง A ปัจจุบันเมือง A มีประชากรอยู่ 9 ล้านคน
สมมติให้แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของปริมาณรถที่วิ่งผ่านถนนสายนี้มีอัตราคงที่ และคาดว่าจะมี
ประชากรในอีก 10 ปีข้างหน้าเพิ่มเป็น 16 ล้านคน ปริมาณรถที่วิ่งผ่านถนนสายนี้ในอีก 10 ปี
ข้างหน้าจะเพิ่มเป็นกี่เท่าของปริมาณรถที่วิ่งผ่านถนนสายนี้ ณ ปีปัจจุบัน
1. 4/3 2. 1.5 3. 16/9 4. 4

5. รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสรูปหนึ่งมีความยาวของแต่ละด้านเท่ากับ a ถูกบรรจุด้วยสี่เหลี่ยมจัตุรัสซึ่งมีมุม
อยู่ที่จุดกึ่งกลางของแต่ละด้านของสี่เหลี่ยมภายนอก ดังแสดงในรูป ถ้าสี่เหลี่ยมดังกล่าวเกิดขึ้นอย่าง
a ไม่สิ้นสุด จงหาผลรวมของเส้นรอบรูปสี่เหลี่ยมทั้งหมดที่เกิดขึ้น
1. 4 2 a 2. 2 − 1
1+ 2 4 2a
4 2a 1+ 2
a 3. 4.
2−1 4 2a

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 574 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (ใหม)

6. ถ้า x1 , x2 , …, xN เป็นข้อมูลชุดหนึ่งที่ N > 0 และทุกๆ ค่าของ x เป็นจํานวนเต็ม ค่าเฉลี่ย


ของข้อมูลชุดนี้เป็นค่าแบบใด
1. จํานวนเต็ม 2. จํานวนนับ 3. จํานวนตรรกยะ 4. จํานวนอตรรกยะ
7. จากการขนส่งสินค้าทางบกจากกรุงเทพไปยังจังหวัดอุดรธานี พบว่ามีการขนส่งด้วยรถไฟและ
รถบรรทุกอยู่ร้อยละ 20 มีการขนส่งด้วยรถไฟร้อยละ 30 ถามว่ามีการขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุก
อยู่ร้อยละเท่าใด

มีนาคม 2542
8. โรงงานผลิตถ้วยแก้วแห่งหนึ่งมีการควบคุมคุณภาพแบบสุ่มตรวจ ระดับคุณภาพของโรงงานอยู่ที่
ความผิดพลาดหรือข้อบกพร่องของผลิตภัณฑ์ (เช่น บิ่น เบี้ยว ผิดขนาด ฯลฯ) ไม่เกินร้อยละ 5
ดังนั้นในการผลิตถ้วยแก้ว 1,500 ใบ จะต้องสุ่มตรวจกี่ใบที่เมื่อไม่พบข้อบกพร่องเลยจะสามารถ
ยอมรับได้ตามเกณฑ์ระดับคุณภาพดังกล่าว
1. 75 ใบ 2. 74 ใบ 3. 19 ใบ 4. 20 ใบ
9. เมือง A และ B อยู่ห่างกัน 20 กม. ดําออกเดินทางจากเมือง A ในแนวทิศะวันออกเฉียง
N เหนือ แดงออกเดินทางจากเมือง B ในแนวทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เมือง C อยู่
ระหว่างทางในแนวทางเดินของดํากับแดง เมือง C อยู่ห่างจากเมือง A เท่าไร
1. 10.00 กม. 2. 10 2 กม.
A B 3. 10 3 กม. 4. 20.00 กม.
20 กม.
10. แผนกซ่อมบํารุงของโรงงานแห่งหนึ่งมีพนักงานประจํา 9 นาย เป็นช่างกลโรงงาน 5 นาย และ
ช่างไฟฟ้า 4 นาย ในการจัดทีมซ่อมบํารุงแต่ละครั้งจะใช้ช่างกลโรงงาน 3 นาย และช่างไฟฟ้า 2
นาย ในฐานะหัวหน้าแผนกซ่อมบํารุง ท่านมีวิธีจัดทีมงานได้กี่วิธี

มีนาคม 2543
11. แก้วบรรจุน้ําเต็มปริ่มใบหนึ่ง หมุนรอบแกนกลางของแก้วด้วยความเร็วคงที่ แรงหนีศูนย์กลางที่
เกิดขึ้นทําให้น้ําที่อยู่ในแก้วส่วนหนึ่งล้นออกจากแก้ว เมื่อมองจากภาพตัดขวาง น้ําที่เหลืออยู่ในแก้ว
ขณะนั้นอยู่ในรูปพาราโบลา ซึ่งก้นรูปพาราโบลาแตะก้นแก้ว และขอบพาราโบลาแตะขอบแก้วด้านบน
พอดี สามารถเขียนสมการแสดงความสัมพันธ์ในแนว x และ y ของรูปพาราโบลาได้เป็น y = x 2
ดังรูป น้ําที่เหลืออยู่ในแก้วมีปริมาตรเท่าใด y = x2
1. มากกว่า 1/3 ของแก้ว 2. 1/3 ของแก้ว
3. น้อยกว่า 1/3 ของแก้ว 4. ข้อมูลไม่เพียงพอที่จะบอกได้
12. ในการคํานวณค่าความสามารถของกระบวนการผลิต ดัชนีชี้วัดประกอบด้วย
USL − X LSL − X
CPU = CPL =
3 ⋅ SD 3 ⋅ SD
และ CPK = ค่าทีต่ ่ํากว่าระหว่าง CPU กับ CPL
โดยที่ USL คือค่าควบคุมขั้นสูง LSL คือค่าควบคุมขั้นต่ํา
X คือค่าปัจจัยเฉลี่ยของผลิตภัณฑ์ SD คือค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานของปัจจัย
เมื่อค่า CPK = 1 ผลิตภัณฑ์ที่เสียหายซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปัจจัยสูง
หรือต่ํากว่าค่าควบคุมจะมีจํานวนร้อยละเท่าไร (ทศนิยม 2 z 0.00 3.00
A 0.0000 0.4987
ตําแหน่ง) ใช้ตารางแสดงพื้นที่ใต้เส้นโค้งปกติที่กําหนดให้
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 575 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (ใหม)

ตุลาคม 2543
13. ผลสอบวิชาพื้นฐานทางวิศวกรรมของนักเรียนจํานวน 100 คน มีตารางแจกแจงความถี่ดังนี้
ช่วงคะแนน ความถี่ ช่วงคะแนน ความถี่
0–9 15 50 – 59 5
10 – 19 10 60 – 69 5
20 – 29 20 70 – 79 3
30 – 39 30 80 – 89 1
40 – 49 10 90 – 99 1
ข้อใดต่อไปนี้ถูกต้อง
1. มัธยฐานมีค่ามากกว่าค่าเฉลี่ยเลขคณิต 2. ค่าเฉลี่ยเลขคณิตมีค่ามากกว่าฐานนิยม
3. ฐานนิยมมีค่ามากกว่ามัธยฐาน 4. มัธยฐานมีค่ามากกว่าฐานนิยม

14. ในการวัดการเปลี่ยนแปลงของการทดลองทางวิศวกรรม บ่อยครั้งที่ค่าที่วดั ได้จะอยู่ในรูปของลําดับ


ข้อใดต่อไปนี้ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับลําดับ
1. โดเมนของลําดับเป็นจํานวนเต็มบวก
2. ลําดับเรขาคณิตคือลําดับที่มีอัตราส่วนของพจน์ที่ n+1 กับพจน์ที่ n คงที่
3. ค่าลิมิตของลําดับคือค่าเพียงจํานวนเดียว ที่พจน์ที่ n ของลําดับมีค่าเข้าใกล้หรือเท่ากับ
เมื่อ n มีค่ามากขึ้นอย่างอนันต์
4. ลําดับไดเวอร์เจนต์คือลําดับอนันต์ที่มีค่าลิมิตของลําดับเป็นจํานวนจริง

15. นาย ก ยืนอยู่บนดาดฟ้าของตึก A ซึ่งสูง 10 เมตร ต้องการส่งสัญญาณให้นาย ข โดยใช้


กระจกสะท้อนแสงอาทิตย์ โดยนาย ข ยืนรออยู่บนดาดฟ้าของตึก B ซึ่งสูง 50 เมตร และอยู่ห่าง
จากตึก A 30 เมตร ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงตรง นาย ก จะต้องวางกระจกสะท้อนแสงทํามุมกับพื้น
ราบเป็นมุมเท่าใด
1. tan−1 4 เรเดียน 2. tan−1 5 เรเดียน
3 3
3. π − tan
4−1
เรเดียน 4. π 1
− tan−1
4
เรเดียน
2 3 4 2 3

16. เลขจํานวนเชิงซ้อนใช้อย่างแพร่หลายในงานคํานวณด้านวิศวกรรม ข้อใดต่อไปนี้เป็นคุณสมบัติที่


ไม่ถูกต้องของจํานวนเชิงซ้อน (กําหนดให้ z , z1 และ z2 เป็นจํานวนเชิงซ้อน)
1. (z)−1 = (z−1) 2. z−1 = z − 1
3. z1 + z2 < z1 + z2 4. z1 ⋅ z2 < z1 z2

17. การเก็บข้อมูลแสดงความเสียหายของเครื่องจักร A พบว่าชั่วโมงการทํางานเฉลี่ยของเครื่องจักร


ก่อนเสียหายคือ 2000 ชั่วโมงทํางาน และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเป็น 100 ชั่วโมงทํางาน ดังนั้น
ในฐานะที่ท่านเป็นวิศวกรฝ่ายบํารุงรักษาเครื่องจักร ท่านจะวางกําหนดเวลาการเข้าบํารุงรักษา
เครื่องจักร A ไว้ที่กี่ชั่วโมงทํางาน เพื่อให้เครื่องจักรมีโอกาสทํางานได้ 97% ให้ถือว่าอัตราการ
เสียหายเป็นการแจกแจงแบบปกติ
ใช้ตารางแสดงพื้นที่ใต้เส้นโค้งปกติที่กําหนดให้ต่อไปนี้ z 0.00 1.88
A 0.0000 0.4700

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 576 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (ใหม)

มีนาคม 2544
18. โรงงานอุตสาหกรรมขนาดเล็กแห่งหนึ่งผลิตผลิตภัณฑ์และบรรจุใส่กล่อง กล่องละ 1 โหล เพื่อ
จําหน่ายทั้งกล่อง ก่อนส่งออกจําหน่ายเจ้าหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์จะสุ่มผลิตภัณฑ์ในกล่อง
อย่างไม่ใส่คืนทุกกล่อง กล่องละ 3 ชิ้น เพื่อตรวจสอบคุณภาพ ถ้าสุ่มพบผลิตภัณฑ์ชํารุดแม้แต่ชิ้น
เดียว จะส่งผลิตภัณฑ์ทั้งกล่องกลับไปยังโรงงาน และถ้าไม่พบผลิตภัณฑ์ชํารุดเลยจะส่งผลิตภัณฑ์
กล่องนั้นออกจําหน่าย จงหาความน่าจะเป็นที่กล่องที่มีผลิตภัณฑ์ชํารุด 3 ชิ้น จะถูกส่งออกไป
จําหน่าย
1. 12/55 2. 27/55 3. 7/55 4. 21/55

19. ฟังก์ชัน f เป็นสับเซตจาก R ไป R


นิยามว่าเป็นฟังก์ชันเชิงเส้น (linear function) ถ้ามีคุณสมบัติต่อไปนี้
(i) f (x + y) = f (x) + f (y)
(ii) α f (x) = f (αx) โดยที่ α เป็นค่าคงที่จํานวนจริงใดๆ
ข้อใดต่อไปนี้เป็นฟังก์ชันเชิงเส้น
1. f(x) 2. f(x) 3. f(x) 4. f(x)

x x x x

20. เครื่องบรรจุนมกล่องกึ่งอัตโนมัติจะบรรจุนมใส่กล่องกระดาษ โดยปริมาตรบรรจุมีการแจกแจง


ปกติและมีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 10 ลบ.ซม. ในการจําหน่ายจะบรรจุนมกล่องในลังกระดาษ
ขนาดบรรจุ 2 โหลเพื่อจําหน่าย ถ้าความน่าจะเป็นที่นมในกล่องจะมีปริมาตรเกินกว่า 250 ลบ.ซม.
เป็นร้อยละ 50 จงหาปริมาตรเฉลี่ยของนมกล่องทั้งลัง เป็น ลบ.ซม.

ตุลาคม 2544
21. ผลิตภัณฑ์ ก ประกอบด้วยชิ้นส่วน ข จํานวน 2 ชิ้นนํามาประกอบเข้าด้วยกัน ถ้าชิ้นส่วน ข
ชํารุดจะใช้เวลาในการปรับแต่งก่อนประกอบ 9 นาที และใช้เวลาในการประกอบ 1 นาที ถ้าชิ้นส่วน
ข ไม่ชํารุดจะไม่ต้องปรับแต่ง และใช้เวลาในการประกอบ 1 นาทีเช่นเดียวกัน ถ้าสุ่มชิ้นส่วน ข มา
จากกล่องชิ้นส่วน ข จํานวน 10 ชิ้น ซึ่งมีชิ้นส่วน ข ที่ชํารุดอยู่ 3 ชิ้น และชิน้ ส่วน ข ที่ไม่ชํารุด 7
ชิ้น จงหาเวลาเฉลี่ยในการประกอบผลิตภัณฑ์ ก จํานวน 1 ชิน้
1. 7.2 นาที 2. 7.4 นาที 3. 8.4 นาที 4. 8.6 นาที

22. ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์หนึ่งๆ จะประกอบด้วยคอมพิวเตอร์หลายเครื่อง เครื่องคอมพิวเตอร์


แต่ละเครื่องมีหน้าที่รับและส่งข้อมูล ถ้าสมมติว่าคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งมีข้อมูลเข้ามาจากเครื่องอื่น
ด้วยอัตราคงที่ 20 หน่วย/วินาที และจะส่งข้อมูลทั้งหมดที่เข้ามาออกไปยังเครื่องอื่นที่อัตราคงที่ 10
หน่วย/วินาทีด้วยความน่าจะเป็น 1/2 และจะส่งข้อมูลกลับไปรวมกับข้อมูลที่เข้ามาจากเครื่องอื่นที่
อัตราคงที่ 10 หน่วย/วินาทีด้วยความน่าจะเป็น 1/2 ถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนี้สามารถเก็บข้อมูล
ในเครื่องได้มากที่สุด 300 หน่วย จงหาว่านานเท่าไรเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนี้จะสูญเสียข้อมูลจาก
การที่ไม่สามารถเก็บข้อมูลส่วนเกินได้
กําหนดให้เครื่องนี้จะส่งข้อมูลออกทันทีที่มีข้อมูลเก็บอยู่ในเครื่อง
1. 12 วินาที 2. 15 วินาที 3. 20 วินาที 4. 30 วินาที

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 577 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (ใหม)

23. บนเกาะแห่งหนึ่งมีคนอยู่ 2 ประเภท ประเภทแรกเป็นคนที่พูดความจริงเสมอ ส่วนประเภทสอง


เป็นคนที่พูดโกหกเสมอ เมื่อท่านขึ้นไปบนเกาะได้ยินคนบนเกาะ 2 คน คือ A และ B พูด ดังนี้
A พูดว่า “B เป็นคนที่พูดความจริงเสมอ”
B พูดว่า “ฉันและ A เป็นคนคนละประเภทกัน”
ท่านคิดว่า A และ B เป็นคนประเภทไหน
1. A และ B เป็นคนที่พูดความจริงเสมอ
2. A และ B เป็นคนที่พูดโกหกเสมอ
3. A เป็นคนที่พูดความจริงเสมอ ส่วน B เป็นคนที่พูดโกหกเสมอ
4. A เป็นคนที่พูดโกหกเสมอ ส่วน B เป็นคนที่พูดความจริงเสมอ

24. ประเทศ 3 ประเทศ ได้แก่ประเทศ X, ประเทศ Y, และประเทศ Z เป็นประเทศเพื่อนบ้าน มี


ชายแดนติดกันดังแสดงในภาพ
นาย x เป็นพลเมืองประเทศ X ทํางานที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง
ของประเทศ X มีนิสัย “พูดจริง” เสมอ นาย y เป็นพลเมือง
ประเทศ X ประเทศ Y ประเทศ Y ทํางานที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองของประเทศ Y มี
ด่าน X ด่าน Y นิสัย “พูดเท็จ” เสมอ เนื่องจากงานค่อนข้างน่าเบื่อ นาย x
และนาย y จึงชอบเปลี่ยนด่านที่ทํางาน บางวันนาย x จะย้าย
ประเทศ Z ไปทํางานที่ด่านของประเทศ Y ส่วนนาย y จะย้ายไปทํางาน
แทนที่ประเทศ X แต่บางวันทั้งคู่ก็อยู่ประจําด่านของประเทศ
ตนเอง ขึ้นอยู่กับอารมณ์และสถานการณ์ในแต่ละวัน
หากนาย z ซึ่งเป็นพลเมืองประเทศ Z ต้องการเดินทางเข้าประเทศ X และได้ศึกษาจาก
คู่มือท่องเที่ยวซึ่งได้กล่าวถึงพฤติกรรมของนาย x และนาย y ไว้อย่างชัดเจน ดังนั้นเมื่อนาย z ไปถึง
ด่านตรวจคนเข้าเมือง คําถามใดที่นาย z ควรใช้ เพื่อตัดสินใจว่าด่านใดคือด่านเข้าประเทศ X ที่
แท้จริง (โดยนาย z มีโอกาสถามได้เพียง 1 ครั้งเท่านั้น)
1. “ท่านเป็นเพศชาย ใช่ไหม”
2. “ท่านเป็นพลเมืองของประเทศนี้ ใช่ไหม”
3. “ท่านพูดความจริงเสมอ ใช่ไหม”
4. การถามเพียง 1 คําถาม ไม่เพียงพอต่อการหาข้อสรุป

25. ในการสํารวจการสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคล 3 ชนิด ของพนักงานในหน่วยงานหนึ่ง


จํานวน 100 คน พบว่าพนักงานส่วนใหญ่ละเลยในการสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันภัย ทําให้มีโอกาสเกิด
อันตรายได้ค่อนข้างสูง จากมาตรฐานความปลอดภัยในการทํางานได้ระบุว่าต้องสวมใส่อุปกรณ์อย่าง
น้อย 2 ชนิด คือหูเสียบป้องกันเสียงดังและแว่นตานิรภัย ผลการสํารวจพบว่ามีพนักงานส่วนน้อย 3
คน ที่ไม่ยอมใส่อุปกรณ์อะไรเลย และ
1) มีผู้สวมใส่หูเสียบป้องกันเสียงดัง 50 คน
2) มีผู้สวมใส่แว่นตานิรภัย 70 คน
3) มีผู้สวมใส่ผ้าปิดจมูกอย่างเดียว 20 คน
4) มีผู้สวมใส่แว่นตานิรภัยอย่างเดียว 15 คน
5) มีผู้สวมใส่ผ้าปิดจมูกและหูเสียบป้องกันเสียงดัง 20 คน
6) มีผู้สวมใส่แว่นตานิรภัยและผ้าปิดจมูก 28 คน
อยากทราบว่า มีโอกาสเท่าใดที่พนักงานจะสวมใส่อุปกรณ์ได้ถูกต้องตามมาตรฐานความปลอดภัย
1. 0.27 2. 0.35 3. 0.43 4. ผิดทุกข้อ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 578 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (ใหม)

26. จงหาจํานวนทางเดินทั้งหมดจากจุด a ไปยังจุด b โดย a


จะต้องเดินไปทางขวาหรือลงล่างเท่านั้น จากรูปเป็นตัวอย่าง
ทางเดินแบบหนึ่งจากจุด a ไปจุด b
1. 70 2. 16
3. 256 4. ผิดทุกข้อ
b
27. ในการบริหารความปลอดภัยในโรงงานมีหลักการง่ายๆ ว่า “เมื่อลงทุนจัดทําระบบความปลอดภัย
ยิ่งสูง ก็จะทําให้อุบัติเหตุน้อยลง” จากการศึกษาพฤติกรรมของค่าใช้จ่ายทั้งสองพบว่าสามารถแสดงได้
จํานวนเงิน (ล้านบาท) ดังกราฟต่อไปนี้
f = 0.01 x − 0.01
อยากทราบว่า จะต้องใช้เงินลงทุนในระบบ
ความปลอดภัยเท่าใด ถึงจะได้ผลตอบแทนที่
g =
1 คุ้มค่าที่สุด (หน่วย : 1000 บาท)
x−1

มีนาคม 2545
28. บริษัทแห่งหนึ่งผลิตสินค้าชิ้นหนึ่ง มีฟังก์ชันต้นทุนรวม ดังสมการ C (x) = x 3 + x บาท โดย x
คือจํานวนหน่วยของสินค้าที่ผลิตซึ่งจะสัมพันธ์กับเวลา ( t ) หน่วยเป็นเดือน ดังสมการต่อไปนี้
t = x 2 − 2x + 7
จงหาอัตราการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนต่อเวลา ในเดือนที่ 4 ของการผลิต
1. 8 1 บาท/เดือน 2. 7 บาท/เดือน
6
3. 112 บาท/เดือน 4. ไม่มีข้อถูก

29. ห้องเรียน A และห้องเรียน B มีนักเรียนรวมกันทั้งสิ้นเท่ากับ 55 คน เมื่อทําการจัดห้องเรียน


พบว่าห้องเรียน A สามารถจัดให้นักเรียนนั่งได้แถวละ 5 คนพอดี ส่วนห้องเรียน B ก็สามารถจัดให้
นักเรียนนั่งได้แถวละ 6 คนพอดี
ข้อใดสรุปได้ถูกต้อง เกี่ยวกับจํานวนแถวของห้องเรียน A และห้องเรียน B
1. จํานวนแถวของห้องเรียน A < จํานวนแถวของห้องเรียน B
2. จํานวนแถวของห้องเรียน A = จํานวนแถวของห้องเรียน B
3. จํานวนแถวของห้องเรียน A > จํานวนแถวของห้องเรียน B
4. สรุปไม่ได้

30. บริษัทแห่งหนึ่งมีจํานวนโทรศัพท์ที่โทรเข้าในช่วงเวลา t ชั่วโมง โดยมีความน่าจะเป็นดังนี้


tn −t
P [N(t) = n] = 2 ซึ่ง N(t) คือจํานวนที่โทรเข้าในช่วงเวลา t ชั่วโมง
n!
จงหาความน่าจะเป็นซึ่งช่วงเวลาระหว่างการโทรเข้าแต่ละครั้งน้อยกว่า 2 ชั่วโมง
1. 0 2. 1/4 3. 1/2 4. 3/4

31. กระดาษรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก มีด้านประกอบมุมฉาก


ยาว 3 และ 4 cm สามารถตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ใหญ่ 3
ที่สุดได้กี่ตาราง cm
4
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 579 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (ใหม)

32. ในการรับสมัครนักศึกษาด้วยการสอบเข้าของคณะวิศวกรรมศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง มี


เกณฑ์ว่าผู้มีสิทธิ์เข้าสอบสัมภาษณ์จะต้องมีค่ามาตรฐานของคะแนนสอบตั้งแต่ 1.5 ขึ้นไป ถ้า
ค่าเฉลี่ยของคะแนนสอบของผู้เข้าสอบทั้งหมดเป็น 50 และค่าความแปรปรวนของคะแนนสอบเป็น
4 จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน ผู้เข้าสอบจะมีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์ต่อเมื่อทําข้อสอบได้ร้อยละเท่าไร
ขึ้นไป

ตุลาคม 2545
33. อุปกรณ์ป้องกัน (Circuit Breaker) ในระบบส่งจ่ายกําลังไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตของ
ประเทศไทย ดังแสดงข้อมูลในตารางข้างล่าง
อุปกรณ์ปอ้ งกัน Probability ที่จะชํารุด
ราคา/หน่วย
(Circuit Breaker) ในเวลา 5 ปี
A 750,000 0.18
B 650,000 0.2
C 550,000 0.25
D 450,000 0.3
พนักงานออกแบบและวางแผนของการไฟฟ้าฯ ควรจะเลือกอุปกรณ์ป้องกัน (Circuit Breaker)
ประเภทใดมาใช้งานเพื่อให้เกิดความคุ้มทุนมากที่สุด
1. D 2. C 3. B 4. A

34. จากรูปแสดงการเปรียบเทียบเส้นโค้งความถี่ของค่าระดับความเข้มแสง (Intensity value) แต่ละ


จุดภาพของรูปภาพต้นไม้และรูปภาพเครื่องบิน ซึ่งแต่ละรูปภาพมีขนาด 128 x 128 จุดภาพ วิศวกร
ท่านหนึ่งได้คํานวณค่ามัธยฐานของค่าระดับความเข้มแสงของรูปภาพทั้งสอง พบว่ามีค่าเท่ากันคือ
128 จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. การกระจายของค่าระดับความเข้มแสงของรูปภาพต้นไม้และรูปภาพเครื่องบิน มีค่าเท่ากัน
ข. ค่าเฉลี่ยเลขคณิตของค่าระดับความเข้มแสงของรูปภาพต้นไม้และเครื่องบิน มีค่าเท่ากัน
ค. ฐานนิยมของค่าระดับความเข้มแสงของรูปภาพต้นไม้มีค่าน้อยกว่า 128
จํานวนจุดภาพ
ภาพต้นไม้
6,000
ภาพเครื่องบิน

O ระดับความเข้มแสง
255
อยากทราบว่าจํานวนข้อที่ถูกมีทั้งหมดกี่ข้อ
1. 1 ข้อ 2. 2 ข้อ 3. 3 ข้อ 4. ผิดหมดทุกข้อ

35. ถ้าในประเทศไทยมีรหัสที่รับนักศึกษาต่อในคณะวิศวกรรมศาสตร์ จํานวน 100 รหัส แล้ว ใน


การสอบคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาของทบวงมหาวิทยาลัยคราวนี้ ผู้สมัครจะมี
โอกาสเข้าศึกษาต่อได้กี่รหัส
1. ไม่เกิน 4 รหัส 2. 100P4 รหัส 3. 100 C4 รหัส 4. 100 รหัส

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 580 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (ใหม)

36. ในการตัดแผ่นเหล็กรูปสี่เหลี่ยม ABCD ด้วยเครื่องตัดพลาสมา


จากเหล็กแผ่นรูปวงกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 8 เมตร โดยรูปสี่เหลี่ยม
ABCD นี้สามารถวางลงใน Quadrant ที่ 2 ของแผ่นโลหะได้พอดีดังรูป A B
จงหาระยะ BD
1. 8 เมตร 2. 4 เมตร
3. 4 3 เมตร 4. ข้อมูลไม่เพียงพอที่จะตอบ D C

มีนาคม 2546
37. รูปเหลี่ยมด้านเท่าต้องมีความยาวแต่ละด้านไม่มากกว่าเท่าใด เพื่อที่วงกลมรัศมี r สามารถ
สัมผัสกับทุกด้านได้
1. 4 r 2. 2 3 r 3. 2 r 4. 2 r/ 3

38. บริษัทผลิตรถยนต์แห่งหนึ่งทําการผลิตรถยนต์ 3 รุ่น โดยแต่ละรุ่นใช้วัสดุตามตาราง


รุ่น เหล็ก (kg) อะลูมิเนียม (kg) พลาสติก (kg)
A 200 300 400
B 250 300 400
C 200 250 300
ปรากฏว่าในวันนี้มีวัสดุในโกดังดังนี้ เหล็ก 1,000 kg อะลูมิเนียม 1,500 kg พลาสติก 1,600 kg
เพื่อให้วันนี้ผลิตรถยนต์ให้ได้จํานวนมากที่สุด วิศวกรโรงงานควรเลือกปฏิบัติตามข้อใด
ก. ไม่ผลิตรถยนต์รุ่น A และ B เลย เพราะว่าใช้วัสดุมาก
ข. ตัดสินใจโดยพิจารณาปริมาณการใช้เหล็กและพลาสติกเป็นหลัก
ค. ผลิตรถยนต์รุ่น C รุ่นเดียว เพราะว่าสามารถได้จํานวนมากถึง 5 คัน
1. ก และ ข 2. ก ข และ ค 3. ข และ ค 4. ก และ ค

39. ร้านเบเกอรี่แห่งหนึ่งต้องใช้แป้งสาลีและน้ําตาลเป็นวัตถุดิบหลักในการทําขนมเค้กและขนมพาย
ถ้าในการทําขนมเค้ก 1 ชิ้น จะต้องใช้แป้งสาลี 400 กรัม และน้ําตาล 200 กรัม ส่วนขนมพาย 1
ชิ้นจะต้องใช้แป้งสาลี 200 กรัม และน้ําตาล 400 กรัม ทางร้านจะได้กําไรจากขนมเค้กชิ้นละ 80
บาท และขนมพายชิ้นละ 100 บาท ถ้าในแต่ละวันทางร้านต้องสั่งแป้งสาลี 10 กิโลกรัม และน้ําตาล
14 กิโลกรัม ทางร้านจะต้องผลิตขนมเค้กและขนมพายอย่างละกี่ชิ้นต่อวันเพื่อให้มีกําไรสูงสุด และจะ
ได้กําไรเป็นเท่าใด ถ้าหากขนมที่ผลิตออกมาขายได้หมด
1. ขนมเค้ก 20 ชิ้น ขนมพาย 20 ชิ้น กําไร 3,600 บาท
2. ขนมเค้ก 10 ชิ้น ขนมพาย 20 ชิ้น กําไร 2,800 บาท
3. ขนมเค้ก 10 ชิ้น ขนมพาย 30 ชิ้น กําไร 3,800 บาท
4. ขนมเค้ก 20 ชิ้น ขนมพาย 10 ชิ้น กําไร 2,600 บาท

40. ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระบบหนึ่งประกอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เหมือนกันจํานวน 3
เครื่อง ในระบบนี้จะอนุญาตให้คอมพิวเตอร์ส่งข้อมูลได้ทีละเครื่อง ไม่เช่นนั้นจะทําให้ระบบหยุด
ทํางาน โดยที่คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งจะมีความน่าจะเป็นที่จะส่งข้อมูลเท่ากับ 1/2 จงหาความน่าจะ
เป็นที่ระบบเครือข่ายนี้จะทํางานอยู่ได้

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 581 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (ใหม)

ตุลาคม 2546
41. โรงงานแห่งหนึ่งมีความต้องการไฟฟ้าเฉลี่ย 1,000 kW ซึ่งปัจจุบนั โรงงานซื้อไฟฟ้าจากการ
ไฟฟ้าฯ ในราคา 2 บาท/kWh แต่ในขณะนี้บริษัทกําลังคิดจะเปลี่ยนจากการซื้อไฟฟ้ามาเป็นการผลิต
ไฟฟ้าใช้เองโดยใช้เครื่องยนต์ดีเซล หากการทําเช่นนี้มีค่าใช้จ่ายต่อปีเป็น 50,000 + 1,975 n บาท
เมื่อ n เป็นจํานวนชั่วโมงทํางาน จงหาว่าโรงงานนี้ควรจะทํางานอย่างน้อยกี่ชั่วโมงต่อปี จึงจะคุม้ ค่า
กับการเปลี่ยนมาผลิตไฟฟ้าใช้เอง
1. 1,500 ชั่วโมง 2. 1,750 ชั่วโมง 3. 2,000 ชั่วโมง 4. 2,250 ชั่วโมง
42. บริษัทก่อสร้างแห่งหนึ่งมีทีมวิศวกรชาย 3 คน และหญิง 3 คน โดยบริษัทมีโครงการที่จะส่ง
พนักงาน 3 คนไปฝึกอบรมต่างประเทศ อยากทราบว่าความน่าจะเป็นที่พนักงานที่บริษัทสุ่มเลือกมา
จะเป็นวิศวกรชาย 2 คน และวิศวกรหญิง 1 คน เป็นเท่าใด
1. 2/9 2. 3/9 3. 3/20 4. 9/20
43. บริษัทผู้ผลิตหลอดฟลูออเรสเซนต์จากต่างประเทศ ต้องการจ้างโรงงานในประเทศไทยเป็น
ตัวแทนผลิต โดยมีทางเลือกอยู่ 2 โรงงาน คือโรงงาน A และโรงงาน B
ให้ทดลองผลิตหลอดไฟเพื่อที่จะเลือกตัวแทนผลิตเพียงรายเดียว B
ผลปรากฏว่าอายุการใช้งานของหลอดไฟที่ผลิตจากโรงงาน A และ B
มีการแจกแจงปกติดังรูป
A
จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. อายุการใช้งานเฉลี่ยของหลอดไฟจากโรงงาน A เท่ากับโรงงาน B x
ข. บริษัทจะเลือกโรงงาน A หรือโรงงาน B เป็นตัวแทนผลิตก็ได้ เพราะให้คุณภาพเท่ากัน
ค. บริษัทควรจะเลือกโรงงาน A เป็นตัวแทนผลิต
ข้อความใดถูกต้องจากผลการทดลองในครั้งนี้
1. ก 2. ก และ ข 3. ค 4. ก และ ค

มีนาคม 2547
44. กล่องใบหนึ่งมีลูกแก้วขนาดเดียวกัน 6 ลูก เป็นลูกสีแดง 3 ลูก สีเขียว 2 ลูก สีเหลือง 1 ลูก
เด็กคนหนึ่งหยิบลูกแก้วออกจากกล่องนี้มา 1 ลูกโดยวิธีสุ่ม เมื่อดูสีของลูกแก้วแล้วก็โยนกลับลงใน
กล่อง แล้วทําการหยิบครั้งที่ 2 โอกาสที่เด็กคนนี้จะหยิบได้ลกู แก้วสีแดงและสีเหลืองอย่างละลูก
เท่ากับข้อใด
1. 1/3 2. 1/6 3. 2/3 4. 1/12
45. ถ้าเชิญแขกมารับประทานอาหาร 6 คน โดยเป็นผู้ชาย 3 คน ผู้หญิง 3 คน โดยเชิญให้แขกนั่ง
รอบโต๊ะกลมซึ่งมี 6 ที่นั่ง อยากทราบว่าความน่าจะเป็นที่จะจัดแขกให้นั่งสลับชาย-หญิง เป็นเท่าใด
1. 1/2 2. 1/5 3. 1/10 4. 1/60
46. จงหาตัวเลขในตําแหน่งที่ขาดหายไปของลําดับต่อไปนี้
125, 726, ......, 40328, 362889
1. 5027 2. 5037 3. 5047 4. 5067

47. บริษัทผลิตกระเป๋าแห่งหนึ่ง ถ้าขายใบละ 40 บาท จะขายได้ 4000 ใบ ถ้าขายใบละ 30 บาท


จะขายได้ 8000 ใบ จงสร้างฟังก์ชันเชิงเส้น f (x) เมื่อ f (x) เป็นจํานวนกระเป๋าที่ขายได้ และ x
เป็นราคาขายต่อใบ
1. f (x) = 400 x − 12000 2. f (x) = 200 x − 4000
3. f (x) = −400 x + 20000 4. f (x) = −200 x + 12000
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 582 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (ใหม)

48. จงคํานวณหาพื้นที่แรเงาของรูปต่อไปนี้ โดยวงกลมมีรัศมี


เท่ากับ 1 และสามเหลี่ยมมุมฉากมีความยาวทั้งสองด้านเท่ากันคือ 2 2
1. 2 − π 2. 2 − π/2 1
3. 2 − π/8 4. 2 − π/12 2

49. ผู้จัดการโรงงานแห่งหนึ่งวางแผนที่จะนําเงินรายได้ในแต่ละปีไปฝากธนาคาร เพื่อจะใช้เป็น


300,000 เงินลงทุนในอีก 4 ปีข้างหน้า โดยจะเริ่มฝากเงินในปีหน้า
200,000 เป็นปีแรก 100,000 200,000 และ 300,000 บาท ตาม
100,000 ลําดับ (ดังแผนภูมิกระแสเงินสด) อยากทราบว่าในปีที่ 4 ถ้า
อัตราดอกเบี้ยเงินฝากคงที่ 10% ต่อปี ผู้จัดการคนนี้จะมีเงิน
ปีที่ เก็บรวมเป็นเท่าใด (คิดเป็นหน่วยพันบาท)
0 1 2 3 4

ตุลาคม 2547 0.9 0.8


50. แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ประกอบ 0.8 0.9
ด้วยชิ้นส่วนต่างๆดังรูป โดยแต่ละชิ้นส่วน 0.9
จะมีค่าความน่าจะเป็นในการทํางานตามตัวเลขที่ระบุไว้
อยากทราบว่าความน่าจะเป็นรวมของวงจรนี้ที่จะทํางานได้ เป็นเท่าใด (พิจารณาทศนิยม 2 ตําแหน่ง)
1. 0.52 2. 0.65 3. 0.70 4. 0.72

51. ในการวางแผนการผลิตของชิ้นส่วนรถยนต์ พบว่าเกิดความล่าช้าเนื่องจากการรองาน วิศวกรฝ่าย


วางแผนจึงสนใจทําการเก็บข้อมูลเวลาที่ล่าช้า 100 ตัวอย่าง ซึ่งได้ข้อมูลคือ ล่าช้า 0.5 นาที 40%,
ล่าช้า 0.8 นาที 25% และล่าช้า 1 นาที 35% จากข้อมูลดังกล่าววิศวกรผู้นี้ควรจะเผื่อเวลา
สําหรับความล่าช้าโดยเฉลี่ยประมาณกี่นาที

มีนาคม 2548
52. องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) สนใจที่จะเปิดเส้นทางเดินรถโดยสารสายใหม่บนถนน
สายหนึ่ง จึงจ้างวิศวกรเข้าไปสํารวจข้อมูลจํานวนรถรับจ้างที่วิ่งผ่านถนนเส้นนั้นในระยะเวลาหนึ่ง
ชั่วโมง จากการสํารวจทําให้ได้ข้อมูลดังตารางต่อไปนี้
จํานวนรถรับจ้างที่ผ่านในหนึ่งชั่วโมง (คัน) 0 1 2 3
ความน่าจะเป็น 0.5 0.25 0.2 0.05
ขสมก. อยากทราบว่าเวลาเฉลี่ยที่รถรับจ้างแต่ละคันจะผ่านถนนสายนี้เป็นเท่าใด
1. 45 นาที 2. 60 นาที 3. 75 นาที 4. 120 นาที

53. จากรูปป้ายทะเบียนรถยนต์ อยากทราบว่าจะมีวิธีการจัดเรียงป้าย


ทะเบียนดังกล่าวได้กี่แบบ ถ้ากําหนดให้การจัดเรียงตัวอักษรจะใช้ กก 1234
พยัญชนะไทยเพียง 40 ตัว และเมื่อนํามาเรียงแล้วจะใช้ไม่ได้ 500 คู่ กรุงเทพมหานคร
ส่วนการจัดเรียงตัวเลขจะห้ามนําเลขศูนย์ขึ้นหน้าที่หลักแรก
1. 9.54 ล้านแบบ 2. 12.34 ล้านแบบ
3. 14.40 ล้านแบบ 4. 16.00 ล้านแบบ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 583 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (ใหม)

54. นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ระดับปริญญาโทคนหนึ่ง ต้องการซื้อเลเซอร์พรินเตอร์สําหรับการ


พิมพ์วิทยานิพนธ์ โดยเลเซอร์พรินเตอร์เครื่องนี้มีราคา 15,000 บาท และตลับหมึกมีราคาตลับละ
2,000 บาท (หนึ่งตลับสามารถพิมพ์เอกสารได้ 1,000 หน้า) แต่ถ้าไม่ซื้อเครื่องพรินเตอร์จะต้องไป
จ้างร้านพิมพ์เอกสารในราคาหน้าละ 8 บาท
ถ้าหากนักศึกษาคนนี้ซื้อเครื่องพรินเตอร์ดังกล่าวแล้ว เขาควรจะพิมพ์เอกสารกี่หน้าจึงจะคุ้มค่า
กว่าไปจ้างร้านพิมพ์เอกสาร

เฉลยคําตอบ
(1) 2 (2) 3 (3) 3 (4) 1 (5) 3 (6) 3 (7) 90 (8) 3 (9) 2 (10) 60 (11) 1
(12) 0.13 (13) 3 (14) 4 (15) 4 (16) 4 (17) 1,812 (18) 4 (19) 3 (20) 6,000
(21) 2 (22) 4 (23) 2 (24) 2 (25) 3 (26) 1 (27) 100 (28) 4 (29) 2 (30) 2
(31) 3 (32) 53 (33) 3 (34) 2 (35) คําถามไม่ชัดเจน (36) 2 (37) 2 (38) 3
(39) 3 (40) 0.5 (41) 3 (42) 4 (43) 1 (44) 2 (45) 3 (46) 3 (47) 3 (48) 3
(49) 705.1 (50) 3 (51) 0.75 (52) 3 (53) ไม่มีขอ้ ถูก (ตอบ 9.90 ล้านแบบ) (54) 2,625

เฉลยวิธีคิด
(1) จาก Δ เล็ก มุม B = 45° (5) ความยาวด้านนอกสุด = a a/2
แสดงว่าระยะทางจาก B จะได้เส้นรอบรูปนอกสุด = 4a a/2
ถึงตึก เท่ากับ h ด้วย h
30° 45°
พิจารณา Δ ใหญ่ A 200 B h
h
tan 30° = → 200 + h = 3h a2 a2 a
200 + h ความยาวด้านถัดไป = + =
4 4 2
200
→ h = ≈ 273 เมตร ตอบ 4a
3 −1 จะได้เส้นรอบรูปชั้นทีส่ อง =
2
(2) จากกฎการแบ่งกลุ่ม 10 เป็น 5, 5
ดังนัน้ เส้นรอบรูปรวม = 4a + 4a + 4a 2 + …
จะได้ 102! = 126 วิธี ตอบ 2 ( 2)
(5 !) 2 !
4a 4 2a
= = ตอบ
้ ที่ Δ = 1 × 5 × 2 = 5
2
(3) ∫ f(t) dt = พืน ตอบ 1 2 −1
2 1−( )
0 2
(4) รถ α ประชากร จะได้ว่า (ใช้สูตรอนุกรมเรขาคณิตอนันต์)
รถ2 ประชากร2 16 4 ∑x จํานวนเต็ม
= = = ตอบ (6) X = =
รถ1 ประชากร1 9 3 N จํานวนเต็ม
จะออกมาเป็นจํานวนตรรกยะเสมอ ตอบ
(จํานวนตรรกยะคือเศษส่วนและจํานวนเต็ม)
(7) โจทย์ข้อนี้ควรระบุด้วยว่า นอกจากสองทางนีแ้ ล้ว
ไม่มีการขนส่งทางอื่นอีก จึงจะคํานวณได้ดงั นี้
จาก n(A ∪ B) = 100%
→ 100 = 30 + n(B) − 20 → n(B) = 90% ตอบ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 584 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (ใหม)

(8) เนื่องจาก 5% ของ 20 เท่ากับ 1 ใบ (14) ตอบ ข้อทีผ่ ิดคือ ข้อ 4.


ดังนัน้ ถ้าสุ่มมา 20 ใบ จะบกพร่องได้ 1 ใบ เพราะลําดับไดเวอร์เจนต์ คือลําดับที่ไม่มีลิมิต หรือหา
(เพราะโจทย์ใช้คาํ ว่า “ไม่เกิน 5%”) ค่าไม่ได้ (ถ้าได้เป็นจํานวนจริงเรียกว่าคอนเวอร์เจนต์)
และถ้าพบว่า 19 ใบแรกไม่บกพร่องเลย ใบที่ 20 ก็ (15) B
ไม่จําเป็นต้องตรวจ ตอบ 19 ใบ S B
ββ
(9) ทิศการเดินของ A
กับ B ตั้งฉากกัน C 40 50 θ
α C
และมุม A กับ B เป็น 45° A θ A
A B C
ดังนัน้ จาก ΔABC ; 20 10 30
AC = 20 sin 45° = 10 2 กม. ตอบ
40 4 4
(10) ⎛⎜ 53 ⎞⎟ ⎛⎜ 24 ⎞⎟ = 10 × 6 = 60 วิธี ตอบ tan θ =
30
=
3
ดังนั้น θ = tan−1
3
⎝ ⎠⎝ ⎠
(11) ถ้าเปลี่ยนตัวเลือกทั้งหมด เป็น 2/3 ของแก้ว มุมที่กระจกทํากับพื้นคือ α หาได้จาก
จะตอบได้ทนั ทีว่า น้อยกว่า 2/3 ของแก้ว เพราะ ˆ −θ
SAC π /2 − θ π θ
β = = = −
พาราโบลาลูกถ้วยย่อมกินปริมาตรมากกว่ากรวยกลม 2 2 4 2
ตรง (โดยที่ถ้าเป็นกรวยจะกินปริมาตร 1/3 แก้ว → และ α =
π −β−θ
2
เหลือ 2/3 แก้วพอดี... ตามสูตรปริมาตรกรวย = 1/3 ππ θ π−θ
ของทรงกระบอก) ∴α = − ⎛⎜ − ⎞⎟ − θ =
2 ⎝ 4 2⎠ 4 2
แต่ขอ้ นีต้ ัวเลือกเป็น 1/3 ของแก้ว ไม่สามารถกะได้ π 1 4
= − tan−1 ตอบ
ต้องคํานวณละเอียดโดยการอินทิเกรต “แบบเปลือก 4 2 3
ทรงกระบอก” เพื่อหาปริมาตร ดังนี้ (16) ตอบ ข้อ 4. เพราะว่า z1z2 = z1 z2 เสมอ
a
y ปริมาตร = ∫ (2πrh)dx (17) ชั่วโมงการทํางานเฉลี่ย = 2,000 ชม.
2
a 0
แสดงว่า ถ้าไปตรวจบํารุงรักษาเมือ่ 2,000 ชม.
a

∫ (2πx ⋅ x )dx เครื่องจักรมีโอกาสทํางานอยู่ 50% หรือไปถึงก็พบว่า


2
=
0
x2 a
เสียหายแล้วอยู่ 50% เท่าๆ กัน
2πx4 πa4 หากต้องการให้เครื่องจักร
x =( ) =
O x a 4 0
2 มีโอกาสทํางานถึง 97% 0.47 0.5
แต่ปริมาตรเต็มแก้ว = πr h = πa (a ) = πa
2 2 2 4
ก็ต้องเข้าไปบํารุงรักษา
ดังนัน้ น้ําเหลืออยู่ 1 ของแก้ว ตอบ ข้อ 1. ก่อนจะถึง 2,000 ชม. x 2,000
เสียหาย 3% ทํางานได้ 97%
2 ดังรูป
(12) ย้าย 3 มาคูณ จะได้ 3 CPU = z, 3 CPL = z พื้นที่ = 0.47 ซ้าย → z = −1.88 = x − 2,000
ดังนัน้ ถ้า CPK = 1 แสดงว่า z = 3 หรือ −3 100
ได้พนื้ ที่ A = 0.4987 จะได้ x = 1,812 ชั ว
่ โมง ตอบ
และพืน้ ทีส่ ่วนนอก A = 0.0013 (18) n(S) = ชํารุด 3 ชิ้น ตรวจพบกี่ชนิ้ ก็ได้,
(ซ้ายของ -3 หรือ ขวาของ 3 ก็ได้) n(E) = ชํารุด 3 ชิ้น ตรวจไม่พบเลย
∴ ผลิตภัณฑ์เสียหายคิดเป็นร้อยละ 0.13 ตอบ นั่นคือ n(S) = ⎛⎜ 12 ⎞ ⎛ 12 ⎞ และ n(E) = ⎛ 12 ⎞ ⎛ 9 ⎞
⎟⎜ ⎟ ⎜ 3 ⎟ ⎜ 3⎟
⎝3⎠⎝3⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠
(13) คํานวณ X โดยเลือกชั้น 30-39 ให้ d = 0
−45 − 20 − 20 + 10 + 10 + 15 + 12 + 5 + 6 ⎛ 12 ⎞ ⎛ 9 ⎞
X = 44.5 + (10)( ) ⎜ 3 ⎟ ⎜ 3⎟ 21
100 ดังนัน้ P(E) = ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ = ตอบ
⎛ 12 ⎞ ⎛ 12 ⎞ 55
= 41.8 ⎜3⎟⎜3⎟
⎝ ⎠⎝ ⎠
Med อยู่ชั้น 30-39
50 − 45
Med = 29.5 + (10)( ) = 31.16
30
Mo อยู่ชนั้ 30-39
10
Mo = 29.5 + (10)( ) = 32.83 ตอบ ข้อ 3.
10 + 20

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 585 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (ใหม)

(19) จากข้อ (i) ถ้า x = 0, y = 0 จะได้ว่า (24) ข้อ 1. ไม่ใช่ เพราะการถามว่า “ท่านเป็นเพศ
f(0) = f(0) + f(0) ⇒ 2f(0) ∴ f(0) = 0 เท่านัน้ ชายใช่ไหม” นั้นจะทําให้ทราบเพียงว่า นายคนนี้ชอื่
จึงมีขอ้ 1. กับ 3. ที่เป็นไปได้ นาย x (พูดจริงเสมอ) หรือ นาย y (พูดเท็จเสมอ)
ต่อมาพิจารณาจากข้อ (ii) f(αx) = αf(x) แต่ จะไม่ได้ข้อมูลเกี่ยวกับด่านเข้าประเทศเลย (ถาม
→ f(2) = 2f(1), f(3) = 3f(1), f(4) = 4f(1), ... ได้คําถามเดียว)
พบว่า f(3) − f(2) = f(1), f(4) − f(3) = f(1), ... ข้อ 3. ยิ่งไม่ได้ขอ้ มูลเลย เพราะหากถามว่า “ท่านพูด
ความจริงเสมอใช่ไหม” นั้น ไม่ว่านาย x หรือ นาย y
แสดงว่า ความชันเท่าเดิมตลอดทุกค่า x ก็จะตอบว่า “ใช่” เหมือนกันทั้งสองคน
คือเป็นกราฟเส้นตรง ตอบ ข้อ 3. ส่วนข้อ 2. เป็นข้อที่ถูก ... สมมติเราไปถูกด่านแล้ว
(20) ความน่าจะเป็นทีน่ ม คือด่าน X ไม่ว่าจะเจอนาย x หรือนาย y ก็จะได้รับ
1 กล่องมีปริมาตรเกิน 250 cm3 คําตอบว่า “ใช่” เสมอ แต่ถา้ ไปผิดด่าน (คือไปด่าน
เป็น 50% พอดี Y) นาย x กับนาย y จะตอบว่า “ไม่ใช่” ทัง้ คู่
แสดงว่า 250 cm3 = X 250 วิธีนจี้ ะทําให้ทราบว่าด่านนี้ถูกหรือผิด ∴ ตอบ ข้อ 2.
โจทย์ถามปริมาตรเฉลี่ยทั้งลัง (24 กล่อง) (25) จาก ตา=70 จะได้ ตา
จะได้ 24 × 250 = 6,000 cm3 ตอบ ข+ง+จ = 70 − 15 = 55 หู
ก ข 15
(21) ชิ้นส่วน ข มีโอกาสชํารุด 3 ใน 10 แต่ ง+จ = 28 ดังนั้น ค ง จ
กรณีที่ 1; ไม่ชํารุดเลย ใช้เวลา 2 นาที ข = 55 − 28 = 27 คน
20
⎛7⎞ 3 จมูก
⎜2⎟
มีโอกาสเกิดขึ้น ⎝ ⎠ = 7 จาก หู=50 จะได้
⎛ 10 ⎞ 15
⎜2⎟
⎝ ⎠
จ = 100 − 3 − 20 − 15 − 50 = 12
กรณีที่ 2; ชํารุดทั้งสองชิน้ ใช้เวลา 9+9+2=20 นาที และ ง = 28 − 12 = 16
⎛ 3⎞ โจทย์ถาม ข+ง = 27 + 16 = 43 ตอบ 0.43
⎜2⎟ 1
มีโอกาสเกิดขึ้น 10 = ⎝ ⎠ (26) ขวา 4 ครั้ง, ลง 4 ครั้ง
⎛ ⎞ 15 เหมื อนการสลั บลําดับอักษร ขขขขลลลล
⎜2⎟
⎝ ⎠ 8!
= = 70 เส้นทาง ตอบ
กรณีที่ 3; ชํารุดชิ้นเดียว ใช้เวลา 9+2=11 นาที 4!4!
มีโอกาสเกิดขึ้น 1 − 7 − 1 = 7 (27) จุดที่คุ้มค่าก็คือ
15 15 15 ค่าระบบความปลอดภัย เท่ากับค่าอุบัติเหตุพอดี
ดังนัน้ เวลาเฉลีย่ (ถ่วงน้ําหนักด้วยความน่าจะเป็น) 1
7 1 7 ∴ 0.01x − 0.01 =
= (2) + (20) + (11) = 7.4 นาที ตอบ x−1
15 15 15 100 2
[หมายเหตุ การหาค่าเฉลี่ยโดยถ่วงน้าํ หนักด้วยความ → x − 1 = x − 1 → (x − 1) = 100
น่าจะเป็น ในวิชาสถิติจะเรียกว่า การหาค่าคาดหมาย จะได้ x − 1 = 10 เท่านัน้ (ติดลบไม่ได้) → x = 11
ซึ่งจะได้ศึกษาเพิม่ เติมในระดับมหาวิทยาลัยครับ..] ดังนัน้ f = g = 0.1 ล้านบาท
(22) ที่เวลา t วินาทีมีขอ้ มูลเข้า 20t หน่วย คิดเป็นหน่วยพันบาท ก็คือ 100 พันบาท ตอบ
ส่งข้อมูลออก 10t( 1) + 10t( 1) = 10t หน่วย
2 2 (28) โจทย์ถาม dC
dt t = 4
ดังนัน้ มีข้อมูลค้างในเครือ่ ง 20t − 10t = 10t หน่วย
→ 10t = 300 → t = 30 วินาที ทีเ่ ครือ ่ งจะทํางาน แต่ ใ ห้ฟ ง
ั ก์ ช น
ั C กั บ t มาในรูปของ x
ได้โดยไม่สญ ู เสียข้อมูล ตอบ จึงต้องใช้กฎลูกโซ่
2
(23) พิจารณาที่ A; ถ้า A พูดจริง แสดงว่า B เป็น dC = dC ⋅ dx = dC ÷ dt = 3x + 1
dt dx dt dx dx 2x − 2
คนพูดจริงด้วย แต่ B พูดว่า B กับ A เป็นคนละ
ต้ อ งการคิ ด ที ่ t = 4 หาค่า x ทีท ่ า
ํ ให้ t = 4 ดังนี้
ประเภท → ขัดแย้งกัน ดังนั้น กรณีนจี้ ึงไม่ใช่... 2
→ 4 = x − 2x + 7 → พบว่า x ไม่ใช่จํานวนจริง
แต่ถ้า A พูดโกหก แสดงว่า B เป็นคนพูดโกหก
เหมือนกัน และ B พูดว่า B กับ A เป็นคนละ ดั งนัน้ t = 4 เป็นไปไม่ได้ ... ตอบ ข้อ 4.
[หมายเหตุ t = x2 − 2x + 7 โดย x > 0
ประเภท ก็คือ B โกหก ...ลงตัวพอดี ตอบ ข้อ 2.
จะได้วา่ t > 6 เสมอ]

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 586 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (ใหม)

(29) สมมติห้อง A มี a แถว แถวละ 5 คน, (36) วงกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 8 เมตร แสดงว่า


ห้อง B มี b แถว แถวละ 6 คน AC = 4 เมตร (เพราะจุด A อยู่ที่ศูนย์กลางพอดี)
∴ 5a + 6b = 55 โดย a, b เป็นจํานวนนับ สี่เหลี่ยมมุมฉากมีเส้นทแยงมุมยาวเท่ากัน ดังนั้น
จะได้วา่ a = 55 − 6b → a = 11 − 6b BD = 4 เมตรด้วย ตอบ
5 5 (37) จากการสังเกต
∴ 6b ต้องหาร 5 ลงตัว พบว่า b = 5 เท่านั้น พบว่า จํานวนด้านยิ่งน้อย
(ถ้า b = 10 จะได้หอ้ ง B มี 60 คน.. ซึง่ เกิน 55) ด้านจะยิง่ ยาวขึ้น ดังนั้น
สรุปว่า a = 5, b = 5 ตอบ ข้อ 2. ด้านที่ยาวที่สดุ คือ
(30) [ข้อนี้คล้ายการแจกแจงแบบปัวส์ซองซึ่งเกิน ด้านของรูปสามเหลี่ยม
หลักสูตร แต่ก็ไม่เหมือนทัง้ หมดนะครับ ยังพอ
คํานวณได้] x/2
เราต้องการความน่าจะเป็นที่ในระยะเวลา 2 ชั่วโมง x พิจารณา Δ ด้านเท่า
(t=2) มีการโทรมากกว่า 1 ครัง้ (n>1) ก็คือกี่ครั้งก็ r ยาวด้านละ x หน่วย
ได้ตั้งแต่ 2 ครัง้ , 3 ครั้ง, 4 ครั้ง, เป็นต้นไป.. 2r มีวงกลมรัศมี r แนบใน
ซึ่งควรจะคํานวณด้วยวิธีลบออก
= ความน่าจะเป็นรวม - ความน่าจะเป็นที่มีการโทร สมบัติของเส้นมัธยฐานทําให้ทราบว่า
เข้า 0 ครั้ง - ความน่าจะเป็นที่มีการโทรเข้า 1 ครั้ง เส้นมัธยฐานยาว r + 2r = 3r
= 1 − P[N(2) = 0] − P[N(2) = 1] x
∴ ( )2 + (3r)2 = x2 (ทฤษฎีบทปีทาโกรัส)
0
2 −2 2 −2 1
1 1 1 2
= 1− 2 − 2 = 1− − = ตอบ 2
0! 1! 4 2 4 จะได้ 9r2 = 3x → x = 12 r = 2 3 r ตอบ
(31) จากการพิสูจน์ที่แสดงในเรือ่ ง “อนุพนั ธ์” 4
จะได้คาํ ตอบเป็น 1.5 × 2 = 3 ตร.ซม. ตอบ (38) มองโดยรวมพบว่ า รุ่น C ใช้วัสดุนอ้ ยทีส่ ุดทัง้ 3
2
(32) s = 4 → s = 2 อย่ า ง ถ้ าผลิต รุ น
่ C รุ น
่ เดียว จะได้จาํ นวน 5 คัน
x − 50 (เหล็ ก หมดก่ อ น) ถ้ า ผลิ ตรุน่ A หรือ B รุน่ เดียวจะ
z = 1.5 = → x = 53 คะแนน
2 ได้เพียง 4 คัน (พลาสติกหมดก่อน) ดังนั้น ค. ถูก
เนื่องจากคะแนนเต็ม 100 คะแนน ดังนั้น ตอบ 53 แต่หากมองต่อไปถึงการผลิต 2 รุ่นร่วมกัน จะพบว่า
(33) ต้องการราคาถูก และโอกาสทีจ่ ะชํารุดน้อย หากผลิตรุ่น C 4 คัน รุน่ A 1 คัน ก็ยังได้จํานวน 5
คิดได้งา่ ยๆ โดยนําราคากับโอกาสชํารุดมาคูณกัน คันเช่นเดิม (เหล็กหมด และพลาสติกหมดพอดี)
ประเภทใดได้ค่าต่ําสุดก็ให้เลือกประเภทนั้น ดังนัน้ ก. ผิด, ข. ถูก ตอบ ข้อ 3.
A; 75 × 0.18 = 13.5 B; 65 × 0.2 = 13 (39) สมการจุดประสงค์ P = 80x + 100y
C; 55 × 0.25 = 13.75 D; 45 × 0.3 = 13.5 โดยที่ x = จํานวนเค้ก และ y = จํานวนพาย
ดังนัน้ ควรเลือกประเภท B ตอบ มีเงื่อนไขดังนี้ 0.4x + 0.2y < 10
(34) ก. ถูก การกระจายเท่ากัน รูปกราฟเพียงแค่ 0.2x + 0.4y < 14 y
พลิกด้านกันเท่านั้น และ x > 0, y > 0
ข. ผิด โค้งเบ้ซา้ ย X < Med ได้จุดยอดมุมเป็น
แต่โค้งเบ้ขวา X > Med 50 (10,30)
(0, 50), (25, 0)
ค. ถูก โค้งภาพต้นไม้ และ (10, 30)
เป็นโค้งเบ้ขวา Mo < Med x
ตอบ ข้อ 3. ได้ทันที O 25
ตอบ มีขอ้ ถูก 2 ข้อ Mo Med (40) [ข้อนี้เกินหลักสูตร เพราะคิดแบบความน่าจะ
(35) ข้อนี้คาํ ถามไม่ชัดเจน เป็นคูณกัน เป็นการแจกแจงแบบทวินาม แต่ก็ยงั พอ
ถ้าถามในแง่ว่าเลือกได้กรี่ หัส ก็ตอ้ งตอบข้อ 1. ไม่เกิน คํานวณได้จากพืน้ ฐานความรู้ดังนี]้
4 รหัส แน่นอน ... หรือว่า มีโอกาสเลือกกี่รหัส แบบ โอกาสทีร่ ะบบจะทํางานได้
นี้ตอบข้อ 4. คือ 100 รหัส = มีเครือ่ งเดียวส่งข้อมูล + ไม่มีเครื่องใดส่งข้อมูลเลย
ส่วนข้อ 2. กับ 3. เป็นไปไม่ได้แน่ เพราะถามเป็น ⎛ 3⎞ 1 1 1 1 1 1 3 1
หน่วย “รหัส” ไม่ใช่จํานวน “แบบ” ในการเลือก (ซึ่ง = ⎜⎝ 1 ⎟⎠ ⋅ (2)(2)(2) + (2)(2)(2) = 8 + 8 = 0.5
คํานวณออกมาได้ค่าหลายล้านแบบ) (3 เลือก 1 คือจํานวนกรณี ที่มีเครื่องเดียวส่งข้อมูล)
ตอบ 0.5

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 587 ขอสอบเขาฯ พื้นฐานวิศวะ (ใหม)

(41) ปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ในเวลา n ชั่วโมง (48) สามเหลี่ยมยาวด้านละ 2, 2 แสดงว่ามุมแหลม


= 1,000 n kWh ... คิดเป็นราคา 2 ⋅ 1,000 n บาท มีขนาด 45° → วงกลมถูกตัด 1 ใน 8
ค่าใช้จา่ ยในการผลิตไฟฟ้า 50,000 + 1,975 n บาท ดังนัน้ พื้นที่แรเงา = Δ − 1 Ο
8
จะคุ้มทุนที่ 2,000 n = 50,000 + 1,975 n 1 1 π
= (2)(2) − π (1)2
= 2− ตอบ
→ n = 2,000 ชม. ตอบ 2 8 8

บาท (หมายความว่า เกิน (49) คิดเป็นหน่วยพันบาท จะได้ว่า ปีที่ 1 ฝาก 100


2000n พอถึงปีที่ 2 (บวกดอกเบี้ย) เป็น 1.1 × 100 = 110
2,000 ชม. ไปแล้ว

50000+1975n
จึงไม่ขาดทุน ฝากเพิ่มอีก 200 เป็น 310
ดังกราฟ) ถึงปีที่ 3 เป็น 1.1 × 310 = 341
ฝากเพิ่มอีก 300 เป็น 641
n ถึงปีที่ 4 เป็น 1.1 × 641 = 705.1 พันบาท ตอบ
O 2,000
(50) พิจารณาเฉพาะเส้นคูข่ นาน (3 ชิ้นส่วน) ก่อน
(42) ⎛ 3⎞ ⎛ 3⎞ ÷ ⎛6⎞ = 9 ตอบ ความน่าจะเป็นทีท่ ํางานได้ (คิดแบบยูเนียนของ
⎜2⎟ ⎜ 1 ⎟ ⎜ 3⎟
⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠ 20 เหตุการณ์) คือ P{เส้นบนทํางาน} + P{เส้นล่าง
(43) ก. ถูก ( X เท่ากัน) ทํางาน} – P{ทํางานทั้ง2เส้น}
ข. ผิด โรงงาน B คุณภาพดีกว่า = (0.9 × 0.8) + (0.9) − (0.9 × 0.8 × 0.9) = 0.972
(เพราะการกระจายน้อยกว่า) ดังนัน้ ความน่าจะเป็นรวมของวงจร
ดังนัน้ ค. ผิดด้วย ตอบ ข้อ 1. = 0.8 × 0.972 × 0.9 ≈ 0.70 ตอบ
(44) แดงเหลือง + เหลืองแดง (51) ให้ x = เวลาล่าช้า
3 × 1 + 1× 3 1
= = ตอบ จะได้ X = (0.4)(0.5) + (0.25)(0.8) + (0.35)(1)
6×6 6
= 0.75 นาที ตอบ
1
(45) 3!2! ÷ 5! = ตอบ (52) จํานวนรถเฉลี่ยใน 1 ชม. (ถ่วงน้าํ หนักด้วย
10
(46) พิจารณาหลักหน่วย พบว่าเลขเรียง ความน่าจะเป็น)
= (0)(0.5) + (1)(0.25) + (2)(0.2) + (3)(0.05)
5 → 6 → ? → 8 → 9 แสดงว่า ต้องเป็นเลข 7
เท่านั้น (ซึ่งก็มีในทุกตัวเลือก) = 0.8 คัน
หลักที่เหลือ 12 → 72 → ? → 4032 → 36288 เทียบสัดส่วน.. 0.8 คัน ใช้เวลา 1 ชม.
1
∴ 1 คันใช้เวลา = 1.25 ชม. = 75 นาที ตอบ
ถ้าลองหารดูจะพบว่า 72 = 6, 36288 = 9 0.8
12 4032
(53) จํานวนแบบของอักษร (40 × 40) − 500
และ 4032 = 56 = 7 × 8 ดังนัน้ ส่วนทีห่ ายไป จํานวนแบบของตัวเลข 9 × 10 × 10 × 10
72
คือ 72 × 7 = 504 ตอบ 5,047 ดังนัน้ คูณกันทั้งหมดได้ 9.9 ล้านแบบ ตอบ
[หมายเหตุ เขียนรูปทั่วไปได้วา่ (54) สมมติพิมพ์ a หน้า
(n + 4)!
an = 12 10 + (n + 4) = (n + 4)! + (n + 4) ] จะได้วา่ พิมพ์เองเสียเงิน 15,000 + 2a บาท
5! ควรน้อยกว่าหรือเท่ากับ จ้างพิมพ์ 8a บาท
(47) ความชัน m = 8000 − 4000 = −400 จาก 15,000 + 2a < 8a ได้ a > 2,500 หน้า
30 − 40
ตอบ ข้อ 3. ได้ทันที แต่ถ้าพิมพ์ 2,500 หน้า จะต้องใช้หมึกถึง 3 ตลับ
และเสียเงิน 21,000 บาท (โดยมีหมึกเหลืออยู่)
21,000
∴ ควรพิมพ์มากกว่า = 2,625 หน้า ตอบ
8
(หมายถึงพิมพ์ในช่วง 2,626 ถึง 3,000 หน้า)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 588 โจทยทดสอบ ชุดที่ 1

o¨·Â·´Êoº ªu´·Õè (กุมภาพันธ์ 2547)


1
ข้อสอบมี 2 ส่วน กําหนดเวลาส่วนละ 2 ชั่วโมง
• ส่วนทีห่ นึ่งประกอบด้วย เซต ระบบจํานวนจริง ตรรกศาสตร์ เรขาคณิตวิเคราะห์
ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน กําหนดการเชิงเส้น ฟังก์ชนั เอกซ์โพเนนเชียลและลอการิทึม
เมตริกซ์ ลําดับและอนุกรม ลิมิตและความต่อเนื่อง
• ส่วนทีส ่ องประกอบด้วย ฟังก์ชันตรีโกณมิติ เวกเตอร์ จํานวนเชิงซ้อน
อนุพันธ์และการอินทิเกรต ความน่าจะเป็น สถิติ

ส่วนที่หนึ่ง
ตอนที่ 1 ข้อ 1 – 10 เป็นข้อสอบแบบอัตนัย
ข้อ 1 – 5 ข้อละ 2 คะแนน ข้อ 6 – 10 ข้อละ 3 คะแนน
1. กําหนดให้ A = {−1, 0, 1, 2}
จํานวนฟังก์ชัน f : A −> A โดย “มี x ∈ A ซึ่งถ้า x > 0 แล้ว f (x) < 0 ” เท่ากับกี่แบบ

2. กําหนดให้ p (x) เป็นพหุนามดีกรีสอง ถ้า x + 1 หาร p (x) เหลือเศษเท่ากับ 1


x หาร p (x) เหลือเศษเท่ากับ 3 และ x − 1 หาร p (x) เหลือเศษเท่ากับ 9 แล้ว
x − 2 หาร p (x) เหลือเศษเท่ากับเท่าใด

log 2(4x + 8) − log 2 12


3. ผลบวกของคําตอบทั้งหมดของสมการ = 1 มีค่าเท่ากับเท่าใด
x − 1

⎡ y − x −4 ⎤
4. กําหนดให้ AB = BA = I และ A = ⎢ −1 −y 3 ⎥
⎢ ⎥
⎣⎢ 4 x x ⎦⎥
โดยที่โคแฟกเตอร์ของ a 31 = 5 และโคแฟกเตอร์ของ a 12 = 13

แล้ว det (5 At B2) มีค่าเท่ากับเท่าใด

5. วงรีและไฮเพอร์โบลามีจุดโฟกัสอยู่ที่ตําแหน่งเดียวกัน คือ (0, 2) และ (0, −2) ถ้าอัตราส่วนของ


ระยะทางจากจุดศูนย์กลางไปยังจุดโฟกัส ต่อระยะทางจากจุดศูนย์กลางไปยังจุดยอด ( c : a ) ของ
วงรีและไฮเพอร์โบลา เป็น 1/2 และ 2 ตามลําดับ และ (m, n) เป็นจุดที่โค้งทั้งสองนี้ตัดกัน แล้วค่า
ของ m 2 + n เท่ากับเท่าใด

⎧⎪ x2k ,x < 2
6. กําหนด f (x) = ⎨ k
⎪⎩( 8 − 1) x + 8 ,x > 2
ถ้า k เป็นจํานวนจริงที่ทําให้ f เป็นฟังก์ชันต่อเนื่องที่ x =2 แล้วค่าของ f (2) เท่ากับเท่าใด
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 589 โจทยทดสอบ ชุดที่ 1

7. ให้ n เป็นจํานวนเต็มบวกซึ่ง ห.ร.ม. ของ n และ 32 เท่ากับ 2


ถ้า 32 = n q 0 + r0 ; 0 < r0 < n n = 4 r0 + r1 ; 0 < r1 < r0 และ r0 = 3 r1

โดยที่ q 0 , r0 , r1 เป็นจํานวนเต็มบวก แล้ว ค.ร.น. ของ n และ 32 มีค่าเท่ากับเท่าใด

8. ถ้า loga(ax) + 2 loga(a2x) + 3 loga(a3x) + ... + 10 loga(a10x) = 110


เมื่อ a = 5 2 แล้ว จะได้ว่า x มีค่าเท่ากับเท่าใด

⎡ n2+ n 3⎤
9. สําหรับจํานวนเต็มบวก n ใดๆ ให้ An = ⎢ ⎥
⎢ n2− 1 3⎥
⎣ ⎦
และ Bn = เมตริกซ์ผูกพันของ An แล้วลิมิตของลําดับ bn = det (B n) มีค่าเท่ากับเท่าใด

10. ถ้า A เป็นจุดบนแกน y ซึ่งอยู่ห่างจากจุด (2, 2) และ (1, −1) เป็นระยะทางเท่ากัน และ
P คือพาราโบลาที่มีจุดยอดที่พิกัด (1, 3) ซึ่งมีจุด A เป็นจุดปลายของเลตัสเรคตัม แล้วจุด B บน
เส้นโค้ง P ซึ่งอยู่ห่างจากจุดโฟกัส 6 หน่วย จะอยู่ห่างจากแกน y เป็นระยะทางกี่หน่วย

ตอนที่ 2 ข้อ 1 – 25 เป็นข้อสอบแบบปรนัย ข้อละ 3 คะแนน


1. กําหนดให้ A = {∅, 0, 1, {0}} และ B = {1, {0}, {0, 1}}
ถ้า P (X) แทนเพาเวอร์เซตของ X แล้ว n (P (A) − B) + n (P (B) − A) มีค่าเท่ากับเท่าใด
1. 17 2. 20 3. 21 4. 22

2. กําหนด A ⊂ B และ C = {A, B} ถ้า P (C) แทนเพาเวอร์เซตของ C


พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. A ∪ B ∈ C และ A ∩ B ∈ C ข. A ∈ P (C) และ B ∈ P (C)
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

3. จํานวนสมาชิกของเซต
1− 1
{ f : (B − A) > (A −B) | n(A) = 8 และ n (B) = 6 และ n (A ∪ B) = 11 }
มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 6 2. 15 3. 60 4. 125

4. ให้ A เป็นเซตคําตอบของสมการ x−4 + x−3 = 1


4 2
และ B เป็นเซตคําตอบของอสมการ >
x −2 x+1
แล้วข้อใดเป็นสับเซตของ B−A
1. (1.5, 2.5) 2. (2.5, 3.5) 3. (3.5, 4.5) 4. (4.5, 5.5)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 590 โจทยทดสอบ ชุดที่ 1

x−1
5. กําหนดให้ A เป็นเซตคําตอบของอสมการ > 2
x +2
1
f (x) = (3 + x)(2 − x) , g(x) =
x+3
และ c เป็นขอบเขตบนค่าน้อยทีส่ ุดของ A ∩ Df ⋅ g แล้ว c มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −3 2. −2 3. 1 4. 2

6. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ถ้า (p → q) ∧ (r ∨ s) เป็นจริง และ q ∨ s เป็นเท็จ แล้ว (q ∨ p) → (r ∧ s) เป็นจริง
ข. นิเสธของ ∀x [ x </ 0 → − x < 0 ] สมมูลกับ ∃x [ x </ 0 และ x < 0 ]
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

7. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. [(p → q) ∨ (q → r)] → (p → r) เป็นสัจนิรันดร์
ข. [(p ∧ q) → (p ∨ q)] ↔ [(~ p ∧ ~ q) → (~ p ∨ ~ q)] เป็นสัจนิรันดร์
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

8. หากกําหนดเอกภพสัมพัทธ์เป็น U = {−1, 0, 1} แล้ว


ประพจน์ในข้อใดต่อไปนี้มีค่าความจริงต่างจากข้ออื่น
1. ∃x (x + 1 > 0 ∧ x2 ≠ 1) 2. ∀x (x2 > 0 ∨ x = 0)
2
3. ∃x (x + 1 > 0) ∧ ∃x (x ≠ 1) 4. ∀x (x2 > 0) ∨ ∀x (x = 0)

9. พิจารณาการอ้างเหตุผลต่อไปนี้
ก. เหตุ 1) p → ~ q ข. เหตุ 1) P (x) ∧ Q (x)
2) q ∨ r 2) Q (x) → R (x)
3) ~ r 3) ~ R (x) ∨ S (x)
ผล p ผล S (x)
ข้อความใดต่อไปนี้ถูก
1. ก และ ข สมเหตุสมผลทั้งคู่ 2. ก สมเหตุสมผล แต่ ข ไม่สมเหตุสมผล
3. ก ไม่สมเหตุสมผล แต่ ข สมเหตุสมผล 4. ก และ ข ไม่สมเหตุสมผลทั้งคู่

10. ให้ r = {(x, y) | 9x2 + 4y2 − 18x + 16y − 11 = 0 }


แล้ว Dr ∩ Rr เป็นสับเซตของช่วงในข้อใดต่อไปนี้
−1 −1

1. [−5, −1] 2. [−1, 1] 3. [1, 3] 4. [3, 5]

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 591 โจทยทดสอบ ชุดที่ 1

11. กําหนดให้ r1 = {(x, y) ∈ R × R | y < x2 − 3 }


และ r2 = {(x, y) ∈ R × R | 2y + 3 (x + 1) > 4x }
แล้วข้อใดต่อไปนี้ถูกต้อง
1. (−1, −2) เป็นจุดสูงสุดในเซต r '1∩ r2
2. (3/2, −3/4) เป็นจุดต่ําสุดในเซต r '1∩ r2
3. (−1, −2) เป็นจุดสูงสุดในเซต r '1 − r2
4. (3/2, −3/4) เป็นจุดสูงสุดในเซต r '1 − r2

12. กําหนดให้ f (x) = x + 1 และ g(x) = (x − 1)2 พิจารณาข้อความต่อไปนี้


ก. Dgof = Dfog และ Rgof ≠ Rfog ข. Dgof = Rgof และ Dfog ≠ Rfog
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
13. กําหนดช่วงเปิด A = (0, ∞) และให้ f, g เป็นฟังก์ชันภายในเซตของจํานวนจริง R
1
โดย f (x) = 2 + x และ g(x) = แล้วจํานวนเต็มในเซต Dgof − A มีกี่จํานวน
2− f (x)
1. 5 2. 4 3. 3 4. 2
14. กําหนดให้ f (x) = x2 − x − 1 และ g(x) = x3 − x2 − x − 1
แล้ว ค่าของ (f D g−1)(1) เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −1 2. −5 3. 5 4. 1

15. กําหนดให้ f (x) = x2 − 1 และ g(x) = 3 x − 1 พิจารณาข้อความต่อไปนี้


ก. f + g−1 เป็นฟังก์ชันเพิ่มบนช่วง [0, ∞)
ข. f D g−1 เป็นฟังก์ชันเพิ่มบนช่วง [0, ∞)
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
16. ถ้า O เป็นจุดกําเนิด และ C เป็นจุดศูนย์กลางของวงกลม x2 + y2 + 4x − 8y + 11 = 0 แล้ว
สมการของเส้นตรง OC และสมการของวงกลมที่มี OC เป็นเส้นผ่านศูนย์กลางเส้นหนึ่ง ตรงกับ
สมการในข้อใดต่อไปนี้
1. y = −2x และ x2 + y2 + 2x − 4y = 0
2. y = −2x และ x2 + y2 + 2x − 4y = 15
3. y = 2x และ x2 + y2 + 2x − 4y = 0
4. y = 2x และ x2 + y2 + 2x − 4y = 15

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 592 โจทยทดสอบ ชุดที่ 1

17. กําหนดให้ E เป็นวงรีซึ่งมีสมการเป็น 6x2 + 5y2 + 12x − 20y − 4 = 0 และ H เป็นไฮเพอร์โบลา


ซึ่งมีจุดศูนย์กลางร่วมกับ E , มีจุดยอดทับจุดโฟกัสของ E และมีความยาวแกนสังยุคเท่ากับความ
ยาวแกนโทของ E ข้อใดต่อไปนี้เป็นสมการของไฮเพอร์โบลา H
1. x2 − 5y2 + 2x + 20y − 14 = 0 2. x2 − 5y2 − 2x − 20y + 14 = 0
3. x2 − 5y2 + 2x + 20y − 18 = 0 4. x2 − 5y2 − 2x − 20y + 18 = 0

⎡ 1 0 −x2 ⎤
18. จํานวนจริงบวก x ที่ทําให้เมตริกซ์ ⎢2 1 0 ⎥ เป็นเมตริกซ์เอกฐาน มีทั้งหมดกี่จํานวน
⎢ ⎥
⎣⎢ x 3 5 ⎦⎥
1. 0 2. 1 3. 2 4. 3

⎡a 0 2 ⎤
19. กําหนดให้ A = ⎢0 2 0 ⎥ เมื่อ det (3 I − A) = 8
⎢ ⎥
⎣ a 0 −2⎦
และการดําเนินการตามแถว ⎡⎣ A I ⎤⎦ ~ ⎡⎣ I B ⎤⎦ โดยที่ I คือเมตริกซ์เอกลักษณ์มิติ 3 × 3
แล้ว det (B adj A) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −40 2. −8 3. 8 4. 40
2 9
20. ถ้า A = { x ∈ R | ( )x (1− x) > } แล้ว
3 4
เซต B เป็นช่วงในข้อใดต่อไปนี้ที่ทําให้ B ∩ A ' = ∅
1. (−2, −1) 2. (−1, 0) 3. (0, 1) 4. (1, 2)

21. ถ้าจํานวนจริง x ทั้งหมดที่สอดคล้องกับอสมการ


(log 3(x − 3) − log 2 (x − 3) + log 34 (x − 3) − log 8 (x − 3) + ...) < 1
3 3

คือช่วง (a, b) แล้วค่าของ a+b เท่ากับข้อใดต่อไปนี้


1. 2 3 2. 3 3 3. 4 3 4. 5 3

3
22. ให้ A = {x∈R | (x + 1)2 − 5(2x − 3) + 2 3 x − 4 + 1 = 0 }
และ B = { x ∈ R | log 3x 9 + (log 3 x)2 = 2 }
a
แล้ว C = { log 3 | a∈A และ b ∈B } เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
b
1. {0, 1, 3} 2. {0, 1, 9} 3. {1, 3, 1/9} 4. {1, 3, 27}

23. กําหนดสมการจุดประสงค์ C (x, y) = 5x + 2y โดยมีเงื่อนไขดังนี้ x + 2y > 5 , 3x + y > 10 ,


3x − 8y < 8 , x > 0 และ y > 0 จะได้ว่าค่าต่ําสุดของ C เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 15 2. 17 3. 20 4. 21

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 593 โจทยทดสอบ ชุดที่ 1

24. กําหนดสมการจุดประสงค์คือ P (x, y) = (a/2) x + 25 y โดยที่ a เป็นจํานวนจริงบวก และมี


อสมการข้อจํากัดคือ x > 0 , y > 0 , x + y < 5 และ x + 2y < 8 ถ้าค่าสูงสุดของ P (x, y)
เท่ากับ 150 แล้ว a มีค่าอยู่ในช่วงใดต่อไปนี้
1. [40, 50) 2. [50, 60) 3. [60, 70) 4. [70, 80)

⎧ x −2
⎪ , x < 2
⎪ 2−x
25. ให้ f (x) = ⎨
⎪ 2−x , x > 2
⎪ 2 − x

ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. xlim
→2
f (x) และ lim f (x) หาค่าไม่ได้

x →2
+

2. xlim
→2
f (x) > 0 และ lim f (x) < 0

x →2
+

3. xlim
→2
f (x) + lim f (x) = 2 2

x →2
+

4. xlim
→2
f (x) + lim f (x) = −2 2

x →2
+

ส่วนที่สอง
ตอนที่ 1 ข้อ 1 – 10 เป็นข้อสอบแบบอัตนัย
ข้อ 1 – 5 ข้อละ 2 คะแนน ข้อ 6 – 10 ข้อละ 3 คะแนน
1. กําหนดให้ arctan x = arctan(1/3) + arctan(1/2)
และ arcsin y = arcsin(1/ 10) + arcsin(1/ 5) แล้ว (x − y)(x + y) มีค่าเท่ากับเท่าใด

2. กําหนดให้ ABCD เป็นรูปสี่เหลี่ยมด้านขนาน มีพื้นที่ 24 ตารางหน่วย และ ˜


AB ⋅ ˜
AD = 3
˜ ˜
ถ้า θ คือมุมระหว่าง AB กับ AD แล้ว tan θ มีค่าเท่ากับเท่าใด
2
1 3 ⎛ z −z ⎞
3. ถ้าจํานวนเชิงซ้อน z = + i แล้ว ค่าสัมบูรณ์ของ ⎜⎜ 17 18 ⎟⎟ เท่ากับเท่าใด
2 2 ⎝ i +z ⎠

4. กล่องใบหนึ่งมีลูกบอลสีแดง 7 ลูก และสีขาว 3 ลูก สุ่มลูกบอลจากกล่องจํานวน 3 ลูกพร้อมกัน


ความน่าจะเป็นที่จะได้ลูกบอลสีขาว 2 ลูก หรือสีแดง 2 ลูก มีค่าเท่ากับเท่าใด

5. ในจํานวนเด็ก 4 คน มีสองคนที่น้ําหนักเท่ากัน และน้ําหนักน้อยกว่าอีกสองคนที่เหลือ ถ้าฐาน


นิยม มัธยฐาน และพิสัยของน้ําหนักของเด็กทั้ง 4 คนนี้ได้แก่ 40, 41 และ 6 กิโลกรัม ตามลําดับ
แล้วค่าความแปรปรวนของน้ําหนักของเด็ก 4 คนนี้เท่ากับเท่าใด

6. กําหนดให้ 4 sin2 x + 11 cos x − 1 = 0


แล้ว cot2(x + π) + sec (x − 3π) มีค่าเท่าใด
2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 594 โจทยทดสอบ ชุดที่ 1

7. สําหรับแต่ละจํานวนเต็มบวก n ถ้า zn เป็นจํานวนเชิงซ้อนซึ่งกําหนดโดย


zn = 1 − 2 − n − 3 i แล้วลิมิตของลําดับ an = zn zn มีค่าเท่ากับเท่าใด

8. ถ้า g(x) = 2x 3 + 3x 2 + 1 และ ∫ (f D g)(x) dx = x 5 − x 4 + x 3 − x 2 + x − c


แล้ว อนุพันธ์ของ f (x) ที่จุดซึ่ง x = 6 มีค่าเท่ากับเท่าใด

9. ในการแบ่งนักเรียนซึ่งมีผู้ชาย 3 คนและผู้หญิง 5 คน ออกเป็นกลุ่ม A และ B กลุ่มละ 4 คน


ความน่าจะเป็นที่ในแต่ละกลุ่มนั้นมีผู้ชายอยู่ด้วยเป็นเท่าใด (ตอบทศนิยม 2 ตําแหน่ง)

10. ผลการสอบวิชาคณิตศาสตร์ซึ่งคะแนนเต็มเท่ากับ 100 คะแนน ของนักเรียนห้องหนึ่งเป็น


คะแนน จํานวนนักเรียน ดังตาราง คณิตและวิทยาเป็นนักเรียนในห้อง
90 – 99 10 ดั งกล่าว ถ้าคณิตได้คะแนนในตําแหน่งควอร์ไทล์ที่
80 – 89 25 3 และวิทยาได้คะแนนในตําแหน่งมัธยฐาน ดังนั้น
70 – 79 30 คณิตได้คะแนนมากกว่าวิทยาอยู่กี่คะแนน
60 – 69 20
50 – 59 10
40 – 49 4
30 – 39 1

ตอนที่ 2 ข้อ 1 – 25 เป็นข้อสอบแบบปรนัย ข้อละ 3 คะแนน


1. กําหนดให้ ⎡ cos θ cos 4θ ⎤
A = ⎢ เมื่อ θ =
π
⎣ − sin 2θ sin 3θ ⎦
⎥ 12
แล้ว det (2A t)
มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 3 2. 2 3. 3 4. 2+ 3

2. ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ถ้า cos x = −1/ 5 แล้ว tan x = −2
2. ถ้า tan x = 2 แล้ว cos x = 1/ 5
3. tan(arccos (−1/ 5)) = −2
4. arccos (−1/ 5) = arctan(−2)

2 sin 2 θ − sin θ
3. เซตคําตอบของอสมการ > 0 เมื่อ 0 < θ < 2π
2 cos θ − 1
มีสมาชิกที่เป็นจํานวนนับทั้งหมดกี่จํานวน
1. 2 2. 3 3. 4 4. 5

4. ถ้า u = v แล้วมุมระหว่าง u กับ v ที่ทําให้ u + v = 2 u − v อยู่ในช่วงในข้อใดต่อไปนี้


1. [0, π) 2. [ π , π) 3. [ π , 3π) 4. [ 3π , π)
4 4 2 2 4 4

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 595 โจทยทดสอบ ชุดที่ 1

5. ให้ u = 2 i + 4 j และ ˜
AB เป็นเวกเตอร์ที่ขนานกับ u โดยจุด A อยู่ที่ (1, −2) และจุด B
อยู่บนเส้นตรง y = 3x − 2 ดังนั้น |˜
AB|: u มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 1.5 2. 2 3. 2.25 4. 4

6. ให้ u และ v เป็นเวกเตอร์ที่มีสมบัติดังนี้ u = v และ u ⋅ v = 3


ข้อใดต่อไปนี้เป็นขนาดของมุมระหว่างเวกเตอร์ u กับแกน x ที่เป็นไปได้หาก v = i + j
1. 15° 2. 30° 3. 45° 4. 60°

7. ถ้า z เป็นจํานวนเชิงซ้อนซึ่ง z ≠ 0 และ (5 − 12 i) z3(−3 + 4 i) = 130 z


แล้ว Re (z ⋅ z) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1 1
1. 2 2. 2 3. 4.
2 2

8. ถ้า z1, z2 , z3 เป็นรากของสมการ z3 + 5 = 2i


แล้ว z21 + z22 + z23 คือค่าในข้อใดต่อไปนี้
1. 3 2. 3 3 3. 9 4. 9 3

9. กําหนด f เป็นฟังก์ชันที่มีอนุพันธ์ และ F (x) = (f(x))2 + 2x + 1


ถ้า f (2) > 0 , F (2) = 3 และ f′(2) = 4 แล้ว F′(2) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 1 2. 3 3. 5 4. 7

10. กําหนดให้ g(x) เป็นฟังก์ชันพหุนาม และ f (x) = (x − 1)2 g(x)


ถ้า x − 2 หาร f (x) และ f′(x) เหลือเศษ 3 และ 4 ตามลําดับ
แล้ว ค่าของ dg เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
dx x =2

1. 4 2. 1 3. −2 4. −3

11. กําหนด f (x) เป็นฟังก์ชันพหุนามกําลังสามที่มีสัมประสิทธิ์เป็นจํานวนจริง และสัมประสิทธิ์ของ


x3 เท่ากับ 1 ถ้า f (x) มี x − 1 เป็นตัวประกอบหนึ่ง, x − 2 หาร f′(x) และ f′′(x) เหลือเศษ 2
เท่ากัน แล้วข้อใดต่อไปนี้เป็นสมการเส้นสัมผัสโค้ง y = f (x) ณ จุดซึ่ง x = 2
1. y = 2x − 2 2. y = 2x − 4
3. y = 2x + 2 4. y = 2x
x
12. กําหนดให้ f (x) = 10 − log (x − 4) +
25
24
ถ้าความชันของเส้นสัมผัสโค้ง y = f (x) ที่จุด (a, f (a)) เท่ากับ −
25
แล้วจํานวนจริง a ที่เป็นไปได้ มีทั้งหมดกี่จํานวน
1. 0 2. 1 3. 2 4. 3

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 596 โจทยทดสอบ ชุดที่ 1

2
⎛ x4 + 1 ⎞ 1
13. ค่าของ 1
∫ ⎝ x ⎠
∫0
2
⎜ 2 ⎟ dx + (4 − x) dx เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 10 2. 14 3. 20 4. 24

14. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
3
ก. −1∫ (x3−4x) dx = 4
ข. ขนาดพื้นที่ที่ปิดล้อมด้วยโค้ง y = x3− 4x กับแกน x ในช่วง x = −1 ถึง 3
เท่ากับ 12 ตารางหน่วย
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
x4
15. ถ้าเส้นโค้งเส้นหนึ่งมีสมการเป็น f (x) = − x
4
a2
1
และ a เป็นจํานวนจริงที่ทําให้ −a
∫ f′′(x) dx = −
4
แล้ว
ความชันของเส้นสัมผัสเส้นโค้งนี้ ณ จุดซึ่ง x=a มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 1 2. − 1 3. 3 4. −
3
2 2 2 2

16. จํานวนวิธีจดั พนักงาน 6 คนเป็น 3 กลุ่ม เพื่อทํางาน 3 อย่างที่แตกต่างกัน โดยแบ่งกลุ่มละกี่คน


ก็ได้ เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 90 2. 180 3. 540 4. 1080

17. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. จํานวนวิธีร้อยมาลัยวงกลมด้วยดอกไม้ 5 ชนิด โดยดอกมะลิและดอกดาวเรืองต้องอยู่ติดกัน
เท่ากับ 12 วิธี
ข. จํานวนวิธีจัดนักเรียน 5 คนเป็นวงกลม โดยเด็กหญิงมะลิและเด็กหญิงดาวเรืองต้องอยู่
ติดกัน เท่ากับ 12 วิธี
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

18. สลากชุดหนึ่งมี 10 ใบ มีหมายเลข 1 ถึง 10 กํากับ ความน่าจะเป็นที่จะหยิบสลากพร้อมกัน 3


ใบ โดยให้มีแต้มรวมกันเป็น 10 มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 1 2. 1 3. 1 4. 1
60 40 30 20

19. ในการลากเส้นเชื่อมระหว่างจุดยอด 2 จุดใดๆ ของรูปสิบเหลี่ยมด้านเท่าที่แนบในวงกลม โดยที่


เส้นนั้นไม่ใช่ด้านของรูปสิบเหลี่ยม ความน่าจะเป็นที่เส้นที่ลากขึ้นนี้ไม่ผ่านจุดศูนย์กลางของวงกลม
เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 6 2. 6 3. 5 4. 5
7 9 7 9

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 597 โจทยทดสอบ ชุดที่ 1

20. สมการแสดงความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชัน ทีใ่ ช้ประมาณค่าของกําไร ( Y : พันบาท) จากจํานวน


สินค้าที่ผลิต ( X : สิบชิ้น) คือ Y = 2X + 5
พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ถ้าจะผลิตสินค้าเพิ่ม 20 ชิ้น คาดว่ากําไรจะเพิ่ม 9, 000 บาท
ข. ถ้ากําไรเป็น 7, 000 บาท คาดว่าจะผลิตสินค้าได้ 10 ชิ้น
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

21. จากตารางต่อไปนี้ ซึ่งข้อมูลชุด x และ y มีความสัมพันธ์กันในรูปแบบฟังก์ชันเส้นตรง


x -2 -1 1 2
y -2 1 3 4
ถ้าการทํานายค่า x และ y ใช้ระเบียบวิธีกําลังสองน้อยที่สุด พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ถ้า y = 3 ทํานายได้ว่า x = 1 ข. ถ้า x = 1 ทํานายได้ว่า y = 3
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

22. ในการสอบย่อยครั้งหนึ่งคะแนนเต็มคือ 100 คะแนน มีนักเรียนเข้าสอบ 9 คนในวิชา


คณิตศาสตร์และเคมี ได้คะแนนดังนี้
คณิตศาสตร์ : 70 70 70 78 79 80 90 91 92
เคมี : 50 60 72 78 80 85 90 92 95
ปรากฏว่า ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ เท่ากับ 8.6 คะแนน และส่วน
เบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนสอบวิชาเคมีเท่ากับ 14.2 คะแนน ถ้านายปัญญาสอบวิชาคณิตศาสตร์
และเคมีได้ 90 คะแนนเท่ากันทั้งสองวิชา แล้วข้อสรุปข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. เขาเรียนวิชาคณิตศาสตร์ได้ดีกว่าเคมี
2. เขาเรียนวิชาเคมีได้ดีกว่าคณิตศาสตร์
3. เขาเรียนทั้งสองวิชาได้ดีเท่ากัน เพราะคะแนนเท่ากัน
4. เขาเรียนทั้งสองวิชาได้ดีเท่ากัน เพราะได้ตําแหน่งเปอร์เซ็นไทล์เดียวกัน

23. การจ่ายโบนัสให้กับพนักงานของบริษัทหนึ่งเท่ากับ 1,000 บาทบวกกับ 2 เท่าของเงินเดือน


พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ค่าเฉลี่ยเลขคณิตของโบนัส เป็น 2 เท่าของค่าเฉลี่ยเลขคณิตของเงินเดือน
ข. ความแปรปรวนของโบนัส เป็น 2 เท่าของความแปรปรวนของเงินเดือน
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 598 โจทยทดสอบ ชุดที่ 1

24. ข้อมูลชุดหนึ่งมีการแจกแจงแบบปกติ โดยที่ค่าสูงสุดของข้อมูลอยู่ในตําแหน่งเปอร์เซ็นไทล์ที่


97.5 และค่าต่ําสุดของข้อมูลอยู่ในตําแหน่งเปอร์เซ็นไทล์ที่ 33 ถ้าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของข้อมูล
เป็น 20 คะแนน แล้วพิสัยของข้อมูลชุดนี้มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
กําหนดตารางแสดงพื้นที่ใต้โค้งปกติมาตรฐาน ดังนี้
z 0.170 0.440 0.475 1.960
A 0.0675 0.1700 0.1826 0.4750
1. 28.0 2. 30.4 3. 39.2 4. 48.0

25. คะแนนสอบของนักเรียนกลุ่มหนึ่งมีการแจกแจงปกติ มีค่าเฉลี่ยเลขคณิตเท่ากับ 40 คะแนน


ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนสอบเท่ากับ 10 คะแนน และมีนักเรียนที่สอบได้คะแนนที่คิดเป็น
ค่ามาตรฐานระหว่าง -1 และ 1 อยู่ 75% ของนักเรียนทั้งหมด ถ้านาย ก สอบได้ 50 คะแนนแล้ว
ข้อใดต่อไปนี้เป็นตําแหน่งเปอร์เซ็นไทล์ของนาย ก
1. 37.5 2. 50.0 3. 75.0 4. 87.5

เฉลยคําตอบ
ส่วนที่หนึ่ง
ตอนที่ 1 (1) 224 (2) 19 (3) 2 (4) 5 (5) 11 (6) 8 (7) 416 (8) 0.5
(9) 1.5 (10) 4
ตอนที่ 2 (1) 3 (2) 2 (3) 3 (4) 4 (5) 2 (6) 2 (7) 3 (8) 4 (9) 3
(10) 2 (11) 4 (12) 3 (13) 2 (14) 4 (15) 1 (16) 1 (17) 1 (18) 3 (19)
2 (20) 1 (21) 4 (22) 1 (23) 2 (24) 3 (25) 4
ส่วนที่สอง
ตอนที่ 1 (1) 0.5 (2) 8 (3) 1.5 (4) 0.7 (5) 6 (6) 19 (7) 10 (8) 1
(9) 0.86 (10) 9
ตอนที่ 2 (1) 4 (2) 3 (3) 2 (4) 2 (5) 1 (6) 1 (7) 2 (8) 3 (9) 2
(10) 3 (11) 1 (12) 2 (13) 2 (14) 1 (15) 4 (16) 3 (17) 3 (18) 3
(19) 1 (20) 4 (21) 2 (22) 1 (23) 4 (24) 4 (25) 4

เฉลยวิธีคิด
ส่วนที่หนึ่ง ตอนที่ 1 แก้ระบบสมการได้ A=2, B=4, C=3
(1) คิดจากจํานวนแบบทั้งหมด ลบด้วย จํานวนแบบ ดังนัน้ p(x) = 2x2 + 4x + 3 และหารด้วย x − 2
ที่ “ไม่มี” ...ซึ่งจํานวนแบบทั้งหมด = 4 × 4 × 4 × 4 เหลือเศษ = p(2) = 2(2)2 + 4(2) + 3 = 19 ตอบ
และจํานวนแบบที่ “ไม่มี” (ตามเงื่อนไขในโจทย์) นั้น (3) จากโจทย์จะได้ log 2(4x + 8) − log 2 12 = x − 1
หมายความว่า ถ้าหาก x > 0 แล้ว f(x) > 0 ⎛ 4x + 8 ⎞ 4x + 8
นั่นคือ 4 × 2 × 2 × 2 แบบ นั่นคือ log 2 ⎜⎜ ⎟⎟ = x − 1 → = 2x −1
⎝ 12 ⎠ 12
ตอบ (4 × 4 × 4 × 4) − (4 × 2 × 2 × 2) = 224 แบบ
A2 + 8 1
(2) พหุนามดีกรีสอง p(x) = Ax2 + Bx + C ให้ 2x = A จะได้ = A⋅
12 2
ใช้ทฤษฎีเศษ.. p(−1) = 1 , p(0) = 3 , และ p(1) = 9 → A2 − 6A + 8 = 0 → A = 4
หรือ 2
จะได้ A − B + C = 1 .....(1) ดังนัน้ x=2 หรือ 1 ... แต่ในโจทย์มี x – 1 เป็นส่วน
C = 3 .....(2) และ A + B + C = 9 .....(3) ทําให้ x เป็น 1 ไม่ได้ ตอบ ผลบวกคําตอบคือ 2
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 599 โจทยทดสอบ ชุดที่ 1

−x −4 ⎛ n2+ n + n2− 1 ⎞
(4) C31 = −y 3 = −3x − 4y = 5 .....(1) = 3 lim ( n2+ n − n2− 1) ⎜ ⎟
n→∞ ⎜ n2+ n + n2− 1 ⎟⎠
−1 3 ⎝
และ C12 = − 4 x = x + 12 = 13 .....(2) ⎛ n+1 ⎞
= 3 lim ⎜ ⎟ นํา n หารทัง้ เศษและ
แก้ระบบสมการได้ x=1 และ y=–2 n→∞ ⎜

2
n +n + n − 1 ⎟⎠
2

⎡ −2 −1 −4⎤
ดังนัน้ A = ⎢ −1 2 3 ⎥ จึงได้ det(A) = 25 ⎛ 1 + 1/n ⎞
⎢⎣ 4 1 1 ⎥⎦ ส่วน จะได้ = 3 lim ⎜ ⎟
n→∞ ⎜
⎝ 1 + 1/n + 1 − 1/n2 ⎟⎠
และ det(B) = det(A −1) = 1/25
⎛ 1 ⎞
1 = 3⎜ ⎟ = 1.5 ตอบ
ตอบ det(5A t B2) = 53 ⋅ 25 ⋅ = 5 ⎝ 1 + 1⎠
252
(10) ให้จดุ A มีพิกัดเป็น (0,y) จะได้ว่า
(5) จากจุดโฟกัสจึงทราบว่า c=2 และจุดศูนย์กลาง 22 + (y − 2)2 = 12 + (y + 1)2
อยู่ที่ (h,k)=(0,0) จากนั้นอัตราส่วน c:a จะทําให้ 2 2
ทราบว่า วงรีมคี ่า a=4 และไฮเพอร์โบลามีคา่ a=1 ดังนัน้ 4 + y − 4y + 4 = 1 + y + 2y + 1 → y = 1
สร้างสมการได้ดงั นี้.. นัน่ คือจุด A อยูท่ ี่ (0,1) ... และโจทย์บอกว่าจุดยอด
2 2 อยูท่ ี่ (1,3) จึงลองวาดรูปดูได้ดังนี้
วงรี y + x = 1 → 3y2 + 4x2 = 48
16 12
y2 x2 V(1,3) V(1,3)
ไฮเพอร์โบลา − = 1 → 3y2 − x2 = 3 F
1 3
แก้ระบบสมการหาจุดตัดได้ (±3, ±2) A(0,1) A(0,1)
F
ตอบ m 2 + n = 9 + 2 = 11
(6) ต่อเนือ่ งที่ x=2 แปลว่าลิมิตซ้ายเท่ากับลิมติ ขวา
นั่นคือ 22k = ( 8 − 1)2k + 8 ... ให้ 2k = A แต่อตั ราส่วนพาราโบลาที่แท้จริงนัน้ VF:AF ต้องเป็น
1:2 (ตามหลักทีว่ ่า เลตัสเรคตัมจะยาว 4c เสมอ)
จะได้ A2 + (1 − 8) A − 8 = 0 แยกตัวประกอบ ดังนัน้ พาราโบลาในข้อนี้ เป็นแบบรูปขวามือเท่านัน้ ..
ได้ (A + 1)(A − 8) = 0 → A = −1 หรือ 8
แต่ 2k = −1 ไม่ได้.. ดังนั้น 2k = 8 → k = 3/2 หาคําตอบได้โดยอาศัย B 6


รูปกราฟ (ไม่ต้องแก้ 2
ตอบ f(2) = 2 2(3 / 2) = 23 = 8 สมการ) เนือ่ งจากเรา 6
(7) เป็นการหา ห.ร.ม. ด้วยวิธีของยุคลิด ซึ่งผลหาร V
directrix
ทราบว่า FB=6 หน่วย F
สุดท้ายจะเป็น ห.ร.ม. ดังนั้น r1 = 2 จะเท่ากับระยะทางจาก A
และจะได้ r0 = 6 , n = 26 ตามลําดับ จุด B ไปถึง directrix
26 × 32
ตอบ ค.ร.น. ของ n กับ 32 คือ = 416 ดังนัน้ B ห่างจากแกน y อยู่ 6–2=4 หน่วย ตอบ
2
(8) พจน์ซา้ ยมือในโจทย์สามารถจัดรูปได้ดงั นี้
loga(ax) + loga(a2x)2 + loga(a3x)3 + ... + loga(a10x)10 ส่วนที่หนึ่ง ตอนที่ 2
4 2
= loga(ax ⋅ a x ⋅ a x ⋅ ... ⋅ a9 3 100 10
x )
(1) เซต P(A) และ B มีสมาชิกซ้ํากัน 2 ตัว ได้แก่
1 + 4 + 9 + ... + 100 1 + 2 + 3 + ... + 10
{0} กับ {0,1} ดังนัน้ n(P(A) − B) = 24 − 2 = 14
= loga(a x )
385 55 เซต P(B) และ A มีสมาชิกซ้าํ กัน 1 ตัว ได้แก่ ∅
= loga(a x )
ดังนัน้ n(P(B) − A) = 23 − 1 = 7 ตอบ 21
ดังนัน้ สมการกลายเป็น loga(a385 x55) = 110
385 55 110
(2) ก. เนื่องจาก A ⊂ B ดังนัน้ A ∪ B = B และ
→ a x = a → x55 = a−275
A ∩ B = A ซึ่งทั้งสองเซตนี้เป็นสมาชิกของ C ..ถูก
∴ x = a−275/ 55 = a−5 = (5 2)−5 = 2−1 = 0.5 ตอบ ข. ผิด ทีจ่ ริงใน P(C) จะมี {A} และ {B} ต่างหาก
⎡ 3 −3 ⎤ (3) n (A ∩ B) = 8 + 6 − 11 = 3
(9) Bn = adj (An) = ⎢ 2
⎣− n − 1 n2+ n ⎥⎦
ดังนัน้ n (B − A) = 6 − 3 = 3
จะได้ bn = det (Bn) = 3 ( n2+ n − n2− 1) และ n (A − B) = 8 − 3 = 5
แสดงว่า nlim bn = lim 3 ( n2+ n − n2− 1) จํานวนฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง จาก B–A ไป A–B จะมี
→∞ n→ ∞
ทั้งหมด 5 × 4 × 3 = 60 แบบ ตอบ
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 600 โจทยทดสอบ ชุดที่ 1

(4) เซต A; แบ่งช่วงย่อยในการคํานวณดังนี้ (6) ก. q ∨ s เป็นเท็จ แสดงว่า q กับ s เป็นเท็จทั้ง


ก. ข. ค. คู่ ... (p → q) ∧ (r ∨ s) เป็นจริง แสดงว่า p → q
3 4 เป็นจริง (นัน่ คือ p เป็นเท็จ) และ r ∨ s เป็นจริง
ก. เมื่อ x < 3 จะได้
−x + 4 − x + 3 = 1 → −2x = − 6 → x = 3 → ∅
(นั่นคือ r เป็นจริง)
สรุป (q ∨ p) → (r ∧ s) ≡ F → F ≡ T ข้อ ก. ถูก
ข. เมื่อ 3 < x < 4 จะได้
−x + 4 + x − 3 = 1 → 1 = 1 → [3, 4) ข. นิเสธของ ∀x [ P → Q ] คือ ∃x [ P ∧ ~ Q ]
ค. เมื่อ x > 4 จะได้ ดังนัน้ จากโจทย์ ควรเป็น ∃x [ x </ 0 และ −x > 0 ]
x − 4 + x − 3 = 1 → 2x = 8 → x = 4 → {4} นั่นคือ ∃x [ x </ 0 และ x < 0 ]
ดังนัน้ A = [3, 4] (ในโจทย์ไม่มีเครือ่ งหมายเท่ากับ) ข้อ ข. ผิด ตอบ
เซต B; ยกกําลังสองทั้งสองข้างได้ เพราะขวามือเป็น (7) ก. [(p → q) ∨ (q → r)] → (p → r)
บวกเสมอ และพจน์ซา้ ยมือนัน้ มากกว่าหรือเท่ากับ F
T F
พจน์ขวามือ จึงย่อมเป็นบวกเสมอด้วย T F
16 4 4 1 T T T F
> → − >0 ทํ า เป็ น เท็ จ ได้ (กําหนดให้ q เป็น T หรือ F ก็ได้)
(x − 2) 2
x +1 (x − 2)2
x+1
4x + 4 − x2 + 4x − 4
แสดงว่า ไม่เป็นสัจนิรันดร์
→ 2
>0 ข. เชื่อมด้วย “ก็ต่อเมือ่ ” จึงใช้วิธตี รวจสอบสมมูล
(x − 2) (x + 1)
−x2 + 8x x(x − 8)
ซ้ ายมืออยู่ในรูป X → Y และขวามือเป็น ~Y → ~X
→ > 0 → < 0
(x − 2)2(x + 1) (x − 2)2(x + 1) ซึ่งสมมูลกันพอดี ดังนั้น เป็นสัจนิรันดร์ ตอบ ข้อ 3.
- + - + - + (8) 1. มี x บางตัวซึง่ ทําให้ “ __ และ __ “
-1 0 2 2 8 ..มีจริงๆ คือ x=0
แต่จากโจทย์มี x + 1 2. x ทุกๆ ตัว “ __ หรือ __ ” ..ก็จริง
จึงต้องเพิ่มเงือ่ นไขว่า x + 1 > 0 → x > −1 3. มี x บางตัวซึง่ ทําให้ “__” ..มีจริง
และมี x บางตัวซึ่งทําให้ “__” ..อันนี้ก็มีจริง
และนอกจากนั้น 4 > 0 ด้วย คือ x > 2 4. x ทุกๆ ตัว “__” ..ไม่จริง!
x−2
รวมแล้วจึงได้ว่า B = (2, 8] หรือ x ทุกๆ ตัว “__” ..ก็ไม่จริง! ตอบ ข้อ 4.
สรุป.. B − A = (2, 3) ∪ (4, 8] ตอบ ข้อ 4. (9) ก. จาก (3) และ (2) จะสรุปได้เป็น q
จากนั้นนําไปพิจารณาร่วมกับ (1) จะได้ผลเป็น ~p
(5) เซต A; x − 1 − 2 > 0 ซึ่งตรงข้ามกับผลที่ให้มา แสดงว่าไม่สมเหตุสมผล
x+2
x − 1 − 2x − 4 −x − 5 ข. จาก (1) เชื่อมกันด้วย “และ” แสดงว่า P(x) เป็น
→ > 0 → > 0
x+2 x+2 จริ ง และ Q(x) ก็เป็นจริง (คือเขียนแยกข้อกันได้)..
ยกเฉพาะ Q(x) มาพิจารณาร่วมกับ (2) จะได้เป็น
นั่นคือ x + 5 < 0 แสดงว่า A = (−5, −2) R(x) แล้วพิจารณากับข้อ (3) ก็จะได้ผลเป็น S(x)
x+2
โดเมนของ f; (3 + x)(2 − x) > 0 สมเหตุสมผล ตอบ ข้อ 3.
(10) ความสัมพันธ์ที่โจทย์ให้มามีกราฟเป็นรูปวงรี
→ (3 + x)(x − 2) < 0 นั่นคือ Df = [−3, 2]
จึงจัดรูปสมการดังนี้.. 9 (x2 − 2x) + 4 (y2 + 4y) = 11
โดเมนของ g; x + 3 > 0 → x > −3 → 9 (x2 − 2x + 1) + 4 (y2 + 4y + 4) = 11 + 9 + 16
นั่นคือ Dg = (−3, ∞) → 9 (x − 1)2 + 4 (y2 + 2)2 = 36
สรุป.. A ∩ Df ⋅ g = A ∩ Df ∩ Dg = (−3, −2) (x − 1)2 (y2 + 2)2
→ + = 1
มีขอบเขตบนค่าน้อยที่สดุ เท่ากับ –2 ตอบ 4 9
[หมายเหตุ การหาโดเมนของ f ⋅ g จะต้องคิดโดเมน เป็นวงรีในแนวตัง้ จุดศูนย์กลางอยู่ที่ (1,-2)
ทีละฟังก์ชนั แล้วอินเตอร์เซคเข้าด้วยกัน ห้ามนํา f กับ ขึ้นลงด้านละ 3 หน่วย และซ้ายขวาด้านละ 2 หน่วย
g มาคูณกันก่อน เพราะอาจทําให้บางเงื่อนไขหายไป] จึงได้ Dr = [−1, 3] และ Rr = [−5, 1]
ดังนัน้ Dr−1 ∩ Rr−1 = Rr ∩ Dr = [−1, 1] ตอบ ข้อ 2.

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 601 โจทยทดสอบ ชุดที่ 1

(11) r1 มีขอบเขตเป็นพาราโบลา y + 3 < x 2 (15) f (x) = x2 − 1 และ g−1(x) = x3 − 1


จึงทําให้ r '1 มีขอบเขตเป็นพาราโบลา y + 3 > x 2 ก. f + g−1 = x3 + x2
คือพาราโบลาหงาย จุดยอด (0,–3) แรเงาด้านใน.. ข. fog−1 = (x3 + 1)2 − 1 = x6 + 2x3
ส่วน r2 มีขอบเขตเป็นเส้นตรง 2y > x − 3 ทั้งสองข้อเป็นฟังก์ชันเพิ่มบนช่วง [0, ∞) จริง
คือเส้นประเฉียงขึ้น ผ่านจุด (0,–3/2) แรเงาด้านบน.. (เพราะถ้า x เพิม่ ขึ้น y ย่อมเพิ่มด้วย) ตอบ ข้อ 1.
(16) สมการวงกลมมีจดุ ศูนย์กลางอยู่ที่ C(-2,4)
ข้อ 1. กับ 2. r '1∩ r2 ดังนัน้ mOC = −2 และสมการ OC คือ y = −2x
ไม่มีจุดสูงสุด (สูงขึ้นได้เรื่อยๆ)
และไม่มีจุดต่ําสุด ความยาว OC เท่ากับ 22 + 42 = 20 = 2 5
(เพราะขอบเขตเป็นเส้นประ) ดังนัน้ วงกลมที่มี OC เป็นเส้นผ่านศูนย์กลาง จะต้อง
มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ (-1,2) และรัศมียาว 5 หน่วย..
ข้อ 3. กับ 4. r '1 − r2 = r '1∩ r '2 สร้างสมการได้ (x + 1)2 + (y − 2)2 = 5
จุดสูงสุดคือ (3/2,–3/4) กระจายเป็น x2 + y2 + 2x − 4y = 0 ตอบ ข้อ 1.
(หาโดยแก้ระบบสมการ) (17) 6 (x2 + 2x + 1) + 5 (y2 − 4y + 4) = 4 + 6 + 20
และจุดต่าํ สุดคือ (0,–3) ดังรูป (x + 1)2 (y − 2)2
ตอบ ข้อ 4. → + = 1 เป็นวงรีแนวตั้ง
5 6
มีจุดศูนย์กลางที่ (-1,2), a = 6, b = 5, c = 1
(12) จาก gof = (f − 1)2
ดังนัน้ V(−1, 2± 6), F(−1, 2± 1)
หาโดเมน; เนื่องจาก (f − 1)2 นั้น f เป็นอะไรก็ได้ หาสมการไฮเพอร์โบลาที่ C(−1, 2), V(−1, 2± 1),
ดังนัน้ x + 1 เป็นอะไรก็ได้.. นั่นคือ x > 0 แกนสังยุคยาวเท่าแกนโทของวงรี (คือ b = 5 )
สรุป Dgof = [0, ∞) 2 2

หาเรนจ์; เนื่องจาก x > 0 → x + 1 > 1 จะได้ (y − 2) − (x + 1) = 1


1 5
ดังนัน้ f > 1 ..ทําให้ f − 1 > 0 → (f − 1)2 > 0 นั่นคือ 5 (y − 2)2 − (x + 1)2 = 5
สรุป Rgof = [0, ∞) กระจายได้ 5y2 − x2 − 20y − 2x + 14 = 0
จาก fog = g + 1 หรือใช้เป็น x2 − 5y2 + 2x + 20y − 14 = 0 ตอบ
หาโดเมน; เนื่องจาก g + 1 นั้น g > 0 เท่านัน้ 1 0 −x2
(18) 2 1 0 = x3 − 6x2 + 5 = 0
จึงได้วา่ (x − 1)2 > 0 ซึง่ เป็นจริงเสมออยู่แล้ว x 3 5
สรุป Dfog = R → (x − 1)(x2 − 5x − 5) = 0 → x = 1,
5±3 5
หาเรนจ์; เนื่องจาก (x − 1)2 > 0 → g > 0 2

จึงทําให้ g > 0 → g + 1 > 1 แต่ 5 − 3 5 มีค่าติดลบ.. จึงมีจํานวนจริงบวกที่เป็น


2
สรุป Rfog = [1, ∞) ตอบ ข้อ 3. (ก. ผิด, ข. ถูก) คําตอบเพียง 2 จํานวน ตอบ
1 ⎡3− a 0 −2⎤
(13) จาก g =
2− 2+x (19) 3I − A = ⎢ 0 1 0 ⎥
⎢⎣ −a 0 5 ⎥⎦
1
จะได้ gof = det (3 I − A) = 15 − 5a − 2a = 8 → a = 1
2− 4+ x
หาโดเมน; 2 − 4 + x ≠ 0 → x ≠ 0 ⎡1 0 2 ⎤
ดังนัน้ A = ⎢0 2 0 ⎥ และ det(A) = –4–4 = –8
และ 4 + x > 0 → x > −4 ⎢⎣ 1 0 −2⎥⎦
ดังนัน้ Dgof = [−4, 0) ∪ (0, ∞) และ ประโยค ⎡⎣ AI ⎤⎦ ~ ⎡⎣ I B ⎤⎦ แปลว่า B = A −1
Dgof − A = [−4, 0) มีจํานวนเต็ม 4 จํานวน ตอบ det(adjA)
จาก det (B adj A) = = (det(A))n − 2
det(A)
(14) หา g−1(1) โดยให้ x3 − x2 − x − 1 = 1 แล้วหา
ตอบ (−8)3 − 2 = −8
ค่า x โดยหารสังเคราะห์ ( x3 − x2 − x − 2 = 0 )
[หมายเหตุ วิธพี สิ ูจน์ det(adjA) = (det(A))n − 1 อยู่
ได้ x=2 หมายความว่า g (2) = 1 ดังนั้น g−1(1) = 2 ในแบบฝึกหัดเรื่องเมตริกซ์ ข้อ 67]
ตอบ (fog−1)(1) = f (2) = 4 − 2 − 1 = 1

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 602 โจทยทดสอบ ชุดที่ 1

(20) จากโจทย์จะได้ (2)x (1− x) > (2)−2 ฐานเท่ากัน (24) เขียนกราฟของเงือ่ นไขได้ดังรูป
3 3 y สมมติวา่ P สูงสุดเกิดที่
ตัดทิ้งได้ (แต่เป็นฟังก์ชันลด ต้องพลิกเครือ่ งหมาย) (2,3) จะได้ว่า
จะได้ x (1 − x) < −2 → x − x2 + 2 < 0 150 = (a/2)(2)+25(3)
แยกตัวประกอบได้ (x − 2)(x + 1) > 0 4 (2,3) นัน่ คือ a = 75
ดังนัน้ A = (−∞, −1) ∪ (2, ∞) และ A ' = [−1, 2]
เซต B ที่ตรงตามที่โจทย์ตอ้ งการคือข้อ 1. ตอบ x ตรวจสอบความถูกต้อง
O 5
(21) จากโจทย์ จัดรูปฝั่งซ้ายของอสมการได้ดังนี้ โดยแทนค่า (0,4)
1 1 และ (5,0) ลงไป พบว่า P(5,0)=187.5 ซึ่งมากกว่า
log 3(x − 3) − log 3(x − 3) + log 3(x − 3) − ...
2 4 150 แสดงว่าทีจ่ ริงแล้ว P สูงสุดเกิดทีจ่ ุด (5,0)
1 1 1 ดั งนัน้ 150 = (a/2)(5)+25(0) ... ได้ a = 60
= (1 − + − + ...)(log 3(x − 3))
2 4 8 ตอบ ข้อ 3.
1 2 x −2 x−2
=( )(log 3(x − 3)) = (log 3(x − 3)) (25) xlim f(x) = lim = lim
1 + 1/2 3 →2 −
x →2 −
2−x
x →2 2−x −

ดังนัน้ จากโจทย์จะได้ 2 (log 3(x − 3)) < 1 = lim−


−(2 − x)
= lim− − 2 − x = 0
3 x →2 2−x x →2
3 2−x −(2 − x)
→ (log 3(x − 3)) < → x− 3 < 3 3 และ xlim f(x) = lim+ = lim+
2 → 2+ x →2 2 − x x →2 2 − x
→ x < 4 3 −( 2 − x)( 2 + x)
= lim+ = lim+ − ( 2 + x)
แต่ตอ้ งคํานึงถึงเงื่อนไขของสิง่ ทีอ่ ยู่ใน log ด้วย x →2 2 − x x →2

คือ x − 3 > 0 → x > 3 = −2 2 ดังนัน้ ตอบ ข้อ 4.


สรุป.. ช่วง (a,b) คือ ( 3, 4 3) ตอบ 5 3
3 2
(22) เซต A; x − 8x + 16 + 2 x − 4 + 1 = 0 3 ส่วนที่สอง ตอนที่ 1
(1) จาก x = tan (arctan (1/ 3) + arctan (1/2))
ให้ 3 x − 4 = a จะได้ a2 + 2a + 1 = 0
ใช้สูตร tan(A+B) จะได้เป็น
นั่นคือ a = −1 → 3 x − 4 = −1 → x = 3 1/3 + 1/2
x = = 1
ดังนัน้ เซต A = {3} 1 − (1/3)(1/2)
log 3 9 และจาก y = sin (arcsin (1/ 10) + arcsin (1/ 5))
เซต B; + (log 3 x)2 = 2
log 3 3x ใช้สูตร sin(A+B) จะได้เป็น
2 1 2 3 1 5 1
นั่นคือ + (log 3 x)2 = 2 y =( )( ) + ( )( ) = =
log 3 3 + log 3 x 10 5 10 5 50 2
2 (หาค่า cos ได้จากรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก)
ให้ log 3 x = a จะได้+ a2 = 2
1+ a ตอบ (x − y)(x + y) = x2 − y2 = 1 − 1 = 0.5
→ 2 + a2(1 + a) = 2 (1 + a) → a3 + a2 − 2a = 0 2

→ a (a + 2)(a − 1) = 0 → a = 0, −2, 1
(2) พื้นที่สี่เหลีย่ ม = |˜
AB | ⋅ |˜
AD | sin θ = 24
˜ ˜ ˜ ˜
และจาก AB ⋅ AD = | AB | ⋅ | AD | cos θ = 3
ดังนัน้ x = 30 , 3−2 , 31 = 1, 1/9, 3
นําสองสมการมาหารกัน จะได้ tan θ = 8 ตอบ
เซต C; มีสมาชิกเป็น log 3 a ได้แก่
b (3) จาก z − z = ( 1 − 3 i) − ( 1 + 3 i) = − 3i
3 3 3 2 2 2 2
log 3 = 1 , log 3 = 3 , log 3 = 0
1 1/9 3 และ i17 = i1 = i และ
ตอบ {0,1,3} z18 = (1∠(π / 3))18 = 118 ∠(18π / 3)) = 1∠6π = 1
(23) เขียนกราฟของ y z−z − 3i 3
ดังนัน้ = =
เงื่อนไข ได้ดังรูป i 17 + z 18 i+1 2
(0,10) 2
ค่าต่าํ สุดของ C ⎛ z−z ⎞ 32
ตอบ ค่าสัมบูรณ์ของ ⎜⎜ 17 18 ⎟⎟ คือ ( ) = 1.5
เกิดที่ (3,1) ⎝ i +z ⎠ 2
(3,1) (4,1/2)
ตอบ Cmin = 17 x
O

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 603 โจทยทดสอบ ชุดที่ 1

⎛ 3⎞ ⎛ 7 ⎞ + ⎛ 7 ⎞ ⎛ 3⎞ (10) ตารางที่ให้มา คะแนน จํานวน CF


⎜ 2⎟ ⎜ 1 ⎟ ⎜2⎟ ⎜ 1 ⎟
(4) ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ = 21 + 63 = 0.7 ตอบ เรียงข้อมูลจากมาก
⎛ 10 ⎞ 120
30 – 39 1 1
⎜3⎟
⎝ ⎠
ไปน้อย จึงควรกลับ 40 – 49 4 5
(5) ให้ขอ้ มูลทั้งสี่ได้แก่ a, b, c, d ด้านก่อน และเขียน 50 – 59 10 15
มีสองคนหนักเท่ากันและน้อยกว่าอีกสองคนที่เหลือ ความถีส่ ะสมได้ดังนี้ 60 – 69 20 35
70 – 79 30 65
แสดงว่า a, b เท่ากันและเป็นฐานนิยมด้วย = 40 80 – 89 25 90
มัธยฐาน = 41 แสดงว่า c = 42 มัธยฐานอยู่ตาํ แหน่ง
ที่ 100/2 = 50 90 – 99 10 100
พิสัย = 6 แสดงว่า d = 46
ดังนัน้ ข้อมูลทั้งสีค่ ือ 40, 40, 42, 46 กก. ซึ่งพบว่าอยู่กึ่งกลางชั้น 70-79 พอดี ดังนัน้ มัธยฐาน
คํานวณค่าเฉลีย่ เลขคณิต ได้เท่ากับ 42 กก. เท่ากับจุดกึง่ กลาง คือ 74.5 คะแนน
ตอบ s2 = 2 + 2 + 0 + 4 = 24 = 6
2 2 2 2
ควอร์ไทล์ที่ 3 อยู่ตําแหน่งที่ (3/4)(100) = 75
4 4
ดังนัน้ Q3 = 79.5 + 10 (75 − 65) = 83.5 คะแนน
(6) จาก 4 sin2 x + 11 cos x − 1 = 0 จะได้ 25
2
4 (1 − cos x) + 11 cos x − 1 = 0 ตอบ ต่างกันอยู่ 9 คะแนน
→ 4c2 − 11c − 3 = 0 → (4c + 1)(c − 3) = 0
แต่ cos x = 3 ไม่ได้ ดังนั้น cos x = –1/4 เท่านัน้ ส่วนที่สอง ตอนที่t 2 2
(1) จาก det (2A ) = 2 det(A)
โจทย์ถาม cot2(x + π) + 1
= 4 (sin 3θ cos θ + cos 4θ sin 2θ)
2 cos (x − 3π)
1 = 2 (sin 4θ + sin 2θ + sin 6θ − sin 2θ)
= tan x +
2
= (± 15)2 + 4 = 19 ตอบ
− cos x 3
= 2 (sin π / 3 + sin π /2) = 2 ( + 1)
(หาค่า tan x มาจากรูปสามเหลีย่ มมุมฉาก) 2
(7) จาก an = zn zn = (1 − 2 − n − 3 i)(1 − 2 − n + 3 i) = 3 +2
ตอบ
−n 2 2 2 (2) ข้อ 1. กับ 2. ผิด เพราะค่าที่ได้อาจเป็นบวกหรือ
= (1 − 2 ) + 3 = 1 − n + 2n + 9
2
2 2 ติดลบก็ได้ ขึ้นอยู่กับควอดรันต์
ดังนัน้ lim an = 1 − 0 + 0 + 9 = 10 ตอบ
n→ ∞ ข้ อ 4. ผิด เพราะ arccos ติดลบ กับ arctan ติดลบ
(8) จาก ∫ (fog)(x) dx = x − x + x − x + x − c ้นอยู่คนละควอดรันต์กนั (ไม่มีทางเท่ากันได้)
5 4 3 2 นั
แสดงว่า (fog)(x) = 5x4 − 4x3 + 3x2 − 2x + 1 แต่ถึงแม้วา่ ข้อ 4. จะผิด ข้อ 3. ก็ยังถูก เพราะค่า
tan ของมุมๆ นัน้ เท่ากับ -2 จริงๆ (เพียงแต่เขียนเป็น
จากนั้นใช้กฎลูกโซ่ คือ (fog)′ (x) = f′(g(x)) ⋅ g(x)

คําว่า arctan(-2) ไม่ได้!) ตอบ ข้อ 3.
ต้องการหาค่า f′(6) จึงพยายามแทนค่า g(x) เป็น 6 (sin θ)( 2 sin θ − 1)
>0
ซึ่งจากโจทย์พบว่า g(1) = 6 เราจึงแทน x ด้วย 1 (3) แยกตัวประกอบได้ 2 cos θ − 1
ตลอดสมการ ได้เป็น (fog)′ (1) = f′(6) ⋅ g(1 ′ ) กรณีแรก บน > 0 และล่าง > 0
(fog)′ (1) 20(1) − 12(1) + 6(1) − 2 เขียนเส้นจํานวนแล้วหาคําตอบในวงกลม
3 2
ดังนัน้ f′(6) = =
sin θ π/3
g(1
′ ) 6(1)2 + 6(1) π/4
12 0 1/ 2
= = 1 ตอบ
12 cos θ 0 2π
(9) วิธที ั้งหมด ลบด้วย วิธที ี่ผู้ชายทุกคนอยู่ด้วยกัน 1/2 5π/3
* วิธที ี่ผู้ชายอยู่ดว้ ยกันคือ แบ่งผูห้ ญิงเป็น 4 กับ 1 พบว่าในเซตคําตอบมีจํานวนนับ 1 และ 6
คน ได้ 5 ! = 5 วิธี แต่ต้องตั้งชือ่ กลุ่มเป็น A, B (คิดโดยประมาณค่า π ≈ 3.14 )
4 ! 1!
ด้วย จึงคูณอีก 2! ได้เป็น 10 วิธี กรณีที่สอง บน < 0 และล่าง < 0
* วิธที ั้งหมดคือแบ่งคน 8 คนออกเป็น 4 กับ 4 คน sin θ 3π/4
8!
ได้ = 35 วิธี แต่ต้องตั้งชื่อกลุ่มเป็น A, B 0 1/ 2
π
4! 4!2! cos θ
เช่นกัน จึงคูณอีก 2! ได้เป็น 70 วิธี 1/2
ตอบ 1 − 10 = 6 ≈ 0.86 พบว่าในเซตคําตอบมีจํานวนนับคือ 3
70 7
ตอบ มีจาํ นวนนับรวม 3 จํานวน
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 604 โจทยทดสอบ ชุดที่ 1

(4) ให้ u = v = a จะได้วา่ (10) x-2 หาร f(x) และ f’(x) เหลือเศษ 3 และ 4
a2 + a2 + 2a2 cos θ = 2 a2 + a2 − 2a2 cos θ หมายความว่า f(2)=3 และ f’(2)=4 (ทฤษฎีเศษ)
ยกกําลังสองทั้งสองข้าง และดึงตัวร่วมได้เป็น ดังนัน้ จาก g(x) = f(x) 2 จะได้
(x − 1)
2a2(1 + cos θ) = 4 (2a2)(1 − cos θ)
dg (x − 1)2 f′(x) − f(x) 2 (x − 1)
= g(x)
′ =
∴ cos θ = 0.6 ตอบ ข้อ 2. dx (x − 1)4
(เพราะ cos 45° ≈ 0.707 และ cos 90° = 0) (1)2 (4) − (3)2 (1)
แทนค่า g(2)
′ = = −2 ตอบ
(5) สมมติจุด B มีพิกดั เป็น (x, 3x-2) (1)4
ดังนัน้ ความชันของเวกเตอร์ ˜ AB เท่ากับ (11) f(x) = x3 + Ax2 + Bx + C
(3x − 2) − (−2)
* x-1 เป็นตัวประกอบ แปลว่า f(1)=0
(x) − (1)
* x-2 หาร f’(x) และ f’’(x) เหลือเศษ 2 เท่ากัน
แต่ความชันของเวกเตอร์ u เท่ากับ 4/2 = 2 แปลว่า f’(2)=2 และ f’’(2)=2 (ทฤษฎีเศษ)
เวกเตอร์สองอันนี้ความชันเท่ากัน แก้สมการได้ x=-2 * เนือ่ งจาก f′(x) = 3x2 + 2Ax + B และ
แสดงว่าจุด B คือ (-2,-8) และ ˜ AB = −3 i − 6 j
f′′(x) = 6x + 2A
˜
ตอบ |AB|: u = 3 : 2 = 1.5 จึงได้วา่ f′′(2) = 6(2) + 2A = 2 → A = −5
(6) จาก v = i + j แสดงว่า v = 2 f′(2) = 3(2)2 − 10(2) + B = 2 → B = 10
และ v ทํามุม 45° กับแกน x f(1) = (1)3 − 5(1)2 + 10(1) + C = 0 → C = −6
3 * หาสมการเส้นสัมผัสโค้งนี้ ณ จุดซึง่ x=2
u ⋅ v = 3 = ( 2)( 2)(cos θ) → cos θ =
2
ความชัน = f’(2) = 2 (โจทย์ให้มาแล้ว)
นั่นคือมุมระหว่าง u กับ v เป็น 30° ดังนั้น จุดที่สัมผัส.. f(2) = (2)3 − 5(2)2 + 10(2) − 6 = 2
u ทํามุมกับแกน x เท่ากับ 15° หรือ 75° ก็ได้
ดังนัน้ สมการเส้นตรงคือ y = 2x − 2 ตอบ
ตอบ ข้อ 1.
(7) z ⋅ z = (a − bi)(a + bi) = a2 + b2 (12) f (x) = log1(x − 4) + x = 1 + x
10 25 x − 4 25
ดังนัน้ Re(z ⋅ z) = a2 + b2 ด้วย 1 1
f′(x) = − + แทนค่า a ตามในโจทย์ได้
และเนือ่ งจาก |z| = a2 + b2 (x − 4)2 25
24 1 1
เราจึงหา Re(z ⋅ z) ได้โดย |z|2 f′(a) = − = − + → (a − 4)2 = 1
25 (a − 4)2 25
จากโจทย์ ใส่คา่ สัมบูรณ์ได้ (13)|z|3 (5) = (130)|z|
ดังนัน้ a = 3 หรือ 5 ... แต่ในโจทย์มี log จึงมี
(เพราะ | z | = |z| เสมอ) ... เงื่อนไขทําให้ x > 4 เท่านั้น ตอบ 1 จํานวน
จากนั้นย้ายข้างได้ |z|2 = 2 ตอบ 2 4 2
(13) 1∫ x 2+ 1 dx = 1∫ (x2 + x−2) dx
3
(8) จากสมการในโจทย์ z = −5 + 2 i x
2
3
3
ดังนัน้ |z| = | − 5 + 2 i| = 27 ⎡x 1⎤ ⎛8 1⎞ ⎛ 1 ⎞ 5
= ⎢ − ⎥ = ⎜ − ⎟ − ⎜ − 1⎟ = 2
⎣3 x⎦ 1 ⎝ 3 2⎠ ⎝ 3 ⎠ 6
แสดงว่าทุกๆ คําตอบย่อมมีขนาดเป็น |z| = 3 1 1

ตอบ z21 + z22 + z23 = 3 + 3 + 3 = 9 และ 0 ∫ (4 − x)2 dx = 0 ∫ (16 − 8 x + x) dx


1
(9) จาก F(2) = 3 จะได้ ⎡ 16 3 / 2 x2 ⎤ ⎛ 16 1 ⎞
= ⎢16x − x + ⎥ = ⎜ 16 − + ⎟
3 = (f(2))2 + 2(2) + 1 → f(2) = 2 ⎣ 3 2⎦ 0 ⎝ 3 2⎠
1
(โจทย์บอกว่า f(2) > 0 เท่านั้น) = 11 ดังนัน้ ตอบ 14
6
และจาก F′(x) = ( 1) 2 f(x) 2f′(x) + 2 3
⎛ x4
3
2 (f(x)) + 2x + 1 (14) ก. −1
∫ (x3 − 4x) dx = ⎜
⎝ 4

− 2x2 ⎟
⎠ −1
1 2 (2)(4) + 2
จะได้ F′(2) = ( ) = 3 ตอบ ⎛ 81 ⎞ ⎛1 ⎞
2 3 = ⎜ − 18 ⎟ − ⎜ − 2 ⎟ = 4
⎝4 ⎠ ⎝4 ⎠

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 605 โจทยทดสอบ ชุดที่ 1

ข. y = x3 − 4x 7/4 25/4 (20) ก. Δy = 2 Δx = 2 (2) = 4


มีจุดตัดแกน x ที่ 4 แสดงว่ากําไรเพิม่ 4,000 บาทเท่านั้น
0, 2, –2 ดังรูป (การคิด X, Y ทีเ่ ปลี่ยนแปลงไป จะไม่ขึ้นกับค่า c)
-2 -1 0 2 3 ข. ทราบค่า Y แล้วจะทํานายค่า X แบบนี้ ทําไม่ได้!
ตอบ ข้อ 4.
0 2 3
(21) ก. ∑ x = m ∑ y + cN → 0 = 6m + 4c
พื้นที่แรเงา =
−1
∫ f (x) dx − ∫ f (x) dx + ∫ f (x) dx
0 2
∑ xy = m ∑ y2 + c ∑ y → 14 = 30m + 6c
7 25
= − (−4) + = 12 ตารางหน่วย ตอบ ข้อ 1. แก้ระบบสมการได้ m=2/3 และ c=-1
4 4
4 ดังนัน้ ที่ y=1 จะได้ X̂ = (2/3)(3) − 1 = 1
(15) จาก f(x) = x − x จะได้ f′(x) = x3 − 1
4 ข. ∑ y = m ∑ x + cN → 6 = 0m + 4c
a2 a2 ∑ xy = m ∑ x2 + c ∑ x → 14 = 10m + 0c
ดังนัน้ −a
∫ (
f′′(x) dx = x3 − 1 ) −a
= a6 + a3
1
จะได้ m=1.4 และ c=1.5
จึงได้ a6 + a3 = − → 4a6 + 4a3 + 1 = 0 ดังนัน้ ที่ x=1 จะได้ Ŷ = 1.4 (1) + 1.5 = 2.9
4
1 ตอบ ข้อ 2.
→ (2a3 + 1)2 = 0 → a3 = −
2 (22) การเปรียบเทียบข้อมูลสองกลุ่ม ต้องเทียบด้วย
ความชัน ณ x=a คือ f′(a) ค่ามาตรฐาน (z) เท่านัน้ .. หาค่าเฉลี่ยเลขคณิตวิชา
1 3 คณิตศาสตร์ได้ 80 คะแนน และเคมี 78 คะแนน..
= a3 − 1 = − −1 = − ตอบ
2 2
6!
คณิตศาสตร์; z = 90 − 80 = 10 ≈ 1 กว่าๆ
(16) แบ่งเป็น 4,1,1 จะได้ × 3 ! = 90 8.6 8.6
4 !(1!)2 2 ! 90 − 78 12
เคมี; z = = ≈ ไม่ถึง 1
6! 14.2 14.2
แบ่งเป็น 3,2,1 จะได้ × 3 ! = 360
3 ! 2 ! 1! ตอบ เขาเรียนวิชาคณิตศาสตร์ได้ดีกว่าเคมี
6! (23) ถ้าให้ Y=โบนัส และ X=เงินเดือน จะได้
แบ่งเป็น 2,2,2 จะได้ × 3 ! = 90
(2 !)3 3 ! Y = 1000 + 2X ... ดังนัน
้ จากสมบัติของค่ากลาง
รวม 90+360+90 = 540 วิธี ตอบ และค่าการกระจาย จะได้
(17) ก. 2 ! 3 ! = 6 วิธี ก. Y = 1000 + 2X
2
(หาร 2 เพราะเป็นการจัดวงกลมแบบพลิกด้านได้) ข. sY = 2 sX → s2Y = 4 s2X ตอบ ข้อ 4.
ข. 2 ! 3 ! = 12 วิธี ตอบ ข้อ 3. (24) จาก P97.5 → A = 0.475 ทางขวา
(18) หยิบพร้อมกันให้ได้แต้มรวมเป็น 10 มีดังนี้.. xmax − X
จะได้ z = 1.960 = .....(1)
1,2,7 1,3,6 1,4,5 2,3,5 รวม 4 กรณี 20
4 4 1 และจาก P33 → A = 0.17 ทางซ้าย
ตอบ 10 = =
⎛ ⎞ 120 30 xmin − X
⎜3⎟ จะได้ z = −0.440 = .....(2)
⎝ ⎠ 20
(19) เส้นทีล่ ากขึ้นระหว่างจุดยอด 2 จุดในรูปสิบ (1)-(2); xmax − xmin = 39.2 + 8.8 = 48.0
เหลี่ยม จะมีทั้งหมด ⎛⎜ 10 ⎞
2 ⎟ = 45 เส้น ดังนัน้ พิสยั เท่ากับ 48.0 คะแนน ตอบ
⎝ ⎠
แต่ในจํานวนนี้เป็นด้าน (เส้นรอบรูป) อยู่ 10 เส้น (25) นักเรียนทีไ่ ด้ค่ามาตรฐาน
ดังนัน้ มีเส้นที่ไม่ใช่ด้าน อยู่ 45–10=35 เส้น ระหว่าง -1 และ 1 มีอยู่ 75%
0.375

แสดงว่าพื้นที่แรเงาในรูป
0.375

ให้หาความน่าจะเป็นทีเ่ ส้นนี้ไม่ผา่ นจุดศูนย์กลาง


ซึ่งเราพบว่า มีเส้นที่ผา่ นจุดศูนย์กลางอยู่ 5 เส้น มีฝั่งละ 37.5%
-1 0 1 z
ตอบ 35 − 5 = 6 50 − 40
35 7 คะแนนของนาย ก คิดเป็นค่า z = = 1
10
จึงคิดเป็นเปอร์เซ็นไทล์ที่ 50+37.5 = 87.5 ตอบ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 606 โจทยทดสอบ ชุดที่ 2

o¨·Â·´Êoº ªu´·Õè 2
(กุมภาพันธ์ 2548)
ตอนที่ 1 ข้อ 1 – 10 เป็นข้อสอบแบบอัตนัย
ข้อ 1 – 5 ข้อละ 2 คะแนน ข้อ 6 – 10 ข้อละ 3 คะแนน
(x − 1)2 (y − 2)2
1. กําหนดให้ P เป็นจุดๆ หนึ่งบนวงรี + = 1 ซึ่งมี F1 , F2 เป็นจุดโฟกัส
9 16
ถ้าระยะห่างระหว่างจุด P และจุดโฟกัสจุดหนึ่งของวงรีคือ 2 หน่วย แล้ว
˜1 ⋅ ˜
(PF PF2) sec (FPˆ
1 F2) มีค่าเท่ากับเท่าใด

2
2. ผลคูณของทุกคําตอบของสมการ x 2 (log x) = 10 x3 มีค่าเท่ากับเท่าใด

3. กําหนดให้รูปสามเหลี่ยม ABC มีด้าน BC ยาว 5 หน่วย ด้าน AC ยาว 8 หน่วย


ถ้ามุม B = arccos (12/13) − arcsin(−3/5) แล้วค่าของ 7 cosec A cos B เท่ากับเท่าใด

4. ถ้าสมการจุดประสงค์คือ P = 14x − 7y และอสมการข้อจํากัดคือ x + y < 12 ,


2x + 5y > 30 , 5x + 2y > 30 แล้ว ผลรวมของค่าสูงสุดและค่าต่ําสุดของ P เท่ากับเท่าใด

⎡ a11 a12 a13 ⎤ ⎡ 1 0 −1 1 0 0⎤ ⎡1 0 0 a11 a12 a13 ⎤


5. ให้เมตริกซ์ A = ⎢a21 a22 a23 ⎥ ถ้า ⎢0 1 1 0 1 0⎥ ~ ⎢0 1 0 a21 a22 a23 ⎥
⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣a31 a32 a33 ⎦ ⎣⎢ 1 −1 0 0 0 1 ⎦⎥ ⎣⎢0 0 1 a31 a32 a33 ⎦
แล้ว ค่าของ det (2 A2adj A) เท่ากับเท่าใด
2
⎛ z 2+ 7 i ⎞
6. ถ้า z = 2 − 3i แล้ว ค่าสัมบูรณ์ของ ⎜⎜ ⎟⎟ เท่ากับเท่าใด
⎝ z− 1 − i ⎠

7. ถ้าจํานวนเต็มที่มากที่สุดที่หาร 105 เหลือเศษ 3 และหาร 601 เหลือเศษ 6 นั้นหาร 353


เหลือเศษเท่ากับ a , และให้พหุนาม x 2+ bx + c หาร x 3− 2x 2− x − 2 เหลือเศษ 4 เมื่อ b, c เป็น
จํานวนจริง ดังนั้น a + b + c มีค่าเท่ากับเท่าใด

8. รหัสสินค้าจํานวน 6 หลักของบริษัทแห่งหนึ่งประกอบขึ้นจากเลข 0 ถึง 9 โดยสองหลักแรกระบุปี


ที่ผลิต (เช่น 48 แทน พ.ศ. 2548) และหลักสุดท้ายเป็นตัวเลขตรวจสอบความถูกต้อง ซึ่งได้มาจาก
หลักหน่วยของผลบวกของเลขในห้าหลักแรก บริษัทนี้จะสามารถตั้งรหัสสินค้าที่ผลิตในปี พ.ศ. 2548
ให้มีเลข 0 ไม่เกิน 2 หลัก ได้มากที่สุดกี่รหัส
9. ผลบวกของสัมประสิทธิ์ของทุกพจน์ และผลบวกของสัมประสิทธิ์ทวินามของทุกพจน์ ในการ
กระจาย (3a − 2b)7 มีค่าต่างกันอยู่เท่าใด

10. ถ้า B = {−2, −1, 1, 3, 4, 7} และ S = {A | A ⊂ B และ ( 1∉ A หรือ n (A) ∉ A ) }


แล้ว จํานวนสมาชิกของ S เท่ากับเท่าใด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 607 โจทยทดสอบ ชุดที่ 2

ตอนที่ 2 ข้อ 1 – 25 เป็นข้อสอบแบบปรนัย ข้อละ 3 คะแนน


1. กําหนดให้ P (x) เป็นพหุนามที่มีสัมประสิทธิ์เป็นจํานวนใดๆ และ a, b เป็นจํานวนจริง
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ถ้า P (a + b i) = 0 แสดงว่า x − a + b i เป็นตัวประกอบหนึ่งของ P (x)
2. หากสมการ P (x) = 0 มี a + b i เป็นคําตอบหนึ่งแล้ว a − b i จะเป็น
คําตอบของสมการนี้ด้วย
3. เมื่อ n เป็นจํานวนนับ สมการพหุนามกําลัง n ย่อมมี n คําตอบต่างๆ กัน
4. เมื่อ n เป็นจํานวนนับ รากที่ n ของจํานวน a + b i ย่อมมี n คําตอบต่างๆ กัน

2. ข้อความในข้อใดต่อไปนี้ผิด
1. ถ้า a, b, c เป็นจํานวนเต็มบวก ซึ่ง a| b และ a|c แล้ว
จะได้ว่า a หารผลรวมเชิงเส้นของ b และ c ลงตัวด้วย
2. ถ้า a, b, c เป็นจํานวนเต็มบวก ซึ่ง a| b หรือ a|c แล้ว
จะได้ว่า a หารผลคูณ bc ลงตัวด้วย
3. ถ้า a, b, n เป็นจํานวนเต็มบวก และ a| b n แล้ว จะได้ว่า a| b
4. ถ้า a, b, n เป็นจํานวนเต็มบวก และ a n | b แล้ว จะได้ว่า a| b

3
3. ถ้า f (x) และ g(x) เป็นฟังก์ชันซึ่งหาอนุพันธ์ได้ โดย f (2x + 1) = {[g (x 2+ 2)]2+ 1} และเส้น
สัมผัสโค้ง g (x) ที่ x = 3 มีสมการเป็น y = 3x − 8 แล้วอนุพันธ์ของ f (x) ที่ x = 3 อยู่ในเซตใด
ต่อไปนี้
1. {12, 18} 2. {24, 36} 3. {54, 72} 4. {84, 108}

4. ถ้า F1 และ F2 เป็นโฟกัสของไฮเพอร์โบลา x2 − 3y2 − 2x − 23 = 0


ระยะทางระหว่างเส้นตรงสองเส้นที่ทํามุม 60° กับแกน x และผ่าน F1 และ F2 ตามลําดับ
เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 4 2. 4 2 3. 4 3 4. 4 6

5. ให้ A, B, C เป็นจุดยอดของรูปสามเหลี่ยมใดๆ
˜| :|˜
จุด D อยู่บนด้าน BC โดยที่ |BD BC | = 3 : 4
พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ˜AB = 4 ˜AD − 3 AC
˜
ข. ถ้า |˜ ˜ 3 ˜ แล้ว มุม A มีขนาดประมาณ
AB | = | AC | = |AD| 120°
2
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
x2 − 6
6. จํานวนคําตอบที่เป็นจํานวนเต็มของอสมการ x+1 < < 5 เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
x
1. 5 2. 6 3. 8 4. 12

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 608 โจทยทดสอบ ชุดที่ 2

7. เส้นโค้งพาราโบลา x = ay 2+ 1 มีสมการเส้นสัมผัส ณ จุด (3, b) คือ x + 4y + c = 0 เมื่อ


a, b, c เป็นจํานวนจริง จะได้ว่า a + b + c มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −4 2. −2 3. 2 4. 4

8. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. ถ้าประพจน์ [(p ∧ q) → r)] ↔ (p ∨ q) มีค่าความจริงเป็นเท็จ
แล้ว (p → q) ∨ r มีค่าความจริงเป็นเท็จ
ข. นิเสธของข้อความ ∃y∀x [ Q (x, y) → P (x) ] คือ ∃x∀y [ Q (x, y) ∧ ~ P (x) ]
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด

9. กําหนดเอกภพสัมพัทธ์คือช่วงเปิด (1, 4) พิจารณาข้อความต่อไปนี้


ก. ประพจน์ ∀x [ x 2− 5x + 4 < 0 ] มีค่าความจริงเป็นจริง
ข. ประพจน์ ∃x [ 2x 3− 5x 2− 5x − 7 > 0 ] มีค่าความจริงเป็นจริง
ข้อใดต่อไปนี้ถูก
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
x 2− 5
10. กําหนดให้ f (x) = พิจารณาข้อความต่อไปนี้
x−3
ก. f เป็นฟังก์ชันลดในช่วง (1, 5) − {3} ข. อินเวอร์สของ f เป็นฟังก์ชัน
ข้อใดต่อไปนี้จริง
1. ก. ถูก และ ข. ถูก 2. ก. ถูก และ ข. ผิด
3. ก. ผิด และ ข. ถูก 4. ก. ผิด และ ข. ผิด
1
11. กําหนดให้ r = ln (1/3) ผลบวกของอนุกรมในข้อใดต่อไปนี้เท่ากับ
1+ r
∞ ∞ ∞ 1 ∞ (−1)n
1. ∑ rn 2. ∑ (−1)n r n 3. ∑ 4. ∑
n=0 n=0 n=0 r n+ 1
n=0 r n+ 1

12. ให้ f (x) = x3 + ax2 + bx + c เมื่อ a, b, c เป็นจํานวนจริง


ถ้า x − 1 หาร f (x) แล้วเหลือเศษ 2 และ i − 2 เป็นรากหนึ่งของสมการ f′(x) = 0 แล้ว
ค่าของ f (−1) เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −30 2. −26 3. −10 4. −26/3

13. กําหนดให้ f (x) = 9 − x 2 , g(x) = x2 + 5 ข้อใดต่อไปนี้ผิด


1. (f g)(x) = 4 − x2 เมื่อ x ∈ [−2, 2]
2. (g f)(x) = 14 − x 2 เมื่อ x ∈ [− 14, 14]
3. Rfog = [0, 2] และ Rgof = [ 5, 14]
4. f และ g เป็นฟังก์ชันต่อเนื่องบนช่วง [−3, 3]
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 609 โจทยทดสอบ ชุดที่ 2

14. ให้ S เป็นเซตคําตอบของอสมการ 1 − 11 e x > 9 + e 2x


ถ้า a และ b เป็นสมาชิกของ S ที่มีค่ามากที่สุดและน้อยที่สุด ตามลําดับ
แล้ว a − b เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. ln 1 2. ln 10 3. 2 ln 3 4. ln 11

15. กําหนดให้ θ ∈ [0, 2π]


ถ้า tan θ = 2 − sec θ แล้ว sin(
π + 2 θ) มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
2
7 7 7 7
1. 2. − 3. , −1 4. , −1, 1
25 25 25 25

16. กําหนดให้ y = f (x) เป็นฟังก์ชันพหุนามซึ่งมีค่าต่ําสุดสัมพัทธ์เท่ากับ 4 ที่จุดซึ่ง x=1


และมีเส้นตรง x + y + 3 = 0 เป็นเส้นสัมผัสกราฟที่จุด (a, −2)
1
ถ้า f (x) ⋅ g(x) = x 2 แล้ว ค่าของ −1
∫ g′′(x) dx เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
3 3 3 3
1. 2. 3. − 4. −
2 4 4 2

17. กําหนดตารางแจกแจงความถี่ของคะแนนสอบของนักเรียนห้องหนึ่งเป็นดังนี้
คะแนน จํานวนนักเรียน
30 – 39 5
40 – 49 10
50 – 59 a
60 – 69 b
70 – 79 2
เมื่อสุ่มเลือกนักเรียนกลุ่มนี้มาหนึ่งคน ความน่าจะเป็นที่นักเรียนคนนี้ได้คะแนนน้อยกว่าและมากกว่า
49.5 คะแนน มีค่าเท่ากัน และคะแนน 59.5 คิดเป็นเดไซล์ที่ 8 ดังนั้นส่วนเบี่ยงเบนควอร์ไทล์ของ
คะแนนชุดนี้เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 0.01 2. 7.92 3. 10.01 4. 49.92
5
18. ให้ x1, x2 , ..., x5 และ ∑ (x i − 5)2 =
เป็นข้อมูลชุดหนึ่งซึ่งมีค่าเฉลี่ยเลขคณิตเท่ากับ 8 75
i=1

ดังนั้นหากมีข้อมูล 2 เพิ่มอีกหนึ่งจํานวน ความแปรปรวนจะเท่ากับข้อใดต่อไปนี้


1. 5 2. 10 3. 39 4. 52

19. ตารางแสดงความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันเส้นตรง ระหว่างผลการเรียนที่ได้กับจํานวนชั่วโมงที่ใช้


ทบทวนบทเรียนของนักเรียน 6 คนในห้องเรียนหนึ่ง เป็นดังนี้
จํานวนชั่วโมงที่ใช้ 3 4 7 8 10 10
ผลการเรียนที่ได้ 1 1 2 2 3 3
ถ้านักเรียนคนหนึ่งในห้องนั้นได้ผลการเรียน 4 จะทํานายได้ว่าใช้เวลาทบทวนบทเรียนกี่ชั่วโมง
1. 13.50 2. 14.50 3. 14.75 4. 15.25

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 610 โจทยทดสอบ ชุดที่ 2

20. กําหนดให้ M ij คือเมตริกซ์ที่ได้จากการตัดแถวที่ i และหลักที่ j ของเมตริกซ์ A ออก


⎡ −13 −14 a ⎤
⎡ −1 −1⎤ ⎡ d −1⎤
ถ้า adj A = ⎢ −5 b −1 ⎥ M 22 = ⎢ และ M 31 = ⎢
⎣c 3⎦
⎥ ⎥
⎢ ⎥ ⎣ −1 2 ⎦
⎣ 17 11 −8⎦
แล้ว det ((2A)−1)มีค่าเท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. −1/152 2. −1/38 3. −2/19 4. −8/19

21. กําหนดให้ S คือเซตของคู่อันดับดังนี้ {(x1, y1), (x2 , y2),(x3 , y3)}


และ A = {0, 1, 2} ความน่าจะเป็นในการสุ่มหยิบ xi และ yi ทั้งหมดจากเซต A
และได้ S เป็นฟังก์ชันจาก A ไป A เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 2 2. 4 3. 2 4. 4
9 9 81 81

22. กล่องใบหนึ่งบรรจุสลากที่แต่ละใบเขียนหมายเลขกํากับไว้ เป็นจํานวนสามหลักซึ่งแต่ละหลักไม่


ซ้ํากันเลยครบทุกแบบที่เป็นไปได้ หากสุ่มหยิบสลากหนึ่งใบจากกล่อง ความน่าจะเป็นที่ได้จํานวนซึ่ง
ประกอบด้วยเลขโดดคี่เรียงกันตามลําดับน้อยไปมากหรือมากไปน้อย เท่ากับเท่าใด
1. 1 2. 1 3. 1 4. 1
240 216 120 108

4
23. ค่าของ 0
∫( x (8 − x) − x (4 − x) ) dx อยู่ในช่วงต่อไปนี้
1. [0, 2) 2. [2, 6) 3. [6, 12) 4. [12, 20)

5
24. ถ้า A เป็นเซตคําตอบของสมการ ∑ z k = 0
k =0

z
และ B เป็นเซตคําตอบของระบบสมการ = 1 และ z = 1
z+1
แล้ว จํานวนสมาชิกของ A ∪B เท่ากับข้อใดต่อไปนี้
1. 5 2. 6 3. 7 4. 8

3 1
25. ถ้า vn = 3− 2
i + j เมื่อ n = 1, 2, 3, ..., 100
n n
99
แล้วค่าของ ∑ (vn + 1 − vn) ใกล้เคียงกับข้อใดต่อไปนี้มากที่สุด
n=1

1. 1.414 2. 1.571 3. 1.732 4. 1.995

เฉลยคําตอบ
ตอนที่ 1 (1) 12 (2) 100 (3) 6.6 (4) 84 (5) 0.5 (6) 10 (7) 16 (8) 996 (9) 127
(10) 53
ตอนที่ 2 (1) 4 (2) 3 (3) 3 (4) 4 (5) 1 (6) 2 (7) 3 (8) 4 (9) 1
(10) 2 (11) 4 (12) 1 (13) 2 (14) 4 (15) 1 (16) 3 (17) 2 (18) 2
(19) 1 (20) 1 (21) 1 (22) 4 (23) 3 (24) 1 (25) 4
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 611 โจทยทดสอบ ชุดที่ 2

เฉลยวิธีคิด
ตอนที่ 1 ⎡ 1 0 −1 ⎤ ⎡ ⎤
(1) โจทย์ถาม (PF˜⋅˜ ˆF)
PF ) sec (FP
(5) ⎢0 1 1 I ⎥ ~⎢ I A ⎥
1 2 1 2 ⎢⎣ 1 −1 0 ⎥⎦ ⎢⎣ ⎦⎥
= |˜ ˜| cos Pˆ sec Pˆ
PF | ⋅ |PF
1 2
⎡ 1 0 −1⎤
= |˜
PF | ⋅ | ˜
1 PF | 2
แปลว่า ⎢0 1 1 ⎥ = A −1
⎢⎣ 1 −1 0 ⎥⎦
ซึ่งสามารถใช้สมบัติที่วา่ ระยะทางจากจุดๆ หนึง่ ไปยัง
จุดโฟกัสทั้งสอง บวกกันแล้วเป็นค่าคงที่ = 2a เสมอ โดยที่ 01 01 −11 = 2 → det(A) = 1
วงรีที่โจทย์ให้มามีค่า a = 4 ดังนั้น 2a = 8 1 −1 0 2
ถ้าระยะทางหนึง่ เป็น 2 หน่วย อีกระยะทางหนึง่ ย่อม โจทย์ถาม 2 n (det(A))2 (det(A))n − 1
เท่ากับ 8–2=6 หน่วย ตอบ 2 ⋅ 6 = 12 = 23 (1/2)2 (1/2)3 − 1 = 0.5 ตอบ
2 (log x)2 3
(2) จากโจทย์จะได้ log(x ) = log(10 x ) 2

→ 2 (log x)2 log(x) = log 10 + log(x3) (6) จาก z + 7 i = (4 − 12 i − 9) + 7 i = −5 − 5 i


z− 1 − i (2 + 3 i) − 1 − i 1 + 2i
ให้ log(x) = A จะได้ 2 2
⎛ 2
จะได้ ⎜⎜ z + 7 i ⎟⎟ = ⎛⎜⎜ 5 2 ⎞⎟⎟ = 25 ⋅ 2 = 10 ตอบ

→ 2A3 = 1 + 3A → 2A3 − 3A − 1 = 0
⎝ z− 1 − i⎠ ⎝ 5 ⎠ 5
→ (A − 1)(2A2 − 2A − 1) = 0
1± 3 (7) หาร 105 เหลือเศษ 3 แปลว่าหาร 102 ลงตัว
ดังนัน้ A = 1 หรือ หาร 601 เหลือเศษ 6 แปลว่าหาร 595 ลงตัว
2
1+ 3 1− 3 ซึ่ง 102 = 2 × 3 × 17 , 595 = 5 × 7 × 17
จะได้ x = 10 หรือ 10 2 หรือ 10 2 แสดงว่า จํานวนเต็มที่มากทีส่ ดุ นัน้ คือ 17 (ห.ร.ม.)
ซึ่งผลคูณของทุกคําตอบ เท่ากับ 100 ตอบ และ 17 หาร 353 เหลือเศษ a = 13
(3) cos B = cos(arccos (12/ 13) − arcsin (−3/5))
ต่อมา พหุนามหาร x 3− 2x 2− x − 2 เหลือเศษ 4
⎛ 12 ⎞ ⎛ 4 ⎞ ⎛ 5 ⎞ ⎛ −3 ⎞ 33
= ⎜ ⎟⎜ ⎟ + ⎜ ⎟⎜ ⎟ = ก็ย่อมแปลว่าหาร x 3− 2x 2− x − 6 ลงตัว
⎝ 13 ⎠ ⎝ 5 ⎠ ⎝ 13 ⎠ ⎝ 5 ⎠ 65
ต่อมา หามุม A ได้จากกฎของไซน์ในรูปสามเหลี่ยม ซึ่ง x 3− 2x 2− x − 6 = (x − 3)(x2 + x + 2) แสดงว่า
คือ BC = AC → 5 = 8 พหุนาม x 2+ bx + c นั้นคือ x2 + x + 2 (เพราะเป็น
sin A sin B sin A sin B
พหุนามกําลังสองที่มีสัมประสิทธิ์เป็นจํานวนจริง)
จะได้ cosec A = 8 ตอบ a+b+c = 13+1+2 = 16
5 sin B
ซึ่ง sin B = sin(arccos (12/ 13) − arcsin (−3/5)) (8) ควรคิ ดโดยวิธีลบออก คือจํานวนรหัสทัง้ หมด ลบ
⎛ 5 ⎞ ⎛ 4 ⎞ ⎛ 12 ⎞ ⎛ −3 ⎞ 56
ด้วย จํานวนรหัสที่มีเลข 0 เกิน 2 หลัก..
= ⎜ ⎟⎜ ⎟ − ⎜ ⎟⎜ ⎟ = สมมติวา่ รหัสอยู่ในรูป 4 8 A B C S
⎝ 13 ⎠ ⎝ 5 ⎠ ⎝ 13 ⎠ ⎝ 5 ⎠ 65
จํานวนรหัสทัง้ หมด 10 × 10 × 10 × 1 = 1000 แบบ
ดังนัน้ cosec A = ⎛⎜ 8 ⎞⎟ ⎛⎜ 65 ⎞⎟ = 13 (หลัก S เป็น 1 แบบเพราะถูกสร้างจากหลักหน่วย
⎝ 5 ⎠ ⎝ 56 ⎠ 7
ของผลบวก 4,8,A,B,C เท่านั้น เราเลือกเองไม่ได้)
ตอบ 7 cosec A cos B = 7 ⎛⎜ 13 ⎞⎟ ⎛⎜ 33 ⎞⎟ = 6.6 จํ านวนรหัสที่มเี ลข 0 เกิน 2 หลัก
⎝ 7 ⎠ ⎝ 65 ⎠
(4) Pmax เกิดที่ (10,2) กรณี แรก; A,B,C เป็น 0 ทุกหลัก (จะได้ S เป็น 2)
Pmax = 126
มีอยู่ 1 แบบ (คือ “0002”)
(2,10) กรณี ที่สอง; A,B,C เป็น 0 เพียง 2 หลัก จะต้อง
และ Pmin เกิดที่ (2,10) บั ง คั บให้ S เป็น 0 ด้วย เพือ่ ให้มีเลข 0 เกิน 2 หลัก
Pmin = −42 (30/7,30/7) (10,2) (แสดงว่า A,B,C อีก 1 หลักที่เหลือ ต้องเป็นเลข 8)
ตอบ ผลรวม = 84 มีอยู่ ⎜⎛ 23 ⎟⎞ = 3 แบบ (คือ “0080, 0800, 8000”)
⎝ ⎠
ส่วนกรณีที่ A,B,C,S เป็น 0 ทุกหลัก เป็นไปไม่ได้
ตอบ 1000 − 4 = 996 รหัส

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 612 โจทยทดสอบ ชุดที่ 2

(9) เนื่องจาก (3a − 2b)7 = (4) (x2 − 2x + 1) − 3(y2) = 23 + 1

()
7
0
7 0
(3a) (−2b) +
7
1 () 6 1
(3a) (−2b) + ... +
7
7 ()0
(3a) (−2b)
7
→ (x − 1)2 − 3y2 = 24 →
(x − 1)2
24

y2
8
= 1

ผลบวกของสัมประสิทธิ์ คือ อ้อมแกน x, C(h, k) = (1, 0), c = 24 + 8 = 4 2


⎛ 7 ⎞ (3)7(−2)0 + ⎛ 7 ⎞ (3)6(−2)1 + ... + ⎛ 7 ⎞ (3)0(−2)7
⎜0⎟
⎝ ⎠
⎜ 1⎟
⎝ ⎠
⎜0⎟
⎝ ⎠ ∴ F (1 ± 4 2, 0) โจทย์ให้หาระยะระหว่างเส้นตรงที่
ซึ่งหาค่าได้โดยแทน a และ b ด้วย 1 ในสมการแรก ผ่านสองจุดนี้ โดยทํามุม 60°
ได้ผลลัพธ์เป็น (3(1) − 2(1))7 = 17 = 1 กับแกน x ดังรูป
8 2
ส่วนผลบวกของสัมประสิทธิ์ทวินาม เท่ากับ ∴ d = (8 2) sin 60°
= 4 6 หน่วย ตอบ
d
⎛ 7 ⎞ + ⎛ 7 ⎞ + ⎛ 7 ⎞ + ⎛ 7 ⎞ + ... + ⎛ 7 ⎞ = 27 = 128
⎜0⎟ ⎜ 1 ⎟ ⎜2⎟ ⎜ 3⎟ ⎜7⎟
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ (5) ก. ใช้สตู รการแบ่งเวกเตอร์
3˜AC + 1 ˜
(สามารถพิสูจน์ได้โดยแทนค่า 3a=1 และ -2b=1) A C
˜AD =
AB
1
ตอบ 128–1 = 127 4
(10) ในโจทย์มีคําว่า “หรือ” คิดโดยตรงยาก ควรใช้ ดังนัน้ ˜ AB = 4 ˜ AD − 3 ˜
D
AC
3
AB | = | ˜
วิธีลบออก คือจํานวนสับเซตของ B ทุกแบบ ลบด้วย ข. ให้ |˜ AC | = a
แบบที่ไม่ต้องการ นั่นคือ “ 1 ∈ A และ n(A) ∈ A ” ˜ 2 B
* จํานวนสับเซตของ B ทุกแบบ = 26 = 64 แบบ จะได้ | AD | = 3 a
* จํานวนแบบที่ “ 1 ∈ A และ n(A) ∈ A ” จากข้อ ก. เราทราบว่า ˜ AB + 3 ˜ AC = 4 ˜ AD
กรณี A มีสมาชิก 0 ตัว (คือเซตว่าง) เป็นไปไม่ได้ คิดเฉพาะขนาดได้ดังนี้..
กรณี A มีสมาชิก 1 ตัว มี 1 แบบ คือ {1} 2
a2 + (3a)2 + 2 (a)(3a) cos A = 4 ( a)
กรณี A มีสมาชิก 2 ตัว เป็นไปไม่ได้ 3
กรณี A มีสมาชิก 3 ตัว มี 4 แบบ คือ {1,3,?} 2 2 64 2 13
→ 10a + 6a cos A = a → cos A = −
9 27
กรณี A มีสมาชิก 4 ตัว มี 6 แบบ คือ {1,4,?,?}
กรณี A มีสมาชิก 5 หรือ 6 ตัว เป็นไปไม่ได้ เนื่องจาก cos A มีค่าประมาณ -0.5 แสดงว่ามุม A
ตอบ 64 − 1 − 4 − 6 = 53 มี ขนาดประมาณ 120° ตอบ ข้อ 1.
x2 − 6
(6) ซีกซ้าย; x + 1 <
x
ตอนที่ 2 x2 − 6 x2 + x − x2 + 6
(1) ข้อ 1. ผิด ต้องแก้เป็น x − (a + b i) → x + 1− <0 → <0
x x
ข้อ 2. ผิด กฎนีใ้ ช้ได้เมื่อ P(x) มีสัมประสิทธิ์ทกุ ตัว → x + 6 < 0 ได้ช่วงคําตอบ [–6,0)
เป็นจํานวนจริงเท่านั้น (สัมประสิทธิต์ ิด i จะใช้ไม่ได้) x
ข้อ 3. ผิด มี n คําตอบจริง แต่บางคําตอบอาจซ้ํากัน ซีกขวา; x2 − 6 < 5
ข้อ 4. ถูก (เพราะ n คําตอบนั้นจะไม่เหมือนกันเลย) x
2 2
(2) ข้อ 1. ถูก เป็นกฎทีค่ วรทราบ (ผลรวมเชิงเส้น → x − 6 − 5 < 0 → x − 5x − 6 < 0
ของ b, c คือ bx+cy เมื่อ x, y เป็นจํานวนเต็มใดๆ) x x
(x − 6)(x + 1)
ข้อ 2. ถูก ถ้าหารตัวใดตัวหนึง่ ได้ ย่อมหารผลคูณได้ → < 0 ได้คาํ ตอบ (−∞, −1] ∪ (0, 6]
x
ข้อ 3. ผิด เช่น 4 | 6 2 แต่ 4 |/ 6 นําสองส่วนมาอินเตอร์เซค ได้ผลลัพธ์เป็น [–6,–1]
ข้อ 4. ถูก ถ้าหลายตัวหารได้ ตัวเดียวย่อมหารได้ ตอบ มีจาํ นวนเต็มที่เป็นคําตอบ 6 จํานวน
(3) เส้นสัมผัส g(x) ที่ x=3 คือ y=3x-8 แปลว่า
g(3) = 3(3)-8 = 1 และ g’(3)=3
3
... จากนัน้ f (2x + 1) = {[g (x 2+ 2)] 2+ 1} จะได้
2
f′(2x + 1) ⋅ (2) = 3 { [g (x 2+ 2)] 2+ 1} ⋅ 2 [g (x 2+ 2)]
⋅ g′′(x 2+ 2) ⋅ (2x)
แทน x ด้วย 1 ตลอดสมการ ได้เป็น
2
f′(3) ⋅ (2) = 3 { [g (3)] 2+ 1} ⋅ 2 [g (3)] ⋅ g′′(3) ⋅ (2)
2
→ f′(3) = 3 { [1] 2+ 1} ⋅ 2 [1] ⋅ 3 → f′(3) = 72 ตอบ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 613 โจทยทดสอบ ชุดที่ 2

(7) จัดรูปสมการพาราโบลาเป็น y = ±
x−1 (11) ข้อ 1. 1 + r + r2 +…
a ข้อ 2. 1 − r + r2 − …
dy 1 1 log 3 log 3
พาราโบลานี้จะมีความชัน = ± ln = − ln 3 = − ≈ − ≈ −1. กว่าๆ
dx 2 a x−1 3 log e log 2.7
แต่สมการเส้นตรง x + 4y + c = 0 มีความชัน -1/4 ดังนัน้ ข้อ 1. กับ 2. ผิดแน่นอน เพราะเป็นอนุกรม
แสดงว่าพาราโบลามีความชัน -1/4 ณ จุดที่ x=3 อนันต์ที่มีอตั ราส่วนร่วมน้อยกว่า –1 หรือมากกว่า 1
dy 1 1 ซึ ่งไม่สามารถหาผลบวกถึงอนันต์ได้
แทนค่า = − = − → a = 2
dx 4 2 a 3−1
ข้อ 3. 1 + 12 + 13 + … = (1 / r) = 1
(ต้องใช้พาราโบลาซีกที่เป็นเครือ่ งหมายลบจึงคิดได้) r r r 1 − (1 / r) r − 1

ดังนัน้ y = − x−1
และค่า b = − 3−1
= −1 ข้อ 4. − 2 + 3 − … = (1 / r) = 1
1 1 1
2 2 r r r 1 + (1 / r) 1+r
ส่วนค่า c หาจาก 3 + 4 (−1) + c = 0 → c = 1 ตอบ ข้ อ 4.
ตอบ a+b+c = 2 (12) f(x) เป็นพหุนามดีกรีสาม แสดงว่า f’(x) เป็น
(8) ก. เชือ่ มด้วยเครื่องหมาย “ก็ต่อเมือ่ ” มีเท็จได้ 2 พหุนามดีกรีสอง ซึ่งโจทย์บอกว่า i − 2 เป็นรากหนึ่ง
กรณี คือ T,F และ F,T สมมติว่าคิดแบบ T,F จะได้.. (เป็นคําตอบหนึง่ ) ของสมการ f′(x) = 0 แสดงว่า
[(p ∧ q) → r)] ↔ (p ∨ q) − i − 2 เป็นอีกคําตอบหนึ่ง จะได้
F f′(x) = k (x − (i − 2))(x − (− i − 2)) = k (x2 + 4x + 5)
T F
F F ? F F 3

(พบว่า r จะเป็นจริงหรือเท็จก็ได้) ดังนัน้ อินทิเกรตได้ f (x) = k (x + 2x2 + 5x + c1)


3
คําถามคือ (p → q) ∨ r จะเป็นเท็จเสมอหรือไม่ แต่ในโจทย์ให้สัมประสิทธิห์ น้าสุดเป็น 1 แสดงว่า k=3
ลองแทน p เป็นเท็จ และ q เป็นเท็จ ได้ผลเป็น นั่นเอง.. จึงได้ f (x) = x3 + 6x2 + 15x + c
T ∨ r ซึ่งเป็นจริงเสมอ ดังนัน ้ ก. ผิด ต่อมา หาค่า c ได้จากประโยค x-1 หาร f(x) เหลือ
ข. ในวงเล็บถูกต้องแล้ว แต่ผิดทีต่ วั บ่งปริมาณ ต้อง เศษ 2 หมายความว่า f(1)=2 (จากทฤษฎีเศษ)
เป็น ∀y∃x (สลับที่ไม่ได้) ตอบ ข้อ 4. 2 = (1)3 + 6(1)2 + 15(1) + c → c = −20
(9) ก. จะได้เป็น ∀x [ (x − 4)(x − 1) < 0 ] ตอบ f (−1) = (−1)3 + 6(−1)2 + 15(−1) − 20 = −30
นั่นคือ ∀x [ 1 < x < 4 ] ...ซึ่งทุกค่าในเอกภพ (13) 1. fog = 9 − g2 = 9 − (x2 + 5) = 4 − x2
สัมพัทธ์ก็ให้ผลเป็นจริงตามเงือ่ นไขนี้ ดังนัน้ ก. ถูก หาโดเมน; เนื่องจาก 9 − g2 นั้น 9 − g2 > 0
ข. จะได้ ∃x [ (2x − 7)(x 2+ x + 1) > 0 ] เท่านั้น จึงได้วา่ −3 < g < 3 นั่นคือ
ซึ่งพจน์ (x 2+ x + 1) แยกตัวประกอบไม่ได้ และจะมี −3 < x2 + 5 < 3 → 0 < x2 + 5 < 9
ค่าเป็นบวกเสมอ จึงตัดทิ้งได้ ไม่มีผลต่ออสมการ → 0 < x2 < 4 → −2 < x < 2 ดังนั้น ก. ถูก
..กลายเป็น ∃x [ 2x − 7 > 0 ] นั่นคือ 2 2 2
∃x [ x > 3.5 ] ซึ่งพบว่ามี x บางค่าตรงตามนีจ ้ ริง 2. gof = f + 5 = 9 − x + 5 = 14 − x
ตอบ ข้อ 1. หาโดเมน; เนื่องจาก f2 + 5 นั้น f เป็นอะไรก็ได้
2 ดังนัน้ 9 − x2 เป็นอะไรก็ได้ จึงได้ −3 < x < 3
(10) f′(x) = (x − 3)(2x) − (x2 − 5)(1)
(x − 3) สรุป ข้อ 2. ผิด เพราะโดเมนต้องเป็น [-3,3]
2
x − 6x + 5 (x − 1)(x − 5) 3. fog; จาก x2 + 5 > 5 → g > 5
= 2
= 2
(x − 3) (x − 3)
จึงทําให้ g2 > 5 → 9 − g2 < 4
ค่าวิกฤตคือ x=1 และ 5
→ 0 < 9 − g2 < 2 สรุป Rfog = [0, 2]
โดยที่ x=3 นั้นความชัน
หาค่าไม่ได้.. (5,10) gof; จาก x2 > 0 → 9 − x2 < 9
(1,2)
จึงทําให้ 0 < f < 3 → 5 < f2 + 5 < 14
ลองแทน x ต่างๆ และ
3 → 5 < f2 + 5 < 14 สรุป Rgof = [ 5, 14]
เขียนกราฟได้ดังรูป
ก. เป็นฟังก์ชันลดในช่วง (1, 3) ∪ (3, 5) ..ถูก 4. ถูก เพราะช่วง [-3,3] ตลอดทัง้ ช่วงอยู่ในโดเมน
ข. ผิด เพราะ f ไม่เป็นฟังก์ชัน 1-1 ตอบ ข้อ 2. ของ f กับ g และก็ไม่มีค่า x ใดที่ฟงั ก์ชันไม่นิยาม
(เช่นทําให้มีสว่ นเป็น 0)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 614 โจทยทดสอบ ชุดที่ 2

(14) ให้ ex = A จะได้ |1 − 11 A | > 9 + A2 (17) ประโยค “ความน่าจะเป็นทีน่ ักเรียนคนนี้ได้


กรณีแรก ถ้า A > 1 จะทําให้ในค่าสัมบูรณ์ตดิ ลบ คะแนนน้อยกว่าและมากกว่า 49.5 คะแนน มีค่า
11 เท่ากัน” แปลว่า 49.5 คือมัธยฐานนัน่ เอง (มีจํานวน
ซึ่งถอดค่าสัมบูรณ์ได้ 11 A − 1 > 9 + A2 คนที่ได้มากกว่าและน้อยกว่าอยู่เท่ากัน)
→ A2 − 11A + 10 < 0 → (A − 11)(A − 1) < 0 ซึ่ง 49.5 นั้นเป็นขอบของชัน้ พอดี
ดังนัน้ 1 < A < 11 → 1 < e < 11 x แสดงว่ า 5+10=a+b+2 นัน่ คือ a+b=13 .....(1)
→ ln 1 < x < ln 11 ช่วงคําตอบคือ [ln1,ln11] ประโยค “คะแนน 59.5 คิดเป็นเดไซล์ที่ 8” และ
59.5 ก็เป็นขอบของชัน้ พอดี แสดงว่า
กรณีที่สอง ถ้า 0 < A < 1 จะทําให้ในค่าสัมบูรณ์ 5+10+a = 4(b+2) นั่นคือ 4b-a=7 .....(2)
11
เป็นศูนย์หรือเป็นบวก ซึ่งถอดได้ 1 − 11 A > 9 + A2 แก้ระบบสมการได้ a=9 และ b=4
→ A2 + 11A + 8 < 0
นักเรียนกลุ่มนี้มี 5+10+9+4+2=30 คน
หาส่วนเบี่ยงเบนควอร์ไทล์..
ดังนัน้ −11 − 89 < A < −11 + 89 Q 3 อยู่ตาํ แหน่งที่ (3/4)(30) = 22.5
2 2
แต่ช่วงคําตอบที่ได้นี้ผดิ จากเงือ่ นไขแรก (เพราะได้ค่า Q3 = 49.5 + 10 ⎛⎜ 22.59− 15 ⎞⎟ = 57.83
⎝ ⎠
A ติดลบตลอดทัง้ ช่วง) กรณีนจี้ ึงไม่มีคําตอบ
ตอบ a − b = ln 11 − ln 1 = ln 11 Q1 อยู่ตาํ แหน่งที่ (1/4)(30) = 7.5
⎛ 7.5 − 5 ⎞
(15) นํา cos x คูณสองข้างของสมการ จะได้ Q3 = 39.5 + 10 ⎜ ⎟ = 42
⎝ 10 ⎠
sin x = 2 cos x − 1 ..... (1)
ตอบ Q3 − Q1 = 57.83 − 42 = 7.92
แต่ sin2 x + cos2 x = 1 ..... (2) 2 2
แทน sin x จาก (1) ลงใน (2) (18) X = 8 → ∑ x = 8 ⋅ 5 = 40
แก้สมการได้ cos x = 0 หรือ 4/5 และจาก ∑ (x − 5)2 = ∑ x2 − 10 ∑ x + ∑ 25
แต่ในโจทย์มีคาํ ว่า tan x กับ sec x ดังนัน้ จะได้ ∑ x2 − 10 (40) + 125 = 350 → ∑ x2 = 350
cos x = 0 ไม่ได้! ..ต้องเป็น cos x = 4/5 เท่านัน ้ ถ้ามีข้อมูล 2 มาเพิ่มอีกจํานวน จะได้;
π
โจทย์ถาม sin ( + 2 θ) = cos 2 θ 42
2 ∑ x = 40 + 2 = 42 → X = = 7
6
= 2 cos2 θ − 1 = 2 (16/25) − 1 = 7/25 ตอบ และ ∑ x2 = 350 + 22 = 354
(16) ประโยค “ค่าต่าํ สุดสัมพัทธ์เท่ากับ 4 ที่จดุ ซึง่ 2
ดังนัน้ s2 = ∑ x − X2 = 354 − (7)2 = 10 ตอบ
x=1” แปลว่า f(1)=4 และ f’(1)=0 N 6
ประโยค “เส้นตรง x+y+3=0 เป็นเส้นสัมผัสกราฟที่ (19) ให้จํานวนชั่วโมงเป็น Y และผลการเรียนเป็น X
จุด (a,-2)” ทําให้หาค่า a ได้จาก a + (−2) + 3 = 0 จะได้ ∑ y = m ∑ x + cN → 42 = 12m + 6c
ดังนัน้ a = −1 ..นั่นคือ f(-1)=-2 ∑ xy = m ∑ x2 + c ∑ x → 97 = 28m + 12c
และเมื่อพิจารณาความชัน จะได้ f’(-1)=-1 แก้ระบบสมการได้ m=3.25 และ c=0.5
2
โจทย์กาํ หนด f (x) ⋅ g (x) = x 2 → g (x) = x ดังนัน้ ที่ x=4 จะได้ Ŷ = 3.25 (4) + 0.5 = 13.5
f (x)
ตอบ ข้อ 1.
f (x) ⋅ (2x) − x2 ⋅ f′(x) (20) นํา M22 และ M31 มาประกอบกันได้เป็น
→ g(x)
′ =
(f (x))2 ⎡ −1 d −1⎤ ⎡ −13 −14 a ⎤
1 A = ⎢ • −1 2 ⎥ และเรามี adj A = ⎢ −5 b −1 ⎥
และโจทย์ให้หา −1
∫ g′′(x) dx = g(1′ ) − g(′ −1) ⎢⎣ c • 3 ⎥⎦ ⎢⎣ 17 11 −8⎥⎦

f (1) ⋅ (2) − f′(1) 8 1 ⎡det(A) 0 0 ⎤


แทนค่าได้ดังนี้ g(1
′ )= = = จึงใช้สมบัติ (adj A) ⋅ A = ⎢ 0 det(A) 0 ⎥
(f (1))2 16 2 ⎣⎢ 0 0 det(A)⎦⎥
f (−1) ⋅ (−2) − f′(−1) 5 หา det(A) ได้จากแถวที่ 3 ของ adjA คูณกับหลักที่
g(
′ −1) = =
(f (−1))2 4
3 ของ A นั่นคือ (17)(−1) + (11)(2) + (−8)(3) = −19
1 5 3
ตอบ −
2 4
= −
4 โจทย์ถาม det((2A)−1) = det( 1 A −1)
2
1 1 1
= ( )3 ( )= − ตอบ
2 −19 152

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 615 โจทยทดสอบ ชุดที่ 2

(21) วิธที ั้งหมดคือ หยิบ xi กับ yi เป็น 0, 1, หรือ (24) A; จาก 1 + z + z2 + z3 + z4 + z5 = 0


2 ก็ได้ เป็นจํานวน 6 ครั้ง (ซ้ํากันอย่างไรก็ได้) 6
จัดรูปอนุกรมเรขาคณิตได้เป็น z − 1 = 0
ได้ทั้งหมด 3 ⋅ 3 ⋅ 3 ⋅ 3 ⋅ 3 ⋅ 3 = 36 แบบ z−1
วิธีทตี่ อ้ งการคือ หยิบ xi ได้เลข 0, 1, 2 อย่างละตัว ดังนัน้ คําตอบของสมการคือค่า z ทีท่ ําให้ z6 = 1
พอดี (3! แบบ) และหยิบ yi เป็นเลขใดก็ได้ (ซ้ํากัน เราหาคําตอบทัง้ 6 ได้ โดยอาศัยรูปเชิงขัว้
ได้) นั่นคือได้ทั้งหมด 3 ! ⋅ 3 ⋅ 3 ⋅ 3 = 2 ⋅ 34 แบบ ได้เป็น z = −1 , ± 1 ± 3 i
2 2
2 ⋅ 34 2
ดังนัน้ ความน่าจะเป็น = = ตอบ (เหลือ 5 คําตอบเพราะ z ห้ามเป็น 1)
36 9
(22) จํานวนทัง้ หมด = 9 ⋅ 9 ⋅ 8 จํานวน B; จาก z = 1 → a2 + b2 = 1
(ขึ้นต้นด้วยเลข 0 ไม่ได้ ขัน้ ตอนแรกจึงเป็น 9 วิธ)ี และเนือ่ งจาก z = 1 นําไปแทนในสมการแรก จะ
ส่วนจํานวนทีต่ อ้ งการ ได้แก่ 135, 357, 579 และ ได้ว่า z + 1 = 1 → (a + 1)2 + b2 = 1
กลับด้าน (มากไปน้อย) ได้อีก รวม 6 จํานวน
1 3
ตอบ ความน่าจะเป็น = 6 = 1 แก้ระบบสมการได้ a = −
2
และ b = ±
2
9⋅9⋅8 108
(23) พิจารณา y1 = x (8 − x) จะได้ ดังนัน้ z = − 1 ± 3 i (ซึ่งสองค่านีก้ ็อยู่ใน A ด้วย)
2 2
y1 = −(x2 − 8x + 16) + 16 = −(x − 4)2 + 16 สรุป.. A และ B มีสมาชิกรวม 5 ตัว ตอบ
นั่นคือ y2 + (x − 4)2 = 16 ... เป็นสมการครึง่ 99
(25) จากโจทย์ ∑ (vn + 1 − vn)
วงกลม รัศมี 4 หน่วย จุดศูนย์กลางอยูท่ ี่ (4,0) n=1

และในทํานองเดียวกัน y2 = x (4 − x) จะได้ = |(v2 − v1) + (v3 − v2) + ... + (v100 − v99)|


= | v100 − v1 |
y2 = −(x2 − 4x + 4) + 4 = −(x − 2)2 + 4
= |( 3 − 0.0003 i + 0.01 j)− (0 i + 1 j)|
นั่นคือ y2 + (x − 2)2 = 4 ... เป็นสมการครึง่ วงกลม
≈ | 3 i − 1 j| ≈ 2 ตอบ ข้อ 4.
รัศมี 2 หน่วย จุดศูนย์กลางอยูท่ ี่ (2,0)
หมายเหตุ ในข้อนี้ถา้ คิดแบบแม่นยํา จะได้เป็น
โจทย์ให้อินทิเกรตจาก | 2.9997 i − 0.99 j | = 3.9798 = 1.995
0 ถึง 4 แสดงว่าถาม
พื้นที่แรเงาดังภาพ..
หาได้จากสูตรพืน้ ที่วงกลม 4 8
1 1
= π (4)2 − π (2)2 = 2π ≈ 6.28
4 2
ตอบ ข้อ 3.

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 616 ฉบับเขมขน

ÀÒ¤¼¹Ç¡
Math E-Book ©ºaºe¢ŒÁ¢Œ¹
เซต
1. เซต คือ “กลุ่มของสิ่งต่างๆ” และเรียกสิ่งที่อยู่ภายในแต่ละเซตว่า “สมาชิก”
นิยมตั้งชื่อเซตด้วยอักษรตัวใหญ่ เช่น A, B, C และเขียนสัญลักษณ์แทนเซตด้วยปีกกา { }
2. ในการเขียนแจกแจงสมาชิกของเซตนั้น
- จะคั่นระหว่างสมาชิกแต่ละตัวด้วยลูกน้ํา (จุลภาค)
- สามารถสลับที่สมาชิกในเซตได้โดยความหมายไม่เปลี่ยน
- สมาชิกตัวที่ซ้ํากันนับเป็นตัวเดียวกัน และไม่ต้องเขียนซ้ํา
- หากมีสมาชิกเป็นจํานวนมาก อาจใช้เครื่องหมาย “...” เพื่อละสมาชิกบางตัวไว้ในฐานที่เข้าใจ
3. เซตสองเซตจะเท่ากันก็ต่อเมื่อเป็นเซตเดียวกัน (สมาชิกทุกตัวต้องเหมือนกัน) เท่านั้น
4. สัญลักษณ์ที่ใช้แทนคําว่า “เป็นสมาชิกของ” คือ ∈ เช่น 2 ∈ B , 3 ∈ C
สัญลักษณ์ที่ใช้แทนคําว่า “ไม่เป็นสมาชิกของ” คือ ∉ เช่น 2.5 ∉ B , 4 ∉ C
5. ภายในเซต จะมีเซตหรือคู่อันดับหรืออะไรก็ได้ทั้งนั้น และจะนับ 1 ก้อนเป็นสมาชิก 1 ตัว
6. เซตจํากัดคือเซตที่หาจํานวนสมาชิกได้ เซตอนันต์คือเซตที่จํานวนสมาชิกมากจนหาค่าไม่ได้
สัญลักษณ์ที่ใช้แทน “จํานวนสมาชิกของ A” คือ n (A) เช่น n (A) = 7 , n (B) = 5
7. เซตที่ไม่มีสมาชิกเลย เรียกว่า เซตว่าง ใช้สัญลักษณ์ { } หรือ ∅ ดังนั้นจะได้ว่า n (∅) = 0
8. เซตอนันต์บางเซตไม่สามารถเขียนแบบแจกแจงสมาชิก แต่เขียนแบบบอกเงื่อนไขได้
ในรูป { สมาชิก | เงื่อนไข } อ่านว่า “เซตของ (สมาชิก) โดยที่ (เงื่อนไข)”
9. ขอบเขตของสิ่งที่เราสนใจ เรียกว่า เอกภพสัมพัทธ์ หรือเซต U มีผลต่อเซตแบบบอกเงื่อนไข
- สมาชิกของเซตทุกเซตจะต้องอยู่ใน U ทั้งหมด และจะไม่สนใจสิ่งที่อยู่ภายนอก U
- โดยทั่วไปถ้าไม่ได้ระบุเอกภพสัมพัทธ์ ให้ถือว่า U เป็นเซตที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
10. สับเซต คือเซตย่อย ...B เป็นสับเซตของ A ก็ต่อเมื่อ สมาชิกทุกตัวของเซต B อยู่ใน A ด้วย
หรือเมื่อ B เป็นเซตว่างก็ได้ (และ B ไม่เป็นสับเซตของ A หากมีสมาชิกบางตัวของ B ไม่อยู่ใน A)
11. สัญลักษณ์ที่ใช้แทนประโยค “B เป็นสับเซตของ A” คือ B ⊂ A
สัญลักษณ์ที่ใช้แทนประโยค “B ไม่เป็นสับเซตของ A” คือ B ⊄ A
12. เซตที่มีสมาชิก n ตัว จะมีสับเซตต่างๆ กันทั้งสิ้น 2 n แบบ
13. เซตว่างเป็นสับเซต(ที่เล็กที่สุด)ของทุกเซต และเซตทุกเซตเป็นสับเซต(ที่ใหญ่ที่สุด)ของตัวเอง
14. เพาเวอร์เซต คือเซตที่บรรจุด้วยสับเซตทั้งหมดที่เป็นไปได้
- เพาเวอร์เซตของ A ใช้สัญลักษณ์ว่า P(A)
- ถ้า A มีสมาชิก n ตัวแล้ว P(A) ย่อมมีสมาชิก 2 n ตัว
15. ประโยค {a, b} ∈ P(A) แปลว่า {a, b} ⊂ A
และประโยค {a, b} ⊂ A ก็แปลได้อีกทอดว่า “ a ∈ A และ b ∈ A ”

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 617 ฉบับเขมขน

16. การแสดงเซตด้วยแผนภาพของเวนน์และออยเลอร์ จะให้เอกภพสัมพัทธ์เป็นกรอบสี่เหลี่ยม ซึ่ง


ภายในบรรจุรูปปิด (วงกลม วงรี ฯลฯ) ที่ใช้แทนขอบเขตของเซตต่างๆ และแต่ละเซตมักมีการ
ซ้อนทับกัน
17. การดําเนินการเกี่ยวกับเซต ทําให้เกิดเซตใหม่ขึ้นจากเซตที่มีอยู่เดิม
- ยูเนียน ... เซต A ∪ B คือเซตของสมาชิกที่อยู่ใน A หรือ B ทั้งหมด
- อินเตอร์เซกชัน ... เซต A ∩ B คือเซตของสมาชิกที่อยู่ในทั้ง A และ B
- คอมพลีเมนต์ ... เซต A' คือเซตของสมาชิกที่ไม่ได้อยู่ใน A (บางตําราใช้สัญลักษณ์ Ac , A )
- ผลต่าง ... เซต B − A คือเซตของสิ่งที่อยู่ใน B แต่ไม่อยู่ใน A ... เขียนได้อีกแบบว่า B ∩ A'
18. โดยทั่วไปค่าของ n (B − A) ต้องคิดจาก n (B) − n (A ∩ B) เท่านั้น (ห้ามคิดจาก n(B)-n(A))
19. การแจกแจง 20. คอมพลีเมนต์
A ∩ (B ∪ C) = (A ∩ B) ∪ (A ∩ C) (A ∪ B)' = A ' ∩ B'
A ∪ (B ∩ C) = (A ∪ B) ∩ (A ∪ C) (A ∩ B)' = A ' ∪ B'
21. โจทย์ปัญหาที่เป็นเหตุการณ์
- จะใช้แผนภาพเวนน์-ออยเลอร์ ช่วยในการคํานวณชิ้นส่วนต่างๆ
- ในข้อสอบมักตั้งใจให้ใช้สูตรในการหาจํานวนสมาชิกแต่ละชิ้นส่วนดังนี้
สองเซต ... n(A ∪ B) = n(A) + n(B) − n(A ∩ B)
สามเซต ... n(A ∪ B ∪ C) = n(A) + n(B) + n(C) − n(A ∩ B) − n(A ∩ C) − n(B ∩ C) + n(A ∩ B ∩ C)

ระบบจํานวนจริง
1. จํานวนที่คิดขึ้นครั้งแรกใช้นับสิ่งของต่างๆ เรียกว่า จํานวนธรรมชาติ หรือ จํานวนนับ
ได้แก่ 1, 2, 3, 4, ... สัญลักษณ์แทนเซตของจํานวนนับคือ เซต N
2. จํานวนนับ จํานวนศูนย์ และจํานวนเต็มลบ เรียกรวมกันว่า จํานวนเต็ม (เซต I )
3. จํานวนเต็ม และเศษส่วนของจํานวนเต็ม เรียกรวมกันว่า จํานวนตรรกยะ (เซต Q )
- เศษส่วนของจํานวนเต็ม จะเขียนเป็นทศนิยมซ้ําได้เสมอ
- จํานวนอื่นๆ จะเป็นทศนิยมไม่ซ้ํา เรียกว่า จํานวนอตรรกยะ ( Q' ) เช่น 2 , 3 , π , e
4. จํานวนทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เรียกรวมกันว่าจํานวนจริง (เซต R )
- จํานวนซึ่งไม่ใช่จํานวนจริง ได้แก่ จํานวนซึ่งในรู้ทติดลบ เช่น −2 (เรียกว่าจํานวนจินตภาพ)
และจํานวนซึ่งตัวส่วนเป็น 0 (จะถือว่าหาค่าไม่ได้และไม่ใช่จํานวนจริง)
5. คําศัพท์เพิ่มเติมเกี่ยวกับจํานวนเต็ม
- จํานวนคู่ คือจํานวนเต็มที่หาร 2 ลงตัว (ได้แก่ 0, 2, -2, 4, -4, 6, -6, …)
จํานวนเต็มอื่นๆ เรียกว่าจํานวนคี่ เป็นจํานวนเต็มที่หาร 2 ไม่ลงตัว (ได้แก่ 1, -1, 3, -3, …)
- จํานวนเฉพาะ คือจํานวนเต็มที่ไม่ใช่ 0, 1, -1 และมีจํานวนเต็มที่หารลงตัวเพียง ±1 และ ± ตัว
มันเอง เท่านั้น (จํานวนเฉพาะสามารถติดลบได้ด้วย เช่น -2, -3, -5, -7, …)
- จํานวนเต็มอื่นๆ ที่ไม่ใช่จํานวนเฉพาะและไม่ใช่ 0, 1, -1 จัดเป็นจํานวนประกอบ (คือจํานวนซึ่ง
แยกตัวประกอบได้)
6. สมบัติปิด หมายความว่า เมื่อนําสมาชิกใดๆ ในเซตมาดําเนินการแล้ว ผลที่ได้ยังคงเป็นสมาชิก
ของเซตนั้นอยู่ เช่น เซตจํานวนนับมีสมบัติปิดการบวกและคูณ แต่ไม่มีสมบัติปิดการลบ
- สมบัติอื่นของจํานวนจริงได้แก่ การสลับที่ การเปลี่ยนกลุ่ม การแจกแจง การมีเอกลักษณ์ และ
การมีอินเวอร์ส
7. “เอกลักษณ์” คือจํานวนที่ไปดําเนินการกับจํานวน a ใดก็ตาม แล้วได้ผลลัพธ์ a เท่าเดิม
- เอกลักษณ์การบวกของจํานวนจริง คือ 0 และเอกลักษณ์การคูณของจํานวนจริง คือ 1
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 618 ฉบับเขมขน

8. “อินเวอร์สของ a” คือจํานวนที่ไปดําเนินการกับจํานวน a แล้วได้ผลลัพธ์เป็นเอกลักษณ์


- เอกลักษณ์การบวกของ a คือ −a และเอกลักษณ์การคูณของ a คือ 1/a (หรือเขียนเป็น a−1 )
9. ทบทวนการคํานวณเกี่ยวกับเศษส่วน
−1
a
+
d
=
ac + bd
| a ⋅ d = ad | ⎛a⎞ = b
⎜ ⎟
b c bc b c bc ⎝b⎠ a
ab a a ac ab ad
= | = | =
c bc bc b cd bc
10. ทฤษฎีบทเศษเหลือ ช่วยในการแยกตัวประกอบพหุนามที่มีดีกรีมากกว่าสอง
- พหุนาม p (x) คือพหุนามที่มี x เป็นตัวแปร และอยู่ในรูป anxn + an − 1xn − 1 + ... + a1x + a0
- ทฤษฎีบทเศษเหลือ ... ถ้าหาร p (x) ด้วย (x − c) แล้ว จะเหลือเศษเท่ากับ p (c)
- ทฤษฎีบทตัวประกอบ ... หาก p (c) = 0 จะกล่าวว่า (x − c) เป็นตัวประกอบของ p (x)
- อีกทฤษฎีทที่ ําให้หาค่า c ที่เป็นตัวประกอบได้เร็ว คือ ทฤษฎีบทตัวประกอบจํานวนตรรกยะ ซึ่ง
กล่าวว่า ถ้า (x − (k m)) เป็นตัวประกอบของ p (x) แล้ว k ต้องเป็นตัวประกอบของ a0 และ m
ต้องเป็นตัวประกอบของ an ... ( k m เป็นเศษส่วนอย่างต่ําเท่านั้น)
(แต่หาก c ไม่ใช่จํานวนตรรกยะ เช่น x2 − 2 = (x − 2)(x + 2) จะใช้ทฤษฎีนี้ไม่ได้)
11. สมการ คือประโยคที่มีตัวแปรและกล่าวถึงการเท่ากัน
- การแก้สมการ คือการหาค่าของตัวแปรที่ทําให้ประโยคนั้นเป็นจริง
- อาจกล่าวว่าเป็นการหา “เซตคําตอบของสมการ” หรือการหา “รากของสมการ” ก็ได้
คําว่าจงหา “รากของสมการ” แปลว่าให้หาคําตอบของสมการ (ไม่เกี่ยวกับการถอดรู้ทอะไรใดๆ)
12. สมบัติเกี่ยวกับสมการ
a = b → a±c = b±c
a = b → ac = bc
a = b → a/c = b/c เมื่อ c≠0
13. ข้อควรระวังในการแก้สมการใดๆ
- การบวกหรือลบทั้งสองข้าง (ย้ายข้างบวกลบ) และการตัดออกสําหรับการบวกหรือลบ ทําได้เสมอ
- การคูณทั้งสองข้าง (ย้ายข้างคูณ) ทําได้เสมอ การหารทั้งสองข้าง (ย้ายข้างไปหาร) ห้ามเป็น 0
- การตัดออกสําหรับการคูณ ทําได้เมื่อมั่นใจว่าเลขที่ตัดออกทั้งสองข้างไม่ใช่ 0
- การยกกําลังสองทั้งสองข้าง ทําได้เสมอ
แต่การตัดกําลังสองออกจะมีผล 2 กรณี คือสองข้างเท่ากัน หรือสองข้างเป็นติดลบของกันและกัน
14. สมบัติที่สําคัญในการแก้สมการกําลังสองคือ หาก a b = 0 แล้วจะได้ว่า a = 0 หรือ b = 0
สมการกําลังสองมีรูปทั่วไปเป็น Ax2 + Bx + C = 0
ควรแยกตัวประกอบให้อยู่ในรูป (Dx + E)(Fx + G) = 0 ก่อน
เพื่อจะได้ทราบว่า คําตอบของสมการกําลังสองได้แก่ x = − E หรือ x = − G
D F
−B ± B2 − 4AC
15. ถ้าแยกตัวประกอบในใจไม่สําเร็จ ต้องใช้สูตรหาคําตอบคือ x =
2A
และถ้าพบว่าในรู้ทเป็นจํานวนติดลบจึงค่อยสรุปว่าแยกตัวประกอบไม่ได้ และสมการไม่มีคําตอบ
16. อสมการ คือประโยคที่มีตัวแปรและกล่าวถึงการไม่เท่ากัน (ได้แก่ > > < < หรือ ≠ )
- การแก้อสมการ คือการหาค่าของตัวแปรที่ทําให้ประโยคนั้นเป็นจริง
- อาจกล่าวว่าเป็นการหา “เซตคําตอบของอสมการ” ก็ได้เช่นกัน
17. ช่วง คือเซตชนิดหนึ่งซึ่งมีสมาชิกเป็นค่าต่อเนื่องกัน อาจเป็นช่วงเปิด ช่วงปิด หรือช่วงครึ่งเปิด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 619 ฉบับเขมขน

18. สมบัติเกี่ยวกับอสมการ
a > b → a±c > b±c
a > b → ac > bc เมื่อ c > 0
a > b → a c < b c เมื่อ c < 0
19. ข้อควรระวังในการแก้อสมการใดๆ
- การบวกหรือลบทั้งสองข้าง (ย้ายข้างบวกลบ) และการตัดออกสําหรับการบวกหรือลบ ทําได้เสมอ
- การคูณหรือหารทั้งสองข้าง (ย้ายข้างคูณหาร) จะต้องระวังเรื่องการเปลี่ยนเครื่องหมาย
(ถ้าเลขที่ย้ายเป็นค่าติดลบ ต้องพลิกด้านเครื่องหมาย)
- การยกกําลังสองทั้งสองข้าง ทําได้เมื่อมั่นใจว่าเป็นบวกทั้งสองข้าง หรือติดลบทั้งสองข้างเท่านั้น
(โดยกรณีติดลบต้องพลิกด้านเครื่องหมายด้วย)
20. การแก้อสมการของพหุนาม ควรใช้เทคนิคดังนี้
- สัมประสิทธิ์หน้า x ดีกรีสูงสุดต้องไม่ติดลบ (ถ้าติดลบให้คูณ -1 เพื่อกลับด้านเครื่องหมายก่อน)
- แยกตัวประกอบ แล้วกําหนดจุดเหล่านั้นลงบนเส้นจํานวน
- ใส่ +, -, +, -, ... สลับกันไปโดยให้ช่วงขวาสุดเป็นบวก ถ้า > 0 ตอบช่วงบวก, < 0 ตอบช่วงลบ
- ถ้าอสมการมีเครื่องหมาย = ด้วย ให้ตอบจุดเหล่านั้นด้วย (กลายเป็นช่วงปิด)
21. ค่าขอบเขตบนน้อยสุดของช่วง (a, b) และ (a, b] และ [a, b] คือ ค่า b
ค่าขอบเขตบนน้อยสุดของช่วง (a, ∞) และ [a, ∞) และ (−∞, ∞) หาไม่ได้
22. “ค่าสัมบูรณ์ ของจํานวนจริง a ” ใช้สัญลักษณ์ a
- ความหมายเชิงเรขาคณิต คือ a เท่ากับระยะห่างระหว่างจุดที่แทน a กับจุด 0
- และ a − b เท่ากับระยะห่างระหว่างจุดที่แทน a กับจุดที่แทน b
⎧⎪ a เมื่อ a > 0
23. การถอดค่าสัมบูรณ์ในกรณีทั่วๆ ไป a = ⎨
⎪⎩ −a เมื่อ a < 0
24. ทฤษฎีเกี่ยวกับค่าสัมบูรณ์
- ค่าสัมบูรณ์ต้องไม่น้อยกว่าศูนย์ a > 0 เสมอ
- ค่าสัมบูรณ์ไม่คํานึงถึงเครื่องหมายลบ a = −a a−b = b−a
n
- ค่าสัมบูรณ์กระจายได้ สําหรับการคูณ ab = a b an = a
a a
- ค่าสัมบูรณ์กระจายได้ สําหรับการหาร = โดย b ≠ 0
b b
2
- ยกกําลังด้วยเลขคู่ไม่ต้องใส่ค่าสัมบูรณ์ a2 = a = a2
- ค่าสัมบูรณ์กระจายไม่ได้ สําหรับการบวกลบ a+b < a + b a−b > a − b
⎧⎪ a เมื่อ n = จํานวนคู่
- นิยามการถอดรากที่ n ของกําลัง n n an = ⎨
⎪⎩ a เมื่อ n = จํานวนคี่

25. ทฤษฎีที่ช่วยแก้สมการและอสมการ ที่มีค่าสัมบูรณ์ (เมื่อ b > 0)


- สมการ x = b และสมการ x = b มีความหมายเดียวกับสมการ x2 = b2
และสรุปได้ว่า “ x = b หรือ x = −b ”
- อสมการ x < b คือ −b < x < b
อสมการ x > b คือ “ x < −b หรือ x > b ”
26. บทนิยามของการหารจํานวนเต็มลงตัว
- “m หารด้วย n ลงตัว” เขียนเป็นสัญลักษณ์ n m

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 620 ฉบับเขมขน

- สําหรับจํานวนเต็ม m, n โดยที่ n ≠ 0 จะได้ว่า n m ก็ต่อเมื่อ m = n q และ q ∈ I


- สมบัติการถ่ายทอด ถ้า a b และ b c แล้ว a c
- ผลรวมเชิงเส้น ถ้า a b และ a c แล้ว a (bx ± cy)
- เลขยกกําลัง ถ้า a b แล้ว a bn ... และถ้า a n b แล้ว a b
27. บทนิยามของการหารจํานวนเต็มใดๆ
- สําหรับจํานวนเต็ม m, n โดยที่ n ≠ 0 จะได้ว่า m = n q + r และ q ∈ I , 0 < r < n
มีจํานวนเต็ม q, r ชุดเดียวเท่านั้น เรียก q ว่าผลหาร ... และเศษคือ r
28. สัญลักษณ์ที่ใช้แทน ห.ร.ม. ของ a กับ b ที่เป็นบวก คือ (a, b)
สัญลักษณ์ที่ใช้แทน ค.ร.น. ของ a กับ b ที่เป็นบวก คือ [a, b]
- ห.ร.ม. คูณกับ ค.ร.น. (a, b) × [a, b] = a × b เสมอ (เมื่อ a คูณ b ได้เป็นบวก)
- ห.ร.ม. ของผลหาร ถ้า (a, b) = d แล้ว (a/d, b/d) = 1
- ถ้า (m, n) = 1 จะเรียก m และ n เป็นจํานวนเฉพาะสัมพัทธ์
29. ขั้นตอนการหา ห.ร.ม. ของ a กับ b แบบยุคลิด
เริ่มโดยเขียน a กับ b ในรูปการหาร แล้วนําเศษที่ได้ไปหารต่อๆ ไป
คือ a = b q 1 + r1 ... b = r1q 2 + r2 ... r1 = r2q 3 + r3 ... r2 = r3q 4 + r4 ...
ทําไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหารลงตัว (เศษเป็น 0) จะได้ว่า ห.ร.ม. เท่ากับ เศษตัวสุดท้าย ( rk )

ตรรกศาสตร์
1. ประโยคทุกประโยคที่มีค่าความจริง เป็นจริงหรือเป็นเท็จอย่างใดอย่างหนึ่ง เรียกว่า ประพจน์
- ประโยคบอกเล่า ประโยคปฏิเสธ เป็นประพจน์
- ประโยคคําถาม คําสั่ง ขอร้อง แสดงความปรารถนา ประโยคอุทาน เหล่านี้ไม่ใช่ประพจน์
2. สัญลักษณ์ที่ใช้แทนประพจน์ต่างๆ เป็นตัวอักษรเล็ก เช่น p, q, r
- แต่ละประพจน์จะมีค่าความจริงที่เป็นไปได้ 2 แบบ คือเป็น จริง (T) หรือเป็น เท็จ (F)
- เครื่องหมาย ~ เรียกว่านิเสธ ใช้เพื่อกลับค่าความจริงให้เป็นตรงกันข้าม
p และ q p หรือ q ถ้า p แล้ว q p ก็ต่อเมื่อ q ไม่ p
p q (p ∧ q ) (p ∨ q ) (p → q ) (p ↔ q ) (~p )
T T T T T T F
T F F T F F F
F T F T T F T
F F F F T T T

3. ตารางข้างบน เรียกว่า ตารางค่าความจริง ... เป็นตารางแสดงรูปแบบที่เป็นไปได้ทั้งหมด


เช่น ถ้ามี 1 ประพจน์จะเป็นไปได้ 2 แบบ, ถ้ามี 2 ประพจน์ เป็นไปได้ 4 แบบ, หรือ 2n นั่นเอง
4. หากรูปแบบของประพจน์ใดให้ค่าเป็นจริงเสมอทุกๆ กรณี จะเรียกรูปแบบนั้นว่า สัจนิรันดร์
- การตรวจสอบว่าเป็นสัจนิรันดร์หรือไม่ สามารถใช้ “วิธีพยายามทําให้เป็นเท็จ”
คือหากพยายามทําให้รูปแบบนั้นเป็นเท็จไม่ได้เลย รูปแบบนั้นก็จะเป็นสัจนิรันดร์
แต่ถ้าทําเป็นเท็จได้แม้เพียงกรณีเดียว รูปแบบนั้นย่อมไม่ใช่สัจนิรันดร์
5. รูปแบบประพจน์ 2 รูปแบบใดๆ ที่ให้ค่าความจริงตรงกันทุกๆ กรณี จะกล่าวว่า สมมูลกัน
(แปลว่า สามารถใช้แทนกันได้) ... สัญลักษณ์ที่ใช้แสดงการสมมูลกัน คือ ≡

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 621 ฉบับเขมขน

- ถ้า ≡ แล้ว จะได้ว่า → เป็นสัจนิรันดร์ และ ↔ ก็เป็นสัจนิรันดร์


6. รูปแบบประพจน์ที่สมมูลกัน (ที่ควรทราบ)
- การแจกแจง - การเติมนิเสธ
p ∨ (q ∧ r) ≡ (p ∨ q) ∧ (p ∨ r) ~ (p ∧ q) ≡ ~p ∨ ~q
p ∧ (q ∨ r) ≡ (p ∧ q) ∨ (p ∧ r) ~ (p ∨ q) ≡ ~p ∧ ~q
- การเปลี่ยนตัวเชื่อม ~ (p → q) ≡ p∧~q
p→q ≡ ~p ∨ q ≡ ~q→~p ~ (p ↔ q) ≡ ~p ↔ q ≡ p↔~q
p↔q ≡ (p → q) ∧ (q → p)
7. ตัวเชื่อม และ มีสมบัติคล้ายอินเตอร์เซคชัน ... ตัวเชื่อม หรือ มีสมบัติคล้ายยูเนียน ...
นอกจากนั้น นิเสธ ก็มีสมบัติคล้ายคอมพลีเมนต์
8. ประโยคเปิด คือประโยคที่ยงั ติดค่าตัวแปร และเมื่อแทนค่าตัวแปรแล้วจึงกลายเป็นประพจน์
- สัญลักษณ์ที่ใช้แทนประโยคเปิดใดๆ (ที่ติดค่าตัวแปร x) ได้แก่ P (x), Q (x), R (x) ฯลฯ
9. ตัวบ่งปริมาณ คือข้อความที่ใช้บ่งบอกความมากน้อยของค่าตัวแปร x
- ตัวบ่งปริมาณมี 2 แบบ ได้แก่ “สําหรับ x ทุกตัว” ( ∀x ) และ “มี x บางตัว” ( ∃x )
- เมื่อใช้ตัวบ่งปริมาณร่วมกับเอกภพสัมพัทธ์ จะทําให้ประโยคเปิดมีค่าความจริง
10. สามารถแจกแจงตัวบ่งปริมาณได้เพียงสองรูปแบบนี้เท่านั้น
∀x [P (x) ∧ Q (x)] ≡ ∀x [P (x)] ∧ ∀x [Q (x)]
∃x [P (x) ∨ Q (x)] ≡ ∃x [P (x)] ∨ ∃x [Q (x)]
11. ประโยคเปิดที่มีสองตัวแปร (มีตัวบ่งปริมาณสองตัว) การอ่านต้องคํานึงถึงลําดับก่อนหลัง
เช่น ∀x∃y [...] แทนประโยค “สําหรับ x ทุกๆ ตัว จะใช้ y ได้บางตัว ...”
แต่ ∃y∀x [...] แทนประโยค “มี y บางตัว ที่ใช้ x ได้ครบทุกตัว ...”
12. การหานิเสธ ต้องเปลี่ยนตัวบ่งปริมาณ จาก ∀ เป็น ∃ และจาก ∃ เป็น ∀
และใส่นิเสธที่ประโยคเปิด ภายในเครื่องหมายวงเล็บด้วย
เช่น นิเสธของ ∀x∃y [P (x) → Q (x, y)] คือ ∃x∀y [P (x) ∧ ~ Q (x, y)]
13. การอ้างเหตุผล คือการกล่าวว่าถ้ามีเหตุเป็นข้อความ p1, p2 , p3 , ..., pn ชุดหนึ่ง
แล้วสามารถสรุปผลเป็นข้อความ q อันหนึ่งได้
- การอ้างเหตุผลมีทั้งแบบที่สมเหตุสมผล และไม่สมเหตุสมผล
14. วิธีตรวจสอบความสมเหตุสมผล ของการอ้างเหตุผล
- ตรวจสอบสัจนิรันดร์ ... จะสมเหตุสมผลก็เมื่อ (p1 ∧ p2 ∧ p3 ∧ ... ∧ pn) → q เป็นสัจนิรันดร์
(หรือกล่าวว่าไม่สมเหตุสมผลเพียงกรณีเดียวเท่านั้น คือเหตุเป็นจริงทั้งหมด แต่ผลเป็นเท็จ)
- เทียบกับรูปแบบที่พบบ่อย
การอ้างเหตุผลทุกรูปแบบต่อไปนี้ สมเหตุสมผล (4) เหตุ p → q
(1) เหตุ p → q (2) เหตุ p → q (3) เหตุ p → q r→s
p ~ q q→r p∨r

ผล q ผล ~ p ผล p→r ผล q∨s

(5) เหตุ p∨q (6) เหตุ p→q (7) เหตุ p∧q (8) เหตุ p
~ p ~q→~p ผล p ผล p∨q
ผล q ผล ~p ∨ q

15. การให้เหตุผลแบบอุปนัย เป็นการใช้ความจริงจากส่วนย่อยนําไปสรุปความจริงของส่วนรวม


หรือกล่าวว่า เป็นการสรุปผลที่จะเกิดขึ้น ซึ่งมาจากการสังเกตหรือทดลองในกรณีย่อยๆ หลายครั้ง
ข้อควรระวังคือ ข้อสรุปที่ได้ไม่จําเป็นต้องถูกต้องทุกครั้ง เนื่องจากเป็นขยายผลออกไปจากสิ่งทีเ่ ห็น
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 622 ฉบับเขมขน

16. สิ่งที่ควรคํานึงเพราะมีผลต่อความน่าเชื่อถือได้แก่ จํานวนข้อมูลที่มีเพียงพอหรือไม่,


ข้อมูลที่ใช้นั้นเป็นตัวแทนที่ดีแล้วหรือไม่, และข้อสรุปที่ต้องการมีความซับซ้อนเกินไปหรือไม่
17. ตัวอย่างการให้เหตุผลแบบอุปนัย
- ในเซต A = {2, 4, 6, 8, 10, ...} สมาชิกตัวที่เหลือน่าจะเป็น 12, 14, 16, ...
- ลําดับ 1, 3, 7, 15, 31, ... พจน์ถัดไปน่าจะเป็น 63 (ดูจากผลต่างของพจน์ตดิ กัน)
- ถ้าผลบวกของเลขโดดเป็นจํานวนที่หารด้วย 3 ลงตัวแล้ว จํานวนนับนั้นจะหารด้วย 3 ลงตัว
18. การให้เหตุผลแบบนิรนัย เป็นการใช้ความจริงที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป เพื่อนําไปสู่ข้อสรุปย่อย
ข้อควรระวังคือ ถ้าใช้ความรู้สึกเพียงผิวเผินอาจจะคิดว่าสมเหตุสมผล ทั้งที่จริงไม่ใช่
19. การตรวจสอบความสมเหตุสมผล สามารถทําได้อย่างรอบคอบโดยใช้แผนภาพเซต (เวนน์-ออย
เลอร์) ถ้าพบว่าแผนภาพเป็นไปตามที่สรุป ได้เพียงแบบเดียวเท่านั้น จะถือว่าสมเหตุสมผล แต่ถ้าเป็น
แบบอื่นได้ด้วย จะถือว่าไม่สมเหตุสมผล
20. ข้อสรุปที่สมเหตุสมผล อาจจะขัดแย้งกับความจริงในโลกก็ได้ เพราะเรากล่าวในรูปแบบการอ้าง
เหตุผล นั่นคือ การสมเหตุสมผลไม่ได้หมายความว่าผลจะเป็นจริงทันที แต่เมื่อใดเหตุทุกข้อเป็นจริง
ผลจึงจะจริงด้วย
21. ตัวอย่างการให้เหตุผลแบบนิรนัย (ที่สมเหตุสมผล)
- เหตุ (1) นักเรียนทุกคนต้องทําการบ้าน ... (2) สุดาเป็นนักเรียน ผล สุดาต้องทําการบ้าน
- เหตุ (1) นกทุกตัวบินได้ ... (2) คนบินไม่ได้ ผล คนไม่ใช่นก
- เหตุ (1) สัตว์ปีกทุกตัวบินได้ ... (2) แมวบางตัวเป็นสัตว์ปีก ผล แมวบางตัวบินได้
22. ตัวอย่างการให้เหตุผลแบบนิรนัย (ที่ไม่สมเหตุสมผล)
- เหตุ (1) นกทุกตัวบินได้ ... (2) ยุงบินได้ ผล ยุงเป็นนก
- เหตุ (1) นกทุกตัวบินได้ ... (2) คนไม่ใช่นก ผล คนบินไม่ได้
- เหตุ (1) นักเรียนบางคนเป็นนักกีฬา (2) นักกีฬาบางคนแข็งแรง ผล นักเรียนบางคนแข็งแรง

เรขาคณิตวิเคราะห์
1. ระบบพิกัดฉาก ประกอบด้วยแกน 2 แกนที่ตั้งฉากกัน ณ จุดกําเนิด (จุด O) y
เรียกชื่อแกนนอนและแกนตั้ง ว่าแกน x และแกน y ตามลําดับ
- แกนทั้งสองนี้ตัดกัน แบ่งพื้นที่ในระนาบ xy ออกเป็น 4 ส่วน Q2 Q1
เรียกแต่ละส่วนว่าจตุภาค (ควอดรันต์, Q) ดังภาพ (−, +) (+, +)

2. การอ้างถึงพิกัดในระบบพิกัดฉาก จะเขียนในรูปคู่อันดับ x
Q3 O Q4
สมาชิกตัวแรกแทนระยะในทิศ +x และตัวหลังแทนระยะในทิศ +y (−, −) (+, −)
3. การเขียนชื่อจุดนิยมใช้ตัวอักษรใหญ่ เช่น จุด P, จุด Q
- อาจเขียนกํากับด้วยคู่อันดับเป็น P (x, y) เช่น Q (2, 4) ใช้แทนจุด Q และมีพิกัด (2,4)
4. ระยะห่างระหว่างจุด P กับ Q คือ PQ
Q (x2,y2)

PQ = (x2− x1) 2+ (y2− y1) 2

P (x1,y1)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 623 ฉบับเขมขน

5. จุดกึ่งกลางระหว่างสองจุด 6. จุดที่แบ่งระยะทางเป็นอัตราส่วน m:n


Q (x2,y2) Q (x2,y2)
m
x1+ x2 y1+ y2
R( , )
2 2 n mx + nx2 my1+ ny2
R( 1 , )
m+n m+n
P (x1,y1)
P (x1,y1)
7. จุดตัดของเส้นมัธยฐานของสามเหลี่ยม (เรียกว่าจุดเซนทรอยด์)
R (x3,y3)
x+x +x y+y +y
C ( 1 2 3 , 1 2 3)
C 3 3
P (x1,y1)
Q (x2,y2)
- เส้นมัธยฐาน คือเส้นตรงที่เชื่อมจุดยอดจุดหนึ่ง กับจุดกึ่งกลางของด้านตรงข้าม
- จุดตัดของเส้นมัธยฐาน จะแบ่งเส้นมัธยฐานแต่ละเส้นออกเป็นอัตราส่วน 2 : 1 เสมอ
8. เราสามารถสร้างเส้นตรงที่ผ่านจุดสองจุดที่กําหนดให้ เช่น จุด P กับ Q ใดๆ ได้เสมอ
- เขียนแทน “ส่วนของเส้นตรง” ที่เชื่อมระหว่างจุด P กับ Q ด้วยสัญลักษณ์ PQ
- นิยมตั้งชื่อ “เส้นตรง” ด้วยอักษร L เช่น เส้นตรง L1 , เส้นตรง L2
9. ความชัน (m) ของเส้นตรง ที่ทราบจุดผ่านสองจุด
Q (x2,y2) y −y
m = tan θ = 2 1
x2− x1
θ
เส้นตรงสองเส้นขนานกัน ( ) ก็ต่อเมื่อ มีความชันเท่ากัน
P (x1,y1) เส้นตรงสองเส้นตั้งฉากกัน ( ⊥ ) ก็ต่อเมื่อ ความชันคูณกันได้ -1

10. สมการของเส้นตรง m
- เมื่อทราบจุดผ่านจุดหนึ่ง (x1, y1) และค่าความชัน m
จะได้สมการ y − y1 = m (x − x1) P (x1,y1)
- เมื่อทราบจุดผ่านสองจุด (x1, y1) , (x2 , y2)
ให้คํานวณค่าความชันจากสองจุดนี้ก่อน Q (x2,y2)
แล้วเลือกใช้จุดใดก็ได้จุดเดียวมาสร้างสมการด้วยวิธีเดิม
P (x1,y1)
11. สมการเส้นตรงที่นิยมใช้ประโยชน์มีอยู่ 3 รูปแบบ ได้แก่
- รูปแบบ y = m x + c เมื่อ m คือความชัน และ c คือระยะตัดแกน y
y y y

m>0 m<0 m=0


c c c
x x x
O O O

- รูปแบบ y − y1 = m (x − x1) เมื่อ m คือความชัน และกราฟผ่านจุด (x 1, y1)


x y
- รูปแบบ + = 1 เมื่อ a, b คือ ระยะตัดแกน x และ y ตามลําดับ
a b

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 624 ฉบับเขมขน

A
12. สมการเส้นตรงในรูปทั่วไปได้แก่ Ax + By + C = 0 ... จะมีคา่ ความชัน m = −
B
13. ระยะห่างระหว่างเส้นตรงคู่ขนานสองเส้น 14. ระยะห่างระหว่างจุดกับเส้นตรง
C2− C1 A x1 + B y1 + C
d = d =
2
2
A +B A2+ B2

Ax+By+C1=0 P (x1,y1)
d d
Ax+By+C2=0 Ax+By+C=0

15. ภาพฉาย (โพรเจคชัน) บนเส้นตรง


ภาพฉายของจุด P บนเส้นตรง L คือจุด Q ภาพฉายของ PP 1 2 บนเส้นตรง L คือ Q1Q2

P (x1,y1) P2 (x2,y2)
L: Ax+By+C=0
Q P1 (x1,y1) Q 2
L: Ax+By+C=0
Q1
- การคํานวณหาตําแหน่งภาพฉาย วิธีที่สะดวกที่สุดคือสร้างสมการเส้นตรงที่ผ่านจุด P และตั้งฉาก
กับเส้นตรง L แล้วแก้ระบบสมการหาจุดตัดของเส้นตรงทั้งสอง
16. ความสัมพันธ์ที่พบบ่อย นอกจากจะมีกราฟเป็นเส้นตรงแล้ว ยังมีกราฟเส้นโค้ง ได้แก่ วงกลม
พาราโบลา วงรี และไฮเพอร์โบลาด้วย กราฟทั้งสี่รูปนี้เรียกรวมกันว่า ภาคตัดกรวย
17. พื้นฐานการเขียนกราฟใดๆ
- เมื่อมีค่าคงที่มาบวกหรือลบ จะเกิดการเลื่อนแกนทางขนาน
หากเปลี่ยนรูปสมการจาก f (x, y) = 0 ไปเป็น f (x −h, y-k) = 0 จุดกําเนิดจะถูกเลื่อนไปยังคู่อันดับ
(h, k) และรูปกราฟทั้งหมดถูกเลื่อนตามไปด้วย
- เมื่อมีค่าคงที่ (ที่เป็นบวก) มาคูณหรือหาร จะเกิดการปรับขนาดทางแกนนั้น
หากเปลี่ยนรูปสมการจาก y = f (x) ไปเป็น my = f (nx) เมื่อ m, n มากกว่า 1
กราฟรูปเดิมจะถูกบีบลงทางแนวนอน n เท่า และบีบลงทางแนวตั้ง m เท่า (ส่วนกรณีที่ m, n น้อย
กว่า 1 จะมองว่าเป็นการหาร และกราฟจะถูกขยายออกแทน)
- หากสมการมีทั้งการบวกลบและคูณหาร ร่วมกัน.. จะต้องจัดรูปสมการให้บวกลบอยู่ในวงเล็บ
(กระทํากับตัวแปรโดยตรง) แล้วถัดมาจึงเป็นการคูณหาร.. นั่นคือใช้แกน h, k ที่ได้จากการเลื่อน
แกนแล้ว เป็นแกนกลางสําหรับบีบหรือขยายรูปกราฟ
- เมื่อมีค่าคงที่ (ที่เป็นลบ) มาคูณหรือหาร นอกจากจะมีการขยายหรือบีบแล้ว ยังเกิดการพลิก
รูปกราฟ โดยใช้แกน h, k นี้เป็นแกนหมุนด้วย (หากตัวแปร x ถูกคูณด้วยลบ จะพลิกสลับซ้ายขวา,
และหากตัวแปร y ถูกคูณด้วยลบ จะพลิกสลับบนล่าง)
18. วงกลม คือ “เซตของคู่อันดับที่อยู่ห่างจากจุดคงที่จุดหนึ่ง เป็นระยะเท่าๆ กัน”
เรียกจุดคงที่จุดนั้นว่า จุดศูนย์กลาง (C) และเรียกระยะทางนั้นว่ารัศมี (r)
- สมการวงกลม ที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ C (0, 0) และรัศมียาว r หน่วย คือ x 2 + y 2 = r 2
- เส้นสัมผัสวงกลม คือเส้นตรงที่ลากผ่านจุดบนวงกลมเพียงจุดเดียวเท่านั้น (เรียกว่าจุดสัมผัส)
และเส้นสัมผัสวงกลมทุกเส้นจะตั้งฉากกับรัศมี (ที่เชื่อมจุดศูนย์กลางกับจุดสัมผัส)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 625 ฉบับเขมขน

วงกลม
(x −h)2 + (y −k)2 = r 2
จุดศูนย์กลาง C (h, k)
r
รัศมี r หน่วย
C
(h,k) รูปทั่วไป
x 2+ y 2+ Dx + Ey + F = 0

19. พาราโบลา คือ “เซตของคู่อันดับที่มีระยะไปถึงจุดคงที่จุดหนึ่ง เท่ากับระยะไปถึงเส้นตรงเส้น


หนึ่ง” เรียกจุดคงที่จุดนั้นว่า จุดโฟกัส (F) เรียกเส้นตรงเส้นนั้นว่าไดเรกตริกซ์
- สมการพาราโบลา ที่มีจุดยอดอยู่ที่ V (0, 0) และระยะโฟกัสยาว c หน่วย
คือ x 2 = 4 c y (อ้อมแกน y, กราฟหงายเมื่อค่า c เป็นบวก, กราฟคว่ําเมื่อค่า c ติดลบ)
หรือ y 2 = 4 c x (อ้อมแกน x, กราฟเปิดขวาเมื่อ c เป็นบวก, กราฟเปิดซ้ายเมื่อ c ติดลบ)
พาราโบลา (ตั้ง)
(x −h)2 = 4 c (y −k)
2c
F (h,k+c) จุดยอด V (h, k)
⎧ ระยะโฟกัส c หน่วย
c⎨
⎩ เลตัสเรกตัม ยาว 4c หน่วย
c ⎧⎨ V (h,k)
⎩ รูปทั่วไป
Directrix : y=k-c x 2+ Dx + Ey + F = 0
Axis :
x=h
พาราโบลา (ตะแคง)
(y −k)2 = 4 c (x −h)
⎫ จุดยอด V (h, k)

⎬ 2c ระยะโฟกัส c หน่วย
c c ⎪
⎭ เลตัสเรกตัม ยาว 4c หน่วย
Axis : y=k V F (h+c,k)
(h,k)
รูปทั่วไป
Directrix : y 2+ Dx + Ey + F = 0
x=h-c

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 626 ฉบับเขมขน

20. วงรี คือ “เซตของคู่อันดับที่ ผลรวมของระยะทางไปถึงจุดคงที่สองจุด มีค่าเท่ากัน”


เรียกจุดคงที่สองจุดนั้นว่าจุดโฟกัส ( F1, F2 ) และระยะทางรวมนั้นเท่ากับความยาวแกนเอก (2a)
- สมการวงรีที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ C (0, 0) และแกนเอกยาว 2a หน่วย แกนโทยาว 2b หน่วย
2 2 2 2
คือ ⎛x⎞ + ⎛y⎞ = 1 (รีตามแกน x) หรือ ⎛y⎞ + ⎛x⎞ = 1 (รีตามแกน y)
⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟
⎝a⎠ ⎝b⎠ ⎝a⎠ ⎝b⎠
- สําหรับวงรีนั้น a > b เสมอ ดังนั้นตัวเลขใดมีค่ามากกว่า ตัวนั้นก็จะเป็น a (เป็นแกนเอก)
วงรี (นอน)
(x −h)2 (y −k)2
2
+ = 1
B1 (h,k+b) a b2

⎫ จุดศูนย์กลาง C (h, k)
a ⎬b แกนเอกยาว 2a แกนโทยาว 2b
⎭ ระยะโฟกัส c = a2− b2
V2 F2 C F1 V1
c (h,k) (h+c,k) (h+a,k)
รูปทั่วไป
B2 Ax 2+ By 2+ Dx + Ey + F = 0

วงรี (ตั้ง)
V1 (h,k+a) (y −k)2 (x −h)2
2
+ = 1
a b2
F1 จุดศูนย์กลาง C (h, k)
(h,k+c) แกนเอกยาว 2a แกนโทยาว 2b
B2 b C (h,k) B (h+b,k)

1 ระยะโฟกัส c = a2− b2
⎪ ⎫
c
a ⎪⎨ ⎬

⎪ ⎭ รูปทั่วไป

⎪⎩ F2 Ax 2+ By 2+ Dx + Ey + F = 0
V2

21. ไฮเพอร์โบลา คือ “เซตของคู่อันดับที่ ผลต่างของระยะทางไปถึงจุดคงทีส่ องจุด มีค่าเท่ากัน”เรียก


จุดคงที่สองจุดนั้นว่าจุดโฟกัส และผลต่างระยะทางเท่ากับความยาวแกนตามขวาง (2a)
- สมการของไฮเพอร์โบลาที่มีจุดศูนย์กลางที่ C (0, 0) แกนตามขวางยาว 2a และแกนสังยุคยาว
2 2 2 2
2b คือ ⎛x⎞ − ⎛y⎞ = 1 (อ้อมแกน x) หรือ ⎛y⎞ − ⎛x⎞ = 1 (อ้อมแกน y)
⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟
⎝a⎠ ⎝b⎠ ⎝a⎠ ⎝b⎠
- สําหรับไฮเพอร์โบลา a ไม่จําเป็นต้องมากกว่า b (แกนใดเครื่องหมายบวก จะอ้อมแกนนั้น)
- ถ้า a = b เส้นกํากับจะตั้งฉากกัน เรียกไฮเพอร์โบลานั้นว่า ไฮเพอร์โบลามุมฉาก

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 627 ฉบับเขมขน

ไฮเพอร์โบลา (ตะแคง)
(x −h)2 (y −k)2
2
− = 1
B1 (h,k+b) a b2
⎫ จุดศูนย์กลาง C (h, k)
c ⎬b แกนตามขวาง 2a แกนสังยุค 2b
⎭ ระยะโฟกัส c = a2+ b2
F2 V2 a C V1 F1
(h,k)(h+a,k) (h+c,k)
รูปทั่วไป
B2 Ax 2+ By 2+ Dx + Ey + F = 0
Asymptote Asymptote
a(y-k)=b(x-h)

ไฮเพอร์โบลา (ตั้ง)
Asymptote (y −k)2 (x −h)2
F1 (h,k+c) 2
− = 1
b(y-k)=a(x-h) a b2

V1 (h,k+a) จุดศูนย์กลาง C (h, k)


b แกนตามขวาง 2a แกนสังยุค 2b
B2 C (h,k) B1 (h+b,k) ระยะโฟกัส c = a2+ b2
⎧ ⎫
a
c ⎪⎨ ⎬⎭
⎪ V
รูปทั่วไป
⎩ 2 Ax 2+ By 2+ Dx + Ey + F = 0
Asymptote F2

- ไฮเพอร์โบลามุมฉากอีกรูปแบบหนึ่ง ได้แก่สมการในรูป xy = k
เมื่อ k เป็นค่าคงที่ ... (จะมีแกนตั้งและแกนนอนเป็นเส้นกํากับ)

ไฮเพอร์โบลามุมฉาก
xy = k k > 0
F1
จุดยอด V1 ( k, k)
V2 (− k, − k)
V1
จุดโฟกัส F1 ( 2k, 2k) C (0,0)
V2
F2 (− 2k, − 2k)
F2
- ถ้า k < 0 ไฮเพอร์โบลานี้จะอยูใ่ นควอดรันต์ที่ 2 และ 4

ความสัมพันธ์/ฟังก์ชัน
1. ผลคูณคาร์ทีเซียน คือผลคูณของเซต ... เซต A × B คือเซตของคู่อันดับ ที่สมาชิกตัวหน้ามาจาก
เซต A และสมาชิกตัวหลังมาจากเซต B ครบทุกคู่ ... และจะได้ n(A × B) = n(A) ⋅ n(B)
เช่น A = {0, 1, 2} , B = {1, 3} จะได้ A × B = {(0, 1), (0, 3), (1, 1), (1, 3), (2, 1), (2, 3)}
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 628 ฉบับเขมขน

2. A × B = B × A ก็ต่อเมื่อ A = B หรือมีเซตใดเซตหนึ่งเป็น ∅
3. ความสัมพันธ์ (r) คือเซตของคู่อันดับใดๆ (สามารถเขียนกราฟได้)
- “ความสัมพันธ์จาก A ไป B” คือเซตของคู่อันดับที่สมาชิกตัวหน้ามาจาก A และตัวหลังมาจาก B
แต่ไม่จําเป็นต้องครบทุกคู่ ... สัญลักษณ์ที่ใช้คือ r = {(x, y) ∈ A × B | .....}
- ดังนั้น ความสัมพันธ์จาก A ไป B ก็คือสับเซตของ A × B ... จะมีได้ทั้งหมด 2 n (A × B) แบบ
- “ความสัมพันธ์ภายใน A” คือ r = {(x, y) ∈ A × A | .....}
- ถ้าไม่ระบุว่าเป็นความสัมพันธ์จากเซตใดไปเซตใด จะหมายถึงเซตจํานวนจริง R × R
4. “โดเมน (A) ของความสัมพันธ์” คือเซตของสมาชิกตัวหน้าของคู่อันดับ
“เรนจ์ หรือพิสัย (R) ของความสัมพันธ์” คือเซตของสมาชิกตัวหลังของคู่อันดับ
- ถ้า r เป็นความสัมพันธ์จาก A ไป B แล้ว Dr ⊂ A และ Rr ⊂ B
5. การหาโดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์ภายใน R ซึ่งบอกเป็นเงื่อนไข (สมการ)
ให้พิจารณาสิ่งเหล่านี้คือ การหาร, การถอดราก, ค่าสัมบูรณ์, การยกกําลัง จะมีข้อจํากัดเกิดขึ้น
- ถ้า a = b จะได้ว่า c ≠ 0
c
- ถ้า a = n b โดยที่ n เป็นจํานวนคู่ จะได้ว่า a > 0 และ b > 0
- ถ้า a = b n โดยที่ n เป็นจํานวนคู่ จะได้ว่า a > 0
- ถ้า a = b จะได้ว่า a > 0
การหาโดเมน ควรพิจารณาในรูป y = ...(x)...
และการหาเรนจ์ ควรจัดรูปให้กลายเป็น x = ...(y)... แล้วจึงค่อยพิจารณา
(โดยปกติ การเขียนกราฟ จะช่วยให้เห็นโดเมนและเรนจ์ได้ชัดเจนกว่าการคํานวณ)
6. อินเวอร์สของ r ใช้สัญลักษณ์ r −1 โดยมีนิยามว่า r −1 = {(y, x) | (x, y) ∈ r }
นั่นคือ r −1 คิดจาก การสลับที่สมาชิกตัวหน้าและหลังของคู่อันดับใน r
หรือถ้าเป็นความสัมพันธ์แบบเงื่อนไข จะคิดจากการสลับตําแหน่งระหว่างตัวแปร x และ y
7. Dr = Rr และ Rr = Dr เสมอ
−1 −1

8. รูปแบบของกราฟที่ควรรู้จักคือ เส้นตรง ภาคตัดกรวย และมีเพิ่มเติมดังนี้


- กราฟค่าสัมบูรณ์ (ที่คล้ายพาราโบลา) y = a x หรือ x = a y
y y
x = a|y|
a>0
y = a|x|
a>0
x x y
O O
k

- กราฟค่าสัมบูรณ์ (ที่คล้ายวงกลม) x + y = k x
-k O k
เมื่อ k คือค่าคงที่ที่มากกว่าศูนย์
-k
9. กราฟของความสัมพันธ์อาจเป็น “พื้นที่ (แรเงา)” ในระนาบ หากว่าความสัมพันธ์นั้นเป็น
“อสมการ” โดยมีหลักในการเขียนกราฟคือ คิดว่าเป็นเครื่องหมายเท่ากับแล้วเขียนกราฟของสมการ
ก่อน จากนั้นตรวจสอบว่าบริเวณใดของพื้นที่ตรงตามเงื่อนไขของอสมการ จึงแรเงา (เส้นกราฟทึบ
แสดงว่าจุดบนเส้นนั้นอยู่ใน r, เส้นประแสดงว่าจุดบนเส้นนั้นไม่อยู่ใน r)
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 629 ฉบับเขมขน

10. กราฟของ r −1 สามารถคิดจากกราฟของ r ได้โดยการหมุนกราฟ ใช้เส้นตรง y = x เป็นแกน


หมุน … (เท่ากับเป็นการสลับแกน x กับแกน y กัน)
11. หากความสัมพันธ์ใดมีลักษณะดังต่อไปนี้ด้วย จะเรียกว่าเป็น “ฟังก์ชัน” (f)
“สมาชิกตัวหน้าแต่ละตัว จะคู่กบั สมาชิกตัวหลังได้เพียงแบบเดียวเท่านั้น”
หรือกล่าวว่า สําหรับ x แต่ละตัว จะคู่กับ y ได้เพียงแบบเดียวเท่านั้น
(ห้ามใช้สมาชิกตัวหน้าซ้ํา แต่ ใช้สมาชิกตัวหลังซ้ําได้)
12. ความสัมพันธ์ที่เขียนในรูป y = ...(x)... ได้ จะเป็นฟังก์ชันเสมอ
และถ้า f เป็นฟังก์ชัน จะเขียนแทน y ด้วยคําว่า f (x) ... เช่น f (x) = x2
เพราะเรามอง x เป็นค่าตัวแปรต้น และมอง y เป็นค่าของฟังก์ชัน เช่น f(2) คือค่า y ที่ได้เมื่อ x=2
13. ลักษณะของฟังก์ชัน
- “ฟังก์ชันจาก A ไป B” ( f : A > B ) ... คือฟังก์ชันซึ่ง Df = A และ Rf ⊂ B
- “ฟังก์ชันจาก A ไปทั่วถึง B” ( f : A onto > B ) ... คือฟังก์ชันซึ่ง Df = A และ Rf = B
- “ฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งจาก A ไป B” ( f : A 1− 1 > B )
คือฟังก์ชันที่ Df = A และ Rf ⊂ B และสําหรับ y แต่ละตัว จะคู่กับ x เพียงตัวเดียวด้วย
1− 1
- “ฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งจาก A ไปทั่วถึง B” ( f : A onto >B)
คือฟังก์ชันที่ Df = A และ Rf = B และสําหรับ y แต่ละตัว จะคู่กับ x เพียงตัวเดียวด้วย
14. เมื่อเขียนกราฟของความสัมพันธ์ จะเห็นชัดว่าเป็นฟังก์ชันหรือไม่ และหนึ่งต่อหนึ่งหรือไม่
y y y
r1 r3
r2

x x x
O O O

ไม่เป็นฟังก์ชัน เป็นฟังก์ชัน แต่ไม่เป็น 1-1 เป็นฟังก์ชัน 1-1


15. ฟังก์ชันแบบเฉพาะต่างๆ ที่ควรรู้จัก
ฟังก์ชันคงตัว มีสมการเป็น f (x) = a (กราฟเส้นตรงนอน)
ฟังก์ชันเชิงเส้น มีสมการเป็น f (x) = ax + b (กราฟเส้นตรงเฉียง)
- ค่า a คือความชัน ถ้าเป็นบวกกราฟเฉียงขึ้น ถ้าติดลบกราฟเฉียงลง
- ค่า b คือระยะตัดแกน y
- พบในความสัมพันธ์ระหว่างสองสิ่งที่เพิ่มลดเป็นสัดส่วนโดยตรงต่อกัน
ฟังก์ชันกําลังสอง มีสมการเป็น f (x) = ax2 + bx + c (กราฟพาราโบลา)
- ถ้าค่า a เป็นบวกพาราโบลาหงาย, ถ้าติดลบพาราโบลาจะคว่ํา
- ค่ามากน้อยของ a เป็นตัวบอกการยืดหดของกราฟ ค่า a ยิ่งมากรูปพาราโบลาจะยิ่งแคบ
- จุดยอดอยู่ที่ค่า x = -b/2a (ส่วนค่า y สามารถหาได้โดยแทนค่า x นี้ลงไปในฟังก์ชัน)
ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล มีสมการเป็น f (x) = a bx (กราฟเส้นโค้ง)
- ถ้าฐาน b มากกว่า 1 กราฟเฉียงขึ้น, ถ้าฐาน b อยู่ระหว่าง 0 ถึง 1 กราฟเฉียงลง
- พบในปริมาณสิ่งต่างๆ ที่เพิ่มหรือลดแบบทวีคูณ เช่น เงินฝาก จํานวนประชากร แบคทีเรีย
ปริมาณรังสี
ฟังก์ชันค่าสัมบูรณ์ มีสมการเป็น f (x) = a x (กราฟรูปตัววี)
- คล้ายพาราโบลาคือ ถ้าค่า a เป็นบวกกราฟจะหงาย, ถ้าติดลบกราฟจะคว่ํา
- ค่ามากน้อยของ a เป็นตัวบอกการยืดหดของกราฟ ค่า a ยิ่งมากรูปตัววีจะยิ่งแคบ
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 630 ฉบับเขมขน

16. ในโจทย์ปญ ั หาเกี่ยวกับการใช้งานฟังก์ชัน จะต้องรู้ว่าเป็นฟังก์ชันรูปแบบใด


และใช้ข้อมูลในโจทย์หาค่าคงที่ a, b, หรือ c ของฟังก์ชันให้ครบก่อน
เมื่อทราบรูปแบบสมการของฟังก์ชันนั้นแล้วจึงจะสามารถตอบคําถามได้
17. ฟังก์ชันเพิ่ม และฟังก์ชันลด ... สําหรับทุกๆ x1, x2 ∈ [a, b]
ฟังก์ชัน f จะเป็นฟังก์ชันเพิ่มในช่วง [a, b] ก็ต่อเมื่อ ถ้า x2 > x1 แล้ว f (x2) > f (x1)
และ ฟังก์ชัน f เป็นฟังก์ชันลดในช่วง [a, b] ก็ต่อเมื่อ ถ้า x2 > x1 แล้ว f (x2) < f (x1)
(การเขียนกราฟของพหุนาม และหาช่วงที่เป็นฟังก์ชันเพิ่ม, ลด จะคิดโดยการหาอนุพันธ์)
18. ฟังก์ชันคอมโพสิท ... ได้แก่ฟังก์ชัน g(f (x)) เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ (g f)(x)
- ฟังก์ชัน (g f)(x) จะหาได้ก็เมื่อ มีสมาชิกบางส่วนของ Rf กับ Dg ร่วมกัน
- การหาโดเมนและเรนจ์ ของ (g f)(x) ทําได้โดย เขียน g ในรูป f ก่อน (ยังไม่ตอ้ งใส่ x)
จากนั้นถ้าหา Dgof ให้ใช้โดเมน g ไปบังคับหาโดเมน f
ถ้าหา Rgof ให้ใช้เรนจ์ f ไปขยายเป็นเรนจ์ g
19. ฟังก์ชันอินเวอร์ส ... f − 1 จะเป็นฟังก์ชัน ก็เมื่อ f เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง เท่านั้น
- สมบัติของอินเวอร์ส (f g)−1 = g−1 f −1 และ (f −1)−1 = f
20. f − 1( ) = Δ มีความหมายเดียวกับ f (Δ) = ... ใช้ช่วยในการแก้ฟังก์ชัน
21. พีชคณิตของฟังก์ชัน (f ∗ g)(x) = f (x) ∗ g (x) ซึ่งคิดโดเมนได้จาก Df ∗ g = Df ∩ Dg
เครื่องหมาย ∗ เป็นได้ทั้ง +, −, ×, ÷ (โดยกรณีหาร g(x) ≠ 0 )

กําหนดการเชิงเส้น
1. กําหนดการเชิงเส้น เป็นเทคนิคที่ใช้จัดสรรทรัพยากรให้ได้ประโยชน์สูงที่สุด เช่น การผลิตสินค้า
ด้วยวัตถุดิบที่มีให้ได้กําไรสูงที่สุด การขนส่งให้สิ้นเปลืองน้อยที่สุด การหาปริมาณวัตถุผสมให้เสีย
ค่าใช้จ่ายน้อยทีส่ ุด การมอบหมายงานเพื่อให้สําเร็จในเวลาน้อยที่สุด ฯลฯ
2. ขั้นตอนในการคิด คือ
- เขียนสมการจุดประสงค์ (หรือฟังก์ชันจุดประสงค์) เป็นฟังก์ชันที่ขึ้นกับตัวแปร x และ y
- เขียนเงื่อนไขที่มีอยู่ เรียกว่าอสมการข้อจํากัด
(นอกจากข้อจํากัดที่โจทย์ให้มาแล้ว อาจจะต้องเพิ่มอสมการ x > 0 , y > 0 )
- เขียนกราฟของระบบอสมการข้อจํากัด และแรเงาบริเวณที่ “ตรงตามเงื่อนไขทุกข้อ”
- หาจุดยอดมุมทั้งหมดของบริเวณที่แรเงา (ถ้าเป็นจุดที่เกิดจากเส้นตรงตัดกัน ต้องใช้วิธีแก้ระบบ
สมการหาจุดตัด) คู่อันดับ x และ y เหล่านี้เท่านั้นที่เป็นคําตอบได้
- นําคู่อันดับ x และ y ยอดมุมทุกจุด ไปหาค่าจุดประสงค์ที่มากหรือน้อยที่สุดตามต้องการ
3. ในบางสถานการณ์
- ค่า x หรือ y อาจจะต้องเป็นจํานวนเต็ม หากค่าที่เป็นคําตอบไม่ใช่จํานวนเต็มก็จําเป็นจะต้อง
เลือกจุดข้างเคียง (ภายในบริเวณที่แรเงา) ที่เป็นจํานวนเต็ม และให้ผลใกล้เคียงที่สุด
- อาณาบริเวณที่แรเงาอาจล้อมรอบด้วยเส้นประ (เช่น คําว่าระหว่าง, น้อยกว่า, หรือ มากกว่า)
จุดยอดมุมที่เป็นคําตอบยังไม่สามารถใช้ได้ ก็ต้องใช้วิธีเลือกจุดข้างเคียงเช่นเดียวกัน

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 631 ฉบับเขมขน

ฟังก์ชันตรีโกณมิติ
1. ตรีโกณมิติ เป็นวิชาที่เกี่ยวกับการวัดส่วนประกอบของสามเหลี่ยม เช่น ความยาวด้าน, ขนาดมุม,
ขนาดพื้นที่ … มีฟังก์ชันที่เกี่ยวข้องอยู่ 6 ฟังก์ชัน ได้แก่ ฟังก์ชันไซน์ (sin) โคไซน์ (cos)
แทนเจนต์ (tan) โคแทนเจนต์ (cot) ซีแคนต์ (sec) และโคซีแคนต์ (cosec หรือ csc)
2. หาก 0° < θ < 90° แล้ว ค่าฟังก์ชันที่ได้คอื “อัตราส่วนระหว่าง 2 ด้านในรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก
ที่มุมหนึ่งมีขนาดเท่ากับ θ ”
a 1 c
sin θ = cosec θ = =
c sin θ a
b 1 c
cos θ = sec θ = = c a
c cos θ b
sin θ a 1 cos θ b
tan θ = = cot θ = = =
cos θ b tan θ sin θ a θ
3. ค่าของฟังก์ชันตรีโกณมิติที่ควรทราบ b
θ 0° 30° 45° 60° 90°
sin θ 0 1/2 1/ 2 3 /2 1
cos θ 1 3 /2 1/ 2 1/2 0
tan θ 0 1/ 3 1 3 หาค่าไม่ได้
4. ถ้าให้แกน x เป็น cos θ และแกน y เป็น sin θ จะสามารถหาค่าฟังก์ชันของมุม θ ต่างๆ ได้
จากวงกลมหนึ่งหน่วย ( θ เป็นมุมที่ทํากับแกน x โดยเริ่มวัดเป็น 0° ในแนว +x และเพิ่มขึ้นในทิศ
ทวนเข็มนาฬิกา) y
90° (0,1)
5. จากกราฟนี้ทําให้ทราบว่า 120° 60° ( 1 , 3 )
3 /2 2 2
1
sin θ , cos θ มีค่าได้ 1
(− , )3
2 /2 45 °( , 1 )
2 2
2 2 3 1
ตั้งแต่ –1 ถึง 1 เท่านั้น 1/2 30° ( , )
2 2
6. sin (−θ) = − sin θ
180° θ 0° (1,0)
cos (−θ) = cos θ x
(-1,0) O 1 2 3
tan (−θ) = − tan θ
2 2 2

225°
1
(− ,− 1 ) 300° ( 1 , − 3
)
2 2 2 2
270° (0,-1)
7. เอกลักษณ์ของตรีโกณมิติที่สําคัญ ได้แก่
- วงกลมหนึ่งหน่วย sin 2 θ + cos 2 θ = 1
นอกจากนี้ เมื่อนํา sin 2 θ หารทั้งสองข้างของสมการอีก จะได้ 1 + cot 2 θ = cosec 2 θ
หรือถ้านํา cos 2 θ หารทั้งสองข้างของสมการ ก็จะได้ tan 2 θ + 1 = sec 2 θ
- โค-ฟังก์ชัน sin θ = cos (90°−θ)
นอกจากนี้ยังมีอีกสองคู่ คือ ta n θ = cot (90°−θ) … และ sec θ = cosec (90°−θ)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 632 ฉบับเขมขน

8. นอกจากการวัดมุมในระบบองศาแล้ว ยังมีอีกระบบซึ่งวัดจากความยาวเส้นรอบวง เรียกว่า


เรเดียน (rad) นั่นคือ ... 180° คิดเป็น π เรเดียน y
π/2
- หน่วยเรเดียนนี้ เป็นค่าจํานวนจริง ( π = 3.1416... ) 2π/3 π/3
- การวัดมุมเป็นเรเดียน มักละหน่วยไว้ 3π/4 π/4
ไม่ต้องเขียนกํากับว่า rad ก็ได้ 5π/6 π/6

9. หากขนาดของมุมที่จะหาค่าฟังก์ชัน π 0
x
ตรีโกณมิตินั้น มี nπ หรือ nπ/2 ไปบวกลบ
อยู่ เราสามารถกําจัดค่าคงที่เหล่านี้ทิ้งได้ 7π/6 11π/6
ให้เหลือเพียงมุม θ 5π/4 7π/4
- เมื่อตัดมุม nπ ออก ฟังก์ชันยังคงเป็นชื่อเดิม 4π/3 5π/3
ไม่เปลี่ยน แต่ถ้าตัดมุม nπ/2 ออก ฟังก์ชันจะ 3π/2
เปลี่ยนชื่อเป็นโคฟังก์ชันเสมอ (นอกจากนี้ยังต้องดูเครื่องหมายบวกลบด้วยว่าเปลี่ยนหรือไม่)
10. การแก้สมการตรีโกณมิติ ควรเปลี่ยนทุกค่าให้เป็น sin กับ cos ล้วน... แล้วใช้เอกลักษณ์
sin 2 θ + cos 2 θ = 1 เป็นสมการช่วย
11. ข้อควรระวังในสมการตรีโกณมิติ
- การทราบค่าฟังก์ชันค่าหนึ่ง จะยังไม่สามารถสรุปได้ทันทีว่า θ อยู่ตําแหน่งใด เพราะจะมีสอง
คําตอบอยู่ในคนละควอดรันต์เสมอ เราต้องทราบเพิ่มเติมด้วยว่า ค่า θ นี้อยู่ในควอดรันต์ใด
(โดยปกติเราสามารถทราบควอดรันต์ได้จากเครื่องหมายของค่าฟังก์ชันอื่น)
- แผนภาพต่อไปนี้เป็นการสรุปเครื่องหมาย
เพื่อความสะดวกในการหาคําตอบ
Q1 เป็นบวกทั้ง 6 ค่า sin + ALL +
Q2 มีเฉพาะ sin และ cosec ที่เป็นบวก
Q3 มีเฉพาะ tan และ cot ที่เป็นบวก tan + cos +
Q4 มีเฉพาะ cos และ sec ที่เป็นบวก

- สมมติว่าต้องการค่า θ ในช่วง 0 < θ < 2π แต่สมการที่ได้นั้นเป็นค่า 2θ จะต้องขยายช่วง


คําตอบเป็น 0 < 2θ < 4π หากไม่ขยายช่วงแล้วคําตอบที่ได้จะไม่ครบ
- คําตอบบางคําตอบ (โดยเฉพาะที่อยู่บนแกน x หรือแกน y) อาจใช้ไม่ได้ ในกรณีที่สมการมีคําว่า
tan, cosec, sec, cot เพราะค่าเหล่านี้มาจากการหารกันของ sin, cos ต้องตรวจสอบด้วยว่ามี
คําตอบใดหาค่าเหล่านี้ไม่ได้ (คือ ตัวส่วนเป็น 0) หรือไม่
12. สูตรชุดที่หนึ่ง (สูตรเบื้องต้น)
(1) cos (α+β) = cos α cos β − sin α sin β
⎧tan (α+β) = tan α + tan β
(2) cos (α−β) = cos α cos β + sin α sin β ⎪⎪ 1 − tan α tan β

(3) sin (α+β) = sin α cos β + cos α sin β ⎪tan (α−β) = tan α − tan β
(4) sin (α−β) = sin α cos β − cos α sin β ⎪⎩ 1 + tan α tan β

13. สูตรชุดที่สอง (สูตรผลคูณ)


(5) 2 cos α cos β = cos (α+β) + cos (α−β) ... จาก (1)+(2)
(6) −2 sin α sin β = cos (α+β) − cos (α−β) ... จาก (1)-(2)
(7) 2 sin α cos β = sin (α+β) + sin (α−β) ... จาก (3)+(4)
(8) 2 cos α sin β = sin (α+β) − sin (α−β) ... จาก (3)-(4)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 633 ฉบับเขมขน

14. สูตรชุดที่สาม (สูตรผลบวก, ผลลบ)


(9) cos A + cos B = 2 cos (A + B) cos (A − B) ... จาก (5)
2 2
A +B A −B
(10) cos A − cos B = −2 sin ( ) sin ( ) ... จาก (6)
2 2
A +B A −B
(11) sin A + sin B = 2 sin ( ) cos ( ) ... จาก (7)
2 2
A +B A −B
(12) sin A − sin B = 2 cos ( ) sin ( ) ... จาก (8)
2 2
15. สูตรชุดที่สี่ (สูตรมุมสองเท่า และมุมครึ่ง)
sin (2α) = 2 sin α cos α
cos (2α) = cos2α − sin2α หรือ cos (2α) = 1 − 2 sin2α = 2 cos2α − 1
2 tan α
tan (2α) =
1 − tan2α
สูตรสําหรับมุมครึ่ง ได้จากการย้ายข้างสมการ cos (2α) = 1 − 2 sin2α = 2 cos2α − 1
โดยมองว่า α กลายเป็น α/2 … และ 2α กลายเป็น α
16. ฟังก์ชันอินเวอร์สของตรีโกณมิติจะใช้คําว่า arc นําหน้า
(บางตําราใช้สัญลักษณ์ sin-1 x , cos-1 x , tan-1 x , … แทนคําว่า arc-)
และมีการจํากัดช่วงดังภาพต่อไปนี้
Darcsin = [−1, 1] Darccos = [−1, 1] Darctan = R
Rarcsin = [−π /2, π /2] Rarccos = [0, π] Rarctan = (−π /2, π /2)
1 0 = cos ∞
π/2 π/2
0 = sin -1 1 0 = tan
π 0
−π/2 −π/2 −∞
-1
- ฟังก์ชัน arcsin (กับ arctan) จะอยู่ในช่วงที่ cos เป็นบวกเสมอ ส่วนฟังก์ชัน arccos จะอยู่
ในช่วงที่ sin เป็นบวกเสมอ
17. ความสัมพันธ์ที่มีประโยชน์ในเรื่องอินเวอร์ส คือ arctan x + arctan y = arctan x + y
1 − xy
ใช้ได้เมื่อ arctan x + arctan y ยังอยู่ในช่วง (−π/2, π/2)
18. กฎของไซน์ “อัตราส่วนของค่าไซน์ของมุมๆ หนึ่ง ต่อความยาวด้านตรงข้าม จะเท่ากันทั้งสาม
มุม” sin A = sin B = sin C ... พิสูจน์มาจาก พื้นที่สามเหลี่ยม ( 1 bc sin A )
a b c 2
19. กฎของโคไซน์ “เราสามารถหาความยาวด้านที่เหลือ ได้จากความยาวด้านสองด้านและขนาดมุม
ตรงกลาง” a 2 = b 2+ c 2− 2bc cos A
(ถ้ามุมตรงกลางนั้นเป็น A = 90° กฎนี้จะกลายเป็นทฤษฎีบทปีทาโกรัส)
20. การวัดระยะทางหรือความสูงของสิ่งต่างๆ
- อาศัยหลักว่า ในสามเหลี่ยมมุมฉากถ้ารู้ขนาดของมุม และรู้ความยาวด้าน 1 ด้านแล้ว จะ
คํานวณหาความยาวด้านที่เหลืออีก 2 ด้านได้ โดยเลือกใช้ sin หรือ cos หรือ tan ให้เหมาะสม
- ศัพท์ที่ใช้เรียกมุมที่เกิดจากการสังเกตได้แก่ มุมก้ม (มุมกด) คือมุมที่วัดลงไปจากแนวราบ
(ระดับสายตา) และมุมเงย (มุมยก) คือมุมที่วัดขึ้นจากแนวราบ

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 634 ฉบับเขมขน

ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล/ลอการิทึม
1. เลขยกกําลังจะอยู่ในรูป an , เรียก a ว่าฐาน และเรียก n ว่าเลขชี้กําลัง
1
an คือ a คูณกันเป็นจํานวน n ตัว ... โดยนิยามให้ a0 = 1 และ a−n =
an
2. ทฤษฎีบทที่เกี่ยวกับเลขยกกําลัง
⎧ am ⋅ an = am + n n n
⎪⎧ (ab) = a ⋅ b
n
⎪ • ⎨
• ⎨ a m n n n
= am − n ⎪⎩ (a/b) = a / b

⎩ an ⎧ n ab = n a ⋅ n b
⎧ (am)n = amn ⎪⎪
⎪ • ⎨ a n a
• ⎨ m
=
⎪ n


n am = a n ⎪⎩ b n b

โดย n เป็นจํานวนจริงใดๆ (ไม่จําเป็นต้องเป็นจํานวนเต็ม) และกรณีกรณฑ์ n ≠ 0


3. คําว่า “รากที่สองของ x” และสัญลักษณ์ “ x กับ x1/ 2 ” มีความหมายต่างกัน
- รากที่สองของ 16 ได้แก่ 4 และ -4
- แต่สัญลักษณ์ 16 หรือ 16 1/ 2 จะมีค่าเท่ากับ 4 (เป็นบวก) เท่านั้น
4. การหารากที่สองของ M ± N ... เมื่อ M = a+b และ N = 4ab จะได้ว่า
รากที่สองของ M + N คือ ±( a + b) และรากที่สองของ M − N คือ ±( a − b)
5. วิธีทําส่วนไม่ให้ติดกรณฑ์ (รู้ท)
- รูปแบบ ABC ให้นํา D คูณทั้งเศษและส่วน กลายเป็น ABC D
D D
ABC ABC( D ∓ E)
- รูปแบบ ให้นํา D∓ E คูณทั้งเศษและส่วน กลายเป็น
D± E D −E
6. ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล คือฟังก์ชันเลขยกกําลัง กําหนดรูปทั่วไปเป็น f (x) = ax
โดยค่าของฐาน a อยู่ในช่วง (0, 1) หรือ (1, ∞) เท่านั้น นํามาเขียนกราฟได้ดังนี้
y y

(0,1) (0,1)
O x x
O
y = a x, a>1 y = a x, 0<a<1

ฟังก์ชันเพิ่ม ฟังก์ชันลด
- Dexp = R , Rexp = R+
- กราฟผ่านจุด (0, 1) เสมอ เนื่องจาก a0 = 1 ทุกๆ ค่า a ที่ไม่ใช่ศูนย์
7. สมการที่มี ax +b บวกลบกันอยู่หลายพจน์ ควรย้ายข้างให้จํานวนพจน์เท่าๆ กัน และ
สัมประสิทธิ์หน้า x รวมใกล้เคียงกันที่สุด จากนั้นจึงยกกําลังทัง้ สองข้างจนกว่าเครื่องหมายกรณฑ์จะ
หมดไป ... (การยกกําลังมักทําให้ได้คําตอบเกิน ต้องตรวจคําตอบเสมอ)
- หากสิ่งที่อยูใ่ นเครื่องหมายกรณฑ์ยาวมาก ให้สมมติสิ่งนั้นเป็นตัวแปร A ก่อน แล้วทําตัวแปรที่
เหลือให้อยู่ในรูป A ทั้งหมด เพื่อให้คํานวณสะดวกขึ้น

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 635 ฉบับเขมขน

8. สมการและอสมการเอกซ์โพเนนเชียล
- รูปแบบ af(x) = bg(x) จะต้องแปลงฐานทั้งสองข้างให้เท่ากัน เพื่อกําจัดฐานทิ้งไป
ตามสมบัติที่ว่า aM = aN ↔ M = N
- ถ้ามีพจน์เลขยกกําลังฐานเดียวกัน บวกลบกันอยู่ เช่น ax , a2x อาจสมมติเป็นตัวแปร A, A2
เพื่อให้คํานวณสะดวกขึ้น แต่ถ้ามีฐานอื่นอยู่ด้วย จะใช้ตัวแปร B อีกอันก็ได้
- อสมการ ใช้สมบัติของฟังก์ชันเพิ่ม/ฟังก์ชันลด ในการกําจัดฐาน
คือ aM > aN ↔ M > N เมื่อ a > 1 (ฟังก์ชันเพิ่ม)
และ aM > aN ↔ M < N เมื่อ 0 < a < 1 (ฟังก์ชันลด)
9. ฟังก์ชันลอการิทึม เป็นอินเวอร์สของเอกซ์โพเนนเชียล เขียนได้ในรูป f (x) = loga x
ความสัมพันธ์ระหว่างเอกซ์โพเนนเชียลและลอการิทึมคือ x = ay ↔ y = loga x
โดยค่าของฐาน a จะต้องอยู่ในช่วง (0, 1) หรือ (1, ∞) ซึ่งนํามาเขียนกราฟได้ดังนี้
y y

x (1,0)
O O x
(1,0)

y = loga x, a>1 y = loga x, 0<a<1

ฟังก์ชันเพิ่ม ฟังก์ชันลด
- Dlog = R+ , Rlog = R
- กราฟผ่านจุด (1, 0) เสมอ แสดงว่า loga 1 = 0 ทุกๆ ค่า a ที่เป็นฐานได้
10. กฎของลอการิทึมได้แก่
q
⎧ loga 1 = 0 • loga p b q = loga b
• ⎨ p
⎩ loga a = 1 ⎧⎪ mloga n = nloga m
⎧ loga(mn) = loga m + loga n • ⎨ log n
⎪ ⎪⎩ a a = n
• ⎨ ⎛m⎞
⎪ loga ⎜⎝ n ⎟⎠ = loga m − loga n • loga b =
logc b
=
1

logc a logb a
เมื่อ a, b, c, m, n ∈ R+ โดยที่ a, b, c ≠ 1 และ p, q ∈ R
11. ลอการิทึมฐาน 10 เรียกว่าลอการิทึมสามัญ อาจละไว้ไม่ต้องเขียนฐานกํากับ คือเขียนเพียง
log x ก็ได้... ส่วนลอการิทึมที่มีฐานเป็นค่า e ( ≈ 2.718 ) จะเรียกว่าลอการิทึมธรรมชาติ และใช้
สัญลักษณ์ ln x แทน loge x
12. สมการและอสมการที่มีลอการิทึม
- มักจะแก้ปัญหาโดยใช้กฎของลอการิทึม เช่น การทําให้ฐานเท่ากันเพื่อกําจัด log ทิ้งไป
ตามสมบัติที่ว่า loga M = loga N ↔ M = N
- ถ้ามีพจน์คล้ายกันปรากฏอยู่ อาจสมมติเป็นตัวแปร A เพื่อให้คํานวณสะดวกขึ้น
- เมื่อได้คําตอบแล้ว ต้องตรวจสอบเสมอ (เช่น ภายใน log ต้องมากกว่าศูนย์)
- อสมการ ใช้สมบัติของฟังก์ชันเพิ่ม/ฟังก์ชันลด ในการกําจัดฐาน คือ
loga M > loga N ↔ M > N เมื่อ a > 1 (ฟังก์ชันเพิ่ม)
และ loga M > loga N ↔ M < N เมื่อ 0 < a < 1 (ฟังก์ชันลด)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 636 ฉบับเขมขน

เมตริกซ์
1. เมตริกซ์ เป็นกลุ่มของจํานวนที่เรียงตัวกันเป็นสี่เหลี่ยม ภายในเครื่องหมาย ( ) หรือ [ ]
- เรียกจํานวนแต่ละจํานวนที่อยู่ในเมตริกซ์ว่า สมาชิก ของเมตริกซ์
- ขนาดของเมตริกซ์ เรียกว่า มิติ (คิดจาก จํานวนแถว คูณ หลัก)
- เมตริกซ์สองเมตริกซ์ จะเท่ากันได้ก็ต่อเมื่อ “มีมิติเดียวกัน” (แปลว่า ขนาดเท่ากัน) และสมาชิก
ในตําแหน่งเดียวกันต้องเท่ากัน ทุกๆ ตําแหน่ง
2. การเรียกชื่อเมตริกซ์นิยมใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ เช่น A, B, C โดยจะเรียกชื่อสมาชิกเป็นตัวพิมพ์เล็ก ที่
มีตัวห้อยบอกตําแหน่งแถวและหลัก ในรูป aij (แถวที่ i และหลักที่ j)
3. ทรานสโพสของเมตริกซ์ A ใช้สัญลักษณ์ At หรือ AT คือการเปลี่ยนแถวเป็นหลัก
- เมตริกซ์มิติ m × n เมื่อทําการทรานสโพส จะกลายเป็นมิติ n × m
4. เมตริกซ์ที่ควรรู้จัก
- เมตริกซ์จัตุรัส คือเมตริกซ์ที่มีจํานวนแถว เท่ากับจํานวนหลัก ( n × n ) ... เรียกแนว 11, 22, 33,
.. จนถึง nn ว่าเส้นทแยงมุมหลัก และที่เหลือเรียกว่าสามเหลี่ยมบนกับสามเหลี่ยมล่าง
- เมตริกซ์ศูนย์ ( 0 ) คือเมตริกซ์ที่สมาชิกทุกตัวเป็นเลข 0 (จัตุรัสหรือไม่ ก็ได้)
- เมตริกซ์หนึ่งหน่วย ( I ) คือเมตริกซ์จัตุรัส ที่มีสมาชิกในแนวเส้นทแยงมุมหลัก เป็น 1 และ
สมาชิกตัวอื่นที่เหลือทั้งหมดเป็น 0
5. การบวกเมตริกซ์คู่หนึ่ง จะทําได้ก็ต่อเมื่อ เมตริกซ์ทั้งสองมีมิติเดียวกัน
ผลบวกที่ได้ จะมีมิติเดิม และสมาชิกของผลลัพธ์เกิดจากสมาชิกตําแหน่งเดียวกันนั้นบวกกัน
(สําหรับการลบก็เช่นกัน; สมาชิกผลลัพธ์ เกิดจากสมาชิกตําแหน่งเดียวกันลบกัน)
- เอกลักษณ์การบวกของเมตริกซ์ ก็คือ เมตริกซ์ 0
6. การคูณเมตริกซ์ด้วยสเกลาร์ ผลที่ได้จะเป็นการคูณสมาชิกทุกตัวด้วยสเกลาร์นั้น
7. การคูณเมตริกซ์คู่หนึ่ง จะทําได้เมื่อ จํานวนหลักของตัวตั้ง เท่ากับจํานวนแถวของตัวคูณ
และผลคูณที่ได้จะมีจํานวนแถวเท่าตัวตั้ง จํานวนหลักเท่าตัวคูณ
เขียนง่ายๆ ได้ว่า Am × n × Bn × r = Cm × r
8. วิธีการหาผลคูณเมตริกซ์ จะยึดแถวจากตัวตั้ง และยึดหลักจากตัวคูณ ดังตัวอย่าง
ถ้า A = ⎡⎢−21 43⎤⎥ , B = ⎡⎢03 21⎤⎥ , C = ⎡⎢−11 03 −22⎤⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎡ 2⋅0 + 3⋅3 2⋅1+ 3⋅2 ⎤ ⎡ 9 8⎤
จะได้ AB = ⎢−1⋅0+ 4 ⋅3 −1⋅1+ 4 ⋅2⎥ = ⎢12 7 ⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
⎡ 0⋅1+ 1(
⋅ −1) 0⋅3+ 1⋅0 0⋅2+ 1(⋅ −2)⎤ ⎡ − 1 0 −2⎤
BC = ⎢ ⎥ = ⎢1 9 2⎥
⎣3⋅1+2⋅(−1) 3⋅3+2⋅0 3⋅2+2⋅(−2)⎦ ⎣ ⎦
- เอกลักษณ์การคูณของเมตริกซ์ ก็คือ เมตริกซ์ I
9. สมบัติการบวกและการคูณ
การบวกเมตริกซ์ การคูณด้วยเมตริกซ์
• AB ไม่จําเป็นต้องเท่ากับ BA
• A +B = B + A
• (AB) C = A (BC)
• (A + B) + C = A + (B + C)
• A (B + C) = AB + AC
• A t + Bt = (A + B)t
• (A + B) C = AC + BC
• A + 0 = 0 + A = A
• (AB)t = BtA t
• A + (−A) = 0
• AI = IA = A

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 637 ฉบับเขมขน

การคูณด้วยสเกลาร์
• (kA)t = k ⋅ A t
• k1(k2A) = k2(k1A) = (k1k2) A
• k(A + B) = kA + kB
10. ดีเทอร์มินันต์ ... เป็นคุณสมบัติของเมตริกซ์จัตุรัสเท่านั้น และดีเทอร์มินันต์มีค่าเป็นตัวเลข
เครื่องหมายแสดง “ดีเทอร์มินันต์ของเมตริกซ์ A” คือ A หรือ det (A)
เมตริกซ์ 1 × 1 เมตริกซ์ 2 × 2
ถ้า A = ⎣⎡ a ⎦⎤ จะได้ว่า det (A) = a ถ้า A = ⎡⎢ac bd⎤⎥ จะได้ว่า det (A) = ad − bc
⎣ ⎦
เมตริกซ์ 3×3 ใช้หลักว่า คูณเฉียงขึ้นใส่ลบ คูณเฉียงลงเครื่องหมายเดิม แล้วรวมกัน
⎡a b c⎤
ถ้า A = ⎢d e f ⎥ จะได้ว่า det (A) = −gec − ahf − bdi + aei + gbf + hdc
⎢ ⎥
⎣⎢g h i ⎦⎥
ส่วนเมตริกซ์ n × n ใดๆ จะใช้วิธีโคแฟกเตอร์ (ใช้ได้กับทุกขนาดตั้งแต่ 2 × 2 ขึ้นไป)
det (A) = สมาชิก 1 แนว (แถวหรือหลักก็ได้) คูณกับโคแฟกเตอร์ของแนวนั้น ( ∑ aijCij )
11. ไมเนอร์ของเมตริกซ์ A ใช้สัญลักษณ์ว่า Mij (A) ... คือ ค่า det ของเมตริกซ์ย่อย (ตัดแถว ตัด
หลัก) ที่ตําแหน่งนั้น ... โคแฟกเตอร์ของเมตริกซ์ A ใช้สัญลักษณ์ว่า Cij (A) คือไมเนอร์ที่ถูกใส่
เครื่องหมายบวกหรือลบสลับกัน ตามรูปแบบ Cij = (−1)i + j ⋅ Mij (ตําแหน่งแรกสุดใส่บวก, แล้วเติม
เครื่องหมายบวกลบสลับกันไป)
12. เมตริกซ์ที่ค่า det เป็นศูนย์ เรียกว่าเมตริกซ์เอกฐาน (ซิงกูลาร์)
13. สมบัติของดีเทอร์มินันต์
• det (AB) = det (A) ⋅ det (B)
• det (A t) = det (A) • det (I) = 1
• n
det (A ) = (det (A)) n
เมือ
่ n∈I • det (0) = 0
n
• det (kA) = k ⋅ det (A) เมือ
่ n = ขนาดของ A
14. เมตริกซ์ไม่มีการหารกัน แต่จะใช้การคูณด้วยอินเวอร์สแทน
อินเวอร์สการคูณของเมตริกซ์ A ใช้สัญลักษณ์ A−1 ... โดยนิยามให้ A ⋅ A−1 = A −1⋅ A = I
เมตริกซ์ 1 × 1 เมตริกซ์ 2 × 2
ถ้า A = ⎣⎡ a ⎦⎤ จะได้ว่า A −1 = ⎣⎡ 1/a ⎦⎤ ถ้า A = ⎡⎢ac bd⎤⎥ จะได้ว่า A−1 = 1

⎡ d −b ⎤
⎣ ⎦ det (A) ⎢⎣ −c a ⎥⎦
เมตริกซ์ n×n ใดๆ ตั้งแต่ 2×2 ขึ้นไป จะใช้วิธีโคแฟกเตอร์เช่นเดิม
t
(Cof (A))
สูตรคือ A −1 = และเรียก (Cof (A))t ว่า adj A ก็ได้
det (A)
15. เมตริกซ์ที่จะหาอินเวอร์สการคูณได้ ต้องเป็นเมตริกซ์ไม่เอกฐาน ( det ≠ 0) เท่านั้น
16. สมบัตขิ องอินเวอร์สการคูณ
• (AB)−1 = B−1A −1
1 • (A −1)n = (An)−1 = A −n
• (kA)−1 = ⋅ A −1
k • (A −1)−1 = A
−1 1
• A −1 = A =
A
17. ข้อควรระวังในสมการเมตริกซ์
- เมื่อทําการย้ายข้างตัวคูณ ไปเป็นอินเวอร์สอยู่อีกฝั่ง ต้องคํานึงถึงลําดับด้วย เพราะการคูณไม่มี
สมบัติการสลับที่.. เช่น AB = C กลายเป็น B = A −1C ได้.. แต่เป็น B = CA −1 ไม่ได้
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 638 ฉบับเขมขน

- ตรวจสอบเสมอว่า สมการยังเป็นเมตริกซ์ทั้งสองข้างหรือไม่ (หากย้ายข้างเมตริกซ์ ไปเป็นอิน


เวอร์สจนหมด อย่าลืมเหลือเมตริกซ์ I ไว้ด้วย..)
- สมการเมตริกซ์สามารถคูณเข้าทั้งสองข้างได้เสมอ แต่การตัดออกทั้งสองข้างบางครั้งใช้ไม่ได้
- ใส่เครื่องหมาย det ทั้งสองข้างได้เสมอ แต่การตัดออกทั้งสองข้างก็มักจะใช้ไม่ได้
- ถ้า AB = 0 แล้ว ไม่จําเป็นที่ A หรือ B ต้องเป็น 0
18. การคํานวณเกี่ยวกับ adj A ควรพิสูจน์จากสมการ A −1 = adj A ก่อน เพื่อให้สะดวก เช่น
det (A)
A
det (A) ⋅ I = A (adj A) , adj A −1 = , det (adj A) = (det (A))n − 1 ฯลฯ
det (A)
19. ระบบสมการเชิงเส้นที่มีจํานวนตัวแปรเท่ากับจํานวนสมการ จะเขียนให้อยู่ในรูปสมการเมตริกซ์
ได้ เป็น AX = B (เรียก A ว่า เมตริกซ์สัมประสิทธิ์, X เป็นเมตริกซ์ตัวแปร, และ B เป็นเมตริกซ์
ค่าคงที่) สิ่งที่เราต้องการหาก็คอื เมตริกซ์ X
⎛ 4x + 2y − z = 0 ⎡4 2 − 1⎤ ⎡ x ⎤ ⎡0⎤
⎜ ⎢ 1 −1 0 ⎥ ⎢y ⎥ = ⎢ 3 ⎥
เช่น ⎜x − y = 3 แปลงเป็นสมการเมตริกซ์ได้ว่า ⎢ ⎥⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎜ 5x − 3y + 2z + 1 = 0
⎝ ⎢⎣5 − 3 2 ⎥⎦ ⎢⎣ z ⎥⎦ ⎢⎣ − 1⎥⎦

- แก้สมการโดยวิธีอินเวอร์ส AX = B → X = A −1B
det (Ai)
- กฎของคราเมอร์ xi = ... เมื่อ Ai คือนํา B มาแทนหลักที่ i ของ A
det (A)
20. การดําเนินการตามแถว ... สามารถกระทําได้ 3 ลักษณะ คือ
a) นําค่าคงที่ k (ที่ไม่ใช่ 0) ไปคูณไว้แถวใดแถวหนึ่ง
b) นําค่าคงที่ k ไปคูณแถวใดแถวหนึ่ง แล้วเอาไปบวกไว้ที่แถวอื่น
c) สลับแถวกัน 1 ครั้ง
- ใช้เครื่องหมาย ~ แทนการดําเนินการแต่ละขั้นตอน และเขียนวิธีกํากับไว้
21. นําไปใช้ประโยชน์ในการหาอินเวอร์สการคูณ (A −1) และแก้ระบบสมการ AX = B ได้
- การหาอินเวอร์สการคูณ ⎡⎣ A I ⎤⎦ ~ ⎡ I A −1 ⎤
⎣ ⎦
- การแก้ระบบสมการ ⎡⎣ A B ⎤⎦ ~ ⎡⎣ I X ⎤⎦

- เทคนิคการทําให้เป็น I โดยเร็วที่สุดคือ ทําให้เป็น 0 ทั้งหมดทีละสามเหลี่ยม (ล่าง หรือบน)


22. การดําเนินการตามแถวทั้งสามแบบ ส่งผลต่อค่า det ดังนี้
a) detใหม่ = k ⋅ detเก่า
b) detใหม่ = detเก่า (det ไม่เปลี่ยน, ใช้ช่วยในการหา det ได้)
c) detใหม่ = − detเก่า
ทั้งนี้ การดําเนินการตามหลัก ก็ให้ผลเช่นเดียวกัน เนื่องจากสมบัติ det (At) = det (A)

เวกเตอร์
1. ปริมาณในโลกมีสองชนิด คือ ปริมาณสเกลาร์ (ระบุเฉพาะขนาด) และปริมาณเวกเตอร์ (ระบุ
ทั้งขนาดและทิศทาง) ... การเขียนปริมาณเวกเตอร์จะใช้ลูกศร ให้ความยาวลูกศรแทนขนาด และหัว
ลูกศรแทนทิศทาง ชื่อของเวกเตอร์ตั้งตามจุดเริ่มและจุดสิ้นสุดของลูกศร เช่น ˜AB หรือจะใช้ตัวพิมพ์
เล็ก (ที่เติมขีดด้านบน) ก็ได้ เช่น u, v, w ... ส่วนขนาดของเวกเตอร์ u คือ u
2. เวกเตอร์สองอันจะเท่ากัน ก็ต่อเมื่อ มีขนาดเท่ากัน และมีทิศทางเดียวกัน (ไม่จําเป็นต้องมี
จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดเดียวกัน เช่น ˜ ˜
AB = CD ก็ได้ ถ้ามีขนาดเท่ากันและทิศเดียวกัน)

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 639 ฉบับเขมขน

3. เวกเตอร์บวกกัน สามารถหาผลลัพธ์ได้สองวิธี คือ หัวต่อหาง และหางต่อหาง


- การบวกเวกเตอร์มีสมบัติเหมือนการบวกจํานวนจริงทุกประการ ได้แก่
สมบัติปิด, สมบัติการสลับที่, สมบัติการเปลี่ยนกลุ่ม, การมีเอกลักษณ์, และการมีอินเวอร์ส
- เอกลักษณ์การบวกของเวกเตอร์ คือ เวกเตอร์ศูนย์ ( 0 ) เป็นเวกเตอร์ที่มีขนาด 0 หน่วย
- อินเวอร์สการบวกของ u เขียนสัญลักษณ์ว่า −u หมายถึง เวกเตอร์ขนาดเท่ากันแต่ทิศตรงข้าม
กับ u ... (หรือกล่าวว่า − ˜AB = ˜BA )
4. การลบเวกเตอร์ เป็นการบวกด้วยนิเสธ คือ u − v = u +(−v)
สามารถหาได้จากวิธีหางต่อหางแบบใหม่ คือเขียนเวกเตอร์ตัวตั้งและตัวลบแบบหางชนกัน
เวกเตอร์ลัพธ์ที่ได้ จะลากจากปลายลูกศรของตัวลบ มายังปลายลูกศรของตัวตั้ง
5. ขนาดของเวกเตอร์ลัพธ์ หาได้จากกฎของโคไซน์
2 2
u+v = u + v + 2 u v cos θ
เมื่อ θ คือ มุมระหว่าง u กับ v
2 2
u −v = u + v − 2 u v cos θ
และสามารถนําขนาดที่ได้ไปคํานวณหาทิศทางโดยกฎของไซน์
- มุม θ ระหว่าง u กับ v ต้องวัดระหว่างหางกับหางเสมอ และมีขนาดไม่เกิน 180 °
6. ผลที่ได้จากการคูณเวกเตอร์ u ด้วยสเกลาร์ a เป็นดังนี้
- ถ้า a = 0 จะได้ au = 0
- ถ้า a > 0 จะได้ au เป็นเวกเตอร์ที่มีทิศเดียวกันกับ u แต่มีขนาดเป็น a ⋅ u
- ถ้า a < 0 จะได้ au เป็นเวกเตอร์ที่มีทิศตรงข้ามกับ u และมีขนาดเป็น a ⋅ u
- การคูณด้วยสเกลาร์นี้มีสมบัติการเปลี่ยนกลุ่ม และการแจกแจง เช่นเดียวกับจํานวนจริง คือ
a (bu) = (ab) u , (a +b) u = au + bu , และ a (u + v) = au + av
7. ความสัมพันธ์ของ “การคูณด้วยสเกลาร์” และ “การขนานกันของเวกเตอร์”
เมื่อ u ≠ 0 และ v ≠ 0 จะได้ทฎษฎีว่า
- u จะขนานกับ v ก็ต่อเมื่อ มีค่า a ≠ 0 ที่ทําให้ u = av
- ถ้า u ไม่ขนานกับ v , หาก au + bv = 0 แสดงว่า a = 0 และ b = 0
8. การแก้โจทย์ปัญหาประเภท “เขียนเวกเตอร์ที่กําหนด ในรูปผลรวมเชิงเส้นของเวกเตอร์อื่น”
- เขียนเวกเตอร์ที่กําหนด ในรูปผลรวมของเวกเตอร์อื่นแบบใดก็ได้ ก่อน
- พยายามเปลี่ยนเวกเตอร์ที่ไม่ต้องการ เป็นผลรวมของเวกเตอร์ที่ต้องการ ไปทีละขั้นๆ
- เมื่อเหลือเพียงเวกเตอร์ที่ต้องการ ก็จัดเป็นรูปอย่างง่ายแล้วตอบ A
9. สูตรในการสร้างเวกเตอร์ภายในสามเหลี่ยม (ดูภาพประกอบ) B
m˜ AB + n ˜ AC
n
ถ้า BZ : ZC = n : m จะได้ว่า ˜ AZ = Z
m + n
10. เวกเตอร์ในระบบแกน B (x2,y2) m
พิกัดฉากสองมิติ
˜ ⎡ Δx ⎤
AB = ⎢ ⎥ = ⎢
⎡ x −x ⎤
2 1
C
Δ
⎣ ⎦y ⎣2y − y
1


A (x1,y1)
- ความสัมพันธ์ระหว่างพิกัดเชิงขั้ว กับพิกัดฉาก
Δx = r cos θ r = (Δx)2 + (Δy)2
Δy = r sin θ tan θ = (Δy/ Δx) = ความชัน
- เวกเตอร์สองอันจะเท่ากัน ก็ต่อเมื่อ Δx เท่ากัน และ Δy เท่ากัน
- เวกเตอร์สองอันขนานกันก็ต่อเมื่อ ความชันเท่ากัน (มีทั้งทิศเดียวกันและตรงข้าม)
และเวกเตอร์สองอันจะตั้งฉากกันก็ต่อเมื่อ ความชันคูณกันได้ –1
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 640 ฉบับเขมขน

- การบวกลบเวกเตอร์ และการคูณด้วยสเกลาร์ จะได้ผลเช่นเดียวกับเมตริกซ์ นั่นคือ


⎡a⎤ ⎡c ⎤ ⎡a+c ⎤ ⎡a⎤ ⎡ka ⎤
⎢b ⎥ + ⎢d⎥ = ⎢b + d⎥ k ⋅ ⎢ ⎥ = ⎢ ⎥
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣b ⎦ ⎣kb ⎦
11. เวกเตอร์หนึ่งหน่วย คือเวกเตอร์ที่มีขนาดเป็น 1
เวกเตอร์หนึ่งหน่วยที่สําคัญในระบบพิกัดฉากสองมิติ มีอยู่ 2 ตัว ได้แก่ i กับ j
โดย i แทนเวกเตอร์หนึ่งหน่วยในทิศทาง +x และ j แทนเวกเตอร์หนึ่งหน่วยในทิศทาง +y
นั่นคือ i = ⎡⎢01 ⎤⎥ และ j = ⎡⎢01 ⎤⎥ ... จะได้ว่าเวกเตอร์ ⎡⎢ba⎤⎥ = a i + b j
⎣ ⎦ ⎣ ⎦ ⎣ ⎦
12. เวกเตอร์หนึ่งหน่วยในทิศทางของ ˜
AB ใดๆ (ที่ไม่ใช่ 0 ) สามารถสร้างได้จากการนําขนาดของ
˜
AB
˜AB มาหาร (เพื่อทําให้ขนาดเหลือเพียง 1 หน่วย) เขียนเป็นสัญลักษณ์ได้ว่า ˜
|AB|
13. การคูณเวกเตอร์คู่หนึ่ง จะเกิดผลลัพธ์ได้ 2 แบบ คือ การคูณแบบดอท ( u ⋅ v ) ให้ผลลัพธ์
เป็นสเกลาร์ (ตัวเลข) อาจเรียกว่าผลคูณเชิงสเกลาร์ และการคูณแบบครอส ( u × v ) ยังคงให้
ผลลัพธ์เป็นเวกเตอร์ อาจเรียกว่าผลคูณเชิงเวกเตอร์
- ดอทในพิกัดฉาก ⎡⎢ba⎤⎥ ⋅ ⎡⎢dc⎤⎥ = (a i +b j) ⋅ (c i + d j) = ac+bd
⎣ ⎦ ⎣ ⎦
- ดอทในเชิงขั้ว u ⋅ v = u v cos θ
- ใช้สมการทั้งสองร่วมกันในการคํานวณเกี่ยวกับมุม θ ระหว่าง u กับ v
14. การหาขนาดผลรวมเวกเตอร์ด้วยกฎของโคไซน์ อาจเขียนใหม่ได้ว่า
2 2
u+v = u + v + 2 (u ⋅ v)
เมื่อ θ คือ มุมระหว่าง u กับ v
2 2
u −v = u + v − 2 (u ⋅ v)
15. สมบัติของการคูณเวกเตอร์แบบดอท
2
• u ⋅v = v ⋅u • u ⋅u = u
• u ⋅ (v + w) = u ⋅ v + u ⋅ w • 0⋅u = 0
• a (u ⋅ v) = a u ⋅ v • u ⋅ v = 0 ↔ u ⊥ v
16. ในความเป็นจริงจุดใดๆ ไม่ได้อยู่ในระนาบเดียวกันเสมอไป แต่อยู่ในปริภูมิสามมิติ เราจําเป็นต้อง
ใช้พิกัดฉาก 3 มิติ ซึ่งประกอบด้วยแกน x, y, และ z ตั้งฉากกันที่จุดกําเนิด ระนาบ xy, yz, xz
แบ่งปริภูมิออกเป็น 8 ส่วน เรียกแต่ละส่วนว่าอัฐภาค (มีลําดับเหมือนจตุภาคดังรูป)
z z
ระนาบ yz (x = 0)
3 2 ระนาบ xz (y = 0)
O 1 ระนาบ xy (z = 0)
y 4 y
6
x 8 5
z x z

Q(2,0,1) 1 P(2,4,1)
y 4 y
2
R(2,4,0)
x x

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 641 ฉบับเขมขน

17. หลักในการตั้งลําดับแกนคือ กฎมือขวา ... เมื่อแบมือขวาขึ้นตรงๆ และแยกนิ้วโป้งให้ตั้งฉากกับ


นิ้วชี้ จะได้ว่าปลายนิ้วทั้งสี่ชี้ไปในทิศ +x, ฝ่ามือหันไปในทิศ +y, และนิ้วโป้งชี้ไปในทิศ +z
18. ระบุตําแหน่งสิ่งต่างๆ ด้วย สามสิ่งอันดับ (Ordered Triple) B (x2,y2,z2)
ที่สมาชิกแต่ละตัวแทนระยะทางในแนว +x, แนว +y, และแนว ⎡ Δx ⎤ ⎡x2− x1 ⎤
+z ตามลําดับ เช่น สามสิ่งอันดับ (2, 4, 1) ˜
AB = Δy = ⎢y2− y1 ⎥
⎢ ⎥
⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎢⎣ Δz ⎥⎦ ⎢⎣z2− z1 ⎥⎦
19. เวกเตอร์ในพิกัดฉากสามมิติ A (x1,y1,z1)
⎡ 1⎤ ⎡0⎤ ⎡0⎤
เมื่อกําหนดเวกเตอร์หนึ่งหน่วยบนแต่ละแกนดังนี้ i = ⎢0⎥ , j = ⎢ 1⎥ , และ k = ⎢0⎥
⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣⎢0⎦⎥ ⎣⎢0⎦⎥ ⎣⎢ 1 ⎦⎥
⎡a⎤
ก็จะเขียนเวกเตอร์ ⎢b ⎥ ได้เป็น a i + bj + ck
⎢ ⎥
⎣⎢ c ⎦⎥
20. ขนาดของเวกเตอร์ r = (Δx)2 + (Δy)2 + (Δz)2
(เป็นสูตรระยะทางระหว่างจุดสองจุด คล้ายทฤษฎีบทปีทาโกรัสใน 2 มิติ)
⎡a⎤ ⎡ d⎤ ⎡ a + d⎤ ⎡a⎤ ⎡ka ⎤
21. การบวกลบเวกเตอร์ และการคูณด้วยสเกลาร์ ⎢b ⎥ + ⎢e ⎥ = ⎢b + e ⎥ k ⋅ ⎢b ⎥ = ⎢kb ⎥
⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣c ⎦ ⎣⎢ f ⎦⎥ ⎣⎢ c + f ⎦⎥ ⎣c ⎦ ⎣kc ⎦
⎡ a ⎤ ⎡ d⎤
การคูณแบบดอท ⎢b ⎥ ⋅ ⎢e ⎥ = (a i +b j + c k) ⋅ (d i + e j + f k) = ad + be + cf
⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣c ⎦ ⎣⎢ f ⎦⎥
และ u ⋅ v = u v cos θ (ใช้สมการทั้งสองร่วมกัน ในการคํานวณมุม θ ระหว่าง u กับ v )
22. มุมที่เวกเตอร์กระทํากับแกนทั้งสาม เรียกว่ามุมกําหนดทิศทาง ได้แก่ มุม α , β และ γ ซึ่ง
เป็นมุมที่เวกเตอร์ทํากับแกน +x , แกน +y และแกน +z ตามลําดับ ... หาได้โดยการดอท (นํา
เวกเตอร์ดอทกับ i , j , k ทีละอัน) จะได้ cos α = a , cos β = b , และ cos γ = c
u u u
เรียกค่าทั้งสามนี้ว่า โคไซน์แสดงทิศทาง (มักกล่าวถึงค่าเหล่านี้แทนมุม)
และมีสมบัติว่า cos 2 α + cos 2 β + cos 2 γ = 1 เสมอ
23. เวกเตอร์สองอันจะขนานกัน ก็ต่อเมื่อ โคไซน์แสดงทิศทางของ u กับ v ทั้งชุดมีค่าตรงกัน
หรือเป็นค่าติดลบของกัน ... และเวกเตอร์สองอันจะตั้งฉากกัน ก็ต่อเมื่อ u ⋅ v = 0 เท่านั้น
⎡ a ⎤ ⎡ d⎤ ⎡ bf − ce ⎤ i j k
24. การคูณเวกเตอร์แบบครอส ⎢b ⎥ × ⎢e ⎥ = ⎢ cd− af ⎥ = a b c
⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥
⎣ c ⎦ ⎣⎢ f ⎦⎥ ⎣ae −bd⎦ d e f u×v
ผลลัพธ์ที่ได้ จะตั้งฉากกับระนาบ uv ... หาทิศทางได้ด้วยกฎมือขวา u
โดยสี่นิ้วพุ่งไปทาง u กํามือเข้าหา v ผลลัพธ์มีทิศทางตามนิ้วโป้งที่ชูขึ้น
v v×u
ขนาดของเวกเตอร์ลัพธ์ที่ได้ u × v = u v sin θ
25. สมบัติของการคูณเวกเตอร์แบบครอส
• u × v = − (v × u)
• u× u = 0
• u × (v + w) = u × v + u × w
• 0× u = 0
• a (u × v) = a u × v
• u ⋅ (v × w) = (u × v) ⋅ w • u× v = 0 ↔ u v

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 642 ฉบับเขมขน

26. พื้นที่สามเหลี่ยม ที่มีด้านประชิดเป็น u กับ v และมุม


ระหว่างเวกเตอร์เป็น θ คือ 1 u v sin θ → 1 u × v u
2 2
พื้นที่สี่เหลี่ยมด้านขนาน คือ u v sin θ → u × v θ
27. ปริมาตรทรงสี่เหลี่ยมหน้าขนาน ที่มีด้านประชิดเป็นเวกเตอร์ v
u1 u2 u3
u, v, w คือ u ⋅ (v × w) = v 1 v2 v 3
w 1 w2 w 3

จํานวนเชิงซ้อน
1. ระบบจํานวนที่ใหญ่ที่สุดซึ่งประกอบด้วยส่วนจริงและส่วนจินตภาพ ในรูป a + bi (โดย
a, b ∈ R ) และนิยามให้ i = −1 เรียกว่าจํานวนเชิงซ้อน ( C ) มี a เป็นส่วนจริง และ b เป็น
ส่วนจินตภาพ และมักแทนตัวแปรที่เป็นจํานวนเชิงซ้อนด้วย z
- จาก z = a + bi บางทีเขียนว่า a = Re (z) และ b = Im (z) ก็ได้
- สามารถใช้คู่อันดับ (a, b) แทนจํานวนเชิงซ้อน z = a + bi ได้ และทําให้แผนภาพเปลี่ยนจาก
เส้นจํานวนในแกนนอน 1 มิติ กลายเป็นระนาบเชิงซ้อน 2 มิติ (มีแกนจริงกับแกนจินตภาพ)
2. กําลังของ i มี 4 แบบหมุนเปลี่ยนกัน คือ i 1 = i ... i 2 = −1 ... i 3 = − i ... i 4 = 1
i 5 = i ... i 6 = −1 ... i 7 = − i ... i 8 = 1 ...
3. ในการคํานวณเราปฏิบัติเหมือนกับ i เป็นตัวแปรหนึ่ง (ซึ่ง i2= −1 ) เพียงเท่านั้น
- การเท่ากัน a + bi = c + di ก็ต่อเมื่อ a = c และ b = d
- การบวก (a + bi) + (c + di) = (a+ c) + (b+ d) i
- การคูณ (a + bi) × (c + di) = (ac−bd) + (ad+bc)i
4. สมบัติของจํานวนเชิงซ้อน เหมือนกับสมบัติของจํานวนจริงทุกประการ นั่นคือ มีสมบัติปิด, การ
สลับที่การบวกและคูณ, การเปลี่ยนกลุ่มการบวกและคูณ, การแจกแจง, และการมีเอกลักษณ์กับอิน
เวอร์ส โดยเอกลักษณ์การบวกก็คือ 0 หรือ 0 + 0 i หรือ (0, 0) และเอกลักษณ์การคูณคือ 1 หรือ
1 + 0 i หรือ (1, 0) เช่นเดียวกับในระบบจํานวนจริง
- อินเวอร์สการบวกของ z = a + bi ก็คือ −z = −a − bi
- อินเวอร์สการคูณของ z = a + bi คือ z−1 = 1 = 1 ซึ่งสามารถทําให้อยู่ในรูปปกติได้โดย
z a + bi
1 a − bi ⎛ a ⎞ ⎛ b ⎞
นํา a − bi คูณทั้งเศษและส่วน จะได้ = 2 2 = ⎜ 2 2⎟ − ⎜ 2 2⎟i
a + bi a +b ⎝ a +b ⎠ ⎝ a +b ⎠
และมีทฤษฎีบทว่า (z1z2)−1 = z1−1 z2−1 และ (zn)−1 = (z−1)n = z−n
5. ในเศษส่วนหนึ่งๆ เมื่อมีจํานวนเชิงซ้อน a + bi เป็นตัวส่วน จะนําสังยุคของ a + bi คือ a − bi
มาคูณทั้งเศษและส่วน เพื่อให้ตัวส่วนกลายเป็นเลขจํานวนจริง ( a2+b2 )
สัญลักษณ์ที่ใช้แทนสังยุคของ z = a + bi คือ z = a − bi
- สมบัติของสังยุค
• z = z ก็ต่อเมื่อ z เป็นจํานวนจริงเท่านั้น และ z = z เสมอ
n n
• (z ) = (z) และ (z ) = (z)
−1 −1
n∈ I +

• z1 ± z2 = z1 ± z2
• z1z2 = z1z2 และ z1 ÷ z2 = z1 ÷ z2

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 643 ฉบับเขมขน

6. ค่าสัมบูรณ์ของจํานวนจริงและจํานวนเชิงซ้อนใดๆ คือระยะห่างจากจุดนั้นไปถึงจุดกําเนิด (0, 0)


ดังนั้น z = a + bi = a2+b2
- สมบัติของค่าสัมบูรณ์
2
• z มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 0 เสมอ และ z ⋅ z = z
• z = −z = z
−1
• z−1 = z และ zn = z n n ∈ I+
• z1z2 = z1 z2 และ z1 ÷ z2 = z1 ÷ z2 ...ที่สําคัญคือค่าสัมบูรณ์กระจายบวกลบไม่ได้
7. การอ้างถึงพิกัด (a, b) ของจํานวนเชิงซ้อน อาจจะกล่าวได้อีกแบบเป็น (r, θ) โดยที่ r แทน
“ระยะห่างจากจุดกําเนิด” และ θ แทน “ทิศทาง หรืออาร์กิวเมนต์” (มุมวัดทวนเข็มจากแกน +x )
เรียกรูปแบบนี้ว่ารูปเชิงขั้ว ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างสองระบบนี้เป็นดังนี้
a = r cos θ r = a2 + b2 = z
b = r sin θ tan θ = (b/a)
เราอาจเขียนรูปทั่วไปของ z = a + bi ได้ใหม่ว่า z = (r cos θ) + (r sin θ)i
หรือ z = r (cos θ + i sin θ)
- จาก z = r (cos θ + i sin θ) บางทีเขียนว่า r = Abs (z) และ θ = Arg(z)
- บางตําราใช้สัญลักษณ์ z = r ∠θ หรือ z = r cis θ เพื่อความสะดวกในการเขียน, คํานวณ
8. รูปเชิงขั้วสามารถนํามาใช้ประโยชน์ในการคูณ หาร ยกกําลัง และถอดรากของจํานวนเชิงซ้อนได้
สะดวก โดยมีทฤษฎีอยู่ดังนี้
ถ้า z1 = r1 (cos θ1 + i sin θ1) และ z2 = r2 (cos θ2 + i sin θ2) แล้ว
- การคูณ z1z2 = r1r2 (cos (θ1+θ2) + i sin(θ1+θ2))
- การหาร z1 /z2 = (r1 /r2)(cos (θ1−θ2) + i sin(θ1−θ2))
- การยกกําลัง zn = rn (cos (nθ) + i sin(nθ)) ... เรียกว่าทฤษฎีบทของเดอมัวฟ์
- รากที่ n ของ z มีอยู่ n คําตอบเสมอ เพราะมาจากสมการ ? n = z
คําตอบแรก คือ n z = n r (cos (θ) + i sin(θ)) และคําตอบทีเ่ หลือจะมีขนาดเท่ากันแต่มุมต่างๆ
n n
กัน หาค่ามุมได้จากการแบ่งวงกลม 360° ออกเป็น n ส่วนเท่าๆ กันโดยมีมุม θ/n นี้เป็นจุดๆ หนึ่ง
ในบรรดาคําตอบ
9. สมการพหุนามดีกรี n ในรูป anxn+ an − 1xn − 1+ an − 2xn − 2+ ... + a0 = 0 จะหาคําตอบได้ n จํานวน
เสมอ ซึ่งใน n คําตอบนี้ อาจเป็นจํานวนจริงและจํานวนเชิงซ้อนปนกันอยู่
สามารถคํานวณโดยแยกคําตอบที่เป็นจํานวนจริงออกจนเหลือเพียงดีกรีสอง แล้วอาศัยสูตร
−b ± b2− 4ac
x = ช่วยในการหาคําตอบที่เป็นจํานวนเชิงซ้อน
2a
−b ± b2− 4ac
- จากสูตร x = ทําให้เราพบว่า ในสมการที่สัมประสิทธิ์ทั้งหมดเป็นจํานวนจริง ถ้า
2a
A + Bi เป็นคําตอบหนึง่ ของสมการแล้ว จะมีสังยุค A − B i เป็นอีกคําตอบด้วยเสมอ
- หากไม่ต้องการใช้สูตร อาจใช้วิธีจัดกําลังสองสมบูรณ์ก็ได้
เช่น x2 + 4x + 7 = 0 → (x2 + 4x + 4) + 3 = 0 → (x + 2)2 + 3 = 0 → x = −2 ± 3 i
- ทฤษฎีเศษเหลือ และทฤษฎีตัวประกอบ (หารลงตัว) ของพหุนาม ที่เคยได้ศึกษาในเรื่องจํานวน
จริง ยังคงใช้ได้กับจํานวนเชิงซ้อน ... และการหารสังเคราะห์ก็ยังใช้ได้เช่นกัน

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 644 ฉบับเขมขน

ทฤษฎีกราฟ
1. กราฟ ในที่นี้หมายถึง แผนภาพซึ่งประกอบด้วยจุดและเส้นที่เชื่อมจุด การเกิดเป็นกราฟได้จะต้อง
มีจุดอย่างน้อยหนึ่งจุด แต่กราฟอาจไม่มีเส้นเลยสักเส้นก็ได้
เซตของจุดยอด เรียกว่า V (G) และเซตของเส้นเชื่อม เรียกว่า E(G)
2. ข้อตกลงในการเขียนแผนภาพของกราฟ คือ จะวางจุดยอดจุดใดไว้ตําแหน่งใดก็ได้ และจะลากเส้น
เชื่อมเป็นเส้นตรงหรือโค้งก็ได้ (แต่หากเส้นเชื่อมสองเส้นที่ลากขึ้นนั้นตัดกัน จุดตัดที่เกิดขึ้นจะไม่
นับเป็นจุดยอดของกราฟ)
3. เส้นเชื่อมขนาน เป็นเส้นที่เชื่อมจุดปลายคู่เดียวกัน
วงวน เป็นเส้นเชื่อมที่มีปลายทั้งสองเป็นจุดๆ เดียว
4. จุดยอดที่ประชิดกัน คือจุดที่มีเส้นเชื่อมระหว่างกัน
เส้นเชื่อมเกิดกับจุดยอด เมื่อจุดยอดเป็นปลายหนึ่งของเส้นเชื่อมนั้น
5. ดีกรีของจุดยอด คือจํานวนครั้งที่มีเส้นเชื่อมเกิดกับจุดยอดนั้น ใช้สัญลักษณ์ deg เช่น deg A
- ผลรวมดีกรีของจุดยอดทั้งหมดในกราฟ จะเป็น 2 เท่าของจํานวนเส้นเชื่อม
6. จุดยอดที่มีดีกรีเป็นจํานวนคู่ เรียกว่าจุดยอดคู่ และจุดยอดที่มีดีกรีเป็นจํานวนคี่ เรียกว่าจุดยอดคี่
- จํานวนจุดยอดคี่ของกราฟใดๆ จะต้องเป็นจํานวนคู่เสมอ (ส่วนจุดยอดคู่จะมีกี่จุดก็ได้)
7. ลําดับที่ประกอบด้วยจุดสลับกับเส้น เช่น C, e7 , B, e5 , A, e3 , D หรือประกอบด้วยจุด เช่น
C, B, A, D เรียกว่า แนวเดิน เช่นแนวเดิน C − D
- หากทุกๆ จุดยอดมีแนวเดินถึงกัน จะเรียกว่าเป็น กราฟเชื่อมโยง
8. แนวเดินซึ่งเริ่มและจบที่จุดเดียวกัน โดยไม่ใช้เส้นเชื่อมซ้ํากันเลย เรียกว่า วงจร
ถ้าวงจรนั้นผ่านจุดยอดและเส้นเชื่อมทั้งหมดที่มีในกราฟ เรียกว่า วงจรออยเลอร์
กราฟใดที่สามารถหาวงจรออยเลอร์ได้ จะถูกเรียกว่าเป็น กราฟออยเลอร์
9. ปัญหาสะพานเคอนิกส์แบร์ก ถามว่าเป็นไปได้ไหมที่เราจะเริ่มต้นจากจุดหนึ่งบนแผ่นดิน แล้วเดิน
ข้ามสะพานให้ครบทุกอันในเมือง (ในแผนที่) จนกลับมายังจุดเริ่มต้น โดยไม่ซ้ําสะพานเดิมเลย
- ลักษณะของปัญหาเหมือนกับ “การลากเส้นวาดรูปโดยไม่ยกดินสอ” ซึ่งคําตอบจะได้จากการ
พิจารณาว่าแผนภาพนั้น “เป็นกราฟออยเลอร์หรือไม่”
10. กราฟออยเลอร์จะต้องเป็นกราฟเชื่อมโยง และจุดยอดทุกจุดเป็นจุดยอดคู่
ดังนั้นคําตอบของปัญหาสะพานเคอนิกส์แบร์ก คือ “เป็นไปไม่ได้”
11. กราฟถ่วงน้ําหนัก คือกราฟที่เส้นเชื่อมทุกเส้นมีจํานวนจริงบวกเขียนกํากับไว้ เรียกจํานวนนี้ว่า ค่า
น้ําหนัก ซึ่งอาจใช้แทนระยะทางระหว่างจุด, ระยะเวลาที่ใช้เดินทางระหว่างจุด, ค่าใช้จ่ายในการสร้าง
เส้นทาง, หรืออื่นๆ เพื่อบ่งบอกให้ทราบความแตกต่างระหว่างแต่ละเส้น
12. เรานําทฤษฎีกราฟเบื้องต้นไปประยุกต์ใช้แก้ปัญหาบางอย่างได้ เช่น การหาเส้นทางมุ่งไปยัง
จุดหมายให้สั้นที่สุด (วิถีที่สั้นที่สุด คือแนวเดินซึ่งไม่ซ้ําจุดยอดเดิม และมีผลรวมค่าน้ําหนักน้อยที่สุด)
และการเลือกวางเส้นทางให้เชื่อมทุกจุดโดยประหยัดที่สุด (ต้นไม้แผ่ทั่ว คือกราฟเชื่อมโยงที่ไม่มีรูป
ปิด และใช้จุดยอดครบทุกจุด ต้นไม้แผ่ทั่วของกราฟที่มีจุดยอด n จุด จะมีเส้นเชื่อม n − 1 เส้น
เสมอ ... ต้นไม้แผ่ทั่วที่น้อยที่สุด คือต้นไม้ที่มีค่าน้ําหนักรวมน้อยที่สุด)

ลําดับและอนุกรม
1. ลําดับ คือค่าของฟังก์ชันที่นํามาเขียนเรียงกัน เมื่อโดเมนของฟังก์ชันเป็นเซตจํานวนนับ 1,2,3,...
- เรียก a1 ว่า “พจน์ที่ 1” ของลําดับ, เรียก a2 ว่าพจน์ที่ 2 ของลําดับ, ไปเรื่อยๆ
- พจน์ที่ n ใดๆ เขียนแทนด้วย an จะเรียกว่าพจน์ทั่วไป และนิยมเขียนรูปแบบของลําดับด้วย an

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 645 ฉบับเขมขน

2. ลําดับที่มีจํานวนพจน์ที่แน่นอน เช่น 8 พจน์, 15 พจน์, หรือ n พจน์ก็ได้ จะเรียกว่า ลําดับจํากัด


ส่วนลําดับที่มีจํานวนพจน์มากจนนับไม่ได้ จะเรียกว่า ลําดับอนันต์
3. ลําดับที่เราพบบ่อย มีสองประเภท คือลําดับเลขคณิต และลําดับเรขาคณิต
- ลําดับเลขคณิต คือลําดับที่ “ผลต่างของพจน์ติดกันเป็นค่าคงตัว” เรียกค่านี้ว่า ผลต่างร่วม d
พจน์ทั่วไปเป็น an = a1 + (n−1) d
- ลําดับเรขาคณิต คือลําดับที่ “ผลหารของพจน์ติดกันเป็นค่าคงตัว” เรียกค่านี้ว่า อัตราส่วนร่วม r
พจน์ทั่วไปเป็น an = a1 ⋅ r(n − 1)
4. ข้อสังเกตคือลําดับเลขคณิต จะเป็นฟังก์ชันเส้นตรง โดยมีความชัน = d ... เช่น an = 8 + 3n
ส่วนลําดับเรขาคณิต จะเป็นฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล โดยมีฐาน = r ... เช่น an = 8 ⋅ 3 n
5. หากต้องการทราบว่า ในลําดับ (อนันต์) ลําดับหนึ่งนั้น ถ้า n ยิ่งมากขึ้นจนเข้าใกล้ ∞
( n → ∞ ) แล้ว ค่าของ an จะเข้าใกล้ค่าใด ( an → ? ) เราเรียกว่าการหาลิมิตของลําดับ ... และ
ค่าที่ได้นี้เรียกว่า ลิมิต เขียนด้วยสัญลักษณ์ nlim →∞
an

- ลําดับเรขาคณิต ... nlim (rn) เมื่อ r เป็นค่าคงที่ จะมีได้สี่กรณี คือ ไม่มีลิมิต เมื่อ r < − 1 ,
→∞

เป็น 0 เมื่อ | r | < 1 , เป็น 1 เมื่อ r = 1 , และหาค่าไม่ได้ เมื่อ r > 1


- ลําดับเลขคณิต ลิมิตหาค่าไม่ได้เสมอ (ยกเว้นกรณีที่ d=0)
6. ลําดับที่หาค่าลิมิตได้ เรียกว่า ลําดับลู่เข้า (คอนเวอร์เจนต์)
และลําดับที่ไม่มีลิมิต หรือหาค่าลิมิตไม่ได้ จะเรียกว่า ลําดับลู่ออก (ไดเวอร์เจนต์)
- การหาค่าลิมิต สามารถใช้สมบัติการกระจาย แจกแจงได้ทุกรูปแบบ ทั้งการบวก ลบ คูณ หาร
ยกกําลัง หรือถอดราก
P (n)
- รูปแบบ nlim เมื่อ P และ Q เป็นพหุนาม จะมีได้สามกรณี คือ เป็น 0 เมื่อดีกรี P น้อย
Q (n)
→∞

กว่า Q, เป็นสัมประสิทธิ์ตัวแรกหารกัน เมื่อดีกรีของ P และ Q เท่ากัน, และหาค่าไม่ได้ เมื่อดีกรี P


มากกว่า Q
n
7. อนุกรม คือผลบวกของแต่ละพจน์ในลําดับ ..ค่าของอนุกรมสามารถเขียนเป็นสัญลักษณ์ ∑ ai ได้
i=1

ซึ่งผลบวกย่อย n พจน์แรกของอนุกรม จะใช้สัญลักษณ์ Sn



(ดังนั้น ค่าของอนุกรมอนันต์ก็คือ S∞ = ∑ ai = nlim
→∞
Sn )
i=1

- อนุกรมที่หาค่า S∞ ได้ เรียกว่าอนุกรมลู่เข้า (คอนเวอร์เจนต์) และอนุกรมที่หาค่า S∞ ไม่ได้


เรียกว่าอนุกรมลู่ออก (ไดเวอร์เจนต์)
8. อนุกรมเลขคณิต
n n
• Sn = ∑ ⎡⎣a1 + (i− 1) d⎤⎦ = (a1+ an) หรืออาจเขียนเป็น Σ เพื่อใช้สูตรคํานวณค่า
i=1 2
• S∞หาค่าไม่ได้เสมอ (ยกเว้นอนุกรม 0 + 0 + 0 + 0 +…)
9. อนุกรมเรขาคณิต
a1(1 − rn)
• Sn =
1−r
a1
• S∞ หาค่าได้ก็เมื่อ | r |< 1 เท่านั้น และค่าที่ได้คือ S∞ =
1−r

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 646 ฉบับเขมขน

10. สมบัติของ Σ 11. สูตรซิกม่าที่ควรทราบ


n n n(n+ 1)
• ∑k = n⋅k • ∑i =
2
i=1 i=1
n n n n(n+ 1)(2n+ 1)
• ∑ k ai = k ⋅ ∑ ai • ∑ i2 = 6
i=1 i=1 i=1
n n n 2
• ∑ (ai ±bi) = ∑ ai ± ∑ bi
n
⎡ n(n+ 1)⎤
i=1 i=1 i=1
• ∑ i3 = ⎢ 2 ⎥
i=1 ⎣ ⎦

ลิมิตและความต่อเนื่อง
1. การหาลิมิตของ f (x) สําหรับฟังก์ชัน y = f (x) ใดๆ คือการพิจารณาว่า เมื่อ x มีค่าเข้าใกล้ค่า
จํานวนจริงค่าใดค่าหนึ่ง (เช่น เข้าใกล้ a) แล้ว ค่าของ y หรือ f (x) จะเข้าใกล้ค่าใด
- ค่าลิมิตที่ได้จะเขียนเป็นสัญลักษณ์ว่า xlim
→a
y หรือ lim f (x)
x→a

2. ทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิต
lim c = c lim [f (x)] n = [ lim f (x)] n
x→a x→a x→a

lim x = a lim n f (x) = n lim f (x)


x→a x→a x→a
n n
lim x = a lim [f (x) ± g (x)] = lim f (x) ± lim g (x)
x→a x→a x→a x→a
lim c f (x) = c lim f (x) lim [f (x) ⋅ g (x)] = lim f (x) ⋅ lim g (x)
x→a x→a x→a x→a x→a
lim [f (x) ÷ g(x)] = lim f (x) ÷ lim g(x)
x→a x→a x→a

3. ฟังก์ชันใดๆ จะมีค่า xlim


→a
f (x) = L ก็ต่อเมื่อ lim f (x) = lim f (x) = L เท่านั้น
x→a x→a − +

- คําว่า xlim f (x) คือลิมิตซ้าย หาได้จากกรณีที่ x มีค่าเข้าใกล้ a ทางซ้าย (หรือ x < a )


→a −

- คําว่า xlim
→a
f (x) คือลิมิตขวา หาได้จากกรณีที่ x มีค่าเข้าใกล้ a ทางขวา (หรือ x > a )
+

4. รูปแบบไม่กําหนด คือรูปแบบที่ยังสรุปไม่ได้ว่าค่าลิมิตเป็นเท่าใด
ได้แก่ รูปแบบ 0 , ∞ , 0 ⋅ ∞ , ∞ − ∞ , 00 , ∞0 และ 1∞ ... ซึ่งรูปแบบที่พบบ่อยในบทนี้ คือ 0
0 ∞ 0
0
- ถ้า lim f (x) อยู่ในรูปแบบ ... เทคนิคการคํานวณคือ พยายามแยกพจน์ x−a ในเศษและ
x→a 0
ส่วนมาตัดกัน เพื่อไม่ให้เหลือตัวประกอบในเศษและส่วนเป็นเลข 0 ... อาจใช้วิธีแยกตัวประกอบ การ
นําสังยุคหรืออื่นๆ ที่เหมาะสมคูณทั้งเศษและส่วน หากเป็นรากที่สอง รากที่สาม
5. สาเหตุที่เราสามารถกําจัด x − a ทั้งเศษและส่วนได้ ก็เพราะการหาลิมิตนั้นไม่ได้คํานึงถึงตําแหน่ง
ที่ x = a อยู่แล้ว ... คือแม้ f (a) จะไม่นยิ าม (เพราะส่วนเป็นศูนย์) แต่ xlim →a
ก็ยังหาได้
6. การพิจารณาความต่อเนื่องของฟังก์ชัน ณ จุดใดๆ คือการบอกว่ากราฟของฟังก์ชันขาดตอนที่จุด
นั้นหรือไม่ โดยสําหรับฟังก์ชัน f (x) ใดๆ จะต่อเนื่องที่ x = a ก็ต่อเมื่อ
lim f (x) = f (a) = lim f (x) เท่านั้น (และต้องหาค่าได้ทั้งสามตัว)
x→a −
x→a +

7. นิยามของความต่อเนื่องบนช่วง
- ฟังก์ชัน f (x) ต่อเนื่องบนช่วงเปิด (a, b) ก็ต่อเมื่อ f (x) ต่อเนื่องทุกๆ จุดในช่วง (a, b)
- ฟังก์ชัน f (x) ต่อเนื่องบนช่วงปิด [a, b] ก็ต่อเมื่อ f (x) ต่อเนื่องบนช่วง (a, b) , ต่อเนื่องทางขวา
ของ a [คือ f (a) = xlim→a
f (x) ], และต่อเนื่องทางซ้ายของ b [คือ f (b) = lim f (x) ]
+
x →b −

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 647 ฉบับเขมขน

อนุพันธ์และการอินทิเกรต
1. อัตราการเปลี่ยนแปลงโดยเฉลี่ยของ y เทียบกับ x (ในช่วง x ถึง x+h ใดๆ)
คือ f (x +h) − f (x) หรือ Δy
h Δx
และเมื่อบีบช่วง h ให้แคบลงจนใกล้ 0 จะได้อัตราการเปลี่ยนแปลง ณ จุด x ที่กําหนด
f (x + h) − f (x) Δy
ฉะนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงของ y (ที่จุด x ใดๆ) คือ hlim หรือ Δlim
→0 hx →0 Δx
2. อัตราการเปลี่ยนแปลง ของ y = f (x) ที่จุด x ใดๆ เรียกอีกอย่างได้ว่า อนุพันธ์
f (x + h) − f (x)
ฉะนั้น อนุพันธ์ของ f (x) ก็คือ lim
h→0 h
นอกจากนั้นยังเป็นค่าความชันของกราฟ y = f (x) ณ จุดนั้นๆ ด้วย
- สัญลักษณ์ที่ใช้แทนอนุพันธ์ของ f (x) ได้แก่ f′ (x) หรือ dy หรือ d
f (x) หรือ y′ ก็ได้
dx dx
dy
- สัญลักษณ์ที่ใช้เจาะจงตําแหน่ง เช่น อนุพันธ์ที่จุดซึ่ง x=3 จะใช้ f′ (3) หรือ
dx x=3

3. สูตรในการหาอนุพันธ์
d n d
• x = n xn−1 • [ f (x) ± g(x)] = f′ (x) ± g′ (x)
dx dx
d d
• c = 0 • [ f (x) ⋅ g (x)] = f (x) g′ (x) + g(x) f′ (x)
dx dx
d d d ⎡ f (x) ⎤ g (x) f′ (x) − f (x) g′ (x)
• c f (x) = c f (x) • ⎢ g(x)⎥ =
dx dx dx ⎣ ⎦ [g(x)] 2
d dg df
4. อนุพันธ์ของฟังก์ชันคอมโพสิท (กฎลูกโซ่) ... คือ g (f (x)) = ⋅
dx df dx
- เขียนแบบฟังก์ชันได้เป็น (g f)′ (x) = g′ (f (x)) ⋅ f′ (x)
- อาจจะเขียนยาวกี่ทอดก็ได้ เช่น dg = dg ⋅ dh ⋅ df ⋅ dx
dt dh df dx dt
5. หากเราหาอนุพันธ์ของ f′ (x) ต่อไปอีก จะเรียกว่าเป็นอนุพันธ์อันดับสูง
n
- การเขียนสัญลักษณ์ อนุพันธ์อันดับที่ n จะเป็น d yn หรือ f(n)(x)
dx
แต่อันดับที่หนึ่ง สอง และสาม นิยมใช้เครื่องหมายขีด เป็น f′ (x), f′′ (x), f′′′ (x)
- อนุพันธ์อันดับที่หนึ่ง คือ f′ (x) นั้นคือ ความชัน (อัตราการเปลี่ยนแปลงของค่า y)
ส่วน อนุพันธ์อันดับที่สอง คือ f′′ (x) จะกลายเป็น “อัตราการเปลี่ยนแปลงของความชัน”
6. ฟังก์ชันเพิ่มคือความชันเป็นบวก ฟังก์ชันลดคือความชันเป็นลบ
ดังนั้น ช่วงที่ f′ (x) > 0 เป็นฟังก์ชันเพิ่ม และช่วงที่ f′ (x) < 0 เป็นฟังก์ชันลด
- เนื่องจากตําแหน่งที่ฟังก์ชันจะเปลี่ยนจากเพิ่มไปลด หรือจากลดไปเพิ่ม จะต้องมีการวกกลับของ
กราฟและทําให้เกิดจุดยอด สามารถหาโดย f′ (x) = 0 ... ค่า x ณ จุดนั้นเรียกว่าค่าวิกฤต
- ตําแหน่งที่ f′ (x) = 0 นั้น อาจไม่ใช่จดุ สูงสุดหรือต่ําสุดเสมอไป อาจเป็นจุดเปลี่ยนความเว้า
สามารถพิจารณาให้ละเอียดได้จากอัตราการเปลี่ยนแปลงของความชัน หรือ f′′ (x)
หาก f′′ (x) > 0 แสดงว่าความชันเปลี่ยนจากลดไปเพิ่ม เกิดจุดต่ําสุด
หาก f′′ (x) < 0 แสดงว่าความชันเปลี่ยนจากเพิ่มไปลด เกิดจุดสูงสุด
หาก f′′ (x) = 0 เป็นเพียงจุดเปลี่ยนเว้า ไม่ใช่จุดสูงสุดต่ําสุด

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 648 ฉบับเขมขน

7. ฟังก์ชันหนึ่งๆ หากมีการวกกลับของกราฟ ณ จุดใด ก็จะเรียกจุดนั้นว่าจุดสุดขีดสัมพัทธ์ (มีได้


หลายจุด) และหากจุดใดมีค่าฟังก์ชันมากที่สุดหรือน้อยที่สุดของกราฟแล้ว จะเรียกจุดนั้นว่าจุดสุดขีด
สัมบูรณ์ด้วย (สูงสุดกับต่ําสุด มีได้อย่างละ 1 จุด)
8. เราใช้ความรู้เรื่องค่าสูงสุดต่ําสุดของฟังก์ชัน ในการคํานวณโจทย์ปัญหาที่เป็นเหตุการณ์จริง เช่น
มีฟังก์ชันกําไร P (x) แล้วหาค่า x ที่ทําให้ได้กําไรมากที่สุด ... หลักในการสร้างสมการคือ ต้องเป็น
การคํานวณหาค่า x ที่ทําให้เกิด y สูงสุดหรือต่ําสุด แล้วเอาสมการนั้นมาคิด dy = 0
dx
9. การอินทิเกรต คือการกระทําที่ตรงข้ามกับกระบวนการหาอนุพันธ์
นั่นคือ ถ้า d F (x) = f (x) แล้ว จะได้ว่า ∫ f (x) dx = F (x)
dx
สัญลักษณ์ ∫ เรียกว่าเครื่องหมายอินทิกรัล และเรียก f (x) ว่าตัวถูกอินทิเกรต
10. สิ่งที่หาอนุพันธ์ได้ตรงตามค่าที่ต้องการ จะเรียกว่าปฏิยานุพันธ์ ทั้งหมด
ตัวอย่างเช่น F(x)
1 = x2 , F2(x) = x2+ 1 , F3(x) = x2+5 , F4(x) = x2− 7

ต่างก็เป็นปฏิยานุพันธ์ของ f (x) = 2x เนื่องจากล้วนทําให้ d F (x) = f (x)


dx
- รูปทั่วไปของปฏิยานุพันธ์ของ f (x) = 2x คือ x2+ c เมื่อ c เป็นค่าคงที่ใดๆ
เรียกว่าอินทิกรัลไม่จํากัดเขต ของ f (x) และเขียนสัญลักษณ์เป็น ∫ f (x) dx
- ปฏิยานุพันธ์มีได้หลากหลาย แต่อินทิกรัลไม่จํากัดเขตมีแบบเดียวเสมอ
11. สูตรในการหาอินทิกรัล
n xn+1 • ∫ k dx = kx + c
• ∫x dx =
n+ 1
+ c
• ∫ k f (x) dx = k ∫ f (x) dx
• ∫ [ f (x) ± g (x)] dx = ∫ f (x) dx ± ∫ g (x) dx
b
12. อินทิกรัลจํากัดเขต จะมีการระบุช่วงของ x ที่เครื่องหมายอินทิกรัล ดังสัญลักษณ์ a
∫ f (x) dx
b
โดยมีค่าเป็น a ∫ f (x) dx = F (x) ba = F (b) − F (a)
- ค่าของอินทิกรัลจํากัดเขตที่คํานวณได้ ก็คือพื้นที่ระหว่างโค้ง f (x) กับแกน x ตั้งแต่ x = a
จนถึง b โดยหากส่วนใดของโค้งนั้นอยู่ใต้แกนก็จะได้พื้นที่เป็นค่าลบ
- หากเราต้องการหาพื้นที่ระหว่างโค้ง f (x) กับแกน x ที่แท้จริง จะต้องตรวจสอบว่ามีช่วงใดของ
โค้งที่อยู่ใต้แกน x ก่อน เพื่อแยกชิ้นส่วนในการคํานวณ ไม่ให้พื้นที่บริเวณใดมีค่าติดลบ

ความน่าจะเป็น
1. กฎพื้นฐานเกี่ยวกับการนับ
- จากแผนภาพต้นไม้ ทําให้เราทราบว่า ในการทํางาน k ขั้นตอน โดยที่งานแต่ละขั้นตอนมี
ทางเลือกทําได้ ni แบบ จะมีจํานวนวิธีเลือกทํางานจนเสร็จสิ้น เท่ากับ n1 × n2 × ... × nk วิธี
(เอาจํานวนแบบมาคูณกัน)
- ถ้าการนับจําเป็นต้องแยกคิดหลายกรณี จะต้องนําผลคูณที่ได้ในแต่ละกรณีมาบวกกัน
2. เครื่องหมาย ! เรียกว่าแฟคทอเรียล มีนิยามว่า n! = n ⋅ (n−1) ⋅ (n−2) ⋅ ... ⋅ 3 ⋅ 2 ⋅ 1
เมื่อ n เป็นจํานวนนับ ... และกําหนดให้ 0 ! = 1

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 649 ฉบับเขมขน

3. จํานวนวิธีเรียงสับเปลี่ยนสิ่งของต่างๆ กัน n สิ่ง จะมี n! วิธี


แต่ถ้าเอามาเรียงเพียงแค่ r สิ่ง จะมี n! วิธี
(n−r)!
- จํานวนวิธีเรียงสับเปลี่ยนสิ่งของทั้งหมด n สิ่ง ซึ่งมีสิ่งของซ้ํากัน k1 สิ่ง, k2 สิ่ง, ...
n!
จะเรียงได้ วิธี
k1 ! ⋅ k2 ! ⋅ ...
4. จํานวนวิธีเรียงสับเปลี่ยนสิ่งของต่างๆ กัน n สิ่ง เป็นรูปวงกลม ให้คิดว่าระบุตําแหน่งเจาะจงก่อน
1 สิ่ง แล้วที่เหลือจึงจัดแบบเส้นตรงปกติ นั่นคือ (n−1)! วิธี
- หากการจัดนี้สามารถมองได้สองด้าน เช่น ร้อยมาลัย จํานวนวิธีจะลดลงเหลือ (n−1)! วิธี
2
5. วิธีจัดหมู่ ต่างจากเรียงสับเปลี่ยน ตรงที่จะไม่คํานึงถึงลําดับก่อนหลัง
n!
- จํานวนวิธีจดั หมู่สิ่งของต่างๆ กัน n สิ่ง โดยที่คัดออกมา r สิ่ง จะมี วิธี
(n−r)! ⋅ r !
⎛ n⎞
นิยมเขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ ⎜r ⎟ อ่านว่า “n เลือก r”
⎝ ⎠
6. การแบ่งของออกเป็นกลุ่มย่อยๆ
- จากการหยิบของ 5 ชิ้น ออกจากกองที่มี 12 ชิ้น ก็เหมือนการแบ่งแยกของออกเป็นสองกลุ่ม
กลุ่มละ 5 และ 7 ชิ้น จึงได้สูตรว่า 12 5 แบ่งกลุ่มได้ 12 ! วิธี
5! ⋅ 7 !
7 5
ดังนั้น ขยายผลออกไปถึงการแบ่งของ 12 ชิ้น เป็นสามกอง ดังนี้ 12 4
12 ! ⎛ 12 ⎞ ⎛ 7 ⎞ ⎛ 3 ⎞
ก็จะมีจํานวนวิธีเป็น วิธี (พิสูจน์ได้จาก ⎜ 5 ⎟ ⎜ 4 ⎟ ⎜ 3 ⎟ ) 3 2
5! ⋅ 4 ! ⋅ 3 ! ⎝ ⎠⎝ ⎠⎝ ⎠
- ถ้ามีกองใดที่จํานวนเท่ากัน และถือว่าการสลับที่ไม่ทําให้แตกต่างกัน 2
จํานวนวิธีจะต้องลดลง โดยคิดเช่นเดียวกับการสับเปลี่ยน เช่น การแบ่ง 12 2
12 ! 1
จะได้ วิธี
(2 !)3 ⋅ 3 ! ⋅ 1! ⋅ 5!
5
(3! ที่เพิ่มเข้ามา เนื่องจากมี 3 กองที่สลับกันเองไม่มีความหมาย จํานวนวิธีจึงต้องลดลง)
7. เทคนิคการนับ
- บางครั้งถ้าพบว่าจํานวนกรณีมีมาก ควรลองคิดมุมกลับ คือใช้วิธีที่เป็นไปได้ทั้งหมดลบด้วยวิธีที่ไม่
ต้องการ แบบนีอ้ าจช่วยให้คํานวณง่ายขึ้น เช่น หยิบลูกบอล 4 ลูกให้ได้สีขาวอย่างน้อย 1 ลูก พบว่า
ต้องบวกกันหลายกรณีมาก แต่ถ้าใช้วิธีลบออกจะคิดเพียงแค่ วิธีทั้งหมด ลบด้วยวิธีที่ไม่ได้สีขาวเลย
- ถ้าต้องนับเหตุการณ์ที่มีคําว่า “หรือ” ห้ามนําจํานวนวิธีแต่ละส่วนมาบวกกันแล้วตอบเลยทันที
เพราะมักจะมีการนับซ้ําซ้อนเกิดขึ้น ควรใช้หลักการในเรื่องเซต คือ “เกิด A หรือ B” คิดจาก “เกิด
A” บวกด้วย “เกิด B” และลบด้วย “เกิดทั้ง A และ B” แบบนี้จึงจะถูกต้อง
- การนับเหตุการณ์ที่มีคําว่า “หรือ” สามารถคิดแบบลบออกได้ด้วย คือ “เกิด A หรือ B” คิดจาก
วิธีทั้งหมด ลบด้วยสิ่งที่ตรงกันข้ามคือ “ไม่เกิดทั้ง A และ B” แบบนี้คิดง่ายขึ้นเพราะเป็นการเปลี่ยน
คําว่า “หรือ” ให้กลายเป็น “และ”
8. ทฤษฎีบททวินาม 1
(a + b)0 = 1 1 1
(a + b)1 = a + b
1 2 1
(a + b)2 = a2 + 2ab + b2
(a + b)3 = a3 + 3a2b + 3ab2 + b3
1 3 3 1
(a + b)4 = a4 + 4a3b + 6a2b2 + 4ab3 + b4 1 4 6 4 1
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 650 ฉบับเขมขน

- ทฤษฎีบททวินาม คือ ทฤษฎีที่กล่าวถึงการกระจายทวินาม (a + b)n


เมื่อ a และ b เป็นจํานวนจริง, n และ r เป็นจํานวนนับ โดย 0 < r < n
n n n n
จะได้ว่า (a + b)n = ⎛⎜ 0 ⎞⎟ anb0 + ⎛⎜ 1 ⎞⎟ an − 1b1 + ⎛⎜ 2 ⎞⎟ an − 2b2 + ... + ⎛⎜ n ⎞⎟ a0bn
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
⎛ n⎞ ⎛ n⎞
- พจน์ที่ r + 1 เป็นพจน์ทั่วไป Tr + 1 = ⎜ ⎟ an − rbr เรียก ⎜r ⎟ ใดๆ ว่าสัมประสิทธิ์ทวินาม
⎝r ⎠ ⎝ ⎠
n ⎛n⎞
- จํานวนพจน์ทั้งหมดจะมี n+ 1 พจน์ คือเริ่มจาก ⎛⎜ 0 ⎞⎟ ถึง ⎜n⎟
⎝ ⎠ ⎝ ⎠
กําลังของ a ค่อยๆ ลดลง ในขณะที่กําลังของ b เพิ่มขึ้น และนํากําลังมารวมกันจะได้ n เสมอ
- สัมประสิทธิ์ทวินาม อาจไม่ใช่สัมประสิทธิ์ของพจน์นั้น (หากใน a หรือ b มีสัมประสิทธิ์อีก)
n n n n
- สูตร ⎜⎛ 0 ⎟⎞ + ⎜⎛ 1 ⎟⎞ + ⎜⎛ 2 ⎟⎞ + ... + ⎛⎜ n ⎞⎟ = 2n ดังเช่นเคยพบตอนที่หาจํานวนสับเซต
⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠
9. การทดลองสุ่ม คือการกระทําที่เราไม่สามารถบอกได้ว่าแต่ละครั้งจะเกิดผลลัพธ์อะไร แต่สามารถ
บอกได้ว่ามีผลลัพธ์อะไรบ้างที่เป็นไปได้ ... เซตของ “ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ทั้งหมด” เรียกว่า ปริภูมิ
ตัวอย่าง (S) และเซตของ “ผลลัพธ์ใดๆ ที่เราสนใจ” เรียกว่า เหตุการณ์ (E)
10. ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ หาได้เฉพาะเหตุการณ์ที่เป็นการทดลองสุ่มเท่านั้น
- ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ A ใช้สัญลักษณ์ P (A) ... คํานวณจาก P (A) = n(A)
n(S)
เมื่อ n(A) คือจํานวนผลลัพธ์ใน A และ n(S) คือจํานวนผลลัพธ์ทั้งหมดที่เป็นไปได้
11. ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ใดๆ มีค่าอยู่ในช่วง 0 ถึง 1 เท่านั้น 0 < P (A) < 1
- ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ที่ไม่มีผลลัพธ์เลย มีค่าเป็น 0 P (∅) = 0
- ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ที่มีผลลัพธ์ได้ทุกแบบ มีค่าเป็น 1 P (S) = 1
12. ความหมายของ A ∩ B คือเหตุการณ์ “A และ B” (เกิดขึ้นทั้งสองอย่าง)
A ∪ B คือเหตุการณ์ “A หรือ B” (เกิดขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่าง)
จะใช้แผนภาพเซต (เวนน์-ออยเลอร์) ช่วยคํานวณ ดังนี้
- ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ที่เราสนใจ รวมกับความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ที่เหลือ
(ที่เราไม่สนใจ) จะได้ 1 เสมอ P (A) = 1 − P (A ')
- ความน่าจะเป็นของสองเหตุการณ์ หาได้จาก P (A ∪ B) = P (A) + P (B) − P (A ∩ B)

สถิติ
1. สถิติศาสตร์ คือวิชาที่เกี่ยวกับการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล
- การเก็บรวบรวมต้องเลือกวิธีให้เหมาะสม เช่น ลงทะเบียน, สัมภาษณ์, วัดค่า, ทดลอง
- การวิเคราะห์มี 2 ระดับ ได้แก่ วิเคราะห์ขั้นต้น เรียกว่า สถิติเชิงพรรณนา (เช่น การหาค่ากลาง
ค่าการกระจาย การจัดกลุ่มข้อมูลเป็นตาราง เป็นแผนภาพ กราฟ ฯลฯ) และวิเคราะห์ขั้นสูง เรียกว่า
สถิติเชิงอนุมาน (เช่น การทํานายหรือประมาณค่า การวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชัน ฯลฯ)
2. ลักษณะข้อมูล มีข้อมูลเชิงคุณภาพ กับข้อมูลเชิงปริมาณ
- ข้อมูลเชิงคุณภาพ เป็นค่าที่ไม่ได้บ่งบอกถึงความมากน้อย เปรียบเทียบกันไม่ได้ เช่น เลขที่ เพศ
- ข้อมูลเชิงปริมาณ เป็นค่าที่บ่งบอกความมากน้อย เปรียบเทียบได้ เช่น อายุ ส่วนสูง คะแนน

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 651 ฉบับเขมขน

3. ประเภทข้อมูลแบ่งตามแหล่งที่มา
- ข้อมูลปฐมภูมิ ได้จากการรวบรวมเอง ซึ่งจะทําได้ 2 ระดับ คือระดับตัวอย่าง (เรียกว่าการสํารวจ
ตัวอย่าง) และระดับประชากร (เรียกว่าการสํามะโน)
- ข้อมูลทุติยภูมิ มีผู้รวบรวมไว้แล้ว เช่นข้อมูลในเอกสารราชการ รายงาน นิตยสารต่างๆ
4. การแจกแจงความถี่ของข้อมูล คือการจัดข้อมูลที่มีอยู่ ให้เป็นกลุ่มๆ เพื่อความสะดวกในการ
วิเคราะห์ และจัดเก็บ โดยดําเนินการดังนี้
- แบ่งค่าข้อมูลที่เป็นไปได้ออกเป็นช่วงๆ ตามที่ต้องการ เรียกแต่ละช่วงว่าอันตรภาคชั้น
- พิจารณาว่าข้อมูลที่มีนั้นมีค่าอยู่ในแต่ละช่วงเป็นปริมาณเท่าใด เรียกปริมาณข้อมูลแต่ละช่วงว่า
ความถี่
5. นิยมเขียนอันตรภาคชั้นและความถี่ของแต่ละชั้นในรูปตาราง โดยกําหนดความกว้างแต่ละชั้นเท่าๆ
กัน (แต่อันตรภาคชั้นบนสุดหรือล่างสุดอาจเป็น อันตรภาคชัน้ เปิดก็ได้ เช่น “มากกว่า 80”)
- ค่าขอบล่าง และขอบบน คือค่ากึ่งกลางระหว่างรอยต่ออันตรภาคชั้น
- ความกว้างอันตรภาคชั้น หาได้จาก ผลต่างของขอบบนและขอบล่างของชั้นนั้น
6. ความถี่สะสม คือ “ผลรวมความถี่ชั้นนั้น กับความถี่ชั้นที่มีค่าข้อมูลต่ํากว่าทั้งหมด”
- ความถี่สัมพัทธ์ และความถี่สะสมสัมพัทธ์ คืออัตราส่วนความถี่หรือความถี่สะสม เทียบกับความถี่
รวม (N) ดังนั้นความถี่สัมพัทธ์รวมต้องได้ 1 เสมอ และความถี่สะสมสัมพัทธ์ของชั้นสูงสุดก็ต้องเป็น
1 เช่นกัน
- บางครั้งใช้เป็นหน่วยร้อยละ โดยแต่ละชั้นคูณด้วย 100 เพื่อปรับผลรวมความถี่จาก 1 เป็น 100
7. ฮิสโทแกรม คือแผนภูมิแท่งสี่เหลี่ยมวางเรียงติดกัน โดยให้แกนนอนแทนค่าข้อมูล x (เขียนกํากับ
ด้วยขอบบนขอบล่างของชั้น หรือด้วยจุดกึ่งกลางชั้นก็ได้) และแกนตั้งแทนค่าความถี่ f ความสูงของ
แท่งสี่เหลี่ยมจะแปรตามความถี่ของชั้นนั้นๆ
- รูปหลายเหลี่ยมของความถี่ คือรูปที่เกิดจากการลากเส้นตรงเชื่อมจุดกึ่งกลางยอดแท่งสี่เหลี่ยม
ของฮิสโทแกรมแต่ละแท่ง (โดยลากเส้นตรงไปบรรจบ 0 ที่กึ่งกลางชั้นก่อนหน้าและหลังสุดของที่มีอยู่
เพื่อให้กลายเป็นรูปปิดซึ่งมีพื้นที่เท่าฮิสโทแกรมเดิม)
- เส้นโค้งของความถี่ คือรูปที่เกิดจากการปรับเส้นตรงในรูปหลายเหลี่ยมของความถี่ ให้เป็นเส้นโค้ง
(โดยพยายามให้มีพื้นที่ใกล้เคียงเดิมที่สุด) ลักษณะทั่วไปของเส้นโค้งมี 3 แบบ (รายละเอียดอยู่ในข้อ
ที่ 30.)
8. แผนภาพต้น-ใบ ใช้จัดข้อมูลให้เป็นกลุ่มเพื่อเห็นลักษณะคร่าวๆ ได้ผลดีกว่าตารางและฮิสโทแกรม
เพราะข้อมูลดิบแต่ละค่าไม่สูญหายไป ... วิธีเขียนคือตัดหลักข้อมูลออกเป็นสองกลุ่ม แล้วนํากลุ่มหน้า
มาเรียงไว้เป็นลําต้นในแนวตั้ง จากนั้นจึงนําหลักที่เหลือเขียนต่อท้ายในบรรทัดเดียวกัน (เป็นใบ)
- สิ่งที่วิเคราะห์ได้จากแผนภาพต้น-ใบ เช่น ช่วงใดมีความถี่มากที่สุด, ข้อมูลที่ต่ําที่สุด สูงที่สุด และ
ตรงกลางเป็นเท่าใด, และใช้เปรียบเทียบระหว่างข้อมูล 2 ชุดได้ด้วย
9. ค่ากลางของข้อมูล เป็นตัวเลขที่ใช้แทนข้อมูล x1, x2 , x3 , ..., xN ทั้งหมด ช่วยให้วิเคราะห์ข้อมูลได้
คร่าวๆ ซึ่งค่ากลางที่นิยมใช้ มี 3 ชนิด ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน และฐานนิยม
(ค่ากลางที่ได้จะมีหน่วยเดียวกับข้อมูล และมีค่าอยู่ระหว่างข้อมูลตัวที่น้อยที่สุดกับมากที่สุดเสมอ)
ลักษณะข้อมูล ค่าเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน ฐานนิยม
- ข้อมูลเชิงคุณภาพ ---- ---- ใช้ได้ดีมาก!
แจกแจง
ยังไม่

- เกาะกลุ่มกันปกติ ใช้ได้ดีมาก! พอไหว พอไหว


- บางค่าต่างไปจนผิดปกติ ---- ใช้ได้ดีมาก! พอไหว
- ทุกชั้นกว้างเท่ากัน ใช้ได้ดีมาก! พอไหว พอไหว
แจกแจง
แล้ว

- มีอันตรภาคชั้นเปิด ---- ใช้ได้ดีมาก! พอไหว


- บางชั้นกว้างไม่เท่ากัน ---- ใช้ได้ดีมาก! ----

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 652 ฉบับเขมขน

10. ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ( X )
- เป็นค่ากลางที่ให้ความสําคัญกับค่าของข้อมูลโดยตรง จึงเหมาะกับชุดข้อมูลที่มีค่าใกล้เคียงกันทุก
ค่า ไม่มีค่าใดสูงหรือต่ําผิดปกติไปจากค่าอื่นๆ (มิฉะนั้นค่าที่ได้จะไม่มีคุณภาพ)
- ข้อมูลที่ยังไม่แจกแจงความถี่ X = ∑ x ... คิดแบบถ่วงน้ําหนัก X = ∑ wx
N ∑w
∑ fx ∑ fx
- ข้อมูลที่แจกแจงความถี่แล้ว (ใช้ความถี่เป็นน้ําหนัก) X = =
∑f N
∑ fd
- สูตรลดทอน ของข้อมูลที่แจกแจงความถี่แล้ว X = a + ID เมื่อ D =
N
(a คือกึ่งกลางของชั้นใดก็ได้ที่เลือก, I คือความกว้างชั้น (เท่ากันทุกชั้น),
di เป็นจํานวนเต็ม โดยให้ชั้นที่มีค่า a นั้นเป็น d = 0 และชั้นที่มีข้อมูลน้อยลง d = −1, −2, ... ส่วน
ชั้นที่ข้อมูลสูงขึ้น d = 1, 2, ... ไม่ว่าจะเลือกชั้นใดก็คํานวณได้คําตอบเท่ากัน)
(∑ x)รวม ∑ NX
- ค่าเฉลี่ยเลขคณิตรวมของข้อมูลหลายชุด Xรวม = =
Nรวม ∑N
(อาจมองว่า เป็นการนําค่าเฉลี่ยของแต่ละชุดมาถ่วงน้ําหนักด้วยจํานวนข้อมูล)
11. มัธยฐาน (Med)
- คือค่าที่มีตําแหน่งอยู่กึ่งกลางของข้อมูลทั้งหมด (เมื่อเรียงลําดับมากน้อยของข้อมูลแล้ว)
- เป็นค่ากลางที่ให้ความสําคัญกับลําดับข้อมูล (บอกว่ามีข้อมูลที่มีค่ามากกว่านี้และน้อยกว่านี้ อยู่
เป็นปริมาณเท่ากัน) จึงยังคงใช้ได้ดีกับข้อมูลชุดที่มีบางค่าสูงหรือต่ํากว่าค่าอื่นอย่างผิดปกติ
- ข้อมูลที่ยังไม่แจกแจงความถี่ Med คือข้อมูลในตําแหน่งที่ (N+1)/2 (ตําแหน่งกึ่งกลาง)
(ข้อควรระวังคือ (N+1)/2 นั้นเป็นเพียงตําแหน่งของ Med ..ยังไม่ใช่ค่าของ Med)
- ข้อมูลที่แจกแจงความถี่แล้ว Med = L + I ⎛⎜ N/2f − ∑ fL ⎞⎟
⎝ Med ⎠
(ใช้ N/2 เลยโดยไม่ต้องบวกหนึง่ ... L คือขอบล่างชั้นที่มีมัธยฐานอยู่ (ตัวที่ N/2) ซึ่งชั้นนั้นมีความ
กว้าง I และมีความถี่เป็น fMed ... ส่วน ∑ fL คือความถี่สะสมจนถึงขอบล่าง)
12. ฐานนิยม (Mo)
- คือค่าข้อมูลตัวที่ปรากฏบ่อยครั้งที่สุด (มีความถี่สูงที่สุด) โดยทั่วไปจะมีได้ไม่เกิน 2 ค่า
- เป็นค่ากลางที่ให้ความสําคัญกับความถี่ของข้อมูล เหมาะกับข้อมูลเชิงคุณภาพ เช่น การเลือกตั้ง
- ข้อมูลที่แจกแจงความถี่แล้ว Mo = L + I ⎛⎜ d d+1 d ⎞⎟
⎝ 1 2 ⎠
(L คือขอบล่างชั้นที่มีฐานนิยมอยู่ (ชั้นที่ความถี่สูงสุด) ซึ่งทุกๆ ชั้นมีความกว้าง I
d1 คือผลต่างความถี่ที่ขอบล่าง, d2 คือผลต่างความถี่ที่ขอบบน)
13. สามารถหาค่ามัธยฐานได้จากเส้นโค้งของความถี่สะสม และหาฐานนิยมได้จากฮิสโทแกรม
cf (ความถีส่ ะสม) การหาค่ามัธยฐานจาก f (ความถี)่
การหาค่าฐานนิยมจากฮิสโทแกรม
เส้นโค้งของความถี่สะสม
N

N/2

O x O x
Med Mo
14. สมบัติของค่าเฉลี่ยเลขคณิต ∑ (x − X) = 0 เสมอ และ ∑ (x − K)2 จะน้อยที่สุด ก็เมื่อ K = X

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 653 ฉบับเขมขน

15. สมบัติของมัธยฐาน ∑ |x − K| จะน้อยที่สุด ก็เมื่อ K = Med


16. สมบัติของค่ากลางทั้ง 3 ชนิด
ถ้าข้อมูลชุด Y ทุกๆ ตัว สัมพันธ์กับข้อมูลชุด X แต่ละตัว ตามสมการ Yi = m Xi + c
จะได้ว่า (ค่ากลางของ Y ) = m ⋅ (ค่ากลางของ X ) + c ด้วย เช่น Y = m X + c
17. การวัดตําแหน่งของข้อมูล
- มัธยฐาน เป็นค่าข้อมูลในตําแหน่งกึ่งกลางเมื่อถูกเรียงลําดับแล้ว บอกให้ทราบว่ามีข้อมูลที่ค่าสูง
กว่านี้ และค่าต่ํากว่านี้ อยู่เป็นปริมาณเท่าๆ กัน (แบ่งข้อมูลเป็น 2 ส่วน)
- ถ้าเราแบ่งข้อมูลออกเป็น 4 ส่วนเท่าๆ กัน จุดแบ่งทั้งสามจุดนั้นจะเรียกว่าควอร์ไทล์ที่ 1 ( Q 1 ),
ควอร์ไทล์ที่ 2 ( Q 2 ), และควอร์ไทล์ที่ 3 ( Q 3 ) ตามลําดับ ความหมายของควอร์ไทล์ที่ 1 คือมีข้อมูล
ที่ต่ํากว่าค่านี้อยูเ่ ป็นปริมาณ 1/4 และมากกว่าค่านี้อยู่อีก 3/4 โดยประมาณ
- เดไซล์ (D) แทนการแบ่งข้อมูลเป็น 10 ส่วน และ เปอร์เซ็นไทล์ (P) แทนการแบ่งข้อมูลเป็น
100 ส่วน ... การคํานวณหาค่าควอร์ไทล์ เดไซล์ และเปอร์เซ็นไทล์ที่ต้องการ เป็นแบบเดียวกับการ
คํานวณหามัธยฐาน นั่นคือ
- ข้อมูลที่ยังไม่แจกแจงความถี่
r r
Qr คือข้อมูลในตําแหน่งที่ (N + 1) Dr คือข้อมูลในตําแหน่งที่ (N + 1)
4 10
r
Pr คือข้อมูลในตําแหน่งที่ (N + 1)
100
- ข้อมูลที่แจกแจงความถี่แล้ว
⎛r N − ∑f ⎞ ⎛ r N − ∑f ⎞
Qr = L + I ⎜ 4 L ⎟
Dr = L + I ⎜ 10 L ⎟
⎜ ⎟ ⎜ ⎟
⎝ fQr ⎠ ⎝ fDr ⎠
⎛ r N − ∑f ⎞
r r r
Pr = L + I ⎜ 100 L ⎟
(ใช้ N, N, N ได้เลยโดยไม่ต้องบวกหนึ่ง)

f
⎟ 4 10 100
⎝ Pr ⎠
cf (ความถีส่ ะสม)
- สามารถหาค่าได้จากเส้นโค้งของความถี่สะสม N
ด้วยเช่นกัน ภาพด้านขวาเป็นตัวอย่างการหาค่า 3N/4
ควอร์ไทล์ที่ 1, 2, และ 3 จากกราฟ 2N/4
N/4
O x (ข้อมูล)
18. ค่าการกระจายของข้อมูล Q1 Q2 Q3
- ค่ากลางของข้อมูลนั้นไม่สามารถบอกลักษณะข้อมูลได้อย่างสมบูรณ์ ควรใช้ค่าการกระจายควบคู่
กันด้วย ... ค่าการกระจายมาก แสดงว่าข้อมูลแตกต่างกัน ไม่เกาะกลุ่มกัน
- การวัดการกระจายแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ การกระจายสัมบูรณ์ ซึ่งใช้สําหรับข้อมูลชุดนั้นเพียง
ชุดเดียว และการกระจายสัมพัทธ์ ซึ่งใช้เปรียบเทียบการกระจายระหว่างข้อมูลสองชุด
- ค่าการกระจายจะต้องเป็นบวกหรือศูนย์เสมอ (เป็นศูนย์เมื่อข้อมูลทุกค่าเหมือนกันหมด)
- การกระจายสัมบูรณ์ที่นิยมใช้ มี 4 แบบ คือ พิสัย, QD, MD, และ SD
19. พิสัย
- เป็นค่าที่วัดได้รวดเร็ว แต่จะมีข้อผิดพลาดมากหากข้อมูลบางจํานวนมีค่าสูงเกินไป หรือต่ําเกินไป
แบบผิดปกติ จึงเหมาะกับการวัดโดยคร่าวๆ ที่ไม่ต้องการความแม่นยํามากนัก
- ข้อมูลที่ยังไม่แจกแจงความถี่ ... พิสัย = xmax − xmin
- ข้อมูลที่แจกแจงความถี่แล้ว ... พิสัย = Umax − Lmin

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 654 ฉบับเขมขน

20. ส่วนเบี่ยงเบนควอร์ไทล์ (QD) ... บางครัง้ เรียกว่า กึ่งช่วงควอร์ไทล์


- การวัดที่ได้จะไม่ละเอียดนัก เพราะใช้เพียงข้อมูลที่ใกล้เคียงกับควอร์ไทล์ที่ 1 และ 3 เท่านั้น แต่
ก็มีส่วนดีเนื่องจากใช้ได้กับการแจกแจงความถี่ที่มีอันตรภาคชั้นเปิด และใช้ได้กับข้อมูลชุดที่มีบาง
จํานวนค่าสูงหรือต่ําเกินไปแบบผิดปกติ
- ข้อมูลใดๆ ... QD = Q3 − Q1
2
21. ส่วนเบี่ยงเบนเฉลี่ย (MD)
- เป็นค่าที่วัดได้ละเอียดกว่าสองแบบแรกเพราะคํานวณจากข้อมูลทุกตัว แต่มีข้อเสียที่การคํานวณ
ยุ่งยากกว่า
- ข้อมูลที่ยังไม่แจกแจงความถี่ ... MD = ∑ |x − X|
N
22. ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( SD หรือ s )
- เป็นค่าที่นิยมใช้มากที่สุด เนื่องจากมีความละเอียด เชื่อถือได้ สามารถคํานวณได้ง่ายกว่าส่วน
เบี่ยงเบนเฉลี่ย (โดยใช้สูตรที่จัดรูปแล้ว) และนําไปใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงได้
∑ (x − X)2 ∑ x2
- ข้อมูลที่ยังไม่แจกแจงความถี่ ... s = ... จัดรูปได้ว่า s = − X2
N N
- ค่า s2 เรียกว่าความแปรปรวน
23. สมบัติของค่าการกระจายสัมบูรณ์
- ถ้าข้อมูลชุด Y ทุกๆ ตัว สัมพันธ์กับข้อมูลชุด X แต่ละตัว ตามสมการ Yi = m Xi + c
จะได้ว่าค่าการกระจายของข้อมูลชุด Y เป็น m เท่าของชุด X
(ค่ากลาง ถูกกระทบทั้งการบวกและคูณ แต่ ค่าการกระจาย ถูกกระทบเฉพาะการคูณ)
24. สมบัติของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
∑ (x − K)2
- ค่าของ M = นั้น จะน้อยที่สุดก็เมื่อ M = SD (เพราะ K = X)
N
25. การกระจายสัมพัทธ์ มี 4 แบบ คํานวณได้จากการกระจายสัมบูรณ์ โดยใช้คําว่า “สัมประสิทธิ์
ของ...” นําหน้า ได้แก่
- สัมประสิทธิ์ของพิสัย = xmax − xmin
xmax + xmin
Q3 − Q 1
- สัมประสิทธิ์ของส่วนเบี่ยงเบนควอร์ไทล์ =
Q3 + Q1
MD
- สัมประสิทธิ์ของส่วนเบี่ยงเบนเฉลี่ย =
X
s
- สัมประสิทธิ์ของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = ... นิยมเรียกว่า สัมประสิทธิ์การแปรผัน
X
26. ค่ากลาง และค่าการกระจายสัมบูรณ์ มีหน่วยอย่างเดียวกับข้อมูล
- ความแปรปรวน มีหน่วยเหมือนข้อมูลยกกําลังสอง
- ค่าการกระจายสัมพัทธ์ ไม่มีหน่วย
27. แผนภาพกล่อง ช่วยให้มองการกระจายของข้อมูลในแต่ละส่วนย่อยๆ ได้ ... เขียนโดยอาศัย
ข้อมูลต่ําสุด, ข้อมูลสูงสุด, และข้อมูลในตําแหน่งควอร์ไทล์ที่ 1, 2, 3 ประกอบกันบนเส้นจํานวน ทํา
ให้วิเคราะห์ได้ว่าข้อมูลในช่วงใด (ในบรรดา 4 ช่วง) ที่มีการกระจายมากกว่ากัน
สมมติ xmin = 40 , Q1 = 43.5 , Q2 = 46 , Q3 = 50.5 , และ xmax = 52 จะได้แผนภาพดังรูป
เรียกช่วง (Q 1 , Q2) และ (Q 2 , Q3) ว่า กล่อง
เรียกช่วง (xmin , Q 1) และ (Q 3 , xmax) ว่า หนวด
40 42 44 46 48 50 52

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 655 ฉบับเขมขน

28. ค่ามาตรฐาน (z) เป็นค่าที่ใช้เทียบข้อมูลที่ดึงมาจากต่างชุดกัน โดยปรับค่าเฉลี่ยเลขคณิต และ


ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานให้เท่ากัน ... zi = xi − X (ไม่มีหน่วย)
s
- ค่า z ของข้อมูลที่ค่ามากกว่าค่าเฉลี่ยเลขคณิต จะเครื่องหมายบวก,
น้อยกว่าค่าเฉลี่ยจะเป็นลบ, ตรงกับค่าเฉลี่ยพอดี จะเป็น 0
- อาจเขียนข้อมูลที่ตําแหน่ง z = c ในรูปแบบ x = X + c s ก็ได้
เช่น X − 2 s หมายถึงข้อมูลที่มีค่า z = −2 , หรือ X + 0.5 s หมายถึงข้อมูลที่มีค่า z = 0.5
29. สมบัติของค่ามาตรฐาน
- ผลรวมของข้อมูลชุด z ใดๆ เป็น 0 เสมอ ∑ zi = 0 ... จึงได้ว่า Z = 0 เสมอด้วย
- ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน sZ = 1 เสมอ
- The 95% Rule : “โดยทั่วไปข้อมูลที่อยู่ระหว่าง z = −2 ถึง z = 2 จะมีปริมาณร้อยละ 95 ของ
จํานวนข้อมูลทั้งหมด” ... หมายความว่าข้อมูลเกือบทุกค่าจะอยู่ในช่วง (X − 2 s, X + 2 s) และเรา
อาจประมาณ Range ≈ 4 s ก็ได้ (ใช้ประมาณค่า s จากพิสัย)
30. ลักษณะของเส้นโค้งของความถี่มี 3 แบบ (หรือกล่าวว่าลักษณะการแจกแจงมี 3 แบบ) คือ โค้ง
ปกติ (โค้งรูประฆัง), โค้งเบ้ลาดทางซ้าย (หรือทางลบ), และโค้งเบ้ลาดทางขวา (หรือทางบวก) …
ซึ่งโค้งแต่ละแบบ บอกความสัมพันธ์ระหว่าง X, Med, Mo ดังภาพ
f f f
โค้งปกติ โค้งเบ้ซ้าย โค้งเบ้ขวา

O x
x O x O x
= Med = Mo x < Med < Mo Mo < Med < x
31. เนื่องจากพื้นที่ใต้เส้นโค้งจะเท่ากับความถี่รวมพอดี (เป็นสิ่งที่ได้จากการสร้างฮิสโทแกรม) เราจึง
สามารถคํานวณเกี่ยวกับการวัดตําแหน่งของข้อมูล (มัธยฐาน, ควอร์ไทล์, เดไซล์, เปอร์เซ็นไทล์) ได้
โดยจะศึกษาเฉพาะโค้งปกติ ซึง่ มีตารางในการหาค่าพื้นที่ใต้โค้ง
32. สิ่งสําคัญคือในตาราง พื้นที่ใต้โค้งรวมกันทั้งหมด (ความถี่รวม) จะถูกปรับให้เป็น 1.00 พอดี
เพื่อให้การคํานวณง่ายขึ้น ... ค่าที่ระบุในตาราง แสดงพื้นที่ใต้โค้งที่วัดระหว่าง z=0 ไปถึง z ใดๆ โดย
มองเพียงค่า z เป็นบวกเท่านั้น (ซีกขวาของโค้ง) เราสามารถหาพื้นที่ซีกซ้ายได้โดยอาศัยความ
สมมาตรของรูปกราฟ A = 0.3 A = 0.15
- ตัวอย่างเช่น เราสามารถหาว่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 65 มีค่า
เท่าใด จากการเปิดตารางที่พื้นที่ 0.15 ซึ่งในตารางระบุว่า
z=0.385 (จากนั้นนําไปคํานวณกลับเป็นค่าข้อมูล x ได้)
ในทํานองเดียวกัน เปอร์เซ็นไทล์ที่ 20 หาได้จากการเปิดตาราง P20 P65 x
-0.841 0.385 z
ที่พื้นที่ 0.3 ได้ค่า z=0.841 แต่เนื่องจากเป็นพื้นที่ทางซีกซ้าย
ค่า z ที่แท้จริงจึงเป็น -0.841
ใช้สูตร เปิดตาราง เทียบสัดส่วน
x ←⎯⎯⎯
→ z ←⎯⎯⎯
→ A ←⎯⎯⎯
→ P, D, Q
33. หากเรามีคู่อันดับ (x, y) จํานวนหนึ่ง หลังจากสร้างแผนภาพการกระจายเพื่อดูลักษณะกราฟแล้ว
เราจะหาความสัมพันธ์ระหว่าง x กับ y ได้เป็นสมการในรูป y = f (x) เพื่อใช้ทํานายค่า y ณ จุด x
ที่กําหนด
- นิยมใช้ Y แทนค่าจริง และ Y แทนค่าที่ได้จากการประมาณด้วยฟังก์ชัน

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 656 ฉบับเขมขน

34. รูปแบบที่พบบ่อย คือฟังก์ชันเส้นตรง ... รูปทั่วไป Y = mX + c


- หาค่าคงที่ m กับ c โดยสมการ
Σy = mΣx + c N __________(1)
Σxy = mΣx2 + cΣx ________(2)
- การหาค่าพารามิเตอร์ด้วยสมการเหล่านี้ เรียกว่าระเบียบวิธีกําลังสองน้อยที่สุด ... เป็นวิธีที่ทําให้
ค่า y ที่ได้ มีความคลาดเคลื่อนกําลังสอง Σ (yi − Y)2 น้อยที่สุด
- ถ้าลองนําสมการที่ (1) มาหารด้วย N จะพบว่าตรงตามสมบัติเดิม ... Y = mX + c
35. ถ้าโจทย์บอก ΔX และถาม ΔY ให้คิดจาก ΔY = m ⋅ ΔX ... (ไม่ขึ้นกับค่า c)
เพราะในกราฟเส้นตรง อัตราการเปลี่ยนแปลงของ y และ x จะดูที่ความชัน m เท่านั้น
36. ข้อควรระวังคือ สมการ y = f (x) ที่หาได้ไม่สามารถคํานวณค่า x เมื่อทราบ y ได้ ... ถ้า
ต้องการประมาณค่า x จะต้องเปลี่ยนฟังก์ชันทั้งหมดเป็น x = f (y) (คือให้ y เป็นตัวแปรต้น)
37. หากข้อมูล X มีช่วงห่างเท่าๆ กัน เช่น ปี พ.ศ. แล้ว เราจะเรียกข้อมูล Y ว่าเป็นข้อมูลในรูป
อนุกรมเวลา ซึ่งจะสามารถแทนค่า X ด้วยตัวเลขค่าน้อยๆ ได้เพื่อให้สะดวกในการคํานวณ
- วิธีที่นิยมที่สุดคือ ให้ข้อมูลตรงกลางเป็นเลข 0 แล้วนับขึ้นลงเป็น ±1, ± 2 ... วิธีนจี้ ะทําให้
Σx = 0 จึงแก้ระบบสมการหา m, c ได้ง่าย
- หากจํานวนข้อมูลเป็นจํานวนคู่ (ไม่มีจุดตรงกลาง) จะให้ปีระหว่างกลางนั้นเป็น ±1 และคู่ถัดไป
เป็น ±3, ± 5 ไปเรื่อยๆ (รักษาระยะห่างให้เท่ากัน) แบบนี้จะช่วยให้ Σx = 0 เช่นเดิม

ÃÒ¹ÒÁ¼ÙŒÁÕou»¡Òäu³ :]
เหลียง ต้น | ปอน อั้ม บัว ปอง มดใหญ่ และน้องๆ 44 | จ๋า อิ๋ง | ออม แนน พลอย
โอ๊ต มด หนึ่ง กิฟ๊ | ตาล ปอบ รดี นิง้ จอย ทราม เบนซ์ จิ๊ก | สุจนิ จิง วิว พิม เมย์
เบสท์ เข่ง มิมิ แพร นุ้ย เจน | เบสท์ อิม | ถาวร | แบงค์ | แอน เนย์ เภา ตูน หยุน่
ตั้ม ท้อป เต็ก อุย้ | เต๊าะ ยุ้ย | ภา มุก | คี้ บี๋ | แชมป์ | นาจา บาบูน บอย | ไอซ์
โน้ต พีม กร โอลีฟ ดล | พราว เต้ ต้า | เคน นัท บี | น้ํามนต์ กระต่าย อ้อ เก๋ แพรว
นิว | น้ํา | อากิ ลิน ไพลิน แพนเค้ก | เมฆ | โอ๊ต | แนน ทิพ ปอนด์ เบลล์ จอย แอม
ปอ เจี๊ยบ เหมี่ยว วัน แอม พลอย พี ปู ซี นก นุ่น ผึ้ง เจน ป๊อ แก้ว | ก้อง เพ้นท์ เป๊ะ
ดิ๊บ | ไกด์ ปลา แน๊ต | บุ้งกี๋ พีจัง โอโอ้ พังก์ หญิง พีป่ ิ เดียร์ | จูเนียร์ | นัท แน๊ท

Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)


คณิตศาสตร O-NET / A-NET 657 ดรรชนี

´Ãê¹Õ
กฎการแบ่งกลุ่ม 337 ข่าวสาร (สารสนเทศ) 359
กฎของคราเมอร์ 216 ค.ร.น. (ตัวคูณร่วมน้อย) 49
กฎของโคไซน์ 172|229 ครอสโปรดัคท์ (ผลคูณเชิงเวกเตอร์) 240
กฎของไซน์ 172 ควอดรันต์ (จตุภาค) 83
กฎของโลปีตาล 306 ควอร์ไทล์ 374
กฎมือขวา 238 ความชัน 86|308
กฎลูกโซ่ 310 ความต่อเนือ่ ง 300
ก็ต่อเมือ่ 60 ความถี่ 360
กรณฑ์ 188 ความถีส่ ะสม/ความถี่สะสมสัมพัทธ์ 361
กราฟของความสัมพันธ์ 124 ความถีส่ ัมพัทธ์ 361
กราฟของตรีโกณมิติ 165 ความน่าจะเป็น 346
กราฟเชื่อมโยง 272 ความแปรปรวน 381
กราฟถ่วงน้ําหนัก 274 ความเยื้องศูนย์กลาง 103
กราฟออยเลอร์ 272 ความสัมพันธ์ 120
การกระจายสัมบูรณ์ 378 ความสัมพันธ์จาก A ไป B 120|358
การกระจายสัมพัทธ์ 381 ความสัมพันธ์ภายใน A 120|358
การแจกแจงความถี่ 384 คอนเวอร์เจนต์ 282|285
การแจกแจงปกติ 384 คอมพลีเมนต์ 16
การดําเนินการตามแถว 215|216 ค่ากลาง 363
การทดลองสุ่ม 345 ค่าการกระจาย 378
การให้เหตุผล 69 ค่าความจริง 59
การอ้างเหตุผล 65 ค่าเฉลี่ยเรขาคณิต 370
กําลังสองน้อยที่สดุ 389 ค่าเฉลี่ยเลขคณิต 363
กําลังสองสมบูรณ์ 95|98 ค่าเฉลี่ยฮาร์โมนิก 370
กําหนดการเชิงเส้น 147 คาบ 165
กึ่งกลางชัน้ 361 ค่ามาตรฐาน 383
กึ่งกลางพิสยั 370 ค่าวิกฤต 312
กึ่งพิสัยควอร์ไทล์ 378 ค่าสัมบูรณ์ 44|125|254
แกนจริง/แกนจินตภาพ 252 คู่อันดับ 83|119
แกนตามขวาง 102 แคแรกเทอริสติก 193
แกนเอก/แกนโท 100 แคลคูลัส 295|307
แกนสังยุค 102 โค้งความถี่ 361
ขนาน 86|233 โค้งความถี่สะสม 361|368
ขอบเขตบนน้อยสุด 42 โค้งเบ้ 384
ขอบบน/ขอบล่าง 361 โค้งปกติ/โค้งรูประฆัง 384
ข้อมูลเชิงคุณภาพ/เชิงปริมาณ 359 โคไซน์แสดงทิศทาง 239
ข้อมูลปฐมภูม/ิ ทุติยภูมิ 360 โค-ฟังก์ชนั 158
ขั้นตอนวิธกี ารหาร 48 โคแฟกเตอร์ (ตัวประกอบร่วมเกีย่ ว) 209
ขั้นตอนวิธขี องยุคลิด 49 จตุภาค (ควอดรันต์) 83
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 658 ดรรชนี

จริง/เท็จ 59 ตัวประกอบร่วมเกี่ยว (โคแฟกเตอร์) 209


จํานวนจริง 32 ตัวผกผัน (อินเวอร์ส) 32|122
จํานวนจินตภาพ 32|251 ตัวหารร่วมมาก (ห.ร.ม.) 49
จํานวนเฉพาะ 48 ตัวอย่าง/ประชากร 360
จํานวนเฉพาะสัมพัทธ์ 49 ตารางค่าความจริง 60
จํานวนเชิงซ้อน 32|251 ตารางแจกแจงความถี่ 360
จํานวนตรรกยะ 31 ต่ําสุดสัมพัทธ์/สัมบูรณ์ 313
จํานวนเต็ม 31 ตําแหน่งสัมพัทธ์ 374
จํานวนนับ/จํานวนธรรมชาติ 31 ถ่วงน้าํ หนัก 364
จํานวนประกอบ 48 ถ้า-แล้ว 60
จํานวนอตรรกยะ 31 แถว 205
จุดกําเนิด 83 ทรงสี่เหลี่ยมหน้าขนาน 240
จุดเปลี่ยนความเว้า 312 ทรานสโพส 206
จุดยอด 97|270 ทฤษฎีกราฟ 269
จุดยอดคี่/จุดยอดคู่ 270 ทฤษฎีจาํ นวน 48
จุดยอดประชิด 270 ทฤษฎีบทของเดอมัวฟ์ 257
จุดศูนย์กลาง 94|99|102 ทฤษฎีบทตัวประกอบ 36
จุดสุดขีด 312 ทฤษฎีบททวินาม 341
จุดสูงสุด/จุดต่ําสุด 312 ทฤษฎีบทปีทาโกรัส 84
ช่วง 40 ทฤษฎีบทเศษเหลือ 36
ช่วงครึง่ เปิด 40 นิรนัย 71
ช่วงเปิด/ช่วงปิด 40 นิเสธ 60|228
ซิกม่า 274 แนวเดิน 272
ซิงกูลาร์เมตริกซ์ (เมตริกซ์เอกฐาน) 210 ปฏิยานุพนั ธ์ 317
เซต 11 ประชากร/ตัวอย่าง 360
เซตจํากัด/เซตอนันต์ 12 ประพจน์ 59
เซตว่าง 12 ประโยคเปิด 67
แซมเปิลสเปซ (ปริภูมิตวั อย่าง) 345 ปริพนั ธ์ (อินทิกรัล) 317
ฐานนิยม 365 ปริภูมิตวั อย่าง (แซมเปิลสเปซ) 345
ดอทโปรดัคท์ (ผลคูณเชิงสเกลาร์) 235 ปริภูมสิ ามมิติ 237
ดีกรี 37|270 ปริมาณเวกเตอร์ 227
ดีเทอร์มินนั ต์ (ตัวกําหนด) 208 ปริมาณสเกลาร์ 227
เดไซล์ 374 เปลี่ยนตัวแปร 332
โดเมน 121|146 เปอร์เซ็นไทล์ 374
ไดเรกตริกซ์ 96 ผลคูณคาร์ทเี ซียน 119
ไดเวอร์เจนต์ 282|285 ผลคูณเชิงเวกเตอร์ (ครอสโปรดัคท์) 240
ต้นไม้แผ่ทั่ว 274 ผลคูณเชิงสเกลาร์ (ดอทโปรดัคท์) 235
ตรรกศาสตร์ 59 ผลต่างเซต 16
ตรวจคําตอบ 204 ผลต่างร่วม 280
ตรีโกณมิติ 157 ผลบวกย่อย 284
ตั้งฉาก 86|233 ผลรวมเชิงเส้น 48|234
ตัวกําหนด (ดีเทอร์มินนั ต์) 208 ผลลัพธ์ 345
ตัวคูณร่วมน้อย (ค.ร.น.) 49 แผนภาพกล่อง 376
ตัวเชือ่ มประพจน์ 60 แผนภาพการกระจายตัว 388
ตัวบ่งปริมาณ 67 แผนภาพต้นไม้ 333
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 659 ดรรชนี

แผนภาพลําต้น-ใบ 362 เมตริกซ์ผูกพัน (แอดจอยท์) 212


แผนภาพเวนน์-ออยเลอร์ 15|346 เมตริกซ์สามเหลีย่ ม 210
พจน์/พจน์ทั่วไป 279 เมตริกซ์เอกฐาน (ซิงกูลาร์เมตริกซ์) 210
พหุนามตัวแปรเดียว 36|259 แมนทิสซา 193
พาราโบลา 96|125|388 ไม่เกิดร่วมกัน 346
พิกัดฉาก 83|233 ไม่ขึ้นต่อกัน (อิสระจากกัน) 346
พิกัดเชิงขัว้ 233|256 ไมเนอร์ 209
พิสัย (เรนจ์) 121|146|378 ไม่มีลิมิต 282
พื้นที่ใต้โค้ง 319|385 ยูเนียน 16
เพาเวอร์เซต 13 ระนาบ 83
โพรเจคชัน (ภาพฉาย) 89 ระนาบเชิงซ้อน 252
ฟังก์ชนั 127 ระบบสมการเชิงเส้น 216
ฟังก์ชนั คอมโพสิท (ประกอบ) 131|146|310 ระเบียบวิธีกาํ ลังสองน้อยทีส่ ุด 389
ฟังก์ชนั โคซีแคนต์ 157 ระยะตัดแกน 86
ฟังก์ชนั โคไซน์ 157 รัศมี 94
ฟังก์ชนั โคแทนเจนต์ 157 ราก (รู้ท) 188
ฟังก์ชนั จาก A ไป B 128|358 รากที่สอง 58|188|257
ฟังก์ชนั จาก A ไปทั่วถึง B 128|358 รูปเชิงขัว้ 256
ฟังก์ชนั จุดประสงค์ 148 รูปแบบยังไม่กําหนด 298|306
ฟังก์ชนั ซีแคนต์ 157 รูปหลายเหลี่ยมของความถี่ 361
ฟังก์ชนั ไซน์ 157 เรขาคณิตวิเคราะห์ 83
ฟังก์ชนั ตรีโกณมิติ 157 เรเดียน 160
ฟังก์ชนั แทนเจนต์ 157 เรนจ์ (พิสัย) 121|146
ฟังก์ชนั ประกอบ (คอมโพสิท) 131|146|310 ลอการิทึมธรรมชาติ (ฐาน e) 193
ฟังก์ชนั ผกผัน (อินเวอร์ส) 133|146 ลอการิทึมแบบเนเปียร์ 193
ฟังก์ชนั ผกผันของตรีโกณมิติ 169 ลอการิทึมสามัญ (ฐาน 10) 193
ฟังก์ชนั เพิ่ม/ฟังก์ชันลด 129|312 ลําดับ 279
ฟังก์ชนั ลอการิทมึ 192 ลําดับจํากัด/ลําดับอนันต์ 280
ฟังก์ชนั หนึ่งต่อหนึ่ง 128|358 ลําดับเลขคณิต/ลําดับเรขาคณิต 280
ฟังก์ชนั อาร์ค- 169 ลิปดา 158
ฟังก์ชนั อินเวอร์ส (ผกผัน) 133|146 ลิมิต 282|295
ฟังก์ชนั เอกซ์โพเนนเชียล 189|389 ลิมิตซ้าย/ลิมิตขวา 295
เฟสเซอร์ 268 ลู่เข้า/ลูอ่ อก 282|285
แฟคทอเรียล 335 เลขชี้กาํ ลัง 187
โฟกัส 96 เลตัสเรคตัม 97
ภาคตัดกรวย 92 เลื่อนแกน 93
ภาพฉาย (โพรเจคชัน) 89 และ 60
มัธยฐาน 84|365 วงกลม 94|125
มิติ 205 วงกลมหนึง่ หน่วย 158
มุมก้ม/มุมเงย 173 วงจร/วงจรออยเลอร์ 272
มุมกําหนดทิศทาง 239 วงรี 99
เมตริกซ์ 205 วงวน 270
เมตริกซ์จตั ุรัส 206 วัฏจักร 274
เมตริกซ์แต่งเติม 215 วิถี/วิถีทสี่ ั้นที่สดุ 274
เมตริกซ์ผกผัน (อินเวอร์ส) 211 วิธีจดั หมู่ 337
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)
คณิตศาสตร O-NET / A-NET 660 ดรรชนี

วิธีเรียงสับเปลี่ยน 335 เส้นสัมผัสวงกลม 95


เวกเตอร์ 227 ห.ร.ม. (ตัวหารร่วมมาก) 49
เวกเตอร์หนึง่ หน่วย 233 หรือ 60
เศษ (เศษเหลือ) 36|48 หลัก 205
สตาร์แอนด์บาร์ 340 หลักมูลฐานเกี่ยวกับการนับ 333
สถิติ 359 หาค่าไม่ได้ 282
สมการจุดประสงค์ 148 หารลงตัว 48|340
สมการตรีโกณมิติ 162 หารสังเคราะห์ 37
สมการปกติ 389 เหตุการณ์ 346
สมการพหุนาม 36|259 องศา 158|160
สมการลอการิทมึ 195 อนุกรม 284
สมการเส้นตรง 86|280 อนุกรมจํากัด/อนุกรมอนันต์ 284
สมการเอกซ์โพเนนเชียล 191|280 อนุกรมเลขคณิต/อนุกรมเรขาคณิต 284
สมบัติการแจกแจง 33 อนุกรมเวลา 391
สมบัติการตัดออก 33 อนุพันธ์ 308
สมบัติการเปลี่ยนกลุ่ม 33 อนุพันธ์อนั ดับสูง 310
สมบัติการสลับที่ 32 อสมการ 41
สมบัติไตรวิภาค 39 อสมการข้อจํากัด 148
สมบัติปิด 31|32 อัฐภาค 237
สมมูล 60 อัตราการเปลี่ยนแปลง 307
สมเหตุสมผล 65|71 อัตราส่วนร่วม 280
สมาชิก 11|119|205 อันตรภาคชัน้ /อันตรภาคชั้นเปิด 360
ส่วนจริง/ส่วนจินตภาพ 251 อาณาบริเวณทีห่ าคําตอบได้ 148
ส่วนเบี่ยงเบนควอร์ไทล์ 378 อาร์ค- 169
ส่วนเบี่ยงเบนเฉลี่ย 379 อินเตอร์เซกชัน 16
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 379 อินทิกรัล (ปริพนั ธ์) 317
สังยุค 254 อินทิกรัลจํากัดเขต 319
สัจนิรันดร์ 63|65 อินทิกรัลไม่จาํ กัดเขต 317
สับเซต 12 อินทิเกรต 317
สับเซตแท้ 13 อินเวอร์ส 32|211|252
สัมประสิทธิ์การแปรผัน 381 อินเวอร์สของความสัมพันธ์ 122|126
สัมประสิทธิ์ทวินาม 341 อินเวอร์สของฟังก์ชัน 133
สัมพัทธ์/สัมบูรณ์ 313|378 อินเวอร์สเมตริกซ์ (ผกผัน) 211
สามสิ่งอันดับ 238 อิสระจากกัน (ไม่ขึ้นต่อกัน) 346
สามเหลีย่ มบน/สามเหลี่ยมล่าง 206 อุปนัย 69
สามเหลีย่ มปาสคาล 341 เอกภพสัมพัทธ์ 12
สารสนเทศ (ข่าวสาร) 359 เอกลักษณ์ 32|207|252
สํามะโน 360 เอกลักษณ์ของตรีโกณมิติ 158|171
สูงสุดสัมพัทธ์/สัมบูรณ์ 313 แอดจอยท์ (เมตริกซ์ผูกพัน) 212
เส้นกํากับ 102 แอนติลอการิทึม 193
เส้นโค้งของความถี่ 361 แอมพลิจดู 165
เส้นจํานวน 40 ฮิสโทแกรม 361|368
เส้นเชีอ่ ม/เส้นเชือ่ มขนาน 270 ไฮเพอร์โบลา 102
เส้นตรง 86|125|388 ไฮเพอร์โบลามุมฉาก 102|104|125
เส้นทแยงมุมหลัก 206
Math E-Book Release 2.2.04 (คณิต มงคลพิทักษสุข)

You might also like