You are on page 1of 243

2

หมวดคู - THE PAIRS

1. มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฎฐา มโนมยา มนสา เจ ปทุฎฌฐน ภาสติ วา กโรติ วา ตโต นํ ทุกฺ
ขมเนฺวติ จกฺกํว วหโต ปทํ ฯ1ฯ
ใจเปนผูนําสรรพสิ่ง ใจเปนใหญ(กวาสรรพสิ่ง) สรรพสิ่งสําเร็จไดดวยใจ ถาพูดหรือทําสิ่งใดดวยใจ
ชั่ว ความทุกขยอมติดตามตัวเขา เหมือนลอหมุนเตาตามเทาโค
Mind foreruns all mental conditions, Mind is chief, mind-made are they; If one
speak or acts with a wicked mind, Then suffering follows him Even as the wheel
the hoof of the ox.

2. มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฎฐา มโนมยา มนสา เจ ปสนฺเนน ภาสติ วา กโรติ วา ตโต นํ สุขม
เนฺวติ ฉายาว อนปายินี ฯ2ฯ
ใจเปนผูนําสรรพสิ่ง ใจเปนใหญ(กวาสรรพสิ่ง) ถาพูดหรือทําสิ่งใดดวยใจบริสุทธิ์ ความสุขยอม
ติดตามเขา เหมือนเงาติดตามตน
Mind foreruns all mental conditions, Mind is chief,mind-made are they; If one
speaks or acts with a pure mind, Then happiness follows him Even as the
shadow that never leaves.

3. อกฺโกฉิ มํ อวธิ มํ อชินิ มํ อหาสิ เม เข จ ตํ อุปนยฺหนฺติ เวรํ เตสํ น สมฺมติ ฯ3ฯ


ใครมัวคิดอาฆาตวา "มันดาเรา มันทํารายเรา มันเอาชนะเรา มันขโมยของเรา" เวรของเขาไมมี
ทางระงับ
'He abused me, he beat me, He defeated me, he robbed me; In those who
harbour such thoughts Hatred never ceases.
3

4. อกฺโกฉิ มํ อวธิ มํ อชินิ มํ อหาสิ มํ เข จ ตํ นูปนยฺหนฺติ เวรํ เตสูปสมฺมติ ฯ4ฯ


ใครไมคิดอาฆาตวา "มันดาเรา มันทํารายเรา มันเอาชนะเรา มันขโมยของเรา" เวรของเขายอม
ระงับ
'Heabused me, he beat me, He defeated me, he robbed me' In those who
harbour not such thoughts Hatred finds its end.

5. น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ อเวเรน จ สมฺมนฺติ เอส ธมฺโม สนนฺตโน ฯ5ฯ
แตไหนแตไรมา ในโลกนี้ เวรไมมีระงับดวยการจองเวร มีแตระงับดวยการไมจองเวร นี้เปน
กฎเกณฑตายตัว
At any time in this world, Hatred never ceases by haterd, But through non-
hatred it ceases, This is an eternal law.

6. ปเร จ น วิชานนฺติ มยเมตฺถ ยมามเส เย จ ตตฺถ วิชานนฺติ ตโต สมฺมนฺติ เมธคา ฯ6ฯ
คนทั่วไปมักนึกไมถึงวา ตนกําลังพินาศ เพราะวิวาททุมเถึยงกัน สวนผรความจริงเชนนั้น ยอมไม
ทะเลาะกันอีกตอไป
The common people know not That in this Quarrel they will perish, But those
who realize this truth Have their Quarrels calmed thereby.

7. สุภานุปสฺสึ วิหรนฺตํ อินฺทฺริเยสุ อสํวุตํ โภชนมฺหิ อมตฺตฺุ กุสีตํ หีนวีริยํ ตํ เว ปสหตี มาโร วา
โต รุกฺขํว ทุพฺพลํ ฯ7ฯ
4

มารยอมสามารถทําลายบุคคล ผตกดปนทาสของความสวยงาม ไมควบคุมการแสดงออก ไมร


ประมาณในโภชนาหาร เกียจครานและออนแอ เหมือนลมแรงพัดโคนตนไมที่ไมแข็งแรง
As the wind overthrows a weak tree, So does Mara overpower him Who lives
attached to sense pleasures Who lives with his senses uncontrolled, Who knows
not moderation in his food, And who is indolent and inactive.

8. อสุภานุปสฺสึ วิหรนฺตํ อินฺทฺริเยสุ สุสํวุตํ โภชนมฺหิ จ มตฺตฺุ สทฺธํ อารทฺธวีริยํ ตํ เว นปฺปสหตี


มาโร วาโต เสสํว ปพฺพตํ ฯ8ฯ
มารยอมไมสามารถทําลายบุคคล ผูไมตกเปนทาสของความสวยงาม รูจักควบคุมการแสดงออก รู
ประมาณในโภชนาหาร มีศรัทธา และมีความขยันหมั่นเพียร เหมือนลมไมสามารถพัดโคนภูเขา
As the wind does not overthrow a rocky mount, So Mara indeed does not
overpower him Who lives unattached to sense pleasures, Who lives with his
senses well-controlled, Who knows moderation in his food, And who is full of
faith and high vitality.

9. อนิกฺกสาโว กาสาวํ โย วตฺถํ ปริทเหสฺสติ อเปโต ทมสจฺเจน น โส กาสาวมรหติ ฯ9ฯ


คนที่กิเลสครอบงําใจ ไรการบังคับตนเองและไรสัตย ถึงจะครองผากาสาวพัสตร ก็หาคูควรไม
whosoever, not freed from defilements, Without self-control and truthfulness,
Should put on the yellow robe- He is not worthy of it.

10. โย จ วนฺตกสาวสฺส สีเลสุ สุสมาหิโต อุเปโต ทมสจฺเจน ส เว กาสาวมรหติ ฯ10ฯ


ผูหมดกิเลสแลว มั่นคงในศีล รูจักบังคับตนเอง และมีสัตย ควรครองผากาสาวพัสตรแทจริง
5

But he who discared defilements, Firmly established in moral precepts,


Possessed of self-control and truth, Is indeed worthy of the yellow robe.

11. อสาเร สารมติโน สาเร จ อสารททสฺสิโน เต สารํ นาธิคจํฉนฺติ มิจฺฉาสงฺกปฺปโคจรา ฯ11ฯ


ผูใดเห็นสิ่งที่ไมเปนสาระ วาเปนสาระ เห็นสิ่งที่เปนสาระ วาไรสาระ ผูนั้นมีความคิดผิดเสียแลว
ยอมไมประสบสิ่งที่เปนสาระ
In the unessential they imagine the essential, In the essential they see the
unessential; They who feed on wrong thoughts as such Never achieve the
essential.

12. สารฺจ สารโต ญตฺวา อาสารฺจ อสารโต เต สารํ อธิคจฺฉนฺติ สมฺมาสงฺกปฺปโคจรา ฯ12ฯ
ผูที่เขาใจสิ่งที่เปนสาระ วาเปนสาระ และสิ่งที่ไรสาระวาไรสาระ มีความคิดเห็นชอบ ยอมประสบ
สิ่งที่เปนสาระ
Knowing the essential as the essential, And the unessential as the unessential,
They who feed on right thoughts as such Achieve the essential.

13. ยถา อคารํ ทุจฺฉนฺนํ วุฎฐิ สมติวิชฺฌติ เอวํ อภาวิคํ จิตฺตํ ราโค สมติวิชฺฌติ ฯ13ฯ
เรือนที่มุงไมเรียบรอย ฝนยอมไหลยอยเขาได ใจที่ไมอบรมฝกหัด ราคะกําหนัดยอมครอบงํา
Even as rain into an ill-thatched house, Even so lust penetrates an undeveloped
mind.

14. ยถา อคารํ สุจฺฉนฺนํ วุฎฐิ น สมติวิชฺฌติ เอวํ สุภาวิตํ จิตฺตํ ราโค น สมติวชิ ฌ
ฺ ติ ฯ14ฯ
6

เรือนที่มุงเรียบรอย ฝนยอมไหลยอยเขาไมได ใจที่อบรมเปนอยางดี ราคะไมมีวันเขาครอบงํา


Even as rain gets not into a well -thatched house, Even so lust penetrates not a
well-developed mind.

15. อิธ โสจติ เปจฺจ โสจติ ปาปการี อุภยตฺถ โสจติ โส โสจติ โส วิหฺญติ ทิสิวา กมฺมกิลิฎฐมตฺต
โน ฯ15ฯ
คนทําชั่วยอมเศราโศกในโลกนี้ คนทําชั่วยอมเศราโศกในโลกหนา คนทําชั่วยอมเศราโศกในโลกทั้ง
สอง คนทําชั่วยอมเศราโศกเดือดรอนยิ่งนัก เมื่อมองเห็นแตกรรมชั่วของตน
Here he grieves, hereaafter he grieves, In both worlds the evil-doer grieves; He
mourns, he is afflicted, Beholding his own impure deeds.

16. อิธ โมทติ เปจฺจ โมทติ กตปุโฺ ญ อุภยตฺถ โมทติ โส โมทติ ดส ปโมทติ ทิสฺวา กมฺมวิสุทฺธมิ ตฺต
โน ฯ16ฯ
คนทําดียอมราเริงในโลกนี้ คนทําดียอมราเริงในโลกหนา คนทําดียอมราเริงในโลกทั้งสอง คนทําดี
ยอมราเริง เบิกบานใจยิ่งนัก เมื่อมองเห็นแตกรรมบริสุทธิ์ของตน
Here he rejoices, hereafter he rejoices, In both worlds the well-doer rejoices; He
rejoices, exceedingly rejoices, Seeing his own pure deeds.

17. อิธ ตปฺปติ เปจิจ ตปฺปติ ปาปการี อุภยตฺถ ตปฺปติ ปาป เม กตนิติ ตปฺปติ ภิยฺโย ตปฺปติ ทุคฺคตึ
คโต ฯ17ฯ
คนทําชั่วยอมเดือดรอนในโลกนี้ คนทําชั่วยอมเดือดรอนในโลกหนา คนทําชั่ว ยอมเดือดรอนใน
โลกทั้งสอง เมื่อคิดไดวา ตนทําแตกรรมชั่ว ตายไปเกิดในทุคติ ยี่งเดือดรอนหนักขึ้น
7

Here he laments, hereafter he laments, In both worlds the evil-doer laments;


Thinking; 'Evil have I done', thus he laments, Furthermore he laments, When
gone to a state of woe.

18. อิธ นนฺทติ เปจฺจ นนฺทติ กตปุฺโญ อุภยตฺถ นนฺทติ ปุฺญํ เม กตนฺติ นนิทติ ภิยฺโย นนฺทติ สุคตึ
คโต ฯ18ฯ
คนทําดียอมสุขใจในโลกนี้ คนทําดียอมสุขใจในโลกหนา คนทําดียอมสุขใจในโลกทั้งสอง เมื่อคิด
วาตนไดทําแตบุยกุศล ยอมสุขใจ ตายไปเกิดในสุคติ ยิ่งสุขใจยิ่งขึ้น
Here he is happy, hereafter he is happy, In both worlds the well-doer is happy;
Thinking; 'Good have I done', thus he is happy, When gone to the state of bliss.

19. พหุมฺป เจ สํหิตํ ภาสมาโน น ตกฺกโร โหติ นโร ปมตฺโต โคโปว คาโว คณยํ ปเรสํ น ภาควา
สามฺญสฺส โหติ ฯ19ฯ
คนที่ทองจําตําราไดมาก แตมัวประมาทเสีย ไมทําตามคําสอน ยอมไมไดรับผลที่พึงไดจากการบวช
เหมือนเด็กเลี้ยงโค นับโคใหคนอื่นเขา
Though much he recites the Sacred Texts, But acts not accordingly, the
heedless man is like the cowherd who counts others'kine; He has no share in
religious life.

20. อปฺปมฺป เจ สํหิตํ ภาสมาโน ธมฺมสฺส โหติ อนุธมฺมจารี ราคฺจ โทสฺจ ปหาย โมหํ สมฺมปฺป
ชาโน สุวิมุตฺตจิตฺโต อนุปาทิยาโน อิธ วา หุรํ วา ส ภาควา สามฺญสฺส โหติ ฯ20ฯ
ถึงจะทองจําตําราไดนอย แตประพฤติชอบธรรม ละราคะ โทสะ และโมหะได รูแจงเห็นจริง มีจิต
หลุดพน ไมยึดมั่น ถือมั่น ทั้งปจจุบันและอนาคต เขายอมไดรับผลที่พึงไดจากการบวช
8

Though little he recites the Sacred Texts, But puts the precepts into practice,
Forsaking lust, hatred and delusion, With rigth knowledge, with mind well freed,
Cling to nothing here or hereafter, He has a share in religious life.

หมวดไมประมาท - Heedfulness

1. อปฺปมาโท อมตํปทํ
ปมาโท มจฺจุโน ปทํ
อปฺปมตฺตา น มียนฺติ
เย ปมตฺตา ยถา มตา ฯ21ฯ
ความไมประมาท เปนทางอมตะ
ความประมาท เปนทางแหงความตาย
ผูไมประมาท ไมมีวันตาย
ผูประมาท ถึงมีชีวิตอยูก็เหมือนคนตายแลว
Heedfulness is the way to the Deathless;
Heedlessness is the way to death.
The heedful do not die;
The heedless are like unto the dead.

2. เอตํ วิเสสโต ญตฺวา


อปฺปมาทมฺหิ ปณฺฑิตา
อปฺปมาเท ปโมทนฺติ
อริยานํ โคจเร รตา ฯ22ฯ
บัณฑิตรูขอแตกตาง
ระหวางความประมาทกับความไมประมาท
9

จึงยินดีในความไมประมาท
อันเปนแนวทางของพระอริยะ
Realzing this distinction,
The wise rejoice in heedfulness,
Which is the way of the Noble.

3. เต ฌายิโน สาตติกา
นิจฺจํ ทฬฺหปรกฺกมา
ผุสนฺติ ธีรา นิพฺพานํ
โยคกฺเขมํ อนุตฺตรํ ฯ23ฯ
ทานผูฉลาดเหลานั้น หมั่นเจริญกรรมฐาน
มีความเพียรมั่นอยูเปนนิจศีล
บรรลุพระนิพพานอันเปนสภาวะที่สูงสง
อิสระจากกิเลสเครื่องผูกมัด
These wise, constantly meditative,
Ever earnestly persevering,
Attain the bond-free, supreme Nibbana.

4. อุฎฐานวโต สติมโต
สุจิกมฺมสฺส นิสสมฺมการิโน
สฺญตสฺส จ ธมฺมชีวิโน
อปฺปมตฺตสฺส ยโสภิวฑฺฒติ ฯ24ฯ
ยศยอมเจริญแกผูขยัน
มีสติ มีการงานสะอาด
ทํางานดวยความรอบคอบระมัดระวัง
เปนอยูโดยชอบธรรม ไมประมาท
10

Of him who is energetic, mindeful,


Pure in deed, considerate, self -restrained,
Who lives the Dhamma and who is heedful,
Reputation steadily increases.

5. อุฎฐาเนนปฺปมาเทน
สฺญเมน ทเมน จ
ทีป กยิราถ เมธาวี
ยํ โอโฆ นาภิกีรติ ฯ25ฯ
ดวยความขยัน ดวยความไมประมาท
ดวยความสํารวมระวัง และดวยการขมใจตนเอง
ผูมีปญญาควรสรางเกาะ(ที่พึ่ง)แกตนเอง
ที่หวงน้ํา(กิเลส) ไมสามารถทวมได
By diligence, vigilance,
Restraint and self-mastery,
Let the wise make for himself an island
That no flood can overwhelm.

6. ปมาทมนุยุฺชนติ
พาลา ทุมฺเมธิโน ชนา
อปฺปมาทฺจ เมธาวี
ธนํ เสฎฐํว รกฺขติ ฯ26ฯ
คนพาล ทรามปญญา
มักมัวประมาทเสีย
สวนคนฉลาด ยอมรักษาความไมประมาท
เหมือนรักษาทรัพยอันประเสริฐ
11

The ignorant, foolish folk


Induge in heedlessness,
But the wise preserve heedfulness
As their greatest treasure.

7. มา ปมาทมนุยุฺเชถ
มา กามรติสนฺถวํ
อปฺปมตฺโต หิ ฌายนฺโต
ปปฺโปติ วิปุลํ สุขํ ฯ27ฯ
พวกเธออยามัวประมาท
อยามัวเอาแตสนุกยินดีในกามคุณอยูเลย
ผูไมประมาท เพงพินิจตามความเปนจริงเทานั้น
จึงจะบรรลุถึงความสุขอันไพบูลยได
Devote not yourselves to negligence;
Have no intimacy with sensuous delights.
The vigilant, meditative person
Attains sublime bliss.

8. ปมาทํ อปฺปมาเทน
ยถา นุทติ ปณฺฑิโต
ปฺญาปาสาทมารุยฺห
อโสโก โสกินี ปชํ
ปพฺพตฎโฐว ภุมมฺ ฎเฐ
ธีโร พาเล อเวกฺขติ ฯ28ฯ

เมื่อใดบัณฑิตกําจัดความประมาทดวยความไมประมาท
เมื่อนั้นเขานับวาไดขึ้นสู"ปราสาทคือปญญา"
12

ไรความเศราโศก สามารถมองเห็นประชาชน ผูโงเขลา


ผูยังตองเศราโศกอยู เหมือนคนยืนบนยอดภูเขา
มองลงมาเห็นฝูงชนที่ยืนอยูบนพื้นดิน ฉะนั้น

When banishing carelessness by carefulness,


The sorrowless, wise one ascends the terrace of wisdom
And surveys the ignorant, sorrowing folk
As one standing on a mountain the groundlings.

9. อปฺปมตฺโต ปมตฺเตสุ
สุตฺเตสุ พหุชาคโร
อพลสฺสํว สีฆสฺโส
หิตวฺ า ยาติ สุเมธโส ฯ29ฯ
ผูมีปญญามักไมประมาท เมื่อคนอื่นพากันประมาท
และตื่น เมื่อคนอื่นหลับอยู
เขาจึงละทิ้งคนเหลานั้นไปไกล
เหมือนมาฝเทาเร็ว วิ่งเลยมาแกลบ ฉะนั้น
Heedful among the heedless,
Wide-awake among those asleep,
The wise man advances
As a swift horse leaving a weak nag behind.

10. อปฺปมาเทน มฆวา


เทวานํ เสฎฐตํ คโต
อปฺปมาทํ ปสํสนฺติ
ปมาโท ครหิดต สทา ฯ30ฯ
13

ทาวมฆวานไดเปนใหญกวาทวยเทพ
เพราะผลของความไมประมาท
บัณฑิตจึงสรรเสริญความไมประมาท
และติเตียนความประมาททุกเมื่อ

By vigilance it was that


Indra attained the lordship of the gods.
Earnestness is ever praised,
Carelessness is ever despised.

11. อปฺปมาทรโต ภิกฺขุ


ปมาเท ภยทสิสิ วา
สฺโญชนํ อณุ ถูลํ
ฑหํ อคฺคีว คจฺฉติ ฯ31ฯ

ภิกษุผูยินดีในความไมประมาท
เห็นภัยในความประมาท
ยอมเผากิเลสเครื่องผูกมัดได
เหมือนไฟเผาเชื้อทุกชนิด

The bhikkhu who delights in earnesstness


And discerns dangers in negligence,
Advances, consuming all fetters,
Like fire burning fuel, both small and great.
14

12. อปฺปมาทรโต ภิกฺขุ


ปมาเท ภยทสฺสิ วา
อภพฺโพ ปริหานาย
นิพฺพานสฺเสว สนฺติเก ฯ32ฯ

ภิกษุผูไมประมาท
เห็นภัยในความประมาท
ไมมทางเสื่อม
ยอมอยูใกลนิพพานเปนแนแท

The bhikkhu who delights in earnestness,


And discerns dangers in negligence,
Is not lisble to fall away;
He is certainly in the presence of Nibbana.
หมวดจิต - The Mind

1. ผนฺทนํ จปลํ จิตฺตํ


ทุรกฺขํ ทุนฺนิวารยํ
อุชุ กโรติ เมธาวี
อุชุกาโรว เตชนํ ฯ33ฯ

จิตดิ้นรน กลับกลอก
ปองกันยาก หามยาก
คนมีปญญาสามารถดีดใหตรงได
เหมือนชางศรดัดลูกศร

The flickering , fickle mind,


15

Difficult to guard, difficult to control,


The wise man straightens,
As a fletcher straightens an arrow.

2. วาริโชว ถเล ขิตฺโต


โอกโมกต อุพฺภโต
ปริผนํทติทํ จิตฺตํ
มารเธยฺยํ ปหาตเว ฯ34ฯ

มัสยาถูกเขาจับโยนไปบนบก ยอมดิ้นรน
เพื่อจะกลับไปยังแหลงน้ําที่เคยอาศัย
จิตใจเราก็เชนเดียวกัน ดิ้นรนไปหากามคุณ
เพราะฉะนั้น จึงควรละเวนกามคุณเสีย

Like a fish drawn its watery abode


And thrown upon land,
Even so does the mind flutter,
Hence should the realm of passions be shunned.

3. ทุนฺนิคฺคหสฺส ลหุโน
ยตฺถกามนิปาติโน
จิติตสิส ทมโถ สาธุ
จิตฺตํ ทนฺตํ สุขาวหํ ฯ35ฯ

จิตควบคุมยาก เปลี่ยนแปลงเร็ว
ใฝในอารมณตามที่ใคร
ฝกจิตเชนนั้นไดเปนการดี
เพราะจิตที่ฝกดีแลว นําความสุขมาให
16

Good is it to control the mind


Which is hard to check and swift
And flits wherever it desires.
A subdued mind is conducive to happiness.

4. สุทุทฺทสั สุนิปุณํ
ยตฺถกามนิปาตินํ
จิตฺตํ รกิเขถ เมธาวี
จิตฺตํ คุตฺตํ สุขาวหํ ฯ36ฯ
จิตเห็นไดยาก ละเอียดยิ่งนัก
มักใฝในอารมณตามที่ใคร
ผูมีปญญาจึงควรควบคุมจิตไวใหดี
เพราะจิตที่ควบคุมไดแลว นําสุขมาให

Hard to perceive and extremely subtle is this mind,


It roams wherever it desires.
Let the wise man guard it;
A guarded mind is conducive to happiness.

5. ทูรงฺคมํ เอกจรํ
อสรีรํ คุหาสยํ
เย จิตฺตํ สฺญเมสฺสนฺติ
โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา ฯ37ฯ
จิตทองเที่ยวไปไกล เที่ยวไปดวงเดียว
ไมมีรูปราง อาศัยอยูในรางกายนี้
ใครควบคุมจิตนี้ได
ยอมพนจากบวงมาร
17

Faring afar, solitary, incorporeal


Lying in the body, is the mind.
Those who subdue it are freed
From the bond od Mara.

6. อนวฎฐิตจิตฺตสิส
สทฺธมฺมํ อวิชานโต
ปริปุลวปสาทสฺส
ปฺญา น ปริปูรติ ฯ38ฯ

ปญญายอมไมบริบูรณ
แกผูมีจิตไมมั่นคง
ไมรูพระสัทธรรม
มีความเลื่อมใสไมจริงจัง

He whose mind is inconstant,


He who knows not the true doctrine,
He whose confidence wavers -
The wisdom of such a one is never fulfilled.

7. อนวสฺสุตจิตฺตสฺส
อนนุวาหตเจตโส
ปุฺญปาปปหีนสฺส
นตฺถิ ชาครโต ภยํ ฯ40ฯ

ผูมีสติตื่นตัวอยูเนืองนิตย
มีจิตเปนอิสระจากราคะและโทสะ
18

ละบุญและบาปได
ยอมไมกลัวอะไร
He who is vigilant,
He whose mind is not overcome by lust and hatred,
He who has discarded both good and evil -
For such a one there is no fear.

8. กุมภูปมํ กายมิมํ วิทิตวฺ า


นครูปมํ จิตฺตมิทํ ถเกตฺวา
โยเชถ มารํ ปฺญาวุเธน
ชิตฺจ รกฺเข อนิเวสโน สิยา ฯ41ฯ

เมื่อรูวารางกายนี้แตกดับงายเหมือนหมอน้ํา
พึงปองกันจิตใหมั่นเหมือนปองกันเมืองหลวง
แลวพึงรบกับพญามารดวยอาวุธคือปญญา
เมื่อรบชนะแลวพึงรักษาชัยชนะนั้นไว
ระวังอยาตกอยุในอํานาจมารอีก
Realizing that body is fragile as a pot,
Establishing one's mind as firm as a fortified city,
Let one attack let one guard one's conqust
And afford no rest to Mara.

9. อจิรํ วตยํ กาโย


ปฐวึ อธิเสสฺสติ
ฉุฑฺโฑ อเปตวิฺญาโณ
นิรตฺถํว กลิงฺครํ ฯ41ฯ
19

อีกไมนาน รางกายนี้
จักปราศจากวิญญาณ
ถูกทอดทิ้ง ทับถมแผนดิน
เหมือนทอนไมอันหาประโยชนมิได
Soon, alas! will this body lie
Upon the ground, unheeded,
Devoid of consciousness,
Even as useless log.

10. ทิโส ทิสํ ยนฺตํ กยิรา


เวรี วา ปน เวรินํ
มิจฺฉาปณิหิตํ จิตฺตํ
ปาปดย น ตโต กเร ฯ42ฯ

จิตที่ฝกฝนผิดทาง
ยอมทําความเสียหายได
ยิ่งกวาศัตรูทําตอศัตรู
หรือคนจองเวรทําตอคนจองเวร

Whatever harm a foe may do to a foe,


Or a hater to a hater,
An ill-directed mind
Can harm one even more.

11. น ตํ มาตา ปตา กยิรา


อฺเญ วาปจ ญาตกา
สมฺมาปณิหิตํ จิตฺตํ
เสยฺยโส นํ ตโต กเร ฯ43ฯ
20

มารดาก็ทําใหไมได
บิดาก็ใหไมได
ญาติพี่นองก็ทําใหไมได
แตจิตที่ฝกฝนไวชอบยอมทําสิ่งนั้นใหได
และทําใหไดอยางประเสริฐดวย
What neither mother ,nor father,
Nor any other relative can do,
A well-directed mind does
And thereby elevates one.
หมวดดอกไม - THE FLOWERS

1. โก อิมํ ปฐวึ วิเชสฺสติ


ยมโลกฺจ อิมํ สเทวกํ
โก ธมฺมปทํ สุเทสิตํ
กุสโล ปุปฺผมิว ปเจสฺสติ ฯ44ฯ

ใครจักครองแผนดินนี้
พรอมทั้งยมโลก และเทวโลก
ใครจักเลือกเฟนพระธรรมบท
ที่ทรงแสดงไวดีแลว
เหมือนนายมาลาการผูฉลาด
เลือกเก็บดอกไม

Who will conquer this earth(life)


With Yama's realm and with celestial world?
Who will investigate the well-taught Dhamma-Verses
21

As a skilful garland-maker plucks flowers?

2. เสโข ปฐวึ วิเชสฺสติ


ยมโลกฺจ อิมํ สเทวกํ
เสโข ธมฺมปทํ สุเทสิตํ
กุสโล ปุปฺผมิว ปเจสฺสติ ฯ45ฯ

พระเสขะจักครองแผนดินนี้
พรอมทั้งยมดลกและเทวโลก
พระเสขะจักเลือกเฟนพระธรรมบท
ที่ทรงแสดงไวดีแลว
เหมือนนายมาลาการผูฉลาด
เลือกเก็บดอกไม

A learner(sekha) will conquer this earth


With Yama's realm and with celestial world.
He will investigate the well-taught Dhamma-Verses
As a skilful garland-maker plucks flower.

3. เผณูปมํ กายมิทํ วิทิตฺวา


มรีจิกมฺมํ อภิสมฺพุธาโน
เฉตฺวาน มารสฺส ปปุปฺผกานิ
อทสฺสนํ มจฺจุราชสฺส คจฺเฉ ฯ46ฯ

เมี่อรูวารางกายนี้แตกสลายงาย และวางเปลา
เชนเดียวกับฟองน้ํา และพยับแดด
22

ก็ควรทําลายบุษปศรของกามเทพ
ไปใหพนทัศนวิสัยของมัจจุราชเสีย

Perciving this body to be similar unto foam


And comprehending its mirage-nature,
One should destroy the flower-tipped arrows of Love
And pass beyond the sight of the King of Death.

4. ปุปฺผานิ เหว ปจนนฺตํ


พิยาสตฺตมนสํ นรํ
สุตฺตํ คามํ มโหโฆว
มจฺจุ อาทาย คจฺฉติ ฯ47ฯ

มฤตยูฉุดคราคนผูมัวเก็บดอกไม(กามคุณ)
มีใจเกี่ยวของอยูในกามคุณไป
เหมือนหวงน้ําใหญหลากมา
พัดพาเอาชาวบานผูหลับไหลไป

He who gathers flowers of sensual pleasure,


Whose mind is distracted-
Death carries him off
As the great flood a sleeping village.

5. ปุปฺผานิ เหว ปจินนฺตํ


พฺยาสตฺตมนสํ นรํ
อติตฺตํเยว กาเมสุ
อนฺตโก กุรุเต วสํ ฯ48ฯ
23

ผูที่มัวเก็บดอกไม(กามคุณ)เพลินอยู
มีจิตใจของอยูแตในกามคุณไมรูจักอิ่ม
มักตกอยูในอํานาจมฤตยู

He who gathers flowers of sensual pleasures,


Whose mind is distracted
And who is insatiate in desire-
Him death brings under its sway.

6. ยถาป ภมโร ปุปฺผํ


วณฺณคนฺธํ อเหฐยํ
ปเลติ รสมาทาย
เอวํ คาเม มุนี จเร ฯ49ฯ

มุนีพึงจาริกไปในเขตคาม
ไมทําลายศรัทธาและโภตะของชาวบาน
ดุจภมรดูดรสหวานของบุปผชาติแลวจากไป
ไมใหสีและกลิ่นชอกช้ํา

As a bee takes honey from the flowers,


Leaving it colour and fragrance unharmed,
So should the sage wander in the village.

7. น ปเรสํ วิโลมานิ
น ปเรสํ กตากตํ
24

อตฺตนาว อเวกฺเขยฺย
กตานิ อกตานิ จ ฯ50ฯ

ไมควรแสหาความผิดผูอื่น
หรือธุระที่เขาทําแลวหรือยังไมทํา
ควรตรวจดูเฉพาะกิจ
ที่ตนทําหรือยังไมทําเทานั้น

Pay not attention to the faults of others,


Things done or left undone by others,
Consider only what by oneself
Is done or left undone.

8. ยถาป รุจิรํ ปุปฺผํ


วณฺณวนิตํ อคนฺธกํ
เอวํ สุภาสิตา วาจา
อผลา โหติ อกุพฺพโต ฯ51ฯ

วาจาสุภาสิต
ของผูทําไมไดตามพูด
ยอมไมมีประโยขนอะไร
ดุจดอกไมสีสวย แตไรกลิ่น

As a flower that is lovely


And colourful,but scentless,
Even so fruitless is the well-spoken word
Of one who follows it not.
25

9. ยถาป รุจิรํ ปุปฺผํ


วณฺณวนฺตํ สคนฺธกํ
เอวํ สุภาสิตา วาจา
สผลา โหติ สุกุพฺพโต ฯ52ฯ

วาจาสุภาษิต
ของผูทําไดตามพูด
ยอมอํานวยผลดี
ดุจดอกไมสีสวยและมีกลิ่นหอม

As a flower that is lovely,


Colourful and fragrant,
Even so fruitful is the well-spoken word
Of one who practises it.

10. ยถาป ปุปฺผราสิมฺหา


กยิรา มาลาคุเณ พหู
เอวํ ชาเตน มจฺเจน
กตฺตพฺพํ กุสลํ พหุ ฯ53ฯ
เมื่อเกิดมาแลวจะตองตาย
ก็ควรสรางบุญกุศลไวใหมาก
เหมือนนายมาลาการรอยพวงมาลัย
เปนจํานวนมากจากกองดอกไม

As from a heap of flowers


26

Many kinds of garlands can be made,


So many good deeds should be done
By one born a mortal.

11. น ปุปฺผคนโธ ปฏิวาตเมติ


น จนฺทนํ ตครมลฺลิกา วา
สตฺจ คนฺโธ ปฏิวาตเมติ
สพฺพา ทิสา สปฺปุริโส ปวายติ ฯ54ฯ

กลิ่นปุปผชาติ กหอมทวนลมไมได
กลิ่นจันทน กฤษณา หรือดอกมะลิ
ก็หอมทวนลมไมได
แตกลิ่นสัตบุรุษ หอมทวนลมไมได
สัตบุรุษ ยอมหอมฟุงขจรไปทั่วทุกทิศ

The perfume of flower blows not againts the wind,


Nor does the fragrance of sandal-wood, Tagara andjasmine,
But the fragrance of the virtuous blows against the wind
The virtuous man pervades all directions.

12. จนฺทนํ ตครํ วาป


อุปฺปลํ อถ วสฺสิกี
เอเตสํ คนฺธชาตานํ
สีลคนฺดธ อนุตฺตโร ฯ 55ฯ
กลิ่นศีล หอมยิ่งกวา
ของหอมเหลานี้ คือ
27

จันทน กฤษณา
ดอกอุบล และ กะลําพัก

Sandal -wood, Tagara,


lotus and wild jasmine-
Of all these kinds of fragrance,
The fragrance of virtue is by far the best.

13. อปฺปมตฺโต อยํ คนฺโธ


ยายํ ตครจนฺทนี
โย จ สีลวตํ คนฺโธ
วาติ เทเวสุ อุตฺตโม ฯ56ฯ

กฤษณา หรือจันทน มีกลิ่นหอมนอยนัก


แตกลิ่นหอมของทานผูทรงศีลประเสริฐนัก
หอมฟุงกระทั่งถึงทวยเทพยดา

Little is the fragrance of Tagara


And that of sandal-wood,
But the fragrance of virtue is excellent
And blows even among the devas.

14. เตสํ สมฺปนฺนสีลานํ


อปฺปมาทวิหารินี
สมฺมทฺญา วิมุตฺตานํ
มาโร มคฺคํ น วินฺทติ ฯ57ฯ
28

มารยอมคนไมพบวิถีทาง
ของผูทรงศีลผูอยูดวยความไมประมาท
ผูหลุดพนจากอาสวกิเลส เพราะรูชอบ

Of those who possess these virtues,


Who live without negligence,
Who are freed by perfect knowledge-
Mara finds not their way.

15. ยถา สงฺการธานสฺมึ


อุชุฌิตสฺมึ มหาปเถ
ปทุมํ ตตฺถ ชาเยถ
สุจิคนฺธํ มโนรมํ ฯ58ฯ

ดอกบัว มีกลิ่นหอม รื่นรมยใจ


เกิดบนสิ่งปฏิกูล
ที่เขาทิ้งไวไกลทางใหญ ฉนใด

Just as on a heap of rubbish


Thrown u[on the highway
Grows the lotus sweetly fragrant
And delighting the heart.

16. เอวํ สงฺการภูเตสุ


อนฺธภูเต ปุถุชฺชเน
อติดรจติ ปฺญาย
สมฺมาสมิพุทฺธสาวโก ฯ59ฯ
29

ทามกลางหมูปุถุชน ผูโงเขลา
ผูเปนเสมือนสิ่งปฏิกูล
พระสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจา
ยอมรุงเรืองดวยปญญา ฉันนั้น

Even so among those blinded mortals


Who are like rubbish,
The disciple or the Fully Enligtened one
Shines with exceeding glory by his wisdom.
หมวดคนพาล - THE FOOL

1. ทีฆา ชาครโต รตฺติ


ทีฆํ สนฺตสฺส โยชนํ
ทีโฆ พาลาน สํสาโร
สทฺธมฺมํ อวิชานตํ ฯ60ฯ

ราตรีนาน สําหรับคนนอนไมหลับ
ระยะทางโยชนหนึ่งไกล สําหรับผูลาแลว
สังสารวัฎยาวนาน สําหรับคนพาล
ผูไมรูแจงพระสัทธรรม

Long is the night to the wakeful,


Long is the Yojana to the weary,
Long is Samsara to the foolish
Who know not the true doctrine.
30

2. จรฺเจ นาะคจฺเฉยฺย
เสยฺยํ สทิสมตฺตโน
เอกจริยํ ทฬฺหํ กยิรา
นตฺถิ พาเล สหายตา ฯ61ฯ
หากแสวงหาไมพบเพื่อนที่ดีกวาตน
หรือเพื่อนที่เสมอกับตน
ก็พึงเที่ยวไปคนเดียว
เพราะมิตรภาพ ไมมีในหมูคนพาล
If, as he fares, he finds no companion
Who is better or equal,
Let him firmly pursue his solitary course;
There is no fellowship with the foot.

3. ปุตฺตา นตฺถิ ธน มตฺถิ


อิติ พาโล วิหฺญติ
อตฺตา หิ อตฺตโน นตฺถิ
กุโต ปุตฺตา กุโต ธนํ ฯ62ฯ

คนโงมัวคิดวุนวายวา
เรามีบุตร เรามีทรัพย
เมื่อตัวเขาเองก็ไมใชของเขา
บุตรและทรัพยจะเปนของเขาไดอยางไร

'I have some, I have wealth';


So thinks the food and is troubled.
31

He himeself is not his own.


How then are sons,how wealth?

4. โย พาดล มฺญติ พาลยฺยํ


ปณฺฑิโต วาป เตน โส
พาโล จ ปณฺฑิตามานี
ส เว พาโลติ วุจฺจติ ฯ63ฯ
คนโง รุตัววาโง
ยังมีทางเปนบัณฑิตไดบาง
แตโงแลว อวดฉลาด
นั่นแหละเรียกวาคนโงแท

A fool aware of his stupidity


Is in so far wise,
But the fool thinking himself wise
Is called a fool indeed.

5. ยาวชีวมฺป เจ พาโล
ปณฺฑิตํ ปฏิรุปาสติ
น โส ธมฺมํ วิชานาติ
ทพฺพิ สูปรสํ ยถา ฯ64ฯ

ถึงจะอยุใกลบัณฑิต
เปนเวลานานชั่วชีวิต
คนโงก็หารูพระธรรมไม
เหมือนจวักไมรูรสแกง
32

Though through all his life


A fool associates with a wise man,
He yet understands not the Dhamma,
As the spoon the flavour of soup.

6. มุหุตฺตมฺป เจ วิฺู
ปณฺฑิตํ ปยิรุปาสติ
ขิปฺป ธมฺมํ วิชานาติ
ชิวหา สูปรสํ ยถา ฯ65ฯ

ปญญาชน คบบัณฑิต
แมเพียงครูเดียว
ก็พลันรูแจงพระธรรม
เหมือนลิ้นรูรสแกง

Though,for a moment only,


An intelligent man associates with a wise man,
Quickly he understands the Dhamma,
As the tougue the flavour of soup.

7. จรนฺติ พาลา ทุมฺเมธา


อมิตฺเตเนว อติตนา
กโรนฺตา ปาปกํ กมฺมํ
ยํ โหติ กฎกปฺผลํ ฯ66ฯ

เหลาคนพาล ปญญาทราม
33

ทําตัวเองใหเปนศัตรูของตัวเอง
เที่ยวกอแตบาปกรรรมที่มีผลเผ็ดรอน

Fools of little wit


Behave to themselves as enemies,
Doing evil deeds
The fruits wherof are bitter.

8. น ตํ กมฺมํ กตํ สาธุ


ยํ กตฺวา อนุตปฺปติ
ยสฺส อสฺสุมุโข โรทํ
วิปากํ ปฏิเสวติ ฯ67ฯ

กรรมใดทําแลวทําใหเดือดรอนภายหลัง
อีกทั้งทําใหรองไหน้ําตานอง
รับสนองผลของการกระทํา
กรรมนั้นไมดี

That deed is not well done,


After doing which one feels remorse
And the fruit whereof is received
With tears and lamentations.

9. ตฺจ กมฺมํ กตํ สาธุ


ยํ กตฺวา นานุตปฺปติ
34

ยสส ปตีดต สุมโน


วิปากํ ปฏิเสวติ ฯ68ฯ

กรรมใดทําแลว ไมเดือดรอนภายหลัง
ทั้งผูกระทํากเบิกบานสําราญใจ
ไดเสวยผลของการกระทํา
กรรมนั้นดี

Well done is thst deed


which, done, brings no regret;
The fruit whereof is received
The fruit whereof is received
With delight and satisfaction.

10. มธุวา มฺญตี พาดล


ยาว ปาป น ปจฺจติ
ยทา จ ปจฺจตี ปาป
อถ พาโล ทุกฺขํ นิคจฺฉติ ฯ69ฯ

ตลอดระยะเวลาที่บาปยังไมใหผล
คนพาลสําคัญบาปหวานปานน้ําผึ้ง
เมื่อใดบาปใหผล
เมื่อนั้นเขายอมไดรับทุกข

An evil deed seems sweet to the fool


so long as it does not bear fruit;
35

but when it ripens,


The fool comes to grief.

11. มาเส มาเส กุสคฺเคน


พาโล ภุฺเชถ โภชนํ
น โส สงฺขาตธมฺมานํ
กลํ อคฺฆติ โสฬสึ ฯ70ฯ

คนพาล ถึงจะบําเพ็ญตบะ
โดยเอาปลายหญาคาจิ้มอาหารกิน ทุกเดืน
การปฏิบัติของเขาไมเทาหนึ่งในสิบหกสวน
ของการปฏิบัติของทานผูบรรลุธรรม

Month after month the fool may eat his food


With the tip of Kusa srass;
Nonetheless he is not worth the sixteenth part
Of those who have well understoood the Truth.

12. น หิ ปาป กตํ กมฺมํ


สชฺชุ ขีรํว มุจฺจติ
ฑหนฺติ พาลมเนฺวติ
ภสฺมาจฺฉนฺโนว ปาวโก ฯ71ฯ

กรรมชั่วที่ทําแลว ยังไมใหผลทันทีทันใด
เหมือนนมรีดใหม ๆ ไมกลายเปนนมเปรี้ยวในทันที
36

แตมันจะคอย ๆ เผาผลาญผูกระทําในภายหลัง
หมือนไฟไหมแกลบ

An evil deed committed


Does not immediately bear fruit,
Just as milk curdles not at once;
Smouldering life covered by ashes,
It follows the fool.

13. ยาวเทว อนติถาย


ญตฺตํ พาลสฺส ชายติ
หนฺติ พาลสฺส สุกฺกํสํ
มุทฺธมสฺส วิปาตยํ ฯ72ฯ

คนพาลไดความรูมา
เพื่อการทําลายถายเดียว
ความรูนั้น ทําลายคุณความดีเขาสิ้น
ทําใหมันสมองของเขาตกต่ําไป

The fool gains knowledge


Only for his ruin;
It destroys his good actions
And cleaves his head.

14. อสนฺตํ ภาวมิจฺเฉยฺย


ปุเรกฺขารฺจ ภิกฺขุสุ
อาวาเสสุ จ อิสฺสริยํ
ปูชา ปรกุเลสุ จ ฯ73ฯ
37

ภิกษุพาล ปรารถนาชื่อเสียงเกียรติยศที่ไมเหมาะ
อยากเปนใหญกวาพระภิกษุทั้งหมด
อยากเปนเจาอาวาส
อยากไดรับบูชาสักการะจากชาวบานทั้งหลาย

A foolish monk desires undue reputation,


Precedence among monks,
Authority in the monasterics,
Honour among other families.

15. มเมว กต มฺญนฺตุ


คิหี ปพฺพชิตา อุโภ
มเมว อติวสา อสฺสุ
กิจฺจาจฺเจส กิสฺมิจิ
อิติ พาลสฺส สงฺกปฺโป
อิจฺฉา มาโน จ วฑฺฒติ ฯ74ฯ

"ขอใหคฤหัสถ และบรรพชิต
จงสําคัญวา เราเทานั้นทํากิจนี้
ขอใหเขาเหลานั้นอยูในบังคับบัญชาของเรา
ไมวากิจการใหญหรือเลก"
ภิกษุพาล มักจะคิดใฝฝนเชนนี้
ความทะเยอทะยาน และวามหยิ่งกพลอยเพิ่มขึ้น

'Let both laymen and monks think,


By me only was this done;
In every work,great or small,
Let them refer to me .'
38

Such is the ambitin of the fool;


His desire and pride increase.

16. อฺญา หิ ลาภูปนิสา


อฺญา นิพฺพานคามินี
เอวเมตํ อภิฺญาย
ภิกฺขุ พุทฺธสฺส สาวโก
สกฺการํ นาภนนฺเทยฺย
วิเวกมนุพฺรูหเย ฯ75ฯ

ทางหนึ่งแสวงหาลาภ
ทางหนึ่งไปนิพพาน
รูอยางนี้แลว ภิกษุพุทธสาวก
ไมควรไยดีลาภสักการะ
ควรอยูอยางสงบ

One is the way to worldly gain;


To Nibbana another leads.
Clearly realizing this,
The bhikkh,disciple of the Buddha,
Should not delight in worldly favour,
But devote himself to solitude.
6 หมวดบัณฑิต - The Wise

๑. ฉินฺท โสตํ ปรกฺกมฺม


กาเม ปนูท พฺราหฺมณ
39

สงฺขารานํ ขยํ ญตฺวา


อกตฺูสิ พฺราหฺมณ ฯ ๓๘๓ ฯ
พราหมณเอย ทานจงพยายามหยุดกระแส (ตัณหา)
และบรรเทากามทั้งหลายเสีย พราหมณเอย
เมื่อทานรูความสิ้นไปแหงสิ่งปรุงแตงทั้งหลาย
ทานก็จะรูสิ่งที่ไมปรุงแตง (นิพพาน)
Strive and stop the stream of craving,
Discrad, O brahmana, sense-desires.
Knowing conditioned things, brahmana,
You will know the Unconditioned.

๒. ยทา ทฺวเยสุ ธมฺเมสุ


ปารคู โหติ พฺราหฺมโณ
อภสฺส สพฺเพ สํโยคา
อฏฐํ คจฺฉนฺติ ชานโต ฯ ๓๘๔ ฯ

เมื่อใดพราหมณขามถึงฝงโนน (นิพพาน)
ดวยการปฏิบัติธรรมทั้งสอง (สมถะและวิปสนา)
เมื่อนั้นเครื่องผูกพันทั้งปวง
ของเขาผูรูจริงยอมสิ้นไป

When depending on the twofold means,


A brahmana has reached the Other Shore,
Then of that one who knows,
All fetters remain no more.
40

๓. ยสฺส ปารํ อปารํ วา


ปาราปารํ น วิชฺชติ
วีตทฺทรฺ วิสํยุตตฺ ํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ณ ๓๘๕ ฯ

ผูใดไมมีฝงนี้ หรือฝงโนน
หรือไมมีทั้งสองฝง
ไมมีความกระวนกระวายใจ เปนอิสระ
ผูนั้นเราเรียกวา พราหมณ

For whom there exists


Neither the Hither nor the Father Shore,
Nor both the Hither and the Farther Shore,
He who is undistressed and unbound-
Him do I call a brahmana.

๔. ฌายึ วิรชมาสีนํ
กตกิจฺจํ อนาสวํ
อุตฺตมตฺถํ อนุปฺปตฺตํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๓๘๖ ฯ

ผูใดบําเพ็ญฌาน ปราศจากกิเลส
อยูคนเดียว หมดกิจที่จะพึงทํา
หมดอาสวะ ลุถึงจุดหมายปลายทางแลว
ผูนั้นเราเรียกวา พราหมณ

Meditative, dwelling alone,


Free from passion taint,
41

Having done what should be done,


Devoid of all corruptions,
And having reached the Highest Goal-
Him do I call a brahmana

๕. ทิวา ตปติ อาทิจฺโจ


รตฺติมาภาติ จนฺทิมา
สนฺนทฺโธ ขตฺตโิ ย ตปติ
ฌายี ตปติ พฺราหฺมโณ
อถ สพฺพมโหรตฺตึ
พุทฺโธ ตปติ เตชสา ฯ ๓๘๗ ฯ
พระอาทิตย สวางกลางวัน
พระจันทร สวางกลางคืน
นักรบสงางามเมื่อสวมเกราะเตรียมรบ
พราหมณ สงางามเมื่อเขาฌาน
แตพระพุทธเจาสงางามทั้งกลางวันกลางคืน
By day the sun shines.
By night the moon is bright.
Armoured shines the warrior.
In meditation the brahmana glows.
But all day and all night,
The Buddha shines in splendour.

๖. พาหิตปาโป หิ พฺราหฺมโณ
สมจริยา สมโณติ วุจฺจติ
ปพฺพาชยมตฺตโน มลํ
ตสฺมา ปพฺพชิโตติ วุจฺจติ ฯ ๓๘๘ ฯ
42

ผูที่ชื่อวาพราหมณ เพราะละบาปได
ชื่อวาสมณะ เพราะมีจรรยาสงบ
ชื่อวาบรรพชิต เพราะละมลทินได
Without evil he is called a brahmana.
He who lives in peace is called a samana.
With all impurities gone,
A pabbajita is he called.

๗. น พฺราหฺมณสฺส ปหเรยฺย
นาสฺส มุฺเจถ พฺราหฺมโณ
ธิ พฺราหฺมณสฺส หนฺตารํ
ตโต ธิ ยสฺส มุฺจติ ฯ ๓๘๙ ฯ
ไมควรรังแกพราหมณ (นักบวช)
และพราหมณก็ไมควรแสดงความโกรธตอบ
คนที่รังแกพราหมณ เปนคนนาตําหนิ
แตพราหมณผูโกรธตอบ นาตําหนิกวา
One should not strike a brahmana,
Nor such a brahmana vent his wrath on him.
Woe to him who strikes a brahamana.
More woe to him who gives way to his wrath.

๘. น พฺราหฺมณสฺเสตทกิฺจิ เสยฺโย
ยทา นิเสโธ มนโส ปเยหิ
ยโต ยโต หึสมโน นิวตฺตติ
ตโต ตโต สมฺมติเมว ทุกขฺ ํ ฯ ๓๙๐ ฯ
43

ไมมีอะไรจะดีสําหรับพราหมณ
เทากับหักหามใจจากปยารมณ
เมื่อใดเขาไมเบียดเบียนคนอื่น
เมื่อนั้น ความทุกขก็สงบ
Naught is better for a brahmana.
Than restraint of mind from what is dear.
Whenever his ill will has been put aside,
Then and then only his sorrow subsides.

๙. ยสฺส กาเยน วาจาย


มนสา นตฺถิ ทุกฺกฏํ
สํวุตํ ตีหิ ฐาเนหิ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๓๙๑ ฯ
ผูใดไมมีความชั่วทางกาย วาจา ใจ
สํารวมระวังทั้งสามทวาร
ผูนั้นเราเรียกวา พราหมณ
He in whom there is no evil done,
Through body speech or mind,
He who is restrained in the three ways-
Him do I call a brahmana.

๑๐. ยมฺหา ธมฺมํ วิชาเนยฺย


สมฺมาสมฺพุทธฺ เทสิตํ
สกฺกจฺจํ ตํ นมสฺเสยฺย
อคฺคิหุตฺตํว พฺราหฺมโณ ฯ ๓๙๒ ฯ
เมื่อรูธรรมที่พุทธเจาทรงแสดง
จากบุคคลใด
44

ควรเคารพนอบนอมบุคคลนั้น
เหมือนพราหมณบูชาไฟ
From whom one knows the Truth Sublime
Which the Awakened One proclaimed,
Devotedly should one revere him,
As a brahmana tends the sacrificial fire.

๑๑. น ชฏาหิ น โคตฺเตน


น ชจฺจา โหติ พฺราหฺมโณ
ยมฺหิ สจฺจฺจ ธมฺโม จ
โส สุจี โส จ พฺราหฺมโณ ฯ ๓๙๓ ฯ
มิใชเพราะมุนชฏา มิใชเพราะโคตร
มิใชเพราะกําเนิด (ที่ดี) ที่ทําคนใหเปนพราหมณ
ใครก็ตามมีสัจจะและทรงธรรม
ยอมจะบริสุทธิ์ล้ําและเปนพราหมณ
Not by matted hair, nor by clan, nor by birth,
Does one become a brahmana.
In whom there are truth and righteouseness,
Pure is he, a brahmana is he.

๑๒. กึ เต ชฏาหิ ทุมฺเมธ


กึ เต อชินสาฏิยา
อพฺภนฺตรํ เต คหณํ
พาหิรํ ปริมชฺชสิ ฯ ๓๙๔ ฯ
เจาโงเอย ผมยาว หนังสัตว
จะมีประโยชนอะไรสําหรับเจา
45

ภายนอกเจาสะอาดสดใส
แตภายในเจารกรุงรัง
What use of your matted hair, O foolish one?
And what of your entelope-garment?
Full of impurities is your mind,
You embellish only the outside.

๑๓. ปสุกูลธรํ ชนฺตุ


กิสํ ธมนิสนฺถตํ
เอกํ วนสฺมึ ฌายนฺตํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๓๙๕ ฯ
ผูทรงผาบังสุกุล
ผอมจนเห็นแตเสนเอ็น
บําเพ็ญฌานในปาเปลี่ยวคนเดียว
เราเรียกวา พราหมณ
Clad in rag-robes and lean,
With body overspread by veins,
Meditationg in the forest alone-
Him do I call a brahmana.

๑๔. น จาหํ พฺราหฺมณํ พฺรูมิ


โยนิชํ มตฺติสมฺภวํ
โภวาที นาม โส โหติ
ส เว โหติ สกิฺจโน
อกิฺจนฺ อนาทานํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๓๙๖ ฯ
46

เพียงเกิดในตระกูลพราหมณ
หรือมีมารดาเปนพราหมณ
เราไมเรียกเขาวา พราหมณ
หากเขายังมีกิเลสอยู
เขาก็เปนพราหมณแตชื่อ
ผูใดหมดกิเลสไมยึดมั่นถือมั่น
ผูนั้นเราเรียกวา พราหมณ
I do not call him a brahmana
Merely because he is born of a womb
Or sprung from a brahmani.
If he is full of impediments,
He is merely a brahmana by name.
He who is free from impediments and clinging-
Him do I call a brahmana.

๑๕. สพฺพสฺโญชนํ เฉตฺวา


โย เว น ปริตสฺสติ
สงฺคาติคํ วิสํยุตฺตํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๓๙๗ ฯ
ผูใดตัดกิเลสเครื่องผูกพันไดหมดสิ้น
ไมหวาดกลัว หมดพันธะ
เปนอิสระจากเครื่องจองจําคือกิเลส
ผูนั้นเราเรียกวา พราหมณ
He who has cut off all bonds,
He who trembles not,
He who is free and unbound-
Him do I call a brahmana.
47

๑๖. เฉตฺวา นทฺธึ วรตฺตฺจ


สนฺทานํ สหนุกฺกมํ
อุกฺขิตฺตปลิฆํ พุทฺธํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๓๙๘ ฯ
ผูที่ตัดชะเนาะ (ความโกรธ) เชือกหนัง (ตัณหา)
เชือกปาน (ความเห็นผิด) พรอมทั้งอนุสัยกิเลส
ถอดลิ่มสลัก (อวิชชา) รูแจงอริยสัจแลว
เราเรียกวา พราหมณ
He who has cut off the strap (of hatred),
The thong (of craving),
The rope (of heresies),
Together with all tendencies:
He who has thrown up the cross-bar
(ignorance)
And has realized the Truth-
Him do I call a brahmana.

๑๗. อกฺโกสํ วธพนฺธฺจ


อทุฏโฐ โย ติติกฺขติ
ขนฺติพลํ พลานีกํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๓๙๙ ฯ
ผูใดไมโกรธ ทนตอการดา
และการลงโทษจองจํา
มีขันติเปนกําลังทัพ
ผูนั้นเราเรียกวา พราหมณ
48

He who is not wrathful


Bears reviling, blows and bonds,
Whose power, the potent army, is patience-
Him do I call a brahmana.

๑๘. อกฺโกธนํ วตวนฺตํ


สีลวนฺตํ อนุสฺสทํ
ทนฺตํ อนฺติมสารีรํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๐๐ ฯ
ผูใดไมมักโกรธ ทรงศีลพรต
หมดกิเลสฝกฝนตน
มีชีวิตอยูในโลกนี้เปนครั้งสุดทาย
ผูนั้น เราเรียกวา พราหมณ
He who is free from anger,
He who is dutiful and righteous,
He who is without craving, and controlled;
And he who bears his final body-
Him do I call a brahmana.

๑๙. วาริ โปกฺขรปตฺเตว


อารคฺเคริว สาสโป
โย น ลิปฺปติ กาเมสุ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๐๑ ฯ
ผูใดไมติดในกาม
เหมือนหยาดน้ําไมติดใบบัว
49

และเมล็ดผักกาดไมตดิ ปลายเข็ม
ผูนั้นเราเรียกวา พราหมณ
Like water on a lotusleaf,
Like a mustard seed on a needle's point,
He who clings not to sensual pleasures-
Him do I call a brahmana.

๒๐. โย ทุกฺขสฺส ปชานาติ


อิเธว ขยมตฺตโน
ปนฺนภารํ วิสํยุตฺตํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๐๒ ฯ
ผูรูวิธีดับทุกขของตนไดในโลกนี้
หมดภาระแบกหามกิเลส
เปนอิสระจากกิเลส
เราเรียกวา พราหมณ
He who has realized in this world
The destruction of his own ill,
Who has put aside the burden and is freed-
Him do I call a brahmana.

๒๑. คมฺภีรปฺญํ เมธาวึ


มคฺคามคฺคสฺส โกวิทํ
อุตฺตมตฺถํ อนุปฺปตฺตํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๐๓ ฯ
50

ผูมีปญญาลึกซึ้ง หลักแหลม
ฉลาดเลือกทางผิดทางชอบ
บรรลุถึงจุดหมายปลาทางอันอุดม
เราเรียกวา พราหมณ
He whose wisdom is deep,
Who is wise and skilled
In the right and wrong means,
Who has reached the Highest Goal-
Him do I call a brahmana.

๒๒. อสํสฏฐํ คหฏเฐหิ


อนาคาเรหิ จูภยํ
อโนกสารึ อปฺปจฺฉํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๐๔ ฯ
ผูไมคลุกคลีกับบุคคลทั้งสองฝาย
คือคฤหัสถและบรรพชิต
จรไปคนเดียว ไมติดถิ่น มักนอย
เราเรียกวา พราหมณ
He who is not intimate
With both householder and homeless,
Who with no fixed abode
Wanders, wanting but little-
Him do I call a brahmana.

๒๓. นิธาย ทณฺฑํ ภูเตสุ


ตเสสุ ถาวเรสุ จ
โย น หนฺติ น ฆาเตติ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๐๕ ฯ
51

ผูงดเบียดเบียนสัตวอื่น
ไมวาเล็กหรือใหญ
ไมฆาเอง ไมสั่งใหคนอื่นฆา
เราเรียกวา พราหมณ
He who has given up harming creatures,
Whether feeble or strong,
Who neither kills nor causes to kill-
Him do I call a brahmana.

๒๔. อวิรุทฺธํ วิรุทฺเธสุ


อตฺตทณฺเฑสุ นิพฺพุตํ
สาทาเนสุ อนาทานํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๐๖ ฯ
ผูไมดุราย กลางกลุมชนผูดุราย
สงบ กลางกลุมชนผูทารุณ
ไมยึดมั่นกลางกลุมผูยึดมั่น
เราเรียกวา พราหมณ
Friendly among the hostile,
Peaceful among the violent,
Ungrasping among the grasping-
Him do I call a brahmana.

๒๕. ยสฺส ราโค จ โทโส จ


มาโน มกฺโข จ ปาติโต
สาสโปริว อารคฺคา
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหมณํ ฯ ๔๐๗ ฯ
52

ความกําหนัด ความขัดเคือง ความหยิ่ง


ความดูถูกบุญคุณคนอื่น หมดไปจากผูใด
เหมือนเมล็ดผักกาด ตกไปจากปลายเข็ม
ผูนั้นเราเรียกวา พราหมณ
In whom lust, hatred, pride
And detraction are fallen off,
As a mustard seed from the needle's point-
Him do I call a brahmana.

๒๖. อกกฺกสํ วิฺญาปนึ


คิรํ สจฺจํ อุทีรเย
ยาย นาภิสเช กฺจิ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๐๘ ฯ
ผูพูดถอยคํานิ่มนวล
แจมกระจาง สัตยจริง
ไมกระทบกระทั่งใคร
เราเรียกวา พราหมณ
He who utters words
Gentle, instructive and true,
He who gives offence to none
Him do I call a brahmana.

๒๗. โยธ ทีฆํ วา รสฺสํ วา


อณุ ถูลํ สุภาสุภํ
โลเก อทินฺนํ นาทิยติ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๐๙ ฯ
53

ผูใดไมขโมยของคนอื่น
ไมวาสั้นหรือยาว
เล็กหรือใหญ ดีหรือไมดี
ผูนั้นเราเรียกวา พราหมณ
He who in this world
Takes not what is not given,
Be it long or short,
Small or great, fair or foul-
Him do I call a brahmana.

๒๘. อาสา ยสฺส น วิชฺชนฺติ


อสฺมึ โลเก ปรมฺหิ จ
นิราสยํ วิสํยุตฺตํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๑๐ ฯ
ผูใดไมมีความอยาก
ในโลกนี้และโลกหนา
หมดกิเลส เปนอิสระ
ผูนั้นเราเรียกวา พราหมณ
He who has no longing
Either for this world or nexto world,
Who is detached and emancipated-
Him do I call a brahmana.

๒๙. ยสฺสาลยา น วิชชฺ นฺติ


อฺญาย อกถํกถี
อมโตคธํ อนุปฺปตฺตํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๑๑ ฯ
54

ผูใดหมดตัณหา
หมดสงสัย เพราะรูแจงจริง
ลุถึงอมตนิพพานแลว
ผูนั้นเราเรียกวา พราหมณ
He who has no more longing,
Who through knowledge is free from doubts,
Who has plunged deep into the Deathless-
Him do I call a brahmana.

๓๐. โยธ ปุฺญฺจ ปาปฺจ


อุโภ สงฺคํ อุปจฺจคา
อโสกํ วิรชํ สุทฺธํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๑๒ ฯ
ผูละบุญละบาปได
พนกิเลสผูกพัน
ไมโศก ไมมีกิเลส บริสุทธิ์
เราเรียกวา พราหมณ
He who has passed beyond
Good and bad and attachment,
Who is sorrowless, stainless and pure-
Him do I call a brahmana.

๓๑. จนฺท ว วิมลํ สุทฺธํ


วิปฺปสนฺนํ อนาวิลํ
นนฺทิภวปริกฺขีณํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๑๓ ฯ
55

ผูบริสุทธิ์ เหมือนจันทรแจม สงบ


ผองใส หมดความพอใจในภพ
เราเรียกวา พราหมณ
He who is pure as the spotless moon,
He who is serene and clear,
He who has ended delight in existence-
Him do I call a brahmana.

๓๒. โย อิมํ ปลิปถํ ทุคฺคํ


สํสารํ โมหมจฺจคา
ติณฺโณ ปารคโต ฌายี
อเนโช อกถํกถี
อนุปาทาย นิพฺพุโต
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๑๔ ฯ
ผูขามสงสารวัฏ และโมหะ
อันเปนทางหลมที่ขามไดแสนยากนี้
ลุถึงฝงโนน เปนนักกรรมฐาน
หมดตัณหา หมดความสงสัย
หมดความยึดมั่น บรรลุนิพพาน
เราเรียกวา พราหมณ
He who has passed beyond
This quagmire, this difficult path,
The ocean (of life) and delusion,
Who has crossed and gone beyond,
Who is meditative, desireless and doubtless,
Who, clinging to nought, has attained Nibbana-
Him do I call a brahmana.
56

๓๓. โยธ กาเม ปหตฺวาน


อนาคาโร ปริพฺพเช
กามภวปริกฺขีณํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ๔๑๕ ฯ
ผูละกามารมณ
ออกบวชไมมีเรือน
หมดความใครในภพ
เราเรียกวา พราหมณ
He who, giving up sensual pleasures,
Would renounce and become a homeless one,
Who has removed the lust of becoming-
Him do I call a brahmana.

๓๔. โยธ ตณฺหํ ปหตฺวาน


อนาคาโร ปริพฺพเช
ตณฺหาภวปริกฺขีณํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๑๖ ฯ
ผูละตัณหา
ออกบวชไมมีเรือน
หมดความอยากในภพ
เราเรียกวา พราหมณ
He who, giving up craving,
Would renounce and become a homeless one,
Who has destroyed the craving for existence-
Him do I call a brahmana.
57

๓๕. หิตฺวา มานุสกํ โยคํ


ทิพฺพํ โยคํ อุปจฺจคา
สพฺพโยควิสํยุตฺตํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๑๗ ฯ
ผูละเครื่องผูกพัน
ทั้งของมนุษยและเทวดา
หมดเครื่องผูกพันทุกชนิด
คนเชนนี้เราเรียกวา พราหมณ
He who, discarding human ties,
And transcending celestial ties,
Is completely freed from all ties-
Him do I call a brahmana.

๓๖. หิตฺวา รติฺจ อรติฺจ


สีติภูตํ นิรูปธึ
สพฺพโลกาภิภุ วีรํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๑๘ ฯ
ผูละความยินดีและความไมยินดี
เย็นสนิท หมดอุปธิ (กิเลส)
อาจหาญ ชนะโลกทั้งมวล
เราเรียกวา พราหมณ
He who has given up delight and aversion,
Who is cooled and without attachments,
Strenous and victorious over the world-
Him do I call a brahmana.
58

๓๗. จุตึ โย เวทิ สตฺตานํ


อุปปตฺติฺจ สพฺพโส
อสตฺตํ สุคตํ พุทฺธํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๑๙ ฯ
ผูรูจุติ และปฏิสนธิ
ของสัตวทั้งหลายโดยละเอียด
ผูไมขัดของ ไปดี ตรัสรูธรรม
เราเรียกวา พราหมณ
He who perfectly understands
The rise and fall of all beings,
Who is detached, well-hone and enlightened-
Him do I call a brahmana.

๓๘. ยสฺส คตึ น ชานนฺติ


เทวา คนฺธพฺพมานุสา
ขีณาสวํ อรหนฺตํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๒๐ ฯ
เทวดา คนธรรพ และมนุษยทั้งหลาย
ไมทราบทางไปของผูใด
ผูเปนพระอรหันต ขีณาสพ
ผูนั้นเราเรียกวา พราหมณ
He whose way is unknown
To hods, gandharvas and men,
Who has destroyed all defilements
And who has become enlightened-
Him do I call a brahmana.
59

๓๙. ยสฺส ปุเร จ ปจฺฉา จ


มชุเฌ จ นตฺถิ กิฺจนํ
อกิฺจนํ อนาทานํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๒๑ ฯ
ผูไมมีความยึดถือทั้งเบื้องตน (อดีต)
ทามกลาง (ปจจุบัน) ที่สุด (อนาคต)
ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น
เราเรียกวา พราหมณ
He who clings not to the past,
The present and the future, too,
Who has no clinging and grasping-
Him do I call a brahmana.

๔๐. อุสภํ ปวรํ วีรํ


มเหสึ วิชิตาวินํ
อเนชํ นหาตกํ พุทฺธํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๑๒ ฯ
มหาฤาษีผูองอาจ ประเสริฐ แกลวกลา
ชํานะ ปราศจากตัณหา
บริสุทธิ์ ตรัสรูธรรม
เราเรียกวา พราหมณ
The fearless, the noble, the hero,
The great sage, the conqueror,
The desireless, the pure, the enlightened-
Him do I call a brahmana.
60

๔๑. ปุพฺเพนิวาสํ โย เวทิ


สคฺคาปายฺจ ปสฺสติ
อโถ ชาติกฺขยํ ปตฺโต
อภิฺญาโวสิโต มุนิ
สพฺพโวสิตโวสานํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๒๓ ฯ
มุนี ผูรูอดีตชาติของตน
เห็นสวรรคและอบาย
ไมตองเกิดอีกตอไป
รูแจงเห็นจริง
บําเพ็ญหนาที่บริบูรณแลว
เราเรียกวา พราหมณ
The sage who knows his previous births,
Who sees heaven and hell,
Who has reached the end of births,
Who has attained to insight-wisdom,
Who has completed his holy life-
Him do I call a brahmana. .
7 หมวดพระอรหันต - THE WORTHY

1. คตทฺธิโน วิโสกสฺส
วิปฺปมุตตฺ สฺส สพฺพธิ
สพฺพคนฺถปฺปหีนสฺส
ปริฬาโห น วิชฺชติ ฯ90ฯ
ผูเดินทางถึงจุดหมายปลายทางแลว
วิมุติหลุดพนโดยประการทั้งปวง
หมดโศก หมดเครื่องพัวพันแลว
ความรอนใจก็หมดไป
61

For him who has completed his journey,


For him who is whooly free from all,
For him who has destroyed all bonds,
The fever of passion exists not.
2. อุยฺยุฺชนติ สติมนฺโต
น นิเกเต รมนฺติ เต
หํสาว ปลฺลวํ หิตฺวา
โอกโมกํ ชหนฺติ เต ฯ91ฯ
ผูมีสติยอมขยันขันแข็ง
ไมยึดติดแหลงที่อาศัย
ละทิ้งไปตามลําดับ
เหมือนกับพญาหงสทิ้งสระน้ํา
The mindeful ones exert themselves,
To no abode are they attached;
Like swans that quit their pools,
Home after home they leave behind.

3. เยสํ สนฺนิจฺจดย นตฺถิ


เย ปริฺญาตดภชนา
สุฺญโต อนิมิตฺโต จ
วิโมกฺโข เยส โคจโร
อากาเสว สกุนฺตานํ
คติ เตสํ ทุรนฺวยา ฯ92ฯ

ทานที่หมดการสะสม(ปจจัยหรือกรรมดีกรรรมชั่ว)
พิจารณาโภชนะกอนบริโภค เขาถึงความหลุดพน
อันวางจากกิเลสและไรนิมิตหมายคือกิเลส
62

บุคคลเชนนี้ ยากที่สามัญชนขะตามทัน
เหมือนนกบินบนทองฟา ตามทันยาก

Those for whom there is no accumulation,


Who reflect well over their food,
Who have perceived void and unconditioned
freedom-
Their path is hard to trase,
Like that of birds in the air.

4. ยสฺสาสวา ปริกฺขีณา
อาหาเร จ อนิสฺสิดต
สุฺญโต อนิมิตฺโต จ
วิโมกฺโข ยสฺส โคจโร
อากาเสว สกุนฺตานํ
ปทํ ตสฺส ทุรนฺวยํ ฯ93ฯ

ผูหมดกิเลส ไมเห็นแกกิน เขาถึงความหลุดพน


อันวางจากกิเลสและไรนิมิตหมายคือกิเลส
บุคคลเชนนี้มิไดทิ้งรองรอยอะไรไวเลย
เหมือนนกบินบนทองฟา หารอยอันใดมิได.

He whose corruptions are destroyed,


He who is not attached to food
He who has perceived void and unconditioned freedom-
His track cannot be traced,
Like that of birds in the air.
63

5. ยสฺสินฺทริยานิ สมถงฺคตานิ
อสฺสา ยถา สารถินา สุทนฺตา
ปหีนมานสฺส อนาสวสฺส
เทวาป ตสฺส ปหยนฺติ ตาทิโน ฯ94ฯ

ทานผูใดควบคุมอินทรียคือ
ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ ได
เหมือนมาที่สารถีควบคุมไดอยางดี
ทานผูนี้หมดความไวตัว หมดกิเลส มั่นคง
ยอมเปนที่โปรดปราน แมกระทั่งของเทวดาทั้งหลาย

He whose senes are subdued,


Like steeds well-trained by a charioteer;
He who is free from pride and corruption-
Such a steadfast one even the gods hold dear.

6. ปฐวีสโม โน วิรุชฺฌติ
อินฺทขีลูปดม ตาทิ สุพฺพโต
รหโทว อเปตกทฺทดม
สํสารา น ภวนฺติ ตาทิโน ฯ95ฯ

พระอรหันตฺเปรียบไดกับแผนดิน ไมเคยโกรธขึ้งใคร
มีจิตคงที่ เหมือนหลักเมือง
มีจรรยาสะอาด เหมือนสระน้ําที่ใสไรเปลือกตม
ผูมีคุณสมบัติเห็นปานนี้ ยอมไมเวียนวายตายเกิดอีก
64

Like the earth the Worthy One resents not;


Like the chief post is he a firm mind;
Like an unsullied pool is he of pure conduct;
To such a one life's wanderings are no more.

7. สนฺตํ ตสฺส มนํ โหติ


สนฺตา วาจา จ กมฺม จ
สมฺมทฺญา วิมุตตฺ สฺส
อุปสนฺตสฺส ตาทิโน ฯ96ฯ

พระอรหันตฺผูเปนอิสระเพราะรูแจง
ผูสงบระงับ และมีจิตมั่นคง
ใจของทาน ยอมสงบ
วาจาก็สงบ
การกระทําทางกายก็สงบ

Calm is his mind;


Calm is his speech;
Calm is his bodily action;
Perfectly peaceful and equipoised.

8. อสทฺโธ อกตฺู จ
สนฺธิจฺเฉโท จ โย นโร
หตาวกาโส วนฺตาโส
ส เว อุตฺตมโปริโส ฯ97ฯ
65

ผูไมเชื่อใครงายตนกวาจะพิสูจนดวยตนเอง ๑
ผูรูแจงพระนิพพาน ๑
ผูหมดการเวียนวายตายเกิด ๑
ผูหมดโอกาสที่จะทําดีหรือชั่ว ๑
ผูหมดกิเลสที่ทําใหหวัง ๑
หาประเภทนี้แล เรียกวา "ยอดคน"

He who is not credulous,


He who has realized Nibbana,
He who has severed all ties,
He who has put an end to opportunity,
He who has removed all desires
He,indeed,is the greatest of men.

9. คาเม วา ยทิวารฺเญ
นินฺเน วา ยิทวา ถเล
ยตฺถารหนฺโต วิหรนฺติ
ตํ ภูมิ รามเณยฺยกํ ฯ99ฯ

ไมวาจะเปนบาน หรือปา
ไมวาจะเปนที่ลุม หรือที่ดอน
พระอรหันตทั้งหลายอยูในที่ใด
ที่นั้น เปนที่นารื่นรมย

Whether in village or in forest,


Whether in vale or on hill'
66

Wherever the Worthy Ones dwell-


Delightful,indeed, is that spot.

10. รมณียานิ อรฺญานิ


ยตฺถ น รมตี ชดน
วีตราคา รเมสฺสนฺติ
น เต กามคเวสิโน ฯ99ฯ

ปาที่คนทั่วไปไมชื่นชม
เปนรมณียสถาน
สําหรับทานผูมหมดราคะ
เพราะพระทานมิไดใฝกามคุณ

Delightful are the forests


Where worldings find no joy,
There the passionless rejoice
For they seek no sensual pleasures.
8 หมวดพัน - THE THOUSANDS

1. สหสฺสํ อป เจ วาจา


อนตฺถปทสฺหิตา
เอกํ อตฺถปทํ เสยฺโย
ยํ สุตฺวา อุปสมฺมติ ฯ100ฯ

คําพูดที่เหลวไหลไรประโยชนตั้งพันคํา
67

ก็สูคําพูดที่มีประโยชนคําเดียวไมได
เพราะฟงแลวทําใหจิตใจสงบ

Better than a thounsand useless words


Is one beneficial single word,
Hearing which one is pacified.

2. สหสฺสํ อป เจ คาถา


อนตฺถปทสฺหิตา
เอกํ คาถาปทํ เสยฺโย
ยํ สุตฺวา อุปสมฺมติ ฯ101ฯ

บทกวีตั้งพันโศลก
แตไรประโยชน
ไมเทาบทกวีบรรทัดเดียว
ที่ทําใหผูฟงไดรับความสงบ
Better than a thounsand verses,
Comprising useless words,
Is one beneficial single line,
Hearing which one is pacified.

3. โย จ คาถาสตํ ภาเส
อนตฺถปทสฺหิตา
เอกํ ธมฺมปทํ เสยฺโย
ยํ สุตฺวา อุปสมฺมติ ฯ 102 ฯ
68

บทกวีบรรยายธรรมบทเดียว
ที่ทําใหผูฟงไดรับความสงบ
ประเสริฐกวาบทกวีที่ทองจําไดตั้งรอยโศลก
แตไมมีประโยชนแมแตบทเดียว

Should one recite a hundred verses,


Comprising useless words,
Better is one single word of the Dhamma,
Hearing which one is pacified.

4. โย สหสฺสํ สหสฺเสน
สงฺคาเม มานุเส ชิเน
เอกฺจ เชยฺยมตฺตานํ
ส เว สงฺคามชุตฺตโม ฯ103ฯ

ถึงจะรบชนะขาศึกเปนพัน ๆ ราย
ก็ไมนับเปนยอดขุนพล
แตผูที่เอาชนะจิตใจตน
จึงเรียก "ยอดขุนพล" แทจริง

Though one should conquer in battle


A thounsand times a thounsand men,
Yet should one conquer just oneself
One is indeed the greatest victor.

5. อตฺตา หเว ชิตํ เสยฺโย


69

ยาจายํ อิตรา ปชา


อตฺตทนฺตสฺส โปสสฺส
นิจฺจํ สฺญตจาริโน
เนว เทโว น คนฺธพฺโพ
น มาโร สห พฺรหฺมุนา
ชิตํ อปชิตํ กยิรา
ตถารูปสฺส ชนฺตุโน ฯ104-5ฯ

เอาชนะตนไดนั้นแล ประเสริฐ
ผูที่ฝกตนได ระวังระไวตลอดเวลา
ถึงเทวดา คนธรรพ และพระพรหม
ก็เอาชนะไมได

Better indeed is it to conquer oneself,


Neither a god nor a Gandharva
Neither Mara nor Brahma
Could turn into defeat the victory of one
Who is self-madtered and self-controlled.

6. มาเส มาเส สหสฺเสน


โย ยเชถ สตํ สมํ
เอกฺจ ภาวิตตฺตานํ
มุหุตฺตมฺป ปูชเย
ยฺเจว วสฺสตํ หุตํ ฯ106ฯ

การบูชาทานผูฝกตน แมเพียงหนึ่งครั้ง
บังเกิดผลมหาศาล
70

ยิ่งกวาสละทรัพยบูชายัญเดือนละพัน
เปนเวลาติดตอกันถึงรอยป

Though, month after month with a thousand,


One should sacrifice for a hundred years,
Yet,if, only for a moment,
One should honour the self-restrained,
That honour, indeed, is better
Than a century of sacrifice.

7. โย จ วสฺสสตํ ชนฺตุ
อคฺคึ ปริจเร วเน
เอกฺจ ภาวิตตฺตานํ
มุหุตฺจมฺป ปูชเย
สา เยว ปูชนา เสยฺโย
ยฺเจ วสฺสสตํ หุตํ ฯ107ฯ

การบูชาทานผูฝกตนแมเพียงครูเดียว
บังเกิดผลมหาศาล
ยิ่งกวาการบูชาไฟในปา
เปนเวลาตั้งรอยป

Though one , for a century,


Should tend the fire in the forest,
Yet, if ,only for a moment,
He should honour the self-restrained,
Thai honour,indeed,is better
Than a century of sacrifice.
71

8. ยงฺกิฺจิ ยิฎฐํ ว หุตํ ว โลเก


สํวจฺฉรํ ยเชถ ปุฺญเปกฺโข
สพฺพมฺป ตํ น จตุภาคเมติ
อภิวาทนา อุชุคเตสุ เสยฺโย ฯ108ฯ

ไมวายัญชนิดไหน ที่ผูใครบุญพึงบูชาตลอดป
การบูชายัญนั้นมีคาไมเทาหนึ่งในสของการยกมือไหว
ทานผูปฏิบัติตรงตามอริยมาาคแมเพียงครั้งเดียว
การไหวบุคคลเชนนั้นประเสริฐกวาเปนไหน ๆ

Whatever oblationnns and sacrifices


One might offer for a year,
Seeking merit thereby,
All that is not worth a single quarter
Of homage towards the upright
Which is far more excellent.

9. อภิวาทนสีลิสฺส
นิจฺจํ วุฑฺฒาปจายิโน
จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ
อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ ฯ109ฯ

ผูกราบไหว ออนนอมถอมตัว
ตอผูใหญเปนนิจศีล
ยอมเจริญดวยคุณธรรมสี่ประการคือ
อายุ ชื่อเสียง สุข และกําลัง
72

For one who is in the habit of


Ever honouring and respecting the elders,
Four qualities increase;
Loong life,Fame, happiness and strength.

10. โย จ วสฺสสตํ ชีเว


ทุสฺสีโล อสมาหิโต
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย
สีลวนฺตสฺส ฌายิโน ฯ110ฯ

ผูมีศีล มีสมาธิ
ประเสริฐกวาชีวิตตั้งรอยป
ของคนทุศีล ไรสมาธิ

Though one should live a hundred years,


Without conduct and concentration,
Yet,better is a single day's life
Of one who is moral and meditative.

11. โย จ วสฺสสตํ ชีเว


ทุปฺปฺโญ อสมาหิโต
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย
ปฺญวนฺตสฺส ฌายิโน ฯ111ฯ

ผูมีปญญา มีสมาธิ
73

มีชีวิตอยูวันเดียว
ประเสริฐกวาชีวิตตั้งรอยป
ของผูทรามปญญา ไรสมาธิ

Though one shold live an hundred years,


Without wisdom and concentration,
Yet, better is a single day's life
Of one who is wise and meditative.

12. โย จ วสฺสสตํ ชีเว


กุสีโต หีนวีริโย
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย
วีรยิ ํ อารภโต ทฬฺหํ ฯ112ฯ

ผูมีความเพียรมั่นคง
มีชีวิตอยูวันเดียว
ประเสิรฐกวาชีวิตตั้งรอยป
ของผูเกียจคราน ไรความเพียร

Though one should live a hundred years,


Sluggish and inactive
Yet,better is a single day's life
Of one who intensely exerts himself.

13. โย วสฺสสตํ ชีเว


อปสฺสํ อุทยพฺพยํ
74

เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย


ปสฺสโต อุทยพฺพยํ ฯ113ฯ

ผูพิจารณาเห็นความเกิด-ดับแหงสังขาร
มีชีวิตอยูวันเดียว
ประเสริฐกวาชีวิตตั้งรอยป
ของผูไมพิจารณาเห็น

Better is a single day;s life of one


Who discerns the rise and fall of things
Than a hundred years'life of one
Who is not comprehending.

14. โย จ วสฺสสตํ ชีเว


อปสฺสํ อมตํ ปทํ
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย
ปสฺสโต อมตํ ปทํ ฯ114ฯ

ผูพบทางอมตะ
มีชีวิตอยูวันเดียว
ประเสริฐกวาชีวิตตั้งรอยป
ของผูไมพบ

Better is a single day's life of one


Who sees the Deathless
Than a hundred years's life of one
Who sees not that state.
75

15. โย จ วสฺสสตํ ชีเว


อปสฺสํ ธมฺมมุตตฺ มํ
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย
ปสฺสโต ธมฺมมุตฺตมํ ฯ115ฯ
ผูเห็นพระธรรมอันประเสริฐ
มีชีวิตอยูวันเดียว
ประเสริฐกวาชีวิตตั้งรอยป
ของผูไมเห็น

Better is a single day's life of one


Who understands the truth sublime
Than a hundred years's life of one
Who knows not that truth, so high.
9 หมวดบาป - EVIL

๑. อภิตฺถเรถ กลฺยาเณ
ปาปา จิตฺตํ นิวารเย
ทนฺธํ หิ กรโต ปุฺญํ
ปาปสฺมึ รมตี มโน ฯ ๑๑๖ ฯ

พึงรีบเรงกระทําความดี
และปองกันจิตจากความชั่ว
เพราะเมื่อกระทําความดีชาไป
ใจจะกลับยินดีในความชั่ว

Make haste in doing gook,


76

And check your mind from evil,


Whoso is slow in making merit-
His mind delights in evil.

๒. ปาปฺเจ ปุริโส กยิรา


น นํ กยิรา ปุนปฺปุนํ
น ตมฺหิ ฉนฺทํ กยิราถ
ทุกฺโข ปาปสฺส อุจฺจโย ฯ ๑๑๗ ฯ

ถาหากจําตองทําชั่วไซร
ก็ไมควรทําบอยนัก
และไมควรพอใจในการทําชั่วนั้น
เพราะการสะสมบาป นําทุกขมาให

Should a man commit evil,


Let him not do it again and again,
Nor turn his heart to delight therein;
Painful is the heaping-up of evil.

๓. ปุฺญฺเจ ปุริโส กยิรา


กยิราเถนํ ปุนปฺปุนํ
ตมฺหิ ฉนฺทํ กยิราถ
สุโข ปุฺญสฺส อุจฺจโย ฯ ๑๑๘ ฯ

ถาหากจะทําความดี
ก็ควรทําดีบอยๆ
77

ควรพอใจในการทําความดีนั้น
เพราะการสะสมความดีนําสุขมาให

Should a man perform merit,


Let him do it again and again,
And trun his mind to delight therein;
Blissful is the piling-up of merit.

๔. ปาโปป ปสฺสตี ภทฺรํ


ยาว ปาป น ปจฺจติ
ยทา จ ปจฺจตี ปาป
อถ ปาโป ปาปานิ ปสฺสติ ฯ ๑๑๙ ฯ

เมื่อบาปยังไมสงผล
คนชั่วก็เห็นวาเปนของดี
ตอเมื่อมันเผล็ดผลเมื่อใด
เมื่อนั้นแหละเขาจึงรูพิษสงของบาป

For the evil-doer all is well,


While the evil ripens not;
But when his evil yields its fruit,
He sees the evil results.

๕. ภทฺโรป ปสฺสตี ปาป


ยาว ภทฺรํ น ปจฺจติ
78

ยทา จ ปจฺจตี ภทฺรํ


อถ ภทฺโร ภทฺรานิ ปสฺสติ ฯ ๑๒๐ * ฯ

เมื่อความดียังไมสงผล
คนดีก็มองเห็นความดีเปนความชั่ว
ตอเมื่อใดความดีเผล็ดผล
เมื่อนั้นแหละเขาจึงจะเห็นผลของความดี

For the good man, perhaps, all is ill,


While as yet his good is not ripe;
But when it bears its fruit,
He sees the good results.

๖. มาวมฺเญถ ปาปสฺส
น มตฺตํ อาคมิสฺสติ
อุทพินฺทุนิปาเตน
อุทกุมฺโภป ปูรติ
อาปูรติ พาโล ปาปสฺส
โถกํ โถกมฺป อาจินํ ฯ ๑๒๑ ฯ

อยาดูถูกความชั่วเล็กนอยวาจักไมสนองผล
น้ําตกจากเวหาทีละหยาดๆ ยังเต็มตุมได
คนพาลทําความชั่วทีละเล็กละนอย
ยอมเต็มดวยความชั่วไดเชนกัน
Despise not evil,
Saying, 'It will not come to me';
Drop by drop is the waterpot filled,
79

Lidewise the fool, gathering little by little,


Fills himself with evil.

๗. มาวมฺเญถ ปุญ ฺ สฺส


น มตฺตํ อาคมิสฺสติ
อุทพินฺทุนิปาเตน
อุทกุมฺโภป ปูรติ
อาปูรติ ธีโร ปุฺญสฺส
โถกํ โถกมฺป อาจินํ ฯ ๑๒๒ ฯ

อยาดูถูกบุญเล็กนอยวาจักไมสนองผล
น้ําตกจากเวหาทีละหยาดๆ ยังเต็มตุมได
นักปราชญสะสมบุญทีละเล็กละนอย
ยอมเต็มดวยบุญไดเชนกัน

Despise not merit,


Saying, 'It will not come to me';
Drop by drop is the waterpot filled,
Likewise the man, gathering little by little
Fills himself with merit.

๘. วาณิโชว ภยํ มคฺคํ


อปฺปสตฺโถ มหทฺธโน
วิสํ ชีวิตุกาโมว
ปาปานิ ปริวชฺชเย ฯ ๑๒๓ ฯ
80

พอคามีทรัพยมาก มีพวกนอย
ละเวนทางที่มีภัย
คนรักชีวิตละเวนยาพิษ ฉันใด
บุคคลพึงละบาป ฉันนั้น

As a rich merchant, with small escort,


Avoids a dangerous path,
As one who loves life avoids poison,
Even so should one shun evil.

๙. ปาณิมฺหิ เจ วโณ นาสฺส


หเรยฺย ปาณินา วิสํ
นาพฺพณํ วิสมเนฺวติ
นตฺถิ ปาป อกุพฺพโต ฯ ๑๒๔ ฯ

เมื่อมือไมมีแผล
บุคคลยอมจับตองยาพิษได
ยาพิษนั้นไมสามารถทําอันตรายได
บาปก็ไมมีแกผูไมทําบาป
If no wound there be in the hand,
One may handle poison;
Poison does not affect one who has no wound;
There is no ill for him who does no wrong.

๑๐. โย อปฺปทุฏฐสฺส นรสฺส ทุสฺสติ


สุทฺธสฺส โปสสฺส อนงฺคณสฺส
81

ตเมว พาลํ ปจฺเจติ ปาป


สุขุโม รโช ปฏิวาตํว ขิตฺโต ฯ ๑๒๕ ฯ
บาปก็ยอมตามสนองผูโงเขลา
ซึ่งทํารายบุคคลที่ไมทํารายตอบ
ผูหมดจด ปราศจากกิเลส
ดุจธุลีที่ซัดทวนลม (วกกลับมาหาผูซัด)
Whosoever offends a harmless person,
One pure and guiltles,
Upon that very fool the evil recoils
Even as fine dust thrown against the wind.

๑๑. คพฺภเมเก อุปปชฺชนฺติ


นิรยํ ปาปกมฺมิโน
สคฺคํ สุคติโน ยนฺติ
ปรินิพฺพนฺติ อนาสวา ฯ ๑๒๖ ฯ

สัตวบางพวกกลับมาเกิดอีก
พวกที่ทําบาป ไปนรก
พวกที่ทําดี ไปสวรรค
พวกที่หมดอาสวกิเลส ปรินิพพาน

Some are born in teh womb again;


The evil-doers are born in hell;
The good go to heaven;
The Undefiled Ones attain Nibbana.
82

๑๒. น อนฺตลิกฺเข น สมุททฺ มชฺเฌ


น ปพฺพตานํ วิวรํ ปวิสฺส
น วิชฺชตี โส ชคติปฺปเทโส
ยตฺรฏฐิโต มุจฺเจยฺย ปาปกมฺมา ฯ ๑๒๗ ฯ

ไมวาบนทองฟา
ไมวาทามกลางสมุทร
ไมวาในหุบเขา
ไมมีแมแตแหงเดียว
ที่ผูทํากรรมชั่วอาศัยอยู
จะหนีพนกรรมไปได

Neither in the sky nor in mid-ocean,


Nor in the clefts of the rocks,
Nowhere in the world is a place to be found
Where abiding one may escape from
(the consequences of) an evil deed.

๑๓. น อนฺตลิกฺเข น สมุททฺ มชุเฌ


น ปพฺพตานํ วิวรํ ปวิสฺส
น วิชฺชตี โส ชคติปฺปเทโส
ยตุรฏฐิตํ นปฺปสเหยฺย มจฺจุ ฯ ๑๒๘ ฯ

ไมวาบนทองฟา
ไมวาทามกลางสมุทร
ไมวาในหุบเขา
ไมมีแมสักแหงเดียว
83

ที่คนเราอาศัยอยูแลว
จะหนีพนความตายได
Neither in the sky no in mid-ocean,
Nor in the clefts of the rocks,
Nowhere in the world is found that place
Where abiding one will not be overcome by death.
10 หมวดลงทัณฑ - PUNISHMENT

๑. สพฺเพ ตสนฺติ ทณฺฑสฺส


สพฺเพ ภายนฺติ มจฺจุโน
อตฺตานํ อุปมํ กตฺวา
น หเนยฺย น ฆาตเย ฯ ๑๒๙ ฯ

สัตวทั้งหมดกลัวโทษทัณฑ
สัตวทั้งหมดกลัวความตาย
เปรียบตนเองกับผูอื่นอยางนี้แลว
ไมควรฆาเอง ไมควรสั่งใหคนอื่นฆา

All tremble at punishment;


All fear death;
Comparing others with oneself,
One should neither kill nor cause to kill.

๒. สพฺเพ ตสนฺติ ทณฺฑสฺส


สพฺเพสํ ชีวิตํ ปยํ
อตฺตานํ อุปมํ กตฺวา
น หเนยฺย น ฆาตเย ฯ ๑๓๐ ฯ
84

สัตวทั้งหมดกลัวโทษทัณฑ
สัตวทั้งหมดรักชีวิตของตน
เปรียบตนเองกับคนอื่นอยางนี้แลว
ไมควรฆาเอง ไมควรสั่งใหคนอื่นฆา

All tremble a punishment;


To all life is dear;
Comparing others with oneself,
One should neither kill nor cause to kill.

๓. สุขกามานิ ภูตานิ
โย ทณฺเฑน วิหึสติ
อตฺตโน สุขเมสาโน
เปจฺจ โส น ลภเต สุขํ ฯ ๑๓๑ ฯ

สัตวทั้งหลายลวนตองการความสุข
ผูที่ตองการความสุขแกตน
แตเบียดเบียนสัตวอื่น
ตายไปแลวยอมไมไดรับความสุข

Whoso, himself seeking happiness,


Harms pleasure-loving beings-
He gets no happiness
In the world to come.
85

๔. สุขกามานิ ภูตานิ
โย ทณฺเฑน น หึสติ
อตฺตโน สุขเมสาโน
เปจฺจ โส ลภเต สุขํ ฯ ๑๓๒ ฯ

สัตวทั้งหลายลวนตองการความสุข
ผูที่ตองความสุขแกตน
ไมเบียดเบียนสัตวอื่น
ตายไปแลวยอมไดรับความสุข

Whoso, himself seeking happiness,


Harms not pleasure-loving being-
He gets happiness
In the world to come.

๕. มาโวจ ผรุสํ กฺจิ


วุตฺตา ปฏิวเทยฺยุ ตํ
ทุกฺขา หิ สารมฺภกถา
ปฏิทณฺฑา ผุเสยฺยุ ตํ ฯ ๑๓๓ ฯ

อยากลาวคําหยาบแกใครๆ
เมื่อถูกทานดาวา เขาจะโตตอบทาน
การพูดจากราวราวกันเปนเหตุกอทุกข
อาจลุกลามถึงขั้นลงมือประทุษรายกัน

Speak not harshly to anyone.


Those thus addressed will retort.
86

Painful, indeed, is vindictive speech.


Blows in exchange may bruise you.

๖. สเจ เนเรสิ อตฺตานํ


กํโส อุปหโต ยถา
เอส ปตฺโตสิ นิพฺพานํ
สารมฺโภ เต น วิชฺชติ ฯ ๑๓๔ ฯ
ถาเธอทําตนใหเงียบเสียงได
เหมือนฆองแตก
ก็นับวาเธอเขาถึงนิพพานแลว
เธอก็จะไมตองทะเลาะเบาะแวงกับใครอีก

If you silence yourself


As a broken gong,
You have already attained Nibbana.
No contention will be found in you.

๗. ยถา ทณฺเฑน โคปาโล


คาโว ปาเชติ โคจรํ
เอวํ ชรา จ มจฺจุ จ
อายุ ปาเชนฺติ ปาณินํ ฯ ๑๓๕ ฯ

ความแกและความตาย
ไลตอนอายุสัตวทั้งหลายไป
เหมือนเด็กเลี้ยงโค ถือทอนไม
คอยไลตอนฝูงโคไปสูที่หากิน
87

As with a staff the cowherd drives


His cattle out to pasture-ground,
So do old age and death comple
The life of beings (all around).

8. อถ ปาปานิ กมฺมานิ
กรํ พาโล น พุชฺฌติ
เสหิ กมฺเมหิ ทุมฺเมโธ
อคฺคิทฑฺโฒว ตปฺปติ ฯ136ฯ

คนพาล เวลาทําชั่ว
หาสํานึกถึงผลของมันไม
คนทรามปญญามีกเดือดรอน
เพราะกรรมชั่วของตัว
เหมือนถูกไฟไหม

When a fool does wicked deeds,


He does not know their future fruit.
The witless one is tormented by his own deeds
As if being burnt by fire.

9. โย ทณฺเฑร อทณฺเฑสุ
อปฺปทุฎเฐสุ ทุสฺสติ
ทสนฺนมฺญตรํ ฐานํ
ขิปฺปเมว นิคจฺฉติ ฯ137ฯ
88

ผูทํารายลงทัณฑแกบุคคล
ผูไมเบียดเบียน ไมทํารายใคร
ยอมไดรับผลสนองสิบอยาง
อยางใดอยางหนึ่งทันตาเห็น

He who inflicts pnishment on those


Who are harmless and who offend no one
Speedily comes to one of these ten states;

10. เวทนํ ผรุสํ ชานึ


สรีรสฺส จ เภทนํ
ครุกํ วาป อาพาธํ
จิตฺตกฺเขปว ปาปุเณ ฯ138ฯ

ไดรับเวทนาอยางรุนแรง
ไดรับความเสทอมเสีย
ถูกทํารายรางกาย
เจ็บปวยอยางหนัก
กลายเปนคนวิกลจริต

To grievous bodily pain,


To disaster,
To bodily injury,
To serious illness,
To loss of mind,
Will he come.
89

11. ราชโต วา อุปสคฺคํ


อพฺภกฺขานํ ว ทารุณํ
ปริกฺขยํ ว ญาตีนํ
โภคานํ ว ปภงฺคุณํ ฯ139ฯ

ตองราชภัย
ถูกกลาวหาอยางรุนแรง
ไรญาติพี่นอง
ทรัพยสมบัติก็พินาศฉิบหาย

To oppression by the king,


to grave accusation,
To loss of relatives,
To destruction of wealth,
(will he come).

12. อถวาสฺส อคารานิ


อคฺคิ ฑหติ ปาวโก
กายสฺส เภทา ทุปฺปฺโญ
นิรยํ โส อุปปชฺชติ ฯ140ฯ

หรือไมบานเรือนของเขายอมถูกไฟไหม
ตายไป เขาผูทรามก็ตกนรก

Or his house will be burnt up with fire,


90

And that unwise one will pass to hell


In the world to come.

13. น นคฺคจริยา น ชฎา น ปงฺกา


นานาสกา ตณฺฑิลสายิกา วา
รโชชลฺลํ อุกฺกุฎิกปฺปธานํ
โสเธนฺติ มจฺจํ อวิติณฺณกงฺขํ ฯ141ฯ

ไมใชประพฤติตนเปนชีเปลือย ไมใชมุนชฏา
ไมใชเอาโคลนทารางกาย ไมใชการอดอาหาร
ไมใชนอนบนดิน ไมใชคลุกฝุนธุลี ไมใชนั่งกระโหยง
ที่ทําใหคนผูยังไมขามพนความสงสัย บริสุทธิ์

Not nakedness, nor matted hair,


Nor dirt,nor fasting,
Nor llying on the ground,
Nor besmearing oneself with ashes,
Nor squatting on the heels,
Can purity a mortal
Who has not overcome doubts.

14. อลงฺกโต เจป สมํ จเรยฺย


สนฺโต ทนฺโต นิยโต พฺรหฺมจานี
สพฺเพสุ ภูเตสุ นิธาย ทณฺฑํ
โส พฺรามหฺมโณ โส สมโณ ส ภิกขุ ฯ142ฯ
91

ถึงจะแตงกายแบบใด ๆ ก็ตาม
ถาใจสงบระงับ ควบคุมตัวได
มั่นคง บริสุทธิ์ ไมเบียดเบีนคนอื่น
เรียกวา พราหมณ สมณะ หรือ ภิกษุ

In whatever he be decked,
If yet he cultivates traquilty of mind,
Is calm, controlled, certain and chaste,
And has ceased to injure all other beings,
He is indeed, a brahmana, a samana, a bhikkhu.

15. หิรีนิเสโธ ปุริโส


โกจิ โลกสฺมึ วิชฺชติ
โย นิทฺทํ อปโพเธติ
อสฺโส ภทฺโร กสามิว ฯ153ฯ

ผูหักหามใจไมทําชั่วเพราะละอายบาป
หาไดนอยนักในโลกนี้
คนเชนนี้ยอมปลุกตัวเองจากหลับอยูเสมอ
เหมือนมาดี ระวังตัวเองใหพนแส
Rarely is found in this world anyone
Who is restrained by shame and wide-awake,
As a thoroughbred horse avoids the whip.

16. อสฺโส ยถา ภทฺโร กสานิวิฎโฐ


92

อาตาปโน สํเวคิโน ภวาถ


สทฺธาย สีเลน จ วีริเยน จ
สมาธินา ธมฺมวินิจฺฉเยน จ
สมฺปนฺนวิชฺชาจรณา ปฎิสฺสตา
ปหิสฺสถ ทุกฺขมิทํ อนุปปกํ ฯ144ฯ

ธรรมดามาดี เมื่อถูกลงแสครั้งหนึ่ง ยอมสํานึก


(ความผิดครั้งแรก)และพยายาม(วิ่งใหเร็ว)
พวกเธอก็จงทําตนเชนนั้น อาศัยศรัทธา, ศีล,
ความเพียรมสมาธิ, การวินิจฉัยธรรม, ความสมบูรณดวย
ความรูและความประพฤติม และอาศัยสติ
พวกเธอจักละทุกขไดไมนอยเลย

Even as a thoroughbred horse once touched by the whip


Becomes agitated and exerts himself greatly,
So be strenuous and filled with religious emotion,
By confidance, virtue, effort and concentration,
By the investigation of the Doctrine,
By being endowed with knowledge and conduct
And by keeping your mind alert,
Will you leave this great suffering behind.

17. อุทกํ หิ นยนฺติ เนตฺตกิ า


อุสุการา นมยนฺติ เตชนํ
ทารุ นมยนฺติ ตจฺฉกา
อตฺตานํ ทมยนฺติ สุพฺพตา ฯ145ฯ

ชาวนา ไขน้ําเขานา
93

ชาวศร ดัดลูกศร
ชางไม ถากไม
คนดี ฝกตนเอง

Irrigaors lead water;


Fletchers fashion shafts;
Carpenters bend wood;
The good tame themselves.
11 หมวดชรา - OLD AGE

๑. โกนุ หาโส กิมานนฺโท


นิจฺจํ ปชฺชลิเต สติ
อนฺธกาเรน โอนทฺธา
ปทีป น คเวสถ ฯ ๑๔๖ ฯ
จะมัวราเริง สนุกสนานกันทําไม
ในเมื่อโลกกําลังลุกเปนไฟอยูเนืองนิตย
พวกเธอถูกความมืดมิดปดบังตา
ไยไมแสวงหาแสงสวางกันเลา
What this laughter, what this joy
When the world is ever on fire?
Shrouded all about by darkness,
Will you not then look for light?

๒. ปสฺส จิตฺตกตํ พิมฺพํ


อรุกายํ สมุสฺสิตํ
94

อาตุรํ พหุสงฺกปฺป
ยสฺส นตฺถิ ธุวํ ฐิติ ฯ ๑๔๗ ฯ
จงดูรางกายที่วาสวยงามนี้เถิด
เต็มไปดวยแผล สรางขึ้นดวยกระดูก
มากดวยโรค มากดวยความครนคิดปรารถนา
หาความยั่งยืนถาวรมิได
Behold this beautiful body,
A mass of sores, a bone-gathering,
Diseased and full of hankerings,
With no lasting, no persisting.

๓. ปริชิณฺษมิทํ รูป
โรคนิฑฺฒํ ปภงฺคุณํ
ภิชฺชติ ปูติสนฺเทโห
มรณนฺตํ หิ ชีวิตํ ฯ ๑๔๘ ฯ

รางกายนี้แกหงอมแลว เปนที่อาศัยของโรค
แตกทําลายงาย รางกายอันเนาเหม็นนี้
จักแตกสลายพังภินท
เพราะขีวิตสิ้นสุดลงที่ความตาย

Thoroughly worn out is this body,


A net of diseases and very frail.
This heap of corruption breaks to pieces.
For life indeed ends in death.
95

๔. ยานีมานิ อปตฺถานิ
อลาพูเนว สารเท
กาโปตกานิ อฏฐีนิ
ตานิ ทิสฺวาน กา รติ ฯ ๑๔๙ ฯ

กระดูกเหลานี้ มีสีขาวเหมือนสีนกพิราบ
ไมเปนที่ตองการของใครๆ
ดุจน้ําเตาในฤดูสารท
ดูแลวไมนาปรารถนายินดี
As gourds are cast away in autumn,
So are these dove-hued bones.
What pleasure is there found
For one who looks at them?

๕. อฏฐีนํ นครํ กตํ


มํสโลหิตเลปนํ
ยตฺถ ชรา จ มจฺจุ จ
มาโน มกฺโข จ โอหิโต ฯ ๑๕๐ ฯ
รางกายนี้เปน "อัฐินคร" (เมืองกระดูก)
ฉาบดวยเนื้อและโลหิต
เปนที่สถิตแหง ชรา มรณะ
ความเยอหยิ่ง และความดูถูกบุญคุณกัน
Of bones is this city made,
Plastered with flesh and blood.
Herein dwell decay and death,
Pride and detraction.
96

๖. ชีรนฺติ เว ราชรถา สุจิตฺตา


อโถ สรีรมฺป ชรํ อุเปติ
สตฺจ ธมฺโม น ชรํ อุเปติ
สนฺโต หเว สพฺภิ ปเวทยนฺติ ฯ ๑๕๑ ฯ
ราชรถ อันวิจิตรงดงาม ยังเกาได
แมรางกายของเรา ก็ไมพนชราภาพ
แตธรรมของสัตบุรุษหาแกไม
สัตบุรุษทั้งหลาย ยอมกลาวสอนกันเชนนี้แล
Splendid royal chariots wear away,
The body too comes to old age.
But the good's teaching knows not decay.
Indeed, the good tech the good in this way.

๗. อปฺปสฺสุตายํ ปุริโส
พลิวทฺโทว ชีรติ
มํสานิ ตสฺส วฑฺฒนฺติ
ปฺญา ตสฺส น วฑฺฒติ ฯ ๑๕๒ ฯ
คนโงแกเปลา
เหมือนโคถึก
มากแตเนื้อหนังมังสา
แตปญญาหาเพิ่มขึ้นไม

Just as the ox grows old,


So ages he of little learning,
His flesh increases,
His wisdom is waning.
97

๘. อเนกชาติสํสารํ
สนฺธาวิสฺสํ อนิพฺพิสํ
คหการํ คเวสนฺโต
ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปุนํ ฯ ๑๕๓ ฯ
เมื่อไมพบนายชางผูสรางเรือน
เราไดเวียนวายตายเกิด
ในสงสารนับชาติไมถวน
การเกิดแลวเกิดอีกเปนทุกข

Through many a birth


I wandered in Samsara,
Seeking but not finding the Housebuilder,
Painful is birth ever again and again.

๙. คหการก ทิฏโฐสิ
ปุน เคหํ น กาหสิ
สพฺพา เต ผาสุกา ภคฺคา
คหกูฏํ วิสงฺขตํ
วิสงฺขารคตํ จิตฺตํ
ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา ฯ ๑๕๔ ฯ
นายชางเอย บัดนี้เราพบทานแลว
ทานจะสรางเรือนไมไดอีก
จันทัน อกไก เราทําลายหมดแลว
จิตของเราบรรลุนิพพาน
หมดความทะยานอยากแลว
98

O Housebuilder, you have been seen,


You shall not build the house again.
Your rafters have been broken,
Your ridge-pole demolished too.
My mind has now attained the Unconditioned,
And reached the end of all craving.

๑๐. อจริตฺวา พฺรหฺมจริยํ


อลทฺธา โยพฺพเน ธนํ
ชิณฺณโกฺจาว ฌายนฺติ
ขีณมจฺเฉว ปลฺลเล ฯ ๑๕๕ ฯ
เมื่อยังอยูในวัยหนุมสาว
ไมทําตัวใหดีและไมหาทรัพยไว
พอถึงวัยแกเฒา พวกเขายอมนั่งซบเซา
เหมือนนกกะเรียนแก
จับเจาอยูริมสระที่ไรปลา
Having led neither a good life,
Nor acquired riches while young,
They pine away as aged herons
Around a fishless pond.

๑๑. อจริตฺวา พฺรหฺมจริยํ


อลทฺธา โยพฺพเน ธนํ
เสนฺติ จาปาติขีณาว
ปุราณานิ อนุตฺถุนํ ฯ ๑๕๖ ฯ
เมื่ออยูในวัยหนุมสาว
ไมทําตัวใหดี และไมหาทรัพยไว
99

พอถึงวัยแกเฒา พวกเขายอมนอนทุกข
ทอดถอนใจรําพึงถึงความหลัง
เหมือนธนูหัก (ใชยิงอะไรก็ไมได)

Having led neither a good life,


Nor acquired riches while young,
They lie about like broken bows,
Sighing about the past.
12 หมวดตน - THE SELF

๑. อตฺตานฺเจ ปยํ ชฺญา


รกฺเขยฺย นํ สุรกฺขิตํ
ติณฺณมฺญตรํ ยามํ
ปฏิชคฺเคยฺย ปณฺฑิโต ฯ ๑๕๗ ฯ
ถารูวาตนเปนที่รัก
พึงรักษาตนไวใหดี
บัณฑิตควรประคับประคองตนไว
ไมทั้งสามวัยใดวัยหนึ่ง
If one holds oneself dear,
One should protect oneself well.
During any of the three watches (of life)
The wise should keep vigil.

๒. อตฺตานเมว ปฐมํ
ปฏิรูเป นิเวสเย
อถฺญมนุสาเสยฺย
น กิลิสฺเสยฺย ปณฺฑิโต ฯ ๑๕๘ ฯ
100

ควรปฏิบัติตนใหดีกอน
แลวคอยสอนคนอื่น
บัณฑิตเมื่อทําไดอยางนี้
จึงจะไมสรางมลทินแกตน
One should first establish oneself
In what is proper,
And then instruct others.
A wise man who acts in this way
Shall never get defiled.

๓. อตฺตานฺเจ ตถา กยิรา


ยถฺญมนุสาสติ
สุทนฺโต วต ทเมถ
อตฺตา หิ กิร ทุทฺทโม ฯ ๑๕๙ ฯ
สอนคนอื่นอยางใด
ควรทําตนอยางนั้น
ฝกตนเองแลวคอยฝกคนอื่น
เพราะตัวเราเองฝกยากยิ่งนัก
As he instructs others
He should himself act.
Himself fully controlled,
He should control others.
Difficult indeed is to control oneself.

๔. อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ


โก หิ นาโถ ปโร สิยา
101

อตฺตนา หิ สุทนฺตน
นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ ฯ ๑๖๐ ฯ

เราตองพึ่งตัวเราเอง
คนอื่นใครเลาจะเปนที่พึ่งได
บุคคลผูฝกตนดีแลว
ยอมไดที่พึ่งที่ไดแสนยาก
Oneself ideeed is master of oneself,
Who else could other master be?
With oneself perfectedly trained,
One obtains a refuge hard to gain.

๕. อตฺตนาว กตํ ปาป


อตฺรชํ อตฺตสมฺภวํ
อภิมตฺถติ ทุมฺเมธํ
วชิรํวมฺหยํ มณึ ฯ ๑๖๑ ฯ
บาปที่ตนทําเอง เกิดในตนเอง
และตนเองเปนผูสรางไว
ยอมทําลายคนโงใหยอยยับ
เหมือนเพชร ทําลายแกวมณี
The evil, done by oneself,
Self-begotten and self-produced,
Crushes the witless one,
As the diamond grinds a hard gem.
102

๖. ยสฺส อจฺจนฺตทุสฺสีลฺยํ
มาลุวา สาลมิโวตฺถตํ
กโรติ โส ตถตฺตานํ
ยถา นํ อิจฺฉตี ทิโส ฯ ๑๖๒ ฯ

คนทุศีล ก็เหมือนกับตนไม
ที่เถาวัลยขึ้นจนรก
เขาทําตัวใหวอดวายเอง
มิจําตองรอใหศัตรูมาคอยกระทําให

An exceedingly corrupted man is like


A creeper strangling a tree.
Surely, he does unto himself
What his enemy would wish for him.

๗. สุกรานิ อสธูนิ
อตฺตโน อหิตานิ จ
ยํ เว หิตฺจ สาธุฺจ
ตํ เว ปรมทุกกฺ รํ ฯ ๑๖๓ ฯ
กรรมไมดี ทั้งไมมีประโยชนแกตน ทํางาย
แตกรรมดีและมีประโยชน ทําไดยากยิ่ง
Easy to do are those karmas
Which are bad and not benefitting oneself.
But those which are good and beneficial
Are dificult indeed to be performed.
103

๘. โย สาสนํ อรหตํ
อริยานํ ธมฺมชีวินํ
ปฏิกฺโกสติ ทุมเฺ มโธ
ทิฏฐึ นิสฺสาย ปาปกํ
ผลานิ กณฺฏกสฺเสว
อตฺตฆฺญาย ผลฺลติ ฯ ๑๖๔ ฯ
คนทรามปญญา มีความเห็นผิด ติเตียนคําสอน
ของเหลาพระอริยะผูอรหันต ผูมีชีวิตอยูโดยธรรม
เขายอมเกิดมาเพื่อฆาตัวเขาเอง
เหมือนชุยไผฆาตนไผฉะนั้น
Whoso on account of false views
Scorns the teaching of the Noble Ones,
The Worhty and Righteous Ones.
He, the foolish man, destroys himself
Like the bamboo, seeding, finds its end.

๙. อตฺตนาว กตํ ปาป


อตฺตนา สงฺกิลิสฺสติ
อตฺตนา อกตํ ปาป
อตฺตนาว วิสุชฺฌติ
สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ
นาฺโญ อฺญํ วิโสธเย ฯ ๑๖๕ ฯ
ตนทําบาปเอง ตนก็เศราหมองเอง
ตนไมทําบาปตนก็บริสุทธิ์เอง
ความบริสุทธิ์หรือไมบริสุทธิ์เปนของเฉพาะตน
คนอื่นจะใหคนอื่นบริสุทธิ์แทนไมได
By oneself is evil done,
By oneself does one get defiled.
104

By oneself is evil left undone,


By oneself is one purified.
Purity or impurity depends on oneself,
No one can purify anther.

๑๐. อตฺตทตฺถํ ปรตฺเถน


พหุนาป น หาปเย
อตฺตทตฺถมภิฺญาย
สทตฺถปสุโต สิยา ฯ ๑๖๖ ฯ

ถึงจะทําประโยชนแกคนอื่นมากมาย
ก็ไมควรละทิ้งจุดหมายปลายทางของตน
เมื่อรูวาอะไรคือจุดหมายปลายทางของตนแลว
ก็ควรใฝใจขวนขวาย
Fall not away from one's own purpose
For the sake of another, however great,
When once one has seen one's own goal,
One should hold to it fast and firm.
13 หมวดโลก - THE WORLD

๑. หีนํ ธมฺมํ น เสเวยฺย


ปมาเทน น สํวเส
มิจฺฉาทิฏฐึ น เสเวยฺย
น สิยา โลกวฑฺฒโน ฯ ๑๖๗ ฯ
อยาประพฤติสิ่งเลวทราม
อยาอยูดวยความประมาท
105

อยายึดถือความเห็นผิด
อยาทําตนเปนคนรกโลก

Do not follow mean things.


Do not live in heedlessness.
Do not embrace false views,
Do not be a 'world-upholder'.

๒. อุตฺติฏเฐ นปฺปมชฺเชยฺย
ธมฺมํ สุจริตํ จเร
ธมฺมจารี สุขํ เสติ
อสฺมึ โลเก ปรมฺหิ จ ฯ ๑๖๘ ฯ

ลุกขึ้นเถิด อยามัวประมาทอยูเลย
จงประพฤติสุจริตธรรม
เพราะผูประพฤติธรรมยอมอยูเปนสุข
ทั้งในโลกนี้และโลกหนา

Arise! Be not negligent!


Lead a righteous life.
For one who lives a righteous life
Dwells in peace here and hereafter.

๓. ธมฺมฺจเร สุจริตํ
น ตํ ทุจฺจริตํ จเร
ธมฺมจารี สุขํ เสติ
อสฺมึ โลเก ปรมฺหิ จ ฯ ๑๖๙ ฯ
106

จงประพฤติสุจริตธรรม
อยาประพฤติทุจริต
ผูประพฤติธรรมยอมอยูเปนสุข
ทั้งในโลกนี้และโลกหนา
By Dharma should one lead one's life
And not embrace corrupted means.
For one who lives a Dharma life
Dwells in peace here and hereafter.

๔. ยถา พุพฺพุฬกํ ปสฺเส


ยถา ปสฺเส มรีจิกํ
เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ
มจฺจุราชา น ปสฺสติ ฯ ๑๗๐ ฯ

ผูที่มองเห็นโลก
วาไมจีรังและหาสาระอะไรมิได
เชนเดียวกับคนมองฟองน้ําและพยับแดด
คนเชนนี้พญามารยอมตามหาไมพบ

Whoso would look upon the world


Just as one would see a bubble,
And as one would view a mirage-
Him the King of Death finds not.

๕. เอถ ปสฺสถิมํ โลกํ


จิตฺตํ ราชรถูปมํ
107

ยตฺถ พาลา วิสีทนฺติ


นตฺถิ สงฺโค วิชานตํ ฯ ๑๗๑ ฯ
สูเจาทั้งหลาย จงมาเถิดมาดูโลกนี้
อันวิจิตรพิสดาร เหมือนกับราชรถทรง
ณ ที่นี่แหละ เหลาคนโงพากันหมกมุนอยู
แตผูรูหาติดของอยูไม
Come you all and behold this world
Like an ornamented royal chariot,
Wherein the fools are deeply sunk.
But for those who know there is no bond.

๖. โย จ ปุพฺเพ ปมชฺชิตฺวา
ปจฺฉา โส นปฺปมชฺชติ
โสมํ โลกํ ปภาเสติ
อพฺภา มุตฺโตว จนฺทิมา ฯ ๑๗๒ ฯ
ผูที่เคยประมาทในกาลกอน
แตภายหลังไมประมาท
เขายอมสองโลกนี้ใหสวาง
เหมือนพระจันทรที่พนจากเมฆ
Whoso was previously negligent
But afterwards practises vigilance-
He illumines the world here and now
Like the moon emerging from the cloud.

๗. ยสฺส ปาป กตํ กมฺมํ


กุสเลน ปหียติ
108

โสมํ โลกํ ปภาเสติ


อพฺภา มุตฺโต จนฺทิมา ฯ ๑๗๓ ฯ

ผูใดทําบาปไวแลว
ละไดดวยการทําดี
ผูนั้นยอมสองโลกนี้ใหสวาง
เหมือนพระจันทรที่พนจากเมฆ

Who by his wholesome deeds


Removes the evil done-
He illumines the workd here and now
Like the moon emerging from the cloud.

๘. อนฺธภูโต อยํ โลโก


ตนุเกตฺถ วิปสฺสติ
สกุนฺโต ชาลมุตฺโตว
อปฺโป สคฺคาย คจฺฉติ ฯ ๑๗๔ ฯ
โลกนี้ มืดมน นอยคนจักเห็นแจง
นอยคน จะไปสวรรค
เหมือนนกติดขายนายพราน
นอยตัวจะหลุดรอดไปได

Blind is this world,


Few are they who clearly see.
As the birds escaping from a net,
Few are they who go to heaven.
109

๙. หํสาทิจฺจปเถ ยนฺติ
อากาเส ยนฺติ อิทฺธิยา
นียนฺติ ธีรา โลกมฺหา
เชตฺวา มารํ สวาหนํ ฯ ๑๗๕ ฯ
พระยาหงส เหินฟาไปหาพระอาทิตย
ผูมีฤทธิ์ เหาะเหินเดินอากาศ
นักปราชญ ออกไปจากโลก
เพราะเอาชนะพญามารพรอมทั้งกองทัพ

Swans fly on the path of the sun,


Magicians pass through the air.
The wise go forth out of the world,
Having conquered Mara with all his troop.

๑๐. เอกธมฺมมตีตสฺส
มุสาวาทิสฺส ชนฺตุโน
วิติณฺณปรโลกสฺส
นตฺถิ ปาป อการิยํ ฯ ๑๗๖ ฯ

คนที่ลวงศีลขอที่สี่
มักพูดเท็จ ไมคํานึงถึงปรโลก
จะไมทําความชั่ว ไมมี

By him who breaks the fourth precept,


Who at all time speaks untruth,
110

Who regards not the world beyond,


There is no evil that cannot be done.

๑๑. น เว กทริยา เทวโลกํ วชนฺติ


พาลา หเว นปฺปสํสนฺติ ทานํ
ธีโร จ ทานํ อนุโมทมาโน
เตเนว โส โหติ สุขี ปรตฺถ ฯ ๑๗๗ ฯ
แนนอน คนตระหนี่ไมมีโอกาสไปเทวโลก
แนนอน คนโง ไมสรรเสริญการให
แตคนฉลาด ยินดีใหทาน
นี่แลที่บันดาลใหเขาไดรับสุขในปรภพ

Verily, the misers go not to celestial realms.


Fools do not indeed praise liberality.
The wise, however, rejoice in giving
And thereby become happy hereafter.

๑๒. ปฐพฺยา เอกรชฺเชน


สคฺคสฺส คมเนน วา
สพฺพโลกาธิปจฺเจน
โสตาปตฺติผลํ วรํ ฯ ๑๗๘ ฯ
ยิ่งกวา เอกราชยทั่วทั้งแผนดิน
ยิ่งกวา ขึ้นสวรรคาลัย
ยิ่งกวา อธิปไตยใดในโลกทั้งปวง
คือ พระโสดาปตติผล
111

Than sole sovereignty over the earth,


Than going to celestial worlds,
Than lordship over all the worlds,
Better is the fruit of a Stream-Winner.
14 หมวดพระพุทธเจา - THE ENLIGHTENED ONE

๑. ยสฺส ชิตํ นาวชียติ


ชิตมสฺส โน ยาติ โกจิ โลเก
ตํ พุทฺธมนนฺตโคจรํ
อปทํ เกน ปเทน เนสฺสถ ฯ ๑๗๙ ฯ

พระพุทธเจาพระองคใด
ทรงชนะกิเลสไดเด็ดขาด
กิเลสที่ทรงชนะแลวไมติดตามพระองคไปอีก
พระพุทธเจาองคนั้น
ทรงมีพระสัพพัญุตญาณหาที่สุดมิได
ไมไปตามทางของกิเลสแลว
พวกเธอจะนําทานไปตามทางไหนเลา

Whose conquest is not turned into defeat,


Whom not even a bit of conquered passion follows-
That trackless Buddha of infinite range,
By which way will you lead him?

๒. ยสฺส ชาลินี วิสตฺติกา


ตณฺหา นตฺถิ กุหิฺจิ เนตเว
112

ตํ พุทฺธมนนฺตโคจรํ
อปทํ เกน ปเทน เนสฺสถ ฯ ๑๘๐ ฯ
พระพุทธเจาพระองคใด
ไมมีตัณหาดังตาขาย อันมีพิษสงรายกาจ
พระพุทธเจาพระองคนั้น
ทรงมีพระสัพพัญุตญาณหาที่สุดมิได
ไมไปตามทางของกิเลสแลว
พวกเธอจะนําทานไปตามทางไหนเลา
Whom no entangling and poisonous
Passions can lead astray-
That trackless Buddha of infinite range,
By which way will you lead him?

๓. เย ฌานปฺปสุตา ธีรา
เนกฺขมฺมูปสเม รตา
เทวาป เตสํ ปหยนฺติ
สมฺพุทฺธานํ สตีมตํ ฯ ๑๘๑ ฯ

เหลาเทวดายอมรักธีรชน
ผูขวนขวายในกรรมฐาน
ยินดีในนิพพานอันสงบ
มีสติและรูแจงจบสัจธรรม

Absorbed in meditation pratice,


Delighting in the peace of Nibbana
Mindful, wise and fully enlightened-
Such men even the gods hold dear.
113

๔. กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ
กิจฺฉํ มจฺจาน ชีวิตํ
กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ
กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท ฯ ๑๘๒ ฯ

ยาก ที่ไดเกิดมาเปนมนุษย
ยาก ที่ชีวิตสัตวอยูสบาย
ยาก ที่จะไดฟงธรรมของสัตบุรุษ
ยาก ที่พระสัมพุทธจะอุบัติมา

Hard is it to be born as a man,


Hard is the life of mortals,
Hard is it to hear the Truth Sublime,
Hard as well is the Buddha's rise.

๕. สพฺพปาปสฺส อกรณํ
กุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนฺ
เอตํ พุทธฺ าน สาสนํ ฯ ๑๘๓ ฯ
ไมทําความชั่วทุกชนิด
ทําแตความดี
ทําใจใหผองใส
นี้เปนคําสอนของพระพุทธเจาทั้งหลาย

Abstention from all evil,


114

Cultivation of the wholesome,


Purification of the heart;
This is the Message of the Buddhas.

๖. ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา


นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
น หิ ปพฺพฃิโต ปรูปฆาตี
สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต

ขันติคือความอดทน เปนตบะอยางยอด
นิพพาน ทานผูรูกลาววาเปนยอด
ผูที่ยังทํารายผูอื่นอยู ไมจัดวาเปนบรรพชิต
ผูที่ยังเบียดเบียนคนอื่นอยู ไมจัดวาเปนสมณะ
Forbearance is the highest ascetic practice,
'Nibbana is supreme'; say the Buddhas.
he is not a 'gone forth' who harms another.
He is not a recluse who molests another.

๗. อนูปวาโท อนูปฆาโต
ปาฏิโมกฺเข จ สํวโร
มตฺตฺตุ า จ ภตฺตสฺมึ
ปนฺตฺจ สยนาสนํ
อธิจิตฺเต จ อาโยโค
เอตํ พุทฺธาน สาสนํ ฯ ๑๘๕ ฯ

ไมวารายใคร
ไมกระทบกระทั่งใคร
115

ระมัดระวังในปาติโมกข
บริโภคพอประมาณ
อยูในสถานสงัด
ฝกหัดจิตใหสงบ
นี้คือคําสอนของพระพุทธเจาทั้งหลาย

To speak no ill,
To do no harm,
To observe the Rules,
To be moderate in eating,
To live in a secluded abode,
To devote onself to meditation-
This is the Message of the Buddhas.

๘. น กหาปณวสฺเสน
ติตฺติ กาเมสุ วิชฺชติ
อปฺปสฺสาทา ทุกฺขา กามา
อิติ วิฺญาย ปณฺฑิโต ฯ ๑๘๖ ฯ

๙. อป ทิพฺเพสุ กาเมสุ


รตึ โส นาธิคจฺฉติ
ตณฺหกฺขยรโต โหติ
สมฺมาสมฺพุทธฺ สาวโก ฯ ๑๘๗ ฯ
ถึงแมเงินตราจะไหลมาดังหาฝน
ความอยากของคนก็หาอิ่มไม
กามวิสัยทั้งหลายมีความสุขจริงๆนอย
เต็มไปดวยความทุกขสารพัด
รูชัดดังนี้แลว สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจา
116

ยอมไมยินดีในกามารมณแมที่เปนทิพย
หากแตยินดีในทางสิ้นกิเลสตัณหา
Not in a rain of golden coins
Is satisfaction to be found.
' Of little joy, but painful are sensual pleasures';
Thus the wise man clearly comprehends.
Even in the heavenly pleasures
He finds no satisfaction.
In the destruction of all desires,
The Fully Awakened One's disciple delights.

๑๐. พหู เว สรณํ ยนฺติ


ปพฺพตานิ วนานิ จ
อารามรุกฺขเจตฺยานิ
มนุสฺสา ภยตชุชิตา ฯ ๑๘๘ ฯ

คนเปนจํานวนมาก เมื่อภัยมาถึงตัว
พากันยึดเอาสิ่งตางๆเปนที่พึ่ง
อาทิ ภูเขา ปาไม สวน
ตนไม และเจดีย
Many men in their fear
Betake themselves for a refuge
To hills, woods, gardens
Sacred trees and shrines.

๑๑. เนตํ โข สรณํ เขมํ


เนตํ สรณมุตฺตมํ
117

เนตํ สรณมาคมฺม
สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ ฯ ๑๘๙ ฯ
นั่นมิใชที่พึ่งอันปลอดภัย
นั่นมิใชที่พึ่งอันสูงสุด
อาศัยที่พึ่งชนิดนั้น
ก็ไมพนทุกขทั้งปวงได
Such a refuge is not secure,
Such a refuge is not supreme.
To such a refuge shoulf one go,
One is not released from all sorrow.

๑๒. โย จ พุทฺธฺจ ธมฺมฺจ


สงฺฆฺจ สรณํ คโต
จตฺตาริ อริยสจฺจานิ
สมฺมปฺปฺญาย ปสฺสติ ฯ ๑๙๐ ฯ
๑๓. ทุกฺขํ ทุกฺขสมุปฺปาทํ
ทุกฺขสฺส จ อติกฺกมํ
อริยฺจฏฐงฺคิกํ มคฺคํ
ทุกฺขูปสมคามินํ ฯ ๑๙๑ ฯ
ผูถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆเปนที่พึ่ง
ยอมเห็นอริยสัจดวยปญญาชอบ คือ
ทุกข, เหตุของทุกข, ความดับทุกข และ
อริยมรรคมีองคแปด อันเปนทางดับทุกข

He who takes refuge in


The Buddha, the Dharma and the Sangha
118

Sees with wisdom the Four Noble Truths:


Suffering,
The Cause of Suffering,
The Cessation of Suffering,
The Noble Eightfold Path leading to
The Cessation of Suffering.

๑๔. เอตํ โข สรณํ เขมํ


เอตํ สรณมุตฺตมํ
เอตํ สรณมาคมฺม
สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ ฯ ๑๙๒ ฯ
นั่นแลคือที่พึ่งอันปลอดภัย
นั่นคือที่พึ่งอันสูงสุด
คนเราอาศัยที่พึ่งชนิดนั้น
ยอมพนจากทุกขทั้งปวง
Such indeed is a refuge secure,
Such indeed is a refuge supreme.
To such a refuge should one go,
One is released from all sorrow.

๑๕. ทุลฺลโภ ปุริสาชฺโญ


น โส สพฺพตฺถ ชายติ
ยตฺถ โส ชายตี ธีโร
ตํ กุลํ สุขเมธติ ฯ ๑๙๓ ฯ
บุรษอาชาไนย หาไดยาก
เขายอมไมเกิดในตระกูลทั่วไป
119

คนฉลาดเชนนี้ เกิดในตระกูลใด
ตระกูลนั้นยอมเจริญรุงเรืองดวยความสุข

Hard to find is the Man Supreme,


He is not born everywhere.
But where such a wise one is born,
That family thrives happily.

๑๖. สุโข พุทฺธานมุปฺปาโท


สุขา สทฺธมฺมเทสนา
สุขา สงฺฆสฺส สามคฺคี
สมคฺคานํ ตโป สุโข ฯ ๑๙๔ ฯ

การเกิดขึ้นของพระพุทธเจาทั้งหลายใหเกิดสุข
การแสดงพระสัทธรรมใหเกิดสุข
ความพรอมเพรียงของหมูใหเกิดสุข
ความพยายามของหมูที่พรอมเพรียงกันใหเกิดสุข

Happy is the birth of the Buddha,


Happy is the preaching of the Sublime Dharma,
Happy is the unity of the Sangha,
Happy is the striving of the united ones.

๑๗. ปูชารเห ปูชยโต


พุทฺเธ ยทิจ สาวเก
ปปฺจสมติกกฺ นฺเต
ติณฺณโสกปรทฺทเว ฯ ๑๙๕ ฯ
120

๑๘. เต ตาทิเส ปูชยโต


นิพฺพุเต อกุโตภเย
น สกฺกา ปุฺญํ สงฺขาตุ
อิเมตฺตมป เกนจิ ฯ ๑๙๖ ฯ
ผูบูชาทานที่ควรบูชา
คือพระพุทธเจา หรือสาวกของพระพุทธเจา
ผูลวงพนกิเลสเครื่องขวางกั้น
หมดโศกหมดปรเทวนา สงบระงับ
ปลอดภัยโดยประการทั้งปวง
ใครๆไมสามารถจะคํานวณบุญของบุคคลผูนี้วา
"เขาไดบุญประมาณเทานี้"
He who venerates those venerable ones,
Be they the Buddhas or disciples;
Those who have overcome obstacles
And gone beyond distress and lamentation,
Those who are serene and all-secure-
No one is able to calculate
His merit as 'such and such'.
15 หมวดความสุข - HAPPINESS

๑. สุสุขํ วต ชีวาม
เวริเนสุ อเวริโน
เวริเนสุ มนุสฺเสสุ
วิหราม อเวริโน ฯ ๑๙๗ ฯ
ในหมูมนุษย ผูจองเวรกัน
พวกเราไมจองเวรใคร
ชางอยูสบายจริงหนอ
121

ในหมูมนุษยผูเต็มไปดวยเวร
พวกเราอยูอยางปราศจากเวร
Happily indeed do we live
Unhating among those hating men.
Among many hate-filled men,
Thus we dwell unhating.

๒. สุสุขํ วต ชีวาม
อาตุเรสุ อนาตุรา
อาตุเรสุ มนุสฺเสสุ
วิหราม อนาตุรา ฯ ๑๙๘ ฯ

ในหมูมนุษย ผูมีกิเลส
พวกเราหมดกิเลสแลว
ชางอยูสุขสบายจริงหนอ
ในหมูมนุษย ผูมีกิเลส
พวกเราอยูปราศจากกิเลส

Happily indeed do we live


Not yearning among those who yearn.
Among many yearning men,
Thus we dwell unyearning.

๓. สุสุขํ วต ชีวาม
อุสฺสุกฺเกสุ อนุสฺสกุ า
อุสฺสุกฺเกสุ มนุสฺเสสุ
วิหราม อนุสฺสุกา ฯ ๑๙๙ ฯ
122

ในหมูมนุษย ผูมีความกระวนกระวาย
พวกเราไมกระวนกระวาย
ชางอยูเปนสุขสบายจริงหนอ
ในหมูมนุษย ผูมีความกระวนกระวาย
พวกเราอยูปราศจากความกระวนกระวาย

Happily indeed do we live


Not anxious among those anxious men.
Among many anxious men,
Thus we dwell unanxious.

๔. สุสุขํ วต ชีวาม
เยสํ โน นตฺถิ กิฺจนํ
ปติภกฺขา ภวิสฺสาม
เทวา อาภสฺสรา ยถา ฯ ๒๐๐ ฯ
พวกเราไมมีกิเลสเศราหมองใจ
ชางอยูสุขสบายจริงหนอ
พวกเรามีปติเปนภักษาหาร
เปรียบปานเหลาอาภัสรพรหม

Happily indeed do we live-


We that call nothing our own.
Feeders on joy shall we be
Even as the Abhassara gods.
123

๕. ชยํ เวรํ ปสวติ


ทุกฺขํ เสติ ปราชิโต
อุปสนฺโต ชยปราชยํ ฯ ๒๐๑ ฯ

ผูแพยอมกอเวร
ผูพายยอมอยูเปนทุกข
ผูละความแพและความพายเสีย
มีใจสงบระงับนั่นแหละเปนสุข
The victor begets hate,
While the defeated lives in distress.
Happily the peaceful lives,
Having given up victory and defeat.

๖. นตฺถิ ราคสโม อคฺคิ


นตฺถิ โทสสโม กลิ
นตฺถิ ขนฺธสมา ทุกฺขา
นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ ฯ ๒๐๒ ฯ

ไมมีไฟใดเสมอดวยราคะ
ไมีมีโทษใดเสมอดวยโทสะ
ไมมีทุกขใดเสมอดวยเบญจขันธ
ไมมีสุขใดเสมอดวยความสงบ
No fire is there like lust,
No crime like hatred,
No ill like the Five Aggregates,
No higher bliss than Nibbana's peace.
124

๗. ชิฆจฺฉาปรมา โรคา
สงฺขารา ปรมา ทุกฺขา
เอตํ ­ตฺวา ยถาภูตํ
นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ ฯ ๒๐๓ ฯ

ความหิวเปนโรคอยางยิ่ง
สังขาร เปนทุกขอยางยิ่ง
รูความจริงขอนี้แลว
(คนฉลาด จึงทําพระนิพพานใหแจง)
พระนิพพาน เปนสุขอยางยิ่ง

Of all diseases hunger is the greatest,


Of all pains the comp[ounded things,
Knowing this (the wise realize Nibbana)
Which is the bliss supreme.

๘. อาโรคฺยปรมา ลาภา
สนฺตุ&hibar;ฺปรมํ ธนํ
วิสฺสาสปรมา ­าตี
นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ ฯ ๒๐๔ ฯ
ความไมมีโรค เปนลาภอยางยิ่ง
ความรูจักพอ เปนทรัพยอยางยิ่ง
ความไววางใจกัน เปนญาติอยางยิ่ง
พระนิพพาน เปนสุขอยางยิ่ง
Health is the highest gain,
Contentment is the greatest wealth,
Trustful are the best kinsmen,
125

Nibbana is the highest bliss.

๙. ปวิเวกรสํ ปตฺวา
รสํ อุปสมสฺส จ
นิทฺทโร โหติ นิปฺปาโป
ธมฺมปติรสํ ปวํ ฯ ๒๐๕ ฯ
เมื่อไดลิ้มรสแหงวิเวก
และรสพระนิพพานอันสงบ
ไดดื่มรสแหงความอิ่มเอมในพระธรรม
บุคคลยอมจะหมดบาป หมดทุกขรอน
Having tasted the flavour of
Seclusion and Nibbana's peace,
Woeless and stainless becomes he,
Drinking the taste of the Dharma's joy.

๑๐. สาธุ ทสฺสนมริยานํ


สนฺนิวาโส สทา สุโข
อทสฺสเนน พาลานํ
นิจฺจเมว สุขี สิยา ฯ ๒๐๖ ฯ

การพบพระอริยเจาเปนความดี
การอยูรวมกับทานใหเกิดสุขทุกเมื่อ
เมื่อไมคบคนพาลเสียได
คนเราพึงมีความสุขเปนนิจนิรันดร

Good is it to see the Noble Ones,


126

To dwell with them is happiness,


By not seeing foolish men,
One may ever be happy.

๑๑. พาลสงฺคตจารี หิ
ทีฆมทฺธาน โสจติ
ทุกฺโข พาเลหิ สํวาโส
อมิตฺเตเนว สพฺพทา
ธีโร จ สุขสํวาโส
ญาตีนํว สมาคโม ฯ ๒๐๗ ฯ

เพราะผูคบคนพาล ยอมเศราโศกนาน
การอยูรวมกับคนพาลมีแตความทุกข
เหมือนอยูรวมกับศัตรู
การอยูรวมกับนักปราญมีแตความสุข
เหมือนสมาคมของญาติ

Frequenting the company of fools


One surely grieves for long;
For association with fools is ever ill
Just as ever that of foes.
But to dwell with the wise is happiness
Just as relatives together met.

๑๒. ตสฺมา หิ
ธีรฺจ ปญญฺจ พหุสฺสุตญจ
โธรยฺหสีลํ วตวนฺตมริยํ
127

ตํ ตาทิสํ สปฺปุริสํ สุเมธํ


ภเชถ นกฺขตฺตปถํว จนฺทมิ า ฯ ๒๐๘ ฯ

เพราะฉะนั้นจึงควรประพฤติตามผูเปนปราชญ
ผูเฉียบแหลม ศึกษาเลาเรียนมาก มีศีลาจารวัตร
เรียบรอย เปนพระอริยะ เปนสัตบุรุษ มีปญญาดี
เหมือนพระจันทรไปตามทางของกลุมนักขัตฤกษ

Therefore-
Him the intelligent, the wise, the learned,
The devout, the dutiful and the Noble One-
Such a wise and intelligent man
Should one ever follow
As the moon follows the track of stars.
16 หมวดความรัก - AFFECTIONS

๑. อโยเค ยุฺชมตฺตานํ
โยคสฺมิฺจ อโยชนํ
อตฺถํ หิตฺวา ปยคฺคาหี
ปเหตตฺตานุโยคินํ ฯ ๒๐๙ ฯ

พยายามในสิ่งที่ไมควรพยายาม
ไมพยายามในสิ่งที่ควรพยายาม
ละเลยสิ่งที่เปนประโยชน ติดอยูในปยารมณ
คนเชนนี้ก็ไดแตริษยาผูที่พยายามชวยตัวเอง
Exerting oneself in what should be shunned,
Not exerting where one should exert,
128

Rejecting the good and grasping at the pleasant,


One comes to envy those who exert themselves.

๒. มา ปเยหิ สมาคฺฉิ
อปฺปเยหิ กุทาจนํ
ปยานํ อทสฺสนํ ทุกฺขํ
อปฺปยานฺจ ทสฺสนํ ฯ ๒๑๐ ฯ
อยาติดอยูในสิ่งที่เรารัก หรือไมรัก
การพลัดพรากจากสิ่งที่เรารัก เปนทุกข
การพบเห็นแตสิ่งที่ไมรัก ก็เปนทุกข
Be not attached to the beloved
And never with the unbeloved.
Not to meet the beloved is painful
As also to meet with the unbeloved.

๓. ตสฺมา ปยํ น กยิราถ


ปยาปาโย หิ ปาปโก
คนฺถา เตสํ น วิชฺชนฺติ
เยสํ นตฺถิ ปยาปยํ ฯ ๒๑๑ ฯ
เพราะฉะนั้น ไมควรรักสิ่งใด
เพราะพลัดพรากจากของรัก เปนทุกข
ผูที่หมดความรักและความไมรักแลว
เครื่องผูกพัน ก็พลอยหมดไปดวย
Therefore hold nothing dear,
For separation from the beloved is painful.
129

There are no bonds for those


To whom nothing is dear or not dear.

๔. ปยโต ชายเต โสโก


ปยโต ชายเต ภยํ
ปยโต วิปปฺ มุตฺตสฺส
นตฺถิ โสโก กุโต ภยํ ฯ ๒๑๒ ฯ

ที่ใดมีของรัก ที่นั่นมีโศก
ที่ใดมีของรัก ที่นั่นมีภัย
เมื่อไมมีของรักเสียแลว
โศกภัย ก็ไมมี
From the beloved springs grief,
From the beloved springs fear;
For him who is free from the beloved
There is neither grief nor fear.

๕. เปมโต ชายเต โสโก


เปมโต ชายเต ภยํ
เปมโต วิปฺปมุตฺตสฺส
นตฺถิ โสโก กุโต ภยํ ฯ ๒๑๓ ฯ

ที่ใดมีความรัก ที่นั่นมีโศก
ที่ใดมีความรัก ที่นั่นมีภัย
เมื่อไมมีความรักเสียแลว
โศก ภัย ก็ไมมี
130

From love springs grief,


From love spring fear;
For him who is free from love
There is neither grief nor fear.

๖. รติยา ชายเต โสโก


รติยา ชายเต ภยํ
รติยา วิปฺปมุตฺตสฺส
นตฺถิ โสโก กุโต ภยํ ฯ ๒๑๔ ฯ

ที่ใดมีความยินดี ที่นั่นมีโศก
ที่ใดมีความยินดี ที่นั่นมีภัย
เมื่อไมมีความยินดีเสียแลว
โศก ภัย ก็ไมมี
From attachment springs grief,
From attachment sprighs fear;
For him who is free from attachment
There is neither grief nor fear.

๗. กามโต ชายเต โสโก


กามโต ชายเต ภยํ
กามโต วิปปฺ มุตตฺ สฺส
นตฺถิ โสโก กุโต ภยํ ฯ ๒๑๕ ฯ
ที่ใดมีความใคร ที่นั่นมีโศก
ที่ใดมีความใคร ที่นั่นมีภัย
131

เมื่อไมมีความใครเสียแลว
โศก ภัย ก็ไมมี

From lust springs grief,


From lust springs fear;
For him who is free from lust
There is neither grief nor fear.

๘. ตณฺหาย ชายเต โสโก


ตณฺหาย ชายเต ภยํ
ตณฺหาย วิปฺปมุตตฺ สฺส
นตฺถิ โสโก กุโต ภยํ ฯ ๒๑๖ ฯ

ที่ใดมีความทะยานอยาก ที่นั่นมีโศก
ที่ใดมีความทะยานอยาก ที่นั่นมีภัย
เมื่อไมมีความทะยานอยากเสียแลว
โศก ภัย ก็ไมมี

From craving springs grief,


From craving springs fear;
For him who is free from craving
There is neither grief no fear.

๙. สีลทสฺสนสมฺปนฺนํ
ธมฺมฏฐํ สจฺจวาทินํ
อตฺตโน กมฺมกุพฺพานํ
ตํ ชโน กุรุเต ปยํ ฯ ๒๑๗ ฯ
132

ผูประพฤติดี มีความเห็นถูกตอง
มั่นอยูในคลองธรรม พูดคําสัตย
ปฏิบัติหนาที่ของคนสมบูรณ
คนยอมเทิดทูนดวยความรัก
He who is perfect in virtue and insight,
Is established in the Dharma;
Who speaks the truth and fulfills his won duty-
Him do people hold dear.

๑๐. ฉนฺทชาโต อนกฺขาเต


มนสา จ ผุโฏ สิยา
กาเมสุ อปฺปฏิพทฺธจิตฺโต
อุทฺธํโสโตติ วุจฺจติ ฯ ๒๑๘ ฯ
พระอนาคามีผูใฝพระนิพพาน
สัมผัสผานผลสามดวยใจ
หมดปฏิพัทธรักใครในกาม
จึงไดสมญานามวา "ผูทวนกระแส"

He who has developed a wish for Nibbana,


He whose mind is thrilled 9with the Three Fruits),
He whose mind is not bound by sensual pleasures,
Such a person is called 'Upstream-bound One".

๑๑. จิรปฺปวาสึ ปุริสํ


ทูรโต โสตฺถมิ คตํ
133

ญาติมิตฺตา สุหชฺชา จ
อภินนฺทนฺติ อาคตํ ฯ ๒๑๙ ฯ
บุรษผูจากไปนาน
เมื่อกลับมาจากไพรัชสถานโดยสวัสดี
ญาติ และมิตรสหายยอมยินดีตอนรับ

After a long absence


A man returns home
Safe and sound from afar,
Kinsmen and friends gladly welcome him.

๑๒. ตเถว กตปุฺญมฺป


อสฺมา โลกา ปรํ คตํ
ปุฺญานิ ปฏิคณฺหนฺติ
ปยํ ญาตึว อาคตํ ฯ ๒๒๐ ฯ
บุญที่ไดทําไวในโลกนี้
ยอมตอนรับผูที่จากไป
เหมือนญาติที่รักมาจากที่ไกล
ฝูงชนยอมเต็มใจตอนรับ

Likewise, good deeds well receive the doer


Who has gone from here to the next world,
As kinsmen receive a dear friend on his return.
17 หมวดความโกรธ - ANGER
134

๑. โกธํ ชเห วิปฺปชเหยฺย มานํ


สํโยชนํ สพฺพมติกฺกเมยฺย
ตํ นามรูปสฺมิมสชฺฒมานํ
อกิฺจนธํ นานุปตนฺติ ทุกขฺ า ฯ ๒๒๑ ฯ

ควรละความโกรธ และมานะ
เอาชนะกิเลสเครื่องผูกมัดทุกชนิด
ผูที่ไมติดอยูในรูปนาม หมดกิเลสแลว
ยอมคลาดแคลวจากความทุกข
One should give up anger and pride,
One should overcome all fetters.
Ill never befalls him who is passionless,
Who clings not to Name and Form.

๒. โย เว อุปฺปติตํ โกธํ
รถํ ภนฺตํว ธารเย
ตมหํ สารถึ พฺรูมิ
รสฺมิคฺคาโห อิตโร ชโน ฯ ๒๒๒ ฯ
ผูใดยับยั้งความโกรธที่เกิดขึ้นไดทันที
เหมือนสารถีหยุดรถที่กําลังแลนไวได
ผูนั้นไซรเราเรียกวา "สารถี"
สวนคนนอกนี้ไดชื่อเพียง "ผูถือเชือก"
Whoso, as rolling chariot, checks
His anger which has risen up-
Him I call charioteer.
Others merely hold the reins.
135

๓. อกฺโกเธน ชิเน โกธํ


อสาธุ สาธุนา ชิเน
ชิเน กทริยํ ทาเนน
สจฺเจนาลิกวาทินํ ฯ ๒๒๓ ฯ
พึงเอาชนะความโกรธ ดวยความไมโกรธ
พึงเอาชนะความราย ดวยความดี
พึงเอาชนะคนตระหนี่ ดวยการให
พึงเอาชนะคนพูดพลอย ดวยคําสัตย
Conquer anger by love,
Conquer evil by good,
Conquie the miser by liberality,
Conquer the liar by truth.

๔. สจฺจํ ภเณ น กุชฺเฌยฺย


ทชฺชา อปฺปมฺป ยาจิโต
เอเตหิ ตีหิ ฐาเนหิ
คจฺเฉ เทวาน สนฺติเก ฯ ๒๒๔ ฯ

ควรพูดคําสัตยจริง ไมควรโกรธ
แมเขาขอเล็กๆนอยๆ ก็ควรให
ดวยการปฏิบัติทั้งสามนี้
เขาก็อาจไปสวรรคได
One should speak the truth.
One should not give way to anger.
If asked for little one should give.
136

One may go, by these three means,


To the presence of celestials.

๕. อหึสกา เย มุนโย
นิจฺจํ กาเยน สํวุตา
เต ยนฺติ อจฺจุตํ ฐานํ
ยตฺถ คนฺตฺวา น โสจเร ฯ ๒๒๕ ฯ

พระมุนี ผูไมเบียดเบียนใคร
ควบคุมกายอยูเปนนิจศีล
ยอมไปยังถิ่นที่นิรันดร
ที่สัญจรไปแลว ไมเศราโศก
Those sages who are harmless
And in body ever controlled
Go to the Everlasting State
Where gone they grieve no more.

๖. สทา ชาครมานานํ
อโหรตฺตานุสิกฺขินํ
นิพฺพานํ อธิมุตฺตานํ
อฏฐํ คจฺฉนฺติ อาสวา ฯ ๒๒๖ ฯ
สําหรับทานผูตื่นอยูตลอดเวลา
สําเหนียกศึกษาทุกทิพาราตรี
มีใจนอมไปสูพระนิพพาน
อาสวะยอมอันตรธานหมดสิ้น
137

Of those who are wide-awake


And train themeselves by night and day
Upon Nibbana ever intent-
The defilements fade away.

๗. โปราณเมตํ อตุล
เนตํ อชฺชตนามิว
นินฺทนฺติ ตุณฺหิมาสีนํ
นินฺทนฺติ พหุภาณินํ
มิตภาณิมฺป นินฺทนฺติ
นตฺถิ โลเก อนินทฺ ิโต ฯ ๒๒๗ ฯ
อตุลเอย เรื่องอยางนี้มีมานานแลว
มิใชเพิ่งจะมีในปจจุบันนี้
อยูเฉยๆเขาก็นินทา
พูดมาก เขาก็นินทา
พูดนอย เขาก็นินทา
ไมมีใครในโลก ที่ไมถูกนินทา
Not only today, O Atula,
From days of old has this been so;
Sitting silent-him they blame,
Speaking too much-him they blame,
Talking little-him they blame,
There is no one in the world who is not blamed.

๘. น จาหุ น จ ภวิสฺสติ
น เจตรหิ วิชฺชติ
เอกนฺตํ นินฺทิโต โปโส
เอกนฺตํ วา ปสํสิโต ฯ ๒๒๘ ฯ
138

ไมวาในอดีต ปจจุบัน อนาคต


คนที่ถูกสรรเสริญ โดยสวนเดียว
หรือถูกนินทา โดยสวนเดียว ไมมี
There never was, and never will be,
Nor is there now to be found
A person who is wholly blamed
Or wholly praised,

๙. ยฺเจ วิฺู ปสํสนฺติ


อนุวิจฺจ สุเว สุเว
อจฺฉิทฺทวุตฺตึ เมธาวึ
ปฺญาสีลสมาหิตํ ฯ ๒๒๙ ฯ
๑๐. นิกฺขํ ชมฺโพนทสฺเสว
โก ตํ นินฺทติ ุมรหติ
เทวาป นํ ปสํสนฺติ
พฺรหฺมุนาป ปสํสิโต ฯ ๒๓๐ ฯ
นักปราชญพิจารณารอบคอบแลว
จึงสรรเสริญผูใด ผูดําเนินชีวิตหาที่ติมิได
ฉลาด สมบูรณดวยปญญาและศีล
ผูนั้น เปรียบเสมือนแทงทองบริสุทธิ์
ใครเลาจะตําหนิเขาได คนเชนนี้
แมเทวดาก็ชม ถึงพรหม ก็สรรเสริญ
He whom the intelligent praise
After careful examination,
He who is of flawless life, wise,
And endowed with knowledge and virtue-
Who would dare to blame him
139

Who is like refined gold?


Even the gods praise him,
By Brahma too he is admired.

๑๑. กายปฺปโกป รกฺเขยฺย


กาเยน สํวุโต สิยา
กายทุจฺจริตํ หิตฺวา
กาเยน สุจริตํ จเร ฯ ๒๓๑ ฯ
พึงควบคุม ความคะนองทางกาย
พึงสํารวม การกระทําทางกาย
พึงละกายทุจริต
ประพฤติกายสุจริต
One should guard against bodily hastiness,
One should be restrained in body.
Giving up bodily misconduct,
One should be of good bodily conduct.

๑๒. วจีปโกป รกฺเขยฺย


วาจาย สํวุโต สิยา
วจีทุจฺจริตํ หิตฺวา
วาจาย สุจริตํ จเร ฯ ๒๓๒ ฯ
พึงควบคุม ความคนองทางวาจา
พึงสํารวม คําพูด
พึงละวจีทุจริต
ประพฤติวจีสุจริต
140

One should guard aginst hastiness in words,


One should be restrained in words.
Giving up verbal misconduct,
One should be of good verbal conduct.

๑๓. มโนปโกป รกฺเขยฺย


มนสา สํวุโต สิยา
มโนทุจฺจริตํ หิตฺวา
มนสา สุจริตํ จเร ฯ ๒๓๓ ฯ
พึงควบคุม ความคะนองทางใจ
พึงสํารวม ความคิด
พึงละมโนทุจริต
ประพฤติมโนสุจริต
One should guard against hastiness of mind,
One should be restrained in thought.
Giving up mental misconduct,
One should be of good mental conduct.

๑๔. กาเยน สํวุตา ธีรา


อโถ วาจาย สํวตุ า
มนสา สํวุตา ธีรา
เต เว สุปริสํวุตา ฯ ๒๓๔ ฯ
ผูมีปญญา ยอมสํารวมกาย วาจา ใจ
ทานเหลานั้น นับวา ผูสํารวมดีแทจริง
141

The wise are restrained in deed,


In speech too they are restrained,
They are restrained in mind as well-
Verily, they are fully restrained.
18 หมวดมลทิน - IMPURITY

๑. ปณฺฑุปลาโสว ทานิสิ
ยมปุริสาป จ ตํ อุปฏฐิตา
อุยฺโยคมุเข จ ติฏฐสิ
ปาเถยฺยมฺป จ เต น วิชฺชติ ฯ ๒๓๕ ฯ

บัดนี้ เธอแกดังใบไมเหลือง
ยมทูตกําลังเฝารออยู
เธอกําลังจะจากไปไกล
แตเสบียงเดินทางของเธอไมมี

Like a withered leaf are you now,


Death's messangers wait for you.
You are going to travel far away,
But provision for your journey you have none.

๒. โส กโรหิ ทีปมตฺตโน
ขิปฺป วายม ปณฺฑิโต ภว
นิทฺธนฺตมโล อนงฺคโณ
ทิพฺพํ อริยภูมิเมหิสิ ฯ ๒๓๖ ฯ
142

เธอจงสรางที่พึ่งแกตนเอง
รีบพยายามขวนขวายหาปญญาใสตัว
เมื่อเธอหมดมลทิน หมดกิเลสแลว
เธอก็จักเขาถึงทิพยภูมิของพระอริยะ

Make a refuge unto yourself


Quickly strive and become wise.
Purged of taint and free from stain,
To heavenly state of the Noble will you attain.

๓. อุปนีตวโยว ทานิสิ
สมฺปยาโตสิ ยมสฺส สนฺติกํ
วาโสป จ เต นตฺถิ อนฺตรา
ปาเถยฺยมมฺป จ เต น วิชชฺ ติ ฯ ๒๓๗ ฯ

บัดนี้ เธอใกลจะถึงอายุขัยแลว
เธอยางเขาใกลสํานักพญามัจจุราชแลว
ที่พักระหวางทางของเธอก็ไมมี
เสบียงเดินทาง เธอก็ไมไดหาไว
Your life has come near to an end now,
To the presence of Death you are setting out.
No halting place is there for you on the way,
And provision for your journey you have none.

๔. โส กโรหิ ทีปมตฺตโน
143

ขิปฺป วายม ปณฺฑิโต ภว


นิทฺธนฺตมโล อนงฺคโณ
น ปุน ชาติชรํ อุเปหิสิ ฯ ๒๓๘ ฯ

จงสรางที่พึ่งแกตัวเอง
รีบขวนขวายหาปญญาใสตัว
เมื่อเธอหมดมลทิน หมดกิเลสแลว
เธอก็จักไมมาเกิดมาแกอีกตอไป

Make a refuge unto yourself,


Quickly strive and become wise.
Purged of taint and free from stain,
To birth-and-decay will you not come again.

๕. อนุปุพฺเพน เมธาวี
โถกํ โถกํ ขเณ ขเณ
กมฺมาโร รชตสฺเสว
นิทฺธเม มลมตฺตโน ฯ ๒๓๙ ฯ

คนมีปญญา
ควรขจัดมลทินของตน
ทีละนอยๆ
ทุกๆขณะ
โดยลําดับ
เหมือนนายชางทอง
ปดเปาสนิมแร
144

By gradual practice,
From moment to moment,
And little by little,
Let the wise man blow out
His own impurities,
Just as a smith removes
The dross of ore.

๖. อยสาว มลํ สมุฏจิตํ


ตทุฏฐาย ตเมว ขาทติ
เอวํ อติโธนจารินํ
สานิ กมฺมานิ นยนฺติ ทุคฺคตึ ฯ ๒๔๐ ฯ

สนิมเกิดแตเหล็ก
กัดกินเหล็กฉันใด
กรรมที่ตนทําไว
ยอมนําเขาไปทุคติฉันนั้น
As rust, springing from iron,
Eats itself away, once formed,
Even so one's own deeds
Lead one to states of woe.

๗. อสชฺฌายมลา มนฺตา
อนุฏฐนมลา ฆรา
มลํ วณฺณสฺส โกสชฺชํ
ปมาโท รกฺขโต มลํ ฯ ๒๔๑ ฯ
145

ความเสื่อมของมนตรา อยูที่การไมทบทวน
ควาามเสื่อมของเรือน อยูที่ไมซอมแซม
ความเสื่อมของความงาม อยูที่เกียจครานตบแตง
ความเสื่อมของนายยาม อยูที่ความเผลอ

Non-recitation is the bane of scriptures.


Non-repair is the bane of houses.
Sloth is the bane of beauty.
Negligence is the bane of a watcher.

๘. มลิตฺถิยา ทุจฺจริตํ
มจฺเฉรํ ททโต มลํ
มลา เว ปาปกา ธมฺมา
อสฺมึ โลเก ปรมฺหิ จ ฯ ๒๔๒ ฯ

ความประพฤติเสียหาย เปนมลทินของสตรี
ความตระหนี่ เปนมลทินของผูให
ควาามชั่วทุกชนิด เปนมลทิน
ทั้งในโลกนี้ และโลกหนา

Misconduct is defilement of a woman.


Strininess is defilement of a donor.
Tainted indeed are all evil things,
Both in this world and the world to come.
146

๙. ตโต มลา มลตรํ


อวิชฺชา ปรมํ มลํ
เอตํ มลํ ปหตฺวาน
นิมฺมลา โหถ ภิกฺขโว ฯ ๒๔๓ ฯ
มลทินที่ยิ่งใหญกวานั้น คือความโงเขลา
ความโงเขลา นับเปนมลทินชั้นยอด
ภิกษุทั้งหลายพวกเธอจงละมลทินชนิดนี้
เปนผูปราศจากมลทินเถิด
A greater taint than these is ignorance,
The worst taint of all.
Rid yourselves of ignorance, monks,
And be without taint.

๑๐. สุชีวฺ อหิริเกน


กากสูเรน ธํสินา
ปกฺขนฺทินา ปคพฺเภน
สงฺกิลิฏเฐน ชีวิตํ ฯ ๒๔๔ ฯ

คนไรยางอาย กลาเหมือนกา
ชอบทําลายผูอื่นลับหลัง ชอบเอาหนา
อวดดี มีพฤติกรรมสกปรก
คนเชนนี้ เปนอยูงาย

Easy is the life of a shameless one


Who is as bold as a crow,
A back-biting, a forward,
An arrogant and a corrupted one.
147

๑๑. หิรีมตา จ ทุชฺชีวํ


นิจฺจํ สุจิคเวสินา
อลีเนนปฺปคพฺเภน
สุทฺธาชีเวน ปสฺสตา ฯ ๒๔๕ ฯ

สวนคนที่มีหิริ ใฝความบริสุทธิ์เปนนิตย
ไมเกียจคราน ออนนอมถอมตน
มีความเปนอยูบริสุทธิ์ มีปญญา
คนเชนนี้เปนอยูลําบาก

Hard is the life of a modest one


Who ever seeks after purity,
Who is strenous, humble,
Cleanly of life, and discerning.

๑๒. โย ปาณมติปาเตติ
มุสาวาทฺจ ภาสติ
โลเก อทินฺนํ อาทิยติ
ปรทารฺจ คจฺฉติ ฯ ๒๔๖ ฯ
สุราเมรยปานฺจ
โย นโร อนุยุฺชติ
อิเธวเมโส โลกสฺมึ
มูลํ ขนติ อตฺตโน ฯ ๒๔๗ ฯ

ผูใด ฆาสัตว พูดเท็จ ลักทรัพย


ประพฤติลวงเกินภรรยาของผูอื่น
148

ดื่มสุราเมรัยเปนนิจศีล
ผูนั้นนับวาขุดรากถอนโคนตนเองในโลกนี้ทีเดียว

Whoso destroys life,


Tells lies,
Takes what is not given,
Commits sexual misconduct,
And is addicted to intoxicating drinks-
Such a one roots out oneself in this very world.

๑๓. เอวํ โภ ปุริส ชานิหิ


ปาปธมฺมา อสฺญตา
มา ตํ โลโภ อธมฺโม จ
จิรํ ทุกฺขาย รนฺธยุ ฯ ๒๔๘ ฯ

จงรูเถิด บุรุษผูเจริญเอย ความชั่วราย


มิใชสิ่งที่จะพึงควบคุมไดงายๆ
ขอความโลภและความชั่วชา
อยาไดฉุดกระชากเธอ
ไปหาความทุกขตลอดกาลนานเลย

Know this, O good man,


Not easy to control are evil things.
let not greed and wickedness drag you
To protacted misery !
149

๑๔. ททาติ เว ยถาสทฺธํ


ยถาปสาทนํ ชโน
ตตฺถ โย มงฺกโุ ต โหติ
ปเรสํ ปานโภชเน
น โส ทิวา วา รตฺตึ วา
สมาธึ อธิคจฺฉติ ฯ ๒๔๙ ฯ

ประชาชนยอมใหทานตามศรัทธา
ใครคิดอิจฉาในขาวและน้ําของคนอื่น
เขายอมไมไดรับความสงบใจ
ไมวากลางวัน หรือ กลางคืน
People give according to their faith
And as they are pleased.
Whoso among them is envious
Of others' food and drink-
He attains no peace of mind
Either by day or by night.

๑๕. ยสฺส เจตํ สมุจฺฉินฺนํ


มูลฆจฺฉํ สมูหตํ
ส เว ทิวา วา รตฺตึ วา
สมาธึ อธิคจฺฉติ ฯ ๒๕๐ ฯ

ผูใดเลิกคิดเชนนั้นแลว
ผูนั้น ยอมไดรับความสงบใจ
ทั้งในกลางวันและกลางคืน
150

He who thinks not


In such a way
Gains peace of mind
Every night and day.

๑๖. นตฺ ราคสโม อคฺคิ


นตฺถิ โทสสโม คโห
นตฺถิ โมหสมํ ชาลํ
นตฺถิ ตณฺหาสมา นที ฯ ๒๕๑ ฯ

ไมมี ไฟใด เสมอราคะ


ไมมี เคราะหใด เสมอโทสะ
ไมมี ขายดักสัตวใด เสมอโมหะ
ไมมี แมน้ําใด เสมอตัณหา

No fire is there like lust.


No captor like hatred.
No snare like delusion.
No torrent like craving.

๑๗. สุทสฺสํ วชฺชมฺเญสํ


อตฺตโน ปน ทุทฺทสํ
ปเรสํ หิ โส วชฺชานิ
โอปุนาติ ยถา ภุสํ
151

อตฺตโน ปน ฉาเทติ
กลึว กิตวา สโฐ ฯ ๒๕๒ ฯ

โทษคนอื่นเห็นไดงาย
โทษตนเห็นไดยาก
คนเรามักเปดเผยโทษคนอื่น
เหมือนโปรยแกลบ
แตปดบังโทษของตน
เหมือนนักเลงเตาโกงซอนลูกเตา

Easy to perceive are others'faults,


One's own, however, are hard to see.
Like chaff one winnows others's faults,
But conceals one's own
Just as a cheating gambler hides
An ill-thrown dice.

๑๘. ปรวชฺชนุปสฺสิสฺส
นิจฺจํ อุชฺฌานสฺญิโน
อาสวา ตสฺส วฑฺฒนฺติ
อารา โส อาสวกฺขยา ฯ ๒๕๓ ฯ

ผูที่เพงแตโทษคนอื่น
คอยจับผิดอยูตลอดเวลา
เขายอมหนาดวยกิเลสอาสวะ
ไมมีทางเลิกละมันได
152

He who sees others' faults


And is ever censorious-
Defilements of such a one grow
Far is he from destroying them.

๑๙. อากาเสว ปทํ นตฺถิ


สมโณ นตฺถิ พาหิโร
ปปฺจาภิรตา ปชา
นิปฺปปฺจา ตถาคตา ฯ ๒๕๔ ฯ

ไมมีรอยเทาในอากาศ
ไมมีสมณะภายนอกศาสนานี้
สัตวพากันยินดีในกิเลสที่กีดขวางนิพพาน
พระตถาคตทั้งหลาย หมดกิเลสชนิดนั้นแลว

No track is there in the sky.


No samanas are there outside.
In obstacles mankind delights.
The Tathagatas leave them behind.

๒๐. กากาเสว ปทํ นตฺถิ


สมโณ นตฺถิ พาหิโร
สงฺขารา สสฺสตา นตฺถิ
นตฺถิ พุทฺธานมิฺชิตํ ฯ ๒๕๕ ฯ
153

ไมมี รอยเทาในอากาศ
ไมมี สมณะนอกศาสนานี้
ไมมี สังขารที่เที่ยงแท
ไมมี ความหวั่นไหวสําหรับพระพุทธเจา

No track is there in the sky.


No samanas are there outside.
No etenal compounded thing.
No instability is there in the Buddhas.
19 หมวดเที่ยงธรรม - THE JUST

๑. น เตน โหติ ธมฺมฏโฐ


เยนตฺถฺ สหสา นเย
โย จ อตฺถํ อนตฺถฺจ
อุโภ นิจฺเฉยฺย ปณฺฑิโต ฯ ๒๕๖ ฯ

ผูที่ตัดสินความโดยหุนหันพลันแลน
ไมจัดเปนผูเที่ยงธรรม
สวนผูที่ฉลาด วินิจฉัยรอบคอบ
ทั้งฝายถูก และฝายผิด
(จึงจัดเปนผูเที่ยงธรรม)

He who hastily arbitrates


Is not known as 'just'
The wise investigating right and wrong
(Is known as such).
154

๒. อสาหเสน ธมฺเมน
สเมน นยตี ปเร
ธมฺมสฺส คุตฺโต เมธาวี
ธมฺมฏโฐติ ปวุจฺจติ ฯ ๒๕๗ ฯ
บัณฑิตผูตัดสินผูอื่นโดยรอบคอบ
โดยเที่ยงธรรมสม่ําเสมอ
ถือความถูกตองเปนใหญ
ผูนี้ไดสมญาวา ผูเที่ยงธรรม
He who judges others other with due deliberation,
With judgement righteous and just-
Such a wise one, guardian of the law,
Is called righteous.

๓. น เตน ปณฺฑิโต โหติ


ยาวตา พหุ ภาสติ
เขมี อเวรี อภโย
ปณฺฑิโตติ ปวุจฺจติ ฯ ๒๕๘ ฯ
เพียงแตพูดมาก ไมจัดวาเปนบัณฑิต
คนที่ประพฤติตนใหเกษม
ไมมีเวร ไมมีภัย
จึงจะเรียกวา เปนบัณฑิต
A man is not called wise
Merely because he speaks much.
Secure, hateless and fearless-
Such a man is called wise.
155

๔. น ตาวาตา ธมฺมธโร
ยาวตา พหุ ภาสติ
โย จ อปฺปมฺป สุตฺวาน
ธมฺมํ กาเยน ปสฺสติ
ส เว ธมฺมธโร โหติ
โย ธมฺมํ นปฺปมชฺชติ ฯ ๒๕๙ ฯ
บุคคลไมนับวาผูทรงธรรม
ดวยเหตุเพียงพูดมาก
สวนผูใด ถึงไดสดับตรับฟงนอย
แตเห็นธรรมดวยใจ
ไมประมาทในธรรม
ผูนั้นแล เรียกวา ผูทรงธรรม
He is not versed in the Dharma
Merely because he speaks much.
He who hears little of the teaching
But mentally sees the Truth,
And who is not heedless of the Truth-
He is indeed versed in the Dharma.

๕. น เตน เถโร โหติ


เยนสฺส ปลิตํ สิโร
ปริปกฺโก วโย ตสฺส
โมฆชิณฺโณติ วุจฺจติ ฯ ๒๖๐ ฯ

เพียงมีผมหงอก
ยังไมนับวา เถระ
156

เขาแกแตวัยเทานั้น
เรียกไดวา คนแกเปลา

A man is not an elder


Merely because his head is grey.
Ripe is his age,
And old-in-vain is he called.

๖. ยมฺหิ สจฺจฺจ ธมฺโม จ


อหึสา สฺญโม ทโม
ส เว วนฺตมโล ธีโร
โส เถโรติ ปวุจฺจติ ฯ ๒๖๑ ฯ

ผูใดมี สัจจะ คุณธรรม ไมเบียดเบียน


สํารวม ขมใจ ฉลาด ปราศจากมลทินโทษ
ผูนั้นแล เรียกวา เถระ

In whom there are truth, virtue, harmlessness,


Self-mastery, and self-restraint
Who is free from defilements and is wise-
He, indeed, is called an elder.

๗. น วากฺกรณมตฺเตน
วณฺณโปกฺขรตาย วา
สาธุรูโป นโร โหติ
อิสฺสุกี มจุฉรี สโฐ ฯ ๒๖๒ ฯ
157

ไมใชเพราะพูดคลอง
ไมใชเพราะมีผิวพรรณสวย
ที่ทําใหคนเปนคนดีได
ถาหากเขายังมีความริษยา
มีความตระหนี่ เจาเลห
(เขาก็เปนคนดีไมได)

Not by mere cloquence,


Nor by beautiful complexion
Does a man become good-natured,
Should he be jealous, selfish and deceitful.

๘. ยสฺส เจตํ สมุจฺฉินฺนํ


มูลฆจฺฉํ สมูหตํ
ส วนฺตโทโส เมธาวี
สาธุรูโปติ วุจฺจติ ฯ ๒๖๓ ฯ

ผูใดเลิกละความอิจฉาเปนตน
ไดอยางเด็ดขาดแลว
คนฉลาด ปราศจากมลทินเชนนี้
เรียกวา คนดี

In whom such behaviour


Is cut off and wholly uprooted,
That wise man who has cast out impurities,
Is indeed called good-natured.
158

๙. น มุณฺฑเกน สมโณ
อพฺพโต อลิกํ ภณํ
อิจฺฉา โลภสมาปนฺโน
สมโณ กึ ภวิสสฺ ติ ฯ ๒๖๔ ฯ

คนศีรษะโลนไรศีลวัตร
พูดเท็จ ไมนับเปนสมณะ
เขามีแตความอยากและความโลภ
จักเปนสมณะไดอยางไร

Not by a shaven head does a man,


Undisciplined and lying, become an ascetic.
How can he, full of desire and greed,
Become an ascetic?

๑๐. โย จ สเมติ ปาปานิ


อณุถูลานิ สพฺพโส
สมิตตฺตา หิ ปาปานํ
สมโณติ ปวุจฺจติ ฯ ๒๖๕ ฯ

ผูที่ระงับบาปทั้งหลาย
ทั้งนอยและใหญ
เรียกวาเปนสมณะ
เราะเลิกละบาปได
159

Whosoever makes an end of all evil,


Both small and great-
He is called an ascetic,
Since he has overcome all evil.

๑๑. น เตน ภิกฺขุ โส โหติ


ยาวตา ภิกฺขเต ปเร
วิสฺสํ ธมฺมํ สมาทาย
ภิกฺขุ โหติ น ตาวตา ฯ ๒๖๖ ฯ

เพียงขอภิกษาจากผูอื่น
ไมชื่อวาเปนภิกษุ
ถายังประพฤติตนเหมือนชาวบานอยู
ก็ยังไมชื่อวาเปนภิกษุ

A man is not a bhikkhu


Simply because he begs from others.
By adapting householder's manner,
One does not truly become a bhikkhu.

๑๒. โยธ ปุฺญฺจ ปาปฺจ


พาเหตฺวา พฺรหฺมจริยวา
สงฺขาย โลเก จรติ
ส เว ภิกฺขูติ วุจฺจติ ฯ ๒๖๗ ฯ
160

ผูใดละบุญละบาปทุกชนิด
ครองชีวิตประเสริฐสุด
อยูในโลกมนุษยดวยปญญา
ผูนี้แลเรียกวา ภิกษุ

He who has abandoned both merit and demerit,


He who is leading a pure life,
He who lives in teh world with wisdom-
He indeed is called a bhikkhu.

๑๓. น โมเนน มุนิ โหติ


มูฬฺหรูโป อวิทฺทสุ
โย จ ตุลํว ปคฺคยฺห
วรมาทาย ปณฺฑิโต ฯ ๒๖๘ ฯ

๑๔. ปาปานิ ปรวชฺเชติ


ส มุนิ เตน โส มุนิ
โย มุนาติ อุโภ โลเก
มุนิ เตน ปวุจฺจติ ฯ ๒๖๙ ฯ

คนโงเขลา ไมรูอะไร
นั่งนิ่งดุจคนใบ ไมนับเปนมุนี
สวนคนมีปญญาทําตนเหมือนถือคันชั่ง
เลือกชั่งเอาแตความดี ละทิ้งความชั่วชา
ดวยปฏิปทาดังกลาวเขานับวาเปนมุนี
อนึ่งผูที่รูทั้งโลกนี้และโลกหนา
จึงควรแกสมญาวา มุนี
161

Not by silence does one become a sage


If one be both ignorant and dull.
But the wise who, as if holding a pair of scales,
Embraces the best and shuns evil-
He is indeed, for that reason, a sage.
He that understands both worlds is called a sage.

๑๕. น เตน อริโย โหติ


เยน ปาณานิ หึสติ
อหึสา สพฺพปาณานํ
อริโยติ ปวุจฺจติ ฯ ๒๗๐ ฯ

ถายังเบียดเบียนสัตวอยู
บุคคลไมนับวา เปนอารยชน
เพราะไมเบียดเบียนสัตวทั้งปวง
เขาจึงไดชื่อวา อารยชน

By harming living beings


Not thus is one a noble man.
By harmlessness towards all beings
One is then called a noble man.

๑๖. น สีลพฺพตมตฺเตน
พาหุสจฺเจน วา ปน
อถวา สมาธิลาเภน
วิวิตฺตสยเนน วา ฯ ๒๗๑ ฯ
162

๑๗. ผุสามิ เนกฺขมฺมสุขํ


อปุถุชฺชนเสวิตํ
ภิกฺขุ วิสฺสาสมาปาทิ
อปฺปตฺโต อาสวกฺขยํ ฯ ๒๗๒ ฯ

ภิกษุเอย เพียงมีศีลาจารวัตร
เพียงมีภูมิปริยัติคงแกเรียน
เพียงพากเพียรปฏิบัติจนไดฌาน
เพียงอยูในสถานสงบสงัด
ถาขจัดกิเลสไมไดหมด เธออยานิ่งนอนใจ
วา เธอไดรับสุขในบรรพชา
ที่สามัญชนทั่วไปมิไดสัมผัส

Not by mere conduct and vows,


Nor again by much learning,
Nor even by gaining concentration,
Nor by living alone in solitude,
At the thought; 'I enjoy the bliss of remunciation
Not resorted to by the worlding',
Should you, O monks, rest content
Without reaching the extinction of corruption.
20 หมวดทาง - THE PATH

๑. มคฺคานฏฐงฺคิโก เสฏโฐ
สจฺจานํ จตุโร ปทา
วิราโค เสฏโฐ ธมฺมานํ
ทิปทานฺจ จกฺขุมา ฯ ๒๗๓ ฯ
163

ยอดแหงมรรคา คืออัษฎางคิกมรรค
ยอดแหงสัจจะ คืออริยสัจสี่ประการ
ยอดแหงธรรม คือความปราศจากราคะ
ยอดแหงมนุษย คือพระผูเห็นแจง

Best of paths is the Eightfold Path.


Best of truths is the Four Noble Truths.
Best of conditions is Passionlessness.
Best of men is the Seeing One.

๒. เอเสว มคฺโค นตฺถฺโญ


ทสฺสนสฺส วิสทุ ฺธิยา
เอตฺหิ ตุมฺเห ปฏิปชฺชถ
มารสฺเสตํ ปโมหนํ ฯ ๒๗๔ ฯ

มีทางนี้เทานั้น ไมมีทางอื่น
ที่จะนําไปสูความบริสุทธิ์แหงทัศนะ
พวกเธอจงเดินตามทางนี้เถิด
ทางสายนี้พญามารมักเดินหลงเสมอ

This is the only way;


None other is there for the purity of vision.
Do you enter upon this path,
Which is the bewilderment of Mara.
164

๓. เอตฺหิ ตุมฺเห ปฏิปนฺนา


ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสถ
อกฺขาโต เว มยา มคฺโค
อฺญาย สลฺลสตฺถนํ ฯ ๒๗๕ ฯ

เมื่อเดินตามทางสายนี้
พวกเธอจักหมดทุกข
ทางสายนี้ เราไดชี้บอกไว
หลังจากที่เราไดรูวิธีถอนลูกศรคือกิเลส

When walking along this path,


You shall make an end of suffering
This is the Way made known by me
When I had learnt to remove all darts.

๔. ตุมฺเหติ กิจฺจํ อาตปฺป


อกฺขาตาโร ตถาคตา
ปฏิปนฺนา ปโมกฺขนฺติ
ฌายิโน มารพนฺธนา ฯ ๒๗๖ ฯ

พวกเธอจงพยายามทําความเพียรเถิด
พระตถาคต เปนเพียงผูชี้บอกทางเทานั้น
ผูบําเพ็ญฌานเดินตามทางสายนี้
ก็จะพนจากเครื่องผูกของพญามาร

You yourselves should make an effort,


The Tathagatas can but show the Way.
165

The meditative ones who walk this path


Are released from the bonds of Mara.

๕. สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจาติ


ยทา ปฺญาย ปสฺสติ
อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข
เอส มคฺโค วิใทฺธิยา ฯ ๒๗๗ ฯ

"สังขารทั้งปวง ไมเที่ยงแท"
เมื่อใด บุคคลเห็นแจงดวยปญญาดังนี้
เมื่อนั้น เขายอมหนายในทุกข
นี้เปนทางแหงความบริสุทธิ์

'Impermanent are all conditioned things',


When thus one sees with wisdom,
Then is one disgusted with ill.
This is the path to purity.

๖. สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขาติ


ยทา ปฺญาย ปสฺสติ
อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข
เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา ฯ ๒๗๘ ฯ

"สังขารทั้งปวง เปนทุกข"
เมื่อใด บุคคลเห็นแจงดวยปญญาดังนี้
166

เมื่อนั้น เขายอมหนายในทุกข
นี่เปนทางแหงความบริสุทธิ์

'Full of Ill are conditioned things',


When thus one sees with wisdom,
Then is one disgusted with Ill.
This is the path to purity.

๗. สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ


ยทา ปฺญาย ปสฺสติ
อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข
เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา ฯ ๒๗๙ฯ

"ธรรมทั้งปวง เปนอนัตตา"
เมื่อใด บุคคลเห็นแจงดวยปญญาดังนี้
เมื่อนั้น เขายอมหนายในทุกข
นี่เปนทางแหงความบริสุทธิ์

'Lacking permanent entity are all events',


When thus one sees with wisdom,
Then is one disgusted with Ill.
This is the path to purity.

๘. อุฎฐานกาลมฺหิ อนุฏฐหาโน
ยุวา พลี อาลสิยํ อุเปโต
167

สํสนฺนสงฺกปฺปม กุสีโต
ปฺญาย มคฺคํ อลโส น วินฺทติ ฯ ๒๘๐ ฯ

คนเราเมื่อยังหนุมแนน
แข็งแรงแตเกียจคราน
ไมขยันในเวลาที่ควรขยัน
มีความคิดตกต่ํา
คนเกียจครานเฉื่อยชาเชนนี้
ยอมไมพบทางแหงปญญา

The idler who strives not when he should strive,


Who though young and strong is slothful,
Who is feeble in maintaing right-mindedness,
And who is sluggish and inert-
Such a one finds not the way to wisdom.

๙. วาจานุรกฺขี มนสา สุสํวุโต


กาเยน จ อกุสลํ น กยิรา
เอเต ตโย กมฺมปเถ วิโสธเย
อาราธเย มคฺคํ อิสิปฺปเวทิตํ ฯ ๒๘๑ ฯ

พึงระวังวาจา พึงสํารวมใจ
ไมพึงทําบาปทางกาย
พึงชําระทางกรรมทั้งสามนี้ใหหมดจด
เมื่อทําไดเชนนี้ เขาพึงพบทาง
ที่พระพุทธเจาทั้งหลายแสดงไว
168

Ever watchful in speech,


Restrained in mind let him be,
Let him commit no evil in deed.
These three ways of action let him purify,
And so win the way proclaimed by the Buddhas.

๑๐. โยคา เว ชายเต ภูริ


อโยคา ภูริสงฺขโย
เอตํ เทฺวธาปถํ ญตฺวา
ภวาย วิภวาย จ
ตถตฺตานํ นิเวเสยฺย
ยถา ภูริ ปวฑฺฒติ ฯ ๒๘๒ ฯ

ปญญาเกิดมีได เพราะตั้งใจพินิจ
เสื่อมไป เพราะไมไดตั้งใจพินิจ
เมื่อรูทางเจริญและทางเสื่อมของปญญาแลว
ควรจะทําตนโดยวิถีทางที่ปญญาจะเจริญ

Indeed from concentration springs wisdom,


Without concentration wisdom wanes.
Knowing this twofold way of loss and gain,
Let him so conduct himself
That wisdom may grow well.

๑๑. วนํ ฉินฺทถ มา รุกฺขํ


วนโต ชายเต ภยํ
169

เฉตฺวา วนฺจ วนถฺจ


นิพฺพนา โหถ ภิกฺขโว ฯ ๒๘๓ ฯ

ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงถางปา (ราคะ)


แตอยาตัดตนไม (จริงๆ) ภัยยอมเกิดจากปา (ราคะ)
พวกเธอทําลายปา และพุมไมเล็กๆ (ราคะ) ไดแลว
จักเปนผูไมมีปา (ราคะ)

Cut down the forest (of passion) but not real trees,
In the forest (of passion) is danger.
Cut the forest and brushwood (of passion),
Be forestless, O bhikkhus.

๑๒. ยาวฺหิ วนโถ น ฉิชชฺ ติ


อณุมตฺโตป นรสฺส นาริสุ
ปฏิพทฺธมโนว ตาว โส
วจฺโฉ ขีรปโกว มาตริ ฯ ๒๘๔ ฯ

ตราบใดบุรุษยังตัดความกําหนัด
ตออิสตรีแมนิดหนอยยังไมขาด
ตราบนั้น เขาก็ยังคงมีจิตผูกพันอยูในภพ
เหมือนลุกโคยังไมหยานมติดแมโคแจฉะนั้น

As long as the brushwood of lust, however small,


Of a man towards a woman is not destroyed,
So long is his mind attached (to existence)
As a sucking calf to its mother-cow.
170

๑๓. อุจฺฉินฺท สิเนหมตฺตโน


กุมุทํ สารทิกํว ปาณินา
สนฺติมคฺคเมว พฺรูหย
นิพฺพานํ สุคเตน เทสิตํ ฯ ๒๘๕ ฯ

จงถอนความรักของตน
เหมือนคนถอนดอกบัวที่เกิดในฤดูสารท
จงเพิ่มพูนแนวทางแหงสันติ คือ นิพพาน
ที่พระสุคตเจาทรงแสดงไวแลว
Root out your affection
As an autumn lily is plucked.
Cultivate the Path of Peace
Made known by the Blessed One.

๑๔. อิธ วสฺสํ วสิสฺสามิ


อิธ เหมนฺตคิมฺหสิ ุ
อิติ พาโล วิจินฺเตติ
อนฺตรายํ น พุชฺฌติ ฯ ๒๘๖ ฯ

"เราจักอยูที่นี่ตลอดฤดูฝน
เราจักอยูที่นี่ตลอดฤดูหนาว และฤดูรอน"
คนโงมักคิดเชนนี้
หารูอันตรายจะมาถึงตัวเองไม

'Here shall I live in the rains,


171

Here in the autumn and in the summer',


Thus thinks the fool, and does not realize
The danger of his own life.

๑๕. ตํ ปุตฺตปสุสมฺมตฺตํ
พฺยาสตฺตมนสํ นรํ
สุตฺตํ คามํ มโหโฆว
มจฺจํ อาทาย คจฺฉติ ฯ ๒๘๗ ฯ

ผูที่มัวเมาอยูในบุตรและปศุสัตว
มีมนัสติดของอยู ยอมถูกมฤตยูฉุดคราไป
เหมือนชาวบานที่หลับไหล
ถูกกระแสน้ําใหญพัดพา
On children and flocks
Whose mind is attached and set,
Him Death carries away
As a great flood a sleeping village.

๑๖. น สนฺติ ปุตฺตา ตาณาย


น ปตา นป พนฺธวา
อนฺตเกนาธิปนฺนสฺส
นตฺถิ ญาตีสุ ตาณตา ฯ ๒๘๘ ฯ

บุตรก็ปองกันไมได
บิดาหรือญาติก็ปองกันไมได
172

คนเราเมื่อถึงคราวจะตาย
หมูญาติก็ปองกันไมได

No sons are there for protection,


Neither father nor even kinsmen.
For one who is assailed by death
No protection is there found among kinsmen.

๑๗. เอตมตฺถวสํ ญตฺวา


ปณฺฑิโต สีลสํวุโต
นิพฺพานคมนํ มคฺคํ
ขิปฺปเมว วิโสธเย ฯ ๒๘๙ ฯ

เมื่อรูความจริงขอนี้แลว
คนฉลาดผูสํารวมในศีล
ไมควรชักชา
ในการตระเตรียมทาง
ไปสูพระนิพพาน

Thoroughly knowing this fact,


The wise man, restrained in the rules,
Delays not to clear the way
That leads to Nibbana.
21 หมวดเบ็ดเตล็ด - MISCELLANEOUS
173

๑. มตฺตาสุขปริจฺจาคา
ปสฺเส เจ วิปุลํ สุขํ
จเช มตฺตาสุขํ ธีโร
สมฺปสฺสํ วิปุลํ สุขํ ฯ ๒๙๐ ฯ

ถาเห็นวา จะไดสุขอันยิ่งใหญ
ดวยการสละสุขเล็กๆนอยๆ
นักปราชญก็ควรสละสุขเล็กนอย
เพื่อเห็นแกสุขอันยิ่งใหญ
If fy giving up a slight happiness
One may behold a greater one,
Let the wise man renounce the lesser,
Having regard to the greater.

๒. ปรทุกฺขูปธาเนน
โย อตฺตโน สุขมิจฺฉติ
เวรสํสคฺคสํสฏโฐ
เวรา โส น ปริมุจฺจติ ฯ ๒๙๑ ฯ

ผูใดปรารถนาสุขเพื่อตน
โดยการกอทุกขใหคนอื่น
ผูนั้นมักเกี่ยวพันดวยเวรไมรูสิ้น
ไมมีทางพนทางเวรไปได

Whosoever wishes his own happiness


Yet inflicts suffering on others-
174

He is not free from hatred,


Entangled in the tangles of anger.

๓. ยํ หิ กิจฺจํ ตทปวิทฺธํ
อกิจฺจํ ปน กยีรติ
อุนฺนฬานํ ปมตฺตานํ
เตสํ วฑฺฒนฺติ อาสวา ฯ ๒๙๒ ฯ

สิ่งที่ควรทําไมทํา
กลับทําสิ่งที่ไมควรทํา
อาสวะยอมเจริญแกพวกเขา
ผูถือตัวและมัวเมาประมาท

What ought to be done is left undone;


What ought not to be done is done,
For those who are naughty and heedless
Corruptions greatly progress.

๔. เยสฺจ สุสมารทฺธา
นิจฺจํ กายคตา สติ
อกิจฺจํ เต น เสวนฺติ
กิจฺเจ สาตจฺจการิโน
สตานํ สมฺปชานานํ
อฏฐํ คจฺฉนฺติ อาสวา ฯ ๒๙๓ ฯ

สวนชนเหลาใด เจริญสติในกายเปนนิตย
175

ไมทําสิ่งที่ไมควรทํา ทําเฉพาะสิ่งที่ควรทําเสมอ
สําหรับชนผูมีสติ สัมปชัญญะพรอมมูลเหลานั้น
อาสวะมีแตจะหมดไป

Those who develop well mindfulness of the body,


who never do what ought not to be done,
And ever do what ought to be done-
of those mindful and reflective ones
Defilements come to extinction.

๕. มาตรํ ปตรํ หนฺตฺวา


ราชาโน เทฺว จ ขตฺติเย
รฏฐํ สานุจรํ หนฺตฺวา
อนีโฆ ยาติ พฺราหฺมโณ ฯ ๒๙๔ ฯ

พราหมณฆามารดา ฆาบิดา
ฆาขัตติยราชอีกสององค
ทําลายรัฐ พรอมทั้งผูครองรัฐเสียแลว
ยอมสัญจรไป อยางไรทุกข

Having slain mother and father,


And two warrior kings,
Having destroyed a country,
With its governor,
Ungrieving goes a brahmana
176

๖. มาตรํ ปตรํ หนฺตฺวา


ราชาโน เทฺว จ โสตฺถิเย
เวยฺยคฺฆปฺจมํ หนฺตฺวา
อนีโฆ ยาติ พฺราหฺมโณ ฯ ๒๙๕ ฯ

พราหมณฆามารดา ฆาบิดา
ฆากษัตริย ผูคงแกเรียนอีกสององค
ทําลายทางเดินหาสายของพยัคฆราย
ยอมสัญจรไป อยางปลอดภัย

Having slain mother and father,


And two learned kings,
Having destroyed the five ways of a tiger,
Scatheless goes the brahmana.

๗. สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ
สทา โคตมสาวกา
เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ
นิจฺจํ พุทฺธคตา สติ ฯ ๒๙๖ ฯ

พระสาวกของพระโคดมพุทธเจา
ผูรําลึกถึงพระพุทธคุณ
เปนนิจศีล ทั้งกลางวันกลางคืน
ตื่นดีแลวเสมอ

Ever well awake


Are the disciples of Gotama
177

Who ever day and night


Recollect the Buddha's virtues.

๘. สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ
สทา โคตมสาวกา
เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ
นิจฺจํ ธมฺมคตา สติ ฯ ๒๙๗ ฯ

พระสาวกของพระโคดมพุทธเจา
ผูรําลึกถึงพระธรรมคุณ
เปนนิจศีลทั้งกลางวันกลางคืน
ตื่นดีแลวเสมอ

Ever well awake


Are the disciples of Gotama
Who ever day and night
Recollect the Dharma's virtues.

๙. สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ
สทา โคตมสาวกา
เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ
สทา สงฺฆคตา สติ ฯ ๒๙๘ ฯ

พระสาวกของพระโคดมพุทธเจา
ผูระลึกถึงพระสังฆคุณ
178

เปนนิจศีลทั้งกลางวันกลางคืน
ตื่นดีแลวเสมอ

Ever well awake


Are the disciples of Gotama
Who ever day and night
Recollect the Sangha's virtues.

๑๐. สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ


สทา โคตมสาวกา
เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ
สทา กายคตา สติ ฯ ๒๙๙ ฯ
พระสาวกของพระโคดมพุทธเจา
ผูรําลึกถึงสภาพเปนจริงของรางกาย
เปนนิจศีลทั้งกลางวันกลางคืน
ตื่นดีแลวเสมอ
Ever well awake
Are the disciples of Gotama
Who ever day and night
Recollect the body's nature.

๑๑. สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ


สทา โคตมสาวกา
เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ
อหึสาย รโต มโน ฯ ๓๐๐ ฯ
179

พระสาวกของพระโคดมพุทธเจา
ผูมีใจยินดีในความไมเบียดเบียน
เปนนิจศีลทั้งกลางวันกลางคืน
ตื่นดีแลวเสมอ
Ever well awake
Are the disciples of Gotama
Whose mind ever day and night
Takes delight in harmlessness.

๑๒. สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ


สทา โคตมสาวกา
เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ
ภาวนาย รโต มโน ฯ ๓๐๑ ฯ
พระสาวกของพระโคดมพุทธเจา
ผูมีใจยินดีในภาวนา
เปนนิจศีลทั้งกลางวัน กลางคืน
ตื่นดีแลวเสมอ
Ever well awake
Are the disciples of Gotama
Whose mind ever day and night
Takes delight in meditation.

๑๓. ทุปฺปพฺพชฺชํ ทุรภิรมํ


ทุราวาสา ฆรา ทุกฺขา
ทุกฺโขสมานสํวาโส
ทุกฺขานุปติตทฺธคู
180

ตสฺมา น จทฺธคู สิยา


น จ ทุกฺขานุปติโต สิยา ฯ ๓๐๒ ฯ
การสละโลกียวิสัยออกบวช ก็ยาก
การจะยินดีในเพศบรรพชิต ก็ยาก
การครองเรือนไมดี เปนทุกข
การอยูรวมกับผูไมเสมอกัน ก็เปนทุกข
ทองเที่ยวอยูในสังสารวัฏ ก็เปนทุกข
เพราะฉะนั้น ไมควรทองเที่ยวในสังสารวัฏ
และไมควรแสหาความทุกขใสตน
Hard is th 'going forth'.
Hard is it to delight therein.
Hard is household life.
Ill is association with unequals.
Ill also is to wander in Samsara.
Be therefore no more a wanderer
Nor be a pursuer of suffering.

๑๔. สทฺโธ สีเลน สมฺปนฺโน


ยโสโภคสมปฺปโต
ยํ ยํ ปเทสํ ภชติ
ตตฺถ ตตฺเถว ปูชิโต ฯ ๓๐๓ ฯ
ผูมีศรัทธา สมบูรณดวยศีล
เพียบพรอมดวยยศและโภคทรัพย
ไปประเทศใดๆ ยอมไดรับความนับถือ
ในประเทศนั้นๆ
He who is full of faith and virtue.
Possessed of repute and wealth-
181

He is hanoured everywhere.
In whatever land he travels.

๑๕. ทูเร สนฺโต ปกาเสนฺติ


หิมวนฺโต ว ปพฺพโต
อสนฺเตตฺถ น ทิสสฺ นฺติ
รตฺติขิตฺตา ยถา สรา ฯ ๓๐๔ ฯ
คนดี ยอมปรากฎเดน
เหมือนภูเขาหิมพานต
คนไมดี ถึงอยูใกล ก็ไมปรากฎ
เหมือนลูกศรที่เขายิงไปในราตรี
The good shine from far away
Just as the Himalayan peaks.
The wicked are not seen, though near,
Just as an arrow shot at night.
22 หมวดนรก - HELL

๑. อภูตวาที นิรยํ อุเปติ


โย วาป กตฺวา น กโรมีติ จาห
อุโภป เต เปจฺจ สมา ภวนฺติ
นิหีนกมฺมา มนุชา ปรตฺถ ฯ ๓๐๙ ฯ

คนที่พูดเท็จเสมอ กับคนที่ทําแลว
พูดวา "ฉันไมไดทํา" ตกนรกเหมือนกัน
มนุษยสองจําพวกนั้น ตายไปแลว
มีกรรมชั่วเหมือนกัน ในโลกหนา
182

He who always lies goes to hell


And he who denies what he has done.
These tow, the men of base actions,
Share the same destiny in the world to come.

๒. กาสาวกณฺฐา พหโว
ปาปธมฺมา อสฺญตา
ปาปา ปาเปหิ กมฺเมหิ
นิรยฺ เต อุปปชฺชเร ฯ ๓๐๗ ฯ

คนนุงหมผากาสาวพัสตรมีเปนจํานวนมาก
ที่ประพฤติชั่ว ไมสํารวม
คนชั่วเหลานั้นยอมตกนรก
เพราะกรรมชั่ว

Clad in the yellow robes,


Ill-behaved and uncontrlooed,
By evil deeds, those evil ones,
Shall go to the realm of woe.

๓. เสยฺโย อโยคุโฬ ภุตฺโต


ตตฺโต อคฺคิสิขูปโม
ยฺเจ ภุฺเชยฺย ทุสฺสีโล
รฏฐปณฺฑํ อสฺญโต ฯ ๓๐๘ ฯ

คนทุศีล ไมสํารวม
183

กลืนกอนเหล็กแดงที่ลุกเปนไฟ
ยังดีเสียกวาบริโภคขาว
ที่ชาวบานถวาย

Better for an immoral


And uncontrlled person
To eat a red-hot and flaming ball
Than to eat the alms of people.

๔. จตฺตาริ ฐานานิ นโร ปมตฺโต


อาปชฺชตี ปรทารูปเสวี
อปุฺญลาภํ น นิกามเสยฺยํ
นินฺทํ ตตียํ นิรยํ จตุตฺถํ ฯ ๓๐๙ ฯ

คนที่มัวเมา ผิดเมียทานเปนนิตย
ยอมไดรับเคราะหราย สี่สถานคือ
หนึ่งไดรับบาป สองนอนไมเปนสุข
สามเสียชื่อเสียง สี่ตกนรก

Four misfortunes befll that man


Who, heedless, courts the neighbour's wife:
Aczuisition of demerit is acquired by him,
He has a bad sleep at night,
Ill-repute he, thirdly, gains,
And hell, fourthly, he attains.
184

๕. อปุฺญลาโภ จ คตี จ ปาปกา


ภีตสฺส ภีตาย รตี จ โถกิกา
ราฃา จ ทณฺฑํ ครกํ ปเณติ
ตสฺมา นโร ปรทารํ น เสเว ฯ ๓๑๐ ฯ

สถานหนึ่ง ไดบาป
สถานสอง ไดภพชาติชั่วรายในอนาคต
สถานสาม ทั้งคูมีสุขชั่วแลนแตสะดุงใจเปนนิตย
สถานสี่ พระราชายอมลงโทษอยางหนัก
เพราะฉะนั้น จึงไมควรผิดภริยาของคนอื่น

There is a gain of demerit and evil destiny,


Brief is the joy of frightened couple,
And the king imposes heavy punishment.
Therefore let no man commit adultery.

๖. กุโส ยถา ทุคฺคหิโต


หตฺถเมวานุกนฺตติ
สามฺญํ ทุปปฺ รามฏฐํ
นิรยายูปกฑฺฒติ ฯ ๓๑๑ ฯ

หญาคา ที่จับไมดี
ยอมบาดมือได ฉันใด
พรหมจรรยที่ประพฤติไมดี
ยอมลากลงสูนรก ฉันนั้น

As Kusa grass when wrongly grasped


185

Cuts the seizing hand,


So a recluse's life when wrongly handled
Drags one to hell.

๗. ยงฺกิฺจิ สิถิลํ กมฺมํ


สงฺกิลิฏฐฺจ ยํ วตํ
สงฺกสฺสรํ พฺรหฺมจริยํ
น ตํ โหติ มหปฺผลํ ฯ ๓๑๒ ฯ

ทําอะไรหละหลวม
มีขอวัตรปฏิบัติเศราหมอง
ประพฤติพรฟมจรรย โดยไมเต็มใจ
ไมเปนไปเพื่อผลอันไพศาล

An act loosely performed,


A vow corruptly observed,
A Holy Life unwillingly lived-
This yields not much fruit.

๘. กยิรา เจ กยิราเถนํ
ทฬฺหเมนํ ปรกฺกเม
สถิโล หิ ปริพฺพาโช
ภิยฺโย อากิรเต รชํ ฯ ๓๑๓ ฯ

ถาจะกระทํา ก็จงกระทําจริงๆ
และพยายามมั่นคงจริงๆ
186

เพราะเพศบรรพชิตที่หละหลวม
รังแตจะเกลี่ยธุลีคือกิเลสใสตัว

Let one do with all one's might


What ought to be performed.
A loose monastic life stirs up
The dust of passions all the more.

๙. อกตํ ทุกฺกฏํ เสยฺโย


ปจฺฉา ตปฺปติ ทุกกฺ ฏํ
กตฺจ สุกตํ เสยฺโย
ยํ กตฺวา นานุตปฺปติ ฯ ๓๑๔ ฯ

ความชั่ว ไมทําเสียเลยเปนดี
ทําแลวยอมเดือดรอนภายหลัง
มาทําความดีกันดีกวา
ทําแลว ไมเดือดรอน

Better left undone is an evil deed,


For it torments one afterwards.
Better done is a wholesome deed,
After doing which one feels no remorse.

๑๐. นครํ ยถา ปจฺจนฺตํ


คุตฺตํ สนฺตรพาหิรํ
เอวฺ โคเปถ อตฺตานํ
187

ขโณ โว มา อุปจฺจคา
ขณาตีตา หิ โสจนฺติ
นิรยมฺหิ สมปฺปตา ฯ ๓๑๕ ฯ

เธอจงปองกันตนใหดีเหมือนเมืองชายแดน
ที่เขาปองกันแข็งแรงทั้งภายในภายนอก
เธออยาปลอยโอกาสใหลวงเลยไปเปลา
เพราะผูที่พลาดโอกาสเมื่อตกนรกยอมเศราโศก

Just as a border city


Is well-guarded within and withourt,
Even so do you guard yourselves.
Do not let slip this opportunity.
For those missing the opportunity grieve,
Having been consigned to hell.

๑๑. อลชฺชิตาเย ลฺชชนฺติ


ลชฺชิตาเย น ลชฺชเร
มิจฺฉาทิฏฐิสมาทานา
สตฺตา คจฺฉนฺติ ทุคฺคตึ ฯ ๓๑๙ ฯ

ละอายในสิ่งที่ไมควรละอาย
ไมละอายในสิ่งที่ควรละอาย
ผูที่มีความเห็นผิดอยางนี้
ยอมไปสูทุคติ

Of what is not shameful they are ashamed,


188

But of the shameful they are not ashamed.


Embracing false views as such,
Those beings go to a woeful realm.

๑๒. อภเย ภยทสฺสโิ น


ภเย จ อภยทสฺสิโน
มิจฺฉาทิฏฐิสมาทานา
สตฺตา คจฺฉนฺติ ทุคฺคตึ ฯ ๓๑๗ ฯ

สิ่งที่ไมนากลัว เห็นวานากลัว
สิ่งที่นากลัว กลับเห็นวา ไมนากลัว
ผูที่มีความเห็นผิดอยางนี้
ยอมไปทุคติ

What is not to be feared they fear,


What is fearsome they fear not.
Embracing false views as such.
Those beings go to a woeful fealm.

๑๓. อวชฺเช วชฺชมติโน


วชฺเช จ อวชฺชทสฺสิโน
มิจฺฉาทิฏฐิสมาทานา
สตฺตา คจฺฉนฺติ ทุคฺคตึ ฯ ๓๑๘ ฯ

สิ่งที่ไมมีโทษ เห็นวามีโทษ
สิ่งที่มีโทษ กลับเห็นวาไมมีโทษ
189

ผูที่มีความเห็นผิดอยางนี้
ยอมไปสูทุคติ

They think there is harm where there is none,


And they do not see where harm exists.
Embracing false views as such,
Those beings go to a woeful realm.

๑๔. วชฺชฺจ วชฺชโต ญตฺวา


อวฺชชฺจ อวชฺชโต
สมฺมาทิฏฐสิ มาทานา
สตฺตา คจฺฉนฺติ สุคฺคตึ ฯ ๓๑๙ ฯ

เห็นโทษ เปนโทษ
เห็นถูก เปนถูก
ผูที่มีความเห็นชอบเชนนี้
ยอมไปสูสุคติ

Perceiving wrong as wrong.


Perceiving right as right,
Beings of such right views
In a blissful realm arise.
23 หมวดชาง - THE ELEPHANT

๑. อหํ นาโคว สงฺคาเม


จาปาโต ปติตํ สรํ
190

อติวากฺยํ ติติกฺขสฺสํ
ทุสฺสีโล หิ พหุชฺชโน ฯ ๓๒๐ ฯ

เราจักอดทนตอคําเสียดสีของคนอื่น
เหมือนพญาคชสาร ในสนามรบ
ทนลูกศรที่ปลอยออกไปจากคันธนู
เพราะวาคนโดยมาก ทุศีล

As an elephant in the battle field


Withstands the arrows shot from a bow.
Even so will I endure abuse,
For people's conduct is mostly low.

๒. ทนฺตํ นยนฺติ สมิตึ


ทนฺตํ ราชาภิรูหติ
ทนฺโต เสฏโฐ มนุสฺเสสุ
โยติวากฺยํ ติตกิ ฺขติ ฯ ๓๒๑ ฯ

ชางที่ฝกแลว เขานําไปสูที่ชุมชน
ชางที่ฝกแลว พระราชาชึ้นทรง
ในหมูมนุษย ผูที่ฝกฝนตนได
รูจักอดทนตอคําลวงเกิน เปนผูประเสริฐ

The tamed elephant is led to crowds.


The tamed do the kings mount.
The well-tamed is best among men,
Who endures abuse.
191

๓. วรมสฺสตรา ทนฺตา
อาชานียา จ สินฺธวา
กุฺชรา จ มหานาคา
อตฺตทนฺโต ตโต วรํ ฯ ๓๒๒ ฯ

มาอัศดร มาอาชาไนยจากกลุมสินธู
และพญากุญชร ที่ผานการฝกปรือ
นับเปนสัตวที่ประเสริฐ
แตบุคคลผูฝกตนแลว ประเสริฐกวานั้น

Excellent are well-trained mules.


So are thoroughbred ones from Sindhu
And likewise noble fighting elephants.
More excellent is the self-trained man.

๔. น หิ เอเตหิ ยาเนหิ
คจฺเฉยฺย อคตํ ทิสํ
ยถาตฺตนา สุทนฺเตน
ทนฺโต ทนฺเตน คจฺฉติ ฯ ๓๒๓ ฯ

แนนอนทีเดียว คนที่ฝกตนได
ยอมอาศัยรางที่ฝกฝนดีแลวนั้น
เปนพาหนะนําไปสูที่ๆไมเคยไป (นิพพาน)
ซึ่งยานภายนอกเหลานั้น พาไปไมไดเลย
192

Surely never by those vehicles


Would one go to the untrodden land
As does one who is controlled
Through his subdued and well-trained self.

๕. ธนปาลโก นาม กุฺชโร


กฏกปฺปเภทโน ทุนนฺ ิวารโย
พทฺโธ กพฬํ น ภุฺชติ
สุมรติ นาควนสฺส กุฺชโร ฯ ๓๒๔ ฯ

ชางตกมันชื่อ ธนปาลกะ
ยากที่ใครๆจะหามได ถูกลามไว
ไมยอมกินอาหาร พญากุญชร
รําลึกถึงแตปาชาง
The great elephant called Dhanapalaka
In time of rut is uncontrollable;
Tied fast he refuses his food
Since he calls to mind the elephant wood.

๖. มิทฺธี ยทา โหติ มหคุฆโส จ


นิทฺทายิตา สมฺปริวตฺตสายี
มหาวราโหว นิวาปปุฏโฐ
ปุนปฺปุนํ คพฺภมุเปติ มนฺโท ฯ ๓๒๕ ฯ

คนกินจุ สะลึมสะลือ ชอบนอน


กลิ้งเกลือกไปมาบนที่นอน
193

เหมือนสุกรที่เขาขุนดวยเศษอาหาร
คนโวทึ่มเชนนั้น ยอมเกิดไมรูจบสิ้น

A sluggard, or glutton, too,


Rolling himself about in gross sleep
Like a bigh hog nursed on pig-wash-
That foolish one endlessly comes to birth.

๗. อิทํ ปุเร จิตฺตมจาริ จาริกํ


เยนิจฺฉกํ ยตฺถกามํ ยถาสุขํ
ตทชฺชหํ นิคฺคหิสฺสามิ โยนิโส
หตฺถึ ปภินฺนํ วิย องฺกุสคฺคโห ฯ ๓๒๖ ฯ

เมื่อกอนใจขาไดทองเที่ยวไปในอารมณ
ตามปรารถนา ตามความใคร ตามสบาย
แตบัดนี้ ขาจักบังคับมันดวยโยนิโสมนสิการ
เหมือนควาญชางถือขอ บังคับชางที่ตกมัน

Formerly this mind went wandering


Where it liked, as it wished, as it listed.
I will now control it with attemtiveness
As the driver with his hook a wild elephant.

๘. อปฺปมาทรตา โหถ
สจิตฺตมนุรกฺขถ
194

ทุคฺคา อุทฺธรถตฺตานํ
ปงฺเก สนฺโนว กุฺชโร ฯ ๓๒๗ ฯ

พวกเธอจงยินดีในความไมประมาท
จงระมัดระวังจิตของตน
จงถอนตนออกจากหลมกิเลส
เหมือนพญาชางติดหลม
พยายามชวยตัวเอง

Take delight in heedfulness


And guard well your own minds;
Draw yourselves out of evil ways
Like an elephant sunk in the mire.

๙. สเจ ลเภถ นิปกํ สหายํ


สทฺธึจรํ สาธุวิหาริ ธีรํ
อภิภุยฺย สพฺพานิ ปริสฺสยานิ
จเรยฺย เตนตฺตมโน สตีมา ฯ ๓๒๘ ฯ

ถาไดสหายผูเขากับตนได
มีความประพฤติดี ฉลาดและเฉลียว
พึงไปไหนๆกับสหายเชนนั้นอยางมีความสุข
และพึงมีสติ ฝาฟนอันตรายทั้งหลาย

If for the faring-on you can find


A friend, well-behaved, prudent and wise,
195

Walk with him joyfully and mindfully,


Overcoming dangers (open and concealed).

๑๐. โน เจ ลเภถ นิปกํ สหายํ


สทฺธึจรํ สาธุวิหาริ ธีรํ
ราชาว รฏฐํ วิชิตํ ปหาย
เอโก จเร มาตงฺครฺเญว นาโค ฯ ๓๒๙ ฯ
ถาไมพบสหายที่เขากับตนได
มีความประพฤติดี ฉลาด และเฉลียว
ก็ควรสัญจรไปคนเดียว
เหมือนพระราชา สละราชสมบัติเที่ยวไปองคเดียว
หรือไมก็เหมือนพญาชาง
ละโขลงเที่ยวไปตัวเดียวในปา

If for the faring-on you cannot find


A friend, well-behaved, prudent and wise,
Fare alone as a king renoucing his country
And as an elephant alone in the wilds.

๑๒. อตฺถมฺหิ ชาตมฺหิ สุขา สหายา


ตุฏฐี สุขา ยา อิตรีตเรน
ปุฺญํ สุขํ ชีวิตสงฺขยมฺหิ
สพฺพสฺส ทุกฺขสฺส สุขํ ปหานํ ฯ ๓๓๑ ฯ

มีเพื่อนตาย ก็มีความสุข
ยินดีเทาที่หามาได ก็มีความสุข
196

ทําบุญไวถึงคราวจะตายก็มีความสุข
ละทุกขไดทั้งหมด ก็มีความสุข

Happy is it to have a friend in need


Happy is contentement with whatever betides.
Happy is merit at the end of life.
Happy is it to leave all sorrow behind.

๑๓. สุขา มตฺเตยฺยตา โลเก


อโถ เปตฺเตยฺยตา สุขา
สุขา สามฺญตา โลเก
อโถ พฺรหฺมฺญตา สุขา ฯ ๓๓๒ ฯ

ปฏิบัติชอบตอมารดา ก็เปนสุข
ปฏิบัติชอบตอบิดา ก็เปนสุข
ปฏิบัติชอบตอสมณะ ก็เปนสุข
ปฏิบัติชอบตอพระผูประเสริฐ ก็เปนสุข

Happy is it to honour mother.


Happy is it to honour father.
Happy is it to honour ascetics.
Happy is it to honour the Noble Ones.

๑๔. สุขํ ยาว ชรา สีลํ


สุขา สทฺธา ปติฏฐิตา
197

สุโข ปฺญาปฏิลาโภ
ปาปานํ อกรณํ สุขํ ฯ ๓๓๓ ฯ

ศีลใหเกิดสุข ตราบเทาชรา
ศรัทธา ที่ตั้งมั่นแลว ใหเกิดสุข
ปญญา ไดมาแลว ใหเกิดสุข
การไมทําบาปทั้งหลาย ใหเกิดสุข

Happy is virtue until old age.


Happy is faith that firmly stands.
Happy is it to gain insight.
Happy is it to commit no sin.
24 หมวดตัณหา - CRAVING

๑. มนุชสฺส ปมตฺตจาริโน
ตณฺหา วฑฺฒติ มาลุวา วิย
โส ปริปฺลวติ หุราหุรํ
ผลมิจฺฉํว วนสฺมึ วานโร ฯ ๓๓๔ ฯ

สําหรับคนที่มีชีวิตอยูอยางประมาท
ตัณหามีแตจะเจริญเหมือนเถาวัลย
เขายอมกระโดดจากภพนี้ไปสูภพอื่น
เหมือนวานรโลภผลไม โลดแลนอยูในปา

Of the person addicted to heedless living


Craving grows like a creeping.
Such a man jumps from life to life
198

Like a monkey craving fruit in the wilds.

๒. ยํ เอสา สหเต ชมฺมี


ตณฺหา โลเก วิสตฺตกิ า
โสกา ตสฺส ปวฑฺฒนฺติ
อภิวุฏฐํว วีรณํ ฯ ๓๓๕ ฯ
ตัณหาอันลามก มีพิษราย
ครอบงําบุคคลใด ในโลก
เขายอมมีแตโศกเศราสลด
เหมือนหญาถูกฝนรด ยอมงอกงาม
Whoso in the world is overcome
By this craving poisonous and base,
For him all sorrow increases
As Virana grass that is watered well.

๓. โย เจตํ สหเต ชมฺมึ


ตณฺหํ โลเก ทุรจฺจยํ
โสกา ตมฺหา ปปตนฺติ
อุทวินฺทุว โปกฺชรา ฯ ๓๓๖ ฯ

ผูใดเอาชนะตัณหาลามก
ที่ยากจะเอาชนะไดนี้
ความโศกยอมตกไปจากผูนั้น
เหมือนหยาดน้ํา ตกจากใบบัว

But whoso in the world overcomes


199

This base craving, difficult to overcome-


His sorrow falls away from him
As water drops from a lotus leaf.

๔. ตํ โว วทามิ ภทฺทํ โว
ยาวนฺเตตฺถ สมาคตา
ตณฺหาย มูลํ ขนถ
อุสีรตฺโถว วีรณํ
มา โว นฬํว โสโตว
มาโร ภฺชิ ปุนปฺปุนํ ฯ ๓๓๗ ฯ

เราขอบอกความนี้แกพวกเธอ
ขอใหพวกเธอผูมาชุมนุมกัน ณ ที่นี้ มีความเจริญ
ขอใหพวกเธอขุดรากตัณหา เหมือนถอนรากหญารก
พวกเธออยาปลอยใหมารรังควาญบอยๆ
เหมือนกระแสน้ําคอยๆเซาะตอนออลม

This I say unto you:


Good luck to you all who have assembled here.
As one roots out fragrant Virana grass,
So do you dig up craving by its root.
Let not Mara crush you again and again
As the river flood crushing a reed.

๕. ยถาป มูเล อนุปทฺทเว ทฬฺเห


ฉินฺโนป รุกฺโข ปูนเรว รูหติ
200

เอวมฺป ตณฺหานุสเย อนูหเต


นิพฺพตฺตตี ทุกฺขมิทํ ปุนปฺปุนํ ฯ ๓๓๘ ฯ

เมื่อรากยังแข็งแรง ไมถูกทําลาย
ตนไมแมที่ถูกตัดแลว ก็งอกไดใหมฉันใด
เมื่อยังทําลายเชื้อตัณหาไมไดหมด
ความทุกขนี้ก็ยอมเกิดขึ้นไดเรื่อยไปฉันนั้น

As a tree cut down sprouts forth again


If its roots remain undamaged and firm,
Even so, while latent craving is not removed,
This sorrow springs up again and again.

๖. ยสฺส ฉตฺตึสตี โสตา


มนาปสฺสวนา ภุสา
มหา วหนฺติ ทุทฺทิฏฐ ึ
สงฺกปฺปา ราคนิสฺสิตา ฯ ๓๓๙ ฯ

กระแสตัณหา ๓๖ สายอันเชี่ยวกราก
ที่ไหลไปยังอารมณอันนาปรารถนา
ไหลบาทวมทนจิตใจใคร
ความครุนคิดคํานึงที่แฝงราคะ
ยอมจะชักนําใหเขาเห็นผิดคิดไขวเขว

In whom are strong the thirth-six torrents


Of craving flowing towards pleasurable objects-
201

Then the great flood of lustful thoughts


Carries off that misunderstanding man.

๗. สวนฺติ สพฺพธี โสตา


ลตา อุพฺภิชฺช ติฏฐติ
ตฺจ ทิสฺวา ลตํ ชาตํ
มูลํ ปฺญาย ฉินฺทถ ฯ ๓๔๐ ฯ

กระแสน้ําคือตัณหา ไหลไปทุกหนทุกแหง
เถาวัลยคือกิเลส ก็ขึ้นรกไปทั่ว
เมื่อเห็น เถาวัลยนั้นงอกงามแลว
พวกเธอจงตัดรากมันดวยมีดคือปญญา

Everywhere flow the craving-streams,


Everywhere the creepers sprout and stand.
Seeing the creepers that have sprung high
Do you cut their roots with your wisdom-knife.

๘. สริตานิ สิเนหิตานิ จ
โสมนสฺสานิ ภวนฺติ ชนฺตุโน
เต สาตสิตา สุเขสิโน
เต เว ชาติชรูปคา นรา ฯ ๓๔๑ ฯ

สัตวทั้งหลาย มีแตโสมนัส
ชุมชื้นไปดวยรักเสนหา
ซาบซานในกามารมณทั้งปวง
202

พวกเขาใฝแสวงแตความสุขสันตหรรษา
ก็ตองเกิดตองแกอยูร่ําไป

To beings there arise wide-ranging pleasures


That are moistened with lustful desires.
Bent on pleasures, seeking after sexual joys,
They, verily, fall prey to birth-and decay.

๙. ตสิณาย ปุรกฺขตา ปชา


ปริสปฺปนฺติ สโสว พาธิโต
สํโยชนสงฺคสตฺตา
ทุกฺขมุเปนฺติ ปุนปฺปุนํ จิราย ฯ ๓๔๒ ฯ

เหลาสัตว ติดกับตัณหา
การเสือกกระสน ดุจกระตายติดบวง
สัตวทั้งหลายติดอยูในกิเลสเครื่องผูกมัด
ยอมประสบทุกขบอยๆ ตลอดกาลนาน

Enwrapped in lust, beings run about,


Now here now there like a captive hare.
Held fast by fetters they suffer
Again and again for long.

๑๐. ตสิณาย ปุรกฺขตา ปชา


ปริสปฺปนฺติ สโสว พาธิโต
203

ตสฺมา ตสิณํ วิโนทเย


ภิกฺขุ อากงฺชํ วิราคมตฺตโน ฯ ๓๔๓ ฯ

เหลาสัตว ติดกับตัณหา
กระเสือกกระสน ดุจกระตายติดบวง
ฉะนั้นภิกษุ เมื่อหวังใหกิเลสจางคลาย
ก็พึงทําลายตัณหาเสีย

Enwrapped in lust, beings run about,


Now here now there like a captive hare.
So let a bhikkhu shake off craving
If he wishes his own passionlessness.

๑๑. โย นิพฺพนฏโฐ วนาธิมุตฺโต


วนมุตฺโต วนเมว ธาวติ
ตํ ปุคฺคลเมว ปสฺสถ
มุตฺโต พนฺธนเมว ธาวติ ฯ ๓๔๔ ฯ

บุคคลใดสละเพศผูครองเรือน
ถือเพศบรรพชิตปราศจากเรือน
พนจากปากิเลสแลวยังวิ่งกลับไปหาปานั้นอีก
พวกเธอจงดูบุคคลนั้นเถิด
เขาออกจากที่คุมขังแลวยังวิ่งกลับเขาที่คุมขังอีก

Released from jungle of the household life,


He turns to the bhikkhu jungle-life.
Though freed from the household wilds
He runs back to that very wilds again.
204

Come indeed and behold such a man.


Freed he turns to that bondage again.

๑๒. น ตํ ทฬฺหํ พนฺธนมาหุ ธีรา


ยทายสํ ทารุชปพฺพฃฺจ
สารตฺตรตฺตา มณิกุณฺฑเลสุ
ปุตฺเตสุ ทาเรสุ จ ยา อเปกฺขา ฯ๓๔๕ ฯ

เครื่องจองจําที่ทําดวยเหล็ก ไม และปอปาน


ทานผูรูกลาววา ยังไมใชเครื่องจองจําที่มั่นคง
แตความกําหนัดยินดีในเครื่องเพชร บุตร ภริยา
เปนเครื่องจองจําที่มั่นคงยิ่งนัก

Not strong are bonds made of iron,


Or wood, or hemp, thus say the wise.
But attachment to jewelled ornaments,
Children and wives is a strong tie.

๑๓. เอตํ ทฬฺหํ พนฺธนมาหุ ธีรา


โอหารินํ สิถิลทุปฺปมุฺจํ
เอตํป เฉตฺวาน ปริพฺพชนฺติ
อนเปกฺขิโน กามสุขํ ปหาย ฯ ๓๔๖ ฯ

ทานผูรูกลาววา เครื่องจองจําชนิดนี้มั่นคง
มักฉุดลากลงที่ต่ํา คลายผูกไวหลวมๆแตแกยากนัก
205

ผูรูทั้งหลายจึงทําลายเครื่องจองจํานี้เสีย
ละกามสุขออกบวชโดยไมไยดี
This is a strong bond, says the wise,
Down-hurling, loose but hard to untie.
This too they cut off and leave the world,
With no longing, renouncing the sense-pleasures.

๑๔. เย ราครตฺตานุปตนฺติ โสตํ


สยํ กตํ มกฺกฏโกว ชาลฺ
เอตํป เฉตฺวาน วชนฺติ ธีรา
อนเปกฺขิโน สพฺพทุกฺขํ ปหาย ฯ ๓๔๗ ฯ

ผูถูกราคะครอบงํา ยอมถลําลงสูกระแสตัณหา
เหมือนแมลงมุมตกลงไปยังใยที่ตนถักไวเอง
ผูฉลาดทั้งหลาย จึงทําลายเครื่องจองจํานี้
ละทุกขทั้งปวง ออกบวชโดยไมไยดี

They who are attached to lust fall back


To (craving's) streams as a spider self-spun web;
This too the wise cut off and 'go forth',
With no longing, leaving all sorrow behind.

๑๕. มุฺจ ปุเร มุฺจ ปจฺฉโต


มชฺเฌ มุฺจ ภวสฺส ปารคู
สพฺพตฺถ วิมุตฺตมานโส
น ปุน ชาติชรํ อุเปหิสิ ฯ ๓๔๘ ฯ
206

จงปลอยวางทั้งอดีตอนาคตและปจจุบัน
และอยูเหนือความมีความเปน
เมื่อใจหลุดพนจากทุกอยางแลว
พวกเธอจักไมเกิดไมแกอีกตอไป

Let go the past, let go the future too,


Let go the present and go beyond becoming.
With mind released from everything,
To birth-and-decay you shall come no more.

๑๖. วิตกฺกมถิตสฺส ชนฺตุโน


ติพฺพราคสฺส สุภานุปสฺสิโน
ภิยฺโย ตณฺหา ปวฑฺฒติ
เอส โข ทฬฺหํ กโรติ พนฺธนํ ฯ ๓๔๙ ฯ

ผูเปนทาสวิตกจริต มีจิตกําหนัดยินดี
ติดอยูในสิ่งที่สวยงาม
มีแตจะพอกความอยากใหหนา
กระชับเครื่องพันธนาการใหแนนเขา

For him who is of restless mind,


Who is of powerful passions,
Who sees but the pleasurable,
Craving increases all the more.
Indeed he makes the bond strong.
207

๑๗. วิตกฺกูปสเม จ โย รโต


อสุภํ ภาวยตี สทา สโต
เอส โข พฺยนฺติกาหติ
เอสจฺฉินฺทติ มารพนฺธนํ ฯ ๓๕๐ ฯ

ผูตั้งใจระงับความคิดฟุงซาน
เจริญอสุภกรรมฐานวิธี มีสติทุกเวลา
จักขจัดตัณหาหมดสิ้นไป
ทําลายเครื่องผูกของมาร

He who delights in subduing thoughts,


He who meditates on impurities of things,
He who is ever full of mindfulness-
It is he who will make an end of suffering
And destroy the Mara's bond.

๑๘. นิฏฐงฺคโต อสนฺตาสี


วีตตณฺโห อนงฺคโณ
อจฺฉินฺทิ ภวสลฺลานิ
อนฺติโมยํ สมุสฺสโย ฯ ๓๕๑ ฯ

พระอรหันตฺผูลุถึงจุดหมายปลายทางแลว
หมดความสุดุง หมดกิเลสตัณหาแลว
หักลูกศรคือกิเลสประจําภพแลว
รางกายนี้เปนรางสุดทายของทาน
208

He has reached the final goal,


He is fearless, without lust, without passions.
He has broken the shafts of existence.
Of such an arahant this body is his last.

๑๙. วีตตณฺโห อนาทาโน


นิรุตฺติปทโกวิโท
อกฺชรานํ สนฺนิปาตํ
ชฺญา ปุพฺพาปรานิ จ
สเว อนฺติมสารีโร
มหาปฺโญ มหาปุรโสติ วุจฺจติ ฯ ๓๕๒ ฯ

หมดตัณหา ไมยึดมั่น ฉลาดในนิรุกติ


รูกลุมอักษรและรูลําดับหนาหลัง
ทานผูมีสรีระสุดทายนี้แล
เรียกวา มหาปราชญ และ มหาบุรุษ

Free from craving and grasping,


Well-versed in analytical knowledge,
Knowing the texual orders and their sequence,
He of his last body is, indeed, called
One of great wisdom and a great man.

๒๐. สพฺพาภิภู สพฺพวิทูหมสฺมิ


สพฺเพสุ ธมฺเมสุ อนูปลิตโฺ ต
สพฺพฺชโห ตณฺหกฺขเย วิมุตฺโต
สยํ อภิฺญาย กมุทฺทิเสยฺยํ ฯ ๓๕๓ ฯ
209

เราเอาชนะทุกอยาง เราตรัสรูทุกอยาง
เรามิไดติดในทุกอยาง เราละไดทุกอยาง
เราเปนอิสระเพราะสิ้นตัณหา เราตรัสรูดวยตนเอง
และจะอางใคร เปนครูเราเลา

All have I overcome,


All do I know,
From all am I detached,
All have I removed,
Thorougly freed am I
Through the destruction of craving,
Having realized all by myself,
Whom shall I call my teacher?

๒๑. สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ


สพฺพํ รสํ ธมฺมรโส ชินาติ
สพฺพํ รตึ ธมฺมรตี ชินาติ
ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชินาติ ฯ ๓๕๔ ฯ

ธรรมทาน ชนะทานทุกอยาง
รสพระธรรม ชนะรสทุกอยาง
ความยินดีในธรรม ชนะความยินดีทุกอยาง
ความสิ้นตัณหา ชนะทุกขทุกอยาง

All gifts the gift of Truth excels.


All tastes the taste of Truth excels.
All delights the delight in Truth excels.
All sorrows the end of craving excels.
210

๒๒. หนนฺติ โภคา ทุมฺเมธํ


โน จ ปารคเวสิโน
โภคตณฺหาย ทุมฺเมโธ
หนฺติ อฺเญว อตฺตนํ ฯ ๓๕๕ ฯ

โภคทรัพย ทําลายคนโง
แตทําลายคนที่ใฝแสวงนิพพานไมได
เพราะโลภในโภคทรัพย คนโงยอมทําลายคนอื่น
และ (ผลที่สุดก็ทําลาย) ตนเอง

Riches ruin the fool


But not those seeking Nibbana.
Craving for wealth, the foolish man
Ruins himself by destroying others.

๒๓. ติณโทสานิ เขตฺตานิ


ราคโทสา อยํ ปชา
ตสฺมา หิ วีตราเคสุ
ทินฺนํ โหติ มหปฺผลํ ฯ ๓๕๖ ฯ

หญา ทําใหที่นาเสียหาย
ราคะ ทําใหคนเสียหาย
ฉะนั้น ทานที่ถวายแกผูปราศจากราคะ
จึงมีผลมหาศาล
211

Weeds are the bane of fields,


Lust is the bane of mankind.
Hence offerings made to lustless ones
Yield abundant fruit.

๒๔. ติณโทสานิ เขตฺตานิ


โทสโทสา อยํ ปชา
ตสฺมา หิ วีตโทเสสุ
ทินฺนํ โหติ มหปฺผลํ ฯ ๓๕๗ ฯ

หญา ทําใหที่นาเสียหาย
โทสะ ทําใหคนเสียหาย
ฉะนั้น ทานที่ถวายแกผูปราศจากโทสะ
จึงมีผลมหาศาล

Weeds are the bane of fields,


Hate is the bane of mankind.
Hence offerings made to hateless ones
Yield abundant fruit.

๒๕. ติณโทสานิ เขตฺตานิ


โมหโทสา อยํ ปชา
ตสฺมา หิ วีตโมเหสุ
ทินฺนํ โหติ มหปฺผลํฯ ๓๕๘ ฯ

หญา ทําใหที่นาเสียหาย
212

โมหะ ทําใหคนเสียหาย
ฉะนั้น ทานที่ถวายแกผูปราศจากโมหะ
จึงมีผลมหาศาล

Weeds are the bane of fields,


Delusion is the bane of mankind.
Hence offerings made to delusionless ones
Yield abundant fruit.

๒๖. ติณโทสานิ เขตฺตานิ


อิจฺฉาโทสา อยํ ปชา
ตสฺมา หิ วิคติจฺเฉสุ
ทินฺนํ โหติ มหปฺผลํ ฯ ๓๕๙ ฯ

หญา ทําใหที่นาเสียหาย
ความอยาก ทําใหคนเสียหาย
ทานที่ถวายแกผูปราศจากความอยาก
จึงมีผลมหาศาล

Weeds are the bane of fields,


Thirst is the bane of mankind.
Hence offerings made to thirstless ones
Yield abundant fruit.
25 หมวดภิกษุ - THE MONK
213

๑. จกฺขุนา สํวโร สาธุ


สาธุ โสเตน สํวโร
ฆาเนน สํวโร สาธุ
สาธุ ชิวฺหาย สํวโร ฯ ๓๖๐ ฯ

สํารวมทางตา เปนการดี
สํารวมทางหู เปนการดี
สํารวมทางจมูก เปนการดี
สํารวมทางลิ้น เปนการดี
Good is restraint in the eye.
Good is restraint in the ear.
Good is restraint in the nose.
Good is restraint in the tongue.

๒. กาเยน สํวโร สาธุ


สาธุ วาจาย สํวโร
มนสา สํวโร สาธุ
สาธุ สพฺพตฺถ สํวโร
สพฺพตฺถ สํวุโต ภิกฺขุ
สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ ฯ ๓๖๑ ฯ

สํารวมทางกาย เปนการดี
สํารวมทางวาจา เปนการดี
สํารวมทางใจ เปนการดี
ภิกษุ ผูสํารวมทุกทาง
ยอมพนจากทุกขทั้งปวง

Good is restraint in deed.


214

Good is restraint in speech.


Good is restraint in thought.
Good is restraint everywhere
The bhikkhu restrained everywhere
Shall leave all sorrow behind.

๓. หตฺถสฺญโต ปาทสฺญโต
วาจาสฺญโต สฺญตตฺตโม
อชฺฌตฺตรโต สมาหิโต
เอโก สนฺตุสิโต ตมาหุ ภิกขฺ ํ ฯ ๓๖๒ ฯ

ผูสํารวมมือ สํารวมเทา สํารวมวาจา


สํารวมกาย ยินดีในการบําเพ็ญวิปสสนา
มีใจเปนสมาธิ สันโดษอยูเดียวดาย
ไดสมญาวา ภิกษุ

He who is controlled in hand and foot.


He who is controlled in speech and body.
He who is with inward joy and settled mind.
He who is solitarily controlled-
Such a one they call a bhikkhu.

๔. โย มุขสฺญโต ภิกฺขุ
มนฺตภาณี อนุทฺธโต
อตฺถํ ธมฺมฺจ ทีเปติ
มธุรนฺตสฺส ภาสิตํ ฯ ๓๖๓ ฯ
215

ภิกษุผูสํารวมปาก
พูดดวยปญญา ไมถือตัว
ชี้แจงตําราและใจความถูกตอง
ถอยคําของภิกษุนั้น นับวาไพเราะแท

The bhikkhu who is well-controlled in tongue,


Who speaks with wisdom and without pride,
Who explains the text and its meaning-
Sweet indeed is his speech.

๕. ธมฺมาราโม ธมฺมรโต
ธมฺมํ อนุวิจินฺตยํ
ธมฺมํ อนสฺสรํ ภิกฺขุ
สทฺธมฺมา น ปริหายติ ฯ ๓๙๔ ฯ

ภิกษุผูอยูในธรรม ยินดีในธรรม
พินิจพิจารณาธรรม
และรําลึกถึงธรรมเสมอ
ยอมไมเสื่อมจากพระสัทธรรม

Dwelling in the Dharma,


Delighting in the Dharma,
Investigating the Dharma,
Remembering the Dharma,
That bhikkhu falls not away
From the Dharma sublime.
216

๖. สลาภํ นาติมฺเญยฺย
นาฺเญสํ ปหยํ จเร
อฺเญสํ ปหยํ ภิกฺขุ
สมาธึ นาธิคจฺฉติ ฯ ๓๖๕ ฯ

ไมพึงดูหมิ่นลาภของตน
ไมพึงริษยาลาภคนอื่น
เมื่อภิกษุมัวริษยาลาภคนอื่น
ใจยอมไมเปนสมาธิ

Let him not despise his own gains.


Let him not envy those of others.
The bhikkhu envying the others' gains,
Does not attain concentration.

๗. อปฺปลาโภป เจ ภิกขฺ ุ
สลาภํ นาติมฺญติ
ตํ เว เทวา ปสํสนฺติ
สุทฺธาชีวึ อตนฺทิตํ ฯ ๓๖๖ ฯ

ภิกษุถึงมีลาภนอย แตไมดหู มิ่นลาภของตน


มีอาชีวะบริสุทธิ์ ไมเกียจคราน
ยอมไดรับคําฃมเชยจากทวยเทพ

Though a recipient of little,


217

A bhikkhu despises not his own.


Him of pure and strenuous life,
Devas look up to high.

๘. สพฺพโส นามรูปสฺมึ
ยสฺส นตฺถิ มมายิตํ
อสตา จ น โสจติ
ส เว ภิกฺขูติ วุจฺจติ ฯ ๓๖๗ ฯ

ผูไมยึดมั่นโดยประการทั้งปวง
วา "กู" "ของกู" ไมวาในรูปหรือนาม
เมื่อไมมี ก็ไมเศราโศก
เขาผูนั้นแหละ เรียกไดวา ภิกษุ

He who grasps at neither 'I' nor 'Mine',


Neither in mentality nor in materiality,
Who grieves not for what is not-
Such a one indeed is called a bhikkhu.

๙. เมตฺตาวิหาริ โย ภิกฺขุ
ปสนฺโน พุทฺธสาสเน
อธิคจฺเฉ ปทํ สนฺตํ
สงฺขารูปสมํ สุขํ ฯ ๓๖๘ ฯ

ภิกษุ ผูอยูดวยเมตตา
เลื่อมใสในพุทธศาสนา
218

พึงลุถึงสภาวะอันสงบ
อันเปนสุข ระงับสังขาร

The bhikkhu who abides in loving-kindness,


And who is pleased with the Buddha's teaching,
Shall attain to the Peaceful State,
The happy stilling of conditioned things.

๑๐. สิฺจ ภิกฺขุ อิมํ นาวํ


สิตตฺ า เต ลหุเมสฺสติ
เฉตฺวา ราคฺจ โทสฺจ
ตโต นิพฺพานเมหิสิ ฯ ๓๖๙ ฯ

ภิกษุ เธอจงวิดน้ําออกจากเรือนี้
เมื่อวิดน้ําออกหมดแลว เรือจักแลนเร็ว
ทําลายราคะ โทสะ (โมหะ) เสียแลว
เธอจักไปถึงพระนิพพาน

Empty this boat, O bhikkhu!


When emptied, it will swiftly move
Cutting off lust, hatred (and ignorance)
To Nibbana will you thereby go.

๑๑. ปฺจ ฉินฺเท ปฺจ ชเห


ปฺจ จุตฺตริ ภาวเย
219

ปฺจ สงฺคาติโค ภิกฺขุ


โอฆติณฺโณติ วุจฺจติ ฯ ๓๗๐ ฯ

จงตัดออกหา ละทิ้งหา
ทําใหเจริญเติบโต อีกหา
พนเครื่องผูกพันหาชนิด
ภิกษุจึงไดชื่อวา ผูขามน้ํา

Cut off the Five, give up the Five


Cultivate further more the Five
The bhikkhu, from the Five Fetters freed,
A Flood-Crosser is he called.
๑๒. ฌาย ภิกฺขุ มา จ ปมาโท
มา เต กามคุเณ ภมสฺสุ จิตฺตํ
มา โลหคุฬํ คิลี ปมตฺโต
มา กนฺทิ ทุกฺขมิทนฺติ ทยฺหมาโน ฯ ๓๗๑ ฯ
เจริญภาวนาเถิด ภิกษุ อยามัวประมาท
อยาปลอยใจเวียนวนอยูแตในกามคุณ
อยาไดเผลอกลืนกินกอนเหล็กแดง
อยาปลอยใหความทุกขเผาผลาญเสียเอง
แมมัวคร่ําครวญวา "โอ นี่ทุกขจริงๆ"

Meditate, O bhikkhu!
Be not heedless.
Let not your mind dwell
On sensual pleasures.
Do not carelessly swallow
A red-hot iron ball.
220

Do not as you burn bewail


'O this indeed is ill'.

๑๓. นตฺถิ ฌานํ อปฺญสฺส


นตฺถิ ปฺญา อฌายิโน
ยมฺหิ ฌานฺจ ปฺญา จ
ส เว นิพฺพานสนฺติเก ฯ ๓๗๒ ฯ

เมื่อไมมีปญญา ก็ไมมีความเพงพินิจ
เมื่อไมมีความเพงพินิจ ก็ไมมีปญญา
ผูใดมีทั้งความเพงพินิจ และปญญา
ผูนั้น นับวาอยูใกลนิพพาน

There is no concentration
For one who lacks wisdom,
Nor is there wisdom
For one who lacks concentration
In whom there are found
Both concentration and wisdom-
He indeed is in the presence of Nibbana.

๑๔. สุฺญคารํ ปวิฏฐสฺส


สนฺตจิตฺตสฺส ภิกฺขุโน
อมานุสี รตี โหติ
สมฺมา ธมฺมํ วิปสฺสโต ฯ ๓๗๓ ฯ
221

ภิกษุผูไปสูที่สงัด มีใจสงบ
เห็นแจงพระธรรมโดยชอบ
ยอมไดรับความยินดี
ที่สามัญมนุษยไมเคยไดลิ้มรส
The bhikkhu gone to solitude,
Having calmed his mind,
Clearly perceiving the Teaching,
Experiences a peaceful joy
That has never before been
Tasted by the worldings.

๑๕. ยโต ยโต สมฺมสติ


ขนฺธานํ อุทยพฺพยํ
ลภติ ปติปาโมชฺชํ
อมตนฺตํ วิชานตํ ฯ ๓๗๔ ฯ

ไมวาเมื่อใด พระอรหันตพิจารณาเห็น
ความเกิดและความดับแหงขันธทั้งหลาย
ทานยอมไดปติ และปราโมทย
ซึ่งเปนสิ่งอมตะสําหรับทานผูรูทั้งหลาย

Whenever he reflects
On the rise and fall of Aggregates;
He experiences joy and happiness,
To the knowing ones that is Deathless.
26 หมวดพราหมณ - THE BRAHMANA
222

๑. ฉินฺท โสตํ ปรกฺกมฺม


กาเม ปนูท พฺราหฺมณ
สงฺขารานํ ขยํ ญตฺวา
อกตฺูสิ พฺราหฺมณ ฯ ๓๘๓ ฯ
พราหมณเอย ทานจงพยายามหยุดกระแส (ตัณหา)
และบรรเทากามทั้งหลายเสีย พราหมณเอย
เมื่อทานรูความสิ้นไปแหงสิ่งปรุงแตงทั้งหลาย
ทานก็จะรูสิ่งที่ไมปรุงแตง (นิพพาน)
Strive and stop the stream of craving,
Discrad, O brahmana, sense-desires.
Knowing conditioned things, brahmana,
You will know the Unconditioned.

๒. ยทา ทฺวเยสุ ธมฺเมสุ


ปารคู โหติ พฺราหฺมโณ
อภสฺส สพฺเพ สํโยคา
อฏฐํ คจฺฉนฺติ ชานโต ฯ ๓๘๔ ฯ

เมื่อใดพราหมณขามถึงฝงโนน (นิพพาน)
ดวยการปฏิบัติธรรมทั้งสอง (สมถะและวิปสนา)
เมื่อนั้นเครื่องผูกพันทั้งปวง
ของเขาผูรูจริงยอมสิ้นไป

When depending on the twofold means,


A brahmana has reached the Other Shore,
Then of that one who knows,
All fetters remain no more.
223

๓. ยสฺส ปารํ อปารํ วา


ปาราปารํ น วิชฺชติ
วีตทฺทรฺ วิสํยุตตฺ ํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ณ ๓๘๕ ฯ

ผูใดไมมีฝงนี้ หรือฝงโนน
หรือไมมีทั้งสองฝง
ไมมีความกระวนกระวายใจ เปนอิสระ
ผูนั้นเราเรียกวา พราหมณ

For whom there exists


Neither the Hither nor the Father Shore,
Nor both the Hither and the Farther Shore,
He who is undistressed and unbound-
Him do I call a brahmana.

๔. ฌายึ วิรชมาสีนํ
กตกิจฺจํ อนาสวํ
อุตฺตมตฺถํ อนุปฺปตฺตํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๓๘๖ ฯ

ผูใดบําเพ็ญฌาน ปราศจากกิเลส
อยูคนเดียว หมดกิจที่จะพึงทํา
หมดอาสวะ ลุถึงจุดหมายปลายทางแลว
ผูนั้นเราเรียกวา พราหมณ
224

Meditative, dwelling alone,


Free from passion taint,
Having done what should be done,
Devoid of all corruptions,
And having reached the Highest Goal-
Him do I call a brahmana

๕. ทิวา ตปติ อาทิจฺโจ


รตฺติมาภาติ จนฺทิมา
สนฺนทฺโธ ขตฺตโิ ย ตปติ
ฌายี ตปติ พฺราหฺมโณ
อถ สพฺพมโหรตฺตึ
พุทฺโธ ตปติ เตชสา ฯ ๓๘๗ ฯ
พระอาทิตย สวางกลางวัน
พระจันทร สวางกลางคืน
นักรบสงางามเมื่อสวมเกราะเตรียมรบ
พราหมณ สงางามเมื่อเขาฌาน
แตพระพุทธเจาสงางามทั้งกลางวันกลางคืน
By day the sun shines.
By night the moon is bright.
Armoured shines the warrior.
In meditation the brahmana glows.
But all day and all night,
The Buddha shines in splendour.

๖. พาหิตปาโป หิ พฺราหฺมโณ
สมจริยา สมโณติ วุจฺจติ
225

ปพฺพาชยมตฺตโน มลํ
ตสฺมา ปพฺพชิโตติ วุจฺจติ ฯ ๓๘๘ ฯ
ผูที่ชื่อวาพราหมณ เพราะละบาปได
ชื่อวาสมณะ เพราะมีจรรยาสงบ
ชื่อวาบรรพชิต เพราะละมลทินได
Without evil he is called a brahmana.
He who lives in peace is called a samana.
With all impurities gone,
A pabbajita is he called.

๗. น พฺราหฺมณสฺส ปหเรยฺย
นาสฺส มุฺเจถ พฺราหฺมโณ
ธิ พฺราหฺมณสฺส หนฺตารํ
ตโต ธิ ยสฺส มุฺจติ ฯ ๓๘๙ ฯ
ไมควรรังแกพราหมณ (นักบวช)
และพราหมณก็ไมควรแสดงความโกรธตอบ
คนที่รังแกพราหมณ เปนคนนาตําหนิ
แตพราหมณผูโกรธตอบ นาตําหนิกวา
One should not strike a brahmana,
Nor such a brahmana vent his wrath on him.
Woe to him who strikes a brahamana.
More woe to him who gives way to his wrath.

๘. น พฺราหฺมณสฺเสตทกิฺจิ เสยฺโย
ยทา นิเสโธ มนโส ปเยหิ
226

ยโต ยโต หึสมโน นิวตฺตติ


ตโต ตโต สมฺมติเมว ทุกขฺ ํ ฯ ๓๙๐ ฯ
ไมมีอะไรจะดีสําหรับพราหมณ
เทากับหักหามใจจากปยารมณ
เมื่อใดเขาไมเบียดเบียนคนอื่น
เมื่อนั้น ความทุกขก็สงบ
Naught is better for a brahmana.
Than restraint of mind from what is dear.
Whenever his ill will has been put aside,
Then and then only his sorrow subsides.

๙. ยสฺส กาเยน วาจาย


มนสา นตฺถิ ทุกฺกฏํ
สํวุตํ ตีหิ ฐาเนหิ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๓๙๑ ฯ
ผูใดไมมีความชั่วทางกาย วาจา ใจ
สํารวมระวังทั้งสามทวาร
ผูนั้นเราเรียกวา พราหมณ
He in whom there is no evil done,
Through body speech or mind,
He who is restrained in the three ways-
Him do I call a brahmana.

๑๐. ยมฺหา ธมฺมํ วิชาเนยฺย


สมฺมาสมฺพุทธฺ เทสิตํ
สกฺกจฺจํ ตํ นมสฺเสยฺย
อคฺคิหุตฺตํว พฺราหฺมโณ ฯ ๓๙๒ ฯ
227

เมื่อรูธรรมที่พุทธเจาทรงแสดง
จากบุคคลใด
ควรเคารพนอบนอมบุคคลนั้น
เหมือนพราหมณบูชาไฟ
From whom one knows the Truth Sublime
Which the Awakened One proclaimed,
Devotedly should one revere him,
As a brahmana tends the sacrificial fire.

๑๑. น ชฏาหิ น โคตฺเตน


น ชจฺจา โหติ พฺราหฺมโณ
ยมฺหิ สจฺจฺจ ธมฺโม จ
โส สุจี โส จ พฺราหฺมโณ ฯ ๓๙๓ ฯ
มิใชเพราะมุนชฏา มิใชเพราะโคตร
มิใชเพราะกําเนิด (ที่ดี) ที่ทําคนใหเปนพราหมณ
ใครก็ตามมีสัจจะและทรงธรรม
ยอมจะบริสุทธิ์ล้ําและเปนพราหมณ
Not by matted hair, nor by clan, nor by birth,
Does one become a brahmana.
In whom there are truth and righteouseness,
Pure is he, a brahmana is he.
๑๒. กึ เต ชฏาหิ ทุมฺเมธ
กึ เต อชินสาฏิยา
อพฺภนฺตรํ เต คหณํ
พาหิรํ ปริมชฺชสิ ฯ ๓๙๔ ฯ
228

เจาโงเอย ผมยาว หนังสัตว


จะมีประโยชนอะไรสําหรับเจา
ภายนอกเจาสะอาดสดใส
แตภายในเจารกรุงรัง
What use of your matted hair, O foolish one?
And what of your entelope-garment?
Full of impurities is your mind,
You embellish only the outside.

๑๓. ปสุกูลธรํ ชนฺตุ


กิสํ ธมนิสนฺถตํ
เอกํ วนสฺมึ ฌายนฺตํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๓๙๕ ฯ
ผูทรงผาบังสุกุล
ผอมจนเห็นแตเสนเอ็น
บําเพ็ญฌานในปาเปลี่ยวคนเดียว
เราเรียกวา พราหมณ
Clad in rag-robes and lean,
With body overspread by veins,
Meditationg in the forest alone-
Him do I call a brahmana.
๑๔. น จาหํ พฺราหฺมณํ พฺรูมิ
โยนิชํ มตฺติสมฺภวํ
โภวาที นาม โส โหติ
ส เว โหติ สกิฺจโน
อกิฺจนฺ อนาทานํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๓๙๖ ฯ
229

เพียงเกิดในตระกูลพราหมณ
หรือมีมารดาเปนพราหมณ
เราไมเรียกเขาวา พราหมณ
หากเขายังมีกิเลสอยู
เขาก็เปนพราหมณแตชื่อ
ผูใดหมดกิเลสไมยึดมั่นถือมั่น
ผูนั้นเราเรียกวา พราหมณ
I do not call him a brahmana
Merely because he is born of a womb
Or sprung from a brahmani.
If he is full of impediments,
He is merely a brahmana by name.
He who is free from impediments and clinging-
Him do I call a brahmana.

๑๕. สพฺพสฺโญชนํ เฉตฺวา


โย เว น ปริตสฺสติ
สงฺคาติคํ วิสํยุตฺตํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๓๙๗ ฯ
ผูใดตัดกิเลสเครื่องผูกพันไดหมดสิ้น
ไมหวาดกลัว หมดพันธะ
เปนอิสระจากเครื่องจองจําคือกิเลส
ผูนั้นเราเรียกวา พราหมณ
He who has cut off all bonds,
He who trembles not,
He who is free and unbound-
Him do I call a brahmana.
230

๑๖. เฉตฺวา นทฺธึ วรตฺตฺจ


สนฺทานํ สหนุกฺกมํ
อุกฺขิตฺตปลิฆํ พุทฺธํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๓๙๘ ฯ
ผูที่ตัดชะเนาะ (ความโกรธ) เชือกหนัง (ตัณหา)
เชือกปาน (ความเห็นผิด) พรอมทั้งอนุสัยกิเลส
ถอดลิ่มสลัก (อวิชชา) รูแจงอริยสัจแลว
เราเรียกวา พราหมณ
He who has cut off the strap (of hatred),
The thong (of craving),
The rope (of heresies),
Together with all tendencies:
He who has thrown up the cross-bar
(ignorance)
And has realized the Truth-
Him do I call a brahmana.

๑๗. อกฺโกสํ วธพนฺธฺจ


อทุฏโฐ โย ติติกฺขติ
ขนฺติพลํ พลานีกํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๓๙๙ ฯ
ผูใดไมโกรธ ทนตอการดา
และการลงโทษจองจํา
มีขันติเปนกําลังทัพ
ผูนั้นเราเรียกวา พราหมณ
231

He who is not wrathful


Bears reviling, blows and bonds,
Whose power, the potent army, is patience-
Him do I call a brahmana.

๑๘. อกฺโกธนํ วตวนฺตํ


สีลวนฺตํ อนุสฺสทํ
ทนฺตํ อนฺติมสารีรํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๐๐ ฯ
ผูใดไมมักโกรธ ทรงศีลพรต
หมดกิเลสฝกฝนตน
มีชีวิตอยูในโลกนี้เปนครั้งสุดทาย
ผูนั้น เราเรียกวา พราหมณ
He who is free from anger,
He who is dutiful and righteous,
He who is without craving, and controlled;
And he who bears his final body-
Him do I call a brahmana.

๑๙. วาริ โปกฺขรปตฺเตว


อารคฺเคริว สาสโป
โย น ลิปฺปติ กาเมสุ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๐๑ ฯ
ผูใดไมติดในกาม
เหมือนหยาดน้ําไมติดใบบัว
232

และเมล็ดผักกาดไมตดิ ปลายเข็ม
ผูนั้นเราเรียกวา พราหมณ
Like water on a lotusleaf,
Like a mustard seed on a needle's point,
He who clings not to sensual pleasures-
Him do I call a brahmana.

๒๐. โย ทุกฺขสฺส ปชานาติ


อิเธว ขยมตฺตโน
ปนฺนภารํ วิสํยุตฺตํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๐๒ ฯ
ผูรูวิธีดับทุกขของตนไดในโลกนี้
หมดภาระแบกหามกิเลส
เปนอิสระจากกิเลส
เราเรียกวา พราหมณ
He who has realized in this world
The destruction of his own ill,
Who has put aside the burden and is freed-
Him do I call a brahmana.

๒๑. คมฺภีรปฺญํ เมธาวึ


มคฺคามคฺคสฺส โกวิทํ
อุตฺตมตฺถํ อนุปฺปตฺตํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๐๓ ฯ
233

ผูมีปญญาลึกซึ้ง หลักแหลม
ฉลาดเลือกทางผิดทางชอบ
บรรลุถึงจุดหมายปลาทางอันอุดม
เราเรียกวา พราหมณ
He whose wisdom is deep,
Who is wise and skilled
In the right and wrong means,
Who has reached the Highest Goal-
Him do I call a brahmana.
๒๒. อสํสฏฐํ คหฏเฐหิ
อนาคาเรหิ จูภยํ
อโนกสารึ อปฺปจฺฉํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๐๔ ฯ
ผูไมคลุกคลีกับบุคคลทั้งสองฝาย
คือคฤหัสถและบรรพชิต
จรไปคนเดียว ไมติดถิ่น มักนอย
เราเรียกวา พราหมณ
He who is not intimate
With both householder and homeless,
Who with no fixed abode
Wanders, wanting but little-
Him do I call a brahmana.

๒๓. นิธาย ทณฺฑํ ภูเตสุ


ตเสสุ ถาวเรสุ จ
โย น หนฺติ น ฆาเตติ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๐๕ ฯ
234

ผูงดเบียดเบียนสัตวอื่น
ไมวาเล็กหรือใหญ
ไมฆาเอง ไมสั่งใหคนอื่นฆา
เราเรียกวา พราหมณ
He who has given up harming creatures,
Whether feeble or strong,
Who neither kills nor causes to kill-
Him do I call a brahmana.

๒๔. อวิรุทฺธํ วิรุทฺเธสุ


อตฺตทณฺเฑสุ นิพฺพุตํ
สาทาเนสุ อนาทานํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๐๖ ฯ
ผูไมดุราย กลางกลุมชนผูดุราย
สงบ กลางกลุมชนผูทารุณ
ไมยึดมั่นกลางกลุมผูยึดมั่น
เราเรียกวา พราหมณ
Friendly among the hostile,
Peaceful among the violent,
Ungrasping among the grasping-
Him do I call a brahmana.

๒๕. ยสฺส ราโค จ โทโส จ


มาโน มกฺโข จ ปาติโต
สาสโปริว อารคฺคา
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหมณํ ฯ ๔๐๗ ฯ
235

ความกําหนัด ความขัดเคือง ความหยิ่ง


ความดูถูกบุญคุณคนอื่น หมดไปจากผูใด
เหมือนเมล็ดผักกาด ตกไปจากปลายเข็ม
ผูนั้นเราเรียกวา พราหมณ
In whom lust, hatred, pride
And detraction are fallen off,
As a mustard seed from the needle's point-
Him do I call a brahmana.

๒๖. อกกฺกสํ วิฺญาปนึ


คิรํ สจฺจํ อุทีรเย
ยาย นาภิสเช กฺจิ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๐๘ ฯ
ผูพูดถอยคํานิ่มนวล
แจมกระจาง สัตยจริง
ไมกระทบกระทั่งใคร
เราเรียกวา พราหมณ
He who utters words
Gentle, instructive and true,
He who gives offence to none
Him do I call a brahmana.

๒๗. โยธ ทีฆํ วา รสฺสํ วา


อณุ ถูลํ สุภาสุภํ
โลเก อทินฺนํ นาทิยติ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๐๙ ฯ
236

ผูใดไมขโมยของคนอื่น
ไมวาสั้นหรือยาว
เล็กหรือใหญ ดีหรือไมดี
ผูนั้นเราเรียกวา พราหมณ
He who in this world
Takes not what is not given,
Be it long or short,
Small or great, fair or foul-
Him do I call a brahmana.

๒๘. อาสา ยสฺส น วิชฺชนฺติ


อสฺมึ โลเก ปรมฺหิ จ
นิราสยํ วิสํยุตฺตํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๑๐ ฯ
ผูใดไมมีความอยาก
ในโลกนี้และโลกหนา
หมดกิเลส เปนอิสระ
ผูนั้นเราเรียกวา พราหมณ
He who has no longing
Either for this world or nexto world,
Who is detached and emancipated-
Him do I call a brahmana.

๒๙. ยสฺสาลยา น วิชฺชนฺติ


อฺญาย อกถํกถี
อมโตคธํ อนุปฺปตฺตํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๑๑ ฯ
237

ผูใดหมดตัณหา
หมดสงสัย เพราะรูแจงจริง
ลุถึงอมตนิพพานแลว
ผูนั้นเราเรียกวา พราหมณ
He who has no more longing,
Who through knowledge is free from doubts,
Who has plunged deep into the Deathless-
Him do I call a brahmana.

๓๐. โยธ ปุฺญฺจ ปาปฺจ


อุโภ สงฺคํ อุปจฺจคา
อโสกํ วิรชํ สุทฺธํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๑๒ ฯ
ผูละบุญละบาปได
พนกิเลสผูกพัน
ไมโศก ไมมีกิเลส บริสุทธิ์
เราเรียกวา พราหมณ
He who has passed beyond
Good and bad and attachment,
Who is sorrowless, stainless and pure-
Him do I call a brahmana.

๓๑. จนฺท ว วิมลํ สุทฺธํ


วิปฺปสนฺนํ อนาวิลํ
นนฺทิภวปริกฺขีณํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๑๓ ฯ
238

ผูบริสุทธิ์ เหมือนจันทรแจม สงบ


ผองใส หมดความพอใจในภพ
เราเรียกวา พราหมณ
He who is pure as the spotless moon,
He who is serene and clear,
He who has ended delight in existence-
Him do I call a brahmana.

๓๒. โย อิมํ ปลิปถํ ทุคฺคํ


สํสารํ โมหมจฺจคา
ติณฺโณ ปารคโต ฌายี
อเนโช อกถํกถี
อนุปาทาย นิพฺพุโต
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๑๔ ฯ
ผูขามสงสารวัฏ และโมหะ
อันเปนทางหลมที่ขามไดแสนยากนี้
ลุถึงฝงโนน เปนนักกรรมฐาน
หมดตัณหา หมดความสงสัย
หมดความยึดมั่น บรรลุนิพพาน
เราเรียกวา พราหมณ
He who has passed beyond
This quagmire, this difficult path,
The ocean (of life) and delusion,
Who has crossed and gone beyond,
Who is meditative, desireless and doubtless,
Who, clinging to nought, has attained Nibbana-
Him do I call a brahmana.
239

๓๓. โยธ กาเม ปหตฺวาน


อนาคาโร ปริพฺพเช
กามภวปริกฺขีณํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ๔๑๕ ฯ
ผูละกามารมณ
ออกบวชไมมีเรือน
หมดความใครในภพ
เราเรียกวา พราหมณ
He who, giving up sensual pleasures,
Would renounce and become a homeless one,
Who has removed the lust of becoming-
Him do I call a brahmana.

๓๔. โยธ ตณฺหํ ปหตฺวาน


อนาคาโร ปริพฺพเช
ตณฺหาภวปริกฺขีณํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๑๖ ฯ
ผูละตัณหา
ออกบวชไมมีเรือน
หมดความอยากในภพ
เราเรียกวา พราหมณ
He who, giving up craving,
Would renounce and become a homeless one,
Who has destroyed the craving for existence-
Him do I call a brahmana.
240

๓๕. หิตฺวา มานุสกํ โยคํ


ทิพฺพํ โยคํ อุปจฺจคา
สพฺพโยควิสํยุตฺตํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๑๗ ฯ
ผูละเครื่องผูกพัน
ทั้งของมนุษยและเทวดา
หมดเครื่องผูกพันทุกชนิด
คนเชนนี้เราเรียกวา พราหมณ
He who, discarding human ties,
And transcending celestial ties,
Is completely freed from all ties-
Him do I call a brahmana.

๓๖. หิตฺวา รติฺจ อรติฺจ


สีติภูตํ นิรูปธึ
สพฺพโลกาภิภุ วีรํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๑๘ ฯ
ผูละความยินดีและความไมยินดี
เย็นสนิท หมดอุปธิ (กิเลส)
อาจหาญ ชนะโลกทั้งมวล
เราเรียกวา พราหมณ
He who has given up delight and aversion,
Who is cooled and without attachments,
Strenous and victorious over the world-
Him do I call a brahmana.
241

๓๗. จุตึ โย เวทิ สตฺตานํ


อุปปตฺติฺจ สพฺพโส
อสตฺตํ สุคตํ พุทฺธํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๑๙ ฯ
ผูรูจุติ และปฏิสนธิ
ของสัตวทั้งหลายโดยละเอียด
ผูไมขัดของ ไปดี ตรัสรูธรรม
เราเรียกวา พราหมณ
He who perfectly understands
The rise and fall of all beings,
Who is detached, well-hone and enlightened-
Him do I call a brahmana.

๓๘. ยสฺส คตึ น ชานนฺติ


เทวา คนฺธพฺพมานุสา
ขีณาสวํ อรหนฺตํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๒๐ ฯ
เทวดา คนธรรพ และมนุษยทั้งหลาย
ไมทราบทางไปของผูใด
ผูเปนพระอรหันต ขีณาสพ
ผูนั้นเราเรียกวา พราหมณ
He whose way is unknown
To hods, gandharvas and men,
Who has destroyed all defilements
And who has become enlightened-
Him do I call a brahmana.
242

๓๙. ยสฺส ปุเร จ ปจฺฉา จ


มชุเฌ จ นตฺถิ กิฺจนํ
อกิฺจนํ อนาทานํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๒๑ ฯ
ผูไมมีความยึดถือทั้งเบื้องตน (อดีต)
ทามกลาง (ปจจุบัน) ที่สุด (อนาคต)
ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น
เราเรียกวา พราหมณ
He who clings not to the past,
The present and the future, too,
Who has no clinging and grasping-
Him do I call a brahmana.

๔๐. อุสภํ ปวรํ วีรํ


มเหสึ วิชิตาวินํ
อเนชํ นหาตกํ พุทฺธํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๑๒ ฯ
มหาฤาษีผูองอาจ ประเสริฐ แกลวกลา
ชํานะ ปราศจากตัณหา
บริสุทธิ์ ตรัสรูธรรม
เราเรียกวา พราหมณ
The fearless, the noble, the hero,
The great sage, the conqueror,
The desireless, the pure, the enlightened-
Him do I call a brahmana.
243

๔๑. ปุพฺเพนิวาสํ โย เวทิ


สคฺคาปายฺจ ปสฺสติ
อโถ ชาติกฺขยํ ปตฺโต
อภิฺญาโวสิโต มุนิ
สพฺพโวสิตโวสานํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ ๔๒๓ ฯ
มุนี ผูรูอดีตชาติของตน
เห็นสวรรคและอบาย
ไมตองเกิดอีกตอไป
รูแจงเห็นจริง
บําเพ็ญหนาที่บริบูรณแลว
เราเรียกวา พราหมณ
The sage who knows his previous births,
Who sees heaven and hell,
Who has reached the end of births,
Who has attained to insight-wisdom,
Who has completed his holy life-
Him do I call a brahmana.

You might also like