Professional Documents
Culture Documents
⌫⌫
กรรมทีปนี
พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙)
ธรรมบูชา เพือ่ สืบอายุพระพุทธศาสนา
มุทติ ายุมงคล ๘๐ ปี
ดร.พระราชวรธรรมโกศล (แฉล้ม เขมปญฺโญ)
เจ้าคณะจังหวัดสงขลา เจ้าอาวาสวัดชัยมงคล
วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๒
⌫
คำนำ
คณะผูด้ ำเนินการจัดพิมพ์
ภาคที่ ๑ ตอน ๑
กรรมประเภทที่ ๑
ประเภทแห่งกรรม
กรรมประเภทที่ ๑ ๖๒
ชนกกรรม ๖๒
คำของ ๔ สัตว์นรก ๖๔
อุบาสกผูม้ ศี ลี ธรรม ๖๘
อุปตั ถัมภกกรรม ๗๐
คนกาลกิณี ๗๒
บุรษุ ผูโ้ ชคดี ๗๕
อุปปีฬกิ กรรม ๘๑
สุนกั ขัตตลิจฉวี ๘๓
ภิกษุผมู้ กี รรม ๘๖
ต้นคดปลายตรง ๙๑
อุปฆาตกกรรม ๙๗
กรรมของพระราชาธิบดี ๙๙
องคุลมิ าลอรหันต์ ๑๑๐
⌫⌫
Dhammaintrend ร่วมเผยแพร่และแบ่งปันเป็ นธรรมทาน
กรรมทีปนี
โดย
พระพรหมโมลี
ปณามพจน์
นมตฺถุ รตนตฺตยสฺส
ข้าพเจ้า ขอถวายนมัสการ แด่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ พระองค์ผู้ทรงมีพระมหา
กรุณาแผ่ไป ในไตรภพและพระนพโลกุตรธรรมอันล้ำเลิศ กับทัง้ พระอริยสงฆ์ผทู้ รงพระคุณอัน ประเสริฐ
ด้ ว ยเศี ย รเกล้ า แล้ ว จั ก อภิ ว าทนบไหว้ ซึ ่ ง ท่ า นบู ร พาจารย์ ท ั ้ ง หลาย ผู ้ ท รงไว้ ซ ึ ่ ง ญาณและ
พระคุณอันบริสุทธิ์ ด้วยคารวะเป็นอย่างยิ่ง แล้วจักรจนาเรียบเรียงกถาซึ่งตั้งชื่อว่า “กรรมทีปนี”
เพือ่ จักชีแ้ จงถึงเรือ่ งกรรม ประเภทแห่งกรรม ผลแห่งกรรม และการทำลายล้างกรรมอันเป็นเรือ่ งที่
น่ารูน้ า่ ศึกษา ตามหลักฐานทีป่ รากฏมีในคัมภีรท์ างพระพุทธศาสนา ฉะนัน้ ขอมวลชนผูม้ ปี ญ ั ญาทัง้ หลาย
จงตัง้ ใจสดับถ้อยคำของข้าพเจ้า ซึง่ จักกล่าวในโอกาสต่อไปนีด้ ว้ ยดีเทอญ
⌫
⌫
อารัมภกถา
ฝ่ายกทาชายนายเต็มผู้มีฤกษ์กำเนิดดีเกิดมาสบโชค ครั้นเจริญวัยวัฒนาการก็เป็นหนุ่มเจ้าสำราญ
ประจำบ้าน มีความเป็นอยูอ่ ย่างสุขสบายเสมือนดังว่าตนมิใช่ทาส ใคร่จกั กระทำสิง่ ใดก็ได้ตามอัธยาศัย ใคร่
จักกินก็กนิ ใคร่จกั นอนก็นอน ใคร่จกั เทีย่ วก็เทีย่ ว ใคร่จกั เล่นก็เล่น ไม่มใี ครบังคับบัญชา ไม่มใี ครว่ากล่าว เขา
ประพฤติตนประหนึง่ ดังว่าเป็นพณหัวเจ้าท่านอีกคนหนึง่ ในบ้านนัน้ มาอย่างนีเ้ ป็นเวลาช้านาน กาลวันหนึง่ จะ
เป็นเพราะว่าเขาหมดบุญไม่สามารถทีจ่ ะเสวยสุขอยูใ่ นบ้านนัน้ อีก หรือจะเป็นเพราะเวรกรรมอย่างใดก็สดุ ทีจ่ กั เดา
จึงทำให้เขาเกิดความคิดขึน้ ว่า
“อาตมะอยูท่ น่ี ่ี ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไร อยูไ่ ปวันหนึง่ ๆ ก็เท่านัน้ เอง การงานสิง่ ไรไม่ได้ทำเหมือน เขาอืน่
ยิ่งอยู่ก็ยิ่งกลุ้มใจหนักขึ้นทุกวัน อย่ากระนั้นเลย ควรที่อาตมาจักหนีออกจากบ้านนี้ไปยังสถานที่อื่น
ลองท่องเทีย่ วไปในโลกกว้างเสียสักพัก หากว่าไม่เข้าท่าจึงกลับมามีชวี ติ อยูใ่ นบ้านนีอ้ กี ตามเดิม”
⌫⌫
ของเขาจนหมดสิน้ แล้วรีบหนีไป ปล่อยให้กทาชาย นายเต็มยืนงงอยูใ่ นป่านัน่ ผูเ้ ดียวโดยไม่มผี า้ ผ่อนพันกายเลย
แม้แต่นดิ หนึง่
“ท่านผูน้ ้ี เป็นนักบวชปฏิบตั มิ กั น้อยสันโดษ แม้แต่ผา้ ท่านก็หานุง่ ห่มไม่ ถ้ากระไร ท่านผูน้ เ้ี ห็นทีจะเป็น
พระอรหันต์อย่างแม่นมัน่ มาเถิดเหวยพวกเรา เราจงมากระทำบุญด้วยท่านเถิดจักได้ประสบบุญกุศลมาก จะ
หาสมณะอืน่ ใดทีท่ รงคุณวิเศษมักน้อยสันโดษ เสมอด้วยสมณะองค์นเ้ี ป็นไม่มอี กี แล้ว”
⌫
อกิรยิ ะทิฏฐิ
⌫⌫
เมือ่ กระทำโจรกรรมในเรือนหลังเดียวด้วยตนเอง ผูท้ ำนัน้ จะได้ชอ่ื ว่ากระทำบาปก็หาไม่
เมือ่ ใช้ให้ผอู้ น่ื กระทำโจรกรรมในเรือนหลังเดียว ผูใ้ ช้ให้ทำนัน้ จะได้ชอ่ื ว่ากระทำบาปก็หาไม่
เมื่อซุม่ อยูท่ ท่ี างเปลีย่ ว เพือ่ ดักจีเ้ อาทรัพย์ของฝูงชนทีเ่ ดินผ่านไปผ่านมาด้วยตนเอง ผูท้ ำจะ
ได้ชื่อว่ากระทำบาปก็หาไม่
เมื่อใช้ให้ผู้อื่นซุ่มอยู่ที่ทางเปลี่ยว เพื่อดักจี้เอาทรัพย์ของฝูงชนที่เดินผ่านไปผ่านมาทั้งหลาย
ผู้ใช้ให้ทำนั้น จะได้ชื่อว่ากระทำบาปก็หาไม่
เมือ่ กระทำกามมิจฉาจาร คือประพฤติผดิ ในทางกาม ผูท้ ำจะได้ชอ่ื ว่ากระทำบาปก็หาไม่
เมื่อประพฤติผิดทางวาจา คือพูดมุสาเป็นคำเท็จหลอกลวง ผู้พูดนั้นจะได้ชื่อว่ากระทำบาป
ก็หาไม่
แม้หากผู้ใดจะใช้จักรซึ่งมีคมโดยรอบเหมือนมีดโกนเที่ยวสังหารเหล่าสัตว์ในพื้นปฐพีนี้ ให้
เป็นลานเป็นกองมังสะอันเดียวกัน บาปที่มีการกระทำเช่นนั้นเป็นเหตุ ก็ย่อมไม่มีแก่เขา ไม่มี
บาปมาถึงเขาผู้นั้น
แม้หากบุคคลจะไปยังฝั่งขวาแห่งแม่น้ำคงคา แล้วทำการฆ่าเขาเองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นฆ่าเขาก็ดี
ตัดตีนตัดมือของเขาด้วยตนเองก็ดี ใช้ให้ผอู้ น่ื ตัดตีนตัดมือของเขาก็ดี บาปทีม่ กี ารกระทำเช่น
นั้นเป็นเหตุ ก็ย่อมไม่มีแก่เขาผู้นั้น ไม่มีบาปมาถึงเขาผู้นั้น
แม้หากบุคคลจะไปยังฝัง่ ซ้ายแห่งแม่นำ้ คงคา แล้วทำการให้ทานด้วยตนเองก็ดี ใช้ให้ผอู้ น่ื ให้
ทานก็ดี ทำการบูชาด้วยตนเองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นทำการบูชาก็ดี บุญที่มีการทำเช่นนั้นเป็นเหตุ
ก็ย่อมไม่มีแก่เขาผู้นั้น ไม่มีบุญมาถึงเขาผู้นั้น
โดยการให้ทานก็ดี โดยการทรมานอินทรียก์ ด็ ี โดยการสำรวมศีลก็ดี โดยการกล่าวคำสัตย์กด็ ี
บุญที่มีการกระทำเช่นนี้เป็นเหตุ ย่อมไม่มีแก่ผู้กระทำ ไม่มีบุญมาถึงเขาผู้กระทำเลย
⌫
วันหนึง่ มูลนายใช้เขาแบกไหน้ำมันเดินไปในเบือ้ งหน้า ส่วนตัวมูลนายเจ้าเงินนัน้ เดินคอยกำกับการอยู่
ทางเบือ้ งหลัง ในขณะทีพ่ ากันเดินทางมาถึงทีแ่ ห่งหนึง่ ซึง่ เป็นหนทางทีเ่ ฉอะแฉะและเต็มไปด้วยเปือกตมมูลนาย
เกรงว่าเขาจะลืน่ หกล้ม จึงกำชับว่า
“อโห ! พระอรหันต์ . . .”
⌫⌫
เป็นขึน้ มาเอง การทีอ่ าตมะได้เป็นพระอรหันต์ขน้ึ มาในครัง้ นี้ มิใช่วา่ ด้วยอานุภาพแห่งเหตุแห่งปัจจัยทีเ่ คยมี
มา เมือ่ จะว่ากันโดยทีถ่ กู ทีค่ วรแล้ว เป็นเพราะกิรยิ าทีอ่ าตมะไม่นงุ่ ผ้า ฉะนัน้ ภาวะทีไ่ ม่นงุ่ ผ้านีจ้ งึ เป็นบรรพชา
เพศทีป่ ระเสริฐ ก่อให้เกิดความเคารพนับถือมากมาย ต่อจากนีไ้ ป อาตมะจะอธิษฐานบรรพชา จักไม่นงุ่ ผ้าห่ม
ผ้าเลยเป็นอันขาด”
⌫
o สุขทุกข์ ทีส่ ตั ว์ทง้ั หลายสามารถทำให้สน้ิ สุดลงได้ เหมือนตวงของให้หมดด้วยทะนาน ย่อมไม่
มีในสังสารนีเ้ ลย
o ไม่มคี วามเสือ่ มความเจริญ
ไม่มกี ารเลือ่ นขึน้ เลือ่ นลง
คนพาลและบัณฑิตทัง้ หลายเร่รอ่ นท่องเทีย่ วไป จักทำกองทุกข์ให้สน้ิ สุดได้เอง เปรียบเหมือนกลุม่ ด้าย
ทีบ่ คุ คลขว้างไป ย่อมคลีห่ มดไปเองฉะนัน้
⌫⌫
ศาสดาจารย์ ซึง่ แปลว่าท่านศาสดาจารย์อชิตะผูน้ งุ่ ผ้าห่มผ้าอันกระทำด้วยผมของมนุษย์ ก็แนวคำสอนทีท่ า่ น
อชิตเกสกัมพลศาสดาจารย์ สัง่ สอนเหล่าสาวกแห่งตนอยูเ่ นืองๆ นัน้ มีขอ้ ความดังต่อไปนี้
นัตถิกะทิฏฐิ
o ทานไม่มผี ล
การบูชาไม่มผี ล
การเซ่นสรวงไม่มผี ล
ผลวิบากแห่งกรรมทีท่ ำดีทำชัว่ ไม่มี
โลกนีไ้ ม่มี
โลกหน้าไม่มี
มารดาบิดาไม่มี
สัตว์ผเู้ กิดผุดขึน้ ไม่มี
สมณพราหมณ์ผดู้ ำเนินชอบ ปฏิบตั ชิ อบ ซึง่ กระทำโลกนีแ้ ละโลกหน้าให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิง่ ด้วยตน
เองแล้วสอนผูอ้ น่ื ให้รแู้ จ้ง ในโลกนีไ้ ม่มี
⌫
อชิตเกสกัมพลศาสดาจารย์ ผู้มีความเห็นเป็นนัตถิกะทิฏฐิ ได้บัญญัติหลักคำสอนเป็นศาสนาแห่งตน
ไว้โดยนัยดังพรรณนามานี้ ปรากฏว่าเป็นทีถ่ กู อกถูกใจของเหล่าสาวกผูโ้ ฉดเขลาเป็นยิง่ นัก เพราะเป็นคำสอนที่
ฟั ง ง่ า ยและปฏิ บ ั ต ิ ต ามได้ ง ่ า ย ไม่ ข ั ด กั บ อั ธ ยาศั ย อั น หยาบหนาแห่ ง ตน บางคนถึ ง กั บ จดเอาข้ อ ความ
เหล่านีไ้ ปพร่ำสาธยายเพือ่ จำให้ขน้ึ ใจ และใช้เป็นคติประจำชีวติ ของตนสืบไปในวันหน้า ด้วยประการฉะนี้
ความเห็นผิด
ศาสนาชนิดนีเ้ ป็น อกิรยิ วาที คือ ปฏิเสธกรรม ไม่วา่ จะกระทำอะไรทัง้ สิน้ ก็ไม่เป็นกรรมทัง้ นัน้ ซึง่ นับ
ว่าเป็นคำสอนทีผ่ ดิ จากความเป็นจริงอย่างมหันต์ประการหนึง่
⌫⌫
วิบากแห่งกรรมแต่อย่างใดอย่างหนึ่งเลย คำสอนเช่นนั้นเป็นคำสอนที่ผิดจากความเป็นจริงอย่างมหันต์
ประการหนึง่
เมื่อพวกเขากลายเป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิบุคคลไปอย่างนี้แล้ว ก็ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าจักต้องประสบกับ
ความวิบตั อิ ย่างใหญ่หลวง นัน่ คือ เมือ่ เขาสิน้ ชีวติ ตายจากมนุษยโลกนีไ้ ปแล้วย่อมเป็นผูแ้ คล้วคลาดจากสุคติภมู ิ
คือว่า มิอาจจะไปเกิดเป็นเทพยดา ณ สรวงสวรรค์ หรือว่ามิอาจจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ณ มนุษยโลกเรานีใ้ น
ชาติตอ่ ไปได้เลยสถานทีๆ่ เขาจักต้องไปเกิดก็คอื อบายภูมิ ๔ มีนริ ยภูมเิ ป็นต้นต้องทนทุกข์เวียนตายเวียนเกิด
ได้รบั ความทรมานอย่างแสนสาหัสในจตุราบายภูมิ ไม่มกี ำหนดเวลาทีจ่ ะพ้นทุกข์ได้ ไม่มโี อกาสทีจ่ ะได้บรรลุถงึ
พระนิพพานอันเป็นแดนพ้นทุกข์ได้เลยเป็นอันขาด เพราะแม้แต่เพียงสุคติภมู ิ นิยตมิจฉาทิฏฐิบคุ คลก็ยงั แคล้ว
คลาดมิอาจจะไปได้แล้ว จะป่วยกล่าวไปใย ถึงการทีเ่ ขาจะได้มรรค ผล นิพพาน อันเป็นภูมสิ ถานทีพ่ น้ จากทุกข์
ทัง้ มวลได้เล่า ด้วยเหตุทพ่ี วกเขาเป็นผูป้ ดิ ประตูสคุ ติภมู ิ และเป็นผูเ้ ปิดประตูอบายภูมใิ ห้กบั ตนเองด้วยอำนาจ
แห่งมิจฉาทิฏฐิอันดิ่งลงไปดังกล่าวมา เพราะฉะนั้นเมื่อถึงคราวดับขันธ์ทำกาลกิริยาจากมนุษยโลกนี้ไปแล้ว
⌫
พวกเขาเหล่านิยตมิจฉาทิฏฐิบุคคลเหล่านั้น ก็พากันไปเกิดเป็นสัตว์นรกเสวยทุกขทรมานอย่างแสนสาหัส
ร่วมกันกับท่านศาสดาจารย์อรหันต์เถือ่ นทัง้ ๓ ของพวกเขาในขุมนรกโลกันต์นน่ั แล
ในกรณีน้ี หากจะมีปญ
ั หาว่า
⌫⌫
อย่าว่าแต่ทา่ นศาสดาจารย์ทง้ั ๓ พร้อมกับสาวกของเขา ซึง่ เป็นคนภายนอกพระพุทธศาสนาเป็น เดียรถีย์
จะมีความเข้าใจผิดในเรื่องของกรรมอันเป็นเรื่องใหญ่ดังกล่าวมาแล้วนั่นเลย แม้แต่พุทธศาสนิกชนคน
นับถือพระพุทธศาสนา ปฏิญญาตนเป็นสาวกแห่งองค์สมเด็จพระทศพลสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงรู้แจ้งเห็นจริง
โดยวิเศษในเรือ่ งกรรมนีแ่ หละ บางคนก็ยงั ไม่เข้าใจในเรือ่ งกรรม! ในกรณีนพ้ี งึ เห็นตัวอย่างเช่น คราวใดทีเ่ กิดมี
ปัญหาเรือ่ งกรรมขึน้ มาแล้ว คราวนัน้ ย่อมจะเกิดความรูส้ กึ ว่าเรือ่ งกรรม ทีท่ า่ นกล่าวเอาไว้ในพระพุทธศาสนานี้
มันช่างเป็นเรื่องเวรกรรมชนิดหนึ่งซึ่งยุ่งยากสลับซับซ้อน ยากแก่การที่จะทำความเข้าใจให้เกิดขึ้นได้ แม้จัก
พยายามขบคิดจนหัวสมองแทบจะแตกตาย ก็ไม่สามารถทีจ่ ะรูเ้ ห็นอย่างแจ่มแจ้งได้ ครัน้ นำเอาเรือ่ งกรรมทีต่ น
สงสัยนีไ้ ปไต่ถามท่านผูร้ ู้ ก็ดเู หมือนว่าจะยิง่ เป็นเวรกรรมหนักเข้าไปอีก เพราะเห็นท่านผูร้ นู้ น้ั ท่านอธิบายฟุง้ ซ่าน
ออกคารมโวหารไปต่างๆ นานา ในทีส่ ดุ ก็ได้ปญ ั ญาเท่าเดิม คือไม่ได้ความรูค้ วามเข้าใจอะไรในเรือ่ งกรรม เพิม่
เติมขึน้ เลย นีเ่ ป็นเหตุการณ์ทเ่ี กิดขึน้ เพราะความไม่เข้าใจในเรือ่ งกรรมอย่างธรรมดา แต่ทน่ี า่ สังเวชใจใน เรือ่ ง
นี้หนักยิ่งขึ้นไปกว่านั้นก็คือว่า บางคนนอกจากจะไม่เข้าใจเรือ่ งกรรมแล้ว ยังมีความเข้าใจผิดใน เรือ่ ง
กรรมทีท่ างพระพุทธศาสนาสอนไว้ไปต่างๆ นานาอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น
⌫
เหล่านีพ้ รัง่ พรูออกมาจากปากของบุคคลผูไ้ ด้ชอ่ื ว่าเป็นพุทธศาสนิกชนโดยกำเนิด ทีเ่ ป็นเช่นนีเ้ พราะเหตุใด ?
เพราะความไม่เข้าใจในเรือ่ งกรรม และความเข้าใจผิดในเรือ่ งกรรมนัน่ เอง ทีบ่ นั ดาลให้เหตุการณ์อนั น่าสลดใจ
เช่นนีเ้ กิดขึน้ ถ้ามีความเข้าใจในเรือ่ งกรรมทีท่ างพระพุทธศาสนาสอนไว้เป็นอย่างดีแล้ว เหตุการณ์ดงั กล่าวมานี้
ก็ยอ่ มจะไม่มโี อกาสเกิดขึน้ เลยเป็นอันขาด
กริยตีติ กมฺมํ
สภาวะใด อันสัตว์ทง้ั หลายกระทำ สภาวะนัน้ แลชือ่ ว่ากรรม
⌫⌫
แต่จะเป็นเพราะความไม่เข้าใจความหมายของกรรมศัพท์ หรือจะเป็นเพราะความเคยชินกันมาแต่
โบราณอย่างไรก็สดุ จักเดาได้ เมือ่ เอ่ยถึงคำว่ากรรมเข้าแล้ว สามัญชนในโลกสันนิวาสมักจะเพ่งเล็งไปยังฝ่าย
อกุศลกรรมเป็นเป้าหมาย ในกรณีนี้จะพึงเห็นได้เช่น เมื่อบุคคลได้ประสบพบเห็นผู้ใดผู้หนึ่งต้องภัยได้ทุกข์
เกิดความสังเวชสลดใจขึน้ มา ก็มกั จะพึมพำว่า “โธ่เอ๋ย...กรรมของเขาแท้ ๆ” ดังนี้
หรือแม้แต่ในขณะที่ตนเองได้ประสบกับชะตากรรมเคราะห์ร้าย ได้รับความทุกข์และภัยขนาดหนัก
ก็มกั จะกล่าววาจาบ่นออกมาว่า “กรรม ๆ...กรรมของกูแท้ ๆ” ดังนี้ แต่เมือ่ คราวทีต่ นประสบโชคดี ย่อมไม่มี
ใครเลยทีจ่ ะกล่าวว่าเป็นกรรม ! ทัง้ ๆ ทีก่ รรมศัพท์น้ี หมายถึงทัง้ กรรมดีและกรรมไม่ดี ฉะนัน้ ในทีน่ จ่ี งึ ควร
ทำความเข้าใจว่า คำว่า “กรรม” นี้ ใช่ว่าจะหมายความเอาเฉพาะแต่ฝ่ายอกุศลกรรม ซึ่งเป็นฝ่ายไม่ดีตาม
โวหารโลกนิยมก็หามิได้ โดยทีแ่ ท้ยอ่ มหมายความถึงกุศลกรรมซึง่ เป็นฝ่ายดีอกี ด้วย
⌫
ภาคที่ ๑
ประเภทแห่งกรรม
——————————
ความเบือ้ งต้น
บัดนี้ จักพรรณนาถึงประเภทแห่งกรรม ตามเค้าโครงเรือ่ งกรรมอันปรากฏมีในคัมภีรต์ า่ งๆ ทางพระ
พุทธศาสนา มีพระคัมภีร์มโนรถปูรณีเป็นต้น เพื่อที่จักชี้แจงให้ท่านสาธุชนผู้มีปัญญาทั้งหลายได้ทราบใน
ปัญหาทีน่ า่ รู้ เช่นปัญหาทีว่ า่ กรรมมีอยูก่ ป่ี ระเภท และกรรมแต่ละประเภทนัน้ มีลกั ษณะการแตกต่างกันอย่างไร
บ้างดังนีเ้ ป็นอาทิ ซึง่ เป็นเรือ่ งทีพ่ วกเราผูเ้ ป็นพุทธศาสนิกชนคนนับถือพระบวรพุทธศาสนาควรจักสนใจและ ศึกษา
ให้รู้ไว้เป็นอย่างยิ่ง ในการศึกษาเรื่องประเภทแห่งกรรมนี้ เพื่อความเข้าใจง่ายๆ เราควรจะได้พูดกันถึง
กรรมประเภทที่ ๑ เสียก่อน ดังต่อไปนี้
กรรมประเภทที่ ๑
กรรมทีว่ า่ โดยหน้าที่
ก็กจิ จจตุกกะหรือกรรมประเภททีว่ า่ โดยหน้าทีน่ ้ี มีอยู่ ๔ กรรมด้วยกัน คือ ชนกกรรม ๑ อุปตั ถัมภก
กรรม ๑ อุปปีฬกิ กรรม ๑ อุปฆาตกรรม ๑ ซึง่ มีอรรถาธิบายตามลำดับก่อนหลัง ดังนี้
ชนกกรรม
ชเนตีติ ชนกํ
กรรมใด ย่อมทำวิปากนามขันธ์ และกัมมชรูปให้เกิดขึน้ กรรมนัน้ ชือ่ ว่าชนกกรรม
ชนกกรรมนี้ ย่อมเป็นกรรมที่ทำให้วิบาก และกัมมชรูปเกิดขึ้น ทั้งในปฏิสนธิกาลและปวัตติกาล!
หมายความว่า ครัน้ สัตว์ทง้ั หลายตายลงแล้ว เมือ่ จะไปเกิดในภูมิตา่ งๆ อันมีอยูใ่ นวัฏสงสารนีเ้ ช่นไปเกิดเป็น
สัตว์เดียรฉานในติรจั ฉานภูมกิ ด็ ี ไปเกิดเป็นเทวดาในเทวภูมกิ ด็ ี หรือมาเกิดเป็นมนุษย์ในมนุสสภูมกิ ด็ ี เหล่านี้
ย่อมเป็นไปด้วยอำนาจแห่งชนกกรรม ซึง่ ทำหน้าทีใ่ ห้วบิ ากและกัมมชรูปเกิดขึน้ ในปฏิสนธิกาลทัง้ สิน้ และเมือ่
⌫⌫
สัตว์ทง้ั หลายเกิดขึน้ มาแล้ว ก็ตอ้ งมีอวัยวะน้อยใหญ่เกิดขึน้ ตามสมควรแก่สตั ว์นน้ั ๆ พร้อมทัง้ มีการเห็น การได้
ยิน การได้กลิน่ การรูร้ ส การถูกต้อง และการรักษาภพ (ภวังค์) เกิดขึน้ ตามสมควร เหล่านีย้ อ่ มเป็นไปด้วย
อำนาจแห่งชนกกรรม ซึง่ ทำหน้าทีใ่ ห้วบิ ากและกัมมชรูปเกิดขึน้ ในปวัตติกาล
⌫
ชนกกรรม ฝ่ายอกุศลทำหน้าทีช่ กั นำสัตว์ทง้ั หลายให้ไปเกิดในอบายภูมนิ น้ั พึงเห็นตัวอย่างเช่นเรือ่ งทีเ่ ล่าให้
ฟังต่อไปนี้
คำของ ๔ สัตว์นรก
ได้สดับมาว่า สมัยทีอ่ งค์สมเด็จพระมิง่ มงกุฎกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงประกาศสัจธรรมเผยแพร่
พระบวรพุทธศาสนาอยูใ่ นโลกนัน้ คราวหนึง่ พระองค์พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกอรหันต์ขณ ี าสพ ประมาณ ๒๐,๐๐๐
รูป ได้เสด็จมาถึงพระนครแห่งหนึ่ง ซึ่งปรากฏชื่อว่าพระนครพาราณสีในปัจจุบันนี้ ชาวเมืองทั้งหลาย
ครัน้ ได้เห็นสมเด็จพระพุทธองค์พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก ผูท้ รงพระคุณอันประเสริฐมากมายเช่นนัน้ ต่างก็พา
กันตืน่ เต้นดีใจด้วยความเลือ่ มใสเป็นอันมาก ชักชวนกันบริจาคทรัพย์ถวายอาคันตุกทานเป็นการใหญ่ประชาชน
ทั้งหลาย ๒ คนบ้าง ๓ คนบ้าง หลายคนบ้าง ได้ร่วมกันสามัคคีร่วมใจกันเป็นเจ้าภาพจัดอาหารบิณฑบาต
ถวายพระภิกษุสงฆ์ ซึง่ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน นับเป็นเวลานานหลายวัน
⌫⌫
“เพือ่ นเราลืมนึกสิง่ สำคัญไปอย่างหนึง่ ” ลูกชายเศรษฐีคนสุดท้ายกล่าวขึน้ บ้าง สิง่ สำคัญทีว่ า่ นีก้ ค็ อื นารี
กินเหล้าเมายาบริโภคอาหารดีๆ ถ้าหากว่าขาดนารีสวยๆ มันจะไปเป็นท่าอะไร ฉะนัน้ เราจักใช้ทรัพย์อนั มาก
มายมหาศาลเป็นเครือ่ งล่อก็อสิ ตรีทง้ั หลายทีจ่ ะได้ชอ่ื ว่าไม่ปรารถนาทรัพย์เป็นอันไม่มี เราประเล้าประโลมด้วย
ทรัพย์แล้วคงจักได้ตวั หล่อนมาเป็นสมบัตขิ องเราสมความปรารถนาไม่วา่ หล่อนจักเป็นใครก็ตาม” เขาพล่ามไป
ตามธรรมดาของคนทีม่ สี นั ดานเสีย
⌫
เพียงนิดเดียว สัตว์นรกตนหนึง่ ซึง่ มีหน้าเศร้า ครัน้ มาประสบพบหน้าเพือ่ นรักอย่างพร้อมหน้ากันดังนัน้ ก็พลัน ดีใจ
ใคร่จะระบายความทุกข์อนั สุมอกมานานเหลือเกิน จึงมีความประสงค์ทจ่ี ะกล่าวว่า
ด้วยอาการอันกลุ้มอกกลุ้มใจและเหนื่อยหน่ายเป็นอย่างหนัก ตามแบบฉบับของสัตว์นรกผู้ต้องทน
ทุกขเวทนามาเป็นเวลานาน สัตว์นรกตนที่ ๓ พอเห็นหน้าเพือ่ นกันในครึง่ เสีย้ วแห่งวินาทีนน้ั ก็มคี วามประสงค์
ใคร่จะระบายความในใจออกมาว่า
แต่เขาไม่อาจจักกล่าวประโยคคำพูดดังที่ตนประสงค์นี่ได้ทั้งหมด พอเอ่ยปากกล่าวได้เพียงครึ่งคำ
อักษรแรกออกมาว่า “น” กล่าวได้แต่เพียงอักษรเดียวนีแ่ ท้ๆ เท่านัน้ ก็พลันหายวับจมลงไปในหม้อเหล็กต่อไป
อีกตามเดิม
⌫⌫
ด้วยใบหน้าอันเศร้าหมองบอกความไม่ผอ่ งใส ตามลักษณาการแห่งสัตว์นรกผูเ้ พิง่ รูส้ กึ เสียใจในกรณีท่ี
ตนไม่เคยทำความดีเอาไว้ สัตว์นรกตนที่ ๔ พอบังเอิญโผล่มาเจอหน้าเพือ่ นในขณะนัน้ ก็มคี วามประสงค์ทจ่ี ะ
รำพันออกมาว่า
คำโอดครวญของสัตว์นรก ๔ ตน ทีก่ ล่าวครัง้ นัน้ คือคำว่า ทุ. ส. น. โส. นี้ เป็นทีเ่ ลือ่ งลือมานาน
และเป็นทีท่ ราบกันอย่างกว้างขวางทัว่ ไปในหมูม่ นุษย์ชาวพุทธบริษทั ถึงกับเกจิอาจารย์บางท่านพากันบัญญัติ
ให้รกู้ นั ว่า คำ ๔ คำนีเ้ ป็นหัวใจเปรต! เหตุไฉนจึงกล่าว ไถลไปว่าเป็นหัวใจเปรต ก็สดุ จักเดาได้เพราะความจริง
นั้นไซร้ ควรจะบัญญัติว่าเป็นหัวใจสัตว์นรก จะเหมาะกว่าเป็นไหนๆ ทั้งนี้ก็เพราะคำ ๔ คำนี้ เป็นคำที่ชาว
โลหกุมภีนรกทัง้ หลายกล่าวเอาไว้ แต่ไม่วา่ จะเป็นหัวใจเปรตหรือหัวใจสัตว์นรกก็ตามที ปัญหาทีเ่ ราควรคำนึง
จากการทีไ่ ด้ตดิ ตามเรือ่ งนีม้ าก็คอื ว่า ลูกชายเศรษฐีทง้ั ๔ แต่เดิมทีนน้ั เป็นผูม้ ที รัพย์สมบัตมิ ากแต่มคี วามประมาท
และโง่เขลา ทัง้ ๆ ทีม่ อี งค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบตั ติ รัสในโลก และเสด็จมาโปรดประชาชนยัง
บ้านเมืองของตน แทนที่เขาจะมีใจเลื่อมใสรีบขวนขวายประกอบกองการกุศลเช่นคนทั้งหลายอื่นกลับมีน้ำใจ
โหดหืน่ คิดดูหมิน่ ในบุญ ประกอบแต่อกุศลกรรมความชัว่ ช้าลามก ครัน้ ตายไปจึงต้องตกนรกอเวจีและโลหกุมภี
นรก ด้วยอำนาจแห่งกรรมชั่วนั้นมันกลายเป็นชนกกรรม นำให้เขาไปบังเกิด ครั้นไปเกิดเป็นสัตว์นรกได้รับ
ความทุกข์ทรมานหนักๆ เข้าจึงได้รสู้ กึ สำนึกตน แต่การทีพ่ วกเขาพึง่ มารูส้ กึ สำนึกตนและได้แต่พร่ำบ่นรำพันอยู่
ในนรกนั้น มันเป็นการสายเสียแล้ว! แต่ว่าพวกเราเวลานี้น่ะยังไม่สาย คือว่าพวกเราที่ยังเป็นมนุษย์พบ
พระพุทธศาสนาอยู่ในขณะนี้ ขอจงมีใจเลื่อมใสในพระโอวาทานุสาสนี แล้วรีบเร่งประกอบคุณงาม
ความดีอนั เป็นบุญเป็นกุศลเข้าให้จงมากเถิด เพราะกุศลกรรมความดีทเ่ี ราทำไว้ในขณะนีจ้ กั เป็นเครือ่ งปิด
กัน้ ชนกกรรมฝ่ายอกุศลเมือ่ เวลาตาย แต่ถา้ มีใจชัว่ เกิดความมัวเมาประมาทพลาดพลัง้ กระทำ แต่อกุศลกรรม
อยูเ่ นืองๆ โดยไม่นกึ ถึงวันตาย อกุศลกรรมทีท่ ำไว้เสมอนัน้ ก็จะพลันกลายเป็นชนกกรรมชักนำไปปฏิสนธิใน
อบายภูมิ และบางทีอาจจะถึงกับต้องรำพันโอดครวญออกมา เช่น ชาวโลหกุมภีนรก ๔ ตนนัน่ ก็เป็นได้ดว้ ย
ประการฉะนี้
⌫
ส่วนชนกกรรมที่เป็นฝ่ายกุศลนั้น เมื่อทำหน้าที่ชักนำปฏิสนธิยังสัตว์ทั้งหลายให้เกิด ย่อมผลักดัน
สัตว์ให้ไปเกิดในสุคติภมู ิ อันเป็นภูมทิ ด่ี มี คี วามสุข กล่าวคือสรวงสวรรค์ตามสมควรแก่กรรมทีส่ ตั ว์ทง้ั หลายได้
กระทำไว้ ในกรณีทช่ี นกกรรมฝ่ายกุศล ทำหน้าทีช่ กั นำเหล่าสัตว์ไปปฏิสนธิในสุคติภมู นิ น้ั พึงเห็นตัวอย่างตาม
เรือ่ งทีจ่ ะเล่าให้ฟงั ดังต่อไปนี้
อุบาสกผูม้ ศี ลี ธรรม
⌫⌫
ไปด้วยวลัยอันงดงามสดใส สวมใส่มงกุฎสำเร็จแล้ว ก็ขน้ึ สูห่ ลังกุญชรทิพย์อนั เป็นพาหนะ ออกจากทิพยวิมาน
แวดล้อมด้วยเทพบริวาร เหาะเลือ่ นลอยลงมาจากดาวดึงส์เทวโลก ด้วยความประสงค์วา่ “อาตมะจะไปนมัสการ
เบือ้ งฝ่าพระบาท แห่งสมเด็จพระไตรโลกนาถพุทธสัพพัญญูเจ้าให้สมกับดวงใจทีเ่ ฝ้าระลึกถึงพระองค์” ครัน้ เหาะ
เลื่อนลอยลงมาถึงเวฬุวนารามในมนุษยโลกเรานี้แล้วก็ลงจากคชสารเผือกทิพยพาหนะ เข้าไปถวายนมัสการ
ใต้เบื้องฝ่าพระบาทแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงเป็นบรมโลกนายกทรงพระคุณอัน
ประเสริฐ แล้วก็นง่ั ณ ทีส่ มควรส่วนข้างหนึง่
⌫
นอกจากนี้ โยมยังมีจติ เลือ่ มใส ได้ถวายข้าวและน้ำให้เป็นทานโดยคารวะ เมือ่ ถึงวาระอุโบสถ โยมก็
อุตส่าห์สมาทานองค์อุโบสถ ๘ ประการทุกวารวัน เมื่อโยมแตกกายทำลายขันธ์จากมนุษยโลกนี้แล้ว จึงได้
ไปเกิดเป็นเทพบุตร ณ ดาวดึงส์สวรรค์ มีทพิ ยสมบัตติ ามทีพ่ ระผูเ้ ป็นเจ้าเห็นอยูน่ แ่ี ลเจ้าข้า”
เมือ่ ท่านผูม้ ปี ญั ญาทัง้ หลายได้ทราบว่า ชนกกรรม ก็คอื กรรมทีท่ ำหน้าทีช่ กั นำปฏิสนธิ คือเป็นพนักงาน
ตกแต่งให้สตั ว์ทง้ั หลายไปเกิดในภูมติ า่ งๆ ถ้าเป็นชนกกรรมฝ่ายอกุศล ก็ทำหน้าทีช่ กั นำให้สตั ว์บคุ คลไปปฏิสนธิ
ในทุคติภมู ิ ถ้าเป็นชนกกรรมฝ่ายกุศล ก็ทำหน้าทีช่ กั นำให้สตั ว์ทง้ั หลายไปถือปฏิสนธิในสุคติภมู ิ ดังกล่าวมา แล้ว
ต่อจากนี้ไป ก็ควรจะได้ศึกษาให้ได้ทราบถึงกรรมอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่แตกต่างกับชนกกรรม
กรรมทีว่ า่ นีม้ ชี อ่ื ว่า
อุปถัมภกกรรม
อุปตฺถมฺเภตีติ อุปตฺถมฺภกํ
กรรมใด ย่อมทำหน้าทีช่ ว่ ยอุปถัมภ์รปู นามทีเ่ ป็นวิบากของชนกกรรมให้เจริญ
กรรมนัน้ ชือ่ ว่าอุปถัมภกกรรม
⌫⌫
กุศลสืบไปเบือ้ งหน้า มีการสดับตรับฟังพระธรรมเทศนาและบูชาพระจุฬามณีเจดียเ์ จ้า ณ สวรรค์เทวโลกนัน้ อยู่
เนืองๆ อุปถัมภ์คำ้ ชูบญุ กุศลเก่าให้เจริญ คือให้บญ
ุ กุศลนัน้ มีกำลังแก่กล้ามากมาย อันจะเป็นเหตุให้ได้เสวยทิพย
สมบัตเิ ป็นสุขสถิตอยู่ ณ เทวโลกนัน้ นานๆ
⌫
มีอาการประหนึ่งจะกล่าวว่าดังนี้แล้ว อุปภกกรรมฝ่ายอกุศลนั้น ก็พลันเข้าทำงานตามหน้าที่ทันที
ดลบันดาลให้ทารกผูม้ กี รรมให้มอี นั เป็นไปต่างๆ นานา เมือ่ ถึงคราเขาเติบใหญ่เจริญวัย ก็เป็นตัวอุปถัมภ์ภกทุกข์
อุปถัมภกภัย แม้เมือ่ มีเหตุการณ์อนั น่าจะพ้นทุกข์พน้ ภัยแล้ว อุปถัมภกกรรมอันชัว่ ร้ายนัน้ ก็เข้าทำหน้าทีอ่ นั
ร้ายกาจประหนึง่ คอยกลัน่ แกล้ง รักษาไว้มใิ ห้บคุ คลผูม้ กี รรมนัน้ พ้นทุกข์พน้ ภัยได้เลย กระทำให้ได้เสวยทุกข์
แสนยากแสนลำบากไปจนกว่าจะหมดกรรม! ก็ในกรณีที่อุปถัมภกกรรมฝ่ายอกุศล ทำหน้าที่ดลบันดาลให้
มนุษย์ประสบความทุกข์ยากในมนุษยโลกเรานัน้ พึงเห็นตัวอย่างตามเรือ่ งทีจ่ ะเล่าให้ฟงั ดังต่อไปนี้
คนกาลกิณี
ได้สดับมาว่า ในสมัยพุทธกาล มีเศรษฐีผหู้ นึง่ ปรากฏนามว่าอานันทเศรษฐี เขามีจติ ตระหนีค่ รอบงำ
ในสันดาน ทานก็มไิ ด้ให้ ศีลก็มไิ ด้รกั ษา เหตุทเ่ี ขาเกิดมาเป็นเศรษฐีทรัพย์มาก ก็เพราะเขาได้เคยถวายอาหาร
บิณฑบาตแก่พระภิกษุสงฆ์ กุศลกรรมจึงส่งผลให้เขาได้เป็นเศรษฐีในชาติน้ี แม้เขาจะเป็นคนมัง่ มีรำ่ รวยนักหนา
แต่เป็นคนมากไปด้วยโลภเจตนา หาทรัพย์มาได้เท่าใด ก็พยายามเก็บรักษาเอาไว้ ไม่ยอมใช้จ่ายอะไรเกิน
ความจำเป็นเลย จิตยิง่ คุน้ เคยกับความโลภมากเท่าใด ก็ยง่ิ โลภจัดมากขึน้ เท่านัน้ ทุกๆ ๑๕ วัน ตะแกย่อมเรียก
ลูกหลานญาติพน่ี อ้ งมาประชุมกัน แล้วให้โอวาทว่า
“ดูกร เจ้าผูอ้ ยูใ่ นความปกครองของข้าทัง้ หลายเอ๋ย! สมบัตขิ องข้าทีม่ อี ยูป่ ระมาณ ๔๐ โกฏินน่ี ะ่ พวกเจ้า
ทัง้ หลายอย่าได้คดิ เห็นว่ามันเป็นของมากมายเลยเป็นอันขาด ทรัพย์ทเ่ี รามีอยูแ่ ล้ว ไม่ควรจะให้แก่คนทัง้ หลาย
อันมียาจกพวกขอทานและสมณะหัวโล้นเป็นอาทิ เพราะให้แก่คนพวกนีแ้ ล้วไม่มปี ระโยชน์ มีแต่โทษ คือความ
สิน้ เปลืองทรัพย์ของเราไปถ่ายเดียว ไม่มผี ลตอบแทน เราต้องพยายามหาทรัพย์มาเพิม่ เติมให้มากขึน้ เรือ่ ยๆ
ทุกครัง้ ทีเ่ ราจ่ายทรัพย์ไปแม้จะเป็นครัง้ ละเล็กละน้อย นัน่ คือภาวะทีจ่ ะไปสูค่ วามเป็นขีข้ า้ เขา เพราะทรัพย์จะ
ต้องมีอนั หมดลงไปในวันหนึง่ อันการทีพ่ วกเจ้าจะครองเรือนได้เป็นอย่างดีนน้ั จงจำภาษิตนีไ้ ว้ให้มน่ั ว่า อญฺชนานํ
ขยํ ทิสวฺ า... น้ำมันหยอดตา เมือ่ ใช้หยอดลงทีละหยด มันก็มวี นั หมดไปได้ ทรัพย์สมบัตนิ น้ั ไซร้ก็ เหมือนกัน
ใช้มนั ไปทีละสตางค์ ดังฤามันจะคงอยู่ อนึง่ พวกเจ้าจงดูจอมปลวก กว่ามันจะใหญ่โตเท่าภูเขาเลากา ขึน้ มาได้
ก็เพราะอาศัยความพยายามสะสมของปลวกตัวเล็กๆ ซึ่งมีน้ำอดน้ำทน มธุรสน้ำหวานในรวงผึ้ง กว่าจะ
ถึงซึง่ ความมากมายเป็นตุม่ เป็นไห มิเพราะอาศัยความพยายามสะสมทีละเล็กละน้อยแห่งหมูผ่ ง้ึ ตัวเล็กๆ ดอกหรือ
เจ้าทัง้ หลายจงถือเอาสัตว์ทง้ั สองนีเ้ ป็นครู พยายามสะสมทรัพย์เอาไว้ อย่าได้ใช้จา่ ยทรัพย์เป็นอันขาด”
⌫⌫
ธรรมดาก็เป็นคนอดอยากอยูแ่ ล้ว ให้อดอยากยากจนหนักเข้าไปอีก จะทำอะไรให้มอี นั เป็นขัดข้องไปหมด ในที่
สุด คนจัณฑาลทัง้ หลาย จึงประชุมปรึกษาหารือกันว่า
จัณฑาลบุคคลทัง้ ปวงปรึกษากันดังนีแ้ ล้ว ก็แยกกันอยูเ่ ป็น ๒ พวก ในไม่ชา้ ก็ปรากฏ พวกทีม่ ารดาบิดา
ของทารกผูม้ กี รรมนัน้ ไม่ได้อยูด่ ว้ ย กลับหาทรัพย์หาลาภผลได้งา่ ยเหมือนเดิม แต่พวกทีม่ ารดาบิดาของทารก
นัน้ อยูด่ ว้ ย ย่อมพากันถึงความยากไร้แม้แต่อาหารทีจ่ ะบริโภคเข้าไปก็มไิ ด้มี เมือ่ เป็นเช่นนีเ้ ขาทัง้ หลายจึงได้
ทดลองแยกกันอยู่เรื่อยๆ ไป โดยทำนองนั้นเพื่อจะควานหาตัวกาลกิณีให้ได้ ทดลองแยกกันไปจนถึงมารดา
บิดาแห่งทารกนัน้ เป็นทีส่ ดุ เมือ่ บิดาแห่งทารกแยกจากไปแล้วก็ได้ลาภผลเลีย้ งตนเป็นสุขสบาย ฝ่ายภรรยาซึง่
เป็นมารดาแห่งทารกนัน้ ต้องประสบกับความอดอยากยากกาย หาลาภผลมิได้เลยน่าอนาถนักหนา จัณฑาล
บุคคลทัง้ หลาย จึงพากันลงมติวา่
⌫
พระพุทธฏีกา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสให้บรุ ษุ ขอทานนัน้ เล่าประวัตขิ องตนในชาติกอ่ น พร้อม
ทัง้ ให้นำไปขุดขุมทรัพย์อกี ๔ แห่ง ซึง่ เขาแอบเอาไปฝังไว้คนเดียวในชาติทต่ี นเป็นอานันทเศรษฐีโดยไม่มใี ครรู้
มาให้ พอพิสูจน์ได้ดังนี้ มูลสิริเศรษฐีผู้ลูกจึงได้ศรัทธาและเลื่อมใสในพระพุทธวาจา เกิดความเชื่อถือในเรื่อง
กรรมตัง้ แต่วนั นัน้ เป็นต้นมา ด้วยประการฉะนี้
นีแ่ หละท่านผูม้ ปี ญ
ั ญาทัง้ หลาย อุปถัมภกกรรมฝ่ายอกุศล เริม่ ต้นเข้าทำหน้าทีอ่ ปุ ถัมภ์คำ้ ชูผมู้ อี กุศล
กรรมตัง้ แต่อยูใ่ นครรภ์มารดา ดลบันดาลให้ประสบกับความทุกข์ยากนานาประการ เช่นเรือ่ งของท่านอานันท
เศรษฐีผมู้ นี ำ้ ใจมากไปด้วยความตระหนี่ ผูม้ าเกิดเป็นคนกาลกิณที เ่ี ล่ามานี้ และบางทีอปุ ถัมภกกรรมฝ่ายอกุศลนี้
ก็ทำหน้าทีข่ องมันเรือ่ ยไป ทำให้ผมู้ กี รรมต้องประสบอุปสรรคความขัดข้องในการครองชีพไปจนตลอดชีวติ ก็มี
ฉะนั้น ปัญหาที่ว่าเหตุไฉนบุคคลบางคนในโลกนี้จึงมีแต่เคราะห์กรรมเสมอไป ประสบโชคร้ายอยู่เนืองนิตย์
ตลอดชีวติ มีแต่ความผิดหวัง ไม่ได้ความสุขความเจริญทัง้ ๆ ทีอ่ ตุ ส่าห์ทำมาหากินโดยสุจริตกรรมจนสายตัวแทบ
ขาด? ปัญหานีน้ า่ จะสลัดปัดทิง้ ออกไปได้ เมือ่ เราได้ทราบถึงหน้าทีแ่ ห่งอุปถัมภกกรรมฝ่ายอกุศลตามทีก่ ล่าวมา
นีด้ ว้ ยดี
⌫⌫
“ข้าแต่ทา่ นผูเ้ ป็นนาย! ถ้าแต่แรกข้าพเจ้าทราบว่าท่านจะมาปฏิสนธินน้ั ข้าพเจ้าจะมิให้ทา่ นมาปฏิสนธิ
ในครรภ์มารดา ณ มนุษยโลกอันมีความสุขเล็กน้อยนี่เลย ข้าพเจ้านี้จะพยายามพาท่านไปบังเกิดในสุคติภพ
เป็นเทวดาในสรวงสวรรค์ ให้ได้เสวยทิพยสมบัตเิ ป็นสุขอยูท่ น่ี น่ั เสียทีเดียว จะห้ามมิให้ทา่ นมาเกิดอยูท่ น่ี แ่ี น่ๆ
แต่นข่ี า้ พเจ้าตามท่านไม่ทนั เอาเถิด ถึงแม้วา่ จะตามท่านไม่ทนั แต่ตน้ แต่เดิมแล้วก็แล้วกันไปเถิด ขอท่านอย่า
เพิง่ น้อยน้ำใจเลย อันตัวข้าพเจ้านีม้ ชี อ่ื ว่า “อุปถัมภกกรรมฝ่ายกุศล” มาพบท่านผูเ้ ป็นนายเข้าทีน่ แ่ี ล้ว ก็จะ
เป็นผูบ้ ำรุงท่านให้ได้ถงึ ซึง่ ความสุข ตามความสามารถของข้าพเจ้าทีจ่ กั กระทำได้”
⌫
ถึงคราวทีอ่ ปุ ถัมภกกรรมฝ่ายกุศล จักดลบันดาลให้บรุ ษุ ผูม้ ฐี านะต่ำต้อยนัน้ ได้รบั ความสุขความเจริญ
ด้วยอำนาจแห่งกุศลกรรมทีเ่ ขาได้สร้างไว้แต่ปางบรรพ์ ฉะนัน้ เขาจึงมีจติ ยินดีรบี เดินทางไปตามคำแนะนำของ
ภรรยา เดินไปพลางร้องเพลงไปพลางด้วยความครึม้ อกครึม้ ใจ เดินล่วงหนทางไปได้ ๖ โยชน์ ในขณะนัน้ เป็น
เวลาเที่ยงวัน กำลังร้อนจัด เขาเดินไปบนทรายอันร้อนผ่านหน้าพระลานหลวง ในขณะนั้นสมเด็จพระเจ้า
อุทยราชาธิบดี ซึง่ ทรงเป็นพระราชาพระนครพาราณสีสมัยนัน้ ได้ทอดพระเนตรเห็นเขาผูเ้ ป็นคนรับจ้างเดินพลาง
ร้องเพลงไปพลางอย่างคนมีความสุข ก็ทรงนึกเอ็นดูและทรงดำริวา่
“ไฉนหนอ บุรุษผู้นี้จึงไม่กลัวแดดร้อนเดินร้องเพลงไปอย่างอารมณ์เย็นเช่นนี้ ควรที่เราจะถามดูให้รู้
สาเหตุสกั หน่อยเถิด”
ทรงพระดำริดงั นีแ้ ล้ว จึงรับสัง่ ให้ราชบุรษุ ไปเรียกบุรษุ รับจ้างนัน้ เข้ามา เมือ่ เขามาสูท่ เ่ี ฝ้าแล้ว พระองค์
จึงมีพระราชดำรัสถามด้วยพระทัยกรุณาว่า
“ดูกร บุรษุ ผูเ้ จริญ! เหตุอนั ใดท่านจึงเดินร้องเพลงมาในเพลาแดดร้อนจัดเช่นนี้ จะไปข้างไหนด้วยธุระ อะไร
ไหนลองเล่าให้เราฟังสักหน่อยเถิด”
สมเด็จพระราชาธิบดีจงึ ตรัสถามอีกว่า
“ท่านเดินไปไม่รอ้ นแย่หรือ ทรัพย์ของท่านมีประมาณเท่าใด สักพันหนึง่ หรือว่าสองพัน?”
⌫⌫
สมเด็จพระเจ้าอุทยราชาธิบดีได้ทรงสดับถ้อยคำอันคมคายดังนั้น ก็ทรงพระสรวลแล้วจึงทรงมี
พระมหากรุณาตรัสว่า
“ดูกร บุรษุ ผูเ้ จริญ! ถ้ากระนัน้ ท่านอย่าเดินตากแดดไปให้รอ้ นเลย เราจะให้ทรัพย์กง่ึ มาสกแก่ทา่ นเอง
แล้วจงรีบกลับไปหาภรรยาของท่านเล่นการมหรสพกันให้เป็นทีส่ นุกสนานเถิด”
⌫
อุปถัมภกกรรมฝ่ายกุศล ดลบันดาลให้บรุ ษุ เข็ญใจได้รบั ความสุขสบายในชาติน้ี โดยให้ได้เป็นสมเด็จ
พระราชาได้อย่างไม่นา่ เชือ่ อย่างนีแ้ ล้วยังไม่พอ ยังทำหน้าทีอ่ ปุ ถัมภ์คำ้ ชูให้ได้รบั ความสุขในชาติหน้ายิง่ ขึน้ ไปอีก
ตามเรือ่ งปรากฏมีตอ่ ไปว่า
⌫⌫
“ข้าแต่พระองค์ผทู้ รงพระคุณอันประเสริฐ! ขอพระองค์จงทรงอดโทษแก่ขา้ พระบาทด้วยเถิด พระเจ้าข้า”
⌫
ไว้แต่ปางก่อน ย้อนกลับมาสำเร็จรูปเป็นอุปถัมภกกรรม คอยทำหน้าทีอ่ ปุ ถัมภ์คำ้ ชูสนันสนุนให้ประสบความ
เจริญรุง่ เรืองในชีวติ ให้ได้ประสบความสุขในชาตินแ้ี ล้วยังไม่พอ ยังพนอให้เกิดกุศลจิตคิดเห็นโทษแห่งกามตัณหา
แล้วเข้าป่าไปบวชเป็นฤาษี ได้สำเร็จฌานอภิญญาอันเป็นเหตุให้ได้ประสบความสุขในชาติหน้าอีกด้วย นีแ่ หละ
คือหน้าทีข่ องอุปถัมภกกรรมฝ่ายกุศล ทีค่ อยดลบันดาลชักใยอยูเ่ บือ้ งหลังแห่งชีวติ สัตว์บคุ คลทัง้ หลาย เมือ่ เรา
ได้ทราบความหมายแห่งอุปถัมภกกกรมฝ่ายกุศลนีเ้ ป็นอย่างดีแล้ว ต่อไปนี้ ปัญหาค้างใจต่างๆ เช่นปัญหาทีว่ า่
เหตุไฉน บุคคลบางคนในโลกนีจ้ งึ ดูเหมือนว่าเป็นคนโชคดีอยูเ่ สมอ ทัง้ ๆ ทีใ่ นชัว่ ชีวติ นีเ้ ขาก็ไม่ได้ประกอบคุณ
งามความดีเกินกว่าคนอืน่ เลย ก็เหมือนๆ กันนัน่ แหละ แต่ทำไมเขาจึงประสบความเจริญรุง่ เรืองในชีวติ เกินกว่า
คนธรรมดามากมาย? ปัญหานีค้ วรจะสลัดปัดทิง้ ออกไปจากจิตใจได้แล้ว ทัง้ นีก้ เ็ พราะเราได้รบั คำตอบว่า ทีเ่ ป็น
เช่นนัน้ ก็เพราะอุปถัมภกกรรมฝ่ายกุศลนัน่ เอง อุปถัมภกกรรมฝ่ายกุศลของเขาเข้าทำหน้าทีด่ ลบันดาลให้เขา
เป็นคนโชคดีอยูเ่ สมอ ทัง้ ๆ ทีเ่ จ้าตัวก็อาจจะไม่รเู้ สียด้วยซ้ำไป
⌫⌫
อุปปีฬกิ กรรม
อุปปีเฬตีติ อุปปีฬกิ ํ
กรรมใด ย่อมทำหน้าทีเ่ บียดเบียนกรรมอืน่ ๆ ทีม่ สี ภาพตรงข้ามกับตน
กรรมนัน้ ชือ่ ว่าอุปปีฬกิ กรรม
อุปปีฬกิ กรรม นี้ ย่อมทำหน้าทีเ่ บียดเบียนซึง่ สุขและทุกข์อนั กรรมอืน่ ให้บงั เกิด อันกรรมอืน่ ให้อบุ ตั ิ
แล้วตัดซึง่ สุขและทุกข์อนั กรรมอืน่ ให้บงั เกิด มิได้ให้เพือ่ จะให้ผลแก่กรรมอืน่ ตัดเสียซึง่ ผลแห่งกรรมอืน่ แล้วให้
ผลด้วยตน !
⌫
ในขณะที่กุศลกรรมอันสัตว์บุคคลทั้งหลายได้กระทำไว้แต่ปางก่อน กำลังส่งผลให้เจ้าของกรรมดีได้
ประสบความสุขความเจริญ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สมบัติลาภยศบริวาร ที่เคยยากจนก็กำลังทำท่าว่าจะ
เป็นคนมัง่ มี ทีม่ ง่ั มีอยูแ่ ล้วก็กำลังจะรวยใหญ่กลายเป็นเศรษฐี หากว่าเป็นชีเป็นสงฆ์ผบู้ วชมุง่ ตรงต่อมรรคผล
นิพพาน ก็กำลังมีอาการทำท่าว่าจะได้บรรลุมรรคผลนิพพานในเวลาไม่นาน รวมความแล้วก็วา่ ชีวติ กำลังเจริญ
งอกงามก้าวหน้าไปในทางทีด่ นี น้ั หากว่าอุปปีฬกิ กรรมฝ่ายอกุศลตามมาทัน มันจะทำหน้าทีเ่ บียดเบียนบัน่ ทอน
ชีวิตที่กำลังก้าวหน้านั้น ให้อับเฉาหยุดความก้าวหน้าลงทันที มิให้กุศลกรรมผลิตผลเป็นสุขสวัสดิมงคลได้
เปรียบเหมือนพฤกษาลดาวัลลิ์ ทีก่ ำลังเจริญงอกงามทรงดอกออกผลอันโอชารสน่าชืน่ ชมยินดีเป็นนักหนา แต่มี
คนบ้าใจร้ายมาสับฟันบัน่ รอนถอนทิง้ ให้ถงึ ความวิบตั ิ สิน้ ดอกและผลทุกสิง่ ทุกอันฉะนัน้ ตามทีก่ ล่าวมานีค้ อื
อาการทีอ่ ปุ ปีฬกิ กรรมฝ่ายอกุศลเข้าเบียดเบียนทำร้ายกุศลกรรมทีม่ สี ภาพตรงกันข้ามกับตน, อนึง่
“ดูกร คนชัว่ คนร้าย ! เราไม่รเู้ ลยว่าท่านมาบังเกิดอยู่ ณ ทีน่ ่ี และกำลังจะได้ดมี คี วามสุข ถ้ารูแ้ ล้วก็จะมิ
ให้ทา่ นมาบังเกิดได้เป็นอันขาด เรานีจ้ กั พาท่านไปสูอ่ บาย คือ จักให้ทา่ นไปบังเกิดในนรก หรือมิฉะนัน้ ก็จกั ให้
ท่านไปบังเกิดในเปรตวิสยั มิฉะนัน้ ก็จกั ให้ทา่ นไปบังเกิดในอสุรกายเป็นกาฬกัญชิกาสูร มิฉะนัน้ ก็จกั ให้ทา่ นไป
บังเกิดเป็นสัตว์เดียรฉานทีช่ ว่ั ช้าลามก ให้สมกับทีท่ า่ นเป็นคนไม่ดมี าก่อน ถึงแม้ทา่ นจะมาบังเกิดเป็นมนุษย์แล้ว
และได้ประสบความสุขความเจริญมานานแล้วอย่างนีก้ ต็ าม ก็อย่าได้ทนงว่าจะรอดตัว อย่าสงสัยว่าจะได้ความ
สุขความเจริญต่อไปเลย ท่านจะดีจะเจริญอย่างไรและจักเกิดในทีใ่ ดทีห่ นึง่ ก็ตามทีเถิด การทีท่ า่ นจะหนีไปให้พน้
⌫⌫
อำนาจแห่งเรานี้หนีไปไม่พ้นเป็นอันขาด เรานี้รู้ไหมเล่าว่าจะเป็นอะไร เมื่อไม่รู้ก็จะบอกให้ เรานี้ชื่อว่า
อุปปีฬกิ กรรมฝ่ายอกุศล ทีท่ า่ นสร้างได้ตดิ ตามท่านมานานแล้ว เพิง่ มาพบท่านกำลังได้ดมี คี วามสุขเพราะถูก
เจ้ากุศลกรรมความดี ซึง่ เป็นปรปักษ์กบั เรามันสนับสนุนท่านอยู่ บัดนีเ้ ราก็ได้ขบั ไล่เจ้ากุศลกรรมนัน้ ให้มนั ไป
พ้นตัวท่านแล้ว เหลือแต่ตวั ท่านผูเ้ ดียวแท้ๆ ไม่มใี ครช่วยเหลือ เราก็จกั บีบคัน้ ท่านให้ถนัดมือ จักทำให้ทา่ นได้
ทุกข์ได้ยาก จักทำให้ท่านได้ความลำบาก จักทำให้ไม่มีโอกาสได้ลืมตาอ้าปากขึ้นเลย จักทำให้ท่านผิดหวัง
สิ่งไรที่ท่านหวังไว้ จักทำให้พังพินาศจนหมดสิ้น ทำดังนี้เพื่อให้สาสมกับน้ำใจไม่ดีของท่าน เพราะท่านเป็น
คนพาลเป็นคนหยาบช้าเคยก่อกรรมทำเข็ญมาก่อน”
มีอาการประหนึ่งว่าจะกล่าวคำขู่ตะคอก และพร่ำด่าว่าด้วยความอาฆาตพยาบาทมานานดังนี้แล้ว
อุปปีฬกิ กรรมฝ่ายอกุศลนัน้ ทำหน้าทีข่ องมัน โดยเข้าเบียดเบียนกระทำให้ประสบกับความวิบตั นิ านาประการ
ชีวิตที่กำลังทำท่าว่าจะรุ่งเรืองสุกใส ก็กลายเป็นชีวิตที่อับเฉาเศร้าหมอง โดยไม่มีใครคาดฝัน ในกรณีที่
อุปปีฬกิ กรรมฝ่ายอกุศลเข้าทำหน้าทีข่ องมันนี้ พึงเห็นตัวอย่างตามเรือ่ งทีจ่ ะเล่าให้ฟงั ดังต่อไปนี้
สุนกั ขัตตลิจฉวี
ได้สดับมาว่า อดีตกาลนานมาแล้ว ยังมีบรุ ษุ ผูห้ นึง่ ซึง่ มีเคหะสถานอยูใ่ กล้พระวิหารอันเป็นทีอ่ ยูข่ อง
ภิกษุสามเณรทัง้ หลาย ใกล้คำ่ วันหนึง่ ขณะทีบ่ รุ ษุ ผูน้ น้ั กำลังอาบน้ำอยูท่ ท่ี า่ หน้าบ้านของตน สามเณรน้อยน่า
รักองค์หนึง่ ขีน่ าวาเล่นผ่านมา เขามีจติ คะนองคิดจะแกล้งสามเณรเล่น จึงเอามือวักน้ำสาดไปทีเ่ รือ สามเณรก็
หลบกายด้วยหมายจะมิให้ถกู กระแสธารา นาวานัน้ ก็ลม่ ลงในนที สามเณรน้อยกลัวแต่มรณภัย ก็รบี ว่ายน้ำใจ
คอหาย ส่วนปากก็ตะโกนกล่าววาจาเป็นคำหยาบใส่หน้าบุรษุ นัน้ มนุษย์ผหู้ วังจะแกล้งสามเณรน่ารักเล่นในตอน
แรก ก็บงั เกิดความโกรธ จึงประหารกกหู คือตบทีห่ สู ามเณรปากดีนน้ั เสีย ๒ - ๓ ที แล้วก็ชว่ ยยกสามเณรนัน้
จากวารีขน้ึ สูร่ มิ ฝัง่ แล้วก็กลับบ้านด้วยอารมณ์ขนุ่ มัว
⌫
เมื่อได้สำเร็จทิพพจักขุอภิญญา มีดวงตาประดุจทิพย์สามารถที่จะแลเห็นสิ่งต่างๆ เช่นเทวโลก และ
พรหมโลก เป็นต้น อันนอกเหนือวิสยั ของคนธรรมดาสามัญแล้ว สุนกั ขัตตลิจฉวีภกิ ษุใหม่นน้ั ก็ดใี จนัก มีความ
เคารพเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นอันมาก หวังใจไว้ว่าจักปฏิบัติตามศาสนธรรมคำสอนอันวิเศษเป็น
มหัศจรรย์นี้ให้ถึงที่สุด ตราบเท่าบรรลุถึงโลกุตรภูมิ แต่ในขณะนี้ตนใคร่จักได้บรรลุอภิญญาอันดับต่อไป คือ
“ทิพพโสตอภิญญา” เสียก่อน จึงเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบทูลขอซึ่งบริกรรมภาวนาใน
ทิพพโสตอภิญญาสืบต่อไป สมเด็จพระพุทธองค์กท็ รงประทานบริกรรมภาวนาให้ตามทีท่ ลู ขอ แต่ไม่ทรงประทาน
อุบายวิธใี ห้แต่อย่างใด เหตุใด พระองค์จงึ ไม่ทรงประทานอุบายวิธี เพือ่ ให้เกิดทิพพโสตอภิญญาแก่สนุ กั ขัตตลิจ
ฉวีภกิ ษุ? เพราะสมเด็จพระพุทธองค์ทรงทราบว่า จักมีอปุ ปีฬกิ กรรมมาเบียดเบียน ! ด้วยว่าสุนกั ขัตตลิจฉวีน้ี
ในชาติปางก่อน ได้เคยตบกกหูสามเณรด้วยโทสจริต กรรมนัน้ จักผลิตผล เป็นอุปปีฬกิ กรรมมาเบียดเบียนมิให้
ทิพพโสตอภิญญาเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้น พระองค์จึงประทานแต่บริกรรมภาวนาเท่านั้น หาได้ทรงประทาน
อุบายวิธแี ต่ประการใดไม่
⌫⌫
สาวกทัง้ หลาย ทีเ่ ข้าใจกันว่า ได้สำเร็จโลกุตรธรรมเป็นพระอรหันต์ตามพระองค์ ก็คงเปล่าคือไม่เป็นจริงทัง้ สิน้
จะได้อย่างมากก็เพียงแค่ทพิ พจักขุอภิญญาเท่าทีเ่ ราได้นเ้ี ท่านัน้ เป็นอันว่าพระพุทธศาสนาทีเ่ ราหลงเคารพบูชา
เกือบเป็นเกือบตาย ก็มคี วามดีอย่างสูงสุดเพียงแค่นเ้ี อง เราจะอยูไ่ ปใยเล่า อยูไ่ ปในศาสนานีก้ ไ็ ม่มปี ระโยชน์อะไร
จำเราจะไปแสวงหาคุณวิเศษในศาสนาอืน่ ดีกว่า”
⌫
ภิกษุผมู้ กี รรม
ได้สดับมาว่า ยังมีมาณพหนุม่ ผูห้ นึง่ ซึง่ มีดวงใจเลือ่ มใสในพระบวรพุทธศาสนา จึงเข้าไปขอบรรพชา
อุปสมบทในสำนักพระภิกษุสงฆ์แห่งหนึง่ ครัน้ อุปสมบทแล้ว พระภิกษุหนุม่ รูปนัน้ ก็เรียนถามพระอุปชั ฌาย์ถงึ
ธุระในพระพุทธศาสนา เมือ่ ได้ทราบว่า ธุระในพระพุทธศาสนามี ๒ อย่าง คือ คันถธุระ ได้แก่ศกึ ษาเล่าเรียน
พระบาลีพทุ ธวจนะ ๑ วิปสั สนาธุระ ได้แก่การบำเพ็ญวิปสั สนาเพือ่ ประโยชน์อนั สูงสุดคือมรรคผลนิพพาน ๑
ภิกษุนั้นตั้งใจว่าจักบำเพ็ญคันถธุระ คือเรียนพุทธวจนะบาลีก่อน แล้วจึงจักบำเพ็ญวิปัสสนาธุระ เพื่อบรรลุ
มรรคผลนิพพานอันเป็นธรรมวิเศษต่อภายหลัง ครัน้ ตัง้ ใจดังนีแ้ ล้วก็กราบลาพระอุปชั ฌาย์ เดินทางมุง่ หน้าไป
สูท่ ฆี วาปีวหิ าร ซึง่ มีพระอาจารย์ผเู้ ชีย่ วชาญในคันถธุระและวิปสั สนาธุระอยูป่ ระจำ ณ ทีน่ น่ั ครัน้ ถึงแล้วจึงเข้า
ไปกราบเรียนบอกความประสงค์แห่งตน
“ขอพระเดชพระคุณได้โปรดกรุณารับเกล้ากระผมเข้าอยู่สำนักด้วยเถิด แม้จักมีกฎกติกาว่าอย่างไร
เกล้ากระผมก็ยนิ ดีทจ่ี ะปฏิบตั ติ ามทัง้ สิน้ เพราะการทีเ่ กล้าฯ อุตสาหะเดินทางจากบ้านเกิดมาไกล ก็ตง้ั ใจทีจ่ ะ
บำเพ็ญธุระในพระศาสนาทัง้ ๒ ตามพระโอวาทานุสาสนีแห่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดา และก็ได้ทราบว่าพระ
เดชพระคุณเป็นผูช้ ำนาญในธุระทัง้ ๒ นัน้ เป็นยิง่ นักจึงใคร่จกั ฝากตัวเป็นศิษย์ ขออย่าให้เกล้าฯ ผิดหวังในครัง้ นีเ้ ลย”
ภิกษุหนุม่ กล่าววิงวอนดังนีเ้ ป็นหลายครัง้ หลายหน
“ท่านจักให้สญ
ั ญาแก่เราอย่างหนึง่ ได้ไหมเล่า?” ท่านอาจารย์เฒ่าผูท้ รงพิทยาคุณกล่าวขึน้ หลังจากนิง่
อึง้ อยูน่ าน
⌫⌫
ครัน้ เห็นพระภิกษุหนุม่ รับปากมัน่ คงแข็งแรง ดังนัน้ ท่านอาจารย์ผเู้ ชีย่ วชาญก็เริม่ บอกอุทเทสบาลีอนั
เป็นฝ่ายคันถธุระ พระผู้หนุ่มนั้นก็ตั้งใจศึกษาทั้งเช้าค่ำด้วยความอุตสาหะเป็นอันดีในไม่ช้าก็สำเร็จการศึกษา
ซึง่ นำความพอใจมาให้ทา่ นอาจารย์เป็นยิง่ นัก
⌫
“ข้าแต่พอ่ และแม่ทง้ั สอง ! ถ้าลูกนีไ้ ม่ได้พระภิกษุหนุม่ ทีเ่ ธอมาบิณฑบาตนัน้ เป็นสามีดงั ใจปอง เห็นว่า
ชีวติ ของลูกนีต้ อ้ งตายไม่รอดเป็นคน จะขอลามารดาบิดาตายเสียในครัง้ นี”้
⌫⌫
“สุดทีม่ ารดาบิดาจะอ้อนวอนเจ้ากูได้แล้ว ด้วยว่าเธอเคร่งครัดตัดขาดไม่อาลัย ว่าเท่าไรวอนเท่าไรเจ้ากูก็
ไม่ยนิ ดี จะเสียใจไปใยนะเจ้า ลูกจงลุกขึน้ กินข้าวกินน้ำเสียเถิด จะหาให้เจ้าใหม่เลือกเอาแต่ทด่ี ๆี มีรปู งามตาม
ใจเจ้าทุกสิง่ สรรพ์”
ธิดาสาวผูม้ นี ำ้ ใจใฝ่รกั ในพระภิกษุหนุม่ เป็นยิง่ นัก เมือ่ รูว้ า่ ตนพลาดรักดังนัน้ ก็หนั หลังให้บดิ ามารดา
แล้วปริเทวนาการร่ำไห้สะอึกสะอื้นด้วยความน้อยใจในวาสนาตัว มีความประสงค์ที่จะตาย จึงไม่รับประทาน
อาหารเป็นเวลานานถึง ๗ วัน ไฟราคะก็เข้าเผาผลาญสังหารจิต สิน้ ชีวติ ลงอย่างน่าสงสาร ! มารดาบิดามีความ
เสียใจอย่างสุดซึง้ แทบว่าจะขาดใจไปตามบุตรสาว ในทีส่ ดุ เมือ่ กระทำสรีรกิจปลงศพบุตรสาวสุดรักแล้ว จึงนำ
เอาผ้าสีเหลืองซึง่ บุตรสาวเคยห่มนัน้ ไปถวายแก่ภกิ ษุสงฆ์ ณ วิหารใกล้บา้ น พระภิกษุสงฆ์ทง้ั ปวงก็ตดั ผ้านัน้
ออกเป็นท่อนๆ แล้วแจกกัน เป็นการแบ่งปันลาภซึง่ ได้มาโดยชอบธรรมตามธรรมเนียมสงฆ์ พระภิกษุแก่องค์
หนึง่ เป็นหลวงตา ได้รบั แจกผ้าท่อนหนึง่ เป็นส่วนของตน แล้วก็ออกจากวิหารนัน้ เดินไปยังทีฆวาปีวหิ าร
“มันมีประวัตนิ ะซิ” หลวงตาแก่พดู ขึน้ และการพูดมากนีก่ เ็ ป็นธรรมดาของหลวงตาเฒ่าผูน้ อ้ี ยูแ่ ล้ว เพราะ
ฉะนัน้ ตะแกจึงพูดเรือ่ ยเปีอ่ ยไปตามทีไ่ ด้ยนิ ได้ฟงั มา บางทีกเ็ พิม่ เติมเอาบ้างก็มี “ผ้าผืนนีท้ เ่ี ห็นว่าสวยก็เป็นของ
ธรรมดา แต่วา่ เจ้าของผ้านัน่ สิ กลับสวยกว่าเป็นไหนๆ ด้วยว่าเจ้าของผ้าผืนนีเ้ ป็นสาวแต่วา่ น่าสงสารทีต่ อ้ งมาตาย
ด้วยเหตุอนั ไม่สมควร เหตุทเ่ี จ้าจะตายนัน้ เขาเล่ากันว่า เมือ่ ประมาณสัก ๗ - ๘ วันมานี้ มีพระภิกษุโง่รปู หนึง่
เข้าไปบิณฑบาตในบ้านเจ้า จะเป็นเพราะปุพเพสันนิวาสหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ เจ้าเกิดรักภิกษุนน้ั อย่างจับจิต
จับใจในขณะทีไ่ ด้เห็นหน้ากันเท่านัน้ ถึงกับไม่ยอมกินข้าวกินปลา พ่อแม่เห็นท่าจะไม่ได้การ จึงเข้าไปหาพระรูป
นัน้ เล่าเรือ่ งให้ฟงั และนิมนต์ให้ไปบ้าน พระงัง่ นัน่ ก็ใจไม้ไส้ระกำสิน้ ดี แทนทีจ่ ะตอบรับหรือพูดกับแกดีๆ กลับ
บอกปัดอย่างสิน้ อาลัยใยดีวา่ จะเข้ากรรมฐาน นางผูน้ า่ สงสารทนพิษรักทรมานอยู่ ๗ วันก็ตรอมใจตาย ก่อนที่
จะตายก็พร่ำเพ้อรำพันถึงพระรูปนัน้ จนสิน้ ใจ วันนีเ้ ขาเอาศพไปเผาทีป่ า่ ช้า แล้วเอาผ้าผืนนีท้ เ่ี จ้าเคยรักถวายแก่
พระภิกษุสงฆ์ให้แบ่งกัน เราคิดๆ ไปก็ให้สงสารนางผูไ้ ร้เดียงสาสุดกำลัง และเกลียดชังพระงัง่ ซึง่ เป็นต้นเหตุให้
นางตายเหลือเกิน ไม่รวู้ า่ เป็นพระอยูว่ หิ ารไหน หรือว่าจะเป็นท่านเสียก็ไม่รู้ ไหน...ได้ขา่ วว่าจะเข้ากรรมฐานด้วย
เหมือนกันมิใช่รึ ?” ถามขึน้ ในตอนท้ายด้วยหวังจะล้อเล่น
⌫
แต่ถา้ หากหลวงตาแก่ปากมากผูน้ น้ั จะสังเกตสีหน้าภิกษุหนุม่ คูส่ นทนา ก็จะรูไ้ ด้วา่ ไม่ใช่เป็นเรือ่ งล้อเล่น
เสียแล้ว เพราะในขณะทีฟ่ งั หลวงตาแก่เล่าไปตามอารมณ์นน้ั ภิกษุหนุม่ ผูม้ กี รรมเกิดความหวัน่ ไหวขึน้ ในดวงจิต
ตื้นตันใจสงสารนางสุดพรรณนามองเห็นภาพนางที่กำลังใส่ข้าวยาคูลงในบาตรตนด้วยอาการอันประหม่าใน
วันนัน้ มาลอยเด่นอยูต่ รงหน้า จึงได้แต่รำพึงรำพันด้วยความเสียใจอย่างสุดซึง้ ว่า
“ดูกรท่านผูเ้ ป็นคนดี ! เรานีม้ คี วามเสียใจนัก ไม่รวู้ า่ ท่านทีเ่ รารัก จักมาบังเกิดอยู่ ณ ทีน่ ่ี และกำลัง
เผชิญกับเคราะห์รา้ ยอย่างน่าเวทนา ถ้าเรารูเ้ รือ่ งแต่เดิมทีแล้ว ก็จกั มิยอมให้ทา่ นมาบังเกิดทีน่ เ่ี ลยเป็นอันขาด
เรานีจ้ กั สูอ้ ตุ ส่าห์พาท่านไปเกิดเป็นเทวดา สถิตอยู่ ณ จาตุมหาราชิกาภูมิ หรือมิฉะนัน้ ก็จะพากันไปอุบตั เิ กิด ณ
ตาวติงสาภูม,ิ ยามาภูม,ิ ดุสติ าภูม,ิ นิมมานรตีภมู ,ิ ปรนิมมิตวสวัตตีภมู ิ สถิตเสวยสุขอยู่ ณ สรวงสวรรค์ให้สม
กับการทีท่ า่ นเป็นคนดีมาก่อน เอาเถิด ถึงแม้วา่ ท่านจักได้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว และได้ประสบ กับความทุกข์
ยากลำบากมานานแล้วอย่างนี้ก็ตาม ขอท่านจงอย่าได้น้อยน้ำใจไปเลย อย่าระแวงใจว่าจะไม่ได้ดีมีความสุข
ความเจริญ เรานีช้ อ่ื อุปปีฬกิ กรรมฝ่ายกุศล ทีท่ า่ นสร้างไว้ ติดตามท่านผูเ้ ป็นนายมานานแล้ว เพิง่ มาพบท่าน
⌫⌫
วันนี้ ได้เห็นท่านกำลังเคราะห์รา้ ยมีชวี ติ อับเฉา เพราะถูกเจ้าอกุศลกรรมความชัว่ ซึง่ เป็นปรปักษ์กบั เรา มัน
กำลังเข้าเบียดเบียนบีฑาท่านอยู่ จึงได้ตอ่ สูแ้ ละขับไล่เจ้าอกุศลกรรมจัญไรนัน้ ไปหมดแล้ว บัดนีข้ อท่านจงทำใจ
ให้ผอ่ งแผ้วเถิด เรานีจ้ กั ทำให้ทา่ นได้ดมี คี วามสุข จักทำให้ทา่ นพ้นทุกข์พน้ ภัย จักทำให้ทา่ นได้ประสบความ
สดใสแห่งชีวติ ตลอดไป สิง่ ไรทีท่ า่ นหวังไว้ ก็จกั ช่วยให้สำเร็จสมความปรารถนา ทำดังนีใ้ ห้สาสมกับน้ำใจดีของ
ท่าน เพราะแต่ปางก่อนนัน้ ท่านเป็นคนดี ได้เคยก่อกรรมทำดีเอาไว้...”
ต้นคดปลายตรง
ได้สดับมาว่า สมัยพุทธกาล ยังมีบรุ ษุ ผูห้ นึง่ ซึง่ เป็นคนมีลกั ษณะเหีย้ มโหดดุรา้ ย นัยน์ตาเหลือกเหลือง
ผมเผ้าพะรุงพะรังดังคนป่า ทัว่ กายาโดยเฉพาะทีห่ น้าอกมีขนงอกออกมา หนวดเครายาวรุม่ ร่ามมีสแี ดง รวม
ความแล้วก็วา่ เขาเป็นคนมีทา่ ทางดุรา้ ยน่าเกรงขามยิง่ นัก นายเคราแดงนีไ้ ม่มอี าชีพอะไร วันหนึง่ เพือ่ นกลุม้ ใจ
จึงเดินทางเข้าไปสูป่ า่ ใหญ่ ตัง้ ใจว่าจะไปสมัครเป็นโจร ครัน้ ไปถึงบริเวณซ่องโจรแล้ว ก็ถกู หมูโ่ จรต้นทางพาเข้า
ไปหานายโจร ซึง่ กำลังนอนสบายอยูใ่ นซ่อง
“เอ็งมาทำไม?” นายโจรถาม
⌫
พิจารณาดูลกั ษณะเสร็จสิน้ ด้วยความรอบคอบตามวิสยั แห่งนายโจรแล้วก็บอกปฏิเสธ ไม่รบั เข้าเป็น
สมัครพรรคพวก นายเคราแดงผูผ้ ดิ หวังก็ไม่ละทิง้ ความพยายาม อุตส่าห์เข้าไปฝากตัวอยูก่ บั สมุนโจรคนหนึง่
พยายามรับใช้ปฏิบตั ใิ ห้เป็นทีถ่ กู ใจ แล้วก็ออ้ นวอนให้สมุนโจรคนนัน้ นำตนเข้าไปฝากกับนายโจรอีกครัง้ หนึง่
สมุนโจรก็นำเขาเข้าไปหานายโจร แล้วช่วยพูดสนับสนุนให้นายโจรเห็นว่านายเคราแดงนัน้ เป็นคนดีสมควรทีจ่ ะ
รับไว้เพือ่ เป็นกำลังต่อไป นายโจรทนต่อคำวิงวอนไม่ได้กร็ บั ไว้ทง้ั ๆ ทีไ่ ม่คอ่ ยจะเต็มใจเท่าใดนัก
เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ทำตามคำพิพากษาได้รับความหนักใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะพวกโจรมีมากมาย
เหลือเกิน และผูท้ จ่ี ะทำหน้าทีป่ ระหารก็ไม่มี ในทีส่ ดุ จึงถามนายโจรขึน้ ว่า
⌫⌫
“ถ้าเช่นนัน้ พวกท่านจงไปตามตัวเขา แล้วบอกว่าข้าพเจ้าต้องการพบ ขอให้ทา่ นพยายามตามเอาตัว
มาให้ได้” เจ้าพนักงานผูเ้ ป็นหัวหน้าออกคำสัง่
⌫
ภรรยาผู้รู้ใจเขา ก็จัดแจงยกเอาอาหารอันประณีตล้วนแต่อร่อยเลิศรสมาวางไว้ตรงหน้า พร้อมทั้งน้ำล้างมือ
แล้วก็เชือ้ เชิญให้เขาบริโภค
อุปปีฬกิ กรรมฝ่ายกุศล ทีเ่ ขาได้สร้างสมเอาไว้แต่ปางบรรพ์ ได้เริม่ ทำหน้าทีแ่ ล้ว นัน่ คือ เช้าวันนัน้ องค์
พระธรรมเสนาบดีสารีบตุ รเถระออกจากนิโรธสมาบัตแิ ล้ว พระผูเ้ ป็นเจ้าจึงพิจารณาดูทภ่ี กิ ขาจารแห่งตนว่า
เมื่อพระผู้เป็นเจ้าพิจารณาไป ก็เห็นนายเคราแดงผู้เป็นเพชฌฆาตฆ่าโจรมาข้องอยู่ในข่ายแห่งญาณ
แล้วพระผูเ้ ป็นเจ้าจึงพิจารณาสืบต่อไปว่า เมือ่ ไปโปรดเขาแล้วจักมีผลเป็นอย่างไร ในทีส่ ดุ ก็เห็นว่า
“อุบาสก ! จงบริโภคอาหารอันเป็นส่วนของท่านเถิด”
⌫⌫
เขาจึงเรียกคนใช้มาให้พัดพระเถระแทน แล้วตนเองก็เริ่มลงมือบริโภคอาหารอันเลิศรสตามความ
ปรารถนา ครัน้ รีบบริโภคจนอิม่ แล้ว จึงกลับมายืนพัดพระเถระตามเดิม
แล้วก็ตั้งอกตั้งใจฟังพระธรรมเทศนาที่องค์ธรรมเสนาบดีแสดงอนุโมทนาทานอย่างแน่วแน่ พอจบ
พระธรรมเทศนา เขาผูม้ วี าสนาเพราะอุปปีฬกิ กรรมฝ่ายกุศลเข้าอุดหนุนก็ได้อนุโลมิกขันติกปัญญา ก็อนุโลมิก
ขันติกปัญญานี้ เป็นปัญญาทีอ่ ยูใ่ กล้พระโสดาปัตติมรรค ครัน้ องค์ธรรมเสนาบดีสารีบตุ รได้ทราบว่านายเคราแดง
ผู้มีชื่อจริงว่า “วาตะกาละกะ” ได้อนุโลมขันติกปัญญาแล้ว พระผู้เป็นเจ้ากล่าวคำอำลาเพื่อจะกลับวิหาร
⌫
วาตะกาลกะเคราแดงผูเ้ ป็นอุบาสกแล้วในบัดนี้ ก็ตามไปส่งพระผูเ้ ป็นเจ้าจนถึงครึง่ ทางแล้วก็กลับมา นางยักขิณี
ผูม้ เี วรผูกกันไว้แต่ชาติกอ่ น นิรมิตตนเป็นแม่โคบ้า ลุกแล่นไล่มา ครัน้ ถึงก็ชนนายวาตะกาลกะนัน้ ให้ลม้ ลงเหนือ
ปฐพี แล้วก็เหยียบย่ำขยีใ้ ห้ถงึ แก่ความตายอยู่ ณ กลางมรรคานัน่ เอง ! วาตะกาลกะอุบาสกเคราแดง ครัน้ แตก
กายทำลายขันธ์แล้วก็ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรสุดโสภา ณ สรวงสวรรค์ชน้ั ดุสติ ซึง่ เป็นสวรรค์ชน้ั ที่ ๔ เสวยทิพย
สมบัตแิ สนจะเป็นสุขนักหนา ด้วยประการฉะนี้
หลังจากที่ได้ติดตามศึกษาเรื่องอุปปีฬิกกรรมนี้มา บัดนี้เราก็คงจักทราบได้เป็นอย่างดีแล้วว่า
อุปปีฬกิ กรรมนี้ หากว่าเป็นฝ่ายอกุศลคือฝ่ายชัว่ เมือ่ ตามมาทันบุคคลผูเ้ ป็นเจ้าของกรรมเข้าแล้ว ก็ยอ่ มเข้าทำ
หน้าทีเ่ บียดเบียนกุศลกรรม ซึง่ ปกป้องคุม้ ครองบุคคลนัน้ ให้พลันพินาศไป แล้วก็เข้าอยูเ่ ป็นเจ้าเรือน บีบบังคับให้
บุคคลนัน้ ประสบภัยพิบตั นิ านาประการ บันดาลให้ชวี ติ ถึงความอับเฉา ไม่กา้ วหน้าไปเท่าทีค่ วร ดังนัน้ ต่อไปนี้
ถ้าเห็นผูใ้ ดผูห้ นึง่ ซึง่ เป็นคนทีม่ คี วามสุขความเจริญแล้ว ยังมีอาการว่าเป็นผูม้ โี ชคดีประสบความสุขความเจริญ
ยิง่ ๆ ขึน้ ไป แต่แล้วก็คล้ายกับว่าโชคชะตามันเล่นตลกทำให้เขาเป็นผูต้ กต่ำและตกต่ำลงไปเรือ่ ยๆ เพราะภัย
พิบัตินานาประการอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ อย่างนี้ก็พึงทราบไว้เถิดว่า นั่นแหละคืออุปปีฬิกกรรมฝ่ายอกุศล
ตามมาทันเขา มิใช่เป็นเพราะเหตุอน่ื ใดดอกอย่าสงสัยเลย ! ส่วนอุปปีฬกิ กรรมฝ่ายกุศล เมือ่ ตามมาทันบุคคลผู้
เป็นเจ้าของกรรมเข้าแล้ว ก็ยอ่ มเข้าทำหน้าทีเ่ บียดเบียนอกุศลกรรม ซึง่ นำความชัว่ ร้ายมาให้บคุ คลนัน้ ให้พลัน
พินาศพ่ายไป แล้วก็เข้าอยูเ่ ป็นเจ้าเรือน คอยป้องกันสรรพทุกข์ สรรพภัย สรรพโรคมิให้มาวีแ่ ววแผ้วพาน ให้มี
แต่สิริสวัสดิ์พัฒนมงคล ให้ทำประโยชน์แก่ตนทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เช่น เรื่องวาตะกาลกะบุรุษเคราแดง
ผูต้ ายไปเกิดเป็นเทพบุตร ณ สรวงสวรรค์ชน้ั ดุสติ เป็นตัวอย่าง ดังนัน้ ต่อไปนี้ ถ้าเห็นผูใ้ ดใครผูห้ นึง่ ซึง่ เป็นคน
โชคร้าย วาสนาชะตาอับอยูเ่ นืองนิจ ชีวติ ไม่มคี วามก้าวหน้า มีทที า่ ว่าจะตกต่ำและตกต่ำลงเรือ่ ยๆ แต่แล้วอยู่
ต่อมาก็เหมือนกับว่ามีเทวดามาโปรด ทำให้เขาประสบความสุขความเจริญและประสบความสุขความเจริญขึน้
เรื่อยๆ ไปจนกระทั่งถึงวันตายอย่างนี้ก็พึงทราบไว้เถิดว่า นั่นแหล่ะคืออุปปีฬิกกรรมฝ่ายกุศลมาตามทันเขา
มิใช่เป็นเพราะเหตุอน่ื ใดเลย
⌫⌫
ว่าจะตีวงกว้างออกไปเสียแล้ว เพราะฉะนัน้ จึงขอยุตเิ รือ่ งอุปปีฬกิ กรรมไว้แต่เพียงแค่น้ี เมือ่ ยุตเิ รือ่ งอุปปีฬกิ
กรรมแล้ว ก็ควรจะเริม่ ต้นกล่าวถึงหน้าทีข่ องกรรมชนิดอืน่ ต่อไป กรรมทีท่ ำหน้าทีช่ นิดใหม่ ซึง่ เราจะได้ศกึ ษา
ในลำดับต่อไปนีม้ ชี อ่ื ว่า
อุปฆาตกกรรม
อุปฆาเตตีติ อุปฆาตกํ
กรรมใด ย่อมทำหน้าทีเ่ ข้าไปฆ่ากรรมอืน่ ๆ กรรมนัน้ ชือ่ ว่าอุปฆาตกกรรม
ในกรณีน้ี หากจะมีปญ
ั หาว่า
⌫
อุปฆาตกกรรม หรืออุปจั เฉทกกรรมเมือ่ ตามทันเข้าแล้วย่อมทำหน้าทีเ่ ข้าไปฆ่า - เข้าไปตัดกรรมทีม่ ี
สภาพตรงข้ามกับตนให้ขาดเด็ดในปัจจุบนั ทันด่วน ไม่เนิน่ ช้าเหมือนอุปปีฬกิ กรรม เช่น ถ้าอุปฆาตกกรรมฝ่าย
อกุศล เมือ่ ตามมาทัน ก็ยอ่ มเข้าไปตัดกุศลกรรมและวิบากแห่งกุศลกรรมของบุคคลในทันทีทนั ใด บุคคลทีก่ ศุ ล
กรรมให้ผลให้เป็นคนบริบรู ณ์ดว้ ยทรัพย์สมบัตแิ ละบริวารศฤงคาร ปรากฏด้วยลาภและยศฟุง้ เฟือ่ งเลือ่ งลือเป็นที่
นับถือแห่งมหาชนทัง้ ปวง หากอุปฆาตกกรรมฝ่ายอกุศลตามมาทันแล้ว ในครัง้ เดียวยามเดียวก็ลม้ ตายกระจัด
กระจาย เกิดวิบตั อิ นั ตรายต่างๆ ยับเยินดัง่ พะเนินทุบพะเนินตีถงึ ความพินาศในครูเ่ ดียวยามเดียว ตัดอายุตายใน
ครูเ่ ดียวยามเดียว รวมความแล้วก็วา่ อุปฆาตกกรรมนี้ ย่อมทำหน้าทีเ่ ข้าไปฆ่า เข้าไปตัดกรรมและวิบากแห่ง
กรรมอืน่ ให้สน้ิ ลงอย่างเด็ดขาดในปัจจุบนั ทันด่วน
บุรษุ ผูห้ นึง่ กระทำซึง่ ลูกศร อันสามารถจะยิงไปได้ไกลประมาณ ๘ อสุภ คือ ๑๔ เส้น ครัน้ ทำเสร็จแล้ว
ก็นา้ วคันศรแล้วยิงศรนัน้ ไป ในขณะนัน้ เกิดมีบรุ ษุ อีกผูห้ นึง่ ถือเอาซึง่ ไม้ฆอ้ น ยกขึน้ คอยสกัดหน้าลูกศรนัน้ ไว้
อย่างนีแ้ ล้วลูกศรนัน้ จะมีอาการเป็นอย่างไร ก็ยอ่ มจะตกลงในขณะนัน้ เองไม่สามารถทีจ่ ะแล่นไปได้ไกลจนถึงที่
หมายได้ อุปมานีฉ้ นั ใดอุปฆาตกกรรมเมือ่ ตามมาทันเข้าแล้ว ก็ยอ่ มทำหน้าทีเ่ ข้าไปฆ่า เข้าไปตัด เข้าไปห้ามกรรม
และวิบากแห่งอืน่ ไม่ให้ผลอย่างเด็ดขาด ในปัจจุบนั ทันด่วนทีเดียว เปรียบเหมือนกิรยิ าทีบ่ รุ ษุ คนหลังยกไม้คอ้ น
ขึน้ สกัดหน้าลูกศร ไม่ให้ลกู ศรทีบ่ รุ ษุ คนแรกยิงนัน้ แล่นไปถึงทีห่ มาย และให้หมดประสิทธิภาพตกลงยังพืน้ ปฐพี
ในปัจจุบนั ทันด่วนก่อนฉะนัน้
⌫
⌫⌫⌫
กรรมของพระราชาธิบดี
ได้สดับมาว่า กาลเมือ่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรายังทรงพระชนม์ชพี อยูน่ น้ั กษัตริยอ์ งค์หนึง่
ซึ่งมีนามปรากฏว่าสมเด็จพระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นพระราชาธิบดีแห่งกรุงราชคฤห์มหานคร มีความเลื่อมใส
ในสมเด็จพระพุทธองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นอันมาก เพราะพระองค์ตั้งอยู่ในภูมิพระโสดาบัน
อริยบุคคล ซึง่ เป็นพระอริยบุคคลขัน้ แรกในพระบวรพุทธศาสนา ก็สมเด็จพระเจ้าพิมพิสารราชาทรงตัง้ พระนาง
เวเทหขันธเทวีให้เป็นเอกอัครมเหสี เมือ่ พระนางทรงพระครรภ์พระราชโอรสองค์แรกนัน้ บังเกิดความอัศจรรย์
เป็นอันมาก คือ บันดาลให้พระนางอยากจะเสวยโลหิตในพระพาหาแห่งสมเด็จพระพิมพิสารราชาธิบดีผู้เป็น
พระราชสวามีเป็นยิง่ นัก แต่มริ ทู้ จ่ี กั ทรงทำประการใด ทัง้ นีก้ เ็ พราะองค์พระอัครมเหสีให้ทรงมีทง้ั ความเกรงกลัว
และความละอายพระทัย มิอาจกราบทูลให้พระราชสวามีทรงทราบถึงความปรารถนาแห่งตนได้ สูอ้ ดกลัน้ ความ
ปรารถนานัน้ ไว้ จนพระวรกายซูบผอมลงไปทุกวันๆ
⌫
“ดูกร เจ้าผูม้ พี กั ตร์อนั เจริญ เจ้าอย่าพยามยามกระทำกรรมอันเป็นบาปดังนี้ มิบงั ควร ด้วยว่านอกจาก
จะเป็นบาปอันหนักแล้ว เมือ่ ข่าวอันนีร้ ะบือลือชาไปถึงไหนๆ ในสกลปฐพีกจ็ กั มีแต่ทรุ ยศอัปยศปรากฏแก่เรานัก
การณ์ขา้ งหน้าจักเป็นอย่างไรนัน้ ก็สดุ แต่จะเป็นไปเถิด เจ้าอย่าวิตกเป็นทุกข์หรือเกิดความกินแหนงแคลงใจแต่
อย่างใดเลย”
⌫⌫
เสียงไต่ถามที่ออกนามพระเทวทัตดังนี้ ไม่มีปรากฏเลยวันแล้ววันเล่า พระคุณเจ้าผู้ถูกลืมก็ให้น้อย
น้ำใจนัก หวลไปนึกถึงความหลังครัง้ ทีย่ งั เป็นคฤหัสถ์อยูใ่ นราชตระกูล ขัตติยะมานะก็พลันพลุง่ ขึน้
นัง่ อยูใ่ นกุฏทิ อ่ี าศัย รำพึงอยูด่ ว้ ยความน้อยเนือ้ ต่ำใจ ฉะนี้ การทีจ่ ะบำเพ็ญธรรมตามสมณวิสยั นัน้ มิ
ได้มีเลย ในที่สุดพระเทวทัตผู้จะกลายเป็นสมณะลามก ทำความสกปรกและอัปยศให้ปรากฏในพระบวร
พุทธศาสนา ก็คดิ ขึน้ ได้วา่
เพียงคิดด้วยอกุศลจิตเท่านี้ ฤทธิป์ ถุ ชุ นทีต่ นได้ ก็พลันเสือ่ มไปในขณะทีเ่ กิดความคิดนัน่ เอง แต่ทา่ นจะ
ได้รสู้ กึ สำนึกตนก็หาไม่ ได้เข้าไปเฝ้าสมเด็จพระผูม้ พี ระภาคเจ้า ทูลขอให้ทรงแต่งตัง้ ตนเป็นผูป้ กครองพระภิกษุ สงฆ์
แต่สมเด็จพระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาต เลยมีจติ อาฆาตโกรธเคืองในพระตถาคต จึงเข้าไปหาอชาตสัตตุราชกุมาร
ซึง่ เป็นอุปฐากคนสำคัญแห่งตนแล้วบอกความว่า
⌫⌫
ตรวจค้นพบกฤชทีซ่ อ่ นไว้ในพระเพลาได้ จึงไต่สวนสอบถามอยูเ่ ป็นเวลานาน ในทีส่ ดุ เจ้าอชาตสัตตุราชกุมารผู้
จำนนต่อคำสอบสวน ก็ทรงยอมรับสารภาพออกมาตรงๆ ว่า
“เรามีความประสงค์ จักเข้าไปปลงพระชนม์แห่งสมเด็จพระชนก?”
“ใครใช้พระองค์ ?” อำมาตย์ไต่สวน
⌫⌫
“มหาบพิตรทำการอย่างนี้ จะว่าสำเร็จกิจมาแต่ทไ่ี หน เปรียบอุปมัยก็เหมือนขังสุนขั ไว้ในกลอง สุนขั
มันแสบท้องก็จะกัดหนังกลองออกมาได้ฉนั ใด ราชสมบัตทิ ส่ี มเด็จพระราชบิดายกให้ ท่านโกรธเคืองขึน้ มาเมือ่ ไร
ท่านก็จะเอาคืนไปเสียเมือ่ นัน้ อาตมภาพเห็นว่า ฆ่าเสียให้ตายนัน่ แหละเป็นการดี ราชสมบัตนิ ้ี จึงจะเป็นสิทธิ
ของมหาบพิตรอย่างแน่นอนเด็ดขาดเข้าใจไหมเล่า?”
“ข้าแต่นฤบดีพมิ พิสาร ผูเ้ ป็นสวามีเอ๋ย! ตัง้ แต่วนั นีไ้ ปเบือ้ งหน้า ข้าพระบาทจักไม่ได้เห็นพระภัสดาอีก
สืบไป นับแต่จะไกลกันไม่มกี ำหนด ราวกะว่าพระจันทร์ดบั ลับบรรพตเขาสิเนรุราช โทษานุโทษอันใดทีข่ า้ พระบาท
ทำผิดมาแต่กอ่ น ไม่วา่ จะเป็นด้วยกายวาจาใจ ขอพระองค์จงให้อภัยแก่เกล้ากระหม่อมฉันในวันนี้ ถึงพระองค์
จะทรงดับพระอินทรีย์ เกล้ากระหม่อมฉันนีก้ ค็ งจักมิได้เห็นพระองค์แล้ว ขอพระทูลกระหม่อมแก้ว จงอภัยโทษ
แก่ขา้ พระบาทผูเ้ ป็นอัครชายาในกาลบัดนีด้ ว้ ยเถิด”
⌫⌫
เสร็จแล้วจึงเดินทางมุ่งหน้าเข้าไปในกรุงราชคฤห์ บอกความประสงค์แก่เหล่าอำมาตย์ว่า จักลาสมเด็จ
พระราชาธิบดีไปเข้าสูป่ รินพิ พาน อำมาตย์เหล่านัน้ จึงกราบเรียนว่า สมเด็จพระราชธิบดีทรงบรรทมอยู่ พระผู้
เป็นเจ้าก็ไม่รบกวนอะไรต่อไปกล่าวแต่เพียงว่า “จะลาไปนิพพาน ทีภ่ เู ขากุกกุฎสัมปาตะบรรพต” แล้วก็กลับมา
สูเ่ วฬุวนั มหาวิหาร จับไม้กวาดแผ้วกวาดบริเวณมหาวิหาร ตัง้ น้ำใช้นำ้ ฉันไว้ตามปรกติทเ่ี คยกระทำประจำวัน
แล้วเก็บเครือ่ งบริขารไว้ให้เรียบร้อยตามอริยประเพณี ด้วยว่าองค์พระอรหันต์ทา่ นไม่เกียจคร้าน แม้กฎุ วี หิ ารก็
ปัดกวาดเสียก่อนจึงนิพพาน ทัง้ นีก้ เ็ พราะมีสติมน่ั เทีย่ งตรง ไม่เหมือนปุถชุ นคนสามัญธรรมดา
ครั้นแล้วพระผู้เป็นเจ้าก็ออกจากเวฬุวันมหาวิหาร แวดล้อมด้วยหมู่สงฆ์เป็นบริวารเดินทางไปสู่
กุกกุฎสัมปาตะบรรพตในเวลาเย็นใกล้คำ่ ครัน้ ถึงแล้ว พระผูเ้ ป็นเจ้าก็แสดงปาฏิหาริยด์ ว้ ยอำนาจอภิญญาอัน
ชำนาญ เหาะขึน้ ไปสูอ่ ากาศสูง ๗ ชัว่ ลำตาล ขณะนัน้ ก็ปรากฏเป็นท่อเพลิงพุง่ ออกมาจากกายทางเบือ้ งขวา
ส่วนทางเบือ้ งซ้ายเป็นท่อน้ำและเบือ้ งบนก็เป็นท่อน้ำ ส่วนเบือ้ งต่ำเป็นท่อเพลิง สลับกันเป็นคูๆ่ อย่างมหัศจรรย์
บางครัง้ ก็ปรากฏเป็นเปลวเพลิงรุง่ โรจน์ไปทัว่ กาย บางครัง้ เป็นกระแสสายน้ำพุง่ ออกทัว่ กาย บางครัง้ ก็แสดง
ฤทธิต์ า่ งๆ จำแลงกายเป็นสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิราชเจ้า ประกอบด้วยเครือ่ งประดับ พร้อมด้วยจตุรงคเสนา
แวดล้อมเป็นบริวารให้ปรากฏแก่ชนทัง้ หลาย บางครัง้ ก็แปลงกายเป็นท้าวโกสียเ์ ทวราชประดับ ด้วยทิพยาภรณ์
งามหยดย้อยยิง่ นัก แวดล้อมด้วยเทพบริวารในชัน้ ดาวดึงส์สวรรค์มากมายสุดประมาณ บางครัง้ ก็แปลงกายแสดง
องค์เป็นท่านท้าวมหาพรหม สง่างามด้วยรัศมีมากมาย แวดล้อมด้วยพรหมบริษทั ในพรหมโลกต่างๆ แสดงพระ
ธรรมเทศนาโปรดเทวดาและมนุษย์เป็นครัง้ สุดท้ายแล้วก็ลงมาจากอากาศ ตรงไปยังกุกกุฎสัมปาตะบรรพต ซึง่
ทวยเทพทัง้ หลายได้นำเอาผ้าทิพย์เข้าไปปูลาดไว้แล้ว และหมูม่ นุษย์กพ็ ากันตกแต่งแท่นทีน่ พิ พานไว้เรียบร้อย
คอยท่าพระผูเ้ ป็นเจ้าอยู่
⌫⌫
แท่นทีน่ พิ พานของพระผูเ้ ป็นเจ้าเป็นอัศจรรย์เช่นนัน้ ก็ทรงตืน้ ตันพระทัยบังเกิดความอาลัยรักในพระผูเ้ ป็นเจ้า
ยิง่ นัก ก็คอ่ ยเสด็จเข้าไปนมัสการ พร้อมด้วยข้าราชบริพารและประชาชนทัง้ หลายเป็นอันมาก เสร็จแล้วพระองค์
จึงมีพระราชดำรัสสัง่ ให้ตง้ั โรงพิธบี ำเพ็ญพระราชกุศล ประโคมดุรยิ ดนตรีถวายสักการบูชาศพของพระมหากัสสปะ
เถรเจ้าอยู่ ณ เชิงเขากุกกุฎสัมปาตะบรรพตนัน้ ๗ วัน ครัน้ ครบกำหนดแล้ว ภูเขาทัง้ ๓ ลูกนัน้ ก็โน้มน้อมเข้าหา
กัน ปกปิดศพของพระผูเ้ ป็นเจ้าไว้ตามเดิม
ถึงแม้จักทรงมีพระราชศรัทธาเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนา ได้ทรงบำเพ็ญบุญกิริยามากมายดัง
กล่าวมาแล้วก็ตาม ถึงกระนัน้ เมือ่ คราวทีพ่ ระองค์จะถึงซึง่ ชีพติ กั ษัยนัน้ อุปฆาตกกรรมฝ่ายอกุศล ก็ทำหน้า
ที่อันซื่อสัตย์ของมัน นั่นคือ อุปฆาตกกรรมฝ่ายอกุศล ซึ่งเกิดจากการที่พระองค์ได้ทรงกระทำปิตุฆาต ฆ่า
สมเด็จพระบิดาตามคำแนะนำของอาจารย์เทวทัตผูช้ ว่ั ช้า ได้แล่นติดตามมาทัน แล้วทำหน้าทีเ่ ข้าตัดกุศลกรรม
ความดีทั้งปวงของพระองค์ที่ได้ทรงกระทำไว้มากมายในภายหลังเสีย แล้วก็กดขี่ลากคร่าเอาสมเด็จพระบรม
กษัตริยอ์ ชาตสัตตุราชนัน้ ให้ลงไปอุบตั บิ งั เกิดเป็นสัตว์นรก ณ โลหกุมภีนรก ! มีคำพยากรณ์วา่ อชาตสัตตุสตั ว์
นรกนัน้ จักต้องเสวยทุกขเวทนาอยูใ่ นโลหกุลภีนรก จนถ้วนเวลากำหนดได้ ๖๐,๐๐๐ ปี แล้ว จึงจะพ้นจากนรก
นั้น แล้วได้มีโอกาสมาบังเกิดเป็นมนุษย์ในอวสานชาติที่สุด จักได้ตรัสเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ทรงนามว่า
“ชีวติ วิเสส” ในพุทธันดรอันเป็นระหว่าง ศาสนาแห่งองค์สมเด็จพระมิง่ มงกุฎศรีศากยมุนโี คดมบรมครูเจ้าแห่งเรา
นี้กับศาสนาแห่งองค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฎศรีอริยเมตไตรย ซึ่งจักมาตรัสในอนาคตกาลภายภาคหน้า ด้วย
ประการฉะนี้
⌫
⌫
องคุลมิ าลอรหันต์
ได้สดับมาว่า สมัยที่องค์สมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรายังทรงพระชนม์ชีพอยู่นั้น
มีปโุ รหิตาจารย์ของสมเด็จพระราชาธิบดีโกศลราชอยูท่ า่ นหนึง่ ซึง่ เป็นผูร้ อบรูใ้ นไตรเพททรงพิทยาคุณ ท่าน
ปุโรหิตผูเ้ ป็นวรรณะพราหมณ์ผนู้ ้ี มีครอบครัวแล้ว วันหนึง่ ขณะทีน่ างพราหมณีผเู้ ป็นภรรยาแห่งท่านปุโรหิตาจารย์
จะคลอดบุตรชายคนแรกนัน้ ก็บงั เกิดอัศจรรย์เป็นหนักหนาด้วยว่าบรรดาเครือ่ งอาวุธศาสตราทัง้ ปวงในเมืองนัน้
เกิดลุกเป็นเปลวเพลิงรุ่งโรจน์เป็นอัศจรรย์ ! ท่านปุโรหิตาจารย์ผู้เป็นบิดาจึงรีบออกมาจากเรือน แล้วเล็งดู
ฤกษ์บนฤกษ์นั้นก็ปรากฏในอากาศเป็นที่แปลกประหลาดใจนัก ครั้นถึงเพลาเช้า เมื่อเข้าไปสู่ที่เฝ้าสมเด็จ
พระเจ้าอยูห่ วั แล้ว ท่านปุโรหิตาจารย์จงึ ทูลถามว่า
⌫⌫
“ข้าแต่พระองค์ผทู้ รงคุณอันประเสริฐ ! กุมารผูเ้ ป็นบุตรแห่งข้าพระบาทนัน้ จะบังเกิดเป็นโจรใหญ่
ประทุษร้ายปล้นพระนครเพื่อหวังเอาสิริราชสมบัติก็หามิได้ แต่ว่าจะมีน้ำใจหยาบช้าไล่พิฆาตฆ่าหมู่มหาชน
เป็นโจรกระทำร้ายชาวบ้านชาวเมือง เบียดเบียนมนุษย์หญิงชายให้ได้รับความเดือดร้อนเป็นอันมาก ฉะนั้น
ข้าพระบาทจึงใคร่ทจ่ี กั ทูลพระองค์วา่ ขอพระองค์จงอย่าได้ชา้ จงให้จบั เอากุมารผูเ้ ป็นบุตรแห่งข้าพระบาทนัน้
มาทำการประหารเสียในกาลบัดนี้ เพือ่ ทีป่ ระชาชนทัง้ หลายจะได้ไม่เดือดร้อนในภายภาคหน้า พระเจ้าข้า”
“การที่พวกเราคิดจักทำลายล้างเจ้าอหิงสกกุมารนั้น ครั้นเราจะพากันเข้าไปหาท่านอาจารย์แล้ว
ยกโทษขึ้นว่า เจ้าอหิงสกกุมารนั้นเป็นคนมีปัญญาทราม มีความคิดชั่วช้า ท่านอาจารย์ก็คงจักไม่เห็นด้วย
“ข้าแต่ทา่ นอาจารย์ ! ตัวข้าพเจ้าทัง้ ปวงนีไ้ ด้ฟงั ข่าวไม่ดอี นั หนึง่ ซึง่ ปรากฏขึน้ ในสำนักเรียนแห่งเรานี้
ขอรับกระผม” มาณพผูเ้ ป็นหัวหน้ากล่าวตอบ
⌫⌫
ต่อมาอีกไม่กว่ี นั แผนการทำลายล้างเจ้าอหิงสกกุมารก็เริม่ ขึน้ อีก โดยมาณพพวกหนึง่ ซึง่ เป็นชุดที่ ๓
ได้พากันเข้าไปหาท่านอาจารย์ หลังจากสนทนากันถึงเรือ่ งอืน่ พอประมาณแล้ว มาณพเหล่านีก้ ท็ ำเป็นกระซิบ
บอกท่านอาจารย์วา่ บัดนีเ้ จ้าอหิงสกกุมารกำลังคิดหาอุบายประทุษร้ายท่านหนักเข้าไปทุกทีแล้ว
เสาหินทีป่ กั ไว้ในปฐพีอนั ลึก เมือ่ ถูกผลักหรือจับสัน่ บ่อยๆ เข้ายังมีโอกาสทีจ่ ะโยกไหวสัน่ คลอนได้ นับ
ประสาอะไรกับดวงฤทัยทีฝ่ งั อยูใ่ นร่าง ซึง่ ยังเป็นปุถชุ นแห่งท่านอาจารย์ทสิ าปาโมกข์ เมือ่ ถูกมาณพทัง้ หลายมา
จับสั่นเอาหลายครั้งหลายครา ในที่สุด ท่านอาจารย์ก็เกิดสัมโมหะเข้ามาบังปัญญา พาให้คิดเห็นไปว่า เจ้า
อหิงสกกุมารทีต่ นรักใคร่เป็นนักหนาประดุจลูกอันเกิดแต่อกนัน้ บัดนีม้ นั เกิดคิดอกตัญญูทรยศเข้าแล้ว จึงคิดหา
อุบายทีจ่ ะกำจัดเสียแต่ตน้ มือ
ข้าแต่ทา่ นอาจารย์ผมู้ คี ณ
ุ ล้นเกล้าประดุจบิดา ! ข้าพเจ้านีส้ เิ กิดในตระกูลพราหมณ์ จะได้รกู้ ารเบียด
เบียนและฆ่าสัตว์ตดั ชีวติ นัน้ หามิได้ ครัน้ ข้าพเจ้าจะกระทำกรรมอันหยาบช้าฆ่าคนให้ได้แขนครบ ๑,๐๐๐ ก็ให้
หวัน่ เกรงว่าจะประพฤติผดิ เพศประเพณีวงศ์ตระกูลมารดาบิดาของข้าพเจ้า ด้วยเหตุนข้ี า้ พเจ้าจึงมิสามารถจักทำ
ตามคำสัง่ ของท่านอาจารย์ได้” อหิงสกกุมารผูบ้ ริสทุ ธิ์ กล่าวตอบท่านอาจารย์แต่โดยซือ่
⌫⌫
ล้างชีวติ เสียคนหนึง่ บ้าง สองคนบ้าง หลายคนบ้าง ตัดเอานิว้ ร้อยเป็นพวงมาลัย แล้วจึงหลบหนีไปจากบ้านนัน้
ทำการเบียดเบียนชีวติ อยูอ่ ย่างนีเ้ รือ่ ยไป
นางพราหมณีจงึ ว่า
ฝ่ายนางพราหมณีผเู้ ป็นมารดา ครัน้ ได้ฟงั สามีวา่ ดังนัน้ ก็มนี ำ้ ใจประหวัน่ พรัน่ พรึงอกสัน่ ขวัญหายเกรง
ว่าลูกชายสุดทีร่ กั จักถึงแก่ความตาย ไม่คำนึงถึงสิง่ ใดทัง้ สิน้ กล่าวแต่เพียงว่า
แล้วก็จดั แจงแต่งตัว ออกเดินทางมุง่ หน้าไปสูป่ า่ ใหญ่ ซึง่ คนทัง้ หลายเขาลือกันว่า องคุลมิ าลโจรมัน
ซุม่ ซ่อนอยูแ่ ต่เพียงผูเ้ ดียว
⌫⌫
ครัน้ มีจติ คิดมุง่ หมายดังนีแ้ ล้ว ก็มริ อช้า คว้าดาบอันคมกล้ากระสันมัน่ มือ แล่นไล่ตามสมเด็จพระสัมมา
สัมพุทธเจ้าไปด้วยกำลังเร็ว สมเด็จพระทศพลผูม้ พี ระพุทธาภินหิ ารอันยิง่ ใหญ่จงึ ทรงบันดาลให้บงั เกิดเป็นแม่
น้ำใหญ่มหึมา ซึง่ ประกอบไปด้วยลูกคลืน่ และระลอกมากมายนักหนา ปรากฏกัน้ กางขวางหน้าเจ้าองคุลมิ าลโจร ไว้
องค์พระบรมไตรโลกนาถเจ้า ทรงดำเนินไปด้วยพระกิริยาอาการอันเสงี่ยมงามยิ่งนัก ปรากฏในเบื้องหน้า
แห่งองคุลิมาล ฝ่ายองคุลิมาลผู้หมายประหารสมณะ เมื่อมาปะแม่น้ำใหญ่ขวางหน้า ก็อุตส่าห์ลงว่ายน้ำต้อง
ลำบากด้วยถูกละลอกคลืน่ ซัดดูนา่ เวทนา เมือ่ อุตสาหะถีบว่ายข้ามแม่นำ้ จนบรรลุถงึ ฝัง่ แล้ว ก็คลานขึน้ บนตลิง่
รีบวิง่ ตามสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไป
นับตั้งแต่ไล่ฆ่ามนุษย์มาจนเกือบจะครบพันคนแล้ว องคุลิมาลโจรใจฉกรรจ์ไม่เคยได้รับความเหน็ด
เหนือ่ ยเหมือนวันนี้ เขาขับไล่สมเด็จพระชินสีหเ์ จ้าในครัง้ นี้ ได้รบั ความลำบากเหลือประมาณ เหงือ่ ไหลโทรม
ออกจากรักแร้และกรัชกายทัง้ ปวง น้ำลายในปากก็เหือดแห้ง สิน้ กำลังเรีย่ วแรงอิดโรย ทัว่ ทัง้ สรีระร่างกายเต็ม
ไปด้วยความบอบช้ำ เพราะต้องบุกป่าและว่ายข้ามน้ำตามสมเด็จพระพุทธองค์ เมือ่ เหลือทีจ่ ะติดตามให้ทนั แล้ว
เขาก็เอ่ยปากร้องเรียกพระองค์เอาดือ้ ๆ
คิดดังนีแ้ ล้ว องคุลมิ าลโจรหนุม่ ใหญ่ใจฉกรรจ์ ก็ปลงลงซึง่ อาวุธศาสตราทัง้ ปวง ขว้างทิง้ ลงไปในซอก
เหวแห่งหนึง่ แล้ว ก็คอ่ ยดำเนินเข้าไปหาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึง่ ประทับยืนอยู่ ถวายนมัสการทีพ่ ระยุคล
บาท แล้วทูลขอบรรพชา สมเด็จพระผูม้ พี ระภาคเจ้า เมือ่ จะทรงพระกรุณาประทานบรรพชา ให้แก่องคุลมิ าลโจร
⌫⌫
ผูก้ ลับใจนัน้ ได้ตรวจดูวาสนาบารมีอนั ปรากฏแต่บรู พชาติปางก่อนของเขา ก็ทรงทราบว่า “องคุลมิ าลโจรหรือ
อหิงสกกุมารนี้ ตัง้ แต่บรรพกาลโพ้น ได้เคยบำเพ็ญบารมีไว้ ได้เคยถวายเครือ่ งบริขาร ๘ ประการ แด่พระภิกษุสงฆ์
ผูท้ รงศีลบริสทุ ธิ์ ได้เคยบำเพ็ญธรรมประกอบด้วยพรหมวิหารธรรมมาก่อน” เมือ่ ทรงทราบวาสนาบารมีแต่หน
หลังของเขาดังนี้ จึงทรงเหยียดพระหัตถ์ แล้วมีพระพุทธฎีกาตรัสเรียกว่า
“ดูรา ชาวเราทัง้ หลายเอ๋ย ! ท่านทัง้ หลายจงเล็งแลดูตรงมือเราชีน้ เ่ี ถิด ภิกษุบวชใหม่รปู นัน้ คือองคุลมิ าล
โจรใช่หรือไม่? คงจะใช่เป็นแน่แท้แล้ว บัดนีอ้ งคุลมิ าลโจรใหญ่กลับใจบวชเป็นสมณะเสียแล้ว พวกเราไม่จำเป็น
ต้องไปปราบให้ลำบากและไม่ตอ้ งประหวัน่ พรัน่ ใจว่าจะถูกโจรร้ายฆ่าตายอีกต่อไปแล้ว เธอบวชเสียก็เป็นการดี
ด้วยว่าเมื่อเธอยังเป็นฆราวาสอยู่นั้น มีใจหยาบช้าทารุณยิ่งนัก เที่ยวไล่ฆ่ามนุษย์อุตลุดวุ่นวาย เกิดเจ็บปวด
ล้มตายกันเป็นโกลาหล”
เมือ่ ตะโกนบอกแก่กนั ดังนีย้ งั มิทนั ทีจ่ ะขาดคำ ก็พอดีพระองคุลมิ าลเดินเข้าไปใกล้ คนพวกทีท่ ำเป็นใจ
กล้าไม่หนีไปไหน บัดนีท้ นใจกล้าต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ให้สะดุง้ ตกใจกลัวยิง่ กว่าพวกแรก บางคนก็สะกิดเพือ่ นแล้ว
วิง่ หนีเอาซึง่ ๆ หน้า บางคนก็วง่ิ ไปไกลจนถึงเขตป่าแล้วยังไม่หยุด บางคนก็ฉดุ เพือ่ นกันวิง่ เข้าไปในบ้านแล้วรีบ
ปิดประตูหน้าต่าง บางคนยืนตกตะลึงตัวสัน่ ขวัญหายวิง่ ไปไหนไม่ได้ยนื เฉยอยู่ บางคนก็ลงนัง่ ยองๆ ผินหลังให้
ไม่กล้ามอง เพราะความขลาดกลัวอย่างขนาดหนักอยู่ ณ สถานทีน่ น่ั
⌫⌫
นายช่างนัน้ ย่อมคิดแก้ไข โดยเอาลูกศรนัน้ ทาน้ำมัน แล้วเอาเข้าลนไฟ พยายามดัดแปลงแก้ไขทำให้ตรงดีแล้ว
นายช่างศรนัน้ ย่อมยิงลูกศรได้แม่นเทีย่ งดี ถูกทีห่ มายได้ตามความปรารถนา ดูกร องคุลมิ าล ! เธอจงพยายาม
กระทำตามโอวาทของเราตถาคต จงข่มเสียซึง่ จิตของตนให้อยูใ่ นอำนาจ กระทำจิตให้ผอ่ งใสปราศจากมลทิน
อุตส่าห์บำเพ็ญสมณธรรมต่อไปเถิด อย่าท้อถอย”
ในขณะนัน้ พระองคุลมิ าลนัง่ อยูใ่ กล้กบั สมเด็จพระบรมศาสดา พระองค์จงึ ยกพระหัตถ์เบือ้ งขวา แล้ว
ทรงชีใ้ ห้พระเจ้าปัสเสนทิโกศลทอดพระเนตร สมเด็จพระราชาธิบดีผซู้ ง่ึ ทรงตระเตรียมจะไปปราบองคุลมิ าลโจร
เมือ่ ไม่นานมานี้ ทรงแลไปตามพระหัตถ์ช้ี แต่พอได้ทรงเห็นท่านพระองคุลมิ าลเข้าเท่านัน้ ก็ทรงเกิดความขยาด
กลัว ขนพองสยองเกล้า ทรงมีอาการอันวิปลาส เหมือนมฤคชาติได้เห็นพญาไกรสรสีหราชฉะนัน้ สมเด็จพระ
ผูม้ พี ระภาคจึงตรัสว่า
⌫⌫
กรรมประเภทที่ ๒
กรรมทีว่ า่ โดยลำดับการให้ผล
ในการศึกษาประเภทแห่งกรรมนี้ เมื่อเราได้ทราบประเภทแห่งกรรมที่ว่าโดยหน้าที่เสร็จสิ้น
เรียบร้อยแล้ว ทีน่ ้ี สิง่ ทีเ่ ราควรจะศึกษาในลำดับต่อไปก็คอื ประเภทแห่งกรรมทีว่ า่ โดยลำดับการให้ผล ทัง้ นีก้ ็
เพือ่ จะได้ทราบว่า กรรมต่างๆ ไม่วา่ จะเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมก็ตาม ซึง่ เป็นกรรมทีส่ ตั ว์บคุ คลจำต้อง
กระทำลงไปทุก เมือ่ เชือ่ วันนัน้ มีลำดับแห่งการให้ผลแก่เจ้าของกรรมอย่างไร พูดให้ฟงั กันง่ายๆ ก็วา่ ในบรรดา
กรรมทัง้ หลายนัน้ กรรมชนิดไหนมีอาวุโสใหญ่ให้ผลก่อนเป็นลำดับแรก กรรมชนิดไหนมีอาวุโสรองลงมาให้ผล
เป็นลำดับรองลงมา กรรมชนิดไหนมีอาวุโสน้อยให้ผลเป็นลำดับหลัง ก็ประเภทแห่งกรรมทีว่ า่ โดยลำดับการให้ ผล
ซึง่ มีชอ่ื เรียกเป็นศัพท์วา่ ปากทานปริยายจตุกกะ นี้ มีอยูท่ ง้ั หมด ๔ กรรมด้วยกัน คือ ครุกรรม ๑ อาสันนกรรม
๑ อาจิณกรรม ๑ กฎัตตากรรม ๑ ซึง่ มีออรรถาธิบายตามลำดับก่อนหลัง ดังต่อไปนี้
ครุกรรม
ครุกํ กมฺมนฺติ ครุกมฺมํ
กรรมใด เป็นกรรมหนักแน่น เพราะกรรมอืน่ ๆ ไม่สามารถทีจ่ ะห้ามการให้ผลได้
กรรมนัน้ ชือ่ ว่าครุกรรม
พูดถึงเรือ่ งครุกรรมนีม้ าก็นานพอสมควรแล้ว แต่ยงั ไม่ได้ชใ้ี ห้เห็นสักทีวา่ ทีว่ า่ ครุกรรมๆ นัน้ ได้แก่อะไร?
ก่อนที่จะทราบว่าครุกรรมได้แก่อะไร ก็ต้องไม่ลืมหลักใหญ่ที่ว่า ครุกรรมนี้แบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ
ครุกรรมทีเ่ ป็นฝ่ายอกุศล ๑ ครุกรรมทีเ่ ป็นกุศล ๑ เสียก่อน เมือ่ เราจับหลักใหญ่ได้ชน้ั หนึง่ ดังนีแ้ ล้ว ทีน้ี เราจึง
ศึกษาให้ละเอียดลงไปอีกว่า ในบรรดาครุกรรมทัง้ ๒ ฝ่ายนัน้ ครุกรรมฝ่ายอกุศลได้แก่อะไร?
ครุกรรมฝ่ายอกุศล ได้แก่
⌫⌫
๑. มาตุฆาต
๒. ปิตฆ
ุ าต
๓. อรหันตฆาต
๔. โลหิตปุ าท
๕. สังฆเภท
นีแ่ หละท่านผูม้ ปี ญ
ั ญาทัง้ หลาย กรรมใหญ่เหล่านี้ คือ นิยตนมิจฉาทิฏฐิกรรม และอนันตริยกรรมนี่ แหละ
จัดเป็นครุกรรม ! บัดนีเ้ พือ่ ความเข้าใจดียง่ิ ขึน้ จักได้อธิบายครุกรรมให้กว้างขวางออกไป แต่ในการ อธิบายนี้
ครุกรรมอันเป็นส่วนนิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม จักยกไว้ไม่อธิบาย เพราะตัง้ ใจไว้วา่ จักกล่าวในตอนข้างหน้าโน้น
ในทีน่ จ่ี กั ขอกล่าวแต่เพียงครุกรรมอันเป็นส่วนอนันตริยกรรมเท่านัน้ ก็อนันตริยกรรมทัง้ ๕ ประการ ซึง่ จัดเป็น
ครุกรรมฝ่ายอกุศล อันเป็นกรรมให้ผลเป็นบาปอย่างสาหัสนัน้ มีการขยายความดังต่อไปนี้
มาตุฆาต - ปิตฆุ าต
มาตุฆาต – ปิตฆ ุ าตนี้ ได้แก่ การฆ่ามารดาบิดา ! ก็การฆ่ามารดา ทีจ่ ดั ว่าเป็นอนันตริยกรรมย่อม
หมายเอาเฉพาะฆ่ามารดาบังเกิดเหล้าเท่านัน้ ถ้าฆ่าแม่เลีย้ ง ฆ่าแม่นม ฆ่าแม่ยายจะได้เป็นอนันตริยกรรมก็หา
มิได้ ถึงปิตฆุ าต คือการฆ่าบิดาก็เหมือนกัน ทีจ่ ดั ว่าเป็นอนันตริยกรรม ก็หมายเอาเฉพาะฆ่าบิดาบังเกิดเกล้า เท่านัน้
ถ้าฆ่าพ่อเลีย้ ง ฆ่าอา ฆ่าพ่อตา จะได้เป็นอนันตริยกรรมก็หามิได้
⌫⌫
เมือ่ บุคคลเห็นบิดาปลอมตัวมาปล้น สำคัญว่าเป็นโจรหารูว้ า่ เป็นบิดาไม่ แล้วจึงทำการฆ่าบิดานัน้ เสีย
ด้วยสำคัญว่าเป็นโจร อย่างนีจ้ ดั เป็นปิตฆุ าตต้องอนันตริยกรรม
⌫⌫
ท่านที่เป็นชาติมนุษย์ ได้มีโอกาสบรรลุธรรมวิเศษสูงสุดในพระพุทธศาสนา คือได้สำเร็จเป็น
พระอรหันตอริยบุคคลมหาขีณาสวเจ้า แต่วา่ ยังไม่ได้เข้ามาอุปสมบทเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา ยังทรงเพศเป็น
ฆราวาสอยู่ ผูใ้ ดประหารท่านให้ดบั ขันธ์เข้าสูน่ พิ พาน ผูน้ น้ั ก็เป็นอรหันตฆาต ต้องอนันตริยกรรม
ท่านผูม้ ปี ญ
ั ญาทัง้ หลาย แลเห็นแล้วหรือยังเล่าว่า เวลาทีถ่ วายอาหารบิณฑบาตทานนัน้ ท่านผูร้ บั ก็
เป็นปุถชุ นอยูเ่ หมือนกัน แต่ทานนัน้ จะมีผลเลิศเป็นทานอย่างสูงชัน้ อรหันตทาน หรือจะมีผลธรรมดาเป็นทาน
ธรรมดาชัน้ ปุถชุ นทาน ย่อมอยูท่ ก่ี ารบริโภคก่อนหรือบริโภคทีหลังแห่งท่านผูม้ ปี สั สนาญาณแก่กล้า หากว่าท่าน
รับแล้ว เอาไปตัง้ ไว้ยงั หาบริโภคไม่ ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว จึงบริโภคในภายหลังอย่างนีเ้ ป็นปุถชุ นทาน
ผู้ถวายได้ชื่อว่าถวายแก่ปุถุชน หากว่าท่านรับแล้ว บริโภคเสียก่อนแล้วจึงบำเพ็ญสมณธรรมเจริญวิปัสสนา
กรรมฐานจนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ อย่างนีเ้ ป็นอรหันตทาน ผูถ้ วายได้ชอ่ื ว่าถวายแก่พรอรหันต์ ในกรณีน้ี
สำคัญอยูท่ บ่ี ริโภคอาหารเข้าไปติดอยูใ่ นกาย อาหารบิณฑบาตทีเ่ ข้าไปประดิษฐานอยูใ่ นกาย ในอุทรประเทศแห่ง
ท่านผูม้ วี ปิ สั สนาญาณแก่กล้านัน้ เป็นเหตุ ชักนำให้ผถู้ วายทานได้ชอ่ื ว่าถวายอรหันตทาน ซึง่ เป็นทานทีม่ อี านิสงส์
มาก ถึงเรื่องอรหันตฆาตที่เรากำลังพูดกันอยู่นี้ก็เหมือนกัน บุคคลผู้มีเวรทำการประหารด้วยศาสตราวุธหรือ
ลอบใส่ยาพิษให้ท่านผู้มีวิปัสสนาญาณแก่กล้าซึ่งยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาอยู่แท้ๆ แต่เมื่อท่านได้รับ
- พระอนาคามีอริยบุคคล
- พระสกทาคามีอริยบุคคล
- พระโสดาบันอริยบุคคล
โลหิตบุ าท
โลหิตบุ าทนี้ ได้แก่การทำร้ายสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการยังพระโลหิตให้หอ้ ในพระวรกาย
แห่งพระองค์ บุคคลผูใ้ ด มีใจหยาบช้าลามกประกอบด้วยโทสะจิต คิดจะปลงพระชนม์ชพี สมเด็จพระสรรเพชญ
พุทธองค์แล้ว ลงมือกระทำร้าย ยังพระโลหิตห้อให้บังเกิดในพระวรกายแห่งสมเด็จพระพุทธองค์ ซึ่งยังทรง
พระชนม์ชพี อยู่ เหมือนอย่างพระเทวทัตกระทำแก่องค์สมเด็จพระมิง่ มงกุฎศรีศากยมุนโี คดม บรมครูแห่งเราทัง้
หลายในพุทธสมัยนี้ บุคคลนัน้ ย่อมได้ชอ่ื ว่ากระทำโลหิตบุ าท ต้องอนันตริยกรรม
เพื่อความเข้าใจในอนันตริยกรรมข้อนี้ได้เป็นอย่างดี เราควรจะได้ทราบโลหิตุบาทที่พระเทวทัตกระทำ
ไว้เป็นตัวอย่างเสียก่อน คือ พระเทวทัตนัน้ เป็นผูผ้ กู เวรกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโคดมของเรามาประมาณ
หลายแสนชาติ มาในชาติน้ี ทีแรกก็มคี วามเลือ่ มใสในพระบวรพุทธศาสนา ถึงกับเข้ามาขอบรรพชาอุปสมบทเป็น
พระภิกษุ ภายหลังได้บำเพ็ญสมณธรรมสำเร็จโลกิยฤทธิ์ แล้วมีจติ กำเริบโอหังปรารถนาจักบริหารการคณะสงฆ์
⌫⌫
แทนองค์สมเด็จพระบรมครู เมือ่ พระองค์ไม่ทรงอนุญาต ก็บงั เกิดความอาฆาตมาดร้าย ปรารถนาจักกระทำร้าย
สมเด็จพระพุทธองค์ดว้ ยประการต่างๆ คราวหนึง่ สืบทราบมาว่าสมเด็จพระบรมศาสดาจักเสด็จไปโดยมรรคา
ทีผ่ า่ นภูเขา จึงแอบขึน้ ไปบนภูเขา เลือกก้อนหินใหญ่เท่ากูฎาคาร คือปราสาทเรือนยอดได้กอ้ นหนึง่ แล้ว ก็นง่ั จด
จ้องคอยทีอยู่ เมือ่ สมเด็จพระบรมครูเสด็จผ่านมาโดยมรรคาเบือ้ งล่าง คะเนพอเหมาะพอดีแล้ว พระเทวทัตผูใ้ จ
บาปก็ผลักก้อนหินใหญ่ให้กลิ้งตกลงมาทันที โดยมีความประสงค์จักให้ทับสมเด็จพระพุทธองค์ให้ทรงถึงแก่
ชีวติ ตักษัย ในขณะทีก่ อ้ นศิลาตกลงมาใกล้จะถึงสมเด็จพระพุทธองค์นน้ั ก็พลันบังเกิดอัจรรย์ !
โดยทีเ่ มือ่ ผลุดจากพืน้ ปฐพีในขณะนัน้ แล้ว ศิลาใหญ่ทง้ั ๒ ก็มกี ริ ยิ าน้อมยอดเข้าหากัน ประหนึง่ เป็น
เครือเขาเถาวัลย์ มิได้แข็งกระด้างทือ่ เฉยอยูเ่ หมือนภูเขาธรรมดา
ดุจศิษย์คอยรับบริขารแห่งอาจารย์
เหตุใด จึงไม่แตกทำลาย ?
⌫⌫
พระโลหิตเสียออก เมือ่ ได้รบั พระบรมพุทธานุญาตแล้ว เขาจึงสามารถผ่าออกด้วยมีด รีดพระโลหิตร้ายออกเสีย
จากพระบาทได้ และพระโลหิตที่รีดออกมาได้นั้น ก็มีประมาณไม่มากมายอะไร มีประมาณเพียงพอแมลงวัน
ดืม่ กินได้สกั อิม่ หนึง่ เท่านัน้ ! ในกรณีน้ี ถ้าหมอชีวกไม่ได้รบั พระบรมพุทธานุญาตให้กระทำตามชอบพระหฤทัย
แล้ว เขาจักไม่สามารถผ่าตัดพระวรกายของพระองค์ อันได้ชอ่ื ว่าเป็น อเภทกายนัน้ ได้เลยเป็นอันขาด เพราะ
เหตุทเ่ี ขามีประสาทเลือ่ มใส ปรารถนา เพือ่ จักรักษาพระองค์ให้ได้รบั ความสุข ด้วยจิตบริสทุ ธิ์ ทำการผ่าตัดโดย
ได้รบั พระบรมพุทธานุญาตก่อนดังกล่าวมา ฉะนัน้ เขาจึงไม่เป็นผูก้ ระทำโลหิตบุ าท ไม่ตอ้ งอนันตริยกรรม เรือ่ ง
ของเรือ่ งเป็นเช่นนี้ จึงไม่นา่ ทีจ่ ะพูดมากไปให้เสียเวลาเปล่าๆ
⌫⌫
๘. สิง่ ทีส่ มเด็จพระพุทธองค์ไม่ทรงเคยกระทำ กลับกล่าวว่าเป็นสิง่ ทีท่ รงเคยกระทำ.
๙. สิกขาบททีส่ มเด็จพระพุทธองค์ทรงบัญญัตไิ ว้ กลับกล่าวว่าเป็นสิกขาบททีไ่ ม่ได้ทรงบัญญัตไิ ว้.
๑๐. สิกขาบททีส่ มเด็จพระพุทธองค์ไม่ได้ทรงบัญญัตไิ ว้ กลับกล่าวว่าเป็นสิกขาบททีท่ รงบัญญัตไิ ว้.
๑๑. วัตถุทเ่ี ป็นอาบัติ กลับกล่าวว่าเป็นวัตถุทไ่ี ม่เป็นอาบัต.ิ
๑๒. วัตถุทไ่ี ม่เป็นอาบัติ กลับกล่าวว่าเป็นวัตถุเป็นอาบัต.ิ
๑๓. อาบัตทิ เ่ี บา กลับกล่าวว่าเป็นอาบัตทิ ห่ี นัก.
๑๔. อาบัตทิ ห่ี นัก กลับกล่าวว่าเป็นอาบัตทิ เ่ี บา.
๑๕. อาบัตทิ พ่ี อจะเยียวยาได้ กลับกล่าวว่าเป็นอาบัตทิ เ่ี ยียวยาไม่ได้.
๑๖. อาบัตทิ เ่ี ยียวยาไม่ได้ กลับกล่าวว่าเป็นอาบัตทิ พ่ี อเยียวยาได้.
๑๗. อาบัตทิ ช่ี ว่ั หยาบ กลับกล่าวว่าเป็นอาบัตทิ ไ่ี ม่ชว่ั หยาบ.
๑๘. อาบัตทิ ไ่ี ม่ชว่ั หยาบ กลับกล่าวว่าเป็นอาบัตทิ ช่ี ว่ั หยาบ.
“ท่านทัง้ ปวงก็รอู้ ยูว่ า่ ข้าพเจ้าเป็นผูม้ ชี าติมตี ระกูลอันสูง สละสมบัตอิ นั มากมายออกบรรพชา อนึง่ เล่า
ข้าพเจ้าก็เป็นพหูสตู ได้สดับตรับฟังมามาก ภิกษุอย่างข้าพเจ้านีห้ รือ จะมาถือให้ผดิ จากธรรมวินยั การทีท่ า่ นทัง้
ปวงจะสงสัยในถ้อยคำของข้าพเจ้านี้ หาควรไม่ อเวจีมหานรกนัน้ เป็นใหญ่ ข้าพเจ้าก็กลัวภัยในนรกอยู่ ดังฤาจะ
มาสอนท่านทัง้ ปวงให้ถอื ผิดจากพระธรรมวินยั ท่านทัง้ หลายอย่าได้นกึ กินแหนงแคลงใจในถ้อยคำของข้าพเจ้า เลย
จงฟังคำของข้าพเจ้า จงปฏิบตั ติ ามโอวาทานุสาสน์แห่งข้าพเจ้านีเ้ ถิด“
ภิกษุผหู้ มายใจจะกระทำสังฆเภท กระทำเหตุครบ ๕ ประการนีแ้ ล้ว เมือ่ ภิกษุทง้ั หลายซึง่ มีปญั ญาทราม
มีความเห็นตามลัทธิแห่งตน ซึง่ เป็นลัทธิทผ่ี ดิ พระพุทธวจนะ พร้อมเพรียงกันแยกออกจนครบองค์สงฆ์ คือ ๔ รูปก็ดี
หรือเกินกว่า ๔ รูปก็ดี ไปกระทำสังฆกรรมต่างหาก สวดพระปาฏิโมกข์ต่างหากจากพระภิกษุทั้งหลายซึ่ง
ปฏิบัติถูกต้องตามพระธรรมวินัย ในกรณีเช่นนี้แหละ พระภิกษุสงฆ์จึงจะได้ชื่อว่าแตกแยกออกจากกัน และ
พระภิกษุ ผูเ้ ป็นตัวการในเรือ่ งนี้ ย่อมได้ชอ่ื ว่ากระทำสังฆเภท ต้องอนันตริยกรรมในขณะนีเ้ อง ! ถ้าว่าภิกษุทง้ั
หลายเหล่านั้น แม้จะได้รับการยุยงจากตนแล้ว ก็หาได้เชื่อถือถ้อยคำแห่งตนไม่ ยังมีความเคารพเลื่อมใสใน
พระพุทธวจนะอยู่ ยังปฏิบตั ติ ามพระพุทธบัญญัตอิ ยู่ แต่วา่ เกิดทะเลาะวิวาทขัดแค้นใจกันด้วยเหตุอนั ใดอันหนึง่
- มาตุมาต
- ปิตมุ าต
- อรหันตมาต
- โลหิตบุ าท
- สังฆเภทอนันตริยกรรม
- โลหิตบุ าทอนันตริยกรรม
- อรหันตฆาตอนันตริยกรรม
- มาตุมาตปิตฆุ าตอนันตริยกรรม
⌫⌫
มีโทษหนักกว่าอนันตริยกรรมข้ออืน่ ทัง้ หมด ก็ยอ่ มจะเข้ารับหน้าทีเ่ ป็นเจ้าพนักงานตกแต่งปฏิสนธิให้เขาก่อน
กรรมอืน่ คือชักนำเขาผูม้ บี าปหนานัน้ ให้ไปบังเกิดเป็นสัตว์นรกอยู่ ณ ทีอ่ เวจีมหานรก เสวยทุกขเวทนาถูกไฟ
ในอเวจีมหานรกนัน้ ไหม้อยูโ่ ดยไม่มเี วลาส่างว่างเว้น อยูเ่ ป็นเวลาช้านานตราบเท่าสิน้ วิวฏั ฏฐายีอสงไขยกัปป์ (๑
ใน ๔ แห่งมหากัปป์) เพราะโทษแห่งสังฆเภทอนันตริยกรรมนี้ จะนับเป็นล้านเป็นโกฏิปนี น้ั นับไม่ได้ ต้องนับ
ด้วยจำนวนหนึง่ อสงไขยกัป โดยสังฆเภทกรรมนีเ้ ป็น กัปปัฏฐิติ ผูใ้ ช้กรรมมีกำหนดทีจ่ ะพ้นจากโทษในนรกใน
กาลเมือ่ สิน้ วิวฏั ฏฐายีอสงไขยกัปป์ ซึง่ เป็นกาลทีโ่ ลกถึงคราวฉิบหาย ถ้าวิวฏั ฏฐายีอสงไขยกัปป์ยงั ไม่สน้ิ ไป ตราบใด
ผูก้ ระทำสังฆเภทกรรมนี้ ก็ยงั ไม่พน้ จากอเวจีมหานรกตราบนัน้ ! จำไว้งา่ ยๆ ว่า ในบรรดาอนันตริย กรรมทัง้ ๕
นั้น สังฆเภทกรรมนี้ เป็นกัปปัฏฐิติ คือผู้กระทำจะต้องได้รับโทษในนรกอยู่ชั่วอสงไขยกัปป์หนึ่ง มี
กำหนดพ้นโทษทุกข์ขน้ึ มาจากอเวจีมหานรกได้ ในกาลเมือ่ สิน้ วิวฏั ฏฐายีอสงไขยกัปป์ สิน้ กัปทีว่ า่ นีเ่ มือ่ ไร เป็น
พ้นจากนรกเมือ่ นัน้ สมมติวา่ ถ้าวิวฏั ฏฐายีอสงไขยกัปป์ ซึง่ มีอยู่ ๖๔ อันตรกัปป์นน้ั เพิง่ เริม่ ต้นอันตรกัปป์ท่ี ๑
และมีภกิ ษุกระทำสังฆเภทกรรมในขณะนัน้ เขาก็จะต้องไปเกิดเป็นสัตว์ในอเวจีมหานรก หมกไหม้อยูน่ านจน
ถึงอันตรกัปป์ท่ี ๖๔ จึงจะพ้นจากโทษ ! ทีน้ี สมมติวา่ เพลาพรุง่ นีจ้ กั สิน้ อันตรกัปป์ท่ี ๖๔ แห่งวิวฏั ฏฐายีอสงไขย
กัปป์แล้ว และบังเอิญมีภกิ ษุกระทำสังฆเภทกรรมเข้าในวันนี้ เขาย่อมเป็นผูม้ โี ชคดี คือไปเกิดเป็นสัตว์ในอเวจ
มี หานรก หมกไหม้อยูน่ านเพียงวันเดียวเท่านัน้ ก็จกั ได้พน้ จากนรก ! ว่าดังนี้ เพือ่ ทีจ่ ะให้ทา่ นผูม้ ปี ญ
ั ญาทัง้ หลาย
ได้เข้าใจว่า การเสวยทุกขโทษอันเกิดจากสังฆเภทกรรมนี้ มีเวลานานกำหนดด้วย ๑ วิวฏั ฏฐายีอสงไขยกัปป์
เป็นประมาณสำคัญ และพึงเข้าใจต่อไปว่า อนันตริยกรรมที่มีโทษหนักเป็นเวลานานกำหนดด้วยวิวัฏฏฐายี
อสงไขยกัปป์นี้ ก็มีแต่สังฆเภทกรรมอนันตริยกรรมนี้เท่านั้น ! เมื่อผู้กระทำอนันตริยกรรมครบ ๔ ประการ
ขาดใจตายไปและถูกสังฆเภทกรรม ชักนำไปปฏิสนธิในอเวจีมหานรกดังกล่าวแล้ว อนันตริยกรรมทีม่ โี ทษเบา
รองลงมาคือ โลหิตบุ าท - อรหันตฆาต - มาตุ - ปิตฆุ าตกรรม ก็ไม่อาจทีจ่ ะให้ผลแก่เขาในขณะนัน้ ได้
⌫⌫
บัดนี้ เราก็ได้รบั ทราบมาเป็นลำดับแล้วว่า อนันตริยกรรมมีอยูก่ ป่ี ระการ แต่ละประการนัน้ มีความหมายว่า อย่างไร
และในบรรดาอนันตริยกรรมทัง้ หลายเหล่านัน้ อนันตริยกรรมไหนมีโทษหนักเบา และมีลำดับแห่งการ ใช้ผลอย่างไร
ยังเหลืออยูป่ ญั หาสุดท้ายทีค่ วรจะทราบไว้กค็ อื ว่า
ท่านผูม้ ปี ญ
ั ญาทัง้ หลาย อนันตริยกรรมทัง้ หมดนี้ จัดเป็นครุกรรมฝ่ายอกุศล มีลำดับการให้ผลเป็น
อันดับแรก ถึงแม้จะได้ประกอบกรรมทำบาปหยาบช้ามามากอย่างไร แต่ถา้ ได้กระทำอนันตริยกรรม ซึง่ เป็น
กรรมหนัก มีโทษมากกว่ากรรมอืน่ แล้ว เมือ่ เวลาขาดใจตาย อนันตริยกรรมซึง่ เป็นครุกรรมฝ่ายอกุศลนีแ่ หละ
ก็จะเข้าทำหน้าทีใ่ ห้ผลก่อนกรรมอืน่ โดยชักนำบุคคลผูเ้ ป็นเจ้ากรรมให้ไปเกิดในอเวจีมหานรกในชาติตอ่ ไปโดย
ไม่ตอ้ งสงสัย ! พออธิบายมาถึงตรงนี้ ใคร่ทจ่ี ะยกเอาตัวอย่างบุคคล ผูถ้ กู ครุกรรมฝ่ายอกุศลชักนำไป เกิดใน
อเวจีนรกมาเล่าให้ฟงั สักเรือ่ งหนึง่ ดังเช่นเคยประพฤติมาในการอธิบายกรรมต่างๆ ทีผ่ า่ นมา แต่เห็นว่าในการ
กล่าวถึงครุกรรมฝ่ายอกุศลนี้ เราพากันเสียเวลาว่ากันถึงอนันตริยกรรมมามากแล้ว ถ้าจักยกตัวอย่างมากล่าว
อีกเรือ่ งหนึง่ ก็จะเป็นการเยิน่ เย้อเกินไป เพราะฉะนัน้ จึงขอยุตเิ รือ่ งครุกรรมฝ่ายอกุศลไว้เพียงแค่น้ี
⌫⌫
อัญเชิญให้ขน้ึ ไปอุบตั เิ กิดเป็นพระพรหมผูป้ ระเสริฐ เสวยสมบัตเิ ป็นสุขอยูใ่ นพรหมโลกอย่างแน่นอนโดยไม่ตอ้ ง
สงสัย ก็ในกรณีแห่งครุกรรมฝ่ายกุศลชักนำบุคคลผู้ได้บรรลุฌานให้ไปอุบัติเกิดเป็นพระพรหมนี้ พึงเห็น
ตัวอย่างตามเรือ่ งอันปรากฏมีมา ในเอกาทสนิบาตอรรถกถา ดังต่อไปนี้
ราชาผูไ้ ด้ฌาน
ได้สดับมาว่า การทีโ่ ลกเรานี้ ว่างจากพระพุทธศาสนานานมาแล้ว มีสมเด็จพระราชาธิบดีพระองค์ หนึง่
ทรงพระนามว่าสมเด็จพระเจ้ากาสิกราช ครบครองราชสมบัตอิ ยู่ ณ กาสิกรัฐ ท้าวเธอทรงตัง้ อยูใ่ น ทศพิธราชธรรม
ประชาชนพลเมืองในแว่นแคว้นของพระองค์ตา่ งก็พากันอยูเ่ ป็นปกติสขุ ตามสมควรแก่อตั ภาพ ครัง้ นัน้ ยังมีกสิกร
๒ คน ซึ ่ ง เป็ น ชาวกาสิ ก รั ฐ นั ้ น เขาเป็ น สหายรั ก ใคร่ ก ั น มาก วั น หนึ ่ ง ชวนกั น ไปบุ ก เบิ ก ที ่ น าใหม่
ซึง่ อยูใ่ นทีใ่ กล้ปา่ ใหญ่ไกลจากบ้าน โดยต่างคนต่างก็สะพายหม้อน้ำดืม่ ไปคนละหม้อ เพือ่ จะได้ดม่ื กินแก้คอแห้ง
ในเวลาทำงาน เมือ่ ไปถึงเขตนาใหม่ทต่ี นจับจองไว้ และเตรียมจะบุกเบิกถากถางให้เตียนแล้ว ก็เอาหม้อน้ำดืม่
ทีต่ นนำติดตัวมานัน้ แขวนไว้รวมกันทีต่ น้ ไม้แห่งหนึง่ แล้วก็แยกกันไปทำงานในสถานทีๆ่ ตนจับจองไว้
“อะไร?“ สหายนัน้ ตกใจมองดูหน้าเพือ่ นปากอ้านัยน์ตาค้าง “ขอเพือ่ นจงตัง้ ใจตัง้ สติให้ดเี ถิด ไม่มอี ะไร
เกิดขึน้ ทีน่ ห่ี รอกเราจะพากันกลับบ้านเร็วๆ“ เขาพูดปลอบใจ ด้วยนึกว่าสหายของตนถูกผีปา่ เข้าสิง หรือมิฉะนัน้
ก็คงเกิดสติวปิ ลาสคือกลายเป็นบ้าไปเสียแล้ว
ครัน้ กล่าวดังนีแ้ ล้ว พระปัจเจกพุทธเจ้าผูเ้ พิง่ สำเร็จใหม่กย็ กหัตถ์ขน้ึ ลูบทีเ่ ศียรเกล้าแห่งตน ในขณะนัน้
ก็เกิดอัศจรรย์ขน้ึ ทันใด ! เพศคฤหัสถ์ซง่ึ เป็นกสิกรธรรมดาได้อนั ตรธานหายไป เพศบรรพชิตปรากฏขึน้ แทน
เกสาอันยาวของท่านเมือ่ ตะกีน้ เ้ี หลืออยูเ่ พียง ๒ องคุลี นุง่ สบงทรงจีวรสีเหลืองอ่อนย้อมด้วยขมิน้ คาดประคตอก
สง่างามดุจสายฟ้าบนผ้าสังฆาฏิสแี ดงสดซึง่ พาดอยูท่ บ่ี า่ ซ้าย ส่วนทีจ่ ะงอยบ่าเบือ้ งขวาพาดผ้าบังสุกลุ จีวรซึง่ มีสี
ดุจสีเมฆ และคล้องด้วยบาตรซึ่งมีสีงามเลื่อมดังปีกแมลงทับ แล้วเหาะลอยขึ้นไปบนอากาศ แสดงพระธรรม
เทศนาแก่สหายเก่าเล็กน้อย แล้วก็เหาะลอยไปสถิตอยู่ ณ เงือ้ มเขานันทมูลกะ ตามสมควรแก่ปจั เจกพุทธวิสยั
ปล่อยให้สหายเก่ายืนมองอยู่ ณ ทีน่ น้ั เพียงแต่ผเู้ ดียวเป็นเวลานานด้วยความงงงันอัศจรรย์ใจเป็นทีส่ ดุ
ในกาลครัง้ นัน้ ยังมีบรุ ษุ อีกคนหนึง่ เป็นกุฎมุ พี มีฐานะมัง่ คัง่ ตัง้ บ้านเรือนอยูใ่ นกาสิกรัฐนัน้ วันหนึง่
เขาไปธุระเพือ่ ซือ้ สิง่ ของทีต่ ลาดในเมือง ในขณะทีเ่ ขานัง่ อยูใ่ นร้านตลาดมองออกมาข้างนอก ได้เห็นบุรษุ หนุม่
⌫⌫
คนหนึง่ ซึง่ พาเอาภริยารูปสวยแห่งตนมา กุฎมุ พีผนู้ น้ั แลดูภริยาของผูอ้ น่ื แล้วเกิดอกุศลจิตคิดอยากจะได้นาง
มาเป็นสมบัตขิ องตนเป็นหนักหนา แต่ดว้ ยอำนาจวาสนาบารมีอนั สูงส่งทีเ่ ขาได้เคยบำเพ็ญมาแต่บรุ พชาติ จึง
ทำให้เขาพลันบังเกิดความคิดขึน้ ในปัจจุบนั ทันด่วนนัน้ ว่า
“อโห! โลภะตัณหานีม่ ฤี ทธิร์ า้ ยแรงนักหนา ดูเอาเถิดตัวเรานีก่ เ็ ป็นผูม้ ที รัพย์ มีเกียรติ ทัง้ มีความ
ประพฤติดเี ป็นทีน่ บั ถือยกย่องของคนทัว่ ไป แต่เหตุไฉน บัดนีจ้ งึ มีความคิดบ้าๆ อยากจะได้ภริยาของผูอ้ น่ื อัน
เป็นความคิดที่น่าละอาย หากว่าปล่อยโลภะตัณหานี้ให้มันเจริญงอกงามเรื่อยไป มันคงจะบันดาลให้ตัวเรา
ประพฤติผดิ ศีลธรรมล่วงกาเมสุมจิ ฉาจารอย่างน่าสังเวชใจ แล้วนำเราไปสูอ่ บายภูมิ ในเมือ่ ตายไปแล้วอย่างแน่ๆ
อย่าเลย เราจักประหารเจ้าโลภะตัณหาอันมีฤทธิร์ า้ ย ในกาลบัดนี“้
ดำริจติ คิดดังนีแ้ ล้ว กุฎมุ พีชาวกาสิกรัฐ ผูม้ ปี จั เจกพุทธญาณบารมีนน้ั ก็ตง้ั จิตเจริญวิปสั สนาภาวนา
ยั ง ปั จ เจกพุ ท ธญาณ ให้ บ ั ง เกิ ด ขึ ้ น ในสั น ดานของตน ได้ ส ำเร็ จ เป็ น พระปั จ เจกพุ ท ธเจ้ า แล้ ว
ก็ยกหัตถ์ขน้ึ ลูบเศียรของตน เพศคฤหัสถ์กอ็ นั ตรธานหายไป เพศบรรพชิตปรากฏขึน้ มาแทน แล้วก็เหาะขึน้ ไป
บนอากาศ แสดงธรรมแก่ชาวร้านตลาดเล็กน้อย แล้วก็เหาะลอยไปสถิตอยู่ ณ เงือ้ มเขานันทมูลกะเช่นเดียวกับ
พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์แรก ซึง่ เป็นเหตุการณ์ทย่ี งั ความตกตะลึงพรึงเพริด ให้เกิดแก่ชาวร้านตลาดในขณะนัน้
เป็นอันมาก
ในกาลครัง้ นัน้ ยังมีกฎุ มุ พีอกี ผูห้ นึง่ ซึง่ เป็นผูม้ ฐี านะดี มีนวิ าสสถานบ้านเรือนอยู่ ณ กาสิกรัฐนัน้ วัน
หนึง่ เขามีความจำเป็นทีจ่ ะต้องเดินทางผ่านดงใหญ่ เพือ่ ไปทำธุระสำคัญ จึงชวนบุตรชายซึง่ เป็นหนุม่ ใหญ่ไปด้วย
ก็ทป่ี ากทางจะเข้าดงใหญ่นน้ั ปรากฏว่าพวกโจรมันมักมาดักปล้นคนเดินทางอยูเ่ สมอๆ และเป็นทีล่ ำ่ ลือกันว่า
โจรก๊กที่ปล้นคนเดินทางนี้ เป็นโจรเรียกค่าไถ่ วิธีการของพวกมันก็คือ เมื่อจับคนเดินทางได้ทั้งพ่อทั้งลูก
มันย่อมจะยึดเอาลูกไว้เป็นตัวประกัน เมือ่ พ่อนำทรัพย์มาไถ่แล้ว จึงจะปล่อยตัวไป ถ้าไม่นำทรัพย์มาไถ่ ก็ฆา่ ลูก
นัน้ เสีย ถ้าว่ามันจับคนเดินทางซึง่ เป็นพีน่ อ้ งกันได้แล้ว ย่อมยึดเอาน้องไว้เป็นตัวประกัน ปล่อยให้พไ่ี ปหาทรัพย์
มาไถ่ ถ้าว่าจับได้คนเดินทางซึ่งเป็นลูกศิษย์อาจารย์มาด้วยกัน มันย่อมกักเอาตัวท่านอาจารย์ไว้เป็นประกัน
ปล่อยให้ลกู ศิษย์ไปหาทรัพย์มาไถ่ โดยมันรูใ้ จว่า ธรรมดาลูกศิษย์ยอ่ มมีความโลภในศิลปวิทยา มีความเคารพ
อย่างสูงในอาจารย์ เมือ่ มีเหตุการณ์เกิดขึน้ เช่นนีย้ อ่ มจะขมีขมันรวบรวมทรัพย์สนิ มาไถ่ ไม่มศี ษิ ย์ทด่ี คี นใดยอม
ให้อาจารย์ของตนตายง่ายๆ
⌫⌫
“ข้าแต่นาย ! ในพิธพี ลีกรรมแก่ยกั ษ์ ซึง่ จะมีขน้ึ ในครัง้ นี้ ข้าพเจ้าทัง้ หลายจักขอฆ่าสัตว์ตา่ งๆ เช่นเนือ้ แกะ
สุกรเป็นต้น เพือ่ กระทำพลีกรรมแก่ยกั ษ์ผศู้ กั ดิส์ ทิ ธิต์ ามประเพณีทเ่ี คยกระทำมาทุกปี ขอนายจงอนุญาติดว้ ยเถิด“
อปฺปมตฺตา โหถ
ขอท่านทัง้ หลาย จงอย่าเป็นผูป้ ระมาท
ก็เงือ้ มเขานันทมูลกะ ซึง่ ปรากฏมีอยูท่ ภ่ี เู ขาคันธมาทน์น้ี เป็นทีส่ ถิตอยูแ่ ห่งปัจเจกพุทธเจ้าทัง้ หลาย
ได้สดับมาว่า ทีเ่ งือ้ มเขานันทมูลกะนี้ มีถำ้ อยู่ ๓ ถ้ำคือ
๑. สุวรรคูหา = ถ้ำทอง
๒. มณีคหู า = ถ้ำแก้วมณี
๓. รชตคูหา = ถ้ำเงิน
⌫⌫
ณ ทีม่ ณีคหู าคือถ้ำแก้วมณีนน้ั มีตน้ อุโลกอยูต่ น้ หนึง่ ขึน้ อยูท่ ป่ี ากถ้ำ มีปริมาณความสูงได้ ๑ โยชน์
ปริมณฑลแห่งกิง่ ก็มปี ระมาณได้ ๑ โยชน์ ใกล้ตน้ อุโลกใหญ่นน่ั มีโรงประชุมอยูห่ ลังหนึง่ มีนามว่ารัตนมาฬกะ
สำเร็จแล้วด้วยแก้วมณีทง้ั สิน้ ทีน่ แ่ี หละเป็นทีป่ ระชุมสันนิบาตแห่งพระปัจเจกพุทธเจ้าทัง้ หลายซึง่ สถิตอยูใ่ นทีน่ น้ั
⌫⌫
เมื่อมีพระดำริดังนี้แล้ว ก็ค่อยเสด็จเข้าไปสู่ประตูห้องอันเป็นสิริ ประทับยืนทอดพระเนตรเห็นสมเด็จ
พระราชสวามี กำลังทรงเข้าทีน่ ง่ั สมาธิ และได้สดับพระอุทานของพระองค์ ซึง่ ทรงตำหนิตเิ ตียนกามสุขอยูเ่ ช่น นัน้
จึงมีพระราชเสาวนียว์ า่
บัดนี้ ท่านผูม้ ปี ญ
ั ญาทัง้ หลายก็ได้ทราบแล้วว่า ในลำดับการให้ผลแห่งกรรมนัน้ กรรมทีใ่ ห้ผลเป็นลำดับ
แรกก็คอื ครุกรรม ! ครุกรรมนีเ้ ป็นกรรมหนักทีส่ ดุ เป็นกรรมทีม่ พี ลังแรงทีส่ ดุ ไม่มแี รงกรรมอืน่ ใดจะมาสูไ้ ด้ ไม่
ว่าจะเป็นฝ่ายอกุศลหรือฝ่ายกุศลก็ตาม ซึง่ นัน่ ก็หมายความว่า เมือ่ บุคคลกระทำครุกรรมนีเ้ ข้าแล้ว หากว่า กระทำ
ครุ ก รรมฝ่ า ยอกุ ศ ลคื อ อนั น ตริ ย กรรม ก็ จ ะถู ก ครุ ก รรมฝ่ า ยอกุ ศ ลนี ้ ใ ห้ ผ ลก่ อ น โดยจะต้ อ งไปเกิ ด เป็ น
สัตว์นรกในอเวจีมหานรกในชาติหน้าซึ่งต่อจากชาตินี้อย่างแน่นอน หากว่ากระทำกรรมฝ่ายกุศลคือบำเพ็ญ
สมถกรรมฐานจนได้บรรลุฌานกุศลต่างๆ ก็จะถูกครุกรรมฝ่ายกุศลคือฌานนีใ้ ห้ผลก่อน โดยจะต้องไปอุบตั เิ กิด
เป็นพระพรหมสถิตอยู่ ณ พรหมโลก ในชาติหน้าซึง่ ต่อจากชาตินอ้ี ย่างแน่นอนโดยไม่ตอ้ งสงสัย
อาสันนกรรม
อาสนฺเน กตํ อาสนฺนํ
การกระทำทีด่ หี รือไม่ดี ในเวลาทีใ่ กล้จะตาย ชือ่ ว่าอสันนกรรม
อาสันนกรรม นี้ ได้แก่กรรมคือการกระทำสิง่ ทีด่ ี หรือกระทำสิง่ ทีไ่ ม่ดี ในเวลาทีใ่ กล้จะตาย ! อีกนัย
หนึง่ ว่า อาสันนกรรมนีไ้ ด้แก่การระลึกถึงสิง่ ทีด่ หี รือไม่ดี ในเวลาทีใ่ กล้จะตาย ! เพือ่ ความเข้าใจในเรือ่ งนีง้ า่ ยๆ
ก่อนอืน่ ขอให้ทา่ นผูม้ ปี ญ
ั ญาทัง้ หลาย พึงทราบว่า
อาสันนกรรมนี้ เมือ่ จะแบ่งออกเป็นฝ่ายใหญ่ๆ ก็มอี ยู่ ๒ ฝ่ายด้วยกัน คือ อาสันนกรรมทีเ่ ป็นฝ่าย อกุศล
๑ อาสันนกรรมที่เป็นฝ่ายกุศล ๑ ในบรรดาอาสันนนกรรมทั้งสองฝ่ายนั้น อาสันนกรรมที่เป็นฝ่ายอกุศล
พึงเห็นตัวอย่างเช่น
⌫⌫
กรรมความชัว่ ทีต่ วั เคยกระทำเอาไว้เหล่านีแ้ หละ เรียกชือ่ ว่า อาสันนกรรมฝ่ายอกุศล เพราะเป็นอกุศลทีร่ ะลึก
ขึน้ ได้ในขณะทีใ่ กล้จะตาย
- ทอดกฐิน
- สร้างพระอุโบสถ
- สร้างวัด
- สร้างศาลาการเปรียญ
- สร้างพระธรรม
- รักษาอุโบสถศีล
- เจริญสมถะวิปสั สนากรรมฐาน
- ถวายทานบ้าง
- รักษาศีลบ้าง
- ฟังธรรมบ้าง
⌫⌫
นาคราชาผูอ้ าภัพ
ได้สดับมาว่า กาลเมือ่ ศาสนา แห่งองค์สมเด็จพระมิง่ มงกุฎกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังปรากฏอยูใ่ น
โลกเรานีน้ น้ั มีมาณพผูห้ นึง่ ซึง่ เป็นคนมีศรัทธา ปรารถนาจักนำตนออกจากกองทุกข์ในวัฏสงสาร จึงสละทรัพย์
สมบัติบ้านเรือนออกบวชเป็นสมณะในพระพุทธศาสนา เมื่อบวชแล้วก็ตั้งหน้าบำเพ็ญสมณธรรม วันหนึ่ง มี
ความประสงค์จะเดินทางไปหาสถานทีอ่ นั สงบเงียบในป่าใหญ่ เพือ่ สะดวกแก่การบำเพ็ญภาวนากรรมฐาน จึง
โดยสารเรือไปในแม่นำ้ ในขณะทีเ่ รือแล่นไปโดยเร็วนัน้ ท่านได้เอามือจับใบตะไคร้นำ้ ซึง่ ขึน้ อยูร่ ม่ิ ฝัง่ ด้วยความ
เผลอตัว พอใบตะไคร้นำ้ ขาดติดมือมา ท่านจึงได้สติรตู้ วั ว่าต้องอาบัตเิ สียแล้ว เพราะมีพระพุทธบัญญัตหิ า้ มไว้
ไม่ให้พระภิกษุในพระพุทธศาสนาพรากของเขียว เช่นตัดไม้หักไม้เป็นต้น แต่ท่านก็เกิดมีจิตคิดประมาทว่า
อาบัตทิ ล่ี ว่ งพระพุทธบัญญัตเิ พียงเล็กน้อยเท่านี้ คงไม่เป็นไร แล้วก็ไม่สนใจทีจ่ ะแสดงอาบัตแิ ก่พระภิกษุรปู ใด
รูปหนึง่ เมือ่ ขึน้ จากเรือแล้ว ก็เข้าไปในป่าใหญ่ เลือกหาทีส่ ะดวกสบายเหมาะแก่การบำเพ็ญสมณธรรมได้แห่ง
หนึง่ แล้ว ก็ตง้ั หน้าบำเพ็ญสมณธรรมตามทีใ่ จคิดไว้
เขาได้แต่เฝ้าเศร้าโศกเสียใจ น้ำตาไหลซึมออกมาจากตาในคราที่นึกถึงชะตากรรมของตนอยู่อย่างนี้
เนืองๆ ภายหลังต่อมา เขาผูค้ รอบครองนาคสมบัตอิ ยูใ่ นนาคพิภพนัน้ ก็ได้นางนาคมาณวิกาตนหนึง่ เป็นธิดาใน
ฐานะที่เขาเคยเป็นพุทธศาสนิกชนผู้ดื่มด่ำในรสพระธรรมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และมีความ
⌫⌫
พอได้สดับกถานัน้ ก็จกั ทราบว่า “พระพุทธเจ้า บังเกิดขึน้ แล้วในโลก“ แล้วจักดีใจมาสูส่ ำนักแห่งเรา เมือ่ เขามา
ตถาคตจักกล่าวคาถาหนึง่ ในมหาสมาคมนัน้ ในอวสานคาถา ธรรมาภิสมัยจักมีแก่สตั ว์ทง้ั หลายเป็นอันมาก
⌫⌫
เสียงฟาดหางดังครืนใหญ่กึกก้อง ทำให้ท้องน้ำปันป่วนด้วยละลอกคลื่นถึงกับตลิ่งพัง ประชาชนทั้ง
หลายทีย่ นื อยูร่ มิ ฝัง่ ต้องจมน้ำลงไปหลายคนรวมทัง้ อุตรมาณพผูแ้ ก้ปริศนาด้วย ทัง้ นีก้ เ็ พราะพญาเอรกปัตตนา
คราชธิบดี เมื่อได้สดับการแก้ปริศนาอย่างถูกต้องของอุตรมาณพจบลง ก็ทราบได้ทันทีว่า “องค์สมเด็จ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติตรัสขึ้นแล้วในโลก“ แล้วก็บังเกิดปีติความดีใจเหลือที่จะกล่าว จึงลืมตัว
แสดงอาการดีใจด้วยการฟาดหางของตนดังโครมใหญ่ เมื่อแลดูไปอีกทีเห็นคนทั้งหลายกำลังจะจมน้ำตาย
เพราะความดีใจเกินขนาดของตนเช่นนัน้ ก็พลันตกใจ รีบแผ่พงั พานให้ใหญ่เข้าโอบอุม้ มหาชน ยกขึน้ มาวางไว้
บนบกด้วยฤทธิ์แห่งนาค แล้วจึงแปลงเพศเป็นมนุษย์ขึ้นมาจากแม่น้ำพร้อมกับนางนาคมาณวิกาผู้เป็นธิดา
เข้าไปหาอุตรมาณพแล้วถามว่า
“ดูกร ท่านผูม้ คี ณ
ุ ! ข้าพเจ้านีช้ อ่ื ว่าพญาเอรกปัตตนาคราช อยากจะทราบว่าบัดนีอ้ งค์สมเด็จพระชินสีห์
สัมมาสัมพุทธเจ้าของเราประทับอยูท่ ไ่ี หน?“
พญานาคาธิบดี จึงกราบทูลว่า
สมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงแสดงพระสัทธรรมเทศนาแก่เขาเป็นใจความว่า
มหาชนทั้งปวง ซึ่งสดับตรับฟังพระธรรมเทศนาที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัสให้พญาเอรกปัตตา
นาคาธิบดีได้สดับในเช้าวันนัน้ ต่างก็พากันมีจติ ศรัทธาเลือ่ มใส และได้บรรลุธรรมวิเศษเป็นอันมาก ฝ่ายพญา
นาคราชผูอ้ าภัพ ทัง้ ๆ ทีม่ ใี จมากไปด้วยความเลือ่ มใส ควรจะได้บรรลุธรรมวิเศษในพระบวรพุทธศาสนา อย่าง
น้อยก็ควรจะได้พระโสดาปัตติผลในวันนัน้ แต่กห็ าได้บรรลุไม่ ทัง้ นีก้ เ็ พราะตนเป็นอเหตุกปฎิสนธิเป็นอภัพพสัตว์
ไม่อาจจะมีปัญญาหยั่งทราบและรองรับธรรมวิเศษไว้ได้ ในที่สุด ก็ได้แต่เป็นผู้มีน้ำตาไหล ถวายนมัสการลา
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับไปยังนาคพิภพอันเป็นสถานทีอ่ ยูแ่ ห่งตนพร้อมกับนางนาคมาณวิกาผูเ้ ป็นธิดา
ด้วยประการฉะนี้
⌫⌫
มหาวาจกอุบาสก
ได้สดับมาว่า ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีอุบาสกผู้หนึ่ง ซึ่งปรากฏนามว่ามหาวาจก เขาเป็นคนมี
ศรัทธาความเชือ่ ความเลือ่ มใสในพระบวรพุทธศาสนาเป็นอย่างยิง่ ทุกๆ เช้าเขาต้องบริจาคทานด้วยการถวาย
อาหารบิณฑบาตแก่พระภิกษุสงฆ์ แล้วก็ตง้ั ใจสมาทานศีล เมือ่ ถึงวันอุโบสถก็สมาทานองค์แห่งอุโบสถเป็นประจำ
นอกจากนัน้ ยังตัง้ อกตัง้ ใจสดับตรับฟังพระธรรมเทศนาจนเกิดมีปญ ั ญาแตกฉาน รูอ้ รรถรูธ้ รรมในทางศาสนาพอ
ประมาณ วันหนึง่ อุบาสกผูม้ ศี รัทธานัน้ รำพึงถึงชีวติ ตนทีเ่ กิดมาโชคดี โดยทีไ่ ด้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธ
ศาสนา แล้วก็เกิดความอิม่ อกอิม่ ใจ จึงคำนึงต่อไปว่า
⌫⌫
เห็นจะพอกันทีละกระมัง เรือ่ งอาสันนกรรมฝ่ายอกุศลนี่ ทีนเ้ี ราจะพูดกันถึง เรือ่ งอาสันนกรรมฝ่ายกุศล
บ้าง อาสันนกรรมฝ่ายกุศลนี้ ก็ยอ่ มมีพฤติการณ์เช่นเดียวกับฝ่ายอกุศลทีก่ ล่าวมาแล้ว คือรีบชิงให้ผลดีแก่
บุคคลผูเ้ ป็นเจ้าของกรรมก่อนกรรมอืน่ ๆ ไม่วา่ บุคคลผูน้ น้ั จะมีบาปมีกรรมมากมาย ประพฤติชว่ั ช้าเลวทรามมา
อย่างไร แต่เมื่อถึงคราวจะตาย หากมีอาสันนกรรมฝ่ายกุศลบังเกิดขึ้นแล้ว อาสันนกรรมฝ่ายกุศลนี้ ก็จักทำ
หน้าทีช่ กั นำให้เขาไปบังเกิดในสุคติภพทันที โดยไม่มกี รรมอืน่ ใดทีจ่ กั มาหักห้ามได้ ในกรณีทอ่ี าสันนกรรม ฝ่ายกุศล
เข้าทำหน้าทีช่ งิ ให้ผลแก่บคุ คลก่อนกรรมอืน่ นี้ มีตวั อย่างตามเรือ่ งทีจ่ ะเล่าให้ฟงั ดังต่อไปนี้
โทวาริกทมิฬเทวา
ได้สดับมาว่า ณ หมูบ่ า้ นมธุองั คณาคาม มีบรุ ษุ ผูห้ นึง่ ซึง่ มีรา่ งกายสูงใหญ่และดำกำยำ นามของ
เจ้าผูน้ เ้ี ป็นทีร่ จู้ กั กันอยูท่ ว่ั ทัง้ หมูบ่ า้ นว่านายโทวาริกทมิฬ เขามีอาชีพเป็นพรานเบ็ด เช้าตรูท่ กุ ๆ วัน ออโทวาริก
ทมิฬผูม้ สี นั ดานเป็นคนบาปหยาบช้า เพือ่ นไม่นกึ ถึงบาปบุญคุณโทษหรือโลกนีโ้ ลกหน้าทัง้ สิน้ มุง่ แต่ทำมาหากิน
ในทางปาณาติบาต คว้าเอาเบ็ดไปเที่ยวตกปลาทั้งหลาย ครั้นตกปลาได้มากพอแก่อัธยาศัยแล้วก็กลับมาสู่
เคหะสถานแห่งตน จัดการแบ่งปลาทีต่ กมาได้นน้ั แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน เป็นค่าข้าวสารส่วน ๑ เป็นค่านมข้น
ส่วน ๑ ปิง้ หรือต้มแกงกินเองส่วน ๑ เขาเลีย้ งชีวติ ด้วยปาณาติบาตกรรมเช่นนี้ มาตัง้ แต่หนุม่ จนชรานับเป็น
เวลาช้านานประมาณ ๕๐ ปีเศษ จนเกิดความชำนิชำนาญในการตกปลาอย่างเยีย่ มยอดไม่มใี ครสูไ้ ด้ ฆ่าปลา
มัจฉาชาติเสียมากหลายไม่รวู้ า่ กีแ่ สนกีล่ า้ นตัว อยูต่ อ่ มา ออโทวาริกทมิฬสันดานหยาบบาปหนานี้ เมือ่ ถึงกาล
ชราแล้ว บังเกิดโรคพยาธิเป็นอนุฎฐานวิสยั คือล้มไข้ใกล้จะตายลุกไม่ขน้ึ นอกแซ่วตาปริบๆ อยูบ่ นเตียงทีต่ าย
เห็นพญามัจจุราชจะมาฉุดกระชากลากตนลงไปนรกอยูร่ ำไร
“แต่ขา้ อยูท่ น่ี ม่ี านานประมาณ ๕๐ ปีเศษแล้ว ข้ายังไม่ได้ไปมาหาสูท่ า่ นเลย ท่านคงมาด้วยธุระสิง่ ใดสิง่
หนึง่ ซึง่ ว่าจะมาเยีย่ มไข้ขา้ นัน้ ก็เห็นผิดนัก ชะรอยว่าท่านจักมาบิณฑบาตจะเอาข้าวปลาอาหารทีไ่ หนมาใส่บาตร เล่า
เพราะเกิดมาเราไม่เคยคิดเตรียมทีจ่ ะใส่บาตรถวายทานเลย ฉะนัน้ เจ้าจงไปนิมนต์ให้ทา่ นไปโปรดข้างหน้าเถิด “
⌫⌫
พระมหาเถระเจ้าจึงบอกให้เขารับไตรสรณคมน์ เริม่ แต่งแต่ปพุ พภาคคนมการคือ นโม ตสฺส เป็นต้นไป
โดยพระผูเ้ ป็นเจ้ากล่าวนำให้เขาว่าตามเป็นคำๆ ไป แต่พอรับไตรสรณคมน์จบลงแล้ว นายโทวาริกทมิฬผูไ้ ข้
หนักนัน้ ก็เกิดมีอาการลิน้ แข็งกระด้าง หมดความสามารถ มิอาจทีร่ บั ศีล ๕ ต่อไปได้ พระมหาเถระจึงดำริวา่
แต่เพียงรับไตรสรณคมน์ได้เท่านี้ นายโทวาริกทมิฬผูม้ บี าป ก็พอควรจะเอาตัวรอดได้อยูแ่ ล้ว ดำริดงั นีพ้ ระเถระผู้
มีเมตตาก็ออกมาจากเรือนเดินทางต่อไป เพือ่ บิณฑบาตตามสมณวิสยั แล้วกลับไปสูค่ รี วี หิ าร
“ข้าแต่พระผูเ้ ป็นเจ้า ! ข้าพเจ้านีใ้ ช่ใครอืน่ ทีแ่ ท้คอื บุรษุ ชัว่ ช้าชือ่ โทวาริกะ ซึง่ พระผูเ้ ป็นเจ้ามีเมตตา
กรุณาไปโปรดเมือ่ เช้านีอ้ ย่างไรเล่า“ เทวดาผูก้ ายงามสง่ารุง่ เรืองไปด้วยรัศมีกล่าวตอบ
พระมหาเถระผูม้ เี มตตากรุณแก่เขาจึงกล่าวตอบว่า
“ดูกรเทวดาเอ๋ย ! จะทำอย่างไรได้เล่า เพราะเมือ่ เช้านี้ พอท่านรับพระไตรสรณคมน์เสร็จแล้ว ท่านก็
มีอาการหนักชักตาตัง้ ลิน้ แข้งกระด้าง ไม่สามารถทีจ่ ะรับศีลต่อไปได้ ทัง้ ๆ ทีอ่ าตมาก็ตง้ั ใจไว้วา่ จักให้ศลี ๕ แก่
ท่านอยูแ่ ล้ว แต่กจ็ นใจเพราะความไม่ได้สติสมั ปชัญญะของท่านเอง“
อุทยราชา
ได้สดับมาว่า อดีตกาลนานมาแล้ว ยังมีเศรษฐีในเมืองพาราณสีคนหนึง่ ซึง่ มีนามว่าสุจบิ ริวารเศรษฐี
ท่านผูน้ ม้ี ฐี านะมัง่ คัง่ มีทรัพย์สมบัตอิ ยูใ่ นบ้านหลายร้อยล้าน เขาเป็นคนมีสนั ดานสะอาด ยินดีในการก่อสร้างกอง
บุญกุศล บริจาคทานและรักษาศีลเป็นประจำเมื่อถึงวันอุโบสถ เขาย่อมแนะนำบุตรภรรยาตลอดจนพวกทาส
กรรมกรในบ้าน ให้พากันรักษาองค์อโุ บสถ จนปรากฏเป็นธรรมเนียมในบ้านนัน้ ว่า เมือ่ ถึงวันอุโบสถแล้ว ทุก
คนต้องงดเว้นจากกิจการงานต่างๆ และสมาทานองค์อโุ บสถ เพือ่ ประโยชน์แก่ชวี ติ ตนไปปรโลกภายภาคหน้า
⌫⌫
กาลครัง้ นัน้ มีบรุ ษุ หนุม่ ผูห้ นึง่ ซึง่ เกิดในตระกูลเข็ญใจ เติบใหญ่ขน้ึ มาก็ประกอบอาชีพด้วยการรับจ้าง
เขาทำงานหนักสารพัดตามประสาคนจน คราวหนึง่ ว่างงาน ไม่มเี งินจะซือ้ อาหารรับประทาน เขาจึงออกเดินหา
งานเรือ่ ยไป ในทีส่ ดุ มาถึงรัว้ บ้านของท่านเศรษฐี จึงตัดสินใจเข้าไปหาท่านเพือ่ ของานทำ ท่านเศรษฐีจงึ ว่า
“ถ้าข้าพเจ้าจักรักษาอุโบสถศีลในกาลบัดนี้ จะได้หรือไม่?”
⌫⌫
ห้องซึง่ เป็นทีอ่ บั ให้มานอนทีห่ อ้ งน้อยใกล้ถนนซึง่ เป็นห้องโปร่ง โดยประสงค์วา่ เมือ่ เขาได้รบั อากาศบริสทุ ธิใ์ น
ตอนเช้าตรู่ อาการแห่งโรคคงจักดีขน้ึ
ทีว่ า่ ไว้ดงั นี้ มิใช่มเี จตนาจะยุยงให้ทา่ นทัง้ หลายมีใจดูถกู ดูหมิน่ บุญบาป หรือให้เห็นว่าบุญบาปไม่สำคัญ
ความจริงนัน้ ต้องการทีจ่ ะชีใ้ ห้ทา่ นทัง้ หลายได้เห็นความสำคัญของอาสันนกรรรมว่า อาสันนกรรมนี้ มีพลังแรง
กล้าสามารถที่จะให้ผลในชาติต่อไป คือในชาติหน้าซึ่งต่อจากชาตินี้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นอาสันนกรรม
ฝ่ายอกุศล หรือฝ่ายกุศลก็ตาม
⌫⌫
ทีฉ่ วยโอกาสให้ผลแก่บคุ คลผูเ้ ป็นเจ้าของกรรม ชักนำให้ไปเกิดเสวยสุขทุกข์ในชาติตอ่ ไปทันที กรรมทีว่ า่ นีม้ ชี อ่ื
ว่าอาจิณณกรรม
อาจิณณกรรม
อาจียติ ปุนปฺปนํ กริยตีติ อาจิณณ
ฺ ํ
กรรมใดทีบ่ คุ คลสัง่ สมไว้ คือกระทำไว้บอ่ ย ๆ กรรมนัน้ ชือ่ ว่า อาจิณณกรรม
อาจิณณกรรมนี้ ได้แก่กรรมคือการกระทำสิง่ ทีด่ แี ละไม่ดอี ยูเ่ สมอ ทำสิง่ ทีด่ แี ละไม่ดนี น่ั แหละอยูบ่ อ่ ยๆ
สัง่ สมสิง่ ทีด่ แี ละไม่ดไี ว้ในสันดานของตนมากๆ เพือ่ ความเข้าใจง่าย ในเบือ้ งต้นนี้ ขอให้ทา่ นผูม้ ปี ญ ั ญาทัง้ หลาย
ได้รบั ทราบไว้วา่
ผูท้ ม่ี ใี จบาปหยาบช้า กระทำทุจริตต่างๆ ทีเ่ กีย่ วเนือ่ งด้วยกายบ้าง ด้วยวาจาบ้าง ด้วยใจบ้าง ก็ตง้ั หน้า
ทำทุจริตกรรมเหล่านัน้ อยูเ่ สมอๆ เช่น ทำทุจริตด้วยการประกอบปาณาติบาตกรรมฆ่าสัตว์ตดั ชีวติ ก็ทำอยูเ่ สมอ
ทำอยูบ่ อ่ ยๆ ทำเป็นประจำ หรือทำทุจริตด้วยวาจา กล่าวคำมุสาวาท พูดโกหกพกลม และปากร้ายด่าว่าผูอ้ น่ื
ตลอดจนมีใจชั่วผูกอาฆาตพยาบาทผู้อื่น อันเป็นทุจริตทางใจ ก็ทำอยู่เสมอ ทำอยู่บ่อยๆ ทำเป็นประจำ
พอกพูนทุจริตกรรมไว้ในสันดานของตนไว้มากมาย จนเป็นคนมีสนั ดาลเสีย วันไหนถ้าไม่ได้ทำกรรมอันชัว่ ช้า
เหล่านีแ้ ล้วก็ไม่มคี วามสบายใจ กรรมชัว่ ทีพ่ อกพูนไว้เสมอๆ เหล่านีแ้ หละ เรียกว่าเป็น อาจิณณกรมมฝ่าย อกุศล
ส่วนอาจิณณกรรมฝ่ายกุศลนัน้ ขอท่านผูม้ ปี ญ
ั ญาทัง้ หลาย พึงทราบดังนี้ คือ
⌫⌫
อาจิณณกรรมทีเ่ ป็นฝ่ายอกุศลมีกำลังน้อยกว่า อาจิณณกรรมทีเ่ ป็นฝ่ายกุศลนีแ่ หละ ย่อมจะเข้าทำหน้าทีช่ กั นำ
ให้บุคคลผู้เป็นเจ้าของกรรมไปเกิดในสุคติภูมิ ซึ่งเป็นภูมิที่ดีมีความสุขในชาติต่อไปคือในชาติหน้าซึ่งต่อจาก
ชาตินอ้ี ย่างแน่นอน ในกรณีแห่งการให้ผลของอาจิณณกรรมทัง้ ๒ ฝ่ายนี้ มีอปุ มาทีท่ า่ นกล่าวไว้วา่
ทุฏฐคามณีอภัยราชา
ได้สดับมาว่า กาลเมือ่ สมเด็จพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะเสด็จเถลิงราชย์ในลังกาทวีปนัน้ พระองค์ทรงตัง้
เจ้ามหานาคพระราชอนุชารองให้ดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราช ต่อมาพระอัครมเหสีของพระองค์ ทรงเกิดอกุศล
จิตคิดปรารถนาจักให้ราชสมบัตใิ นลังกาทวีปตกอยูใ่ นเงือ้ มหัตถ์แห่งพระราชโอรสของพระนางเธอ จึงคอยหา
โอกาสทีจ่ ะประทุษร้ายสมเด็จพระมหาอุปราชอยูเ่ ป็นนิจ วันหนึง่ สมเด็จพระมหาอุปราชมหานาคเจ้า ทรงมีกรณีย
กิจเสด็จไปตรัจฉวาปี พระนางเจ้าทรงเห็นเป็นท่วงทีกแ็ ทรกยาพิษไว้ในชิน้ มะม่วงชิน้ หนึง่ วางไว้บนยอดแห่ง
ชิ้นมะม่วงอื่น ส่งไปถวายพระมหาอุปราช บังเอิญวันนั้น พระราชโอรสของพระนางเธอเสด็จไปกับพระมหา
อุปราชด้วย เมือ่ ทรงหิวขึน้ มาก็ทรงถือวิสาสะเปิดภาชนะหยิบมะม่วงชิน้ ยอดเสวยเข้าไป ในครูห่ นึง่ ก็ทรงดับขันธ์
ถึงแก่ชพี ติ กั ษัยเพราะกำลังยาพิษนัน้ สมเด็จพระมหาอุปราช เมือ่ ทรงได้ประสบการณ์เช่นนัน้ ก็ทรงรูพ้ ระองค์วา่
มีผปู้ ระสงค์รา้ ย จึงทรงพาพระชายากับพลพาหนะเสด็จไปสูโ่ รหนะชนบท แล้วทรงตัง้ ตนเป็นเจ้าประเทศ ครอง
สมบัตอิ ยู่ ณ มหาคามสืบวงศ์ตามลำดับกันลงมา ๔ ชัว่ กษัตริย์ คือ พระเจ้ายัฎฐาลยกติสสะ ๑ พระเจ้าโคฐาภัย ๑
พระเจ้ากากวัณณติสสะ ๑ พระเจ้าทุฎฐคามณีอภัย ๑
⌫⌫
“ข้าแต่พระองค์ ! พระสงฆ์อะไรทีไ่ หนกัน? ในป่านีไ้ ม่มพี ระสงฆ์ดอกพระพุทธเจ้าข้า ถ้าพระองค์ตอ้ งการจะ
นิมนต์พระสงฆ์แล้ว ต่อให้ตะโกนนิมนต์จนคอแตกตาย ก็ไม่มพี ระสงฆ์ทไ่ี หนมารับทานของพระองค์ อย่างแน่ ๆ“
พระโพธิยมาลกมหาติสสะเถระเจ้ากล่าวอนุโมทนาทานแห่งสมเด็จพระราชาและติสสะอำมาตย์นน้ั แล้ว
ก็เหาะไปสูว่ หิ ารอันเป็นทีอ่ ยูข่ องท่าน ครัน้ ถึงแล้วจึงจัดแจงแบ่งภัตตาหารในบาตรนัน้ ถวายแก่พระภิกษุสงฆ์
องค์ละเท่าๆ กัน เพื่อจักยังทานนั้นให้มีอานิสงส์โดยยิ่ง ฝ่ายสมเด็จพระราชาธิบดีทุฏฐคามนีอภัย เมื่อถวาย
อาหารแก่พระผูเ้ ป็นเจ้าไปแล้ว ทรงปลืม้ ปีตใิ นบิณฑบาตทานนัน้ อยูพ่ กั หนึง่ แล้ว ก็ทรงบังเกิดความหิวโหยเป็น
ยิง่ นัก จึงทรงพระราชดำริวา่
พระเถระเจ้าผูม้ ญ
ี าณวิเศษ ทราบจิตวาระแห่งองค์สมเด็จพระราชาธิบดีในขณะนัน้ เมือ่ ฉันภัตตาหาร
เสร็จแล้ว จึงจัดแจงเอาหารทีพ่ ระสงฆ์ทง้ั หลายฉันเหลือแล้ว ใส่ลงไปในบาตรทีพ่ ระผูเ้ ป็นเจ้าอธิษฐานไว้นน้ั ก็
ลอยมาตกลงที่พระหัตถ์แห่งสมเด็จพระราชาธิบดีพอดี ! พระองค์ก็ทรงมีพระมนัสยินดีปราโมทย์ ได้เสวย
พระกระยาหารนัน้ พร้อมกับติสสะอำมาตย์ผเู้ ป็นพระพีเ่ ลีย้ งจนหมดบาตร ครัน้ เสวยเสร็จแล้ว พระองค์จงึ ทรงมี
พระราชดำริวา่
“เราได้บริโภคอาหารมื้อนี้ ก็ด้วยความกรุณาของพระมหาเถระเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ
ควรทีเ่ ราจักตอบแทนพระคุณท่านสักอย่างหนึง่ ให้จงได้“
⌫⌫
ทรงตั้งความความปรารถนาดังนี้แล้วจึงทรงโยนบาตรนั้นขึ้นไปบนอากาศ บาตรก็ลอยไปตกลงบนหัตถ์แห่ง
พระโพธิยมาลกติสสมหาเถรเจ้าเป็นอัศจรรย์
“เดีย๋ วก่อน เทวดา ! ท่านอย่างเพิง่ ว่าอะไรไปให้องึ คะนึงนัก เราใคร่จกั ขอถามเสียก่อนว่า การทีท่ า่ นมี
กรุณามารับเราไปสูส่ รวงสวรรค์นน้ั ท่านเห็นเรามีความดีเป็นดังฤา?“ พระเจ้าทุฏฐคามนีอภัยทรงนึกถามขึน้ ใน
พระทัย
⌫⌫
“ข้าแต่พระผูเ้ ป็นเจ้าผูเ้ จริญทัง้ หลาย ! โยมนีใ้ คร่อยากจะรูน้ กั ว่า ในบรรดาเทวโลกสวรรค์ทง้ั ๖ ชัน้ นัน้
สวรรค์ชั้นไหนน่าพอใจ น่าอภิรมย์ยินดี เจ้าข้า? ขอพระผู้เป็นเจ้าจงได้เมตตากรุณาบอกให้โยมผู้ใกล้จะตาย
นีไ้ ด้ทราบเป็นครัง้ สุดท้ายด้วยเถิด “
พระมหาเถรเจ้าผูม้ ญ
ี าณวิเศษ ซึง่ เป็นประธานในการสวดสังวัธยายอยูใ่ นทีน่ น่ั จึงถวายพระพรว่า
⌫
⌫
สัตว์นรกอเวจี
ได้สดับมาว่า สมัยทีอ่ งค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ยังทรงพระชนม์ชพี อยู่ และทรงบำเพ็ญ
พุทธกิจยังประชาสัตว์ให้ได้ดื่มอมตธรรมอันประเสริฐอยู่เป็นอันมากนั้น มีบุรุษคนหนึ่งซึ่งมีนามว่านายจุนทะ
อันว่าออจุนทะผู้นี้ เพื่อนเป็นคนมีสันดานบาปหยาบช้า กระทำปาณาติบาตฆ่าสุกรขาย เอากำไรมาเป็นค่า
ครองชีพเลีย้ งดูบตุ รภรรยา สุกรทีถ่ กู เขาฆ่าตายนัน้ นับไม่ถว้ น ไม่รวู้ า่ กีห่ มืน่ กีแ่ สนตัว ยิง่ ขายเนือ้ สุกรได้มากเท่า
ใด ตะแกย่อมฆ่าสุกรมากขึน้ เท่านัน้ ยิง่ ในกาลเกิดฉาตกภัย คือปีไหนข้าวยากหมากแพงขึน้ แล้ว อาชีพฆ่าสุกร
ขายของแกยิง่ เจริญรุง่ เรืองและได้กำไรงาม ทัง้ นีเ้ พราะตะแกเป็นนักฉวยโอกาสทีฉ่ ลาดเป็นเยีย่ ม โดยเมือ่ เกิด
ฉาตกภัยขึน้ แล้ว ออจุนทะเพือ่ นก็จดั แจงรวบรวมทุนกว้านซือ้ ข้าวสารมาตุนไว้ทบ่ี า้ นมากมาย แล้วเอาข้าวสาร
บรรทุกเกวียนขับไปตามบ้านนอก แลกลูกสุกรของชาวบ้านด้วยข้าวสารทะนานหนึง่ บ้าง สองทะนานบ้าง ได้
ลูกสุกรมามากมายจนเต็มเกวียนแล้ว ก็บรรทุกนำกลับเอามาเลีย้ งไว้ทค่ี อกใหญ่หลังบ้าน ปรนปรือด้วยอาหาร
อันเป็นเหยือ่ จนสุกรเหล่านัน้ เติบใหญ่พอทีจ่ ะฆ่าเอาเนือ้ ขายได้แล้ว ก็เริม่ ทำการฆ่าตามวิธกี ารของตะแกทันที
นัน่ คือ
จับเอาสุกรตัวทีต่ อ้ งการจะฆ่า มาผูกไว้กบั ทีส่ ำหรับฆ่าให้มน่ั แล้ว ก็เอาฆ้อนสีเ่ หลีย่ มขนาดใหญ่ทบุ เจ้า
สัตว์เคราะห์ร้ายนั้นอย่างไม่ปรานีปราสัย มิใยที่เจ้าสุกรนั้นจะร้องดิ้นทุรนทุรายอย่างใด ตะแกจะได้เกิดความ
เมตตาสงสารสักนิดหนึ่งเป็นไม่มี เมื่อทุบตีจนเนื้อหนังของสุกรนั้นช้ำบวมเป่งไปทั่วตัวแล้ว จึงเอาท่อนไม้ซึ่ง
เตรียมไว้ยดั เข้าไปในปากสุกรให้ปากอ้าอยูอ่ ย่างนัน้ แล้วจึงเอาทะนานเล็กตักน้ำร้อนซึง่ กำลังเดือดพล่านกรอก
ใส่ลงไปในปากทีก่ ำลังอ้า ซึง่ ทำให้สกุ รได้รบั ทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส เพราะเมือ่ น้ำร้อนอันเดือดพล่านล่วง
ลำคอเข้าไปแล้ว ก็ไปลวกลำไส้พาเอามูตรคูถไหลออกมาทาง อโธภาคคือทวาร เท่านัน้ ยังไม่พอ ตะแกพยายาม
ตักน้ำร้อนกรอกลงไปในปากสุกรนัน้ หลายครัง้ หลายคราว จนเห็นว่ามูตรคูถในท้องของสุกรซึง่ ตายทัง้ เป็นนัน้
หมดแล้ว เพราะเหลือแต่นำ้ ใสๆ ออกมาอันแสดงว่าอวัยวะภายในสะอาดหมดจดดีแล้ว จึงเอาน้ำร้อนลวกตัวสุกร
ในภายหลัง ชำระให้หมดจดสะอาดจนปราศจากขน แล้วจึงเอาดาบอันคมกล้าตัดคอให้ขาด เอาภาชนะมารอง เอา
เลือดไว้ส่วนหนึ่งแล้วก็แล่เนื้อสำหรับเอาไว้ขายอีกส่วนหนึ่ง ตะแกกระทำซึ่งปาณาติบาตฆ่าหมูอยู่ด้วยวิธีนี้
เป็นเวลานานประมาณถึง ๕๕ ปี
⌫⌫
ว่าเขาตายไปแล้ว จักต้องไปเกิดเป็นสัตว์นรกในอเวจีแน่นอน คตินมิ ติ อันชัว่ ร้ายคือความเร่าร้อนแห่งไฟนรกอเวจี
ซึง่ ปรากฏแก่เขาในขณะนี้ ดลบันดาลให้เขาเกิดความร้อนเร่าเป็นทีย่ ง่ิ
สมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สดับคำกราบทูลแห่งพระภิกษุเหล่านัน้ จึงทรงมีพระพุทธฎีกาว่า
“ใช่แล้ว เธอผูเ้ ห็นภัยในวัฏสงสารทัง้ หลาย ! ผูท้ ม่ี นี ำ้ ใจประมาท ไม่วา่ จะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิตก็ ตาม
หากว่าได้กระทำอกุศลกรรมความชั่วไว้แล้ว ย่อมจักต้องเกิดความเดือดเนื้อร้อนใจในโลกทั้งสอง คือในขณะ
⌫⌫
เมือ่ อยูใ่ นมนุษย์โลกนี้ ก็ได้รบั ความเดือดร้อนเพราะผลแห่งกรรมชัว่ ของตน และเมือ่ ดับขันธ์ตายจากโลกนีไ้ ปแล้ว
ย่อมได้รบั ความเดือดร้อนในโลกหน้าอีก ดังเช่นนายจุนทะผูฆ้ า่ สุกรนีแ้ หละเป็นตัวอย่าง“
ส่วนในกรณีที่บุคคลทำอาจิณณกรรมฝ่ายกุศลอย่างเดียว โดยที่เขาผู้นั้นเกิดมาเป็นมนุษย์มีสันดาน
สะอาดบริสทุ ธิ์ เกลียดชังต่ออกุศลทุจริต มุง่ หน้าแต่ประกอบกรรมอันเป็นสุจริต คิดแต่สร้างบุญสร้างกุศลใส่ตน
เป็นเนืองนิตย์ เมือ่ ถึงคราวทีเ่ ขาดับขันธ์สน้ิ ชีวติ ตายไปจากมนุษยโลกเรานีแ้ ล้ว อาจิณณกรรมฝ่ายกุศลนัน้ ก็จกั
พลันเข้าทำหน้าทีใ่ ห้ผล ชักนำให้เขาไปเกิดในสุคติภมู ไิ ด้โดยสะดวกในทันทีทนั ใด เพือ่ ความเข้าใจในเรือ่ งนีด้ ี ยิง่ ขึน้
ขอท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย จงตั้งใจฟังเรื่องของมนุษย์ผู้มีชีวิตอันบริสุทธิ์ซึ่งถูกกุศลอาจิณณกรรม ชักนำ
ให้ไปอุบตั บิ งั เกิดในเทวโลกแดนสวรรค์ ดังต่อไปนี้
เทพนารีชน้ั ดาวดึงส์
ได้สดับมาว่า กาลเมือ่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับ ณ ป่าอิสปิ ตนมฤคทายวัน แขวงเมือง
พาราณสีพร้อมกับพระสงฆ์สาวกทัง้ หลาย วันหนึง่ เป็นเพลาเช้าตรู่ หมูพ่ ระภิกษุสงฆ์ทง้ั หลายได้เข้าไปในบ้าน
เพื่อบิณฑบาตตามสมณวิสัย ในขณะที่เดินผ่านบ้านพราหมณ์ผู้มีฐานะมั่งคั่งในละแวกบ้านนั้น ธิดาสาวแห่ง
พราหมณ์กำลังนัง่ หาเหาบนศีรษะของมารดาอยูท่ น่ี อกชานใกล้ประตูเรือน เมือ่ เจ้าเห็นพระภิกษุทง้ั หลายเดิน
ผ่านบ้านไปดังนัน้ จึงถามมารดาขึน้ ว่า
“ข้าแต่มารดา ! บรรพชิตเหล่านี้ ยังตัง้ อยูใ่ นปฐมวัยเป็นหนุม่ มีรปู ร่างงดงาม มีเนือ้ หนังอันสุขมุ ละเอียด
ควรจะเชยชมเป็นยิง่ นัก แต่จะเป็นเวรเป็นกรรมอันใดเล่าหนอ จึงต้องมาบรรพชาทรงเพศเป็นนักบวช เทีย่ วขอ
ทานเขาเลีย้ งชีพเช่นนี้ มองเห็นแล้วให้นา่ อนาถใจนัก“
มารดาจึงตอบว่า
⌫⌫
“อุ บ ากสกผู ้ ช ำนาญในการพระศาสนา จึ ง บอกให้ น างตั ้ ง ใจด้ ว ยดี แล้ ว ก็ เ ริ ่ ม ให้ น างสมาทาน
พระไตรสรณคมน์ และปัญจศีลในเช้าวันนั้น เสร็จแล้วก็สั่งกำชับให้ตั้งใจรักษาด้วยดีอย่าให้ขาดได้ แล้วก็
กล่าวคำอำลาลงเรือนไป ฝ่ายธิดาสาวของนางพราหมณีผมู้ ศี รัทธา ตัง้ แต่วนั ทีส่ มาทานพระไตรสรณคมน์และ
ศีลแล้ว ก็มิได้มีความประมาท อุตสาหะพยายามรักษาอยู่เป็นเนืองนิตย์ และประกอบกุศลกิจถวายอาหาร
บิณฑบาตทานแก่พระภิกษุสงฆ์อยูเ่ ป็นประจำทุกวัน จนการกระทำความดีเป็นอันบุญกุศลของเธอนัน้ กลายเป็น
อาจิณณกรรมฝ่ายกุศลไปในทีส่ ดุ
“วันนีเ้ รานิมนต์พระผูเ้ ป็นเจ้า มารับนิตยภัตในเรือนของเราวันละ ๔ รูป เพราะฉะนัน้ ตัง้ แต่พรุง่ นีเ้ ป็น
ต้นไป เจ้าจงอย่าได้ประมาท จงตกแต่งซึง่ นิตยภัตถวายแก่พระผูเ้ ป็นเจ้าทัง้ หลาย อย่าให้ขาดตกบกพร่องได้
เรามอบภาระอันเป็นบุญกุศลในเรือ่ งนีใ้ ห้แก่เจ้า“
⌫⌫
กระทำเบือ้ งบนอาสนะเหล่านัน้ ให้ฟงุ้ ไปด้วยสรรพของหอม ครัน้ พระผูเ้ ป็นเจ้าทัง้ หลายเข้ามาถึงแล้ว ก็ออกปาก
นิมนต์ให้นง่ั เหนืออาสนะด้วยความเลือ่ มใส ถวายนมัสการแล้ว กระทำการบูชาด้วยธูปเทียนชวาลาดอกไม้ของ
หอม เสร็จแล้วจึงอังคาสด้วยน้ำใจอันเคารพนอบนบเป็นอันดี อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อเห็นพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย
ฉันภัตตาหารเรียบร้อยแล้ว นางทาสีนน้ั จึงเข้าไปถวายนมัสการ แล้วกราบเรียนถามว่า
กาลครั้งนั้น องค์อรหันตพระมหาโมคคัลลานะเถรเจ้าได้เที่ยวไปในเทวโลกชั้นดาวดึงส์แดนสวรรค์
พบเทพนารีนางนัน้ ซึง่ มาเทีย่ วชมสวนอุทยานทิพย์ ณ จิตรลดาวัน เห็นนางมีรศั มีรงุ่ เรืองกว่าเทพนารีทง้ั ปวง
พระผูเ้ ป็นเจ้าจึงเข้าไปไต่ถามนางว่า
“ดูกร นางเทพธิดา ! ตัวท่านแวดล้อมไปด้วยหมูส่ รุ างค์นางฟ้า มีหตั ถาถือซึง่ ดุรยิ ดนตรี รุง่ เรืองด้วย
รัศมี แลดูดจุ องค์สมเด็จพระอมรินทราธิราชเจ้าพิภพในดาวดึงส์สวรรค์น้ี ดูกรเทพธิดาผูม้ อี านุภาพเป็นอันมาก !
จากการทีไ่ ด้ตดิ ตามเรือ่ งอาจิณณกรรมมาตัง้ แต่ตน้ จนถึงบัดนี้ ท่านผูม้ ปี ญ ั ญาทัง้ หลายก็ยอ่ มจะทราบ
ได้เป็นอย่างดีแล้วว่า อาจิณณกรรมนี้ ก็ได้แก่กรรมทีก่ ระทำบ่อยๆ หรือทีเ่ รียกว่ากรรมทีก่ ระทำเป็นอาจิณนัน่ เอง
อาจิณณกรรมนี้ ย่อมมีลำดับการให้ผลเป็นที่ ๓ ! หมายความว่า เมือ่ ไม่มคี รุกรรม และเมือ่ ไม่มอี าสันนกรรมแล้ว
อาจิณณกรรมนี้ ก็ย่อมเข้าทำหน้าที่ให้ผล ชักนำบุคคลผู้เป็นเจ้าของกรรมให้ไปเกิดในภพต่อไปทันที
แต่การที่จักไปเกิดในภพดีหรือภพชั่วอย่างไรนั้น นั่นก็สุดแต่ว่าอาจิณณกรรมฝ่ายอกุศลหรือฝ่ายกุศลที่ตน
กระทำไว้จกั ให้ผล คือหากว่าเป็นอาจิณณกรรมฝ่ายอกุศลเข้าทำหน้าทีใ่ ห้ผล ก็จกั ชักนำบุคคลให้ไปบังเกิดใน
ทุคติภมู ิ ซึง่ เป็นภูมทิ ช่ี ว่ั ร้ายหาความสุขสบายมิได้ โดยนัยตรงกันข้าม คือหากว่าเป็นอาจิณณกรรมฝ่ายกุศลเข้า
ทำหน้าทีใ่ ห้ผล ก็จกั นำบุคคลให้ไปบังเกิดในสุคติภมู ิ ซึง่ เป็นภูมทิ ด่ี มี คี วามสุข ในชาติตอ่ ไปอย่างเทีย่ งแท้แน่นอน
⌫⌫
ในตอนนี้ เกิดมีปญ ั หาขึน้ มาว่า เมือ่ ไม่มอี าจิณณกรรมนีแ้ ล้ว กรรมอะไรจักให้ผลเป็นลำดับต่อไป? มีคำ
เฉลยไว้วา่ เมือ่ บุคคลจะถึงแก่กาลกิรยิ าตายไปนัน้ หากว่าไม่มกี รรมอันมีพลัง ๓ ประการคือ ครุกรรม – อาสันน
กรรม – อาจิณณกรรม เหล่านีแ้ ล้ว กรรมทีม่ พี ลังน้อยเป็นอันดับสุดท้าย ก็จกั เข้าทำหน้าทีใ่ ห้ผลชักนำให้บคุ คล
ไปบังเกิดในภพต่อไป กรรมทีม่ พี ลังน้อยเป็นอันดับสุดท้ายนีช้ อ่ื ว่า กฏัตตากรรม
กฏัตตากรรม
กฏตฺตา เอว กมฺมนฺติ กฏตฺตากมฺมํ
การกระทำอันได้ชอ่ื ว่ากรรม ก็โดยความเป็นกรรมทีส่ กั ว่ากระทำลงไปแล้วเท่านัน้
กรรมทีส่ กั ว่ากระทำลงไปแล้วนีแ่ หล ะ เรียกชือ่ ว่ากฏัตตากรรม
กฏัตตากรรมนี้ หมายความเอากุศลกรรมและอกุศลกรรม อันสัตว์บคุ คลได้กระทำมาแล้วในอดีตภพ
คือในชาติก่อนๆ ซึ่งได้แก่อปราปริยเวทนียกรรมอย่างหนึ่ง (เรื่องอปราปริยเวทนียกรรมนี้ จักมีคำอธิบายใน
โอกาสข้างหน้า) อีกอย่างหนึ่ง กฏัตตากรรมนี้ หมายความเอากุศลกรรมและอกุศลกรรมอย่างสามัญ ที่สัตว์
บุคคลพากันกระทำในภพปัจจุบนั คือชาติน้ี ทีไ่ ม่เข้าถึงความเป็นครุกรรม – อาสันนกรรม – อาจิณณกรรม เป็น
กรรมทีก่ ระทำโดยธรรมดา ผูก้ ระทำไม่ได้มเี จตนา ไม่ได้มคี วามตัง้ ใจอย่างเต็มที่ คล้ายกับว่าไม่เต็มใจทำ
ธรรมดาว่าลูกศรทีค่ นบ้ายิงไปนัน้ หามีทห่ี มายว่าจะไปตกลง ณ ทีใ่ ดทีห่ นึง่ ก็หามิได้ ทัง้ นีก้ เ็ พราะ
คนบ้านัน้ เขายิงส่งเดชไปตามประสาบ้าของเขานัน่ เอง ไม่มเี ป้าหมาย กำหนดไม่ได้วา่ จะไปตกลงทีต่ รงไหนแห่ง
ปฐพี อย่างดีกเ็ พียงแต่กำหนดได้วา่ จะต้องตกลงเหนือปฐพีอย่างแน่นอนเท่านัน้ เอง อุปมานีฉ้ นั ใด กฏัตตากรรม
ทีบ่ คุ คลกระทำแล้วก็เหมือนกัน จะกำหนดกาลว่าจักต้องให้ผลในชาติใดชาติหนึง่ อย่างแน่นอนเท่านัน้ เอง ด้วย
เหตุน้ี ในการจัดลำดับการให้ผลแห่งกรรมทัง้ หลาย ท่านจึงจัดกฏัตตากรรมนีไ้ ว้เป็นอันดับสุดท้าย
กรรมของเปรต
ได้สดับมาว่า เมื่อสมเด็จพระมิ่งมงกุฎศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้าแห่งเราทั้งหลาย พระองค์ได้ดับ
พระชนมายุบรรลุสวิ าลัยอมฤตบุรี คือเสด็จดับขันธ์เข้าสูพ่ ระปรินพิ พานไปแล้ว มีพระภิกษุสงฆ์สาวกพวกหนึง่
ในโลหนชนบท ซึง่ มีความประสงค์จะเดินทางไปถวายนมัสการต้นพระศรีมหาโพธิอนั เป็นสถานทีต่ รัสรูข้ อง พระองค์
ในขณะที่เดินทางมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งนั้น เกิดหลงทางเข้าไปในป่าใหญ่ ไม่สามารถจะหาทางออกได้
เดินวนเวียนอยูใ่ นป่าใหญ่นน้ั หลายวัน พวกเธอพากันได้รบั ความหิวโหยและลำบากเป็นอันมาก หลังจากเทีย่ ว
เดินหาทางออกจากป่าใหญ่มานาน ในทีส่ ดุ ก็พากันเดินมาบรรลุถงึ ทุง่ กว้างกลางป่าใหญ่เข้าแห่งหนึง่ เมือ่ แลไป
กลางทุง่ พระภิกษุเหล่านัน้ ก็ได้แลเห็นมนุษย์คนหนึง่ ซึง่ มีรปู ร่างแปลกประหลาดพิกลไม่เหมือนคนในบ้านใน
เมืองธรรมดา กำลังเทียมโคใหญ่ ๔ ตัวเข้าทีไ่ ถเหล็ก แล้วไถนาอยูค่ นเดียวในทุง่ กลางป่า อารามดีใจว่าจะได้ผู้
บอกหนทางออกจากป่า ไม่ได้ทนั พิจารณาให้ดี เธอทัง้ หลายจึงรีบตรงรีเ่ ข้าไปถามว่า
⌫⌫
“อุบาสก ! ขอท่านจงหยุดไถนาสักประเดีย๋ วก่อนเถิด อาตมาอยากจะถามว่า ทางทีจ่ ะออกจากป่านีไ้ ป
ทางไหนกัน? พวกเราหลงทางเทีย่ วเดินวนเวียนอยูใ่ นป่านีม้ าครบ ๗ วันเข้าวันนีแ้ ล้ว ได้รบั ความเหนือ่ ยยาก
เหลือเกิน ไม่ทราบว่าจะไปทางไหนขออุบาสกจงช่วยบอกทางไปสักหน่อยเถิด“
⌫⌫
สาวกแห่งองค์สมเด็จพระบรมครูผหู้ ลงป่าทัง้ หลาย เมือ่ ได้ประสบการณ์เช่นนี้ ก็มคี วามรูส้ กึ สังเวชสลดใจ
เป็นกำลัง ในทีส่ ดุ ก็กล่าวคำอำลาออกเดินไปตามทางทีเ่ ปรตผูอ้ ารีชบ้ี อกต่อไปจนถึงจุดหมายปลายทาง นัน่ คือ
พระศรีมหาโพธิพฤกษ์อนั เป็นสถานทีต่ รัสรูแ้ ห่งองค์สมเด็จพระบรมครูเจ้า ด้วยประการฉะนี้
⌫⌫
แตกกระจายพังพินาศไปสิน้ ผ้าทิพย์ผนื ใหญ่พร้อมทัง้ กายทิพย์ได้ปรากฏขึน้ แทน ซึง่ นัน่ ก็หมายความว่าข้าพเจ้า
ได้ตายจากเปรตวิสยั มาอุบตั ใิ หม่กลายเป็นเทวดามีรศั มี ด้วยอานุภาพแห่งปัตตานุโมทนามัยกุศล อันเป็นกุศล
ทีบ่ งั เกิดขึน้ เพราะได้อนุโมทนาส่วนบุญทีพ่ ระผูเ้ ป็นเจ้าตัง้ ใจอุทศิ ให้ ข้าพเจ้ามาในราตรีคนื นี้ มีความประสงค์จะ
มากราบขอบพระคุณในความเมตตากรุณาทีไ่ ด้ชว่ ยอนุเคราะห์ให้ขา้ พเจ้าพ้นทุกข์“ เทวดาอดีตเปรตกล่าวแล้ว
ก็นอ้ มกายถวายนมัสการพระมหาเถระผูม้ คี ณ ุ แก่ตนอีกครัง้ หนึง่ แล้วก็อนั ตรธานหายวับไป ด้วยประการฉะนี้
⌫⌫
จากเรือ่ งทีก่ ล่าวจบลงห้วนๆ ดังนีก้ ด็ แี ละจากเรือ่ งก่อนๆ ทีก่ ล่าวมาในตอนต้นโน้นก็ดี ท่านผูม้ ปี ญ
ั ญา
ทัง้ หลายก็คงจักเข้าใจได้แล้วว่า กฏัตตากรรมฝ่ายอกุศลมีอานุภาพให้ผลแก่บคุ คลผูเ้ ป็นเจ้าของกรรมอย่างไร บ้าง
บัดนี้เพื่อไม่ให้เสียเวลาจักกล่าวถึงอานุภาพแห่งกฏัตตากรรมฝ่ายกุศลเสียเลยทีเดียว คือ กฏัตตากรรม
ฝ่ายกุศลนี้ ย่อมทำหน้าทีเ่ ป็นพนักงานชักนำให้สตั ว์บคุ คลผูเ้ ป็นเจ้าของกรรมไปบังเกิดในสุคติภมู ิ คือโลกทีด่ มี ี
ความสุข ก็ในกรณีทก่ี ฏัตตากรรมฝ่ายกุศล เข้าทำหน้าทีช่ กั นำให้ไปบังเกิดในโลกทีด่ มี คี วามสุขนี้ ขอให้ทา่ นผูม้ ี
ปัญญาทัง้ หลาย พึงทราบจากเรือ่ งตัวอย่างทีจ่ ะเล่าให้ฟงั ดังต่อไปนี้
เดียรฉานกลายเป็นเทวดา
ได้สดับมาว่า กาลเมือ่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา พระองค์ประทับอยู่ ณ วิหารริมฝัง่ สระ
โบกขรณี ใกล้เมืองปาวามหานครนัน้ วันหนึง่ เมือ่ ถึงเพลาปัจจุสมัยใกล้รงุ่ พระองค์กท็ รงบำเพ็ญพุทธกิจ ประจำวัน
โดยทรงพิจารณาดูหมู่ประชาสัตว์อันจะมาข้องอยู่ในข่ายแห่งพระญาณ ได้ทรงเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า
ว่าเพลาสายัณห์สมัยวันนี้ เมือ่ ถึงคราวทีก่ ำลังทรงแสดงพระสัทธรรมเทศนาโปรดเวไนยนิกรทัง้ หลายอยูน่ น้ั จัก
มีมณ ั ฑุกะชาติ คือกบตัวหนึง่ ซึง่ ฟังพระธรรมเทศนาไม่รเู้ รือ่ ง แต่ถอื เอานิมติ ในพระสุรเสียง แล้วจักกระทำกาล
กิรยิ าตายไปบังเกิดในสรวงสวรรค์ ครัน้ ทรงทราบดังนัน้ แล้ว ก็พอดีเป็นเพลารุง่ แจ้ง พระองค์จงึ ทรงลุกขึน้ จาก
พระบวรพุทธอาสน์ ทรงบาตรและจีวรเสด็จนำพระภิกษุเข้าไปสู่พระนครปาวาเพื่อบิณฑบาต ครั้นเสด็จกลับ
กระทำภัตกิจเสร็จแล้ว จึงทรงแสดงซึง่ ข้อวัตรปฏิบตั แิ ก่พระภิกษุสงฆ์ทง้ั ปวง และทรงประทานบทพระกรรมฐาน
แก่พระภิกษุบางรูปทีม่ าทูลขอ ในเมือ่ พระสงฆ์สาวกทัง้ หลาย ต่างพากันถวายนมัสการแยกไปสูท่ ส่ี บายแห่งตนๆ
แล้ว สมเด็จพระมหากรุณาเจ้าจึงเสด็จเข้าไปสูพ่ ระคันธกุฎี ทรงยับยัง้ อยูด่ ว้ ยผลสมาบัตอิ นั เป็นสุขสิน้ วันยังค่ำ
ครัน้ ถึงเพลาสายัณห์สมัย เมือ่ บริษทั ทัง้ ๔ คือ ภิกษุ – ภิกษุณี – อุบาสก – อุบาสิกา มาสันนิบาต
ประชุมพร้อมกัน เพือ่ ทีจ่ กั สดับตรับฟังพระสัทธรรมเทศนาตามปรกติแล้ว สมเด็จพระประทีปแก้วสัมมา สัมพุทธเจ้า
จึงเสด็จออกจากพระคันธกุฎีด้วยพระพุทธลีลาอันงดงามหาที่เปรียบมิได้ เสด็จเข้าไปสู่มณฑปอัน ตั้งอยู่ ณ
ริมฝั่งสระโบกขรณี แล้วประทับนั่งเหนือพระบวรพุทธอาสน์ซึ่งปูลาดตกแต่งเป็นอันงาม เมื่อทรงทราบ
ความที่บริษัททั้งหลาย เป็นผู้พร้อมเพรียงเพื่อจักรับรสพระสัทธรรมเทศนาแล้ว พระองค์จึงเปล่งพระสุรเสียง
แสดงพระสัทธรรมเทศนาเป็นปาฏิหาริย์มหัศจรรย์ ด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะดุจเสียงแห่งท้าวมหาพรหม
เพราะเป็นพระสุรเสียงทีป่ ระกอบไปด้วยองค์ ๘ ประการ คือ
๑. เสียงแจ่มใส
๒. เสียงชัดถ้อยชัดคำ
๓. เสียงนุม่ นวลหวานกล่อมใจ
๔. เสียงเสนาะโสตน่าฟัง
๕. เสียงกลมกล่อมหยดย้อย
๖. เสียงไม่พร่า ไม่แตก
เพราะค่าที่ตนมีกฏัตตากรรมฝ่ายกุศล โดยการถือเอานิมิตในพระสุรเสียงแสดงธรรมแห่งองค์สมเด็จ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะไม่เข้าใจในข้อความ ไม่รวู้ า่ พระองค์ตรัสว่าอย่างไรเป็นแต่เพียงเกิดความยินดีพอ
ใจไปตามประสาเดียรฉานก็ตาม ถึงกระนัน้ กฏัตตากรรมฝ่ายกุศลก็บงั เกิดขึน้ แก่เขาแล้ว เพราะฉะนัน้ เมือ่ เขา
ตายไปเพราะถูกแพไม้ทับร่างแหลกละเอียด กฏัตตากรรมฝ่ายกุศลก็กระทำหน้าที่ให้ผล ชักนำให้เขาไปถือ
ปฏิสนธิในสุคติภมู ิ คือไปอุบตั เิ กิดเป็นเทพบุตรสุดโสภา ณ ดาวดึงส์สวรรค์สถิตอยูใ่ นทิพยวิมานอันกึกก้องไป
ด้วยปัญจางคิกดุรยิ ดนตรี มีเทพบริวารแวดล้อมขับกล่อมบำเรอรักษา ในขณะทีอ่ บุ ตั ขิ น้ึ ใหม่และได้ประสบเหตุ
การณ์ผันแปรของชีวิตโดยรวดเร็วอย่างแปลกนั้น เทพบุตรอดีตมัณฑุกะชาติ จึงใคร่ครวญพิจารณาถึงความ
เป็นมาแห่งตนว่า
“อาตมะมาแต่ทไ่ี หน จึงได้อบุ ตั เิ กิด ณ ทีน่ ?่ี และมาอุบตั เิ กิดในทีน่ ไ่ี ด้ดว้ ยกรรมอะไร?“
⌫⌫
“ใคร ! มาแต่ไหน? มานมัสการซึง่ บาทแห่งเราตถาคตด้วยเทพฤทธิอ์ นั รุง่ เรือง และมีรศั มีโอภาสแจ่ม
จ้าน่าพึงชมเป็นยิง่ นัก“
เทพบุตรอดีตกบตัวน้อย จึงค่อยมีเทววาทีกราบทูลว่า
⌫⌫
อดีตชีวประวัติแห่งเทพบุตรอีกองค์หนึง่ ซึง่ ได้กฏัตตากรรมฝ่ายกุศลของตน ชักนำให้ไปเสวยผลอัน
เป็นทิพย์ ในสวรรค์มดี งั ต่อไปนี้
สมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า
⌫⌫
ครุกรรมก็ยอ่ มเข้าทำหน้าทีใ่ ห้ผลปฏิสนธิแก่บคุ คลผูน้ น้ั ก่อน คือถ้าเป็นครุกรรมฝ่ายอกุศล ก็จกั ชักนำ
บุคคลนัน้ ไปเกิดเป็นอบายสัตว์ในอบายภูมิ ตรงกันข้ามคือถ้ามีครุกรรมฝ่ายกุศล ก็จกั ชักนำบุคคลนัน้ ไปอุบตั ิ
เกิดเป็นพระพรหมผูว้ เิ ศษตามอำนาจฌานทีต่ นได้ในพรหมภูมิ
ถ้าบุคคลใด ไม่มคี รุกรรม มีแต่กรรมทีเ่ หลือทัง้ ๓ ประการ อาสันนกรรม ซึง่ เป็นกรรมทีม่ พี ลังแรง
รองลงมาก็ยอ่ มจะเข้าทำหน้าทีใ่ ห้ผลปฏิสนธิแก่บคุ คลผูน้ น้ั ก่อน คือถ้าเป็นอาสันนกรรมฝ่ายอกุศล ก็จกั ชักนำ
บุคคลนัน้ ให้ไปเกิดเป็นอบายสัตว์ในอบายภูมิ แต่ถา้ เป็นอาสันนกรรมฝ่ายกุศลก็จกั ชักนำบุคคลนัน้ ให้ไปอุบตั ิ
เกิดในสุคติภมู ิ
ถ้าบุคคลใด ไม่มคี รุกรรม ไม่มอี าสันนกรรม มีกรรมทีเ่ หลือทัง้ ๒ ประการ อาจิณณกรรม ซึง่ เป็นกรรม
ทีพ่ ลังแรงรองลงมาจากอาสันนกรรม ก็ยอ่ มเข้าทำหน้าทีใ่ ห้ผลปฏิสนธิแก่บคุ คลก่อน คือ ถ้าเป็นอาจิณณกรรม
ฝ่ายอกุศลก็จกั ชักนำบุคคลนัน้ ให้ไปเกิดเป็นอบายสัตว์ในอบายภูมิ แต่ถา้ เป็นอาจิณกรรมฝ่ายกุศลก็จกั ชักนำ
บุคคลนัน้ ให้ไปอุบตั เิ กิดในสุคติภมู ิ
ถ้าบุคคลใด ไม่มคี รุกรรม ไม่มอี าสันนกรรม ไม่มอี าจิณณกรรม หมายความว่าบุคคลชนิดนีเ้ มือ่ มีชวี ติ อยู่
ไม่ได้ทำทุจริตหรือสุจริตอย่างหนักแน่นเป็นล่ำเป็นสันแต่อย่างใด แล้วก็ตายลง เมื่อเป็นเช่นนี้ กฏัตตากรรม
ซึง่ เป็นกรรมทีม่ พี ลังเบาเป็นทีส่ ดุ ก็ยอ่ มจะเข้าทำหน้าทีใ่ ห้ผลปฏิสนธิแก่บคุ คลผูน้ น้ั คือ ถ้าเป็นกฏัตตากรรม
ฝ่ายอกุศล ก็จกั ชักนำให้บคุ คลนัน้ ไปเกิดเป็นอบายสัตว์ในอบายภูมิ แต่ถา้ เป็นกฏัตตากรรมฝ่ายกุศลก็จกั ชัก
นำบุคคลนั้นให้ไปเกิดในสุคติภูมิ ในกรณีนี้ ขอให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายได้รับทราบไว้ว่าบรรดาสัตว์บุคคล
ทัง้ หลาย ทีย่ งั ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยูใ่ นวัฏฏสงสารนี้ ทีจ่ ะได้ชอ่ื ว่าไม่มกี ฏัตตากรรมนัน้ เป็นอันไม่มอี ย่าง แน่นอน
⌫
๖๑. คุณถนิมสร้อย จินดาวัฒนะ ์ ๒๐๐ ๖๘. คุณวรรณี วรรณพฤกษ์ ๕๐๐
๖๒. พล.อ.ต.เบญจวรรณ นาควัชระ ๑,๐๐๐ ๖๙. ผศ.ลัดดาวัลย์ บุญศรี ๕๐๐
๖๓. คุณเฉลิมศรี บุญมงคล์ ๑,๐๐๐ ๗๐. คุณประเสริฐศรี กุลบุญ ๕๐๐
๖๔. คุณฉส นิยมทรัพย์ ๑,๐๐๐ ๗๑. คุณรัชนา กังแฮ ๕๐๐
๖๕. รศ.ลำดวน-คุณสุรนิ ทร์ เกษตรสุนทร ๑,๐๐๐ ๗๒. คุณดรุณี ชายทอง ๑,๐๐๐
๖๖. คุณบุญเลิศ คุณกัญจนี ลาภาโรจน์กจิ ๕,๐๐๐ ๗๓. คุณรุง่ ลาวัลย์-คุณสดุดี ชูสวัสดิ์ ๕๐๐
๖๗. คุณยุวดี รัตนะ ๕๐๐ ๗๔. รศ.ดร.วิชติ สังขรัตน์ ๑,๐๐๐
ขออภัย หากรายชื่อของท่านที่ร่วมบริจาคปัจจัย
พิ ม พ์ ห นั ง สื อ และอุ ป ถั ม ภ์ ก ารจั ด งานมุ ท ิ ต ายุ ม งคล ๘๐ ปี
ดร.พระราชวรธรรมโกศล(แฉล้ม เขมปญฺโญ) ไม่ได้จัดพิมพ์ใน
หนังสือเล่มนี้
รศ.ดร.นงนุช กุลบุญ
บรรณาธิการ
(แฉล้ม เขมปญฺโญ)
⌫