Professional Documents
Culture Documents
58) 1
29 Feb 2016
1 2𝑥−2
3. ให้ 𝐴 เป็ นเซตคาตอบของอสมการ ||𝑥 − 1| − 1| < 1 และ 𝐵 เป็ นเซตคาตอบของอสมการ 𝑥+1
≥ 𝑥 2 −3𝑥+2
เซต 𝐴 ∩ 𝐵 เป็ นสับเซตของช่วงในข้ อใดต่อไปนี ้
1. (−5, −1) 2. (−3, 1) 3. (−1, 3)
4. (0, 4) 5. (1, 5)
2 PAT 1 (ต.ค. 58)
4. (3 − 4 sin2 9°)(3 − 4 sin2 27°)(3 − 4 sin2 81°)(3 − 4 sin2 243°) มีคา่ เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
1. 0 2. 1 3. 2
4. tan 9° 5. cot 9°
𝜃 𝜋 (1+sin 𝜃) sec2 𝜃
5. ถ้ า 2 cot 2 = (1 + cot 𝜃)2 และ 0<𝜃<2 แล้ วค่าของ cos 2𝜃
เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
1. 0.125 2. 0.25 3. 1
4. 2 5. 4
6. ค่าของ sec 2(arctan 2) + cosec 2(arccot 3) + cosec (2 arccot 2 + arccos 35) เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
1. 335
24
2. 351
24
3. 375
24
385 399
4. 24 5. 24
PAT 1 (ต.ค. 58) 3
𝜋 𝜋
7. กาหนดให้ 𝐴 = arcsin (cos )
3
และ 0<𝐵<
2
sin2 𝐵 + sin2 (𝐴 + 𝐵) + sin2 (5𝐴 + 𝐵) ตรงกับข้ อใดต่อไปนี ้
3
1. 0 2. 1 3. 2
− sin 2𝐵
3 3
4. 2
− cos 2𝐵 5. 2
− 2 cos 2𝐵
11. ให้ พาราโบลารูปหนึง่ มีสมการเป็ น 𝑦 2 − 4𝑦 + 40𝑥 − 236 = 0 โดยมี 𝑉 และ 𝐹 เป็ นจุดยอด และโฟกัสของ
พาราโบลาตามลาดับ ถ้ าวงรี รูปหนึง่ ผ่านจุด (4, 6) และมีโฟกัสอยูท่ ี่ 𝑉 และ 𝐹 แล้ วสมการของวงรีรูปนี ้ตรงกับข้ อ
ใดต่อไปนี ้
1. 4𝑥 2 + 9𝑦 2 + 8𝑥 − 36𝑦 + 140 = 0 2. 4𝑥 2 + 9𝑦 2 + 8𝑥 + 36𝑦 − 140 = 0
3. 4𝑥 2 + 9𝑦 2 − 8𝑥 − 36𝑦 − 140 = 0 4. 9𝑥 2 + 4𝑦 2 − 36𝑥 − 8𝑦 − 180 = 0
5. 9𝑥 2 + 4𝑦 2 + 36𝑥 − 8𝑦 + 180 = 0
PAT 1 (ต.ค. 58) 5
1 2𝑥 3
13. ค่าของ lim (1 −
𝑥 2 +1
) เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
x 1 √1−𝑥
1. 0 2. 0.5 3. 1
4. 2 5. 4
14. กาหนดให้ 𝐶 เป็ นเส้ นโค้ ง 𝑦 = 2 + 𝑥|𝑥 − 1| เมื่อ 𝑥 เป็ นจานวนจริ ง ถ้ า 𝐿 เป็ นเส้ นตรงที่สมั ผัสกับเส้ นโค้ ง 𝐶 ที่
จุด (0, 2) และให้ 𝑁 เป็ นเส้ นตรงที่ตงฉากกั
ั้ บเส้ นตรง 𝐿 ณ จุด (0, 2) แล้ วเส้ นตรง 𝑁 ผ่านจุดในข้ อใดต่อไปนี ้
1. (−1, 3) 2. (1, 5) 3. (−2, 5)
4. (3, −2) 5. (−3, 4)
6 PAT 1 (ต.ค. 58)
2𝑥
15. ให้ 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั หนึง่ ต่อหนึง่ ซึง่ มีโดเมนและเรนจ์เป็ นสับเซตของจานวนจริง โดยที่ 𝑓 −1 (𝑥) = 𝑥+1 สาหรับทุก
สมาชิก 𝑥 ในเรนจ์ของ 𝑓 พิจารณาข้ อความต่อไปนี ้
(ก) 2𝑓 ′(4) − 𝑓(4) = 3
(ข) 𝑓 ′′(𝑓(4)) = 𝑓(𝑓 ′′(4))
(ค) 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั เพิ่มบนช่วง (0, 2)
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. ข้ อ (ก) และ ข้ อ (ข) ถูก แต่ ข้ อ (ค) ผิด 2. ข้ อ (ก) และ ข้ อ (ค) ถูก แต่ ข้ อ (ข) ผิด
3. ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ถูก แต่ ข้ อ (ก) ผิด 4. ข้ อ (ก) ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ถูกทังสามข้
้ อ
5. ข้ อ (ก) ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ผิดทังสามข้ ้ อ
16. กาหนดให้ 𝐴⃗ และ 𝐵⃗⃗ เป็ นเวกเตอร์ ในระนาบ โดยที่ 𝐴⃗ = 16𝑖̅ + 𝑎𝑗̅ และ ⃗⃗ = 8𝑖̅ + 𝑏𝑗̅
𝐵 เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ น
จานวนจริ ง ถ้ า |𝐴⃗| = |𝐵⃗⃗| และเวกเตอร์ 𝐵⃗⃗ ทามุม 60° กับเวกเตอร์ 𝐴⃗
แล้ วค่าของ (𝑎 + 𝑏)2 เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
1. 8 2. 16 3. 64
4. 192 5. 320
17. ในการจัดนักเรี ยนชาย 4 คน และนักเรี ยนหญิง 4 คน มายืนเรี ยงเป็ นแถวตรงเพียงหนึง่ แถว ความน่าจะเป็ นที่ไม่มี
นักเรี ยนชายสองคนใดเลยยืนติดกัน หรื อ ไม่มีนกั เรี ยนหญิงสองคนใดเลยยืนติดกัน มีคา่ ตรงกับข้ อใดต่อไปนี ้
1 1 4
1. 70 2. 35 3. 35
4. 17 5. 27
PAT 1 (ต.ค. 58) 7
𝑥+2 , 𝑥 <1
18. ให้ 𝑓 และ 𝑔 เป็ นฟั งก์ชนั โดยที่ 𝑓(𝑥) = {√9 − 𝑥 , 𝑥≤0 และ 𝑔(𝑥) = {
7−𝑥 , 𝑥>4 𝑥−4 , 𝑥 ≥1
พิจารณาข้ อความต่อไปนี ้
(ก) ถ้ า 𝑥 ≤ 0 แล้ ว (𝑔 ∘ 𝑓)(𝑥) = √9 − 𝑥 − 4
(ข) ถ้ า 4 < 𝑥 ≤ 6 แล้ ว (𝑔 ∘ 𝑓)(𝑥) = 3 − 𝑥
(ค) ถ้ า 𝑥 > 6 แล้ ว (𝑔 ∘ 𝑓)(𝑥) = 9 − 𝑥
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. ข้ อ (ก) และ ข้ อ (ข) ถูก แต่ ข้ อ (ค) ผิด 2. ข้ อ (ก) และ ข้ อ (ค) ถูก แต่ ข้ อ (ข) ผิด
3. ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ถูก แต่ ข้ อ (ก) ผิด 4. ข้ อ (ก) ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ถูกทังสามข้
้ อ
5. ข้ อ (ก) ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ผิดทังสามข้
้ อ
𝑛23𝑛
20. กาหนดให้ 𝑎𝑛 = 32𝑛+1 เมื่อ 𝑛 = 1, 2, 3, … อนุกรม 𝑎𝑛 ตรงกับข้ อใดต่อไปนี ้
n 1
2 3 𝑛
23. กาหนดให้ 𝑎𝑛 = 1+2+2 +2 32𝑛
+ … +2
เมื่อ 𝑛 = 1, 2, 3, …
ค่าของ nlim
(𝑎1 + 𝑎2 + 𝑎3 + … + 𝑎𝑛 ) เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
2 1 9
1. 9
2. 8
3. 56
2 25
4. 7
5. 56
1 2 𝑎 𝑏
26. กาหนดให้𝐴=[
2 1
] และ 𝐵 = [ ] เมื่อ 𝑎, 𝑏, 𝑐 และ 𝑑 เป็ นจานวนจริ งบวก โดยที่ 𝑎𝑏𝑐𝑑 = 9 และ
𝑐 𝑑
𝑎𝑑 ≠ 𝑏𝑐 ถ้ า 𝐴𝐵−1 = 𝐵−1 𝐴 และ det(𝐴𝑡 𝐵) = −24 แล้ วค่าของ 𝑎 + 𝑏 + 𝑐 + 𝑑 เท่ากับเท่าใด
1. 5 2. 6 3. 7
4. 8 5. 9
27. กาหนดให้ 𝑎̅ และ 𝑏̅ เป็ นเวกเตอร์ ใดๆ ที่ไม่เป็ นเวกเตอร์ ศนู ย์ พิจารณาข้ อความต่อไปนี ้
(ก) ถ้ า 𝑎̅ ขนานกับ 𝑏̅ แล้ ว |𝑎̅ − 𝑏̅| = |𝑎̅| − |𝑏̅|
2 2
(ข) ถ้ า |𝑎̅ + 𝑏̅| = |𝑎̅|2 + |𝑏̅| แล้ ว 𝑎̅ ตังฉากกั้ บ 𝑏̅
(ค) ถ้ าเวกเตอร์ 𝑎̅ + 𝑏̅ ตังฉากกั
้ บเวกเตอร์ 𝑎̅ − 𝑏̅ แล้ ว |𝑎̅| = |𝑏̅|
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. ข้ อ (ก) และ ข้ อ (ข) ถูก แต่ ข้ อ (ค) ผิด 2. ข้ อ (ก) และ ข้ อ (ค) ถูก แต่ ข้ อ (ข) ผิด
3. ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ถูก แต่ ข้ อ (ก) ผิด 4. ข้ อ (ก) ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ถูกทังสามข้
้ อ
5. ข้ อ (ก) ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ผิดทังสามข้
้ อ
33. กาหนดให้ ℝ แทนเซตของจานวนจริ ง ให้ 𝑓: ℝ → ℝ เป็ นฟั งก์ชนั ที่สามารถหาอนุพนั ธ์ได้ และสอดคล้ องกับ
𝑥 2 +𝑥−6
lim
x 2 √1+𝑓(𝑥)−3
= 6 และ 1 + 𝑓(𝑥) ≥ 0 สาหรับทุกจานวนจริ ง 𝑥
ถ้ าเส้ นตรง 6𝑥 − 𝑦 = 4 ตัดกับกราฟ 𝑦 = 𝑓(𝑥) ที่ 𝑥 = 2 แล้ วค่าของ 𝑓 ′ (2) เท่ากับเท่าใด
PAT 1 (ต.ค. 58) 13
𝑥3 , 𝑥 < −1
34. กาหนดให้ ฟังก์ชนั 𝑓(𝑥) = { 𝑎𝑥 + 𝑏 , −1 ≤ 𝑥 < 1 เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริ ง
3𝑥 2 + 2 , 𝑥≥1
2
ถ้ าฟั งก์ชนั 𝑓 ต่อเนื่อง สาหรับทุกจานวนจริง 𝑥 แล้ วค่า 𝑓(𝑥)𝑑𝑥 เท่ากับเท่าใด
2
1 𝑏 0
36. ถ้ า 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริ งที่สอดคล้ องกับ |𝑎 4 1 | = −17
5 𝑎 −𝑎
5 + 2𝑎 2 5
แล้ วค่าของ |8+𝑎 2𝑏 𝑎| เท่ากับเท่าใด
2−𝑎 0 −𝑎
14 PAT 1 (ต.ค. 58)
38. ต้ องการสร้ างจานวนห้ าหลัก จากเลขโดด 1, 2, 3 โดยที่แต่ละหลักมีตวั เลขซ ้ากันได้ และจานวนห้ าหลักประกอบด้ วย
ตัวเลข 1 อย่างน้ อย 1 หลัก ตัวเลข 2 อย่างน้ อย 1 หลัก และตัวเลข 3 อย่างมาก 2 หลัก จะมีจานวนห้ าหลัก
ดังกล่าวได้ ทงหมดกี
ั้ ่จานวน
39. จากการสารวจปริ มาณอาหารเสริ มที่ใช้ เลี ้ยงสัตว์ชนิดหนึง่ จานวน 8 ตัว ได้ ข้อมูลซึง่ แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง
อายุ (ปี ) ของสัตว์ชนิดนี ้ และปริมาณอาหารเสริ ม (กิโลกรัม) ทีใ่ ช้ เลี ้ยงสัตว์ดงั กล่าวต่อสัปดาห์ ปรากฏผลดังนี ้
อายุ (ปี ) : 𝑥 𝑥1 𝑥2 𝑥3 𝑥4 𝑥5 𝑥6 𝑥7 𝑥8
ปริมาณอาหารเสริมต่อสัปดาห์ (กิโลกรัม) 𝑦1 𝑦2 𝑦3 𝑦4 𝑦5 𝑦6 𝑦7 𝑦8
8 8 8 8 8
โดยที่ 𝑥𝑖 = 40 , 𝑦𝑖 = 48 , 𝑥𝑖2 = 210 , 𝑦𝑖2 = 380 , 𝑥𝑖 𝑦𝑖 = 270
i 1 i 1 i 1 i 1 i 1
1 1 1
41. ให้ 𝑆 เป็ นเซตของคูอ่ นั ดับ (𝑎, 𝑏) ทังหมด
้ โดยที่ 𝑎, 𝑏 เป็ นจานวนเต็มบวกทีส่ อดคล้ องกับ 𝑎
− 𝑏 = 10
จานวนสมาชิกของเซต 𝑆 เท่ากับเท่าใด
43. ให้ 𝐴 เป็ นเซตของคูอ่ นั ดับ (𝑥, 𝑦) โดยที่ 𝑥 และ 𝑦 เป็ นจานวนจริ งบวกที่สอดคล้ องกับ
√2 − 𝑥 + √𝑦 = 2 และ 3 log 4 16𝑥 2 = 6 + 6 log 2 √𝑦
ให้ 𝐵 = { 𝑥 2 + 𝑦 2 | (𝑥, 𝑦) ∈ 𝐴 } ค่ามากที่สดุ ของสมาชิกในเซต 𝐵 เท่ากับเท่าใด
5 5
44. กาหนดให้ ข้อมูลกลุม่ ตัวอย่าง 5 จานวน คือ 𝑥1 , 𝑥2 , 𝑥3 , 𝑥4 , 𝑥5 โดยที่ 𝑥𝑖2 = 214 และ (𝑥𝑖 − 𝑥̅ )2 = 34
i 1 i 1
เฉลย
1. 2 11. 3 21. 1 31. 230 41. 4
2. 5 12. 3 22. 4 32. 126 42. 1.5
3. 3 13. 1 23. 5 33. 5 43. 2
4. 2 14. 1 24. 4 34. 9.25 44. 78.7
5. 5 15. 2 25. 5 35. 32 45. 429
6. 4 16. 4 26. 4 36. 68
7. 4 17. 3 27. 3 37. -
8. 2 18. 4 28. 1 38. 160
9. 3 19. 2 29. 2 39. 3
10. 5 20. 3 30. 1 40. 117
แนวคิด
1. 2
จาก (𝑝 ∨ 𝑟) ↔ (~𝑝 ∧ ~𝑞) เป็ นจริ ง จะสรุปได้ วา่ 𝑝 ∨ 𝑟 กับ ~𝑝 ∧ ~𝑞 ต้ องมีคา่ ความจริงเหมือนกัน
จะเห็นว่า 𝑝 เป็ น T ไม่ได้ เพราะถ้ า 𝑝 เป็ นจริ ง จะทาให้ 𝑝 ∨ 𝑟 ≡ T ∨ 𝑟 ≡ T
ไม่เหมือนกัน
แต่ จะทาให้ ~𝑝 ∧ ~𝑞 ≡ ~T ∧ ~𝑞 ≡ F ∧ ~𝑞 ≡ F
ดังนัน้ 𝑝 ต้ องเป็ น F และจะได้ 𝑝 ∨ 𝑟 ≡ F ∨ 𝑟 ≡ 𝑟
ต้ องเหมือนกัน → จะได้ 𝑟 ≡ ~𝑞
และ ~𝑝 ∧ ~𝑞 ≡ ~F ∧ ~𝑞 ≡ T ∧ ~𝑞 ≡ ~𝑞
นัน่ คือ 𝑟 กับ 𝑞 ต้ องมีคา่ ความจริ ง
ตรงข้ ามกัน
สรุป จากข้ อมูลที่โจทย์ให้ จะได้ วา่ 𝑝 ≡ F และ 𝑟 กับ 𝑞 ตรงข้ ามกัน
1. (𝑞 ↔ 𝑟) ∨ 𝑝 𝑟 กับ 𝑞 ตรงข้ ามกัน 2. (𝑝 → 𝑞) ∨ (𝑟 → 𝑝)
≡ F ∨F จะได้ 𝑞 ↔ 𝑟 ≡ F ≡ (F → 𝑞) ∨ (𝑟 → F)
≡ F ≡ T ∨ (𝑟 → F)
≡ T
3. (𝑟 → 𝑞) ∧ (𝑝 ∧ 𝑞) 4. (𝑞 → ~𝑝) ∨ (𝑞 ∧ 𝑟)
≡ (𝑟 → 𝑞) ∧ (F ∧ 𝑞) ≡ (𝑞 → ~F) ∨ (𝑞 ∧ 𝑟)
≡ (𝑟 → 𝑞) ∧ F ≡ (𝑞 → T ) ∨ (𝑞 ∧ 𝑟)
≡ F ≡ T ∨ (𝑞 ∧ 𝑟)
≡ T
5. (𝑟 ∨ 𝑞) ↔ (𝑝 → ~𝑟)
≡ (𝑟 ∨ 𝑞) ↔ (F → ~𝑟) 𝑟 กับ 𝑞 ตรงข้ ามกัน ดังนัน้ จะมีตวั หนึ่ง T ตัวหนึ่ง F
≡ T ↔ T เมื่อมีตวั หนึ่ง T จะได้ 𝑟 ∨ 𝑞 ≡ T เสมอ
≡ T
จะเห็นว่า มีข้อ 2. ข้ อเดียว ที่ตรงกับข้ อความในตัวเลือก
2. 5
จาก 𝐴 ∩ (𝐵 ∪ 𝐶)′ = ∅
ใช้ สตู ร 𝐴 − 𝐵 = 𝐴 ∩ 𝐵′
𝐴 − (𝐵 ∪ 𝐶) = ∅
𝐴 𝐵 𝐴 𝐵
ซึง่ 𝐴 − (𝐵 ∪ 𝐶) คือบริ เวณ เป็ นเซตว่าง ดังนัน้ ใส่ 0 ได้ ดงั รูป 0
𝐶 𝐶
18 PAT 1 (ต.ค. 58)
1. 𝐴 ∩ 𝐵 ∩ 𝐶 → 10 2. 𝐴 ∩ 𝐵 → 11 3. 𝐴′ ∩ 𝐵 = 𝐵 ∩ 𝐴′
𝐴 𝐵 𝐴 𝐵 = 𝐵−𝐴 → 4
0 1 3 0 1 3 𝐴 𝐵
10 10 0 1 3
1 1 1 1
10
4 4 1 1
𝐶 𝐶 4
𝐶
4. (𝐴 ∪ 𝐵) ∩ 𝐶 → 12 5. (𝐴 ∪ 𝐵)′ ∩ 𝐶 = 𝐶 ∩ (𝐴 ∪ 𝐵)′
= 𝐶 − (𝐴 ∪ 𝐵) → 4
𝐴 𝐵
0 1 3 𝐴 𝐵
10 0 1 3
1 1 10
1 1
4
𝐶 4
𝐶
3. 3
หา 𝐴 : ||𝑥 − 1| − 1| < 1
จากสมบัติคา่ สัมบูรณ์ จะได้ −1 < |𝑥 − 1| − 1 <1
0 < |𝑥 − 1| <2
จะได้ 0 < |𝑥 − 1| และ |𝑥 − 1| < 2
หมายเหตุ : จริ งๆแล้ ว ข้ อนี ้ ไม่ต้องหา 𝐵 ก็ได้ เนื่องจาก 𝐴 ที่ได้ เป็ นสับเซตของ (−1, 3) ในข้ อ 3 เพียงข้ อเดียว
เนื่องจาก 𝐴 ∩ 𝐵 ⊂ 𝐴 และ 𝐴 ⊂ (−1, 3) ดังนัน้ จะสรุปได้ วา่ 𝐴 ∩ 𝐵 ⊂ (−1, 3)
ดังนัน้ ข้ อ 3 เป็ นคาตอบได้ แน่นอน (แต่ถ้าไม่หา 𝐵 จะไม่ร้ ูวา่ มีตวั เลือกข้ ออื่นเป็ นคาตอบได้ อีกหรื อไม่)
หา 𝐵 :
1 2𝑥−2 2 1
𝑥+1
≥ 𝑥 2 −3𝑥+2
0 ≥ 𝑥−2
− 𝑥+1
1 2(𝑥−1) 2(𝑥+1)−1(𝑥−2)
≥ (𝑥−2)(𝑥−1)
0 ≥ (𝑥−2)(𝑥+1) มาจากตัวส่วน ต้ องเป็ นวงขาวๆ
𝑥+1
1 2(𝑥−1) 2𝑥+2−𝑥+2
≥ 0 ≥ (𝑥−2)(𝑥+1)
𝑥+1 (𝑥−2)(𝑥−1)
1 2 𝑥+4 − + − +
≥ ; 𝑥≠1 0 ≥ (𝑥−2)(𝑥+1)
𝑥+1 𝑥−2 −4 −1 2
𝐴
จะได้ 𝐴 ∩ 𝐵 ดังรูป 𝐵
𝐴∩𝐵 จะเห็นว่า 𝐴 ∩ 𝐵 เป็ นสับเซตของ (−1, 3) ในข้ อ 3
−4 −1 1 2 3
เพียงข้ อเดียว
4. 2
สังเกตว่าแต่ละวงเล็บ จะเข้ าสูตร sin 3𝜃 = 3 sin 𝜃 − 4 sin3 𝜃 ได้ ถ้ ามี sin 𝜃 คูณเพิ่มอีกตัว
sin 𝜃
→ คูณ sin 𝜃 เข้ าไปที่แต่ละวงเล็บ แล้ วเข้ าสูตร sin 3𝜃 ดังนี ้
(sin 9°)(3−4 sin2 9°) (sin 27°)(3−4 sin2 27°) (sin 81°)(3−4 sin2 81°) (sin 243°)(3−4 sin2 243°)
= sin 9°
∙ sin 27°
∙ sin 81°
∙ sin 243°
3 sin 9°−4 sin3 9° 3 sin 27°−4 sin3 27° 3 sin 81°−4 sin3 81° 3 sin 243°−4 sin3 243°
= sin 9°
∙ sin 27°
∙ sin 81°
∙ sin 243°
sin 3(9°) sin 3(27°) sin 3(81°) sin 3(243°)
= sin 9°
∙ sin 27°
∙ sin 81°
∙ sin 243°
sin 27° sin 81° sin 243° sin 729° sin 729°
= sin 9°
∙ sin 27°
∙ sin 81°
∙ sin 243°
→ เหลือ sin 9°
sin 729° sin 9°
เนื่องจาก 729 หารด้ วย 360 เหลือเศษ 9 ดังนัน้ sin 9°
= sin 9°
= 1
20 PAT 1 (ต.ค. 58)
5. 5
𝜃 sin 𝜃 𝜃 1+cos 𝜃
จากสูตร tan
2
=
1+cos 𝜃
ได้ จะได้ cot
2
=
sin 𝜃
จะได้ 2 cot 2
𝜃
= (1 + cot 𝜃)2
2(1+cos 𝜃) cos 𝜃 2
sin 𝜃
= (1 + sin 𝜃 )
2+2 cos 𝜃 sin 𝜃+cos 𝜃 2
sin 𝜃
= ( sin 𝜃
)
2+2 cos 𝜃 sin2 𝜃+2 sin 𝜃 cos 𝜃+cos2 𝜃
sin 𝜃
= sin2 𝜃
2+2 cos 𝜃 1 +2 sin 𝜃 cos 𝜃 sin2 𝜃 + cos 2 𝜃 = 1
sin 𝜃
= sin2 𝜃
1+2 sin 𝜃 cos 𝜃
2 + 2 cos 𝜃 =
sin 𝜃
2 sin 𝜃 + 2 sin 𝜃 cos 𝜃 = 1 + 2 sin 𝜃 cos 𝜃
2 sin 𝜃 = 1
1
sin 𝜃 = 𝜋
2 0<𝜃<2
𝜃 = 30°
1 2 2
(1+sin 𝜃) sec2 𝜃 (1+sin 30°) sec2 30° (1+ )( ) 3 4 2
ดังนัน้ cos 2𝜃
=
cos 60°
=
2
1
√3
= ( )( )( ) = 4
2 3 1
2
6. 4
หลัง arc ทุกตัวเป็ นค่าบวก → ผล arc จะได้ มมุ ใน Q1 → ใช้ สามเหลีย่ มมาช่วยคิดได้ โดยไม่ต้องระวังเรื่ อง
เครื่ องหมายบวกลบ
หา sec 2(arctan 2) :
= √22 + 12
= √5
arctan 2 2 arctan 2 2 จะได้ sec(arctan 2) = √5 1
= √5
1 1 ดังนัน้ sec 2(arctan 2) = 5
หา cosec 2 (arccot 3) :
= √12 + 32
= √10
arccot 3 1 arccot 3 1 จะได้ cosec(arccot 3) = √110 = √10
3 3
5 cos (arccos ) =
3 = √52 − 32 5 5
arccos 3 4
5 = 4 sin (arccos ) =
5 5
3
3 1 1 25
แทนใน (∗) จะได้ cosec (2 arccot 2 + arccos ) =
5 4 3 3 4 = 24 =
24
( )( )+( )( ) 25
5 5 5 5
25 360+25 385
จะได้ คาตอบที่โจทย์ถาม = 5 + 10 + 24 = 24
= 24
7. 4
จะได้ 𝐴 = arcsin (cos 𝜋3) = arcsin (12) = 30°
ดังนัน้ sin2 𝐵 + sin2(𝐴 + 𝐵) + sin2(5𝐴 + 𝐵)
= sin2 𝐵 + sin2(30° + 𝐵) + sin2 (5(30°) + 𝐵)
= sin2 𝐵 + (sin 30° cos 𝐵 + cos 30° sin 𝐵)2 + (sin 150° cos 𝐵 + cos 150° sin 𝐵)2
= sin2 𝐵 + (sin 30° cos 𝐵 + cos 30° sin 𝐵)2 + (sin 30° cos 𝐵 − cos 30° sin 𝐵)2
2 2
1 √3 1 √3
= sin2 𝐵 + (2 cos 𝐵 + 2
sin 𝐵) + (2 cos 𝐵 − 2
sin 𝐵)
cos2 𝐵 √3 cos 𝐵 sin 𝐵 3 sin2 𝐵 cos2 𝐵 √3 cos 𝐵 sin 𝐵 3 sin2 𝐵
= sin2 𝐵 + 4
+ 2
+ 4
+ 4
− 2
+ 4
2 cos2 𝐵 6 sin2 𝐵
= sin2 𝐵 + +
4 4
1−sin2 𝐵 3 sin2 𝐵
= sin2 𝐵 + 2
+ 2
2 sin2 𝐵+1−sin2 𝐵+3 sin2 𝐵
=
2
4 sin2 𝐵 + 1
= 2 ในตัวเลือก เป็ นมุมสองเท่า → จะใช้ สตู ร cos 2𝐵 = 1 − 2 sin2 𝐵 มาช่วยจัดรูป
1−cos 2𝐵
4(
2
)+1 2sin2 𝐵 = 1 − cos 2𝐵
= 2 1−cos 2𝐵
sin2 𝐵 =
2−2 cos 2𝐵+1 3 2
= 2
= 2
− cos 2𝐵
8. 2
𝑏 2 − 13𝑏 − 14 = 0
(𝑏 − 14)(𝑏 + 1) = 0
𝑏 = 14 , −1
โจทย์ให้ 𝑏 เป็ นจานวนจริงบวก
22 PAT 1 (ต.ค. 58)
9. 3
ถ้ า 𝑦 ถูกยกกาลังคู่ หรื อ อยูใ่ นค่าสัมบูรณ์ แล้ ว มักจะ ไม่ใช่ฟังก์ชนั
(เพราะ 𝑦 เป็ นลบกับบวก จะยกกาลังคูไ่ ด้ คา่ เดียวกัน ทาให้ อาจมี 𝑦 สองค่า สาหรับ 𝑥 ค่าหนึง่ ๆ)
ข้ อ 3. จะเห็นว่าข้ อ 3. มี 𝑦 2 อยู่ จึงน่าสงสัยว่าจะไม่ใช่ฟังก์ชนั
ลองให้ 𝑦 = 1 กับ −1 จะได้ 𝑥 2 = √(±1)2 + 1 = √1 + 1 = √2
𝑥 = ±√√2 → หาค่า 𝑥 ได้
ดังนัน้ จะมี 𝑥 หนึง่ ค่าทีจ่ บั คูก่ บั 𝑦 สองค่า เช่น (√√2, 1) กับ (√√2, −1) → ข้ อ 3. ไม่เป็ นฟั งก์ชนั
ข้ อ 2. tan เป็ น “ฟั งก์ชนั ” ตรี โกณมิติ → จึงเป็ นฟังก์ชนั โดยอัตโนมัติ
ข้ อ 1. กับ ข้ อ 4. วาดกราฟ
𝑥𝑦 + 1 = 0 𝑦 = |2 − 𝑥|
𝑥𝑦 = −1 𝑦 = |𝑥 − 2| → เป็ นตัววีหกั ที่ (2, 0)
𝑦
ข้ อ 5. พิสจู น์ได้ โดยสมมติให้ (𝑥1 , 𝑦1 ) และ (𝑥2 , 𝑦2 ) สอดคล้ องกับความสัมพันธ์ 𝑥2 =
𝑦+1
ถ้ า 𝑥1 = 𝑥2
ยกกาลังสองทังสองข้
้ าง
𝑥12 = 𝑥22 จะได้ 𝑥12 = 𝑦𝑦+1
1
และ 𝑥22 = 𝑦𝑦+1
2
1 2
𝑦1 𝑦2
𝑦1 +1
= 𝑦2 +1
𝑦1 𝑦2 + 𝑦1 = 𝑦1 𝑦2 + 𝑦2
𝑦1 = 𝑦2
10. 5
จัดรูปวงกลม 𝑥 2 + 𝑦 2 + 𝑎𝑥 − 6𝑦 − 12 = 0
(𝑥 2 + 𝑎𝑥) + (𝑦 2 − 6𝑦) = 12 เติม ล2 เพื่อเข้ าสูตรกาลังสองสมบูรณ์
𝑎 2 𝑎 2 น2 + 2นล + ล2 = (น + ล)2
(𝑥 2 + 𝑎𝑥 + (2 ) ) + (𝑦 2 − 6𝑥𝑦 + 32 ) = 12 + (2 ) + 32
𝑎 2 𝑎2
(𝑥 + ) + (𝑦 − 3)2 = 21 +
2 4
𝑎
จะได้ วงกลมมีจดุ ศูนย์กลางคือ (− 2 , 3) …(∗) ระยะจาก (𝑎, 𝑏) ไปยังเส้ นตรง 𝐴𝑥 + 𝐵𝑦 + 𝐶 = 0
|𝐴𝑎+𝐵𝑏+𝐶|
หาได้ จากสูตร √𝐴2 +𝐵2
𝑎
𝑎 |4(− )+3(3)−71| |−2𝑎−62|
จะได้ ระยะจาก (− 2 , 3) ไปยังเส้ นตรง 4𝑥 + 3𝑦 = 71 เท่ากับ 2
√4 2 +32
= 5
4𝑥 + 3𝑦 − 71 = 0
แต่โจทย์ให้ ระยะจากจุดศูนย์กลางไปยังเส้ นตรง = 14 ดังนัน้ |−2𝑎−62|
5
= 14
|−2𝑎 − 62| = 70
−2𝑎 − 62 = 70 , −70
−2𝑎 = 132 , −8
𝑎 = −66 , 4
4
แต่โจทย์ให้ 𝑎 > 0 ดังนัน้ จะได้ 𝑎 = 4 แทนใน (*) จะได้ จดุ ศูนย์กลางวงกลมคือ (− 2 , 3) = (−2, 3)
ดังนัน้ พาราโบลา มี F(−2, 3) และมีเส้ นไดเรคตริกซ์ คือ 𝑦 = 7 จะวาดได้ ดงั รูป
จุดยอด V จะอยูต่ รงกลาง ระหว่าง F และ เส้ นไดเรคตริกซ์ ดังนัน้ จะได้ พิกดั 𝑦=7
ของจุดยอดคือ V(−2, 3+7 2
) = V(−2, 5) → จะได้ ℎ = −2 และ 𝑘 = 5 V( ℎ , 𝑘 )
𝑐
และจะได้ ระยะโฟกัส 𝑐 = 5 − 3 = 2 F(−2, 3)
แทนในรูปสมการของพาราโบลาคว่า (𝑥 − ℎ)2 = −4𝑐(𝑦 − 𝑘)
2
(𝑥 − (−2)) = −4(2)(𝑦 − 5)
(𝑥 + 2)2 = −8(𝑦 − 5)
2
𝑥 + 4𝑥 + 4 = −8𝑦 + 40
𝑥 2 + 4𝑥 + 8𝑦 − 36 = 0
11. 3
จัดรูปพาราโบลา ได้ 𝑦 2 − 4𝑦 = −40𝑥 + 236
𝑦 2 − 4𝑦 + 4 = −40𝑥 + 236 + 4
(𝑦 − 2)2 = −40𝑥 + 240
(𝑦 − 2)2 = −40(𝑥 − 6)
(𝑦 − 2)2 = −4(10)(𝑥 − 6) 10
V(6, 2)
F
เทียบกับ รูปสมการ (𝑦 − 𝑘)2 = −4𝑐(𝑥 − ℎ)
จะได้ พาราโบลาเปิ ดซ้ าย มีจดุ ยอด V(ℎ, 𝑘) = (6, 2)
จุดโฟกัสจะอยูห่ า่ งจากจุดยอดไปทางซ้ าย = 𝑐 = 10 → จะได้ พกิ ดั จุดโฟกัสคือ F(6 – 10, 2) = F(−4, 2)
24 PAT 1 (ต.ค. 58)
12. 3
ข้ อนี ้ จะพิจารณาเป็ นข้ อๆ และแก้ สมการเท่าที่จาเป็ น
1. ∃𝑥[𝑃(𝑥) ∧ 𝑄(𝑥)] จะจริ งเมื่อ มี 𝑥 ค่าหนึง่ ที่ทาให้ ทงั ้ 𝑃(𝑥) และ 𝑄(𝑥) เป็ นจริ ง
แก้ 𝑃(𝑥) ก่อน → จะใช้ ทฤษฎีตวั ประกอบตรรกยะและทฤษฎีเศษ หาตัวประกอบของ 8𝑥 3 − 4𝑥 − 1 ก็ได้
อีกวิธีคือ เติม +1 ให้ 8𝑥 3 เพื่อเข้ าสูตรผลบวกกาลังสาม แล้ วจับกลุม่ ดึงตัวร่วม ดังนี ้
เติม +1 − 1 8𝑥 3 − 4𝑥 − 1 = 0
8𝑥 3 + 1 − 1 − 4𝑥 − 1 = 0
(8𝑥 3 + 1) − 4𝑥 − 2 = 0
น3 + ล3 = (น + ล)(น2 − นล + ล2 ) ((2𝑥)3 + 13 ) − 2(2𝑥 + 1) = 0
(2𝑥 + 1)(4𝑥 2 − 2𝑥 + 1) − 2(2𝑥 + 1) = 0
ดึง 2𝑥 + 1 เป็ นตัวร่วม (2𝑥 + 1)(4𝑥 2 − 2𝑥 + 1 − 2) = 0
(2𝑥 + 1)(4𝑥 2 − 2𝑥 − 1) = 0
−𝑏±√𝑏 2 −4𝑎𝑐
1 −(−2)±√(−2)2 −4(4)(−1) 2𝑎
𝑥= −2 𝑥= 2(4)
2±√20 1±√5
= 8
= 4
1±√5 1
แต่ 4
เป็ นอตรรกยะ ไม่อยูใ่ นเอกภพสัมพัทธ์ ดังนัน้ มี 𝑥 = −2 เพียงค่าเดียว ที่ทาให้ 𝑃(𝑥) เป็ นจริ ง
PAT 1 (ต.ค. 58) 25
1 1 4 1 2 1 1 1
ถ้ าลองแทน 𝑥=−
2
ใน 𝑄(𝑥) ดู จะได้ 8 (− ) − 8 (− ) + (− ) + 1 =
2 2 2 2
−2− +1
2
= −1 ≠ 0 → เป็ นเท็จ
ดังนัน้ จะไม่มี 𝑥 ตัวไหนเลย ที่ทาให้ ทงั ้ 𝑃(𝑥) และ 𝑄(𝑥) เป็ นจริ ง → ข้ อ 1. เป็ นเท็จ
2. ∀𝑥[𝑄(𝑥) → 𝑅(𝑥)] จะเป็ นจริ งเมื่อ 𝑥 ทุกตัวที่ทาให้ 𝑄(𝑥) เป็ นจริ ง จะทาให้ 𝑅(𝑥) เป็ นจริ งด้ วย
แก้ หา 𝑄(𝑥) → จับกลุม่ ดึงตัวร่วม แล้ วเติม −1 + 1 คล้ ายๆแบบเดิมได้ ดังนี ้
8𝑥 4 − 8𝑥 2 + 𝑥 + 1 = 0
2 (𝑥 2 (𝑥
น2 − ล2 = (น − ล)(น + ล) 8𝑥 − 1) + + 1) = 0
8𝑥 2 (𝑥 − 1)(𝑥 + 1) + (𝑥 + 1) = 0
ดึง 𝑥 + 1 เป็ นตัวร่วม (𝑥 + 1)(8𝑥 2 (𝑥 − 1) + 1) = 0
(𝑥 + 1)(8𝑥 3 − 8𝑥 2 + 1) = 0
เติม −1 + 1 3 2
(𝑥 + 1)(8𝑥 − 1 + 1 − 8𝑥 + 1) = 0
(𝑥 + 1)(8𝑥 3 − 1 − 8𝑥 2 + 2) = 0
น3 − ล3 = (น − ล)(น2 + นล + ล2 ) (𝑥 + 1)((8𝑥 − 1) − 2(4𝑥 2 − 1)) = 0
3
𝑥 = −1 𝑥=2
1 เหมือนตัวประกอบของ 𝑃(𝑥)
→ ไม่มีคาตอบที่เป็ นตรรกยะ
1
ดังนัน้ มี 𝑥 = −1 , 2 สองค่าที่ทาให้ 𝑄(𝑥) เป็ นจริ ง
ลองแทนว่าจะทาให้ 𝑅(𝑥) เป็ นจริ งทังสองตั
→ ้ วหรื อไม่
𝑥 = −1 : (−1)3 + (−1)2 = −1 + 1 = 0 → ไม่มากกว่า 0 → ทาให้ 𝑅(𝑥) เป็ นเท็จ
จะเห็นว่า 𝑥 = −1 ทาให้ 𝑄(𝑥) เป็ นจริ ง แต่ทาให้ 𝑅(𝑥) เป็ นเท็จ → ไม่ต้องแทนต่อ → สรุปได้ เลยว่า 2. ผิด
3. ∀𝑥[𝑃(𝑥) → 𝑅(𝑥)] จะเป็ นจริ งเมื่อ 𝑥 ทุกตัวที่ทาให้ 𝑃(𝑥) เป็ นจริ ง จะทาให้ 𝑅(𝑥) เป็ นจริ งด้ วย
จากข้ อ 1. จะได้ 𝑥 = − 12 เป็ นค่าเดียวที่ทาให้ 𝑃(𝑥) เป็ นจริ ง → ลองแทนว่าจะทาให้ 𝑅(𝑥) เป็ นจริ งหรื อไม่
1 1 3 1 2 1 1 −1+2
𝑥 = − 2 : (− 2) + (− 2) = − 8 + 4 = 8
> 0 → 𝑅(𝑥) เป็ นจริ ง → ข้ อ 3. ถูก
13. 1
1 2𝑥 3 1 𝑥 +1−2𝑥 2 3
−2𝑥 +𝑥 +1 3 2
จัดให้ อยูใ่ นรูปเศษส่วน จะได้ √1−𝑥 (1 − 𝑥 2 +1) = 1−𝑥 ( 𝑥 2 +1 ) = 1−𝑥 (𝑥2 +1)
√ √
ซึง่ ถ้ าแทน 𝑥 = 1 จะได้ 00 ดังนัน้ ทังเศษและส่
้ วน ต้ องมี 𝑥 − 1 เป็ นตัวประกอบ
เอาเศษ มาหารสังเคราะห์ ด้ วย 𝑥 − 1 จะได้ ผลหาร −2𝑥 2 − 𝑥 − 1 ดังรูป
1 −2 1 0 1
−2𝑥 3 +𝑥 2 +1 (𝑥−1)(−2𝑥 2 −𝑥−1) −(1−𝑥)(−2𝑥 2 −𝑥−1)
−2 −1 −1 ดังนัน้ √1−𝑥 (𝑥 2 +1)
=
√1−𝑥 (𝑥 2 +1)
=
√1−𝑥 (𝑥 2 +1)
−2 −1 −1 0 2
−(√1−𝑥) (−2𝑥 2 −𝑥−1)
=
√1−𝑥 (𝑥 2 +1)
ตัด √1 − 𝑥 ทังเศษและส่
้ วน −√1−𝑥 (−2𝑥 2 −𝑥−1)
= (𝑥 2 +1)
−√1−1 (–2(12 )−1−1) −(0)(–2(12 )−1−1)
แทน 𝑥 = 1 ใหม่ จะได้ (12 +1)
= 2
= 0
26 PAT 1 (ต.ค. 58)
14. 1
หาความชันชองเส้ นโค้ ง 𝑦 = 2 + 𝑥|𝑥 − 1| ณ จุด (0, 2) ก่อน
บริ เวณจุด (0, 2) มีคา่ 𝑥 ประมาณ 0 ซึง่ จะทาให้ 𝑥 − 1 เป็ นลบ ดังนัน้ |𝑥 − 1| = −(𝑥 − 1)
จะได้ ที่บริ เวณ (0, 2) สมการเส้ นโค้ งคือ 𝑦 = 2 + 𝑥(−(𝑥 − 1)) เมื่อ 𝐴 ≥ 0
= 2 − 𝑥2 + 𝑥 |𝐴| = { 𝐴
−𝐴 เมื่อ 𝐴 < 0
ดิฟ 𝑦 จะได้ ความชัน บริ เวณ (0, 2) คือ 𝑦 ′ = 0 − 2𝑥 + 1
ดังนัน้ ความชัน ณ จุด (0, 2) → แทน 𝑥 = 0 จะได้ 𝑦 ′ = 0 − 2(0) + 1 = 1 ดังนัน้ เส้ นตรง 𝐿 มีความชัน = 1
เนื่องจาก เส้ นตรง 𝑁 ตังฉากกั
้ บเส้ นตรง 𝐿 → ความชัน 𝑁 กับ 𝐿 ต้ องคูณกันได้ −1
→ จะได้ เส้ นตรง 𝑁 มีความชัน = −1 (เพราะ −1 × 1 = −1)
เนื่องจากเส้ นตรง 𝑁 ผ่านจุด (0, 2) ด้ วย → ใช้ สตู ร 𝑦−𝑦
𝑥−𝑥
1 𝑦−2
= 𝑚 จะได้ สมการเส้ นตรง 𝑁 คือ 𝑥−0 = −1
1
𝑦 − 2 = −𝑥
𝑥+𝑦 = 2
ดังนัน้ จุดทีจ่ ะอยูบ่ นเส้ นตรง 𝑁 ได้ ต้ องแทนในสมการ 𝑥 + 𝑦 = 2 แล้ วเป็ นจริ ง
1. −1 + 3 = 2 จริ ง 2. 1 + 5 ≠ 2 3. −2 + 5 ≠ 2
4. 3 + (−2) ≠ 2 5. −3 + 4 ≠ 2
จะเห็นว่ามีข้อ 1. ข้ อเดียว ที่อยูบ่ นเส้ นตรง 𝑁
15. 2
(ก) จะหา 𝑓(𝑥) และ 𝑓 ′ (𝑥) แล้ ว แทน 𝑥 = 4
2𝑥 2𝑥
จาก 𝑓 −1(𝑥) = 𝑥+1 ย้ ายข้ าง 𝑓 −1 ไปเป็ น 𝑓 อีกข้ าง จะได้ 𝑥 = 𝑓(
𝑥+1
)
2𝑥
𝑘 ให้ 𝑘 =
𝑥+1
− = 𝑓( 𝑘 )
𝑘−2
𝑘𝑥 + 𝑘 = 2𝑥
𝑘𝑥 − 2𝑥 = −𝑘
𝑥(𝑘 − 2) = −𝑘
𝑘
𝑥 𝑥 =−
เปลีย่ นชื่อตัวแปร 𝑘 เป็ น 𝑥 จะได้ 𝑓(𝑥) = − 𝑥−2 …(∗) 𝑘−2
(𝑥−2)(1)−(𝑥)(1)
ดังนัน้ 𝑓 ′ (𝑥) = − (𝑥−2)2 𝑑 𝑑
𝑑 บน (ล่าง ∙ บน)−(บน ∙ 𝑑𝑥 ล่าง)
𝑑𝑥
=
𝑥−2 − 𝑥
− (𝑥−2)2 𝑑𝑥
(ล่าง) = (ล่าง)2
2
= (𝑥−2)2
…(∗∗)
4
จาก (∗) จะได้ 𝑓(4) = − 4−2 = −2 1
2 1 ดังนัน้ 2𝑓 ′ (4) − 𝑓(4) = 2 ( ) − (−2) = 3 → (ก) ถูก
จาก (∗∗) จะได้ 𝑓 ′(4) = (4−2)2 = 2
2
𝑑 𝑑
(ข) ดิฟ (∗∗) จะได้ 𝑓 ′′ (𝑥) = 𝑑𝑥
2(𝑥 − 2)−2 = −4(𝑥 − 2)−3 ∙ 𝑑𝑥 (𝑥 − 2)
= −4(𝑥 − 2)−3 ∙ 1
4
จากข้ อ (ก) = − (𝑥−2)3 …(∗∗∗)
4 1
ดังนัน้ 𝑓 ′′ (𝑓(4)) = 𝑓 ′′ (−2) = − (−2−2)3 =
16
4 1 −
1
−
1
1 ไม่เท่ากัน → (ข) ผิด
และ 𝑓(𝑓 ′′ (4))
= 𝑓 (− (4−2)3 ) = 𝑓 (− 2) = − 1
2
= − 2
5 = −5
− −2 −
2 2
จาก (∗∗∗)
PAT 1 (ต.ค. 58) 27
16. 4
จาก |𝐴⃗| = |𝐵⃗⃗| จะได้ |16𝑖̅ + 𝑎𝑗̅| = |8𝑖̅ + 𝑏𝑗̅|
√162 + 𝑎2 = √82 + 𝑏 2
256 + 𝑎2 = 64 + 𝑏 2 …(∗)
และจากสูตร 𝐴⃗ ∙ 𝐵 ⃗⃗ = |𝐴⃗||𝐵
⃗⃗| cos 𝜃 จาก |𝐴⃗| = |𝐵⃗⃗|
(16𝑖̅ + 𝑎𝑗̅) ∙ (8𝑖̅ + 𝑏𝑗̅) = |𝐴⃗||𝐴⃗| cos 60° และ 𝐵⃗⃗ ทามุม 60° กับ 𝐴⃗
2 1
(16)(8) + 𝑎𝑏 = |𝐴⃗| ∙ 2
2 1
128 + 𝑎𝑏 = √162 + 𝑎2 ∙ 2
256 + 2𝑎𝑏 = 256 + 𝑎2
0 = 𝑎2 − 2𝑎𝑏
0 = 𝑎(𝑎 − 2𝑏)
𝑎 = 0 หรื อ 𝑎 = 2𝑏
แทนแต่ละแบบใน (∗) กรณี 𝑎 = 0 : กรณี 𝑎 = 2𝑏 :
256 + 02 = 64 + 𝑏 2 256 + (2𝑏)2 = 64 + 𝑏 2
192 = 𝑏2 256 + 4𝑏 2 = 64 + 𝑏 2
±√192 = 𝑏 3𝑏 2 = −192
ไม่มีคาตอบ (3𝑏2 เป็ นลบไม่ได้ )
ดังนัน้ มีคาตอบเดียว คือ 𝑎=0 และ 𝑏 = ±√192
2 2
จะได้ (𝑎 + 𝑏)2 = (0 + (±√192)) = (±√192) = 192
17. 3
มีคนทังหมด
้ 8 คน ดังนัน้ จะได้ จานวนแบบทังหมด ้ = 8!
“หรื อ” คือ “ยูเนียน” ดังนัน้ จานวนแบบที่โจทย์ต้องการ จะหาได้ จากสูตร 𝑛(𝐴 ∪ 𝐵) = 𝑛(𝐴) + 𝑛(𝐵) − 𝑛(𝐴 ∩ 𝐵)
นัน่ คือ จานวนแบบที่ไม่มี ช ติดกัน หรื อ ไม่มี ญ ติดกัน = จานวนแบบที่ไม่มี ช ติดกัน + จานวนแบบที่ไม่มี ญ ติดกัน
− จานวนแบบที่ไม่มี ช ไม่ติดกัน และไม่มี ญ ติดกัน
จานวนแบบที่ไม่มี ช ติดกัน → ขันที ้ ่ 1 : เอา ญ ทัง้ 4 คนมาเข้ าแถวปั กเป็ นหลักไว้ ก่อน ได้ 4! แบบ
→ ขันที้ ่ 2 : จะเหลือช่องให้ ช เข้ าไปแทรกได้ 5 จุด ดังรูป
ดังนัน้ ช1 เลือกยืนได้ 5 แบบ __ ญ __ ญ __ ญ __ ญ __
ช2 จะยืนได้ 4 แบบ (เพราะ ช ห้ ามยืนติดกัน)
ข3 ยืนได้ 3 แบบ และ ช4 ยืนได้ 2 แบบ
รวมจะได้ จานวนแบบที่ ช ไม่ติดกัน = 4! × 5 × 4 × 3 × 2 = 4! 5! แบบ
จานวนแบบที่ไม่มี ญ ติดกัน → คิดแบบเดิม แต่เอา ช ทัง้ 4 ไปยืนเข้ าแถวปักเป็ นหลักไว้ ก่อน แล้ วเอา ญ เข้ าไปแทรก
จะได้ จานวนแบบที่ ญ ไม่ติดกัน = 4! 5! แบบ เหมือนอันแรก
28 PAT 1 (ต.ค. 58)
จานวนแบบทีไ่ ม่มี ช ไม่ติดกัน และไม่มี ญ ติดกัน → ขันที้ ่ 1 : เลือกใครก็ได้ มายืนตาแหน่งแรก ได้ 8 แบบ
→ ขันที
้ ่ 2 : ตาแหน่งที่ 2 ต้ องเป็ นคนละเพศกับตาแหน่งแรก
จะมีคนทีเ่ ป็ นเพศตรงข้ ามให้ เลือกได้ 4 คน
→ ขันที
้ ่ 3 : ตาแหน่งที่ 3 ต้ องเป็ นคนละเพศกับตาแหน่งที่ 2 แต่ต้องไม่
ซ ้ากับคนตาแหน่งที่ 1 จะเหลือให้ เลือกได้ 3 คน
ทาแบบนี ้ไปเรื่ อยๆ จะได้ จานวนแบบของแต่ละตาแหน่งคือ 8 4 3 3 2 2 1 1
จะได้ จานวนแบบ = 8 ∙ 4! 3!
18. 4
(ก) ถ้ า 𝑥 ≤ 0 จะได้ 𝑓(𝑥) ต้ องใช้ สตู รบน จะได้ 𝑓(𝑥) = √9 − 𝑥
ดังนัน้ (𝑔 ∘ 𝑓)(𝑥) = 𝑔(𝑓(𝑥)) = 𝑔(√9 − 𝑥)
และเนื่องจาก 𝑥 ≤ 0 จะได้ −𝑥 ≥ 0
9−𝑥 ≥ 9
√9 − 𝑥 ≥ 3 → ดังนัน้ 𝑔(√9 − 𝑥) ต้ องใช้ สตู รล่าง 𝑔(𝑥) = 𝑥 − 4
จะได้ 𝑔(√9 − 𝑥) = √9 − 𝑥 − 4 → (ก) ถูก
(ข) ถ้ า 4 < 𝑥 ≤ 6 จะได้ 𝑓(𝑥) ต้ องใช้ สตู รล่าง จะได้ 𝑓(𝑥) = 7 − 𝑥
ดังนัน้ (𝑔 ∘ 𝑓)(𝑥) = 𝑔(𝑓(𝑥)) = 𝑔(7 − 𝑥)
และเนื่องจาก 4 < 𝑥 ≤ 6 จะได้ −4 > −𝑥 ≥ −6
7−4 > 7−𝑥 ≥ 7−6
3 > 7−𝑥 ≥ 1
→ ดังนัน้ 𝑔(7 − 𝑥) ต้ องใช้ สตู รล่าง 𝑔(𝑥) = 𝑥 − 4
จะได้ 𝑔(7 − 𝑥) = 7 − 𝑥 − 4 = 3−𝑥 → (ข) ถูก
19. 2
ให้ 𝑧 = 𝑥 + 𝑦i จะได้ 𝑧̅ = 𝑥 − 𝑦i → จะได้ 𝑧̅ − 𝑧 = (𝑥 − 𝑦i) − (𝑥 + 𝑦i)
= 𝑥 − 𝑦i − 𝑥 − 𝑦i
= −2𝑦i
PAT 1 (ต.ค. 58) 29
(9−7i)(−2𝑦i)
แทนในสมการ จะได้ (1 + i)(𝑥 − 𝑦i) − = 6 − 2i
3+i คูณ 3 + i ตลอด
(3 + i)(1 + i)(𝑥 − 𝑦i) −(9 − 7i)(−2𝑦i) = (6 − 2i)(3 + i)
( 2 + 4i )( 𝑥 − 𝑦i) + 18𝑦i + 14𝑦 = 20 + 0i
2𝑥 − 2𝑦i + 4𝑥i + 4𝑦 + 18𝑦i + 14𝑦 = 20
2𝑥 + 18𝑦 + (4𝑥 + 16𝑦)i = 20 + 0i
หาร 2 ตลอด
𝑥 + 9𝑦 + (2𝑥 + 8𝑦)i = 10 + 0i
เทียบส่วนจริง กับส่วนจินตภาพของทังสองฝั
้ ่ง จะได้ 𝑥 + 9𝑦 = 10 …(1) และ 2𝑥 + 8𝑦 = 0
𝑥 + 4𝑦 = 0 …(2)
(1) − (2) : 5𝑦 = 10
𝑦 = 2 → แทนใน (2) : 𝑥 + 4(2) = 0
𝑥 = −8
ดังนัน้ 𝑧 = −8 + 2i
(ก) |𝑧 + 8| = |−8 + 2i + 8| = |2i| = 2 → (ก) ถูก
(ข) |𝑧 + 3i| = |−8 + 2i + 3i| = |−8 + 5i| = √(−8)2 + 52 = √89 → (ข) ผิด
(ค) |i𝑧 + 2| = |i(−8 + 2i) + 2| = |−8i − 2 + 2| = |−8i| = 8 → (ค) ถูก
20. 3
1∙23 2∙26 3∙29 4∙212
แทนหาพจน์แรกๆดู จะได้ 𝑎𝑛 = 33
+ 35
+ 37
+ 39
+⋯
n 1
3
เป็ นอนุกรมผสม เลขคณิต เรขาคณิต (𝑟 = 232) ต้ องใช้ เทคนิค คูณ 𝑟 เพื่อเลือ่ นพจน์ แล้ วหักกับตัวมันเอง
1∙23 8 23 8
อนุกรมเรขาคณิตอนันต์ 𝑎1 = 33
= 27 และ 𝑟 = 32 = 9
𝑎1
เนื่องจาก |𝑟| < 1 ดังนัน้ อนุกรมลูเ่ ข้ า และ 𝑆∞ = 1−𝑟
8
27 8
8 = 𝑥 − 9𝑥
1−
9
8 9 1
∙
27 1
= 9
𝑥
24 = 𝑥
21. 1
ข้ อมูลชุดที่ 2 จะได้ จากการเอาข้ อมูลชุดที่ 1 มา ลบ 4 → คูณ 2 → บวก 4 ตามลาดับ ดังรูป
𝑥1 + 4 , 𝑥2 + 4 , … , 𝑥20 + 4
ลบ 4
𝑥1 , 𝑥2 , … , 𝑥20
คูณ 2
2𝑥1 , 2𝑥2 , … , 2𝑥20
บวก 4
2𝑥1 + 4 , 2𝑥2 + 4 , … , 2𝑥20 + 4
30 PAT 1 (ต.ค. 58)
22. 4
จากสูตร สัมประสิทธิ์การแปรผัน =
𝑠
𝑥̅
จะได้ 𝑠
𝑥̅
= 25% =
25
100
=
1
4
→ คูณไขว้ จะได้ 4𝑠 = 𝑥̅ …(∗)
พื ้นที่ที่ใช้ เปิ ดตาราง จะเป็ นพื ้นทีท่ ี่วดั จากแกนกลาง = 0.5 − 0.1587
จะได้ พื ้นที่ที่ใช้ เปิ ดตารางคือ 0.5 – 0.1587 = 0.3413 ดังรูป = 0.3413
𝑠 = 85 − 𝑥̅ จาก (∗)
𝑠 = 85 − 4𝑠
5𝑠 = 85
𝑠 = 17 → แทนใน (∗) จะได้ 𝑥̅ = 4(17) = 68
23. 5
จะเห็นว่า 1 + 21 + 22 + 23 + … + 2𝑛 เป็ นอนุกรมเรขาคณิต ที่มี 𝑎1 = 1 และ 𝑟=2
1 พจน์ 𝑛 พจน์ แต่มีจานวนพจน์ = 𝑛 + 1 พจน์
𝑎1 (1−𝑟 𝑛 )
1(1−2𝑛+1 ) 𝑆𝑛 =
จากสูตรอนุกรมเรขาคณิต จะได้ 1
1+2 +2 +2 +…+2 2 3 𝑛
= 1−2
1−𝑟
= 2𝑛+1 − 1
2𝑛+1 − 1
แทนใน 𝑎𝑛 ที่โจทย์ให้ จะได้ 𝑎𝑛 = 32𝑛
PAT 1 (ต.ค. 58) 31
22 4 1 1
อนุกรมเรขาคณิตอนันต์ 𝑎1 =
32
=
9
𝑎1 =
32
=
9
𝑎1 1 1
|𝑟| < 1 → 𝑆∞ = 𝑟 =
2
=
2
𝑟 = =
1−𝑟 32 9
32 9
4 1
9 9
= ( 2 )−( 1 )
1− 1−
9 9
4 9 1 9
= ( ∙
9 7
)−( ∙
9 8
)
4 1 25
= − =
7 8 56
24. 4
จาก 𝐴 = { 𝑥 2 | 𝑥 ∈ 𝕀 ∩ 𝐷𝑟 } → จะหา 𝐴 ได้ ต้ องหา 𝐷𝑟 ก่อน
𝑥 2 +2
จาก 𝑦=
√4−𝑥 − √2𝑥+1
→ ในรูทห้ ามติดลบ และ ส่วนห้ ามเป็ น 0
4−𝑥 ≥ 0 2𝑥 + 1 ≥ 0 √4 − 𝑥 − √2𝑥 + 1 ≠ 0
4 ≥ 𝑥 1
𝑥 ≥ −2 √4 − 𝑥 ≠ √2𝑥 + 1
4−𝑥 ≠ 2𝑥 + 1
3 ≠ 3𝑥
1 ≠ 𝑥
1
จะได้ −2 ≤ 𝑥 ≤ 4 และ 𝑥 ≠ 1
𝕀 ∩ 𝐷𝑟 คือเอาเฉพาะจานวนเต็ม → เหลือ 0, 2, 3, 4
จะได้ 𝐴 = { 02 , 22 , 32 , 42 } ดังนัน้ ผลบวกสมาชิกของ 𝐴 = 02 + 22 + 32 + 42 = 29
32 PAT 1 (ต.ค. 58)
25. 5
หาจุดตัดแกนของเส้ นตรง วาดกราฟ และแทนจุดที่ไม่ได้ อยูบ่ นเส้ นกราฟ (0, 0) เพื่อแรเงา จะได้ ดงั รูป
L1 : 𝑥 + 2𝑦 ≤ 4 L2 : 𝑥 − 𝑦 ≤ 1 L3 : 𝑥 + 𝑦 ≥ 1
𝑥 ≥ 0 และ
จุดตัดแกน 𝑥 0 4 จุดตัดแกน 𝑥 0 1 จุดตัดแกน 𝑥 0 1
𝑦 1 0 𝑦 ≥ 0
𝑦 2 0 𝑦 −1 0
จุด (0, 0) → อสมการเป็ นจริง จุด (0, 0) → อสมการเป็ นจริง จุด (0, 0) → อสมการเป็ นเท็จ คือ บริเวณใน Q1
แรเงาส่วนซ้ ายล่างที่มี (0, 0) แรเงาส่วนซ้ ายบนที่มี (0, 0) แรเงาส่วนขวาบนที่ไม่มี (0, 0)
L2
L1
L3
26. 4
จาก 𝐴𝐵−1 = 𝐵−1 𝐴 คูณ 𝐵 ทางขวาทังสองฝั
้ ่ง เพื่อตัดกับ 𝐵−1 ฝั่งซ้ าย
𝐴𝐵−1 𝐵 = 𝐵−1 𝐴𝐵
𝐴 = 𝐵−1 𝐴𝐵 คูณ 𝐵 ทางซ้ ายทังสองฝั
้ ่ง เพื่อตัดกับ 𝐵−1 ฝั่งขวา
𝐵𝐴 = 𝐵𝐵−1 𝐴𝐵
𝐵𝐴 = 𝐴𝐵
PAT 1 (ต.ค. 58) 33
1 2 𝑎 𝑏 𝑎 𝑏 1 2 1 2 𝑎 𝑏
แทน 𝐴=[
2 1
] และ 𝐵=[ ] ใน 𝐵𝐴 = 𝐴𝐵 จะได้ [ ] [ ] = [ ] [ ]
𝑐 𝑑 𝑐 𝑑 2 1 2 1 𝑐 𝑑
𝑎 + 2𝑏 2𝑎 + 𝑏 𝑎 + 2𝑐 𝑏 + 2𝑑
[ ]= [ ]
𝑐 + 2𝑑 2𝑐 + 𝑑 2𝑎 + 𝑐 2𝑏 + 𝑑
𝑎 + 2𝑏 = 𝑎 + 2𝑐 2𝑎 + 𝑏 = 𝑏 + 2𝑑
𝑏 = 𝑐 𝑎 = 𝑑
𝑎 + 2𝑏 2𝑎 + 𝑏 𝑎 + 2𝑐 𝑏 + 2𝑑
เทียบสมาชิกแต่ละตัว จะได้ [ ] = [ ]
𝑐 + 2𝑑 2𝑐 + 𝑑 2𝑎 + 𝑐 2𝑏 + 𝑑
𝑐 + 2𝑑 = 2𝑎 + 𝑐 2𝑐 + 𝑑 = 2𝑏 + 𝑑
𝑑 = 𝑎 𝑐 = 𝑏
จะสรุปได้ วา่ 𝑏 = 𝑐 และ 𝑎 = 𝑑 → แทนในข้ อมูลที่โจทย์ให้
จาก det(𝐴𝑡 𝐵) = −24 กระจาย det ในการคูณ จาก 𝑎𝑏𝑐𝑑 = 9 𝑎=𝑑, 𝑏=𝑐
𝑡 2 2
(det 𝐴 )(det 𝐵) = −24 𝑡
det 𝐴 = det 𝐴
𝑐 𝑑 = 9
(det 𝐴 )(det 𝐵) = −24 𝑐 2 (𝑐 2 + 8) = 9
1 2 𝑎 𝑏 𝑐 4 + 8𝑐 2 − 9 = 0
| | | | = −24
2 1 𝑐 𝑑 (𝑐 2 + 9)(𝑐 2 − 1) = 0
(1 − 4)(𝑎𝑑 − 𝑏𝑐) = −24
𝑎𝑑 − 𝑏𝑐 = 8 𝑐 2 = −9 𝑐2 = 1
𝑎=𝑑, 𝑏=𝑐
𝑑2 − 𝑐 2 = 8 (ไม่มีคาตอบ) 𝑐 = 1 , −1
𝑑2 = 𝑐2 + 8 (𝑐 2 เป็ นลบไม่ได้ )
โจทย์ให้ 𝑎, 𝑏, 𝑐, 𝑑
เป็ นบวก
จะได้ 𝑐 = 1 → แทนใน 𝑑2 = 𝑐 2 + 8 = 12 + 8 = 9 → จะได้ 𝑑 = 3
ดังนัน้ 𝑎 = 𝑑 = 3 และ 𝑏 = 𝑐 = 1 → จะได้ 𝑎 + 𝑏 + 𝑐 + 𝑑 = 3 + 1 + 3 + 1 = 8
27. 3
(ก) สังเกตว่า |𝑎̅ − 𝑏̅| ทางซ้ าย คือขนาดของเวกเตอร์ 𝑎̅ − 𝑏̅ จะเป็ นบวกเสมอ
แต่ |𝑎̅| − |𝑏̅| ทางขวา มีโอกาสเป็ นลบได้ ถ้ า 𝑎̅ ยาวกว่า 𝑏̅
ดังนัน้ ถึง 𝑎̅ จะขนานกับ 𝑏̅ แต่ถ้า 𝑎̅ ยาวกว่า 𝑏̅ จะทาให้ |𝑎̅ − 𝑏̅| ≠ |𝑎̅| − |𝑏̅| → (ก) ผิด
(ข) จาก |𝑎̅ + 𝑏̅|2 = |𝑎̅|2 + |𝑏̅|
2
2 2 2
2 2 |𝑢̅ + 𝑣| = |𝑢̅| + |𝑣̅ | + 2𝑢̅ ∙ 𝑣̅
|𝑎̅|2 + |𝑏̅| + 2𝑎̅ ∙ 𝑏̅ = |𝑎̅|2 + |𝑏̅|
2𝑎̅ ∙ 𝑏̅ = 0
𝑎̅ ∙ 𝑏̅ = 0
เนื่องจาก 𝑎̅ และ 𝑏̅ ไม่เป็ นเวกเตอร์ ศนู ย์ ถ้ า 𝑎̅ ∙ 𝑏̅ = 0 จะสรุปได้ วา่ 𝑎̅ ⊥ 𝑏̅ → (ข) ถูก
(ค) จาก 𝑎̅ + 𝑏̅ ⊥ 𝑎̅ − 𝑏̅ จะสรุปได้ วา่ (𝑎̅ + 𝑏̅) ∙ (𝑎̅ − 𝑏̅) = 0 เวกเตอร์ ที่ตงฉากกั
ั้ น
̅ ̅ ̅ ̅
𝑎̅ ∙ 𝑎̅ − 𝑎̅ ∙ 𝑏 + 𝑏 ∙ 𝑎̅ − 𝑏 ∙ 𝑏 = 0
𝑢̅ ∙ 𝑢̅ = |𝑢̅ |2 2 จะดอทกันได้ 0
|𝑎̅|2 − |𝑏̅| = 0
2
|𝑎̅|2 = |𝑏̅|
|𝑎̅| = |𝑏̅| → (ค) ถูก
34 PAT 1 (ต.ค. 58)
28. 1
จะเห็นว่า สมการที่เกิดจากคูท่ ี่อยูต่ ิดกัน สามารถตัดตัวแปร และจัดรูปได้ ดงั นี ้
𝑎+𝑏−4 = 𝑏+𝑐+5 = 𝑐+𝑑+1 = 𝑑+𝑒−2 = 𝑒+𝑎+3
29. 2
หา 𝑥̅ → สมมติให้ แต่ละชันมี
้ คะแนนเท่ากับจุดกึง่ กลางชัน้
𝑎 + 11 7𝑎 + 53
7𝑎+53 7𝑎+53
จากตาราง จะได้ 𝑥̅ = 𝑎+11
แต่โจทย์ให้ 𝑥̅ = 5 ดังนัน้ 𝑎+11
= 5
7𝑎 + 53 = 5𝑎 + 55
2𝑎 = 2
𝑎 = 1
PAT 1 (ต.ค. 58) 35
30. 1
มีผ้ หู ญิง 60% → แสดงว่ามีผ้ ชู าย 40%
ในผู้หญิง 60% ถ้ าสมมติให้ มีผ้ หู ญิงสายตาปกติ 𝑥 %
จะมีผ้ หู ญิงสายตาผิดปกติ 60 − 𝑥 %
ในผู้ชาย 40% ถ้ าสมมติให้ มีผ้ ชู ายสายตาปกติ 𝑦 %
จะมีผ้ ชู ายสายตาผิดปกติ 40 − 𝑦 %
จะวาดได้ ดงั รูป
หญิง ผิดปกติ ผิดปกติ ทังหมด
้
ปกติ ผิดปกติ โจทย์กาหนดให้ หญิง ปกติ
=
ปกติ ทังหมด
้
60−𝑥 60−𝑥 + 40−𝑦
หญิง 𝑥 60 − 𝑥 =
𝑥 𝑥+𝑦
ชาย 𝑦 40 − 𝑦 (60 − 𝑥)(𝑥 + 𝑦) = (100 − 𝑥 − 𝑦)(𝑥)
60𝑥 + 60𝑦 − 𝑥 2 − 𝑥𝑦 = 100𝑥 − 𝑥 2 − 𝑥𝑦
60𝑥 + 60𝑦 = 100𝑥
60𝑦 = 40𝑥
2𝑥
𝑦 = 3
…(∗)
(ก) หญิง ผิดปกติ = 1.5 (ชาย ผิดปกติ)
60 − 𝑥 = 1.5 (40 − 𝑦)
2𝑥
จาก (∗)
60 − 𝑥 = 1.5 (40 − 3 )
คูณกระจาย 1.5
60 − 𝑥 = 60 − 𝑥
(ก) ถูก
หญิง ผิดปกติ ชาย ผิดปกติ
(ข) ชาย ปกติ > หญิง ปกติ (ค) >
หญิง ทังหมด
้ ชาย ทังหมด
้
𝑦 > 𝑥 60 − 𝑥 40 − 𝑦
จาก (∗) >
2
𝑥 > 𝑥 60 40 จาก (∗)
3 2𝑥
60 − 𝑥 40 −
(ข) ผิด 3
> 2
3
คูณไขว้
120 − 2𝑥 > 120 − 2𝑥
(ค) ผิด
36 PAT 1 (ต.ค. 58)
31. 230
มีนกั เรี ยน 30 คน ชอบทังสามวิ ้ ชา → วาดได้ ดงั รูป 𝑀 𝑇
ข้ อนี ้ต้ องสมมติให้ นกั เรี ยนกลุม่ นี ้ ชอบอย่างน้ อย 1 วิชา 30
จะได้ จานวนนักเรี ยนทังหมด ้ = 𝑛(𝑀 ∪ 𝑇 ∪ 𝐸)
จากสูตร Inclusive – Exclusive จะได้ 𝐸
32. 126
สังเกตว่า เราสามารถจัดรูปสมการให้ มี 3|𝑥+4| และ 3|𝑥| เป็ นตัวแปรได้ ดังนี ้
3(9 + 3|𝑥|+|𝑥+4| ) = 3|𝑥+4| + 3|𝑥|+4
3(9 + 3|𝑥| ∙ 3|𝑥+4| ) = 3|𝑥+4| + 3|𝑥| ∙ 34 ให้ 3|𝑥+4| = 𝑎
3(9 + 𝑏 ∙ 𝑎 ) = 𝑎 + 𝑏 ∙ 34 3|𝑥| = 𝑏
27 + 3𝑎𝑏 = 𝑎 + 81𝑏
3𝑎𝑏 − 𝑎 − 81𝑏 + 27 = 0
𝑎(3𝑏 − 1) − 27(3𝑏 − 1) = 0
(𝑎 − 27)(3𝑏 − 1) = 0
1
𝑎 = 27 หรื อ 𝑏 =
3
|𝑥+4| 3
3 = 3 3|𝑥| = 3 −1
|𝑥 + 4| = 3 |𝑥| = −1
𝑥+4 = 3 , −3 ไม่มีคาตอบ
𝑥 = −1 , −7
(ค่าสัมบูรณ์เป็ นลบไม่ได้ )
33. 5
โจทย์ให้ เส้ นตรง 6𝑥 − 𝑦 = 4 ตัดกับกราฟ 𝑦 = 𝑓(𝑥) ที่ 𝑥 = 2
แทน 𝑥 = 2 ในสมการเส้ นตรง จะได้ 6(2) − 𝑦 = 4
8 = 𝑦 → จะได้ จด ุ ตัดคือ (2, 8)
ดังนัน้ (2, 8) อยูบ่ นกราฟ 𝑦 = 𝑓(𝑥) ด้ วย จะได้ 𝑓(2) = 8 …(∗)
PAT 1 (ต.ค. 58) 37
𝑥 +𝑥−6 2 22 +2−6 0 0
พิจารณา lim
x 2 √1+𝑓(𝑥)−3
จะเห็นว่า ถ้ าแทน 𝑥=2 จะได้ √1+𝑓(2) − 3
=
√1+8 − 3
=
0
= lim
2𝑥+1 ดิฟลูกโซ่
1
x2 1 − 𝑑
2
(1+𝑓(𝑥)) 2 ∙
𝑑𝑥
(1+𝑓(𝑥))
2𝑥+1
= lim 1
x2 1 −
(1+𝑓(𝑥)) 2 ∙ 𝑓′ (𝑥)
2 แทน 𝑥 = 2
2(2)+1
= 1
1 −2
(1+𝑓(2)) ∙ 𝑓′ (2)
2
5 จาก (∗)
= 1
1
(1+ 8 )−2 ∙ 𝑓′ (2)
2
5 30
= 1 = 𝑓′ (2)
∙ 𝑓′ (2)
6
𝑥 +𝑥−6 2 30 30
แต่โจทย์ให้ lim
x2 √1+𝑓(𝑥)−3
= 6 ดังนัน้ 𝑓′ (2)
= 6 จะได้ 𝑓 ′ (2) =
6
= 5
34. 9.25
3
ตรงรอยต่อ 𝑥 = −1 จะได้ (−1)3 = 𝑎(−1) + 𝑏
𝑥 , 𝑥 < −1 −1 = −𝑎 + 𝑏
𝑓(𝑥) = { 𝑎𝑥 + 𝑏 , −1 ≤ 𝑥 < 1 𝑎−𝑏 = 1 …(1)
3𝑥 2 + 2 , 𝑥≥1
ตรงรอยต่อ 𝑥 = 1 จะได้ 𝑎(1) + 𝑏 = 3(12 ) + 2
𝑎 +𝑏 = 5 …(2)
(1) + (2) : 2𝑎 = 6
𝑎 = 3
แทนใน (2) : 3 + 𝑏 = 5
𝑏 = 2
𝑥3 , 𝑥 < −1
แทนค่า 𝑎, 𝑏 จะได้ 𝑓(𝑥) = { 3𝑥 + 2 , −1 ≤ 𝑥 < 1
3𝑥 2 + 2 , 𝑥≥1
2
จะหา 𝑓(𝑥)𝑑𝑥 ต้ องแบ่งเป็ น 3 ช่วงตามเงื่อนไขของ 𝑓(𝑥)
2
1 1 2
= 𝑥 3 𝑑𝑥 + 3𝑥 + 2 𝑑𝑥 + 3𝑥 2 + 2 𝑑𝑥
2 1 1
𝑥 4 −1 3𝑥 2 1 2
= 4
| + 2
+ 2𝑥 | + 𝑥 3 + 2𝑥 |
−2 −1 1
(−1)4 (−2)4 3(1)2 3(−1)2
= ( 4
− 4
) + (( 2
+ 2(1)) − ( 2
+ 2(−1))) + ((23 + 2(2)) − (13 + 2(1)))
1 3 3
= 4
− 4 + 2
+ 2 −2 +2 + 12 − 3 = 9.25
38 PAT 1 (ต.ค. 58)
35. 32
จะได้ 𝐿(𝑛) 𝑛
= log 2𝑛 ( √𝑎 )
= log 2𝑛 (𝑎1/𝑛 )
1/𝑛
= 𝑛
log 2 𝑎
log2 𝑎
= 𝑛2
1 𝑛2 1 1 1 12 22 32 102
ดังนัน้ 𝐿(𝑛)
= log2 𝑎
แทนในโจทย์ จะได้ 𝐿(1)
+ 𝐿(2) + ⋯ + 𝐿(10) = log2 𝑎
+ log + log + … log
2𝑎 2𝑎 2𝑎
12 + 22 + 32 + … + 102
= log2 𝑎
𝑛(𝑛+1)(2𝑛+1)
12 + 2 2 + 32 + … + 𝑛 2 = 10(10+1)(2(10)+1)
6
6
= log2 𝑎
5(11)(7)
= log2 𝑎
1 1 1
แต่โจทย์ให้ 𝐿(1)
+ 𝐿(2) + ⋯ + 𝐿(10) = 77 ดังนัน้ 5(11)(7)
log2 𝑎
= 77
5 = log 2 𝑎
25 = 𝑎
32 = 𝑎
36. 68
พยายามจัดรูปสิง่ ที่โจทย์กาหนดให้ ไปสูส่ งิ่ ที่โจทย์ถาม ดังนี ้
1 𝑏 0
|𝑎 4 1 | = −17
ทรานสโพส จะทาให้ หลัก 3
5 𝑎 −𝑎 ทรานสโพส → det ไม่เปลี่ยน
ตรงกับเมทริกซ์ที่โจทย์ถาม 1 𝑎 5
|𝑏 4 𝑎 | = −17
เอาหลัก 1 มาคูณ 2 แล้ ว 0 1 −𝑎 คูณ 2 ที่แถวหรือหลักหนึ่งๆ → det เป็ น 2 เท่า
สลับไปหลัก 2 จะทาให้ 2 𝑎 5
|2𝑏 4 𝑎 | = −34
หลัก 2 ตรงกับเมทริกซ์ที่ 0 1 −𝑎 สลับหลัก → det เป็ นลบของของเดิม
โจทย์ถาม 𝑎 2 5
|4 2𝑏 𝑎 | = 34
เอาหลัก 1 มาคูณ 2 ให้ คล้ าย 1 0 −𝑎 คูณ 2 ที่แถวหรือหลักหนึ่งๆ → det เป็ น 2 เท่า
กับเมทริกซ์ที่โจทย์ถาม 2𝑎 2 5
| 8 2𝑏 𝑎 | = 68
เอาหลัก 3 มาบวกให้ หลัก 1 2 0 −𝑎
ทาแบบนี ้ det ไม่เปลี่ยน
2𝑎 + 5 2 5
จะได้ เมทริกซ์ที่โจทย์ถาม
| 8 + 𝑎 2𝑏 𝑎 | = 68
2−𝑎 0 −𝑎
PAT 1 (ต.ค. 58) 39
37. -
ในลาดับเลขคณิต พจน์ที่อยูต่ ิดกัน จะเพิ่มขึ ้น 𝑑 เสมอ → นัน่ คือ 𝑎2 = 𝑎1 + 𝑑 …(1)
𝑎4 = 𝑎3 + 𝑑 …(2) บวกทัง้ 25 สมการ
𝑎6 = 𝑎5 + 𝑑 …(3)
⋮
𝑎50 = 𝑎49 + 𝑑 …(25)
𝑎2 + 𝑎4 + 𝑎6 + … + 𝑎50 = 𝑎1 + 𝑎3 + 𝑎5 + … + 𝑎49 + 25𝑑
38. 160
เลข 3 จะใช้ วิธีแบ่งกรณีนบั ส่วนเลข 1 กับเลข 2 จะใช้ วิธีนบั แบบตรงข้ าม
ต้ องมีเลข 3 อย่างมาก 2 หลัก → จะมีสามกรณีคือ “ไม่มเี ลข 3 เลย” “มีเลข 3 หนึง่ หลัก” หรื อ “มีเลข 3 สองหลัก”
กรณี ไม่มีเลข 3 เลย
มี 5 หลัก แต่ละหลักอาจเป็ นเลข 1 หรื อ 2 ได้ หลักละ 2 แบบ → จะได้ จานวนแบบทังหมด ้ = 25 = 32 แบบ
แต่โจทย์ต้องการให้ มีเลข 1 อย่างน้ อย 1 หลัก และเลข 2 อย่างน้ อย 1 หลัก (คือต้ องมีทงเลข ั ้ 1 และ เลข 2)
จะเห็นว่าใน 32 แบบนี ้ จะมีแบบที่ใช้ ไม่ได้ อยู่ 2 แบบ คือ 1 ทังหมด้ กับ 2 ทังหมด
้ (11111 กับ 22222)
ดังนัน้ จะเหลือจานวนแบบที่ “มีทงเลข ั ้ 1 และ เลข 2” อยู่ = 32 − 2 = 30 แบบ
กรณี มีเลข 3 หนึง่ หลัก
ขันที
้ ่ 1: เลือกตาแหน่งให้ เลข 3 → มี 5 หลัก จะเลือกได้ 5 แบบ
ขันที
้ ่ 2: ที่เหลือ 4 หลัก แต่ละหลักอาจเป็ นเลข 1 หรื อ 2 ได้ หลักละ 2 แบบ
จะได้ จานวนแบบทังหมด ้ = 24 = 16 แบบ
หักแบบที่ใช้ ไม่ได้ 2 แบบ (คือ 1 ทังหมด
้ กับ 2 ทังหมด)
้ เหลือ = 16 − 2 = 14 แบบ
รวมจานวนแบบ = 5 × 14 = 70 แบบ
กรณี มีเลข 3 สองหลัก
ขันที้ ่ 1: เลือกตาแหน่งให้ เลข 3 ทังสองตั
้ ว → มี 5 หลัก จะเลือกได้ = (52) = 52 ∙∙ 41 = 10 แบบ
ขันที ้ ่ 2: ที่เหลือ 3 หลัก แต่ละหลักอาจเป็ นเลข 1 หรื อ 2 ได้ หลักละ 2 แบบ
จะได้ จานวนแบบทังหมด ้ = 23 = 8 แบบ
หักแบบที่ใช้ ไม่ได้ 2 แบบ (คือ 1 ทังหมด้ กับ 2 ทังหมด)
้ เหลือ = 8 − 2 = 6 แบบ
รวมจานวนแบบ = 10 × 6 = 60 แบบ
รวมทุกกรณี จะได้ จานวนแบบ = 30 + 70 + 60 = 160 แบบ
40 PAT 1 (ต.ค. 58)
39. 3
รูปแบบเส้ นตรง คือ 𝑌̂ = 𝑎 + 𝑏𝑋 ซึง่ จะหาค่า 𝑎 และ 𝑏 ได้ จาก n n
𝑦𝑖 = 𝑎𝑛 + 𝑏 𝑥𝑖 …(1)
i 1 i 1
n n 2 n
𝑥𝑖 𝑦𝑖 = 𝑎 𝑥𝑖 + 𝑏 𝑥𝑖 …(2)
i 1 i 1 i 1
40. 117
จาก แกนตามขวางขนานแกน 𝑥 จะได้ เป็ นไฮเพอร์ โบลาแนวนอน
→
→ ดังนัน้ จุดโฟกัส และจุดศูนย์กลาง จะอยูใ่ นแนวนอนแนวเดียวกัน
→ ดังนัน้ จุดโฟกัส และจุดศูนย์กลาง จะมีพิกด ั 𝑦 เท่ากัน
โจทย์ให้ F1(1 + 2√5 , 3) ดังนัน้ พิกดั จุดศูนย์กลาง ต้ องอยูใ่ นรูป (ℎ, 3)
และเนื่องจากเส้ นกากับไฮเพอร์ โบลา จะผ่านจุดศูนย์กลางไฮเพอร์ โบลาเสมอ
ดังนัน้ (ℎ, 3) ต้ องสอดคล้ องกับสมการเส้ นกากับ 2𝑥 − 𝑦 + 1 = 0
2ℎ − 3 + 1 = 0
2ℎ = 2
ℎ = 1
จะได้ จดุ ศูนย์กลาง (1, 3)
และจากพิกดั F1(1 + 2√5, 3) จะเห็นว่า F1 อยูถ่ ด
ั ไปทางขวาของจุดศูนย์กลาง = 2√5
จะได้ ระยะโฟกัส 𝑐 = 2√5
2
จากสูตร 𝑐 2 = 𝑎2 + 𝑏 2 จะได้ 𝑎2 + 𝑏 2 = (2√5)
𝑎2 + 𝑏 2 = 20 …(∗)
(𝑥−ℎ)2 (𝑦−𝑘)2
แทนค่า ℎ, 𝑘, 𝑎, 𝑏 ในรู ปสมการของไฮเพอร์ โบลาแนวนอน
𝑎2
−
𝑏2
= 1
(𝑥−1)2 (𝑦−3)2
22
− 42
= 1
𝑥 2 −2𝑥+1 𝑦 2 −6𝑦+9
4
− 16
= 1
4(𝑥 2 −2𝑥+1) − (𝑦 2 −6𝑦+9)
16
= 1
4𝑥 2 − 8𝑥 + 4 − 𝑦 2 + 6𝑦 − 9 = 16
4𝑥 2 − 𝑦 2 − 8𝑥 + 6𝑦 = 21
เทียบกับ 𝐴𝑥 2 + 𝐵𝑦 2 + 𝐷𝑥 + 𝐸𝑦 = 21 จะได้ 𝐴 = 4 , 𝐵 = −1 , 𝐷 = −8 , 𝐸 = 6
ดังนัน้ 𝐴2 + 𝐵2 + 𝐷2 + 𝐸2 = 42 + (−1)2 + (−8)2 + 62
= 16 + 1 + 64 + 36 = 117
41. 4
สมการจานวนเต็ม → ต้ องจัดรูปให้ อยูใ่ นรูป พหุนาม = จานวนเต็ม
แยกตัวประกอบพหุนามฝั่งซ้ าย แล้ วอ้ างว่าจานวนเต็มทางขวาแยกตัวประกอบได้ ไม่กี่แบบ
1 1 1
−𝑏 =
𝑎 10 คูณ 10𝑎𝑏 ตลอด
10𝑏 − 10𝑎 = 𝑎𝑏
10𝑏 − 𝑎𝑏 − 10𝑎 = 0
𝑏(10 − 𝑎) − 10𝑎 = 0 เติม 100 ทังสองฝั
้ ่ง
𝑏(10 − 𝑎) + 100 − 10𝑎 = 100 ให้ จบั กลุม่ ดึงตัวร่วมได้
𝑏(10 − 𝑎) + 10(10 − 𝑎) = 100
(𝑏 + 10)(10 − 𝑎) = 100
𝑏 + 10 10 − 𝑎
100 1 → 𝑏 = 90 , 𝑎=9
50 2 → 𝑏 = 40 , 𝑎=8
25 4 → 𝑏 = 15 , 𝑎=6
20 5 → 𝑏 = 10 , 𝑎=5
42. 1.5
√2𝑥
< √1 − 𝑥
√1+𝑥 + √1−𝑥 เปลี่ยนตัวแปร ให้ √1 + 𝑥 = 𝑚
√2𝑥
< 𝑛 และ √1 − 𝑥 = 𝑛
𝑚 + 𝑛
แทน 𝑚, 𝑛 กลับไปเป็ น 𝑥
𝑚2 − 𝑛2
√2 ( 2
)
< 𝑛 √1 + 𝑥 < (√2 + 1)(√1 − 𝑥)
𝑚 + 𝑛 2 ยกกาลัง 2 ตลอด
𝑚2 −𝑛2 1 1+𝑥 < (√2 + 1) (1 − 𝑥)
√2 ∙ ∙ 𝑚+𝑛 < 𝑛
2 1+𝑥 < (2 + 2√2 + 1)(1 − 𝑥)
(𝑚−𝑛)(𝑚+𝑛) 1 1+𝑥 < (3 + 2√2 )(1 − 𝑥)
√2 ∙ ∙ < 𝑛
√2 ∙ √2 𝑚+𝑛
1+𝑥 < 3 − 3𝑥 + 2√2 − 2√2𝑥
𝑚−𝑛
< 𝑛 4𝑥 + 2√2𝑥 < 2 + 2√2
√2 หาร 2 ตลอด
𝑚−𝑛 < √2𝑛 2𝑥 + √2𝑥 < 1 + √2
𝑚 < √2𝑛 + 𝑛 (2 + √2)𝑥 < 1 + √2
𝑚 < (√2 + 1)𝑛 1+√2
𝑥 < …(∗)
2+√2
1+√2 1+√2
พิจารณาร่วมกับ (∗) สุดท้ ายจะได้ −1 ≤ 𝑥 < 2+√2
( 2+√2
< 1 )
43. 2
โจทย์ให้ 𝑥 และ 𝑦 เป็ นจานวนจริ งบวก → ไม่ต้องระวังเวลา 𝑥, 𝑦 อยูห่ ลัง log
3 log 4 16𝑥 2 = 6 + 6 log 2 √𝑦
2 ÷ 3 ตลอด ถ้ าโจทย์ไม่ได้ กาหนดให้ 𝑥 และ 𝑦
log 4 16𝑥 = 2 + 2 log 2 √𝑦
2 log 𝑎 𝑥𝑦 = log 𝑎 𝑥 + log 𝑎 𝑦 เป็ นบวก จะต้ องระวังเรื่องค่าหลัง
log 4 16 + log 4 𝑥 = 2 + 2 log 2 √𝑦
1
log ต้ องเป็ นบวก นัน ่ คือ log 4 𝑥 2
2 + log 22 𝑥 2 = 2 + 2 log 2 𝑦 2 𝑦
2
log 2 𝑥 =
2
log 2 𝑦
log 𝑎𝑥 𝑚𝑦 =
𝑥
log 𝑎 𝑚 ต้ องกลายเป็ น 2 log 4 |𝑥|
2 2
log 2 𝑥 = log 2 𝑦 (𝑦 อยูใ่ นรูท ต้ องเป็ นบวกอยูแ่ ล้ ว)
𝑥 = 𝑦
แทน 𝑥=𝑦 ใน √2 − 𝑥 + √𝑦 = 2
√2 − 𝑦 = 2 − √𝑦 ยกกาลังสองทังสองข้
้ าง
2−𝑦 = 4 − 4√𝑦 + 𝑦 ฝั่งขวา เข้ าสูตร (น − ล)2 = น2 − 2นล + ล2
4√𝑦 = 2 + 2𝑦
2√𝑦 = 1 + 𝑦
0 = 𝑦 − 2√𝑦 + 1
2
0 = √𝑦 − 2√𝑦 + 1
2 น2 − 2นล + ล2 = (น − ล)2
0 = (√𝑦 − 1)
√𝑦 = 1
𝑦 =1
44. 78.7
∑(𝑥𝑖 −𝑥̅ )2 ∑ 𝑥𝑖2 − 𝑁𝑥̅ 2 ∑(𝑥𝑖 −𝑥̅ )2 ∑ 𝑥𝑖2 − 𝑁𝑥̅ 2
𝑠 2 ของ “กลุม
่ ตัวอย่าง” หาได้ จาก 2 สูตร คือ 𝑁−1
และ 𝑁−1
ดังนัน้ 𝑁−1
= 𝑁−1
34 214 − 5𝑥̅ 2
5−1
= 5−1
2
5𝑥̅ = 180
𝑥̅ 2 = 36
𝑥̅ = 6
(𝑥1 +2𝑥2 )+(𝑥2 + 2𝑥3 )+(𝑥3 +2𝑥4 )+(𝑥4 +2𝑥5 )+(𝑥5 +2𝑥1 ) 3𝑥1 +3𝑥2 +3𝑥3 +3𝑥4 +3𝑥5
จะได้ ค่าเฉลีย่ ชุดใหม่ = 5
= 5
𝑥1 +𝑥2 +𝑥3 +𝑥4 +𝑥5
= 3( 5
) = 3𝑥̅
= 3(6)
= 18
∑ 𝑥𝑖2 − 𝑁𝑥̅ 2
และจะหา 𝑠 2 ชุดใหม่ โดยใช้ สตู ร 𝑁−1
ได้
(𝑥1 +2𝑥2 )2 +(𝑥2 + 2𝑥3 )2 +(𝑥3 +2𝑥4 )2 +(𝑥4 +2𝑥5 )2 +(𝑥5 +2𝑥1 )2 − 5(182 )
= 5−1
(𝑥12 +4𝑥1 𝑥2 +4𝑥22 )+(𝑥22 +4𝑥2 𝑥3 +4𝑥32 )+(𝑥32 +4𝑥3 𝑥4 +4𝑥42 )+(𝑥42 +4𝑥4 𝑥5 +4𝑥52 )+(𝑥52 +4𝑥5 𝑥1 +4𝑥12 ) − 1620
= 4
44 PAT 1 (ต.ค. 58)
5𝑥12 +5𝑥22 +5𝑥32 +5𝑥42 +5𝑥52 + 4𝑥1 𝑥2 +4𝑥2 𝑥3 +4𝑥3𝑥4 +4𝑥4 𝑥5 +4𝑥5 𝑥1 − 1620
=
4
5(𝑥12 +𝑥22 +𝑥32 +𝑥42 +𝑥52 ) + 4(𝑥1 𝑥2+𝑥2 𝑥3 +𝑥3 𝑥4 +𝑥4 𝑥5 +𝑥5 𝑥1 ) − 1620
=
4 โจทย์ให้ ∑ 𝑥𝑖2 = 214
5( 214 ) + 4(𝑥1 𝑥2 +𝑥2 𝑥3 +𝑥3 𝑥4 +𝑥4𝑥5 +𝑥5 𝑥1 ) − 1620
= 4
1070 + 4(𝑥1 𝑥2 +𝑥2 𝑥3 +𝑥3 𝑥4 +𝑥4 𝑥5 +𝑥5 𝑥1 ) − 1620
= 4
4(𝑥1 𝑥2 +𝑥2 𝑥3+𝑥3 𝑥4 +𝑥4 𝑥5 +𝑥5 𝑥1 ) − 550
=
4
= 𝑥1 𝑥2 + 𝑥2 𝑥3 + 𝑥3 𝑥4 + 𝑥4 𝑥5 + 𝑥5 𝑥1 − 137.5
45. 429
จานวนสองหลัก 𝑎𝑏 จะมีคา่ = 10𝑎 + 𝑏
จานวนสองหลัก 𝑏𝑎 จะมีคา่ = 10𝑏 + 𝑎
ดังนัน้ 𝑎𝑏 + 𝑏𝑎 = 143 จะเขียนใหม่ให้ ถกู ต้ องได้ (10𝑎 + 𝑏) + (10𝑏 + 𝑎) = 143
11𝑎 + 11𝑏 = 143
÷ 11 ตลอด
𝑎 + 𝑏 = 13
โดยที่ 𝑎, 𝑏 ∈ {1, 2, 3 , … , 9} และ 𝑎≠𝑏 → จะมี 𝑎, 𝑏 ทังหมดที
้ ่ 𝑎 + 𝑏 = 13 คือ 4 + 9 , 5+8, 6+7,
9 + 4, 8 + 5 , 7 + 6
ดังนัน้ 𝑆 = { 49 , 94 , 58 , 85 , 67 , 76 }
จะได้ ผลบวก = 49 + 94 + 58 + 85 + 67 + 76
= 143 + 143 + 143 = 429
เครดิต
ขอบคุณ คุณ Gtr Ping จาก GTRmath สาหรับข้ อสอบ และเฉลยละเอียดครับ
ขอบคุณ คุณ บุญช่วย ฤทธิเทพ และ คุณ Athassawat Kammanee สาหรับเฉลยวิธีทาของบางข้ อนะครับ
ขอบคุณ คุณ Totsaporn Suwannaruang ที่ช่วยตรวจสอบความถูกต้ องของข้ อสอบ
ขอบคุณ คุณครูเบิร์ด จาก กวดวิชาคณิตศาสตร์ ครูเบิร์ด ย่านบางแค 081-8285490 ทีช่ ่วยตรวจสอบความถูกต้ องของ
ข้ อสอบ
ขอบคุณ คุณ พูก่ นั ณัฐดนัย พูไ่ พบูลย์ ที่ช่วยตรวจสอบความถูกต้ องของเฉลยครับ
ขอบคุณ คุณ สารศิลป์ ทับทิมทอง ที่ช่วยตรวจสอบคุณภาพของเฉลยครับ