Professional Documents
Culture Documents
ความรู้ภพภูมิจากการสวดมนต์ภาวนา
ความรู้ภพภูมิจากการสวดมนต์ภาวนา
ความรูภพภูมิจากการสวดมนตภาวนา
ขาพเจาเปนผูหนึ่งที่ไดความรูจาการสวดมนต
ภาวนา เนื่องดวยขาพเจาสวดมนตอยูเปนประจํา
พระคาถาบทที่มีพุทธคุณที่ครูบาอาจารยทาน
ทั้งหลายไดกลาววาเปนเลิศนั้น
ขาพเจาก็ตั้งใจในการสวดมนตภาวนาใน
พระคาถาตางๆ
หนึ่งในยอดพระคาถานั้น คือ พระคาถา
ยอดพระกัณฑไตรปฎก
ซึ่งเปนที่มาของการคนควาหาความรูเรื่องภพภูมิ
ตางๆ จากการที่ขาพเจาไดสวดมนตภาวนาจาก
ยอดพระคาถา “ พระกัณฑไตรปฎก ” นี้ทําให
ขาพเจาไดความรูเพิ่มเติม ดังที่ขาพเจาจะกลาวตอไป
ในบทดังกลาวนี้
พระคาถายอดพระกัณฑไตรปฎก
เปนพุทธคุณอันศักดิ์สิทธิ์ ถาผูใดไดสวดมนตภาวนาทุกเชา – ค่ํา ผูนั้นจะไมไป
ตกอบายภูมิ แมกอกรรมทําชั่วก็จะเบาบางลงบาง แมไดบูชาไวกับบานเรือน ก็ปองกัน
อันตรายตางๆ จะภาวนาพระคาถาอื่นๆ สัก ๑๐๐ ปกาล อานิสงคกไ็ มสูงเทาภาวนาพระคาถา
นี้เพียงครั้งหนึ่ง ถึงแมวา พระอินทร พระพรหม ยม ยักษ ที่มีอิทธิฤทธิ์จะเนรมิตแผนอิฐ
เปนทองคํากอเปนเจดียตั้งแตมนุษยโลกสูงขึ้นไปจนถึงพรหมโลก อานิสงคกย็ ังไมเทาภาวนา
พระคาถายอพระกัณฑไตรปฎกนี้แล ฯ
ยอดพระกัณฑไตรปฎกนี้ แมผูใดบริจาคทรัพยสินถวายพระภิกษุสงฆ สามเณร
พุทธศาสนิกชนทั่วไป ถาสวดจนครบ ๗ – ๙ วัน จะดีเลิศ หากสวดไดครบอายุตนแลว
จะบังเกิดโชคลาภทํามาคาขึ้น พนทุกขโศกโรคภัยและภัยพิบัติทั้งปวงจะเสือ่ มหายมลายสิ้น
๑๑๑
บทสวดมนต ( พระคาถายอดพระกัณฑไตรปฎก )
อิติป โส ภะคะวา อะระหัง วัจจะโส ภะคะวา
อิติป โส ภะคะวา สัมมาสัมพุทโธ วัจจะโส ภะคะวา
อิติป โส ภะคะวา วิชชาจะระณะสัมปนโน วัจจะโส ภะคะวา
อิติป โส ภะคะวา สุคะโต วัจจะโส ภะคะวา
อิติป โส ภะคะวา โลกะวิทู วัจจะโส ภะคะวา
อะระหัง ตัง สะระณัง คัจฉามิ
อะระหัง ตัง สิระสา นะมามิ
สัมมาสัมพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
สัมมาสัมพุทธัง สิระสา นะมามิ
วิชชาจะระณะสัมปนนัง สิระสา นะมามิ
สุคะตัง สะระณัง คัจฉามิ
สุคะตัง สิระสา นะมามิ
โลกะวิทัง สะระณัง คัจฉามิ
โลกะวิทัง สิระสา นะมามิ
อิติป โส ภะคะวา อะนุตตะโร วัจจะโส ภะคะวา
อิติป โส ภะคะวา ปุริสะธัมมะสาระถิ วัจจะโส ภะคะวา
อิติป โส ภะคะวา สัตถา เทวะมะนุสสานัง วัจจะโส ภะคะวา
อิติป โส ภะคะวา พุทโธ วัจจะโส ภะคะวา
อะนุตตะรัง สะระณัง คัจฉามิ
อะนุตตะรัง สิระสา นะมามิ
ปุริสะทัมมะสาระถิ สะระณัง คัจฉามิ
ปุริสะทัมมะสาระถิ สิระสา นะมามิ
สัตถา เทวะมะนุสสานัง สะระณัง คัจฉามิ
สัตถา เทวะมะนุสสานัง สิระสา นะมามิ
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
พุทธัง สิระสา นะมามิ
อิติป โส ภะคะวา รูปะขันโธ อะนิจจะลักขะณะปาระมี จะ สัมปนโน
อิติป โส ภะคะวา
อิติป โส ภะคะวา เวทะนาขันโธ อะนิจจะลักขะณะปาระมี จะ สัมปนโน
อิติป โส ภะคะวา
๑๑๒
ดินแดนมนุษย
ดินแดนมนุษย ประกอบไปดวย ๔ ทวีป คือ
๑. อุตตรกุรุทวีป
มีธาตุทองคําตัง้ อยูทางทิศเหนือของภูเขาสิเนรุ แสงสะทอนของธาตุทองคําทําใหทองฟาและมหาสมุทรของ
อมรโคยานทวีปมีสีเหลืองทอง มีปริมณฑลถึง ๘,๐๐๐ โยชน และทวีปนอยอีก ๕๐๐ ทวีป
มนุษยในทวีปนี้ จะมีใบหนาเปนรูปสี่เหลี่ยม มีคุณสมบัติดังนี้
๑) ไมยึดถือในทรัพยสินเงินทองวาเปนของตน
๒) ไมยึดถือในบุตร ภรรยาหรือสามีวาเปนของตน
๓) มีอายุยนื ยาวถึง ๑,๐๐๐ ป และจะไมตายกอนกําหนด
๔) รักษาศีลหาเปนประจํา
๕) เมื่อตายแลวยอมไปเกิดในเทวโลกอยางแนนอน และเมื่อจุติตายจากเทวโลกแลว อาจจะไปเกิดเปนมนุษย ใน
ทวีปอื่นหรือไปเกิดในอบายภูมิก็ได เปนไปตามเหตุปจจัยของวิบากกรรม จะไมไปสูอบายภูมิเฉพาะในภพที่
ถัดไปจากที่กําลังเปนมนุษยอุตตรกุรุอยูเทานั้น
๒.ปุพพวิเทหทวีป
มีธาตุเงินอยูทางทิศตะวันออกของภูเขาสิเนรุ แสงสะทอนของธาตุเงินทําใหทองฟาและมหาสมุทรของอมรโค
ยานทวีปมีสีเงิน มีปริมณฑลถึง ๘,๐๐๐ โยชน ประดับดวยทวีปนอยอีก ๕๐๐ ทวีป
๑๑๖
คุณสมบัติของมนุษยในชมพูทวีป
๑. มีจิตใจรุงเรืองและกลาแข็ง
จิตใจของมนุษยในชมพูทวีปกลาหาญทั้งในดานดีและดานชั่ว ในดานดีก็บําเพ็ญบารมีบารมีจนสําเร็จ
บรรลุเปนพระพุทธเจา พระปจเจกพุทธเจา อัครสาวก มหาสาวก สงฆสาวก หรือสําเร็จอภิญญาลาภี
หรือฌาณลาภี ตลอดจนเปนพระพุทธเจาจักรพรรดิ์ เปนตน ในดานชั่วก็ทําไดถึงฆาบิดาและมารดา
ฆาพระอรหันต กระทําโลหิตุปบาท และสังฆเภท ซึ่งเปนอันตริยกรรมที่เปนกรรมหนักที่สุดจะตองตก
อเวจีมหานรก
๒. มีความเขาใจในเหตุอันควรและไมควร
มนุษยในชมพูทวีปสามารถที่จะหาเหตุผลของธรรมใดๆ ได เชน การเห็น จะเกิดขึ้นไดเพราะจักขุปสาทกับ
รูปารมณกระทบกัน และรูสภาวะของรูปนามไดตามความเปนจริง
๓. มีความเขาใจในสิ่งที่เปนประโยชนและไมเปนประโยชน
ชาวชมพูทวีปมีความเขาใจวา การทํา การพูด การคิดอยางไรจึงจะเปนประโยชนในชาตินี้ ชาติหนา
หรือทําใหเกิดเปนประโยชนสูงสุด ก็คือทําใหพนทุกขไดอยางเด็ดขาดนั่นเอง
๔. มีความเขาใจในสิ่งที่เปนกุศล และสิ่งที่เปนอกุศล
ชาวชมพูทวีปมีความเขาใจวาการใหทาน รักษาศีล และเจริญวิปสสนาเปนกุศลและควรกระทํา พรอมทั้ง
หลีกเลี่ยงการทํา การพูด การคิดที่เปนไปดวยอํานาจของความโลภ ความโกรธ และความหลง
๕. เชื่อวาชาวชมพูทวีปสืบเชื้อสายมาจากพระเจามนุ
สมัยตนกัป ชาวชมพูทวีปไดเลือกใหมนุ ( พระโพธิสัตว ) ขึ้นเปนกษัตริยทรงพระนามวา
พระเจามหาสัมมตะ ทรงปกครองอยางเที่ยงธรรมดัง่ บิดาปกครองบุตร ทําใหชมพูทวีปเจริญรุงเรือง
ดวยเหตุนี้ ชาวชมพูทวีปจึงไดชื่อวา มนุษย เพราะเปนบุตรของพระเจามนุ
๖. มีจิตใจกลาหาญแนวแนในการทําทาน การรักษาศีล และการเจริญภาวนา
๗. มีสติตั้งมั่นในคุณพระรัตนตรัย
๘. ประพฤติพรหมจรรย จึงสามารถอุปสมบทได ดอกไมประจําทวีป คือชมพู ( ไมหวา )
จึงเรียกวา “ ชมพูทวีป ”
๑๑๘
สาเหตุที่ทําใหมนุษยเกิดมามีความแตกตางกัน
จะพิจารณาจากกรรมและผลของกรรมของมนุษยดงั นี้
๑. อายุสั้น : ไดเคยฆาสัตว
๒. อายุยืน : ไดเคยงดเวนจากการฆาสัตว
๓. มีโรคมาก : ไดเคยทรมานรังแกสัตว
๔. มีโรคนอย : ไดเคยงดเวนจากการทรมานรังแกสัตว
๕. ผิวพรรณทราม : มีความโกรธแคนเก็บไวในใจ
๖. ผิวพรรณงาม : ไมมีความโกรธแคนเก็บไวในใจ
๗. มีอํานาจมาก : มีใจมากดวยความริษยาผูอ ื่น
๘. มีอํานาจมาก : ไมมีใจมากดวยความริษยาผูอื่น
๙. ฐานะยากจน : ไมเคยบริจาคทาน
๑๐ . ฐานะร่ํารวย : เคยบริจาคทานอยูเสมอ
๑๑. เกิดในสกุลต่ํา : ไดเคยถือตัวดูถูกผูอื่น
๑๒. เกิดในสกุลสูง : ไมเคยถือตัวดูถูกผูอื่น
๑๓. มีปญญานอย : ไมชอบขวนขวายถามผูรู
๑๔. มีปญญามาก : ชอบไตถามปญหาแกผูมีปญญา
๑๑๙
ปาหิมพานต ตั้งอยูทางดานเหนือของประเทศ
อินเดียในชมพูทวีป มีภูเขาใหญชื่อวา “ หิมวันตบรรพต หรือ
ภูเขาหิมาลัย ” ที่สูงถึง ๕๐๐ โยชน กวางและยาว ๓,๐๐๐ โยชน
ประดับดวยยอดเขาถึง ๘๔,๐๐๐ ยอด
ชมพูทวีปประกอบดวย สวนที่เปนมหาสมุทร
อยูที่ ๔ สวน เปนแผนดินอยูที่ ๓ สวน และเปนพื้นที่ของ
ปาหิมพานต อยูที่ ๓ สวน รวมเปน ๑๐ สวน
ในเขตปาหิมพานต มีสระน้ําใหญอยูเจ็ดสระ
คือ สระอโนดาต สระกัณฑมุณฑะ สระรถกาฬะ
สระฉันทันตะ สระกุนาละ สระมันทากินิ
สระสีทับปาตะ โดยที่สระอโนดาตมีภูเขาลอมรอบอยูหาเขา
คือ เขาสุทัสสนกูฏ เขาจิตตกูฏ เขากาฬกูฏ
เขาคันธมาทนกูฏ และเขาเกลาสกูฏ
เขาสุทัสสนกูฏเต็มไปดวยทอง
โคงเปนวง ภายในมีสันฐานเหมือนปากกา
ยื่นออกไปคลุมสระอโนดาต เขาจิตตกูฏ เต็มไปดวย
สรรพรัตนะ เขากาฬกูฏ เต็มไปดวยหินเขียว
ดั่งดอกอัญชัน เขาคันธมาทนกูฏ เต็มไปดวยปาไม
ที่อบอวลไปดวยกลิ่น ทั้ง ๑๐ คือ กลิ่นราก กลิ่นแกน
กลิ่นกระพี้ กลิ่นใบ กลิ่นเปลือก กลิ่นกะเทาะเปลือก
กลิ่นรส กลิ่นดอก กลิ่นผล และกลิ่นลําตน
๑๒๐
หนาแนนไปดวย โอสถนานัปการ
เขาเกลาสกูฏที่เต็มไปดวยเงิน เมื่อฝนตกน้ําจะไหล
จากภูเขาทั้ง ๕ รวมกันเขาสูสระอโนดาต และเปน
เพราะภูเขาทั้ง ๕ ลอมรอบสระอยูเปนชะโงก แสงจันทร
และแสงอาทิตยจึงสองไมถึงสระอโนดาต จึงไดชื่อวา
“ อโนตัตระ ” แปลวา ไมถูกแสงสองใหรอน
ที่เขาไกรลาสมีเมืองกินนร กินนรี
ที่เขาจิตรกูฏมีคูหาทองเปนที่อยูของสุวรรณหงส
๑๒๓
เรียกวา สัตตบรรพ
รอบที่ ๑ แนวภูเขาชื่อวา ยุคันธร
รอบที่ ๒ แนวภูเขาชื่อวา อีสธร
รอบที่ ๓ แนวภูเขาชื่อวา กรวิกะ
รอบที่ ๔ แนวภูเขาชื่อวา สุทัสสนะ
รอบที่ ๕ แนวภูเขาชื่อวา เนมินธร
รอบที่ ๖ แนวภูเขาชื่อวา วินตกะ
รอยที่ ๗ แนวภูเขาชื่อวา อัสสกัณณะ
ยังมีภูเขาจักรวาล เปนภูเขาที่กั้นระหวางจุฬโลกธาตุ
ประเภทของเทวดา
๑. อุปปตติเทวะ เปนเทวดาโดยกําเนิด
เชน เทวดา พรหม
๒. สมมุติเทวะ เปนเทวดาโดยสมมติ
เชน พระมหากษัตริย พระราชินี
พระราชโอรส พระราชธิดา
๓. วิสุทธิเทวะ เปนเทวดาที่บริสุทธิ์จาก
อาสวะกิเลสทั้งปวง คือ พระอรหันต
สวรรคชั้นที่ ๑ ( จาตุมหาราชิกาภูมิ )
เปนสวรรคชั้นตน ตั้งอยูตอนกลางของเขาสิเนรุ สูงพนจากทวีปทั้งสี่ของมนุษย สูงพนจาก
ปาหิมพานตและภูเขาหิมาลัย มีเทวดาผูเปนใหญเปนมหาราชอยูทั้ง ๔ องค
๑. ทาวธตรัฏฐ ปกครองเทวดาคนธรรพ ( ภูต )
มีปราสาทเปนวิมานอยูบนยอดเขาสุทัสสนะ
อยูทางทิศตะวันออกเขาสิเนรุ
( ถัดออกไปเปนปุพพวิทหทวีป )
๑๒๗
๒. ทาววิรุฬหกะ ปกครองกุมกัณฑเทวดา
มีปราสาทเปนวิมานอยูบน
ยอดเขาเนมินธร อยูทางทิศใตของ
เขาสิเนรุ ( ถัดไปเปนชมพูทวีป )
มีปราสาทเปนวิมานอยูบน
ยอดเขาอัสสกัณณะ อยูทางทิศเหนือของ
เขาสิเนรุ ( ถัดไปเปนอุตตรกุรุทวีป )
ยักษชั้นกลาง : สวนใหญจะเปนบริวารคอยรับ
ใชของยักษชนั้ สูง
ยักษชั้นต่ํา : ที่บุญนอยก็จะมีรูปรางนาเกลียด
ผมหยิก ตัวดํา ตาโปน ผิวหยาบ เหมือนกระดาษ
ทราย นิสัยดุราย
๑๓๑
ยักษชั้นต่ํา : ที่บุญนอยก็จะมีรูปรางนาเกลียด
ผมหยิก ตัวดํา ตาโปน ผิวหยาบ เหมือนกระดาษ
ทราย นิสัยดุราย
เทวดาที่อยูในอํานาจของทาวจตุโลกบาล
เปนเทวดาที่ไมมีปราสาท หรือวิมานเปนของตนเอง ตองไปอาศัยตามสถานที่ตางๆ ในวิมาน
ของตน คือ
๑. ปพพตัฏฐเทวดา เปนเทวดาที่อาศัยอยูตามภูเขา
๒. อากาสัฏฐเทวดา เปนเทวดาที่อาศัยอยูในอากาศ มีวมิ านในอากาศ ภายในและภายนอกของวิมาน
ประกอบไปดวยรัตนะ๗ ชนิด ซึ่งเกิดจากกุศลกรรม คือ แกวมรกต แกวมุกดา แกวประพาฬ แกวมณี
แกววิเชียร เงินและทอง โดยวิมานเหลานี้จะหมุนไปรอบๆ เขาสิเนรุ
๑๓๒
สวรรคชั้นที่ ๒ ( ดาวดึงสาภูมิ )
ดาวดึงสาภูมิ เปนสวรรคชั้นที่ ๒ หมายถึง ภูมิอนั เปนที่เกิดของบุคคลมีจาํ นวน ๓๓ คน
เปนพื้นแผนดินแรกที่ปรากฏขึ้นในโลกกอนแผนดินอื่น
ณ หมูบานอจลคาม นครมคธ มีบุคคลกลุมหนึ่งชื่อวา
“ คณะสหบุญญการี ” คือ คณะที่ทําบุญรวมกัน
อยูดวยกัน ๓๓ คน เปนชายทั้งสิ้น มีหัวหนาคณะชื่อ
“ มฆมานพ ” คณะที่ไดชวยกันทําความสะอาดถนน
ในหมูบานเพื่อใหสัญจรไดสะดวก ตั้งโรงเลี้ยงน้ําเพื่อให
ชาวบานไดอาศัยดื่มกิน และยังไดสรางศาลาสุธรรมา
ตามชื่อของภรรยาคนหนึ่งในสี่ของมาฆมาณพที่มีสวน
ในการยกชอฟา ภรรยาอีกสองคน คือ นางสุนันทนา
และนางสุจิตรา ไดมีการชวยในการขุดสระโบกขรณี
และสรางสวนดอกไม แตนางสุชาดาภรรยาคนที่ ๔ คิดวา
บุญกุศลที่มฆมาณพไดกระทําไวแลวก็เหมือนเปนของนาง
นางจึงไมไดสรางกุศลอะไร
ครั้งเมื่อชายทัง้ ๓๓ คนเสียชีวิตลง ก็ไดไปเกิดเปนเทวดาภูมชิ ั้นที่ ๒ โดยมฆมานพผูเปนหัวหนาไดไป
บังเกิดเปนพระอินทร เพื่อนอีก ๓๒ คน ไดเกิดเปนเทวดาชัน้ ผูใหญ ภรรยาทั้งสามของมฆมานพก็ไดไปเกิดบน
สวรรค ชัน้ ที่ ๒ มีเพียงนางสุชาดามิไดสรางกุศล จึงไปเกิดเปนนกยางที่ลําธารแหงหนึ่ง
เมื่อพระอินทรและสหายไปบังเกิดสวรรคชนั้ ที่ ๒ บนสวรรคชั้นนีไ้ ดมี พวกบุพเทพ ( เทพผูเกิดอยูกอน )
และยังไมไดชอื่ วาดาวดึงส โดยมี ทาวเวปจิตติ เปนหัวหนา เทพพวกอยูกอนได จัดพิธีสักการะตอนรับพวก
เทพใหม โดยแจกดอกปทุมทิพย และแบงความเปนราชาและแบงบานเมืองใหปกครองกึ่งหนึง่ และจัดประชุม
เลี้ยงอยางเต็มที่ ทาวสักกะยังไมพอพระหฤทัยที่จะไดปกครองสวรรคเพียงกึ่งเดียว จึงนัดเหลาสหายมิใหดื่มสุรา
แตพวกเทพเจาถิ่นเดิมไดดื่มสุรากันจนเมานอนหมดสติไป พระอินทรจึงสั่งใหเหลาเทพผูมาใหม ชวยกันจับพวก
เทพผูอยูกอนที่มีบุญนอยกวา เหวี่ยงลงไปยังเชิงเขาสิเนรุ
๑๓๔
เทวดาผูปกครองสวรรคชั้นดาวดึงส
พระอินทร ( สักกะเทวราช ) มีรางทิพยสีเขียว เปนผูปกครองเทวดาชัน้ ดาวดึงส และชั้นจาตุมหาราชิกา
ประทับอยู ณ ปราสาทเวชยันต มีราชรถเปนพาหนะเทียมอาชาไนย ๑,๐๐๐ ตัว ชือ่ วา เวชยันต และมีนายสารถี
ชื่อมาตุลีเทพบุตร
การบรรลุธรรมของพระอินทร
จากกุศลกรรมของพระอินทร เชน ใหความเกื้อกูลแกพระเวสสันดร การใสบาตรแก
พระมหากัสสปเถระที่พึ่งออกจากนิโรธสมาบัติ และการฟงธรรมเทศนา ( สักกปณหสูตร )
จากพระพุทธเจา ทําใหพระอินทรสําเร็จเปนพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน แลวพระอินทรก็จุติ
( เสียชีวิต ) ตอหนาพระพักตรองคพระสัมมาสัมพุทธเจา แลวทรงอุบัติ ( เกิด ) ขึ้นทันที
กลายเปนทาวสักกะเทวราช และเมือ่ จุติจากสวรรคชั้นดาวดึงสแลว จะมาเกิดเปนพระจักรพรรดิ์
ในโลกมนุษยและจะสําเร็จเปนพระสกิทาคามีบุคคล เมื่อเสียชีวิตจากโลกมนุษยแลว จะกลับไปเกิด
บนสวรรคชนั้ ดาวดึงสอีกครั้ง และจะไดบรรลุธรรมเปนพระอนาคามี เมือ่ จุติแลว จะไปบังเกิด
ในพรหมโลกชั้นสุทธาวาสตามลําดับ คือ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี และเขาพระนิพพานที่
อกนิฏฐาภูมิเปนชาติสุดทาย
เทวดาที่อยูใตการปกครองของพระอินทร
๑. กุมมัฐะเทวดา : พระอินทรและเทวดาชั้นผูใหญ ๓๒ องค พรอมทั้งบริวารเทวอสุรา
มี ๕ จําพวก ที่อาศัยอยูใตภูเขาสุเนรุ จนถึงตอนใตของพื้นที่มหาสมุทรสีทันดรคือ
ชั้นที่ ๑ เปนที่อยูของ พญานาค
ชั้นที่ ๒ เปนที่อยูของ ครุฑ
ชั้นที่ ๓ เปนที่อยูของ กุมกัณฑเทวดา
ชั้นที่ ๔ เปนที่อยูของ ยักษเทวดา
ชั้นที่ ๕ เปนที่อยูของ เทวดาจาตุมหาราชิกาสี่องค
๑๓๗
ความเปนอยูของเทวดาในสวรรคชั้นดาวดึงส
เทพดาวดึงส อยูดวยฐานะ ๑๐ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุข ยศ อายตนทั้งหกอัน มีรูป รส
กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ อันเปนทิพย เทวดาในชั้นดาวดึงส เปนผูเสวยทิพยสมบัติจากกุศลกรรม
ในอดีตชาติ ความเปนอยูของเทวดาในชั้นดาวดึงส มีความเปนไปคลายกับในโลกมนุษย คือ มีหนาที่
ของแตละพระองค เชน มีนักรอง นักดนตรี เปนเทพบุตร เทพธิดา จึงมีความรักเปนคูครองกัน
เทวดามีอายุขัย เทากับ ๑๐๐ ปทิพย เทากับ ๓๖ ลานปโลกมนุษย
( ๑ วันสวรรคชั้นดาวดึงส เทากับ ๑๐๐ ปโลกมนุษย )
การเกิดขึ้นของเทวดาบนสวรรคชั้นดาวดึงส
ดาวติงสาเทวดาปฏิสนธิ ( เกิด ) ดวย โอปปาติกะกําเนิด คือ บังเกิดเติบโตในทันที
รางกายอวัยะสมบูรณ มีรางกายเปนทิพย ( ละเอียด ) เรียกวา อทิสสมานกาย คือ มนุษยไมสามารถ
มองเห็นดวยตาเนื้อ เมื่อจะบังเกิดเปนบุตรธิดาแหงเทวดา ก็ยอมบังเกิดขึน้ เปนนางฟาที่แนนอน
ถาเปนไวยาวัจกรยอมบังเกิดขึ้นในวิมาณ
๑. เทวดาผูเกิดใหมที่สรางกุศลไวมาก : จะมีปราสาทวิมานเปนของตนเอง วิมาณนั้นจะมี
วิจิตรพิสดารเพียงใดขึ้นอยูกับอํานาจของกุศลวิบากที่เขาเคยไดทําไว
๑๓๘
๒. พระเกศจุฬามณีเจดีย
พระเกศจุฬามณีเจดีย สรางขึ้นดวยแกวอินทนิล ยอดพระเจดียประดิษฐดวยทองคําบริสุทธิ์
ประดับดวยแกวรัตนะทั้ง ๗ องคเจดีย สูง ๘๐,๐๐๐ วา มีกําแพงทองคําลอมรอบ ๔ ทิศ
ยาว ๑๖๐,๐๐๐ วา องคพระเจดียเปนที่ประดิษฐานสิ่งสําคัญในพุทธศาสนา ๒ สิ่ง
๑๔๐
สวรรคชั้นที่ ๓ ( ยามาภูมิ )
ยามาภูมิ เปนเทวดาภูมิชั้นที่ ๓ แปลวา “ เปนภูมิที่อยูของเทวดาทั้งหลายที่ปราศจากความ
ยากลําบาก และมีความสุขเปนทิพย ” โดยมีพระสยามเทวาธิราช หรือพระสุยามะ หรือยามะ
เปนผูปกครอง
ที่ตั้งของสวรรคชั้นยามาภูมิ
ยามาภูมิ เปนภูมิที่ปราศจากความลําบาก และถึงความสุขดวยความเปนทิพย ตั้งอยูในอากาศ
สูงกวายอดเขาสิเนรุ ๔๒,๐๐๐ โยชน มีบริเวณแผกวางออกไปเสมอกําแพงจักรวาล มีวมิ านที่เปนที่อยู
ของเทวดาปรากฏอยูตลอดทั่วบริเวณ เนื่องจากเปนภูมิที่ตั้งอยูในอากาศ จึงมีแตเทวดาพวก
อากาสัฏฐะเทวดาจําพวกเดียว
ความเปนอยูของเทวดาบนสวรรคชั้นยามา
เทพยามาเสวยสุขดวยทิพยฐานะสิบ คือ อายุ วรรณะ สุข ยศ ความเปนใหญ รูป รส
กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ มีอายุขัย ๒,๐๐๐ ทิพย เทากับ ๑๔๔ ลานปมนุษย ( ๑ วัน สวรรคยามา เทากับ
๒๐๐ ปโลกมนุษย )
บนสวรรคชนั้ ยามาไมมีแสงพระจันทร และแสงพระอาทิตย เพราะอยูสูงกวาพระอาทิตย
และพระจันทรมาก เหลาเทวดามองเห็นกันไดดวยแสงรัศมีทสี่ องออกมาจากตัวของเทวดา แตละ
องคที่สองไดไกลถึง ๑๒ โยชน แมทิพยสมบัติตางๆ เชน ปราสาทเวชยันต ศาลาสุธรรมา สวนอุทยาน
ตางๆ ก็ลวนมีรัศมีแสงสวางดวยกันทั้งสิ้น สวนการรับรูกลางวัน กลางคืนก็สังเกตจากดอกไมทิพย
เวลาที่ดอกไมทิพยบานก็แสดงวาเปนเวลากลางวัน เวลาที่ดอกไมทิพยหุบก็แสดงวาเปนเวลากลางคืน
๑๔๕
สาเหตุที่ทําใหเทวดาชั้นยามาตองจุติ ( เสียชีวิต )
๑. สิ้นอายุ : อายุขัยของเทพชั้นยามา เทากับ ๒,๐๐๐ ปทิพย เมื่อเทวดาองคใด มีอายุขัยครบ
กําหนดก็ตองจุติ แลวก็จะไดไปเกิดในเทวโลกชั้นสูงๆ ขึ้นไป
๒. สิ้นบุญ : คือ อายุยังไมสิ้น แตบุญที่ทําไวสิ้นแลว หรือหมดบุญที่ทําไวแลว จึงตองจุติ เชน
เทวดาบางองคทําทานเพียงครั้งเดียวก็ไดมาเกิดบนสวรรคชั้นยามา แตเมือ่ บุญที่ทําไวหมด จึงตอง
จุติเร็ว เทวดาจึงมีการทําบุญตออายุ เชน การฟงเทศนฟงธรรม เทวดาชั้นยามา จึงลงมาฟงธรรมที่
ศาลาสุธรรมาในสวรรคชนั้ ดาวดึงส
๓. สิ้นอาหาร : เทพบุตร เทพธิดา ที่บริโภคกามคุณมากจนไมมีบริโภคอาหาร ในทีส่ ุดก็จุติ
๔. ความโกรธ : เทพบางองคชอบโกรธ เห็นเทวดาองคอื่น มีทิพยสมบัติมากกวาก็โกรธ เห็นองค
อื่นสวยงามงดงามกวาก็อิจฉา เมื่อโกรธบอยๆ ก็ตอ งจุติ
สวรรคชั้นที่ ๔ ( ดุสิตาภูมิ )
ดุสิตาภูมิ เปนเทวดาภูมิชั้นที่ ๔ แปลวา “ เปนภูมิที่ปราศจากความรอนใจ มีความยินดีแชมชื่น
ใจในทิพยสมบัติของตนอยูเปนนิจ ” สวรรคชั้นดุสิตนี้ เปนสวรรคที่ประเสริฐกวาสวรรคทุกชั้น
เพราะเปนที่สถิตยของพระโพธิสัตวทุกพระองค กอนที่จะจุติลงมาเกิดเปนมนุษย และตรัสรู
ในพระชาติสุดทาย
ที่ตั้งของสวรรคชั้นดุสิต
ตั้งอยูทามกลางอากาศ สูงจาก
ชั้นยามาขึ้นไป ๔๒,๐๐๐ โยชน มีบริเวณ
แผกวางออกไปเสมอขอบจักรวาล
เทวดาที่อยูในภูมินี้พวก อากาสัฏฐเทวดา
พวกเดียว มีทาวสันดุสิตเทวราชเปน
ผูปกครอง
๑๔๖
ความเปนอยูของเทวดาบนสวรรคชั้นดุสิต
เทวดาบนสวรรคชั้นดุสิต อยูดวยฐานะสิบประการ คือ อายุ วรรณะ สุข ยศ อายตนอันมี
รูป รส กลิน่ เสียง โผฏฐัพพะเปนทิพย เทวดาชั้นดุสิตมีวิมาน ทิพยสมบัติและรางกายสวยงาม
ประณีตมากวาเทวดาในชั้นยามามาก มีอายุขัย ๔,๐๐๐ ปทิพย เทากับ ๕๗๖ ลานมนุษย ( ๑วัน สวรรค
ชั้นดุสิตเทากับ ๔๐๐ ป โลกมนุษย )
พระโพธิสัตวทุกพระองค กอนที่จะมาบังเกิด
ในมนุษยโลก และจะไดตรัสรูเปนพระพุทธเจานั้น
ยอมบังเกิดในชั้นดุสิตภูมินี้ เปนภพสุดทาย
และในขณะที่พระโพธิสัตวศรีอาริยเมตไตรยก็สถิตยอยู
ตลอดจนผูที่มาบังเกิดเปนอัครสาวก
พุทธมารดา พุทธบิดา ก็ยอมจุติจากดุสิตาภูมิ
มาบังเกิดในโลกมนุษยนี้เชนกัน
ความโกลาหลบนสวรรค
ความโกลาหลบนสวรรคนั้น มีอยู ๓ สมัย คือ สมัยเมื่อโลกจะวินาศ สมัยเมื่อพระเจา
จักรพรรดิ์จะเกิด สมัยเมื่อพระพุทธเจาจะอุบัติ
ครั้นเมื่อเทพทั้งปวงไดเห็นบุพนิมิต ๕ ประการ บังเกิดขึ้นแก พระโพธิสัตวเทพ
ก็เกิดความโกลาหลครัง้ ใหญ เพราะทราบวา พระพุทธเจากําลังจะอุบัติ จึงไปเฝาทูล
อาราธนาพระโพธิสัตวเทพใหจุติลงไป ตรัสรูเปนองคพระสัมมาสัมพุทธเจา พระโพธิสัตว
ก็จะตรวจดูสถานะ ๕ ประการ คือ กาล ทวีป ตระกูล มารดา กําหนดอายุวาจะเหมาะ
แกการที่จะลงมาตรัสรูหรือไม
กาล : กาลเวลาแหงอายุขัยของมนุษย ถาสมัยใดมนุษยมีอายุขัยมากเกินกวา
หนึ่งแสนปขึ้นไป หรือต่ํากวา หนึ่งรอยปลงมา ก็ไมใชกาลที่พระองคจะลงมาตรัสรู เพราะ
ในสมัยที่มนุษยมีอายุมากเกินไป ก็จะไมเห็นไตรลักษณ และในยุคสมัยที่มนุษยมีอายุนอย
เกินไป ก็อาจจะมีกิเลสหนามากจนไมอาจเห็นธรรม แตในยุคปจจุบัน ( พระโพธิสัตวจุติ )
เปนยุคที่มนุษยมีอายุขัยหนึ่งรอยปพอดี จึงเหมาะเปนกาลที่พระองคจะลงมาตรัสรูได
๑๔๗
สวรรคชั้นที่ ๕ ( นิมมานรดีภูมิ )
นิมมานรดีภมู ิ เปนเทวดาภูมิชั้นที่ ๕ เทวดาที่เกิดอยูในภูมินี้ ยอมมีความสุขเพลิดเพลินใน
กามคุณทั้ง ๕ ที่ตนสามารถเนรมิตขึ้นมาไดเองตามใจปรารถนาของตน
ที่ตั้งของสวรรคชั้นนิมมานรดี
นิมมานรดีภมู ินี้ ตั้งอยูทา มกลางอากาศ
สูงจากชั้นดุสิตภูมิ ไป ๔๒,๐๐๐ โยชน เทวดาที่
อยูในภูมินี้ มีเทวดาอากาสัฏฐเทวดาจําพวกเดียว
มีทาวสุนิมมิตตเทวราชเปนผูปกครอง
ความเปนอยูของเทวดาบนสวรรคชั้นนิมมานรดี
เทวดานิมมานรดี อยูดวยฐานสิบประการ คือ อายุ วรรณะ สุข ยศ ความเปนใหญ รูป รส
กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ เปนทิพย เทวดาบนสวรรคชั้นนิมมานรดี มีวมิ าน ทิพยสมบัติและกาย
สวยงามประณีตมาก มีอายุขัย ๘,๐๐๐ ปทิพย หรือ เทากับ ๒,๓๐๔ ลานปมนุษย ( ๑ วัน ในสวรรคชั้น
นิมมานรดีเทากับ ๘๐๐ ปโลกมนุษย )
สวรรคชั้นที่ ๖ ( ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ )
ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ เปนเทวดาภูมิชั้นที่ 6 ที่เทวดามีความสุขความเพลิดเพลินในกามคุณ
ทั้ง ๕ เมื่อปรารถนาใครเสวยกามคุณเมือ่ ใดเทวดาองคอื่นที่รูใจ จะคอยปรนนิบัติโดยเนรมิตใหตาม
ความตองการ
ที่ตั้งของสวรรคชั้นปรนิมมิตวสวัตตี
ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ เปนยอดภูมิแหง
สวรรคทั้งหลาย ตั้งอยูทามกลางอากาศ สูงจากชั้น
นิมมานรดีขนึ้ ไป ๔๒,๐๐๐ โยชน เทวดาบนภูมินี้
มีพวกอากาสัฏฐเทวดาพวกเดียว
ทาวปรมินมิตวสวัตตีเทวราช เปนผูปกครอง
และมีอํานาจปกครองเทวดาทั้ง ๖ ชั้น
๑๔๙
ความเปนอยูของเทวดาบนปรนิมมิตวสวัตตี
เทพปรนิมมิตวสวัตตี อยูดวยฐานสิบประการ คือ อายุ วรรณะ สุข ยศ ความเปนใหญ รูป
รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ อันเปนทิพย เทพปรนิมมิตวสวัตตี มีวิมาน ทิพยสมบัติ และรางกาย
สวยงามประณีตมาก มีอายุขัย ๑๖,๐๐๐ ปทิพย หรือ เทากับ ๙,๒๑๖ ลาน ปมนุษย ( ๑ วัน ในสวรรคชั้น
ปรนิมมิตวสวัตตี เทากับ ๑,๖๐๐ ปโลกมนุษย )
ปฏิบัติอยางไรจึงจะเกิดในสวรรคชั้นตางๆ
สวรรคชั้นจาตุมหาราชิกา : จะตองมีหิริและโอตัปปะ อันเปนภูมิธรรมของเทวดา
รักษาศีลหาใหถึงพรอม และการประกอบกุศลกรรมบถสิบ เชน การทําทาน ใสบาตร ฟงธรรม การ
ปฏิบัติธรรม ดังพุทธพจนในทานสูตร “ ในการใหทานนั้น บุคคลบางคนมีความหวังในทาน มีจติ
ผูกพันใหทานโดยมุงหวังสะสม ใหทานโดย คิดวาเมื่อตายไปแลวจะไดเสวยผลแหงทานนี้ เขาผูนนั้
ครั้นใหทานแลวตายไป ยอมเขาถึงสวรรคชั้นจาตุมหาราชิกา บางคนในโลกนี้ทําบุญดวยการใหทาน
มีประมาณยิง่ มาก ทําบุญดวยการรักษาศีลประมาณยิ่ง เขาผูนั้นเมื่อตายไป ยอมเขาถึงสวรรคชั้น
จตุมหาราช ”
สวรรคชั้นดาวดึงส : การใหทานนั้น ถาใหทานแลวไม ไดหวังผล แต ใหทานโดย
คิดวาการใหทานเปนการดี เขาใหทานแลว เมื่อตายไป ก็ไปบังเกิดในสวรรคชั้นดาวดึงส
สวรรคชั้นยามาภูมิ : การใหทานนั้น ถาใหทานแลวไมคิดวา การใหทานเปนการดี
แตเขาใหทานโดยคิดวา มารดา บิดา ปู ยา ตา ยาย เคยใหเคยทํากันมา เราไมควรทําใหเสียประเพณี
เขาจึงใหทาน เมื่อเขาตายไป ก็ ไปบังเกิดในสวรรคชั้นยามาภูมิ
สวรรคชั้นดุสิตาภูมิ : ในการใหทานนั้น เขาใหทานโดยไมคิดวา มารดา บิดา ปู
ยา ตา ยาย เคยใหเคยทํากันมา เราจึงไมควรทําใหเสียนประเพณี แตใหทานโดยคิดวา เราหุงหากิน
แตสมณพราหมณเหลานีไ้ มไดหุงกิน เราหุงหากินได จะไมใหทานแกสมณะหรือพราหมณผูไมไดหุง
กินไมควร เขาจึงใหทาน เมื่อเขาตายไปก็ไปบังเกิดในสวรรคชนั้ ดุสิตาภูมิ
สวรรคชั้นนิมมานรดี : บางคนในโลกนี้ยอมใหขาว น้ํา เปนตน แกสมณะหรือ
พราหมณ เขายอมมุงหวังสิ่งที่ตนไดถวายไป คือ เขาไดยินวาเทพชั้นนิมมานรดี มีอายุยืน มีวรรณะ
มากไปดวยความสุข เขาจึงคิดวา เมื่อเราตายไปแลว ขอใหเราไปเกิดในสวรรคชั้นนิมมานรดี เขาตัง้ ใจ
เชนนั้นแลว เขายอมไปเกิดในที่นั้นได อยางนี้เรากลาว สําหรับผูถือศีล ไมใชสําหรับผูทศุ ีล ความตั้งใจ
ของผูมีศีลยอมสําเร็จได เพราะเปนของบริสุทธิ์
สวรรคชั้นปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ : บางคนในโลกนี้ยอมหขาว น้ํา เปนตน แกสมณะ
หรือพราหมณ เขายอมมุง หวังสิ่งที่ตนไดถวายไป คือ เขาไดยินวาเทพชั้นปรนิมิตวสวัตตีภูมิ มีอายุ
ยืนยาว มีวรรณะ มากไปดวยความสุข เขาจึงคิดวา เมื่อเราตายไปแลว ขอใหเราไปเกิดในสวรรคชั้น
ปรนิมมิตววัตตีภูมิ เขาตั้งใจไวเชนนั้น เมื่อเขาตายไป ยอมไปเกิดในที่นั่นได อยางนี้เรากลาวสําหรับ
ผูมีศีล ไมใชสําหรับผูทุศลี ความตั้งใจยอมสําเร็จได เพราะเปนของบริสุทธิ์
๑๕๑
ปฏิบัติอยางไรจึงจะเกิดในชั้นพรหมโลก
ในการใหทานนั้น เขาใหทานโดยไมไดคิดวา เมื่อเราใหทานอยางนี้ จิตจะเกิด
ความปลื้มใจและโสมนัส แตใหทานโดยคิดวา เปนเครื่องปรุงแตงจิตใจ เขาจึงใหทาน
เมื่อเขาตายไป ก็จะไปบังเกิดในชั้นพรหมโลก
๑๕๒
ตติยฌาณภูมิ ๓
ตติยฌาณภูมิ ๓ : ตั้งอยูทามกลางอากาศ สูงจากชั้นทุติยฌาณภูมิขึ้นมา ๕,๕๐๘,๐๐๐ โยชน
ทั้ง ๓ ภูมินี้ตั้งอยูในระดับเดียวกัน แบงขอบเขตออกเปน ๓ สวน คือ สวนที่อยูของสุภกิณณพรหม
ผูมีฐานะเทากับทาวมหาพรหม ในปฐมภูมิฌาณ เปนใหญในตติยฌาณภูมิทั้ง ๓ สวนที่อยูของ
อัปปมาณสุภพรหม ผูมีฐานะเทากับพรหมปุโรหิตา ในปฐมฌาณภูมิ และสวนที่เปนที่ตั้งของ
ปริตตสุภพรหม ผูมีฐานะเทียบเทากับพรหมปาริสัชชาในปฐมฌาณภูมิ
พรหมปริตตสุภาภูมิ : กอนผูเพิ่งไดตติยฌาณจะสิ้นใจ ไดกาํ หนดจิตเขาไป
ในตติยฌาณ ดวยอํานาจของตติยฌาณที่สามารถละองคฌาณ คือ ปติได แตเนื่องดวยยังมีกําลัง
ออนอยู จะนําผูนั้นไปสู พรหมปริตตสุภสุภาภูมิ เปนพรหมชัน้ สามัญธรรมดา อันเปนพรหม
ที่เปนบริวาร คอยรับใชพรหมที่เปนหัวหนา อายุขยั ๑๖ มหากัลป
๑๕๕
จตุตถฌาณภูมิ ๗
จตุตถฌาณภูมิ๗ : เปนที่เกิดของผูที่เจริญสมถกรรมฐาน ทําสมาธิจนบรรลุถึงจตุตถรูปฌาณ
จตุตถรูปฌาณ มี ๒ แบบ คือ อุเบกขา เอกัคคตา เปนที่อาศัยของเวหัปผลาพรหม อสัญญสัตตพรหม
และพรหมอนาคามี ในสุทธาวาสภูมิ ๕
๑๕๖
อรูปาวจรภูมิ ๔
ผูที่เห็นโทษของการมีรางกายวาเปนทุกข เชน ทุกขจาก โรคภัยไขเจ็บ จึงเพียรเจริญสมถ
ภาวนาจนไดปญจมรูปฌาณ แตก็ไมปรารถนาที่จะมีรูปรางกาย จึงบําเพ็ญสมถภาวนาตอจนได
อรูปฌาณ เมื่อสิ้นชีวิตลง ดวยกําลังของ อรูปฌาณ สมาธิ จิตก็จะไปปฏิสนธิใน อรูปพรหม ๔
ตามความละเอียดของจิตและกําลัง อรูปพรหม ๔ เปนภูมิที่มีแตอากาศอันวางเปลา เปนที่พํานัก
ของพรหมทีไ่ มมีรูปกาย มีแตนามขันธ ๔ ที่เกิด ดับติดตอกันโดยไมมีระหวางกั้น ตั้งแตปฏิสนธิ
เปนตนไป
อากาสานัญจายตนภูมิ : กอนที่ผูไดปฐมอรูปฌาณจะสิ้นใจ ไดกําหนดจิตเขาไป
อยูในปฐมอรูปฌาณ โดยกําหนดเอาอากาศที่อยูในปฏิภาคนิมิตมาเปนอารมณ โดยภาวนาวา
“ อากาศมีไมสิ้นสุด ” ดวยอํานาจของปฐมอรูปฌาณ จะนําผูนนั้ ไปสูอากาสานัญจายตนภูมิ
มีอายุขัย ๒๐,๐๐๐ มหากัลป
วิญญานัญจายตนภูมิ : กอนที่ผูไดทุติยอรูปฌาณจะสิ้นใจ ไดกําหนดจิตเขาไป
อยูในทุติยอรูปฌาณ ดวยการพิจารณา “ จิตที่เขาไปรูอากาศไมมีที่สิ้นสุด ในอากาสานัญจาย
ตนฌาณ ” ดวยอํานาจของทุติยอรูปฌาณจะนําผูนั้นไปสูวิญญานัญจายตนภูมิ ซึ่งอยูสูงจาก
อากาสานัญจายตนภูมิ ๕,๕๐๘,๐๐๐ โยชน วิญญานัญจายตนพรหม มีอายุขัย ๔๐,๐๐๐ มหากัลป
อากิญจัญญายตนภูมิ : กอนที่ผูไดตติยอรูปฌาณจะสิ้นใจ ไดกําหนดจิตเขาไปใน
ตติยอรูปฌาณ ดวยการพิจารณา ความไมมีอะไร ดวยอํานาจของอรูปฌาณที่ ๒ จะนําผูนั้นไปสู
อากิญจัญญายตนภูมิ อยูส ูงขึ้นจากวิญญานัญจายตนภูมิ ๕,๕๐๘,๐๐๐โยชน อากิญจัญญายตนพรหม
มีอายุขัย ๖๐,๐๐๐มหากัลป เมื่อพระพุทธเจาตรัสรูแลว ดําริที่จะโปรดทานอาฬารดาบส แตเมื่อทรง
สองทิพยจักษุฌาณ ทรงประจักษวาทานจุติไปเสวยอากิญจัญญายตนภูมิ ตั้งแต ๗ วันกอนที่
พระโพธิสัตวจะทรงตรัสรู
เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ : กอนที่ผูไดจตุตถอรูปฌาณจะสิ้นใจ ไดกําหนดจิต
เขาไปสูจตุตถอรูปฌาณ ดวยการพิจารณาสัญญาที่เขาไปรู ในบัญญัติอารมณวา มีก็ไมใช ไมมีก็ไมใช
ดวยอํานาจของจตุตถอรูปฌาณที่สูงสุด จะนําผูนั้นไปสูแนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ เนวสัญญานา
สัญญายตนภูมิ สูงจากอากิญจัญญายตนภูมิ ๕,๕๐๘,๐๐๐ โยชน มีอายุขัย ๘๔,๐๐๐ มหากัลป
๑๖๐
ตามที่ไดกลาวมาแลวขางตน
ถึงแมวาผูเขียน จะไมเคยไดไปทองดินแดนสวรรค
หรือ ชั้นพรหมโลก อาจจะเพราะบุญของขาพเจา
ยังไมถึง ที่จะไดไปสัมผัสกับสิ่งเหลานั้น แตขาพเจา
ก็เชื่อวา สวรรคหรือนรก มีจริง เพียงแตเราไดเคยไป
สัมผัสกับสิง่ เหลานั้นหรือไม เพราะวาขาพเจาเอง
ก็เคยไปแดนนรกมาแลว จากการที่เคยสมาธิ และเกิด
นิมิตหลังจากนั้น ตามที่จะไดกลาวตอไป
จากที่ขาพเจาเคยสมาธิ และบริกรรมพระคาถา จนจิตสงบไปอยูในระดับหนึ่ง
ตอมาขาพเจาก็นิมิตเห็นตัวเอง เหมือนอยูที่ใดซักที่หนึ่ง บรรยากาศที่นั้นดูมืดครึ้ม เหมือนถ้ํา
หรือใตดิน ซึ่งขาพเจาเองก็ไมแนใจ จากภาพที่ปรากฏในนิมิตนั้น มีผูคนมากมายเขาแถว
เปนตอนทั้งชายหญิง เพื่อรออะไรบางอยาง ซึ่งขาพเจาก็ไมแนใจ ขาพเจาก็อยูในแถวนั้นดวย
ก็ไมรูเหมือนกันวามาเขาแถวรออะไรเหมือนกัน ทุกคนก็คอยๆเดินตอๆกันไปจนถึงจุดหมาย
ปลายทาง สักพักขาพเจาก็เห็นภาพ เหมือนมีภูขาลูกใหญ ซึ่งทุกคนก็ตางมุงหนาไปในที่
แหงนั้น ขาพเจาก็ไมเขาใจวาทําไมทุกคนตองเดินไปที่แหงนั้น ขาพเจาก็เดินตามไปดวย
เชนกัน เมื่อถึงจุดหมายปลายทาง ก็ตางเห็นวาทุกคนพยายามปนปายภูเขานั้น เหมือนใหไต
ขึ้นไปเรื่อยๆ ทุกคนก็มีหนาที่ตองไตขึ้นไป ชวงที่ใหกาวแตละกาวมันก็ดูหางกันมาก
ดูนากลัว แตทุกคนก็ตองไตและปนปายขึ้นไป สุดทายก็มาถึงเวลาที่ขาพเจาตองปนปายบาง
ขาพเจามองไปขางหลัง ก็เห็นมีบุคคลอื่นๆ ตอจากขาพเจาที่ตองปนปายดวยเชนกัน
ขาพเจาก็ปนปายภูเขา ขึ้นไปทีละขั้น ทีละขั้น แตละขั้นก็คอยๆ หางกันมากขึ้นเรื่อยๆ
อันที่จริงขาพเจาก็ไมรูวาทําไมพวกเราตองมาปนปายภูเขาสูงนี้ แตเหมือนวาตองทําแบบนั้น
ขาพเจาก็ปนปายจนเกือบ จะถึงปลายสุดของยอดภูเขา มองไปขางลางก็ดูนากลัวมาก
แอบมองคนขางๆ ก็เห็นทุกคนก็ปนปาย ภูเขาเหมือนขาพเจาเชนกัน เพราะถึงปลายทาง
ของสุดยอดภูเขา ขาพเจารูสึกเหนื่อยลา และมิอาจกาวขาปนปายตอไปไดอีก เพราะวาชวง
ขาที่ใหขาพเจาปนปายนั้น รูสึกวามันสูงและหางเกินกวาที่ขาพเจาจะกาวตอไปได ขาพเจาก็
๑๖๑
มหานรก
มหานรกขุมที่ ๑ ( สัญชีวะนรก )
บุคคลที่เกิดเปนสัตวนรกชดใชกรรมในมหานรกขุมนี้ ไดแก
๑. บุคคลที่เบียดเบียนผูที่ต่ําตอยกวา บุคคลที่มีกําลังอํานาจมากกวา ชอบเบียดเบียน
ทํารายรังแกผูที่ต่ําตอยกวา หรือผูที่ไมมีทางที่จะตอสู หรือพวกที่ไมคิดที่จะตอสู
ดวยความไมเปนธรรม
๒. บุคคลผูที่เปนโจรปลน และทําลายบานเรือนทรัพยสินผูอื่น หรือบุคคลผูฆ าผูอื่น
การรับกรรมของสัตวนรก
สัตวนรกจะตองถูกนายนิรยบาล
ประหารดวย ดาบ มีด พรา หอก หลาน
แหลน แมจะถูกฟนจนเสียชีวิตแลว ก็ตอง
กลับฟน ขึ้นมาอีกและตองถูกฟนใหเสียชีวิต
ลงไปอีก เปนเชนนี้ อยูต ลอดเวลา
เพราะบาปกรรมเกาเลี้ยงไวใหตองมีชวี ิตอยู
เพื่อเสวยทุกขตอไปจนกวาจะสิ้นกรรม
นรกสัญชีวะอยูเหนือที่สุด และอเวจีมหานรกอยูใ ตที่สุดของมหานรกทั้งหลาย อายุขัยของ
สัตวสัญชีวะนรก ๕๐๐ ปนรก เทากับ ๑,๖๒๐,๐๐๐ ลานปมนุษย ( ๑ วัน ในสัญชีวะนรก เทากับ
๙ ลานปมนุษย ) สัตวนรกที่ชดใชกรรมจากการฆาผูอื่นในสัญชีวะนรกนี้ จนสาสมแกกรรมนั้นแลว
ถาไดมีโอกาสเกิดมาเปนมนุษยดวย เหตุปจจัยเพราะบุญเกาที่เคยทําไวมีโอกาสสงผล แตเนื่องจาก
มีเศษของกรรมจากการฆาผูอื่นยังคงตามสงอยู จะทําใหเปนบุคคลอายุสั้น
มหานรกขุมที่ ๒ ( กาฬสุตตะนรก )
ผูที่เกิดเปนสัตวนรก เพื่อชดใชกรรมในมหานรกขุมนี้ ไดแก บุคคลที่เบียดเบียนหรือฆา
นักบวช ภิกษุ สามเณร ดาบส ผูทุศลี หรือเพชฌฆาตที่ทําหนาประหารบุคคล ภิกษุ สามเณร
ผูทุศีล
๑๖๖
การรับกรรมของสัตวนรก
กาฬสุตตะนรกมีกําแพงทั้ง ๔ ดาน
เปนเหล็ก พืน้ ทั้งหมดก็เปนเหล็กที่ถูกไฟเผา
จนแดงโชนอยูตลอดเวลา สัตวนรกนั้น
จะตองถูกยมบาลจับใหนอนลงไปกับพื้นที้
รอนจนแดงฉาน จากนัน้ ยมบาลจะนําเชือก
เสนดําที่ทําดวยเหล็กที่ถูกไฟเผาจนโชน โดย
ยมบาลทานหนึ่งจับทางหัวเชือก
อีกทานหนึ่งจับทางหางเชือกตีทาบลงบนตัวของสัตวนรก ตามความยาวบาง ตามขวางบาง
เพื่อใหเกิดเปนรอยสําหรับตัดดวยขวาน จอบ มีด เลื่อยจนขาด แมสัตวนรกนั้น จะถูกตีและตัด
ใหเสียชีวิตแลว ก็ตองกลับฟนขึ้นมาอีก และตองถูกตีถูกตัดใหเสียชีวิตลงอีก เปนเชนนีอ้ ยูตลอด
เวลาจนกวาจะสิ้นกรรม อายุขัยของสัตวนรกขุมนี้ เทากับ ๑,๐๐๐ ปนรก เทากับ ๑๒,๙๖๐,๐๐๐
ลานปมนุษย ( ๑ วัน ในกาฬสุตตะนรก เทากับ ๓๖ ลานปมนุษย )
มหานรกขุมที่ ๓ ( สังฆาตะนรก )
บุคคลที่เกิดมาเปนสัตวนรก เพื่อชดใชกรรมที่มหานรกขุมนี้ ไดแก บุคคลที่ทรมานสัตว
เชน ชาง มา วัว ควาย ฯลฯ หรือ บุคคลที่เบียดเบียนรังแกสัตวที่ตนกําลังใชประโยชน โดยไมมี
ความเมตตาสงสารสัตว หรือ พวกนายพรานลาสัตว หรือ บุคคลผูฆาสัตวเหลานั้น รวมถึงขาราช
บริพารที่มีหนาที่ตัดสินตามตัวบทกฏหมาย แตกลับรับสินบนเพื่อตัดสินลงโทษผูบริสุทธิ์
การรับกรรมของสัตวนรก
สังฆาตะนรกนี้ นอกจากจะมีกําแพงทั้ง 4 ดานเปนเหล็ก พื้นทั้งหมดก็เปนเหล็กที่ถูกไฟเผา
จนแดงโชนอยูตลอดเวลา แลวยังมีภเู ขาเหล็กที่รอ นจนโชนแดงกลิ้งไปกลิ้งมา โดยยมบาลเอาหอก
ดาบแทงสัตวนรก จนรางกายขาดวิ่น มีเลือดและน้ําหนองไหลยอยดุจดังวัว ควาย ชาง มา ที่ถูก
ทรมาน โดยที่รางของสัตวนรกยังจะตองถูกภูเขาเหล็กที่สูงใหญอันมีเปลวไฟลุกโพลง กลิ้งเขาหา
กันบดขยี้ทับอยางแรง ดังเขาหีบออยจนรางแหลกละเอียดเปนจุณไป แตสัตวนรกนั้นก็กลับฟนคืน
ชีพขึ้นมาใหม วิ่งหนีภูเขาเหล็กนั้นพื้นเหล็กที่รอนนั้น วิ่งไปเจอยมบาลตีดวยคอนอันใหญบาง
หอกบาง แลวก็ถูกภูเขาเหล็กกลิ้งเขามาบดทับจากทั้งสองดาน จนรางกายแหลกละเอียดเปนจุณไปอีก
๑๖๗
มหานรกขุมที่ ๔ ( จุฬโรรุวะนรก )
บุคคลที่ตองเกิดเปนสัตวนรก เพื่อเสวยทุกขในมหานรกขุมนี้ ไดแก บุคคลที่จุดไฟเผาปา
เพื่อจับสัตวที่อาศัยอยูในปานั้น หรือ ชาวประมงที่ลากชักอวน ใชไฟฟา ใชยาพิษเพื่อจับปลา หรือ
บุคคลที่ขังสัตวไวฆา หรือ บุคคลที่เสพสุราจนเมาแลว ทํารายผูอื่น
การรับกรรมของสัตวนรก
จุฬโรรุวะนรกมีกําแพงเหล็กทั้ง ๔ ดาน
พื้นทั้งหมดเปนเหล็กที่ถูกไฟเผาจนแดงโชน
บริเวณตรงกลางของนรกมีดอกบัวเหล็กที่ใหญมาก
มีไฟเผาจนรอนโชน สัตวนรกนั้นจะตองถูกยมบาล
ไลแทงใหขึ้นไปนั่งบนดอกบัว เอาขาหยอนลงไปใน
ระหวางหลีบ หัวจุมลงไปในโคนของกลีบดอกบัว
กลีบดอกบัวที่รอนโชนก็งับหัวสัตวนรก ดวยความ
ทุกขทรมานทําใหตองรองไหออกมาดวย เสียงอัน
ดังอยูตลอดแตเสียงไมอาจลอดออกมาได เพราะหัว
ถูกกลีบดอกบัวงับเอาไว
อายุขัยสัตวนรกขุมนี้ คือ ๔,๐๐๐ ปนรก เทากับ ๘๒๙,๔๔๐,๐๐๐ ลานปมนุษย ( ๑ วัน
จุฬโรรุวะนรก เทากับ ๕๗๖ ลานปมนุษย
มหานรกขุมที่ ๕ ( มหาโรรุวะนรก )
บุคคลที่ตองเกิดเปนสัตวนรก เพื่อเสวยทุกขในมหานรกขุมนี้ ไดแก บุคคลที่ลักทรัพยสมบัติ
ของบิดา มารดา ครูบาอาจารย ภิกษุ สามเณร ดาบส แมชี จนทานไดรับความลําบาก หรือบุคคล
ที่ลักเครื่องสักการะบูชา เชน พระพุทธรูป รวมถึงพวกกกรรมการวัด บางคนที่ชอบลักเงินทําบุญ
ของวัด ประเภทที่วา วัดครึ่งหนึ่ง กรรมการครึง่ หนึ่ง
๑๖๘
การรับกรรมของสัตวนรก
มหาโรรุวะนรก มีกําแพงเหล็กทั้ง ๔ ดาน พื้นที่เปนเหล็กที่ถูกไฟเผาจนแดงโชน บริเวณกลาง
ของนรกมีดอกบัวเหล็กที่ใหญมาก มีไฟเผาจนรอนโชน บริเวณรอบๆ ดอกบัวมีแหลนหลาว ปกเอา
ปลายขึ้น สัตวนรกตองถูกยมบาลไลแทงใหขึ้นไปนั่งบนดอกบัว เอาขาหยอนลงไปในระหวางหลีบ
หัวจุมลงไปในโคนของกลีบดอกบัว กลีบดอกบัวที่คมเปนกรดรอนโชนก็งับหัวสัตวนรก สัตวนรก
พยายามดิ้นใหหลุด ก็ยิ่งถูกกลีบดอกบาดจนรางหลนลงมายังพื้น ปกเขากับแหลนหลาวเหล็กเบื้องลาง
สุนัขนรกที่ยมบาลเลี้ยงไว ก็กัดแทะกินจนเหลือแตกระดูก รางสัตวนรกก็ฟนชีพขึ้นมาอีกดวยแรง
กรรม ยมบาลก็เอาหอกไลแทงใหขึ้นไปอยูบนดอกบัวอีก ดวยความทุกขทรมานทําใหสตั วนรกตอง
รองไหออกมาดวยเสียงอันดังอยูตลอดเวลา
อายุขัยสัตวนรกนี้ เทากับ ๘,๐๐๐ ปนรก หรือ ๖,๖๓๕,๕๒๐,๐๐๐ ปมนุษย ( ๑ วัน ๑ คืน ในมหา
โรรุวะนรก เทากับ ๒,๓๐๕ ลานปมนุษย )
มหานรกขุมที่ ๖ ( ตาปนะนรก )
บุคคลที่ตองไปเกิดเปนสัตวนรก เพื่อเสวยทุกขในมหานรกขุมนี้ ไดแก บุคคลที่เผาบานเรือน
กุฏิ โบสถ วิหาร ศาลาการเปรียญ
การรับกรรมของสัตวนรก
สัตวนรก จะถูกยมบาลเสียบตรึงไวดวยหลาวเหล็กอันรอนแดง แลวตั้งรางนั้นขึ้นไว ดวยเปลว
ไฟที่รอนแรงทําใหเนื้องหนังของสัตวนรก หลุดหลนลงมา สุนัขนรกตัวใหญโตมาก ก็กระโดดเขามา
กัดกินเนื้อเหลานั้น จนในที่สุดสัตวนรกทนทรมานอยูบนหลาวไมไหว ก็หลนลงมายังพื้นเหล็กรอน
เบื้องลาง สุนัขนรกก็วิ่งเขามากัดกินรางสัตวนรกนั้น จนเขาถึงกระดูก จนสัตวนรกนั้นเหลือแตกระดูก
แตสัตวนรกที่เหลือแตกระดูกนั้น ก็ฟน คืนชีพกลับมามีเนื้อมีหนังอีก และถูกยมบาลนําหอกเสียบตั้ง
รางไวอีก จนกวาจะหมดกรรมที่ทําไว
อายุขัยสัตวนรกขุมนี้ คือ ๑๖,๐๐๐ ปนรก เทากับ ๕๓,๐๘๔,๑๖๐,๐๐๐ ลานปมนุษย
( ๑ วัน ในตาปะนรก เทากับ ๙,๒๑๖ ลานปมนุษย )
๑๖๙
มหานรกขุมที่ ๗ ( มหาตาปะนรก )
บุคคลที่ตองเกิดเปนสัตวนรก ในมหานรกขุมนี้ ไดแก มิจฉาทิฏฐิบุคคล ที่เชื่อวาธรรมเปนของ
ไมดี ไมมีประโยชน แตกลับเห็นวาอธรรมเปนสิ่งดีมีประโยชน
การรับกรรมของสัตวนรก
โดยที่สัตวนรกถูกไฟนรกเผาไหมอยูตลอด
เวลา ตองถูกยมบาลเอาหอกไลแทงใหไตขึ้นไปบน
ภูเขาที่กําลังรอนโชนแดง สัตวนรกทนความรอน
ไมได ก็ตกลงไปเสียบยังหลาวเหล็กรอนที่ยมบาล
ปกเอาคมหงายขึ้น แตดวยบาปกรรมหลอเลี้ยงไว
ทําใหสัตวนรกไมตาย ตองปนไตขึ้นไปบนภูเขาที่
กําลังรอนแดง แลวตกลงไปสูหลาวเหล็กที่ปกอยู
เบื้องลาง วนเวียนอยูเชนนี้ ตลอดไปจนหมด
กรรม อายุขยั ของสัตวนรกขุมนี้เปนเวลา เทากับ
ครึ่งอันตรกัปของมนุษย
มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด ๑๐ ประการ ที่นําสูม หาตาปะนรก
๑. บุญที่ทําแลว ไมมีผล
๒. การบูชาพระรัตนตรัย ไมมีผล
๓. การตอนรับเชื้อเชิญ ไมมีผล
๔. ผลของกรรมดีกรรมชั่ว ไมมีผล
๕. คุณของมารดา ไมมี
๖. คุณของบิดา ไมมี
๗. ชาตินี้ ไมมี
๘. ชาติหนา ไมมี
๙. โอปาติกสัตว ไดแก เทวดา พรหม เปรต อสุรกาย และสัตวนรก ไมมี
๑๐. สมณพราหมณผูปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ จนประจักษแจงสัจธรรมดวยตัวเอง
และประกาศใหผูอื่นรูได ไมมี
๑๗๐
มหานรกขุมที่ ๘ ( อเวจีมหานรก )
ผูที่เกิดเปนสัตวนรก เพื่อเสวยทุกขในมหานรกขุมนี้ ไดแก ผูท ี่กระทําปญจานันตริยกรรม
ฆาบิดา มารดา ฆาพระอรหันต ทํารายพระพุทธเจาใหหอพระโลหิต ทําสังฆเภท ( ยุยงสงฆให
แตกแยกกัน ) และผูที่ทําลายเจดีย พระพุทธรูป ตนโพธิ์ที่พระพุทธเจาตรัสรู โดยคิดประทุษราย
และผูติเตียนพระอริยสงฆ
การรับกรรมของสัตวนรก
อเวจีมหานรกนี้ มีกําแพงเหล็กรอนโชน
ทั้ง ๖ ดาน คือ ดานขางทั้ง ๔ และดานบนและ
ดานลางอีก ๒ ดาน โดยที่สัตวนรก ถูกยมบาลตรึง
ไวดวยหลาวเหล็กรอนโชนแดง โดยถูกปลายหอกที่
ฝงอยูกําแพงดานบน เสียบตั้งแตหัวทะลุกนไปปก
ยังกําแพงดานลาง ดานหนาก็ถูกหอกที่ฝงอยูตรง
กําแพงดานหนา เสียบทะลุอกปลายหอกไปปกยัง
กําแพงดานหลัง ดานขางก็เชนเดียวกัน ทั้งมือ
ทั้งเทา ทั้งตัว ถูกเสียบดวยหอกหลายสิบเลม
นรกขุมยอย ( อุสสทะนรก )
เมื่อสัตวนรก ไดเสวยทุกขอยูในมหานรกตามควรแกกรรมแลว ก็ยังไมพน จากนรก ตองมา
เสวยทุกขในอุสสทะนรก อันเปนนรกขุมยอย หรือนรกขุมบริวารของนรกขุมใหญตอไปอีก
จนกวาจะหมดกรรม
มหานรกแตละขุมมีประตูอยู ๔ ทิศ
แตละทิศมีอุสสทนรก ๔ ขุมยอย
มหานรกขุมหนึ่ง จึงมี ๑๖ ขุมยอย
มหานรก ๘ ขุมใหญ จึงมี อุสสทนรก
หรือจุฬนรก อันเปนนรกขุมยอย
ทั้งสิ้น ๑๒๘ ขุมยอย
๑๗๒
นรกขุมยอยที่ ๑ ( คูถะนรก )
สัตวนรกทั้งหลาย ที่ยังมีอกุศลกรรมเหลืออยู ถึงแมจะพนจากอเวจีมหานรกแลว ก็ยังไมหลุด
พน ตองเสวยทุกขตอไป คือ ตองถูกเบียดเบียนใหอยูในนรกอุจจาระเนาที่อยูติดกับอเวจีมหานรก
รวมถึงบุคคล ที่ฉอราษฎรบังหลวง โกงกินทรัพยสมบัติของประเทศชาติบานเมือง เมื่อเขาเสียชีวิต
ไปแลวยอมจะตองเสวยทุกขชดใชบาปกรรมที่ไดทําไวในนรกอุจจาระเนา อันเปนนรกขุมบริวาร
ของอเวจีมหานรก
การรับกรรมของสัตวนรก
สัตวนรกขุมนี้ อาศัยอยูในแมน้ําใหญ ที่เต็มไปดวยอุจจาระ เหล็กเนาเหม็นเหมือนถานเพลิง
แมจะอยูไกลถึง ๑๐๐ โยชน ก็ยังเหม็น สัตวนรกตองกินอุจจาระเหล็กรอนเนาเหม็นตางขาวตางน้ํา
หนอนนรกปากเหล็กตัวใหญมากที่อยูในอุจจาระเนา เมื่อเห็นสัตวนรกก็พากันกัดกิน หนอนตัวที่ใหญ
กวาก็เขารัดรางสัตวนรกไว แลวก็กัดเขาไปกัดกินเนื้อหนังอยูดานนอก หนอนตัวเล็กก็จะเจาะเขาทาง
รูจมูกบาง รูหูบาง เขาไปกัดกินดานใน กัดกินลําไส มาม ตับ ปอด ไต หัวใจ จนหมดสิ้นอวัยวะ
ภายใน สัตวนรกทั้งรอน ทั้งเหม็น ทัง้ เจ็บปวดทรมานทุกชิ้นสวน แลวปรากฏเปนรางใหมขึ้น
ดังเดิมอีก ตองทนทุกขทรมานอยูอยางนี้จนกวาจะหมดสิ้นกรรมที่เขาไดกระทําไว
นรกขุมยอยที่ ๒ ( กุกกุลนิรยนรก )
สัตวทั้งหลาย ที่ยังมีอกุศลกรรมเหลือยู แมจะพนจากนรกอุจจาระเนาแลว ก็ยังไมหลุดพน
จากนรก ยังตองเสวยทุกขตอไป คือ ตองถูกเบียดเบียนใหอยูใ นนรกขี้เถารอน ซึ่งอยูตดิ ตอกับนรก
อุจจาระเนานั่นเอง
การรับกรรมของสัตวนรก
สัตวนรกขุมนี้ ตองถูกขี้เถารอน ที่เปนเถาเสนใยเหล็กแดงที่ถูกเผาไฟแดงโชนจน รอนจัด
เขารัดรึงหุมรางเอาไวอยูตลอดเวลา สัตวนรกตองทนทุกขทรมานอยูเชนนั้น จนกวาจะสมควร
แกกรรม
นรกขุมยอยที่ ๓ ( สิมพลิวะนรก )
สัตวนรกทั้งหลาย ที่ยังมีอกุศลกรรมเหลืออยู ถึงแมจะพนจากนรกขี้เถารอนแลว ก็ยังไม
หลุดพน ตองเสวยทุกขตอไปในนรกปาไมงิ้ว ซึ่งอยูติดกับนรกขี้เถารอนนั่นเอง และชายหรือหญิง
ที่คบชูกับสามีหรือภรรยาของผูอื่น เมื่อเสียชีวิตไปแลวยอมเสวยทุกขในนรกปาไมงิ้วเชนกัน
๑๗๓
การรับกรรมของสัตวนรก
ในปางิ้วนี้ มีตนงิ้วขึ้นอยูมากมาย ตนงิ้ว
สูงเปนโยชน และหนามบนตนงิ้วนั้นก็เปนเหล็ก
แดงรอนเปนเปลวไฟสุก หนามงิ้วนั้น ยาว ๑๖
องคุลีนรก มีความเปนกรด และมีลักษณะเปน
สปริง คือ เมื่อสัตวนรกปนขึ้นไปแลวก็จะสปริง
ดีดหนามออกมา ที่โคนตนงิ้ว ยมบาลจะเอา
หอกดาบหลาวแหลน อันคมไลแทงเหลาสัตว
นรกเพศชาย ใหปนตนงิว้ ขึ้นไปยังปลายตนงิ้ว
ที่มีสัตวนรกเพศหญิงที่เปนชูกันรออยู
ไดรับความทุกขทรมานอยางสาหัส เมื่อเหลาสัตวนรกเพศชายปนใกลจะถึงปลายตนงิ้ว
สัตวนรกเพศหญิงก็ถูกยมบาลเอาหอกไลแทงใหตอง ปนลงมาที่โคนตนงิ้ว สลับไปมาอยูเชนนี้
โดยที่สัตวนรกหญิงชายมิไดมีโอกาสพบกัน
นรกขุมยอยที่ ๔ ( เวตตรณีนรก )
สัตวนรกทั้งหลาย ที่ยังมีอกุศลกรรมเหลืออยู ถึงแมจะพนจากนรกปางิ้วแลว ก็ยังไมหลุดพน
ยังตองเสวยทุกขตอไป ในนรกที่เต็มไปดวยน้ําเค็มที่มีหนามหวาย ซึ่งอยูต ิดกับนรกปาไมงิ้วนั่นเอง
และหญิงที่ชอบทําลายลูกในครรภของตน เมื่อตายแลวยอมไปเสวยทุกขในนรกที่เต็มไปดวยน้ําเค็ม
ทีมีหนามหวาย
การรับกรรมของสัตวนรก
สัตวนรกถูกยมบาลใชหอกดาบหลาวไลแทง ใหกระโดดหนีลงไปในแมน้ําใหญที่เต็มไปดวย
น้ําเค็มที่มีหนามหวายเหล็กที่ใหญเทาจอบเสียมและรอนจนแดงโชนลุกเปนไฟไหมตัวสัตวนรก
และตัวสัตวนรกก็ขาดหอย เมื่อขวากเหล็กนั้นเสียบเขารางสัตวนรกดั่งเสียบปลา ใตขวากเหล็กในน้ํา
เค็มนั้นยังมีใบบัวหลวงเหล็กแดงรอนเปนเปลวไฟดังคมมีด สัตวนรกบางตนตกลงไปรางยอมขาดวิ่น
บัดเดี๋ยวน้ํานั้นก็กลายเปนไฟกรดเผาไหมรางนั้น สัตวนรกบางตนก็ดําน้ําหนีลงไปใตน้ํา โดยคิดวาจะ
พบน้ําเย็น ก็ถูกคมมีดหงายที่อยูใตน้ํารางกายขาดวิ่นทุกสวน รองไหลั่นจนขาดใจเสียชีวิต แตดวยแรง
บาปกรรมที่เหลาเลี้ยงไว สัตวนรกก็ฟนขึ้นมาใชกรรมตอไปจนกวาจะหมดสิ้นกรรม
๑๗๔
ยมโลกนรก
นอกจากอุสสทนรกแลว ยังมี ยมโลกนรก อีก ๑๐ ขุม ตั้งอยูร อบๆ อุสสทนรกทั้ง ๔ ทิศ
ทิศละ ๑๐ ขุม ผูที่ทํากรรมหนักๆ ไวตอนเปนมนุษยเมื่อตายแลว จึงตองรับกรรมที่มหานรก
จากนั้นไปรับกรรมตอ อีกที่อุสสทนรกและยมโลกนรก ยมโลกนรกทั้ง ๑๐ ขุมนีม้ ี ชื่อเรียกดังนี้
ภูมิของเปรต ( เปตติภูมิ )
เปรตภูมิ คือ ภูมิของสัตวที่มีความเดือดรอน เพราะอดอยากหิวโหย ไมมีทอี่ ยูอาศัย แตอาศัย
อยูที่ทั่วๆไป เชน ตามปา เขา เหว เกาะแกง ทะเล มหาสมุทร ปาชา เปนตน
เปรตเปนสัตว ที่จะไดรับผลของกรรมนอยกวาสัตวที่เกิดในนรก และเปรตกําเนิดโดย
โอปปาติกะ คือ ผุดเกิดขึ้นทันที ในเปตวัตถุอรรถกถา เปรตมี ๔ ประเภท
๑. ปรทัตตุปชีวกเปรต
เปนเปรตที่เลี้ยงชีพ โดยอาหารที่ผูอื่นอุทิศสวนกุศลให เปนเปรตประเภทเดียวที่รับสวน
บุญที่เขาอุทิศใหได เพราะเกิดในบริเวณบานเรือน และใกลชดิ กัมมนุษยมากที่สุด เชน บางคนเมื่อ
ใกลจะเสียชีวิต มีความอาวรณในทรัพยสิน ญาติพี่นอง เมื่อเสียชีวิตก็เกิดใหมเปนเปรตอยูในบริเวณ
บานเรือนนั้นเอง บางครั้งจะแสดงตนใหญาติพี่นองไดเห็น ที่ชาวบานเรียกวา “ วิญญาณ ”
หรือ “ เปรต ” นั่นเอง
๒.ขุปปปาสิกเปรต
เปนเปรตที่อดอยาก หิวขาวหิวน้ําอยูเปนนิจ ไมมีเรี่ยวแรง ตองนอนอยูเหมือนคนใกลเสียชีวิต
๓.นิชฌามตัณหิกเปรต
เปรตที่ถูกไฟเผาใหเรารอนอยูเสมอ
๔.กาลกัญจิกเปรต
เปนเปรตพวกอสุรกาย หรือ พวกอสุรา
บาปกรรมที่นําไปสูเปรตภูมิ
บุคคลผูมีเจตนาละเมิดในศีล ๕ เจตากระทําอกุศลกรรมบถ ๑๐ เมื่อพนจากมหานรกและนรก
ขุมยอยแลว ตองไปเกิดในเปรตภูมิ อันเปนเหตุใหเปนเครื่องขวางกั้นจากมรรคผลนิพาน คือ หมด
โอกาสที่จะทําบุญ รักษาศีล และเจริญภาวนาใหถึงพระนิพพานได เพราะตองรับกรรมอยางทนทุกข
ทรมานตลอดเวลา
อสุรภูมิ ( ภูมิของอสุรกาย )
ภูมิของอสุรกาย เปนหมูส ัตวที่มีความเปนอยูฝดเคือง เครื่องอุปโภคบริโภคขาดแคลนแรนแคน
ทุกขยากลําบากกาย มี ๓ ประเภท
๑๗๖
๓.นิรยอสุรกาย
เปนสัตวอสุรกาย ทีม่ ีรูปรางใหญโตเหมือนคางคาวยักษ เกาะอยูตามขอบจักรวาลที่มดื มิด
เมื่อพบพวกเดียวกันก็จะโผเขากัดกินกันเองตามความหิว ก็จะพลัดตกลงไปในน้ํากรดละลายหาย
เปนจุณแตดวยบาปกรรมที่ยังใชไมหมด ก็ตองปรากฏกายขึ้นมาใหม
ดิรัจฉานภูมิ ( ภูมิของสัตวเดียรัจฉาน )
ภูมิของสัตวเดียรัจฉาน : ภูมขิ องสัตวที่เปนไปขวางจากมรรคผล หรือขวางกั้นมรรคผล
คือ หมดโอกาสที่จะทําบุญ รักษาศีล เจริญภาวนาใหถึงพระนิพพานได เพราะตองทําบาปโดย
อาศัยชีวิตสัตวอื่นในการดํารงชีพ เชน เสือ สิงโต นก ปลา
สัตวเดียรัจฉาน มีความเปนอยูในโลกมนุษย ๓ ประการ คือ
๑. กามสัญญา คือ รูจักเสวยกามคุณ
๒. โคจรสัญญา คือ รูจักกิน รูจักนอน
๓. มรณาสัญญา คือ รูจักกลัวตาย
บาปกรรมที่นําไปสูดิรัจฉานภูมิ
บุคคลผูทศุ ีล เมือ่ เสวยทุกขจนพนจากมหานรก นรกขุมยอย ภูมิของเปรต
และอสุรภูมิแลว ยอมตองไปกําเนิดยังดิรจั ฉานภูมิ