Professional Documents
Culture Documents
วิชา ตั๋วเงิน
ตั๋วเงิน แบงออกไดเปน 3 ประเภทคือ ตั๋วแลกเงิน,ตั๋วสัญญาใชเงิน,เช็ค (898)
ตั๋วเงินทั้ง 3 ประเภทแบงเปน 2 ชนิดคือ
1. ชนิดตั๋วระบุชื่อ (มีในตั๋วเงินทั้ง 3 ประเภท)
2. ชนิดตั๋วผูถือ (มีในตั๋วแลกเงินและเช็คเทานั้น)
ในการทําความเขาใจวิชาตั๋วเงินนี้ ตองทําความเขาใจตามลําดับเพื่องายตอการจดจํา โดยแบงหัวขอไดดังนี้
1. ตั๋วเงินมีลักษณะพิเศษอยางไร
2. ลูกหนี้ในตั๋วเงิน (ม.900)
3. เจาหนี้ในตั๋วเงิน (ม.904,905)
4. การโอนตั๋วเงิน (ม.920,917,918,919,922)
5. การหามโอนดวยวิธีลักษณะตั๋วเงิน
6. การอาวัล
7. เช็ค
8. การแกไขตั๋วเงิน
9. ลายมือชื่อปลอม
10. อายุความ
ลักษณะพิเศษของตั๋วเงินสามารถแบงออกไดเปน 3 หัวขอคือ
1. ขอความที่จะเขียนลงในตั๋วเงินและมีผลใชบังคับไดนั้นตองเปนขอความที่ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย ลักษณะตั๋วเงิน
บัญญัติไวใหเขียนลงไปไดเทานั้น ซึ่งหากไปเขียนขอความอื่นลงไปแลว จะมีผลคือเทากับไมมีการเขียนขอความใด ๆ ลงไปนั่นเอง ( โดยไม
ทําใหตั๋วเงินนั้นเสียไปแตอยางใด ตามมาตรา 899
2. ผูที่รับโอนตั๋วเงินมาโดยสุจริต มีสิทธิดีกวาผูโอน ตามมาตรา 905 วรรค 2,3 มาตรา 916 , มาตรา 312 , มาตรา 313
3. การลงลายมือชื่อตั๋วเงินนั้น ตองเปนการลงลายมือชื่ออยางแทจริงเทานั้น จึงจะถือเปนการลงลายมือชื่อ ซึ่งตองรับผิดตามมาตรา
900 โดยจะใชวิธี ประทับตรา หรือ พิมพลายนิ้วมือ หรือ แกงได อยางกฎหมายในลักษณะอื่นไมได ตามมาตรา 900 วรรค 2 ประกอบ มาตรา
9 มาตรา 1008
อธิบาย 1. ม.899 ขอความที่เขียนลงในตั๋วเงิน จะตองเปนไปตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยลักษณะตั๋วเงินเทานั้น
“ขอความอันใดซึ่งมิไดบัญญัติไวในประมวลกฎหมายนี้ ถาเขียนลงในตั๋วเงิน ทานวาขอความอันนั้นหาเปนผลอยางหนึ่งอยางใดแกตั๋วเงินนั้น
ไม”
เหตุผล เนื่องจากตั๋วเงินใชในการประกอบธุรกิจการคาตองมีความสะดวกในการโอนตั๋วเปลี่ยนมืองาย และตองการความเชื่อถือเปน
สําคัญ กฎหมายจึงบัญญัติหลักเกณฑในการเขียนขอความใหมีผลผูกพันไดเฉพาะที่กฎหมายบัญญัติไวใหเขียนไดเทานั้น มิฉะนั้นแลวถาใหมี
การเขียนสิ่งใดๆ ลงไปก็ไดแลว ก็จะเกิดการเขียนเงื่อนไขตาง ๆ มากมาย ใครจะรับโอนแตละครั้งก็ตองตรวจดูเงื่อนไขอยางละเอียด ซึ่งก็จะ
ไมตรงกับความมุงหมายที่ตองการใหตั๋วเงินโอนกันไดงาย สะดวก และมีความนาเชื่อถือ
แตกตางกับกฎหมายลักษณะเอกเทศสัญญาหรือสัญญาอื่นๆที่คูสัญญาสามารถตกลงกันอยางใดๆก็ได ตาม ม.151 ถึงแมจะตกลงให
แตกตางจากบทบัญญัติของกฎหมายก็ไดถาไมใชบทบัญญัติอันเกี่ยวดวยความสงบเรียบรอยแลวการตกลงนั้นไมเปนโมฆะ
๑
ฉะนั้น ในเรื่องตั๋วเงินถาจะเขียนอะไรลงไปตองคํานึงถึงวา ป.พ.พ.ลักษณะตั๋วเงิน อนุญาตใหเขียนไดหรือไม ซึ่งถากฎหมายไม
อนุญาตใหเขียนลง แตฝาฝนไปเขียนลงก็จะมีผลเทากับขอความนั้นใชบังคับไมได หรือเทากับไมมีการเขียนอะไรเลย จะไมทําใหตั๋วเงินนั้น
เสียไปแตอยางใด
ขอยกเวน ตองไมใชขอความที่กฎหมายลักษณะตั๋วเงินบัญญัติไววา ถาเขียนลงไปในตั๋วเงินแลวจะกระทบกับความสมบูรณของตั๋วเงิน
เชน ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใชเงิน หรือเช็ค ผูสั่งจายหรือผูออกตั๋วจะเขียนเงื่อนไขลงในตั๋วเงินไมได ถาเขียนลงไปตั๋วเงินจะไมสมบูรณเปนตั๋ว
Ex. นาย ก. ไปเขียนวา ถานาย ข. ส อบไดเปนเนติฯแลวจึงใหจายเงินตามตั๋วอยางนี้ ม.909 (2),983 (2),988 (2) ทําใหไม
สมบูรณเปนตั๋วเงินใชบังคับอยางตั๋วเงินไมไดเลย
๓
หลัก ถูกฟองจะยกขอตอสูที่สามารถใชยันกันระหวางผูถูกฟองคนอื่นขึ้นตอสูกับโจทก็ผูทรงไมได
ขอยกเวน ผูถูกฟองยกขอตอสูไดในกรณีนี้
1. ผูทรงหรือโจทกคบคิดกันฉอฉลกับผูโอน รูอยูแลววาเปนการโอนโดยไมชอบยังรับโอน ฎ.1863/33,371/34 ความคบคิดกันฉอ
ฉลจะตองเกิดขณะผูทรงรับโอนเช็คมา ฏ.467/32,4279/36 ไมไดเกิดภายหลังการรับโอน(ไมใชการคบคิดกันฉอฉลภายหลังฟงซึ่งเรียกวาเงิน
ตามเช็คแลว) ฎ.4279/36
2. ขอตอสูระหวางผูถูกฟองกับผูทรงซึ่งเปนโจทก็ฟองเอง (ถามีขอตอสูระหวางกันอยางไร สามารถยกขึ้นฟองได
Ex. โจทกฟองวาจําเลยที่ 1 และที่ 2รวมกันกูยืมเงินโจทก และจําเลยที่ 1 สั่งจายเช็ค จําเลยที่ 2 สลักหลัง โอนใหโจทก็ ถาปรากฏ
ขอเท็จจริงวา จําเลยที่ 2 ไมไดกูเงินโจทกเลยดังนี้ จําเลยที่ 2 ก็สามารถยกขอตอสูโจทก็ได เพราะเปนขอตอสูระหวางผูถูกฟองกับโจทกซึ่ง
เปนผูรับสลักหลัง ฎ.716/04
ฎ.755/26 เปนขอตอสูโดยตรงระหวางผูถูกฟองกับโจทกผูทรง จึงสามารถยกขึ้นตอสูได ฎีกานี้ผูถูกฟองสูวามูลหนี้ตามเช็ค สอง
แสนบาท ความจริงกูกันเพียง หนึ่งแสนบาท สามารถยกขึ้นสูได
1. กรณีสิทธิผูทรงที่เปนโจทกฟองเองบกพรอง
ฏ.2932/19 หนึ่งสั่งจายเช็คใหสอง สองนําเช็คไปสลักหลังโดยชําระคาซื้อเฮโรอีนใหกับนายสาม เมื่อธนาคารปฏิเสธการจายเงิน
หนึ่งยกขอตอสูวานายสามรับโอนเช็คนั้นไมสมบูรณ ซึ่งสามารถตอสูได เพราะไมใชความสัมพันธระหวางนายหนึ่งกับนายสอง และก็
ยอมรับวาสั่งจายเช็คจริง และสั่งจายใหสองจริง แตสูวาหนี้ของผูทรงบกพรอง
2. ถาหากเปนขอตอสูที่ปรากฏในตั๋วเงินนั้นเอง ไมใชขอตอสูในระหวางความเกี่ยวพันระหวางผูถูกฟองดวยกัน เชน ตั๋วเงินไม
สมบูรณ ขาดรายการในตั๋วเงิน อยางนี้สามารถยกขึ้นเปนขอตอสูไดเสมอ
Ex. นาย ก. ถูกฟองใหตองรับผิดตามตั๋วแลกเงิน ก. ตอสูวาตั๋วที่นํามาฟองไมปรากฏคําบอกชื่อวาเปนตั๋วแลกเงิน จึงไมสมบูรณ
เปนตั๋วแลกเงินตามกฎหมาย อยางนี้เปนขอตอสูตามม.312 ผูถูกฟองสามารถยกเปนขอตอสูได
อีกกรณีหนึ่งที่ผูถูกฟองสามารถยกขึ้นเปนขอตอสูได และมิใชเปนเรื่องตามม.916 คือ
กรณีเรื่องอํานาจการเปนคูสัญญานาตั๋วเงิน กับเรื่องความสามารถคูสัญญาในตั๋วเงินตามม.902 “ถาตั๋วเงินลงลายมือชื่อของบุคคล
หลายคน มีทั้งบุคคลที่ไมอาจเปนคูสัญญาแหงตั๋วเงินนั้นไดเลย หรือเปนไดแตไมเต็มผลไซร ทานวาการนี้ยอมไมกระทบกระทั่งถึงความรับ
ผิดของบุคคลอื่นๆนอกนั้นซึ่งคงตองรับผิดตามตั๋วเงิน
ตัวอยาง ก. สั่งจายเช็คให ข.(ผูเยาว) และ ข.สลักหลังให ค. ถาเช็คถูกปฏิเสธการจายเงิน ข. ยกขอตอสูเรื่องผูเยาวของตนได แต
ก. จะยกเรื่องผูเยาวของ ข. ตอสู ค.ไมได เพราะเปนสิทธิเฉพาะตัวของ ข. ตามม.902
****จุดที่นาสนใจ ถาเปนขอตอสูที่เปนเรื่องโจทกไมใชผูทรง หรือสิทธิของโจทกบกพรองสามารถตอสูได
ม.916 ใชทั้งตั๋วที่ระบุชื่อและผูถือเปนหลักเกณฑเดียวกัน
ฎ.6582/39 จําเลยไมไดตอสูวาโจทก็ไมไดเปนผูทรงโดยชอบ โดยตอสูวาจําเลยเปนผูสั่งจายใหนายเสรี และมูลระหวางจําเลยและ
นายเสรีก็ระงับไปแลว แตนายเสรีไมไดคืนเช็คใหจําเลยแตกลับไปโอนใหโจทกและจําเลยก็ไมไดสูวานายเสรีกับโจทกคบคิดกันฉอฉลแต
อยางใด สูเพียงวาหนี้ระหวางตนกับนายเสรีระงับไปแลว จึงเปนการยกขอตอสูเรื่องความสัมพันธระหวางผูถูกฟองดวยกันขึ้นตอสูอันเปน
เรื่องตองหาม ม.916
ลูกหนี้ในตั๋วเงินมาตรา 900
โดยหลัก ผูจะตองรับผิดในตั๋วเงินคือ ผูลงลายมือชื่อในตั๋วเงิน “บุคคลผูลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินยอมจะตองรับผิดตาม
เนื้อความในตั๋วเงินนั้น”
ม.908 ตั๋วแลกเงิน ม.982 ตั๋วสัญญาใชเงิน ม.987 เช็ค กฎหมายจะบัญญัติขอความที่เหมือนกันอยูคําหนึ่งวา “หนังสือตราสาร”
ดังนั้น จึงปรับตาม ม.9 “เมื่อมีกิจการอันใดซึ่งกฎหมายบังคับใหทําเปนหนังสือบุคคลผูจะตองทําหนังสือไมจําเปนตองเขียนเองแตหนังสือนั้น
ตองลงลายมือชื่อของบุคคลนั้น”
๔
จึงไดหลักวา ขอความหรือรายการในตั๋วเงินนั้น ตัวผูสั่งจายหรือผูออกตั๋วไมจําเปนตองเขียนเอง มอบหมายใหผูอื่นเขียนหรือพิมพ
แทนก็ได แตตองลงลายมือชื่อดวยตนเอง และม.900 ถือเอาผูลงลายมือชื่อเปนลูกหนี้ ไมใชคนเขียนขอความ ฎ. 5645/44,2512/39 ,1973/29
รายการในเช็คและจํานวนเงิน ผูสั่งจายหาจําตองเขียนเองไม หากใหบุคคลอื่นเขียนหรือพิมพใหก็ไดหากขอความตรง ตามเจตนาหรือความ
ประสงคของผูสั่งจายแลวในการออกเช็คก็ถือเปนสมบูรณแลว
แตการลงลายมือชื่อไวเฉย ๆ หากมีผูอื่นนําไปกรอกขอความโดยมิไดรับความยินยอมของเจาของลายมือ ผูลงลายมือชื่อก็ไมตองรับ
ผิด ***ฎ.1541/14 จําเลยเพียงแตลงชื่อในเช็ค ไมไดกรอกขอความใดๆมอบใหโจทกไวเพื่อประกันหนี้ โจทกนําเช็คไปกรอกขอความ
โดยจําเลยมิไดมอบหมายหรือยินยอมใหกระทํา เช็คพิพาทยอมไมสมบูรณตามกฎหมาย เพราะขาดรายการที่ตองมีในเช็คดังนั้นธนาคารไม
จายเงิน ผูลงลายมือชื่อคือจําเลยก็ไมตองรับผิดในเนื้อความตราสารนั้น ม.900
จึงไดหลักวา ในการลงรายการหรือกรอกขอความในเช็คโดยบุคคลอื่นนั้นตองไดรับความยินยอมจาก ผูลงลายมือชื่อจึงจะสมบูรณ
มาตรา 900 “บุคคลผูลงลายมือชื่อของตน…”บุคคลอาจเปนบุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคลก็ได ซึ่งถาเปนนิติบุคคลก็ตองลงโดย
ผูแทนตาม ม.70 และในการลงชื่อนี้อาจลงโดย เขียนชื่อจริง ชื่อเลน หรือชื่อรานก็ได ถาหากมีเจตนาใชชื่อนั้นแทนตน
ฎ.2417/36 จําเลยลงชื่อดานหลังเช็ควา “แสงรุงเรือง” เปนชื่อรานคาที่ไดจดทะเบียนพาณิชยไว แมไมไดเปนนิติบุคคล ก็ถือไดวา
ไดลงลายมือชื่อของตนตาม ม.900 จึงตองรับผิด
ในบทบัญญัติกฎหมายไมมีการมอบอํานาจใหลงลายมือชื่อแทนกันได เพราะไมมีกฎหมายใหอํานาจ(ฎ.1020/17,1526/45)ลงลายมือ
ชื่อแทนกันไมได แตในเรื่องตั๋วเงินสามารถมอบอํานาจใหลงลายมือชื่อแทนกันได ตามมาตรา 1008 “เมื่อใดลายมือชื่อในตั๋วเงิน เปนลายมือ
ชื่อลงไว โดยที่บุคคลซึ่งอางเอาเปนเจาของลายมือชื่อนั้น มิไดมอบอํานาจใหลงก็ดี”เทากับวามาตรา 1008 แหงลักษณะตั๋วเงินนั้น อนุญาต
ใหมีการมอบใหอํานาจลงลายมือชื่อแทนกันได
Ex. นาย ก. มอบอํานาจใหนาย ข. ลงชื่อแทน( นาย ข เขียนชื่อของนาย ก ลงในตั๋ว ) ดังนี้ เทากับวา นาย ก. เปนผูลงลายมือชื่อ
ดวยตนเอง ลูกหนี้ในตั๋วเงิน ตั๋วเงินเปนตราสารโอนกันได การเขามาผูกพันเปนคูสัญญาในตั๋วเงินจึงมีไดไมจํากัดจํานวน ซึ่งเปนลูกหนี้ดวย
การลงลายมือชื่อตาม ม.900
มาตรา 900 ว.2 ตองลงลายมือชื่อจริงๆเทานั้น จะลงเครื่องหมายอยางหนึ่งอยางใด เชน แกงได หรือลายพิมพนิ้วมือไมได แมจะมี
พยานลงลายมือชื่อรับรองก็ไมทําใหตั๋วนั้นสมบูรณขึ้นมาได เพราะเรื่องตั๋วเงินตองการใหบุคคลซึ่งรูหนังสือเทานั้นเปนผูลงลายมือชื่อและใช
ตั๋วเงินนั้นได เพราะสวนมากใชในวงการธุรกิจการคา
มาตรา900 ว.2 จึงเปนขอยกเวนของมาตรา 9 ที่บัญญัติใหพิมพลายนิ้วมือหรือแกงได โดยมีพยานรับรองได(เรื่องการใชตราประทับ
แทนการลงลายมือชื่อ ม.9 ใหทําได แต ม.900ว.2 ทําไมได
บุคคลผูจะเขามาเปนลูกหนี้ในตั๋วเงินนั้น สามารถเขามาไดโดยการลงลายมือชื่อในตั๋วเงินมาตรา 900 สวนลงลายมือชื่อแลวจะรับ
ผิดในฐานะใดก็ตองดูที่วา ลงชื่อในฐานะใดก็ตองรับผิดในฐานะนั้น ซึ่งแยกฐานะของลูกหนี้ในตั๋วเงินไดดังนี้
๕
ที่ 2 ไปลงลายมือชื่อดานหลังเช็คโดยที่จําเลยที่ 2 ไมเคยเปนผูทรงเช็คมากอน ถือวาจําเลยที่ 2 สมัครใจเขารับผิดตอโจทกในอันที่จะเขารับผิด
ตามเนื้อความในเช็ค โดยการลงลายมือชื่อตามมาตรา 900
ขอสังเกต สมัครใจรับผิดรวมกับจําเลยที่ 1 ลักษณะผูออกเช็ครวมกัน ถาเปลี่ยนขอเท็จจริงวาเช็คฉบับนี้จําเลยที่ 2 เคยเปนผูทรง
จําเลยที่ 2 จะตองเปนผูรับผิดในฐานะเปนผูสลักหลังลอยตาม ม.919ว.2
ผูที่ปลอมลายมือชื่อผูอื่นจะตองรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินหรือไม
ผูปลอมลายมือชื่อผูอื่นตองรับผิด เพราะผูปลอมก็คือผูที่ลงลายมือชื่อนั้นเองตามมาตรา 900 แมเจาของบัญชีจะเปนคนอื่น เพราะการ
จะตองรับผิดตามม.900 นั้นดูที่ผูลงลายมือชื่อ
ฎ.1853/11 ออกเช็คโดยใชแบบพิมพเช็คของผูอื่น หากผูทรงนําไปขึ้นเงินไมไดตัวผูสั่งจาย ผูสลักหลัง หรือผูอาวัลยอมตองรวมกัน
รับผิดกับผูทรง
ฎ.854/83 โจทกฟองจําเลยโดยระบุชื่อวานายทวีศักดิ์ แตจากกันตรวจสอบบัญชีพบวา เช็คที่ออกนี้เปนของบัญชีที่ชื่อวานายกูเจี๊ยก
ขอเท็จจริงปรากฏวานายทวีศักดิ์และนายกูเจี๊ยก เปนบุคคลคนเดียวกัน ศาลฎีกาวินิจฉัยวา จําเลยออกเช็คผูถือ แมจะใชบัญชีชื่อวานายเจี๊ยก
แตเมื่อไดความวาเปนผูที่ลงลายมือชื่อสั่งจายก็ตองรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น
เห็นไดวา แมจะลงชื่อจริง ชื่อเลน ชื่อฉายา ชื่อรานคา ก็ตองรับผิดทั้งนั้น ถาปรากฏวาเปนผูลงลายมือชื่อตามม.900
**ถามีการลงลายมือชื่อภายหลังจากการที่ธนาคารปฏิเสธการจายเงินแลว จะตองรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้นหรือไม
ฎ.313/21 ฎ.5766/37 กรณีเช็คผูถือ เช็คเมื่อเปนเช็คแลวถึงแมวาธนาคารจะปฏิเสธการจายเงินแลว ก็ยังคงเปนเช็คอยู เช็คนั้นไมได
เสียไป เพราะฉะนั้นเมื่อมีการไปลงลายมือชื่อในเช็คหลังจากธนาคารปฏิเสธการจายเงินแลวก็ตองรับผิดฐานเปนผูรับอาวัล เพราะเช็คที่ลงชื่อ
เปนเช็คผูถือ
หลัก ผูที่จะตองรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงิน คือ ผูที่ลงลายมือชื่อในตั๋วเงินเทานั้น ผูที่ไมไดลงลายมือชื่อในตั๋วเงินก็ไม
ตองรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงิน
ขอยกเวน ผูที่ลงลายมือชื่อลงในเช็คแลว ไมตองรับผิดตามเนื้อความในตั๋วมีอยู 3 ประการดังตอไปนี้
กรณีที่ไมตองรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินในกรณีอื่น ๆ มีดังนี้
1. กรณีนิติบุคคล ซึ่งการทําการใดแทนนิติบุคคลนั้น ก็จะเปนไปตามวัตถุประสงคในการตั้งนิติบุคคลซึ่งระบุไวในหนังสือบริคณ
สนธิและระบุวาใหใครทําแทนไดภายในเงื่อนไขอยางใด ดังนั้นหากมีการลงชื่อจายเงินในตั๋วเงินชนิดใดก็ตาม ถาทําไมถูกตองตามระเบียบ
ตามที่หนังสือบริคณหสนธิระบุไวแลว นิติบุคคลก็จะไมเขามาเปนคูสัญญา ซึ่งหมายความวาไมตองรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้นเลย
๖
2. ผูบกพรองในเรื่องความสามารถ ผูเยาว ผูไรความสามารถลงชื่อในตั๋วเงิน ตอมามีการบอกลางโมฆียะกรรม ผูลงลายมือชื่อก็ไม
ตองรับผิด เพราะบุคคลเหลานี้บกพรองในเรื่องความสามารถ ม.902 ซึ่งเปนเรื่องเฉพาะตัวของคูสัญญาในตั๋วเงิน
3. กรรมการบริษัทเปนผูแทนของบริษัทลงลายมือชื่อแลวไมตองรับผิดเปนการสวนตัว
- ในทางแพงไมตองรับผิด
- ในทางอาญาอาจจะตองรับผิดในฐานตัวการรวม
กรณีบุคคลที่ไมไดลงลายมือชื่อดวยตนเอง แตก็มีผลเทากับลงลายมือชื่อดวยตนเองซึ่งตองรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้นมีดังนี้
1. - คือกรณีที่เจาของลายมือชื่อ มอบอํานาจใหคนอื่นลงลายมือชื่อ ของเจาของลายมือชื่อตามม.1008
- ถามอบอํานาจใหคนเปนตัวแทนเปนเรื่องของมาตรา 901
2 .- เปนเรื่องของเจาของลายมือชื่อถูกตัดบท ม.1008 คือ เจาของลายมือชื่อลงโดยปราศจากอํานาจ เชน เจาของลายมือชื่อรูเห็น
เปนใจ ใหคนอื่นปลอมลายมือชื่อตนเองอาจจะใหผูอื่นเอาลายมือชื่อที่ตนลงไวในกระดาษแผนอื่นเอาไปทาบเขียนลายมือชื่อตน เพื่อจะโกง
ธนาคาร ดังนี้เจาของลายมือชื่อเปนผูตองตัดบทไมใหยกเรื่องลายมือชื่อปลอมหรือลายมือชื่อที่ปราศจากอํานาจขึ้นตอสูเพื่อพนผิด
3 .-เปนเรื่องมีบุคคลอื่นลงลายมือชื่อ ของเจาของลายมือชื่อโดยปราศจากอํานาจ แลวตอมาเจาของลายมือชื่อใหสัตยาบัน บุคคลที่
ไมไดลงลายมือชื่อ อาจถูกฟองใหรับผิดไดแตตองฟองในเรื่องตัวแทน (ฐานะเปนตัวการ)
****ฎ.2109/43 จําเลยไปเปดบัญชีกระแสรายวันและขอใหเช็คโดยใหลายมือชื่อ และตกลงวา ใหนาย ข.สั่งจายใหดวย โดยที่จําเลย
ยินยอมรับ ผิดตามที่นาย ข.ทําไป อยางนี้ถานาย ข.สั่งจายเช็ค ตัวจําเลยก็ไมตองรับผิดเพราะไมไดลงลายมือชื่อตามมาตรา 900 แตคดีนี้
โจทกมาฟองจําเลยในฐานะตัวการ ใหรับผิดที่ตั๋วเงินที่นาย ข.สั่งจายในฐานะตัวแทนจําเลยตาม ม.917,810 (ฎ.2109/43)
อธิบายม.904 “มีตั๋วเงินไวในครอบครอง”
1. บุคคลใดก็ตามที่ไดเช็คผูถือมาโดยสุจริตแลว แมผูทรงคนกอนตนจะไดมาโดยมิชอบก็ตามก็ยังเปนผูทรงโดยชอบ
Ex. ก. ทําเช็คตกหายไป ข. เก็บไดจึงนําไปสงมอบ เพื่อชําระหนี้ให ค. ปรากฏวา ค. ไมทราบวาเปนเช็คที่เก็บไดถือวา ค. เปนผูทรง
โดยชอบดวยกฎหมายตาม ม.904,905ว.3
2. คําวาครอบครอง ตองตาม ม.1367 ตองเปนการครอบครองโดยเจตนจะยึดถือเพื่อตนดวย ในทางตรงกันขาม ม.1368 “บุคคล
อาจไดมาซึ่งการครอบครองโดยบุคคลอื่นยึดถือไวให” ดังนั้น บุคคลที่ผูอื่นยึดถือไวใหจึงเปนผูทรงโดยชอบ
สรุป ใครเปนผูครอบครองตั๋วเงิน เราถือตามความเปนจริง
ตราบใดที่ยังไมไดยึดถือตั๋วเงินเลย ยังถือไมไดวาเปนผูทรง
๗
ฎ.5422/41 โจทกไปรับซอมเครื่องถายเอกสารจากบริษัท ส.โจทกมอบหมายใหลูกจางไปรับเงินคาซอมเครื่องถายเอกสาร เมื่อไป
ถึงจําเลยจึงใหลูกจางของโจทกลงชื่อไววารับเช็คแลว พอลงชื่อเสร็จจําเลยกลับไมมอบเช็คพิพาท ใหกับลูกจางของโจทกโดยอางวาจะติดตอ
กับโจทกเอง ตอมาโจทกจึงฟองวา จําเลยลักเช็คโจทก
ศาลฎีกาวินิจฉัยวา แมเช็คดังกลาวเปนเช็คที่บริษัท ส. ออกใหเพื่อชําระคาซอมเครื่องถายเอกสารใหแกโจทกก็ตาม แตจําเลยยังไมสง
มอบเช็คใหโจทก อีกทั้งลูกจางของโจทกยังไมไดเขายึดถือครอบครองเช็คพิพาทไว โจทกจึงยังไมไดเปนผูทรงเช็คพิพาทโดยชอบตามม.904
เช็คยังอยูในครอบครองของบริษัท ส. การกระทําของจําเลยจึงไมเปนการเอาทรัพยของผูอื่นหรือที่ผูอื่นเปนเจาของรวมอยูดวยไปโดยทุจริต
จึงไมเปนความผิดฐานลักทรัพย
สรุป โจทกยังไมเปนผูทรงนั่นเอง
การฝากเช็คใหผูอื่นเรียกเก็บเงินผานบัญชี ยังถือวาผูฝากยังคงเปนผูทรงอยู เพียงแตฝากใหเรียกเก็บเงินแทนเทานั้น
ฎ.1084/42,349/43 จําเลยจายเช็คใหโจทก โจทกจึงฝากมารดาใหนําเขาบัญชีของมารดาโจทก เพื่อเรียกเก็บเงิน ธนาคารปฏิเสธการ
จายเงิน โจทกจึงฟอง จําเลยตอสูวาโจทกไมใชผูทรง
ศาลฎีกาวินิจฉัยวา แมโจทกจะนําเขาบัญชีของมารดาโจทกเพื่อเรียกเก็บเงินก็ตาม ก็เปนแตเพียงนําเช็คเขาเรียกเก็บโดย
อาศัยบัญชีของมารดาเทานั้น เมื่อโจทกไมไดมอบหรือโอนสิทธิในเช็คพิพาทใหมารดาโจทก โจทกก็ยังเปนผูทรงเช็คพิพาทอยูในขณะที่
ธนาคารปฏิเสธการจายเงิน และเปนผูเสียหายมีอํานาจฟองได
หมายเหตุ ในทางตรงกันขามถามารดาโจทกมาฟองถือวาไมใชผูทรง
บุคคลใดมีชื่อในตั๋วก็ตาม แตถาเปนการยึดถือเช็คพิพาทแทนบุคคลอื่นผูมีชื่อในเช็คก็ไมใชผูทรง
ฎ.7854/42,15/37 จําเลยออกเช็คระบุชื่อ ช. สาเหตุที่จําเลยออกเช็คสั่งจายเพราะจําเลยทําละเมิดโจทก และจายคาเสียหายโจทกโดย
ออกเช็ค แตโจทกเปนชาวตางชาติไมมีบัญชีในไทย จึงออกเช็คระบุชื่อ ช. ซึ่งเปนญาติชาวไทย ธนาคารปฏิเสธการจายเงิน โจทกฟอง จําเลย
ตอสูวา โจทกไมใชผูทรงไมมีอํานาจฟอง
ศาลฎีกาวินิจฉัยวา ช. ยึดถือเช็คพิพาทแทนโจทกถึงแม ช.จะยึดถือไวแทน ช. ก็ไมใชผูทรง เพราะฉะนั้นเมื่อโจทกเปนผูมีเช็คไวใน
ครอบครองโดยโจทกเปนผูมีสิทธิรับเงินตามเช็ค ถือวาโจทกเปนผูทรงมีอํานาจฟอง
ฎ.2232/33 จําเลยสั่งจายเช็คระบุชื่อ ว. เปนผูรับเงินโดยไมไดขีดฆาคําวา หรือผูถือออก โดยจําเลยเขาใจผิดคิดวา ว.เปนเจาของ
กิจการเพราะเคยเห็นแต ว.เปนผูติดตอคาขาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยวา จําเลยออกเช็คให ก็เจตนจะใหโจทกนั่นเอง จําเลยหาไดสั่งจายให ว. ในฐานะสวนตัวไม โจทกจึงเปนผูทรงเช็ค
พิพาทโดยชอบดวยกฎหมายมีอํานาจฟอง
ถอยคําตามตัวบทที่วา “… บุคคลผูไดตั๋วเงินไวในครอบครองถาแสดงใหปรากฏสิทธิดวยสลักหลังไมขาดสาย................ทานให
ถือวาเปนผูทรงโดยชอบดวยกฎหมาย... ” หมายความวา ผูไดตั๋วมาตองพิสูจนวาตนไดรับตั๋วที่มีการสลักหลังของคนกอนๆ จนมาถึงตนนั้น
ตอเนื่องไมขาดสาย ตั้งแตผูรับเงินที่มีผูสลักหลังติดตอกันมาเปนลําดับจนถึงผูที่โอนตั๋วใหแกตนไมมีการขาดตอนเลย
ตัวอยางที่ 1 นายกบ สั่งจายเช็คโดยระบุชื่อนายบอม มอบใหแกนายบอมเพื่อชําระหนี้คาสินคา ตอมานายบอมสลักหลัง
เช็คแลวสงมอบใหนางสาวกิ๊กเพื่อชําระหนี้เงินกู นางสาวกิ๊กสลักหลังและสงมอบเช็คฉบับดังกลาวใหนายเอกเพื่อชําระคาเสื้อผา ดังนี้นาย
เอกเปนผูทรงเช็คฉบับนี้โดยชอบดวยกฎหมายเพราะมีเช็คไวในครอบครอง ซึ่งไดมาเพราะมีมูลหนี้ตอกันจริง และเปนผูรับสลักหลัง ทั้งยัง
๘
พิสูจนไดวาเช็คฉบับนี้โอนมายังตนโดยไมขาดสาย เพราะมีลายมือชื่อตอกันมาเปนทอด ๆ ตั้งแตนายกบผูสั่งจาย นายบอมผูสลักหลังคนแรก
นางสาวกิ๊กผูสลักหลังและสงมอบใหตน
ดอกเบี้ยในตั๋วเงิน
ป.พ.พ.มาตรา 911 “ผูสั่งจายจะเขียนกําหนดลงไววาจํานวนเงินอันจะพึงใชนั้นใหคิดดอกเบี้ยดวยก็ได และในกรณีเชนนั้น ถามิได
กลาวลงไวเปนอยางอื่น ทานวาดอกเบี้ยยอมคิดแตวันที่ลงในตั๋วเงิน”
ม.985 “ใหนําบทบัญญัติ ม.911 มาใชดวย” (ตั๋วสัญญาใชเงิน) เพราะฉะนั้น ตั๋วแลกเงินและตั๋วสัญญาใชเงิน จึงสามารถที่จะเขียน
ขอความเรื่องดอกเบี้ยลงในตั๋วดวยก็ได ม.988
เช็ค กฎหมายไมไดบัญญัติใหนําเรื่อง ม.911 ไปใช จึงไมสามารถเขียนเรื่องดอกเบี้ยลงในเช็คได ซึ่งถาเขียนลงไป ผลก็จะเปนไป
ตาม ม.899 คือ จะไมมีผลใด ๆ เลยเหมือนกับไมมีขอความนั้นอยู
เหตุที่กฎหมายบัญญัติใหเรื่องดอกเบี้ยแตกตางกันนั้น ในเพราะ ใน ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใชเงิน ม.913(1) ,(2), (3) มีกําหนดเวลาใช
เงินหางกันกับเวลาออกตั๋วเปนชวงเวลาที่นาน สวนเรื่อง เช็ค เปนเรื่องสั่งใหธนาคารใชเงินเมื่อทวงถาม จึงมีระยะเวลาสั้น ไมจําตองเขียน
ดอกเบี้ย
Ex. ออกตั๋วสัญญาใชเงิน เมื่อ 1 มิ.ย. 46 ใหใชเงินเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.46 ดังนั้นมีระยะเวลานาน จึงใหเขียนดอกเบี้ยได
ม.911 ในเรื่องการเขียนระบุดอกเบี้ยนั้น ถาจะเขียนก็ตองเขียนลงในตั๋วแลกเงิน หรือ ตั๋วสัญญาใชเงินเทานั้น จะเขียนลงในที่อื่น
หรือเอกสารแผนอื่นไมได แมจะมีพยานมาสืบก็ตามก็ไมสามารถอางได ในทางเดียวกัน การตกลงดวยวาจาวาจะใหดอกเบี้ยนั้น จึงไมมีผล
เพราะกฎหมายบัญญัติวาใหเขียนลงในตั๋วเงิน
๙
ฏ.335/2509 ขอกําหนดใหคิดดอกเบี้ยตามที่โจทกนําสืบมิไดระบุในตั๋วแลกเงิน ฉะนั้นแมโจทกจะมีพยานบุคคลสืบไดความวา
จําเลยยอมเสียดอกเบี้ยใหโจทกรอยละ 15 ตอป หามีผลบังคับใหจําเลยตองเสียดอกเบี้ยตามที่โจทกนําสืบไม เพราะฉะนั้นจะไปเรียกดอกเบี้ย
ตั้งแตวันออกตั๋วถึงวันกําหนดใชเงินไมได
สรุป การที่จะบังคับเรื่องดอกเบี้ยในตั๋วแลกเงิน หรือ ตั๋วสัญญาใชเงินได ตองเขียนระบุไวในตั๋วเงินเทานั้น
ในกรณี ผูสั่งจายตั๋วแลกเงินก็ดี ผูออกตั๋วสัญญาใชเงินก็ดี เขียนขอกําหนดดอกเบี้ยลงในตั๋วเงินนั้น นอกจากจะมีผลผูกพัน ผูสั่ง
จายหรือผูออกตั๋วแลว ใหมีผลผูกพันถึงคูสัญญาอื่น ๆ ในตั๋วเงินดวยทุกคน ถาตอมามีการสลักหลังตอไป
หลัก ที่ตองผูกพันเพราะผูสั่งจายหรือผูออกตั๋วเปนผูใหกําเนิดตั๋วขึ้นมา เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่เขามาผูกพันเมื่อเห็นขอความใน
ตั๋วแลว ถือวาสมัครใจเขามาผูกพันจึงตองรับผิดในตั๋ว
ขอยกเวน ในตั๋วแลกเงิน ม.915 ผูสั่งจายตั๋วแลกเงิน หรือ ผูสลักหลังคนใด ๆ ก็ดี จะจดขอความลงไวในตั๋ว (1) ลบลางหรือจํากัด
ความรับผิด ดังนั้น ผูใดเขียนยกเวนความรับผิดไว คนนั้นก็ไมตองรับผิด
ระยะเวลาในการคิดดอกเบี้ย เริ่มนับเมื่อใด
- ถาระบุอัตราดอกเบี้ยไว ตาม ม.911 แตไมไดระบุใหชัดเจนวาจะใหเริ่มนับเมื่อใดนั้น ใหคิดตั้งแตวันที่ลงในตั๋ว (วันออกตั๋ว)
- แตถาระบุลงในตั๋ววา อัตราดอกเบี้ย จํานวน .... ใหคิดตั้งแตวันที่ .... (ซึ่งไมใชวันที่ออกตั๋ว) อยางนี้ใชบังคับได
*** อัตราดอกเบี้ยระบุใหคิดตั้งแตเมื่อใดใหเปนไปตามนั้น
คําถาม เมื่อมีการผิดนัดใชเงินตามตั๋วแลว อัตราดอกเบี้ยที่ระบุไวจะลดลงหรือไม
ตอบ ไมลดลง ใหถือไปตามนั้นจนกวาจะชําระเงินเสร็จสิ้น
ฏ.943/2539, 193/2536 -- ตั๋วสัญญาใชเงินระบุวาผูออกตั๋วไดออกตั๋วเมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2528 สัญญาวาจะจายเงิน 10 ลานบาทพรอม
ดอกเบี้ยรอยละ 15 ตอป ในวันที่ 17 มิ.ย. 2529 โจทกจึงมีสิทธิคดิ อกเบี้ยไดตั้งแต 17 มิ.ย. 2528 ซึ่งเปนวันออกตั๋วสัญญาใชเงิน เมื่อระบุอัตรา
ดอกเบี้ยไวแตไมไดระบุวาใหคิดดอกเบี้ยตั้งแตเมื่อใด ตาม ม.911 บัญญัติไวใหคิดตั้งแตวันออกตั๋ว
ฏ. 64/2537, 5007/2536 -- เมื่อไดกําหนดอัตราดอกเบี้ยไวโดยนิติกรรม ตั๋วสัญญาใชเงิน และครอบกําหนดใชเงิน จําเลยเปนฝาย
ผิดนัด โจทกผูทราบจึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราดังกลาวจากตนเงินตามตั๋วสัญญาใชเงินตอไปจนกวาจะชําระเสร็จ ตาม ม.224 ว.1
กรณีผูสั่งจายตั๋วแลกเงินหรือผูออกตั๋วสัญญาใชเงินไมไดระบุดอกเบี้ยลงในตั๋ว
ถาม มีการออกตั๋วสัญญาใชเงิน หรือ สั่งจายตั๋วแลกเงิน เมื่อตั๋วถึงกําหนด มีการนําตั๋วไป เรียกเก็บเงินโดยในตั๋วไมไดกําหนดระบุ
ดอกเบี้ยเอาไว กรณีอยางนี้ตองมีการใชดอกเบี้ยดวยหรือไม ตอบ ไมตองใชดอกเบี้ย
ม.911 กฎหมายใหสิทธิเขียนระบุดอกเบี้ยแลว เมื่อไมเขียนลงไป ผูทรงก็จะเรียกดอกเบี้ยไมได แตผูทรงจะคิดอกเบี้ยได ก็ตอเมื่อ
กรณีมีการผิดนัดไมใชเงินตามตั๋ว ซึ่งดอกเบี้ยผิดนัด **ไมใชรอยละ 7.5 ตอป ตามมาตรา 224 เพราะเรื่องตั๋วเงิน ม.968(2) “ผูทรงเรียกรอง
เอาเงินใชจากบุคคลซึ่งตนใชสิทธิไลเบี้ยนั้นก็ได คือ (2) ดอกเบี้ย ***อัตรารอยละ 5 ตอป นับแตวันถึงกําหนด”
ฏ.312/2531 --- ตั๋วสัญญาใชเงินซึ่งมิไดระบุเรื่องดอกเบี้ยไว เมื่อถึงกําหนดชําระ ผูทรงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยไดในอัตรารอยละ 5 ตอ
ป นับแตวันที่ตั๋วสัญญาใชเงินถึงกําหนด จากบรรดาผูสลักหลังผูสั่งจายและบุคคลอื่น ๆ ผูตองรับผิดในตั๋วเงินนั้น ผูทรงจึงมีสิทธิเรียกเอา
ดอกเบี้ยได ในอัตราเพียงรอยละ 5 ตอป จากผูรับอาวัลตั๋วสัญญาใชเงิน ซึ่งตองรวมกันรับผิดกับบุคคลดังกลาว
กฎหมายใชคํา 2 คําดังนี้
1. ลูกหนี้ชั้นตน หมายความถึง บุคคลผูจะตองรับผิดตอผูทรงเปนลําดับแรก คือ ผูที่ลงลายมือชื่อในตั๋วเงินและจายเงินตามตั๋ว
2. ลูกหนี้ที่ถูกไลเบี้ย เปนเรื่องผูสั่งจายเช็คหรือผูสั่งจายตั๋วแลกเงินหรือผูสลักหลังก็ดี บุคคลเหลานี้ไมไดมีหนาที่ตองจายเงินตามตั๋ว
การจะฟองบุคคลเหลานี้ จึงตองทําตามขั้นตอนกอน ใหอยูในเงื่อนไขวา ผูถูกสั่งใหจายเงินไมจายเงิน หรือทวงถามเงินเมื่อเช็คถูกปฏิเสธ
กอน (ผูจายคือธนาคาร)
ในเรื่อง ตั๋วสัญญาใชเงิน ลูกหนี้ชั้นตน คือ ผูออกตั๋ว เพราะเปนผูจายเงินเอง
อยางไรก็ตาม ทั้ง 2 จําพวกนี้ก็ตองรวมกันรับผิดในตั๋วเงินอยูดีนั้นเอง และการรับผิดในดอกเบี้ยก็ตองรับผิดเหมือนกันเทากันหมด
ทุกคน
๑๐
ดอกเบี้ยในเรื่องเช็ค
ผูทรงจะสามารถเรียกดอกเบี้ยได ก็ตอเมื่อธนาคารปฏิเสธการจายเงินตามเช็ค เพราะหนี้ตามเช็ค ถือเปนหนี้เงิน ตาม ม.224 และหนี้
เงินตามเช็คจะถือวา ลูกหนี้ผิดนัดก็ตอเมื่อธนาคารปฏิเสธการจายเงินเทานั้น
หลัก ธนาคารปฏิเสธการจายเงินเมื่อใด เริ่มคิดดอกเบี้ยไดตั้งแต ตอนนั้นเปนตนไป โดยเรียกไดในอัตรา 7.5 ตอป ตาม ม.224
โดยเรียกไดจากลูกหนี้ทุกคนในเช็ค ซึ่งตองรวมกันรับผิด ฏ.4686/2536, 41 – 42 /2539
ดอกเบี้ยตามสัญญาขายลดเช็ค
อัตราดอกเบี้ยใหเปนไปตามสัญญา สัญญาตกลงไววาอยางไรก็ใหเปนไปตามนั้น เพราะ เขาไมไดฟองตามตั๋วเงิน เขาฟองตาม
สัญญาใชเงิน
กรณีมีคูสัญญาหลายคน ฏ.3567/2525 --- จําเลยที่ 1 ขายลดเช็คทําสัญญาจะใชดอกเบี้ยถาถูกปฏิเสธการจายเงิน รอยละ 15 ตอป
สวนจําเลยที่ 2 เปนผูสั่งจายเช็คไมไดเปนคูสัญญา ดังนั้น ตองแยก ดอกเบี้ยสําหรับจําเลยที่ 1 เรียกได รอยละ 15 ตอป จําเลยที่ 2 รอยละ 7.5
ตอป
วันถึงกําหนดใชเงิน
ตั๋วแลกเงิน และ ตั๋วสัญญาใชเงิน ม.913 , 985 , 983(3) จะถึงกําหนดไดหลายกรณี
ม.913 (1) --- วันใดวันหนึ่งที่กําหนดไว เมื่อลูกหนี้ในตั๋วไมใชเงินก็จะตกเปนผูผิดนัดโดยมิพักตองเตือน
ม.913 (2) --- เมื่อสิ้นระยะเวลาอันกําหนดไว นับแตวันที่ลงในตั๋วนั้น หรือ นับจากวันออกตั๋วไปจนครบระยะเวลาที่กําหนดในวัน
ออกตั๋ว เชน 3 เดือนนับแตวันออกตั๋ว หรือ 30 วัน นับแตวันออกตั๋ว
ฏ.557/2532 -- (ตั๋วสัญญาใชเงินระบุวา 56 วันจะใชเงิน) ตั๋วตามที่กําหนดไวใน ป.พ.พ. ม.913(2) เมื่อครบกําหนดแลวใหตกเปนผู
ผิดนัดโดยมิพักตองเตือนเลย เพราะถือวากําหนดวันที่แนนอนตามวันแหงปฏิทิน
ม.913 (3) --- เมื่อทวงถาม หรือเมื่อไดเห็น หรือ ถึงกําหนดใชเงินเมื่อไดเห็น ผูทรงตั๋วตองยื่นตั๋วใหกับผูจายหรือผูออกตั๋วภายใน
กําหนด 6 เดือน นับแตวันที่ลงในตั๋วนั้น
Ex. ตั๋วลงวันที่ 1 มิ.ย.46 เขียนในตั๋ววา ใชเงินเมื่อไดเห็น ตั๋วแลกเงินฉบับนี้ โปรดจายใหแกนาย ก. ดังนั้น นาย ก. จึงตองนําตั๋ว
ไปยื่นภายใน 6 เดือน (ม.944,928) นับแตวันออกตั๋ว
ขอสังเกต 1. ตั้งแตวันออกตั๋วจนครบกําหนด 6 เดือน นับแตวันออกตั๋ว ยื่นวันไหน ถึงกําหนดใชเงินวันนั้น
2. ตั๋วสัญญาใชเงิน หรือ ตั๋วแลกเงินจะยื่นวันไหนก็ได นับแตวันออกตั๋วหรือวันสั่ง แตตองไมเกิน 6 เดือน นับแตวัน
ออกตั๋ว
ในกรณีเช็ค วันถึงกําหนดใชเงินตามเช็ค คือ เมื่อทวงถาม หมายความวา ทวงถามเมื่อไร ก็ตองใชเงินเมื่อนั้นและจะเริ่มทวงถาม
ไดเมื่อตั้งแตวันที่ลงในเช็คนั้นเปนตนไป
วันถึงกําหนดใชเงินตามตั๋วแลกเงิน หรือ ตั๋วสัญญาใชเงิน ตาม ม.913
1. เมื่อทวงถาม ประเภทนี้จะไมอยูในบังคับ ม.944 ที่ผูทรงจะตองยื่นภายใน 6 เดือนนับแตวันที่ลงในตั๋ว โดยถือเอาวันที่ผูทรง
ทวงถามเปนวันถึงกําหนดใชเงินและกฎหมายก็ไมไดบังคับวาจะตองทวงถามในระยะเวลาใด
2. เมื่อไดเห็น คือ ตั้งแตวันที่ออกตั๋วเปนตนไป (คือ วันที่ที่ลงในตั๋วนั่นเอง) แตจะยื่นใหใชเงินภายหลัง 6 เดือนนับแตวันออกตั๋ว
ไมได สรุปก็คือ เอาตั๋วไปใหเห็นวันไหนก็ถึงกําหนดใชเงินวันนั้น แตตองยื่นภายใน 6 เดือนเทานั้น
ฏ.1062/2540(ป) --- จําเลยออกตั๋วสัญญาใชเงินใหแกโจทกลงวันที่ 19 ธ.ค.2529 สัญญาวาจะใชเงิน 1286 ลานบาทเศษ โดยมีวัน
ถึงกําหนดใชเงินเมื่อทวงถาม (วันถึงกําหนดใชเงินจึงเปนไปตาม ม.913(3)) ปรากฎวาเมื่อป พ.ศ. 2533 โจทกมีหนังสือทวงถามไปถึงจําเลย
เมื่อวันที่ 7 ก.ย.2533 (คือวันที่ลงในหนังสือทวงถาม) จําเลยไดรับหนังสือ เมื่อ 12 ก.ย. 2533 แลวจําเลยไมชําระ โจทกจึงนําคดีมาฟอง เมื่อ
14 ก.ย. 2536 (กําหนดฟองดดีภายใน 3 ป นับแตวันถึงกําหนดใชเงิน)
ปญหามีวาจะถือวาตั๋วสัญญาใชเงินถึงกําหนดทวงถามวันไหน ขอเท็จจริงมีวา ในหนังสือทวงถามระบุวา “ขอใหทานใชเงิน
ภายใน 7 วันนับแตวันที่ไดรับหนังสือทวงถามฉบับนี้” (ปญหามีวาจะตอง บวกอีก 7 วันนับแตวันที่จําเลยไดรับหนังสือทวงถามหรือไม
เพราะถาบวกอีก 7 วัน เขาไปก็จะครบกําหนด 3 ป ในวันที่ 19 ก.ย.2536 อายุความก็จะไมขาด)
๑๑
ศาลฏีกาวินิจฉัยวา ตาม ป.พ.พ. ม. 169 (ใชบังคับในขณะนั้น) กําหนดอายุความเริ่มนับตั้งแตวันที่อาจบังคับตามสิทธิเรียกรองได
เปนตนไป เมื่อตั๋วสัญญาใชเงินกําหนดไวชัดเจนวา ผูออกตั๋วสัญญาจะใชเงินเมื่อทวงถาม ดังนั้น วันถึงกําหนดใชเงินของตั๋วสัญญาใชเงิน
พิพาท จึงหมายถึง วันที่โจทกผูทรงตั๋วสัญญาใชเงินทวงถามใหผูออกตั๋วใชเงิน ตาม ม.913(3) หาใชถึงกําหนดใชเงินในวันออกตั๋วไม ตอง
นับวันที่ครบกําหนดทวงถามเปนวันที่ครบกําหนด และกําหนดใชเงินตามหนังสือทวงถามของโจทกกําหนดใหจําเลยใชเงินภายใน 7 วันนับ
แตไดรับหนังสือดังกลาว (อยางนี้ก็ตองตีความวาโจทกซึ่งเปนเจาหนาในตั๋วนั้น จะเรียกใหชําระเงินกอนถึงกําหนด 7 วันนั้นไมได แตฝาย
จําเลยซึ่งเปนลูกหนี้สามารถจะชําระกอนครบกําหนดนี้ได ดังนั้น หากพนกําหนด 7 วันดังกลาวนี้ แลวจึงจะถือวาจําเลยผิดนัด ซึ่งโจทกอาจ
บังคับใหจําเลยใชเงินตามตั๋วพิพาทนี้ได นับแตวันครบกําหนด 7 วัน ตามหนังสือทวงถามเปนตนไป) ดังนั้น จึงตอง บวก 7 วันเขาไปดวย
อายุความจึงเริ่มนับ วันที่ 20 ก.ย. 2533 เปนตนไป ดังนั้นเมื่อโจทกนําคดีมาฟองเมื่อวันที่ 14 ก.ย. 36 จึงไมพนกําหนด 3 ป คดีโจทกจึงไมขาด
อายุความ (ตาม ม.1001)
ม.913 (4) --- เมื่อสิ้นระยะเวลาอันกําหนดไวนับแตไดเห็น เปนการนับตั้งแตผูสั่งจายไดเห็นตั๋ว หรือรับรองตั๋วนั้น นับไปจนครบ
กําหนดระยะเวลาที่กําหนดไว
Ex. นาย ก. ออกตั๋วแลกเงินสั่งใชเงินให ค. ภายใน 180 วัน นับแตไดเห็น (วันถึงกําหนดใชเงินกรณีนี้จะนับตั้งแตผูจายเงินไดเห็น
หรือรับรองตั๋ว คือ เอาตั๋วไปใหผูจายเห็นเสียกอนแลวนับไปอีก 180 วัน)
ปญหามีวา ผูทรงจะตองเอาตั๋วไปใหผูจายเงินเห็นภายในระยะเวลาใด กฎหมายกําหนดไวใน ม.928, 913 (ภายใน 6 เดือนผูทรง
จะตองเอาตั๋วไปใหผูจายเห็น เมื่อผูจายเห็นแลวก็เริ่มนับระยะเวลา 180 วัน จนครบ)
สรุป ถามีการอื่นตั๋วใหรับรองในวันใด และผูจายรับรองวันนั้นก็จะเปนวันเริ่มเห็นตั๋ว
Ex. ตามตัวอยาง ค. นําตั๋วไปให ข. เห็น วันที่ 1 ธ.ค. 45 ก็จะเริ่มนับตั้งแตวันที่ 1 ธ.ค. 45 ไปจนครบ 180 วัน เมื่อครบ 180 วัน ก็จะ
เปนวันถึงกําหนดใชเงินตั้งแตวันครบ 180 วันนั้นเปนตนไป
การโอนตั๋ว
ตั๋วแลกเงิน – ตั๋วสัญญาใชเงิน - เช็ค เปนตราสารที่สามารถโอนกันได เปนทอด ๆ บุคคลที่เขามาเปนคูสัญญา จึงมีไดไมจํากัด
จํานวนโดยการลงลายมือชื่อ
ตั๋วเงิน สามารถแบงออกเปน 2 ชนิด
1. ชนิดระบุชื่อ มีไดทั้ง 3 ชนิดคือ ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใชเงิน และ เช็ค
2. ชนิดผูถือ มีได 2 ชนิดคือ ตั๋วแลกเงิน และ เช็ค
วิธีการโอน ตั๋วเงินชนิดระบุชื่อ ตาม ม.917 เปนการโอนตั๋วแลกเงินชนิดระบุชื่อ แตนําไปใชในเรื่องตั๋วสัญญาใชเงินและเช็คดวย
โดยผล ม. 985 และ 989
ม.917 วรรคแรก อันตั๋วเงินทุกประเภท (3 ประเภท) “ถึงแมวาจะมิใชสั่งจายใหแกบุคคลเพื่อเขาสั่งก็ตาม” หมายความวา
ถึงแมวาผูสั่งจายหรือผูออกตั๋ว จะสั่งจายโดยระบุชื่อผูรับเงิน ไมมีขอความ “หรือตามเขาสั่ง” ตั๋วเงินฉบับนั้นก็สามารถจะโอนตอไปได
ดวยการสลักหลังและสงมอบ
การโอนตั๋วชนิดระบุชื่อจึงอยูภายใต ม.917 คือ “ยอมโอนใหกันไดดวย สลักหลังและสงมอบ”
วิธีสลักหลัง ม.919 ว.1 ซึ่งแบงวิธีสลักหลังออกเปน 2 วิธี
1. สลักหลังเฉพาะ คือ สลักหลังโดยระบุชื่อผูรับโอนหรือผูรับประโยชนไวแลวลงลายมือชื่อผูโอน
2. สลักหลังลอย คือ การลงชื่อผูโอนไวโดยไมไดระบุชื่อผูรับโอนหรือผูรับประโยชน
การสลักหลังเฉพาะ จะสลักหลังไวที่ใดกฎหมายไมไดระบุไว แตทางปฏิบัติจะนิยมสลักหลังไวที่ดานหลังตั๋ว เนื่องจากมีอักษร
ขอความกํากับอยูแลววาโอนใหคนนี้ แมจะเขียนไวดานไหนก็ไมทําใหหรือแปลความไปเปนอยางอื่น
๑๒
การสลักหลังลอย สรุปไดดังนี้
1. การสลักหลังลอยจะมีเฉพาะในตั๋วระบุชื่อผูรับเงินเทานั้น
2. การสลักหลัง หมายความถึง การที่ผูสลักหลังลงลายมือชื่อดานหลัง ตั๋วเงิน “เนน” ---> ตองกระทําดาน “หลัง” เทานั้น และ
ตองไมระบุชื่อผูรับประโยชนหรือผูรับโอนตั๋ว
3. สงมอบตั๋วใหแกผูรับโอน
ถาม ไปลงลายมือชื่อที่ดานหนาของตั๋วเงินผลจะเปนเชนไร ตอบ จะเปนการอาวัล (ม.939 วรรคสาม)
ม.920 การสลักหลังยอมโอนไปซึ่งสิทธิอันเกิดแตตั๋วแลกเงิน
(1) หมายความวา ผูรับโอนตั๋วดวยการสลักหลังลอยมา อาจจะตองการโอนตั๋ว เชน ตองการโอนตั๋วที่ นาย ก. สลักหลังลอยมาให
ตน ใหกับนาย ข. ก็อาจจะเขียนดานหลังวาโอนใหแก ข. เหนือลายมือชื่อ นาย ก. ก็ได ซึ่งจะมีผลวา นาย ก. โอนตั๋วแบบเฉพาะให ข. ก็มีผล
ใชบังคับได
(2) เชน ถา ค. ซึ่งรับโอนแบบสลักหลังมาจาก ก. ตองการโอนตอให ข. ก็อาจโอนแบบเฉพาะ หรือ แบบสลักหลังลอยให ข.ก็ได
ทั้งสองแบบ
***(3) สามารถโอน แบบสงมอบเฉย ๆ เหมือนตั๋วผูถือได โดยผูโอนแบบนี้ไมตองรับผิดหากมีการผิดสัญญาขึ้นมา เพราะไมได
ลงลายมือชื่อ ตาม ม.900
แตขอสังเกต แมจะโดนโดยสงมอบเฉย ๆ ก็ตาม ตั๋วเงินนั้นก็ยังคงสภาพเปนตั๋วชนิดระบุชื่ออยูเชนเดิม
ม.922 เปนหลักของการสลักหลัง หามสลักหลังโดยมีเงื่อนไขในการโอนตั๋วเงิน ซึ่งถาเขียนเงื่อนไข ก็ใหถือเสมือนไมมีการเขียน
ขอความใด ๆ ลงไปในตั๋วเงินนั้นเลย
Ex. เขียนลงไปในตั๋ววา ใหเปนผลวาจะโอนตอเมื่อนาย ก. สอบเนติฯได ผลก็คือ เทากับไมไดเขียนขอความใด ๆ ลงไปเลย ซึ่ง ก.
ก็กลายเปนผูทรงตั๋วโดยสมบูรณ แมจะยังสอบเนติฯ ไมไดก็ตาม
ขอระวัง อยาจําสับสนกับชั้นในการออกตั๋วเงิน ซึ่งจะไปวางเงื่อนไขไมได เพราะจะทําใหตราสารนั้นไมสมบูรณเปนตั๋วเงิน
Ex. ไประบุวาจายเงินเมื่อ นาย ก. สอบเนติฯ ได อยางนี้ตราสารไมสมบูรณเปนตั๋วเงิน แตถาไปวางเงื่อนไขเกี่ยวกับความรับผิด
สามารถทําได (ม.915)
Ex. นาย ก. ออกตั๋วให ข. และเขียนระบุเงื่อนไขวา แตทั้งนี้ ขาพเจาขอรับผิดตามตั๋ว เพียงกึ่งหนึ่ง (สามารถทําได)
ม.922 วรรคทาย สลักหลังโอนแตบางสวนเปนโมฆะ
การโอนตั๋วชนิดผูถือ (ม.918,921) นําไปใชเรื่องเช็ค ม.989 มี 2 กรณี
1. ตั๋วผูถือลวน ๆ (ไมไดระบุชื่อใครลงในตั๋ว)
2. ตั๋วระบุชื่อผูรับเงินและมีขอความหรือผูถืออยูดวย ซึ่ง ศาลฏีกา แปลความวา ผูสั่งจายไมไดประสงคจะใหใชเงินใหแตเฉพาะผูที่
ระบุชื่อไวเทานั้น หากแตยังสงใหใชเงินแกผูถือดวย
ขอที่จําสับสน บอย ๆ
เช็คขีดครอม ซึ่งการขีดครอมจะมีไดเฉพาะในเช็คเทานั้น ถาไปขีดครอมในตั๋วแลกเงินหรือตั๋วสัญญาใชเงินก็จะไมมีผลตาม ม.899
หลัก การขีดครอมนั้น มีแตเพียงวา ธนาคารผูใชเงินจะใชเงินตามเช็คใหแกผูทรางที่มาขึ้นเงินโดยตรงไมได แตธนาคารจะเงินได
โดยผานธนาคารดวยกัน เพราะฉะนั้น ถาหากเช็คที่มีการขีดครอมก็ยอมโอนกันไดตามปกติ
ซึ่งถาเปนเช็คระบุชื่อ แลวมีการขีดครอม --> โอนโดยการสลักหลังแลวสงมอบ
ถาเปนเช็คชนิดผูถือ แลวมีการขีดครอม --> โอนโดยการสงมอบ
ฏ.2485/2523, 1015/2532 , 4336/2534
- เช็คพิพาทเปนเช็คที่สั่งจายแกบริษัท ธ. ผูถือ แมจะมีการขีดครอม แตมิไดระบุหามโอนจึงมีการโอนไดโดนสงมอบ
- เช็คพิพาทเปนเช็คขีดครอมโดยทั่วไปสั่งจายเงินใหแกจําเลยที่ 3 โดยมิไดมีการระบุวาหามเปลี่ยนมือ จําเลยที่ 3 ยอมโอนโดยสลัก
หลังและสงมอบตอได
๑๓
เช็คผูถือ ถึงแมธนาคารไดปฏิเสธ การจายเงินแลวก็สามารถโอนกันได ดังนั้น แมธนาคารปฏิเสธการจายเงินในเช็คผูถือแลว เมื่อ
ไปลงลายมือชื่อโอนตอก็ตองรับผิด (ในฐานะผูอาวัล) ฏ.2062/2537,1043/2534,5435/2533
ม.990 ผูทรงจะตองยื่นเช็คใหธนาคารใชเงินภายในกําหนด (1,3 เดือน) ถาไมยื่นจะสิ้นสิทธิที่จะไลเบี้ย...
คําวา “ผูสลักหลัง” หมายถึง เช็คระบุชื่อ
การโอนตั๋วที่มีขอกําหนดวาเปลี่ยนมือไมได ตามบทบัญญัติที่เกี่ยวของ มี 3 มาตรา
1. ม.917 วรรค 2 เปนเรื่องผูสั่งจายหรือผูออกตั๋ว เขียนคําวา “เปลี่ยนมือไมได ซึ่งเปนการคุมครองผูสั่งจายหรือผูออกตั๋ว
2. ม.923 ผูสลักหลัง “หามสลักหลัง” ลงในตั๋ว ซึ่งเปนการคุมครอง ผูสลักหลัง
3. ม.995(3) เช็คขีดครอมที่ผูทรงจะเติมคําวา “หามเปลี่ยนมือ” ลงในเช็คขีดครอม ซึ่งเปนการคุมครองผูทรง
1. ม. 917 วรรคสอง ซึ่งเปนบทบัญญัติในเรื่องตั๋วแลกเงิน แตนําไปใชกับเรื่องตั๋วสัญญาใชเงินและเช็คดวย โดยผานมาตรา
985,989
โดยหลัก ตาม ม.917 วรรคแรก ตั๋วเงินทั้ง 3 ประเภท (ตั๋วแลกเงิน,ตั๋วสัญญาใชเงิน,เช็ค) เปนตราสารที่สามารถโอนเปลี่ยนมือได
และสามารถโอนใหกันไดดวยสลักหลังและสงมอบ
แตเมื่อผูสั่งจายหรือผูออกตั๋วไมตองการใหตั๋วเงินโอนกันไดในวิธีการอยางตั๋วเงินจะตองการทําอยางไร
ตอบ เปนเรื่องของมาตรา 917 วรรค 2
ขอสังเกต 1. ตั๋วที่จะเขียนคําวา “เปลี่ยนมือไมได” ตองเปนตั๋วชนิดระบุชื่อ หมายความวา ถาผูสั่งจายหรือผูออกตั๋วไมตองการให
มีการโอนหรือเปลี่ยนมือกันไมไดตอไปแลวจะตองเขียนลงในตั๋วดวยขอความวา “เปลี่ยนมือไมได” แตตองอยูภายในเงื่อนไขวาตั๋วที่จะหาม
เปลี่ยนมือไดนี้ ตองเปนตั๋วชนิดระบุชื่อเทานั้น จะเปนตั๋วผูถือไมได เนื่องจากตั๋วผูถือมีการโอนดวยการสงมอบเพียงอยางเดียวก็สมบูรณแลว
ตาม ม.918 ดังนั้น แมไปเขียนหามเปลี่ยนมือเอาไวก็ไมมีประโยชน เพราะถามีการเปลี่ยนมือหรือสงมอบก็ไมอาจรูไดตางกับตั๋วชนิดระบุชื่อ
ซึ่งตองมีการสลักหลังแลวสงมอบ อันเห็นเปนหลักฐานไดวามีการเปลี่ยนมือกัน
ตั๋วผูถือ แบงไดเปน 2 ประเภทดังนี้
1. ตัวผูถือลวน ๆ คือ ตั๋วที่มีขอความวา “ใหใชเงินแกผูถือ” หรือ “ผูถือ “ หรือ “จายสดแกผูถือ” สรุป คือ ไมไดระบุชื่อใครลง
ในตั๋วนั่นเอง ตั๋วแบบนี้ ผูสั่งจาย หรือผูออกตั๋วจะไปเขียนขอความวา “เปลี่ยนมือไมได” ลงไปในตั๋วไมได เพราะวา ตั๋วผูถือนั้น สงมอบ
โดยไมตองเขียนอะไรลงไปเลยก็ไดอยูแลว จะมีประโยชนอะไรที่ไปหามเปลี่ยนมือ แมจะหามไว แตมีการฝาฝนโดยสงมอบเปลี่ยนมือกัน
เปนรอยเปนพันคน ธนาคารก็ไมอาจรูได ดังนั้น ตั๋วผูถือชนิดนี้ จึง หามเปลี่ยนมือไมได
2. ตั๋วที่ระบุชื่อผูรับเงิน และไมมีขีดฆาคําวา “หรือผูถือ” คือ ตั๋วที่ระบุชื่อผูรับเงินลงไปแลวไมไดขีดฆาคําวา “หรือผูถือ” ออก
(เนื่องจากในแบบฟอรมของตั๋วจะเขียนเอาไว) ถาผูสั่งจายหรือผูออกตั๋วไปเขียนคําวา “เปลี่ยนมือไมได” หรือ A/C PAYEE ONLY” ถือวา
ตั๋วฉบับเปนตั๋วที่หามโอน ตาม ม.917 วรรค 2 ดวยเชนกัน
ดังนั้น ถาตั๋วผูถือที่ระบุชื่อผูรับเงิน แ ละไมไดขีดฆา คําวา “หรือผูถืออก” เมื่อผูสั่งจายหรือออกตั๋วไปเชียน คําวา “เปลี่ยนมือ
ไมได” เพิ่มลงไป ตั๋วนี้ก็จะกลายเปนวาไมใชตั๋วผูถืออีกตอไป ตามฏีกา 2055/2536
ทางปฏิบัติ แมไมไดเขียนคําวา หามเปลี่ยนมือลงไป ถาเปนตั๋วที่ระบุชื่อผูรับเงินและไมไดขีดคําวา หรือ ผูถือออกแลวทางธนาคาร
ก็จะไมคอยจายเงินใหผูถือที่ไมใชผูที่ระบุชื่อไวในตั๋วนั้นเพราะเปนการเสี่ยง
สรุปแลว ถาเปนตั๋วที่ระบุชื่อผูรับเงิน และไมไดขีดฆาคําวา หรือผูถือออก ถาหากวาผูสั่งจายหรือผูออกตั๋วไปเขียนคําวา “ให
จายเงินแกผูรับเงิน” หรือ “เปลี่ยนมือไมได” หรือ “A/C PAYEE ONLY” ลงไปในตั๋วแลว ตั๋วนี้ก็จะไมใชตั๋วผูถืออีกตอไป แตจะเปนตั๋ว
หามเปลี่ยนมือ ตาม ม.917 วรรคสอง
หลักของมาตรา 917 วรรคสอง ประกอบดวย
1. ตองเขียนลงในดานหนาแหงตั๋วเงินเทานั้น
2. ตองมีขอความวา “เปลี่ยนมือไมได” หรือเปนขอความอื่นที่มีความหมายทํานองเดียวกันนี้
ในทางปฏิบัติขอความที่มักใชก็คือ “A/C PAYEE ONLY” ซึ่งแปลเปนภาษาไทยไดวา “เฉพาะบัญชีผูรับเงินเทานั้น”
Ex. คําอื่นที่ทํานองเดียวกันกับคําวา “เปลี่ยนมือไมได”
๑๔
ฏ.4975/2533 (ออกสอบแลว) เขียนคําวา “เฉพาะ” ลงในดานหนา ศาลฏีกา แปลวา คําวา เฉพาะยังถือไมไดวาเปนถอยคําทํานอง
เดียวกันกับคําวา “เปลี่ยนมือไมได” ฉะบั้น เช็คฉบับนี้จึงสามารถโอนเปลี่ยนมือได ตาม ม.917 วรรคแรก และคําวาเฉพาะจึงเปนขอความที่
ไมถือวามีขอความใด ๆ ในตั๋ว ตาม ม.899
หากมีการฝาฝน ม.917 วรรคสอง ผลจะเปนประการใด ม.917 วรรคสอง บัญญัติคุมครองผูสั่งจาย หากฝาฝนโดยมีการโอนโดย
สลักหลัง ผลก็คือจะกลายเปนการโอนที่ไมชอบสิทธิตาง ๆ ในตั๋วก็ไมโอนไป จึงทําใหผูรับโอนไมมีสิทธิดีกวาผูโอน ในทางอาญาก็จะ
ไมใชผูเสียหายไมสามารถนําเช็คมาฟองผูสั่งจายได
ปญหาตอไปก็คือ ผูทรงจะฟองใครไดบาง ซึ่งยังไมมีฏีกาตรง ๆ วา จะฟองผูสั่งจายไดหรือไม แตมีฏีกา
ฏ.2742/2525 ใหผูสลักหลังแตผูเดียวรับผิดตอผูทรง
ฏ.3329/2531 เมื่อโอนโดยฝาฝน ม.917 วรรคสอง ผูทรงจึงไมใชผูทรงโดยชอบดวยกฎหมาย ไมใชผูเสียหายที่จะมีอํานาจฟองผูสั่ง
จายได
กรณีผูสั่งจาย หรือออกตั๋วเขียนขอความวา “หามเปลี่ยนมือ” ผูรับโอนที่มีชื่อระบุอยูนั้นจะไปโอนตอไมได ถาฝาฝนผูรับโอนนั้นก็
จะไมใชผูทรงโดยชอบดวยกฎหมาย ไมมีสิทธิที่จะไปฟองผูสั่งจายหรือผูออกตั๋วซึ่งระบุขอความวา “เปลี่ยนมือไมได” ไมได
ม.917 “ทานวาตั๋วเงินนั้นยอมจะโอนใหกันได แตโดยรูปการและดวยผลอยางการโอนสามัญ” ตั๋วที่ผูสั่งจาย หรือผูออกตั๋วระบุ
ขอความวา “เปลี่ยนมือไมได” ยังสามารถโอนกันได แตตองโอนดวยวิธีการโอนสิทธิเรียกรองตาม ม.306 คือ โอนเหมือนกับโอนหนี้
ธรรมดาจะไปโอนเหมือนกับการสงมอบไมได
หลักเกณฑ
1. การโอนระหวางผูโอน (ผูมีชื่อเปนผูรับเงินในตั๋ว) กับผูรับโอนตองทําเปนหนังสือ คือ ทําบันทึกเปนหนังสือ
2. จะตองบอกกลาวการโอนไปยังลูกหนี้ในตั๋วเงิน หรือใหลูกหนี้ทําความยินยอมแหงการยินยอมแหงการโอนเปนหนังสือ (ลูกหนี้
คือ ผูสั่งจายหรือผูออกตั๋ว)
** ถาขาดขอใดขอหนึ่งจะไมถือเปนการโอน
ฏ.3292/2536 เปนตั๋วอยางการโอนโดยชอบ
ฏ.5127/2531,ฏ.2419/2533 การโอนระหวางผูโอนกับผูรับโอนไมไดทําเปนหนังสือจึงไมสมบูรณ
ขอเท็จจริง ครั้งแรกเปนการโอนโดยไมชอบ ซึ่งไมไดมีหนังสือบอกกลาวการโอนไปยังลูกหนี้ ตอมาภายหลังถึงแมจะทําเปน
หนังสือบอกกลาวไปยังลูกหนี้ก็ตาม แตการโอนนั้นไมชอบดวยกฎหมาย เพราะไมทําตามขอ 1 คือ การโอนระหวางผูโอนกับผูรับโอนไมทํา
เปนหนังสือ
ฏ.1162/2533 การโอนระหวางผูโอนกับผูรับโอนทําเปนหนังสือ แตไมไดบอกกลาวไปยังลูกหนี้ ผูรับโอนจึงไมมีสิทธิใด ๆ ในตั๋ว
(ขาดองคประกอบขอ 2 จึงเปนการโอนไมชอบ)
2. ม.923 ผูสลักหลัง “การสลักหลังนั้นตองใหเปนขอความอันปราศจากเงื่อนไข ถาและวางเงื่อนไขบังคับลงไวอยางใด ทานให
ถือเสมือนวาขอเงื่อนไขนั้นมิไดเขียนลงไวเลย” นําไปใชเรื่องตั๋วสัญญาใชเงิน (ม.985) และเช็คดวย (ม.989) เปนกรณีผูสลักหลังระบุ
ขอความวาหามสลักหลังลงไวในตั๋ว ซึ่งสามารถใชขอความ เหมือนกับผูสั่งจายหรือผูออกตั๋วใช
Ex. จะเขียนดานหนาหรือดานหลังก็ได (ไมเหมือนผูสั่งจาย) แตกรณีผูสลักหลังเขียนหามโอนจะไมมีผลใหการโอนตั๋วนั้น หาม
โอนตอไป
การที่ผูสลักหลังเขียนในตั๋ววาหามโอนมีผลเพียงถาฝาฝนไปโอนแลวเขาจะไมรับผิด แตไมใชวาตั๋วฉบับนี้จะโอนตอไมไดเลย
หมายความวา ยังคงสามารถโอนโดยสลักหลังโอนตอไปได ไมมีผลเปนการหามโอนนั่นเอง
แตผูที่เขียนหามโอนนั้น ไมตองรับผิดในการโอนครั้งตอไป คือ เขาจํากัดวาเขาจะรับผิดตอผูรับโอนตอจากเขาคนเดียวเทานั้น ถา
บุคคลที่รับโอนตอจากเขาฝาฝนโดยไปโอนตอไปอีก ผูรับโอนก็จะมาฟองเขาไมได
ม.923 เปนบทบัญญัติที่ใหสิทธิผูสลักหลังจํากัดสิทธิของตนได และเงื่อนไขอีกประการหนึ่งของ ม.923 คือ จะใชกับตั๋วระบุชื่อ
เทานั้น ซึ่งถาเปนตั๋วผูถือแลว ผูที่ลงชื่อในดานหลังตั๋วหรือลงชื่อดานหนาตั๋วนี้เปนเพียงผูอาวัลเทานั้น จะไมมีอํานาจไปหามไมใหโอนใด ๆ
เลย แมเขียนลงไปก็จะไมมีผลใดๆ
๑๕
3. ม.995 (3) ผูทรง เปนบทบัญญัติที่คุมครองผูทรงใหสามารถหามมิใหเปลี่ยนมือในเช็คที่ตนเองครอบครองอยูได (อาจกลัววา
เช็คจะหายไปหรือมีคนมาขโมยไปจึงเขียนเอาไวกอนเลยวาหามโอน)
โดยจะสามารถทําไดก็แตเช็คฉบับนั้น เปนเช็คขีดครอม ดังนั้น ตองดูกอนวาเช็คขีดครอม คืออะไร
เช็คขีดครอม คือ เช็คที่ขีดเปนบรรทัดคูขนานกันไวบนตัวเช็ค โดยใหมีความหมายวา ใหธนาคารจายเงินเขาบัญชีของผูทรงเทานั้น
จะจายเปนเงินสดใหไมได และเช็คขีดครอมนี้แบงออกเปน 2 ประเภท คือ
1. เช็คขีดครอมทั่วไป คือ การทีดานหนาของเช็คขีดเสนขนาดไว 2 เสน
2. เช็คขีดครอมเฉพาะ คือ มีเสนขนานคูกันขีดไวดานหนาเหมือนขีดครอมทั่วไป แตในระหวางเสน ตรงกลาง มีขอความวา “เปน
ชื่อธนาคาร”
เช็คขีดครอมนี้จะไมมีผลตอการโอนวาสามารถโอนได หรือไม คือ แมเปนเช็คขีดครอมก็สามารถโอนกันไดตามปกติ แลวแต
ประเภทเช็ค ถาเปนเช็คผูถือก็โอนโดยการสงมอบ ถาเปนเช็คระบุชื่อก็โอนโดยการสลักหลังแลวสงมอบ การขีดครอม มีผลเฉพาะในเรื่อง
การจายเงินของธนาคาร เมื่อนําไปขึ้นเงินเทานั้น โดยธนาคารจะจายเงินเขาบัญชี แลวธนาคารจะไปเรียกเก็บเงินกับธนาคารตามเช็คอีกที
หนึ่ง สรุปวา จะจายเงินสดใหผูทรงในขณะไปขึ้นเงินไมได
หลัก ตั๋วเงินจะโอนไมไดเลย ก็จะมีกรณีเดียวเทานั้น คือ ผูสั่งจายเขียนลงไปดานหนาตั๋วชนิดระบุชื่อ หรือ ชนิดระบุชื่อแตไมไดขีด
ฆาคําวา หรือผูถือออก วา “เปลี่ยนมือไมได” หรือ “ A/C PAYEE ONLY”
ม.995 (3) เปนเพียงผูทรงเขียนคําวา “หามเปลี่ยนมือ” ลงในเช็คขีดครอม ก็สามารถโอนกันได แตมีผลเพียงเปนไปตาม มาตรา
999 “บุคคลใดไดเช็คขีดครอมของเขามาซึ่งมีคําวา “หามเปลี่ยนมือ” ทานวาบุคคลนั้นไมมีสิทธิในเช็คนั้น ยิ่งไปกวาและไมสามารถใชสิทธิ
ในเช็คนั้นตอไปไดดีกวาสิทธิของบุคคลอันตนไดเช็คของเขามา”
สรุป
1. ผูออกตั๋วเงิน ม.917วรรคสอง ตั๋วหามโอนเด็ดขาด เวนแต โอนตามมาตรา 306 โอนสิทธิเรียกรอง
2. ผูสลักหลัง ม.923 ไมหามโอนแตเปนขอจํากัดสิทธิของผูสลักหลัง
3. ผูทรง ม.995(3) ประกอบ ม.999 ผูรับโอนไมมีสิทธิดีกวาผูโอน
การอาวัล
การอาวัล คือ การประกันความรับผิดขอบลูกหนี้ตามตั๋วเงินนั้น การอาวัลจะมีหรือไมมีก็ได โดยการอาวัลจะมีขึ้นก็ดวยเครดิตของ
ลูกหนี้ไมดี ไมไดรับความเชื่อถือ จึงตองการใหบุคคลอื่นเขามารับผิดดวย
เพื่อความเขาใจ จึงเปรียบเทียบกับการค้ําประกันไดดังนี้
การอาวัล การค้ําประกัน
ม.967 ในเรื่องตั๋วเงิน ผูอาวัลตองรวมกันรับผิดตอผูทรง เปนเรื่องที่ยอมผูกพันตนเขารับิดในกรณีลูกหนี้ชั้นตนไม
โดยผูทรงจะเรียกเอากับลูกหนี้ในตั๋วเรียงตัว หรือรวมกันได ชําระหนี้นั้น ผูค้ําประกับถือเปนลูกหนี้ชั้นสอง สามารถเกี่ยง
โดยมิพักตองเรียงตามลําดับ ใหบังคับเอากับลูกหนี้กอนไดตามเงื่อนไข ม.688,689,690
เห็นไดชัดวาผูอาวัลถือเปนลูกหนี้ฐานะชั้นเดียวกับลูกหนี้
ในตั๋วจะไปเกี่ยงใหผูอื่นรับผิดกอนตนไมได
ฏ.422/2521 ผูทรงผอนเวลาใหผูสั่งจายในตั๋วเงินไมเปนเหตุใหผูรับอาวัลพนผิดไปไดแตอยางใด
สรุป การอาวัลจึงไมใชผูค้ําประกันจะนําเรื่องคําประกันมาใชบังคับกับการอาวัลไมได (ฏ.1853/2511)
๑๖
บุคคลที่จะเขามารับอาวัล
วิธีการอาวัลนั้น มี 2 แบบ
จัดลําดับฐานะในการลงชื่อ
ตั๋วผูถือ ตั๋วระบุชื่อ
๑๗
บุคคลที่ถูกรับอาวัลนั้น ม.939 ว.4 ตองระบุวารับอาวัลผูใดใหชัดเจน ซึ่งหากมิไดระบุไว ถือวารับอาวัลผูสั่งจาย และ ม.938 วรรคแรก อาวัล
กําหนดจํานวนเงินทั้งหมดหรือบางสวนก็ได
ผลของการรับอาวัล ม.940 และม.967 ผูรับอาวัลยอมตองเปนอยางเดียวกันกับบุคคลซึ่งตนประกัน (ตางกับเรื่องค้ําประกัน ซึ่งผูค้ํา
เปนลูกหนี้ชั้นสอง ผูอาวัลเปนลูกหนี้ชั้นเดียวกับลูกหนี้) แตอยางไรก็ตาม ผูอาวัลกับผูถูกรับอาวัลไมใชลูกหนี้รวมกัน เพียงแตตองรับผิดตอผู
ทรงรวมกันเทานั้นเอง และแมถึงวาความรับผิดใชเงินอันผรับอาวัลไดประกันอยูนั้นจะตกเปนใชไมไดดวยเหตุใด ๆ นอกจากเพราะกระทํา
ผิดแบบระเบียบทานวาขอที่สัญญารับอาวัลนั้นก็คงสมบูรณ
สิทธิไลเบี้ยของผูอาวัล เมื่อไดใชเงินตามตั๋วไปแลว
1. ไลเบี้ยเอาแกผูซึ่งตนไดประกันไว
2. ไลเบี้ยเอาจากลูกหนี้ของผูซึ่งตนประกัน (ในเรื่องตั๋วเงินคนลงชื่อกอนจะตองรับผิดตอคนลงชื่อหลัง)
กรณีอาวัลถามีผูอาวัลหลายคนจะไลเบี้ยผูอาวัลดวยกัน ถาเปนเรื่องค้ําประกันรวมกันจายเงินแลวไลเบี้ยตอกันได แตเรื่องอาวัล
แยกดังนี้
ผูรับอาวัลหลายคนเขาอาวัลลูกหนี้ตางคนกัน ดังนั้น ผูรับอาวัลผูสลักหลัง จึงเขาไลเบี้ยผูรับผูสั่งจายได (ตามลําดับลงชื่อกอนหลัง)
กรณีเขาอาวัลบุคคลเดียวกัน
Ex. หนึ่งและสองเขารับอาวัลผูสั่งจาย คือ A คนเดียวกัน ตอมาหนึ่งใชเงินไปแกผูทรง ม.967 จะตองไลเบี้ยเอาแกบุคคลผูมีความผูกพันตอ
ตน คือลงลายมือชื่อกอนตนหรือเหนือตนขึ้นไป
ดังนั้น ผูรับอาวัลที่อยูในลําดับเดียวกันจึงไมสามารถไลเบี้ยกันได
ฏ.1839/2538 ผูรับอาวัลถูกศาลพิพากษาใหรวมกันรับผิดใชเงินแกผูทรง เมื่อคนหนึ่งใชเงินไปแลวจึงมาไลเบี้ยเอาแกอีกคนหนึ่งได
เพราะเปนลูกหนี้รวมตามคําพิพากษาเรื่องเดิม (ไมใชรับผิดรวมกันเพราะอาวัลรวมกัน)
เช็ค
มาตราที่เกี่ยวของ ม.987-1000
ขอแตกตางจากตราสารประเภทอื่นคือ
1. ผูจายเงิน ตองเปนธนาคารเทานั้น
2. ผูสั่งจายนอกจากจะตองรับผิดตามเนื้อความในเช็ค 900, 914, 989 แลวผูสั่งจายยังอาจตองรับผิดทางอาญาซึ่งอายุความนับจากวันที่
ธนาคารปฏิเสธการจายเงินซึ่งถือวาเปนวันที่ความผิดเกิด เช็คเปนความผิดตอสวนตัวจึงตองฟองหรือรองทุกขภายใน 3 เดือน
3. จะมีวันถึงกําหนดใชเงินประการเดียวคือ วันทวงถามสังเกตุจากแบบฟอรมวามีเฉพาะวันออกเช็คจะไมมีวันถึงกําหนดจายเงิน คือวันที่เช็ค
ถึงกําหนดคือ วันที่ลงในเช็คนั้นเอง (หรือวันที่ทางถามนั่นเอง) เช็คจะลงวันที่ลวงหนาไดเพื่อใหไปทวงถามเมื่อถึงกําหนดวันที่ลงในเช็ค
กําหนดอายุความ 1 ปก็จะเริ่มนับจากวันที่ที่ลงในเช็ค แตเรื่องดอกเบี้ยเรียกได7.5 ตอป ตาม ม.224, 7 โดยนับแตวันที่ธนาคารปฏิเสธการ
จายเงินไมใชวันที่ฟองในเช็ค เพราะหนี้ตามเช็คเปนหนี้เงินจึงเรียกได7.5 ตอป ตาม ม.224
4. เรื่องการขีดครอมเช็ค ขีดครอมคือการขีดเสนขนานไวดานหนาเช็ค และมีผลพิเศษจากเช็คธรรมดาทั่วไปเพียงประการเดียว คือธนาคาร
ผูจายเงินตามเช็คจะใชเงินตามเช็คใหแกผูทรงโดยตรงไมได ตองใชเงินใหแกธนาคารดวยกัน 994 และเช็คขีดครอมโอนกันไดตามปกติ
เช็คจะโอนกันไมไดอยูกรณีเดียว 917 ว.2
: ประเภทตางๆ ของเช็ค
1. เช็คระบุชื่อผูรับเงินและขีดฆาคําวา"หรือผูถือ"ออก โอนดวยการสลักหลังและสงมอบ
2. เช็คผูถือ คือไมระบุชื่อผูรับเงินและระบุคําวา หรือผูถืออยู ม. 918 โอนไดดวยการสงมอบเฉยๆก็สมบูรณ ถาเผลอไปลงชื่อดวยจะ
กลายเปนผูรับอาวัล
- เช็คระบุชื่อผูรับเงินและไมขีดฆาคําวา"หรือผูถือ" ออก ซึ่งชนิดนี้ศาลฏีกาวินิจฉัยวา ผูสั่งจายไมเฉพาะเจาะจงจายเงินใหผูที่ระบุชื่อไว
เทานั้นยังเจตนาใหจายเงินแกผูถือดวย ฏ. 3509/42 ถือเปนเช็คผูถือ
3. แคชเชียรเช็คจะออกในรูปของระบุชื่อผูรับเงินโดยจะไมมีชนิดผูถือ ศาลฏีกาวา แปลวา เพียงแตมีชื่อหรือยี่หอผูรับเงินก็สมบูรณแลว
๑๘
ไมจําเปนตองมีคําวาหรือผูถือขอแตกตางกับเช็คชนิดอื่นคือ ผูจายและผูสั่งจายนั้นจะเปนธนาคารดวยกัน ฎ. 4531/33 , 772/26 , 2201/42 ,260/37
แคชเชียรเช็คถือเปนเช็คประเภทหนึ่งตาม ป.พ.พ. 937
4. เช็คขีดครอม ม. 994 มีเสนขนานตีคูกันขีดครอมไว และจะมีขอความวาและบริษัทหรือไมก็ตาม ถือเปน “เช็คขีดครอมทั่วไป” แตถา
ระหวางเสนที่คูขนานนั้น มีระบุชื่อธนาคารไวก็เรียกวา “เช็คขีดครอมเฉพาะ” เช็คขีดครอมนี้จะมีคุณสมบัติเพียงอยางเดียววาธนาคารจะ
จายเงินใหแกผูนําเช็คไปเบิกเงินโดยตรงไมไดตองเอาเขาบัญชี (เพื่อปองกันผูไดเช็คโดยมิชอบนําไปเบิกเงินโดยงาย ตองนําเขาบัญชีเพื่อ
ตรวจสอบไดวาเขาบัญชีใคร)
อยาไปสับสนวา เช็คขีดครอมโอนไดหรือไมเพราะถาขีดครอมแลวก็ยังโอนไดเสมอ แตจะโอนไมไดนั้นมีอยูกรณีเดียวตาม ม. 917 ผูที่จะสั่งจายระบุ
ลงดานหนาวา " เปลี่ยนมือไมได " หรือคําอื่นในทํานองเดียวกันซึ่งจะโอนแกกันก็ยังมีทางแกคือ โอนตาม ม. 306 คือโอนสิทธิเรียกรองเทานั้น
ม. 990 กําหนดหนาที่ผูทรงเช็ค
ม. 990 “ผูทรงเช็คตองยื่นเช็คแกธนาคารกอน.....”
ม. 914 " บุคคลผูสั่งจายหรือสลักหลังเช็ค ยอมเปนอันสัญญาวา เมื่อตั๋วนั้นได นํายื่นโดยชอบแลวจะมีผู.... ประกอบมาตรา 989
ม. 959 " ไลเบี้ยไดเมื่อตั๋วเงินถึงกําหนดในกรณีไมใชเงิน
โดยหลัก ตองยื่นเรียกเงินกอนจะจะฟองได
ฏ. 610/20เมื่อขอเท็จจริงฟงไดวา โจทกมิไดนําเช็คไปยื่นตอธนาคารเพื่อใหใชเงินและธนาคารก็ยังไมไดปฏิเสธการใชเงิน
ดังนั้นโจทกจะนํามาฟองใหใชเงินเสียทีเดียวไมได ฏ. 610/20
ขอยกเวน 1. กรณีผูสั่งจายถึงแกความตายไมตองนําไปยื่นตอธนาคารกอนก็ฟองได ม. 992(2) ,959 เปนขอยกเวนของ ม. 990
- อาจทวงถามแกทายาท โดยไมตองยื่นหรือเรียกเก็บเงินจากธนาคารตาม ม.990 กอน เนื่องจากหนาที่ของธนาคารเปนอัน
สิ้นสุดไมตองจายเงินตามเช็คเมื่อผูสั่งจายถึงแกกรรมตาม (ฏ. 1003/24,3973/26 ,4027/27)
2. กรณีนําเช็คไปยื่นกอนกําหนด ปรากฎวาธนาคารแจงวา "บัญชีปดแลว" (กรณีออกเช็คหลายฉบับหางกันเปนระยะเวลา
แตเมื่อนําฉบับแรกไปยื่นแลว บัญชีปดอยางนี้นําทั้งฉบับอื่นยื่นแลวธนาคารปฏิเสธและฉบับที่ยังไมไดยื่นไปฟองไดเลยตาม
ม. 959 ข (2), 989 ฏ. 755/26, 1865/17
ถาเปนเช็คในเมืองเดียวกันตองนําเช็คไปยื่นใหใชเงินภายใน 1 เดือน นับแตวันออกเช็ค
: สถานที่ออกเช็ค กับ สถานที่ตั้งของธนาคารที่สั่งใหใชเงินอยูคนละจังหวัดกันหรือไม
- ถาเปนสถานที่เดียวกันตองยื่นภายใน 1 เดือน
- ถาเปนคนละที่กันตองยื่นภายในกําหนด 3 เดือน
ผลของการฝาฝนไมยื่นตาม มาตรา 990 คือ
1. ผูทรงสิ้นสิทธิไลเบี้ยเอาแกผูสลักหลังทั้งปวง ดังนั้นจึงเห็นไดวา ม.990 ใชกับเช็คชนิดระบุชื่อเทานั้น ฏ. 1007/42
2. ทั้งเสียสิทธิอันมีตอผูสั่งจายดวยเพียงเทาที่จะเกิดความเสียหายอยางหนึ่งอยางใดแกผูสั่งจายเพราะการที่ละเลยเสียไมยื่นเชนนั้น
ฏ. 3597/34 เช็คใหใชเงินเมืองเดียวกัน เมื่อยื่นเกิน 1 เดือน โจทกจึงสิ้นสิทธิไลเบี้ยเอาแกผูสลักหลังโดยไมตองคํานึงถึง
ความเสียหายหรือไมของผูสลักหลัง(เช็คระบุชื่อเทานั้น)
* แตถาเปนผูสั่งจายนั้น ตองคํานึงดวยวาถาไมยื่นภายในกําหนดแลวผูสั่งจายจะเสียหายเพียงใดก็พนความรับผิดไปแตนั้น แตถาไมเสียหาย
เลยถาผูทรงยื่นชา ผูสั่งจายก็ไมพนความรับผิด คือตองรับผิดเชนเดิม
Ex . ผูสั่งจายจะรับผิดก็มีกรณี เขามีเงินอยูในบัญชีตอมาผูทรงไมยื่นเรียกเงินตอธนาคารภายในเวลาที่กําหนดแลวตอมาธนาคารเกิดลมละลาย
ผูสั่งจายจึงพนความรับผิดในจํานวนตามตั๋ว ทางปฎิบํติตัวผูสั่งจายจะไมไดรับความเสียหาย จึงไมพนความรับผิด ฏ. 1162/15, 3242/30 ผูสั่ง
จายจะหลุดพนตอเมื่อสูญเสียเงินที่มีอยูในธนาคาร (ทําใหไมไดใชเงินใหเสร็จเพราะผูทรงยื่นชา) ฎ. 1007/42 * เปนฏีกาที่งายแตเปน หลัก
กฏหมายดีใหดูดีๆ
* ม. 991(2) เช็คนั้นยื่นเพื่อใหใชเงิน เมื่อพนเวลาหกเดือนนับแตวันออกเช็คหมายความวา กฎหมายใหสิทธิแกธนาคารวา เพื่อพนหกเดือนไป
แลว แมผูสั่งจายจะมีเงินในธนาคารก็ตาม ธนาคารก็มีสิทธิไมตองจายเงินใหแกผูทรงได
แต ม. 990 เปนเรื่องสิทธิระหวางผูสั่งจายกับผูทรงวา ถาผูทรงไมยื่นเช็คภายใน 1 เดือน กรณีเมืองเดียวกัน หรือ 3 เดือนกรณีตางเมืองกันนั้น
๑๙
ผูทรงจะสิ้นสิทธิไลเบี้ยเอาแกผูผูสลักหลังหรือผูสั่งจายแลวแตกรณี
ถาม : เช็คที่ผูทรงยื่นเกิน 6 เดือน แลวธนาคารปฏิเสธการจายเงิน ผูทรงจะไปยื่นฟองไลเบี้ยผูสั่งจายไดหรือไม
ตอบ : ม.990 ผูสั่งจายจะหลุดพนก็ตอเมื่อผูสั่งจายไดรับความเสียหาย แตถาไมไดรับความเสียหายก็จะไมหลุดพน ตามนัย ฏีกาที่ 169/28,
715/21, 640/96, 2514/26 อาจารยเนนจุดนี้ ใหดูดีๆ คือ ม. 990 กับ 991(2)
- ม.990 ผูทรงยื่นเมื่อพนเวลาจะฟองผูสั่งจายไดหรือไม
- ม.991(2) กฎหมายใหสิทธิธนาคารไมจายเงินไดถาเกิน 6 เดือน
เมื่อธนาคารปฏิเสธการจายเงินไมตองยื่นคําบอกกลาวทวงถามอีก ผูทรงมีสิทธิฟาองไดเลย ตามฏีกา169/28. 1750/18
* กรณีไมไดเรียกเก็บเงิน เพราะรูวาผูสั่งจายไมมีเงินในบัญชีจะสามารถนํามาฟองไดเลยหรือไม
ม. 959 (ข) ไลเบี้ยไดถึงแมยังไมถึงกําหนด
(2) ถาผูจายไดงดเวนการใชหนี้ ฏ. 755/26, 1865/07, 3971/26
ในกรณีที่ฟองเรียกเงินตามเช็คแมจะเรียกกอนถึงกําหนดตามที่ระบุไวในเช็ค หากบัญชีผูสั่งจายปดไปกอนที่ธนาคารเรียกเก็บเงินแลว
ก็แสดงวาผูสั่งจายไมมีเงินในบัญชี กรณีนี้ไมจําเปนตองเรียกเก็บเงินใหธนาคารปฏิเสธกอนก็สามารถนํามาฟองไดโดยอาง ม.959 ข. (2)
ประกอบ ม. 898 ถือวาธนาคารงดเวนการใชหนี้แลวฟองไดเลยทันที
๒๐
หลักเกณฑมาตรา 1007
สรุปหลักที่ 1. ตองกระทําภายหลังที่ตราสารนั้นไดเปนตั๋วเงินแลว
"มีผูแกไขเปลี่ยนแปลงในขอสําคัญ" อาจเปนการ ลบ ตัดทอน แกไขขอความ หรือกระทําดวยประการใดๆ ก็ไดที่ทําใหขอความนั้น
เปลี่ยนแปลงไป
ทางปฏิบัติอาจเติมขอความ หรือลบขอความ หลักเกณฑสําคัญของการแกไข ซึ่งหากผูมีอํานาจแกไขความอยางนี้ไมถือวามีการแกไข ในทาง
กลับกัน ถาหากเปนผูมีอํานาจแกไขก็ไมอยูในอํานาจบังคับมาตรา 1007 นี่เอง
Ex. ม.934 “ถาผูจายเขียนคํารับรองลงในตั๋วแลกเงินแลว แตหากกลับขีดฆาเสียกอนตั๋วเงินนั้นหลุดพนไปจากมือตนไซรทานใหถือเปนอันวา
ไดบอกปดไมรับรอง” ตาม ม.934 หมายความวา ถาผูทรงยื่นตั๋วใหผูจายรับรองไดเขียนคํารับรองลงไปตราบใดที่ยังไมสงกลับคืนใหผูทรงผู
รับรองอาจเปลี่ยนใจขีดฆาคํารับรองได เพราะ ทําในฐานะที่มีอํานาจอยู ตาม ม. 934
เรื่องการลงวันที่ตาม ม.910 ว.5, 985 คือผูออกตั๋วออกตั๋วโยไมลงวันที่ ภายหลังผูทรงโดยชอบไปลงวันที่เองอยางนี้ไมเปนการแกไข เพราะ
กระทําโดยมีอํานาจ ตาม ม.910ว.5 ประกอบ 985
ม.905 วรรคแรกตอนทาย “อนึ่งคําสลักหลังเมื่อขีดฆาเสียแลว ทานใหถือเสมือนวามิไดมีเลย”
Ex. ก.ตองการสงมอบเช็คให ข. จายคาสินคาจึงสลักหลังในเช็คระบุชื่อวาโอน ให ข. แตยังไมทันที่จะสงมอบเกิดเปลี่ยนใจจะจายเงินสดแทน
จึงขีดฆาที่เขียนไป อยางนี้ไมเปนการแกไขขอความ เพราะกระทําโดยมีอํานาจตาม 905 ว.แรก
สรุปหลักที่ 2 การแกไขขอความตองเปนการกระทําโดยไมมีอํานาจตามที่กฎหมายกําหนดไว
แกไขเปลี่ยนแปลงจะตองเปน “ในขอสําคัญ”
หมายความวา การแกไขนี้จะตองถึงขนาดทําให สิทธิ หนาที่ความรับผิดตามตั๋วเงินเปลี่ยนแปลงไป ไมวาจะทําใหเกิดผลดี หรือผลเสียตอ
คูสัญญาในตั๋วเงินก็ตาม ก็ถือเปนการเปลี่ยนแปลงแกไขทั้งนั้น
มาตรา 1007 ว.3 กฎหมายยกตัวอยางเอาไววา แกไขอะไรบางที่ถือเปนขอสําคัญ
เชน - แกไขวันที่ลงในตั๋วเงินทําใหเร็วขึ้นหรือชาลง จะเปนผลดีหรือผลเสียแกผูสั่งจายก็ตาม ก็ถือวาเปนการกระทบสิทธิและหนาความ
รับผิดแลว
- แกไขจํานวนเงิน
- แกไขกําหนดเวลาใชเงินเห็นไดวาทําใหผูมีหนาที่ใชเงินตองใชเงินเร็วขึ้นหรือชาลง หรือผูทรงไดรับเงินชาหรือเร็วขึ้น
- แกไขสถานที่ใชเงิน หรือเติมสถานที่ใชเงินซึ่งผูรับรองมิไดยินยอมดวย
สรุปหลักที่ 3 ที่จะถือเปนการแกไขตามมาตรา 1007 นั้น ตองเปนขอความที่สําคัญ
ซึ่งมาตรา 1007 ว.3นี้เปนแตเพียงตัวอยางที่ถือเปนการแกไขในขอสําคัญเทานั้น ยังมีในมาตราอื่นอีก เชน
- ม.996 “การแกไขในเรื่องขีดครอมเช็ค
ถาหากมีการไปลบรอยขีดครอมออกถือเปนการแกไขในขอสําคัญ เพราะมีผลใหธนาคารจายเงินสดใหแกผูถือได
- แกไขในเรื่องดอกเบี้ย ซึ่งมีผลทําใหความรับผิดมากขึ้น
สวนการแกไขที่ไมใชขอความสําคัญ ก็คือ เปนไปในทางตรงกันขามกับการแกไขในขอความสําคัญ คือไมทําใหสิทธิ หนาที่ ความ
รับผิดของคูสัญญาในตั๋วเงินเปลี่ยนแปลงไป
Ex. เขียนในตั๋ววา “รับรองแลว” ซึ่งตก “ - ” ไป จึงเติมไมโทเขาไป ซึ่งไมมีผลใดๆใหเปลี่ยนแปลงสิทธิ หนาที่ ความรับผิดแมไมเติมก็เปน
การรับรองอยูดี
ฎ.1845/2524 เช็คสั่งจายเงินแก ช. หรือผูถือ รอยใชหมึกปายรบชื่อ ช. ออกเห็นอยูประจักษชัด ซึ่งไมใชขอสําคัญ เพราะแมแกไข
แลว ก็เปนเช็คผูถืออยูอยางเดิมนั้นเอง
ม.12 ในกรณีที่ปริมาณในจํานวนเงินแสดงไวทั้งตัวอักษรและตัวเลขถาตัวอักษรและตัวเลขไมตรงกันและไมอาจจะทราบเจตนาอันแทจริง
ไดใหถือเอาปริมาณที่เปนตัวอักษรเปนประมาณ
ฎ.266/2539 แกไขตัวเลขใหตรงตามตัวอักษรไมเปนการแกไขในขอสําคัญ
ผลของการแกไข
๒๑
ถาการแกไขไมไดรับความยินยอมจากคูสัญญาแลวก็เปนอันเสียไป จะฟองผูลงลายมือชื่อในตั๋วไมได ในทางตรงกันขามหาก
ไดรับความยินยอมจากคูสัญญาแลว ตั๋วเงินนั้นเปนอันใชได
ม.1007 “....ทานวาตั๋วเงินนั้นเปนอันเสียไป...” หมายความวาถาขอความสําคัญถูกแกไขโดยผูไมมีอํานาจ และไมไดรับความยินยอมจาก
คูสัญญาทุกคน ตั๋วเงินนั้นเสียไป จะไปฟองใหผูลงลายมือชื่อ หรือลูกหนี้ในตั๋วรับผิดไมได(ในทางแพง)ในทางอาญาก็ฟองไมไดตาม ฎ.343/2506
ศาลฎีกาตัดสินวาเช็คที่โจทกนํามาฟองมีการแกไขจํานวนเงินจาก 3,000 บาท เปน 33,000 บาทและการแกไขเปลี่ยนแปลงเงินในเช็คนี้
ขอเท็จจริงนาเชื่อวาผูทรงทําขึ้นเอง ดังนั้นเช็คที่นํามาฟองยอมเปนเช็คที่เสียตาม ม.1007 จําเลยหาตองรับผิดตามที่โจทกฟองไม
คดีลมละลายฎ.1441/2540 เช็คพิพาทมีการแกไขวันที่สั่งจาย เปนการแกไขในเปนการแกในสวนขอสาระสําคัญ เช็คดังกลาวเปนอันเสียไป
โจทกไมอาจเรียกใหจําเลยใชเงินตามเช็คได จําเลยมิไดเปนหนี้โจทก โจทกจะฟองใหจําเลยลมละลายตาม พ.ร.บ.ลมละลาย ม.9 ไมได
ตั๋วเงินที่มีการแกไขขอความที่เปนอันเสียไปแตยังใชไดกับ บุคคลดังนี้
1.คูสัญญาที่แกไขเปลี่ยนแปลง หรือไดยินยอมดวย
2.ผูสลักหลังในภายหลังที่มีการแกไขแลว แมจะไมไดยินยอมดวยในการแกไขก็ตามก็ตองผูกพันในการแกไขดวย
ม.1007 ว.2 “แตหากตั๋วเงินใดไดมีผูแกไขเปลี่ยนแปลงในขอสําคัญ แตความเปลี่ยนแปลงนั้นไมประจักษ และตั๋วเงินนั้นตกอยูในมือผูทรง
โดยชอบดวยกฎหมายไซร ทานวาผูทรงนั้น จะเอาประโยชนจากตั๋วนั้นก็ได เสมือนดังวามิไดมีการแกไขเปลี่ยนแปลงเลย และจะบังคับการ
ใชเงินตามเนื้อความแหงตั๋วนั้นก็ได”
หมายถึงวาแมจะมีการแกไขในขอสาระสําคัญเปนเหตุใหตั๋วเงินนั้นเสียไปก็ตาม แตการเปลี่ยนแปลงนั้นไมประจักษ
“ไมประจักษ” คือทําไดแนบเนียนคูสัญญายังคงตองรับผิดตามเดิมอยูตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น
โดยสรุป ถามีการแกไขใหดูวาเปนการแกไขประจักษหรือไม ถาเห็นประจักษ คือ เห็นรอยลบชัดเจน แบบนี้คูความไมตองรับผิด แตถาการ
แกไขเปลี่ยนแปลงนั้นไมประจักษคูสัญญาที่ไมไดยินยอมดวยในการแกไขนั้นยังคงตองรับผิดตามเนื้อความเดิมของตั๋วอยู
Ex. ก.ออกเช็ค 90,000 บาท แลวมีการแกไขจํานวนเงินในเช็คเปน 50,000 บาท เมื่อมีคนนําเช็คมาขึ้นเงินธนาคารจายเงินไป 50,000 บาท
แลว ธนาคารจะหักเงินจากบัญชีนาย ก. ไดหรือไม
ฎ.270/2496 ธนาคารจะเรียกไดเฉพาะจํานวนเงินในแผนเช็คเทานั้นโดยอนุโลมถือไดวาตอผูเคยคา (ลูกคาของธนาคาร) เปนเสมือนผูทรงตอ
ผูตองรับผิดตามตั๋วเงินนั้น
หมายความวา แมมีการแกไขขอความในเช็คสิทธิของผูทรงก็สามารถเรียกใหลูกหนี้ในเช็ครับผิดได ตามเนื้อความเดิมโดยมาตรา1007
ดังนั้นศาลฎีกาก็เลยแปลงความวา ใหนํามาตรา 1007 มาใชโดยอนุโลมกับธนาคาร คือใหธนาคารถือเปนผูทรงที่จะเรียกใหลูกหนี้ในตั๋วรับ
ผิดตามเนื้อความเดิมในเช็คนั้นเอง
สรุปไดวา ถามีการแกไขจํานวนเงินจากเดิม 10,000 บาท เปน 50,000 บาท ธนาคารจายไดเงินไปแลว 50,000 บาท สิทธิของธนาคารที่มีตอ
ลูกคาของธนาคาร เปรียบเหมือนธนาคารเปนผูทรงเช็ค ตาม ม.1007 ดังนั้นธนาคารสามารถหักเงินจากบัญชีเจาของเช็ค หรือผูสั่งจายได ตาม
เนื้อความเดิมเทานั้น คือ 10,000 บาท
ขอสังเกต มาตรา 1007 “ผูทรงมีสิทธิจะบังคับการใชเงินตามเนื้อความเดิมแหงตั๋วนั้นก็ได ถาการแกไขไมประจักษ”
อนุโลมไปใชกับธนาคาร สวนเงินที่ธนาคารจายเกินไปนั้น ธนาคารตองไปฟองเรียกคืนมาจากผูที่นํามาขึ้นเงิน ในฐานะลาภไมควรได
โดยหลักของมาตรา 1007 เปนเรื่องของคูสัญญาในตั๋วเงิน คือ ผูสั่งจายกับผูทรง หรือผูสลักหลังไมไดเกี่ยวของกับธนาคารเลย เพราะธนาคาร
มีความผูกพันอยูกับผูสั่งจายอยูแลวตามสัญญาหนึ่งตางหาก (อาจเปนสัญญาฝากทรัพย หรือเบิกเงินเกินบัญชี)
ฎ.1254/2497 ถากรณีผูสั่งจายออกเช็คสั่งจายเงิน 50,000 บาท แตมีผูไปแกไขขอความในสาระสําคัญ คือแกจํานวนเงินเปน 40,000 บาท ดังนี้
ถาธนาคารจายไป 40,000 บาท ก็มาถือการปฏิบัตินอกเหนือคําสั่งของผูสั่งจายทั้งไมทําใหผูสั่งจายเสียหายแตอยางใด ธนาคารจึงหักเงินจาก
บัญชีผูสั่งจายได 40,000 บาท ตามที่จายไปจริง
กรณีที่มีการแกไขการขีดครอมเช็ค ม.996 ประกอบ 997ว.3
ม.996 “การขีดครอมเช็คตามที่อนุญาตไวในมาตรากอนนั้น ทานวาเปนสวนสําคัญอันหนึ่งของเช็ค ใครจะลบลางยอมไมเปนการชอบดวย
กฎหมาย” ดังนั้น เมื่อไมมีใครแกไขหรือลบการขีดครอมออกผลจึงเปนไปตาม ม. 1007 นั้นเอง
ในกรณีที่เกี่ยวกับธนาคารจะมี ม.997 ว.3 “แตหากเช็คใดเขานํายื่นเพื่อใหใชเงิน และเมื่อยื่นไมปรากฏวาเปนเช็คขีดครอมก็ดี หรือไมมีการ
๒๒
ขีดครอมอันไดลบลางหรือแกไขเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมเปนประการอื่นนอกจากที่อนุญาตไวโดยกฎหมายก็ดี เช็คเชนนี้ธนาคารใดใชเงินโดย
สุจริต และปราศจากการประมาทเลินเลอ ทานวาธนาคารนั้นไมตองรับผิดหรือตองมีหนาที่รับใชเงินอยางใดๆ”
หมายความวา – ปกติเช็คขีดครอมทั่วไป ธนาคารจะตองใชเงินโดยผานธนาคารดวยกัน จะจายเปนเงินสดไมได
- สวนเช็คขีดครอมเฉพาะธนาคารจะตองใชเงินโดยผานธนาคารดวยกัน เฉพาะที่ระบุไววาเปนธนาคารไหน หรือสาขาไหนเทานั้น
ปรากฏวาการขีดครอมถูกลบไปอยางแนบเนียน ธนาคารตรวจดูแลวเชื่อวาไมใชเช็คขีดครอม จึงจายเงินสดไป อยางนี้ ม.997 ว.3 คุมครองธนาคาร
๒๓
ม.1006 “การที่ลายมือชื่ออันหนึ่งในตั๋วเงิน เปนลายมือชื่อปลอมยอมไมกระทบกระทั่งถึงความสมบูรณแหงลายมือชื่ออื่นๆในตั๋วเงินนั้น”
แยกพิจารณาไดวา
- ถาเปนลายมือชื่อปลอมก็เปนอันใชไมไดตามมาตรา 1008
- ถาลายมือชื่ออันไหนเปนของจริงก็ใชไดเฉพาะอันนั้นตาม 1006 คืออันไหนเขียนลายมือชื่อแทจริงก็ยังคงสมบูรณอยู แตไมได
หมายความวาเปนลายมือชื่อที่สมบูรณแลวจะตองรับผิดเสมอไปยังตองดูตอไปเปนกรณี เปนขอเท็จจริงแตละเรื่องไปซึ่งบางคนอาจ
ไมตองรับผิด
Ex. ฎ.918/2522, 2168/2536, 2089/2531
- ยึดหนวงตั๋วเงินไวไมได
- จะอางอิงเพื่อใหตั๋วเงินนั้นหลุดพนนั้นไมได
Ex. ธนาคารผูจายเงิน ไดจายเงินใหกับตั๋วเงินที่มีลายมือชื่อปลอมเปนผูสั่งจาย เมื่อลายมือชื่อปลอมธนาคารจึงไมมีสิทธิหักเงินในบัญชี
เจาของบัญชี และธนาคารจะมาอางวาตนไดจายเงินไปแลวจึงตองหลุดพนความรับผิดไมไดตาม มาตรา 1008
ตรงกันขามถาธนาคารจายเงินใหแกเช็คที่มีลายมือชื่อผูสลักหลังปลอม อยางนี้เขาขอยกเวนตาม มาตรา 1009 บัญญัติวาธนาคารใช
เงินไปอยางถูกระเบียบ จะบังคับการใชเงินเอาแกคูสัญญาแหงตั๋วเงินคนหนึ่งคนใดไมไดอยางเด็ดขาด หมายความวา ผูที่ไดเช็คที่มี
ลายมือชื่อปลอมหรือลงลายมือชื่อโดยปราศจากอํานาจ จะไปบังคับเอากับคูสัญญาที่ลงชื่อกอนที่จะมีลายมือชื่อปลอมนี้ไมได แตอาจ
เรียกใหคูสัญญารับผิดตอตนได
Ex. เช็คฉบับหนึ่งมี นายแดง เปนผูสั่งจาย มีผูสลักหลัง 3 คน คือ นายหนึ่ง นายสอง นายสาม สมมุติวา ลายมือชื่อนายสอง เปนลายมือชื่อ
ปลอม
ถามวา : ถาธนาคารไมจายเงินตามเช็คฉบับนี้ผูทรงจะฟองใครใหใชเงินตามเช็คไดบาง
ตอบ : เมื่อลายมือชื่อนายสองเปนลายมือชื่อปลอมจึงจะไปเรียกใหนายสองใชเงินไมไดเลยเพราะนายสองไมไดลงลายมือชื่อในเช็คนั้น
(ม.900) ฟองนายแดงกับนายหนึ่งไมได ถึงแมนายแดงกับนายหนึ่งจะไดลง
ลายมือชื่อลงในเช็คและลายมือชื่อนายแดงและนายหนึ่งจะสมบูรณก็ตาม แตจะไปฟองไมไดเพราะเปนการแสวงสิทธิโดยอาศัยลายมือ
ชื่อปลอมนั้นไมได
ผูทรงจึงฟองได 2คน คือผูปลอมลายมือชื่อและผูลงลายมือชื่อหลังการปลอม คือ นายสาม เพราะนายสามเปนบุคคลผูตองถูกตัดบท
มิใหยกลายมือชื่อปลอมขึ้นเปนขอตอสู
หลักจํางายๆ ผูที่ไดเช็คมาซึ่งมีลายมือชื่อปลอมอยู จะไปไลเบี้ยไดจากบุคคลที่ลงลายมือชื่อหลังจากลายมือชื่อปลอมนั้นได แตคนที่ลง
ลายมือชื่อกอนที่จะมีการปลอมนั้นจะไปไลเบี้ยเอากับเขาไมได เปนการแสวงสิทธิโดยอาศัยลายมือชื่อปลอมอยางนี้ไมได
กรณีที่ธนาคารจายเงินในเช็คที่มีลายมือชื่อปลอม
ปกติธนาคารประกอบธุรกิจเพื่อหวังผลเอาบําเหน็จคาฝากประกอบเปนอาชีพ หรือการที่เอาเงินจากผูฝากไปแสวงหาประโยชนจึง
ไดมีคําวินิจฉัยของศาลฎีกาวางแนววา ธนาคารมีหนาที่ตามกฎหมายที่จะใชความระมัดระวัง ความชํานาญพิเศษ ดูลายมือชื่อผูสั่งจายวา
เหมือนกับที่ใหไวกับธนาคารหรือไม เพราะทําเปนปกติอาชีพ ถาเปนลายมือชื่อที่ไมเหมือนที่ใหไวก็ชอบที่จะปฏิเสธไมจายเงินได
ดังนั้นเมื่อธนาคารไดจายเงินใหกับเช็คที่มีลายมือชื่อปลอมจึงหักเงินในบัญชีผูสั่งจายไมได เพราะเปนความประมาทของธนาคารดวย จะ
อางใหตนหลุดพนไมไดตาม 1008 ฎ.6280/2538, 2511/2538, 3776/2537 บางเรื่องศาลฎีกาตัดสินวาธนาคารทําละเมิดสัญญาฝากทรัพย
ดวยก็มี ฎ.4161/2532, 6280/2538 มีขอเท็จจริงบางเรื่อง ถือวาธนาคารประมาทเลินเลอแตลูกคาก็มีสวนประมาทเลินเลอดวย เชน ไม
ปฏิบัติตามระเบียบในการใชเช็ค คือไมเก็บไวในที่ปลอดภัย ไมแจงธนาคารเมื่อเช็คหาย ศาลตัดสินใหธนาคารรับผิดเพียงกึ่งหนึ่ง จาก
คาเสียหายทั้งหมด
ถาม : เอาเช็คผูถือไปขึ้นเงิน เจาหนาที่ธนาคารใหลงชื่อดานหลังจะเปนการอาวัลหรือไม?
ตอบ : ไมเปนเพราะ
1. ไมมีเจตนาผูกนิติสัมพันธ
2. มาตรา945 นําไปใชกับเช็ค “การใชเงินจะมีไดเมื่อไดเวนตั๋วแลกเงิน ผูใชเงินจะใหผูทรงลงชื่อรับเงินก็ได”
๒๔
เช็คชนิดผูถือ
1. ถึงแมวาธนาคารจะปฏิเสธการจายเงินแลวก็ตามเช็คก็ยังมีสภาพเปนเช็คอยู ซึ่งสามารถโอนเปลี่ยนมือกันตอไปไดอีกจึงยังคงเปนเช็คที่ใช
บังคับไดตามกฎหมายอยู หมายความวา ผูรับโอนมาโดยสุจริตภายหลังที่ธนาคารไดปฏิเสธการจายเงินแลว ในทางแพงผูรับโอนซึ่งเปนผู
ทรงสามารถนําไปฟองรองใหรับผิดไดตามปกติ ฎ.4383/2545, 5435/2533, 2062/2537 ในทางแพงตัวผูทรงอาจจะเปนผูทรงในภายหลังที่
ธนาคารปฏิเสธการจายเงินแลวก็ได
2. ในดานลูกหนี้ซึ่งเปนผูรับอาวัลในเมื่อเช็ที่ไดถูกธนาคารปฏิเสธการจายเงินแลวคนที่ลงชื่อในดานหลังเช็คก็ยังคงเปนผูรับอาวัลผูสั่งจาย
ตาม ม. 921 ประกอบ 98 ตามนัย ฎ.5766/2537, 312/2521
3. เช็คที่ธนาคารปฏิเสธการจายเงินแลวจะแกวันที่ในเช็คไดอยูอีกหรือไม ม.1007 สามารถทําไดถาเปนการแกไขที่ไดรับความยินยอม เชน
เมื่อเช็คปฏิเสธการจายจึงนําเช็คไปทวงถามกับผูสั่งจาย เมื่อผูสั่งจายเห็นจึงบอกวาเงินยังไมเขาบัญชีเลย ขอแกไขวันที่ไปกอนไดไหม ทั้ง
สองฝายจึงตกลงยินยอมแกไขวันที่ ก็สามารถทําได เช็คไมเสีย และเมื่อผูสั่งจายแกไขวันที่ใหม ก็ตองถือวันที่ตามที่แกไขนั้นอายุความจึง
ตองนับตั้งแตวันที่แกไขใหม ยังคงใชไดตอคูสัญญาซึ่งแกไขเปลี่ยนแปลงนั้น
สรุป กรณีที่ผูสั่งจายแกไขวันที่ในเช็ค กําหนดฟองผูสั่งจายซึ่งมีอายุความ 1 ป ตาม ม.1002 จึงตองนับจากวันที่แกไขใหมไมใชวันเดิม
ฎ.1043/2534
อายุความในตัว๋ เงิน
มาตราที่เกี่ยวของ มาตรา 1001, 1002, 1003
ม.1001 เปนกําหนดอายุความฟองผูรับรองตั๋วแลกเงินและฟองผูออกตั๋วสัญญาใชเงิน ทานหามมิใหฟองเกิน 3 ป นับตั้งแตวันถึงกําหนด
ในตั๋วนั้นๆใหใชเงิน
“ผูรับรอง” คือใคร
ปกติคูสัญญาในตั๋วแลกเงินจะมี 3 ฝาย
1. ผูสั่งจาย
2. ผูจาย ม.931 การรับรอง ทําโดยลงลายมือชื่อของผูจายตามม.900 ดังนั้น เมื่อผูจายลงชื่อรับรองแลวก็เรียกใหมวา เปนผูรับรอง
(เปลี่ยนฐานะนั้นเอง)
3. ผูรับเงิน
ซึ่งในฐานะผูจายกับผูรับรองจะแตกตางกันตรงที่
1. ฐานะผูจาย หากถึงกําหนดจายเงินแลว นําตั๋วมาแลกเงินแลวไมมีการจายไปฟองผูจายไมไดเพราะผูจายไมไดลงลายมือชื่อไวตาม ม.900
2. ฐานะผูรับรอง หากถึงกําหนดจายเงินถานําตั๋วมาแลกเงินแลวไมมีการจายเงิน อยางนี้ฟองผูรับรองได เพราะไดมีการลงลายมือชื่อของผู
รับรองในตั๋วแลวตาม ม.900
ม.937 ผูจายเงินไดรับรองตั๋วเงินแลวยอมตองรับผิดในอันจะจายเงินเทาจํานวนที่รับรอง ตามเนื้อความแหงคํารับรอง
- ตั๋วสัญญาใชเงินจะมีคูสัญญา 2 ฝาย
1. ผูออกตั๋ว ผูออกตั๋วเปนผูจายเงินตามตั๋ว ม.986 “ผูออกตั๋วสัญญาใชเงินยอมตองผูกพันเปนอยางเดียวกันกับผูรับรองตั๋วแลกเงิน”
2. ผูรับเงิน
ม.1001 อายุความ 3 ป นับแตวันที่ตั๋วถึงกําหนดใชเงินตาม ม.913 ซึ่งมีวันถึงกําหนดไดหลายกรณี
ม.1002 เปนกําหนดอายุความที่ผูทรงฟอง
1. ผูสั่งจายตั๋วแลกเงิน
2. ผูสั่งจายเช็ค
3. ฟองผูสลักหลังตั๋วทั้ง 3 ประเภท
มีกําหนดอายุความ 1 ป นับแตวันที่ไดลงในวันคัดคานซึ่งไดทําขึ้นถูกตองภายในเวลาอันถูกตองตามกําหนด หรือนับแตวันตั๋วเงิน
ถึงกําหนดในกรณีที่มีขอกําหนดไววา “ไมจําตองมีคําคัดคาน”
แยกกรณีไดดังนี้
๒๕
1. ฟองผูสั่งจายตั๋วแลกเงินหรือผูสลักหลัง เมื่อผูทรงนําตั๋วไปยื่นใหผูจายเงินตามตั๋วแลกเงินแลว ผูจายไมจายเงิน กอนที่จะนําคดีมา
ฟอง กฎหมายกําหนดใหผูทรงมีหนาที่ตาม 960 ผูทรงตองทําการคัดคานการไมใชเงินในวันที่ไดรับการปฏิเสธหรือวันที่ลงในตั๋ว
เลยหรือนับไปอีกภายใน 3 วัน แตทําวันไหนกําหนดอายุความ 1 ป ตองเริ่มนับตั้งแตวันนั้น ถาตั๋วแลกเงินเขียนลงในตั๋ววาไมจําตอง
ทําคําคัดคาน แบบนี้อายุความก็ใหเริ่มนับตั้งแตวันถึงกําหนดชําระในตั๋วเลย
2. ฟองผูสั่งจายเช็ค หรือผูสลักหลังเช็ค อายุความ 1 ปใหนับจากวันที่ลงในเช็ค เนื่องจากไมตองมีการบอกกลาว หรือทําคําคัดคานกอน
ฟองเหมือนอยางกรณีตั๋วแลกเงิน
ม.1003 เปนเรื่องของลูกหนี้ในตั๋วเงินฟองไลเบี้ยกันเอง
“ในคดีที่ผูสลักหลังทั้งหลาย ฟองไลเบี้ยกันเอง และไลเบี้ยเอาแกผูสั่งจายแหงตั๋วเงิน ทานหามมิใหฟองคดีเมื่อพนเวลา 6 เดือนนับแตวันที่ผู
สลักหลังเขาถือเอาตั๋วเงิน และใชเงินนับแตวันที่ผูสลักหลังนั้นเองถูกฟอง”
ในเรื่องตั๋วเงินนั้น บุคคลทุกคนที่ลงลายมือชื่อจะตองรวมกันรับผิดตอผูทรง ตาม ม.967 ผูทรงมีสิทธิฟอง
- ทั้งหมด
- ฟองเฉพาะบางคน
หรือฟองบางคนไปแลวไมไดเงินก็ไปฟองลูกหนี้คนอื่นไดตาม ม.967ว.3 “สิทธิเชนเดียวกันนี้ยอมมีแกบุคคลทุกคนซึ่งไดลงลายมือชื่อ
ในตั๋วเงิน และเขาถือเอาตั๋วเงินนั้น ในการที่จะใชบังคับเอาแกผูที่มีความผูกพันอยูแลวกอนตน”
หมายความวา เมื่อลูกหนี้คนใดใชเงินไปแลวและเขาถือเอาตั๋วก็สามารถไลเบี้ยตอไปได แตมีขอจํากัดอยูวา สามารถไลเบี้ยไดเฉพาะ
บุคคลที่ลงลายมือชื่อกอนตนขึ้นไปเทานั้น
Ex. นายหนึ่ง – นายสอง – นายสาม ลงชื่อสลักหลังในตั๋ว เมื่อนายสามใชเงินและเขายึดถือตั๋ว แลวฟองไลเบี้ยเอากับนายสอง นายหนึ่ง
และผูสั่งจายได ตามแตจะเลือกฟองใคร หรือฟองทุกคนก็ได
อายุความ 6 เดือนนับจากเมื่อใดแยกออกเปนสองกรณี
1.กรณีสมัครใจใชเงินเอง ผูเปนลูกหนี้ในตั๋วใชเงินและเขาถือเอาตั๋วเงิน(ไมใชถูกฟอง) ใหเริ่มนับเมื่อผูสลักหลังเขาถือเอาตั๋วนั้น
2.กรณีไมสมัครใจใชเงินแตแรก ถูกฟองแลวเขาใชเงินใหเริ่มนับเมื่อผูสลักหลังถูกฟอง คือ เริ่มนับวันฟองคดีนั่นเอง
ฎ.628/2510, 6339-6340/2539 จําเลยสั่งจายเช็คชนิดระบุชื่อผูรับเงินใหโจทกโดยลงวันที่ลวงหนา ตอมาผูทรงคนแรกรอนเงินก็เลยเอาเช็ค
ไปขายลดเช็คแกธนาคาร และโจทกก็สลักหลังลงในเช็คตอนขายไปดวย ตอมาถึงกําหนดจายเงินธนาคารผูรับซื้อเช็คเอาเช็คไปขึ้นเงิน
ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจาย ธนาคารที่รับซื้อลดเช็ค จึงติดตอโจทกผูขายใหนําเงินมาชําระ โจทกจึงนําเงินตามเช็คพรอมดอกเบี้ยไป
ชําระและรับเช็คคืน (เปนกรณีสมัครใจ) โจทกนําคดีมาฟองจําเลยเมื่อพน 6 เดือน นับแตวันที่โจทกเขาถือเอาเช็คจากธนาคารที่รับซื้อเช็ค
ศาลชั้นตนยกฟอง
โจทกฎีกาเปนประเด็นวา ธนาคารเปนเสมือนตัวแทนตนไปเรียกเก็บเงินเพราะฉะนั้นจึงเปนเรื่องที่ตนในฐานะผูทรงฟองผูสั่ง
จายในอายุ ความ 1 ป ตาม ม.1002 (ขอกฎหมาย) ศาลฎีกาวินิจฉัยวา การโอนเช็คระบุชื่อสามารถโอนใหแกกันไดตาม 917 สามารถโอนใหแก
กันได ดวยการสลักหลังและสงมอบ คดีนี้โจทกสลักหลังและสงมอบใหแกธนาคารผูซื้อ ม.920 อันการสลักหลังยอมโอนไปทั้งสิทธิและ
หนาที่ นั้น ดังนั้นธนาคาร นําเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารตามเช็คจึงเปนการกระทําในฐานะผูทรง ไมใชเรียกในฐานะเปนตัวแทนโจทก
เมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจายเงิน และโจทกไดชําระเงินตามเช็คใหแกธนาคารผูรับซื้อลดเช็คและรับเช็คกลับคืนโดยไมไดสลักหลังโอน
กลับตคืนจึงเห็นไดชัดวา ตัวโจทกอยูในฐานะผูสลักหลังเช็ค ซึ่งไดใชเงินใหแกผูทรง และเขาถือเอาเช็คฉบับนั้น โจทกนําคดีมาฟองจึงเปน
เรื่อง ผูสลักหลังฟองไลเบี้ยผูสั่งจายเช็ค ซึ่งมีอายุความ 6 เดือนตาม ม. 1003
ถาขอเท็จจริงเปลี่ยนเปนวา เช็คที่ขายลดนั้นเปนเช็คผูถือ แมขอเท็จจริงอยางอื่นจะเหมือนกันก็ตาม การวินิจฉัยคดีก็จะตรงกันขาม
ทันที เพราะเช็คผูถือนั้นผูสลักหลังจะมีฐานะเปนเพียงผูรับอาวัล ซึ่งจะเปนเรื่องผูรับอาวัลฟองไลเบี้ยเอาจากผูที่ตนประกันอาวัล ซึ่งไมมี
กําหนดอายุความไวแตอยางใด ตองใชอายุความ 10 ป( ฎ.2807/2536, 5547/2537)
2521/2540 วินิจฉัยไวชัดวามีอายุความ 10 ป เนื่องจากไมมีกฎหมายอายุความบัญญัติไวโดยเฉพาะ จึงตองใชอายุความทั่วไป(ตั้งรูปคดีวาเปน
ผูรับอาวัล) ฏ.4383/2545 ในอายุความ 1 ป เพราะตั้งรูปคดีวาเปนผูทรง
๒๖
แคชเชียรเช็ค
ธนาคารจะเปนผูออกแคชเชียรเช็คซึ่งออกในรูประบุชื่อผูรับเงิน ม.991 (3) ถาธนาคารออกไปแลวผูรับก็ไปแจงธนาคาร ผูเปนเจาหนี้
ที่เปนผูทรงแคชเชียรเช็คอยูนําไปขึ้นเงิน และถูกปฏิเสธการใชเงินจะไปฟองธนาคาร ธนาคารจะปฏิเสธตามมาตรา 991 (3) ไดหรือไมวา
ไดรับการบอกหรือการแจงวาแคชเชียรเช็คหายก็เลยไมจายเงิน ฎ.2201/2542, 772/2526
ขอเท็จจริง
1. โจทกฟองวาจําเลยที่ 2ไปซื้อแคชเชียรเช็คจากจําเลยที่ 1(ธนาคาร) ซึ่งจําเลยที่ 1 เปนผูสั่งจาย จําเลยที่ 2 สลักหลังโอนใหแกโจทก
2. โจทกนําไปขึ้นเงิน จําเลยที่ 1 ปฏิเสธการจายเงินโดยอางวาผูซื้อมีใบแจงมาขออายัด และธนาคารก็คืนเงินใหจําเลยที่ 2 ผูมาซื้อ
แคชเชียรเช็คไป
3. โจทกนําคดีมาฟองธนาคารซึ่งขอเท็จจริงปรากฏวา ความจริงแลวแคชเชียรเช็คไมไดหาย
- ธนาคารจะปฏิเสธการจายเงินตาม ม.991(3)ไดหรือไม?
- หรืออางไดหรือไมวามีคําบอกหามการใชเงิน
ศาลทั้ง 2 เรื่อง วินิจฉัยวา ธนาคารจะอางไมได เพราะ ม.991(3) กับ ม.992 เปนบทบัญญัติ เกี่ยวกับลูกคาของธนาคารเปนผูสั่งจาย ซึ่งจะ
ตางกับแคชเชียรเช็ค เพราะ จะเปนธนาคารเปนผูสั่งจาย หาใชผูเคยคากับธนาคารเปนผูสั่งจายไม ดังนั้นธนาคารจึงจะอาง 991 และ 992 มา
ปฏิเสธไมได จึงตองรับผิดตาม ม.900
ลิขสิทธิ์คณะกรรมการนักศึกษาเนติฯ สมัย 58
๒๗
๒๘