Professional Documents
Culture Documents
(Property Law)
1.1 ความหมายและประเภทของทรัพย์สิน
1. ทรัพย์หมำยถึง วัตถุท่ีมรี ูปร่ำง มีตัวตนในสภำพธรรมชำติ สำมำรถจับต้องสัมผัสได้
2. ทรัพย์สินหมำยถึง ทรัพย์และวัตถุไม่มีรูปร่ำง ซ่ึงอำจมีรำคำและอำจถือเอำได้
3. ทรัพย์สินอำจแบ่งออกเป็ นประเภท ทัง้นีข้น ึ้ อยู่กับกำรท่ีจะยึดเกณฑ์ใดเป็ นตัวแบ่งทรัพย์สน
ิ เหล่ำนัน
้
4. อสังหำริมทรัพย์ หมำยถึง ท่ีดิน ทรัพย์ท่ีติดอยู่กับท่ีดิน เป็ น กำรถำวร ทรัพย์ท่ีประกอบเป็ น อัน เดียวกับ
เน้ือท่ีดิน และรวมทัง้ทรัพย์สิทธิท่ีเก่ียวกับท่ีดิน หรือทรัพย์ท่ีติดอยู่กับท่ีดิน หรือประกอบเป็ นอันเดียวกับ
ท่ีดินนัน ้
5. สังหำริมทรัพย์ หมำยถึง ทรัพย์สินอ่ น ื ท่ีไม่ใช่อสังหำริมทรัพย์ และหมำยรวมถึงสิทธิอันเก่ียวกับทรัพย์สน ิ
ท่ีท่ีเป็ นสังหำริมทรัพย์นัน
้ ด้วย
6. ทรัพย์แบ่งได้ คือทรัพย์ท่ีแบ่งออกจำกกันเป็ นส่วนๆ แล้วยังคงรูปบริบูรณ์ดังเช่นทรัพย์เดิม
7. ทรัพย์แบ่งไม่ได้ คือ ทรัพย์ท่ีไม่อำจแบ่งแยกออกจำกกัน โดยให้คงภำวะเดิมของทรัพย์และหมำยรวมถึง
ทรัพย์ท่ีมีกฎหมำยกำำหนดว่ำแบ่งไม่ได้ด้วย
8. ทรัพย์นอกพำณิชย์ คือทรัพย์สินท่ีไม่อำจถือเอำได้ และโอนแก่กน ั มิได้ โดยชอบด้วยกฎหมำย
9. ทรัพย์ในพำณิชย์ คือ ทรัพย์สินท่ีสำมำรถซ้ือขำยกันได้โดยชอบด้วยกฎหมำย
1.1.1 ความหมายของทรัพย์และทรัพย์สิน
ส่ิงท่ีเป็ นวัตถุท่ีมีรูปร่ำง และพิจำรณำว่ำ เป็ น “ทรัพย์” หรือไม่
หนังสือ ปำกกำ แว่นตำ นำฬิกำ สร้อยคอ บ้ำน โต๊ะ เก้ำอี ศ ้ ำ ล ำ รถยนต์จักรยำนเส้ือ
แก้วน้ำำ ร่ม กระถำง กระป๋ อง ตะกร้ำ ถังขยะ
วัตถุท่ีมีรูปร่ำงดังท่ียกตัวอย่ำงมำเป็ น “ทรัพย์” ทัง้หมดเพรำะเป็ นวัตถุท่ีมีรูปร่ำง อำจมีรำคำและถือเอำได้
วัตถุท่ีไม่มีรูปร่ำง และเหตุผลว่ำทำำไมแต่ละตัวอย่ำงเป็ น “ทรัพย์สิน” แต่ไม่เป็ น “ทรัพย์”
วัตถุไม่มีรูปร่ำง เช่น ลิขสิทธ์ สิทธิบัตร เคร่ ืองหมำยกำรค้ำ สิทธิกำรเช่ำ สิทธิในช่ ือเสียงกำรค้ำ (Goods
Will) สิทธิในกำรใช้ส่ือและสูตรในกำรกระกอบกำรค้ำ (Franchise) สิทธิจำำนำำ สิทธิจำำ นอง สิทธิเรียกร้องให้
ชำำระหนี้
ตัวอย่ำงท่ียกมำเป็ น “ทรัพย์สิน” เพรำะ (เป็ นวัตถุ) ไม่มีรูปร่ำง ซ่ึงอำจมีรำคำและอำจถือเอำได้
1.1.2 ประเภทของทรัพย์สิน
นิยำมของ “อสังหำริมทรัพย์” นัน ้ ประกอบด้วยทรัพย์ประเภทใดบ้ำง
อสังหำริมทรัพย์ประกอบด้วย
(1) ท่ีดิน ตัวอย่ำงเช่น ท่ีดินมีโฉนด ท่ีดินมี น.ส. 3 และสิทธิภำระจำำยอมบนท่ีดิน เป็ นต้น
(2) ทรัพย์อันติดอยู่กับท่ีดินอย่ำงถำวร ตัวอย่ำงเช่น บ้ำน ต้นมะขำม สะพำน
(3) ทรัพย์ท่ีประกอบเป็ นอันเดียวกับท่ีดิน ตัวอย่ำงเช่น เน้ือดิน แร่ ธำตุในดิน
(4) ทรัพย์สิทธิอันเก่ียวกับท่ีดิน ตัวอย่ำงเช่น กรรมสิทธิใ์นท่ีดิน สิทธิครอบครอง ในท่ีดิน น.ส. 3 และ
สิทธิภำระจำำยอมบนท่ีดน ิ เป็ นต้น
ยกตัวอย่ำง “ทรัพย์ท่ีแบ่งได้” และ “ทรัพย์ท่ีแบ่งไม่ได้”
ทรัพย์ท่ีแบ่งได้คือ ข้ำวสำร น้ำำตำล ขนมปั ง กะปิ น้ำำปลำ เชือก น้ำำ เงินตรำ น้ำำมัน ท่ีดิน ส่วนทรัพย์ท่ีแบ่ง
ไม่ได้ คือ รถยนต์ จักรยำน ร่ม หนังสือ ปำกกำ แว่นตำ นำฬิกำข้อมือ รองเท้ำ ช้อนส้อม กำงเกง
อธิบำยควำมหมำยของ “ทรัพย์นอกพำณิชย์” และยกตัวอย่ำงทรัพย์นอกพำณิชย์
ทรัพย์นอกพำณิชย์คือ ทรัพย์ท่ีไม่อำจถือเอำได้โดยสภำพ และรวมทัง้ทรัพย์ท่ีโอนแก่กันมิได้โดยชอบด้วย
กฎหมำย
ตัวอย่ำงทรัพย์ท่ีไม่อำจถือเอำได้ เช่น ก้อนเมฆ ท่ีดินบนดวงจัน ทร์ และทรัพย์ท่ีโอนแก่กัน มิได้เช่น ปื น
เถ่ ือน ยำบ้ำ ท่ีสำธำรณสมบัติของแผ่นดิน
2
1.2 ความสัมพันธ์ของทรัพย์สิน
1. ส่วนควบ คือ ส่วนซ่ึงโดยสภำพแห่งทรัพย์หรือโดยจำรีตประเพณีแห่งท้องถ่ินเป็ นสำระสำำคัญในควำมเป็ น
อยู่ ข องทรั พ ย์ นั น ้ และไม่ อ ำจแยกจำกกั น ได้ น อกจำกจะทำำ ลำย ทำำ ให้ บุ บ สลำย หรื อ ทำำ ให้ ท รั พ ย์ นั น ้
เปล่ียนแปลงรูปทรงหรือสภำพไป เจ้ำของทรัพย์ย่อมมีกรรมสิทธิใ์นส่วนควบของทรัพย์นัน ้
2. อุปกรณ์ คือ สังหำริมทรัพย์ซ่ึงโดยปกตินิยมเฉพำะถ่ิน หรือโดยเจตนำชัดแจ้ งของทรัพย์ท่ีเป็ น ประธำน
เป็ นของใช้ประจำำอยู่กับทรัพย์ท่ีเป็ นประธำนเป็ นอำจิณ เพ่ ือประโยชน์แก่กำรจัดดูแล ใช้สอย หรือรักษำ
ทรัพย์ท่ีเป็ นประธำน และเจ้ำของทรัพย์ได้นำำมำสู่ทรัพย์ท่ีเป็ นประธำนโดยกำรนำำมำติดต่อหรือปรับเข้ำไว้
หรือทำำโดยประกำรอ่ ืนใดในฐำนะเป็ นของใช้ประกอบกับทรัพย์ท่ีเป็ นประธำนนัน ้ อุปกรณ์ทแ ่ี ยกออกจำก
ทรั พ ย์ ท ่ีเ ป็ น ประธำนเป็ น กำรชั ว่ ครำวก็ ยั ง ไม่ ข ำดจำกกำรเป็ นอุ ป กรณ์ ข องทรั พ ย์ ท ่ีเ ป็ นประธำนนั น ้
อุปกรณ์ย่อมตกติดไปกับทรัพย์ท่ีเป็ นประธำนเว้นแต่จะมีกำรกำำหนดไว้เป็ นอย่ำงอ่ น ื
3. ดอกผลธรรมดำ คือ ส่ิงท่ีเกิดขึน ้ ตำมธรรมชำติของทรัพย์ ซ่ึงได้มำจำกตัวทรัพย์โดยกำรมีหรือใช้ทรัพย์นัน ้
ตำมปกตินย ิ ม และสำมำรถถือเอำได้เม่ ือขำดจำกทรัพย์นัน ้
4. ดอกผลนิตน ิ ัย คือ ทรัพย์หรือประโยชน์อย่ำงอ่ นื ท่ีได้มำเป็ นครัง้ครำวแก่เจ้ำทรัพย์จำกผู้อ่ืนเพ่ ือกำรท่ีได้ใช้
ทรัพย์นัน ้ และสำมำรถคำำนวณและถือเอำได้เป็ นรำยวันหรือตำมระยะเวลำท่ีกำำหนดไว้
1.2.1 ส่วนควบของทรัพย์
ทรัพย์อย่ำงหน่ึงนัน้ สำมำรถเป็ น ส่วนควบของทรัพย์อีกอย่ำงหน่ึงหรือไม่ และทรัพย์นัน้ ๆประกอบด้วย
ส่วนควบอะไรบ้ำง
ตัวอย่ำงของทรัพย์ท่ีมีลักษณะเป็ นส่วนควบ ตำมมำตรำ 144
(1) เข็มนำฬิกำเป็ นส่วนควบของนำฬิกำ
(2) หินเป็ นส่วนควบกับพ้ืนคอนกรีตของบ้ำน
(3) เส้นด้ำยเป็ นส่วนควบกับเส้ือ
(4) ขำโต๊ะเป็ นส่วนควบของโต๊ะ
(5) หูฟังโทรศัพท์เป็ นส่วนควบของเคร่ ืองโทรศัพท์
กรณีบ้ำน เรือน อำคำร หรือสังหำริมทรัพย์อ่ืนท่ีปลูกอยู่บนท่ีดน
ิ และไม่ตกเป็ นส่วนควบกับท่ีดินนัน
้
ตัวอย่ำงของอสังหำริมทรัพย์ท่ีเข้ำข้อยกเว้นตำมมำตรำ 146 ไม่ตกเป็ นส่วนของท่ีดิน
(1) บ้ำนท่ีปลูกบนท่ีดินเช่ำ
(2) บ้ำนท่ีปลูกบนท่ีดินท่ีท่ีผู้ปลูกมีสิทธิเหนือพ้ืนดิน
(3) ตึกแถวท่ีปลูกบนท่ีดินเช่ำ
(4) ต้นทุเรียนท่ีปลูกในท่ีเช่ำเพ่ ือทำำสวน
(5) ถนนท่ีสร้ำงโดยได้รับควำมยินยอมจำกเจ้ำของท่ีดิน
มาตรา 144 ส่วนควบของทรัพย์ หมำยควำมว่ำ ส่วนซ่ึงโดย สภำพแห่งทรัพย์ หรือโดยจำรีตประเพณีแห่งท้องถ่น ิ เป็ นสำระสำำคัญ ในควำมเป็ น
อยู่ของทรัพย์นัน ้ และไม่อำจแยกจำกกันได้นอกจำกจะ ทำำลำย ทำำให้บุบสลำย หรือทำำให้ทรัพย์นัน ้ เปล่ียนแปลงรูปทรงหรือ สภำพไป
เจ้ำของทรัพย์ย่อมมีกรรมสิทธิใ์นส่วนควบของทรัพย์นัน ้
มาตรา 145 ไม้ยืนต้นเป็ นส่วนควบกับท่ีดินท่ีไม้นัน ้ ขึ้นอยู่ ไม้ล้มลุกหรือธัญชำติอันจะเก็บเก่ียวรวงผลได้ครำวหน่ึง หรือหลำยครำวต่อปี ไม่เป็ น
ส่วนควบกับท่ีดิน
มาตรา 146 ทรัพย์ซ่ึงติดกับท่ีดินหรือติดกับโรงเรือนเพียงชั่วครำว ไม่ถือว่ำเป็ นส่วนควบกับท่ีดินหรือโรงเรือนนัน ้ ควำมข้อนีใ้ห้ใช้บังคับ แก่โรง
เรือนหรือส่งิ ปลูกสร้ำงอย่ำงอ่ ืนซ่ึงผู้มส
ี ิทธิในท่ีดน
ิ ของผู้อ่น
ื ใช้ สิทธินัน
้ ปลูกสร้ำงไว้ในท่ีดินนัน
้ ด้วย
1.2.2 อุปกรณ์ของทรัพย์
สังหำริมทรัพย์รอบตัวว่ำส่ิงใดเป็ นอุปกรณ์ของทรัพย์ใด
ตัวอย่ำงสังหำริมทรัพย์ท่ีเป็ นอุปกรณ์ของทรัพย์ประธำน
- เคร่ ืองมือซ่อมรถยนต์เป็ นอุปกรณ์ของเคร่ ืองยนต์
- ลำำโพงเป็ นอุปกรณ์ของเคร่ ืองกระจำยเสียง
- เตำเป็ นอุปกรณ์ของครัว
- ลูกกุญแจเป็ นอุปกรณ์ของแม่กุญแจ
- กลอนเป็ นประตูบ้ำนเป็ นอุปกรณ์ของบ้ำน
ก. ทำำ สัญ ญำซ้ือรถยนต์คั น หน่ึง จำก ข. โดยมิได้มีข้อตกลงเก่ียวกับ เคร่ ืองเสี ยงท่ีติ ดตัง้ อยู่ใ นรถคัน ดัง
กล่ำว เม่ ือถึงกำำหนดเวลำส่งมอบ ข. จะถอดเคร่ ืองเสียงนัน ้ ออกก่อนส่งมอบรถยนต์คันดังกล่ำว แต่ ก. ไม่ยินยอม
โดยอ้ำงว่ำเคร่ ืองเสียงติดตัง้อยู่ในรถยนต์ย่อมเป็ นอุปกรณ์ของรถยนต์ ข. จึงต้องส่งมอบเคร่ ืองเสียงนัน ้ ให้แก่ตน
ด้วย ดังนีใ้ห้วินิจฉัยว่ำข้ออ้ำงของ ก. รับฟั งได้หรือไม่ เพรำะเหตุใด
ตำม ปพพ. มำตรำ 147 อุปกรณ์หมำยควำมว่ำ สังหำริมทรัพย์ซ่ึงโดยปกตินิยมเฉพำะถ่ิน หรือโดยเจตนำ
ชัดแจ้งของเจ้ำของทรัพย์ท่ีเป็ นประธำน เป็ นของใช้ประจำำอยู่กับทรัพย์ท่ีเป็ นประธำนเป็ นอำจิณ เพ่ ือประโยชน์แก่
กำรจัดกำร ดูแล ใช้สอย หรือรักษำทรัพย์ท่ีเป็ น ประธำน และเจ้ำของทรัพย์ได้นำำ มำสู่ทรัพย์ท่ีเ ป็ น ประธำน โดย
กำรนำำติดต่อหรือปรับเข้ำไว้ หรือทำำโดยประกำรอ่ ืนใดในฐำนะเป็ นของใช้ประกอบทรัพย์ท่ีเป็ นประธำนนัน ้
อุปกรณ์ท่ีแยกออกจำกทรัพย์ท่ีเป็ นประธำนเป็ นกำรชัว่ครำว ก็ยังไม่ขำดจำกกำรเป็ นอุปกรณีของทรัพย์ท่ี
เป็ นประธำนนัน ้
1.2.3 ดอกผลของทรัพย์
ทรัพย์ใดเป็ น “ดอกผลธรรมดำ” ของทรัพย์ใด
ดอกผลธรรมดำ คือ
- ลูกมะพร้ำวเป็ นดอกผลของต้นมะพร้ำว - ลูกกระต่ำยเป็ นดอกผลของกระต่ำยตัวเมีย
- ดอกกล้วยไม้เป็ นดอกผลของต้นกล้วยไม้ - ผลแตงโมเป็ นดอกผลของต้นแตงโม
- ขอแกะเป็ นดอกผลของแกะ
ทรัพย์ใดเป็ น “ดอกผลนิตินัย” ของทรัพย์ใด
ดอกผลนิตินย ั คือ
- ค่ำเช่ำ - ดอกเบีย้ – เงินปั นผลหุ้น – ค่ำหน้ำดิน – ค่ำผ่ำนทำง เป็ นต้น
มาตรา 148 ดอกผลของทรัพย์ ได้แก่ ดอกผลธรรมดาและ ดอกผลนิตินัย ดอกผลธรรมดำ หมำยควำมว่ำ ส่งิ ท่ีเกิดขึ้นตำมธรรมชำติของ ทรัพย์
ซ่ึงได้มำจำกตัวทรัพย์ โดยกำรมีหรือใช้ทรัพย์นัน
้ ตำมปกตินิยม และสำมำรถถือเอำได้เม่ ือขำดจำกทรัพย์นัน้
ดอกผลนิตินัย หมำยควำมว่ำ ทรัพย์หรือประโยชน์อย่ำงอ่ ืนท่ี ได้มำเป็ นครัง้ครำวแก่เจ้ำของทรัพย์จำกผู้อ่ืนเพ่ ือกำรท่ีได้ใช้ทรัพย์นัน
้ และสำมำรถ
คำำนวณและถือเอำได้เป็ นรำยวันหรือตำมระยะเวลำท่ี กำำหนดไว้
แบบประเมินผลการเรียนหน่วยท่ี 1
หน่วยท่ี 2 สภาพของทรัพย์สิทธิและบุคคลสิทธิ
1. ทรัพย์สิทธิเป็ นสิทธิของบุคคลท่ีมีอยู่เหนือทรัพย์สน
ิ โดยมีวัตถุแห่งสิทธิเป็ นทรัพย์สิน
2. ทรัพย์สิทธิมีอยู่หลำยชนิด เท่ำท่ีปรำกฏโดยกำรบัญญัติไว้ใน บรรพ 4 ประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์
มีตัวอย่ำงเช่น กรรมสิทธิ ส ์ ิ ท ธ ิ ครอบครองสิท
ภำระติดพันในอสังหำริมทรัพย์
3. กำรทรงทรัพย์สิทธิหรือกำรแสดงออกซ่ึงกำรมีทรัพย์สิทธินัน ้ กฎหมำยเห็นเป็ นเร่ ืองสำำ คัญ บำงกรณีจึง
กำำหนดให้แสดงออกทำงทะเบียนให้ชัดเจน
4. ทรัพย์สิทธิอำจระงับสิน้ ไปโดยผลแห่งกำรแสดงเจตนำ โดยผลของกฎหมำย และโดยสภำพธรรมชำติ
2.1 บ่อเกิดและความหมายของทรัพย์สิทธิและบุคคลสิทธิ
1. ทรัพย์สิทธิเป็ น สิทธิข องบุคคลท่ีมีอยู่เหนือทรัพย์สิน โดยมีวัตถุแห่งสิทธิเป็ น ทรัพย์สิน ส่วน
บุคคลสิทธิเป็ น สิทธิข องบุคคลท่ีมีอยู่เหนือบุคคลท่ีตนมีนิติสัมพัน ธ์ด้วย โดยมีวัต ถุแห่งสิทธิ
เป็ นกำรกระทำำกำร หรืองดเว้นกระทำำกำร
2. ทรัพย์สิทธิสำมำรถก่อตัง้ขึ้นแต่โดยอำศัยอำำนำจแห่งนิติบัญญัติของกฎหมำยเท่ำนัน ้ แต่บุคคล
สิทธิอำจก่อตัง้ขึ้นโดยนิติกรรมสัญญำหรือโดยนิติเหตุ หรือโดยบัญญัติแห่งกฎหมำยอ่ ืนๆ ก็ได้
2.1.1 ความหมายของทรัพย์สิทธิและบุคคลสิทธิ
ทรัพยสิทธิและบุคคลสิทธิมีควำมหมำยแตกต่ำงกันอย่ำงไร
ทรัพย์สิทธิและบุคคลสิทธิมีควำมหมำยแตกต่ำงกันดังนี้
1) ทรั พยสิ ท ธิ เ ป็ น สิ ท ธิ ท่ีมี อ ยู่ เ หนื อ ทรั พย์ สิ น เป็ น วั ต ถุ แ ห่ ง สิ ท ธิ ตำมมำตรำ 1336 ส่ ว น
บุคคลสิทธิเป็ นสิทธิท่ีมีอยู่เหนือบุคคลโดยมีวัตถุแห่งสิทธิเป็ นกำรกระทำำงดเว้นกำรกระทำำ
ส่งมอบทรัพย์สิน มำตรำ 194
2) ทรัพยสิทธิโดยปกติสำมำรถใช้อำำนำจ แห่งสิทธิยันต่อบุคคลได้ทัว่ไปเรียกว่ำสิทธิเด็ดขำด
ส่วนบุคคลสิทธิโดยปกติเป็ น สิทธิเรียกร้องได้เฉพำะบุคคลผู้เ ป็ น ลูกหนีแ ้ ห่งสิทธิจึงเป็ น
สิทธิสัมพัทธ์
3) ทรัพยสิทธิเป็ นสิทธิเหนือทรัพย์ ผู้ทรงสิทธิจึงสำมำรถได้ด้วยตนเองโดยตรงไม่จำำต้องขอ
ใช้สิทธินัน
้ ๆ ผ่ำนทำงศำล ส่วนบุคคลสิทธิท่ีต้องใช้บังคับบุคคลอีกบุคคลหน่ึงกำรใช้สิทธิ
จึงต้องใช้สิทธิผ่ำนทำงศำลท่ีมีอำำนำจวินิจฉัย
4) ปกติ ท รั พ ย สิ ท ธิ ท ่ีมี แ ต่ อ ำ ยุ คว ำ ม ได้ สิ ท ธิ (ย กเว้ นภ ำ ร ะจำำ ย อ ม ภ ำ ร ะติ ดพั น ใ น
อสัง หำริ มทรัพ ย์ ท่ีจ ะสิ น ้ ไปเม่ ือ ใช้ สิ ท ธิ ) แต่บุ ค คลสิท ธิไ ม่ มี อ ำยุ ค วำมเสี ย สิ ท ธิ มี แ ต่ เ ม่ ือ
ผู้ทรงสิทธิไม่ใช้สิทธิทำงศำลภำยในในกำำหนดก็จะเสียสิทธิเรียกว่ำสิทธิเรียกร้องขำดอำยุ
ควำม ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 193/9
5) ทรัพยสิทธิสำมำรถก่อตัง้ได้ด้วยอำศัยอำำ นำจตำมกฎหมำย ป.พ.พ. มำตรำ 1298 ส่วน
บุ ค คลสิ ท ธิ ส ำมำรถก่ อ ตั ง้ ได้ ด้ ว ยอำศั ย นิ ติ ก รรมหรื อ นิ ติ เ หตุ หรื อ โดยบทบั ญ ญั ติ ข อง
กฎหมำย
กำรศึกษำเร่ ืองทรัพยสิทธิและบุคคลสิทธิให้ประโยชน์อย่ำงไรบ้ำง
กำรศึกษำเร่ ืองทรัพยสิทธิและบุคคลสิทธิทำำให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ทำำกำรศึกษำสองประกำรคือ
(1) เกิดควำมเข้ำใจควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกฎหมำยลักษณะหนีแ ้ ละกฎหมำยลักษณะทรัพย์
(2) ทำำให้เกิดประโยชน์ในกำรพิจำรณำเพ่ ือนำำไปฟ้ องร้องคดีต่อศำลเป็ นต้นว่ำ
- ถ้ำฟ้ องในฐำนะเป็ นเจ้ำของทรัพยสิทธิ โจทก์ต้องเป็ นผู้ทรงทรัพย์สิทธินัน ้ แต่หำกฟ้ องโดยอำศัย
มูลบุคคลสิทธิเป็ นสภำพข้อหำต้องอำศัยกำรท่ีโจทก์เป็ นคู่สัญญำ จึงจะทำำให้โจทก็ทัง้สองกรณี
เป็ นโจทก์ท่ีชอบด้วยกฎหมำย
- อำยุควำมฟ้ องร้อง ถ้ำหำกฟ้ องโดยอำศัยมูลทรัพย์สิทธิตำมปกติไม่มีกำำหนดอำยุควำม แต่หำก
ฟ้ องโดยอำศัยมูลบุคคลสิทธิจะต้องดำำเนินกำรในกำำหนดอำยุควำมของบุคคลสิทธิประเภทนัน ้ ๆ
2.1.2 บ่อเกิดของทรัพย์สิทธิและบุคคลสิทธิ
บ่อเกิดแห่งทรัพยสิทธิมีอะไรบ้ำง
ทรัพยสิทธิมีบ่อเกิดทำงเดียว คือ โดยอำำนำจของกฎหมำยต่ำงๆ ท่ีได้บัญญัติกำรก่อตัง้ไว้แล้ว ซ่ึงอำำนำจ
ดังกล่ำวอำจเห็น ได้ในประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์หรือกฎหมำยเฉพำะอ่ ืน เช่น พระรำชบั ญญั ติลิ ข สิ ทธิ ์
พ.ศ. 2537 พระรำชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 พระรำชบัญญัติเคร่ ืองหมำยกำรค้ำ พ.ศ. 2534
บ่อเกิดแห่งบุคคลสิทธิมีอรไรบ้ำง
บุคคลสิทธิมีบ่อเกิดได้หลำยทำงเป็ นต้นว่ำ
1) โดยอำศั ย นิติ ก รรมหรื อ สั ญ ญำ จำก ป.พ.พ. มำตรำ 149 กึ งมำตรำ 181 และมำตรำ
354 ถึงมำตรำ 368
2) โดยมูลละเมิด จำก ป.พ.พ. มำตรำ 420
3) โดยมูลจัดงำนนอกสัง่ จำก ป.พ.พ. มำตรำ 395 ถึง มำตรำ 405
4) โดยมูลลำภมิควรได้ จำก ป.พ.พ. มำตรำ 406 ถึง มำตรำ 419 หรือ
5) โดยบทบัญญัติอ่น ื ๆ ของกฎหมำยเช่น ป.พ.พ. มำตรำ 1461 สิทธิท่ีจะได้รับอุปกำระเลีย้ ง
ดู มำตรำ 1564 สิทธิท่ีจะได้รับกำรอุปกำระด้ำนกำรศึกษำตำมสมควร
2.2 ประเภทของทรัพย์สิทธิ
1. ทรัพย์สิทธิอ์ำจแบ่งได้เป็ นสองประเภทใหญ่ๆ คือ ทรัพย์สิทธิประเภทกรรมสิทธิแ์ละทรัพย์สิทธิ
ประเภทตัดทอนกรรมสิทธิ ์
2. ทรัพย์สิทธิ ประเภทกรรมสิ ทธิ แ์บ่ งได้ เ ป็ น 5 ชนิด คือ กรรมสิทธิ ส ์ ิ ทธิ ครอบครองลิข
สิทธิบัตร และเคร่ ืองหมำยกำรค้ำ
3. ทรั พ ย์ สิ ท ธิ ป
์ ระเภทตั ด ทอนกรรมสิ ท ธิ แ์ บ่ ง ได้ เ ป็ น 9 ชนิ ด คื อ ภำระจำำ ยอม สิ ท ธิ อ ำศั ย ใน
โรงเรียน สิทธิเหนือพ้ืนดิน สิทธิเก็บกิน ภำระติดพันในอสังหำริมทรัพย์ สิทธิจำำนอง สิทธิจำำนำำ
สิทธิยึดหน่วงและบุริมสิทธิ
2.2.1 ทรัพย์สิทธิประเภทกรรมสิทธิ ์
ทรัพยสิทธิประเภทกรรมสิทธิม ์ ีก่ีชนิด
ทรัพยสิทธิประเภทกรรมสิทธิต์ำมกฎหมำยอำจมีอยู่ 5 ชนิด คือ
1. กรรมสิทธิ ป ์ .พ.พ. มำตรำ 1336
2. สิทธิครอบครอง ป.พ.พ. มำตรำ 1367
3. ลิขสิทธิ พ
์ .ร.บ. ลิขสิทธ์ พ.ศ. 2537
4. สิทธิบัตร พ.ร.บ. สิทธิบัตร พ.ศ. 2537
5. เคร่ ืองหมำยกำรค้ำ พ.ร.บ. เคร่ ืองหมำยกำรค้ำ พ.ศ. 2534
2.2.2 ทรัพยสิทธิประเภทตัดทอนกรรมสิทธิ ์
ทรัพย์สินประเภทตัดทอนกรรมสิทธิม์ ีอะไรบ้ำง
ทรัพย์สินประเภทตัดทอนกรรมสิทธิม ์ ีดังนี้
1. ภำระจำำยอม
2. สิทธิอำศัยในโรงเรือน
3. สิทธิเหนือพ้นื ดิน
4. สิทธิเก็บเงิน
5. ภำระติดพันในอสังหำริมทรัพย์
6. สิทธิจำำนอง
7. สิทธิจำำนำำ
8. สิทธิยึดหน่วง
9. บุริมสิทธิ
2.3.2 การทรงทรัพย์สิทธิในสังหาริมทรัพย์
กำรแสดงออกซ่ึงกำรทรงทรัพยสิทธิในสังหำริมทรัพย์นัน ้ โดยทัว่ไปแล้วจะแสดงออกโดยกำรครอบครอง
แต่มีสังหำริมทรัพย์บำงชนิดท่ตี ้องกำรแสดงออกโดยทำงทะเบียน สังหำริมทรัพย์เหล่ำนัน ้ ได้แก่อะไรบ้ำง
สังหำริมทรัพย์ท่ีกฎหมำยกำำหนดกำรแสดงออกซ่ึงกำรทรงทรัพยสิทธิทำงทะเบียน ได้แก่เรือกำำปั่ น เรือมี
ระวำงตัง้แต่หกตันขึ้นไป เรือกลไฟ หรือเรือยนต์มีระวำงตัง้แต่ห้ำตันขึ้นไป แพ สัตว์พำหนะ เคร่ ืองจักรบำงชนิด
และพวกทรัพย์สินไม่มีรูปร้ำง
2.3.3 การทรงทรัพย์สิทธิในอสังหาริมทรัพย์
อสั ง หำริ ม ทรั พ ย์ นั น
้ โดยหลั ก แล้ ว ต้ อ งแสดงออกซ่ึง กำรทรงทรั พ ยสิ ท ธิ โ ดยทำงทะเบี ย น หำกไม่
แสดงออกทำงทะเบียน ผลทำงกฎหมำยจะเป็ นอย่ำงไร
อสังหำริมทรัพย์นัน ้ หำกไม่แสดงออกทำงทะเบียน จะไม่มีผลเป็ นทรัพย์สิทธิท่ีใช้ยันได้แก่บุคคลทัว่ไป
นอกจำกนัน
้ ยังอำจเสียสิทธิแก่ผู้สุจริตได้
ใน ป.พ.พ. มีนิติกรรมใดบ้ำงท่ีทำำให้บุคคลได้มำซ่ึงทรัพยสิทธิอย่ำงใดอย่ำงหน่ึง
2.3.4 การสิน
้ ไปของทรัพย์สิทธิ
กำรท่ท
ี รัพย์สินสิน ้ ไปโดยสภำพธรรมชำตินัน ้ ทำำให้ทรัพยสิทธิสิน
้ ไปได้อย่ำงไร
กำรท่ีจะมีทรัพยสิทธิขึ้น มำได้ จะต้ องมีตัว ทรัพย์ สิน ขึ้ น มำก่อน ดั งนั น
้ หำกทรัพ ย์สิน สู ญ สิน
้ ไปทรัพ ย
สิทธิจึงต้องสูญสิน ้ ตำม ไปด้วยเช่น แก๊สระเหยออกไปในอำกำศย่อมทำำให้กรรมสิทธิใ์นแก๊สนัน ้ สิน
้ ไปด้วย
เจตนำของบุคคลทำำให้ทรัพยสิทธิสิน ้ ไปได้อย่ำงไร
ทรัพยสิทธิจ ะสิน ้ ไปหรือไม่จะต้องดูว่ำบทบัญญัติข องกฎหมำยกำำ หนดให้คู่กรณีแสดงเจตนำเลิ กหรือ
ระงับทรัพยสิทธินัน ้ ๆ ได้หรือไม่ เช่น ภำระจำำยอม คู่สัญญำอำจตกลงเลิกกันได้เป็ นต้น
กำรท่ที รัพยสิทธิสิน ้ ไปโดยผลของกฎหมำยนัน ้ มีหลักเกณฑ์อย่ำงไรบ้ำง
กำรท่ท ี รัพยสิทธิสิน ้ ไป จะต้องแล้วแต่ชนิดทรัพยสิทธิ เพรำะกฎหมำยบัญญัติไว้แตกต่ำงกันตำมประเภท
ของกฎหมำย
แบบประเมินผลการเรียนหน่วยท่ี 2
1. สิทธิของบุคคลท่ีมีเหนือทรัพย์สินเรียกว่ำ ทรัพย์สิทธิ
2. สิทธิท่ีมีวตั ถุแห่งสิทธิเป็ นทรัพย์สินเรียกว่ำ ทรัพย์สิทธิ
3. สิทธิสัมพันธ์เป็ นสิทธิท่ีนักกฎหมำยใช้เรียกสิทธิ บุคคลสิทธิ
4. นักกฎหมำยเยอรมันเรียกบุคคลสิทธิว่ำ สิทธิสัมพัทธ์
5. ส่ิงของ ไม่ใช่วัตถุแห่งหนี้ (กำรกระทำำ กำรส่งมอบ กำรงดเว้นกระทำำ เป็ นวัตถุแห่งหนี้)
6. กำรได้ทรัพย์สิทธิท่ีไม่ต้องจดทะเบียนได้แก่ ลิขสิทธิ ์
7. จ้ำงแรงงำนท่ีทำำขึ้นบนอสังหำริมทรัพย์ ไม่ใช้บุริมสิทธิพิเศษเหนืออสังหำริมทรัพย์
8. ค่ำแรงงำนเพ่ ือกสิกรรม ไม่ใช่บุริมสิทธิพิเศษเหนือสังหำริมทรัพย์
9. ค่ำปลงศพ เป็ นบุริมสิทธิสำมัญ
10. ค่ำจ้ำงเสมียนทำำงำนในบริษท ั มีบุริมสิทธิ ท่ียังค้ำงจ่ำยถอยหลัง 4 เดือนไม่เกิน 100,000 บำท
11. บุริมสิทธิค่ำอุปโภคประจำำวันมี ค้ำงชำำระอยู่ถอยหลังไป 6 เดือน
12. บุริมสิทธิในผู้พักอำศัยในโรงแรมมีเหนือ เคร่ ืองเดินทำงของผู้อำศัย
13. กำรก่อตัง้ทรัพย์สิทธิทำำได้โดย อำศัยอำำนำจของกฎหมำย
14. เช้ำซ้ือบ้ำน ไม่ถือเป็ นทรัพย์สิทธิ (ภำระจำำยอม สิทธิอำศัย สิทธิเก็บกิน ถือเป็ นทรัพย์สิทธิ)
15. สิทธิเก็บกินมีได้ใน ทรัพย์สินทุกชนิด
16. สิทธิบัตร เป็ นทรัพย์สินประเภทกรรมสิทธิ ์
17. ทรัพยสิทธิประเภทตัดทอนกรรมสิทธิ ไ์ด้แก่สิทธิยึดหน่วง
18. ทรัพย์สิทธิในทรัพย์สินของผู้อ่ืนคือ ภำระจำำยอม
19. สังหำริมทรัพย์ท่ีไม่ต้องจดทะเบียนกำรได้มำคือ เคร่ ืองบิน (เรือกำำปั่ น เรือนแพ สัตว์พำหะนะ ต้องจดทะเบียน)
หน่วยท่ี 3 กรรมสิทธิแ์ละกรรมสิทธิร์วม
1. กรรมสิทธิเ์ป็ นสิทธิท่ีได้มำตำมกฎหมำย (de jure) กล่ำวคือกฎหมำยบัญญัติรับรองให้บุคคลมีอำำนำจอยู่
เหนื อ ทรั พ ย์ สิน ฉะนั น ้ อำำ นำจแห่ ง กรรมสิ ท ธิ เ ์ จ้ ำ ของทรั พ ย์ สิ น จึ ง มี สิ ท ธิ ใ ช้ ส อ
ติ ด ตำมเอำคื น และขั ด ขวำงมิ ใ ห้ ผู้ อ่ ืน สอดเข้ ำ เก่ีย วข้ อ งกั บ ทรั พ ย์ สิ น ของตนโดยมิ ช อบด้ ว ยกฎหมำย
นอกจำก นีก ้ ฎหมำยยังบัญญัติให้เจ้ำของท่ีดินมีแดนกรรมสิทธิ ร์วมทัง้บัญญัติให้เจ้ำของอสังหำริมทรัพย์
มีสิทธิขจัดเหตุเดือดร้อนรำำคำญด้วย
2. กรรมสิทธิร์วม เป็ นเร่ ืองของบุคคลหลำยคนต่ำงก็เป็ นเจ้ำของทรัพย์สินอันเดียวกัน โดยเจ้ำของทุกคนต่ำง
ก็ เ ป็ น เจ้ ำ ของทุ ก ส่ ว นของทรั พ ย์ สิ น อั น เดี ย วกั น นั น
้ เจ้ ำ ของรวมทุ ก คนต่ ำ งก็ มี อำำ นำจในฐำนะของ
กรรมสิทธิเ์ช่นเดียวกัน แต่จะต้องใช้สิทธิไม่ขัดแย้งต่อเจ้ำของรวมคนอ่ น ื ฉะนัน
้ กฎหมำยจึงต้องบัญญัติ
สิทธิและหน้ำท่ีของเจ้ำของรวมไว้เป็ นกำรเฉพำะ
3.1 กรรมสิทธิ ์
3.1.1 อำานาจแห่งกรรมสิทธิ ์
ทองบรรจุพระเคร่ ืองไว้ในเจดีย์บรรจุกระดูกของบรรพบุรุษ ซ่ึงตัง้อยู่บริเวณอุโบสถวัด ทุกปี ลูกหลำนก็
จะไปเคำรพกรำบไหว้โดยตลอดมำเป็ นเวลำกว่ำ 10 ปี ภำยหลังวัดจะสร้ำงอุโบสถใหม่ทำงวัดจึงเคล่ ือนย้ำยเจดีย์
ออกจำกบริเวณอุโบสถและเจำะเอพระเคร่ ืองไปเก็บไว้ ทองทรำบเร่ ืองจึงไปขอคืน แต่กรรมกำรวัดอ้ำงว่ำหมดอำยุ
ควำมเรียกคืนแล้ว ดังนีใ้ห้วินิจฉัยว่ำข้ออ้ำงของกรรมกำรวัดรับฟั งได้หรือไม่เพรำะเหตุใด
ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1336 ภำยในบังคับแห่งกฎหมำย เจ้ำของทรัพย์สิน มีสิทธิใช้สอยและจำำ หน่ำย
ทรัพย์สินของตนและได้ดอกผลแห่งทรัพย์สินนัน ้ กับทัง้มีสิทธิติดตำมและเอำคืนซ่ึงทรัพย์สินของตนจำกบุคคลผู้
ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้และมีสิทธิขัดขวำงมิให้ผู้อ่ืนสอดเข้ำเก่ียวข้องกับทรัพย์สินนัน ้ โดยชอบด้วยกฎหมำย
ตำมปั ญหำ ทองบรรจุพระเคร่ ืองไว้ในเจดีย์บรรจุกระดูกของบรรพบุรุษซ่ึงตัง้อยู่บริเวณอุโบสถของวัด
ทุกปี ลูกหลำนก็ไปเคำรพกรำบไหว้โดยตลอดมำเป็ น เวลำกว่ำ 10 ปี แล้ว เห็นได้ว่ำทองไม่มีเจตนำสละละทิง้พระ
เคร่ ืองซ่ึงบรรจุไว้ในเจดีย์ดังกล่ำวแต่ประกำรใด เช่นนี พ ้ ระเคร่ ืองดังกล่ำวยังเป็ นกรรมสิทธิข์องทองอยู่เม่ ือทำงวัด
เคล่ ือนย้ำยเจดีย์นัน ้ ออกไปจำกพระอุโบสถและเจำะเอำพระเคร่ ืองนัน ้ ไปเก็บไว้ ทองทรำบเร่ ืองจึงไปขอคืน แต่ทำง
กรรมกำรวัดอ้ำงว่ำหมดอำยุควำมเรียกคืนแล้ว เช่นนีเ้ป็ นข้ออ้ำงท่ีมิชอบด้วยกฎหมำย เพรำะจ้ำของกรรมสิทธิย์่อม
มีสิทธิติดตำมและเอำคืนซ่ึงทรัพย์สินของตนจำกบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1336 ดังกล่ำว
ทัง้นีม้ ีสิทธิติดตำมเอำคืนโดยอำำนำจแห่งเจ้ำของกรรมสิทธิด์ังกล่ำวไม่มีกำำหนดอำยุควำม
ฉะนัน้ ข้ออ้ำงของกรมกำรวัดจึงรับฟั งไม่ได้ตำมเหตุผลดังกล่ำว
ก. ได้ยักยอกกำำไลหยกโบรำณของ ข. ไปขำยให้ ค. ซ่ึงเป็ นพ่อค้ำขำยของเก่ำในรำคำ 200,000 บำท
โดย ค.ไม่ทรำบว่ำเป็ นของท่ียักยอกมำและได้ข ำยต่อให้กับบุคคลอ่ ืน ไปโดยไม่ทรำบช่ ือในรำคำ 300,000 บำท
เม่ ือ ข. ทรำบเร่ ืองจึงแจ้งให้ ค.ส่งมอบเงินกำำไร 100,000 บำท ให้แก่ตนมิฉะนัน ้ จะฟ้ องร้องดำำเนินคดี ดังนี ใ้ห้
วินิจฉัยว่ำ ข. มีสิทธิจะเรียกเงินกำำไรดังกล่ำวจำก ค.ได้หรือไม่ เพรำะเหตุใด
ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1336 ภำยในบังคับแห่งกฎหมำย เจ้ำของทรัพย์สิน มีสิทธิใช้สอยและจำำ หน่ำย
ทรัพย์สินของตน และได้ดอกผลแห่งทรัพย์สินนัน ้ กับทัง้มีสิทธิติดตำมและเอำคืนซ่ึงทรัพย์สินของตนจำกบุคคลผู้
ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ และมีสิทธิขัดขวำงมิให้ผู้อ่ืนสอดเข้ำเก่ียวข้องกับทรัพย์สินนัน ้ โดยมิชอบด้วยกฎหมำย
ตำมปั ญหำ ค.พ่อค้ำขำยของเก่ำรับซ้ือกำำไลหยกโบรำณจำก ก.โดยไม่ทรำบว่ำเป็ นของท่ี ก.ยักยอกมำ
จำก ข. และ ค. ได้ขำยกำำ ไลหยกนัน ้ ให้แก่บุค คลอ่ ืน โดยไม่ทรำบช่ ือ ค.ได้กำำ ไรจำกกำรนีห ้ น่ึงแสนบำท เม่ ือ ข.
เจ้ำของท่ีแท้จริงทรำบเร่ ืองจึงเรียกให้ ค. ส่งมอบเงินกำำไรดังกล่ำวคืนให้แก่ตนนัน ้ ข.ในฐำนะเจ้ำของทรัพย์มีสิทธิ
ติดตำมและเอำคืนทรัพย์สินของตน ซ่ึงก็คือกำำ ไลหยกดังกล่ำวจำกผู้ไม่มี สิทธิจะยึด ถือไว้ต ำมมำตรำ 1336 ดัง
กล่ำว บุคคลท่ียึดถือกำำไลหยกซ่ึงเป็ นทรัพย์สินของ ข.ไว้ก็คือบุคคลท่ีไม่ทรำบช่ ือซ่ึงได้ซ้ือไปจำก ค.ดังนี ค ้ .จึงมิใช่
บุคคลท่ียึดถือทรัพย์สินของ ข. ไว้ แม้ ค.จะได้กำำไรจำกกำรขำยทรัพย์สินของ ข. แต่ ค. ได้ทำำกำรโดยสุจริตจึงไม่
ต้องรับผิดต่อ ข. แต่ประกำรใด
ฉะนัน ้ ข. จึงมีสิทธิติดตำมเอำคืนกำำไลหยกของตนจำกบุคคลผู้ไม่ทรำบช่ ือซ่ึงยึดถือทรัพย์สินไว้เท่ำนัน ้
หำท่ีจะมีสิทธิท่ีจะเรียกเงินกำำไรดังกล่ำวจำก ค. ได้ไม่
3.1.2 แดนกรรมสิทธิแ์ละสิทธิขจัดเหตุเดือดร้อนรำาคาญ
เทียนกับธูปมีบ้ำนอยู่ติดกัน และหลังคำบ้ำนบำงส่วนของเทียนย่ น ื ล้ำำเข้ำไปในเขตท่ีดินของธูป เทียนซ้ือ
ท่ีดินพร้อมบ้ำนหลังนีม ้ ำจำกเจ้ำของเดิมและอยู่อำศัยมำเป็ นเวลำ 8 ปี แล้ว โดยธูปก็รู้เร่ ืองกำรลุกล้ำำดังกล่ำวมำโดย
ตลอด แต่ก็มิได้ว่ำกล่ำวประกำรใด ต่อมำเทียนกับธูปมีเร่ ืองผิดใจกัน ธูปจึงเรียกให้เทียนร้ือถอนหลังคำส่วนท่ีย่ืน
ล้ำำออกไป แต่เทียนต่อสู้ว่ำหลังคำบ้ำนของตนย่ น ื ไปในอำกำศไม่เก่ียวกับทรัพย์สินของธูป และถ้ำผิดธูปก็เห็นมำ
เป็ นเวลำกว่ำ 8 ปี แล้ว คดีเป็ นอันขำดอำยุควำม ดังนี ใ ้ ห้วินิจฉัยว่ำข้อต่อสู้ของ
ใด
ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1335 แดนกรรมสิทธิท ์ ่ีดินนัน ้ กินทัง้เหนือพ้นพ้ืนดิน และใต้พ้ืนดินด้วย มำตรำ
1336 เจ้ำของทรัพย์สินมีสิทธิขัดขวำงมิให้ผู้อ่ืนสอดเข้ำเก่ียวข้องกับทรัพย์สินนัน ้ โดยมิชอบด้วยกฎหมำย
ตำมปั ญหำ หลั ง คำบ้ ำ นบำงส่ ว นของเที ย นท่ีย่ น ื ล้ำำ เข้ ำ ไปในเขตท่ีดิ น ของธู ป จึ ง เป็ นกำรรุ ก ล้ำำ แดน
กรรมสิทธิท ์ ่ีดินของธูปในเขตเหนือพ้ืน ดินตำมมำตรำ 1335 ดังกล่ำว ธูปในฐำนะเจ้ำของทรัพย์สินจึงมีสิทธิขัด
ขวำงมิให้ผู้อ่น ื สอดเข้ำเก่ียวข้องกับทรัพย์สินนัน้ โดยมิชอบด้วยกฎหมำย ตำมมำตรำ 1336 ทัง้นีส ้ ิทธิของเจ้ำของ
กรรมสิทธิต์ำมมำตรำ 1336 นัน ้ ไม่อยู่ในบังคับของบทบัญญัติแห่งกฎหมำยว่ำด้วยอำยุควำม
3.2 กรรมสิทธิร์วม
1. กรรมสิทธิร์วมเป็ นเร่ ืองของบุคคลหลำยคนถือกรรมสิทธิร์วมกันในทรัพย์สินอันเดียวกัน และทุกคนเป็ น
เจ้ำของทุกส่วนของทรัพย์สินนัน ้ รวมกัน โดยลักษณะดังกล่ำว กฎหมำยจึงกำำหนดให้เจ้ำของรวมมีส่วน
ตำมข้อสันนิษฐำนของกฎหมำย มีสิทธิจัดกำรทรัพย์สิน ต่อสู้บุคคลภำยนอกใช้ทรัพย์สินและได้ซ่ึงดอก
ผลจำำหน่ำยหรือก่อภำระติดพัน รวมทัง้มีหน้ำท่ีออกค่ำใช้จ่ำยตำมส่วน
2. เจ้ำของมีสิทธิเรียกให้แบ่งทรัพย์นัน้ ได้ โดยแบ่งทรัพย์นัน
้ เองระหว่ำงเจ้ำของรวม หรือขำยทรัพย์สินแล้ว
เอำเงินท่ีขำยได้แบ่งกัน โดยเจ้ำของรวมคนหน่ึงๆ ต้องรับผิดชอบตำมส่วนของตนเช่นเดียวกับผู้ขำยใน
ทรัพย์สิน ซ่ึงเจ้ำของรวมคนอ่ นื ๆได้รับไปในกำรแบ่งนัน ้ รวมทัง้ต้องรับผิดร่วมกันต่อบุคคลภำยนอกใน
หนีอ้ ันเก่ียวกับทรัพย์สินรวม และรับผิดต่อเจ้ำของรวมคนอ่ น ื ในหนีซ
้ ่ึงเกิดจำกกำรเป็ นเจ้ำของรวมด้วย
3.2.1 ลักษณะและผลของกรรมสิทธิร์วม
เอก โท และ ตรีเป็ นเจ้ำของโรงแรมเล็กๆ แห่งหน่ึงร่วมกันโดยเอกเป็ นเจ้ำของ 1 ส่วน โท 2 ส่วน และ
ตรี 3 ส่วน เอกกับโทมีควำมเห็นร่วมกันว่ำ ต้องปรับปรุงโรงแรมใหม่โดยเปล่ียนจำกระบบพัดลมเป็ นระบบเคร่ ือง
ปรับอำกำศ เพ่ ือยกระดับโรงแรมและเพ่ิมค่ำเช่ำห้องให้สูงขึน ้ แต่ตรีคัดค้ำน โดยอ้ำงว่ำตนเป็ นหุ้นส่วนใหญ่ เม่ ือตน
ไม่เห็นด้วย หำกเอกกับโทดำำเนินกำรกันไปเอง ย่อมเป็ นกำรกระทำำท่ีไม่ชอบด้วยกฎหมำย ดังนี ใ้ห้วินิจฉัยว่ำข้อ
อ้ำงของตรีรับฟั งได้หรือไม่
ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1358 วรรคสำม ในเร่ อ ื งกำรจัดกำรอันเป็ นสำระสำำ คัญ ท่ำนว่ำข้อตกลงกันโดย
คะแนนข้ำงมำกแห่งเจ้ำของรวมและคะแนนข้ำงมำกนัน ้ ต้องมีส่วนไม่ต่ำำกว่ำคร่ึงหน่ึงแห่งค่ำทรัพย์สิน
ตำมปั ญหำกำรปรับปรุงโรงแรมใหม่โดยเปล่ียนจำกระบบพัดลมเป็ นระบบเคร่ ืองปรับอำกำศนัน ้ เป็ นกำร
จัดกำรทรัพย์สินโดยวิธีท่ีต่ำงไปจำกกำรจัดกำรธรรมดำจึงเป็ นเร่ ืองของกำรจัดกำรอันเป็ นสำระสำำ คัญ ตำมมำตรำ
1358 วรรคสำมดังกล่ำว กำำหนดให้ต้องตกลงกันโดยคะแนนเสียงข้ำงมำกของเจ้ำของรวมและคะแนนข้ำงมำกนัน ้
ต้องมีส่วนไม่ต่ำำกว่ำคร่ึงหน่ึงแห่งค่ำทรัพย์สิน เม่ ือเอกกับโทมีควำมเห็นร่วมกันจึงนับเป็ นเสียงข้ำงมำกของเจ้ำของ
รวม และมีส่วนของควำมเป็ นเจ้ำของรวมกันได้ 3 ส่วน ซ่ึงเป็ นคร่ึงหน่ึงของทรัพย์สินทัง้หมด จึงมีส่วนไม่ต่ำำกว่ำ
คร่ึงแห่งมูลค่ำทรัพย์สิน ตำมมำตรำ 1358 วรรคสำมดังกล่ำวแล้ว เอกกับโคจึงดำำเนินกำรในเร่ ืองจัดกำรอันเป็ น
สำระสำำคัญดังกล่ำวได้โดยชอบด้วยกฎหมำย
ฉะนัน ้ ข้ออ้ำงของตรีจึงรับฟั งไม่ได้ กำรท่ีเอกกับโท ตกลงกันย่อมเป็ นคะแนนข้ำงมำกแห่งเจ้ำของรวม
และคะแนนข้ำงมำกนัน ้ มีส่วนไม่ต่ำำกว่ำคร่ึงหน่ึง แห่งค่ำทรัพย์สิน ตำมมำตรำ 1358 วรรคสำมแล้ว
เด่นกับดังเป็ นเจ้ำของรถบรรทุกคันหน่ึงร่วมกันโดยเด่นถือกรรมสิทธิ ์ 2 ใน 3 และดังถือกรรมสิทธิ ์ 1
ใน 3 ทัง้สองตกลงกันว่ำใครจะเอำไปใช้เม่ ือใดก็ไก้ แต่ขอให้บอกกันให้รู้ล่วงหน้ำ และจะไม่ใช้ซ้ำำกัน ปรำกฏว่ำใน
ระหว่ำงท่ีเด่นนำำไปใช้หน่ึงเดือนนัน ้ ต้องจ่ำยค่ำซ่อมเคร่ ืองยนต์ไป 30,000 บำท และค่ำน้ำำมันเช้ือเพลิง 12,000
บำท เด่นจึงเรียกให้ดังออกค่ำใช้จ่ำยค่ำซ่อมเคร่ ืองยนต์และค่ำน้ำำมันเช้ือเพลิงดังกล่ำว คนละคร่ึงดังนีใ้ห้วินิจฉัยว่ำ
ดังจะมีข้อต่อสู้เพียงใด
ตำม ป.พ.พ.มำตรำ 1362 เจ้ำของรวมคนหน่ึงๆ จำำต้องช่วยเจ้ำของรวมคนอ่ น ื ๆตำมส่วนของตนในกำร
ออกค่ำจัดกำร ค่ำภำษีอำกร และค่ำรักษำ กับทัง้ค่ำใช้ทรัพย์สินรวมกันด้วย
แบบประเมินผลการเรียนหน่วยท่ี 3
1. สัตว์เลีย
้ งของ ก. ถูกขโมยบ่อยๆ ก. จึงนำำมำฆ่ำเป็ นอำหำรกินเสียทัง้หมด เช่นนี เ้ป็ นสิทธิตำมสิทธิจำำหน่ำย
ของเจ้ำของทรัพย์
2. แดนกรรมสิทธิม ์ ีได้เฉพำะกับทรัพย์สินประเภท ท่ีดินเท่ำนัน
้
3. บทบัญญัติเร่ ืองเหตุเดือดร้อนรำำคำญ ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1337 นัน ้ มุง่ คุ้มครอง เจ้ำของอสังหำริมทรัพย์
มาตรา 1337 บุคคลใดใช้สิทธิของตนเป็ นเหตุให้เจ้ำของอสังหำริมทรัพย์ ได้รับควำมเสียหำย หรือเดือดร้อนเกินท่ีควรคิดหรือคำดหมำยได้ว่ำจะเป็ นไป
ตำมปกติ และเหตุอันควรในเม่ ือเอำสภำพและตำำแหน่งท่ีอยู่แห่งทรัพย์สินนัน ้ มำ คำำนึงประกอบไซร้ ท่ำนว่ำเจ้ำของอสังหำริมทรัพย์มีสิทธิจะปฏิบัติกำรเพ่ ือยัง
ควำมเสียหำยหรือเดือดร้อนนัน
้ ให้สิน
้ ไป ทัง้นีไ้ม่ลบล้ำงสิทธิท่ีจะเรียกเอำค่ำ ทดแทน
4. ผู้ก่อเหตุเดือดร้อนรำำคำญ ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1337 นัน ้ จะเป็ น บุคคลใดก็ได้
5. เจ้ำของรวมคนหน่งึ จะอ้ำงภำระจำำยอมโดยอำยุควำมขึ้นยันเจ้ำของรวมคนอ่ ืน ไม่ได้เพรำะเจ้ำของรวมทุกคน
ย่อมเป็ นเจ้ำของทุกส่วนของทรัพย์สินนัน ้
6. เจ้ำของรวมคนหน่งึ ๆ จะทำำกำรเพ่ ือรักษำทรัพย์สิน กระทำำได้เสมอ
7. ก. กับ ข. เป็ นเจ้ำของรถยนต์คันหน่ ึงรวมกันโดย ก. ถือกรรมสิทธิ ์ 2 ส่วน และ ข. ถือกรรมสิทธิ ์ 1 ส่วน
ทัง้สองตกลงผลัดกันใช้ตำมควำมจำำ เป็ นในระหว่ำงท่ี ก. นำำ รถไปใช้ 1 เดือน ต้องจ่ำยค่ำน้ำำ มันไป 3,000
บำท เช่นนี ก ้ . จะเรียกให้ ข. ช่วยจ่ำยค่ำน้ำำมันนัน
้ ไม่ได้ เพรำะมิใช่ค่ำใช้ทรัพย์สินเพ่ ือประโยชน์รวมกัน
8. สิทธิเรียกให้แบ่งทรัพย์สินอันเป็ นกรรมสิทธิร์วมนัน ้ จะตัดโดยนิติกรรม ได้ครำวละไม่เกิน 10 ปี
9. กำรแบ่งทรัพย์สินอันเป็ นกรรมสิทธิร์วม โดยกำรตกลงกันเองนัน ้ จะต้องใช้คะแนนเสียงของ จำำนวนเจ้ำของ
รวมทัง้หมดเห็นชอบ
หน่วยท่ี 4 การได้มาซ่ึงกรรมสิทธิ ์
1. กำรได้มำซ่ึงกรรมสิทธิน ์ น
ั้ อำจได้มำโดยหลักส่วนควบ ตำมหลักท่วี ่ำเจ้ำของทรัพย์ย่อมมีกรรมสิทธิใ์นส่วน
ควบของทรั พ ย์นั น ้ ซ่ึง มี ทั ง้ กำรได้ ก รรมสิ ท ธิ ม
์ ำในกรณี ส่ ว นควบของท่ีดิ น และในกรณี ส่ ว นควบของ
สังหำริมทรัพย์
2. กำรเข้ำถืออสังหำริมทรัพย์ไม่มีเจ้ำของหรือของตกหำยในบำงกรณี อำจเป็ นเหตุให้ได้มำซ่ึงกรรมสิทธิไ์ด้
รวมทัง้กำรเป็ นผู้รับโอนโดยสุจริต หำกเข้ำข้อยกเว้นหลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่ำผู้โอน ก็อำจเป็ นเหตุให้ได้
มำซ่ึงกรรมสิทธิเ์ช่นเดียวกัน
การได้มาโดยหลักส่วนควบ
1. กำรได้มำซ่ึงกรรมสิทธิใ์นกรณีส่วนควบของท่ีดินนัน ้ อำจมีได้ 6 กรณี คือ กรณีท่ีงอกริมตล่ิง กรณี
สร้ำงโรงเรือนในท่ีดินของผู้อ่ืน กรณีสร้ำงโรงเรือนรุกล้ำำ เข้ำไปในท่ีดินของผู้อ่ืน กรณีผู้เป็ นเจ้ำของ
ท่ีดินโดยมีเง่ ือนไขสร้ำงโรงเรือน กรณีกำรก่อสร้ำงและเพำะปลูกในท่ีดิน และกรณีเอำสัมภำระของผู้
อ่ น
ื มำปลูกหรือสร้ำงในท่ีดินของตนเอง
2. กำรได้ ม ำซ่ึง กรรมสิ ท ธิ ใ์ นกรณี ส่ ว นควบของสั ง หำริ ม ทรั พ ย์ อำจมี ไ ด้ 2 กรณี คื อ กรณี เ อำ
สังหำริมทรัพย์ของบุคคลหลำยคนมำรวมกันและกรณีใช้สัมภำระของบุคคลอ่ ืนทำำส่ิงใดขึ้นใหม่
การได้มาในกรณีส่วนควบของที่ดิน
แดงมีท่ีดินมีโฉนดแปลงหน่ึงอยู่ติดกับแม่น้ำำ ต่อมำเกิดดินทับถมกันจนเป็ นท่ีดอนกลำงแม่น้ำำนัน ้ และ
ดินท่ีต้ืนเขินงอกเข้ำมำจนจรดท่ีดินของแดง เป็ นเน้ือท่ีประมำณ 50 ตำรำงวำ แดงจึงเข้ำครอบครองทำำกินในท่ีดิน
นัน้ เม่ ือทำงรำชกำรทรำบเร่ ืองจึงย่ น ื คำำ ขำดให้แดงออกจำกท่ีดินดังกล่ำวมิฉะนัน ้ จะฟ้ องร้องดำำ เนิน คดี ดังนี ใ้ห้
วินิจฉัยว่ำแดงจะมีข้อต่อสู้เพียงใด
ตำม ป.พ.พ.มำตรำ 1308 ท่ีดินแปลงใดเกิดท่ีงอกริมตล่ิง ท่ีงอกย่อมเป็ นทรัพย์สินของท่ีดินแปลงนัน ้
มำตรำ 1309 เกำะท่ีเกิดในทะเลสำบ หรือในเขตน่ำนน้ำำของประเทศก็ดี และท้องน้ำำท่ีเขินขึ้นก็ดี เป็ น
ทรัพย์สินของแผ่นดิน
ตำมปั ญหำท่ีดอนท่ีเกิดขึ้นกลำงแม่น้ำำและดินต้ืนเขินงอกเข้ำมำจนจรดท่ีดินของแดงเป็ นเน้ือท่ีแปะมำณ
50 ตำรำงวำนัน ้ ย่อมมีสภำพเป็ นเกำะหรือท้องน้ำำต้ืนเขิน อันเป็ นทรัพย์สินของแผ่นดินตำมมำตรำ 1309 มิใช่ท่ี
งอกริมตล่ิง อันจะตกเป็ นกรรมสิทธิข์องเจ้ำของท่ีดินริมตล่ิงนัน ้ ตำมมำตรำ 1308 เพรำะท่ีงอกริมตล่ิงจะต้องเป็ น
ท่ีงอกออกจำกตล่ิงไปในแม่น้ำำ มิใช่งอกจำกท่ีดอนกลำงแม่น้ำำเข้ำหำตล่ิง
ฉะนั น
้ แดงไม่ มี ข้ อ ต่ อ สู้ กั บ ทำงรำชกำร และต้ อ งออกจำกท่ีดิ น ดั ง กล่ ำ วเพรำะท่ีดิ น นั น
้ มี ส ภำพเป็ น
ทรัพย์สินของแผ่นดิน มิใช่ท่ีงอกริมตล่ิง
เสือสร้ำงบ้ำนหลังหน่ึง แต่ได้ทำำถังส้วมซีเมนต์รุกล้ำำเข้ำไปฝั งอยู่ในท่ีดินของช้ำง โดยเข้ำใจว่ำอยู่ในเขต
ท่ีดินของตน เม่ ือมีกำรรังวัดตรวจสอบเขตจึงทรำบข้อเท็จจริงดังกล่ำว เสือจึงเสนอเงินตอบแทนแก่ช้ำงเป็ นค่ำท่ีดิน
แต่ช้ำงไม่ยอมและยืนยันให้เสือร้ือถอนออกไป ดังนีใ้ห้วินิจฉัยว่ำ เสือจะได้รับกำรคุ้มครองตำมกฎหมำยอย่ำงใด
หรือไม่
การได้มาในกรณีส่วนควบของสังหาริมทรัพย์
จำำปี เช่ำซ้ือรถยนต์คันหน่ึงซ่ึงไม่มีตัวถังจำกจำำปำ และจำำปี ได้ว่ำจ้ำงต่อตัวถังรถขึน ้ เพ่ ือใช้ในกำรขนส่งของ
ต่อมำจำำปี และจำำปำตกลงเลิกสัญญำเช่ำซ้ือต่อกันให้ถือว่ำเช่ำซ้ือเป็ นค่ำเช่ำรถยนต์นัน ้ แต่ไม่ได้ตกลงกันในเร่ ืองตัว
ถังรถดังกล่ำว เม่ ือจำำปำมำรับมอบรถยนต์นัน ้ คืนจำำปี ได้ย่ืนข้อเรียกร้องให้จำำปำร้ือตัวถังรถซ่ึงต่อเติมขึ้นนัน ้ คืนแก่
ตน ดังนีใ้ห้วน ิ ิจฉัยว่ำจำำปำจะมีข้อต่อสู้อย่ำงไร
ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1316 บัญญัติว่ำ “ถ้ำอสังหำริมทรัพย์ข องบุคคลหลำยคนมำรวมเข้ำกัน จนเป็ น
ส่วนควบหรือแบ่งแยกไม่ได้ไซร้ท่ำนว่ำบุคคลเหล่ำนัน ้ เป็ นเจ้ำของรวมแห่งทรัพย์ทร่ี วมเข้ำกันแต่ละคนมีส่วน ตำม
ค่ำแห่งทรัพย์ของตนในเวลำท่ีรวมเข้ำกับทรัพย์อ่ืน”
ถ้ำทรัพย์อันหน่ึงอำจถือได้ว่ำเป็ นทรัพย์ประธำนไซร้ ท่ำนว่ำเจ้ำของทรัพย์นัน ้ เป็ นเจ้ำของทรัพย์ทร่ี วมเข้ำ
กันแต่ผู้เดียว แต่ตอ ้ งใช้ค่ำแห่งทรัพย์อ่ืนๆ ให้แก่เจ้ำของทรัพย์นัน ้ ๆ
ตำมปั ญหำ จำำปี เช่ำซ้ือรถยนต์คันหน่ึงซ่ึงไม่มีตัวถังจำกจำำ ปำ และจำำ ปี ได้ว่ำจ้ำงต่อตัวถังรถขึ้นเพ่ ือใช้ใน
กำรขนส่งของ เช่นนีจ้ึงเป็ นกำรเอำสังหำริมทรัพย์ของบุคคลหลำยคนมำรวมเข้ำกันจนเป็ นส่วนควบ หรือแบ่งแยก
ไม่ได้ แต่ตัวรถยนต์ของจำำปำถือได้ว่ำเป็ นทรัพย์ประธำน จำำปำเจ้ำของตัวรถยนต์จึงเป็ นเจ้ำของตัวถังท่ีรวมเข้ำด้วย
กันแต่ผู้เดียว แต่ตอ ้ งใช้ค่ำแห่งทรัพย์อ่ืนให้แก่เจ้ำของทรัพย์นัน ้ ตำมมำตรำ 1316 วรรค สองดังกล่ำว
ฉะนัน ้ จำำปำจึงมีข้อต่อสู้ท่ีจะไม่ต้องร้ือตัวถังซ่ึงต่อเติมขึ้นนัน ้ คืน แต่ต้องชดใช้ค่ำใช้จ่ำยในกำรต่อตัวถัง
รถยนต์นัน ้ แก่จำำปี
เงินถือวิสำสะขณะท่ีทองไม่อยู่ นำำไม้สักทองไปแกะสลักเป็ นทับหลังนำรำยณ์บรรทมสินธุ์ และนำำไปตัง้
แสดงในงำนนิทรรศกำร ทองทรำบเร่ ืองจึงตำมทวงคืนโดยยินดีจะชำำระค่ำแกะสลักให้ตำมมูลค่ำจริงคือ 20,000
บำท เงินไม่ยอมคืน แต่ยินดีชำำระค่ำไม้สักท่ีได้แกะสลักแล้วให้ตำมมูลค่ำจริงคือ 19,990 บำท ดังนัน ้ ให้วินิจฉัย
ว่ำเงินกับทองใครมีสิทธิในงำนไม้แกะสลักนัน ้ ดีกว่ำกัน
ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1317 บุ ค คลใดใช้ สั ม ภำระของบุ ค คลอ่ ืน ทำำ ส่ ง ใดขึ้น ใหม่ เ จ้ ำ ของสั ม ภำระเป็ น
เจ้ำของส่ิงนัน้ โดยมิตอ ้ งคำำนึงว่ำสัมภำระนัน ้ จะกลับคืนตำมเดิมได้หรือไม่ แต่ต้องใช้ค่ำแรงงำน
แต่ถ้ำแรงงำนเกินกว่ำค่ำสัมภำระท่ีใช้นัน ้ มำก ผู้กระทำำเป็ นเจ้ำของทรัพย์ท่ีทำำขึ้นแต่ต้องใช้ค่ำสัมภำระ
ตำมปั ญหำ เงินใช้ไม้สักซ่ึงเป็ นสัมภำระของทองทำำส่ิงใหม่ขึ้นคือแกะสลักเป็ นทับหลังนำรำยณ์ บรรทม
สินธุ์ โดยค่ำแกะสลักหรือแรงงำนนัน ้ มีมูลค่ำเกินกว่ำค่ำสัมภำระเพียง 10 บำท ซ่ึงถือได้ว่ำเกินกว่ำเพียงเล็ก น้อย
เท่ำนั น
้ ค่ ำแรงงำนมิ ไ ด้ เ กิ น กว่ ำ ค่ ำ สั ม ภำระมำก จึ ง ไม่ ต้ อ งด้ ว ยข้ อยกเว้ น ตำมมำตรำ 1317 วรรคสอง ฉะนั น ้
เจ้ำของสัมภำระจึงเป็ นเจ้ำของส่ิงนัน ้ ตำมมำตรำ 1317 ดังนัน ้ ทองจึงมีสิทธิในงำนไม้แกะสลักนัน ้ ดีกว่ำเงิน
การได้มาซ่ึงทรัพย์สินไม่มีเจ้าของและการรับโอนโดยสุจริต
1. กำรได้มำซ่ึงทรัพย์สินไม่มีเจ้ำของนัน ้ กรณีสังหำริมทรัพย์ไม่มีเจ้ำของบุคคลอำจได้มำซ่ึงกรรมสิทธิโ์ดย
กำรเข้ำถือเอำ สำำหรับกรณีทรัพย์สินท่ีไม่มีผู้ครอบครอง อำจได้กรรมสิทธิใ์นกรณีเดียวคือ ผู้เก็บได้ซ่ึง
ทรัพย์สินหำยแล้วผู้มีสิทธิจะรับทรัพย์สินมิได้เรียกเอำภำยในหน่ึงปี นับแต่วันท่ีเก็บได้
2. กำรได้มำโดยกำรรับโอนโดยสุจริตนัน ้ เป็ นกำรได้มำโดยพฤติกำรณ์พิเศษอันเป็ นกำรคุ้มครองบุคคล
ภำยนอกผู้ รั บ โอนโดยสุ จ ริ ต ซ่ึง มี ก รณี สำำ คั ญ ๆ คื อ กรณี บุ ค คลหลำยคนเรี ย กเอำสั ง หำริ ม ทรั พ ย์
เดียวกัน โดยอำศัยหลักกรรมสิทธิต์่ำงกัน กรณีได้ทรัพย์สินจำกกำรขำยทอดตลำด ตำมคำำสัง่ศำลหรือ
เจ้ำพนักงำนพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลำย กรณีสิทธิของบุคคลผู้ได้เงินตรำและกรณีซ้ือทรัพย์สินใน
กำรขำยทอดตลำดในท้อง ตลำดหรือจำกพ่อค้ำซ่ึงขำยของชนิดนัน ้
กำรได้มำซ่ึงทรัพย์สินไม่มีเจ้ำของ
สมชำยทะเลำะกับแฟนสำวและโกรธท่ีแฟนสำวคืนแหวนทองซ่ึงตนให้เป็ นของขวัญจึงขว้ำงแหวนทอง
นัน้ ทิง้ไปในกองขยะแล้วจำกไป สมศรีเห็นเหตุกำรณ์จึงเข้ำไปค้นหำจนพบแหวนทองนัน ้ สุดสวยอยู่ในเหตุกำรณ์
ด้วยเห็นว่ำแหวนนัน ้ สวยมำกจึงขอซ้ือ สมศรีเกรงว่ำเก็บไว้อำจมีปัญหำยุ่งยำกจึงขำยแหวนทองนัน ้ ให้สุดสวยไป
ในวันรุ่งขึ้น สมชำยนึกเสียดำยแหวนทองนัน ้ จึงกลับมำหำท่ีเดิมและทรำบควำมจริงว่ำสุดสวยเป็ นคนรับซ้ือแหวน
นัน
้ ไป สมชำยจึงตำมไปทวงแหวนคืนจำกสุดสวย ดังนีใ้ห้วน ิ ิจฉัยว่ำสุดสวยจะมีข้อต่อสู้อย่ำงไรหรือไม่
ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1319 ถ้ำเจ้ำของสังหำริมทรัพย์เลิกครอบครองทรัพย์ด้วยเจตนำสละกรรมสิทธิ ์
ไซร้ ท่ำนว่ำสังหำริมทรัพย์นัน้ ไม่มีเจ้ำของ
กำรได้มำโดยกำรรับโอนโดยสุจริต
ก. ตกลงขำยเงินตรำสมัยรัชกำรท่ี 5 ให้กับ ค. โดยนัดชำำระรำคำและส่งมอบในวันรุ่งขึ้น แต่ยังไม่ทันได้
ส่งมอบ ข. ซ่ึงเป็ นบุตรของ ก. เข้ำใจว่ำอย่ำงไรเสีย ก. ก็ต้องยกเงินตรำนัน ้ ให้เป็ นมรดกตกทอดแก่ตน ข . จึงถือ
วิสำสะนำำเงินตรำนัน ้ ไปขำยให้ ง. โดย ง. รับซ้ือไว้ด้วยควำมสุจริตและได้ชำำระรำคำพร้อมทัง้รับมอบเงินตรำนัน ้ ไว้
เรียบร้อย เม่ ือ ค. ทรำบเร่ ืองจึงติดตำมทวงถำมเงินตรำนัน ้ คืนจำก ง. แต่ ง. ไม่ยินยอมโดยอ้ำงว่ำทรัพย์ทต ่ี นซ้ือไว้
เป็ นเงินตรำอีกทัง้ตนได้ครอบครองไว้แล้วจึงได้รับกำรคุ้มครองตำมกฎหมำยดังนี ใ ้ ห้. ท่ำนวินิจฉัยว
รับฟั งได้หรือไม่ เพรำะเหตุใด
ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1303 วรรค 1 ถ้ำบุคคลหลำยคนเรียกเอำสังหำริมทรัพย์เดียวกัน โดยอำศัยหลัก
กรรมสิทธิต์ำ่ งกันไซร้ ท่ำนว่ำทรัพย์สินนัน ้ ตกอยู่ในครอบครองของบุคคลใด บุคคลนัน ้ มีสิทธิย่ิงกว่ำบุคคลอ่ ืนๆ แต่
ต้องได้ทรัพย์นัน ้ มำโดยมีค่ำตอบแทนและได้กำรครอบครองโดยสุจริต
มำตรำ 1331 สิทธิของบุคคล ผู้ได้เงินตรำมำโดยสุจริตนัน ้ ท่ำนว่ำมิเสียไปถึงแม้ภำยหลังจะพิสูจน์ได้ว่ำ
เงินนัน ้ มิใช่ของบุคคลซ่ึงได้โอนให้มำ
ตำมปั ญหำ ก. ตกลงขำยเงิ น ตรำสมั ย รั ช กำรท่ี 5 ให้ กั บ ค. แม้ จ ะยั ง ไม่ ไ ด้ ชำำ ระรำคำและส่ ง มอบ
กรรมสิทธิใ์นเงินตรำนัน ้ ก็โอนไปยัง ค. นับแต่ตกลงซ้ือขำยแล้ว ในเร่ ืองนีก ้ รณีกำรชำำระรำคำและกำรส่งมอบเป็ น
เพียงวัตถุแห่งหนี ไ ้ ม่. เถื
ก่อียวิวกั
สำสะนำ
บกำรโอนกรรมสิ
ำเงินตรำนัน ้ ทธิใ์นทรัพย์สิน
ไปขำยให้กับ ง. แม้ ง. จะได้ครอบครองเงินตรำนัน ้ ไว้โดยสุจริตและมีค่ำตอบแทน แต่ ง. มิได้ซ้ือเงินตรำนัน ้ จำก
บุคคลคนเดียวกับท่ีขำยให้ ค. หำกเป็ นกำรซ้ือจำก ข. ซ่ึงเป็ นบุคคลท่ีไม่มีอำำ นำจจะขำยให้ ฉะนัน ้ ง. จะอ้ำงกำร
ครอบครอง โดยอำศัยหลักกรรมสิทธิต์่ำงกันตำมมำตรำ 1303 วรรค 1 ขึน ้ ต่อสู้กับ ค. หำได้ไม่
อีกทัง้เงินตรำตำมปั ญหำดังกล่ำว เป็ นเงินตรำสมัยรัชกำรท่ี 5 ซ่ึงเป็ นเงินตรำท่ย ี กเลิกไปแล้วมิใช่เงินตรำ
ท่ีใช้ชำำระหนีไ้ด้ตำมกฎหมำย ฉะนัน ้ ง. จึงไม่ได้รับกำรคุ้มครองตำมมำตรำ 1331 ดังกล่ำว
ดังนัน้ ข้ออ้ำงของ ง. จึงรับฟั งไม่ได้ตำมเหตุผลดังกล่ำว
แบบประเมินผลการเรียนหน่วยท่ี 4
หน่วยท่ี 5 การใช้สิทธิและข้อจำากัดในการใช้สิทธิ
1. บุคคลแม้จะมีสิทธิและสำมำรถใช้สิทธิตำมท่ีกฎหมำยรับรอง และคุ้มครองให้ซ่ึงก่อให้เกิดหน้ำท่ีแก่บุคคล
คลอ่ นื ท่ีจะต้องไม่ละเมิดหรือก้ำวล่วงในสิทธิของตนก็ตำม แต่ก็มีข้อจำำ กัดในกำรใช้สิทธิตำมหลักทัว่ ไป
คือต้องใช้สิทธิโดยสุจริต และไม่ทำำควำมเสียหำยแก่ผู้อ่ืน และยังมีข้อจำำกัดในกำรใช้สิทธิเฉพำะกรณีตำม
ท่ีกฎหมำยหรือหรือข้อตกลงในนิติกรรมสัญญำจำำกัดกำรใช้สิทธิ
2. ข้อจำำกัดในกำรใช้สิทธิของเจ้ำของอสังหำริมทรัพย์ เป็ นข้อจำำกัดในกำรใช้สิทธิของเจ้ำของสิทธิเฉพำะกรณี
ซ่ึงประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์บัญญัติจำำ กัดกำรใช้สิทธิของเจ้ำของอสังหำริมทรัพย์ หรือเจ้ำของ
ท่ีดินไว้เพ่ ือประโยชน์ซ่ึงกันและกันของเจ้ำของท่ีดินท่ีมีเขตติดต่อกัน หรือเพ่ ือประโยชน์แก่บุคคลทัว่ไป
หรือสำธำรณประโยชน์
การใช้สิทธิและข้อจำากัดในการใช้สิทธิโดยทั่วไป
1. สิทธิหมำยถึงอำำนำจหรือประโยชน์ท่ีบุคคลมีอยู่โดยกฎหมำยรับรอง และคุ้มครองให้ซ่ึงเจ้ำของสิทธิ
ย่อมมีอำำ นำจหรื อ มี ค วำมสำมำรถท่ีจ ะใช้ สิ ท ธิ ข องตน หรื อ กระทำำ กำรต่ ำ งๆ ได้ ภ ำยในของเขตท่ี
กฎหมำยรับรองไว้
2. เจ้ำของสิทธิหรือผู้ทรงสิทธิ แม้จ ะมีอำำ นำจในกำรใช้สิทธิ ข องตนโดยสุ จริต มี ควำมรับ ผิ ดชอบต่ อ
บุคคลอ่ ืน ไม่ทำำควำมเสียหำยให้แก่บุคคลอ่ ืน แม้จะไม่มีกฎหมำยหรือข้อสัญญำกำำหนดห้ำมไว้โดย
เฉพำะก็ตำม ซ่ึงเป็ นข้อจำำ กัดในกำรใช้สิทธิตำมหลักทัว่ไป นอกจำกนีเ้จ้ำของสิทธิหรือผู้ทรงสิทธิ
อำจถูกกฎหมำยหรือข้อตกลงในนิติกรรมสัญญำจำำกัดกำรใช้สิทธิของตนก็ได้ซ่ึงเป็ นข้อจำำกัดในกำร
ใช้สิทธิเฉพำะกรณี
สิทธิและการใช้สิทธิ
สิทธิตำมกฎหมำยหมำยควำมว่ำอย่ำงไร
สิทธิตำมกฎหมำย (Legal Rights) หมำยถึงอำำนำจหรือประโยชน์อันบุคคลมีอยู่โดยกฎหมำยรับรอง
และคุ้มครองให้ซ่ึงไม่หมำยรวมถึงสิทธิอ่ืนๆ ท่ีไม่มีค่ำบังคับทำงกฎหมำย เช่น สิทธิทำงศีลธรรม สิทธิทำงธรรมชำติ
หรือสิทธิมนุษยธรรม แต่ถ้ำมีกฎหมำยบัญญัติรับรองสิทธิดังกล่ำวไว้สิทธินัน ้ ก็กลำยเป็ นสิทธิตำมกฎหมำย
สิทธิตำมกฎหมำยอำจแยกเป็ นสิทธิท่ีเก่ียวกับสภำพบุคคลประกำรหน่ึง และสิทธิท่ีเก่ียวกับทรัพย์สินอีก
ประกำรหน่ึง
ข้อจำากัดในการใช้สิทธิ
หลั ก กฎหมำยทั ว่ ไปท่ีว่ ำ “ ผู้ ท่ีใ ช้ สิ ท ธิ ข องตน ย่ อ มไม่ ทำำ ควำมเสี ย หำยแก่ บุ ค คลอ่ ืน ” หมำยควำมว่ ำ
อย่ำงไร และมีบัญญัติไว้ในกฎหมำยไทยหรือไม่อย่ำงไร
“ผู้ท่ีใช้สิทธิของตน ย่อมไม่ทำำควำมเสียหำยแก่บุคคลอ่ ืน” ซ่ึงเป็ นหลักกฎหมำยทัว่ไปตำมสุภำษิตโรมัน
นัน
้ หมำยควำมว่ำแม้เจ้ำของสิทธิจะมีอำำนำจในกำรใช้สิทธิตำมกฎหมำยของตนได้แก่กำรใช้สิทธินัน ้ ก็อำจกระทบ
ต่อสิทธิของเจ้ำของสิทธิคนอ่ น ื ได้เช่นกัน ดังนัน ้ เจ้ำของสิทธิหรือผู้ใช้สิทธิจึงต้องใช้สิทธิโดยมีควำมรับผิดชอบท่ีจะ
ข้อจำากักในการใช้สิทธิของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์
1. ข้อจำำกัดแห่งเจ้ำของอสังหำริมทรัพย์ซ่ึงกฎหมำยกำำ หนดไว้นัน ้ ไม่ต้องจดทะเบียน แต่ต้องกำร
ถอนหรือแก้ไขหย่อนลงต้องทำำ นิติกรรมเป็ น หนังสือ และจดทะเบียนกับพนักงำนเจ้ ำหน้ ำท่ี
สำำหรับข้อจำำกัดซ่ึงกำำหนดไว้สำำหรับสำธำรณะประโยชน์ กฎหมำยนัน ้ ห้ำมมิให้ถอนหรือแก้ให้
หย่อนลงทัง้สิน ้
2. ทำำเลท่ีตัง้ของท่ีดินสูงหรือต่ำำตำมธรรมชำติ เป็ นท่ีมำของข้อจำำกัดสิทธิท่ีทำำให้เจ้ำของท่ีดินต่ำำจำำ
ต้องรับน้ำำ ซ่ึงไหลตำมธรรมดำหรือไหลเพรำะกำรระบำยน้ำำ นัน ้ จำกท่ีดิน สูงมำในท่ีดินของตน
และเจ้ำของท่ี ดินริมทำงน้ำำจะชักน้ำำเอำไว้เกินควำมจำำเป็ นแก่ตนจนเป็ นเหตุเส่ ือมเสียแก่ท่ีดิน
แปลงอ่ ืนซ่ึงอยู่ตำมทำงน้ำำนัน้ มิได้
3. เจ้ำของท่ีดินซ่ึงมีแนวเขตท่ีดินติดต่อกับท่ีดินแปลงอ่ ืน อำจมีปัญหำเก่ียวกับกำรใช้สิทธิในท่ีดิน
ตำมหลักกรรมสิทธิแ์ละแดนกรรมสิทธิ ก ์ ฎหมำยจึงจำำกัดสิทธิของเจ้ำของกรรมสิทธิไ์ว้บ้ำงบำง
ประกำรโดยกำำ หนดไว้ อ ย่ ำ งชั ด เจน หรื อ กำำ หนดไว้ เ ป็ นข้ อ สั น นิ ษ ฐำนของกฎหมำยเพ่ ือ
ประโยชน์ร่วมกันของเจ้ำของท่ีดินติด ต่อกันทัง้สองฝ่ ำย และเพ่ ือขจัดปั ญหำข้อขัดแย้งหรือข้อ
พิพำทเก่ียวกับกำรใช้สิทธิในท่ีดินของเจ้ำของท่ีดน ิ ติดต่อกันนัน้
4. ท่ีดินแปลงหน่ึงอำจถูกท่ีดินแปลงอ่ ืนล้อมอยู่จนไม่มีทำงออกถึงทำงสำธำรณะได้ กฎหมำยจึงให้
สิทธิแก่เจ้ำของท่ีดินแปลงท่ีถูกล้อมผ่ำนท่ีดินซ่ึงล้อมอยู่ไปสู่ทำงสำธำรณะได้ตำมควำมจำำเป็ นซ่ึง
เจ้ำของท่ีดินแปลงท่ีถูกล้อมต้องใช้ค่ำทดแทนให้แก่เจ้ำของท่ีดินแปลงท่ีเปิ ดทำงจำำเป็ นเพ่ ือควำม
เสียหำยอันเกิดจำกเหตุนัน ้ ถ้ำไม่มีทำงออกเพรำะเกิดจำกควำมแบ่งแยกหรือแบ่งโอนท่ีดินซ่ึง
เดิมมีทำงออกอยู่แล้วนัน ้ แปลงท่ีไม่มีทำงออกเพรำะเหตุดังกล่ำวมีสิทธิเรียกเอำทำงจำำ เป็ นได้
เฉพำะบนท่ีดินแปลงท่ีได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเท่ำนัน ้ และไม่ต้องเสียค่ำทดแทนแต่จะเรียก
เอำทำงเดินจำกท่ีดินแปลงอ่ ืนไม่ได้
5. บุคคลทัว่ไปก็อำจเข้ำไปใช้ประโยชน์ในท่ีดินของบุคคลอ่ ืน ได้ ถ้ำเจ้ำของไม่ได้กัน ้ และมิไ ด้หวง
ห้ำมตำมท่ีกฎหมำยกำำ หนดไว้ หรือในกรณีมีประเพณีแห่งท้องถ่ินให้ทำำ ได้และเจ้ำของไม่ห้ำม
เฉพำะกำรเข้ำไปใช้ประโยชน์บำงประกำร ทัง้นีเ้พ่ ือให้ท่ีดินท่ีเจ้ำของมิได้ทำำ ประโยชน์และมิได้
ห้ำมเกิดประโยชน์แก่บุคคลอ่ ืนบ้ำงตำมสมควร
การจดทะเบียนถอนหรือเปลี่ยนแปลงข้อจำากัด
เอกและโทเป็ นเจ้ำของท่ีดินติดกันตกลงทำำนิติกรรมเป็ นหนังสือ ห้ำมมิให้คู่สัญญำขุดบ่อ สระหลุมรับน้ำำ
โสโครก ในระยะสองเมตรจำกแนวเขตท่ีดิน ตำมบทบั ญ ญั ติ แห่ ง ป.พ.พ. มำตรำ 1342 วรรคหน่ึง ต่อ มำเอก
ต้องกำรเลีย ้ งปลำแรดเพ่ ือขำยในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำำ จึงขุดบ่อขนำดใหญ่ห่ำงจำกแนวเขตท่ีดินติดกับท่ีดินของโท
เพียงหน่ึงเมตร โทจึงว่ำเอกทำำผิดสัญญำแต่เอกอ้ำงว่ำสัญญำนัน ้ เป็ นโมฆะใช้บังคับกันไม่ได้ เพรำะกำรทำำนิติกรรม
เช่นนัน
้ ต้องทำำเป็ นหนังสือและจดทะเบียนกับพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ี จึงจะมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับกันได้ ให้วน ิ ิจฉัยว่ำข้อ
อ้ำงของเอกชอบด้วยกฎหมำยหรือไม่ เพรำะเหตุใด
ป.พ.พ. มำตรำ 1338 วรรคหน่ึง บัญญัติว่ำ
“ข้อจำำกัดสิทธิแห่งเจ้ำของอสังหำริมทรัพย์ซ่ึงกฎหมำยกำำหนดไว้ ท่ำนว่ำไม่จำำต้องจดทะเบียน”
กรณีตำมปั ญหำเป็ นเร่ ืองกำรขุดบ่อสระ หลุมรับน้ำำ โสโครก หรือหลุมรับป๋ ุย หรือขยะมูลฝอยซ่ึงมำตรำ
1342 วรรคหน่ึง กำำหนดว่ำจะขุดในระยะสองเมตรจำกแนวเขตท่ีดินไม่ได้ บทบัญญัติในมำตรำดังกล่ำวจึงเป็ นข้อ
จำำกัดสิทธิแห่งเจ้ำของอสังหำริมทรัพย์ซ่ึงกฎหมำยกำำหนดไว้จึงไม่จำำต้องจดทะเบียนตำมมำตรำ 1338 วรรคหน่ึง
แต่ถ้ำจะถอนหรือแก้ข้อจำำ กัดตำมมำตรำ 1342 ให้หย่อนลงนัน ้ จะต้องทำำนิติกรรมเป็ นหนังสือและจดทะเบียน
กับพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ี จะทำำนิติกรรมตกลงกันเองไม่ได้ตำมมำตรำ 1338 วรรคหน่ึง ข้อตกลงของเอกและโทท่ีได้
ทำำนิติกรรมเป็ นหนังสือห้ำมมิให้คู่สัญญำขุดบ่อสระ หลุมรับน้ำำ โสโครกนับเป็ นข้อตกลงซ่ึงเป็ นข้อจำำ กัดสิทธิของ
เจ้ำของกรรมสิทธิ ท ์ .่ีปพ.พ. กำำหนดไว้อย่ำงชัดเจนแล้ว จึงไม่ต้องจดทะเบียนดังนัน ้ ข้ออ้ำงของเอกท่ีอ้ำงว่ำ “
สั ญ ญำนั น
้ เป็ น โมฆะใช้ บั ง คั บ กั น ไม่ ไ ด้ เพรำะกำรทำำ นิ ติ ก รรมเช่ น นั น
้ ต้ อ งทำำ เป็ น หนั ง สื อ และจดทะเบี ย นกั บ
พนักงำนเจ้ำหน้ำท่ีจึงจะมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับกันได้” นัน ้ จึงเป็ นข้ออ้ำงท่ีไม่ชอบด้วยกฎหมำยตำมมำตรำ 1338
และมำตรำ 1342 ดังกล่ำว
ข้อจำากัดเก่ย
ี วกับการรับน้ำาตามสภาพทางธรรมชาติของท่ีดิน
เสรีเจ้ำของท่ีดินสูงได้ระบำยน้ำำจำกบ่อเลีย
้ งปลำช่อนของตนลงสู่ท่ีดินของสิทธิซ่ึงอยูต ่ ่ำำกว่ำ สิทธิในฐำนะ
เพ่ ือนบ้ำนจึงแจ้งให้เสรีทรำบว่ำไม่มีสิทธิระบำยน้ำำนัน้ ลงมำท่ีดินของตน แต่เสรีกับอ้ำงว่ำสิทธิเป็ นเจ้ำของท่ีดินต่ำำจำำ
ต้องรับน้ำำท่ีไหลเพรำะกำรระบำยจำกท่ีดินสูงมำในท่ีดินของตน และสิทธิก็ไม่ได้รับควำมเสียหำยเพรำะกำรระบำย
น้ำำนัน้ แต่อย่ำงใด สิทธิจึงไม่มีสิทธิห้ำมมิให้ตนระบำยน้ำำนัน้ จำกท่ีดินของตน ให้วินิจฉัยข้ออ้ำงของเสรีชอบด้วย
กฎหมำยหรือไม่ เพรำะเหตุใด
ป.พ.พ. มำตรำ 1340 วรรคหน่ึงบัญญัติว่ำ
“เจ้ำของท่ีดินจำำต้องรับน้ำำซ่ึงไหลเพรำะระบำยจำกท่ีดินสูงลงมำในท่ีดน
ิ ของตนถ้ำก่อนท่ีจะระบำย นัน ้ น้ำำ
ได้ไหลเข้ำมำในท่ีดินของตนตำมธรรมดำอยู่แล้ว”
ตำมปั ญหำเป็ นกรณีท่ีเสรีเจ้ำของท่ีดินสูงได้ระบำยน้ำำจำกบ่อเลีย
้ งปลำช่อนของตนลงสู่ท่ีดินของสิทธิซ่ึง
อยู่ต่ำำกว่ำ ไม่ใช่กำรระบำยน้ำำตำมธรรมชำติเช่นน้ำำฝนซ่ึงก่อนท่ีจะระบำยน้ำำ น้ำำได้ไหลเข้ำมำในท่ีดินของสิทธิซ่ึงอยู่
ต่ำำ กว่ำตำมธรรมดำอยู่แล้วตำมหลักกฎหมำยในมำตรำ 1340 ซ่ึงเป็ นข้อจำำ กัดสิทธิของเจ้ำของท่ีดินต่ำำ ท่ีจำำ ต้อง
ยอมรับน้ำำ นัน ้ กำรระบำยน้ำำ เช่นนีจ้ึงเป็ นกำรกระทำำ โดยไม่มีสิทธิตำมกฎหมำย แม้สิทธิจะมิได้รับควำมเสียหำย
เพรำะกำรระบำยน้ำำ ก็ตำม แต่สิทธิย่อมมีสิทธิท่ีจะห้ำม หรือฟ้ องร้องมิใ ห้เสรีระบำยน้ำำ จำกบ่อเลีย ้ งปลำช่อนลงสู่
ท่ีดิ น ของตนในฐำนะเจ้ ำ ของกรรมสิ ท ธิ ใ์ นท่ีดิ น ตำมมำตรำ 1336 ข้ อ อ้ ำ งของเสรี จึ ง เป็ น ข้ อ อ้ ำ งท่ีไ ม่ ช อบตำม
กฎหมำย
ข้อจำากัดเพ่ ือประโยชน์แห่งเจ้าของอสังหาริมทรัพย์หรือเจ้าของที่ดินติดต่อกัน
ย่ิงและยอดเป็ นเจ้ำของท่ีดินติดต่อกัน ได้ร่วมกันปลูกต้นตะโกโดยทำำเป็ นรัว้ต้นไม้ตำมแนวเขตท่ีดินเพ่ ือ
ใช้เป็ นแนวแบ่งเขตท่ีดินทัง้สองแปลงตำมแนวหลักเขตของกรมท่ีดิน ต่อมำย่ิงต้องกำรจะตัดรัว้ต้นไม้ดังกล่ำวเพรำะ
ต้นตะโกได้ขยำยแนวรุกล้ำำเข้ำไปในเขตท่ีดินของตนโดยจะก่อกำำแพงเป็ นแนวเขตแทนและขอให้ ยอดร่วมออกค่ำใช้
จ่ำยในกำรตัดรัว้ต้นไม้และกำรก่อกำำแพงด้วย แต่ยอดไม่ยอมให้ตัดโดยอ้ำงว่ำต้นตะโกนัน ้ นอกจำกจะใช้เป็ นรัว้และ
ยังใช้เป็ นหลักเขตอีกด้วย ให้วินิจฉัยว่ำย่ิงมีสิทธิตัดต้นตะโกโดยให้ยอดร่วมออกค่ำใช้จ่ำยและก่อกำำ แพงหรือไม่
เพรำะเหตุใด
ป.พ.พ. วำงหลักไว้ว่ำ
“เม่ ือรัว้ต้นไม้ หรือคูซ่ึงมิได้ใช้เป็ นรำงระบำยน้ำำเป็ นของเจ้ำของท่ีดินทัง้สองข้ำงรวมกัน ท่ำนว่ำเจ้ำของ
ข้ำงใดข้ำงหน่ึงมีสิทธิท่ีจะตัดรัว้ต้นไม้หรือถนนคูนัน ้ ได้ถึงแนวเขตท่ีดินของตน แต่ต้องก่อกำำ แพง หรือทำำรัว้ตำม
แนวเขตนัน ้ ” มำตรำ 1345
“เจ้ำของแต่ละฝ่ ำยจะต้องกำรให้ขุดหรือตัดต้นไม้ก็ได้ ค่ำใช้จ่ำยในกำรนัน ้ ต้องเสียเท่ำกันทัง้สองฝ่ ำยแต่
ถ้ำเจ้ำของอีกฝ่ ำยหน่ึงสละสิทธิในต้นไม้นัน ้ ไซร้ฝ่ำยท่ีต้องกำรขุดหรือตัดต้องเสียค่ำใช้จ่ำยฝ่ ำยเดียว ถ้ำต้นไม้นัน ้
เป็ นหลักเขตและจะหำหลักเขตอ่ ืนไม่เหมำะเหมือน ท่ำนว่ำฝ่ ำยหน่ึงฝ่ ำยใดจะต้องกำรให้ขุดหรือตัดไม่ได้” มำตรำ
1346 วรรคสอง
กรณีตำมปั ญหำเม่ ือต้นตะโกซ่ึงอยู่บนแนวเขตท่ีดินเป็ นของย่ิงและยอดเจ้ำของท่ีดินทัง้สองข้ำงร่วมกัน
โดยเจตนำปลูกเพ่ ือใช้เป็ นรัว้ต้นไม้แบ่งเขตท่ีดินตำมแนวหลักเขตของกรมท่ีดิน ย่ิงซ่ึงเป็ นเจ้ำของร่วมฝ่ ำยหน่ึงจะ
ขุดหรือตัดต้นตะโกซ่ึงใช้เป็ นรัว้ต้นไม้นัน ้ ได้ถึงแนวเขตท่ีดินของตน แต่ต้องก่อกำำแพงหรือทำำรัว้ตำมแนวเขตท่ีดิน
นัน ้ ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1345 ยอดจะไม่ยอมให้ตัดไม่ได้เพรำะเป็ นข้อจำำกัดกรรมสิทธิอ์ีกทัง้รัว้ต้นตะโกไม่ใช่หลัก
เขตตำมมำตรำ 1346 วรรคสอง แม้จะมีเจตนำปลูกเพ่ ือให้เป็ นเคร่ ืองหมำยแบ่งเขตท่ีดิน ก็ตำมเพรำะมีหลักเขต
ของกรมท่ีดินอยู่แล้ว สำำหรับค่ำใช้จ่ำยในกำรตัดต้นตะโกนัน ้ หำกยอดต้องกำรต้นตะโกซ่ึงตนเป็ นเจ้ำของร่วมด้วย
นัน้ ยอดก็ตองเสียค่ำใช้จ่ำยในกำรตัดร่วมเท่ำกันทัง้สองฝ่ ำย แต่ถ้ำยอดสละสิทธิในต้นตะโก ย่ิงซ่ึงเป็ นฝ่ ำยต้องกำร
ตัดก็ต้องเสียค่ำใช้จ่ำยฝ่ ำยเดียว มำตรำ 1346 วรรคสอง และต้องเสียค่ำใช้จ่ำยในกำรก่อกำำแพงตำมแนวเขตนัน ้
แต่เพียงผู้เดียวตำมมำตรำ 1345 ด้วยเช่นกัน
ฟ้ ำได้ขออนุญำตเดือนเจ้ำของท่ีดินติดต่อกันเพ่ ือเข้ำไปวำงบันไดติดตัง้กันสำดและรำงน้ำำ ฝนของตนซ่ึง
อยู่ใกล้แนวเขตท่ีดิน และขอวำงท่อระบำยน้ำำผ่ำนท่ีดินของเดือนไปสู่ทำงระบำยน้ำำสำธำรณะด้วยเพรำะไม่มีทำงอ่ น ื
ท่ีจะระบำยออกสู่ทำงระบำยสำธำรณะได้ โดยฟ้ ำยินดีจ่ำยค่ำทดแทนตำมท่ีเดือนจะเสนอมำ แต่เดือนไม่ยอมให้ฟ้ำ
เข้ำไปในท่ีดินของตนเพ่ ือติดตัง้กันสำดและรำงน้ำำฝน และบอกฟ้ ำว่ำหำกเสนอค่ำทดแทนในกำรวำงท่อระบำยน้ำำ
ให้ตำมสมควรแก่ควำมเสียหำยของตนแล้วจะอนุญำตให้ทำำ ได้ตำมท่ีต้องกำรทัง้หมด ดังนีใ้ห้วินิจฉัยว่ำฟ้ ำมีสิทธิ
กระทำำกำรดังกล่ำวหรือไม่
ป.พ.พ. วำงหลักไว้ว่ำ
“มำตรำ 1351 เจ้ำของท่ีดิน เม่ ือบอกล่วงหน้ำตำมสมควรแล้วอำจใช้ท่ีดินติดต่อเพียงท่ีจำำ เป็ น ในกำร
ปลูกสร้ำงหรือซ่อมแซมรัว้กำำแพง หรือโรงเรือน ตรงหรือใกล้แนวเขตของตนแต่จะเข้ำไปในโรงเรือนท่ีอยูข ่ องเพ่ ือน
บ้ำนข้ำงเคียงไม่ได้ เว้นแต่ได้รับคำำยินยอม” มำตรำ 1351 วรรคหน่ึง
“ท่ำนว่ำเจ้ำของท่ีดินได้รับค่ำทดแทนตำมสมควรแล้วต้องยอมให้ผู้อ่ืนวำงท่อน้ำำ ท่อระบำยน้ำำ สำยไฟฟ้ ำ
หรือส่ิงอ่ ืนซ่ึงคล้ำยกันผ่ำนท่ีดินของตน เพ่ ือประโยชน์แก่ท่ีดินติดต่อ ซ่ึงถ้ำไม่ยอมให้ผ่ำนก็ไม่มีทำงจะวำงท่อได้
หรือถ้ำจะวำงได้ก็เปลืองเงิน มำกเกินควร แต่เจ้ำของท่ีดิน อำจยกเอำประโยชน์ข องตนขึ้น พิจำรณำด้วย” มำตรำ
1352 วรรคหน่ึง
กรณีตำมปั ญหำ เม่ ือฟ้ ำได้ขออนุญำตเดือนแล้ว ฟ้ ำย่อมมีสิทธิเข้ำไปใช้ท่ีดินของเดือนเพ่ ือวำงบันใดติด
ตัง้กัน สำดและรำงน้ำำ ฝน แม้เ ดือ นจะไม่ อนุ ญำตก็ไ ม่มี ควำมผิด ทัง้ ทำงแพ่งและทำงอำญำเป็ น กำรเข้ำไปเพี ยงท่ี
จำำเป็ นในกำรติดตัง้กันสำดและรำงน้ำำฝนตำมมำตรำ 1351 วรรคหน่ึง ซ่ึงเป็ นบทจำำกัดสิทธิของเจ้ำของกรรมสิทธิ ์
ข้อจำากัดเก่ย
ี วกับทางจำาเป็ นกับการใช้ท่ีดินเพ่ ือประโยชน์แก่บุคคลทั่วไป
สุ ด ใจมี ท ่ีดิ น สองแปลง แปลงแรกติ ด ทำงสำธำรณะ แปลงท่ีส องอยู่ ห ลั ง ท่ีดิ น แปลงแรกไม่ ติ ด ทำง
สำธำรณะ สุดใจให้สุดทำงเช่ำท่ีดินแปลงท่ีสองโดยให้สุดทำงใช้ท่ีดินแปลงแรกผ่ำนๆไปสู่ทำงสำธำรณะได้ ต่อมำ
สุดใจได้ให้ชอบจิตเช่ำท่ีดินแปลงแรกเพ่ ือสร้ำงห้องแถว ชอบจิต ได้สร้ำงห้องแถวบนท่ีดินแปลงแรกเต็มพ้ืน ท่ีจน
ทำำให้สุดทำงไม่สำมำรถผ่ำนท่ีดินแปลงแรกออกสู่ทำงสำธำรณะได้ ให้วินิจว่ำสุดทำงจะฟ้ องขอให้เปิ ดทำงจำำเป็ นได้
หรือไม่ เพรำะเหตุใด
ป.พ.พ. มำตรำ 1349 วรรคหน่ึงบัญญัติว่ำ “ท่ีดินแปลงใดท่ีมีท่ีดินแปลงอ่ ืนล้อมอยู่จนไม่มีทำงออกถึง
ทำงสำธำรณะได้ไซร้ ท่ำนว่ำเจ้ำของท่ีดินแปลงนัน ้ จะผ่ำนท่ีดินซ่ึงล้อมอยู่ไปสู่ทำงสำธำรณะได้”
กรณีตำมปั ญหำผู้ท่ีจะได้สิทธิใช้ทำงจำำเป็ นผ่ำนท่ีดินแปลงอ่ ืนซ่ึงล้อมท่ีดินของตนจนไม่มีทำงออกถึงทำง
สำธำรณะได้ตำมมำตรำ 1349 นัน ้ ต้องเป็ นเจ้ำของท่ีดินซ่ึงถูกล้อมอยู่ตำมแนวคำำพิพำกษำฎีกำท่ี 2196/2514
หำกเป็ นเพียงเจ้ำของโรงเรือนหรือผู้เช่ำท่ีดิน แม้จะถูกท่ีดินอ่ ืนล้อมอยู่ก็ไม่มีสิทธิฟ้องร้องหรือเรียกร้องทำงจำำเป็ น
ดังนัน
้ สุดทางผู้เป็ นผู้เช่ำจึงฟ้ องขอให้เปิ ดทำงจำำเป็ นไม่ได้ อีกทัง้กำรเรียกร้องให้เปิ ดทำงจำำเป็ นนัน
้ ต้องเป็ นท่ีดินต่ำง
แปลงต่ำงเจ้ำของกัน (คำำพิพำกษำฎีกำท่ี 517/2509) แต่กรณีนีแ ้ ม้จะเป็ นท่ีดินต่ำงแปลงกัน แต่ต่ำงก็เป็ นท่ีดิน
ของเจ้ำของเดียวกัน จะเรียกร้องเอำจำกบุค คลอ่ ืน ซ่ึงไม่ใ ช่เจ้ำของกรรมสิทธิใ์ นท่ีดิน ก็ไม่ได้ เพรำะบทบัญ ญัติใ น
มำตรำ 1349 เป็ นข้อจำำกัดสิทธิของเจ้ำของกรรมสิทธิน ์ ัน
่ เอง
แบบประเมินผลการเรียนหน่วยท่ี 5
หน่วยท่ี 6 สิทธิครอบครอง
1. ลิทธิครอบครองเป็ นทรัพย์สิทธิชนิดหน่ึง ซ่ึงได้มำตำมข้อเท็จจริง (de facto) ต่ำงกับสิทธิอ่ืนๆ ซ่ึงต้อง
ได้มำตำมกฎหมำย (de jure) สิทธิครอบครองจึงอำจได้มำโดยกำรยึดถือด้วยเจตนำยึดถือเพ่ ือตน โดยไม่
ต้องคำำ นึงว่ำจะได้มำโดยชอบด้วยกฎหมำยหรือ ไม่ และอำจสิ น ้ สุ ด ลงเม่ ือ ขำดจำกกำรยึ ดถื อ ด้ว ยเจตนำ
ยึดถือเพ่ ือตน
2. ผู้ทรงสิทธิครอบครองมีอำำนำจเหนือทรัพย์สินนัน ้ ใกล้เคียงเจ้ำของกรรมสิทธิ ส ์ ำมำรถใช้ต่อสู้หรือยกขึ้น
ยันแก่บุคคลทัว่ไปได้โดยไม่จำำ กัด เว้นแต่เจ้ำของกรรมสิทธิเ์ท่ำนัน ้ และกำรครอบครองโดยปรปั กษ์อำจ
เป็ นเหตุให้ได้มำซ่ึงกรรมสิทธิใ์นทรัพย์สินนัน
้ ได้
6.1.1 ลักษณะของสิทธิครอบครอง
สิทธิครอบครองมีลักษณะสำำคัญอย่ำงไร
สิทธิครอบครองมีลักษณะสำำคัญ 7 ประกำรดังต่อไปนี้
1) สิทธิครอบครองเป็ นทรัพย์สินชนิดหน่ึง
2) สิทธิครอบครองเป็ นสิทธิท่ีได้มำตำมข้อเท็จจริง
3) สิทธิครอบครองอำจมีได้ทัง้ในสังหำริมทรัพย์และอสังหำริมทรัพย์
4) สิทธิครอบครองมีอยู่ได้ตรำบเท่ำท่ีครอบครอง
5) สิทธิครอบครองเป็ นสิทธิท่ีอำจอยู่ได้โดยลำำพัง
6) สิทธิครอบครองอำจแทรกอยู่ในกรรมสิทธิ บ ์ ุ คคลสิทธิและทรัพย์สินอ่ ืนๆได้
7) สิทธิครอบครองมีได้ทัง้กรณีผู้ทรงสิทธิเป็ นเจ้ำของ และมิได้เป็ นเจ้ำของทรัพย์สิน
ยกตังอย่ำง ข้อสันนิษฐำนของกฎหมำยท่ีเป็ นประโยชน์แก่ผู้ครอบครอง มำ 5 กรณี
(1) บุ ค คลใดยึ ด ถื อ ทรั พ ย์ สิ น ไว้ ใ ห้ สั น นิ ษ ฐำนไว้ ก่ อ นว่ ำ บุ ค คลนั น
้ ยึ ด ถื อ เพ่ ือ ตน (ตำม
ป.พ.พ. มำตรำ 1366)
(2) ผู้ครอบครองนัน ้ ให้สันนิษฐำนไว้ก่อนว่ำ ครอบครองโดยสุจริต โดยควำมสงบ และโดย
เปิ ดเผย (ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1370)
(3) ถ้ำพิสูจน์ได้ว่ำ บุคคลใดครองทรัพย์สน ิ เดียวกันสองครำวให้สันนิษฐำนไว้กอ ่ นว่ำบุคคล
นัน้ ได้ครอบครองติดต่อกันตลอดเวลำ (ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1371)
(4) สิทธิท่ีผู้ครอบครองใช้ในทรัพย์สินท่ีครอบครองนัน ้ ให้สันนิษฐำนไว้ก่อนว่ำเป็ นสิทธิท่ี
ผู้ครอบครองมีตำมกฎหมำย (ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1371)
ผลของสิทธิครอบครอง
6.2.1
ผู้ครอบครองทรัพย์สินสองครำวตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1371 นัน ้ จะได้รับประโยชน์จำกข้อสันนิษฐำน
ของกฎหมำย ก็ต่อเม่ ือต้องปรำกฏข้อเท็จจริงประกำรใดเสียก่อน
ผู้ครอบครองทรัพย์สินสองครำว ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1371 นัน ้ จะได้รับประโยชน์จำกข้อสันนิษฐำน
ของกฎหมำย ต่อเม่ ือต้องปรำกฏข้อเท็จจริง 2 ประกำรดังนี้
(1) ต้องครอบครองทรัพย์สินเดียวกันเท่ำนัน ้ หำกมิใช่ทรัพย์สินเดียวกัน จะอ้ำงประโยชน์
จำกข้อสันนิษฐำน ตำมมำตรำ 1371 ไม่ได้
(2) ต้ อ งครอบครองทรั พ ย์ สิ น นั น
้ สองครำว คื อ ครำวแรกกั บ ครำวหลั ง จะทำำ ให้ ไ ด้ รั บ
ประโยชน์ใน ช่วงกลำง คือกฎหมำยให้สันนิษฐำนว่ำได้ครอบครองติดต่อกันตลอดเวลำ
แบบประเมินผลการเรียนหน่วยท่ี 6
หน่วยท่ี 7 ภาระจำายอม
1. ภำระจำำยอมเป็ นทรัพยสิทธิชนิดท่ีจำำกัดตัดตอนกรรมสิทธิอ์ย่ำงหน่ึง ซ่ึงเป็ นเหตุให้เจ้ำของอสังหำ
ริมทรัพย์ต้องรับกรรมหรืองดเว้นกำรใช้สิทธิบำงอย่ำง เพ่ ือประโยชน์แก่อสังหำริมทรัพย์อ่ืน ภำระ
จำำยอมนัน้ อำจได้มำโดยผลของกฎหมำย โดยนิติกรรม และโดยอำยุควำม นอกจำกนีภ ้ ำระจำำ ยอม
ยังมีลักษณะสำำคัญแตกต่ำงจำกสิทธิอ่ืนๆ
2. เจ้ำของสำมยทรัพย์ ไม่มีสิทธิทำำให้เกิดภำระเพ่ิมขึ้นแก่ภำรยะทรัพย์ แต่มีสิทธิทำำกำรอันจำำเป็ นเพ่ ือ
รักษำและใช้สอยภำระจำำยอม ในขณะท่ีเจ้ำของภำรยทรัพย์ก็จะต้องไม่กระทำำกำรใด อันเป็ นเหตุให้
ประโยชน์ แห่งภำระจำำยอมลดไปหรือเส่ ือมควำมสะดวก แต่อำจเรียกให้ย้ำยภำระจำำยอมไปยังส่วน
อ่ ืนของทรัพย์ได้
3. ภำระจำำยอมอำจระงับสิน้ ไป โดยผลของกฎหมำย โดยนิติกรรม และโดยอำยุควำม
7.1.1 ความหมายของภาระจำายอม
หลักเกณฑ์อน ั เป็ นสำระสำำคัญของภำระจำำยอมมีอะไรบ้ำง อธิบำยโดยสังเขป
หลักเกณฑ์อน ั เป็ นสำระสำำคัญของภำระจำำยอมนัน ้ มี 3 ประกำรดังต่อไปนี้
(1) ทรั พ ย์ สิ น ท่ีเ ก่ีย วเน่ ือ งกั บ ภำระจำำ ยอมต้ อ งเป็ น อสั ง หำริ ม ทรั พ ย์ แ ละต้ อ ง
ประกอบด้วยอสังหำริม ทรัพย์สองอสังหำริมทรัพย์ต่ำงเจ้ำของกัน
(2) เจ้ำของอสังหำริมทรัพย์อันเป็ นภำรยทรัพย์ ต้องรับกรรมบำงอย่ำงซ่ึงกระทบ
ถึง ทรั พย์สิ น ของตน หรื อต้อ งงดเว้ น กำรใช้ สิ ท ธิ บ ำงอั น มี อยู่ ใ นกรรมสิ ท ธิ ์
ทรัพย์สินนัน ้
(3) กรรมหรื อ ข้ อ งดเว้ น กำรใช้ สิ ท ธิ ดั ง กล่ ำ วจะต้ อ งเป็ น ประโยชน์ โ ดยตรงแก่
อสังหำริมทรัพย์อ่น ื อันเป็ นสำมยทรัพย์นัน ้
เจ้ำของโคยินยอมให้นำำโคไปไถนำให้แก่เจ้ำของนำได้ในทุกฤดูกำลทำำนำ ดังนีเ้ป็ นภำระจำำยอมได้หรือไม่
เพรำะเหตุใด
เป็ นภำระจำำยอมไม่ได้ เพรำะภำระจำำยอมต้องเป็ นกรณีอสังหำริมทรัพย์สองอสังหำริมทรัพย์ แต่โดเป็ น
สังหำริมทรัพย์มิใช่อสังหำริมทรัพย์ กรณีนีจ้ึงไม่ใช่เป็ นเร่ ืองของเจ้ำของอสังหำริมทรัพย์ต้องรับกรรม เพ่ ือประโยชน์
แก่อสังหำริมทรัพย์อ่น ื ฉะนัน ้ จึงไม่ใช่ภำระจำำยอม
เจ้ำของท่ีดินแปลงหน่ึงยินยอมให้เจ้ำของท่ีดินข้ำงเคียงรวมทัง้บริวำรเข้ำไปจับปลำในหนองน้ำำซ่ึงอยู่ใน
ท่ีดินของเจ้ำของท่ีดินนัน ้ ได้ ดังนัน
้ เป็ นภำระจำำยอมได้หรือไม่ เพรำะเหตุใด
เป็ น ภำระจำำ ยอมไม่ได้ เพรำะภำระจำำ ยอมต้องเป็ น ประโยชน์โดยตรงแก่อสังหำริมทรัพย์อัน เป็ น สำมย
ทรัพย์นัน
้ แต่กำรยินยอมให้เข้ำไปจับปลำในหนองน้ำำ เป็ นประโยชน์แก่เจ้ำของอสังหำริมทรัพย์ซ่ึงเป็ นประโยชน์
เฉพำะแก่ตวั บุคคล โดยไม่เก่ียวกับอสังหำริมทรัพย์เลยฉะนัน ้ จึงเป็ นภำระจำำยอมไม่ได้
7.1.2 การได้มาซ่ึงภาระจำายอม
ภำระจำำยอมอำจได้มำโดยทำงใดบ้ำง
ภำระจำำยอมอำจได้มำโดย 3 ทำงคือ
(1) โดยผลของกฎหมำย
(2) โดยนิติกรรม
(3) โดยอำยุควำม
ภำระจำำยอมซ่ึงได้มำโดยนิติกรรมนัน ้ หำกมิได้ทำำเป็ นหนังสือและจดทะเบียนกับพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ีผล
จะเป็ นประกำรใด
ภำระจำำยอมซ่ึงได้มำโดยนิติกรรมนัน ้ หำกมิได้ทำำเป็ นหนังสือและจดทะเบียนกับพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ี จะมี
ผลไม่บริบูรณ์ในฐำนะเป็ นทรัพย์สินตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1299 วรรค 1 จึงไม่ตกติดไปกับภำรยทรัพย์ และจะยก
เป็ นข้อต่อสู้กับบุคคลภำยนอกผู้รับโอนภำรยทรัพย์นัน ้ ไม่ได้คงมีผลเรียกร้องบังคับกันได้ในระหว่ำง คู่กรณีเท่ำนัน ้
หน่ึงเดินผ่ำนทุ่งหญ้ำเลีย
้ งสัตว์สำธำรณะเป็ นเวลำกว่ำ 10 ปี ติดต่อกันเช่นนีห ้ น่ึงจะยกอำยุควำมขึ้นอ้ำง
สิทธิทำงภำระจำำยอมได้หรือไม่ เพรำะเหตุใด
ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1306 ท่ำนห้ำมมิให้ยกอำยุควำมขึ้นเป็ นข้อต่อสู้กับแผ่นดินในเร่ ืองทรัพย์สินอัน
เป็ นสำธำรณะสมบัตข ิ องแผ่นดิน
ตำมปั ญหำ ทุ่ง หญ้ ำเลีย
้ งสัต ว์ สำธำรณะ เป็ น ทรัพย์ สิน สำำ หรั บ พลเมื อ งใช้ ร่ ว มกัน ย่ อ มเป็ น สำธำรณะ
สมบัติของแผ่นดิน ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1304 (2) ฉะนัน ้ หน่ึงจึงต้องห้ำมมิให้ยกอำยุควำมขึ้นเป็ นข้อต่อสู้กับ
แผ่นดินในเร่ ืองทรัพย์สินอันเป็ นสำธำรณะสมบัติของแผ่นดินตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1306 ดังกล่ำว
ก. อำศัยเดินผ่ำนท่ีดินของ ข. มำเป็ นเวลำหลำยสิบปี แล้วเช่นนี ก ้ . จะได้ภำระจำำยอมโดยอำยุควำมหรือ
ไม่ เพรำะเหตุใด
ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1401 ภำระจำำยอมอำจได้มำโดยอำยุควำมท่ำนให้นำำบทบัญญัติว่ำด้วยอำยุควำมได้
สิทธิ อันกล่ำวไว้ในสำธำรณะ 3 แห่งบรรพหนีม ้ ำใช้บังคับโดยอนุโลม
มำตรำ 1382 บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อ่ืนไว้โดยควำมสงบและโดยเปิ ดเผยด้วยเจตนำเป็ น
เจ้ำของ ถ้ำเป็ นอสังหำริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็ นเวลำสิบปี ท่ำนว่ำบุคคลนัน ้ ได้กรรมสิทธิ ์
7.1.3 ลักษณะของภาระจำายอม
ก. เจ้ำของท่ีดินแปลงหน่ึงจดทะเบียนให้ ข. เจ้ำของท่ีดน ิ แปลงข้ำงเคียงได้สิทธิทำงภำระจำำยอมผ่ำนท่ีดิน
ของตน ต่อมำ ก.ได้จดทะเบียนโอนขำยท่ีดินภำรยทรัพย์นัน ้ ให้แก่ ค. และ ข. ได้จดทะเบียนสิทธิเก็บกินในท่ีดิน
สำมทรัพย์นัน ้ ให้แก่ ง. ดังนี ค ้ . และ ง. ต้องผูกพันต่อภำระจำำยอมหรือไม่ เพรำะเหตุใด
ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1393 วรรคหน่ึง ถ้ำมิได้กำำ หนดไว้เป็ น อย่ำงอ่ น ื ในนิติกรรมอัน ก่อให้เกิดภำระ
จำำยอมไซร้ ท่ำนว่ำภำระจำำยอมย่อมติดไปกับสำมยทรัพย์ได้จดทะเบียนซ่ึงได้จำำหน่ำย หรือตกไปในบังคับแห่งสิทธิ
อ่ ืน
ตำมปั ญหำ ก. เจ้ำของภำรยทรัพย์ได้จดทะเบียนโอนขำยภำรยทรัพย์นัน ้ ให้แก่ ค. ภำระจำำยอมย่อม ตก
ติดไป กับภำรยทรัพย์ ฉะนัน ้ ค. จึงต้องผูกพันกับสิทธิภำระจำำยอมนัน ้ และ ข. ได้จดทะเบียนให้สิทธิเก็บกินในท่ี
ดินสำมยทรัพย์นัน ้ แก่ ง. ภำระจำำยอมย่อมตกติดไปกับสำมยทรัพย์ซ่ึงได้จำำหน่ำยหรือตกไปในบังคับของสิทธิอ่น ื
ตำมมำตรำ 1393 วรรคหน่ึงดังกล่ำว
ฉะนัน ้ ง. จึงเป็ นผู้ทรงสิทธิภำระจำำยอมผ่ำนทำงในท่ีดินของ ค. ได้ทัง้ ค. และ ง. ต้องผูกพันต่อภำระ
จำำยอมนัน ้
หน่ึงจดทะเบียนให้สองได้สิทธิภำระจำำยอมในกำรเดินผ่ำนท่ีนำของตนผ่ำนไปยังท่ีนำของสอง ต่อมำสอง
ได้แบ่งขำยท่ีนำส่วนหน่ึงของตนให้แก่สำม ดังนีห ้ น่ึงจะปฏิเสธมิให้สำมผ่ำนท่ีนำของตนโดยอ้ำงว่ำตนให้สิทธิภำระ
จำำยอมแก่สองมิได้ให้แก่สำม ได้หรือไม่ เพรำะเหตุใด
ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1395 ถ้ำมีกำรแบ่งแยกสำมยทรัพย์ท่ำนว่ำภำระจำำยอมยังคงมีอยู่เพ่ ือประโยชน์แก่
ทุกส่วนท่แ ี ยกออกนัน ้
ตำมปั ญหำ สองได้แบ่งขำยท่น ี ำส่วนหน่ึงของตนให้แก่สำมภำระจำำยอมยังคงมีอยู่เพ่ ือประโยชน์แก่สำมย
ทรัพย์ทุกส่วนท่ีแยกออกไป ตำมมำตรำ 1395 ดังกล่ำว ฉะนัน ้ ภำระจำำ ยอมจึงยังคงมีอยู่เพ่ ือประโยชน์แก่ท่ีน ำ
ส่วนท่ีแบ่งแยกแก่สำมด้วย ข้ออ้ำงของหน่ึงท่ีว่ำตนได้ให้สิทธิภำระจำำยอมแก่สองมิได้ให้แก่สำมจึงรับฟั งไม่ได้เพรำะ
ภำระจำำยอมย่อมมีอยู่เพ่ ือประโยชน์แก่อสังหำริมทรัพย์มใิ ช่เจำะจงเพ่ ือประโยชน์แก่บุคคลใด รวมทัง้ภำระจำำยอมยัง
คงมีอยู่เพ่ ือประโยชน์แก่ทุกส่วนท่ีแยกออกไปนัน ้ ตำมมำตรำ 1395 ดังกล่ำว
ฉะนัน้ หน่ึงจึงปฏิเสธมิให้สำมผ่ำนท่ีนำของตนไม่ได้
ก. และ ข. เป็ นเจ้ำของกรรมสิทธิร์วมในท่ีดินแปลงหน่ึง ก. แต่ผู้เดียวท่ีใช้สิทธิเดินผ่ำนท่ีดินของ ค. จน
ได้ภำระจำำ ยอมโดยอำยุควำม โดย ข. มิได้มีส่วนร่วมด้วยเลยเพรำะอยู่อำศัยในจังหวัดอ่ ืน ต่อมำ ข. ได้ย้ำยไปอยู่
อำศัยในท่ีดินแปลงดังกล่ำว ดังนี ค ้ . จะปฏิเสธมิให้ ข. เดินผ่ำนท่ีดินของตนได้หรือไม่ เพรำะเหตุใด
ตำม ป.พ.พ. มำตรำ มำตรำ 1396 ภำระจำำยอมซ่ึงเจ้ำของรวมแห่งสำมยทรัพย์คนหน่ึงได้มำหรือใช้อยู่
นัน ้ ท่ำนให้ถือว่ำเจ้ำของรวมได้มำหรือใช้อยู่ด้วยกันทุกคน
ตำมปั ญหำ ก. และ ข. เป็ น เจ้ำของกรรมสิทธิร์วมในท่ีดินแปลงหน่ึง ก. แต่ผู้เดียวได้ใช้สิทธิเดินผ่ำน
ท่ีดินของ ค. จนได้ภำระจำำยอมโดยอำยุควำมแม้ ข . จะมิได้มีส่วนร่วมด้วย แต่ภำระจำำยอมซ่ึงเจ้ำของรวมแห่งสำมย
ทรัพย์คนหน่ึงได้มำหรือใช่อยู่นัน ้ ให้ถือว่ำเจ้ำของรวมได้มำหรือใช้อยู่ด้วยกันทุกคน
ฉะนัน ้ ข. จึงได้สิทธิภำระจำำยอมนัน ้ ด้วยตำมมำตรำ 1396 ดังกล่ำว ค. จึงปฏิเสธมิให้ ข. เดินผ่ำนท่ีดิน
ของตนไม่ได้
ภำระจำำยอมต่ำงกับทำงจำำเป็ นในประเด็นใดบ้ำง
ภำระจำำยอมต่ำงกับทำงจำำเป็ นในประเด็นท่ีสำำคัญ 9 ประกำร ดังต่อไปนี้
(1) ท รั พ ย์ สิ น อั น เ ก่ีย ว กั บ ภ ำ ร ะ จำำ ย อ ม ต้ อ ง ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย อ สั ง ห ำ ริ ม ท รั พ ย์ ส อ ง
อสังหำริมทรัพย์แต่ทรัพย์ สิน อั น เก่ียวกับ ทำงจำำ เป็ น ต้อ งเป็ น ท่ีดิ น เท่ำนั น ้ ไม่ เก่ียวกับ
อสังหำริมทรัพย์อ่น ื
(2) ภำระจำำยอมไม่มีข้อจำำกัดว่ำจะเป็ นกำรใช้สิทธิประเภทใด แต่ทำงจำำเป็ นจำำกัดเฉพำะใน
เร่ ืองทำงสัญจรเท่ำนัน ้ ประโยชน์อ่ืนจะอ้ำงทำงจำำเป็ นไม่ได้
(3) ในส่วนของทำงภำระจำำ ยอมไม่จำำ ต้องถูกล้อมจนไม่มีทำงออก แต่ทำงจำำ เป็ นนัน ้ จำำ กัด
เฉพำะกรณีท่ีดินถูกล้อมจนไม่มีทำงออกสู่ทำงสำธำรณะได้เท่ำนัน ้
7.2.1 สิทธิและหน้าท่ีของเจ้าของสามยทรัพย์
กรณีเจ้ำของสำมยทรัพย์ ไม่มีสิทธิทำำกำรเปล่ียนแปลงในภำรยทรัพย์หรือสำมยทรัพย์ซ่ึงทำำให้เกิดภำระ
เพ่ิมขึ้นแก่ภำรยทรัพย์ ตำมมำตรำ 1388 กับกรณีควำมต้องกำรแห่งเจ้ำของสำมยทรัพย์เปล่ียนแปลงไปไม่ให้สิทธิ
แก่เจ้ำของสำมยทรัพย์ท่ีจะทำำให้เกิดภำระเพ่ิมขึ้นแก่ภำรยะทรัพย์ ตำมมำตรำ 1389 นัน ้ แตกต่ำงกันอย่ำงไร
กรณีหำ้ มทำำให้เกิดภำระเพ่ิมขึ้นแก่ภำรยทรัพย์ ตำมมำตรำ 1388 กับมำตรำ 1389 มีควำมแตกต่ำงกัน
ดังต่อไปนี้
กรณีตำม มำตรำ 1388 ภำระท่ีเพ่ิมขึ้นแก่ภำรยทรัพย์นัน ้ เกิดจำกกำรท่ีเจ้ำของสำมยทรัพย์กระทำำ กำร
เปล่ียนแปลงภำรยทรัพย์หรือสำมยทรัพย์ แต่กรณีตำมมำตรำ 1389 ภำระท่ีเพ่ิมขึ้นแก่ภำรยทรัพย์นัน ้ เกิดจำก
ควำมต้องกำรแห่งเจ้ำของสำมยทรัพย์เปล่ียนแปลงไป โดยมิได้กระทำำกำรเปล่ียนแปลงใดๆ ในภำรยทรัพย์หรือใน
สำมยทรัพย์นัน ้ เลย
ก. ได้ภำระจำำยอมโดยอำยุควำมเดินผ่ำนท่ีดินของ ข. ซ่ึงมีขอบเขตทำงกว้ำง 2 เมตร ต่อมำ ก. จะทำำกำร
ปรับปรุงเป็ นทำงคอนกรีตและขยำยทำงให้กว้ำงเพ่ิมขึ้น เป็ น 3 เมตร เพ่ ือให้สำมำรถนำำ รถเข้ำออกได้สะดวกขึ้น
เช่นนี ก ้ . มีสิทธิกระทำำกำรได้หรือไม่ เพรำะเหตุใด
ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1388 เจ้ำของสำมยทรัพย์ไม่มีสิทธิทำำกำรเปล่ียนแปลงในภำรยทรัพย์หรือในสำม
ยทรัพย์ซ่ึงทำำให้เกิดภำระเพ่ิมขึ้นแก่ภำรยทรัพย์
ตำมปั ญหำ เดิม ก. ได้ภำระจำำ ยอมโดยอำยุควำมเดินผ่ำนท่ีดิน ของ ข. ซ่ึงมีขอบเขตทำงกว้ำง 2 เมตร
กำรท่ี ก. จะทำำ กำรปรับปรุงทำงภำระจำำ ยอมให้เป็ นทำงคอนกรีตนัน ้ ไม่เป็ น กำรทำำ ให้เกิดภำระเพ่ิมขึ้นแก่ภำรย
ทรัพย์แต่ประกำรใด แต่กำรท่ี ก. จะขยำยทำงให้กว้ำงเพ่ิมขึ้นเป็ น 3 เมตรนัน ้ ย่อมเป็ นกำรเปล่ียนแปลงในภำรย
ทรัพย์ ซ่ึงทำำให้เกิดภำระเพ่ิมขึน ้ แก่ภำรยทรัพย์ ต้องห้ำมตำมมำตรำ 1388
ฉะนัน ้ ก. มีสิทธิทำำ กำรปรับปรุงทำงภำระจำำ ยอมให้เป็ นทำงคอนกรีตได้แต่ไม่มีสิทธิขยำยทำงให้กว้ำง
กว่ำเดิม เป็ นกำรต้องห้ำมตำมมำตรำ 1388
หน่ึงได้ภำระจำำ ยอมในกำรชักน้ำำ จำกลำำ ลำงของสองมำใช้ในท่ีดิน ของตนต่อมำลำำ รำงนีต ้ ้ืน เขิน น้ำำ ไหล
ผ่ำนไม่สะดวก หน่ึงจะเข้ำไปขุดลอกลำำรำงให้น้ำำไหลผ่ำนได้สะดวกเหมือนเดิมโดยไม่ต้อขอควำมยินยอมจำกสอง
ก่อนได้หรือไม่ เพรำะเหตุใด
ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1391 วรรค 1 เจ้ำของสำมยทรัพย์มีสิทธิทำำกำรทุกอย่ำงอันจำำเป็ นเพ่ ือกำรรักษำ
และใช้ภำระจำำ ยอม แต่ต้องเสียค่ำใช้จ่ำยของตนในกำรนีเ้จ้ำของสำมยทรัพย์จะก่อให้เกิดควำมเสียหำยแก่ภำรย
ทรัพย์ได้ก็แต่น้อยท่ีสุดตำมพฤติกำรณ์
ตำมปั ญหำ หน่ึงได้ภำระจำำยอมในกำรชักน้ำำจำกลำำรำงของสองมำใช้ในท่ีดินของตน ต่อมำลำำรำงต้น ื เขิน
น้ำำไหลไม่สะดวก หน่ึงในฐำนะเจ้ำของสำมยทรัพย์จึงมีสิทธิทำำกำรทุกอย่ำงอันจำำเป็ นเพ่ ือรักษำและใช้ภำระจำำยอม
ตำมมำตรำ 1391 วรรค 1 เช่น นีห ้ น่ึงจึงมี สิทธิตำมกฎหมำยท่ีจ ะเข้ำไปขุดลอกลำำ รำงให้น้ำำ ไหลผ่ำ นได้ส ะดวก
เหมือนเดิมโดยไม่ต้องขอควำมยินยอมจำกสองก่อน แต่ประกำรใด
ฉะนัน ้ หน่ึงจะเข้ำไปขุดลอกลำำรำงให้น้ำำไหลสะดวกเหมือนเดิมได้โดยไม่ต้องได้รับควำมยินยอมก่อนตำม
มำตรำ 1391 วรรค 1 ดังกล่ำว
7.2.2 สิทธิและหน้าท่ีของเจ้าของภารยทรัพย์
ก. เจ้ำของสำมยทรัพย์ได้ก่อสร้ำงสะพำนเช่ ือมตึก 2 หลังของตน โดยสะพำนนัน ้ คร่อมทำงภำระจำำยอม
สู ง จำกพ้ืน 5 เมตร ไม่กี ดขวำงทำงเดิน รถเข้ำ ออกของ ข.เจ้ ำของสำมยทรัพย์ เช่ น นี ข้ . จะเรี ยกให้ ก. ร้ือ ถอน
สะพำนนัน ้ ออกไปได้หรือไม่ เพรำะเหตุใด
ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1330 ท่ำนมิให้เจ้ำของภำรยทรัพย์ประกอบกรรมใดๆ อันจะเป็ นเหตุให้ประโยชน์
แห่งภำระจำำยอมลดไปหรือเส่ ือมควำมสะดวก
ตำมปั ญหำ ก. เจ้ำของภำรยทรัพย์ได้สร้ำงสะพำนเช่ ือมตึก 2 หลังของตน โดยสะพำนนัน ้ คร่อมทำงภำระ
จำำ ยอมสูงจำกพ้ืน 5 เมตรเม่ ือสะพำนนัน ้ ไม่กีดขวำงทำงเดิน รถเข้ำออกของ ข. เจ้ำของสำมยทรัพย์ กำรสร้ำ ง
สะพำนเช่ ือมดังกล่ำวจึงไม่เป็ นเหตุให้ประโยชน์แห่งภำระจำำ ยอมลดลงไปหรือเส่ ือมควำมสะดวก ไม่ต้องห้ำมตำม
มำตรำ 1390 ดังกล่ำว
ฉะนัน้ ข. จึงเรียกให้ ก. ร้ือสะพำนนัน ้ ออกไปไม่ได้ ตำมเหตุผลดังกล่ำว
เดิมทำงภำระจำำยอมผ่ำนทำงทิศตะวันออกของท่ีดินของ ก . แต่ต่อมำ ก. เรียกให้ย้ำยทำงภำระจำำยอมไป
ทำงทิศตะวันตกของภำรยทรัพย์ โดยอ้ำงว่ำจะทำำให้ ข. เจ้ำของสำมยทรัพย์ผ่ำนทำงได้สะดวก เพรำะระยะทำงใกล้
ขึ้น และ ก. ยินยอมเสียค่ำใช้จ่ำยเอง แต่ตำมข้อเท็จจริงระยะทำงเท่ำเดิมมิได้ใกล้หรือไกลขึ้นแต่อย่ำงใด เช่นนี ข้.
จะคัดค้ำนมิให้ ก. ย้ำยทำงภำระจำำยอมนัน ้ ได้หรือไม่ เพรำะเหตุใด
ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1392 ถ้ำภำระจำำ ยอมแตะต้องเพียงส่วนหน่ึงแห่งภำรยทรัพย์ เจ้ำของทรัพย์นัน ้
อำจเรียกให้ย้ำยไปยังส่วนอ่ น ื ก็ได้ แต่ต้องแสดงได้ว่ำกำรย้ำยนัน้ เป็ นประโยชน์แก่ตนและรับเสียค่ำใช้จ่ำย ทัง้นีต
้ ้อง
ไม่ทำำให้ควำมสะดวกของเจ้ำของสำมยทรัพย์ลดน้อยลง
ตำมปั ญหำ ก. เรียกให้ย้ำยทำงภำระจำำยอมโดยอ้ำงว่ำจะทำำให้ ข. เจ้ำของสำมยทรัพย์ผ่ำนทำงได้สะดวก
เพรำะระยะทำงใกล้ขึ้น แม้ ก. จะยินยอมเสียค่ำใช้จ่ำยเองแต่สิทธิของเจ้ำของสำมยทรัพย์ท่ีจะย้ำยภำระจำำยอมนัน ้
ควำมสะดวกมำกขึน ้ ของเจ้ำของสำมยทรัพย์มใิ ช่เหตุผลสำำคัญหำกแต่หลักเกณฑ์ในกำรย้ำยประกำรหน่ึงต้องแสดง
ได้ว่ำกำรย้ำยนัน ้ เป็ นประโยชน์แก่ตน เม่ ือขำดหลักเกณฑ์ดังกล่ำวสิทธิกำรเรียกร้องให้ย้ำยตำมมำตรำ 1392 จึงไม่
เกิดขึ้น
ฉะนัน ้ ข. จึงคัดค้ำนมิให้ ก. ย้ำยภำระจำำยอมได้ ตำมเหตุผลดังกล่ำว
7.3 การระงับสิน
้ ไปแห่งภาระจำายอม
1. ภำระจำำยอมอำจระงับสิน ้ ไปโดยผลของกฎหมำย ได้แก่ โดยภำรยทรัพย์หรือสำมยทรัพย์สลำยไปทัง้หมด
โดยภำรยทรัพย์หรือสำมยทรัพย์ตกเป็ นของเจ้ำของคนเดียวกันในกรณีภำระจำำยอมมิได้จดทะเบียน และ
โดยภำระจำำยอมหมดประโยชน์แก่สำมยทรัพย์
2. ภำระจำำยอมอำจระงับสิน้ ไปโดยนิติกรรม ได้แก่ โดยกำำหนดโดยระยะเวลำในนิติกรรม โดยควำมตกลงของ
คู่กรณี โดยกำรแสดงเจตนำสละภำระจำำยอม โดยกำรบอกเลิกควำมยินยอม และโดยกำรเรียกให้พ้นจำก
ภำระจำำยอม
3. ภำระจำำยอมอำจระงับสิน ้ ไปโดยอำยุควำม ได้แก่ กำรท่ีมิได้ใช้ภำระจำำยอมนัน
้ เป็ นระยะเวลำ 10 ปี ติดต่อ
กัน
จำำ ยอมนัน
้ ย่อมมิได้ใช้สิบปี ภำระจำำ ยอมนัน ้ ย่อมสิน
้ ไป ตำมมำตรำ 1399 ดังกล่ำว ไม่ว่ำกำรท่ีมิได้ใ ช้นัน
้ จะเกิด
จำกสำเหตุใด เพรำะกฎหมำยพิเครำะห์เฉพำะผลท่ีเกิดขึน ้ เท่ำนัน
้
ฉะนัน้ ทำยำทของ ข. จึงมีข้อต่อสู้ภำระจำำยอมนัน ้ ระงับสิน
้ ไปแล้วตำมมำตรำ 1399 ดังกล่ำว
หน่ึงได้สิทธิภำระจำำยอมผ่ำนท่ีดินของสองโดยอำยุควำม ต่อมำหน่ึงได้ไปทำำงำนต่ำงประเทศเป็ นเวลำถึง
9 ปี แล้วกับมำอยู่เมืองไทยและได้ใช้ทำงภำรยทรัพย์นัน ้ อีกเพียง 6 เดือน ก็กลับไปทำำงำนต่ำงประเทศอีกเป็ นเวลำ
2 ปี จึงกลับมำอยู่อำศัยในสำมยทรัพย์เดิมนัน ้ แต่สองไม่ยอมให้หน่ึงผ่ำนท่ีดินของตนโดยอ้ำงว่ำ ภำระจำำยอมระงับ
สิน
้ ไปแล้ว เช่นนีห้ น่ึงจะมีข้อต่อสู้อย่ำงไร
ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1399 ภำระจำำยอมนัน ้ ถ้ำมิได้ใช้สิบปี ท่ำนว่ำย่อมสิน
้ ไป
แบบประเมินผลการเรียนหน่วยท่ี 7
หน่วยท่ี 8 ทรัพย์สิทธิอ่ืนๆ
8.1.1 ลักษณะของสิทธิอาศัย
ลักษณะของสิทธิอำศัยท่ีสำำคัญมีอย่ำงไรบ้ำง
สิทธิอาศัยมีหลักสำาคัญดังต่อไปนี้
(1) สิทธิอำศัยเป็ นสิทธิทใ่ี ห้บุคคลใดมีสิทธิอยู่อำศัยในโรงเรือนของผู้อ่ืน โดยไม่เสียค่ำเช่ำ และมีสิทธิ
เก็บดอกผลธรรมดำเพียงเท่ำท่ีจำำเป็ นแก่ควำมต้องกำรของครัวเรือน
(2) สิทธิอำศัยจะได้มำโดยทำงนิติกรรมเท่ำนัน ้ และจะต้องทำำเป็ นหนังสือและจดทะเบียนกำรได้มำนัน ้
ต่อพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ีจึงจะมีผลเป็ นทรัพย์สิทธิใช้อ้ำงยันบุคคลทัว่ไปได้
(3) สิทธิอำศัยเป็ นสิทธิเฉพำะตัวของผู้ทรงสิทธิอำศัยจึงโอนกันไม่ได้ แม้โดยทำงมรดก
(4) สิทธิอำศัยอำจมีกำำหนดเวลำหรือไม่ก็ได้ และจะกำำหนดตลอดชีวิตของผู้ทรงสิทธิอำศัยก็ได้
ก. ให้ ข. อำศัยอยู่ในบ้ำนของตนโดยไม่ต้องเสียค่ำเช่ำบ้ำนมีกำำ หนด 10 ปี และได้ทำำ สัญญำต่อกันไว้
เป็ นหนังสือ ต่อมำ ข. อยู่ในบ้ำนของ ก. ได้ 5 ปี ก. ยกบ้ำนนัน ้ กับ ค. ค. ไม่ยอมให้ ข. อยู่ในบ้ำนนัน ้ ต่อไป ข. ก็
ไม่ยอมออกจำกบ้ำนนัน ้ โดยอ้ำงว่ำตำมสัญญำระหว่ำงตนกับ ก. นัน ้ ตนมีสิทธิอำศัยในบ้ำนนีอ ้ ีกเป็ น เวลำ 5 ปี
และ ค. รับโอนบ้ำนนัน ้ ไปโดยไม่สุจริตและไม่เสียค่ำตอบแทน ดังนีร้ะหว่ำง ข. และ ค. ผู้ใดมีสิทธิในบ้ำนดังกล่ำว
นีด้ ีกว่ำกัน
จำกอุ ทำหรณ์ ค. ผู้รั บโอนบ้ ำ นจำก ก. มีสิ ท ธิ ดี ก ว่ ำ ข. ผู้อ ำศั ยในบ้ ำ นหลั งนั น ้ ส่ ว น ข. นัน ้ แม้ จ ะมี
สั ญ ญำให้ สิ ท ธิ อำศั ย ระหว่ ำ งตนกั บ ก. แต่ สั ญ ญำดั ง กล่ ำ วเป็ น เพี ย งบุ ค คลสิ ท ธิ ใ ช้ อ้ำ งยั น ได้ ร ะหว่ ำ งตนกั บ ก.
เท่ำนัน ้ เน่ ืองจำกกำรได้มำซ่ึงสิทธิอำศัยเป็ น กำรได้มำซ่ึงทรัพย์สิทธิชนิดหน่ึงนัน ้ จะต้องทำำ เป็ น หนังสือและจด
ทะเบียนต่อพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ีจึงจะบริบูรณ์เป็ นทรัพย์สิทธิ แต่กำรได้มำซ่ึงทรัพย์สิทธิอำศัยของ ข . นัน ้ เพียงแต่ทำำ
เป็ นหนังสือแต่มิได้จดทะเบียนต่อพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ีจึงไม่อำจใช้อ้ำงยืนยันต่อ ค. ซ่ึงเป็ นบุคคลภำยนอกได้ สำำหรับ
ข้ออ้ำงของ ข. ท่ีว่ำ ค. ไม่สุจริตก็ไม่ปรำกฏข้อเท็จจริงว่ำ ค. ไม่สุจริตแต่ประกำรใด และไม่มีกฎหมำยบัญญัติว่ำ
บุคคลภำยนอกจะต้องสุจริตหรือไม่ กำรท่ี ค. ไม่ได้เสียค่ำตอบแทนนัน ้ ก็ไม่มีกฎหมำยบัญญัติว่ำบุคคลภำยนอกจะ
ต้องเสียค่ำตอบแทนหรือไม่ ดังนัน ้ ถ้ำ ค . ไม่ต้องกำรให้ ข. อยู่ในบ้ำนนัน ้ ต่อไป ค. ย่อมมีสิทธิให้ ข. ออกจำกบ้ำน
นัน ้ ได้
8.1.2 ผลของสิทธิอาศัย
ผู้ทรงสิทธิอำศัยมีสิทธิและหน้ำท่ีอย่ำงไรบ้ำง
ผู้ทรงสิทธิอำศัยมีสิทธิและหน้ำท่ีดังต่อไปนี้
สิทธิของผู้ทรงสิทธิอำศัย
(1) อยู่อำศัยในโรงเรือนของผู้อ่ืนโดยไม่ต้องเสียค่ำเช่ำ
(2) เก็บดอกผลธรรมดำเพียงเท่ำท่ีจำำเป็ นแก่ควำมต้องกำรของครัวเรือน
หน้ำท่ีของผู้ทรงสิทธิอำศัย
(1) ใช้โรงเรือนตำมปกติประเพณีหรือท่ก ี ำำหนดไว้ในนิติกรรมก่อตัง้สิทธิอำศัย
(2) สงวนโรงเรือนอย่ำงวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตน และบำำรุงรักษำและซ่อมแซมเล็กน้อย
(3) ยอมให้ผู้อำศัยหรือตัวแทนเข้ำตรวจดูโรงเรือนเป็ นครัง้ครำว
(4) ไม่ดัดแปลงต่อเติมโรงเรือน
(5) ส่งคืนโรงเรือนให้ผู้ให้อำศัยเม่ ือสิทธิอำศัยระงับสิน
้ ไป
3) กำรระงับสิน
้ ไปโดยสภำพธรรมชำติ
8.2 สิทธิเหนือพ้ืนดิน
1. สิทธิเหนือพ้ืนดินเป็ นทรัพย์สิทธิท่ีกำำหนดให้ผู้ทรงสิทธิเป็ นเจ้ำของโรงเรือน ส่ิงปลูกสร้ำงหรือ
ส่ิงเพำะ ปลูกบนดินหรือใต้ดน ิ ของผู้อ่ืน โดยไม่เป็ นส่วนควบของเจ้ำของท่ีดินนัน้ โดยจะเสียค่ำ
เช่ำเป็ นกำรตอบแทนหรือไม่ก็ได้
2. กำรได้มำ กำรโอน กำรเปล่ียนแปลงและกำรระงับสิน ้ ไปของสิทธิเหนือพ้ืน ดิน นัน
้ จะต้องทำำ
เป็ น หนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ี
3. สิทธิเหนือพ้ืนดินมิใช่เป็ นสิทธิเฉพำะตัวของผู้ทรงสิทธิ จึงอำจโอนหรือรับมรดกกันต่อไปได้
4. สิทธิเหนือพ้ืนดินอำจมีกำำหนดเวลำหรือกำำหนดตลอดชีวิตของเจ้ำของท่ีดินหรือของผู้ทรงสิทธิ
หรือไม่มีกำำหนดเวลำก็ได้
8.2.1 ลักษณะของสิทธิเหนือพ้ืนดิน
ลักษณะของสิทธิเหนือพ้ืนดินท่ีสำำคัญมีอย่ำงไรบ้ำง
สิทธิเหนือพ้นื ดินมีลักษณะท่ีสำำคัญดังต่อไปนี้
(1) สิทธิเหนือพ้ืนดินเป็ น สิทธิใ ห้บุคคลมีสิทธิเป็ น เจ้ำของโรงเรือน ส่ิงปลูกสร้ำงหรือส่ิง เพำะปลูกใน
ท่ีดิ น ของผู้ อ่น
ื โดยทรั พ ย์ สิ น เหล่ ำนั น
้ ไม่ต กเป็ น ส่ วนควบของเจ้ ำ ของท่ีดิน โดยจะเสี ย ค่ ำ เช่ ำ หรื อ ผลประโยชน์
ตอบแทนหรือไม่ก็ได้
(2) สิทธิเหนือพ้น ื ดินนัน้ อำจได้มำโดยทำงนิติกรรมและโดยทำงอ่ น ื นอกจำกนิติกรรม
(3) สิทธิเหนือพ้น ื ดินมิใช่เป็ นสิทธิเฉพำะตัวของผู้ทรงสิทธิเหนือพ้ืนดิน จึงอำจโอนกันได้เสมอ
(4) สิทธิเหนือพ้น ื ดินอำจมีกำำ หนดเวลำหรือไม่ก็ได้ และจะกำำ หนดเวลำไว้ต ลอดชีวิตของเจ้ำของท่ีดิน
หรือตลอดชีวิตของผู้ทรงสิทธิเหนือพ้ืนดินก็ได้
ก. อนุ ญำตให้ ข. สร้ ำงบ้ำนในท่ีดิ น ของตนโดยทำำ สั ญ ญำกั น เป็ น หนั ง สื อ ไว้ ใ ห้ ข. อยู่ ใ นท่ีดิ น นั น
้ ได้
ตลอดชีวิตของ ข. ต่อมำ ก. ทำำพินัยกรรมยกท่ีดินนัน ้ ให้ ค. และ ก. ตำยลง ค. จึงฟ้ องขับไล่ ข. ออกจำกท่ีดิน
ดังนี ข้. จะไม่ยอมออกจำกท่ีดินนัน ้ ได้หรือไม่ โดยอ้ำงว่ำตนมีสิทธิตำมสัญญำตนกับ ก. ซ่ึง ค. ต้องผูกพัน ด้วย
เพรำะเป็ นผู้ได้รับท่ีดินนัน
้ จำก ก.
จำกอุทำหรณ์ ข. จะไม่ยอมร้ือถอนบ้ำนออกจำกท่ีดิน ของ ค. ไม่ได้ เพรำะ ข. มีสิทธิเหนือท่ีดิน ท่ีไม่
บริบูรณ์ เป็ นทรัพย์สิทธิ แต่เป็ นเพียงบุคคลสิทธิระหว่ำง ก. กับ ข. เท่ำนัน ้ เน่ ืองจำกกำรได้มำซ่ึงสิทธิเหนือพ้ืนดิน
ของ ข. นัน ้ มิได้จดทะเบียนต่อพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ี จึงมิใช่ทรัพย์สิทธิท่ีจะใช้อ้ำงยันต่อ ค . ซ่ึงเป็ นบุคคลภำยนอก ค.
จึงไม่ผูกพันโดยสิทธิเหนือพ้ืนดินนัน ้ ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1299 วรรค 1
8.2.2 ผลของสิทธิเหนือพ้ืนดิน
ผู้ทรงสิทธิเหนือพ้นื ดินมีสิทธิและหน้ำท่ีอย่ำงไร
ผู้ทรงสิทธิเหนือพ้น ื ดินมีสิทธิและหน้ำท่ีดังนี้
สิทธิของผู้ทรงสิทธิเหนือพ้ืนดิน
(1) เป็ นเจ้ำของโรงเรือน ส่ิงปลูกสร้ำง หรือส่ิงเพรำะปลูกในท่ีดินของผู้อ่ืน
(2) โอนสิทธิเหนือพ้ืนดินให้แก่บุคคลอ่ ืน
(3) ร้ือถอนโรงเรือน ส่ิงปลูกสร้ำง หรือส่ิงเพรำะปลูกเม่ ือสิทธิเหนือพ้ืนดินระงับสิน
้ ไป
หน้ำท่ีของผู้ทรงสิทธิเหนือพ้ืนดิน
(1) ชำำระค่ำเช่ำให้เจ้ำของท่ีดน
ิ
(2) ปฏิบัติตำมเง่ ือนไขซ่ึงระบุไว้ในนิติกรรมก่อตัง้สิทธิเหนือพ้ืนดิน
(3) คืนท่ีดินและร้ือถอนโรงเรือน ส่ิงปลูกสร้ำง และส่ิงเพรำะปลูกเม่ ือสิทธิเหนือพ้ืนดินระงับสิน
้ ไป
8.3 สิทธิเก็บกิน
1. สิทธิเก็บกินเป็ นทรัพย์สิทธิทก ่ี ำำ หนดให้ผู้ทรงสิทธิเข้ำครอบครองใช้ และถือเอำประโยชน์จำก
อสังหำริมทรัพย์ของผู้อ่ืน
2. สิทธิเก็บกินเป็ นสิทธิท่ีให้ผู้ทรงสิทธิใช้ หรือถือเอำประโยชน์จำกอสังหำริมทรัพย์ของผู้อ่ืนโดย
ไม่มีข้อจำำกัดเจ้ำของอสังหำริมทรัพย์ กล่ำวคือผู้ให้สิทธิจะระบุจำำกัดกำรใช้หรือประโยชน์เฉพำะ
อย่ำงมิได้
3. กำรได้มำ กำรเปล่ียนแปลง และกำรระงับสิน ้ ไปของสิทธิเก็บกินนัน
้ จะต้องทำำเป็ นหนังสือและ
จดทะเบียนต่อพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ี
4. สิทธิเก็บกินเป็ นสิทธิเฉพำะตัวของผู้ทรงสิทธิ จึงไม่อำจโอนหรือรับมรดกกันต่อไปได้
5. สิทธิเก็บกินอำจมีกำำ หนดเวลำ หรือกำำ หนดตลอดชีวิตของผู้ทรงสิทธิเก็บกินหรือไม่มีกำำ หนด
เวลำก็ได้
8.3.1 ลักษณะของสิทธิเก็บกิน
ลักษณะของสิทธิเก็บกินท่ีสำำคัญมีอะไรบ้ำง
สิทธิเก็บกินมีลักษณะสำำคัญดังต่อไปนี้
(1) สิ ท ธิ เ ก็ บ กิ น เป็ น สิ ท ธิ ท่ีใ ห้ บุ ค คลมี สิ ท ธิ ค รอบครอง ใช้ ส อย และถื อ เอำประโยชน์ จ ำกอสั ง หำริ ม
ทรัพย์ของผู้อ่น ื โดยจะเสียค่ำเช่ำหรือผลประโยชน์ตอบแทน หรือไม่ก็ได้ และโดยมิได้ระบุจำำ กัดกำรใช้หรือถือเอำ
ประโยชน์
(2) สิทธิเก็บกินนัน ้ จะได้มำก็แต่ทำงนิติกรรมเท่ำนัน ้ และจะต้องทำำเป็ นหนังสือและจดทะเบียนกำรได้
มำซ่ึงสิทธิเก็บกินต่อพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ีเพ่ ือให้บริบูรณ์เป็ นทรัพย์สิทธิท่ีจะใช้อำ้ งยันแก่บุคคลทัว่ไปได้
(3) สิทธิเก็บกินเป็ นสิทธิเฉพำะตัวของผู้ทรงสิทธิเก็บกิน จึงไม่อำจทรงสิทธิเก็บกินกันได้ แต่ก็อำจมี
กำรโอนกำรใช้สิทธิเก็บกินกันได้ เพรำะไม่ใช่กำรโอนถึงสิทธิเก็บกิน
(4) สิทธิเก็บกินนัน ้ อำจมีกำำหนดเวลำ หรือไม่มีกำำหนดเวลำ หรือกำำหนดตลอดชีวิตของผู้ทรงสิทธิเก็บ
กินก็ได้
ก. เป็ น เจ้ ำ ของท่ีดิ น แปลงหน่ึง ได้ ใ ห้ ข. มี สิ ท ธิ เ ก็ บ กิ น ในท่ีดิ น ของตนโดยทำำ นิ ติ ก รรมถู ก ต้ อ งตำม
กฎหมำยแต่ไม่ได้ตกลงกันว่ำจะให้ ข. มีสิทธิเก็บกินอยู่นำนเท่ำใด ภำยหลัง ก. ไม่พอใจ ข. และไม่ต้องกำรให้ ข.
อยู่ในท่ีดินนัน้ อีกต่อไป ก. จะเรียกท่ีดินนัน ้ คืนได้หรือไม่
จำกอุทำหรณ์ สิทธิเก็ บกินระหว่ำง ก. กับ ข. เป็ น สิทธิเก็ บกิน ท่ีไม่มีกำำ หนดเวลำซ่ึง ป.พ.พ. มำตรำ
1418 วรรค 2 ให้สันนิษฐำนไว้ก่อนว่ำสิทธิเก็บกินมีอยู่ตลอดชีวิตแห่งผู้ทรงสิทธิ ดังนัน ้ ตำมข้อสันนิษฐำนของ
กฎหมำย ก. จะเรียกท่ีดินนัน ้ คืนไม่ได้ตรำบใดท่ี ข.ยังมีชีวิตอยู่ แต่ถ้ำมีพฤติกำรณ์แสดงให้เห็นเป็ นอย่ำงอ่ น ื เช่น
ให้สิน
้ สิทธิไปเม่ ือ ก. ไม่พอใจและเรียกเอำคืน ก. ก็ย่อมได้สิทธิเรียกท่ีดินคืนได้
8.3.2 ผลของสิทธิเก็บกิน
สิทธิและหน้ำท่ขี องผู้ทรงสิทธิเก็บกินมีอย่ำงไรบ้ำง
ผู้ทรงสิทธิเก็บกินมีสิทธิและหน้ำท่ีดังต่อไปนี้
สิทธิของผู้ทรงสิทธิเก็บกิน
(1) ครอบครอง ใช้สอย ถือเอำประโยชน์และจัดกำรอสังหำริมทรัพย์ท่ีอยู่ภำยใต้บังคับสิทธิเก็บกิน
(2) โอนกำรใช้สิทธิเก็บกินให้บุคคลอ่ ืนเว้นแต่นิติกรรมก่อตัง้สิทธิเก็บกินจะห้ำม
หน้าท่ีของผู้ทรงสิทธิเก็บกิน
1) รักษำทรัพย์สินท่อ ี ยู่ภำยใต้บังคับสิทธิเก็บกินเสมอวิญญูชนรักษำทรัพย์สินของตนเอง
2) สงวนภำวะแห่งทรัพย์สินมิให้เปล่ียนไปในสำระสำำคัญ และบำำรุงรักษำปกติและซ่อมแซมเล็กน้อย
3) ออกค่ำใช้จ่ำยในกำรจัดกำรทรัพย์สิน
4) ประกันวินำศภัยทรัพย์สินท่ีอยู่ภำยใต้บังคับสิทธิเก็บกิน
5) ส่งทรัพย์สินคืน
8.4 ภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์
1. ภำระติดพันในอสังหำริมทรัพย์ เป็ น ทรัพยสิทธิท่ีกำำ หนดให้ผู้รับประโยชน์ได้รับชำำ ระหนี้
จำกอสั ง หำ ริ ม ทรั พ ย์ ข องผู้ อ่ ืน เป็ นครำวๆ ไป หรื อ ได้ ใ ช้ ห รื อ ถื อ เอำประโยชน์ จ ำก
อสังหำริมทรัพย์ของผู้อ่ืนตำมท่ีระบุไว้
2. ภำระติดพันในอสังหำริมทรัพย์เป็ นภำระท่ีเก่ียวกับตัวทรัพย์สินโดยตรง
3. กำรได้มำ กำรเปล่ียนแปลง และกำรระงับสิน ้ ไปของภำระติดพันในอสังหำริมทรัพย์นัน ้ จะ
ต้องทำำเป็ นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ี
4. ภำระติดพันในอสังหำริมทรัพย์เฉพำะตัวของผู้รับประโยชน์ จึงไม่อำจโอนหรือรับมรดกกัน
ต่อไปได้ เว้นแต่จะมีกำรระบุไว้เป็ นอย่ำงอ่ น ื ในนิติกรรมก่อตัง้ภำระติดพัน
5. ภำระติดพันในอสังหำริมทรัพย์อำจมีกำำหนดเวลำ หรือกำำหนดตลอดชีวิตของผู้รับประโยชน์
หรือไม่มีกำำหนดเวลำก็ได้
8.4.1 ลักษณะของภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์
ลักษณะของภำระติดพันในอสังหำริมทรัพย์ท่ีสำำคัญมีอะไรบ้ำง
ภำระติดพันในอสังหำริมทรัพย์มีลักษณะดังต่อไปนี้
(1) ภำระติดพันในอสังหำริมทรัพย์เป็ นทรัพยสิทธิ ท่ีทำำให้ผู้รับประโยชน์ได้รับชำำระหนีจ้ำก
อสั ง หำริ ม ทรั พ ย์ ข องผู้ อ ่ ืน เป็ นครำวๆ ไป หรื อ ได้ ใ ช้ แ ละถื อ เอำ ปร ะโย ชน์ จำ ก
อสังหำริมทรัพย์ของผู้อ่ืนตำมท่ีระบุได้
(2) ภำระติ ด พั น ในอสั ง หำริ ม ทรั พ ย์ นั น ้ อำจได้ ม ำก็ แ ต่ โ ดยทำงนิ ติ ก รรมและโดยทำงอ่ ืน
นอกจำกนิติกรรม
(3) ภำระติดพันในอสังหำริมทรัพย์เป็ นสิทธิเฉพำะตัวของผู้รับประโยชน์ตำมปกติ จึงไม่อำจ
โอนหรือรับมรดกกันได้เว้นแต่จะระบุไว้เป็ นอย่ำงอ่ น ื ในนิติกรรมก่อตัง้ภำระติดพันใน
อสังหำริมทรัพย์
ก. ให้ ข. เดินผ่ำนท่ีดินของตน เพ่ ือไปทำำ นำในท่น ี ำของ ข. ซ่ึงอยู่ถัดออกไปเฉพำะฤดูกำลทำำ นำเป็ น
เวลำ 20 ปี เม่ ือทำำ สัญญำมำได้ครบ 10 ปี ข. ตำยลง ค. ซ่ึงเป็ นบุตรของ ข. จะเข้ำไปทำำนำในท่ีดินของตน โดย
เดินผ่ำนท่ีดินของ ก. แต่ ก. จะไม่ให้ ค. เดินผ่ำนท่ีดินนัน ้ ดังนี ก้ . จะมีสิทธิห้ำมไม่ใ ห้ ค. เดินผ่ำนท่ีดินนัน ้ ได้
หรือไม่
จำกอุทำหรณ์ ก. มีสิทธิห้ำม ค. มิให้เดินผ่ำนท่ีดินของตน เพรำะภำระติดพันดังกล่ำวนีร้ะงับสิน ้ ไปเม่ ือ
ข. ผู้รับประโยชน์ตำย แม้ ค. จะเป็ นผู้รับมรดกจำก ข. ก็ตำม ค. ก็ไม่สำมำรถรับมรดกภำระติดพันนัน ้ ได้เว้นแต่ใน
นิติก รรมก่อตั ง้ภำระติ ด พัน ระหว่ ำ ง ก. กับ ข. จะระบุ ไว้ ว่ำ ให้ ท ำยำทของ ข. รั บมรดกภำระติ ด พัน นั น ้ ได้ ดั ง ท่ี
บัญญัติไว้ในมำตรำ 1431
8.4.2 ผลของภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์
สิทธิและหน้ำท่ขี องผู้รับประโยชน์ในภำระติดพันในอสังหำริมทรัพย์มีอย่ำงไรบ้ำง
สิทธิและหน้ำท่ข ี องผู้รับประโยชน์ในภำระติดพันในอสังหำริมทรัพย์
สิทธิของผู้รับประโยชน์
(1) ได้รับประโยชน์จำกอสังหำริมทรัพย์ท่ีอยู่ภำยใต้บังคับภำระติดพัน โดยได้รับชำำระหนีเ้ป็ น
ครำวๆ จำกอสังหำริมทรัพย์ หรือได้ใช้หรือถือเอำประโยชน์จำกอสังหำริมทรัพย์ตำมท่ีระบุ
ไว้
(2) ขอให้ศำลตัง้ผู้รักษำทรัพย์ หรือให้เอำอสังหำริมทรัพย์ออกขำยทอดตลำด
(3) ทำำกำรทุกอย่ำงเพ่ ือรักษำและใช้อสังหำริมทรัพย์ท่ีอยู่ภำยใต้บังคับภำระติดพัน
หน้าท่ีของผู้รับประโยชน์
1) ปฏิบัติตำมเง่ ือนไขอันเป็ นสำระสำำคัญท่ีระบุไว้ในนิติกรรมก่อตัง้ภำระติดพัน
2) ไม่ทำำกำรเปล่ียนแปลงอสังหำริมทรัพย์ท่ีอยู่ภำยใต้บังคับภำระติดพัน
3) ไม่ทำำกำรอันเป็ นกำรเพ่ิมภำระแก่อสังหำริมทรัพย์ท่ีอยู่ภำยใต้บังคับภำระติดพัน
4) หยุดกระทำำกำรซ่ึงเป็ นประโยชน์จำกอสังหำริมทรัพย์ท่ีอยู่ภำยใต้บังคับภำระติดพันเม่ ือภำระติดพัน
นัน้ ระงับสิน
้ ไป
หน่วยท่ี 9 การได้มาซ่ึงอสังหาริมทรัพย์และทรัพย์สินอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
1. กำรได้มำซ่ึงอสังหำริมทรัพย์และทรัพย์สิทธิเก่ียวกับอสังหำริมทรัพย์ เป็ นกรณีทท ่ี ำำให้ผู้ได้มำสำมำรถใช้
อำำนำจแห่งสิทธิท่ีได้มำยกขึ้นต่อสู้กับผู้อ่ืน ดังนัน ้ กฎหมำยจึงจำำเป็ นต้องบัญญัติหลักกำรแสดง ออกซ่ึง
สิทธิท่ีได้มำนัน ้ ให้ชัดเจน เพ่ ือประโยชน์ต่อผู้ได้มำ (ผู้ทรงทรัพย์สิทธิ) แต่อย่ำงไรก็ดี กฎหมำยก็ยังให้
ควำมคุ้มครองสิทธิของบุคคลภำยนอกท่ีได้ทรัพย์สิทธินัน ้ มำโดยสุจริตและเสียค่ำตอบแทน
2. กำรได้มำซ่ึงอสังหำริมทรัพย์และทรัพย์สิทธิเก่ียวกับอสังหำริมทรัพย์นัน ้ ตำมกฎหมำยแบ่งออกเป็ น 2
ทำง คือ กำรได้มำโดยทำงนิติกรรม และกำรได้มำโดยทำงอ่ ืนนอกจำกนิติกรรม
3. กำรได้มำซ่ึงอสังหำริมทรัพย์และทรัพย์สิทธิเก่ียวกับอสังหำริมทรัพย์บำงกรณีอำจถูกเพิกถอนทะเบียนได้
ทัง้นีต
้ ้องเป็ นไปตำมหลักกำรตำมท่ีกฎหมำยกำำหนดไว้
4. ทรัพย์สิทธิอันเก่ียวกับอสังหำริมทรัพย์อำจเปล่ียนแปลงระงับหรือกลับคืนมำได้ ทัง้นีก ้ ฎหมำยกำำหนดให้
นำำหลักกำรทำงทะเบียนดังบัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มำตรำ 1299 และ มำตรำ 1300 มำใช้โดยอนุโลม
อน่ึง สั ง หำริ ม ทรั พ ย์ ท ่ีก ฎหมำยกำำ หนดให้ มี ก ำรแสดงออกทำงทะเบี ย น หำกมี ก ำรได้ ม ำหรื อ มี ก ำร
เปล่ียนแปลงหรือระงับ หรือกลับคืนก็ต้องแสดงออกให้ปรำกฏทำงทะเบียนเช่นกัน
การได้มาโดยทางนิติกรรมซ่ึงอสังหาริมทรัพย์และทรัพย์สินอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
1. กำรได้มำซ่ึงอสังหำริมทรัพย์ หรือทรัพย์สิทธิอน
ั เก่ียวกับอสังหำริมทรัพย์โดยทำงนิติกรรมต้อง
ดำำ เนินกำรจดทะเบียนกำรได้มำซ่ึงทรัพย์สิทธินัน ้ ให้ถูกต้อง มิฉะนัน
้ ไม่บริบูรณ์เป็ นทรัพย์
สิทธิ
2. กำรได้มำโดยนิติกรรมซ่ึงอสังหำริมทรัพย์หรือทรัพย์สิทธิอันเก่ียวกับอสังหำริมทรัพย์
หลักเกณฑ์การได้มาโดยทางนิติกรรม
ควำมในบทบัญญัติมำตรำ 1299 วรรคแรกตอนต้นท่ีกล่ำวว่ำ “ภำยในบังคับแห่งบทบัญญัติประมวล
กฎหมำยนีห ้ รือกฎหมำยอ่ น ื ” หมำยควำมว่ำอย่ำงไร
หมำยควำมว่ ำ กรณี ท ่ีจ ะนำำ บทบั ญ ญั ติ ม ำตรำ 1299 วรรคแรกมำใช้ ต้ อ งเป็ นประเด็ น ซ่ึง มิ ไ ด้ มี
บทบัญญัติใดใน ป.พ.พ. หรือบทบัญญัติใดๆในกฎหมำยอ่ น ื บัญญัติถึงกำรได้มำโดยนิติกรรมซ่ึงอสังหำริมทรัพย์
หรื อ ทรั พ ย์ สิ ท ธิ อั น เก่ีย วกั บ อสั ง หำริ ม ทรั พ ย์ นั น ้ ๆไว้ เ ป็ น กำรเฉพำะเจำะจงเท่ ำ นั น ้ ดั ง นั น
้ หำกเป็ น กรณี ซ่ึง มี
บทบั ญญัติแห่งกฎหมำยบั ญญัติไว้ใ นประเด็ น กำรได้ม ำ ดัง กล่ ำวไว้ เป็ น กรณีเ ฉพำะเจำะจงแล้ว ต้อ งเป็ น ไปตำม
บทบั ญ ญั ติเ ฉพำะเจำะจงนั น ้ ๆ กำำ หนดไว้ เช่น กรณีก ำรซ้ือ ขำย ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 456 บั ญ ญั ติไว้ เ ป็ น กำร
เฉพำะเจำะจงแล้ว ย่อมไม่อำจนำำมำตรำ 1299 ไปใช้บังคับแก่กำรซ้ือขำยทรัพย์สินดังกล่ำวได้
กำรได้มำซ่ึงอสังหำริมทรัพย์หรือทรัพย์สิทธิอัน เก่ียวกับอสังหำริมทรัพย์โดยนิติกรรมตำมบทบัญ ญัติ
มำตรำ 1299 วรรคแรกมีกรณีใดบ้ำง
กำรได้มำโดยนิติกรรมซ่ึงอสังหำริมทรัพย์และทรัพย์สิทธิอันเก่ียวกับอสังหำริมทรัพย์ หมำยถึงกรณีท่ีคู่
สัญญำแสดงเจตนำผูกนิติสัมพันธ์เพ่ ือก่อทรัพย์สิทธิขึ้น เช่นกรณีคู่สัญญำซ่ึงมีนิติสัมพันธ์กันอยู่แต่เดิมแล้วฝ่ ำย
หน่ึงซ่ึงมีหน้ำท่ีชำำระหนีอ ้ นั เน่ ืองจำกอีกฝ่ ำยหน่ึงมีสิทธิเรียกร้อง แต่ไม่สำมำรถชำำระหนีไ้ด้ ดังนัน ้ คู่สัญญำดังกล่ำว
จึงทำำควำมตกลงประนีประนอมยอมควำมกัน โดยให้ฝ่ำยท่ีมีหน้ำท่ีชำำระหนีโ้ดยยกท่ีดินดีใช้หนีใ้ห้แก่ฝ่ำยท่ีเป็ นเจ้ำ
หนี เ ้ ช่นนีเ้ป็ นกรณี1299
กำรได้มวรรคแรก
ำโดยนิติกรรมซ่ึงอสังหำริมทรัพย์ต้องด้วยม
สมศั ก ดิ ใ์ ช้ ห นี เ้ งิ น กู้ ใ ห้ ส มบั ติ โ ดยกำรยกท่ีดิ น มี โ ฉนดแปลงหน่ึง ให้ แ ทนกำรชำำ ระหนี ต ้ ำมประมวล
กฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 321 หลังจำกท่ีสมบัติครอบครองท่ีดินแปลงนีม ้ ำได้ 2 ปี สมศักดิเ์ห็นว่ำรำคำ
ท่ีดินแปลงนีส ้ ูงขึ้นมำกจึงเรียกท่ีดินแปลงนีค ้ ืนจำกสมบัติโดยอ้ำงว่ำกำรยกท่ีดินให้แทนชำำระหนีเ้งินกู้นัน ้ ตกเป็ น
โมฆะเพรำะไม่ได้ทำำเป็ นหนังสือและจดทะเบียนกำรได้มำต่อพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ี ท่ำนเห็นด้วยกับข้ออ้ำงของสมศักดิ ์
หรือไม่ อย่ำงไร
กำรชำำ ระหนี อ ้ ย่ ำ งอ่ นื แทนกำรชำำ ระหนี ท ้ ่ีไ ด้ ต กลงกั น ไว้ ต ำมท่ีบั ญ ญั ติ ใ นประมวลกฎหมำยแพ่ ง และ
พำณิชย์มำตรำ 321 นัน ้ ไม่ใ ช่บทบั ญญัติท่ีกำำ หนดให้อยู่ใ นบังคั บหรือกำำ หนดให้ต้องทำำ ตำมแบบซ่ึง หำกไม่ไ ด้
กระทำำกำรดังกล่ำวจะทำำให้มีผลเป็ นโมฆะดังนัน ้ กำรท่ีสมศักดิใ์ช้หนีเ้งินกู้ให้แก่สมบัติโดยกำรยกท่ีดินแปลงหน่ึงให้
แทนกำรชำำระหนีเ้งินกู้นัน ้ แม้กำรยกให้จะไม่ได้ทำำเป็ นหนังสือและจดทะเบียนกำรได้มำต่อพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ีก็ไม่
ทำำให้ผลตกเป็ นโมฆะแต้อย่ำงใด เพียงแต่มีผลให้กำรได้มำซ่ึงท่ีดินแปลงนัน ้ ไม่บริบูรณ์ตำมหลักกฎหมำยท่ีบัญญัติ
ในมำตรำ 1299 วรรคแรกเท่ำนัน ้ ซ่ึงหมำยควำมว่ำยังไม่อำจถือหรือไม่อำจบังคับได้ตำมทรัพย์สิทธินัน ้ ๆเท่ำนัน้
แต่กำรได้มำซ่ึงท่ีดินแปลงดังกล่ำวนัน ้ หำเสียเปล่ำไม่ โดยยังมีคงมีผลบังคับกันได้ในระหว่ำงคู่สัญญำในฐำนะเป็ น
บุคคลสิทธิ ในกรณีนีแ ้ ม้จะยังไม่ได้จดทะเบียนกำรได้มำให้บริบูรณ์ และสมบัติยังครอบครองไม่ถึง 10 ปี ก็หำใช่
การได้มาโดยทางอ่ ืน นอกจากนิติกรรมซ่ึงอสังหาริมทรัพย์และทรัพย์สิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
1. กำรได้มำซ่ึงอสังหำริมทรัพย์หรือทรัพย์สินอันเก่ียวกับอสังหำริมทรัพย์โดยทำงอำยุควำม โดยกำรรับ
มรดก และโดยคำำพิพำกษำของศำล เป็ นกำรได้ทรัพย์สิทธิในทันท่ีโดยผลของกฎหมำยไม่ต้องนำำไปจด
ทะเบียน
2. หำกกำรได้มำจำกข้อ 1 ผู้ได้มำ นำำไปดำำเนินกำรจดทะเบียนให้ถูกต้อง กฎหมำยบัญญัติให้ผู้ได้มำเช่น
ว่ำนัน
้ สำมำรถยกกำรได้มำ ของตนขึ้นเป็ นข้อต่อสู้กับบุคคลภำยนอกแม้สุจริตและเสียค่ำตอบแทนกับ
ทัง้ได้จดทะเบียนสิทธินัน
้ มำโดยสุจริตได้
การได้มาโดยทางอายุความ
กำรได้ ม ำซ่ึง อสั ง หำริ ม ทรั พ ย์ ห รื อ ทรั พ ย์ สิ ท ธิ เ ก่ีย วกั บ อสั ง หำริ ม ทรั พ ย์ โ ดยทำงอำยุ ค วำมหมำยควำม
อย่ำงไร
หมำยควำมว่ำ เม่ ือบุคคลใดได้กระทำำข้อเท็จจริงอย่ำงใดอย่ำงหน่ึงตำมกำำหนดเวลำท่ีกฎหมำยเรียกว่ำอำยุ
ควำม บุคคลนัน ้ ย่อมได้มำซ่ึงทรัพย์สิทธิทันทีท่ีครบกำำหนดเวลำท่ีเรียกว่ำอำยุควำม เช่น กรณีอำยุควำมได้สิทธิตำม
บทบัญญัติมำตรำ 1382 ทำำให้บุคคลนัน ้ ได้กรรมสิทธิใ์นทรัพย์สินทันที
นำยโกง ครอบครองปรปั กษ์ ท่ีมี ก รรมสิ ท ธิ ข์ องนำยกั น เป็ น เวลำ 11 ปี โดยมิ ไ ด้ จ ดทะเบี ย นกำรได้
กรรมสิทธิ เ ์ ช่นนีห้ ำกต่อมำนำยโกงถูกนำยกันฟ้ องขับไล่ท่ำนเห็นว่ำตำมข้อเท็จจร
กว่ำกัน
นำยโกงมีสิทธิดีกว่ำนำยกัน เพรำะทรั พย์สิ ทธิ ซ่ึง นำยโกงได้ม ำนั น ้ เป็ น กำรได้ม ำโดยทำงอ่ น
ื นอกจำก
นิติกรรมเม่ ือข้อเท็จจริงชัดเจนว่ำเป็ นกำรได้โดยกำรครอบครองปรปั กษ์เท่ำกับได้ทรัพย์สิทธินัน ้ ทันทีและใช้ยันนำย
กันได้ทันทีเช่นกัน
การได้มาโดยทางมรดก
กรณีใดบ้ำงท่ีเป็ นกำรได้มำซ่ึงอสังหำริมทรัพย์ และทรัพย์สิทธิเก่ียวกับอสังหำริมทรัพย์โดยทำงมรดก
คือกำรได้รับมรดกทัง้ในฐำนะเป็ นทำยำทโดยธรรมประเภทญำติและกำรได้มำซ่ึงมรดกโดยทำงพินัยกรรม
ทรัพย์สิทธิประเภทใดบ้ำงท่ีบุคคลไม่อำจได้รับมำโดยทำงมรดกได้เลย
ทรั พย์สิ น ประเภทสิท ธิอ ำศั ย สิท ธิเ ก็บ กิน และภำระติด พัน ในอสั ง หำริ ม ทรั พ ย์ต ำมนัย ท่ีบั ญ ญั ติ ไ ว้ใ น
มำตรำ 1404 มำตรำ 1418 และ 1431 ของประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์
การได้มาโดยคำาพิพากษาของศาล
กำรได้ ม ำซ่ึง อสั ง หำริ ม ทรั พ ย์ ห รื อ ทรั พ ยสิ ท ธิ เ ก่ีย วกั บ อสั ง หำริ ม ทรั พ ย์ โดยคำำ พิ พ ำกษำของศำลใน
ลักษณะใดท่ีเรียกว่ำเป็ นกำรได้มำโดยทำงอ่ น ื นอกจำกนิติกรรม
หมำยถึงกำรได้มำซ่ึงอสังหำริมทรัพย์ หรือทรัพย์สิทธิอันเก่ียวกับอสังหำริมทรัพย์โดยคำำพิพำกษำชีข้ำด
ตัดสิน คดีข องศำลท่ีคดีดังกล่ำวนัน ้ มีกำรสืบพยำน และศำลตัดสิน คดีโดยฟั งจำกพยำนหลักฐำนท่ีคู่ ควำมในคดี
นำำสืบ
กำรได้มำโดยคำำพิพำกษำตำมยอมของศำล เรียกว่ำเป็ นกำรได้มำโดยทำงอ่ น ื นอกจำกนิติกรรมหรือไม่
ไม่ถือเป็ นกำรได้มำโดยทำงอ่ น ื นอกจำกนิติกรรม แต่เป็ นกำรได้มำโดยทำงนิติกรรม ตำมคำำพิพำกษำฎีกำ
ท่ี 9936/2539
ผลของการได้มาโดยทางอ่ ืนนอกจากนิติกรรม
นำย ก. เป็ นเจ้ำของท่ีดินมีโฉนดแปลงหน่ึง ได้มอบหมำยให้นำย ข. ดูแลแทน แต่นำย ข. ได้ปลอมใบ
มอบอำำนำจโดยลงลำยมือช่ ือนำย ก. เป็ นผู้มอบให้ นำย ข. โอนขำยท่ีดินแปลงนัน ้ และนำย ข. ได้นำำท่ีดินแปลง
นัน้ ไปโอนขำยให้แก่ นำย ค. ซ่ึงซ้ือไปโดยสุจริต ครัน
้ นำย ก. ทรำบกำรกระทำำดังกล่ำวของนำย ข. นำย ก. จึงได้
ฟ้ องขับไล่นำย ค. ออกไปจำกท่ีดิน ดังนี น ้ .ำยค
จะมีข้อต่อสู้กับนำย ก. อย่ำงไร
การเพิกถอนการได้มาซ่ึงอสังหาริมทรัพย์และทรัพย์สิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ทางทะเบียน
1. กำรเพิกถอนกำรจดทะเบียนเป็ นกำรแก้ปัญหำกำรจดทะเบียนให้แก่บุคคลท่ีอำจเสียเปรียบในกำรโอน
ทำงทะเบียนตำมกฎหมำยมำตรำ 1279
2. ผู้มีสิทธิเรียกให้เพิกถอนทะเบียนได้ต้องเป็ นบุคคลผู้อยู่ในฐำนะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิข องตนได้
ก่อนเท่ำนัน ้
3. กำรเรียกให้เพิกถอนกำรจดทะเบียนเป็ นคนละเร่ ืองกับกำรร้องขอเพิกถอนกำรฉ้อฉล
หลักเกณฑ์การเพิกถอนการจดทะเบียน
หน่ึงเป็ นผู้จัดกำรมรดกได้นำำท่ีดินมรดกแปลงหน่ึงซ่ึงกำำลังมีปัญหำข้อพิพำทกับสองทำยำทอีกคนหน่ึง
ของเจ้ำของมรดกไปจดทะเบียนขำยฝำกกับสำมเพ่ ือนำำเงินมำต่อสู้คดีกับสอง สามเห็นว่ำคดีนีห ้ น่ึงมีสิทธิท่ีจะชนะ
ควำมจึงได้รับซ้ือฝำกท่ีดินแปลงนัน ้ ไว้ แต่ต่อมำเม่ ือศำลมีคำำพิพำกษำปรำกฏว่ำสองเป็ นฝ่ ำยชนะคดีโดยศำลได้มีคำำ
พิพำกษำถึงท่ีสุดแล้ว ให้สองเป็ นทำยำทผู้มีสิทธิได้รับมรดกในท่ีดินแปลงดังกล่ำวแต่เพียงผู้เดียว เม่ ือสามทรำบ
เร่ ืองจึงแจ้งให้หน่ึงนำำเงินมำไถ่ท่ีดินคืนภำยในกำำหนดระยะเวลำ ดังนีใ้ห้พิจำรณำว่ำสอง จะมีข้อต่อสู้อย่ำงไรหรือไม่
ตำมปั ญหำเม่ ือหน่ึงผู้จัดกำรมรดก นำำ ท่ีดิน มรดกแปลงท่ีพิพำทกับสองไปจดทะเบียนขำยฝำกกับ สำม
และสำมเห็นว่ำคดีนีห ้ น่ึงมีสิทธิจะชนะคดีควำมจึงรับซ้ือฝำกไว้เห็นได้ว่ำสำมรู้อยู่แล้วว่ำท่ีดินดังกล่ำวอยู่ระหว่ำงมี
ข้อพิพำท กำรจดทะเบียนขำยฝำกของสำมจำกหน่ึงจึงเป็ นกำรกระทำำโดยไม่สุจริต แม้สองทำยำทของเจ้ำของมรดก
จะยังมีกรณีพิพำทอยู่ในศำล ก็ถือว่ำสองเป็ นผู้อยู่ในฐำนะอันจะเรียกให้จดทะเบียนสิทธิได้ได้อยู่ก่อนแล้ว เม่ ือสำม
กระทำำกำรใดๆโดยไม่สุจริต สองจึงเรียกให้เพิกถอนกำรจดทะเบียนขำยฝำกนัน ้ ได้ตำมมำตรำ 1300
ดังนัน
้ สองมีข้อต่อสู้โดยเรียกให้เพิกถอนกำรจดทะเบียนขำยฝำกได้
นำยแดงทำำ สั ญ ญำจะซ้ือ จะขำยท่น ี ำกับ นำยดำำ และนำยดำำ ผู้ซ้ือ จะได้ว ำงมัด จำำ ไว้ กับ นำยแดงด้ ว ยเงิ น
จำำ นวนหน่ึง เพียงแต่รอจะไปโอนโฉนดเม่ ือสองฝ่ ำยว่ ำง แต่ต่อ มำนำยแดงได้นำำ โฉนดท่ีน ำแปลงดัง กล่ำ วไปจด
ทะเบี ยนโอนขำยให้น ำงสำวเขี ยวโดยเสน่ หำในควำมงำม เม่ ือ นำยดำำ ทรำบจึ งฟ้ องศำลให้เ รีย กเพิ ก ถอนกำรจด
ทะเบียนโอนท่ีนำแปลงนัน ้ ระหว่ำงนำยแดงกับนำงสำวเขียว แล้วให้นำยแดงโอนท่ีนำแปลงนัน ้ ขำยให้กับนำยดำำ
ต่อไป ดังนี ศ ้ ำลควรจะตัดสินคดีนีอ ้ ย่ำงไร
ตำมปั ญหำ ถ้ำเป็ นศำลควรจะตัดสินให้นำยดำำแพ้คดี เพรำะนำยดำำไม่มีอำำนำจฟ้ องคดีเน่ ืองจำกผู้ท่ีเพียง
ทำำสัญญำจะซ้ือจะขำยและวำงเงินมัดจำำนัน ้ ได้แต่เพียงบุคคลสิทธิตำมสัญญำจะซ้ือจะซ้ือจะขำยยังไม่ได้ ทรัพยสิทธิ
การเปล่ียนแปลงซ่ึงทรัพย์สิทธิอันเก่ียวกับอสังหาริมทรัพย์
ก. และ ข. เป็ นเจ้ำของกรรมสิทธิร์วมในท่ีดินแปลงหน่ึง ต่อมำ ก. และ ข. ตกลงแบ่งกรรมสิทธิร์วมโดย
มิได้จดทะเบียน เช่นนีจ้ะมีผลทำงกฎหมำยอย่ำงไร
กำรแบ่งกรรมสิทธิร์วมเป็ น กำรเปล่ียนแปลงกรรมสิทธิ เ์ม่ ือไม่จดทะเบียนมีผลไม่สมบูรณ์ใช้บังคับได้
ระหว่ำง ก. และ ข. เท่ำนัน้ ยันบุคคลภำยนอกไม่ได้
การระงับซ่ึงทรัพย์สิทธิอันเก่ียวกับอสังหาริมทรัพย์
ก. และ ข.ตกลงระงับสิทธิเหนือพ้น ื ดินที ข. ได้สิทธิปลูกบ้ำนและปลูกโรงเรือนบนท่ีดิน ก. แต่ ก. ไม่
ได้จดทะเบียนข้อตกลง ระงับสิทธิเหนือพ้ืนดินนัน ้ ให้ปรำกฏในทะเบียนท่ีดินของตน ในเวลำต่อมำ ข. โอนขำย
สิทธิเหนือพ้น
ื ดินนัน
้ ให้ ค. ดังนี ก
้ . จะอ้ำงกับ ค. ได้หรือไม่ว่ำสิทธิเหนือพ้ืนดินดังกล่ำวนัน
้ ระงับแล้ว
ก. อ้ำงสิทธิอำศัยระงับแล้วไม่ได้ เพรำะกำรตกลงระงับเป็ นเร่ ืองระหว่ำง ก. กับ ข. คู่สัญญำเท่ำนัน
้ จะใช้
ยันต่อ ค. มิได้ เพรำะ ค. เป็ นบุคคลภำยนอก
การกลับคืนมาซ่ึงทรัพย์อันเก่ียวกับอสังหาริมทรัพย์
อธิบำยกำรกลับคืนมำซ่ึงทรัพย์สิทธิอันเก่ียวกับอสังหำริมทรัพย์
กำรกลั บ คื น มำ หมำยถึ ง กำรท่ีท รั พย์ สิ น อั น เก่ีย วกั บ อสั ง หำริ ม ทรั พ ย์ ไ ด้ ถู ก โอนไปอยู่ กั บ อี ก คนหน่ึง
เป็ นกำรชัว่ครำว แล้วจึงมีกำรกลับคืนมำเป็ นเจ้ำของเดิมอีก โดยส่วนมำกจะเป็ นกรณีนิติกรรมท่ีมีเง่ ือนไขบัง คับ
หลัง คือมีเหตุกำรณ์ตำมเง่ ือนไขเกิดขึน้ จึงโอนกลับมำเป็ นเจ้ำของเดิมอีก เช่น กำรไถ่คืนขำยฝำกเป็ นต้น
การนำา บทบั ญ ญั ติ ม าตรา 1299 1300 1301 ไปใช้ กั บ สั ง หาริ ม ทรั พ ย์ ที่ ก ฎหมายกำา หนดให้ มี
ทะเบียน
นำยเกียรติได้ทำำ สัญญำขำยช้ำงเชือกหน่ึง ซ่ึงมีอำยุ 4 ปี ให้แก่นำยกอง เพ่ ือนำำ ไปใช้ข่ีไปตำมถนนใน
กรุงเทพมหำนคร โดยวัตถุประสงค์ของนำย ข. เพ่ ือให้ควำญช้ำงข่ีไปตำมถนนเรียกให้ประชำชนท่ีพบเห็นซ้ือกล้วย
หรืออ้อย ฯลฯ จำกควำญช้ำงนัน ้ ให้ช้ำงกินเป็ นอำกำร และบำงเวลำก็นำำช้ำงไปโชว์ในฐำนะช้ำงไทยเพ่ ือให้ชำวตะวัน
ตกชม เช่น นี ต ้ ำมกฎหมำยกำรซ้ือขำยระหว่ำงนำยเกียรติและนำ
กฎหมำย
กำรทำำ สั ญ ญำซ้ือ ขำยช้ำ งท่ีอ ำยุ ยั ง ไม่ย่ ำ งเข้ ำ ปี ท่ี 8 ตำมกฎหมำยพระรำชบั ญ ญั ติ สั ต ว์ พ ำหนะ 2482
สัญญำซ้ือขำยดังกล่ำวไม่จำำเป็ นต้องทำำเป็ นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ี ดังนัน ้ แม้กำรซ้ือขำยดัง
กล่ำวคู่สัญญำจะตกลงกันด้วยวำจำเท่ำนัน ้ ก็เป็ นกำรชอบด้วยกฎหมำยแล้ว
แบบประเมินผลการเรียนหน่วยที่ 9
มาตรา 1299 ภำยในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมำยนีห ้ รือ กฎหมำยอ่ ืน
ท่ำนว่ำกำรได้มำโดยนิติกรรมซ่ ึงอสังหำริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเก่ียวกับอสังหำริมทรัพย์นัน ้ ไม่บริบูรณ์
เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำำเป็ นหนังสือและ ได้จดทะเบียนกำรได้มำกับพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ี
ถ้ำมีผู้ได้มำซ่ ึงอสังหำริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเก่ียวกับอสังหำริมทรัพย์ โดยทำงอ่ ืนนอกจำกนิติกรรม สิทธิของผู้ได้มำนัน
้
ถ้ำยังมิได้จดทะเบียนไซร้ ท่ำนว่ำจะมีกำรเปล่ียนแปลงทำงทะเบียนไม่ได้ และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนัน ้
มิให้ยกขึ้นเป็ นข้อต่อสู้บุคคลภำยนอกผู้ได้สิทธิมำโดยเสียค่ำตอบแทนและ โดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว
หน่วยท่ี 10 ระบบท่ีดินและท่ีดินของรัฐ
10.1 ระบบท่ด ี ิน
1. ควำมหมำยของท่ีดิ น ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 139 และตำมประมวลกฎหมำยท่ีดิน มำตรำ 1 มีค วำม
หมำยเหมือนกัน คือท่ีดินหมำยถึงอำณำเขตบนพ้ืนโลก ท่ีดินจึงหมำยรวมถึงพ้ืนดินและพ้ืนน้ำำด้วย
2. ท่ีดิ น กั บ พ้ืน ดิ น มี ค วำมหมำยไม่ เ หมื อ นกั น พ้ืน ดิ น ประกอบด้ ว ยแร่ ธ ำตุ กรวดทรำย เป็ นทรั พ ย์
ประกอบเป็ นอันเดียวกับท่ีดินซ่ึงเป็ นอสังหำริมทรัพย์ชนิดท่ี 3 ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 139
3. ท่ีดินอำจแบ่งได้เป็ นท่ีดน ิ ของรัฐและท่ีดินของเอกชน
4. ท่ีดิน อำจแบ่งได้เ ป็ น ท่ีดิน ท่ียังไม่เป็ น ของใคร ท่ีดิน ไม่อำจให้เป็ น กรรมสิทธิข์ องผู้ ใ ดได้ โ ดยเด็ ด ขำด
ท่ีดินท่ีไม่เป็ นของผู้ใดโดยเฉพำะเจำะจงแต่รัฐให้รำษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน และท่ีดินท่ีมีเจ้ำของแล้ว
5. ท่ีดินอำจจำำแนกเป็ นประเภทเพ่ ืออนุรักษ์ทรัพยำกรป่ ำไม้คือ แบ่งเป็ นป่ ำอนุรักษ์ และป่ ำเศรษฐกิจ
10.1.2 การแบ่งประเภทของท่ด
ี ิน
ท่ีดินหลวงแบ่งออกได้เป็ นก่ีประเภท อะไรบ้ำง
ท่ีดินหลวงแบ่งเป็ นหลำยประเภทคือ
(1) ท่ีดินของชำติ กรมท่ีดินเป็ นผู้ดูแล
(2) ท่ีดินของศำสนำ กรมกำรศำสนำเป็ นผู้ดูแล
(3) ท่ีดินของพระมหำกษัตริย์ สำำนักงำนทรัพย์สินส่วนพระมหำกษัตริย์หรือสำำนักงำนพระรำชวังเป็ น
ผู้ดูแล
(4) ท่ีดินของรัฐบำลหรือท่ีรำชพัสดุ กรมธนำรักษ์ กระทรวงกำรคลังเป็ นผู้ดูแล
ท่ีดินของรัฐท่ียังไม่มีใครเป็ นเจ้ำของและท่ีดินของรัฐท่ีมีเจ้ำของมีลักษณะต่ำงกันอย่ำงไร
ท่ีดินของรัฐท่ียังไม่มีใครเป็ นเจ้ำของ ได้แก่ท่ีดินรกร้ำงว่ำงเปล่ำตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1304(1) ส่วน
ท่ีดินของรัฐท่ีมีเจ้ำของแล้ว เจ้ำของอำจจะเป็ นรัฐบำล (คือท่ีรำชพัสดุ) หรือเจ้ำของอำจเป็ นองค์กรศำสนำ เช่น วัดวำ
อำรำมในพุทธศำสนำ หรือเจ้ำของอำจเป็ นสำำนักงำนทรัพย์สินส่วนพระมหำกษัตริย์ก็ได้
10.2 ท่ีดินของรัฐ
1. ทรัพย์สินของแผ่นดินแบ่งออกเป็ น 2 ประเภทคือ ทรัพย์สินแผ่นดินธรรมดำท่ีสำมำรถจำำหน่ำยจ่ำย
โอนได้ จึงเป็ นทรัพย์ในพำณิชย์และสำธำรณะสมบัติของแผ่นดิน ซ่ึงตำมปกติจะโอนให้บุคคลใดไม่ได้
จึงมีลักษณะเป็ นทรัพย์นอกพำณิชย์
10.2.6 การออกหนังสือสำาคัญสำาหรับท่ีหลวง
หนังสือสำำคัญสำำหรับท่ีหลวงจะออกในท่ีดินประเภทใดบ้ำง
หนังสือสำำคัญสำำหรับท่ีหลวงจะออกได้ในท่ีดิน 2 ประเภทคือ
(1) ท่ีดินของรัฐประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน เช่น ท่ีเลีย้งสัตว์สำธำรณะ ท่ห
ี นองน้ำำสำธำรณะ
(2) ท่ีรำชพัสดุ เช่น ท่ีสนำมบิน ท่ต
ี ัง้สำำนักรำชกำรบ้ำนเมือง
หนังสือสำำคัญสำำหรับท่ีหลวงเป็ นหนังสือสำำคัญแสดงกรรมสิทธิใ์นท่ีดินหรือไม่
หนังสือสำำคัญสำำหรับท่ีหลวงไม่ใช่หนังสือสำำคัญแสดงกรรมสิทธิใ์นท่ีดิน แต่เป็ นหนังสือท่ีแสดงแนว
เขตท่ีดน
ิ ของรำชกำรเท่ำนัน้
10.2.7 การถอนสภาพสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน
ท่ีดินของรัฐประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันจะถูกถอนสภำพให้เป็ นท่ีดินรกร้ำงว่ำงเปล่ำได้โดยวิธีกำรใดได้
บ้ำง
ท่ีดินของรัฐประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันจะถูกถอนสภำพเป็ นท่รี กร้ำงว่ำงเปล่ำได้ 2 วิธีคือ
(1) ถูกถอนสภำพโดยพระรำชบัญญัติ กรณีท่ีทบวงกำรเมือง รัฐวิสำหกิจหรือเอกชนหำ
ท่ีดน
ิ แปลงอ่ ืนมำให้พลเมืองใช้แทน
(2) ถูกถอนสภำพโดยพระรำชกฤษฎีกำ กรณีท่ีพลเมืองเลิกใช้ประโยชน์ในท่ีดินนัน้ แล้ว
ป.ท่ีดิน มำตรำ 8 วรรค 2(1)
ท่ีดินรำชพัสดุจะถูกถอนสภำพได้โดยอำศัยกฎหมำยฉบับใด
ท่ีรำชพัสดุนัน
้ เดิมกำรถูกถอนสภำพให้ใช้ ป.ท่ีดินมำตรำ 8 วรรค 2(2) ต่อมำถึง พ.ศ. 2518 ได้มี
กำรประกำศใช้ พ.ร.บ. ท่ีรำชพัสดุ มำตรำ 8 , 9 เป็ นหลักเกณฑ์ในกำรถอนสภำพแทน
10.3 ท่ีดินของศาสนาและพระมหากษัตริย์
1. วัดในพระพุทธศำสนำ สำมำรถได้มำซ่ึงท่ีดินโดยได้รับกำรอุทิศจำกรำษฎร โดยซ้ือจำกรำษฎร และเข้ำ
ครอบครองปรปั กษ์ท่ีดินของรำษฎร
10.3.2 ท่ีดินของวัดในศาสนาคริสต์ในประเทศไทย
ท่ีดินของมิซซังโรมันคำทอลิกแบ่งเป็ นก่ีประเภท อะไรบ้ำง
แบ่งเป็ นสองประเภทใหญ่ๆ คือ
(1) ท่ีดินท่ใี ช้เป็ นวัด โรงเรือน ตึกรำม วัดบำดหลวง แยกย่อยเป็ นสองชนิดคือ
- สถำนวัดบำดหลวง
- สถำนพักสอนศำสนำ
(2) ท่ีดินเพ่ ือประโยชน์ได้แก่ มิซซัง (พ.ร.บ. ลักษณะวัดบำทหลวงโรมันคำทอลิก ร.ศ. 128 มำตรำ
6)
ท่ีดินของมิซซังหนองแสง มีอยู่ในเขตใดบ้ำง
ท่ีดิ น มิ ซ ซั ง หนองแสงมี อ ยู่ 7 จั ง หวั ด คื อ (1) อุ บ ลรำชธำนี (2) ศรี ษ ะเกษ (3) นครพนม
(4)อุดรธำนี (5) หนองคำย (6) สกลนคร (7) เลย
10.3.3 ท่ีดินของมัสยิดอิสลาม
มัสยิดอิสลำมจะได้มำซ่ึงท่ีดิน โดยวิธีกำรใดบ้ำง
อำจได้มำหลำยวิธีดังนี้
(1) ได้มำโดยทำงนิติกรรม เช่น ทำำกำรซ้ือขำยแลกเปล่ียนหรือมีผู้ยกให้
(2) ได้ ม ำโดยกำรเข้ ำ ไปครอบครองปรปั กษ์ ท ่ีดิ น มี โ ฉนดของเอกชนเกิ น 10 ปี (ป.พ.พ. มำตรำ
1382) และเข้ำไปแย่งครอบครองท่ีดินมือเปล่ำของเอกชนเกิน 1 ปี (ป.พ.พ. มำตรำ 1375)
(3) ได้มำตำมบทบัญญัตข ิ องศำสนำอิสลำม
10.3.4 ท่ีดินของศาลเจ้า
ท่ีดินท่ตี ัง้ศำลเจ้ำ ถือเป็ นสำธำรณะสมบัติของแผ่นดินเสมอไปหรือไม่
ไม่เสมอไป อำจแยกได้ดังนีค ้ ือ
(1) ถ้ำศำลเจ้ำนัน ้ ตัง้อยู่ในท่ีดินของรัฐบำล หรือแม้แต่จะตัง้อยูใ่ นท่ีดินของเอกชน แต่เอกชนอุทิศท่ีดิน
นัน
้ ให้เป็ นสมบัติของศำลเจ้ำและอยู่ในควำมปกครองของรัฐบำล
ท่ีดินชนิดนีถ ้ ือว่ำเป็ นสำธำรณะสมบัตข ิ องแผ่นดิน
(2) ถ้ำศำลเจ้ำตัง้อยู่ในท่ีดินของเอกชน และเอกชนมิได้อุทิศให้เป็ นของรัฐบำล ท่ีดินชนิดนัน ้ ยังเป็ น
เอกชนอยู่ ไม่เป็ นสำธำรณะสมบัติของแผ่นดิน
10.3.5 ท่ีดินของพระมหากษัตริย์
ทรัพย์สินของพระมหำกษัตริยแ ์ บ่งเป็ นก่ีประเภท อะไรบ้ำง
มี 3 ประเภทคือ
(1) ทรัพย์สินส่วนพระองค์ หมำยควำมว่ำทรัพย์สินท่ีเป็ นของพระมหำกษัตริย์อยู่แล้ว
ก่อนขึ้นครองรำชย์สมบัติ หรือทรัพย์สินท่ีรัฐทูลเกล้ำถวำย หรือทรัพย์สินท่ีทรงได้
มำไม่ว่ำทำงใดและเวลำใด นอก จำกท่ีทรงได้มำในฐำนะท่ีทรงเป็ นพระมหำกษัตริย์
(2) ทรัพย์สินส่วนส่วนสำธำรณะสมบัติของแผ่นดิน คือทรัพย์สินในพระมหำกษัตริย์ซ่ึง
ใช้เพ่ ือประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพำะ เช่น พระรำชวัง
(3) ทรัพย์สินส่วนพระมหำกษัตริย์ คือทรัพย์สินในพระมหำกษัตริย์ นอกจำกทรัพย์สน ิ
ส่ ว นพระองค์ แ ละทรั พ ย์ สิ น ส่ ว นสำธำรณะสมบั ติ ข องแผ่ น ดิ น เช่ น ท่ีท รั พ ย์ สิ น
เป็ นต้น
แบบประเมินผลการเรียนหน่วยท่ี 10
หน่วยท่ี 11 ท่ีดินของเอกชน
1. ท่ีดิน ของเอกชนมี ส องประเภท คื อ ท่ีดิ น ท่ีเ อกชนมี กรรมสิ ท ธิ ใ์ นท่ีดิ น กั บ ท่ีดิ น ท่ีเ อกชนยั ง ไม่ มี
กรรมสิทธิใ์นท่ีดิน (หรือท่ีดน ิ มือเปล่ำ)
2. ตำมปกติ เ อกชนจะมี ก รรมสิ ท ธิ ใ์ นท่ีดิ น เพรำะมี ห นั ง สื อ สำำ คั ญ แสดงกรรมสิ ท ธิ แ์ ต่ ใ นบำงกรณี
เอกชนอำจมีกรรมสิทธิใ์นท่ีดินแปลงนัน ้ โดยยังไม่มีหนังสือสำำคัญแสดงกรรมสิทธิก ์ ็ได้
3. ท่ีบ้ำนท่ีสวนตำมกฎหมำยเบ็ดเสร็จบทท่ี 42 ถือว่ำเป็ นท่ีดินท่ีมีกรรมสิทธิแ์ม้เจ้ำของจะไม่มีโฉนด
ท่ีดนิ ก็ตำม
4. ท่ีดินมือเปล่ำคือ ท่ีดินท่ีเอกชนยังไม่มีกรรมสิทธิใ์นท่ีดิน ท่ีดินมือเปล่ำอำจมีหนังสือสำำคัญในท่ีดิน
บำงอย่ำง เช่นมี ส.ค. 1 น.ส. 3 น.ส.3 ก หรืออำจไม่มีหนังสืออะไรเลยก็ได้
5. ท่ีดิน มือ เปล่ ำท่ีไม่ มีหนั งสื อสำำ คั ญอะไรเลยได้ แ ก่ ท่ีดิน ท่ีต กค้ ำ งกำรแจ้ ง ส.ค. 1 และท่ีดิ น ท่ีมี ผู้
ครอบครองท่ีดินโดยพละกำรเม่ ือมีกำรประกำศใช้ประมวลกฎหมำยท่ีดินแล้ว
6. ตำมปกติคนไทยจะไม่ถูกจำำกัดสิทธิในกำรถือครองท่ีดิน แต่คนต่ำงด้ำวถูกจำำกัดสิทธิในกำรถือครอง
ท่ีดน ิ
7. คนต่ ำงด้ำ วจะได้ มำซ่ึง ท่ีดิ น จะต้อ งเป็ น คนต่ำงด้ำ วของประเทศท่ีมี สนธิสั ญ ญำกั บ ประเทศไทยท่ี
กำำหนดให้คนต่ำงด้ำวของประเทศนัน ้ มีสิทธิถือท่ีดินในประเทศไทยได้ และจะต้องได้รับอนุญำตจำก
รัฐมนตรีมหำดไทยด้วย
8. ท่ีดิ น ของเอกชนอำจจะกลั บ คื น มำสู่ รั ฐ ได้ ห ลำยวิ ธี เช่ น กำรเวนคื น ท่ีดิ น และกำรทอดทิ ง้ ท่ีดิ น
เป็ นต้น
11.1 การแบ่งประเภทท่ีดินของเอกชน
1. ท่ีดนิ เอกชนมีสองประเภท คือ ท่ีดินท่ีเอกชนมีกรรมสิทธิใ์นท่ีดน ิ และท่ีดินท่ีเอกชนยังไม่มีกรรมสิทธิ ์
ในท่ีดิน
2. เอกชนอำจจะมีกรรมสิทธิใ์นท่ีดินโดยไม่มีหนังสือสำำคัญแสดงกรรมสิทธิก ์ ็ได้เช่น ได้ท่ีงอกริมตล่ิง จำก
ท่ีดินท่ีมีโฉนดของตน กำรเข้ำครอบครองปรปั กษ์ในท่ีดินมีโฉนด ท่ีดินของบุคคลอ่ ืนจนครบ 10 ปี
หรือเป็ นเจ้ำของบ้ำน ท่ีสวนตำมกฎหมำยเบ็ดเสร็จบทท่ี 42 ก็ได้
3. ถ้ำบุคคลใดทำำ ท่ีดิน เป็ น ท่ีบ้ำนหรือทำำ เป็ นท่ีสวนผลไม้ยืน ต้น มำก่อน พ.ศ. 2475 ถือว่ำเป็ น บ้ำนท่ี
สวนตำมกฎหมำยเบ็ดเสร็จบทท่ี 42 ซ่ึงเป็ นท่ีดินกรรมสิทธิ แ์ม้จะไม่มีโฉนดท่ีดินก็ตำม
4. คนท่ีมีช่ือใน น.ส. 3 น.ส. 3 ก หรือ ส.ค. 1 ซ่ึงเป็ นท่ีดินมือเปล่ำ แม้บุคคลนัน ้ จะไม่มีกรรมสิทธิใ์น
ท่ีดน ิ ก็ถือว่ำบุคคลนัน
้ เป็ นเจ้ำของท่ีดินได้
5. ตำมหลักในประมวลกฎหมำยท่ีดินมำตรำ 2 ถือหลักว่ำท่ีดินมือเปล่ำทุกชนิด ยังเป็ นของรัฐอยู่แต่รัฐก็
คงไม่ไปยุ่งเก่ียวขับไล่เจ้ำของท่ีดน ิ มือเปล่ำนัน
้ ออกไปจำกท่ีดิน ก็ยังปล่อยให้ครอบครองท่ีดินแปลงนัน ้
อยู่
6. ตำมปกติ บุคคลท่ีเข้ำครอบครองท่ีดินของรัฐโดยพละกำร เม่ ือประกำศใช้ประมวลกฎหมำยท่ีดินแล้ว
จะมีควำมผิดและมีโทษตำมกฎหมำย แต่ภำยหลังกฎหมำยท่ีดินกลับมีบทบัญญัติผ่อนผันให้บุคคลดัง
กล่ำวได้รับโฉนดท่ีดินโดยกำรประกำศทัง้ตำำบลได้ เม่ ือเข้ำหลักเกณฑ์ท่ีกฎหมำยกำำหนดไว้
11.1.1 ท่ีดินของเอกชนท่ีมีกรรมสิทธิ ์
บุคคลอำจจะมีกรรมสิทธิใ์นท่ีดินโดยท่ีไม่มีหนังสือสำำคัญแสดงกรรมสิทธิท ์ ่ีดินแปลงนัน
้ เลยได้หรือไม่
ถ้ำมีจะมีได้ในกรณีใด
บุคคลอำจจะมีกรรมสิทธิใ์นท่ีดินโดยท่ีไม่มีหนังสือสำำคัญแสดงกรรมสิทธิใ์นท่ีดินได้ในกรณีดังต่อไปนี้
(1) ได้มำซ่ึงกรรมสิทธิใ์นท่ีดินท่ีเป็ นท่ีงอกริมตล่ิงตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1308
(2) ได้มำซ่ึงกรรมสิทธิใ์นท่ีดินโดยกำรครอบครองปรปั กษ์ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1382
(3) ได้มำซ่ึงกรรมสิทธิใ์นท่ีดินโดยทำงมรดก ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1599 และ 1600
11.1.3 ลักษณะทั่วไปของท่ด
ี ินมือเปล่า
ท่ีดินมือเปล่ำหมำยควำมว่ำอย่ำงไร
ท่ีดินมือเปล่ำ หมำยควำมถึงท่ีดินท่ีเอกชนไม่มีหนังสือสำำ คัญแสดงกรรมสิทธิอ์ย่ำงหน่ึงอย่ำงใดในส่ี
อย่ำงและไม่ใช่ท่ีบ้ำน ท่ีสวนตำมกฎหมำยเบ็ดเสร็จบทท่ี 42 ด้วยท่ีดินมือเปล่ำอำจจะเป็ นท่ีดนิ ท่ีมีหนังสือบำงอย่ำง
เช่น น.ส. 3 น.ส. 3 ก ส.ค. 1 หรืออำจจะไม่มีหนังสืออย่ำงไรเลยก็ได้
ท่ีดินมือเปล่ำแตกต่ำงจำกท่ีดินท่ีมีกรรมสิทธิอ์ย่ำงไร
ท่ีดินมือเปล่ำแตกต่ำงจำกท่ีดินมีกรรมสิทธิท ์ ่ีสำำคัญดังต่อไปนี้
(1) ท่ีดิน มีกรรมสิทธิ เ ์ จ้ำของมีกรรมสิทธิท ์ ่ีดิน มือเปล่ำเจ้ำของไม่ม
อย่ำงมำกท่ีสุดก็อำจมีแต่เพียงสิทธิครอบครองในท่ีดินเท่ำนัน้
(2) ท่ีดินมีกรรมสิทธิ อ์ำจถูกผู้อ่ืนครอบครองประโยชน์ครบ10 ปี (มำตรำ 1382) ท่ีดิน
มือเปล่ำอำจเสียสิทธิในท่ีดิน โดยถูกบุ คคลอ่ ืนแย่งกำรครอบครองเกิน 1 ปี (มำตรำ
1375)
11.1.4 ท่ีดินมือเปล่าชนิดที่ไม่มีหนังสือสำาหรับที่ดินแต่อย่างใด
ท่ีดินมือเปล่ำชนิดท่ีไม่มีหนังสือสำำคัญในท่ีดิน ได้แก่ท่ีดินประเภทใด
ท่ีดินมือเปล่ำชนิดท่ีไม่หนังสือสำำคัญในท่ีดินได้แก่
(1) ท่ีดินรกร้ำงว่ำงเปล่ำท่ีรำษฎรได้เข้ำไปครอบครองและทำำ ประโยชน์ในท่ีดิน ก่อนหน้ำ
พ.ร.บ. ออกโฉนดท่ีดินฉบับท่ี 6 พ.ศ. 2479 โดยไม่ได้มีหนังสือแสดงกำรจับจองแต่
อย่ำงใด
(2) ท่ีดินของรัฐท่ีมีผู้ครอบครองโดยพละกำร สมัยใช้ พ.ร.บ. ออกโฉนดท่ีดิน ฉบับท่ี 6
พ.ศ. 2479 และครอบครองตลอดมำจนปั จจุบัน
(3) ท่ีดินของรัฐท่ีมีผู้ครอบครองโดยพลกำรสมัยใช้ประมวลกฎหมำยท่ีดิน
ท่ีดินท่ีมีผู้บุกรุกโดยพละกำรเม่ ือประมวลกฎหมำยท่ีดินประกำศใช้แล้ว จะมีสิทธิได้รับโฉนดท่ีดินหรือ
ไม่ ภำยใต้หลักเกณฑ์และเง่ ือนไขอย่ำงไร
ท่ีดินท่ีมีผู้บุกรุกโดยพลกำรเม่ ือประมวลกฎหมำยท่ีดินประกำศใช้แล้ว ก็มีสิทธิได้รับโฉนดท่ีดินโดยมี
หลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(1) มีสิทธิได้รับโฉนดท่ีดินหรือหนังสือรับรองกำรทำำประโยชน์ทัง้ตำำบล (น.ส. 3 ก) ตำม
ประมวลกฎหมำยท่ีดินมำตรำ 38 เท่ำนัน ้ ไม่มีสิทธิย่น
ื ขอออกโฉนดท่ีดินสำยเฉพำะ
รำยตำม ประมวลกฎหมำยท่ีดินมำตรำ 59
(2) จะได้รับโฉนดหรือหรือ น.ส. 3 ก ได้ไม่เกิน 50 ไร่ ถ้ำต้องกำรเกิน 50 ไร่ ก็ต้องขอ
อนุมัตต ิ ่อผู้ว่ำรำชกำรจังหวัดเป็ นกำรเฉพำะรำย
(3) เม่ ือได้โฉนดหรือ น.ส. 3 ก แล้วจะถูกห้ำมโอนภำยใน 10 ปี เว้นแต่ท่ีดินจะตกทอด
มำทำงมรดกหรือโอนให้ทบวงกำรเมือง ฯลฯ
11.2.1 สิทธิในท่ีดินของบุคคลท่ีมีสัญชาติไทย
บุคคลสัญชำติไทยจะถูกจำำกัดสิทธิในกำรถือครองท่ีดินในประเทศไทยหรือไม่
บุคคลสัญชำติไทยสมัยเม่ ือประมวลกฎหมำยท่ีดินประกำศใช้ใหม่ๆ ถูกจำำกัดสิทธิในกำรถือครองท่ีดิน
คือจะถือท่ีดินเพ่ ือเกษตรกรรมไม่เกิน 50 ไร่ จะถือท่ีดินเพ่ ืออุตสำหกรรมไม่เกิน 10 ไร่ ต่อมำถึง พ.ศ. 2502
รัฐบำลได้ยกเลิกหลักเกณฑ์เร่ ืองข้อจำำกัดสิทธิของคนไทย โดยยกเลิกหลักในประมวลกฎหมำยท่ีดินมำตรำ 34-49
ไปทัง้หมด ดังนัน้ ในปั จจุบันคนไทยจึงไม่ถูกจำำกัดสิทธิในกำรถือครองท่ีดินแต่อย่ำงใด
11.2.2 สิทธิในท่ีดินของคนต่างด้าวและนิติบุคคลบางประเภท
คนต่ำงด้ำวจะมีสิทธิถือท่ีดินในประเทศไทยภำยใต้หลักเกณฑ์และเง่ ือนไขอย่ำงไรบ้ำง
คนต่ำงด้ำวจะมีสิทธิถือท่ีดินในประเทศไทยได้ภำยใต้หลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(1) ต้องเป็ นคนต่ำงด้ำวของประเทศท่ีมีสนธิสัญญำกับประเทศไทย โดยสนธิสัญญำนัน
้
เป็ นสัญญำต่ำงตอบแทนกัน คือมีข้อตกลงกันว่ำให้คนไทยถือท่ีดินในประเทศนัน ้
ได้ คนต่ำงด้ำวมนประเทศนัน ้ จึงจะมีสิทธิถือท่ีดินในประเทศไทยได้
(2) ต้องได้รับอนุมัติจำกรัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงมหำดไทยก่อน
(3) จะถูกจำำกัดในกำรถือครองท่ีดินดังนีค
้ ือ
- ท่ีอยู่อำศัย ครอบครัวละ ไม่เกิน 1 ไร่
- ท่ีใช้เพ่ ือพำณิชยกรรม ไม่เกิน 1 ไร่
- ท่ีใช้เพ่ ืออุตสำหกรรม ไม่เกิน 10 ไร่
- ท่ีดินเพ่ ือใช้เกษตรกรรม ครอบครัวละไม่เกิน 10 ไร่
- ท่ีใช้เพ่ ือกำรศำสนำ ไม่เกิน 1 ไร่
- ท่ีใช้เพ่ ือกุศลสำธำรณะ ไม่เกิน 5 ไร่
- ท่ีใช้เพ่ ือสุสำนตระกูลละไม่เกิน 1 ไร่
11.3.1 การเวนคืนตามประมวลกฎหมายท่ีดิน
กำรเวนคืนโดยสมัครใจตำมประมวลกฎหมำยท่ีดินจะมีได้ในในท่ีดินประเภทใดบ้ำง
กำรเวนคืนโดยสมัครใจตำมประมวลกฎหมำยท่ีดินอำจมีได้ในท่ีดินดังต่อไปนี้
(1) ท่ีดินท่ีมีโฉนดแผนท่ีโฉนดตรำจอง ตรำจองท่ีตรำว่ำได้ทำำประโยชน์แล้ว หรือโฉนดท่ีดิน
(2) ท่ีดินมีใบไต่สวน
(3) ท่ีดินมีหนังสือรับรองกำรทำำประโยชน์
(4) ท่ีดินมี ส.ค. 1
(5) ท่ีดินท่ตี กค้ำงกำรแจ้งกำรครอบครอง
11.3.2 การอุทิศท่ด
ี ินให้เป็ นทางสาธารณะ
กำรท่ีเอกชนจะอุทิศท่ีดินของตนให้เป็ นทำงสำธำรณะมีหลักเกณฑ์อย่ำงไรบ้ำง
กำรท่ีเอกชนจะอุทิศท่ีดินของตนให้เป็ นทำงสำธำรณะนัน ้ อำจเป็ นกำรแสดงออกเจตนำอุทิศโดยตรง
หรือโดยปริยำยก็ได้โดยไม่จำำ เป็ นต้องทำำ เป็ นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ีแต่อย่ำงใด และเม่ ือมี
ประชำชนทัว่ไปมำใช้เป็ นทำงสำธำรณะแล้ว ก็เป็ นทำงสำธำรณะทันที
11.3.4 การเวนคืนตามกฎหมายเวนคืน
กำรเวนคืนโดยถูกบังคับตำม พ.ร.บ. เวนคืนอสังหำริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 แตกต่ำงกับกำรเวนคืนโดย
สมัครใจอย่ำงไร
กำรเวนคืนโดยสมัครใจตำม ประมวลกฎหมำยท่ีดินมำตรำ 5 แตกต่ำงกับกำรเวนคืนโดยถูกบังคับตำม
พ.ร.บ. เวนคืนอสังหำริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ดังนี้
(1) เวนคืนโดยสมัครใจ ไม่ต้องจดทะเบียนเวนคืน เวนคืนโดยถูกบังคับต้องจดทะเบียนเวนคืน
(2) เวนคืนโดยสมัครใจ ผู้เวนคืนจะไม่ได้รับค่ำตอบแทนใดๆ ทัง้สิน ้ เวนคืนโดยถูกบังคับรัฐต้องให้ค่ำ
ตอบแทนแก่ผู้ถูกเวนคืนทุกรำย
(3) เวนคืน โดยสมัครใจ ท่ีดิน ท่ีเวนคืนกลับมำเป็ น ท่ีรกร้ำงว่ำงเปล่ำตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1304(1)
เวนคื น โดยถู ก บั ง คั บ อำจกลั บ มำเป็ นท่ีดิ น ของรั ฐ ประเภทพลเมื อ งใช้ ร่ ว มกั น ตำม ป.พ.พ.
1304(2) หรือกลับมำเป็ นท่รี ำชพัสดุตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1304(3) แล้วแต่กรณี
11.3.5 การทอดทิง้ท่ีดินตามประมวลกฎหมายท่ีดิน
กำรทอดทิง้ท่ีดนิ ของเอกชนและจะทำำให้ท่ีดินตกเป็ นของรัฐนัน ้ มีหลักเกณฑ์อย่ำงไรบ้ำง
เอกชนจะทอดทิง้ท่ีดินของตนและทำำให้ท่ีดน ิ ตกเป็ นของรัฐนัน ้ มีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(1) ทอดทิง้ท่ีดินมีโฉนดท่ีดินเกิน 10 ปี
(2) ทอดทิง้ท่ีดินมี น.ส. 3 น.ส. 3 ก เกิน 5 ปี ติดต่อกัน
(3) อธิบดีกรมท่ีดินย่ ืนคำำร้องต่อศำลให้สอบสวนข้อเท็จจริง
(4) ศำลพิจำรณำได้ควำมจริงแล้วให้ศำลเพิกถอนโฉนดท่ีดิน หรือ น.ส. 3 น.ส. 3 ก แปลงท่ีมีกำร
ทอดทิง้และทำำให้ท่ีดินแปลงนัน ้ ตกเป็ นท่ีรกร้ำงว่ำงเปล่ำต่อไป
แบบประเมินผลการเรียนหน่วยท่ี 11
หน่วยท่ี 12 การออกหนังสือแสดงสิทธิในท่ีดิน
1. ก่อนหน้ำกำรออกโฉนดแผนท่ี หนังสือสำำคัญในท่ีดินท่ีทำงรำชกำรออกให้รำษฎรเป็ นหมำยเก็บภำษี
ทัง้สิน ้
2. โฉนดแผนท่ีเ ป็ นหนังสือสำำ คั ญแสดงกรรมสิ ทธิ ฉ ์ บั บแรกท่ีเ กิด ขึ้น ในประเทศไทยมีอยู่ 2 สมัย คือ
สมัยแรก ร.ศ. 120 สมัยท่ีสอง ร.ศ. 127
3. โฉนดตรำจองออกตำม พ.ร.บ. ออกโฉนดตรำจอง ร.ศ. 124 ออกได้เฉพำะในมณฑลพิษณุโลก
4. ตรำจองท่ีต รำว่ำได้ทำำ ประโยชน์แล้วเป็ น หนั งสื อสำำ คัญ แสดงกรรมสิ ทธิ ใ์ นท่ีดิน ท่ีออกตำม พ.ร.บ.
ออกโฉนดท่ีดินฉบับท่ี 6 พ.ศ. 2479
5. โฉนดท่ีดินออกตำมประมวลกฎหมำยท่ีดินปั จจุบันมีอยู่สองรูปแบบ คือกำรออกโฉนดท่ีดินทัง้ตำำ บล
(ป. ท่ีดน ิ มำตรำ 58) และกำรออกโฉนดท่ีดินเฉพำะรำย (ป.ท่ีดน ิ มำตรำ 59)
6. ทุกครัง้ก่อนออกโฉนดท่ีดิน เจ้ำหน้ำท่ีต้องทำำใบไต่สวนก่อนเสมอ
7. หนังสือรับรองกำรทำำประโยชน์มีหลำยแบบคือ หมำยเลข 3 น.ส. 3 น.ส. 3 ก และ น.ส. 3 ข
8. ผู้ มี ห น้ ำ ท่แ
ี จ้ ง กำรครอบครองท่ีดิ น (ส.ค. 1) คื อ บุ ค คลท่ีค รอบครองท่ีดิ น มำก่ อ นหน้ ำ วั น ท่ี 1
ธันวำคม 2497 และยังไม่มีหนังสือสำำคัญแสดงกรรมสิทธิใ์นท่ีดิน
9. บุคคลท่ีตกค้ำงกำรแจ้ง ส.ค. 1 ก็ยังมีสิทธิได้รับโฉนดหรือหนังสือรับรองกำรทำำ ประโยชน์ ทัง้สำย
เฉพำะตำำบลและสำยเฉพำะรำย
10. ใบจองเป็ นหนังสืออนุญำตให้จับจองตำมประมวลกฎหมำยท่ีดิน มีสองรูปแบบคือ ใบจองในกำรจัด
ท่ีดินผืนใหญ่และใบจองในกรณีจัดท่ีดินแปลงเล็กแปลงน้อย
11. เม่ ือหนังสือแสดงสิทธิในท่ีดินสูญหำย มีกำรออกใบแทนได้
12.1 การออกหนังสือสำาคัญแสดงกรรมสิทธิใ์นท่ีดิน
1. ในสมัยกรุงศรีอยุธยำและสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไม่มีหนังสือสำำคัญแสดงกรรมสิทธิใ์นท่ีดิน
เลย มีแต่หนังสือท่ีเป็ นหมำยเรียกเก็บภำษีอำกรทัง้สิน
้
2. โฉนดแผนท่ีถือว่ำ เป็ น หนั งสื อสำำ คั ญแสดงกรรมสิท ธิฉ
์ บั บ แรกท่ีเกิ ดขึ้น ในประเทศไทย กำรสร้ำ ง
หนังสือชนิดนีไ้ด้นำำเอำหลักกำรระบบทอเรนซ์ (Torrens system) ของต่ำงประเทศมำใช้
3. โฉนดตรำจอง
12.1.1 โฉนดแผนท่ีและโฉนดตราจอง
โฉนดแผนท่ีมีด้วยกันก่ีสมัย
โฉนดแผนท่ีมีด้วยกัน 2 สมัยคือ
(1) โฉนดแผนท่ต ี ำม พ.ร.บ. ออกโฉนดท่ีดิน ร.ศ. 120
(2) โฉนดแผนท่ต ี ำม พ.ร.บ. ออกโฉนดท่ีดิน ร.ศ. 127
โฉนดตรำจองออกตำมกฎหมำยฉบับใด จะออกได้ในท้องท่ใี ดได้บ่ำง
โฉนดตรำจองออกตำม พ.ร.บ. ออกโฉนดตรำจอง ร.ศ. 124 (เปล่ียนช่ ือจำกเดิมคือ พ.ร.บ. ออก
ตรำจองชัว่ครำว ร.ศ. 121) โฉนดตรำจองออกได้เฉพำะในเขตมณฑลพิษณุโลกเดิมท่ีเป็ นเขตจังหวัดพิษณุโลก
สุโขทัย พิจิตร อุตรดิตถ์ และนครสวรรค์บำงส่วน
12.1.2 ตราจองท่ีตราว่าได้ทำาประโยชน์แล้ว
บุคคลพวกใดบ้ำงท่ีมีสิทธิได้รับตรำจองท่ีตรำว่ำได้ทำำประโยชน์แล้ว
บุคคลท่ีมีสิทธิได้รับตรำจองท่ีตรำว่ำได้ทำำประโยชน์แล้วได้แก่บุคคลดังต่อไปนี้
(1) บุ คคลท่ีข ออนุญำตจับจองเป็ นตรำจองตำม พ.ร.บ. ออกโฉนดท่ีดิน ฉบับท่ี 6 พ.ศ.
2479 ถ้ำทำำ ประโยชน์ครบ 3 ปี แล้ว จึงมีสิทธิย่น ื ขอตรำจองท่ีตรำว่ำได้ทำำ ประโยชน์
แล้วได้
(2) บุคคลท่ีได้ครอบครองและทำำประโยชน์บนท่ีดินอยู่ก่อน พ.ร.บ. ออกโฉนดท่ีดินฉบับ
ท่ี 6 พ.ศ. 2479 โดยยั ง ไม่ ไ ด้ รั บ หนั ง สื อ สำำ คั ญ แสดงกรรมสิ ท ธิ ใ์ ห้ ม ำขึ้น ทะเบี ย น
ท่ีดินเอำไว้ ต่อมำก็ให้พนักงำนเจ้ำหน้ำท่อ ี อกตรำจองท่ีตรำว่ำได้ทำำประโยชน์แล้วให้ต่อ
ไป (พ.ร.บ. ออกโฉนดท่ีดินฉบับท่ี 7 พ.ศ. 2486 มำตรำ 13 มำตรำ 15)
ผู้ได้รับอนุญำตให้จับจองเป็ นใบเหยียบย่ำำตำม พ.ร.บ. ออกโฉนดท่ีดินฉบับท่ี 6 พ.ศ. 2479 เม่ ือทำำ
ประโยชน์ในท่ีดินครบ 2 ปี แล้วจะมีสิทธิได้รับตรำจองท่ีตรำว่ำได้ทำำประโยชน์แล้วหรือไม่
บุคคลท่ีได้รับอนุญำตให้จับจองเป็ นใบเหยียบย่ำำตำม พ.ร.บ. ออกโนดท่ีดินฉบับท่ี 6 พ.ศ. 2479 เม่ ือ
ทำำประโยชน์ครบในท่ีดินครบ 2 ปี แล้ว แม้ตำมมำตรำ 11 ของ พ.ร.บ. ออกโฉนดท่ีดินฉบับท่ี 6 จะดูคล้ำยๆว่ำจะ
มีสิทธิได้รับตรำจองท่ีตรำว่ำได้ทำำประโยชน์แล้ว เหมือนผู้ได้รับอนุญำตให้จับจองเป็ นตรำจอง แต่ในทำงปฏิบัติแล้ว
พนักงำนเจ้ำหน้ำท่ีจะออกหนังสือรับรองกำรทำำประโยชน์แล้วเหมือนผู้ได้รับอนุญำตให้จับจองเป็ นตรำจอง แต่ใน
ทำงปฏิบัติแล้ว พนักงำนเจ้ำหน้ำท่ีจะออกหนังสือรับรองกำรทำำประโยชน์แล้วตำมแบบหมำยเลข 3 ให้แทน
12.1.3 โฉนดท่ด
ี ิน
โฉนดท่ีดินจะออกให้รำษฎรได้โดยอำศัยหลักเกณฑ์ออย่ำงไร
โฉนดท่ีดินจะออกแก่รำษฎรได้โดยอำศัยหลักเกณฑ์ดังนี้
(1) ท้องท่ีนัน
้ ต้องมีกำรสร้ำงระวำงแผนท่ีก่อน
(2) จะต้องไม่ใช่ท่ีดินท่ีรำษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน ไม่ใช่ท่ีภูเขำท่ีสงวนหวงห้ำม ฯลฯ
(3) จะต้องเป็ นบุคคลประเภทท่ี ประมวลกฎหมำยท่ีดินมำตรำ 58 ทวิได้ระบุไว้เช่น เป็ นผู้มี ส.ค. 1
ใบจอง ใบเหยียบย่ำำ น.ส. 3 น.ส. 3 ก หรือเป็ นผู้ตกค้ำงแจ้ง ส.ค. 1
กำรออกโฉนดท่ีดินทัง้ตำำบลและกำรออกโฉนดท่ีดินเฉพำะรำยมีหลักสำำคัญแตกต่ำงกันอย่ำงไร
กำรออกโฉนดท่ีดินทัง้ตำำบลและกำรออกโฉนดเฉพำะรำยมีข้อแตกต่ำงท่ีสำำคัญดังนี้
(1) กำรออกโฉนดทัง้ตำำ บลเป็ น กำรบังคั บให้เจ้ำของท่ีดิน ไปนำำ เดิน สำำ รวจผู้ใ ดไม่ไปมี
โทษปรับไม่เกิน 500 บำท (ป. ท่ีดน ิ มำตรำ 107)
กำรออกโฉนดเฉพำะรำย ไม่เป็ นกำรบังคับ ใครจะมำย่ น ื ขอออกก็ได้ตำมใจสมัคร
(2) กำรออกโฉนดทัง้ตำำบลเจ้ำของท่ีดินไม่ต้องออกค่ำใช้จ่ำยใดๆ เว้นแต่ค่ำโฉนดท่ีดิน
50 บำท
กำรออกโฉนดเฉพำะรำยผู้ย่ืนคำำขอต้องเสียค่ำธรรมเนียม ค่ำมัดจำำ ค่ำพำหนะเดินทำง ค่ำคนงำนทุก
อย่ำง
(3) กำรออกโฉนดทัง้ตำำบลเจ้ำหน้ำท่ีจำกส่วนกลำงคือ จำกกรมท่ีดินมำนำำเดินสำำรวจ
กำรออกโฉนดเฉพำะรำย โดยปกติจะใช้เจ้ำหน้ำท่ีจำกสำำนักงำนท่ีดินท่ีท่ีดินแปลงนัน
้ ตัง้อยู่
(4) กำรออกโฉนดท่ีดินทัง้ตำำบลตำมปกติรังวัดออกโฉนดด้วยแผนท่ีชัน
้ หน่ึงคือกล้องธีโอ
โดไลท์
กำรออกโฉนดเฉพำะรำย ตำมปกติจะรังวัดด้วยแผนท่ีชัน
้ สอง
12.2.2 ใบเหยียบย่ำาและตราจอง
ใบเหยียบย่ำำท่ีออกหลังวันประกำศใช้ประมวลกฎหมำยท่ีดินมีได้หรือไม่ ถ้ำมีจะมีได้กรณีใด
ใบเหยียบย่ำำท่ีออกหลังวันประกำศใช้ประมวลกฎหมำยท่ีดินก็อำจมีได้ คือ ใบเหยียบย่ำำตำม พ .ร.บ. ให้
ใช้ ป. ท่ีดิน มำตรำ 14 คื อ บุ ค คลท่ีย่น ื ขอจั บ จองท่ีดิ น ตำมพ.ร.บ. ออกโฉนดท่ีดิ น ฉบั บ ท่ี 6 แต่ท ำงกำรยั ง ไม่
อนุญำต ประมวลกฎหมำยท่ีดิน ก็ประกำศใช้เป็ น กฎหมำยเสีย ก่อ น กฎหมำยจึง กำำ หนดให้น ำยอำำ เภอมีอำำ นำจ
จัดกำรตำม พ.ร.บ. ออกโฉนดท่ีดิน ฉบับท่ี 6 ต่อไป คือให้นำยอำำ เภอมีอำำ นำจออก “ใบเหยียบย่ำำ ” ให้แก่ผู้ข อ
จับจองให้ แม้จะเป็ นเวลำเม่ ือประกำศใช้ประมวลกฎหมำยท่ีดน ิ แล้วก็ตำม
ผู้มีใบเหยียบย่ำำ ตำม ป. ท่ีดินมำตรำ 58 ทวิ วรรคสอง คือผู้ท่ีมีใบเหยียบย่ำำ เม่ ือ ป. ท่ีดินประกำศใช้
แล้ว ตำม พ.ร.บ. ให้ใช้ ป. ท่ีดินมำตรำ 14 ท่วี ่ำ
“บุคคลใดได้ดำำเนินกำรขอจับจองท่ีดินไว้ต้อพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ี ก่อนวันท่ีพระรำชบัญญัตินีใ้ช้บังคับแต่
ยั ง ไม่ ไ ด้ รั บ อนุ ญ ำต ให้ น ำยอำำ เภอมี อำำ นำจดำำ เนิ น กำรตำมนั ย แห่ ง พระรำชบั ญ ญั ติ อ อกโฉนดท่ีดิ น ฉบั บ ท่ี 6
พุทธศักรำช 2479 ต่อไปจนถึงท่ีสุดได้”
12.2.3 ใบจอง
ใบจองจะออกให้แก่ประชำชนได้ในกรณีใดบ้ำง
ใบจองจะออกให้ประชำชนได้ 2 กรณีคือ
(1) ใบจองในกรณีจัดท่ีดินผืนใหญ่ ตำม ป. ท่ีดิน มำตรำ 30
(2) ใบจองในกรณีจัดท่ีดินแปลงเล็กแปลงน้อย ตำม ป.ท่ีดน ิ มำตรำ 33
ผู้รับโอนโดยส่งมอบกำรครอบครองจำกผู้มีใบจองจะมีสิทธิได้รับโฉนดท่ีดิน หรือหนังสือรับรองกำรทำำ
ประโยชน์ หรือไม่ เพรำะเหตุใด
ผู้รับโอนโดยส่งมอบกำรครอบครองจำกผู้มีใบจองไม่มีสิทธิได้รับโฉนดท่ีดินหรือหนังสือรับรองกำรทำำ
ประโยชน์ ไม่ว่ำสำยทัง้ตำำ บล (ป. ท่ีดิน มำตรำ 58) ทวิ หรือสำยเฉพำะรำย (ป. ท่ีดิน มำตรำ 59)เพรำะมำตรำ
12.2.5 หนังสือรับรองการทำาประโยชน์
หนังสือรับรองกำรทำำประโยชน์มีแบบฟอร์มอะไรบ้ำง ใครเป็ นผู้ออก
หนังสือรับรองกำรทำำประโยชน์มี 4 แบบฟอร์มคือ
(1) แบบฟอร์มหมำยเลข 3 นำยอำำเภอเป็ นคนออก
(2) แบบ น.ส. 3 นำยอำำเภอท้องท่ีเป็ นคนออก
(3) แบบ น.ส.3 ก ตำมกฎหมำยเก่ำนำยอำำ เภอเป็ นคนออก แต่ตำมกฎหมำยใหม่เจ้ำพนักงำนท่ีดิน
เป็ นคนออก
(4) แบบ น.ส. 3 ข. เจ้ำพนักงำนท่ีดินเป็ นคนออก
ผู้มี ส.ค. 1 หรือใบจองจะสำมำรถไปย่ น ื ขอออกโฉนดท่ีดินได้ทันทีหรือไม่ จำำ เป็ นต้องย่ ืนขอ น.ส. 3
เสียก่อนหรือไม่ เพรำะเหตุใด
ผู้มี ส.ค. 1 หรือใบจอง สำมำรถไปย่ ืนขอออกโฉนดท่ีดินเฉพำะรำยได้ทันที ถ้ำท้องท่น ี ัน้ มีกำรสร้ำง
วำงแผนท่ีเพ่ ือกำรออกโฉนดท่ีดินไว้แล้ว โดยไม่จำำเป็ นต้องไปย่ น
ื ขอ น.ส. 3 เสียก่อนแต่อย่ำงได
12.2.6 ใบไต่สวน
ใบไต่สวนคืออะไร
ใบไต่สวนคือหนังสือสอบสวนก่อนออกโฉนดท่ีดินคือทุกครัง้ก่อนออกโฉนดท่ีดินเจ้ำพนักงำนจะต้อง
ทำำใบไต่สวนเสียก่อนเสมอ จะไม่ทำำไม่ได้ ตำมปกติจะทำำเป็ นสองฉบับ ฉบับหน่ึงเจ้ำพนักงำนเก็บไว้ อีกฉบับหน่ึง
เจ้ำของท่ีดินเก็บไว้เป็ นหลักฐำนสำำหรับไปขอรับโฉนดท่ีดินต่อไป ใบไต่สวนมีควำมสำำคัญคือถ้ำใบไต่สวนสูญหำย
ทัง้สองฉบับจะสร้ำงโฉนดไม่ได้เลย ต้องออกไปรังวัดเดินสำำรวจออกโฉนดใหม่
12.3 การเปล่ียนแปลงและการเพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในท่ด ี ิน
1. โฉนดท่ีดินท่ีออกไปนำนแล้ว กำรครอบครองของเจ้ำของท่ีดินย่อมเปล่ียนไปจำกรูปแผนท่ีทท ่ี ำำ ไว้ จึง
จำำเป็ นต้องมีกำรสอบเขตท่ีดินกันขึน
้
2. ท่ีดินท่ีได้ทำำกำรสอบเขตแล้วเจ้ำพนักงำนท่ีดินมีอำำนำจทำำโฉนดท่ีดินให้ใหม่แทนฉบับเดิม ส่วนฉบับ
เดิมเป็ นอันยกเลิกและให้ส่งคืน
12.3.1 การรังวัดสอบเขตโฉนดท่ีดินและการตรวจสอบเน้ือที่ตามหนังสือรับรองการทำาประโยชน์
ในกำรรั ง วั ด สอบเขตโฉนดเฉพำะรำยตำม ป. ท่ีดิ น มำตรำ 69 ทวิ ถ้ ำ มี ผู้ คั ด ค้ ำ น กฎหมำยให้ เ จ้ ำ
พนักงำนท่ีดินเป็ นผู้สอบสวนไกล่เกล่ีย กำรสอบสวนไกล่เกล่ียต่ำงจำกกำรสอบสวนเปรียบเทียบในกรณีโต้ แย้ง
คัดค้ำนในกำรออกโฉนดตำมมำตรำ 60 อย่ำงไร
กำรสอบสวนไกล่เกล่ียในกำรรังวัดสอบเขตโฉนดเฉพำะรำยตำม ป. ท่ีดิน มำตรำ 69 ทัง้นีผ ้ ู้สอบสวน
ไกล่เกล่ียไม่มีอำำ นำจสัง่กำรได้ว่ำ จะเห็นด้วยกับฝ่ ำยใด จึงแตกต่ำงกับกำรสอบสวนเปรียบเทียบในกรณีโต้แย้ง
คัดค้ำนในกำรออกโฉนดท่ีดินตำม ป. ท่ีดินมำตรำ 60 ซ่ึงผู้สอบสวนสำมำรถสัง่กำรได้ว่ำตนจะเห็นด้วยกับฝ่ ำยใด
คือจะเห็นด้วยกับผู้ย่ืนขอออกโฉนดท่ีดิน หรือผู้คัดค้ำนสิทธิของผู้ย่ืนดังขอ
12.3.2 การออกใบแทนและการจัดทำาหนังสือแสดงสิทธิในท่ด
ี ินขึ้นใหม่
กรณีใดท่ีจะออกใบแทนโฉนดท่ีดน ิ ได้
กรณีท่ีจะออกในแทนโฉนดท่ีดิน มีได้ 3 กรณี
(1) โฉนดท่ีดินนัน ้ เป็ นอันตรำยทัง้ฉบับ เช่น ถูกไฟไหม้จนกลำยเป็ นเถ้ำถ่ำน
(2) โฉนดท่ีดินชำำรุด
(3) โฉนดท่ีดินสูญหำย
เม่ ือมีกำรออกใบแทนแล้ว ต่อมำไปพบโฉนดท่ีดินท่ีคิดว่ำหำยเข้ำในภำยหลังจะต้องดำำเนินกำรอย่ำงไร
เม่ ือมีกำรออกใบแทนโฉนดแล้ว ต่อมำไปพบโฉนดท่ีดน ิ ท่ีคิดว่ำหำยเข้ำในภำยหลัง เช่นนีต ้ ำมหลักแล้ว
เม่ ือมีกำรออกใบแทน โฉนดท่ีดินเดิมเป็ นอันถูกยกเลิกไปแล้ว (ป. ท่ีดิน มำตรำ 63) ดังนัน ้ ถ้ำเจ้ำของต้องกำรให้
โฉนดเดิ มยั ง คงใช้ ได้ ก็ต้อ งย่ น
ื คำำ ร้อ งต่อ ศำล ขอให้ ศำลมี คำำ สั ง่ว่ ำให้ โฉนดท่ีดิน เดิม เป็ น อัน ใช้ ไ ด้ ต่ อ ไป โดยให้
ยกเลิกใบแทนเสีย
หน่วยท่ี 13 การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม
1. กำรจดทะเบียนสิทธิ เช่นจดทะเบียนกำรได้มำซ่ึงกำรครอบครองปรปั กษ์ กำรจดทะเบียนมรดก กำรจด
ทะเบียนลงช่ ือผู้จัดกำรมรดก
2. กำรจดทะเบียนนิติกรรม เช่น กำรจดทะเบียนสัญญำซ้ือขำย แลกเปล่ียน ให้เช่ำหรือจำำนอง
3. กำรจดทะเบียนทรัพย์สินบำงอย่ำงมีได้ทัง้กำรจดทะเบียนสิทธิและกำรจดทะเบียนนิติกรรม เช่นสิทธิ
เหนือพ้ืนดินอำจได้มำโดยนิติกรรมและอำจได้มำโดยทำงมรดกด้วย
4. กำรจดทะเบียนในหนังสือแสดงสิทธิในท่ีดิน เช่น โฉนดท่ีดินหรือหนังสือรับรองกำรทำำประโยชน์ อำจ
ทำำได้ทัง้นิติกรรมและไม่ใช่นิติกรรม เช่น จดทะเบียนซ้ือขำยท่ีดินท่ีมีโฉนดท่ีดินและจดทะเบียนมรดก
ในท่ีดินท่ีมีโฉนดท่ีดิน
5. กำรจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในอสังหำริมทรัพย์นัน ้ ตำมปกติจะต้องจดทะเบียนในท้องท่ีซ่ึงมี
ท่ีดินแปลงนัน ้ ตัง้อยู่ แต่อำจจะจดทะเบียนต่ำงท้องท่ีก็ได้ ถ้ำกำรจดทะเบียนนัน ้ ไม่มีกำรประกำศก่อน
จดทะเบียนหรือไม่มีกำรรังวัดก่อนจดทะเบียน
6. กำรจดทะเบี ย นสิ ท ธิ แ ละนิ ติ ก รรมในอสั ง หำริ ม ทรั พ ย์ ถ้ ำ ทำำ ไปโดยคลำดเคล่ ือ นหรื อ ไม่ ช อบด้ ว ย
กฎหมำยก็อำจจะถูกแก้ไขหรือเพิกถอนได้
7. กำรจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในอสังหำริมทรัพย์ อำจถูกระงับชัว่ ครำวเม่ ือมีบุค คลใดมำย่ น ื ขอ
อำยัดท่ีดินแปลงนัน ้ ไว้และพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ท
ี ่ีรับอำยัดไว้แล้ว
13.1 หลักเกณฑ์ทั่วไปในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
1. กำรจดทะเบียนอสังหำริมทรัพย์มีทัง้กำรจดทะเบียนสิทธิ เช่น จดทะเบียนมรดกและกำรจดทะเบียน
นิติกรรม เช่นจดทะเบียนสัญญำซ้ือขำยท่ีดิน
2. ตำมปกติสถำนท่ีสำำหรับกำรจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเก่ียวกับอสังหำริมทรัพย์ คือสำำนักงำนท่ีดิน
จังหวัด และสำำนักงำนท่ีดินสำขำ ซ่ึงทุกจังหวัดจะมีสำำนักงำนท่ีดินจังหวัดตัง้อยู่จังหวัดละ 1 แห่ง แต่
บำงจั ง หวั ด มี ง ำนจดทะเบี ย นมำกก็ จ ะมี สำำ นั ก งำนท่ีดิ น สำขำตั ง้ ขึ้น เพ่ ือ เป็ น กำรแบ่ ง เบำภำระของ
สำำนักงำนท่ีดินจังหวัด
3. ก่อนท่ีจะจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม พนักงำนเจ้ำหน้ำท่ีจะสำมำรถสอบสวนคู่กรณีหรือเรียกให้
บุคคลอ่ ืนมำให้ถ้อยคำำเพ่ ือท่ีจะให้กำรจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในท่ีดินเป็ นไปโดยถูกต้องและไม่
ผิดพลำด
4. ถ้ำปรำกฏต่อพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ีว่ำ นิติกรรมท่ีคู่กรณีนำำ มำจดทะเบียนเป็ น โมฆะกรรม ก็ไม่ต้องจด
ทะเบียนให้เลย
5. ถ้ำปรำกฏแก่พนักงำนเจ้ำท่ีว่ำนิติกรรมท่ีคู่กรณีนำำมำจดทะเบียนเป็ นโมฆะกรรม พนักงำนเจ้ำหน้ำท่ี
สำมำรถรับจดทะเบียนได้ ถ้ำคู่กรณีท่ีอำจเสียหำยยืนยันให้จดทะเบียน
6. ตำมปกติกำรจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในอสังหำริมทรัพย์ คู่กรณีต้องมำทัง้สองฝ่ ำย แต่มีบำง
กรณีท่ีกฎหมำยกำำ หนดให้มำย่ น ื ของจดทะเบียนได้ฝ่ำยเดียว เช่น กำรจดทะเบียนมรดกและกำรจด
ทะเบียนกำรได้มำโดยกำรครอบครองปรปั กษ์ เป็ นต้น
7. ตำมปกติค่ำธรรมเนียมในกำรจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมท่ีมีทุนทรัพย์ ให้เรียกเก็บร้อยละ 2 ของ
รำคำประเมินทุนทรัพย์
13.1.1ประวั ติ ค วามเป็ นมาแ ละปร ะเ ภท ของการ จด ทะเบี ย นสิ ทธิ แล ะนิ ติ กร ร มเ กี่ ย ว กั บ
อสังหาริมทรัพย์
กำรจดทะเบียนสิทธิ และกำรจดทะเบียนนิติกรรมในอสังหำริมทรัพย์ คืออะไร อธิบำย
13.1.3 อำา นาจและหน้ า ท่ีข องพนั ก งานเจ้ า หน้ าท่ีใ นการจดทะเบี ย นสิ ท ธิ และนิ ติ ก รรมใน
อสังหาริมทรัพย์
ถ้ำพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ีว่ำนิติกรรมท่ีเก่ียวกับท่ีดินท่ีคู่กรณีนำำมำจดทะเบียนเป็ นโมฆียกรรม พนัก งำน
เจ้ำหน้ำท่ีจะรับจดทะเบียนให้ได้หรือไม่ เพรำะเหตุใด
ถ้ ำ พนั ก งำนเจ้ ำ หน้ ำ ท่ีเ ห็ น ว่ ำ นิ ติ ก รรม ท่ีเ ก่ีย วกั บ ท่ีดิ น ท่ีคู่ ก รณี นำำ มำจดทะเบี ย นเป็ น โมฆี ย ะกรรม
พนักงำนเจ้ำหน้ำท่ีอำจจะรับจดทะเบียนให้ก็ได้ เม่ ือคู่กรณีอีกฝ่ ำยท่ีอำจเสียหำยยืนยันให้จดทะเบียน
ผู้เยำว์จะมำจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเก่ียวกับท่ีดินจะทำำได้หรือไม่ ถ้ำทำำได้จะทำำได้โดยวิธี กำรใด
ผู้ เ ยำว์ จ ะมำจดทะเบี ย นสิ ท ธิแ ละนิติ ก รรมเก่ีย วกั บ ท่ีดิ น ผู้ เ ยำว์ จ ะมำขอจดทะเบี ย นโดยลำำ พั ง ไม่ ไ ด้
นิติกรรมจะเป็ นโมฆียะ แม้วำ่ คู่กรณีอีกฝ่ ำยหน่ึงจะยืนยันให้จดทะเบียน พนักงำนเจ้ำหน้ำท่ีก็จะไม่จดทะเบียนให้ ผู้
เยำว์จะจดทะเบียนได้ก็ต่อเม่ ือผู้ใช้อำำนำจปกครองคือบิดำมำรดำของผู้เยำว์ทัง้สองคน (ถ้ำยังมีชีวิตอยู่ทัง้คู่) ย่ น ื คำำ
ของร่วมกันแสดงตัวเป็ นผู้ใช้อำำนำจปกครองเพ่ ือทำำนิติกรรมแทนผู้เยำว์ (คำำสัง่กรมท่ีดินท่ี 8/2489 ลงวันท่ี 26
ธันวำคม 2489 และหนังสือกรมท่ีดิน ม.ท. 0612/1/ว 41051 ลงวันท่ี 29 พฤศจิกำยน พ.ศ. 2519)
13.1.5 ค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในอสังหาริมทรัพย์
ค่ำธรรมเนียมในกำรจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในอสังหำริมทรัพย์ชนิดท่ีมีทุน ทรัพ ย์ต้อ งเสีย ใน
อัตรำเท่ำไร
ค่ำธรรมเนียมในกำรจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในอสังหำริมทรัพย์ ถ้ำเป็ นกำรจดทะเบียนชนิดท่ีมี
ทุนทรัพย์ เช่น ขำย ขำยฝำก แลกเปล่ียน ให้ โอน ชำำระหนี จ ้ ำำ นองโอนมรดกต้
2 ของรำคำประเมิ
องเสียร้อยละน
ทุนทรัพย์แต่มีข้อยกเว้นคือ
13.2 ประเภทของการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในอสังหาริมทรัพย์
1. ท่ีดิน มีโ ฉนดท่ีดิ น เม่ ือ ถูก ครอบครองปรปั กษ์ ครบ 10 ปี แล้ว ตำม ป.พ.พ. มำตรำ 1382 แล้ ว ผู้
ครอบครองปรปั กษ์มีกรรมสิทธิใ์นท่ีดินนัน ้ ทันที แต่ถ้ำยังไม่ได้จดทะเบียนกำรได้มำโดยกำรครอบ
ครองปรปั กษ์จะเปล่ียนแปลงทะเบียนไม่ได้
2. ผู้ได้มำโดยกำรครอบครองปรปั กษ์จะต้องดำำเนินกำรทำงศำลให้ศำลมีคำำพิพำกษำว่ำตนมีกรรมสิทธิใ์น
ท่ีดินโดยกำรครองครองแล้ว จึงจะมีสิทธินำำ เอำคำำ พิพำกษำมำแสดงต่อเจ้ำพนักงำนท่ีดิน เพ่ ือให้เจ้ำ
พนักงำนใส่ช่ือตนลงในโฉนดได้
3. กำรย่ ืน คำำ ขอจดทะเบี ย นกำรได้ ม ำโดยทำงมรดกในอสั ง หำริ ม ทรั พ ย์ พนั ก งำนเจ้ ำ หน้ ำ ท่ีจ ะรั บ จด
ทะเบียนในวันย่ น ื คำำขอไม่ได้ จะต้องประกำศให้คนมำคัดคำนก่อนภำยใน 30 วัน
4. กำรจดทะเบียนลงช่ ือผู้จัดกำรมรดกตำมคำำสัง่ศำล พนักงำนเจ้ำหน้ำท่ีดำำเนินกำรจดทะเบียนให้ได้ตำม
คำำขอโดยไม่ต้องประกำศให้คนมำคัดค้ำนก่อน
5. กำรจดทะเบียนลงช่ ือผู้จัดกำรมรดกตำมพินย ั กรรม พนักงำนเจ้ำหน้ำท่ีจะต้องประกำศให้คนมำคัดค้ำน
ก่อนภำยใน 30 วัน จะจดทะเบียนไปในทันทีไม่ได้
6. กำรจดทะเบียนซ้ือขำยอสังหำริมทรัพย์อำจมีกำรจดทะเบียนได้หลำยประเภท เช่นขำยเต็มแปลง ขำย
เฉพำะส่วน แบ่งขำย ขำยระหว่ำงจำำนอง
7. กำรจดทะเบียนทรัพยสิทธิตำม ป.พ.พ. บรรพ 4 บำงอย่ำงอำจได้มำโดยนิติกรรมเท่ำนัน ้ เช่น สิทธิ
อำศัยและสิทธิเก็บกินจะได้มำทำงอ่ น ื นอกจำกนิติกรรมเช่นทำงมรดกไม่ได้
8. สิทธิเหนือพ้ืนดินและภำระติดพัน ในอสังหำริมทรัพย์อำจจะได้มำทัง้ทำงนิติกรรม และกำรรับมรดก
ก็ได้
13.2.2 การจดทะเบียนมรดกในอสังหาริมทรัพย์
กำรจดทะเบียนมรดกในท่ีดน ิ จะจดทะเบียนได้ในท่ีดินทุกประเภทหรือไม่ เพรำะเหตุใด
กำรจดทะเบียนมรดกในท่ีดินตำมประมวลกฎหมำยท่ีดินมำตรำ 81 สำมำรถขอจดทะเบียนได้ในทุก
ประเภท ไม่ว่ำจะเป็ นท่ีดินมีโฉนดท่ีดิน หนังสือรับรองกำรทำำประโยชน์ ใบไต่สวน ส .ค. 1 ใบเหยียบย่ำำหรือท่ีดินท่ี
ไม่มีหนังสือสำำคัญแต่อย่ำงใดเลยก็ตำม
13.2.3 การจดทะเบียนผู้จัดการมรดกในหนังสือแสดงสิทธิในท่ีดิน
กำรจดทะเบียนผู้จัดกำรมรดกตำมคำำ สัง่ศำล และกำรจดทะเบียนผู้จัดกำรมรดกโดยพินัยกรรม มีวิธี
ดำำเนินกำรแตกต่ำงกันอย่ำงไร
ถ้ำเป็ นกำรจดทะเบียนผู้จัดกำรมรดกตำมคำำสัง่ศำลให้พนักงำนเจ้ำหน้ำท่ีลงช่ ือผู้จัดกำรมรดกในหนังสือ
แสดงสิทธิตำมคำำขอได้ทันทีโดยไม่ต้องประกำศให้มีคนมำคัดค้ำนเสียก่อน
ถ้ำเป็ นกรณีผู้จัดกำรมรดกโดยพินัยกรรม พนักงำนเจ้ำหน้ำท่ีจะต้องสอบสวนและตรวจหลักฐำนแล้ว
ดำำเนินกำรประกำศตำม ป. ท่ีดน ิ มำตรำ 81 วรรค 2 ให้คนทัง้หลำยมีโอกำสคัดค้ำนก่อน โดยทำำเป็ นหนังสือปิ ดไว้
ในท่ีเปิ ดเผยมีกำำ หนด 30 วัน ถ้ำไม่มีผู้ใดได้แย้งภำยใน 30 วัน พนักงำนเจ้ำหน้ำท่ีสำมำรถจดทะเบียนลงช่ ือผู้
จัดกำรมรดกโดยพินัยกรรมลงในหนังสือแสดงสิทธิในท่ีดินตำมคำำขอนัน ้ ได้
13.3 การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน
1. กำรจดทะเบีย นในโฉนดท่ีดิ น อำจเป็ น ไปทั ง้ กำรจดทะเบี ยนสิ ท ธิ เช่ น จดทะเบี ยนมรดก หรื อ จด
ทะเบียนนิติกรรม เช่น จดทะเบียนสัญญำซ้ือขำย แลกเปล่ียน หรือให้เช่ำ เกินกว่ำ 3 ปี
13.3.1 การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในที่ดินที่มีโฉนดที่ดิน
นำยแดงเป็ นเจ้ำของท่ีดน
ิ มีโฉนดท่ีดินแปลงหน่ึงอยู่จังหวัดเชียงรำย นำยแดงต้องกำรจะขำยท่ีดินแปลง
นีร้่วมกับบ้ำนท่ีปลูกอยู่ให้นำยเขียว โดยจะมำย่ ืนขอจดทะเบียนซ้ือขำยท่ีสำำ นักงำนท่ีดินจังหวัดเชียงใหม่จะทำำ ได้
หรือไม่ เพรำะเหตุใด
นำยแดงเป็ น เจ้ำของท่ีดิน ท่ีมีโฉนดท่ีดิน แปลงหน่ึงอยู่จังหวัดเชียงรำย นำยแดงต้องกำรจะขำยท่ีดิน
แปลงนีร้วมกับบ้ำนท่ีปลูกอยู่ใ ห้แก่น ำยเขียว โดยจะมำย่ ืนของจดทะเบียนซ้ือขำยท่ีดิน แปลงนีท ้ ่ีสำำ นักงำนท่ีดิน
จังหวัดเชียงใหม่สำมำรถทำำ ได้ เพรำะตำมปกติกำรจดทะเบียนซ้ือขำยท่ีดน ิ มีโฉนดท่ีดินเป็ นกำรจดทะเบียนไม่ต้องมี
กำรประกำศก่อนกำรจดทะเบียนแต่อย่ำงใด (ป.ท่ีดิน มำตรำ 72 วรรค 2)
นำยเอกจะจดทะเบียนมรดกในท่ีดินท่ีมีโฉนดท่ีดินแปลงหน่ึงท่ีตัง้อยู่ท่ีลำำ ปำง นำยเอกจะมำย่ ืนขอจด
ทะเบียนท่ีสำำนักงำนท่ีดินจังหวัดลำำพูนได้หรือไม่ เพรำะเหตุใด
นำยเอกจะมำจดทะเบียนมรดกในท่ีดินท่ีมีโฉนดท่ีดินท่ต ี ัง้อยู่ท่ีจังหวัดลำำ ปำง นำยเอกจะมำย่ น ื ขอจด
ทะเบียนท่ีสำำนักงำนท่ีดินจังหวัดลำำพูน ไม่ได้ เพรำะกำรจดทะเบียนมรดกจะต้องมีกำรประกำศให้คนมำคัดค้ำนก่อน
30 วัน ตำม ป.ท่ีดินมำตรำ 81 จึงย่ ืนต่ำงท้องท่ีไม่ได้ ต้องห้ำมตำม ป.ท่ีดน ิ มำตรำ 72 วรรค 2
13.3.2 การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำาประโยชน์
นำยสะอำดต้ อ งกำรจะขำยท่ีดิ น ท่ีมี น.ส. 3 ท่ต ี ั ง้ อยู่ ท่ีพิษ ณุ โ ลกให้น ำยกำำ ธรคู่ ก รณี จ ะมำย่ ืน ขอจด
ทะเบียนท่ีสำำนักงำนท่ีดินจังหวัดนครสวรรค์ได้หรือไม่
นำยสะอำดต้ อ งกำรจะขำยท่ีดิ น ท่ีมี น.ส. 3 ท่ต ี ั ง้ อยู่ ท่ีพิษ ณุ โ ลกให้น ำยกำำ ธรคู่ ก รณี จ ะมำย่ ืน ขอจด
ทะเบียนท่ีสำำนักงำนท่ีดินจังหวัดนครสวรรค์ไม่ได้เพรำะตำมปกติกำรจดทะเบียนท่ีดินท่ีมี น.ส. 3 ต้องประกำศให้
คนมำคัดค้ำนก่อนจดทะเบียนมีกำำหนด 30 วัน (กฎกระทรวงฉบับท่ี 35 พ.ศ. 2531)
นำยวิษณุต้องกำรจะขำยท่ีดินท่ีมี น.ส. 3 ก. ท่ีตัง้อยู่ท่ีจังหวัดนครพนมให้นำยประสิทธิค์ู่กรณีจะมำ
ย่ ืนขอจดทะเบียนท่ีสำำนักงำนท่ีดินจังหวัดสกลนครจะได้หรือไม่
นำยวิษณุต้องกำรจะขำยท่ีดินท่ีมี น.ส. 3 ก. ท่ีตัง้อยู่ทน ่ี ครพนมให้นำยประสิทธิค์ู่กรณีจะมำย่ ืนขอจด
ทะเบี ย นท่ีสำำ นั ก งำนท่ีดิ น จั ง หวั ด สกลนครได้ เพรำะกำรจดทะเบี ย นท่ีดิ น ท่ีมี น.ส. 3 ก. ไม่ จำำ เป็ น ต้ อ งมี ก ำร
ประกำศให้คนมำคัดค้ำนก่อนจดทะเบียนแต่อย่ำงได (กฎกระทรวงฉบับท่ี 35 พ.ศ. 2531)
13.3.3 การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในที่ดินที่มีใบไต่สวน
นำยทะนงเป็ นเจ้ำของท่ีดินท่ีมีใบไต่สวนแปลงหน่ึงซ่ึงตัง้อยู่จังหวัดสงขลำ นำยทะนงต้องกำรจะขำยท่ี
แปลงนีใ้ห้นำยธนูท่ีอยู่จังหวัดยะลำ คู่กรณีจะมำย่ น
ื ขอจดทะเบียนซ้ือขำยท่ีแปลงนีท ้ ่ีสำำนักงำนท่ีดินจังหวัดยะลำจะ
ทำำได้หรือไม่ เพรำะเหตุใด
นำยทะนงเป็ นเจ้ำของท่ีดินท่ีมีใบไต่สวนแปลงหน่ึงตัง้อยู่ท่ีจังหวัดสงขลำ นำยทะนงต้องกำรจะขำยท่ี
แปลงนีใ้ห้นำยธนูท่ีอยู่ท่ีจังหวัดยะลำคู่กรณีจะมำย่ ืนของจดทะเบียนซ้ือขำยท่แ ี ปลงนีท ้ ่ีสำำนักงำนท่ีดินจังหวัดยะลำ
สำมำรถทำำได้ เพรำะตำมปกติกำรซ้ือขำยท่ีดินท่ีมใี บไต่สวนไม่จำำเป็ นท่ีจะต้องมีกำรประกำศให้คนมำคัดค้ำนก่อนจด
ทะเบียน 30 วันแต่อย่ำงใด (ป.ท่ีดิน มำตรำ 72 วรรค 2 กฎกระทรวงฉบับท่ี 35/2531)
13.4 การระงับการจดทะเบียนและการเพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
1. กำรอำยัดท่ีดินเป็ นกำรให้ระงับกำรเปล่ียนแปลงทำงทะเบียนท่ีดินไว้ชัว่ระยะหน่ึง จนกว่ำจะได้วินิจฉัย
สิทธิซ่ึงกันและกัน
2. ผู้มีส่วนได้เสียอันอำจจะฟ้ องบังคับให้มีกำรจดทะเบียนหรือเปล่ียนแปลงทำงทะเบียนในท่ีดินแปลงนัน ้
ได้เท่ำนัน้ ท่ีมีสิทธิย่ืนขออำยัดได้
3. เม่ ือมีกำรย่ น
ื ขออำยัดแล้วเม่ ือเจ้ำพนักงำนท่ีดินได้สอบสวนหลักฐำนเห็นว่ำสมควรเช่ ือถือได้ก็ให้รับ
อำยัดไว้ได้มีกำำหนด 30 วัน
4. กำรอำยัดซ้ำำ คือกำรขออำยัดท่ีดินแปลงเดียวกันหลำยครัง้ในกรณีเดียวกันจะทำำไม่ได้
5. เม่ ือมีกำรจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในอสังหำริมทรัพย์โดยคลำดเคล่ ือนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมำย
อธิบดีกรมท่ีดินหรือศำลสำมำรถแก้ไขหรือเพิกถอนได้
13.4.1 การอายัดท่ีดิน
นำยวิชัยทำำสัญญำจะซ้ือท่ีดินมีโฉนดท่ีดินแปลงหน่ึงจำกนำยองอำจ โดยมีหลักฐำนเป็ นหนังสือสัญญำ
กันว่ำนำยองอำจจะไปจดทะเบียนซ้ือขำยท่ีดินแปลงนีใ้ห้นำยวิชัยในวันท่ี 10 ตุลำคม 2539 ต่อมำนำยองอำจไป
ทำำสัญญำจะขำยท่ีดน ิ แปลงนีใ้ห้นำยไพโรจน์ เช่นนี น ้ ำยวิชัยมีสิทธิขออำยัดท่ีดินแป
นำยวิชัยทำำสัญญำจะซ้ือท่ีดินท่ีมีโฉนดท่ีดินจำกนำยองอำจโดยมีหลักฐำนเป็ นหนังสือสัญญำว่ำจะไปจด
ทะเบียนซ้ือขำยกันในวันท่ี 10 ตุลำคม 2539 ต่อมำนำยองอำจไปทำำ สัญญำจะขำยท่ีดินแปลงนีใ้ห้นำยไพโรจน์
นำยวิชัยมีสิทธิมำขออำยัดท่ีดินแปลงนีไ้ว้ก่อนได้ ตำม ป.ท่ีดินมำตรำ 83 เพรำะถือว่ำนำยวิชัยผู้จะซ้ือเป็ นผู้มีส่วน
ได้ส่วนเสียในท่ีดน
ิ อันอำจจะฟ้ องร้องบังคับให้มีกำรจดทะเบียนหรือให้มีกำรเปล่ียนแปลงทำงทะเบียนให้แก่ตนได้
แบบประเมินผลการเรียนหน่วยท่ี 13
1. พนั ก งำนเจ้ ำ หน้ ำ ท่ี ท่ีก ฎหมำยท่ีดิ น กำำ หนดให้ เ ป็นผู้ ทำำ กำรจดทะเบี ย นสิ ท ธิ แ ละนิ ติ ก รรมเก่ีย วกั บ
อสังหำริม ทรัพย์ คือ เจ้ำพนักงำนท่ีดน ิ ท้องท่ท
ี ่ีดินนัน
้ ตัง้อยู่ และนำยอำำเภอท้องท่ี
2. ตำมกฎหมำยท่ด ี ิ น ปั จจุ บั น นำยอำำ เภอท้ อ งท่ียั ง เป็ น ผู้ มี ห น้ ำ ท่จี ดทะเบี ย นสิ ท ธิ แ ละนิ ติ ก รรมเก่ีย วกั บ
อสังหำริม ทรัพย์ อยู่ คือ ยังมีอำำนำจจดทะเบียนอยู่ จนกว่ำรัฐมนตรีมหำดไทยจะประกำศยกเลิกอำำ นำจ
ของนำยอำำเภอเป็ นเขตๆ ไปทัว่รำชอำณำจักร
3. ท่ด
ี ินท่ีมห
ี นังสือรับรองกำรทำำประโยชน์ กฎหมำยท่ด ี ินบังคับไว้ว่ำ กำรโอนท่ด ี ินชนิดนีต ้ ้องทำำเป็ นหนังสือ
และจดทะเบียนต่อพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ีเท่ำนัน ้ จะโอนโดยส่งมอบกำรครองครองไม่ได้
4. กำรจดทะเบียนมรดกในท่ีดิน พนักงำนเจ้ำหน้ำท่ีต้องประกำศให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียคัดค้ำน ภำยในเวลำ
30 วัน
5. กำรจดทะเบียนท่ต ี ้องมีกำรประกำศให้คนมำคัดค้ำนก่อนกำรจดทะเบียนคือ สัญญำซ้ือขำยท่ด ี ินท่ีมีโฉนด
ตรำจอง
6. กำรจดทะเบี ยนซ้ือขำยท่ด ี ิ นพร้อมบ้ำ นในท่ีดิ น มี โ ฉนดท่ด ี ิ น ไม่ต้ องมีประกำศให้คนมำคั ด ค้ำ นก่อนจด
ทะเบียน
7. กำรซ้ือขำยท่ีดินมีโฉนดท่ด ี ินเพียงคร่งึ แปลง จะต้องมีกำรรังวัดท่ด ี ินก่อนกำรจดทะเบียน
8. กำรจดทะเบียนท่ด ี ินต่ำงท้องท่ี จะทำำได้โดยอำศัยหลักเกณฑ์ กำรจดทะเบียนนัน ้ จะต้องไม่มีกำรประกำศ
ก่อนกำรจดทะเบียน และ กำรจดทะเบียนนัน ้ จะต้องไม่มีรังวัดก่อนกำรจดทะเบียน
14.1.3 วิวัฒนาการของกฎหมายปฏิรูปท่ด
ี ินในประเทศไทย
เหตุใ ดพระรำชบัญญัติกำรปฏิรูปท่ีดิน เพ่ ือเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 จึงมีกำรแก้ไขค่อนข้ำงเร็วมำก
กล่ำวคือแก้ไขในปี พ.ศ. 2519 ทัง้ท่ีกฎหมำยมีผลบังคับใช้ไม่ถึง 1 ปี
กฎหมำยปฏิรูปท่ีดิน เพ่ ือกำรเกษตรมีบทบัญญัติท่ีไม่รัดกุมและเหมำะสมทำำ ให้เ ป็ น อุป สรรคต่ อกำร
ดำำเนินกำรปฏิรูปท่ีดินอยู่หลำยประกำร
อธิบำยเหตุผล และสำระสำำ คัญของกำรแก้ไขกฎหมำยปฏิรูปท่ีดินเพ่ ือเกษตรกรรมในครัง้ท่ีสองโดย
สังเขป
เหตุผลในกำรแก้ไขเพ่ิมเติมกฎหมำยปฏิรูปท่ีดินเพ่ ือกำรเกษตรในครัง้ท่ีสอง เน่ ืองจำกยังคงมีอุปสรรค
ท่ท
ี ำำให้ไม่อำจดำำเนินกำรไปโดยเหมำะสมตำมควร และสมควรขยำยขอบเขตกำรจัดกำรปฏิรูปท่ีดินให้กว้ำงขวำงขึ้น
ให้ สำมำรถช่ วยเหลือ ผู้ ประสงค์ จ ะเป็ น เกษตรกรได้ ตลอดจนกำรจั ดท่ีดิน เพ่ ือให้ กำรดำำ เนิน งำนครงวงจรภำค
เกษตรกรรม
14.2.3 คณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินจังหวัด
ให้อธิบำยอำำนำจหน้ำท่ีและควำมรับผิดชอบของคณะกรรมกำรปฏิรูปท่ีดินจังหวัดพอสังเขป
อำำนำจหน้ำท่ีหลักของคณะกรรมกำรปฏิรูปท่ีดินจังหวัดคือ กำรกำำหนดมำตรกำรและวิธีกำรปฏิบัติงำน
ของสำำ นั ก งำนกำรปฏิ รู ป ท่ีดิ น จั ง หวั ด และยั ง มี อำำ นำจหน้ ำท่ีใ นกำรพิ จ ำรณำให้ ค วำมเห็น ชอบในเร่ ือ งต่ ำ งๆ ท่ี
สำำนักงำนกำรปฏิรูปท่ีดินจังหวัดเสนอติดตำมกำรปฏิบัติงำนของ ส.ป.ก. จังหวัดพิจำรณำผลกำรปฏิบัติงำน จัดทำำ
งบประมำณค่ำใช้จ่ำยดำำเนินกำรเก่ียวกับกำรเงินและกิจกำรอ่ น ื ๆ ในกำรปฏิรูปท่ีดินเพ่ ือเกษตรกรรม ตลอดจนวำง
ระเบียบหรือข้อบังคับเก่ียวกับกำรปฏิบัติงำนของ ส.ป.ก. จังหวัด
14.2.4 สำานักงานคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินจังหวัด
ให้อธิบำยอำำนำจหน้ำท่ีของสำำนักงำนปฏิรูปท่ีดินจังหวัด เก่ียวกับกำรปฏิรูปท่ีดินเพ่ ือเกษตรกรรม
ส.ป.ก. จังหวัดมีอำำ นำจหน้ำท่ีใ นกำรดำำ เนิ น กำรปฏิรู ปท่ีดิน เพ่ ือเกษตรกรรม ตำมท่ีค ณะกรรมกำร
ปฏิรูปท่ีดินเพ่ ือเกษตรกรรม และคณะกรรมกำรปฏิรูปท่ีดินจังหวัดกำำหนด
14.2.6 คณะกรรมการกำาหนดเงินค่าตอบแทนและคณะกรรมการอุทธรณ์
อธิบำยขัน
้ ตอนกำรดำำเนินงำนของคณะกรรมกำรกำำหนดเงินทดแทนและคณะกรรมกำรอุทธรณ์ ซ่ึงมี
ควำมหมำยเก่ียวข้องกัน ในฐำนะท่ีเป็ นองค์กรเสริมเพ่ ือกำรปฏิรูปท่ีดินเพ่ ือเกษตรกรรม
คระกรรมกำรกำำหนดเงินทดแทน จะมีหน้ำท่ีกำำ หนดเงินทดแทนจำกกำรเวนคืนท่ีดินของเอกชนโดย
พิ จำรณำปั จจั ยหลำยประกำร เช่น ทำำ เลท่ีตั ง้ของท่ีดิน ควำมสมบูร ณ์ข องท่ีดิน ซ่ึง หำกเจ้ำ ของท่ีดิน ท่ีไ ด้ รั บ แจ้ ง
จำำนวนเงินค่ำทดแทน จำกคณะกรรมกำรกำำหนดเงินทดแทนแล้วไม่เห็นชอบด้วยกับจำำนวนเงินทดแทน ก็มีสิทธิ
อุทธรณ์จำำนวนเงินค่ำทดแทนต่อคณะกรรมกำรอุทธรณ์ได้
14.3.1 การกำาหนดเขตปฏิรูปท่ด
ี ิน
ให้อธิบำยขัน
้ ตอนกำรกำำหนดเขตปฏิรูปท่ีดินพอสังเขป
ขัน
้ ตอนกำรกำำหนดเขตปฏิรูปท่ีดิน จะเร่ิมจำกกำรพิจำรณำควำมเหมำะสมของพ้ืนท่ีท่ีจะใช้ในกำรปฏิรูป
ท่ีดินโดยพิจำรณำจำกเกณฑ์ในกำรจัดอันดับควำมสำำคัญก่อนหลัง จำกนัน ้ จึงเสนอคณะกรรมกำรปฏิรูปท่ีดินเพ่ ือ
เกษตรกรรม หลังจำกคณะกรรมกำรฯ อนุมต ั ิแล้ว ส.ป.ก. จะจัดทำำแผนท่ีเพ่ ือใช้แนบท้ำยพระรำชกฤษฎีกำจำกนัน
้
จึงส่งร่ำงไปยังสำำนักเลขำธิกำรคณะรัฐมนตรี เพ่ ือเสนอรัฐมนตรีให้ควำมเห็นชอบ เม่ ือคณะรัฐมนตรีให้ควำมเห็น
ชอบแล้วก็จะนำำ ทูลเกล้ำฯ ถวำยพระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัวฯ เพ่ ือทรงลงพระปรมำภิไธยประกำศในรำชกิจ จำ
นุเบกษำ
14.3.2 ท่ีดินท่ีนำามาใช้ในการปฏิรูปท่ีดิน
เหตุใ ดท่ีดิน ของรั ฐ บำงประเภท เม่ ือนำำ มำใช้ใ นกำรปฏิ รูป ท่ีดิ น เพ่ ือ เกษตรกรรมแล้ว ไม่จำำ เป็ น ต้อ ง
ดำำเนินกำรถอนสภำพตำมกฎหมำยนัน ้ ๆ
เน่ ืองจำกกฎหมำยปฏิรูปท่ีดินเพ่ ือเกษตรกรรม มีบทบัญญัติท่ีมีผลในกำรถอนสภำพกำรเป็ นสำธำรณะ
สมบัติข องแผ่น ดิน โดยกฎหมำยฉบับนี ซ ้ ่ึงไม่จำำ เป็ นต้องดำำ เนิน กำรถอนสภำพตำมกฎหมำยของท่ีดินในส่วนท่ี
เก่ียวข้องนัน
้ ๆอีก
อธิบำยขัน ้ ตอนกำรย่ น ื คำำร้องขอต่อพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ี ในกรณีของเอกชนประสงค์จะขอมีสิทธิในท่ีดิน
ของตนเกินกว่ำจำำนวนท่ีกฎหมำยกำำหนดต่อไป
เจ้ำ ของท่ีดิน จะต้อ งย่ น
ื คำำ ร้อ งต่อพนัก งำนเจ้ ำหน้ำ ท่ี พร้อ มแสดงหลัก ฐำนว่ำ ตนได้ป ระกอบเกษตร
กรรมด้วยตนเองเกินกว่ำจำำนวนท่ีกฎหมำยกำำหนดมำแล้วไม่ต่ำำกว่ำ 1 ปี ก่อนท่ีกฎหมำยปฏิรูปท่ีดินจะมีผลบังคับ
ใช้ และต้องแสดงได้ว่ำตนมีควำมสำมำรถและมีปัจจัยท่ีจะทำำท่ีดินนัน ้ ให้เป็ นประโยชน์ทำงเกษตรกรรมได้ จำกนัน้
พนักงำนเจ้ำหน้ำท่ีจะสอบสวนตำมคำำ ร้องและเสนอคณะกรรมกำรปฏิรูปท่ีดินเพ่ ือเกษตรกรรมเพ่ ืออนุญำตให้ผู้
ร้องขอมีสิทธิในท่ีดินของตนต่อไป
14.3.3 การดำาเนินการปฏิรูปที่ดินของพนักงานเจ้าหน้าที่
อธิบำยอำำนำจหน้ำท่ีของพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ีในกำรดำำเนินกำรปฏิรูปท่ีดินพอสังเขป
อำำ นำจหน้ำท่ีในกำรดำำ เนินกำรปฏิรูปท่ีดิน ของพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ีโดยหลักแล้ว จะเป็ น กำรเข้ำไปใน
ท่ีดินท่ีอยู่ในเขตปฏิรูปท่ีดินซ่ึงมีพระรำชกฤษฎีกำกำำหนดเขตปฏิรูปท่ีดินในพ้ืนท่ีแล้ว เพ่ ือกำรสำำรวจรังวัด กำรทำำ
เคร่ ืองหมำยขอบเขตหรือแนวเขตโดยปั กหลักหรือขุดร่องแนว หรืออำจสร้ำงหมุดหลักฐำนกำรแผนท่ีด้วยก็ได้
14.3.5 การจัดท่ีดินให้เกษตรกร
อธิบำยหลักเกณฑ์และขนำดของท่ีดินท่ี ส.ป.ก. จัดให้เกษตรกรและผู้เก่ียวข้องพอเป็ นสังเขป
กำรจัดท่ีดินให้เกษตรกรตำมปกติ ส.ป.ก. จะจัดให้เกษตรกรและบุคคลในครอบครัวเดียวกันมีสิทธิถือ
ครองท่ีดินได้ไม่เกิน 50 ไร่ สำำ หรับประกอบเกษตรกรรม และหำกเป็ นกำรประกอบเกษตรกรรมเลีย ้ งสัตว์ใหญ่
สำมำรถถือ ครองท่ีดิน ได้ ไม่ เกิ น 100 ไร่ และหำกเกษตรกรถือ ครองท่ีดิ น ของรั ฐบำลก่อ นกำำ หนดเวลำท่ีคณะ
กรรมกำรปฏิรูปท่ีดินเพ่ ือเกษตรกรรมกำำหนด เกษตรกรจะได้รับท่ีดินไม่เกิน 100 ไร่ แต่เกษตรกรอำจถือครอง
ท่ีดินได้เกินกำำหนด 1 เท่ำตัว หำกแสดงได้ว่ำตนมีควำมสำมำรถและมีปัจจัยท่ีจะทำำท่ีดินท่ขี อเพ่ิมให้เป็ นประโยชน์
ในทำงเกษตรกรรมได้
นอกจำกนี ส ้ .ป.ก. สำมำรถจัดท่ีดินให้แก่สถำบันเกษตรกรได้ตำมจำำนวนท่ีคณะกรรมกำรปฏิรูปท่ีดิน
เพ่ ือเกษตรกรรมเห็นสมควร และ ส.ป.ก. ยังสำมำรถจัดท่ีดินให้แก่ผู้ประกอบกิจกำรอ่ ืนท่ีเป็ นกำรสนับสนุนหรือ
เก่ียวเน่ ืองกับกำรปฏิรูปท่ีดินเพ่ ือเกษตรกรรมได้อีกไม่เกิน 50 ไร่
แบบประเมินผลการเรียนหน่วยท่ี 14
5. ส.ป.ก. อำจใช้ วิ ธี ก ำรในขั น ้ ตอนปกติ ท ส ่ี ำมำรถดำำ เนิ น กำรปฏิ รู ป ท่ด ี ิ น เพ่ ือ เกษตรกรรมโดยไม่ ต้ อ ง
ประกำศเป็ นเขตปฏิรูปท่ีดิน คือ กำรจัดซ้ือท่ด ี ินเพ่ิมจำกเจ้ำของท่ีได้ขำยท่ด ี ินทัง้แปลง
6. กฎหมำยปฏิรูปท่ด ี ินเพ่ ือเกษตรกรรม กำำหนดให้ ส.ป.ก. มีอำำนำจเวนคืนอสังหำริมทรัพย์ได้ องค์กรท่ี
ทำำหน้ำท่ดี ูแลเก่ียวกับดำำเนินกำรเวนคืนอสังหำริมทรัพย์เพ่ ือให้เกิดควำมเป็ นธรรมแก่สังคม คือ คณะ
กรรมกำรกำำหนดเงินค่ำทำำแทน
7. ขัน
้ ตอนกำรดำำเนินกำรเพ่ ือกำรปฏิรูปท่ด ี ินของ ส .ป.ก. คือ พิจำรณำควำมเหมำะสมของเขตพ้ืนท่ีทจ่ี ะใช้
ในกำรปฏิรูปท่ีดินเพ่ ือเกษตรกรรม
8. นับตัง้แต่เวลำ 1 ปี ท่ีพระรำชกฤษฎีกำกำำ หนดเขตปฏิรูปท่ด ี ินใช้บังคับ กฎหมำยบัญญัติห้ำมมิให้ผู้ใด
จำำหน่ำยด้วยประกำรใดๆ หรือก่อให้เกิดภำระติดพันใดๆ ซ่ ึงท่ีดินในเขตปฏิรูปท่ีดิน
9. กำรถอนสภำพสำธำรณะสมบัติของแผ่น ดิน สำำ หรั บสำำ หรับพลเมื องใช้ ร่ว มกั น ใช้บังคั บตำมกฎหมำย
ปฏิรูปท่ีดินเพ่ ือเกษตรกรรม
10. ตำมปกติ เ กษตรกรและบุ ค คลในครอบครั ว เดี ย วกั น มี สิ ท ธิ ถื อ ครองท่ด ี ิ น จำกกำรปฏิ รู ป ท่ีดิ น เพ่ ือ
เกษตรกรรมได้ไม่เกิน 50 ไร่
11. กำรปฏิรูปท่ีดินเพ่ ือกำรเกษตร คือควำมหมำยของ กำรปฏิรูปท่ีดิน
12. ผู้เสนอควำมคิดในกำรจัดระบบกำรถือครองท่ด ี ินในสมุดปกเหลือง โดยมีเน้ือหำเก่ียวกับกำรจัดระบบ
กำรถือครองท่ด ี ิน และได้ถูกต่อต้ำนอย่ำงมำกโดยถูกมองว่ำเป็ นระบบคอมมิวนิสต์ คือ นำยปรีดี พนม
ยงค์
13. กำรแก้ไขกฎหมำยปฏิรูปท่ด ี ินท่ีมีผลบังคับใช้ในปั จจุบัน มีกำรนำำท่ีดินเขตป่ ำสงวน มำเพ่ิมเติมเพ่ ือใช้ใน
กำรปฏิรูปท่ีดินเพ่ ือเกษตรกรรม
14. กำรเวนคืน ไม่ใช่ขัน ้ ตอนในกำรทำำงำนเบ้ืองต้นของ ส.ป.ก.
15. ส.ป.ก. เร่ิมมีเงินประเดิมของกองทุนกำรปฏิรูปท่ีดินเพ่ ือกำรเกษตรกรรมเม่ ือปี พ.ศ. 2520
16. คณะกรรมกำรอุทธรณ์ มีอำำนำจวินิจฉัยเร่ ืองรำวกรณีท่ีเจ้ำของท่ด ี ินหรืออสังหำริมทรัพย์ไม่พอใจเก่ียว
กับสิทธิท่ีจะได้เงินค่ำตอบแทนกรณีอสังหำริมทรัพย์ถูกเวนคืน
17. เหตุผลสำำ คัญท่ีมีกำรกำำ หนดเขตท่ีดินในเขตตำำ บลหรืออำำ เภอเป็ น เขตปฏิรูปท่ีดิน โดยจะต้องหมำยถึง
เฉพำะท่ีตัง้อยู่นอกเขตเทศบำลและสุขำภิบำลคือ เป็ นเขตท่ีมีระดับกำรพัฒนำท่ีมักอยู่ในระดับต่ำำกว่ำเขต
เมือง
18. จำำ นวนท่ีดินท่ีสูงท่ีสุดท่ีคณะกรรมกำรปฏิรูปท่ด ี ินเพ่ ือเกษตรกรรม จะพิจำรณำอนุญำตให้เกษตรกรมี
สิทธิในท่ีดินเกินกำำหนดได้ 200 ไร่
19. กำรเพิ กถอนสำธำรณะสมบั ติ ข องแผ่ น ดิ น สำำ หรั บใช้ ประโยชน์ ข องแผ่ น ดิ นหรื อรำชพั สดุ โดยไม่ต้ อง
ดำำเนินกำรครองสภำพท่ีดินดังกล่ำวตำมกฎหมำยว่ำด้วยท่ีรำชพัสดุ สำมำรถทำำได้โดย พระรำชกฤษฎีกำ
กำำหนดเขตปฏิรูปท่ีดิน
20. ในกำรเวนคืนท่ด ี ินของเอกชนเพ่ ือนำำมำใช้ในเขตปฏิรูปท่ด ี ิน หำก ส .ป.ก. ได้ดำำเนินกำรไปตำมขัน ้ ตอน
ของกฎหมำยแล้ว ทำำให้กฎหมำยมีผลบังคับมิให้ผู้ถูกเวนคืนทำำกำรจำำหน่ำยหรือก่อให้เกิดภำระติดพัน
ใดๆ ในท่ีดินของตน ท่ี ส.ป.ก. จะนำำมำใช้ในกำรปฏิรูปท่ีดินจะมีผล เป็ นโมฆะ
หน่วยท่ี 15 กรรมสิทธิใ์นอาคารชุด
1. กรรมสิทธิใ์นอำคำรชุด เป็ นรูปแบบกำรถือกรรมสิทธิโ์ดยผู้ถือหลำยคนอย่ำงหน่ึง แต่มีลักษณะเฉพำะท่ี
มุ่ ง ใช้ กั บ กำรถื อ กรรมสิ ท ธิ ใ์ นอำคำรสู ง โดยกำำ หนดให้ เ จ้ ำ ของร่ ว มแต่ ล ะบุ ค คลสำมำรถแยกกำรถื อ
กรรมสิทธิอ์อกจำกกันเป็ นสัดส่วนได้ ซ่ึงในต่ำงประเทศมีมำเป็ น เวลำนำนแล้ว แต่ในประเทศไทยเพ่ิง
บัญญัติเป็ นกฎหมำยเฉพำะเม่ ือ พ.ศ. 2522
2. กรรมสิทธิใ์นอำคำรชุดจำำแนกออกเป็ น 2 ส่วนคือ กรรมสิทธิใ์นทรัพย์ส่วนบุคคล และกรรมสิทธิร์่วมใน
ทรัพย์ ส่ ว นกลำง กำรถื อ กรรมสิ ท ธิ ร์่ ว มทั ง้ 2 ส่ว นส่ วนนี ต ้ ้อ งควบคู่ กั น เสมอ อำคำรพร้ อ มท่ีดิ น ใดท่ี
เจ้ำของประสงค์จ ะให้อยู่ภ ำยใต้กรรมสิ ทธิ ใ์ นอำคำรชุ ด จะต้อ งจดทะเบีย นเป็ น อำคำรชุด และอำจเลิก
อำคำรชุดได้โดยสมัครใจ หรือโดยสภำพบังคับตำมกฎหมำย
3. กรรมสิทธิใ์นอำคำรชุด เป็ นกำรจัดรูปแบบกำรถือกรรมสิทธิใ์นกำรอยู่ร่วมกัน ฉะนัน ้ เจ้ำของร่วมจึงต้องมี
สิทธิและหน้ำท่ีในกำรปฏิบัติต่อกัน ทัง้ตำมกฎหมำยอำคำรชุด และตำมกฎหมำยแพ่ง ทัง้นีเ้พ่ ือควำมสงบ
เรียบร้อยในกำรอยูร่ ่วมกัน
15.1 ความหมาย ความเป็ นมา และลักษณะทั่วไปของกรรมสิทธิใ์นอาคารชุด
1. กรรมสิทธิใ์นอำคำรชุด เป็ นกำรจัดรูปแบบกำรถือกรรมสิทธิใ์นอำคำรและท่ีดินขึ้นใหม่ โดยให้เจ้ำของ
ร่วมแต่ละคนสำมำรถแยกกำรถือกรรมสิทธิอ์อกจำกกันเป็ นสัดส่วนได้ ซ่ึงในต่ำงประเทศมีมำเป็ นเวลำ
นำนแล้ว แต่ในประเทศไทยเพ่ิงบัญญัติเป็ นกฎหมำยเฉพำะคือ พระรำชบัญญัติอำคำรชุด พ.ศ. 2522
2. กรรมสิ ท ธิ ใ์ นอำคำรชุ ด เป็ น รู ป แบบกำรถื อ กรรมสิ ท ธิ โ์ ดยผู้ ถื อ หลำยคนอย่ ำ งหน่ึง ต่ ำ งไปจำก
กรรมสิทธิร์วมตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ อำคำรชุดเปรียบเสมือนกำรนำำบ้ำนหลำยๆหลัง
มำซ้อนอยู่ร่วมกันในอำคำรและท่ีดินเดียวกัน จึงต้องจัดรูปแบบกำรถือกรรมสิทธิใ์ห้มีทัง้กรรมสิทธิใ์น
ทรัพย์ส่วนบุคคล และกรรมสิทธิร์่วมในทรัพย์ส่วนกลำง ต่ำงไปจำกกำรถือกรรมสิทธิใ์นอำคำรบ้ำน
อำคำรแถว สหกรณ์อำคำรชุด และบริษัทอำคำรชุด
15.1.1 ความหมายและความเป็ นมาของกรรมสิทธิใ์นอาคารชุด
จงสรุปควำมหมำยของคำำว่ำอำคำรชุด
คำำ ว่ำ “อำคำรชุด” หมำยถึงรูปแบบของกำรจัดกำรถือกรรมสิทธิใ์นอสังหำริมทรัพย์ท่ีมีอำคำรพร้อม
ท่ีดินเป็ นทรัพย์สินท่ีสำำคัญ โดยเจ้ำของร่วมแต่ละคนสำมำรถแยกกำรถือกรรมสิทธิอ์อกเป็ นส่วนๆได้ ทัง้นีแ ้ ต่ละ
ส่วนต้องประกอบด้วยกรรมสิทธิร์่วมในทรัพย์ส่วนกลำง
ในยุโรปได้มีบทบัญญัตใิ นเร่ ืองกรรมสิทธิร์วมในอำคำรไว้โดยเฉพำะตัง้แต่เม่ ือใด และได้มีกำรพัฒนำรูป
แบบกำรถือกรรมสิทธิจ์นเป็ นหลักกรรมสิทธิใ์นอำคำรชุดดังเช่นในปั จจุบันตัง้แต่เม่ ือใด อธิบำยเหตุผลโดยสังเขป
ในยุโรปได้มีบทบัญญัติกฎหมำยเร่ ืองกรรมสิทธิร์วมในอำคำรชุดไว้โดยเฉพำะและถือปฏิบัติกันมำตัง้แต่
สมัยกลำง (Middle Age) ทัง้นีเ้พรำะเมืองสำำคัญๆ ของยุโรปในสมัยนัน ้ คับแคบไม่สำมำรถขยำยขอบเขตออกไป
ได้ ทำำให้ประชำชนอยู่รวมกันอย่ำงหนำแน่น หรือมิฉะนัน ้ ก็เกิดจำกกรณีท่ีบ้ำนเมืองถูกทำำลำยโดยอัคคีภัยหรือภัย
ธรรมชำติ เม่ ือมีกำรก่อสร้ำงใหม่จึงมักนิยมก่อสร้ำงบ้ำนพักอำศัยร่วมกัน โดยเข้ำ เป็ น เจ้ ำของกรรมสิ ทธิ ร์วมใน
อำคำรท่ีก่อสร้ำงขึ้น
อย่ำงไรก็ดี หลักกรรมสิทธิร์วมในอำคำรท่ใี ช้กันอยู่เดิมในสมัยกลำงนัน ้ ยังไม่มีหลักเกณฑ์ท่ีครอบคลุม
และชัดเจนเพียงพอ เม่ ือควำมนิยมในเร่ ืองกรรมสิทธิร์วมในอำคำรเพ่ิมขึ้นอย่ำงรวดเร็วในช่วงต้นศตวรรษท่ี 20
ซ่ึง ส่ ง ผลให้ เ กิ ด ปั ญหำในทำงปฏิ บั ติ รุน แรงย่ิงขึ้ น จึ ง ได้ มี ก ำรแก้ ไ ขตั ว บทกฎหมำย และพั ฒ นำรู ป แบบกำรถื อ
กรรมสิทธิ จ์นเป็ นกรรมสิทธิใ์นอำคำรชุดเช่นในปั จจุบัน
อธิบำยเหตุผลของกำรบัญญัติกฎหมำยอำคำรชุดขึ้นเป็ นกฎหมำยเฉพำะในประเทศไทย โดยสังเขป
เหตุผลของกำรบัญญัติกฎหมำยเฉพำะในประเทศไทยนัน ้ เน่ ืองมำจำกภำวกำรณ์ขำดแคลนท่อ ี ยู่อำศัย
ในเมืองเพรำะอัตรำควำมเจริญของเมือง ทัง้ในเมืองหลวงและภูมิภำคเพ่ิมขึ้นอย่ำงรวดเร็วทำำให้เกิดปั ญหำควำม
ขำดแคลนท่ีดินเพ่ ือกำรอยู่อำศัยในเมือง กำรท่ีจะขยำยมืองออกไปในทำงรำบก็เกิดปั ญหำด้ำนสำธำรณูปโภคและ
สำธำรณูปกำร กำรสิน ้ เปลืองพลังงำน กำรสูญเสียท่ีดินในภำคเกษตรกรรมตลอดจนดุลยภำพในส่ิงแวดล้อม ด้วย
เหตุดังกล่ำว จึงจำำ เป็ นต้องขยำยเมืองไปในทำงสูง ซ่ึงได้แก่กำรเพ่ิมท่ีอยู่อำศัยในอำคำรสูงนัน ่ เอง แต่ก็ประสบ
ปั ญหำทำงกฎหมำย เพรำะหลักกรรมสิทธิใ์นอสังหำริมทรัพย์ ตำม ป.พ.พ. ไม่อำจตอบสนองควำมต้องกำรของ
ประชำชนซ่ึงต้องอยู่อำศัยในอำคำรเดียวกัน โดยร่วมกันมีกรรมสิทธิใ์นอำคำรนัน ้ แยกจำกกันเป็ นสัดส่วนได้ จึงได้
นำำหลักกรรมสิทธิใ์นอำคำรชุดท่ใี ช้กันอยู่ในต่ำงประเทศมำใช้ในประเทศไทยโดยตรำเป็ นกฎหมำยเฉพำะขึ้น คือ
พระรำชบัญญัติอำคำรชุด พ.ศ. 2522
15.1.2 ลักษณะทั่วไปของกรรมสิทธิใ์นอาคารชุด
อธิบำยควำมแตกต่ำงระหว่ำงกรรมสิทธิใ์นอำคำรชุดกับกรรมสิทธิต์ำม ป.พ.พ. มำโดยสังเขป
กรรมสิทธิใ์นอำคำรชุด กับกรรมสิทธิต์ำม ป.พ.พ. แตกต่ำงกันในประเด็นสำำคัญๆ ดังต่อไปนี้
(1) ลั กษณะของกฎหมำย กรรมสิ ท ธิ ต์ ำม ป.พ.พ. เป็ น กฎหมำยทั ว่ ไปซ่ึง ใช้ บั ง คั บ กั บ
ทรัพย์สินทัว่ไปทัง้สังหำริมทรัพย์และอสังหำริมทรัพย์ แต่กรรมสิทธิใ์นอำคำรชุดเป็ น
กฎหมำยพิเศษซ่ึงมุ่งเน้นกรรมสิทธิใ์นอำคำรและท่ีดินเป็ นสำำคัญ
(2) กำรก่อตัง้กรรมสิทธิ ท ์ .พ.พ.
รัพย์สินโดยทัว่ไปอย
อยู่ แ ล้ ว แต่ ก รรมสิ ท ธิ ใ์ นอำคำรชุ ด นั น
้ ต้ อ งจดทะเบี ย นก่ อ ตั ง้ เป็ นอำคำรชุ ด ตำม
บทบัญญัติของกฎหมำย
(3) ลั ก ษณะของกรรมสิ ท ธิ ก ์ .พ.พ.
รรมสิ ทจำธิำต แนกได้
์ ำมป เ ป็ น 2 ประเภท คื อ
กรรมสิทธิโ์ดยผู้ถือคนเดียวและกรรมสิทธิร์วม โดยแต่ละประเภทแยกต่ำงหำกจำกกัน
สำำ หรั บ กรรมสิ ท ธิ ใ์ นอำคำรชุ ด นั น้ จำำ แนกกำรถื อ กรรมสิ ท ธิ อ์ อกเป็ น 2 ส่ ว น คื อ
กรรมสิทธิใ์นทรัพย์ส่วนบุคคลและกรรมสิทธิร์่วมในทรัพย์ส่วนกลำง ในกรรมสิทธิท ์ ัง้
สองส่วนต้องอยู่ควบคู่กัน จะแยกออกจำกกันไม่ได้
(4) สิทธิใ นกำรจัดกำรทรัพย์สิน กรรมสิทธิต์ำมประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์นัน ้
หำกเป็ นกรรมสิทธิโ์ดยถือผู้เดียว เจ้ำของกรรมสิทธิย์่อมมีสิทธิใ์นกำรจัดกำรทรัพย์สิน
เป็ น เอกเทศของตนเอง ส่วนกรรมสิ ทธิ ร์วมนัน ้ กฎหมำยให้ สิท ธิเ จ้ ำของรวมเป็ น ผู้
จั ดกำรทรัพ ย์ สิ น รวมกัน สำำ หรั บ กรรมสิ ท ธิ ใ์ นอำคำรชุ ด นั น ้ หำกเป็ น กรรมสิ ท ธิ ใ์ น
ทรั พ ย์ ส่ ว นบุ ค คล เจ้ ำ ของกรรมสิ ท ธิ ย์่ อ มมี สิ ท ธิ จั ด กำรทรั พ ย์ สิ น เป็ น เอกเทศของ
ตนเอง ทั ง้นี อ ้ ยู่ ภ ำยในบทบั ญ ญั ติ ข องกฎหมำย หำกเป็ น กรรมสิ ท ธิ ใ์ นทรั พ ย์ ส่ ว น
กลำง กฎหมำยอำคำรชุ ดกำำ หนดให้ มีนิ ติ บุ ค คลอำคำรชุ ด เป็ น ผู้ มี อำำ นำจหน้ำ ท่ีก ำร
จัดกำร ซ่ึงเจ้ำของร่วมเป็ นผู้ควบคุมกำรจัดกำรของนิติบุคคลอำคำรชุด โดยผ่ำนกำร
ออกเสียงลงคะแนนในท่ีประชุม
อธิบำยควำมแตกต่ำงระหว่ำงกรรมสิทธิใ์นอำคำรชุดกับอำคำรแถว (Townhouse) ในประเด็นของ
กำรถือกรรมสิทธิ ์
กรรมสิทธิใ์นอำคำรชุดกับในอำคำรแถวแตกต่ำงกันในประเด็นของกำรถือกรรมสิทธิด์ังต่อไปนี้
กรรมสิทธิใ์นอำคำรแถวเจ้ำของถือกรรมสิทธิใ์น 2 ส่วนดังนี้
(1) ส่วนท่ีเป็ นบ้ำนและท่ีดินอำจถือกรรมสิทธิโ์ดยบุคคลคนเดียวหรือกรรมสิทธิร์วมก็ได้
(2) ส่วนท่ีเป็ นผนังของอำคำรท่ใี ช่ร่วมกันถือกรรมสิทธิร์่วมระหว่ำงเจ้ำของท่ใี ช้ผนังร่วมกันนัน ้
สำำหรับกรรมสิทธิใ์นอำคำรชุดนัน ้ เจ้ำของร่วมถือกรรมสิทธิใ์น 3 ส่วนดังนี้
(1) ส่วนท่ีเป็ นห้องชุด ส่ิงปลูกสร้ำงอย่ำงอ่ น
ื หรือท่ีดินท่ีจัดไว้ให้เป็ นของเจ้ำของห้องชุด
แต่ละรำยเป็ นกำรถือกรรมสิทธิใ์นทรัพย์ส่วนบุคคล
(2) ส่วนท่ีเป็ นทรัพย์ส่วนกลำงเป็ นกำรถือกรรมสิทธิร์่วมในทรัพย์ส่วนกลำง
(3) ส่วนท่ีเป็ นฝำผนัง พ้ืน หรือเพดำนท่ีกัน
้ ระหว่ำงห้องชุดท่ีติดต่อกัน ถือเป็ นกรรมสิทธิ ์
รวมระหว่ำงเจ้ำของห้องชุดท่ีติดต่อกันนัน ้ ซ่ึงเป็ นกำรถือกรรมสิทธิร์วมเหมือนกับ
กรณีของฝำผนังของอำคำรแถว
15.2 หลักการ การก่อตัง้ และการเลิกกรรมสิทธิใ์นอาคารชุด
1. กรรมสิทธิใ์นอำคำรชุดนัน ้ เปรียบเสมือนกำรนำำ เอำกรรมสิทธิโ์ดยผู้ ถือคนเดียว และกรรมสิท ธิร์วมมำ
ควบคู่อยู่ในทรัพย์สน ิ อันเดียวกันซ่ึงตำม ป.พ.พ. แต่เดิมไม่เปิ ดช่องให้ทำำได้ โดยกำำหนดให้มีกรรมสิทธิใ์น
ทรัพย์ส่วนบุคคลและกรรมสิทธิร์่วมในทรัพย์ส่วนกลำง กำรถือกรรมสิทธิท ์ ัง้สองส่วนนีจ้ะต้องควบคู่กัน
เสมอ จะแยกออกจำกกันมิได้
2. อำคำรพร้อมท่ีดิน ใดท่ีเจ้ำของประสงค์จะให้อยู่ภำยใต้กรรมสิทธิใ์นอำคำรชุดจะต้องจดทะเบียนอำคำรชุด
พร้ อ มทั ง้ จดทะเบี ย นนิ ติ บุ ค คลอำคำรชุ ด และข้ อ บั ง คั บ ของอำคำรชุ ด เม่ ือ จดทะเบี ย นแล้ ว จะต้ อ ง
เปล่ียนแปลงเอกสำรแสดงสิทธิจ์ำกโฉนดท่ีดินเดิมเป็ นหนังสือกรรมสิทธิห ์ ้องชุด
3. กำรเลิกกรรมสิทธิใ์นอำคำรชุด อำจทำำ โดยสมัครใจหรือโดยสภำพบัง คับ และผลของกำรเลิกจะต้องนำำ
โฉนดท่ีดินเดิมกลับมำใช้อีกและจัดกำรทรัพย์สินตำมหลักเกณฑ์ของกฎหมำย
15.2.1 หลักกรรมสิทธิใ์นอาคารชุด
ข้อควำมท่ีว่ำ “กรรมสิทธิใ์นห้องชุดจะแบ่งแยกมิได้” หมำยควำมว่ำอย่ำงไร และบุคคลหลำยคนจะถือ
กรรมสิทธิร์วมในห้องชุดเดียวกันได้หรือไม่
ข้อควำมท่ีว่ำ “กรรมสิทธิใ์นห้องชุดจะแบ่งแยกมิได้” นัน ้ หมำยควำมว่ำห้องชุดหน่ึงๆ เจ้ำของจะขอจด
ทะเบี ย นแบ่ ง แยกห้ อ งชุ ด นั น
้ เป็ น ห้ อ งชุ ด ย่ อ ยๆ ต่อ ไปอี ก ไม่ ไ ด้ ทั ง้ นี เ้ พรำะห้ อ งชุ ด แต่ ล ะห้ อ งชุ ด โดยสภำพย่ อ ม
สมบูรณ์และเหมำะแก่กำรใช้สอยอยู่แล้วในขณะท่ีขอจดทะเบียนอำคำรชุด หำกยินยอมให้มีกำรแบ่งแยกห้องชุดต่อ
ไปอีก อำจมีข้อยุ่งยำกในเร่ ืองกำรดัดแปลงต่อเติมรวมทัง้ในส่วนของกำรกำำหนดอัตรำส่วนกรรมสิทธิใ์นทรัพย์ส่วน
กลำงด้วย
อย่ำงไรก็ดี บุคคลหลำยคนจะถือกรรมสิทธิร์วมในห้องรวมชุดเดียวกัน ตำมหลักกรรมสิทธิร์วมแห่ง
ป.พ.พ. ได้ แต่เจ้ ำของรวมนัน ้ จะขอแบ่ง แยกกรรมสิท ธิใ์ ห้ ห้อ งชุ ดนั น ้ อีก ไม่ ได้ ดัง กล่ ำ วแล้ ว ฉะนั น
้ กำรแบ่ ง ใน
ระหว่ำงเจ้ำของกรรมสิ ทธิ ร์วมจึ งต้ องกระทำำ โดยกำรขำยห้อ งชุ ด แล้ ว นำำ เงิ น ท่ีไ ด้ ม ำแบ่ ง กั น ตำมบทบั ญ ญั ติ แ ห่ ง
ประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์
อำคำรชุดแห่งหน่ึงมีห้องชุดทัง้หมด 120 ห้อง แบ่งเป็ นห้องชุดแบบ ก. 100 ห้อง รำคำขณะท่ีขอจด
ทะเบียนอำคำรชุดห้องชุดละ 500,000 บำท และห้องชุดแบบ ข. 20 ห้องชุด รำคำขณะท่ีขอจดทะเบียนอำคำรชุด
ห้องชุดละ 2,000,000 บำท หำกแดงถือกรรมสิทธิใ์นห้องชุดแบบ ก. 1 ห้องชุด ดังนีแ ้ ดงจะมีกรรมสิทธิร์่วมใน
ทรัพย์ส่วนกลำงเท่ำใด
แดงจะมีกรรมสิทธิร์ว่ มในทรัพย์ส่วนกลำงตำมวิธีกำรคำำนวณดังนี้
รำคำรวมของห้องชุดทัง้หมด = (100X500,000) + (20X2,000,000)
บำท
= 50,000,000+40,000,000
บำท
= 90,000,000
บำท
แดงมีกรรมสิทธิร์่วมในทรัพย์ส่วนกลำง = 500,000/90,000,000
= 1/180
เพรำะฉะนัน ้ แดงมีกรรมสิทธิร์่วมในทรัพย์ส่วนกลำง หน่ึงในหน่ึงร้อยแปดสิบส่วน
15.2.2 การก่อตัง้กรรมสิทธิใ์นอาคารชุด
เม่ ือจดทะเบียนอำคำรชุดแล้ว จะมีผลประกำรใดต่อโฉนดท่ีดิน และจะมีเอกสำรใดแสดงกรรม สิทธิใ์น
อำคำรชุดนัน
้
ตำมพระรำชบัญญัติอำคำรชุด พ.ศ. 2522 มำตรำ 9 วรรคหน่ึงเม่ ือพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ีรับจดทะเบียน
อำคำรชุดแล้ว ให้พนักงำนเจ้ำหน้ำท่ีส่งโฉนดท่ีดินท่ีย่น
ื ตำมมำตรำ 6 ไปยังพนักงำนท่ีดินท้องท่ีอำคำรชุดนัน
้ ตัง้อยู่
เจ้ำของร่วมต้องร่วมกันออกค่ำภำษีอำกรและค่ำใช้จ่ำยท่ีเกิดขึ้นจำกกำรดูแลรักษำและดำำเนินกำรเก่ียว
กับทรัพย์ส่วนกลำง ตำมอัตรำส่วนท่ีเจ้ำของร่วมแต่ละคนมีกรรมสิทธิใ์นทรัพย์ส่วนกลำงตำมมำตรำ 14
ตำมบทบัญญัติดังกล่ำวอำจจำำแนกกำรเฉล่ียค่ำใช้จ่ำยของเจ้ำของร่วมออกเป็ นสองประเภทได้แก่
(1) ค่ำใช้จ่ำยตำมส่วนแห่งประโยชน์ท่ีมีต่อห้องชุด (มำตรำ 18 วรรคหน่ึง) ได้แก่ ค่ำใช้จ่ำยท่ีเกิดจำก
กำรบริกำรส่วนรวมและท่ีเกิดจำกเคร่ ืองมือเคร่ ืองใช้ท่ีมีไว้เพ่ ือประโยชน์ร่วมกัน
(2) ค่ำใช้จ่ำยตำมอัตรำส่วนกรรมสิทธิใ์นทรัพย์ส่วนกลำง (ตำมมำตรำ 18 วรรคสอง) ได้แก่ค่ำใช้จ่ำย
เก่ียวกับภำษีอำกร กำรดูแลรักษำ และกำรดำำเนินกำรเก่ียวกับทรัพย์ส่วนกลำง
สำำหรับมำตรกำรในกำรบังคับชำำระหนีน ้ ัน
้ มีบัญญัติไว้ในพระรำชบัญญัติอำคำรชุด พ.ศ. 2522 มำตรำ
41 ดังนี้
(1) บุริมสิทธิเก่ียวกับค่ำใช้จ่ำยตำมมำตรำ 18 วรรคหน่ึง ให้ถือว่ำบุริมสิทธิในลำำดับเดียว
กับบุริมสิทธิตำมมำตรำ 259(1) แห่งประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์และมีอยู่
เหนือสังหำริมทรัพย์ท่ีเจ้ำของห้องชุดนัน ้ นำำมำไว้ในห้องชุดของตน
(2) บุริมสิทธิเก่ียวกับค่ำใช้จ่ำยตำมมำตรำ 18 วรรคสองให้ถือว่ำเป็ นบุริมสิทธิในลำำ ดับ
เดียวกับบุริมสิทธิตำมมำตรำ 273(1) แห่ง ป.พ.พ. และมีอยู่เหนือทรัพย์ส่วนบุคคล
ของแต่ละเจ้ำของห้องชุด
บุริมสิ ทธิ ต ำม (2) ถ้ำผู้จั ดกำรได้ส่งรำยกำรหนี ต ้ ่อพนัก งำนเจ้ ำหน้ำท่แ ี ล้ว ให้ถื อว่ ำอยู่ใ นลำำ ดั บก่ อน
เจ้ำของ
ตำมบทบัญญัติดังกล่ำว อำจจำำแนกมำตรกำรในกำรบังคับชำำระหนีอ ้ อกเป็ นสองกรณี ได้แก่
(1) กรณี ค่ำ ใช้ จ่ำ ยตำมอัต รำส่ว นแห่ งประโยชน์ท่ีมีต่ อห้ องชุด ให้นิติบุ ค คลอำคำรชุ ด มี
บุ ริ ม สิ ท ธิ ใ น ลำำ ดั บ เดี ย ว กั บกำ ร ค้ ำ งค่ ำ เช่ ำ อ สั งห ำ ริ มท รั พ ย์ แ ล ะมี อ ยู่ เห นื อ
สังหำริมทรัพย์ท่ีเจ้ำของห้องชุดนัน ้ นำำมำวำงไว้ในห้องชุดของตน
(2) กรณีค่ำใช้จ่ำยตำมอัตรำส่วนกรรมสิทธิใ์นทรัพย์ส่วนกลำง ให้นิติบุคคลอำคำรชุดมี
บุริมสิทธิในลำำดับเดียวกับลูกหนีใ้นกำรรักษำอสังหำริมทรัพย์ และมีอยู่เหนือทรัพย์
ส่วนบุคคลของแต่ละเจ้ำของห้องชุดบุริมสิทธิในกรณีนี ห ้ ำกผู้จัดกำรนิติบุคคลอำคำร
ชุดได้ส่งรำยกำรหนีต ้ ่อพนักงำนเจ้ำหน้ำท่แ ี ล้ว ให้ถือว่ำอยู่ในระดับก่อนจำำนอง
อำคำรชุ ด แห่ ง หน่ึง มี ห้ อ งชุ ด ทั ง้ สิ น
้ 100 ห้ อ ง รำคำในขณะขอจดทะเบี ย นอำคำรชุ ด ห้ อ งชุ ด ละ
600,000 บำท เท่ำกันทุกห้อง ต่อมำห้องชุดถูกเวนคืนจำำ นวน 20 ห้องชุด โดยนำย ก. เป็ นเจ้ำของห้องชุดถูก
เวนคืน 1 ห้องชุด นำย ก. จะได้รับชดใช้รำคำจำกเจ้ำของร่วมท่ีห้องชุดไม่ถูกเวนคืน สำำหรับทรัพย์สินส่วนกลำงท่ี
เหลืออยู่เป็ นจำำนวนเท่ำใด หำกทรัพย์สินส่วนกลำงท่ีเหลืออยู่มีมูลค่ำ 20 ล้ำนบำท
ตำมพระรำชบัญญัติอำคำรชุด พ.ศ. 2522 มำตรำ 14 กรรมสิทธิส ์ ่วนท่ีเป็ นเจ้ำของร่วมในทรัพย์ส่วน
กลำง ให้เป็ นไปตำมอัตรำส่วนระหว่ำงรำคำของห้องชุดแต่ละห้องชุด กับรำคำรวมของห้องชุดทัง้หมดในขณะท่ีขอ
จดทะเบียนอำคำรชุดตำมมำตรำ 16
มำตรำ 34 วรรคแรก ในกรณี ท ่ีอ ำคำรชุ ด ถู ก เวนคื น บำงส่ ว นตำมกฎหมำยว่ ำ ด้ ว ยกำรเวนคื น
อสังหำริมทรัพย์ ให้เจ้ำของซ่ึงถูกเวนคืนห้องชุดหมดสิทธิในทรัพย์ส่วนกลำงท่ีเหลือจำกำรถูกเวนคืนในกรณีนีใ้ห้
นิติบุคคลคนอำคำรชุดจัดกำรให้เจ้ำของร่วมซ่ึงไม่ถูกเวนคืนห้องชุด ร่วมกันชดใช้รำคำให้แก่เจ้ำของร่วมซ่ึงหมด
สิทธิไปดังกล่ำว ทัง้นีต ้ ำมอัตรำส่วนท่ีเจ้ำของร่วมแต่ละคนมีกรรมสิทธิใ์นทรัพย์ส่วนกลำง
ตำมปั ญหำ นำย ก. เป็ นเจ้ำของห้องชุด 1 ห้องชุด รำคำ 600,000 บำท นำย ก. จึงมีกรรมสิทธิใ์น
ทรัพย์ส่วนกลำง ตำมมำตรำ 14 ดังนี้
ในกรณีนี ก ้ ฎหมำยกำำหนดให้นิติบุคคลอำคำรชุดจัดกำรให้เจ้ำของร่วมซ่ึงไม่ถ
ชดใช้รำคำให้แก่เจ้ำของร่วมซ่ึงหมดสิทธิไปตำมอัตรำส่วนท่ีเจ้ำของร่วมแต่ละคนมีกรรมสิทธิใ์นทรัพย์ส่วนกลำง
ตำมมำตรำ 34 วรรคแรกดังกล่ำวและนำย ก. ก็ย่อมจะได้รับชดใช้จำกเจ้ำของร่วมท่ีไม่ถูกเวนคืนตำมอัตรำส่วนท่ี
ตนมีกรรมสิทธิใ์นทรัพย์ส่วนกลำงเช่นเดียวกันดังนี้
(1/100) X 20,000,000 = 200,000 บำท
ดังนัน
้ นำย ก. จะได้รับชดใช้จำกเจ้ำของรวมท่ีไม่ถูกเวนคืน สำำ หรับทรัพย์ส่วนกลำงท่ีเหลืออยู่ เป็ น
จำำนวน 200,000 บำท
หมำยเหตุ นำย ก. ได้รับค่ำเวนคืน สำำหรับห้องชุดซ่ึงเป็ นทรัพย์ส่วนบุคคลของตนเต็มจำำนวน และจะ
ได้รับค่ำเวนคืนสำำหรับทรัพย์ส่วนกลำงท่ีถูกเวนคืน ตำมอัตรำส่วนท่ีตกเป็ นกรรมสิทธิใ์นทรัพย์ส่วน กลำงด้วย
แบบประเมินผลการเรียนหน่วยท่ี 15
---------------------------------------------------