Professional Documents
Culture Documents
ReInforcedConcrete PDF
ReInforcedConcrete PDF
คอนกกรีตเสริมเหล็
ม ก
(Reeinforceed Conccrete)
ศศ.ดร.อมร พิมานมาศ
ม
สถาบันเทคโนโลลยีนานาชาติสิสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรรมศาสตร์
ดร.ภาณุวฒ ั น์ จ้จอยกลัด
มหาวิทยาาลัยศรีนครินทรวิ
น โรฒ
แนวทางการเลื่อนระดับเป็ นสามัญวิศวกร | สภาวิศวกร
________________________________________________________________
2.1 ข้อกําหนดในงานคอนกรีตเสริมเหล็ก
มาตรฐาน วสท. (1008-38 : วิธีกาํ ลัง) ให้ความหมายของคอนกรีตเสริมเหล็ก (คสล.) หรือ
ReinforcedConcrete(RC) ว่ า “คอนกรี ต ที่ มี เ หล็ ก เสริ ม ไม่ น้ อ ยกว่ า ปริ ม าณตํ า่ สุ ด ที่ ต ้อ งการโดย
มาตรฐานและคํานวณออกแบบบนสมมุติฐานที่วา่ วัสดุท้งั สองมีพฤติกรรมร่วมกันในการรับแรงต่างๆ”
2.1.1 ข้อดีและข้อเสียของคอนกรีตเสริมเหล็ก
ข้อดี ของคอนกรี ตเสริมเหล็ ก เช่น (1) ใช้ความแข็งแกร่งในด้านรับแรงอัดจากคอนกรี ต +
ความเหนี ยวจากเหล็กเสริม (2) RC สามารถต้านทานไฟและนํ้าได้ดี (3) RC มีความแข็งแกร่งสูง
(4) มีค่าการบํารุงรักษาตํา่ (5) สามารถขึ้ นรูปเป็ นรูปทรงใดๆ (ขึ้ นอยูก่ บั แบบหล่อ) (6) ใช้ฝีมือ
แรงงานที่ตาํ ่ (คนไทยใช้มานาน)
ข้อเสียของคอนกรีตเสริมเหล็ก ได้แก่ 1. คอนกรีตเป็ นวัสดุเปราะ ปริมาณเหล็กเสริมที่ใช้ตอ้ ง
รับ การออกแบบเป็ นอย่างดี 2. ต้องใช้แบบหล่อในการสร้างรูปทรง (ค่าแบบหล่อมีมลู ค่าสูง) 3. มีค่า
“กําลังรับนํ้าหนักเทียบกับนํ้าหนักของชิ้ นส่วน” ที่ตาํ ่ และ 4. คุณสมบัติของคอนกรีตมีความไม่แน่ นอน
สูง
2.1.2 วิธีการออกแบบคอนกรีตเสริมเหล็ก
ทฤษฎีการออกแบบ RCทัว่ โลก มีปรัชญาการออกแบบที่คล้ายกันหรืออาจต่างกันเพียงชื่อใน
การเรียก สัญลักษณ์และสมการการออกแบบเท่านั้ น ทั้งนี้ ทฤษฎีที่ใช้ในการออกแบบตามมาตรฐาน
วสท. ซึ่งอ้างตามอเมริกนั (ACI) คือ
ก. วิธีหน่ วยแรงใช้งาน (Working Stress Method, WSM)
ข. วิธีกาํ ลัง (Strength Design Method, SDM)
2.1.2.1 วิธีหน่วยแรงใช้งาน
วิธีหน่ วยแรงใช้งาน ใช้พื้นฐานของ “ทฤษฎียืดหยุ่น (elastic theory)” เนื่ องจากตั้ง
สมมุติฐานว่า “โครงสร้างมีพฤติกรรมอยู่ในช่วงยืดหยุ่น” (ดังรูปที่ 2.1-1) วิธีนี้จะจํากัดไม่ให้หน่ วย
แรงที่เกิดขึ้ นในคอนกรีตและเหล็กเสริมเกินค่าหน่ วยแรงที่ยอมให้เช่น
ดังนั้นจึงอนุนุ มานได้ว่าตลอดชีวิตของงโครงสร้างจจะไม่เกิดการรแตกร้าวและะมีการเคลื่อนตั
น วที่ตาํ ่
ในสหรัฐั อเมริกาวิธีนี้ นิ ยมในช่วง ค.ศ.19000 – ค.ศ.19663 โดยปั จจุบับนเลิกใช้แล้ว แต่สาํ หรับเมื
เ องไทย
ยังเป็ นทที่นิยมอยู่
รูปที่ 2.1-1
2 พฤติกรรมของโคร
ก รงสร้างในช่วงใช้งาน รูปที
ป ่ 2.1-2 พฤติ
พ กรรมขอองโครงสร้างใในช่วง
ประลัย
วิธีนี้วิเคราะะห์โครงสร้างใน
ง “ช่วงใช้งาน
ง (servicee stage)” ดัดงนั้นนํ้าหนักกที่ใช้ออกแบบบจึงเป็ น
นํ้าหนักใช้
ก งาน (working load) คือ การรวมแรงเพื่ออออกแบบ (w) : นํ้าหนักคคงที่ (DL)+นํน้้ าหนักจร
(LL)
Rn Qu (2.1-3)
2.1.3 ข้อเปรียบเทียบสําหรับวิธีการออกแบบ
WSD SDM
2.1.4 การตรวจสอบที่ภาวะใช้งาน
ตลอดอายุใช้งานของโครงสร้าง โอกาสที่โครงสร้างจะรับแรงถึงจุดประลัยนั้ นอาจจะไม่เกิดขึ้ น
อีกทั้งการออกแบบหน้าตัดที่ภาวะประลัย หน้าตัดที่ได้มกั จะมีขนาดเล็กเนื่ องจากได้ใช้กาํ ลังของวัสดุที่
ภาวะขีดสุดเป็ นผลให้โครงสร้างอาจจะเกิดการแอ่นตัวที่มาก (แต่ไม่วิบตั ิ) จนสูญเสียสภาพการใช้งาน
(out of service) หรือเกิดรอยร้าวที่มากจนเกินไป (excessive cracks) จนทําให้อายุการใช้งานของ
โครงสร้างลดลงดังนั้ นหลังจากทําการออกแบบด้วยวิธีกาํ ลังแล้ว ต้องทําการตรวจสอบ สภาพการใช้
งาน (serviceability) ของโครงสร้า งด้ว ยทุ ก ครั้ง เนื่ อ งจากที่ ส ภาพใช้ง านของโครงสร้า ง จะถื อ ว่า
โครงสร้างมีพฤติกรรมในช่วงยืดหยุน่ (elastic range) ดังนั้นจึงเป็ นที่ยอมรับที่ใช้วิธีหน่ วยแรงใช้งานใน
การตรวจสอบ
2.1.5 ข้อกําหนดเพิ่มเติมของกฎกระทรวงฯ
ในการคํา นวณออกแบบโครงสร้า งคอนกรี ต เสริ ม เหล็ ก กฎหมายไม่ ไ ด้ร ะบุ ใ ห้ป ฏิ บัติ ต าม
มาตรฐาน หรือประมวลข้อบังคับใดเป็ นการเฉพาะ วิศวกรสามารถใช้ความรูไ้ ด้ตามทฤษฎีและเลือก
แนวทางปฏิบตั ิใดที่เป็ นที่ยอมรับได้ แต่ท้งั นี้ กฎหมาย (กฎกระทรวงฯ พ.ศ.2522) ได้กาํ หนดขอบข่าย
เบื้ องต้นเกี่ยวกับเรื่องของนํ้าหนักบรรทุกและกําลังของวัสดุ ไว้ดงั นี้
2.1.6 วัสดุคอนกรีตเสริมเหล็ก
คอนกรี ตเสริ มเหล็ กสามารถรับกําลังได้เนื่ องจากเกิดการทํางานกันอย่างสมบูรณ์ระหว่า ง
คอนกรีตและเหล็กเสริม โดยวัสดุแต่ละประเภทมีคุณสมบัติเฉพาะตัว โดยรายละเอียดของแต่ละวัสดุมี
ดังนี้
Ec 155,100 f c เ ่อ
เมื f c มีหน่นวยเป็ น kscc (22.1-6)
รูปที่ 2.1-4
2 ความมสัมพันธ์ระหหว่างหน่ วยแรรงและความเเครียดของเหหล็กเสริม
f s Es s เมื่อ s y (2.1-7(ก))
fs fy เมื่อ s y (2.1-7(ข))
ตารางที่ 2.1-6คุณสมบัติของหน้าตัดที่ใช้บ่อยในงานออกแบบคอนกรีตเสริมเหล็ก
รหัส เส้นผ่านศูนย์กลาง เส้นรอบวง (ซม.) นํ้าหนัก พื้ นที่
(มม.) (กก./ม.) (ซม.2)
RB6 6 1.87 0.22 0.28
RB9 9 2.83 0.50 0.64
RB12 12 3.77 0.89 1.13
RB15 15 4.71 1.39 1.77
RB19 19 5.97 2.23 2.84
RB25 25 7.86 3.85 4.91
DB10 10 3.14 0.62 0.79
DB12 12 3.77 0.89 1.13
DB16 16 5.03 1.58 2.01
DB20 20 6.28 2.47 3.14
DB25 25 7.85 3.85 4.91
DB28 28 8.80 4.83 6.16
DB32 32 10.05 6.31 8.04
2.1.7.2 การจัดวางเหล็กเสริม
(ก) ก่อนเทคอนกรีต เหล็กเสริมต้องจัดวางในตําแหน่ งที่ถูกต้องโดยมีที่รองรับที่แข็งแรง
และยึดไว้แน่ นหนาพอ โดยมีความคลาดเคลื่อนที่ยอมให้ตามที่กาํ หนดในข้อ (ข)
(ข) นอกจากวิศวกรจะกําหนดให้เป็ นอย่างอื่น ความคลาดเคลื่อนที่ยอมให้ของการจัดวาง
เหล็กเสริมให้เป็ นดังนี้
1. ความคลาดเคลื่อนที่ยอมให้สาํ หรับความลึก d และระยะหุม้ คอนกรีตตํา่ สุดในองค์
อาคารที่รบั แรงดัด แรงอัด และกําแพง ให้ใช้ค่าดังตารางที่ 2.1-7 ต่อไปนี้
ตารางที่ 2.1-7ความคลาดเคลื่อนของระยะ d
ความคลาดเคลื่อนที่ยอมให้
ระยะ d ความคลาดเคลื่อนที่ยอมให้ของ d
สําหรับระยะหุม้ คอนกรีตตําสุ
่ ด
d>200 มม. (20 ซม.) ±100 มม. (1.0 ซม.) ±10 มม. (1.0 ซม.)
d<200 มม. (20 ซม.) ±13 มม. (1.3 ซม.) ±13 มม. (1.3 ซม.)
2.1.7.3 การกําหนดระยะห่างระหว่างเหล็กเสริม
(ก) ระยะช่องว่างตํา่ สุดของเหล็กเส้นที่วางขนานกันในแต่ละชั้น ต้องไม่แคบกว่า db และ
ต้องไม่นอ้ ยกว่า 25 มม. (2.5 ซม.)
(ข) การเสริมเหล็กในคานที่มีเหล็กเส้นตั้งแต่สองชั้นขึ้ นไป ระยะช่องว่างระหว่างชั้นของ
เหล็กเส้นต้องไม่แคบกว่า 25 มม. (2.5 ซม.) และเหล็กเส้นที่อยู่ช้นั บนต้องจัดเรียงให้อยู่ในแนว
เดียวกับเหล็กเส้นที่อยูช่ ้นั ล่าง
(ค) ระยะช่องว่างของเหล็กเสริมตามยาวในองค์อาคารรับแรงอัดที่ใช้เหล็ กปลอกเกลียว
หรือเหล็กปลอกเดี่ยว ต้องไม่นอ้ ยกว่า 1.5 db และต้องไม่นอ้ ยกว่า 40 มม.
(ง) ระยะช่องว่างระหว่างเหล็กต่อทาบกับเหล็กต่อทาบด้วยกัน หรือระหว่างเหล็กต่อทาบ
กับเหล็กเส้นอื่น ให้ใช้เช่นเดียวกันกับที่กาํ หนดไว้สาํ หรับระยะช่องว่างระหว่างเหล็กเส้น
(จ) ในกําแพงและในแผ่นพื้ น ยกเว้นแผ่นพื้ นระบบตงคอนกรีต เหล็กเสริมเอกรับแรงดัด
ต้อ งมี ร ะยะเรี ย งไม่ ม ากกว่ า 3 เท่ า ของความหนาของกํา แพงหรื อ แผ่ น พื้ นนั้ น และต้อ งไม่ เ กิ น
400 มม. (40 ซม.)
(ฉ) เหล็กเส้นมัดรวมกันเป็ นกํา
1. เหล็ กเส้นหลายเส้นที่ ขนานกันและมัดรวมกันเป็ นกํา เพื่อให้รับแรงเสมือนเป็ น
หน่ วยเดียวกันนั้นต้องเป็ นเหล็กข้ออ้อยทุกเส้น มีจาํ นวนไม่เกินกําละ 4 เส้น
2. เหล็ กเส้นมัดรวมกันเป็ นกําต้องถูกล้อมรอบให้อยู่ภายในเหล็ กลูกตั้งหรื อเหล็ ก
ปลอก
3. เหล็กเส้นขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่า 36 มม. ไม่อนุ ญาตให้มดั รวมกันใน
คาน
4. ในเหล็กเส้นที่มดั รวมเป็ นกํา เหล็กเส้นแต่ละเส้นที่สิ้นสุดในช่วงขององค์อาคารรับ
แรงดัด ต้องสิ้ นสุดในตําแหน่ งที่เหลื่อมกัน โดยมีตาํ แหน่ งสิ้ นสุดห่างกันอย่างน้อย 40 db
5. หากใช้วิธีกําหนดระยะเรียงของเหล็ กเส้นและระยะหุม้ คอนกรีตตํา่ สุด โดยการ
ถือเอาขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของเหล็กเส้นเป็ นหลัก ให้ถือว่าเหล็กแต่ละกําเป็ นเสมือน
เหล็กเส้นเดียวที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางที่หามาจากเนื้ อที่หน้าตัดเทียบเท่ากับเหล็กเส้นทั้งกํา
รวมกัน
2.1.7.4 คอนกรีตที่หมุ ้ เหล็กเสริม
ระยะหุม้ คอนกรีตหมายถึงระยะที่วดั จากผิวคอนกรีตถึงผิวนอกสุดของเหล็กปลอกเดี่ยว เหล็ก
ปลอกเกลียว หรือเหล็กลูกตั้ง ในกรณีที่ไม่มีเหล็กดังกล่าว ให้วดั ถึงผิวนอกของเหล็กเส้นที่อยูน่ อกสุด
(ก) คอนกรีตหล่อในที่ระยะหุม้ คอนกรีตตํา่ สุดสําหรับเหล็กเสริมให้เป็ นไปตามข้อตาราง
ที่ 2.1-8 ต่อไปนี้ แต่ตอ้ งไม่นอ้ ยกว่าที่กาํ หนดไว้ในข้อ (จ) และข้อ (ช)
PIMANMAS AND JOYKLAD | หน้าที่ 14 ของบทที่ 2
คอนกรีตเสริมเหล็ก | หมวดวิชาวิศวกรรมโครงสร้าง
_____________________________________________________________________
รายละเอียด ระยะหุม้
ตํา่ สุด (ซม.)
คอนกรีตที่ไม่สมั ผัสกับดินหรือไม่ถกู แดดฝน
ในแผ่นพื้ น กําแพง และตง
- สําหรับเหล็กเส้นขนาด 43 มม. และ 57 มม. 3.0
- สําหรับเหล็กเส้นขนาด 36 มม. และเล็กกว่า 1.5
- ลวดตะแกรงเหล็กเชื่อมขนาด 16 มม. และเล็กกว่า dbแต่ไม่นอ้ ยกว่า 1.5
- ในคานและเสาเหล็กเสริมหลักและไม่จาํ เป็ นต้องมากกว่า 4.0
- เหล็กลูกตั้งเหล็กปลอกเดี่ยวหรือเหล็กปลอกเกลียว 1.0
ในหลังคาเปลือกบางและแผ่นพื้ นพับจีบ
- สําหรับเหล็กเส้นขนาด 20 มม. และใหญ่กว่า 1.5
- สําหรับเหล็กเส้นและลวดตะแกรงเหล็กเชื่อมขนาด 16 มม. และเล็กกว่า 1.0
2.2 องค์อาคารรับแรงดัด
2.2.1 การดัดของคานอย่างง่าย
พิจารณาคานอย่างง่ายเมื่อรับนํ้ าหนั กบรรทุก เมื่อกําหนดให้คานมีหน้าตัดสี่เหลี่ยมกว้าง b
และลึก h และเสริมเหล็กไว้ที่ระยะ d เมื่อวัดจากผิวบนของคาน (รูปที่ 2.2-1) ภายหลังเรียกระยะ d
ว่า “ความลึกประสิทธิผล (effective depth)” เมื่อคานเริ่มรับนํ้าหนัก คานจะโก่งตัวและเกิดแรงภายใน
ที่สาํ คัญขึ้ นในหน้าตัด นัน่ คือ 1. แรงเฉือน (shear force) และ 2. โมเมนต์ดดั (bending moment) ซึ่ง
ณ ตําแหน่ งกลางคานโมเมนต์ที่เกิดขึ้ นทําให้ส่วนบนของคานเกิด “แรงอัด (compression force)” และ
ส่วนล่างเกิด “แรงดึง (tension force)” เมื่อเพิ่มนํ้าหนักบรรทุกขึ้ นเรื่อยๆ คานจะเกิดการวิบตั ิ ซึ่งตาม
มาตรฐาน วสท. จะถือว่าคานวิบตั ิเมื่อความเครียดที่ผิวรับแรงอัด (c) มีค่าเท่ากับความเครียดอัด
บดอัด (crushing strain,cu) เท่ากับ 0.003
d
h
2.2.2 พฤติกรรมการดัด
เมื่อคานเริ่มรับการดัด คานจะแอ่นตัว เนื้ อคานส่วนที่ยืดออกจะสร้างความเครียดดึง ในขณะที่
เนื้ อคานส่วนที่หดจะสร้างความเครียดอัด ความเครียดดึงดังกล่าวสามารถแปลงเป็ นหน่ วยแรงดึงผ่าน
ค่าโมดูลสั ยืดหยุน่ และเมื่อในก็ตามที่หน่ วยแรงดึงที่เกิดขึ้ นมีค่าเกินกว่ากําลังต้านแรงดึงของคอนกรีต
อมร พิมานมาศ และ ภาณุวฒ
ั น์ จ้อยกลัด | หน้าที่ 17 ของบทที่ 2
แนวทางงการเลื่อนระดับั เป็ นสามัญวิศวกร
ศ | สภาวิวิศวกร
_____________________________________________________________________
คอนกรีรี ต จะแตกร้้า วและกลไ กของคอนกกรี ต เสริ ม เห ล็ ก จะเริ่ ม ทํ า งาน จาก กระบวนกา รพัฒ นา
ความเเครี ย ดในหนน้ า ตัด เนื่ อ งจจากการดัด ตั้ง แต่ เ ริ่ ม ต้นจนคานวิ
น บับัติ จะสามาารถแบ่ ง เป็ นช่
น ว งของ
พฤติกรรมการดั
ร ดไดด้ดงั นี้
2.2.2.1 ก่อนคานนร้าว
ก่อนคอนนกรีตที่ผิวรับแรงดึ
บ งเริ่มแตกร้
แ าวหน้าตัด คสล. จะะมีพฤติกรรมมคล้ายคานคคอนกรีต
ล้วน ดังั นั้นจึงสามาารถใช้ทฤษฎียืดหยุน่ (elaastic theoryy) ในการวิเคราะห์หน้าตตัดได้ ทั้งนี้ พฤติกรรม
ของหน้น้าตัดในช่วงนี้นี้ สามารถอธิบายได้ตาม รูปที่ 2.2-22 เมื่อ Asคือ พื้ นที่ของเหล็ล็กเสริมรับแรงดึง, c
และ ctc คือ ความเครียดในคอนนกรีตในส่วนอั
น ด และความเครียดในนคอนกรีตในนส่วนดึง, fccและ แ fctคือ
หน่ วยแแรงในคอนกกรีตในส่วนอัอัด และความมเครียดในคคอนกรีตในส่ส่วนดึ ง ซึ่งในนกรณี นี้มีค่าน้อยกว่า
โมดูลสั แตกร้าว (fr)
2.2.2.2 หลังคานนร้าวแต่ก่อนประลั น ย
เมื่อคอนกรีตที่ ผิวรับแรงดึ งเริ่มแตกร้
แ าว และะมีแนวโน้มพุพ่งเข้าสู่แนวแแกนสะเทิ น (neutral
axis) เนื้ อคอนกรีตใต้
ใ แนวแกนดัดังกล่าวจะถูกสมมุ
ก ติวา่ รับแรงดึ
บ งไม่ได้้ ในภาวะนี้ เหหล็กเสริมรับแรงดึงจะ
เริ่มทํางาน
ง และใช้สมมุ
ส ติฐานในนการคํานวณ ณว่าความเครียดและหน่ วยแรงแปรผั
ย นนเป็ นเส้นตรงงและเป็ น
สัดส่วนกั
น น (รูปที่ 2.2-3)
2
รูปที่ 2.2-3
2 การกระจายของคววามเครียดแลละหน่ วยแรงใในหน้าตัดในนภาวะคานแตกร้าวแต่กอนประลั
อ่ ย
s y y y y
s y
Inelastic strain Inelastic straiin
2.2.3 ความเครียดบดอั
ย ดของงคอนกรีต (Crushing
( strrain of concrete)
ความเครียดบดอัด (cruushing strainn, cu) คือ ความเครี
ค ยดอัอัดของคอนกกรีต ณ จุดวิบับตั ิ (รูปที่
2.2-5) ซึ่งสังเคราะห์ได้จากการทดสอบชิ้ นทดสอบลู
น กทรงกระบอก
ท ง ค่า cu
(cylinder sppecimen) ทั้งนี้
จะมีค่ามากกว่า o หรื
ห อความเครียด ณ จุดที่คอนกรีตมีกํกาํ ลังอัดสูงสุด (fc)
รูปที่ 2.2-5
2 กราฟฟความสัมพันธ์
น ระหว่างหหน่ วยแรงและความเครียด
ย ซึ่งมีความมเครียด ณ จุจดวิบัติ
เริ่มต้นที่ 0.003
เมื่อ 1 = 0.85
0 เมือ่ fc<280kssc
= 0.85-
0 (0.05/70)(fc -280)
- เมือ่ fc>280kssc
ทั้งนี้ ค่า 1 ต้องมีค่าไม่
า ตาํ ่ กว่า 0.65
0
ในการวิเครราะห์หน้าตัดคานจํ
ด าเป็ นที
น ่จะต้องรูก้ ่อนว่ ด ดการวิิบตั ิแบบใด จากการ
อ าหน้าตัดจะเกิ
เปรียบเทียบปริมาณ ใ าตัด = As/(b××d) กับปริมาณเหล็
ณเหล็กเสริมในหน้ า กเสริมมสมดุล (b) ซึ่งมีค่า
เท่ากับ (2.2-1)
f c 6120
b 0.85 1( )( ) (2.2-1)
(
fy 6120 fy
Mn C jd หรือ T jd (2.2-2)
7 (2.2-3)
(
M n As f y d
8
(ข) กรณีวิบิ ตั ิโดยแรงอัดเป็ นหลัก (c = cu แลละ s<y หรือ fs = Es*s)
เมื่อ s<y ค่คา fsจะต้องคคํานวณจาก Ess เมื่อ s คํานวณจากสามเหลี่ยมคคล้ายของการรกระจาย
ของควาามเครียดในหน้าตัด (ดูรูรูปที่ 2.2-6) นัน่ คือ s= 0.003[(dd-1a)/1aa] นัน่ คือเมื่อนํา T ที่
เกิดจากก Asและ fs ข้างต้น ไปสมมดุลกับ C แล้วจะสามาารถแก้สมการเพื่อหาค่า a และแทนนค่ากับใน
(2.2-22) ได้ ในกรณีนี้พบว่าหาาก <b จะเเป็ นผลให้ปัจจั จ ยที่ควบคุมการวิ
ม บตั ิของงหน้าตัดคือคอนกรีต
มิใช่เหล็ล็กเสริม โดยยจากการศึกษาของ ษ Parkk and Pauulay (19755) ค่า Mn จจะแปรผันผันระหว่
น าง
0.294bd2fc ถึง 0.357bd2fc เมื
เ ่อกําลังคราากของเหล็กอยู
อ ร่ ะหว่าง 2,400
2 ถึง 4,000 ksc และกํ
แ าลัง
อัดประลัยอยูร่ ะหว่าง
า 200 ถึง 400ksc
4 โดย Whitney (1937) แนะนนําให้ใช้ค่าตาามสมการด้านล่าง
M n 0.333bd 2 f c (2.2-4)
(
รูปที่ 2.2-7
2 การเปปรียบเทียบโมมเมนต์ดดั แลละความโค้งของหน้
ข าตัด เมื
เ ่อแปรผันพพารามิเตอร์ต่ตางๆใน
หน้าตัด
อ พิมานมาศศ และ ภาณุ วฒน์
อมร ฒ
ั จ้อยกลัด | หน้าที่ 23 ขอองบทที่ 2
แนวทางการเลื่อนระดับเป็ นสามัญวิศวกร | สภาวิศวกร
________________________________________________________________
หากพิ จ ารณารู ป ที่ 2.2-7 ซึ่ ง เป็ นกราฟที่ แ กนตั้ง คื อ กํา ลัง ดัด และแกนนอนคื อ ความโค้ง
(curvature, ) ซึ่งสะท้อนถึงการเสียรูปของหน้าตัด พบว่าในกรณีที่เหล็กเสริมรับแรงดึงมีปริมาณ
น้อ ย เช่ น ไม่ เ กิ น ไปกว่ า max การเพิ่ ม ปริ ม าณเหล็ ก เสริ ม รับ แรงอัด (Asหรื อ )รวมถึ ง fc และ
ความกว้างของส่วนพื้ นที่รบั แรงอัด (b) จะมีส่วนช่วยเพิ่ม Mn น้อยมากๆ (แต่เพิ่มความเหนี ยวในหน้า
ตัดให้มากขึ้ น) นัน่ คือหากผูว้ เิ คราะห์ตรวจสอบแล้วว่าหน้าตัดมีพฤติกรรมการวิบตั ิแบบแรงดึงเป็ นหลัก
การวิเคราะห์หน้าตัดที่เสริมเหล็กเสริมรับแรงอัด หรือหน้าตัดรูปตัวที อาจใช้แนวคิดของกรณีการเสริม
เฉพาะเหล็กเสริมรับแรงดึงได้ โดยผลที่ได้จะให้ค่าที่ conservative
2.2.9 การออกแบบหน้าตัดอย่างง่าย
สําหรับการออกแบบหน้าตัดคานรับแรงดัด จะกระทําเมื่อทราบ Mu หรือโมเมนต์เพิ่มค่า ซึ่ง
มาตรฐานกําหนดให้การออกแบบต้องควบคุมให้การวิบตั ิเกิดจากเหล็กเสริมหรือ tension failure
ดังนั้นจึงสามารถประยุกต์ใช้ (2.2-3) ในการออกแบบเหล็กเสริมรับแรงดึงได้ เมื่อกําหนดให้ Mu =
Mn เมื่อ = 0.9 กรณีการดัด ดังนี้
Mn (2.2-5)
As
7
fy ( )d
8
T
On Components on
On bar concrete
e concrete
A B C
L1 L2
L1 L2
T= d2bfy/4 T
A B B C
fy
ld db (2.3-1)
4u
2.88 f y d b
ld
c k (2.3-2)
10 f c b tr
db
Cb kt
โดย <2.5
db
เมื่อ ld คือ ระยะฝังซึ่งต้องไม่ตาํ ่ กว่า 30 ซม.
PIMANMAS AND JOYKLAD | หน้าที่ 26 ของบทที่ 2
คอนกรีตเสริมเหล็ก | หมวดวิชาวิศวกรรมโครงสร้าง
_____________________________________________________________________
db คือ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของเหล็กเสริม
, , , คื อ ค่าสัมประสิทธิ์ตําแหน่ งของเหล็ กเสริมค่าสัมประสิทธิ์การเคลื อบผิ วเหล็ กค่า
สัมประสิทธิ์ขนาดของเหล็กเสริมและค่าสัมประสิทธิ์ชนิ ดของคอนกรีต
Atr f yt
K tr (2.3-3)
100 s n
2.3.4 ระยะฝังสําหรับเหล็กเสริมรับแรงอัด
ระยะฝังของเหล็กรับแรงอัดจะน้อยกว่าเหล็กรับแรงดึง เนื่ องจากการโอบรัดของเหล็กปลอกจะ
ช่วยต้านทานการเกิดรอยแตกและมีโอกาสน้อยในการลื่นหลุด ทั้งนี้ ACI กําหนด ความยาวระยะฝังของ
เหล็กที่รบั แรงอัดจาก (2.3-4)ดังนี้
0.08 f y d b
ldc (2.3-4)
f
c
Ldh Ld
รูปที่ 2.3--5ระยะงอขออมาตรฐาน
0.08 f y d b
ldh (22.3-5)
f c
2.3.6.1 รายละเอีอียดการงอขอ
รายละเอียดของการงอขอประเภทต่างๆ เป็ นไปปตามรูปที่ 2.3-6
2
2.3.7.1 การต่อทาบเพื่อรับแรงดึง
การต่อทาบเหล็กเพื่อรับแรงควรหลีกเลี่ยงปริมาณเหล็กที่มากเกินไปบริเวณจุดต่อตาม ACI
การต่อทาบรับแรงดึงจะมี 1 แบบ 1. การต่อแบบ A Type จะใช้ความยาวระยะต่อทาบเท่ากับ
ความยาวระยะฝังรับแรงดึง และ 2. การต่อแบบ B Type จะใช้ความยาวระยะต่อทาบเพิ่มอีกร้อยละ 30
ของระยะฝั งรับแรงดึง ทั้งนี้ ต้องไม่น้อยกว่า 30 ซม. โดยการจําแนกชั้นคุณภาพของการต่อทาบ ดูได้
จากตารางที่ 2.3-1
2.3.7.2 การต่อทาบเพื่อรับแรงอัด
ACI กําหนดให้การต่อทาบแบบรับแรงอัดให้ขึ้นอยู่กบั ขนาดของเหล็กเสริมและชนิ ดของ
เหล็กเสริมดังนี้ (1) 20 เท่าของขนาดเหล็กเสริมและ fy = 2,400ksc (2) 30 เท่าของขนาดเหล็ก
เสริมและ fy = 4,000ksc (3) 44 เท่าของขนาดเหล็กเสริมและ fy = 5,000kscและในทุกกรณีระยะ
ต่อทาบจะต้องไม่นอ้ ยกว่า 30 ซม.
2.3.8 การหยุดเหล็กเสริม
การหยุดเหล็กสามารถทําได้โดยเป็ นไปตามเงื่อนไขของ ACI code นัน่ คือ ตําแหน่ งที่ตดั เหล็ก
ทางทฤษฎีตอ้ งทําการยื่นเหล็กให้เลยไปอีก 12db หรือ d โดยใช้ค่ามากเป็ นตัวกําหนด อย่างไรก็ตาม
ไม่ควรลดเหล็กบริเวณคานยืน่ ตําแหน่ งหยุดเหล็กตาม ACI แสดงไว้ดงั รูปที่ 2.3-8
2.3.8.1 เหล็กรับโมเมนต์ลบหรือเหล็กเสริมลบ
บริเวณจุดรองรับ จะเสริมเหล็ก K และ J เพื่อรับโมเมนต์ลบ โดยการหยุดเหล็ก K ต้องให้มี
ระยะยื่นออกมาจากจุดรองรับเป็ นระยะเท่ากับระยะฝัง ldโดยระยะจากปลายการหยุดเหล็ก K จะต้อง
เลยตําแหน่ งกําลังต้านทานโมเมนต์ J ออกไปไม่น้อยกว่าความลึกประสิทธิผลหรือ 12db และเหล็ก
เสริม J จะต้องปล่อยเหล็กให้ยาวเลยตําแหน่ งกําลังต้านทานโมเมนต์ J ไปเท่ากับระยะฝั ง ld โดยมี
ปริมาณที่ยื่นเหล็กออกไปอย่างน้อยต้อง 1 ใน 3 ของเหล็กรับโมเมนต์ลบ ที่ระยะจากจุดดัดกลับ PI
ออกไปไม่นอ้ ยกว่าความลึกประสิทธิผลหรือ 12db หรือ ln/16, โดยใช้ค่ามากเป็ นตัวกําหนด
C
L
P.I P.I
Moment Strength of
steel bar J
Moment Curve
≥(d,I2db or ln/16 )
≥Ld
≥(d or I2db)
Steel bar J
รูปที่ 2.3-7ทฤษฎีในการหยุดเหล็กเสริม
2.3.8.3 การหยุยุดเหล็กอย่างง่าย
2.4 ภาวะใช้งานของโครงสสร้าง
ผลลัพธ์ที่ได้ดจากการคํานวณออกแบบบโครงสร้างด้ ง วยวิธีกาํ ลังซึ
ง ่งเป็ นภาวะะที่พิจารณากกําลังของ
วัสดุถึงจุจดขีดสุด เป็ นผลให้
น ทวั ่ ไปปเหล็กเสริมในนหน้าตัดมีปริมาณน้อย รวมถึร งหน้าตัดอาจมีขนาดดเล็กกว่า
เมื่อเทียบกั
ย บการอออกแบบด้วยหหน่ วยแรงใช้งาน ง เป็ นผลใให้ที่ภาวะใช้ง้ านจริงหน้าาตัดอาจเสียรูปได้ง่าย
เนื่ องจาากโครงสร้างมีสติฟเนสน้อยหรื อ อคานออาจเกิดการแแอ่นตัวมากร่วมไปถึงอาจเกิดรอยร้าวทีที่เกินกว่า
ค่ า ที่ รับได้
บ เป็ นต้นดั
น ง นั้ น การอออกแบบหนน้ า ตัด ด้ว ยวิ ธีธี กํา ลัง ต้อ งมี
ง ก ารตรวจจสอบการใช้ช้ง านของ
โครงสร้ร้างที่ภาวะใช้ช้งานด้วยเสมมอ โดย วสท. แนะนําให้วศวกรต้ ิ องตรวจสอบภาวะะใช้งานของโครงสร้าง
อยู่ 2 ส่สวน คือ (1) การแอ่นตัวที ว ่เกิดขึ้ นต้องไม่
ง มากเกินไป ไ (Limit off deflection)) และ (2) รอยร้
ร าวที่
เกิดขึ้ นต้องไม่มีมากกเกินไป (Lim mit of crack width)
w
MAS AND JOYKLAD | หน้าที่ 34 ของบทที่ 2
PIMANM
คอนกรีตเสริมเหล็ก | หมวดวิชาวิศวกรรมโครงสร้าง
_____________________________________________________________________
2.4.1 การแอ่นตัวที่ยอมให้
การโก่งตัวที่ภาวะใดๆที่เกิดขึ้ นต้องมีค่าไม่เกินกว่าค่าที่มาตรฐานกําหนด (ตาราง 4205 (ข),
วสท1008-38) ดังตารางที่ 2.4-1
2.4.2 การคํานวณการแอ่นตัว
การแอ่นตัวที่เกิดขึ้ นในช่วงใช้งาน สามารถคํานวณได้ตามหลักการ วิเคราะห์โครงสร้างทัว่ ไป
ทั้งนี้ ใช้สมมุติฐานของโครงสร้างยืดหยุน่ โดยตัวแปรที่ตอ้ งปรับแก้คือ ค่าโมเมนต์ความเฉื่อย (moment
of inertia, I) ซึ่งเป็ นตัวหารคู่กบั โมดูลสั ยืดหยุน่ ในสมการที่คาํ นวณการแอ่นตัว
2.4.2.1 โมเมนต์ความเฉื่อย
เมื่อคานเกิดการแอ่นตัวเนื่ องจากนํ้ าหนั กบรรทุ ก บริเวณที่หน่ วยแรงดึงในหน้าตัดเกินว่า
โมดูลสั แตกร้าว (modulus of rupture, fcr) จะเกิดรอยร้าวขึ้ น ในบริเวณนี้ ต้องใช้ค่า โมเมนต์ความเฉื่อย
แตกร้าว (cracked moment of inertia, Icr) ในการคํานวณการแอ่นตัว อย่างไรก็ดีในส่วนที่หน่ วยแรงดึง
มีค่าไม่เกินกําลังต้านของคอนกรีต หน้าตัดจะยังไม่รา้ ว การวิเคราะห์การแอ่นตัวจะใช้หน้าตัดเต็ม (ที่
ไม่รวมเหล็กเสริม) หรือ gross section ในการวิเคราะห์ โมเมนต์ความเฉื่อยรวม (gross moment of
inertia, Ig)
2.4.2.2 โมเมนต์ความเฉื่อยรวม
สามารถคํานวณโมเมนต์อนั ดับที่ 2 ของหน้าตัดสี่เหลี่ยมกว้าง b และลึก h ซึ่งแสดงได้ตาม
สมการดังต่อไปนี้
1 3
lg bh (2.4-1)
12
2.4.2.3 โมเมนต์ความเฉื่อยแตกร้าว
กรณีที่หน้าตัดเกิดรอยร้าวจะใช้สมมุติฐานว่า คอนกรีตใต้แนวแกนสะเทิน (N.A) หรือเหนื อ
ขอบของรอยร้าว ไม่สามารถรับแรงดึงได้ การคํานวณตําแหน่ งของแกนหมุนซึ่งวัดจากผิวรับแรงอัดที่
เรียกว่า kd และ Icr จะใช้ วิธีหน้าตัดแปลง (transformed section method)
2.4.2.4 โมเมนต์ความเฉื่อยประสิทธิผล
ตามที่ อ ธิ บ ายไปแล้ว ข้า งต้น ว่ า ในคานชิ้ นเมื่ อ รับ นํ้ า หนั ก บรรทุ ก ใช้ง านจะมี ท้ัง ส่ ว นที่ มี
คุณสมบัติของ l g และ lcr ดังนั้น ACI จึงเสนอค่าโมเมนต์ความเฉื่อยประสิทธิผล (effective moment of
inertia, Ieff) เพื่อใช้ในการคํานวณการแอ่นตัว โดยค่า Ieff มีค่าระหว่าง l g leff lcr และคํานวณได้ดงั
สมการต่อไปนี้
M 3 M
3
leff cr l g 1 cr l l (2.4-2)
Ma Ma cr g
2.4.2.5 การแอ่นตัวระยะยาว
ตาม 4205 (ข) 5 ของมาตรฐานวสท. 1008-38 ระบุว่าหากไม่ได้ทําการวิเคราะห์อย่าง
ละเอียด การแอ่นตัวระยะยาว (Long term deflection) ซึ่งเป็ นผลเกิดจาก creep & shrinkage สามารถ
คํานวณจากการคูณสัมประสิทธิ์ กับการแอ่นตัวซึ่งเกิดจากนํ้าหนักบรรทุกคงค้าง
(2.4-3)
1 50
2.4.3 ความลึกตําสุ ่ ด
อย่างไรก็ดีการแอ่นตัวอาจไม่ตอ้ งคํานวณและแสดงในรายการคํานวณหาก องค์อาคารตัวนั้ น
ใช้ความหนาตํา่ สุดตามที่มาตรฐานกําหนด ดังตารางที่ 2.4-2
2.4.4 ดัชนีความกว้างของรอยร้าว
การออกแบบที่ดีตอ้ งจํากัดรอยร้าวให้มีขนาดเล็กและกระจายทัว่ ดี มากกว่าที่จะให้เกิดรอยร้าว
ขนาดใหญ่แต่ กระจุกตัวอยู่ที่เดียว การควบคุ มดังกล่าวกระทําผ่ านค่า ดัชนี ความกว้างของรอยร้าว
(Index of crack width, Z) สําหรับคาน ต้องไม่เกินค่าต่อไปนี้ (1) 26,000 กก./ซม. (ความกว้างไม่
เกิน 0.34 มม.) กรณีคานช่วงใน และ (2) 31,000 กก./ซม. (ความกว้างไม่เกิน 0.41 มม.) กรณี
คานตัวนอก
1
Z f s (d c A) 3 (2.4-4)
ข้อกําหนดเพิ่มเติม
1. กรณีเหล็กเสริมมัดเป็ นกําและใช้เหล็กหลายขนาดให้หาค่า A จากอัตราส่วนของเนื้ อที่หน้า
ตัดทั้งหมดต่อเนื้ อที่เนื้ อที่ของเหล็กเสริมขนาดใหญ่สุด
2. ในกรณีอาคารอยูภ่ ายใต้สภาพสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงค่า Z จะไม่ครอบคลุมและต้องพิจารณา
เป็ นพิเศษ
2.5 องค์อาคาารรับแรงเฉืฉือน
ณ ภาวะที่คานยั
ค งมีคุณสมบั
ส ติยดื หยุน่ โดยใช้สมมุมุติฐานในการรวิเคราะห์วาาเนื้
่ อคานเป็ นวัน สดุเนื้ อ
เดียว (homogeneo
( ous material) คานชะะลูด (slendeer beam) เมื่อรับนํ้ าหหนั กบรรทุกตามขวาง ต
(transvverse load) จะเกิดหน่ วยแรงย 2 ประเภท ในเนื้ อคคานเมื่อคานน นัน่ คือ หน่ ววยแรงดัด แลละ หน่ วย
แรงเฉื อน ซึ่ ง เมื่ อ รวมหน่
ร ว ยแ รงดัง กล่ า ว เข้า ด้ว ยกัน จะสามารถ
จ แสดงหน่ ว ยยแรงหลัก ( principal
stressees)ซึ่งในบริเวณปลายคา
เ นที่มีแรงเฉือนสู
อ ง และแรรงดัดตํา่ นั้น หน่
ห วยแรงดึงงหลักจะมีแนวโน้
น มฉีก
คานในนมุมประมาณ ณ 45 องศาา ที่บริเวณกลางคาน หนน่ วยแรงดึงกลล่าวเรียกกว่า “หน่ วยแรงงดึงทแยง
(diagonnal tensilee stress)”” ซึ่งเมื่อหน่ วยแรงดั
ว งกล่าวมี
า ค่ามากกกว่า “กําลังรับบแรงดึงของคอนกรีต
(concretetensilesttrength)” ค านจะแตกร้ร้า วในรู ป แบบบที่ เ รี ย กว่ า “การวิ บั ตติิ แ บบเฉื อ น (shear
failure))” ซึ่งในทางวิศิ วกรรมโครงสร้างนับว่าเป็ นการวิบตั ิแบบเปราะะ รูปที่ 2.5--1 แสดงแนนวคิดดังที่
ได้อธิบายข้างต้น
ตกร้าวแบบ Flexural-she
รูปที่ 2.5-2การแต
2 F ear crack
รูปที่ 2.5-3การแ
2 ตกร้าวแบบ Web-shear Crack
Flexural moment
Shear-comprression strength
Failure moment = Va
strength
Inclin
ned cracking
strength, Vc
ension
Diagonal te
She ear-tension an
nd
failures
shea ar-compressioon
Dee
ep failu
ures
bea
ams
Flexural failures
0 1 2 3 4 5 6 7
a/d
d
Vu d
Vc 0.5 f c 176 w bw d (2.5-1)
u
M
Vc 0.53 f c bw d
(2.5-2)
2.5.3 ปั จจัยที่มีผลต่อกําลังรับแรงเฉือนของคานที่ไม่ใส่เหล็กปลอก
1. กําลังรับแรงดึงของคอนกรีต (Concrete Tensile Strength)คอนกรีตที่มีกาํ ลังรับแรงดึง
มากจะสามารถต้านทานแรงเฉือนได้มากกว่าคอนกรีตที่มีกาํ ลังรับแรงดึงน้อยกว่า
2. อัตราส่วนเหล็กเสริมหลัก (Main Reinforcement Ratio) คานที่มีอตั ราส่วนเหล็กเสริม
หลัก (w) มาก จะมีกาํ ลังต้านทานแรงเฉือนมากกว่าคานที่มีอตั ราส่วนเหล็กเสริมหลักน้อย
3. อัตราส่วนช่วงการเฉือนต่อความลึกประสิทธิผล a/d เนื่ องจาก Mu/(Vud) = (Mu/Vu)/d =
a/d
4. ผลกระทบเนื่ องจากขนาดของคาน (Size effect)คานที่มีความลึกประสิทธิผลมากจะมี
กําลังรับแรงเฉือนน้อยกว่าคานที่มีความลึกประสิทธิผลน้อยกว่า
5. ผลของแรงตามแนวแกน
กรณีแรงอัด
- เกิดรอยร้าวเอียงได้ชา้ ลง
- ช่วยชะลอการแพร่ของรอยร้าวเอียง
- เพิ่มกําลังรับแรงเฉือนของคาน
กรณีแรงดึง
- เร่งการเกิดรอยร้าวเอียง
- เร่งการแพร่ของรอยร้าวเอียง
- ลดกําลังรับแรงเฉือนของคาน
PIMANMAS AND JOYKLAD | หน้าที่ 42 ของบทที่ 2
คอนกรี
ค ตเสริมเหล็ก | หมวดดวิชาวิศวกรรมมโครงสร้าง
________________________________________________________________________
2.5.4 พฤติกรรมการรับแรงเเฉือนของคาานที่ใส่เหล็กปลอก
เหล็กลูกตั้งไม่
ง สามารถปป้องกันการเเกิดรอยร้าวเเอียงได้แต่สามารถยั
า บยั้งการแพร่ของงรอยร้าว
เอียงโดดยเหล็กลูกตั้งั จะเริ่มทํางานเมื่อเกิดรอยร้าวเอียงแล้วกรณีเหล็ล็กลูกตั้งเอียง(ดังรูปที่ 2.5-7)
2 :
กําลังรับั แรงเฉือนคํานวณจากสมมการต่อไปนี้น
d
Vc Av f y (sin cos
c ) (22.5-3)
s
รูปที่ 2.5-7
2 กลไกกการรับแรงขของเหล็กปลออก รูปที่ 2.5-8 กรณี
ณีเหล็กปลอกตั้งฉากกับแนนวคาน
สําหรับเหล็็กลูกตั้งในแนนวดิ่ง (ดังรูปที
ป ่ 2.5-8) : กําลังรับแรรงเฉือนคํานววณจาก(2.5--4)
Av f y d
Vs (22.5-4)
s
2.5.5 การออกแบบบคานรับแรงเฉื
แ อนของง ACI
หลักการพื้ นฐานการออ
น กแบบการรับแรงเฉื
บ อนขออง ACI แสดงงในตามสมกาารที่ 2.5-5
Vn Vu (2.5-5)
(
คือ ตัวคูณลดกําลังเท่ากับ 0.85 (กรณีแรงเฉือน)
กรณีมี แรงอัด (Nu ใช้เครือ่ งหมายบวก) ร่วมด้วย จะใช้(2.5-6)
N
Vc 0.531 0.0071 u f c bwd (2.5-6)
A
g
N u
Vc 0.531 0.0023 f bw d
A c (2.5-7)
g
2.5.6 การคํานวณปริมาณเหล็กลูกตั้ง
กรณีที่ 1ไม่ตอ้ งเสริมเหล็กรับแรงเฉือน เมื่อ Vu< 0.5Vc
กรณีที่ 2เสริมเหล็กปลอกขั้นตํา่ (Av,min) เมื่อ Vc> Vu> 0.5Vc
3.5bw s
เมื่อ Av,min (2.5-8)
f vy
โดยระยะเรียงของเหล็กปลอกมากสุดต้องไม่เกิน (smax)
Av f vy (2.5-9)
นัน่ คือ Smax Min{ ,0.5d ,60}
3.5bw
ระยะเหล็กลูกตั้งคํานวณจาก s = Avfvyd/Vs
โดย smax3 = Min{Avfvyd/Vs, Avfvy/(3.5bw), 0.25d, 30}
กรณีที่ 4ขยายหน้าตัด เมื่อ Vs> 2.1(fc)0.5bwd
ทั้งนี้ ค่า (fc)0.5 ต้องไม่เกิน 27ksc และกําลังครากของเหล็กรับแรงเฉือน (fvy) ต้องมีค่าไม่เกิน
4,200 ksc
2.6 องค์อาคารรับแรงบิด
โมเมนต์บิดแบ่งเป็ น 2 ประเภท คือ 1. โมเมนต์บิดสมดุล (equilibrium torsion) เป็ นโมเมนต์
บิดที่เกิดขึ้ นในองค์อาคารซึ่งคํานวณได้ดว้ ยหลักสมดุลของแรงเพียงอย่างเดียวได้ (ดังรูปที่ 2.6-1)2.
โมเมนต์บิดสอดคล้อง (compatibility torsion) เป็ นโมเมนต์บิดที่เกิดในองค์อาคารซึ่งต้องอาศัยทั้งหลัก
สมดุลของแรงและหลักความสอดคล้องของการเปลี่ยนรูป ซึ่งเกิดขึ้ นในโครงสร้างแบบอินดีเทอร์มิเนท
ดังแสดงในรูปที่ 2.6-2
P1 P2
(a) (b)
(a)
(b)
(c) (c)
2.6.2 การเลือกหหน้าตัดองค์อาคารเพื
อ ่อต้า้ นทานโมเมมนต์บิด
หน้าตัดปิ ดมี ด ดลักษณะของหน้าตััดปิ ดและ
ด ความสามมารถต้านโมเเมนต์บิดได้ดีดีกว่าหน้าตัดเปิ
า งหน้าตัตดวิกฤติของโมเมนต์บิดที่ใช้ในการอออกแบบที่
เปิ ดดังรูปที่ 2.6-55และรูปที่ 2..6-6 ทั้งนี้ ตําแหน่
ระยะ h/2
h จากหน้าที า ่รองรับ
ป ่ 2.6-6 การไหลของห
รูปที ก หน่ วยแรงบิดในหน้
ใ าตัดปิ ดแบบไม่
ด ต่อเนื่ อง
2.6.3 การออกแบบบต้านโมเมมนต์บิด
ก ดเบ้ (SSkew bending theory) จาาก ACI318 ปี ค.ศ.19711 – ค.ศ.19889
1. ทฤษฎีการดั
2. ทฤษฎีท่ทอเปลือกบาาง/โครงข้อหมุนพลาสติก 3 มิติ (Thinn-wall tubeeand plasticc space
truss) คล้ายกับ Truuss model 2 มิติ สําหรับั องค์อาคารรรับแรงเฉือน นํามาจาก CEB code และใช้
แ ใน
ACI3188-1995 เป็ นต้นมา
2
Acp (2.6-1)
(
Tcr 1.06 f c
pcpp
2
Ac
Tu 1.08 f c cp (22.6-2)
pcp
2.6.6 การออกแบบบรับโมเมนนต์บิด
Vu Tu Ph V
2.1 f c
c
: Hollow seection ; t >AAohPh (2.6-3)
bwd 1.7 A oh
2
b d
w
Vu Tu Vc
2.1 f c : Hollow seection ; t <AohPh (2.6-4)
bw d 1.7 Aoht bwd
0.5
V 2 T P 2 V
u u h c 2.1 f c : Solid section (2.6-5)
bw d 1.7 Aoh
o t
bw d
รูปที่ 2.6-12
2 การไหลของแรงงบิดในส่วนคคอนกรีต
จากรูปที่ 2.6-12จจะได้
T v1 y0 v2 x0 (22.6-6)
Txx0
v1 v3 qx0 (22.6-7)
2A
A0
Tyy0
v2 v4 qy0 (22.6-8)
2AA0
2.6.8 การหาปริมาณเหล็
ม ก ้ง(สมการรที่ใช้หาปริมาณเหล็
กลูกตั ม กปลลอกที่ตอ้ งกาาร)
จํานวนเหล็กปลอก (At) ที่ตอ้ งใช้เพื่อต้านแรงบิดคํ
ด านวณจากก (2.6-9) ((รูปที่ 2.6-13) โดย
= 37
7.5o สําหรับคานคอนกรีตอัดแรงที่มีแรงดึ
แ งประสิทธิ
ท ผลมากกวว่า 40% ของงแรงดึงประลัลัย และ
= 45o สําหรับคานนคอนกรีตไมม่อดั แรง หรือคานคอนกรี
อ รีตอัดแรงที่มีแรงดึงประสิสทธิผลน้อยกกว่า 40%
ของแรงงดึงประลัย
At Tn (22.6-9)
s 2 A0 f f cot
รูปที่ 2.6-13
2 กลไกของเหล็กปลอกในการรั
ป รับแรงบิด
2.6.9 การคํานวณ
ณหาปริมาณ
ณเหล็กนอนเนนื่องจากผลขของโมเมนต์
ต์บิด
จากรูปที่ 2.6-14
2 เมื่อ N คือ แรงดึึงที่กระทําต่อหน้
อ าตัด (Alfyl) นัน่ คือต้อองออกแบบเหหล็กนอน
ให้รบั แรงดึงดังกล่าว โดยคํานวณ ณจาก(2.6-10) ดังนี้
A f (2.6-10)
Al t ph vy cot 2
s f ly
A f
Al ,min 1.33 f c
Acp
t ph vy (22.6-11)
f ly s f ly
At
โดย ในสมกาารต้องไม่นอ
้ ยกว่
ย า 1.75bbw/fvy
s
อ พิมานมาศศ และ ภาณุ วฒน์
อมร ฒ
ั จ้อยกลัด | หน้าที่ 51 ขอองบทที่ 2