Professional Documents
Culture Documents
เอกสารประกอบการศึกษาวิชากฎหมายลักษณะนิติกรรมสัญญา (น. ๑๐๑) - 8
เอกสารประกอบการศึกษาวิชากฎหมายลักษณะนิติกรรมสัญญา (น. ๑๐๑) - 8
๑๐๑)
กิตติศักดิ์ ปรกติ
สวนที่ ๗ ผลแหงสัญญา
ผลของสัญญาตางตอบแทน
อุทาหรณ
อุทาหรณ ๑) ก. มอบหมายให ข. ไปซื้อภาพศิลปภาพหนึง่ ในราคา ๒ แสนบาท เมื่อ ข. ซื้อ
ภาพนัน้ มาแลว ก. จึงเรียกใหสงภาพใหตามมาตรา ๘๑๐ ปพพ. แต ข. ปฏิเสธ โดยอางวาเงินที่มอบ
ใหไปซื้อภาพนั้นพอดี แตมคี าใชจายเปนคาพาหนะอีก ๕๐๐ บาท ขอให ก. ชําระใหกอนจึงจะมอบ
ภาพให ขออางของ ข. ฟงขึ้นหรือไม?
อุทาหรณ ๒) ก. กูเงินจาก ข. ๓๐,๐๐๐ บาท โดยทําหลักฐานเปนหนังสือ เมื่อ ก. นําเงินกู
ไปชําระ ข. ไดเรียกให ข. ออกหลักฐานรับเงินใหกอนจึงจะสงมอบเงิน แต ข. ไมยอม ก. จึงไมยอม
มอบเงินที่นําไปชําระ ข. จึงอางวา ก. ไมมสี ิทธิยึดหนวงเงินไว เพราะตองชําระเงินเสียกอน ข. จึง
จะออกใบเสร็จให ดังนี้ขออางของ ข. ฟงขึ้นหรือไม?
อุทาหรณ ๓) ก. และ ข. ไปนั่งรานอาหารแตหยิบรมสับคันกัน ก. จึงเรียกให ข. สงรมของ
ตนคืนให แตไมยอมสงรมของ ข. คืนพรอมกัน ดังนี้ ข. จะเกี่ยงไมสงรมคืนให ก. ไดหรือไม?
อุทาหรณ ๔) ก. ตกลงซื้อภาพจาก ข. ในราคา ๕,๐๐๐ บาท เมื่อ ก. เรียกให ข. สงมอบและ
โอนภาพใหตน ข. อางวา ก. ยังไมไดชําระเงินครบถวน จึงยังไมโอนกรรมสิทธิ์ภาพให ก. แต ก.
อางวาไดชําระเงินครบถวนแลว ดังนี้หากไมปรากฏหลักฐานเพิ่มเติมกวานี้ ศาลจะตัดสินคดีนวี้ า
อยางไร?
อุทาหรณ ๕) กรณีจะเปนอยางไร หากปรากฏวา ก. ไดชําระเงินแก ข. เรียบรอยแลว?
สวนที่ ๗ ผลแหงสัญญา
๑. ขอความเบื้องตน
๑.๑ มูลเหตุจูงใจและวัตถุที่ประสงคแหงและสัญญา
การกอนิติสัมพันธโดยนิตกิ รรมเพื่อใหเกิดผลทางกฎหมายอยางใดอยางหนึ่งนัน้ ปกติยอม
เปนผลจากการตกลงใจหรือกําหนดเจตนาของบุคคลกอความผูกพันหรือโอนสิทธิอยางหนึ่งอยาง
ใดโดยมุงใหเกิดผลตามกฎหมายขึ้น โดยทั่วไปการตกลงใจของแตละบุคคลมักเกิดขึน้ จากความ
ตองการที่จะบรรลุวัตถุประสงคอยางใดอยางหนึ่งของบุคคลนั้น โดยกอนจะตกลงใจบุคคลมักจะ
คิดใครครวญชั่งน้ําหนักผลไดผลเสียเปนเบื้องตนเสียกอน แลวจึงตกลงใจและแสดงเจตนาตามที่
ไดตกลงใจไวเพื่อกอนิติสัมพันธนั้น ๆ ออกมา ความตองการหรือการคาดหมายผลไดผลเสียที่
บุคคลใชเปนเครื่องประกอบการตกลงใจเพื่อกอนิติสัมพันธขึ้นนี้เราอาจเรียกไดวาเปน “มูลเหตุจูง
ใจ” หรือ Motivation
แตมูลเหตุจูงใจในการทํานิตกิ รรมนี้ แมจะเปนเครื่องจูงใจใหตกลงใจหรือกอเจตนาขึน้ ก็
นับเปนปจจัยภายในของเจตนา เมื่อไดตกลงใจและกอเจตนาขึ้นแลวก็ตองถือวาเปนคนละเรื่องคน
ละตอนกันกับเจตนาที่กอขึน้ หรือเจตนาทีแ่ สดงออกมาโดยมุงตอการกอนิติสัมพันธอันเปนสวน
สาระสําคัญของนิติกรรม เจตนาที่แสดงออกนับเปนปจจัยภายนอก สวนมูลเหตุจูงใจที่อยูภายใน
จิตใจนั้น โดยที่อาจมีไดหลากหลาย กําหนดใหรแู นไดยาก จึงถือกันวาเปนเรื่องที่อยูในความรับรู
ในจิตใจและรับผิดชอบของแตละบุคคล ไมมีนัยสําคัญในทางกฎหมาย มูลเหตุจูงใจนั้นจะ
สอดคลองกับความเปนจริงหรือไมยอมเปนความเสี่ยงของบุคคลผูกําหนดเจตนาและแสดงเจตนา
นั้นเอง คูกรณีแหงนิตกิ รรม หรือผูเกี่ยวของกับการแสดงเจตนานัน้ ปกติยอมไมอาจลวงรูถึงมูลเหตุ
จูงใจของผูแสดงเจตนาทํานิติกรรมได เวนแตจะไดทําใหปรากฏแนชัดออกมาภายนอก ดวยการ
กําหนดใหกรณีอันเปนมูลเหตุจูงใจนั้นเปนเงื่อนไขความมีผลแหงนิตกิ รรมที่ทําขึ้น หรือไดตกลง
กัน หรือกําหนดใหการบรรลุวัตถุประสงคตามมูลเหตุจงู ใจนั้นเปนเนื้อหาสวนหนึ่งของสัญญาดวย
ในกรณีเชนนีม้ ูลเหตุจูงใจทีแ่ สดงออกใหปรากฏและยอมรับใหเปนสวนหนึ่งของสัญญาก็จะ
ยกระดับขึ้นเปนวัตถุที่ประสงคของสัญญา หรือเนื้อหาของสัญญาแลวแตกรณี
ตามปกติ ความตองการ การคาดหมาย หรือการคาดคํานวณผลแหงนิตกิ รรมของผูที่ทํานิติ
กรรมขึ้นยอมเปนความรับผิดชอบของผูที่ตกลงใจทํานิตกิ รรมนั้น ๆ เอง เชนการที่ผูทาํ นิติกรรม
คาดวาราคาสินคาที่ตนตองการนั้นเปนราคาที่ถูกกวาทองตลาดมาก จึงตกลงซื้อสินคานั้น หรือคาด
วาสินคานั้นเปนสิ่งที่คนรักของตนกําลังตองการอยู ทั้ง ๆ ที่ที่จริงแลวสินคานั้นมีราคาแพงกวา
ทองตลาด หรือเปนสินคาที่คนรักของตนไมตองการเลย ความเขาใจผิดเหลานี้เปนความสําคัญผิด
ในมูลเหตุจูงใจซึ่งไมมีผลกระทบใด ๆ ตอความมีผลตามกฎหมายของนิติกรรมเลย เวนแต
ความสําคัญผิดเชนนัน้ จะกระทบตอเนื้อหาสาระแหงเจตนาที่แสดงออกโดยตรง เชนเราตกลงใจจะ
๒๖๖
ทํานิติกรรมกับนาย ก. แตเขาใจผิดไปวานาย ข. เปนนาย ก. จึงตกลงทํานิติกรรมกับนาย ข. โดย
เขาใจวากําลังทํานิติกรรมกับนาย ก. หรือตกลงใจผูกพันทางกฎหมายโดยลงนามเปนพยาน แต
กลับลงนามเปนคูสัญญา ดังนี้เปนกรณีสําคัญผิดในสาระสําคัญ คือสําคัญผิดในตัวบุคคล และ
สําคัญผิดในลักษณะแหงนิตกิ รรม นิติกรรมนั้นยอมตกเปนโมฆะตามมาตรา ๑๕๖ ป.พ.พ. กรณีที่
ความสําคัญผิดในมูลเหตุจูงใจอาจมีผลกระทบตอความมีผลของนิติกรรมนั้นเปนกรณียกเวน เชน
กรณีการแสดงเจตนานัน้ เปนเพราะสําคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพยอันปกติเปน
สาระสําคัญแหงนิติกรรม ตามมาตรา ๑๕๗ ป.พ.พ. ในกรณีเชนนี้กฎหมายถือวาเปนเรื่องสําคัญ
และกําหนดผลไวโดยเฉพาะใหเปนโมฆียะกรรม
อยางไรก็ดี ควรเขาใจวา ในเรื่องนิติกรรมสัญญานั้น กฎหมายไดกําหนดลักษณะแหงนิติ
กรรมบางประเภทใหมีความมุงหมายอยางใดอยางหนึ่งโดยเฉพาะ ตัวอยางเชนสัญญาบริการพัก
อาศัยในโรงแรม หรือสัญญาขนสง ซึ่งเปนสัญญาที่มีวัตถุประสงคหรือความมุงหมายอยางใดอยาง
หนึ่งโดยเฉพาะ ในกรณีเชนนี้การที่บุคคลทํานิติกรรมนัน้ ๆ ยอมมีความมุงหมายตามลักษณะแหง
นิติกรรมนั้นไปพรอมกันเสมอ อยางไรก็ดคี ูกรณีแหงนิตกิ รรมอาจกําหนดความมุงหมายแหงนิติ
กรรมนั้นโดยตกลงกันเปนอยางอื่น แตกตางจากความมุงหมายที่กฎหมายกําหนดไวกไ็ ด
ในกรณีที่คูกรณีแหงนิติกรรมมีความมุงหมายหรือมีวัตถุที่ประสงคอยางใดอยางหนึ่ง
รวมกัน และตกลงกันใหความมุงหมายหรือวัตถุประสงคเชนนั้นเปนสวนหนึ่งแหงนิติกรรม คูกรณี
ยอมตกลงกันไดตามหลักเสรีภาพแหงการแสดงเจตนา และในกรณีเชนนี้ความมุงหมายหรือ
วัตถุประสงคนั้น ๆ ซึ่งปกติเปนมูลเหตุจูงใจของคูกรณีที่มิไดมีนยั สําคัญทางกฎหมาย ยอมยกระดับ
จากมูลเหตุจูงใจกลายมาเปนเนื้อหาแหงสัญญา แตควรสังเกตดวยวาขอกําหนดแหงนิติกรรมเชนนี้
แตกตางจากเงือ่ นไขแหงนิตกิ รรมตรงที่ขอกําหนดที่เปนความมุงหมายแหงนิตกิ รรมนั้น ปกติมไิ ด
ถูกกําหนดขึ้นในลักษณะทีเ่ ปนเงื่อนไขความเปนผลหรือสิ้นผลแหงนิตกิ รรม แตเปนเครื่องแสดง
ประโยชนที่คกู รณีในนิติกรรมประสงคจะไดรับเทานั้น ในกรณีที่ผลเชนนั้นมิไดเกิดขึ้นยอมไม
กระทบตอความมีผลแหงนิตกิ รรมเลย
ตัวอยางเชน การตกลงเปนสมาชิกหนังสือหรือวารสารโดยแสดงเจตนาไวแกคูกรณีวา ไม
เคยเปนสมาชิกวารสารนั้น ๆ มากอน หรือการจางชางภาพถายภาพโดยบอกกลาวชางภาพวา
ตองการใชในการติดหนังสือเดินทางเพื่อเดินทางไปตางประเทศ หากปรากฏวา ผูสมัครสมาชิก
วารสารนั้นไดเคยสมัครเปนสมาชิกวารสารฉบับเดียวกันไวแลว หรือผูข อหนังสือเดินทางขาดคุณ
สมับติในการขอหนังสือเดินทางไปยังตางประเทศ เปนเหตุใหการเปนสมาชิกวารสารก็ดี หรือการ
ถายภาพก็ดี ไมบรรลุตามความมุงหมายของนิติกรรมนั้น ๆ ดังนี้หากคูก รณีไมไดตกลงกันใน
ลักษณะที่กําหนดไวเปนเงื่อนไขแหงนิติกรรม การที่จะเกิดผลตามความมุงหมายแหงนิติกรรมนั้น
ๆ หรือไมยอมไมสงผลกระทบตอความมีผลแหงนิติกรรม (คือบอกรับเปนสมาชิก หรือตกลงจาง
ถายภาพ) เลย
๒๖๗
หากพิจารณาในแงวตั ถุที่ประสงคแหงนิตกิ รรม หรือวัตถุที่ประสงคของการที่คูกรณีฝาย
ใดฝายหนึ่งใหประโยชนแกคูกรณีอีกฝายหนึ่ง เราจะเห็นไดวาฝายที่กอ นิติสัมพันธในลักษณะที่ให
ประโยชนแกอีกฝายหนึ่งนัน้ อาจมีความมุงหมายหรือวัตถุที่ประสงคทางกฎหมายทีแ่ ยกออกเปน
๓ พวกใหญ ๆ กลาวคือ พวกแรกเปนการทําแกอีกฝายหนึง่ เปนการใหเปลา (cuasa donandi) เชน
การใหโดยเสนหา (มาตรา ๕๒๑) ซึ่งทําใหสัญญานั้นเปนสัญญาไมตางตอบแทน สวนพวกที่สอง
ไดแกกรณีมวี ตั ถุที่ประสงคเปนการใหไดมาซึ่งสิทธิอยางใดอยางหนึ่ง (causa credendi or causa
acquirendi) เชนการสงมอบทรัพยที่ใหยืม ยอมมุงตอการไดรับทรัพยกลับคืนจากผูยมื การสงมอบ
ทรัพยสินที่ใหเชามุงตอการไดรับทรัพยที่เชากลับคืนจากผูเ ชา การสงมอบเงินที่ใหกูเพือ่ ใหไดรับ
ชําระหนีก้ ลับคืน การออกเงินทดรองของตัวแทน เพื่อใหตัวการชดใชกลับคืน ดังนีน้ ิติกรรมพวกนี้
มักเปนนิตกิ รรมที่กอความผูกพันแกคูกรณี ซึ่งอาจเปนความผูกพันแบบมีคาตอบแทน หรือเปต
แบบตางตอบแทนก็ได นอกจากนี้ยังมีพวกที่สามซึ่งมีวัตถุที่ประสงคแหงนิตกิ รรมเปนการชําระ
หนี้ (causa solvendi) เชนการชําระราคา หรือการสงมอบทรัพยสนิ ที่ซื้อขายกัน (มาตรา ๔๕๖) ก็ได
ในแงนี้วัตถุทปี่ ระสงคจึงเปนการทําใหหนี้หรือความผูกพันที่มีอยูน นั้ ระงับลง
๑.๒ นิติกรรมแบบตาง ๆ
นิติกรรมอาจแบงออกเปนนิติกรรมฝายเดียวและนิติกรรมหลายฝาย และในบรรดานิติ
กรรมหลายฝายนั้นสัญญาก็เปนนิติกรรมหลายฝายอยางหนึ่ง นิตกิ รรมฝายเดียวนัน้ อาจเปนไป
ในทางกอนิตสิ ัมพันธในขอบเขตแหงสิทธิหนาที่ของผูทํานิติกรรมแตฝายเดียว โดยไมมุงตอการ
สอดเขาเกี่ยวของหรือกระทบตอสิทธิหนาที่ของผูอื่นเลยก็ได ตัวอยางเชน การเขาถือเอาทรัพยไมมี
เจาของ (มาตรา ๑๓๑๘) หรือการสละกรรมสิทธิ์ (มาตรา ๑๓๑๙) การสละมรดก (มาตรา ๑๖๑๒)
หรือการแบงแยกทรัพย การกอตั้งมูลนิธิ (มาตรา ๑๑๐) ฯลฯ
แตการทํานิตกิ รรมฝายเดียวนี้อาจจะเปนการกอนิติสัมพันธในลักษณะที่เกี่ยวของกับสิทธิ
หนาที่ของผูอื่นดวย ซึ่งอาจมีไดในกรณีทบี่ ุคคลอื่นนั้นเปนฝายไดรับประโยชนแตฝายเดียว หรือ
เปนกรณีทกี่ ฎหมายถือวา ผูท ํานิติกรรมมีประโยชนไดเสียในเรื่องนัน้ ในลักษณะที่ควรไดรับความ
คุมครองใหมีผลทางกฎหมายไดดวยการทํานิติกรรมฝายเดียว เชนการทําพินัยกรรมในฐานะทิ่เปน
ขอกําหนดเผื่อตาย (มาตรา ๑๖๔๖) การมอบอํานาจหรือการแตงตั้งตัวแทน รวมทั้งการใหความ
ยินยอม เชนกรณีที่ผูแทนโดยชอบธรรมใหความยินยอมแกนิตกิ รรมของผูเยาว (มาตรา ๒๑) หรือ
การบอกลาง และการใหสัตยาบัน (มาตรา ๑๗๘) การใหคํามั่นจะใหรางวัล (มาตรา ๓๖๒-๓๖๓)
อยางไรก็ดี การแสดงเจตนาฝายเดียวที่อาจกอใหเกิดความเปลี่ยนแปลงแกสิทธิหนาทีข่ อง
ผูอื่นมักเปนการแสดงเจตนาที่ตองมีคูกรณีเปนฝายรับการแสดงเจตนา ไมวาจะกอใหเกิดผลในทาง
กอใหเกิดสิทธิหนาที่ เชนการบอกลางนิติกรรม (มาตรา ๑๗๘) หรือการบอกเลิกสัญญา (มาตรา
๓๘๖-๓๙๑) หรือกอใหเกิดความเปลี่ยนแปลงสิทธิ เชนการแสดงเจตนาปลดหนี้ (มาตรา ๓๔๐)
หรือยกเลิกเพิกถอนสิทธิเชน การบอกถอนคําเสนอ (มาตรา ๓๕๔-๓๕๕) การหักกลบลบหนี้
๒๖๘
(มาตรา ๓๔๑) การถอนคืนการให (มาตรา ๕๓๑) เหลานีล้ วนแตเปนการทํานิติกรรมดวยการแสดง
เจตนาฝายเดียวชนิดตองมีผรู ับการแสดงเจตนาทั้งสิ้น
สวนนิติกรรมหลายฝายนัน้ อาจมีไดทั้งในรูปของสัญญา หรือนิติกรรมอยางอื่น โดย
สัญญานั้นเปนนิติกรรมหลายฝายซึ่งคูกรณีเขาทํานิติกรรมเพื่อกอใหเกิด โอนไป หรือระงับซึ่งนิติ
สัมพันธก็ได และสัญญาก็อาจจะเปนสัญญาทางหนี้ซึ่งเปนสัญญากอใหเกิดหรือระงับความผูกพัน
ทางหนี้ หรือสัญญาทางทรัพยเชนสัญญาโอนสิทธิทางทรัพยก็ได นอกจากนี้สัญญายังอาจเปน
สัญญาทางครอบครัว ซึ่งเปนการกอใหเกิด เปลี่ยนแปลง หรือเพิกถอนนิติสัมพันธในสิทธิบุคคล
ภาพ หรือสถานภาพก็ได เชนการหมั้น (มาตรา ๑๔๓๕) การสมรส (มาตรา ๑๔๕๘) สัญญากอน
สมรส (มาตรา ๑๔๖๕) การจัดการสินสมรส (มาตรา ๑๔๗๖) สัญญาใหจัดการสมรสฝายเดียว
(มาตรา ๑๔๗๖ วรรคสอง) นอกจากนี้สัญญายังมีในกฎหมายลักษณะมรดกดวย เชนสัญญาแบง
ทรัพยมรดก เปนตน
๑.๓ สัญญาประเภทตาง ๆ
ก) สัญญาผูกพันฝายเดียว ไดแกสัญญาที่คูกรณีมุงหมายกอใหเกิดความผูกพันแกคูกรณีฝาย
หนึ่งฝายใดแตเพียงฝายเดียวใหตองมีหนาที่ชําระหนี้ โดยคูกรณีอกี ฝายหนึ่งไมมหี นาที่ตองชําระ
หนี้ (แมวาบางกรณีอาจตองมีความผูกพันอยางอื่นในแงธรรมจรรยา เชนหนาที่คอยดูแลเอาใจใส
หรือหนาที่ตั้งตนอยูในความภักดีตออีกฝายหนึ่งก็ตาม) ดังเชนสัญญาให สัญญายืม สัญญาฝาก
ทรัพย เหลานี้เปนสัญญาที่คูสัญญาสงมอบทรัพย หรือทําการอยางหนึ่งอยางใดแกกันใหเปลา
ไมใชมุงจะกอความผูกพันใหอีกฝายหนึ่งชําระหนี้ตอบแทน
ในสัญญาให (มาตรา ๕๒๑) ซึ่งเมื่อผูใหไดสงมอบทรัพยแลว การใหยอมผูกพันเฉพาะฝาย
ผูใหในการโอนกรรมสิทธิ์ทรัพยสินที่ใหแกผูรับให อยางไรก็ดีหากผูรับประพฤติเนรคุณตอผูให
ผูใหก็ถอนคืนการใหได (มาตรา ๕๓๑) หรือในสัญญาค้ําประกัน (มาตรา ๖๘๐) ก็เปนสัญญาที่ผูค้ํา
ประกันผูกพันฝายเดียวตอเจาหนี้ในการชําระหนี้เมื่อลูกหนี้ไมชําระหนี้ เปนตน
สัญญาบางชนิดเปนสัญญาที่กอนิติสัมพันธสองฝาย แตนติ ิสัมพันธที่เกิดขึ้นไมใชเปน
ความผูกพันแบบตางตอบแทน เชนสัญญายืม (มาตรา ๖๔๐) เมื่อผูใหยมื ไดสงมอบแลว หนี้คืน
ทรัพยก็เกิดแกผูยืมฝายเดียว และผูยืมจะเอาทรัพยไปใชนอกจากการอันเปนปกติแกทรัพยสิน หรือ
เอาไปใหบุคคลภายนอกใชสอย หรือเอาไวนานเกินควรไมได (มาตรา ๖๔๓) แตหนีท้ ี่เกิดขึ้นนี้ก็
ไมใชเปนไปเพื่อตางตอบแทนผูใหยมื แตอยางใด
ในสัญญากูยืมเงิน (มาตรา ๖๕๓) ที่ไมคิดดอกเบี้ยกูย ืมก็เปนสัญญาสองฝาย แตเมื่อไดรับ
มอบเงินที่กูแลว กอความผูกพันฝายเดียว เพราะผูกูเปนหนี้ฝายเดียว คือตองชําระเงินกูคืนแกผูใหกู
และการที่ผูกตู อ งสงคืนเงินก็มิใชเปนการชําระหนี้ตางตอบแทนผูใหกูแตอยางใด และแมบางกรณี
ผูกูอาจสงมอบทรัพยสินอื่นเพื่อเปนการแสดงน้ําใจตอบแทนการใหกู ก็ไมใชการชําระหนี้ตอบ
๒๖๙
แทน แตถาเปนกูยืมเงินโดยคิดดอกเบีย้ ชนิดที่มีการจํานองหลักทรัพยเปนประกัน ก็ไมใชสัญญา
ผูกพันฝายเดียว แตเปนสัญญามีคาตอบแทน และเปนสัญญาตางตอบแทนดวย
การฝากทรัพย (มาตรา ๖๕๗) ผูรับฝากมีหนาที่ฝายเดียวในการดูแลรักษาทรัพยที่รับฝาก
เห็นไดวาไมมหี นี้ตางตอบแทนกัน จึงไมใชสัญญาตางตอบแทน
การมอบอํานาจหรือตั้งตัวแทน (มาตรา ๗๙๗) แมเปนสัญญาสองฝายแตก็ไมใชสัญญาตาง
ตอบแทน แมตัวแทนจะมีหนาที่สงมอบทรัพยสินที่ตัวแทนไดรับไวเกีย่ วดวยการเปนตัวแทนแก
ตัวการ (มาตรา ๘๑๐) และตัวการจะมีหนาที่ชดใชเงินทีต่ วั แทนออกทดรองหรือออกเปนคาใชจาย
ในการอันไดทาํ การแทน (มาตรา ๘๑๖) และตัวการอาจตองจายคาบําเหน็จแกตัวแทน (มาตรา
๘๑๗) โดยตัวแทนอาจยึดหนวงทรัพยสินของตัวการที่อยูในความครอบครองของตนไวไดจนกวา
จะไดรับเงินบรรดาที่คางชําระแกตนเพราะการเปนตัวแทน (มาตรา ๘๑๙) แตหนาทีน่ ี้ก็เปนหนาที่
อันเปนผลจากพฤติการณแหงความเชื่อถือและไววางใจกันของคูกรณีตามความมุงหมายอันแทจริง
แหงการเปนตัวการตัวแทน ซึ่งกฎหมายรับรองไว ไมใชหนาที่ชําระหนี้ตางตอบแทน แตถาเปน
กรณีที่ตวั การจางใหตวั แทนทําการแทนโดยตกลงจายสินจางตอบแทนตามสัญญาจางทําของโดย
มุงตอผลสําเร็จของการงานที่วาจางกันจึงจะเรียกไดวาเปนสัญญาตางตอบแทน (มาตรา ๕๘๗)
เพราะคูกรณีมเี จตนากอหนีใ้ นลักษณะตางตอบแทนกัน
ข) สัญญาไมมีคาตอบแทนและสัญญามีคาตอบแทน สัญญาหลายชนิดเปนสัญญาที่คูกรณีฝาย
ที่ชําระหนีห้ รือกอประโยชนแกอกี ฝายหนึ่งไดกระทําไปโดยไมไดประสงคคาตอบแทน หรือเปน
การทําใหเปลา โดยมิไดมุงจะไดสิ่งตอบแทน เชนในสัญญายืมซึ่งผูใหยมื ยอมใหผยู ืมใชทรัพยโดย
ไมมีคาตอบแทน สัญญาฝากทรัพย หรือสัญญาตัวแทนทีไ่ มมีบําเหน็จ หรือการรับไหววานใหทาํ
การงานแกกันใหเปลา เหลานี้เราเรียกวาเปนสัญญาไมมีคาตอบแทน
อยางไรก็ดี มีการทําการงานใหเปลาที่ผูทํายินดีรับคาตอบแทน แตไมมหี นี้ตางตอบแทน
ระหวางกัน และไมอาจนับเปนสัญญามีคาตอบแทน เชน อาสาสมัครนําเที่ยวทีน่ ําเทีย่ วแก
นักทองเที่ยว บริการรับฝากของ หรือบริการหองน้ําที่มีการตั้งภาชนะรับเงินรางวัล บริกรใน
ภัตตาคารหรือโรงแรมที่ใหบริการโดยไมคดิ มูลคา แตยินดีรับเงินรางวัลเปนสินน้ําใจ หรือคา
สมนาคุณตามแตจะให การใหบริการที่จอดรถแกลูกคาหรือบุคคลทั่วไปตามหางสรรพสินคา
โรงแรม โรงพยาบาล ภัตตาคาร หรือสถานที่ราชการ ฯลฯ เหลานี้เปนสัญญาไมมีคาตอบแทน
เชนกัน สัญญาไมมีคาตอบแทนยังอาจมีไดในกรณีของการตกลงเปนผูอนุบาล หรือผูใชอํานาจ
ปกครองผูเยาวอีกดวย
แตสัญญาเหลานี้บางกรณีมคี าตอบแทนได แตคาตอบแทนนั้น อาจเปนคาตอบแทนชนิด
ตางตอบแทนหรือไมตางตอบแทนก็ได ขึน้ อยูกับความมุงหมายของคูก รณี เชนสัญญาดูแลรักษา
ความปลอดภัยแกรถที่รับบริการจอดในหางสรรพสินคาที่ไดกระทําไปเปนการตอบแทนการที่
๒๗๐
ลูกคาเขามาชมสินคาของหาง สัญญาดูแลความปลอดภัยแกลูกคาทีเ่ ขามารับบริการในภัตตาคาร
สัญญาตัวแทนที่มีบําเหน็จ สัญญานายหนา หรือสัญญาค้ําประกันที่มกี ารคิดคาธรรมเนียมจาก
ลูกหนี้ เหลานี้เปนสัญญาที่มีคาตอบแทน แตไมใชสัญญาตางตอบแทน แตถาเปนสัญญาค้ําประกัน
ซึ่งทําเปนปกติธุระโดยตกลงมีคาตอบแทนก็อาจเปนสัญญาตางตอบแทนพรอมกันได หรือสัญญา
ใหที่มภี าระติดพัน เชนใหทรัพยที่จํานําไวกับโรงจํานํา โดยใหผูรับใหไปไถเอาเอง เปนสัญญาใหที่
มีคาตอบแทน แตคาตอบแทน เชนคาไถทรัพยนั้นไมทําใหสัญญานั้นเปนสัญญาตางตอบแทน แม
เราอาจกลาวไดวาสัญญาตางตอบแทนยอมเปนสัญญามีคาตอบแทนเสมอ แตสัญญามีคาตอบแทน
นั้นไมจําเปนตองเปนสัญญาตางตอบแทน เชนการใหบริการที่จอดรถโดยคิดคาบริการเปนราย
ชั่วโมง หรือรายวัน ซึ่งจะเรียกเก็บคาบริการเมื่อผูใชบริการนํารถออกจากสถานที่จอดจัดวาเปน
สัญญามีคาตอบแทนแตไมใชสัญญาตางตอบแทน หรืออาจเปนสัญญาตางตอบแทนก็ได ขึ้นอยูกับ
ความมุงหมายของคูกรณี ซึ่งตองคํานึงถึงปกติประเพณีประกอบดวย
สัญญาไมมีคาตอบแทนนี้ หลายกรณีมีเหตุควรคุมครองฝายที่ตองผูกพันไมใหตองผูกพัน
โดยงายหรือปราศจากการไตรตรองทบทวนใหดีเสียกอน กฎหมายจึงมักกําหนดใหผกู พันกัน
ตอเมื่อปรากฏวาคูกรณีมเี จตนาจริงจังที่จะผูกพันกันยิ่งกวาสัญญาที่มีคาตอบแทน เชนสัญญาให
นั้นเพียงแตตกลงผูกพันกันอยางเดียวไมได ตองมีการสงมอบ ดังที่กําหนดไววาจะสมบูรณเมื่อสง
มอบทรัพยสินที่ให (มาตรา ๕๒๓), สัญญายืมใชคงรูป และสัญญายืมใชสิ้นเปลืองนั้นบริบูรณเมื่อ
สงมอบทรัพยสินซึ่งใหยืม (มาตรา ๖๔๑, ๖๕๐), สัญญาค้ําประกันตองมีหลักฐานเปนหนังสือลง
ลายมือชื่อผูค้ําประกัน มิฉะนัน้ ฟองรองบังคับกันไมได (มาตรา ๖๘๐) และในการปลดออกจาก
ความผูกพัน เรียกทรัพยสินคืน หรือการเลิกสัญญา สัญญาไมมีคาตอบแทนก็มักทําไดงาย เชนใน
เรื่องให ถาเปนการใหโดยผูกพันตนจะชําระหนี้เปนคราว ๆ หากผูใหตายกฎหมายสันนิษฐานวา
หนี้เปนอันระงับ (มาตรา ๕๒๗), และกฎหมายยังยอมใหถอนคืนการใหได หากผูรบั ใหประพฤติ
เนรคุณ (มาตรา ๕๓๑), ในเรือ่ งยืมนั้น ถาเปนยืมใชคงรูปและไมไดกําหนดเวลา หรือกําหนด
กิจการที่มุงใชทรัพยสินนั้นไว ผูใหยืมยอมเรียกของคืนเมือ่ ไรก็ได (มาตรา ๖๔๖ วรรคสอง) สวน
ยืมใชสิ้นเปลืองนั้น ถาไมกําหนดเวลาคืนทรัพยไว ผูใ หยมื จะเรียกคืนโดยกําหนดเวลาตามสมควร
ใหคืนก็ได (มาตรา ๖๕๒), ในสัญญาตัวแทนนั้น ผูเปนตัวการจะถอนตัวแทน หรือตัวแทนจะบอก
เลิกเปนตัวแทนไดเสมอ (มาตรา ๘๒๗), สัญญาค้ําประกันหนี้ที่มีตอเนือ่ งกันไปโดยไมมี
กําหนดเวลานัน้ ผูค้ําประกันบอกเลิกความผูกพันที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได (มาตรา ๖๙๙ วรรคแรก)
สวนในดานความรับผิดนั้น ฝายที่ทําใหเปลามักไดประโยชนจากกฎหมายใหตองรับผิด
จํากัด เชนเรื่องใหนนั้ ถาปรากฏวาทรัพยสนิ ที่ใหชํารุดบกพรอง ผูใหไมตองรับผิด เวนแตจะเขา
ลักษณะเปนการกอความเสียหายดวยความจงใจหรือประมาทเลินเลอ ก็ตองรับผิดฐานละเมิด
(มาตรา ๔๒๐) หรือเปนการใหที่มีคาภาระติดพัน จึงใหนําเรื่องความรับผิดเพื่อชํารุดบกพรองหรือ
๒๗๑
รอนสิทธิตามสัญญาซื้อขายมาใช (มาตรา ๕๓๐) และหลักดังกลาวนี้ยอมนําไปเทียบเคียงใชกับ
สัญญาไมมีคาตอบแทนอยางอื่นไดดว ย
ในแงความคุมครองทางกฎหมายที่เกิดแกผไู ดรับประโยชนไปโดยมีคาตอบแทนก็แตกตาง
กับกรณีทไี่ ดประโยชนไปโดยไมมีคาตอบแทน เชนในกรณีที่ผูใหประโยชนทําการฉอฉล ดังนี้ตาม
มาตรา ๒๓๗ หากบุคคลภายนอกผูไดลาภมาจากการฉอฉลของลูกหนี้ไดลาภมาโดยสัญญาที่มี
คาตอบแทน เจาหนี้ผูตองเสียเปรียบจากการฉอฉลของลูกหนี้ จะมีสิทธิขอเพิกถอนสัญญาที่
กอใหเกิดลาภนั้นไดเฉพาะกรณีที่ผูไดลาภไปนั้นรูอยูว าสัญญามีคาตอบแทนนัน้ ทําใหเขาหนี้
เสียเปรียบ แตถาผูไดลาภมานั้นไดมาโดยไมมีคาตอบแทน ดังนี้เพียงลูกหนี้รวู าเดียววาสัญญานั้น
ทําใหเจาหนีเ้ สียเปรียบ ผูไดลาภไมจําเปนตองรูดวยวาเจาหนี้เสียเปรียบ เจาหนีก้ ็ขอเพิกถอนการฉอ
ฉลนั้นได และในเรื่องการไดมาซึ่งทรัพยสิทธิโดยสุจริตในกฎหมายลักษณะทรัพยนั้น ตามมาตรา
๑๒๙๙, ๑๓๐๐ และมาตรา ๑๓๐๓ ผูไดมาซึ่งทรัพยสิทธิโดยสุจริตและเสียคาตอบแทนยอมมีสิทธิ
ดีกวาผูที่ไดทรัพยสิทธิมาโดยสุจริตแตไมเสียคาตอบแทน
๒. สัญญาตางตอบแทน
ก) ลักษณะของสัญญาตางตอบแทน
สัญญาตางตอบแทนหมายถึงสัญญาซึ่งคูกรณีตางฝายตางผูกพันตนทีจ่ ะปฏิบัติการชําระ
หนี้ตางตอบแทนกัน ดวยเหตุนี้สัญญาใหซึ่งเปนสัญญาสองฝาย ซึ่งผูใหตกลงใหทรัพยสินแกผูรับ
ให และผูรับใหตกลงรับใหทรัพยสินนั้น จึงไมนับเปนสัญญาตางตอบแทน เพราะเปนสัญญาที่มี
ผูใหเปนฝายทีผ่ ูกพันในการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพยสินที่ตกลงใหกันนั้นแกผูรับ โดยผูรับใหไมมี
ความผูกพันใด ๆ ตอผูใหเลย ในทํานองเดียวกัน สัญญายืมหรือสัญญาฝากทรัพยกเ็ ปนสัญญาสอง
ฝาย คือในสัญญายืมตองมีผูยมื และผูใหยืม ในสัญญาฝากทรัพยก็มีผูฝากและผูรับฝาก แตสัญญายืม
หรือสัญญาฝากทรัพยไมมีบาํ เหน็จนั้นไมใชสัญญาตางตอบแทน เมื่อผูย ืมไดรับทรัพยที่ยืมไปแลวก็
มีหนาที่ตองสงทรัพยที่ตนยืมไปคืน หรือผูรับฝากมีหนาที่ตองสงทรัพยที่รับฝากไวคนื เปนหนาที่
ของผูยืมและผูร ับฝากในฐานะที่เปนลูกหนีฝ้ ายเดียว โดยอีกฝายหนึ่งคือผูใหยืมและผูฝากมิไดเปน
ลูกหนี้ตางตอบแทน เราจึงพอจะสรุปเปนเบื้องตนไดวา เพียงแตเหตุที่สญ ั ญาใดเปนสัญญาซึ่งมี
คูกรณีสองฝาย ไมทําใหสัญญานั้น ๆ เปนสัญญาตางตอบแทน
สัญญาตางตอบแทนจึงเปนสัญญาที่คูสัญญาตางฝายตางผูกพันตอการชําระหนี้อยางใด
อยางหนึ่ง เพื่อการที่คูสัญญาอีกฝายหนึ่งผูกพันในการชําระหนี้ตอบแทน และจําเปนตองมีนิติ
๒๗๒
สัมพันธตอกันในลักษณะแลกเปลี่ยนตอบแทนเปนเงื่อนไขในการปฏิบตั ิการชําระหนีข้ องแตละ
ฝายเปนสําคัญ (do ut des)๑
สัญญาตางตอบแทนซึ่งคูกรณีแตละฝายตางตกลงผูกพันตอบแทนกันทีส่ ําคัญและ
แพรหลายกวางขวาง เปนที่รจู ักมากที่สุด ไดแกสัญญาซื้อขาย ซึ่งเปนสัญญาซึ่งคูกรณีฝายหนึ่ง
เรียกวาผูซื้อตกลงชําระราคาซื้อขายแกผูขาย เพื่อการที่คูกรณีอีกฝายหนึง่ คือผูขายตกลงโอน
กรรมสิทธิ์ในทรัพยสินที่ขายกันนั้นตอบแทนแกการที่ผูซื้อชําระราคาซื้อขาย ทั้งสองฝายตางตกลง
ชําระหนี้ตอบแทนซึ่งกันและกัน
แตสัญญาสองฝายบางชนิด แมทั้งสองฝายจะมีหนี้หรือหนาที่ตอกัน หากหนีน้ ั้นไมใชหนี้
ตางตอบแทน สัญญานั้นก็ไมจัดเปนสัญญาตางตอบแทน เชนในสัญญาจัดการงานตามที่ไดรับ
มอบหมาย หรือสัญญาตัวการตัวแทน ซึ่งคูก รณีฝายหนึ่งเรียกวาตัวแทน ตกลงทําการงานอยางใด
อยางหนึ่งแกคกู รณีอีกฝายหนึ่งเรียกวาตัวการ โดยฝายที่เปนตัวการตกลงผูกพันที่จะจะออก
คาใชจายเพื่อการตาง ๆ ที่ตัวแทนไดออกใชไปในการทําการเพื่อประโยชนของตัวการ ดังนี้จะเห็น
ไดวา ความผูกพันกันตามสัญญาตัวการตัวแทนซึ่งผูเปนตัวการมีหนาที่ออกคาใชจา ยนี้ มิไดมี
ลักษณะเปนความผูกพันตางตอบแทนกันแตอยางใด เพราะในการที่ตัวการจะออกเงินทดรองแก
ตัวแทนเพื่อทําการตามที่มอบหมาย (มาตรา ๘๑๕ ปพพ.) หรือการที่ตัวแทนจะออกเงินคาใชจาย
ทดรองไปเพื่อประโยชนในการทํากิจการของตัวการนั้น การออกเงินทดรองของตัวการเพื่อเปน
คาใชจายในการทําการที่มอบหมายแกตวั แทนก็ดี การออกคาใชจายของตัวแทนทดรองไปกอนเพื่อ
ประโยชนของตัวการในการทําการที่รับมอบหมายก็ดี ลวนแตเปนการออกคาใชจายไปเพื่อใหการ
งานนั้นลุลวงไปดวยความเรียบรอย เปนการปฏิบัติหนาที่ใหตองตามความประสงคของคูกรณีฝาย
เดียว โดยมิไดมีวัตถุประสงคเพื่อตอบแทนการกระทําหรือตอบแทนความผูกพันอยางใดอยางหนึ่ง
ของคูกรณีอีกฝายหนึ่งเลย การที่ตัวการออกเงินทดรองจายแกตัวแทนไปกอน เปนไปเพื่อหลีกเลี่ยง
ไมใหตวั แทนตองรับภาระในการทําการแทนเพิ่มขึ้นจากที่ไดรับมอบหมาย หรือการที่ตัวแทนออก
คาใชจายทดรองไปในการทําการเพื่อประโยชนตามที่รับมอบหมายจากตัวการก็ดี ก็มงุ ผล
ความสําเร็จของการที่ไดรับมอบหมาย โดยไมไดมงุ หมายจะทําไปเพื่อตอบแทนแกตวั การอยางใด
ดวยเหตุนี้ ในทางตําราจึงมักเรียกความสัมพันธที่มีเนื้อหาทํานองเดียวกันกับสัญญาตัวการตัวแทน
นี้วา เปนสัญญาสองฝาย แตไมใชสัญญาตางตอบแทน
อยางไรก็ดี สัญญาตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยสวนใหญเปนสัญญาตางตอบ
แทน โดยเฉพาะอยางยิ่งสัญญาซึ่งเปนที่แพรหลายมาก อยางเชนสัญญาซื้อขาย แลกเปลี่ยน เชา จาง
๑
สํานวนที่วา do ut es นี้เปนศัพทสํานวนภาษาละตินซึ่งหมายความวา เราตกลงใหเมื่อเจาจะใหเราเชนกัน (I
give (you) that you may give (me).) ซึ่งมีความหมายทํานองเดียวกับภาษิตไทยที่วา “หมูไปไกมา” นั่นเอง
๒๗๓
แรงงาน จางทําของ เปนตน ในสัญญาเหลานี้ นิติสัมพันธระหวางคูกรณีในสัญญามีลักษณะตาง
ตอบแทนระหวางกันอยางชัดเจน
นอกจากนั้นยังมีสัญญาบางอยางที่แมโดยพื้นฐานของสัญญาจะเปนสัญญาสองฝายที่ไมได
เปนสัญญาตางตอบแทน แตหากคูกรณีตกลงผูกพันกันในลักษณะมีคาตอบแทนกันในลักษณะตาง
ตอบแทนก็ตกลงกันได ดังเชนสัญญายืม สัญญาฝากทรัพยนั้นปกติถือกันวาไมเปนสัญญาตางตอบ
แทน แตเปนสัญญาไมมีคาตอบแทน เพราะผูใหยืมตกลงใหผูยืมใชทรัพยเปนการใหเปลา หรือผูรับ
ฝากทรัพยก็รบั ฝากทรัพยไวใหเปลา เพื่อประโยชนของผูย ืม หรือผูฝาก สัญญายืมและสัญญาฝาก
ทรัพยจึงเปนสัญญาสองฝายที่คูกรณีตกลงผูกพันกันโดยสงมอบทรัพยที่ยืม หรือที่ฝากแกกัน และ
เกิดผลทําใหมคี ูกรณีที่ผูกพันเพียงฝายเดียวคือผูยืม หรือผูรับฝากตองผูกพันตอผูใหยืม หรือตอผู
ฝาก โดยผูยืมหรือผูรับฝากมีหนี้ตองคืนทรัพยแกเจาของทรัพยตามสัญญา
แตสัญญาที่ปกติไมมีคาตอบแทนนี้ คูกรณีอาจตกลงกันในรูปมีคาตอบแทนได และใน
ทํานองเดียวกันหากมุงผูกพันตางตอบแทนกันก็เปนสัญญาตางตอบแทนได เชนคูกรณีตกลงทํา
สัญญายืมเงินกัน หากไมมีคา ตอบแทนก็เปนยืมธรรมดา แตถามีคาตอบแทนก็เปนสัญญากูยืมเงิน
โดยผูกูตกลงชําระดอกเบีย้ ตอบแทนการใหกู หรือตกลงฝากทรัพยกันโดยไมมีบําเหน็จ ดังนีเ้ ปน
สัญญาไมมีคาตอบแทน แตคูกรณีอาจตกลงกันในรูปสัญญาฝากทรัพยโดยมีบําเหน็จ หรือในรูป
สัญญาฝากเงินซึ่งมีดอกเบี้ย ดังนี้ก็เปนสัญญามีคาตอบแทน และถาเปนสัญญามีคาตอบแทนที่มุง
ผูกพันตอบแทนกัน เชนตกลงชําระคาฝากทรัพยตอบแทนการรับฝาก หรือตกลงชําระดอกเบีย้ ตอบ
แทนการฝากเงิน สัญญาเหลานี้ก็ยอมเขาลักษณะเปนสัญญาที่คูกรณีมีความมุงหมายผูกพันกันตาม
สัญญาตางตอบแทนได
ยิ่งไปกวานัน้ ยังมีสัญญาซึ่งเราเรียกไดวาเปนสัญญาไมมีคาตอบแทน คือเปนสัญญาสอง
ฝายที่คูกรณีฝายหนึ่งตกลงผูกพันตนเพื่อประโยชนของคูก รณีอีกฝายหนึ่ง โดยไมไดรับประโยชน
ตอบแทน เชนสัญญาให (มาตรา ๕๒๑) สัญญายืมใชคงรูป (มาตรา ๖๔๐) สัญญายืมใชสิ้นเปลือง
(มาตรา ๖๕๐) สัญญาฝากทรัพย (มาตรา ๖๕๗) ในกรณีเหลานี้ ผูให ผูใหยืม ผูรับฝากมุงกอ
ประโยชนอยางใดอยางหนึ่งแกคูสัญญา คือโอนกรรมสิทธิ์ สงมอบทรัพย รับมอบทรัพย หรือรักษา
ทรัพยไว โดยไมไดมุงตอการไดคาตอบแทน สัญญาเหลานี้ตามความมุงหมายปกติของสัญญา
นั้นเอง ไมเปนสัญญาตางตอบแทนระหวางคูกรณี แมวาอาจจะมีมูลเหตุจูงใจกอความผูกพันเพื่อ
ตอบแทนการอยางหนึ่งอยางใด เชนการใหของขวัญตอบแทนกัน การใหโดยตัวของมันเองก็ไมใช
สัญญาตางตอบแทนเพราะมิไดมุงผูกพันตอการโอนทรัพยสินตอบแทนกันเชนการแลกเปลี่ยน
แตสัญญาไมมีคาตอบแทนนี้ อาจมีนิติสัมพันธอยางอื่นทีม่ ีลักษณะเปนสัญญาตางตอบ
แทนเปนมูลแหงนิติสัมพันธนั้นอยูก ็ได ดังเชนสัญญาค้ําประกัน ซึ่งเปนสัญญาที่คูกรณีซึ่งเปนผูค้ํา
ประกันเปนบุคคลภายนอก ไมใชลูกหนี้ในหนี้ประธาน ตกลงผูกพันตนในฐานะเปนหนี้อุปกรณ
คือตกลงผูกพันที่จะชําระหนี้แกเจาหนี้แทนลูกหนี้ หากลูกหนี้ไมชําระหนี้ประธานนั้น (ม.๖๘๐)
๒๗๔
เชน ก. กูเ งินจาก ข. โดยมี ค. ซึ่งเปนบุคคลภายนอกสัญญากูรายนี้เขาตกลงผูกพันตนตอ ข. โดย ค.
ตกลงเปนผูค้ําประกันการชําระหนี้ของ ก. เปนตน ปกติผคู ้ําประกันลูกหนี้ไมตองเขาผูกพันใน
สัญญาเพื่อเปนการตางตอบแทนในมูลหนีแ้ ตอยางใด แตในทางธุรกิจนัน้ การค้ําประกันสวนใหญ
มักมีลักษณะเปนการทําการเพื่อตางตอบแทนในมูลหนี้อยางอื่นระหวางผูคํา้ ประกันกับลูกหนี้ใน
หนี้ประธานนัน้ ดังนั้นระหวางผูค้ําประกัน กับลูกหนีใ้ นมูลหนี้ประธานที่เขาค้ําประกันซึ่งปกติไม
จําเปนตองมีนติ ิสัมพันธตางตอบแทนกัน ก็อาจตกลงผูกพันกันในลักษณะมีนิติสัมพันธตางตอบ
แทนกันอันเปนมูลเหตุใหผูค้ําประกันเขาค้ําประกันหนีน้ ั้นก็ได เชนผูค ้ําประกันเปนลูกหนี้ของ
ลูกหนี้ในหนีป้ ระธานนั้นอีกตอหนึ่ง หรือเปนผูซื้อสินคาของลูกหนี้ในหนี้ประธานนั้น หรือผูค้ํา
ประกันเปนคูส ัญญาอยางอื่นในลักษณะทีม่ ีความผูกพันตอลูกหนี้ และผูค้ําประกันไดเขาตกลง
ผูกพันในสัญญาค้ําประกันนั้นก็เพื่อเปนการตางตอบแทนในหนี้อันตนมีอยูตอลูกหนี้ประธานก็
ได๒
สัญญาบางชนิดมีลักษณะเปนสัญญาสองฝายที่เปนสัญญาไมมีคาตอบแทนโดยสภาพของ
สัญญานั้นเอง และไมอาจตกลงกันในลักษณะเปนสัญญาตางตอบแทนได ตัวอยางเชน สัญญาให
โดยเสนหา สัญญายืม และสัญญาตัวการตัวแทน เหตุทไี่ มอาจตกลงกันในลักษณะเปนสัญญาตาง
ตอบแทนไดนี้ หาไดเปนเพราะการตกลงเชนนั้นจะเปนการฝาฝนบทกฎหมายที่มีลักษณะเปนบท
บังคับ (jus cogens) แตอยางใด แตเปนเพราะสัญญาเหลานั้นมีสภาพเปนสัญญาที่หากตกลงกันใน
ลักษณะตางตอบแทนแลว ก็จะเสียสภาพไป และกลายเปนสัญญาตางตอบแทนชนิดใดชนิดหนึ่ง
ดังเชนสัญญาใหนั้น หากตกลงกันในลักษณะเปนสัญญาตางตอบแทน ก็จะกลายสภาพ
เปนสัญญาซื้อขาย หรือแลกเปลี่ยนไป สัญญายืมนั้นหากตกลงกันในลักษณะตางตอบแทนก็ยอม
กลายเปนสัญญาเชาไป สัญญาตัวการตัวแทนนั้นหากตกลงกันอยางมีคา ตอบแทน ก็จะกลายเปน
สัญญาจางแรงงาน หรือจางทําของไป อยางไรก็ดี ถาการชําระหนีใ้ นสัญญาเหลานี้มิไดทําโดยมุง
หมายเปนการตางตอบแทนกัน เปนแตเพียงการชดใชคาใชจายทีไ่ ดออกใชไป เชนการชดใช
คาใชจายที่ตวั แทนหรือคูสญั ญาอีกฝายหนึ่งออกใชไป ดังนี้สัญญานั้นก็ไมใชสัญญาตางตอบแทน
หรือในกรณีทผี่ ูรับใหที่ดินตกลงชําระราคาคาธรรมเนียมการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแทน
๒
ในทางกลับกัน ก็มีสัญญาบางชนิดที่เปนสัญญามีคาตอบแทน เชนสัญญานายหนา (มาตรา ๘๔๕) ซึ่งคูกรณี
ฝายใดฝายหนึ่งผูกพันฝายเดียว หรือทั้งสองฝายตกลงกันใหคูกรณีฝายหนึ่งชําระคาตอบแทนเพื่อการที่
คูกรณีอีกฝายหนึ่งเรียกวานายหนาชี้ชองหรือจัดการใหไดทําสัญญากันจนสําเร็จ เชนนายหนาขายที่ดิน
(ไมใชตัวแทน) มีสิทธิไดรับคาบําเหน็จเพื่อการชี้ชองใหมีการขายที่ดินสําเร็จ ดังนี้สัญญานายหนาเปน
สัญญามีคาตอบแทน แตการชี้ชองใหทําสัญญาไมไดเปนหนี้ตางตอบแทน นายหนาตางจากลูกจาง หรือ
ผูรับจาง ตรงที่นายหนาไมจําเปนตองเปนลูกหนี้ และปกตินายหนาไมมีความผูกพันที่จะตองทําตอบแทน
เพื่อการไดคาตอบแทนในการชี้ชองหรือจัดการใหไดทําสัญญากัน
๒๗๕
ผูให ดังนีก้ ารชําระราคาคาธรรมเนียมยอมไมเปนหลักฐานแสดงวามีสัญญาตางตอบแทนระหวางผู
ใหกับผูรับใหแตอยางใด
นอกจากนั้นสัญญาบางสัญญายังอาจเปนสัญญาที่ปะปนกันระหวางสัญญาตางตอบแทน
และสัญญาไมมีคาตอบแทนได โดยอาจแบงเปนสวนทีไ่ มมีคาตอบแทน และสวนที่มีลักษณะตาง
ตอบแทน ดังเชนการตกลงซื้อขายที่ดินในราคามิตรภาพ เปนสัญญาซื้อขายที่ประกอบกันกับ
สัญญาใหโดยเสนหา อันเปนกรณีที่ผูขายมีทั้งเจตนาขายที่ดินสวนหนึ่ง และเจตนาใหที่ดินโดย
เสนหาอีกสวนหนึ่ง และผูซื้อก็มีเจตนารับโอนที่ดินนั้นในลักษณะเปนการสนองซื้อสวนหนึ่ง และ
สนองรับใหโดยเสนหาอีกสวนหนึ่ง ซึ่งการจะพิจารณาวากฎหมายลักษณะใดจะบังคับใชได
เพียงใดยอมขึน้ อยูกับขอเท็จจริงวา ลักษณะใดเปนลักษณะครอบงํา
ข) หลักตางตอบแทน (Synallagma)
สัญญาตางตอบแทนเปนสัญญาที่คูกรณีตกลงผูกพันกันในลักษณะเปนหนี้ซึ่งกันและกัน
ตางตอบแทนกัน หรืออีกนัยหนึ่งคูกรณีแตละฝายตางตกลงเปนเจาหนีแ้ ละลูกหนี้ในสัญญานั้นตอบ
แทนกัน เชนในสัญญาซื้อขาย ผูขายตกลงโอนกรรมสิทธิ์และสงมอบทรัพยที่ซื้อขายกัน และผูซื้อ
ตกลงชําระราคาเพื่อการโอนกรรมสิทธิ์และการสงมอบทรัพยนั้น ดังนี้ผูซื้อเปนเจาหนี้ในอันที่จะ
ไดรับโอนกรรมสิทธิ์และไดรับมอบทรัพยสินที่ซื้อ และในขณะเดียวกันผูซื้อก็เปนลูกหนีใ้ นการ
ชําระราคาซื้อขาย สวนทางฝายผูขายก็เปนเจาหนี้ในอันที่จะไดรับชําระราคา และเปนลูกหนีใ้ นอัน
ที่จะตองโอนกรรมสิทธิ์และสงมอบทรัพยสินที่ขาย จะเห็นไดวาในสัญญานี้ ทั้งผูซื้อและผูขายตาง
เปนเจาหนี้และลูกหนี้ซึ่งกันและกัน สัญญาตางตอบแทนมีสาระสําคัญตรงที่มีความผูกพันใน
ลักษณะที่เปนเจาหนีแ้ ละลูกหนี้ตางตอบแทนกัน เชนสัญญาหุนสวน ผูเปนหุนสวนตางเปนเจาหนี้
ลูกหนี้กนั ในความผูกพันระหวางกัน แตในการเขากันเปนสมาคมนั้น แมสมาคมกับสมาชิกจะมี
หนาที่ตอกัน ก็ไมใชหนาทีต่ างตอบแทนกัน สัญญาเขาเปนสมาชิกสมาคมจึงไมใชสญ ั ญาตางตอบ
แทน
สัญญาตางตอบแทนอาจเปนสัญญาไมมีชื่อก็ได เชนสัญญาจัดจําหนายงานอันมีลิขสิทธิ์ซึ่ง
ผูจัดจําหนายมีสิทธิทําซ้ํา โฆษณาเผยแพรและจัดจําหนายงานอันมีลิขสิทธิ์ตาง ๆ เชนงาน
วรรณกรรม งานดนตรีกรรม ซอฟทแวร ฯลฯ ซึ่งทําขึ้นระหวางผูพิมพโฆษณาและจัดจําหนายกับ
เจาของลิขสิทธิ์ โดยฝายหนึง่ ตกลงชําระคาสมนาคุณแกเจาของลิขสิทธิ์และอีกฝายหนึ่งซึ่งเปน
เจาของลิขสิทธิ์ยอมใหนํางานอันมีลิขสิทธิ์นั้นออกหาประโยชนทางเศรษฐกิจได เปนตน
ตามปกติสัญญาตางตอบแทนนี้ยอมเปนสัญญามีคาตอบแทนเสมอ เชนในสัญญาซื้อขาย
การชําระราคาเปนการชําระคาตอบแทน และการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพยแกผูซื้อก็จดั เปน
คาตอบแทน แตสัญญามีคาตอบแทนไมจําเปนตองเปนสัญญาตางตอบแทนเสมอไป เชนสัญญา
ตัวแทนมีบําเหน็จ หรือสัญญานายหนาเปนสัญญามีคาตอบแทน แตไมใชเปนสัญญาตางตอบแทน
๒๗๖
เพราะการทําการแทนเปนการทําการเพื่อใหสมประโยชนแกผูมอบหมายเปนสําคัญ แมจะได
บําเหน็จเปนคาตอบแทน โดยทั่วไปก็เปนเพียงการสมนาคุณแกกัน แตไมใชสินจางในลักษณะตาง
ตอบแทน แตก็มีการรับจางทําของบางอยางซึ่งผูรับจางทําของตองไดรับมอบอํานาจใหทําการแทน
ดวย ดังนีก้ ็เปนสัญญาตางตอบแทนในรูปของสัญญาจางทําของ ไมใชตางตอบแทนในรูปของ
สัญญาตัวแทน
ค) สิทธิปฏิเสธการชําระหนี้ตา งตอบแทนจนกวาคูกรณีอีกฝายหนึ่งจะชําระหนี้
สัญญาตางตอบแทนอาจมีเนือ้ หารายละเอียดที่กอใหเกิดหนี้ระหวางคูส ัญญาแตกตางกัน
ได แตหนี้ในสัญญาตางตอบแทนเหลานั้น อาจไมใชหนี้ตา งตอบแทนเสมอไป ปญหาวาหนีใ้ ดเปน
หนี้ตางตอบแทนหรือไม มีความสําคัญในการปรับใชกฎหมายที่เกี่ยวของ ทั้งนี้เปนไปตามหลักใน
มาตรา ๔ ที่วา “กฎหมายนั้น ตองใชในบรรดากรณีที่ตองดวยบทบัญญัติใด ๆ แหงกฎหมายตาม
ตัวอักษร หรือตามความมุงหมายของบทบัญญัตินั้น ๆ” ดังนั้นบทบัญญัติที่มุงใชแกนติ ิสัมพันธตาม
สัญญาตางตอบแทนยอมไมนํามาปรับใชกบั นิติสัมพันธที่มิไดมีลักษณะตางตอบแทน และโดยที่
มาตรา ๓๖๙ กําหนดวา “ในสัญญาตางตอบแทนนัน้ คูสัญญาฝายหนึ่งไมยอมชําระหนี้จนกวาอีก
ฝายหนึ่งจะชําระหนีห้ รือขอปฏิบัติการชําระหนีก้ ็ได แตความขอนี้มิใหใชบังคับ ถาหนี้ของ
คูสัญญาอีกฝายหนึ่งยังไมถึงกําหนด” ดังนัน้ สิทธิปฏิเสธไมชําระหนี้ของคูสัญญายอมมีไดเฉพาะ
กรณีที่เปนสัญญาตางตอบแทน๓ และหนี้ทจี่ ะยกขึ้นอางปฏิเสธไมตองชําระกันไดนั้นก็ตองเปนหนี้
ที่มีลักษณะตางตอบแทน และเปนหนี้ที่ถึงกําหนดแลวดวย
หนี้ซึ่งมิไดมีลกั ษณะตางตอบแทนนัน้ ไดแกหนี้อันมิไดเปนหนาที่ประธานในสัญญา แตมี
ลักษณะเปนหนี้หรือหนาที่อปุ กรณ เชนในสัญญาซื้อขายนั้น หนาที่ประธานไดแกหนาที่โอน
กรรมสิทธิ์และสงมอบกับหนาที่ชําระราคา สวนหนาที่ของผูขายในการระมัดระวังไมใหผูซื้อ
ไดรับอันตรายจากการประกอบการของผูขาย หนาทีเ่ ลือกผูขนสงดวยความระมัดระวัง หรือหนาที่
ปองกันทรัพยสินที่ขายมิใหไดรับความเสียหายในระหวางการขนสง หรือบอกกลาวใหขอมูลทาง
เทคนิค หรือรายละเอียดการใชสอยทรัพยสินใหถูกตอง เชนสงมอบคูมือการใชกลองแกผูซื้อตาม
ชนิดของกลอง เหลานี้เปนหนาที่อุปกรณไมใชหนาที่ประธาน ดังจะเห็นไดวาหากลูกหนี้มิไดชําระ
หนี้นนั้ หรือชําระโดยบกพรอง เชนบรรจุหีบหอไมดี เกิดฉีกขาดระหวางขนสง คูมือใชเครื่องมือ
หายไป ฯลฯ หากมิไดเกิดความเสียหายตอทรัพยสินที่ซื้อขายถึงขนาดที่ทําใหการชําระหนี้เปนอัน
ไรประโยชนแกเจาหนี้แลว ความเสียหายที่เกิดแกหีบหอ ยอมไมทําใหเรียกไดวาทรัพยสินที่ซื้อขาย
กันสูญหรือเสียหาย หรือทําใหการชําระหนี้กลายเปนพนวิสัยไปทั้งหมด หรือบางสวนแตอยางใด
๓
โปรดดู จิ๊ด เศรษฐบุตร, นิติกรรมและสัญญา, พิมพครั้งที่ ๔, ๒๕๕๑, หนา ๒๖๖ ซึ่งอาง จิตติ ติงศภัทิย,
หนา ๖๐ ซึ่งอธิบายวาสิทธิไมยอมชําระหนี้ฝายตนจนกวาอีกฝายหนึ่งจะชําระหนี้นั้น หมายถึงหนี้ที่เปนหนี้
ที่ตองชําระตอบแทนกันเทานั้น
๒๗๗
และในกรณีเชนนี้ ผูซื้อจะอางเหตุที่หีบหอ หรือคูมือการใชอุปกรณที่ซื้อขายกันนั้นฉีกขาด
บางสวน มาเปนเหตุไมชําระราคาไมได
ในกรณีทํานองนี้ หากจะถือวาลูกหนี้ไมชําระหนีก้ ็ไมอาจเรียกวาลูกหนีไ้ มชําระหนี้
ประธาน กรณีไมชําระหนี้อปุ กรณนี้ โดยทั่วไปเปนแตเพียงการไมชําระหนีใ้ หตองตามความ
ประสงคอันแทจริงแหงมูลหนี้ เจาหนี้ไมอาจอางเปนเหตุไมชําระหนีส้ วนของตนได ในกรณีเชนนี้
เจาหนีก้ ็ชอบทีจ่ ะเรียกคาเสียหายเพื่อการไมชําระหนีใ้ หตองตามความประสงคอันแทจริงแหงมูล
หนี้ได แตไมใชเหตุที่จะปฏิเสธไมชําระหนี้ตอบแทนทั้งหมด เพียงแตเปนขออางในการไมชําระ
หนี้ตอบแทนบางสวน หรือยึดหนวงไวบางสวนเทานัน้ และไมใชเหตุที่เจาหนีจ้ ะบอกเลิกสัญญา
เพราะยอมไมกอใหเกิดประโยชนจากหลักตางตอบแทนแกเจาหนี้แตอยางใด
นอกจากนี้เรายอมเห็นไดวา หนาที่ของผูเชาทรัพยในการชําระคาเชาเปนหนี้ตางตอบแทน
ดังนั้นหากผูใหเชาไมสงมอบทรัพยที่เชา ผูเชายอมมีสิทธิปฏิเสธไมชําระคาเชา แตเมือ่ สงมอบ
ทรัพยที่เชากันแลว หากผูเชาไมชําระคาเชา ผูใหเชายอมไมมีสิทธิหวงหามไมใหผูเชาใชทรัพยใน
ครอบครอง ไมมีสิทธิเขารบกวนหรือแยงการครอบครองทรัพยโดยอางสัญญาตางตอบแทน ผูให
เชาไดแตอางเหตุที่ผูเชาไมชาํ ระคาเชาในการบอกเลิกสัญญาเชาและเรียกใหผูเชาคืนทรัพยที่เชา
หากพิจารณาจากฝายผูเชา หนาที่สงทรัพยสินที่เชาคืนแกผูใหเชาเมื่อสิ้นสุดสัญญาเชา ยอมไมใช
หนาที่ตางตอบแทนของผูเชา แตเปนหนาที่ฝายเดียวของผูเชา ดังนั้นหากผูใหเชาไมซอมแซมรักษา
ทรัพยตามควร และผูเชาออกคาใชจายซอมแซมเอง หากผูเ ชาเรียกใหผูใหเชาชดใชคาซอมแซม
(มาตรา ๕๔๗) และผูใหเชาไมยอมออกเงินคาซอม ผูเชายอมไมมีสิทธิปฏิเสธไมชําระคาเชา
หรือไมสงทรัพยที่เชาคืน เพราะหนี้ชําระคาเชา หรือหนีส้ งทรัพยคืนไมใชหนี้ตางตอบแทนการที่
ผูใหเชามีหนาที่ซอมแซมทรัพยที่เชา (แตผูเชายังคงมีสิทธิหักกลบลบหนี้คาเชากับหนีช้ ดใชคา
ซอมแซมได)
ในกรณีกูเงิน หนาที่ของผูกใู นการชําระดอกเบี้ยและคาธรรมเนียมแกผูใหกูที่ประกอบ
ธุรกิจบริการแลกเปลี่ยนเงินตราและจัดหาสินเชื่อยอมเปนหนี้ตางตอบแทน แตหนาที่สงเงินตนคืน
ผูใหกูตามสัญญา ไมใชหนี้ตา งตอบแทนตามสัญญากู เพราะเปนหนี้ฝายเดียวของผูกู ดังนั้นหาก
ผูใหกูผิดสัญญาใหบริการแลกเปลี่ยนเงินตราซึ่งเปนสวนหนึ่งของสัญญากู เชนใหบริการสินเชื่อ
หรือแลกเปลี่ยนเงินตราลาชา ก็ไมเปนเหตุใหผูกูอางเปนสาเหตุไมสงคืนเงินตนตามสัญญาได
เมื่อสัญญาเชาสิ้นสุดลง ผูใหเชายอมมีสิทธิไดรับทรัพยสนิ ที่เชาคืนในฐานะเปนเจาหนี้
ดังนั้นหากสิ้นสุดสัญญาเชาแลวและผูใ หเชาไมยอมใหผูเชาเชาทรัพยตอ ไป หากผูเชาไมสง
ทรัพยสินที่เชาคืน หรือทรัพยที่เชาสูญหรือเสียหายเพราะพฤติการณที่ผูเชาตองรับผิดชอบ ผูใหเชา
ก็ยอมบังคับชําระหนี้ของตนและเรียกคาเสียหายไดในฐานะเจาหนี้ตามหลักทั่วไปในเรื่องหนี้
(มาตรา ๒๑๓, ๒๑๔) แตไมมีเหตุใหผูใหเชาอางความผูกพันตามสัญญาตางตอบแทนวาเมื่อไมสง
มอบทรัพยที่เชาคืน ก็ไมยอมใหผูเชาเขาไปในสถานที่เชา หรือไมยอมใหนําทรัพยสนิ ออกจาก
๒๗๘
สถานที่เชา เพราะกรณีที่อางดังกลาวนีไ้ มใชขออางปฏิเสธชําระหนี้ตางตอบแทนอันจะอางมาตรา
๓๖๙ ได และการที่ผูใหเชาจะเรียกทรัพยที่เชาคืนยอมทําได โดยไมตองบอกเลิกสัญญาอะไรอีก
เพราะเมื่อสัญญาสิ้นสุดลงแลว การบอกเลิกสัญญาเพื่ออาศัยสิทธิตามหลักกฎหมายวาดวยสัญญา
ตางตอบแทนยอมไมกอใหเกิดสิทธิหรือขอดีเพิ่มเติมขึ้นแกผูใหเชา หรือผูใหกูแตอยางใด
การแยกแยะวาหนี้ใดเปนหนี้ตางตอบแทนหรือไมนี้ จะเห็นไดวามีนัยสําคัญในแงการปรับ
ใชกฎหมายเกีย่ วกับสัญญาตางตอบแทน เชนในกรณีสญ ั ญาซื้อขาย หากปรากฏวาผูซ ื้อชําระราคา
สินคาซึ่งเปนหนี้ตางตอบแทนแลว แตกลับปฏิเสธไมยอมรับมอบสินคาที่ซื้อขายกัน ดังนี้มีปญหา
วา ผูขายจะอางเปนเหตุบอกเลิกสัญญาไดหรือไม? หรือเปนกรณีที่ผูขายไดแตเรียกใหผูซื้อรับผิด
ชดใชคา สินไหมทดแทนเพือ่ การที่ผูขายตองดูแลรักษาทรัพยที่ซื้อขายไวตอไป? เรายอมเห็นไดวา
หากยอมใหผขู ายบอกเลิกสัญญาเพียงเพราะเหตุที่ผูซื้อผิดนัดรับมอบทรัพยสินที่ซื้อขายกัน ยอมจะ
ขัดกับหลักที่ถอื วา เจาหนี้มีสทิ ธิรับชําระหนี้ แตไมมหี นาที่ตองรับชําระหนี้ การที่เจาหนี้ผิดนัด
เพียงแตเปนเหตุใหลูกหนี้ซึ่งขอปฏิบัติการชําระหนี้โดยชอบแลวนั้น ไดรับการปลดเปลื้องจาก
ความรับผิดชอบอันเกิดจากการไมชําระหนี้เทานั้น (มาตรา ๓๓๐ ปพพ.) ในกรณีเชนนี้ผูขายซึ่งเปน
ลูกหนี้ตองสงมอบทรัพยยอมไมตกอยูใ นฐานะลูกหนี้ผดิ นัด และไมตอ งรับผิดหนักขึ้น หาก
ทรัพยสินที่ซื้อขายกันเกิดสูญหรือเสียหายไปเพราะอุบัติเหตุ หรือเพราะพฤติการณทคี่ ูกรณีไมตอง
รับผิดชอบ เปนที่เห็นไดวาความเสี่ยงในการที่ทรัพยอันเปนวัตถุแหงหนี้เกิดสูญหรือเสียหายไปนั้น
ยอมตกเปนภาระแกผูซื้อซึ่งเปนเจาหนี้ ไมวาผูซื้อจะยอมรับโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพยนั้นหรือไมก็
ตาม
อยางไรก็ดี ปญหาวาหนี้สวนใดเปนหนี้ตา งตอบแทนหรือไมเพียงใด ยอมตองพิจารณาจาก
เจตนาทีแ่ ทจริงของคูกรณี และจากเนื้อหาแหงสัญญานัน้ ๆ ประกอบกันดวย เชนหากปรากฏวา
การรับมอบสินคาเปนสิ่งที่คูกรณีถือเปนสาระสําคัญหรือเปนประโยชนสําคัญของฝายผูขายมาแต
ตนหรือเปนเนือ้ หาแหงนิติสมั พันธที่คูกรณีคาดหมายไดตามปกติ ดังนี้ การไมยอมรับชําระหนี้
หรือการไมยอมรับมอบสินคาที่ซื้อขายอันเปนเหตุใหผูขายไดรับความเสียหาย ยอมเปนการผิด
สัญญาในสาระสําคัญ และถือไดวาเปนการไมชําระหนี้ตา งตอบแทน และในกรณีเชนนี้ผูขายยอมมี
สิทธิถือวาลูกหนี้ผิดสัญญา ไมชําระหนีต้ างตอบแทน และอางเปนเหตุบอกเลิกสัญญาตามหลักใน
มาตรา ๓๘๗ ได
โดยเหตุที่สัญญาตางตอบแทนเปนสัญญาที่คูกรณีตกลงผูกพันเปนหนีต้ อบแทนกันใน
ลักษณะที่การชําระหนี้ของคูแ ตละฝายยอมเปนเงื่อนไขในการชําระหนีข้ องคูสัญญาอีกฝายหนึ่ง
เชนในสัญญาซื้อขาย การโอนกรรมสิทธิ์ของผูขายยอมเปนเงื่อนไขในการชําระราคาของผูซื้อ หรือ
ในสัญญาเชา การยอมใหใชทรัพยของผูใหเชายอมเปนเงื่อนไขแหงการที่ผูเชาชําระคาเชา ใน
สัญญาจางทําของการทําการงานจนสําเร็จยอมเปนเงื่อนไขแหงการชําระสินจาง ฯลฯ ดังนี้ ผลอัน
เกิดจากความตกลงผูกพันตางตอบแทนระหวางกันนี้ ก็คือคูกรณียอมตกลงกันดวยวา หากคูสัญญา
๒๗๙
ฝายใดฝายหนึง่ ไมชําระหนี้ คูสัญญาอีกฝายหนึ่งยอมมีสทิ ธิปฏิเสธไมชําระหนี้สวนของตน กลาว
อีกนัยหนึ่งไดวา หากฝายหนึ่งพรอมจะชําระหนีแ้ ลว จึงจะมีสิทธิเรียกรองใหอีกฝายหนึ่งชําระหนี้
ของฝายนั้นได
สิทธิปฏิเสธไมชําระหนีจ้ นกวาอีกฝายหนึง่ จะชําระหนี้ตอบแทนนี้อาจมีไดหลายลักษณะ
เชน คูสัญญาทําสัญญาจะซื้อขายที่ดินกันวา คูสญ ั ญาฝายหนึ่งจะจายเงินใหอีกฝายหนึ่งเปนคราว ๆ
เมื่อจายครบกําหนดที่ตกลงกันแลว ฝายทีไ่ ดรับเงินจะโอนที่ดินของบุคคลภายนอกให ดังนี้ตราบ
เทาที่ฝายที่ตกลงจะโอนที่ดนิ แสดงไมไดวาพรอมที่จะโอนที่ดิน ฝายทีต่ กลงจะจายเงินก็มีสิทธิไม
ชําระเงินใหอกี ฝายหนึ่งได๔
คูกรณีสองฝายตกลงแบงมรดกกัน โดยทั้งสองฝายตกลงแบงที่ดินที่ไดรบั ครึ่งหนึ่งแกบุตร
ของคูกรณีฝายหนึ่ง โดยบุตรฝายที่ไดรับทีด่ ินครึ่งหนึ่งตกลงชําระเงินแกคูกรณีอีกฝายหนึ่งจํานวน
หนึ่ง ดังนี้เมื่อยังไมชําระเงิน จะเรียกใหคูกรณีอีกฝายหนึง่ ยอมโอนที่ดนิ ตามขอตกลงยังไมได
เพราะสัญญาแบงมรดกกรณีนี้มีลักษณะเปนสัญญาโอนเงินตอบแทนการโอนที่ดิน จึงเปนสัญญา
ตางตอบแทน หากฝายหนึ่งยังไมไดรับชําระหนีย้ อมมีสิทธิปฏิเสธไมชําระหนี้ของตนได๕
การที่ผูขนสงรับขนสงทุเรียนสดไปสงปลายทางในตางประเทศ ไดจัดการขนสงโดยใชตู
สินคาชํารุดบกพรองทําใหไมสามารถรักษาอุณหภูมิของผลไมถึงปลายทางไดโดยเรียบรอย ผล
ทุเรียนชื้น เปยกน้ํา ผลปริแตก เนื้อทุเรียนสุกเละเทะ มีราขึ้น ทําใหไมอาจสงมอบแกผรู ับซึ่งเปนผู
ซื้อ ณ ปลายทางได เปนการไมชําระหนีใ้ หตองตามความประสงคอันแทจริงแหงมูลหนี้ อันเปนมูล
แหงหนี้ตางตอบแทนกับการชําระหนี้คาระวางและคาใชจายในการขนสง เมื่อผูขนสงสงของไปถึง
ปลายทางโดยไมสมประโยชนของผูสง ไมอาจถือไดวาไดชําระหนี้แลว ดังนี้ผูสงจึงมีสิทธิปฏิเสธ
ไมชําระคาขนสงและคาใชจา ยแกผูขนสงได๖
คูกรณีหยาจากกันโดยตกลงกันวา ใหฝายหนึ่งชําระหนีท้ ี่เปนอยูรวมกันแกธนาคารทัง้ หมด
แลวอีกฝายหนึ่งจะตกลงยกที่ดินทั้งหมดในเขตทองที่จังหวัดทีต่ กลงกันใหฝายที่ชําระหนี้ธนาคาร
ไปทั้งหมด ดังนี้ขอตกลงมีลักษณะเปนสัญญาแบงทรัพยสินของสามีภริยาตามกฎหมาย แตก็มี
ลักษณะเปนสัญญาตางตอบแทนดวย หากยังไมมีการชําระหนีแ้ กธนาคาร อีกฝายหนึ่งยอมมีสิทธิ
ปฏิเสธไมโอนที่ดินใหฝายนัน้ ได๗
แตถานิติสัมพันธระหวางคูกรณีไมใชหนี้ตา งตอบแทนกัน จะอางไมชําระหนีจ้ นกวาอีก
ฝายหนึ่งจะชําระหนี้ไมได เชนในสัญญาจางแรงงาน หนีต้ างตอบแทนคือฝายลูกจางตกลงทํางาน
๔
ฎีกาที่ ๑๖๒/๒๔๙๑, ๒๔๙๑ ฎ. ๑๙๙
๕
โปรดเทียบฎีกาที่ ๘๒๕/๒๕๑๔, ๒๕๑๔ ฎ.๖๒๕
๖
โปรดเทียบฎีกาที่ ๘๗๘๕/๒๕๔๔
๗
โปรดเทียบฎีกาที่ ๕๔๙๖/๒๕๔๙
๒๘๐
ใหนายจาง โดยนายจางตกลงจายสินจางแกลูกจางตลอดเวลาที่ลูกจางทํางานให สมมตินายจาง
มอบหมายใหลูกจางขับรถสงของ เมื่อเสร็จงานสงของแลวนายจางไมชําระสินจาง ดังนั้นลูกจางจึง
อางเหตุนั้นไมยอมสงรถคืนนายจางจนกวานายจางจะชําระสินจางครบจํานวน ดังนี้ลกู จางไมอาจ
อางการไมสงมอบรถวาเปนสิทธิไมชําระหนี้จนกวาคูกรณีอีกฝายหนึง่ จะชําระหนี้ตามมาตรา ๓๖๙
เพราะการสงมอบรถไมใชหนี้ตางตอบแทนในสัญญาจางแรงงาน หรือในสัญญาจางทําของ หนี้
ตางตอบแทนกันคือฝายหนึง่ ตกลงรับทําการงานจนเสร็จการ อีกฝายหนึ่งตกลงชําระสินจาง เชน
วาจางชางใหซอ มแซมรถยนต ดังนี้หากฝายผูรับจางทําของทําการงานจนเสร็จแลว ฝายผูวาจางมา
ขอรับรถคืนโดยไมจายคาจางซอมรถกอน ฝายผูรับจางทําของจะมีสิทธิปฏิเสธไมสงมอบรถโดย
อางสิทธิไมยอมชําระหนีจ้ นกวาอีกฝายจะชําระหนี้ไดหรือไม? จะเห็นไดวาในกรณีนี้ หนี้สงมอบ
รถคืนไมใชหนี้ตางตอบแทนการไดรับสินจางคาซอมรถ เพราะหนี้ตางตอบแทนคาสินจางคือการ
ซอมรถนั้น แตเมื่อผูรับจางไดซอมแซมจนเสร็จแลว ก็ไมมีหนี้ตางตอบแทนที่จะอางเพื่อปฏิเสธไม
ชําระไดอีก ดังนั้นจะอางไมสง มอบรถคืนโดยอางสิทธิปฏิเสธชําระหนี้ตางตอบแทนตามมาตรา
๓๖๙ ไมได
อยางไรก็ดี ในกรณีวาจางซอมแซมรถยนตนี้ ตราบใดที่ผรู ับจางซอมรถยนตยังครอบครอง
รถอยู ก็นับไดวาเปนกรณีที่ฝา ยผูรับจางซอมรถยนตไดครอบครองทรัพยซึ่งมีหนี้อนั เปนคุณแกตน
เกี่ยวดวยทรัพยสินซึ่งครองอยู ดังนี้ผูครอบครองทรัพยมีสิทธิยึดหนวงในทรัพยนั้นไวจนกวาจะได
ชําระหนี้ ตามหลักเรื่องสิทธิยึดหนวงของเจาหนีใ้ นมาตรา ๒๔๑ ปพพ. แตสิทธิยึดหนวงตางจาก
สิทธิปฏิเสธไมชําระหนี้ตอบแทนตามหลักตางตอบแทนในมาตรา ๓๖๙ ปพพ. ตรงที่สิทธิยึดหนวง
ระงับไปเพราะการที่ลูกหนีใ้ หประกันตามสมควรตามมาตรา ๒๔๙ ปพพ. แตสิทธิปฏิเสธไมชําระ
หนี้ตอบแทนนั้นไมสิ้นไป แมลูกหนีจ้ ะหาหลักประกันพอสมควรมาให สิทธิปฏิเสธไมชําระหนี้
ตอบแทนนัน้ ไมสิ้นไปแมคูกรณีอีกฝายหนึง่ จะชําระหนี้ดว ยสิ่งอื่นที่มีราคาหรือมูลคาสูงกวา เพราะ
การจะบังคับใหเจาหนี้ตองรับชําระหนี้อยางอื่นยอมทําไมได (มาตรา ๓๒๐ ปพพ.) สิทธิปฏิเสธไม
ชําระหนีย้ อมสิ้นไปเฉพาะเมื่อคูกรณีอีกฝายหนึ่งชําระหนี้หรือขอปฏิบัติการชําระหนีโ้ ดยชอบแลว
เทานั้น
อนึ่ง ความสัมพันธตางตอบแทนนี้ ยอมเปนไปตามความตกลงระหวางคูกรณีเปนสําคัญ
ดังนั้นหากคูกรณีตกลงกันเปนอยางอื่น เชนตกลงใหหนี้แตละฝายถึงกําหนดไมพรอมกัน เชนทํา
สัญญาซื้อขายรถยนตกัน หากตกลงกันวาใหผูซื้อชําระราคาสวนหนึ่ง และผูขายตกลงสงมอบ
รถยนตทันที โดยผูซื้อจะชําระราคาสวนที่เหลือภายใน ๑๕ วัน ดังนี้แมสัญญาซื้อขายเปนสัญญา
ตางตอบแทน แตเมื่อหนี้ของผูซื้อสวนที่คางชําระยังไมถึงกําหนด ผูขายยอมมีหนาที่สง มอบ
รถยนตที่ตกลงซื้อขายกันแกผูซื้อตามสัญญา จะปฏิเสธไมชําระหนี้สวนของตนโดยอางวาผูซื้อยัง
ชําระราคาไมครบถวนไมได
๒๘๑
ง) ขอยกเวนสิทธิปฏิเสธการชําระหนี้ตางตอบแทน
สิทธิไมยอมชําระหนี้ตางตอบแทนจนกวาอีกฝายหนึ่งจะชําระหนีห้ รือขอปฏิบัติการชําระ
หนี้ตางตอบแทนสวนของตนตามมาตรา ๓๖๙ นี้เปนสิทธิที่กฎหมายรับรองไวในฐานะที่เปนผล
จากขอตกลงตางตอบแทนกันตามเจตนาของคูกรณี ดังนัน้ หากคูก รณีจะตกลงกันเปนอยางอื่นก็
ยอมตกลงกันได เชนตกลงกันวาใหฝายใดฝายหนึ่งมีหนาที่เปนฝายทีช่ ําระหนีก้ อนอีกฝายหนึ่ง ใน
กรณีเชนนี้ ฝายที่มีหนาทีต่ องชําระหนีก้ อนจะยกสิทธิไมยอมชําระหนี้สวนของตนจนกวาอีกฝาย
หนึ่งจะชําระหนี้ตอบแทนขึน้ เปนขออางยอมไมได เพราะหนี้ของอีกฝายหนึ่งยังไมถงึ กําหนด
ตัวอยางเชน คูก รณีในสัญญาซื้อขายแบบผอนชําระกันเปนงวด ๆ โดยตกลงกันวาใหผซู ื้อชําระ
ภายใน ๑๕ วันนับแตวันรับมอบทรัพย ดังนี้ผูขายจะปฏิเสธไมสงมอบจนกวาผูซื้อจะชําระราคา
ครบถวนไมได เพราะเปนกรณีที่คูกรณีตกลงใหผูขายมีหนาที่ชําระหนีก้ อน และมีผลเปนการสละ
สิทธิปฏิเสธไมชําระหนีจ้ นกวาอีกฝายหนึง่ จะชําระหนี้ตามมาตรา ๓๖๙ ไปแลว
นอกจากนี้ หากไมปรากฏวาคูกรณีตกลงกันไวหรือมีปกติประเพณีเปนอยางอื่น มีหลาย
กรณีที่กฎหมายไดวางขอสันนิษฐานวาคูกรณีฝายหนึ่งยอมตกลงชําระหนี้ของตนกอน เชนใน
สัญญาเชา มาตรา ๕๕๙ กําหนดวา
“ถาไมมีกําหนดโดยสัญญาหรือโดยจารีตประเพณีวาจะพึงชําระคาเชา ณ เวลาใด
ทานใหชําระเมื่อสิ้นระยะเวลาอันไดตกลงกําหนดกันไวทุกคราวไป กลาวคือวา ถา
เชากันเปนรายปก็พึงชําระคาเชาเมื่อสิ้นป ถาเชากันเปนรายเดือนก็พึงชําระคาเชาเมื่อ
สิ้นเดือน”
หรือในสัญญาจางแรงงาน มาตรา ๕๘๐ กําหนดวา
“ถาไมมีกําหนดโดยสัญญาหรือจารีตประเพณีวา จะพึงจายสินจางเมื่อไร ทานวาพึง
จายเมื่องานไดทําแลวเสร็จ ถาการจายสินจางนั้นไดกําหนดกันไวเปนระยะเวลา ก็ให
พึงจากเมื่อสุดระยะเวลาเชนนั้นทุกคราวไป”
หรือในเรื่องจางทําของ มาตรา ๖๐๒ ก็กําหนดวา
“อันสินจางนัน้ พึงใชใหเมื่อรับมอบการที่ทํา” และ
“ถาการที่ทํานั้นมีกําหนดวาจะสงรับกันเปนสวน ๆ ไซร ทานวาพึงใชสินจางเพื่อการ
แตละสวนในเวลารับเอาสวนนั้น”
เหลานี้เปนตน
ในกรณีเหลานีห้ ากไมไดตกลงกันไว หรือมีจารีตประเพณีเปนอยางอื่น ผูใหเชา ลูกจาง
และผูรับจาง ยอมมีหนาที่ชําระหนี้สวนของตนกอน แลวจึงจะมีสิทธิรับชําระหนี้ตอบแทน ดังนั้น
ในกรณีเหลานี้ ผูใหเชา ลูกจาง หรือผูรับจางจะอางสิทธิไมยอมชําระหนีต้ ามมาตรา ๓๖๙ มา
ปฏิเสธการชําระหนีจ้ นกวาคูกรณีอีกฝายหนึ่งจะชําระหนี้ตอบแทนไมได
๒๘๒
อยางไรก็ดี แมคูกรณีฝายหนึง่ จะมีหนาที่ชําระหนี้ตางตอบแทนลวงหนา และไมมีสิทธิ
ปฏิเสธการชําระหนีจ้ นกวาอีกฝายหนึ่งจะชําระหนี้ตอบแทนก็ตาม ก็อาจมีพฤติการณที่คูกรณีฝายนี้
ควรไดรับความคุมครองไมใหตองชําระหนี้ลวงหนาได เชนในกรณีที่ปรากฏพฤติการณวาคูก รณี
อีกฝายหนึ่งจะไมอยูในฐานะที่จะชําระหนีต้ อบแทนได เพราะฐานะทางเศรษฐกิจไมมั่นคงถึงขนาด
อาจจะไมสามารถชําระหนี้ตอบแทน หรือทําใหฝายที่ตองชําระหนี้ลวงหนาตองเสื่อมสียสิทธิที่จะ
ไดรับชําระหนี้ตอบแทนไป เชนกรณีที่คกู รณีอีกฝายหนึง่ ถูกศาลสั่งพิทักษทรัพยเด็ดขาด เปนเหตุ
ใหไมมีสิทธิจดั การทรัพยสนิ ของตนได หรือไมใหประกันเมื่อจําตองให หรือทําลายหรือทําให
หลักประกันอันไดใหไวลดนอยถอยลง หรือนําทรัพยสินของผูอื่นที่มาใหเปนประกันโดยเจาของ
มิไดยนิ ยอม หรือกรณีอื่นทํานองเดียวกัน กรณีเหลานี้อาจถือไดวาเปนกรณีที่แมหนีข้ องอีกฝาย
หนึ่งจะยังไมถึงกําหนด คูกรณีฝายนัน้ ยอมไมอาจถือเอาประโยชนแหงเงื่อนเวลาอันเปนคุณแกตน
ไดตอไป โดยนําเอาหลักหามลูกหนี้ถือเอาประโยชนแหงเงื่อนเวลาในมาตรา ๑๙๓ มาปรับใชโดย
เทียบเคียงได เมื่อคูกรณีอีกฝายหนึ่งไมอาจถือเอาประโยชนแหงเงื่อนเวลาได ก็ยอมอางเหตุที่หนี้ยงั
ไมถึงกําหนดเปนประโยชนแกตวั โดยถือวาเปนขอหามมิใหคูกรณีอีกฝายหนึ่งปฏิเสธไมชําระหนี้
จนกวาจะไดรบั ชําระหนี้ตอบแทนไมได และดวยเหตุนี้แมในกรณีที่หนีย้ ังไมถึงกําหนด ฝายที่ตอง
ชําระหนี้ลวงหนา ก็อาจอางเหตุที่คูกรณีอกี ฝายหนึ่งทําใหเสื่อมเสียหลักประกัน หรือทําใหเสื่อม
เสียความเชื่อถือวาจะชําระหนี้ได มาเปนขออางในการปฏิเสธไมชําระหนี้จนกวาอีกฝายหนึ่งจะ
ชําระหนี้ได เปนการอางหลักหามลูกหนี้ถือเอาประโยชนในเงื่อนเวลาในมาตรา ๑๙๓ มาใชเปน
ขอยกเวนขอยกเวนตามมาตรา ๓๖๙ อีกชั้นหนึ่งนั่นเอง
นอกจากนี้สิทธิของคูกรณีในสัญญาตางตอบแทนที่จะปฏิเสธไมชําระหนี้จนกวาอีกฝาย
หนึ่งจะชําระหนี้ยังมีขอยกเวนที่สําคัญอีกประการหนึ่ง คือ หากการปฏิเสธไมชําระหนี้นั้นเปนการ
ใชสิทธิโดยไมสุจริต ดังนี้ฝายที่อางสิทธิปฏิเสธไมชําระหนี้ยอมขาดความชอบธรรมที่จะยกสิทธิ
ปฏิเสธไมชําระหนี้ขนึ้ เปนขออางของตน ตัวอยางเชน กรณีที่คูกรณีอีกฝายหนึ่งยังมิไดชําระหนี้ให
ครบถวน ปกติยอมกอใหเกิดสิทธิปฏิเสธไมชําระหนี้ตอบแทนจนกวาฝายนั้นจะชําระหนีใ้ ห
ครบถวน แตถา การที่ยังมิไดชําระหนีใ้ หครบถวนนั้นเปนเหตุเล็กนอย การอางเหตุเล็กนอยขึ้นอาง
เพื่อใชสิทธิปฏิเสธไมชําระหนี้ อาจเปนการใชสิทธิโดยไมสุจริตได เชนผูเชาอางเหตุที่ผูใหเชาสง
มอบทรัพยที่เชาบกพรองเล็กนอยเปนเหตุไมชําระคาเชาจนกวาอีกฝายหนึ่งจะแกไขขอบกพรอง
นั้น
๒๘๓
สวนที่ ๗ ผลของสัญญา
๓. การแบงภาระความเสี่ยงในสัญญาตางตอบแทน
อุทาหรณ
อุทาหรณ ๑) ก. ตกลงซื้อภาพเขียนมีชื่อจาก ข. วางมัดจําไวแลว กําหนดสงมอบใน ๓ วัน
กอนถึงกําหนดสงมอบ ข. แจง ก. วาภาพที่ตกลงซื้อขายกันหายไปโดยไรรอ งรอย และอางวาการชําระหนี้
เปนพนวิสัยเพราะพฤติการณที่ตนไมตองรับผิดชอบ หาก ก. ไมเชื่อวา ข. บอกความจริง แตเอาภาพไป
ซอนไว หรือไดขายภาพนั้นแก ค. ในราคา ๒ เทาของราคาที่ตกลงไวกับ ก. ดังนี้ ก. จะมีทางเรียกให ข.
รับผิดไดหรือไม?
อุทาหรณ ๒) กรณีจะเปนอยางไรหากปรากฏวาภาพนั้นถูกคนรายลักไปจริง โดยที่ ข. ไดใช
ความระมัดระวังในการรักษาทรัพยตามสมควรแลว และ ข. ไดรับเงินจากการประกันทรัพยสินโดย
ข. ไดรับเงินประกันเกินกวาราคาที่ขายแก ก. หรือ
ข. ไดรบั เงินประกันเพียงครึ่งหนึ่งของราคาที่ขายแก ก.
ข. ไดรับเงินประกันเต็มราคา แตภาพถูกลักไประหวางที่ ข. ผิดนัด
กรณีจะเปนอยางไร ถาภาพถูกลักไประหวางที่ ก. ผิดนัดรับชําระหนี้
อุทาหรณ ๓) ก. ตกลงทําสัญญาจะซื้อขายบานพรอมที่ดินชายทะเลหลังหนึ่งจาก ข. โดยทํา
สัญญากันเอง และ ก. ไดชําระเงินแก ข. แลวสวนหนึ่ง โดยตกลงกันวา ก. มีสิทธิเขาอยูอาศัยในบานหลัง
นี้ทันทีแตจะตองผอนชําระราคาเปนงวด ๆ งวด โดย ข. ตกลงจะโอนกรรมสิทธิ์ในบานและที่ดินแก ก.
เมื่อ ก. ผอนชําระราคาแลวครึ่งหนึ่ง ครั้น ก. ผอนชําระราคาไดเพียงหนึ่งในสิบ บานก็ประสบเหตุคลื่น
ยักษสึนามิถลมใสจนหายไปทั้งหลัง เหลือแตที่ดินเปลา ๆ มีราคาเพียงหนึ่งในสาม ดังนี้ หาก ก. มา
ปรึกษาทานวาตองการจะหยุดสงเงินคาบาน และเรียกรองให ข. สรางบานใหมลงบนที่ดินแปลงนี้ให
เหมือนบานหลังเดิมเพื่อสงมอบแกตนแลวจึงคอยผอนชําระราคาตอไป หาก ข. ไมยอมสรางบานใหตนก็
จะหักราคาลงเหลือเพียงหนึ่งในสาม หรือมิฉะนั้นจะบอกเลิกสัญญา และเรียกเงินที่ชําระใหแก ข. ไปคืน
ทั้งหมด ดังนี้หากทานจะใหคําปรึกษาวา ก. มีสิทธิเรียกให ข. สรางบานใหใหม หรือจะเรียกใหลดราคา
ลง หรือเลิกสัญญาแลวเรียกเงินที่ชําระไวแลวคืนไดหรือไม เพราะเหตุใด
อุทาหรณ ๔) กรณีจะเปนอยางไร หากปรากฏวาตามขอเท็จจริงในอุทาหรณ ๓) ก. ผูจะซื้อ
ไดทําประกันภัยบานหลังนี้ไวเปนเงิน ๒ ลานบาทเทากับราคาบาน หากบานประสบภัยพิบัติและ ก.
ไดรับเงินประกันครบถวนแลว ยังจะมีสิทธิเรียกให ข. สรางบานใหตนตามสัญญาจะซื้อขาย หรือลดราคา
ซื้อขายลง หรือเลิกสัญญาหรือไม เพราะเหตุใด
๒๘๔
สวนที่ ๗ ผลของสัญญา
๓. การแบงภาระความเสี่ยงในสัญญาตางตอบแทน
ในสัญญาตางตอบแทนนัน้ หลังจากไดทําสัญญากันแลว กวาจะมีการชําระหนีก้ ันเสร็จสิ้น
อาจกินเวลาอีกระยะหนึ่ง ซึ่งระหวางนี้วตั ถุแหงหนีต้ ามสัญญา เชนทรัพยสินที่ตกลงขายกัน หรือ
รถที่ตกลงเชากันไวอาจจะสูญหรือเสียหาย ถูกทําลายไป หรือเกิดเหตุใหการชําระหนีก้ ลายเปนพน
วิสัยไดหลายทาง ในกรณีเหลานี้ยอมเกิดเปนปญหาวา คูสญ ั ญาฝายใดควรจะเปนผูตองรับความ
เสี่ยงในบาปเคราะหที่ทรัพยอันเปนวัตถุแหงหนี้ เกิดสูญ เสียหายหรือกลายเปนพนวิสยั ไป ปญหา
เรื่องนี้เปนปญหาที่มีการโตเถียงกันมานานแลวตั้งแตสมัยโรมัน โดยเฉพาะอยางยิ่งในสัญญาซื้อ
ขายนั้น หากมิไดตกลงแบงภาระความเสี่ยงกันไวลวงหนา ยอมเกิดปญหาวาผูซื้อหรือผูขายควร
เปนผูรับภาระความเสี่ยง กลาวคือผูซื้อ หรือผูเชาควรตองชําระราคาหรือคาเชาทรัพยสินที่ซื้อขาย
กันหรือไม แมวาเขาจะไดรับชําระหนี้เพียงบางสวน หรือไมไดรับทรัพยสินอะไรไวเลย หรือไดรับ
ทรัพยในสภาพที่ชํารุดเสียหาย อนึ่ง แมจะเปนที่แนนอนวา ความเสีย่ งเหลานี้อาจเอาประกันไว
ลวงหนา หรืออาจมีบุคคลอื่นที่กอความเสียหายเปนผูที่ตอ งรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนความ
เสียหายทีเ่ กิดขึ้น แตปญหาความเสี่ยงในเรื่องเหลานี้ก็ยงั คงมีอยู กลาวคือฝายใดควรจะเปนฝายที่
ตองรับภาระหนาที่ในการหาทางปองกันหรือจัดการแกไขหรือบรรเทาความเสียหายนั้น ๆ เชนใคร
จะตองเปนฝายจัดหาประกันภัย หรือติดตามบังคับใหมกี ารชดใชคาสินไหมทดแทน หรือ
แมกระทั่งเมื่อเกิดความเสียหายแกทรัพยอนั เปนวัตถุแหงหนี้แลว ใครมีหนาที่บรรเทาความเสียหาย
ดวยการนําทรัพยที่เสียหายออกจําหนายในทองตลาด
ในสัญญาซื้อขาย โดยเฉพาะอยางยิ่งในการซื้อขายทรัพยที่ระบุไวแตเพียงเปนประเภท
หรือที่เรียกกันวา generic goods มีปญหาความเสี่ยงที่อาจแยกออกไดเปนสองพวก พวกแรกคือ
ปญหาวา เมื่อผูขายไดกําหนดหรือระบุบงตัวทรัพยเปนที่แนนอนแลว หากทรัพยนั้นสูญ เสียหาย
หรือกลายเปนพนวิสัยไป ผูขายควรจะหลุดพนจากการชําระหนีน้ ั้นหรือไม ความเสี่ยงชนิดนี้เรา
เรียกวาความเสี่ยงในการชําระหนี้ และในกรณีที่ผูขายหลุดพนจากการชําระหนี้ เราก็จะเห็นไดวายัง
มีปญหาความเสี่ยงอีกพวกหนึ่ง กลาวคือปญหาวา ผูขายที่หลุดพนจากการชําระหนีน้ นั้ จะมีสิทธิที่
จะเรียกใหผูซื้อชําระราคาทรัพยสินนั้นอีกหรือไม ปญหานี้เราเรียกวาความเสี่ยงในการชําระราคา
และโดยทัว่ ไป ปญหาภาระความเสี่ยงภัยนี้ เปนที่รูกันวาหมายถึง ความเสี่ยงในการชําระราคา
ดังนั้นปญหาความเสี่ยงในสัญญาตางตอบแทนในที่นี้เราจึงมุงหมายถึงปญหาวา เมื่อทรัพยสญ ู หรือ
เสียหายไป หรือกลายเปนพนวิสัยไปแลว หากลูกหนีห้ ลุดพนจากการชําระหนี้ เจาหนีย้ ังตองรับ
ความเสี่ยงในการชําระราคาอยูหรือไม
๓.๑ ภาระความเสี่ยงในสัญญาตางตอบแทนทั่วไปเปนไปตามหลักตางตอบแทน
๒๘๕
หลักเกณฑในการแบงภาระความเสี่ยงในสัญญาตางตอบแทนของระบบกฎหมายไทย
เปนไปตามมาตรา ๓๗๐-๓๗๒ แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย ซึ่งตั้งอยูบนหลักตางตอบ
แทน หลักดังกลาวนี้เชื่อมโยงอยูกับหลักความรับผิดชอบในความสัมพันธทางหนี้ตามหลักทั่วไป
ในกฎหมายลักษณะหนี้ ซึ่งถือวาหากมีเหตุขัดของเกิดขึน้ แกการชําระหนี้ ก็ตองพิจารณาเสียกอน
วาเหตุเหลานัน้ เปนเพราะพฤติการณที่ฝายใดตองรับผิดชอบ กลาวคือ
(๑) ตามปกติลูกหนี้ยอ มมีหนาทีช่ ําระหนี้ หากลูกหนี้ละเลยไมชําระหนี้ของตัว หรือไม
ชําระหนี้เพราะพฤติการณทลี่ ูกหนี้ตองรับผิดชอบ ลูกหนี้ยอมตองรับผิด (มาตรา ๒๑๓, ๒๑๕) โดย
ลูกหนี้ตองรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนความเสียหายอันเกิดจากการผิดนัด และถาการผิดนัดนัน้
เปนเหตุใหการชําระหนี้เปนอันไรประโยชนแกเจาหนี้ เจาหนี้จะบอกปดไมรับชําระหนี้ และเรียก
คาสินไหมทดแทนเพื่อการไมชําระหนี้ได (มาตรา ๒๑๖)
(๒) แตหากลูกหนีม้ ีเหตุขัดของใหชําระหนี้ไมได เพราะพฤติการณที่ลูกหนีไ้ มตอง
รับผิดชอบ ดังนี้แมกฎหมายจะถือวาลูกหนี้ยังมีหนาที่ตอ งชําระหนี้ตอไปเมื่อพฤติการณอันเปน
เหตุขัดของนัน้ สิ้นสุดลง แตกฎหมายก็ยอมรับวา เมื่อมีเหตุขัดของซึ่งไมไดเปนเพราะลูกหนี้ละเลย
ไมชําระหนี้ของตน หรือเปนเพราะพฤติการณที่ลูกหนี้ตอ งรับผิดชอบ ลูกหนี้กย็ ังไมตองรับผิด ซึ่ง
กฎหมายเรียกวายังไมผดิ นัด (มาตรา ๒๐๕)
(๓) หากเหตุขัดของที่ทําใหลูกหนี้ไมอาจชําระหนี้ไดนั้น เปนเหตุขัดของถึงขนาดที่ทําให
การชําระหนีก้ ลายเปนพนวิสยั ไปหลังจากกอหนี้กันแลว ก็มีหลักตอไปวา ถาเหตุแหงการที่การ
ชําระหนี้เปนพนวิสัยนั้น เปนเพราะพฤติการณที่ลูกหนี้ตอ งรับผิดชอบ ดังนี้ลูกหนี้ตองรับผิดชอบ
ชดใชคาสินไหมทดแทนเพือ่ การไมชําระหนี้ (มาตรา ๒๑๘) ซึ่งขยายรวมไปถึงกรณีที่การชําระหนี้
กลายเปนพนวิสัยไปเพราะอุบัติเหตุ ในระหวางที่ลูกหนีล้ ะเลยไมชําระหนี้หรือที่เรียกวาลูกหนี้ผิด
นัดดวย (มาตรา ๒๑๗)
(๔) แตหากการชําระหนีก้ ลายเปนพนวิสัยไป โดยลูกหนี้พิสูจนใหเห็นไดวา เปนเพราะ
พฤติการณที่ลกู หนี้ไมตองรับผิดชอบแลว ดังนี้กฎหมายก็ไมเอาผิดกับลูกหนี้ แตกําหนดใหลูกหนี้
หลุดพนจากการชําระหนี้นนี้ ไปเลย (มาตรา ๒๑๙)
(๕) อยางไรก็ดี เพือ่ รักษาความสมดุลและความเปนธรรมระหวางคูกรณี หากพฤติการณที่
ทําใหการชําระหนีก้ ลายเปนพนวิสัย (ไมวา จะเปนเพราะพฤติการณที่ลกู หนี้ตองรับผิดชอบหรือไม
ก็ตาม) เปนผลใหลูกหนี้ไดของแทนมา หรือไดสิทธิเรียกคาสินไหมทดแทนเพื่อทรัพยอันพึงไดแก
ลูกหนี้กด็ ี เจาหนี้จะเรียกเอาของแทนนั้น หรือเรียกคาสินไหมทดแทนเอาเองก็ได (มาตรา ๒๒๘)
โดยนัยนี้ตามอุทาหรณ ๑) การที่ ข. อางวาภาพที่ตนเก็บไวนั้นหายไปโดยตนไมตอง
รับผิดชอบนั้น เนื่องจาก ข. เปนลูกหนี้ ซึ่งปกติยอมมีหนาที่ชําระหนี้ หากชําระหนี้ไมไดก็ตอง
รับภาระในการพิสูจน ดังนัน้ ข. ก็ตองพิสจู นวาการที่ภาพหายไปนั้นเปนเพราะพฤติการณที่ตนไม
ตองรับผิดชอบ เชนไดใชความระมัดระวังแลวตามสมควร หรือเปนเหตุอันไมมีทางจะระวัง
๒๘๖
ปองกันได ดังนี้เมื่อภาพหายไปยอมสันนิษฐานไดวามีผูลักเอาไป และตามความรูสึกนึกคิดของคน
ทั่วไปยอมเขาใจไดวา จะไมไดคืนกลับมาอีก จึงจัดไดวาเปนการณีทกี่ ารชําระหนี้ คือการสงมอบ
ภาพ กลายเปนพนวิสัยไป และ ข. ยอมหลุดพนจากการชําระหนี้ คือไมตอ งสงมอบภาพแก ก. เลย
อันเปนผลของมาตรา ๒๑๙
แตในกรณีที่ ข. พิสจู นไมไดวาภาพนั้นหายไป เชนไมปรากฏหลักฐานนาเชื่อวามีการลัก
ภาพนัน้ ไป หากปรากฏวาภาพนั้นยังอยูกับ ข. หรือ ข. นําไปฝากไวกับผูอื่น ดังนี้ ก. ยอมบังคับ
ชําระหนีจ้ าก ข. ได สวนกรณีที่ปรากฏวาภาพนัน้ หายไป โดยพิสูจนไมไดวาเปนเพราะพฤติการณ
ที่ ข. ไมตองรับผิดชอบ เชน ข. ประมาทเลินเลอเปดประตูบานทิ้งไว เปนเหตุใหคนรายลักไป
โดยงาย ก็เปนเรื่องการชําระหนี้กลายเปนพนวิสัยพราะพฤติการณที่ ข. ตองรับผิดชอบ ดังนั้น ข.
ยอมตองรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนเพื่อการไมชําระหนี้ตามมาตรา ๒๑๘
ตามอุทาหรณ ๒) ถาปรากฏวาภาพที่ตกลงขายกันนั้นถูกคนรายลักไปจริง หากเปนกรณีที่
การชําระหนีก้ ลายเปนพนวิสยั เพราะพฤติการณที่ ข. ไมตอ งรับผิดชอบ ดังนี้ ข. ยอมหลุดพนจาก
การชําระหนี้ และมีปญหาตอไปวาความเสี่ยงในการทีภ่ าพสูญหายไปนี้เปนความเสี่ยงของใคร ถา
เปนความเสีย่ งของ ข. เมื่อ ข. หลุดพนจากการชําระหนี้แลว ข. ก็ไมมีสิทธิไดรับชดใชราคา แตถา
เปนความเสีย่ งของ ก. ดังนี้ ก. ก็ไมไดรับชําระหนี้ คือไมไดภาพที่ตกลงซื้อไว เพราะ ข. หลุดพน
จากการชําระหนี้ไป โดย ก. ตองชําระราคาภาพที่ตกลงซื้อไว
โดยที่กฎหมายมีเกณฑสําหรับแบงภาระความเสี่ยงแกคกู รณีไวตามหลักตางตอบแทน ซึ่ง
มีหลักตามสามัญสํานึกวา หากฝายใดฝายหนึ่งหลุดพนจากภาระในการชําระหนี้เพียงใด อีกฝาย
หนึ่งยอมหลุดพนจากภาระไปตามสวนทํานองเดียวกันดวย หลักขอนี้เราพบไดในมาตรา ๓๗๒
วรรคแรก ซึ่งวางหลักทั่วไปวาดวยการแบงภาระความเสี่ยงในสัญญาตางตอบแทนไววา ในกรณีที่
การชําระหนีต้ ามสัญญาตางตอบแทนกลายเปนพนวิสยั เพราะเหตุหนึ่งเหตุใดอันจะโทษฝายหนึ่ง
ฝายใดมิไดนั้น ลูกหนี้ไมมีสทิ ธิไดรับชําระหนี้ตอบแทน๘ เราจึงอาจสรุปไดวา เมื่อการชําระหนี้
กลายเปนพนวิสัยเพราะเหตุที่ไมอาจโทษฝายใดได ความเสี่ยงในการชําระราคาตกแกฝายลูกหนี้
(periculum est debitoris)
ผลของหลักขอนี้ก็คือ เมื่อการชําระหนี้กลายเปนพนวิสยั เพราะเหตุอันจะโทษฝายใดมิได
คูกรณีฝายที่ตอ งชําระหนี้ตามสัญญา ยอมหลุดพนจากการชําระหนี้ไปตามหลักการในมาตรา ๒๑๙
ขึ้นอยูกับขอเท็จจริงวาหนี้ของฝายใดกลายเปนพนวิสยั เมื่อโทษฝายนัน้ ไมได ลูกหนี้ยอมหลุดพน
๘
หลักตางตอบแทนทํานองเดียวกันนี้ นับไดวาเปนหลักสากลที่พบไดในประมวลกฎหมายสําคัญ ๆ ของโลก
หลายฉลับ อาทิเชนใน มาตรา ๒๗๕, ๓๒๓ แหงประมวลกฎหมายแพงเยอรมัน, มาตรา ๑๑๙ วรรคแรก
แหงประมวลกฎหมายลักษณะหนี้ของสวิส, หรือในมาตรา ๑๑๔๗, ๑๑๘๔ แหงประมวลกฎหมายแพง
ฝรั่งเศส และหลักทํานองเดียวกันนี้ก็พบเห็นไดในระบบกฎหมายอังกฤษ และอเมริกันเชนกัน
๒๘๗
จากการชําระหนี้ แตตามหลักตางตอบแทน เมื่อลูกหนีห้ ลุดพนไปแลว ลูกหนี้ยอมไมมีสิทธิรับ
ชําระหนี้ตอบแทน แมหนี้ของอีกฝายหนึ่งจะไมตกเปนพนวิสัย ลูกหนีฝ้ ายซึ่งหลุดพนจากการชําระ
หนี้ และเปนเจาหนี้ของอีกฝายหนึ่งนั้นก็ไมมีทางจะไดรับชําระหนี้ตอบแทน ซึ่งก็เปนหลักที่
สอดคลองกับสามัญสํานึกในการตางตอบแทนแบบ “หมูไปไกมา” หรือ quid pro quo
ในกรณีที่วัตถุที่ประสงคแหงนิติกรรมเปนหนี้กระทําการหรือสงมอบทรัพย เชนใน
สัญญาจางทําของ หรือสัญญาซื้อขาย หากการชําระหนีก้ ระทําการเชนรองเพลง หรือการสงมอบ
ทรัพยที่ซื้อขายกันนั้น ๆ กลายเปนพนวิสยั เพราะเหตุที่โทษฝายหนึ่งฝายใดมิได เชนนักรอง
ประสบอุบัติเหตุรถยนตโดยเหตุที่โทษนักรองนั้นไมได และทําใหรอ งเพลงไมได หรือมีกฎหมาย
หามซื้อขายหรือโอนทรัพยสินที่ซื้อขายกันโดยเหตุที่โทษผูขายซึ่งเปนลูกหนี้ในกรณีนี้ไมได ดังนี้
เปนกรณีการชําระหนีก้ ลายเปนพนวิสัยเพราะพฤติการณที่ลูกหนี้ไมตองรับผิดชอบ ลูกหนี้คือ
นักรองและผูขายยอมหลุดพนจากการชําระหนี้ตามมาตรา ๒๑๙ แตไมมีสิทธิไดรับชําระหนี้ เชน
ไดรับสินจาง หรือราคาซื้อทรัพยสินเปนการตอบแทนตามมาตรา ๓๗๒ วรรคแรก ในกรณีเหลานี้
จะเห็นไดวาฝายลูกหนีแ้ มจะไดชื่อวาหลุดพนจากการชําระหนี้ แตก็ตองรับบาปเคราะหจากการที่
การชําระหนีน้ นั้ กลายเปนพนวิสัยไป เพราะลูกหนีไ้ มไดรับชําระหนี้ตอบแทน
สวนกรณีตามมาตรา ๓๗๒ วรรคสอง คือกรณีที่การชําระหนีก้ ลายเปนพนวิสัยเพราะ
พฤติการณอันโทษเจาหนี้ได ดังนี้การที่กฎหมายกําหนดใหลูกหนีไ้ มเสียสิทธิไดรับชําระหนี้ตอบ
แทน ก็มีผลเทากับเจาหนี้ตองเปนฝายรับความเสี่ยง อันเปนกรณีตรงกันขามกับกรณีที่การชําระหนี้
เปนพนวิสัยเพราะเหตุอันโทษฝายใดไมได เมื่อกรณีนี้โทษเจาหนี้ได เจาหนี้จึงตองเปนฝายรับ
ความเสี่ยงในการชําระหนี้ คือเมื่อการชําระหนีก้ ลายเปนพนวิสัยเพราะเหตุอันโทษเจาหนี้ได
ลูกหนี้ยอมหลุดพนไปตามมาตรา ๒๑๙ แตกรณีนี้ลูกหนี้ไมเสียสิทธิที่จะไดรับชําระหนี้ตอบแทน
คือเจาหนีย้ ังคงตองชําระหนีส้ วนของตัวแกฝายลูกหนี้ อยางไรก็ตาม เราเห็นไดวา แมกรณีที่เจาหนี้
เปนฝายรับความเสี่ยง กฎหมายก็ยังคงยืนตามหลักตางตอบแทนเหมือนเดิม กลาวคือ ตามมาตรา
๓๗๒ วรรคสองนั้น หากการที่ลูกหนี้หลุดพนจากการชําระหนีน้ ั้น ลูกหนี้ไดของแทนมาเจาหนี้จะ
เรียกเอาของแทนนั้นในฐานะแทนการชําระหนี้ทกี่ ลายเปนพนวิสัยนั้นก็ได (มาตรา ๒๒๘) หรือ
หากลูกหนี้ไดของแทนอยางอื่นเพราะการหลุดพนนัน้ หรือสามารถใชคุณวุฒิของตนไดอะไรมา
หรือแกลงละเลยเสียไมขวนขวายเอาอะไรที่สามารถทําได มากนอยเทาใด ลูกหนี้ตองเอาสิ่งที่ไดมา
หรือควรไดมานั้นมาหักกับจํานวนอันตนจะไดรับชําระหนี้ตอบแทน
อนึ่ง หลักทํานองเดียวกันนี้ยงั ใชกับกรณีทกี่ ารชําระหนีก้ ลายเปนพนวิสยั เพราะพฤติการณ
ที่ลูกหนี้ไมตองรับผิดชอบในระหวางที่เจาหนี้ผิดนัดดวย ดังนี้ลูกหนีย้ อ มหลุดพนจากการชําระหนี้
โดยไมเสียสิทธิไดรับชําระหนี้ตอบแทน (ตามหลักในมาตรา ๓๗๒ วรรคสอง) แตตองยอมให
เจาหนีไ้ ดของแทน หรือยอมใหคิดหักกลบลบกันกับประโยชนอันลูกหนี้ควรไดเชนกัน
๒๘๘
หลักในมาตรา ๓๗๒ นี้ แมจะใชแกสัญญาตางตอบแทนทั่วไป แตก็มีขอ ยกเวนตามมาตรา
๓๗๐ คือไมใชแกกรณีที่เปนสัญญาตางตอบแทนอันมีวตั ถุที่ประสงคเปนการกอใหเกิด หรือโอน
ทรัพยสิทธิในทรัพยเฉพาะสิ่ง และทรัพยเฉพาะสิ่งนั้นสูญหายหรือถูกทําลายไปเพราะพฤติการณที่
ลูกหนี้ไมตองรับผิดชอบ ในกรณีเชนนี้ความเสี่ยงตกเปนของเจาหนี้ (periculum est creditoris) ถา
เปนสัญญาซื้อขาย ความเสี่ยงยอมตกเปนของเจาหนีใ้ นทรัพยสินที่ขาย ซึ่งก็คือฝายผูซื้อซึ่งเปน
เจาหนี้ทจี่ ะไดรับมอบทรัพยเฉพาะสิ่งนั้นตองเปนผูรับความเสี่ยงในการชําระราคานั่นเอง
(periculum est emptoris) แตหลักในมาตรา ๓๗๐ ก็มีขอยกเวนอีกชั้นหนึ่ง คือไมใชแกกรณีที่เปน
สัญญาตางตอบแทนที่มีเงื่อนไขบังคับกอน โดยกฎหมายกําหนดใหกรณีดังกลาวตกอยูใตบังคับ
ของมาตรา ๓๗๑ ซึ่งโยงใหกลับไปใชหลักที่ถือวาลูกหนี้เปนฝายรับความเสี่ยงอีกทอดหนึ่ง
๒๘๙
จุดเวลาแรก หรือเมื่อมีการสงมอบทรัพยอันเปนเวลาถัดไป หรือเมื่อไดมีการโอนกรรมสิทธิ์กัน
เสร็จสิ้นอันเปนจุดเวลาทายสุดที่ความเสี่ยงอาจโอนกันได และเรายอมสรุปตอไปไดวา ที่กฎหมาย
กําหนดใหความเสี่ยงตกเปนพับแกเจาหนี้ ก็ยอมหมายความวาความเสีย่ งโอนไปทันทีที่คูกรณีกอ
หนี้กนั เสร็จสิ้นนั่นเอง เชนในสัญญาซื้อขาย ถาทรัพยที่ตกลงซื้อขายกันเปนทรัพยเฉพาะสิ่ง และ
ทรัพยนั้นสูญหรือเสียหายไป ความเสี่ยงยอมตกเปนของเจาหนี้คือฝายผูซื้อทันทีที่ทําสัญญาซื้อขาย
กันเสร็จสิ้นนัน่ เอง ทั้งนี้โดยไมตองคํานึงถึงวาไดมกี ารสงมอบ หรือมีการโอนกรรมสิทธิ์แกกัน
แลวหรือไม
หลักความเสี่ยงโอนไปยังเจาหนี้เมื่อทําสัญญากันเสร็จสิ้นนี้ ควรเขาใจวาเปนขอยกเวน
ของหลักทั่วไปในมาตรา ๓๗๒ ซึ่งถือหลักในทางตรงกันขามกันวา ในกรณีทกี่ ารชําระหนี้ตกเปน
พนวิสัยเพราะเหตุอันโทษฝายหนึ่งฝายใดไมไดนั้น ความเสี่ยงยอมตกอยูกับลูกหนี้ ซึ่งในสัญญาซื้อ
ขายก็คือฝายผูข าย กลาวคือตามมาตรา ๓๗๒ นั้น เมื่อการชําระหนีก้ ลายเปนพนวิสัยไป แมลูกหนี้
คือผูขายจะหลุดพนจากการชําระหนี้ แตผูขายก็ไมมีสิทธิไดรับชําระหนีต้ อบแทนจากผูซื้อ สวน
กรณีตามมาตรา ๓๗๐ นั้นเจาหนี้คือผูซื้อเปนฝายรับความเสี่ยง นั่นคือหากทรัพยที่ตกลงซื้อเกิดสูญ
หรือเสียหายไป เจาหนีน้ อกจากจะไมไดรับชําระหนีแ้ ลว ยังตองชําระเงินใหแกลูกหนี้คือผูขายอีก
ดวย ทั้งนี้โดยกรณีที่จะปรับใชมาตรา ๓๗๐ ไดตองมีองคประกอบ ๓ ประการดังตอไปนี้
๑) สัญญานั้นเปนสัญญาตางตอบแทนที่มวี ัตถุที่ประสงคเปนการกอใหเกิดหรือโอน
ทรัพยสิทธิในทรัพยเฉพาะสิ่ง คือมีการตกลงเจาะจงตัวทรัพยที่มุงกอทรัพยสิทธิหรือโอนกัน
แนนอนแลว หรือถาเปนทรัพยที่กําหนดไวเพียงเปนประเภท ก็ตองมีการกระทําใหทรัพยเปน
ประเภทนั้นกลายเปนทรัพยเฉพาะสิ่งแลวตามมาตรา ๑๙๕ วรรคสอง คือมีการคัดเลือกหรือกําหนด
ตัวทรัพยดวยความยินยอมของเจาหนี้ หรือลูกหนี้ไดทําการทุกอยางเพื่อการสงมอบแลว เชนใน
สัญญาซื้อขายขาวสาร หรือน้ําตาลทราย หรือซื้อขายตูเย็น วิทยุ โทรทัศนที่กําหนดไวตามยี่หอ รุน
ประเภทและขนาด ทรัพยเปนประเภทเหลานี้จะกลายเปนทรัพยเฉพาะสิ่งได ก็ตอเมื่อไดมีการ
คัดเลือกแยกตัวทรัพยออกดวยความยินยอมของเจาหนี้ หรือลูกหนี้ไดมีการทําการทุกอยางเพื่อการ
สงมอบทรัพยอันเปนวัตถุแหงหนีแ้ ลว เชนมีการบรรจุหีบหอ ทําเครือ่ งหมายเพื่อการสงมอบและ
ไดแจงขอปฏิบัติการชําระหนี้แกเจาหนี้แลว
๒) ทรัพยเฉพาะสิ่งนั้นสูญหรือเสียหายไป ซึ่งไมรวมกรณีทกี่ ารกอใหเกิดทรัพยสิทธิหรือ
การโอนทรัพยเฉพาะสิ่งนั้นกลายเปนพนวิสยั ดวยเหตุอื่นนอกเหนือจากการที่ทรัพยนั้นสูญหรือ
เสียหาย เชนมีกฎหมายเวนคืน หามโอน หรือถูกเจาหนาที่ใชอํานาจตามกฎหมายยึดไปโดยยังรู
ตําแหนงแหงที่ของทรัพยนนั้ (ซึ่งเปนกรณีการชําระหนี้เปนพนวิสัยตามมาตรา ๓๗๒ ไมใชกรณี
ทรัพยสูญหายตามมาตรา ๓๗๐)
๓) ความสูญหรือเสียหายนั้นเปนเพราะเหตุอนั โทษลูกหนีไ้ มได กลาวคือไมไดเปน
เพราะลูกหนี้ขาดความระมัดระวังในการรักษาทรัพยตามมาตรา ๓๒๓ วรรคสอง หรือเพราะเหตุ
๒๙๐
อยางอื่นที่ลูกหนี้ตองรับผิดชอบ รวมทั้งไมใชกรณีที่ทรัพยสูญหรือเสียหายเพราะเหตุสุดวิสัยที่
เกิดขึ้นระหวางที่ลูกหนี้ผิดนัดตามมาตรา ๒๑๗ เวนแตลูกหนีจ้ ะพิสูจนไดวาแมไมผิดนัดก็ตองเกิด
สูญหรือเสียหายอยูนนั่ เอง
แตหลักความเสี่ยงตกเปนพับแกเจาหนีน้ ี้กม็ ีขอยกเวนตามมาตรา ๓๗๑ อีกชั้นหนึ่ง
กลาวคือในกรณีที่เปนสัญญาตางตอบแทนที่มีเงื่อนไขบังคับกอนตามนัยแหงมาตรา ๑๘๓ ไดแก
กรณีที่คูกรณีตกลงทําสัญญาโดยกําหนดใหสัญญานั้นเปนผลเมื่อเงื่อนไขสําเร็จ เชนทําสัญญาซื้อ
ขายเผื่อชอบ (มาตรา ๕๐๕) หรือทําสัญญาซื้อขายรถยนตโดยมีเงื่อนไขวาใหสัญญาเปนผลเมื่อผู
ซื้อไดรับรางวัลพนักงานดีเดน ในกรณีเชนนี้ มาตรา ๓๗๑ กําหนดวาไมใชมาตรา ๓๗๐ บังคับ คือ
ความเสี่ยงไมตกอยูกับเจาหนี้ และมีผลใหความเสี่ยงกลับมาตกแกลกู หนี้ตามหลักทัว่ ไปในมาตรา
๓๗๒ อีกตอหนึ่ง ซึ่งเราอาจแยกแยะออกเปน ๓ กรณี กลาวคือ
๑) ในกรณีที่โทษลูกหนี้ไมได หากตอมาเงื่อนไขสําเร็จลง ลูกหนี้ยอมหลุดพนจากการ
ชําระหนี้ไปตามสวน กลาวคือถาทรัพยสูญหายไป ก็มีผลเทียบเทาการชําระหนีก้ ลายเปนพนวิสัย
ไปทั้งหมด แตถาเสียหายบางสวน ก็ตองถือวาพนวิสัยบางสวน และลูกหนี้หลุดพนไปตามสวน
และลูกหนี้ไมมีสิทธิรับชําระหนี้ตอบแทนตามสวนเชนกันตามมาตรา ๓๗๒ วรรคแรก เชนตกลง
ซื้อขายรถกันโดยมีเงื่อนไขวาใหสัญญามีผลเมื่อผูซื้อทําการสมรส ดังนี้หากระหวางนัน้ รถประสบ
อุบัติเหตุจนเสียหายใชการไมไดโดยโทษผูขายไมได หากตอมาเงื่อนไขสําเร็จเพราะผูซื้อทําการ
สมรส ดังนี้สัญญาซื้อขายยอมเปนผล แตผูขายหลุดพนจากการชําระหนี้ โดยไมมีสิทธิไดรับชําระ
หนี้ตอบแทนคือ แมสัญญาซื้อขายจะเปนผลแลว ผูขายก็เรียกใหผูซื้อชําระราคาไมได
๒) แตถาเหตุที่ทรัพยสูญหรือเสียหายโดยโทษลูกหนี้ไมไดนนั้ เปนเหตุที่โทษเจาหนี้ก็
ไมไดดว ย ดังนี้หากตอมาเงือ่ นไขสําเร็จ หลักก็ยังคงเดิม คือลูกหนี้หลุดพน แตไมมีสทิ ธิรับชําระ
หนี้ตอบแทน แตเจาหนี้มีสิทธิเลือกที่จะขอลดสวนที่ตนตองชําระหนี้ลงตามสวน หรือจะเลิก
สัญญาเสียก็ไดตามมาตรา ๓๗๑ วรรคสอง อันเปนผลของหลักตางตอบแทนนั่นเอง กลาวคือเมื่อ
ลูกหนี้หลุดพนไป และไมมสี ิทธิไดรับชําระหนี้ตอบแทน ดังนี้หากทรัพยเชนรถยนตทตี่ กลงขาย
กันโดยมีเงื่อนไขบังคับกอนนั้นเสียหายไปทั้งหมด เจาหนี้คือผูซื้อยอมไมตองชําระหนี้อะไรเลย แต
ถาเสียหายไปเพียงบางสวน เจาหนี้คือผูซื้อยอมมีสิทธิเลือกที่จะขอลดราคาลงตามสวน หรือจะเลิก
สัญญานั้นเสียเลยก็ได
๓) สวนกรณีที่โทษลูกหนีไ้ มไดนั้น มีเหตุอนั โทษเจาหนี้ได ดังนี้ลูกหนี้ก็หลุดพนไปตาม
สวน แตไมเสียสิทธิที่จะไดรับชําระหนี้ตอบแทนตามหลักในมาตรา ๓๗๒ วรรคสอง คือเจาหนี้มี
หนาที่ตองชําระหนี้สว นของตนโดยเจาหนีไ้ มมีสิทธิบอกเลิกสัญญา ในกรณีของรถยนตที่ตกลงซื้อ
ขายกันโดยมีเงื่อนไขบังคับกอนตามตัวอยางขางตน ถาเหตุที่ทําใหทรัพยสูญหรือเสียหายนั้นเปน
เพราะความผิดของผูซื้อซึ่งเปนเจาหนี้ เชนขับรถดวยความประมาทเลินเลอ เปนเหตุใหประสบ
อุบัติเหตุ รถเกิดเสียหาย ดังนีห้ ากตอมาเงื่อนไขสําเร็จ สัญญาซื้อขายเปนผล ผูขายซึ่งเปนลูกหนี้
๒๙๑
ยอมหลุดพนจากการชําระหนี้ โดยมีสิทธิไดรับชําระราคาตอบแทน สวนผูซื้อซึ่งเปนเจาหนีย้ อม
ตองรับเอารถที่เสียหายนั้นไป โดยชําระราคาเต็ม และไมมีสิทธิบอกเลิกสัญญา
อยางไรก็ดี มีผทู รงคุณวุฒิในระบบกฎหมายไทยสวนมาก๙อธิบายวาหลักที่วาความเสีย่ ง
ตกเปนพับแกเจาหนีน้ ี้ แทจริงเปนไปตามหลัก “ความเสี่ยงโอนไปตามกรรมสิทธิ์” โดยอธิบายวา
การที่กฎหมายกําหนดใหความเสี่ยงในความสูญหรือเสียหายตกเปนพับแกเจาหนีน้ นั้ ก็เพราะ
เจาหนีไ้ ดเปนเจาของกรรมสิทธิ์หรือทรัพยสิทธิในทรัพยที่ตกลงซื้อขายกันตั้งแตขณะที่ทําสัญญา
กัน (มาตรา ๔๕๘) กลาวคือถาไดกรรมสิทธิ์ไปแลวก็เปนกรณีตามมาตรา ๓๗๐ สวนกรณีที่ยัง
ไมไดกรรมสิทธิ์ไปทันที เชนในสัญญาจะซื้อขายซึ่งตกลงจะไปโอนกรรมสิทธิ์กันภายหลัง หรือ
สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดทีม่ ีตกลงโอนกรรมสิทธิ์กันโดยมีเงื่อนไขบังคับกอนไววาใหกรรมสิทธิ์
โอนไปเพื่อผูซื้อชําระหนี้ครบถวนแลว ก็ตองปรับเปนกรณีสัญญาตางตอบแทนที่มีเงื่อนไขบังคับ
กอนตามมาตรา ๓๗๑ ทั้ง ๆ ที่ยอมรับกันวากฎหมายมิไดบัญญัติไวเชนนั้น๑๐ เพราะกรณีสัญญาตาง
ตอบแทนที่มีเงื่อนไขบังคับกอนนั้น ตามมาตรา ๑๘๓ หมายถึงสัญญาที่ยังไมเปนผลจนกวาเงื่อนไข
จะสําเร็จ สวนสัญญาจะซื้อขาย หรือสัญญาซื้อขายที่ตกลงโอนกรรมสิทธิ์ตอเมื่อไดชําระราคา
ครบถวนนั้นจัดเปนสัญญาเสร็จเด็ดขาดทีย่ ังชําระหนี้กันยังไมครบถวน หรือมีเงื่อนไขการชําระหนี้
เทานั้น
การอธิบายหลักในเรื่องการแบงภาระความเสี่ยงในสัญญาตางตอบแทนที่มีวัตถุประสงค
เปนการโอนทรัพยเฉพาะสิ่ง หรือทรัพยที่มกี ารกําหนดหรือระบุบงตัวแนนอนแลววาเปนไปตาม
หลักผูใดเปนเจาของทรัพยผูนั้นตองรับความเสี่ยงนี้ เมื่อพิเคราะหในแงสามัญสํานึก เรายอมพอ
เขาใจไดวา หากทรัพยสินสูญหรือเสียหายไป ปกติเจาของกรรมสิทธิ์ยอมตองรับภาระความเสี่ยง
ในทรัพยสินทัง้ ปวงของตัว เมื่อความเสี่ยงยอมตกอยูก ับผูขายซึ่งเปนเจาของทรัพยตั้งแตกอนจะมี
การทําสัญญาซื้อขายทรัพยสินกัน และตอมาหากผูขายไดโอนกรรมสิทธิ์ไปยังผูซื้อแลว ก็เปน
ธรรมดาที่ความเสี่ยงยอมโอนไปยังผูซื้อในฐานะผูทรงกรรมสิทธิ์ในทรัพยนั้นดวย
อยางไรก็ดี ระหวางเวลาที่มกี ารตกลงทําสัญญาตางตอบแทนที่มีวตั ถุประสงคเปนการโอน
กรรมสิทธิ์ เชนเมื่อทําสัญญาซื้อขาย จนถึงเวลาที่ไดชําระหนี้ คือโอนกรรมสิทธิ์และสงมอบกัน
๙
เสนีย ปราโมช, นิติกรรมและหนี้, เลม ๑ (พ.ศ. ๒๕๐๕), หนา ๔๙๖; ปรีชา สุมาวงศ, ซื้อขาย, (พ.ศ.
๒๕๑๒), หนา ๕๓; ประพนธ ศาตะมาน/ไพจิตร ปุญญพันธ, ซื้อขาย, (พ.ศ. ๒๕๑๙), หนา ๑๑๗; จิ๊ด เศรษฐ
บุตร, นิติกรรมและสัญญา (พ.ศ. ๒๕๒๒), หนา ๓๓๘ และ นิติกรรมและสัญญา (พ.ศ. ๒๕๕๑), หนา
๒๗๑; จิตติ ติงศภัทิย, หนี้ เลม ๒ (พ.ศ. ๒๕๒๓), หนา ๕๕; วิษณุ เครืองาม, ซื้อขาย (พ.ศ. ๒๕๒๘), หนา
๒๑๕; อักขราทร จุฬารัตน, นิติกรรมและสัญญา, (พ.ศ. ๒๕๓๑), หนา ๑๔๑-๑๔๒; โสภณ รัตนากร, หนี้
(พ.ศ. ๒๕๓๒), หนา ๗๒-๗๓.
๑๐
โปรดดู จิตติ ติงศภัทิย และยล ธีรกุล, คําอธิบายประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย บรรพ ๒ มาตรา ๒๔๑-
๔๕๒, พ.ศ. ๒๕๐๓, หนา ๓๑๓
๒๙๒
เสร็จสิ้นไปนัน้ แมมาตรา ๔๕๘ จะกําหนดวา กรรมสิทธิ์ในทรัพยสินที่ซื้อขายกันยอมโอนไปยังผู
ซื้อตั้งแตขณะเมื่อทําสัญญากันก็ตาม บทบัญญัตินี้ก็เปนแตเพียงบทสันนิษฐานเจตนาของคูกรณี
เทานั้น ดังจะเห็นไดจากมาตรา ๔๕๙ ซึ่งคูกรณีอาจตกลงกันใหกรรมสิทธิ์ยังไมโอนไป หรือโอน
ไปโดยมีเงื่อนไข หรือเงื่อนเวลาก็ได ดังนัน้ นับแตเวลาทีท่ ําสัญญากัน จนถึงเวลาที่สง มอบทรัพย
กันอาจมีชว งเวลาหางจากกันระยะหนึ่ง ซึ่งหากไมแนชดั วากรรมสิทธิ์โอนไปทันทีในขณะทํา
สัญญา ก็อาจมีขอสงสัยไดวากรรมสิทธิ์ในทรัพยสินที่ซื้อขายกันอยูที่ฝายใด เนื่องจากบางกรณีอาจ
มีเหตุขัดของหรือโตแยงกันในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ยากจะหาขอยุติได ในกรณีเชนนัน้ ยอมจะเกิด
ปญหาโตแยงกันเรื่องภาระความเสี่ยงเปนธรรมดา
กรณีที่ยากจะกลาววากรรมสิทธิ์ในทรัพยสินที่ซื้อขายอยูที่ฝายใด อาจมีไดหลายกรณี
โดยเฉพาะอยางยิ่งสัญญาซื้อขายทรัพยที่กําหนดไวเปนประเภท หรือสัญญาซื้อขายทรัพยตามคํา
พรรณนา คูกรณีอาจตกลงซือ้ ขายกันโดยใหฝายผูซื้อมารับมอบทรัพยสินที่สถานที่ที่ทรัพยตั้งอยู
หากทรัพยสูญหรือเสียหายไปโดยผูซื้ออางวายังไมไดรว มคัดเลือก หรือตรวจคุณภาพหรือตกลงรับ
มอบทรัพยนั้น ก็อาจเกิดสงสัยวากรรมสิทธิ์โอนกันแลวหรือยัง หรือหากคูกรณีซื้อขายกันโดยตก
ลงกันใหสงทรัพยนั้นไปยังสถานที่อยูของผูซื้อ หรือสงไปยังสถานทีแ่ หงอื่น หรือทรัพยสินที่ซื้อ
ขายกันอาจจะอยูระหวางการขนสง หรืออาจจะยังอยูระหวางการเก็บรักษาในโกดังหรือคลังสินคา
หรืออยูกับบุคคลภายนอก โดยคูสัญญาอาจตกลงกันใหผูซื้อเรียกใหผูเก็บรักษาทรัพยนั้นสงมอบ
ทรัพยใหแกผซู ื้อไดเอง หากทรัพยสินที่ตกลงซื้อขายกันสูญหรือเสียหายไปในระหวางนั้น โดยผู
ซื้อมีเหตุใหอางไดวายังไมไดรับโอนกรรมสิทธิ์มา ก็จะเกิดสงสัยไดวาใครเปนเจาของกรรมสิทธิ์
และความเสีย่ งควรตกเปนของฝายใด
นอกจากนี้ยังมีหลายกรณีที่คูกรณีตกลงหนวงหรือสงวนการโอนกรรมสิทธิ์ไว (เชนกรณี
ตามมาตรา ๔๕๙) แตผูซื้อไดเขาครอบครองและใชสอยทรัพยนั้นแลว หรือไดประโยชนอยางอื่น
เชนมีสิทธินําทรัพยนั้นไปจําหนายไดแลว ดังนี้หากทรัพยสินที่ซื้อขายกันสูญหรือเสียหายไป
ยอมจะเกิดขอโตแยงเรื่องใครควรเปนผูรับความเสี่ยงในกรณีเหลานี้
จากกรณีที่กลาวแลวขางตน เราจะเห็นไดวาการใชเกณฑเรื่องกรรมสิทธิ์อยางเดียวเปน
เครื่องแบงภาระความเสีย่ งจึงยังไมเปนทีน่ าพอใจ เพราะยอมเปนเหตุใหผูขายซึ่งยังเปนเจาของ
กรรมสิทธิ์ทรัพยนั้น แมจะสงมอบทรัพยไปแลวก็ยังคงตองรับความเสี่ยงตอไปอีก ทั้งที่ไมสามารถ
ปกปองทรัพยนั้น หรือไมไดประโยชนจากทรัพยนั้นแลว
ดวยเหตุนี้จึงมีผูโตแยงความเห็นของฝายขางมากในวงวิชากฎหมายของไทย๑๑ โดย
ชี้ใหเห็นวาหลักการแบงภาระความเสีย่ งในสัญญาตางตอบแทนที่มีวตั ถุที่ประสงคเปนการโอน
๑๑
หัสวุฒิ วิฑิตวิริยะกุล, การโอนความเสี่ยงภัย: ปญหาการใชมาตรา ๓๗๐ แหงประมวลกฎหมายแพงและ
พาณิชย, วารสารนิติศาสตร ปที่ ๒๘, ฉบับที่ ๔ (ธันวาคม ๒๕๔๑), หนา ๖๔๐-๖๖๘
๒๙๓
ทรัพยเฉพาะสิ่งตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยหาไดเปนไปตามหลักที่วา ใครเปนเจาของ
กรรมสิทธิ์ยอมตองรับความเสี่ยงดังที่เขาใจกันไม เพราะเมื่อพิเคราะหตามบทบัญญัติแหงกฎหมาย
ในมาตรา ๓๗๐ แลว การที่กฎหมายกําหนดใหความสูญหรือเสียหายตกเปนพับแกเจาหนี้กแ็ สดง
ใหเห็นอยูใ นตัววา ไมไดถือหลักเจาของกรรมสิทธิ์เปนผูรับความเสี่ยง แตถือหลักวาใครเปนเจาหนี้
ในการโอนทรัพยเฉพาะสิ่งตามสัญญาตางตอบแทนนัน้ ผูนั้นยอมตองรับความเสี่ยง ทั้งนี้เมื่อ
พิจารณาจากหลักการแบงภาระความเสี่ยงในระบบกฎหมายตาง ๆ แลวจะพบวาหลักกฎหมายของ
ไทยนัน้ มีลักษณะใกลเคียงกับหลักกฎหมายโรมัน ซึ่งยังคงใชบังคับอยูใ นประมวลกฎหมายของ
หลายประเทศ เชนสวิส สเปน และเนเธอรแลนด และในระบบกฎหมายของอาฟริกาใต ซึ่งเดินตาม
หลักกฎหมายโรมัน
ในระบบกฎหมายตาง ๆ มีหลักเกณฑสําหรับเปนทางแกปญหาขางตนแตกตางกันไป ซึ่ง
เราอาจจะแบงออกเปน ๓ พวกใหญ ๆ กลาวคือ
ระบบกฎหมายฝรั่งเศส๑๒ อิตาเลียน และกฎหมายอังกฤษ๑๓ถือหลักวา “เจาของกรรมสิทธิ์
เปนผูรับภาระความเสี่ยง” หรือความเสี่ยงในความสูญหรือเสียหายของทรัพยยอมตกเปนของ
เจาของทรัพยนั้น ดังนัน้ ในสัญญาตางตอบแทนซึ่งมีวัตถุประสงคเปนการโอนทรัพย หากยังไมมี
การโอนกรรมสิทธิ์ความเสี่ยงจึงตกอยูก ับลูกหนีห้ รือผูขาย แตหากมีการโอนกรรมสิทธิ์ใน
ทรัพยสินที่ซื้อขายไปยังผูซื้อแลว ความเสีย่ งยอมตกอยูก บั ผูซื้อซึ่งเปนเจาหนี้ ซึ่งนับวาเปนระบบที่
มีเหตุผลสอดคลองกับสามัญสํานึกอยางหนึ่ง
๑๒
French Civil Code 1804:
Art 1138 An obligation of delivering a thing is complete by the sole consent of the contracting parties.
It makes the creditor the owner and places the thing at his risks from the time when it should have
been delivered, although the handing over has not been made, unless the debtor has been given notice to
deliver; in which case, the thing remains at the risk of the latter.
๑๓
British Sale of Goods Act (SGA) 1893: section 20 (1), section 18 rule 1); SGA 1979: section 20, section 18 rule
1).
SGA 1979 Section 20. (Passing of Risk)
(1) Unless otherwise agreed, the goods remain at the sellerʹs risk until the property in them is
transferred to the buyer, but when the property in them is transferred to the buyer the goods are at the buyerʹs
risk whether delivery has been made or not.
(2) But where delivery has been delayed through the fault of either buyer or seller the goods are at the
risk of the party at fault as regards any loss which might not have occurred but for such fault.
(3) Nothing in this section affects the duties or liabilities of either seller or buyer as a bailee or custodier
of the goods of the other party.
(4) In a case where the buyer deals as consumer or, in Scotland, where there is a consumer contract in
which the buyer is a consumer, subsections (1) to (3) above must be ignored and the goods remain at the
seller’s risk until they are delivered to the consumer.
SGA 1979 Section 18. (Rules for ascertaining intention)
Unless a different intention appears, the following are rules for ascertaining the intention of the parties as
to the time at which the property in the goods is to pass to the buyer
Rule 1.—Where there is an unconditional contract for the sale of specific goods in a deliverable state the
property in the goods passes to the buyer when the contract is made, and it is immaterial whether the time of
payment or the time of delivery, or both, be postponed.
๒๙๔
ระบบกฎหมายเยอรมัน๑๔และอเมริกัน๑๕ถือหลักวาความเสี่ยงยอมโอนไปพรอมกับการ
ครอบครอง โดยไมตองคํานึงถึงวากรรมสิทธิ์จะตกอยูกบั ฝายใด ดวยเหตุผลวาผูที่ครอบครอง
ทรัพยยอมเปนผูที่สามารถควบคุมและปกปองความสูญหรือเสียหายแกทรัพยไดดีที่สุด ดังนั้นจึง
ควรเปนผูรับภาระความเสี่ยง
๑๔
German Civil Code Section 446
The risk of accidental destruction and accidental deterioration passes to the buyer upon delivery of the
thing sold. From the time of delivery the emoluments of the thing accrue to the buyer and he bears the charges
on it. If the buyer is in default of acceptance of delivery, this is equivalent to delivery.
๑๕
American UCC § 2-509
(1) Where the contract requires or authorizes the seller to ship the goods by carrier:
(a) if it does not require him to deliver them at a particular destination, the risk of
loss passes to the buyer when the goods are duly delivered to the carrier even though the
shipment is under reservation (Sect. 2-505); but
(b) if it does require him to deliver them at a particular destination and the goods
are there duly tendered while in the possession of the carrier, the risk of loss passes to the buyer
when the goods are there duly so tendered as to enable the buyer to take delivery.
(2) Where the goods are held by a bailee to be delivered without being moved, the risk
of loss passes to the buyer:
(a) on his receipt of a negotiable document of title covering the goods; or
(b) on acknowledgment by the bailee of the buyer's right to possession of the
goods; or
(c) after his receipt of a nonnegotiable document of title or other written direction
to deliver, as provided in subsection (4) (b) of Section 2-503.
(3) In any case not within subsection (1) or (2), the risk of loss passes to the buyer on his
receipt of the goods if the seller is a merchant; otherwise the risk passes to the buyer on tender of
delivery.
(4) The provisions of this section are subject to contrary agreement of the parties and to
the provisions of this Article on sale on approval (Section 2-327) and on effect of breach on risk
of loss (Section 2-510).
๒๙๕
ระบบกฎหมายสวิส๑๖ สเปน๑๗ และบางประเทศที่ยังถือตามระบบกฎหมายโรมันซึ่งถือ
หลักวาในสัญญาซื้อขายนั้น ความเสี่ยงในความสูญหรือเสียหายของทรัพยที่ซื้อขายกันยอมโอนไป
ยังผูซื้อเมื่อไดทําสัญญาซื้อขายกันเสร็จเด็ดขาด (periculum est emptoris)๑๘ หรือหลักวาในสัญญา
ตางตอบแทนที่มีวัตถุประสงคในการโอนทรัพยสิทธิ์ในทรัพยเฉพาะสิ่งนั้น “ความเสี่ยงยอมโอน
ไปยังเจาหนี้ทนั ทีที่ทําสัญญากันเสร็จสิ้น” ทั้งนี้ดวยเหตุผลที่วา เมื่อทําสัญญากันเสร็จสิ้นแลว ผูซื้อ
ยอมเปนผูที่ชอบจะไดสิทธิประโยชนทั้งปวงจากทรัพยนั้น ไมวากรรมสิทธิ์จะโอนไปยังผูซื้อแลว
หรือไมก็ตาม ผูซื้อสามารถนําทรัพยนนั้ ไปจําหนาย โดยผูขายไมอาจจะจําหนายทรัพยนั้นแกผูอื่น
อีกตอไป และหากราคาทรัพยสินที่ซื้อขายกันั้นสูงขึ้นหรือตกลง ผูซื้อยอมไดประโยชนหรือเสีย
ประโยชนจากทรัพยสินนั้นตามแตกรณี โดยไมอาจเปลีย่ นแปลงขอตกลงไดอีก ดังนัน้ หากทรัพยที่
ซื้อขายสูญหรือเสียหายไป ความเสี่ยงควรตกอยูกับผูซื้อ
เดิมมีผูอธิบายเปนจํานวนมากวาการทีห่ ลักการโอนความเสี่ยงควรเปนไปตามหลัก “ใคร
เปนเจาของกรรมสิทธิ์ คนนั้นยอมตองรับความเสี่ยง” หรือ หลักตามสุภาษิตโรมันทีว่ า “res perit
domino” หรือ “casum sentit dominus” นั้น อันที่จริงเปนผลจากคําอธิบายของนักนิตศิ าสตรใน
สํานักธรรมนิยม เชน Hugo Grotius (1583-1645) และ Samuel Pufendorf (1632-1694) ที่เปนผู
วิพากษหลักการโอนกรรมสิทธิ์ในกฎหมายโรมันซึ่งใหกรรมสิทธิ์โอนไปเมื่อมีการสงมอบทรัพย
แลว วาขัดตอหลักกฎหมายธรรมชาติ และสนับสนุนใหใชหลักการโอนกรรมสิทธิ์โดยอาศัยเจตนา
ของคูกรณีเปนหลัก ทั้งนีก้ ็เพื่อตอบสนองความตองการความคลองตัวทางการคาและรับรองความ
ศักดิ์สิทธิ์แหงเจตนาไปดวยในตัว ดวยเหตุนี้เมื่อกรรมสิทธิ์โอนไปตั้งแตเมื่อทําสัญญากันแลว
ความเสี่ยงที่ทรัพยนั้นอาจสูญหรือเสียหายก็ควรจะตกอยูก ับเจาของกรรมสิทธิ์นับตั้งแตเวลาทํา
สัญญาอันเปนเวลาที่กรรมสิทธิ์โอนนั่นเอง กลาวไดวา คําอธิบายทํานองนี้เปนการหลอมรวมหลัก
res perit domino กับหลัก periculum est emptoris เขาดวยกัน โดยการอธิบายวาเหตุที่สุภาษิตโรมัน
ถือกันมาวาผูซื้อตองรับความเสี่ยงนั้น ก็เพราะผูซื้อยอมไดกรรมสิทธิ์นั่นเอง
๑๖
Swiss Code of Obligations 1912:
Art. 185 As far as no special circumstance or agreement would justify an exception, all benefit and risk upon
the thing sold shall pass over to the person acquiring it at the moment the contract was concluded.
๑๗
Spanish Civil Code 1889:
§ 1452 The injury to or the profit of the thing sold shall, after the contract is perfected, be governed by the
provision of Arts 1096 (specific performance and liability of debtor) and 1182 (impossibility).
The rule shall be applied to the sale of perishable things, made independently and for a single price, or
without consideration as to weight, number or measure.
If the perishable things are sold for a price fixed with relation to weight, number or measure, the risk shall
not be imputed to the vendee, until they have been weighted, counted or measured, unless the vendee is in
default.
§ 1453 A sale, made subject to approved or trial of the things sold, and the sale of things which are customarily
tested or tried before being received, shall always be considered as made under suspensive conditions.
๑๘
Reinhard Zimmermann, The Law of Obligations: Roman Foundations of the Civilian Tradition, Oxford, 1990,
pp.281 ff.
๒๙๖
อยางไรก็ดี หลักที่วาความเสี่ยงโอนตามกรรมสิทธิ์นี้มีผูคัดคานอยูมาก ทั้งในแงขอจํากัด
ทางประวัติศาสตรอันเนื่องมากจากการที่แนวคิดดังกลาวเกิดขึ้นในศตวรรษที่ ๑๗ และการคาสวน
ใหญยังเปนการคาทรัพยเฉพาะสิ่ง ยิ่งกวาทรัพยเปนประเภท ซึ่งพอจะกําหนดแนไดงายวา
กรรมสิทธิ์ในทรัพยอยูกับฝายใด แตเมื่อการคาขยายตัวมาเปนการคาทรัพยที่กําหนดกันเปนเพียง
ประเภท ซึ่งมักตองมีการคัดเลือกแยกตัวทรัพย และตกลงกันใหสงทรัพยไปยังสถานที่แหงอืน่
รวมทั้งมีการซื้อขายกันหลายตอ โดยคูกรณีเพียงแตผูกพันกันตามสัญญาซื้อขาย ยังมิไดหรือยัง
โตแยงกันอยูว า ไดโอนกรรมสิทธิ์กันแลวหรือยัง ทําใหหลักที่วากรรมสิทธิ์อยูที่ผูใดผูนั้นควรรับ
ความเสี่ยงไมเหมาะสมอีกตอไป เพราะในหลายกรณีผูซื้อทรัพยมีสิทธิขายทรัพยนนั้ แลว ทั้ง ๆ ที่
ยังไมไดเปนเจาของกรรมสิทธิ์ หากปลอยใหความเสี่ยงอยูกับเจาของกรรมสิทธิ์ ในขณะที่ผูซื้อเปน
ผูไดประโยชนทางการคา ยอมเปนภาระแกผูขายเกินสมควร
ดวยเหตุผลในเชิงความสมเหตุสมผลในทางสังคม ทั้งในแงความชัดเจนแนนอน และใน
แงความคลองตัวในทางการคา จึงทําใหมีผเู สนอใหแยกหลักการรับภาระความเสีย่ งออกมาจาก
กรรมสิทธิ์ เพราะหลักการแบงภาระความเสี่ยงและการโอนกรรมสิทธิ์นั้นลวนแตเปนผลของ
เจตนา จึงอาจมีการตกลงกันซับซอน และบางกรณียากทีจ่ ะกําหนดแนลงไดวาฝายใดเปนเจาของ
กรรมสิทธิ์ การกําหนดใหความเสี่ยงตกติดไปกับกรรมสิทธิ์ ยอมสงผลใหเกิดความไมแนนอนมาก
ยิ่งขึ้น หากคูกรณีจะตองคอยวิเคราะหสถานะของกรรมสิทธิ์ระหวางกันในแตละขั้นตอนของ
สัญญาก็ยอมจะเกิดขอยุงยากมาก โดยเฉพาะในกรณีที่มกี ารโอนกรรมสิทธิ์ตอกันไปหลาย ๆ ทอด
หรือมีการตกลงสงวนการโอนกรรมสิทธิ์กันไว จึงมีผูยอมรับมากขึ้นเรือ่ ย ๆ วาการแยกหลักการ
โอนความเสี่ยงออกจากกรรมสิทธิ์จะชวยใหเกิดความชัดเจนดีกวา เชนการกําหนดใหความเสี่ยง
โอนไปกับการครอบครอง หรือใหความเสี่ยงโอนไปยังเจาหนี้ โดยไมตองคํานึงถึงวาผูครอบครอง
หรือผูเปนเจาหนี้จะไดกรรมสิทธิ์แลวหรือยัง หากไดมกี ารโอนการครอบครอง หรือไดมีการทํา
สัญญากันเสร็จสิ้นแลว ไมตอ งตกลงอะไรกันอีกแลว ความเสี่ยงก็โอนไป ไมวาจะโอนไปยังผู
ครอบครอง หรือโอนไปยังเจาหนีก้ ็จะไดความชัดเจนแนนอน และเปนธรรมยิ่งกวาการปลอยให
ความเสี่ยงตกอยูกับผูเปนเจาของกรรมสิทธิ๑๙์ และดวยเหตุนี้ในอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยการ
ซื้อขายระหวางประเทศ จึงมีการวางหลักความเสี่ยงในสัญญาซื้อขายไวแยกจากกรรมสิทธิ์ โดยถือ
ตามหลักความเสี่ยงโอนไปตามการครอบครอง๒๐
๑๙
Christian von Bar / Ulrich Drobnig, Study on Property Law and Non-Contractual
Liability Law as they Relate to Contract Law, Submitted to the European Commission – Health
and Consumer Protection – Directorate General, SANCO B5-1000/02/000574, No.488-491,
p.319-319.
๒๐
UN Convention on the International Sale of Goods
๒๙๗
PASSING OF RISK
Article 66 Loss of or damage to the goods after the risk has passed to the buyer does
not discharge him from his obligation to pay the price, unless the loss or damage is due to an act
or omission of the seller.
Article 67 (1) If the contract of sale involves carriage of the goods and the seller is
not bound to hand them over at a particular place, the risk passes to the buyer when the goods
are handed over to the first carrier for transmission to the buyer in accordance with the contract
of sale. If the seller is bound to hand the goods over to a carrier at a particular place, the risk
does not pass to the buyer until the goods are handed over to the carrier at that place. The fact
that the seller is authorized to retain documents controlling the disposition of the goods does not
affect the passage of the risk.
(2) Nevertheless, the risk does not pass to the buyer until the goods are
clearly identified to the contract, whether by markings on the goods, by shipping documents, by
notice given to the buyer or otherwise.
Article 68 The risk in respect of goods sold in transit passes to the buyer from the
time of the conclusion of the contract. However, if the circumstances so indicate, the risk is
assumed by the buyer from the time the goods were handed over to the carrier who issued the
documents embodying the contract of carriage. Nevertheless, if at the time of the conclusion of
the contract of sale the seller knew or ought to have known that the goods had been lost or
damaged and did not disclose this to the buyer, the loss or damage is at the risk of the seller.
Article 69 (1) In cases not within articles 67 and 68, the risk passes to the buyer
when he takes over the goods or, if he does not do so in due time, from the time when the goods
are placed at his disposal and he commits a breach of contract by failing to take delivery.
(2) However, if the buyer is bound to take over the goods at a place other
than a place of business of the seller, the risk passes when delivery is due and the buyer is aware
of the fact that the goods are placed at his disposal at that place.
(3) If the contract relates to goods not then identified, the goods are
considered not to be placed at the disposal of the buyer until they are clearly identified to the
contract.
Article 70 If the seller has committed a fundamental breach of contract, articles
67, 68 and 69 do not impair the remedies available to the buyer on account of the breach
๒๙๘
ตัวอยางเชน ก. เปนพอคาหมู ตกลงซื้อหมูจาก ข. ซึ่งเปนชาวนาผูเลี้ยงหมู จํานวน ๑ ตัว
โดย ก. ไดคัดเลือกหมูไวแลว และตกลงราคากันไวกับ ข. วาตกลงซื้อในอัตรากิโลกรัมละ ๘๐ บาท
โดยคาดวาหมูคงจะมีน้ําหนักระหวาง ๒๐๐ – ๒๕๐ กิโลกรัม แตระหวางที่ยังไมทันชั่งน้ําหนักหมู
ใหแนนอนวาหมูตัวนี้มีน้ําหนักเทาใด หมูตัวนั้นเกิดถูกรถชนตายโดยไมใชความผิดของฝายใด
ดังนี้จะเห็นไดวา หมูตวั นี้เปนทรัพยเฉพาะสิ่งแลว แมจะตกลงราคากันแลว แตขณะทีย่ ังไมไดชั่ง
น้ําหนัก ก็ยังไมรูราคากันแนนอน จึงยังไมแนวากรรมสิทธิ์จะโอนไปยังผูซื้อแลวหรือยัง แตสัญญา
เสร็จเด็ดขาดแลว เพราะตกลงตัวทรัพยและตกลงราคาแลว ไมมีอะไรใหตองตกลงกันอีก เห็นไดวา
หากพิจารณาตามมาตรา ๓๗๐ สัญญาซื้อขายรายนี้เปนสัญญาซื้อขายทรัพยเฉพาะสิ่ง เมื่อทรัพยที่
ซื้อขายเกิดสูญหรือเสียหายเพราะเหตุอนั ไมอาจโทษลูกหนี้ ซึ่งในกรณีนี้คือผูขายได ดังนั้นความ
เสี่ยงในความสูญหรือเสียหายของทรัพยทซี่ ื้อขายยอมตกเปนพับแกเจาหนี้คือ ก. ซึ่งเปนฝายผูซื้อ
อยางไรก็ตาม หากจะถือวาความเสี่ยงโอนไปตามกรรมสิทธิ์ เราก็จะเห็นไดวาอาจเกิดผลใน
ทางตรงขาม เพราะในกรณีนี้แม ก. จะคัดเลือกตัวหมู และตกลงราคาแลว แตกย็ ังไมรูราคาแนนอน
ดังนั้นหากไมปรากฏแนชัดวาคูกรณีไดโอนกรรมสิทธิ์กันแลว ก็ตองถือตามบทสันนิษฐาน
กรรมสิทธิ์ในมาตรา ๔๖๐ วรรคสอง ซึ่งกําหนดวากรรมสิทธิ์ในหมูตัวนี้ยังไมโอนไปเปนของผูซื้อ
และยอมมีผลใหความเสี่ยงตกเปนของฝายผูขายคือ ข.
กรณีตามอุทาหรณ ๓) หากปรับใชหลักความเสี่ยงตางกัน ก็จะไดผลตางกันเชนกัน ใน
กรณีสัญญาจะซื้อจะขายบานซึ่งไดสงมอบแกผูซื้อแลว หากถือวาสัญญาจะซื้อจะขายเปนสัญญาที่มี
วัตถุที่ประสงคเปนการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพยเฉพาะสิ่ง คือมีวัตถุที่ประสงคเปนการโอนบาน
หลังนี้ ดังนีห้ ากบานถูกน้ําพัดจนเสียหายหรือถูกทําลายไป ตามหลักในมาตรา ๓๗๐ โดยถือวา
ความเสี่ยงยอมตกอยูกับฝายเจาหนี้คือ ก. ซึ่งเปนผูซื้อ ก็ยอมมีผลตอไปวาฝายผูซื้อตองชําระราคา
บาน ทั้ง ๆ ที่บานถูกทําลายไปแลว ในแงเหตุผล เราก็จะเห็นไดวา เมื่อไดตกลงจะซื้อขายกันแลว
แมกรรมสิทธิ์ยังไมโอนไปเปนของ ก. แต ก. ก็ไดชื่อวามีสิทธิในฐานะคูสัญญาของ ข. แลว หาก
บานมีราคาสูงขึ้น ก. ซึ่งเปนเจาหนีย้ อมไดประโยชน เพราะ ข. จะขอขึน้ ราคาบานอีกไมไดแลว
และจะไปตกลงขายบานนีแ้ กบุคคลภายนอก ก็จะมีผลให ข. ตองรับผิดฐานไมชําระหนี้ ดังนี้เมื่อ ก.
เปนฝายไดประโยชนจากสัญญาแลว ในทางกลับกัน หากทรัพยเกิดสูญหรือเสียหายขึ้น ก. ก็ควร
ตองรับความเสี่ยงไป และแมความเสียหายนี้จะไมไดเกิดเพราะเหตุทโี่ ทษเจาหนี้คือ ก. ได เมื่อ ก.
ตองรับความเสี่ยง ก. ยอมไมมีสิทธิขอลดราคาลงตามสวน และไมมีสทิ ธิบอกเลิกสัญญา ซึ่งเปน
กรณีที่เห็นไดชัดวาเกิดผลตรงตามบทบัญญัติแหงกฎหมายมาตรา ๓๗๐
แตตามอุทาหรณเดียวกันนี้ ถาถือตามหลักความเสี่ยงตกอยูกับผูเปนเจาของทรัพย กรณีก็
จะเปนวาความเสี่ยงตกอยูก บั ข. ซึ่งเปนฝายผูขาย เพราะแมจะไดตกลงจะซื้อขายกันแลว เมื่อ ข. ยัง
ไมไดโอนกรรมสิทธิ์บานไปยัง ก. ดังนี้ ข. ยอมตองรับความเสี่ยงในความเสียหายของบานหลังนี้
ในฐานะเจาของกรรมสิทธิ์ แตหากจะปรับใชมาตรา ๓๗๐ ก็ทําไดไมถนัด เพราะเห็นไดชัดวาขัด
๒๙๙
กับตัวบท ผูทรงคุณวุฒิบางทาน๒๑จึงไพลไปอธิบายวา กรณีนี้ตองปรับเขากับมาตรา ๓๗๑ โดยถือ
วาเมื่อกรรมสิทธิ์ยังไมโอนไปยัง ก. ก็อธิบายเสียใหมวาสัญญาจะซื้อจะขายเปนกรณีสัญญาตาง
ตอบแทนที่มีเงื่อนไขบังคับกอน จึงไมใชมาตรา ๓๗๐ บังคับ ความเสี่ยงยอมไมตกเปนของเจาหนี้
แตตองตกเปนของลูกหนี้คือ ข. ผูขายซึ่งเปนเจาของกรรมสิทธิ์บานตามหลักทั่วไปในมาตรา ๓๗๒
อยางไรก็ดี หากปรับใชหลักความเสี่ยงตกอยูกับเจาของกรรมสิทธิ์ ก็ยอมมีผลตอไปวาเมื่อบานถูก
น้ําพัดไป ยอมจัดเปนกรณีการชําระหนี้กลายเปนพนวิสยั เพราะพฤติการณที่ลูกหนี้ คือ ข. ผูขายไม
ตองรับผิดชอบ และลูกหนีค้ ือ ข. ผูขายบานยอมหลุดพนจากการชําระหนี้ ไมตองสงมอบบานแก
ก. อีกตอไป แตขณะเดียวกันลูกหนี้กไ็ มมีสิทธิรับชําระหนี้ตอบแทนตามมาตรา ๓๗๒ วรรคแรก
ผลประการตอมาก็คือถาปรับเขาเปนกรณีตามมาตรา ๓๗๑ เมื่อบานถูกน้ําพัดไปเพราะพฤติการณที่
เจาหนีไ้ มตองรับผิดชอบ เจาหนี้ยอมมีสิทธิตามมาตรา ๓๗๑ วรรคสองขอลดสวนอันตนตองชําระ
หนี้ลง หรือเลิกสัญญาเสียได
จะเห็นไดวาหากปรับใชมาตรา ๓๗๐ แกกรณีตามอุทาหรณ ๓) ก. ผูซอื้ ตองเปนฝายรับ
ความเสี่ยงในความเสียหายของบาน และไมมีสิทธิขอลดราคาลงตามสวนหรือบอกเลิกสัญญา ตอง
ชําระราคาบานเต็มจํานวนทีต่ กลงไว แตหากปรับเขามาตรา ๓๗๑ ผลจะเปนวา ข. ตองรับความ
เสี่ยง และ ก. มีสิทธิขอลดราคาลงตามสวน หรือเลือกบอกเลิกสัญญา ทั้ง ๆ ที่ทรัพยนั้นสูญหรือเสีย
หายไปในขณะที่ตนมีสิทธิไดประโยชนจากบานตามสัญญานั้นแลว หรือไดรับมอบบานมาไวใน
ครอบครองของตนแลว
กรณีตามอุทาหรณในขอ ๔) หาก ก. ซึ่งเปนผูจะซื้อเอาประกันภัยบานหลังนี้ไว และเรา
ปรับใชมาตรา ๓๗๐ แกกรณีนี้ เราก็จะเห็นไดวา ก. เมื่อน้าํ พัดบานไปโดยโทษ ข. ซึ่งเปนลูกหนี้
ไมได ข. ยอมหลุดพนจากการชําระหนี้ แต ข. มีสิทธิไดรับชําระหนี้ตอบแทน และ ก. เปนฝายตอง
รับความเสี่ยงคือไมไดบาน แตตองชําระราคา ดังนั้นการที่ ก. ไดประโยชนตามสัญญาประกันภัย ก็
เปนกรณีที่ ก. ไดรับการเยียวยาในฐานะเปนผูรับความเสี่ยง แตถาเปนกรณีกลับกัน คือ หาก ข.
ผูขายเปนฝายที่เอาประกันภัยไว เมื่อบานถูกน้ําพัดไป และ ก. ตองรับความเสี่ยงโดยยอมชําระราคา
เต็มแก ข. แลว ก. ยอมมีสิทธิตามมาตรา ๒๒๘ ทีจ่ ะเรียกให ข. สงมอบของแทนหรือคาสินไหม
ทดแทนแก ก. ได
แตกรณีตามอุทาหรณ ๔) นี้ ถาเราปรับเขากับกรณีตามมาตรา ๓๗๑ ซึ่งเปนการบิดเบือน
ความหมายของนิติกรรมที่มีเงื่อนไขบังคับกอนตามมาตรา ๑๘๓ แลวผลที่ตามมาจากมาตรา ๓๗๑
ก็จะเปนวา ในกรณีที่เกิดความเสียหายเพราะเหตุอนั โทษลูกหนี้ไมไดและโทษเจาหนีก้ ็ไมไดดวย
นอกจากลูกหนี้คือ ข. จะตองรับภาระความเสี่ยง และ ก. มีสิทธิขอลดราคาลงตามสวนตามมาตรา
๒๑
โปรดดู จิตติ ติงศภัทิย และยล ธีรกุล, คําอธิบายประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย บรรพ ๒ มาตรา ๒๔๑-
๔๕๒, พ.ศ. ๒๕๐๓, หนา ๓๑๓-๓๑๔.
๓๐๐
๓๗๑ วรรคสองแลว ก. ยังมีสิทธิไดรับประโยชนตามสัญญาประกันภัยที่ ก. เองไดเอาประกันไว
อีกตอหนึ่ง ในขณะทีห่ ากกลับกัน หากแทนที่ ก. จะเปนฝายเอาประกันภัย การณกลับเปนวา ข.
เปนฝายเอาประกันภัย ดังนีแ้ ทนที่ประกันภัยนั้นจะเกิดประโยชนแก ข. ซึ่งเปนผูเอาประกันภัยไว
เอง ก็จะกลายเปนวา ก. ซึ่งมิไดทําประกันภัยไว อาจอางสิทธิตามมาตรา ๒๒๘ ขอรับประโยชน
ตามสัญญาประกันภัยเพราะเปนของแทนทีล่ ูกหนี้ไดรับไวเพราะการชําระหนี้เปนพนวิสัยได
นอกจากนี้ เมือ่ ความเสียหายจากน้ําพัดบานไปไมใชเพราะความผิดของเจาหนี้ คือ ก. ซึ่งเปนฝายผู
ซื้อ เจาหนี้กย็ ังอาจอางประโยชนตามมาตรา ๓๗๑ วรรคสองในการขอลดราคาลงตามสวนไดอกี
ดวย กรณีก็จะเทากับกฎหมายยอมให ก. ไดรับประโยชนถึงสองชั้น เวนแตจะตีความสกัดผลของ
มาตรา ๓๗๑ ประกอบกับมาตรา ๒๒๘ เสียวาเมื่อบานถูกน้ําพัดหายไปเพราะพฤติการณที่โทษฝาย
ใดมิได เปนเหตุใหลูกหนี้คือ ข. หลุดพนจากการชําระหนีต้ ามมาตรา ๒๑๙ และไมมีสทิ ธิไดรับ
ชําระหนี้ตอบแทนตามมาตรา ๓๗๒ วรรคแรกแลว หากเจาหนี้คือ ก. จะใชสิทธิเรียกของแทนที่ ข.
ไดรับไว ก. ยอมตองชําระหนี้ตอบแทนแก ข. ดวย
จากตัวอยางตาง ๆ ขางบนนี้ เราจะเห็นไดวาการวิเคราะหวา หลักการแบงภาระความเสี่ยง
ในระบบกฎหมายไทยเปนไปตามหลักกรรมสิทธิ์ หรือเปนไปตามหลักสัญญาเสร็จสิ้นเปนกรณีที่
อาจกอใหเกิดผลทางปฏิบัติที่ตางกัน ซึ่งผูเขียนออกจะเห็นดวยกับหลักการโอนความเสี่ยงตาม
ประโยชนทางการคาซึ่งยอมเกิดขึ้นแกฝายเจาหนีใ้ นทันทีที่สัญญาเสร็จสิ้น โดยไมจําเปนตองรอให
มีการโอนกรรมสิทธิ์กันเสียกอน และเมื่อไดประโยชนแลวเจาหนี้จึงควรไดรับภาระความเสี่ยงไป
สวนหลักความเสี่ยงตกอยูก บั ผูเปนเจาของทรัพยนั้นควรถือเปนหลักทัว่ ๆ ไป เพราะเปนหลักที่
สอดคลองกับสามัญสํานึกอยูแลว แตไมควรนํามาใชเปนหลักกับสัญญาตางตอบแทน เพราะ
กรรมสิทธิ์กับประโยชนทางธุรกิจการคานัน้ อาจแยกจากกันได การผูกความเสี่ยงไวกบั เจาของ
กรรมสิทธิ์จะเปนการกําหนดภาระหนักแกเจาของกรรมสิทธิ์มากเกินไป โดยเฉพาะเจาของ
กรรมสิทธิ์ซึ่งไมไดครอบครองทรัพยไวแลว หรือตองยอมผูกพันตามสัญญาใหคูกรณีอีกฝายหนึ่งมี
สิทธิไดรับประโยชนจากทรัพยนั้นไดแลว การใหความเสี่ยงในสัญญาตางตอบแทนที่มี
วัตถุประสงคเปนการโอนทรัพยเฉพาะสิ่งโอนไปยังเจาหนี้เมื่อไดทําสัญญากันเสร็จสิ้นแลว จึงนับ
ไดวาเปนการใหความคุมครองแกลูกหนี้ซึ่งเปนเจาของทรัพยอยางไดสัดไดสวน สอดคลองกับ
หลักตางตอบแทนยิ่งกวาการผูกความเสี่ยงไวกับฝายลูกหนี้ตามหลักกรรมสิทธิ์
๓.๓ ตัวอยางปญหาจากแนวคําพิพากษาของศาลไทย
ในการศึกษาปญหาการแบงภาระความเสี่ยงจากแนวคําพิพากษาศาลฎีกาประกอบ
ขอสังเกตดังตอไปนี้ เราจะพบวา ความเขาใจปญหา และการอธิบายแนวทางการปรับใชหลัก
กฎหมายวาดวยการแบงภาระความเสีย่ งในสัญญาตางตอบแทนนีย้ ังไมชัดเจนนัก อาจเรียกไดวา
เปนปญหาที่เปนปริศนาสําคัญในระบบกฎหมายแพงและพาณิชยของไทยมาตั้งแตประกาศใช
ประมวลกฎหมายใหม ๆ
๓๐๑
คําพิพากษาฎีกาที่ ๓๕๗/๒๕๘๖
ตกลงเชาซื้อรถยนตกันราคา ๔,๐๐๐ บาท ผูเชาซื้อชําระราคาในวันทําสัญญา ๑,๕๐๐ บาท
และชําระคาเชาเดือนละ ๒๕๐ บาท สงมอบรถกันแลว แตทางราชการยึดรถยนตไปใชในราชการ
สงคราม ผูเชาซื้อจึงบอกเลิกสัญญาและเรียกเงิน ๑,๕๐๐ บาทคืน ศาลชั้นตนพิพากษาวาผูเชาซื้อไม
มีสิทธิเรียกเงินคืน ศาลอุทธรณพิพากษายืน ศาลฎีกาพิพากษาใหคืนเงิน ๑,๕๐๐ บาท แกผูเชาซื้อ
โดยใหเหตุผลวาสัญญาเชาซื้อเปนสัญญาตางตอบแทน เมื่อรถยนตถูกยึดไป ก็เปนกรณีที่ผูใหเชา
ซื้อไมสามารถชําระหนี้ได ผูเชาซื้อก็ไมมีหนาที่ชําระหนี้ และมีสิทธิบอกเลิกสัญญา และคูกรณีตอง
กลับคืนสูฐานะเดิม ผูใหเชาซื้อจึงตองคืนเงิน ๑,๕๐๐ บาทที่ไดรับไวแกผูเชาซื้อ สวนคาเชาเดือน
ละ ๒๕๐ บาท นั้นผูใหเชาซื้อเก็บไวไดในฐานะเปนคาสึกหรอ
ขอสังเกต
คําพิพากษาฎีกาคดีนี้ไมไดแสดงการปรับใชบทกฎหมายไว แตอาจอธิบายไดวา สัญญาเชา
ซื้อเปนสัญญาตางตอบแทนซึ่งผูใหเชาซื้อเอาทรัพยใหเชา โดยใหคํามัน่ วาจะขายหากผูเชาซื้อชําระ
เงินตามที่ตกลงกันตามมาตรา ๕๗๒ วรรคแรก ดังนี้สัญญาเชาซื้อจึงเปนสัญญาตางตอบแทนที่มี
วัตถุที่ประสงคเปนการโอนทรัพยเฉพาะสิ่งโดยมีเงื่อนไขบังคับกอน คือสัญญาซื้อขายจะเปนผล
เมื่อผูเชาซื้อชําระเงินครบตามที่ตกลงกัน ซึง่ ผูเชาซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาไดเสมอโดยสงของคืน
ตามมาตรา ๕๗๓ เมื่อการชําระหนีก้ ลายเปนพนวิสัยเพราะทางราชการยึดรถยนตไปใชยาม
สงครามไมรูแนวาจะไดคืนหรือไม กรณีไมใชทรัพยเฉพาะสิ่งสูญหรือเสียหายไป ไมอาจปรับได
กับมาตรา ๓๗๐ และ ๓๗๑ แตเปนกรณีตามมาตรา ๓๗๒ ดังนี้ลูกหนีค้ ือผูใหเชาซื้อยอมเปนผูรับ
ความเสี่ยง โดยหลุดพนจากการชําระหนี้ แตผูใหเชาซื้อไมมีสิทธิรับชําระหนี้ตอบแทน กรณีนี้เมื่อ
การชําระหนีก้ ลายเปนพนวิสยั ไปโดยไมใชความผิดของเจาหนี้คือฝายผูเ ชาซื้อ และผูใหเชาซื้อก็ไม
มีสิทธิรับชําระหนี้ตอบแทน ฝายผูเชาซื้อยอมมีสิทธิบอกเลิกสัญญา และเรียกเงินที่ชําระไวแลวคืน
แตเนื่องจากผูเชาซื้อไดใชรถไปแลวกอนถูกทางราชการยึดไป เมื่อเลิกสัญญาแลวยอมตองทําใหอีก
ฝายหนึ่งกลับคืนสูฐานะเดิม ดังนั้นจึงตองใชคาสึกหรอ ซึ่งกรณีนี้ศาลคิดใหเปนเงิน ๒๕๐ บาท
คําพิพากษาฎีกาที่ ๙๐๕/๒๔๙๓
ทําหนังสือสัญญาจะขายทีด่ นิ และหองแถวที่ปลูกในที่ดนิ นั้น เมื่อทําสัญญาแลวเกิดไฟ
ไหมหองแถวโดยไมอาจโทษผูจะขายได ผูซื้อจะใชสิทธิขอเลิกสัญญาและขอมัดจํา คดีนี้ศาล
ชั้นตนและศาลอุทธรณพิพากษาวาผูจ ะซื้อบอกเลิกสัญญาได และใหผจู ะขายคืนมัดจําและดอกเบี้ย
แตศาลฎีกาวินจิ ฉัยกลับเปนวา โดยวัตถุประสงคสวนใหญของการซื้อขาย ก็คือที่ดินซึ่งมีราคา
มากกวาหองแถวมาก เมื่อเกิดไฟไหมหองแถวอันจะโทษเอาเปนความผิดของผูขายไมได ผูจะซื้อ
ไมมสี ิทธิเลิกสัญญา แตมีสิทธิจะขอลดราคาซื้อขายกันได
ขอสังเกต
๓๐๒
ในคําพิพากษาคดีนี้ ศาลก็ไมไดแสดงใหเห็นวาไดปรับใชกฎหมายอยางไร แตก็เห็นไดชัด
วาศาลพยายามนําเอาหลักการแบงภาระความเสี่ยงในสัญญาตางตอบแทนซึ่งมีวัตถุที่ประสงคเปน
การโอนไปซึ่งที่ดินและตึกแถวอันเปนทรัพยเฉพาะสิ่งมาปรับใช ประเด็นนาคิดอยูทกี่ รณีนี้ศาลใช
มาตรา ๓๗๐ หรือมาตรา ๓๗๑ กันแน
หากพิเคราะหวาการที่ศาลพิพากษาวา ผูจะซื้อไมมีสิทธิบอกเลิกสัญญา ก็ดูเหมือนศาล
ยอมรับวา เมื่อไฟไหมหองแถว ความเสี่ยงตกเปนของเจาหนี้ คลายกับวาศาลปรับใชมาตรา ๓๗๐
แกกรณีนี้ เปนเหตุใหผูจะซื้อซึ่งเปนเจาหนีย้ อมตองรับความเสี่ยงในภัยพิบัติอันเกิดจากทรัพยสูญ
หรือเสียหายไปเพราะไฟไหม คือตองรับมอบที่ดินที่ไมมหี องแถวไว แลวชําระราคาตามสัญญาจะ
ซื้อขาย เพราะความเสี่ยงอันเกิดจากทรัพยเสียหายตกเปนของเจาหนี้ เวนแตลูกหนี้จะไดอะไรไว
แทน เชนไดรบั เงินประกันวินาศภัย ดังนี้เจาหนี้คือผูซื้อยอมมีสิทธิขอรับเงินหรือของแทนนัน้ ได
ตามหลักชวงทรัพยในมาตรา ๒๒๘ อันอาจเปนเหตุใหหกั กลบกันกับราคาขายตามสัญญา และลด
ราคาตามสัญญาจะซื้อขายลงได แตกรณีนกี้ ็ไมปรากฏขอเท็จจริงวาผูจะขายไดรับประโยชนหรือคา
ทดแทนการที่หองแถวไฟไหมอยางหนึ่งอยางใด
แตถาจะอธิบายวา การที่ศาลยอมใหลดราคาตามสัญญาลงบางสวน แสดงใหเห็นวาศาลถือ
หลักวาความเสี่ยงตกอยูก ับลูกหนี้กไ็ ด ในกรณีนี้ศาลอาจปรับใชมาตรา ๓๗๑ โดยอธิบายวาสัญญา
จะซื้อขายเปนสัญญาตางตอบแทนที่มีเงื่อนไขบังคับกอน ดังนี้เมื่อเกิดไฟไหมโดยโทษลูกหนี้คือผู
จะขายไมได ก็ไมใชมาตรา ๓๗๐ แตเปนกรณีตามมาตรา ๓๗๑ ลูกหนีค้ ือผูจะขายยอมตองรับ
ความเสี่ยงนัน้ ตามหลักเกณฑวาดวยสัญญาตางตอบแทนในมาตรา ๓๗๒ คือลูกหนีห้ รือผูจะขาย
หลุดพนจากการชําระหนี้แตไมมีสิทธิรับชําระหนี้ตอบแทน กรณีนี้ลูกหนี้หลุดพนจากการสงมอบ
หองแถวที่ถูกไฟไหมเปนเหตุใหทรัพยสินที่จะซื้อขายกันเสียหายบางสวน แตยังคงตองสงมอบ
ที่ดินเพราะยังอยูในวิสัยที่จะชําระแกกันได โดยผูจะขายตองยอมใหผูจะซื้อหักราคาหองแถวออก
เพราะการสงมอบหองแถวเปนพนวิสัยโดยลูกหนี้คือผูจะขายไมมีสิทธิรับชําระหนี้ตอบแทน แต
เมื่อหลักเกณฑนี้นํามาปรับใชภายใตบังคับของมาตรา ๓๗๑ เพราะศาลเห็นวาสัญญาจะซื้อจะขาย
เปนสัญญาตางตอบแทนที่มวี ัตถุประสงคเปนการโอนทรัพยเฉพาะสิ่งที่มีเงื่อนไขบังคับกอน หาก
การที่ไฟไหมนั้นเปนเหตุอนั โทษเจาหนี้ไมได เจาหนีย้ อมมีสิทธิตามมาตรา ๓๗๑ วรรคสอง คือขอ
ลดราคาลงบางสวน หรือบอกเลิกสัญญาเสียก็ได ดังนัน้ ในกรณีนี้การทีศ่ าลพิพากษาวาผูจะซื้อมี
สิทธิขอลดราคาลงบางสวน แตไมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาก็ยอมขัดตอมาตรา ๓๗๑ วรรคสอง
คําพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๙/๒๕๐๖
ก.ขายรถเฟยตให ข. ราคา ๕๕,๐๐๐ บาท โดยให ข. ชําระราคาดวยเงินสด ๒๐,๐๐๐ บาท
พรอมกับรถยนตออสตินของ ข. ตีราคา ๓๕,๐๐๐ บาท ทั้งสองฝายมอบรถและเงินแกกันแลว แต
ตกลงจะไปโอนทะเบียนรถยนตใหแกกันภายหลัง เมื่อ ก. ผอนชําระราคารถที่ซื้อมาจากกรม
สวัสดิการฯ ของหนวยงานที่ ก. สังกัดและไดรับโอนทะเบียนมาแลว ระหวางทีย่ ังรอกําหนดโอน
๓๐๓
ทะเบียนกันนี้ รถเฟยตของ ก. ในครอบครองของ ข. เกิดถูกไฟไหมเสียหายจนใชการไมไดโดย
ไมใชความผิดของฝายใด ก. จึงอางวาการโอนกรรมสิทธิ์รถเฟยตใหจําเลยกลายเปนพนวิสัย แลว
เรียกให ข. โอนทะเบียนรถเฟยตใหตน
ในคดีนี้ ศาลฎีกาเริ่มพิจารณาปญหาวากรรมสิทธิ์ในรถยนตที่สงมอบแกกันโอนไปยัง
คูกรณีแลวหรือยัง และเห็นวาในขณะที่ตกลงสงมอบรถกันนั้น ทั้งสองฝายตางรูดีวา เจาของรถ
เฟยตยังโอนทะเบียนรถใหไมได คูกรณีจึงตกลงจะไปโอนทะเบียนแกกันพรอมกันในภายหลัง
ศาลจึงวินิจฉัยวาคูกรณียังไมมีเจตนาโอนกรรมสิทธิ์กันจนกวาเงื่อนไขที่ตกลงกันไวจะสําเร็จ และ
กรรมสิทธิ์ในรถออสตินของ ข. ยังไมโอนไปเปนของ ก. ดังนั้นตอมาเมื่อรถเฟยตซึ่งอยูใน
ครอบครองของ ข. เกิดไฟไหม และ ก. อางวาความเสีย่ งในการที่รถเสียหายยอมเปนของ ข. นั้น
ศาลไมเห็นดวย เพราะแมสญ ั ญาระหวาง ก. กับ ข. เปนสัญญาตางตอบแทนที่มวี ัตถุที่ประสงคเปน
การโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพยเฉพาะสิ่งก็จริง แตเมื่อตกลงไปโอนกรรมสิทธิ์กันภายหลัง จึงจัดวา
เปนสัญญาตางตอบแทนที่มเี งื่อนไขบังคับกอนตามมาตรา ๓๗๑ ไมใชกรณีตามมาตรา ๓๗๐ เมื่อ
ทรัพยอันเปนวัตถุแหงสัญญาถูกทําลายลง ก็ตองปรับใชหลักในมาตรา ๓๗๒ วรรคแรก ก. ไมตอง
โอนทะเบียนรถใหแก ข. แต ก. ก็ไมมีสิทธิรับชําระหนี้ตอบแทน ก. จึงไมมีสิทธิจะเรียกรองให ข.
โอนกรรมสิทธิ์รถออสตินแก ก. ตามหลักการโอนความเสี่ยงในสัญญาตางตอบแทนตามมาตรา
๓๗๒ วรรคแรก ซึ่งถือวาความเสี่ยงยอมตกอยูกับฝายลูกหนี้
ขอสังเกต
ปญหานาคิดในคดีนี้ก็คือ ปญหาวาสัญญาซื้อขายระหวาง ก. กับ ข. เปนสัญญาซื้อขายเสร็จ
เด็ดขาดที่มีเงื่อนไขการโอนกรรมสิทธิ์ หรือวาเปนสัญญาซื้อขายที่มีเงื่อนไขบังคับกอน เพราะเมื่อ
ตกลงกันเสร็จสิ้น ตางฝายตางปฏิบัติตามความผูกพันดวยการสงมอบรถและชําระราคาแกกนั ทันที
เห็นไดวาสัญญาเกิดขึ้น และสิทธิหนาที่ตามสัญญาก็เกิดขึ้นแลว ผูขายมีสิทธิเรียกใหผูซื้อชําระ
ราคา และผูขายเองก็สงมอบทรัพยที่ซื้อขายแกผูซื้อแลว เหลือแตเพียงกรรมสิทธิ์ยังไมไดโอนกัน
เพราะคูกรณีเขาใจดีวาผูขายยังไมไดกรรมสิทธิ์ในรถที่ตนตกลงขาย แตก็เปนที่เขาใจกันวา เมื่อ
ผูขายไดกรรมสิทธิ์ในรถเฟยตมาแลวก็ผูกพันและสมัครใจใหกรรมสิทธิ์ในรถโอนไปยังผูซื้อทันที
และเมื่อเงื่อนไขสําเร็จแลวผูซื้อก็ยอมตกลงผูกพันใหกรรมสิทธิ์โอนไปยังผูขายทันทีเชนกัน กรณี
จึงนาจะจัดวาเปนสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดที่มีเงื่อนไขการโอนกรรมสิทธิ์ ไมใชสัญญาซื้อขายที่มี
เงื่อนไขบังคับกอนตามที่ศาลฎีกาวินิจฉัย เพราะหากถือตามแนวคําพิพากษาศาลฎีกา ก็ตองปรับใช
หลักเกณฑวาดวยสัญญาที่มเี งื่อนไขบังคับกอนในมาตรา ๑๘๓ ซึ่งรับรองใหสัญญาเกิดขึ้นแตยังไม
เปนผลจนกวาเงื่อนไขจะสําเร็จ เมื่อสัญญายังไมเปนผล คูกรณีกย็ ังไมมีสิทธิและหนาที่ตามสัญญา
เพียงแตมีนิติสมั พันธที่มีเงื่อนไขระหวางกันเทานั้น ยังไมมีหนี้ตอกันตามสัญญา ตอเมื่อเงื่อนไข
สําเร็จ สัญญาเปนผล คูกรณีจึงจะมีหนาทีช่ ําระหนีแ้ กกนั แตกรณีนี้คกู รณีทั้งสองฝายตางผูกพันใน
๓๐๔
การชําระหนีแ้ กกันดวยการสงมอบทรัพยและชําระราคาตอบแทนกันแลว เพียงแตยังไมไดโอน
กรรมสิทธิ์แกกันเทานัน้
หากไมเดินตามแนวคําพิพากษาศาลฎีกา โดยถือวาสัญญานี้เปนสัญญาตางตอบแทนที่เสร็จ
เด็ดขาดแลว ผลก็จะแตกตางออกไป กรณีตอ งตกอยูใตบังคับของมาตรา ๓๗๐ เพราะเปนสัญญา
ตางตอบแทนที่มีวัตถุที่ประสงคเปนการโอนกรรมสิทธิ์ในรถยนตอันเฉพาะเจาะจง จึงจัดเปน
ทรัพยเฉพาะสิ่งแลว ดังนี้ความเสี่ยงควรตกเปนของเจาหนีค้ ือผูซื้อตั้งแตเมื่อทําสัญญากันเสร็จสิ้น
โดยไมตองคํานึงถึงวากรรมสิทธิ์เปนของฝายใด การที่ศาลถือเอาขอเท็จจริงวายังไมไดโอน
กรรมสิทธิ์กันมาใชในการตัดสินวา สัญญาระหวางคูก รณีในคดีนี้เปนสัญญาตางตอบแทนที่มี
เงื่อนไขบังคับกอนยอมขัดตอขอเท็จจริงที่วาทั้งสองฝายตางถือวาสัญญานี้เปนผลแลว และคูกรณีมี
หนี้ตอกันแลว และตางก็ชําระหนี้ตางตอบแทนแกกันไปแลว จึงไมนาจะจัดวาเปนสัญญาตางตอบ
แทนที่มีเงื่อนไขบังคับกอนได อยางไรก็ดี การที่ศาลตัดสินไปเชนนั้น นาจะเปนเพราะศาลฎีกายัง
ยึดอยูก ับหลักวาความเสีย่ งยอมโอนตามกรรมสิทธิ์มากกวา กลาวคือเมื่อศาลเห็นวากรรมสิทธิ์ใน
รถยนตที่ขายกันยังไมโอนกัน ศาลจึงไมยอมปรับใชมาตรา ๓๗๐ และหันไปใชมาตรา ๓๗๑ ทั้ง ๆ
ที่ขอ เท็จจริงในคดีไมตองดวยหลักเกณฑที่กฎหมายกําหนดไวแตอยางใด คดีนหี้ ากศาลฎีกาไมยึด
อยูกับคติที่วา ความเสี่ยงโอนตามกรรมสิทธิ์มากเกินไป และตระหนักวาบทกฎหมายมาตรา ๓๗๐
นั้นกําหนดไวเพียงแตวาความเสี่ยงตกเปนพับแกเจาหนี้ โดยไมไดคํานึงถึงวาเจาหนี้จะตองเปน
เจาของกรรมสิทธิ์หรือไม และปรับใชมาตรา ๓๗๐ ไปตรง ๆ ดังนี้ก็ไมจําเปนตองไปตีความมาตรา
๓๗๑ ใหขัดกันกับมาตรา ๑๘๓ และแนวคําวินิจฉัยคดีของศาลก็ยอมจะเปลี่ยนแปลงไป คือความ
เสี่ยงในกรณีทรี่ ถเฟยตถูกไฟไหมนั้นตกอยูก ับผูซื้อ และผูซื้อตองจดทะเบียนโอนรถออสตินแก
ผูขายตามสัญญา
คําพิพากษาฎีกาที่ ๓๓๙/๒๕๐๖
บริษัท ก. ตกลงซื้อไมสักจากโรงเลื่อย ข. โดยตกลงใหโรงเลื่อยตองรับผิดชอบในไม
จนกวาจะไดสง มอบถึงที่ตามที่ไดตกลงกัน ปรากฏวาเจาหนาที่ของบริษัท ก. ไดวัดและตีตราไม
ตามสัญญาและไดชําระราคาไวแลว แตยังไมไดสงมอบ ตอมาเกิดไฟไหมไมเพราะเหตุที่ไมอาจ
โทษ ข. ผูขายได ข. เรียกให ก. ชําระราคาไมตามที่ตกลงกัน สวน ก. อางขอสัญญาวา คูกรณีตกลง
กันใหความเสีย่ งตกอยูกับผูขายจนกวาจะไดสงมอบ ดังนีม้ ีปญหาวา บริษัท ก. จะตองชําระราคาไม
ที่ไดวดั และตีตราไวหรือไม คดีนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยวา เมื่อเจาหนาที่ของบริษัท ก. ไดวดั และตีตราไม
ไวแลว กรรมสิทธิ์ยอมโอนไปยังบริษัท ก. หากไฟไหมไปเพราะเหตุอันโทษผูขายไมได การชําระ
หนี้กลายเปนพนวิสัย ผูขายยอมหลุดพนไปตามมาตรา ๒๑๙ ผูซื้อในฐานะเปนเจาของทรัพยยอม
ตองไดรับบาบเคราะหตกเปนพับไป
ขอสังเกต
๓๐๕
กรณีนี้ควรสังเกตวาสาระสําคัญของมาตรา ๓๗๐ อยูที่คูกรณีไดคัดเลือกตัวทรัพยจน
กลายเปนวัตถุแหงหนี้อันเปนทรัพยเฉพาะสิ่งแลว กรรมสิทธิ์โอนไปแลวหรือยังไมสาํ คัญ ความ
เสี่ยงยอมโอนไปทันทีตามมาตรา ๓๗๐ วรรคสอง แตกรณีตามคําพิพากษานี้ ศาลไดพิพากษาวา
การตีตราไมเปนการตกลงรับโอนกรรมสิทธิ์ในไมที่ตีตราไวแลว สวนขอสัญญาวาผูขายรับผิดใน
ไมจนกวาจะไดสงมอบถึงที่ตามที่ไดตกลงกันนั้น ดูเหมือนศาลจะตีความวา ไมใชขอตกลงที่ผูขาย
ตกลงรับความเสี่ยงจนกวาจะสงมอบ เปนแตเพียงรับผิดชอบดูแลรักษาทรัพยจนกวาจะสงมอบ
เทานั้น ดังนั้นหากการสงมอบเปนพนวิสัยเพราะพฤติการณที่ผูขายไมตอ งรับผิดชอบ ผูขายยอม
หลุดพนจากการชําระหนี้สงมอบทรัพยตามมาตรา ๒๑๙
คําพิพากษาฎีกาที่ ๑๓๔๖/๒๕๑๗
ในสัญญาเชาหองแถวรายหนึ่ง หองแถวซึ่งเปนวัตถุแหงการเชาถูกไฟไหมหมดไป สัญญา
เชายอมระงับตามมาตรา ๕๖๗ ปญหามีวา เมื่อทรัพยสินที่เชาสูญหายไปหมดสิ้นเพราะถูกไฟไหม
โดยไมใชความผิดของผูเชา และผูเชายังใชทรัพยสินไมครบตามระยะเวลาตามสัญญาเชาเชนนี้ ผู
เชามีสิทธิเรียกคาเชาบางสวนที่ชําระลวงหนาไปแลวคืนไดหรือไม ปรากฏวาศาลฎีกา โดยมติที่
ประชุมใหญไดวินจิ ฉัยวา เมือ่ สัญญาเชามิไดกําหนดขอยกเวนไววา ผูเชาไมมีสิทธิเรียกคาเชาคืน
จากผูใหเชา ดังนั้นหากทรัพยสินที่เชาสูญหายไปเพราะเหตุใด ๆ อันจะโทษฝายหนึง่ ฝายใดไมได
แลว กรณียอมเปนไปตามมาตรา ๓๗๒ วรรคแรก ซึ่งลูกหนี้คือผูใหเชาซึ่งหลุดพนจากการยอมให
ผูเชาใชทรัพยยอมไมมีสิทธิไดรับชําระหนี้ตอบแทน ผูเชายอมมีสิทธิเรียกคาเชาที่ไดชําระใหแก
ผูใหเชาไปแลวนั้นคืนตามสวนถัวระยะเวลาที่ผูเชาไมไดรับประโยชนจากทรัพยสินที่เชาได
ขอสังเกต
กรณีนี้เห็นไดวา สัญญาเชาเปนสัญญาตางตอบแทนที่ไมมีวัตถุประสงคเปนการโอนทรัพย
เฉพาะสิ่ง จึงไมอยูใตบังคับของมาตรา ๓๗๐ แตอยูใตบงั คับของหลัก Synallagma ในมาตรา ๓๗๒
ดังนั้นเมื่อการชําระหนีก้ ลายเปนพนวิสัยโดยโทษผูใดไมได ดังนี้ลูกหนีย้ อมหลุดพน (ม.๒๑๙) แต
ไมมีสิทธิรับชําระหนี้ตอบแทน (ม.๓๗๒)
คําพิพากษาฎีกาที่ ๒๖๐๓/๒๕๒๐
ก. ตกลงซื้อโคจาก ข. ดวยวาจาจํานวน ๒ ตัว ข. ไดมอบโคแก ค. แลวโดยตกลงไปโอนตั๋ว
พิมพรูปพรรณพรอมชําระราคาในวันหลัง ตอมาโคถูกคนรายลักไปโดยไมปรากฏพฤติการณอันจะ
โทษ ก. ผูซื้อได ดังนี้ ข. จึงเรียกให ก. ผูซื้อชําระราคา แต ก. กลับอางวาวัวยังเปนกรรมสิทธิ์ของ ข.
แมจะอยูในครอบครองของตัว หากวัวถูกลักไปโดยเหตุทโี่ ทษ ก. ไมได ก็เปนความเสี่ยงของ ข.
เอง จึงเกิดพิพาทกันขึ้นวาฝายใดควรจะตองรับความเสี่ยงในวัวที่หายไปในกรณีนี้ ปรากฏวาคดีนี้
ศาลฎีกาพิพากษาวา สัญญาซื้อขายโคแมไมไดทําเปนหนังสือและจดทะเบียน แตการทีไ่ ดตกลงกัน
วาจะไปโอนตัว๋ กันวันหลัง ทําใหเห็นไดวาไมใชสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด แตเปนสัญญาจะซื้อจะ
๓๐๖
ขายที่อาจบังคับกันไดเพราะผูขายไดชําระหนี้แลว เมื่อกรรมสิทธิ์ในโคยังเปนของ ข. ผูขายอยู การ
ที่โคหายไปโดยไมปรากฏวาเปนความผิดของผูซื้อ ดังนี้ผูซื้อไมตองรับผิดชําระราคาแกผูขาย
ขอสังเกต
ในคําพิพากษาฎีกานี้ศาลไมไดเดินตามหลักในคําพิพากษาฎีกาที่ ๙๐๕/๒๔๙๓ ซึ่งศาลเคย
ถือวา ในสัญญาจะซื้อขายทีด่ ินและตึกแถว หากตึกแถวไฟไหมความเสี่ยงไดโอนไปยังเจาหนี้ (ผูจะ
ซื้อ) แลว ผูจะซื้อในคดีนั้นจึงไมมีสิทธิบอกเลิกสัญญา แตหันมาเดินตามแนวคําพิพากษาศาลฎีกาที่
๑๔๙/๒๕๐๖ คือถือวากรรมสิทธิ์อยูที่ฝายใด ฝายนั้นรับความเสี่ยง เหตุใดศาลไมปรับใชมาตรา
๓๗๐ ยังอธิบายไดยาก นอกจากจะอางวาเปนสัญญาซื้อขายที่มีเงื่อนไขบังคับกอนเพราะยังตกลง
จะไปโอนตัว๋ พรอมชําระเงินวันหลัง จึงเขา ม. ๓๗๑ และไมใช ม.๓๗๐ แตหากพิเคราะหดู
ขอเท็จจริงในคดี ก็จะเห็นไดวา คูกรณีตกลงจะซื้อขายโค โดยสงมอบโคกันแลว เพียงแตจะไปจด
ทะเบียนโอนตัว๋ รูปพรรณในวันหลัง กรณีไมมีเหตุการณอนั ไมแนนอนวาจะเกิดขึ้นหรือไมเปน
เงื่อนไขบังคับกอนตามนัยแหงมาตรา ๑๘๓ แตอยางใด เพราะสัญญาเปนผลเรียบรอยแลว หากฝาย
หนึ่งฝายใดเรียกใหไปโอนตัว๋ แลวอีกฝายหนึ่งเพิกเฉยไมไปโอนก็เปนกรณีผดิ นัด และบังคับกัน
ไดแลว เห็นไดชัดวาเปนสัญญาตางตอบแทนที่มีวตั ถุที่ประสงคเปนการโอนทรัพยสิทธิในทรัพย
เฉพาะสิ่งแลว ดังนี้ความเสีย่ งยอมโอนไปยังเจาหนี้คือผูจะซื้อแลวตามนัยแหงมาตรา ๓๗๐ โดยไม
ตองคํานึงถึงวากรรมสิทธิ์จะโอนไปยังผูจะซื้อแลวหรือไม เพราะทันทีที่สัญญาเสร็จสิ้นแลว ผูซื้อที่
ยังไมไดกรรมสิทธิ์ยอมมีสิทธินําเอาทรัพยที่ซื้อมาไปจําหนายตอไดแลว และผูขายที่แมจะยังไมได
โอนกรรมสิทธิ์ หากเอาทรัพยที่ยังเปนกรรมสิทธิ์ของตนไปจําหนายแกผูอื่นก็ตองรับผิดเพื่อการไม
ชําระหนีแ้ ลว และแมในกรณีที่ผูขายโอนกรรมสิทธิ์แกผูซื้อไปแลวแตยังไมไดสงมอบ หากผูขาย
ผิดนัดสงมอบ แลวทรัพยที่ตกเปนของผูซื้อไปแลวเกิดเสียหายไปเพราะเหตุอันโทษผูขายไมไดใน
ระหวางผิด ดังนี้ผูขายก็ไมหลุดพนไปตามมาตรา ๒๑๙ แตยังตองรับผิดชดใชคาเสียหายตามนัย
แหงมาตรา ๒๑๗ อยูดี จึงเห็นไดวาในระบบกฎหมายไทยนั้น ความเสี่ยงหาไดผูกอยูกบั กรรมสิทธิ์
อยางตายตัวไม
คําพิพากษาฎีกาที่ ๒๘๒/๒๕๒๕
ก. ตกลงเชาซือ้ ที่ดินจาก ข. เพื่อเพื่อปลูกสรางอาคารพาณิชยขายพรอมที่ดิน ตอมากอน
ครบกําหนดทีต่ กลงโอนกรรมสิทธิ์ ที่ดินของ ข. ถูกทางราชการเวนคืน ข. จึงไมสามารถสงมอบ
ที่ดินแก ก. ไดตามสัญญา ก. จึงตองการเรียกเงินที่จายเปนคาเชาซื้อไปคืน แต ข. เห็นวาเงินที่ไดรับ
ไวแลวเปนคาเชา เมื่อที่ดินถูกเวนคืน ยอมเปนความเสี่ยงของ ก. เอง ดวยเหตุนี้ ข. จึงไมยอมสงเงิน
ที่ไดรับไวคนื แก ก. ปรากฏวาในคดีนี้ศาลชั้นตนวินิจฉัยวา แมจะมีการเวนคืนทีด่ ิน แตไมทําใหการ
โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินเปนการพนวิสยั เพราะตามกฎหมายยังอาจโอนกันไดเมื่อเจาหนาที่เวนคืน
อสังหาริมทรัพยอนุญาต ผูซ ื้อจึงไมมีสิทธิเรียกเงินที่ชําระไปแลวคืน แตศาลอุทธรณพิพากษากลับ
และใหผูขายคืนเงินแกผูซื้อ สวนศาลฎีกาวินิจฉัยโดยพิจารณาวา สัญญาเชาซื้อที่ดินรายนี้ แทจริง
๓๐๗
เปนสัญญาที่มีวัตถุประสงคเปนการทําสัญญาตางตอบแทนเพื่อใหไดมาซึ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยมี
การผอนชําระราคา ไมใชการเชา ดังนั้นเมือ่ ที่ดินถูกเวนคืน แมที่ดินแปลงนี้ยังจะโอนกันไดหาก
เจาหนาทีเ่ วนคืนอนุญาต การโอนเชนนั้นก็ไมใชวัตถุทปี่ ระสงคของสัญญา เพราะผูเชาซื้อตองการ
ไดที่ดินมาเพื่อปลูกสรางอาคาร ไมใชไดทดี่ ินมาเพื่อรับเงินคาทดแทนการเวนคืน เมือ่ ข. ซึ่งเปน
ลูกหนี้ไมสามารถสงมอบที่ดินใหเจาหนี้ใชหรือไดรับประโยชนตามสัญญาเพราะที่ดนิ ถูกเวนคืน
ศาลก็วินิจฉัยวา เปนกรณีการชําระหนี้ตกเปนพนวิสัยเพราะเหตุอนั จะโทษฝายใดไมได ข. ลูกหนี้
ยอมหลุดพนจากการชําระหนี้ตามมาตรา ๒๑๙ แตไมมสี ิทธิรับชําระหนี้ตอบแทนตามมาตรา
๓๗๒ ดังนัน้ ข. จึงไมมีสิทธิรบั เงินคาที่ดินที่ ก. ชําระไวแลว และตองสงเงินที่ไดรบั ไวคืนแก ก.
ขอสังเกต
กรณีนแี้ มศาลจะวินิจฉัยวาสัญญาเชาซื้อในคดีนี้เปนสัญญามุงตอกรรมสิทธิ์ในทรัพย
เฉพาะสิ่ง แตกรณีเวนคืนที่ดนิ ไมใชกรณีทรัพยอันเปนวัตถุแหงหนี้สูญหรือเสียหาย จึงตกอยูใต
บังคับมาตรา ๓๗๐ แตเปนกรณีการชําระหนี้กลายเปนพนวิสัยตามมาตรา ๓๗๒ นอกจากนี้ เมื่อ ข.
ไมอาจชําระหนี้ตามความมุงหมายแหงสัญญาได ดังนัน้ ก. ยอมมีสิทธิกําหนด เวลาพอสมควรให
ข. ชําระหนี้ตามสัญญา หากพนกําหนดนัน้ แลว ข. ไมชาํ ระหนี้ ก. ยอมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาตาม
มาตรา ๓๘๗ คูกรณีตองกลับคืนสูฐานะเดิมตามมาตรา ๓๙๑ วรรคแรก และ ข. ยอมมีหนาที่สงเงิน
ที่ไดรับไวคนื แก ก.
คําพิพากษาฎีกาที่ ๙๒๔๑/๒๕๓๙
คูกรณีทําสัญญาจะซื้อขายทีด่ ินรวม ๙๒ ไร ๒ งาน ๕๖ ตารางวา กําหนดราคารวม ๑๓๕
ลานบาท วางมัดจํากันไว ๔๐ ลานบาท และตกลงใหริบเบี้ยปรับในกรณีผิดสัญญาอีก ๔๐ ลานบาท
ปรากฏวากอนถึงกําหนดวันโอนตามสัญญา ทางราชการไดดําเนินการเวนคืนทีด่ ิน โดยประกาศ
เขตจะเวนคืนครอบคลุมบริเวณทีด่ ินที่จะซือ้ ขายทั้งแปลง ผูจะซื้อจึงขอเลื่อนการโอนออกไป แต
ตกลงกับผูจะขายไมได ครัน้ ถึงวันโอนคูก รณีตางไปยังสํานักงานที่ดนิ โดยผูจะซื้อทําบันทึกขอ
เลื่อนการโอนพรอมแคชเชียรเช็คสําหรับราคาที่ดินทั้งหมดไปแสดงตอเจาพนักงานที่ดิน สวนผูจะ
ขายก็ไปรอทําการโอนที่สํานักงานทีด่ ิน และทําบันทึกพนักงานทีด่ ินและแจงความตอพนักงาน
สอบสวนเปนหลักฐานวาไดมารอทําการโอนในวันนัดแลว แตผูจะซื้อไมมารับโอนและชําระราคา
ตามสัญญา ตอมาผูจะขายไดแจงบอกเลิกสัญญาและบอกกลาวริบเงินมัดจํา แตผูจะซือ้ กลับโตแยง
วาผูจะขายไมมีสิทธิบอกเลิกสัญญา และเปนฝายผิดสัญญาเสียเอง ผูจะขายจึงเรียกมัดจําคืนและ
เรียกใหชําระเบี้ยปรับ ศาลชั้นตนและศาลอุทธรณตัดสินวาผูจะซื้อเปนฝายผิดสัญญา และผูจะขายมี
สิทธิริบมัดจํา แตศาลฎีกาวินจิ ฉัยวา ในเมื่อถึงกําหนดวันโอน ปรากฏวาทางราชการประกาศเขต
เวนคืนโดยที่ดนิ ที่จะขายตกอยูในเขตจะเวนคืนดวย ดังนีเ้ ปนกรณีทเี่ กิดปญหาในการชําระหนี้ ทั้ง
ในแงของเนื้อที่ดินตามความประสงคของผูจะซื้อ และราคาที่ดินตามความประสงคของผูจะขาย
กรณีถือไดวาการชําระหนีต้ กเปนพนวิสัยเพราะเหตุอนั จะโทษฝายหนึง่ ฝายใดไมได ตามมาตรา
๓๐๘
๓๗๒ ดังนัน้ ลูกหนี้คือผูจะขายยอมหลุดพนจากการชําระหนี้ แตไมมสี ิทธิไดรับชําระหนี้ตอบแทน
จึงตองสงเงินมัดจําที่รับไวคนื แตไมอาจถือวาฝายใดผิดสัญญาจึงเรียกคาเสียหายกันไมได
ขอสังเกต
นาคิดอยางยิ่งวา การที่ที่ดนิ ที่ตกลงจะซื้อขายกันตกอยูใ นเขตที่ทางราชการประกาศจะ
เวนคืนหลังจากไดทําสัญญากันแลว แตกอนถึงกําหนดโอนตามสัญญาจะเปนเหตุทใี่ หถือไดวาการ
ชําระหนี้ตกเปนพนวิสัยหรือไม ตามแนวคําพิพากษาศาลฎีกา “พนวิสัย” หมายถึงพฤติการณที่ทํา
ใหการชําระหนี้เปนไปไมได หรือไมสามารถทําไดตามความประสงคอันแทจริงแหงมูลหนี้
หรือไมอาจเกิดขึ้นได โดยตองมีลักษณะเปนการถาวร และเปนไปไมไดอยางแนแท ซึ่งอันที่จริง
ที่ดินในเขตจะเวนคืนไมถูกหามโอนเด็ดขาด ยังโอนแกกันได จึงไมนา จะถือวาเปนพนวิสัย
อยางไรก็ดกี รณีที่ที่ดินตามสัญญาตกอยูในเขตประกาศจะเวนคืน แมที่ดินจะยังโอนกันได แตหาก
โอนกันแลวถูกเวนคืนก็ยอมไมสมความมุงหมายในการทําสัญญาจะซื้อที่ดิน ซึ่งมุงตอการได
กรรมสิทธิ์ในที่ดินยิ่งกวาจะไดรับเงินทดแทน กรณีทํานองนี้ศาลฎีกาเคยตัดสินไวในคําพิพากษา
ฎีกาที่ ๒๘๒/๒๕๒๕ แลว วาเปนกรณีที่การชําระหนี้ตกเปนพนวิสัย นับวาเปนการตีความที่ให
ความหมายกวางขึ้น นอกจากนี้ปญหาในคําพิพากษาฎีกาฉบับนี้เกิดขึ้นหลังจากที่คณะรักษาความ
สงบเรียบรอยแหงชาติไดประกาศใชประกาศฉบับที่ ๔๔ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งเปลี่ยนแปลงวิธี
คํานวณเงินทดแทนไปในทางเปนคุณแกผถู ูกเวนคืนทีด่ นิ ยิ่งขึ้น การที่ศาลวินิจฉัยวาเปนกรณีทกี่ าร
ชําระหนี้ตกเปนพนวิสัยและปรับใชมาตรา ๓๗๒ เปนเหตุใหผูจะขายหลุดพนจากการชําระหนี้ แต
ไมมีสิทธิไดรับชําระหนี้ตอบแทน และขณะเดียวกันก็ทําใหผูจะซื้อไดรับเงินมัดจําคืน เขาทํานอง
สําคัญผิดในมูลเหตุจูงใจอันเปนสาระสําคัญรวมกันตามหลัก clausula rebus sic stantibus ที่ใชกัน
ในภาคพื้นยุโรปเมื่อเกิดขอขัดของในการชําระหนี้เพราะพฤติการณเปลีย่ นแปลงไป หรือหลัก
Frustration ของคอมมอนลอวทําใหเกิดผลไปในทางที่เปดชองใหคกู รณีหาทางตกลงกันปรับปรุง
แกไขขอผูกพันเดิม หรือเลิกความผูกพันกันได นับวาเกิดความยืดหยุน กวาการถือวาการชําระหนี้
ยังอยูในวิสยั จะทําได และใหริบมัดจําตามคําพิพากษาศาลลาง
คําพิพากษาฎีกาที่ ๑๐๗๔/๒๕๔๖
สหกรณเกษตรแหงหนึ่งตกลงทําสัญญาจางโรงสีสีขาวเปลือกเปนขาวสารโดยตกลงจาย
คาตอบแทนเปนปลายขาวและรําขาว หลังจากสงมอบขาวเปลือกแกโรงสีแลว โรงสีไดสีขาวให
สหกรณและสงมอบขาวสารกันแลวสวนหนึ่ง สวนที่เหลือเก็บไวที่โรงสี ตอมาปรากฏวาโรงสีเกิด
ไฟไหมโดยโทษโรงสีไมได ขณะนัน้ ในโรงสีมีแตขาวสาร และขาวสารถูกไฟไหมเสียหายไป
บางสวน โรงสีจึงสงมอบขาวสารสวนที่เหลือแกสหกรณ แตยังไมครบจํานวนที่ตกลงสงมอบแก
กัน สหกรณจงึ ฟองใหโรงสีรับผิดชําระคาเสียหายพรอมดอกเบี้ย แตโรงสีตอสูวาความเสียหายที่
เกิดแกขาวสารจากไฟไหมเปนเพราะพฤติการณซึ่งโรงสีที่เปนลูกหนีใ้ นกรณีนี้ไมตองรับผิดชอบ
คดีนี้ปรากฏวาศาลชั้นตน และศาลอุทธรณพิพากษายกฟอง ศาลฎีกาวินิจฉัยคดีนี้โดยอธิบายวา
๓๐๙
ขณะไฟไหมขา วเปลือกของสหกรณถูกสีเปนขาวสารแลว ขาวสารจึงเปนทรัพยเฉพาะสิ่งที่โรงสี
เปนลูกหนีต้ องสงมอบแกสหกรณ เมื่อไฟไหมเพราะเหตุที่โทษลูกหนีไ้ มได และยังไมปรากฏวา
โรงสีผิดนัด ดังนั้นการชําระหนี้ยอมตกเปนพนวิสัย ลูกหนี้คือโรงสียอมหลุดพนจากการชําระหนี้
ตามมาตรา ๒๑๙ วรรคหนึ่ง ศาลจึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ
ขอสังเกต
ในคําพิพากษาฎีกาฉบับนี้ไมปรากฏวาศาลไดปรับใชบทกฎหมายมาตราใด หากถือตาม
หลักกฎหมายวาดวยจางทําของ และการที่จา งนั้นบุบสลายหรือพังทลายลงกอนสงมอบโดยมิได
เปนเพราะการกระทําของผูรับจาง ถาสัมภาระนั้นผูวาจางหามา ความวินาศนั้นยอมตกเปนพับแกผู
วาจางตามมาตรา ๖๐๔ ดังนีส้ หกรณเกษตรผูวาจางตองรับความเสี่ยงในการที่ขาวสารที่ขาวสารเสีย
หายไปเพราะไฟไหม แตหากจะไมถือวาเปนการจางทําของและปรับใชหลักทั่วไปวาดวยผลของ
สัญญาตางตอบแทนกรณีก็ตอ งวินิจฉัยเสียกอนวาจะปรับใชหลักทัว่ ไปในมาตรา ๓๗๒ หรือ
มาตรา ๓๗๐ โดยพิเคราะหวากรณีเปนสัญญาตางตอบแทนธรรมดา หรือวาเปนสัญญาตางตอบ
แทนที่มีวตั ถุที่ประสงคเปนการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพยเฉพาะสิ่งซึ่งไมปรากฏในคําพิพากษา ถา
เปนกรณีทกี่ ําหนดใหโรงสีแยกสีขาวของสหกรณและแยกบรรจุเปนสัดสวนตางหากจากขาวอืน่
ของโรงสี ก็พออนุมานไดวาไมมีการโอนกรรมสิทธิ์เปนของโรงสีเลย กรณียอมไมตกอยูใตบังคับ
มาตรา ๓๗๐ เพราะโรงสีไมตองคัดเลือกและแยกขาวสารที่สีเสร็จเพื่อโอนคืนกลับมาใหสหกรณ
อีก แตถายอมใหโรงสีนําขาวเปลือกไปกองรวมกับของผูอื่นที่นํามาวาจางสีขาว หรือรวมกับ
ขาวเปลือกของโรงสีแลวสีรวมกัน เมื่อเสร็จแลวจึงคอยแยกออกเปนสวนของสหกรณโอน
คืนกลับมา ดังนี้สัญญาจางสีขาวก็ยอมเปนสัญญาตางตอบแทนที่มวี ัตถุที่ประสงคเปนการโอน
ทรัพยเฉพาะสิ่งตามมาตรา ๓๗๐ ได
ในกรณีน้หี ากพิเคราะหจากสัญญา หรือปกติประเพณีของการวาจางสีขาววาคูกรณีตกลง
โอนกรรมสิทธิ์ในขาวเปลือกไปเปนของโรงสี แลวใหโอนกลับมาเปนของสหกรณเกษตรเมื่อสี
เสร็จแลวหรือไม ขอเท็จจริงในคําพิพากษานี้ไมปรากฏวาไดตกลงกันหรือมีปกติประเพณีกนั
อยางไร ทั้งไมปรากฏวาในเวลาไฟไหมมีขาวสารของโรงสีและของผูอื่นปะปนอยูมากนอยเพียงใด
และไดบรรจุลงกระสอบบงตัวทรัพยแยกออกจากกันแลวหรือไม จึงไมอาจสรุปไดวาเปนกรณีตาม
มาตรา ๓๗๒ หรือตามมาตรา ๓๗๐
อยางไรก็ดี การที่ศาลวินิจฉัยวาขาวสารที่เก็บไวในโรงสีเปนทรัพยเฉพาะสิ่งแลว ทําให
อาจสันนิษฐานไดวาเปนเพราะโรงสีไดแยกสีขาวและแยกบรรจุขาวสารที่เกิดจากการสีขาวไวเปน
สัดสวนแลว หรือมิฉะนั้นหากมิไดแยกสีขาวของสหกรณออกตางหาก โรงสีก็คงจะปฏิบัติตาม
มาตรา ๑๙๕ วรรคสองแลว เพราะปกติขาวสารในโรงสีที่ไดจากการสีขาวยอมมาจากหลายแหลง
และอาจระคนปนรวมกันอยูจ นแยกออกจากกันไมไดวาขาวสารสวนใดเปนของใคร ซึ่งเปนกรณี
ตามมาตรา ๑๓๑๖ วรรคแรก กฎหมายสันนิษฐานวาเปนกรรมสิทธิ์รวมตามสวน แตถาไดมีการ
๓๑๐
คัดเลือกแยกตัวทรัพยแลว ทรัพยที่ไดคัดเลือกหรือแยกออกมาเปนสัดสวนแลวยอมเปนวัตถุแหง
หนี้ และกลายเปนทรัพยเฉพาะสิ่งแลว ซึ่งหากสัญญาสีขาวเปนสัญญาตางตอบแทนที่มี
วัตถุประสงคเปนการโอนทรัพยเฉพาะสิ่งตามมาตรา ๓๗๐ กรณีที่ทรัพยอันเปนวัตถุแหงหนี้ถกู ไฟ
ไหมเสียหายไป ความเสี่ยงยอมตกอยูกับเจาหนี้คือสหกรณเกษตรผูวาจางสีขาว ดังนัน้ โรงสีจึงหลุด
พนจากการชําระหนี้สวนที่เสียหายไป และตองสงมอบขาวสารแกสหกรณเพียงเทาที่เหลืออยู โดย
มีสิทธิไดรับชําระหนี้ คื้อไดประโยชนจากปลายขาวและรําขาวไวตอบแทน ซึ่งความเห็นนีแ้ มศาล
ฎีกาจะไมไดกลาวไวโดยตรง แตดูตามคําพิพากษาซึ่งกลาวที่กลาววาขาวสารที่ตองสงมอบเปน
ทรัพยเฉพาะสิ่งแลว แมไมไดอธิบายไวโดยแจงชัดก็อาจทําใหสันนิษฐานไปไดวาศาลฎีกาตัด
สินบนพื้นฐานของหลักความเสี่ยงในมาตรา ๓๗๐
แตกรณีนี้ถาหากจะปรับใชมาตรา ๓๗๒ โดยถือวาสัญญาจางสีขาวเปนสัญญาตางตอบ
แทนทั่วไป ไมใชสัญญาตางตอบแทนที่มวี ตั ถุที่ประสงคเปนการโอนทรัพยเฉพาะสิ่ง ดังนี้การที่
ขาวถูกไฟไหมเพราะเหตุทโี่ ทษฝายใดมิได ความเสี่ยงยอมตกเปนของลูกหนี้ คือฝายโรงสี กลาวคือ
ลูกหนี้หลุดพนจากการชําระหนีไ้ มตองสงมอบขาวสารสวนที่ถูกไฟไหม แตไมมีสทิ ธิรับชําระหนี้
ตอบแทนการสีขาวสวนที่ไฟไหมนนั้
๓๑๑