Professional Documents
Culture Documents
วารสารราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
วารสารราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ภาพหน้าปก
ภาพหนุมานจับนางมัจฉา (พ.ศ. ๒๕๖๐)
เทคนิค ลายรดน้ำ�บนพื้นรักสี
นายสนั่น รัตนะ ราชบัณฑิต สำ�นักศิลปกรรม
ISSN 0125-2968
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
Volume 43 Number 3 September-December 2018
วารสารราชบัณฑิตยสภา
The Journal of the Royal Society of Thailand
วัตถุประสงค์
เพื่อเป็นสื่อกลางเผยแพร่ผลงานวิชาการของราชบัณฑิต ภาคีสมาชิก และนักวิชาการทั่วไป
ก�ำหนดเผยแพร่
เป็นวารสารราย ๔ เดือน ก�ำหนดเผยแพร่ในเดือนเมษายน สิงหาคม และธันวาคม
เจ้าของ
ราชบัณฑิตยสภา/ส�ำนักงานราชบัณฑิตยสภา
ที่ปรึกษา
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ปัญญา บริสุทธิ์ ประธานราชบัณฑิตที่ปรึกษา
ดร.โสภา ชูพิกุลชัย ชปีลมันน์ นายกราชบัณฑิตยสภา
ศาสตราจารย์ ดร.สมบูรณ์ สุขส�ำราญ ประธานส�ำนักธรรมศาสตร์และการเมือง
ศาสตราจารย์ นพ.สุรพล อิศรไกรศีล ประธานส�ำนักวิทยาศาสตร์
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรพล วิรุฬห์รักษ์ ประธานส�ำนักศิลปกรรม
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.สมชัย บวรกิตติ ราชบัณฑิต
นางสาวกนกวลี ชูชัยยะ เลขาธิการราชบัณฑิตยสภา
นางแสงจันทร์ แสนสุภา รองเลขาธิการราชบัณฑิตยสภา
บรรณาธิการ
รองศาสตราจารย์ประยูร ทรงศิลป์ ภาคีสมาชิก
กองบรรณาธิการ
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ปิยนาถ บุนนาค ราชบัณฑิต
ศาสตราจารย์ ดร. ภก.สมพล ประคองพันธ์ ราชบัณฑิต
ศาสตราจารย์ ดร. ทนพ.อานนท์ บุณยะรัตเวช ราชบัณฑิต
รองศาสตราจารย์ ดร.พรรณทิพย์ ศิริวรรณบุศย์ ราชบัณฑิต
ศาสตราจารย์ ดร.ไผทชิต เอกจริยกร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ราชบัณฑิต
ศาสตราจารย์ ดร.สมชาย วงศ์วิเศษ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ราชบัณฑิต
ศาสตราจารย์ ดร.สักกมน เทพหัสดิน ณ อยุธยา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ภาคีสมาชิก
วารสารราชบัณฑิตยสภา
วารสารราย ๓ เดือน
คณะท�ำงาน
นางสาวปิยรัตน์ อินทร์อ่อน นักวรรณศิลป์ช�ำนาญการพิเศษ
นางชวนพิศ เชาวน์สกุล นักวรรณศิลป์ช�ำนาญการ
นายสุชัจจ์ นนตกร นักวิชาการคอมพิวเตอร์
นายธนทัต ด�ำคลองตัน นักจัดการงานทั่วไป
ส�ำนักงาน
ส�ำนักงานราชบัณฑิตยสภา สนามเสือป่า เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ๑๐๓๐๐
โทรศัพท์ ๐ ๒๓๕๖ ๐๔๖๖-๗๐ โทรสาร ๐ ๒๓๕๖ ๐๔๙๒
e-mail: ripub@royin.go.th
http://www.royin.go.th
• บทความในวารสารราชบัณฑิตยสภาเป็นความคิดเห็นของผู้เขียน กองบรรณาธิการและ/หรือราชบัณฑิตยสภา
ไม่จ�ำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป
• บทความที่เผยแพร่จะมีการตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมจากกองบรรณาธิการและผู้ทรงคุณวุฒิ (peer review)
• กองบรรณาธิการไม่สงวนสิทธิ์ในการคัดลอก แต่ให้อ้างอิงที่มา
วารสารราชบัณฑิตยสภา
The Journal of the Royal Society of Thailand
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑ Volume 43 Number 3 September-December 2018
บทบรรณาธิการ
การบ�ำบัดน�้ำเสียจากการผลิตไบโอดีเซลด้วยกระบวนการดูดซับ : ภาวะที่เหมาะสม ๑
และจลนศาสตร์การดูดซับ
ศาสตราจารย์ ดร.มะลิ หุ่มสม และคณะ
การเปรียบเทียบความรับผิดของผู้ขายวัคซีนสัตว์ปีกที่มีความช�ำรุดบกพร่อง ๒๖
ในสหรัฐอเมริกาและไทย
ศาสตราจารย์ ดร.ศักดา ธนิตกุล
ดร.กัญจน์ศักดิ์ เพชรานนท์
การส่งและรับข้อมูลแบบอนุกรมผ่านแผงวงจรไมโครคอนโทรลเลอร์เพื่อการเรียนรู ้ ๔๔
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.มงคล เดชนครินทร์
ความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบการอบรมเลี้ยงดูกับพฤติกรรมประชาธิปไตยของวัยรุ่น ๖๙
ในครอบครัวไทยปัจจุบัน
รองศาสตราจารย์ ดร.พรรณทิพย์ ศิริวรรณบุศย์
“โคลงกลบท” กับ “โคลงกระทู้” ๙๐
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ชลดา เรืองรักษ์ลิขิต
ตราราหู : ของวิเศษอเนกประสงค์ในเรื่องพระอภัยมณี ๑๒๑
รองศาสตราจารย์โชษิตา มณีใส
ถอดบทเรียนด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาและอาหารเสริมแคลเซียมส�ำหรับผู้ให้นมบุตร ๑๓๖
และผู้สูงอายุ
ศาสตราจารย์ ดร. นพ.นรัตถพล เจริญพันธุ์
ไบโอชาร์ในงานภูมิทัศน์เมืองและการเก็บกักคาร์บอนแบบยั่งยืน ๑๕๒
ศาสตราจารย์กิตติคุณเดชา บุญค�้ำ
มนุษยนิยมกับคตินิยมไทย ๑๗๑
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.สิทธิ์ บุตรอินทร์
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
บทบรรณาธิการ
ราชบัณฑิตยสภาได้จดั ท�ำวารสารราชบัณฑิตยสภาเพือ่ เป็นสือ่ กลางเผยแพร่ผลงาน
วิชาการผลงานวิจยั ตลอดจนข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะงานวิชาการตามศาสตร์สาขาต่าง ๆ
ของราชบัณฑิต ภาคีสมาชิก นักวิชาการ และบุคคลทั่วไปมาถึงปัจจุบัน นับเป็นปีที่ ๔๓ แล้ว
วารสารราชบัณฑิตยสภาได้ผลัดเปลี่ยนกองบรรณาธิการและเจ้าหน้าที่รับผิดชอบร่วมกันผลิต
และพัฒนาวารสารราชบัณฑิตยสภามาเป็นล�ำดับ โดยปัจจุบนั ได้จดั ท�ำเป็นวารสารอิเล็กทรอนิกส์
(e-journal) เผยแพร่แทนการจัดพิมพ์เป็นรูปเล่ม ท�ำให้ผู้สนใจสามารถเข้าถึงข้อมูลได้สะดวก
และรวดเร็ว
วารสารราชบัณฑิตยสภาฉบับนี้เป็นฉบับที่ ๓ (กันยายน-ธันวาคม) ซึ่งเป็นฉบับ
สุดท้ายของปีที่ ๔๓ มีบทความเผยแพร่ จ�ำนวน ๙ เรือ่ ง ประกอบด้วยบทความของราชบัณฑิต
และภาคีสมาชิกส�ำนักธรรมศาสตร์และการเมือง ๒ เรื่อง ส�ำนักวิทยาศาสตร์ ๔ เรื่อง และ
ส�ำนักศิลปกรรม ๓ เรื่อง แต่ละบทความผู้เขียนได้เน้นองค์ความรู้ใหม่ในศาสตร์ที่เชี่ยวชาญ
บทความแรกของวารสารราชบัณฑิตยสภาฉบับนี้ คือ เรื่อง “การบ�ำบัดน�้ำเสีย
จากการผลิตไบโอดีเซลด้วยกระบวนการดูดซับ : ภาวะทีเ่ หมาะสมและจลนศาสตร์การดูดซับ”
ของศาสตราจารย์ ดร.มะลิ หุน่ สม และคณะ ได้แสดงการเปรียบเทียบให้เห็นประสิทธิภาพใน
การบ�ำบัดน�้ำเสียจากกระบวนการดูดซับ โดยใช้ตัวดูดซับเชิงพานิชย์ ๓ ชนิด คือ เบนทอไนต์
อะลูมินากัมมันต์ และถ่านกัมมันต์ จะมีความเชื่อมโยงระหว่างคุณสมบัติของตัวดูดซับ และ
ความสามารถในการลดสารมลพิษอย่างไร บทความนี้จะอธิบายไขความไว้ได้อย่างละเอียด
ผู้สนใจด้านกฎหมาย ความรับผิดชอบของผู้ขายวัคซีนสัตว์ปีกที่มีความช�ำรุด
บกพร่องในสหรัฐอเมริกาและในไทยเป็นอย่างไร และแตกต่างกันอย่างไร จะมีข้อเสนอแนะ
ทางกฎหมายเพื่อประโยชน์ของเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ในประเทศไทยในแง่ใดได้บ้าง ติดตามอ่าน
ได้จากบทความเรื่อง “การเปรียบเทียบการรับผิดชอบของผู้ขายวัคซีนสัตว์ปีกที่มีความ
ช�ำรุดบกพร่องในสหรัฐอเมริกาและในไทย” ของศาสตราจารย์ ดร.ศักดา ธนิตกุล และ
ดร.กัญจน์ศักดิ์ เพชรานนท์ ซึ่งผู้เขียนทั้ง ๒ ท่านได้น�ำเสนอความรู้วิเคราะห์และให้ข้อ
เสนอแนะด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องไว้อย่างน่าสนใจ ส่วนผู้ที่สนใจติดตามบทความเกี่ยวกับ
แผงวงจรไมโครคอนโทรลเลอร์ในวารสารราชบัณฑิตยสภามาหลายฉบับ ในฉบับนี้ยังมี
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
บทความเรื่อง “การส่งและรับข้อมูลแบบอนุกรมผ่านแผงวงจรไมโครคอนโทรลเลอร์เพื่อ
การเรียนรู้” ของผู้เขียนท่านเดิมคือ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.มงคล เดชนครินทร์ มา
เพิ่มพูนความรู้ให้ผู้สนใจอีกหลายประเด็น
บทความวิจยั เรือ่ ง “ความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบการอบรมเลีย้ งดูกบั พฤติกรรม
ประชาธิปไตยของวัยรุ่นในครอบครัวไทยปัจจุบัน” ของรองศาสตราจารย์ ดร.พรรณทิพย์
ศิริวรรณบุศย์ ได้แสดงผลการวิจัยให้เห็นว่ารูปแบบการอบรมเลี้ยงดูวัยรุ่นของครอบครัวไทย
ปัจจุบันที่ต่างกันจะส่งผลต่อพฤติกรรมประชาธิปไตยของวัยรุ่นแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งนับว่า
เป็นประโยชน์ต่อครอบครัวไทยในสังคมปัจจุบันอย่างยิ่ง ส่วนไบโอชาร์ คืออะไร มีประโยชน์
ต่อการปรุงดินเพือ่ เพิม่ ผลผลิตทางการเกษตรกรรมได้มากและยัง่ ยืนได้อย่างไร อีกทัง้ ไบโอชาร์
ยังสามารถน�ำไปใช้ในการฟื้นฟูต้นไม้เก่าแก่หรือต้นไม้ประวัติศาสตร์ที่ก�ำลังได้ผลกระทบจาก
การพัฒนาเมืองและการท่องเที่ยวได้อย่างไร ศาสตราจารย์กิตติคุณเดชา บุญค�้ำ ได้อธิบายไว้
ในบทความเรื่อง “ไบโอชาร์ในงานภูมิทัศน์เมืองและการเก็บกักคาร์บอนแบบยั่งยืน” ซึ่ง
ความรู้จากบทความนี้สามารถน�ำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ�ำวันได้เป็นอย่างดี
ส่วนผู้ที่สนใจความรู้ด้านวรรณกรรมไทยประเภทร้อยกรอง โดยเฉพาะร้อยกรอง
ประเภทโคลงแบบพิเศษ บทความเรื่อง “โคลงกลบท” กับ “โคลงกระทู้” ของศาสตราจารย์
ดร.ชลดา เรืองรักษ์ลิขิต ได้ให้ความรู้เรื่องความหมายของโคลงกลบทและโคลงกระทู้ ความ
เหมือนคล้ายและความแตกต่างของโคลงทั้ง ๒ ประเภทในแต่ละประเด็น ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจ
ลักษณะของโคลงกลบทและโคลงกระทู้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นและไม่เกิดความสับสนในการจ�ำแนก
และจะเป็นแนวทางให้แก่ผู้แต่งโคลงในสมัยปัจจุบันได้เป็นอย่างดี นอกจากบทความเรื่อง
“โคลงกลบท” กับ “โคลงกระทู”้ ดังกล่าวแล้วยังมีบทความด้านวรรณกรรมร้อยกรองทีม่ เี นือ้ หา
เกี่ยวข้องกับของวิเศษอเนกประสงค์ ซึ่งมีคุณสมบัติและอนุภาพมหัศจรรย์ มีคุณประโยชน์
หลากหลายและมีคุณค่าส�ำคัญยิ่งอย่างหนึ่งที่ตัวละครได้น�ำไปใช้เพื่อประโยชน์แห่งตน ของ
วิเศษอเนกประสงค์นั้นคือ ตราราหูของนางละเวง ตัวละครส�ำคัญในเรื่องพระอภัยมณีของ
สุนทรภู่ ของวิเศษจะมีความวิเศษอเนกประสงค์อย่างไร บทความเรื่อง “ตราราหู : ของวิเศษ
อเนกประสงค์ในเรือ่ งพระอภัยมณี” ของรองศาสตราจารย์โชษิตา มณีใส จะบอกกล่าวได้อย่าง
กระจ่างแจ้ง
ปัจจุบนั ผูค้ นให้ความสนใจและใส่ใจในสุขภาพมากขึน้ ผลิตภัณฑ์ยาและอาหารเสริม
นานาชนิดมีมากมาย อาหารเสริมแคลเซียมเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมหนึง่ ในหลายชนิดทีเ่ ป็น
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
รองศาสตราจารย์ประยูร ทรงศิลป์
ภาคีสมาชิก ส�ำนักศิลปกรรม
บรรณาธิการ
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์ ดร.มะลิ หุ่นสม และคณะ ๑
การบ�ำบัดน�้ำเสียจากการผลิตไบโอดีเซล
ด้วยกระบวนการดูดซับ : ภาวะที่เหมาะสม
และจลนศาสตร์การดูดซับ
ศาสตราจารย์ ดร.มะลิ หุ่นสม
ภาคีสมาชิก สำ�นักวิทยาศาสตร์
ราชบัณฑิตยสภา
นายเจตริน ข่ายป้องค่าย นายธนพนธ์ เสมอเนตร
นายพชรสกล ประยูรพันธ์รัตน์ และนายตฤณ เจตสุคนธร
ภาควิชาเคมีเทคนิค คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้ศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพในการบำ�บัดน้ำ�เสียจากการผลิตไบโอ-
ดีเซลด้วยกระบวนการดูดซับโดยใช้ตัวดูดซับเชิงพาณิชย์ ตัวแปรที่ศึกษาคือ ชนิดของตัวดูดซับ
(เบนทอไนต์ อะลูมินากัมมันต์ และถ่านกัมมันต์) ความเป็นกรด-เบสเริ่มต้นของน้ำ�เสีย (๑.๒-
๗.๒) ปริมาณตัวดูดซับที่เหมาะสม (๑.๕-๖.๕ กรัม/ลิตร) และเวลาในการดูดซับ (๐.๕-๔.๐
ชั่วโมง) พบว่าพื้นที่ผิว BET ของตัวดูดซับมีผลต่อการดูดซับสารมลพิษในน้ำ�เสียมากกว่าชนิด/
ปริมาณของหมู่ฟังก์ชันที่มีออกซิเจนและค่าความเป็นกรด-เบสเมื่อประจุบนพื้นผิวของตัวดูดซับ
มีคา่ เป็นศูนย์ โดยถ่านกัมมันต์มปี ระสิทธิภาพในการดูดซับสารมลพิษในน้ำ�เสียจากการผลิตไบโอ-
ดีเซลมากกว่าเบนทอไนต์และอะลูมินากัมมันต์ โดยสามารถลดสารมลพิษในรูปซีโอดีและน้ำ�มัน/
ไขมันได้รอ้ ยละ ๓๔.๔ และ ๕๙.๓ ตามลำ�ดับ รูปแบบการดูดซับซีโอดีและน้ำ�มัน/ไขมันบนพืน้ ผิว
ของถ่านกัมมันต์ที่ภาวะสมดุลสอดคล้องกับไอโซเทิร์มแบบแลงเมียร์ กลไกการดูดซับสารมลพิษ
ถูกควบคุมด้วยการแพร่ในช่วง ๒ ชั่วโมงแรก และถูกควบคุมด้วยการดูดซับบนพื้นผิวของถ่าน
กัมมันต์เมื่อเวลามากกว่า ๒ ชั่วโมง นอกจากนี้ยังพบว่าจลนศาสตร์การดูดซับของซีโอดีและ
น้ำ�มัน/ไขมันของถ่านกัมมันต์สอดคล้องกับแบบจำ�ลองการดูดซับอันดับสองเทียมและเป็นการ
ดูดซับทางเคมี
บทน�ำ
จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และชุมชนท�ำให้ประเทศไทยมีความต้องการ
การใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพลังงานที่ใช้ส่วนใหญ่ต้องน�ำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อลดการ
ขาดดุลทางการค้าและเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานภายในประเทศ รัฐบาลจึงมีนโยบายสนับสนุนการ
ใช้พลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่อง ในช่วง ๕-๑๕ ปี ที่ผ่านมา ไบโอดีเซล (Biodiesel) เป็นพลังงาน
ทดแทนเชื้อเพลิงดีเซลที่ผลิตจากการน�ำน�้ำมันพืชหรือไขมันสัตว์ที่น�ำมาสกัดเอายางเหนียวและ
สิง่ สกปรกออก (Degumming) จากนัน้ น�ำไปผ่านกระบวนการทางเคมีทเี่ รียกว่าทรานส์เอสเทอริฟเิ คชัน
(Transesterification) โดยการเติมแอลกอฮอล์ เช่น เมทานอล และมีโซเดียมหรือโปแตสเซียม-
ไฮดรอกไซด์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา (Catalyst) ภายใต้อุณหภูมิสูงเพื่อเปลี่ยนโครงสร้างของน�้ำมันจาก
ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) เป็นเอสเทอร์ มีลักษณะคล้ายน�้ำมันดีเซล เรียกว่า เมทิลเอสเตอร์
หรือไบโอดีเซล (Lam et al, 2010) ข้อดีของการใช้ไบโอดีเซลทดแทนน�้ำมันดีเซล คือ ให้ค่าดัชนี
การหล่อลืน่ และเลขซีเทนสูง เผาไหม้สมบูรณ์ จุดวาบไฟสูงจึงมีความปลอดภัยในการใช้งาน (Knoth,
2005; Smith et al, 2009)
กระบวนการผลิตไบโอดีเซลประกอบด้วย ๖ ขั้นตอน คือ ๑) การเตรียมน�้ำมันก่อนท�ำ
ปฏิกิริยา ๒) การเตรียมสารละลายแอลกอฮอล์ ๓) การท�ำปฏิกิริยา ๔) การแยกกลีเซอรีน ๕) การ
ล้างสิ่งปนเปื้อนออก และ ๖) การก�ำจัดน�้ำออกจากไบโอดีเซล ในขั้นตอนการล้างสิ่งปนเปื้อนออก
จะเกิดน�้ำเสียจ�ำนวนมาก ปัจจุบันประเทศไทยมีก�ำลังการผลิตไบโอดีเซลสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย
ใน พ.ศ. ๒๕๕๘ ประเทศไทยมีก�ำลังการผลิตไบโอดีเซลมากถึง ๔.๙๘ ล้านลิตรต่อวัน ในการผลิต
ไบโอดีเซล ๑๐๐ ลิตร จะมีน�้ำเสียเกิดขึ้นประมาณ ๒๐ ลิตร แสดงว่าจะมีน�้ำเสียเกิดขึ้นอย่างน้อย
๐.๙๖ ล้านลิตรต่อวัน น�้ำเสียดังกล่าวจะมีกลีเซอรอล กรดไขมัน แอลกอฮอล์ และสบู่ เป็น
องค์ประกอบ (McNeill et al, 1986)
ปัจจุบันมีงานวิจัยจ�ำนวนมากศึกษาและพัฒนากระบวนการบ�ำบัดน�้ำเสียจากการผลิต
ไบโอดีเซล เช่น กระบวนการทางชีวภาพ (Khan el al, 2015; Chia et al, 2018; Guldhe et al,
2019) กระบวนการทางเคมี (Ngamlerd pokin et al, 2011; Rattanapan et al, 2011; Daud
el al, 2013; Pansa-Ngat el al, 2017, 2018) กระบวนการทางเคมีไฟฟ้า (Chavalparit and
Ongwandee, 2009; Romero et al, 2013; Jaruwat el al, 2010; Jaruwat el al, 2016)
กระบวนการทางกายภาพ (Mozaffarikhan et al, 2017) นอกจากนี้การบ�ำบัดน�้ำเสียจากการ
ผลิตไบโอดีเซลด้วยกระบวนการดูดซับยังเป็นอีกกระบวนการหนึ่งที่ได้รับความสนใจ เนื่องจากไม่
ก่อให้เกิดกากตะกอนจากการบ�ำบัดและด�ำเนินการง่าย (Urano and Tachikawa, 1991) สามารถ
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๔ การบ�ำบัดน�้ำเสียจากการผลิตไบโอดีเซลฯ
วิธีการทดลอง
๑. วัตถุดิบ
ตัวดูดซับที่ใช้ในงานวิจัยนี้เป็นตัวดูดซับเชิงพาณิชย์ ๓ ชนิด คือ เบนทอไนต์ (Sigma-
Aldrich) อะลูมินากัมมันต์ (Sigma-Aldrich) และถ่านกัมมันต์ (Panreac)
น�้ำเสียจากการผลิตไบโอดีเซลที่ใช้ในการศึกษาได้รับความอนุเคราะห์จากอุตสาหกรรม
ผลิตไบโอดีเซลซึ่งใช้น�้ำมันประกอบอาหารใช้แล้ว (Used cooking oil) เป็นวัตถุดิบในการผลิต
ไบโอดีเซล ก่อนการใช้งานน�้ำเสียดังกล่าวจะถูกน�ำไปบ�ำบัดขั้นต้นด้วยการปรับค่าความเป็นกรด-เบส
ให้มีค่าประมาณ ๑-๒ ด้วยกรดซัลฟิวริกเข้มข้น (H2SO4 ของ QReC) เพื่อลดความเข้มข้นของ
สารมลพิษ (Jaruwat et al, 2010) จากนั้นปล่อยให้แยกชั้น โดยชั้นบนเป็นชั้นที่มีน�้ำมัน/ไขมันมาก
(Oil-rich layer) ส่วนชั้นล่างเป็นชั้นน�้ำเสีย (Water-rich layer) ที่มีความเข้มข้นสารมลพิษลดลง
หรือเรียกว่าน�้ำเสียที่ผ่านการบ�ำบัดขั้นต้น ซึ่งจะน�ำมาบ�ำบัดด้วยกระบวนการดูดซับต่อไป
๒. การบ�ำบัดน�้ำเสียจากการผลิตไบโอดีเซลด้วยกระบวนการดูดซับ
บรรจุน�้ำเสียที่ผ่านการบ�ำบัดเบื้องต้นปริมาตร ๑๐๐ มิลลิลิตร ลงในขวดรูปชมพู่ขนาด
๒๕๐ มิลลิลิตร เติมเบนทอไนต์น�้ำหนัก ๐.๓๕ กรัม น�ำไปเขย่าอัตราเร็วรอบ ๓๕๐ รอบ/นาที เป็น
เวลา ๔ ชั่วโมง กรองแยกเบนเทอไนต์จากน�้ำเสียด้วยกระดาษกรองเบอร์ ๕ (Whatman) น�ำน�้ำเสีย
ไปวิเคราะห์ค่าซีโอดีและปริมาณน�้ำมัน/ไขมัน ท�ำการทดลองซ�้ำโดยใช้ตัวดูดซับเป็นอะลูมินากัมมันต์
และถ่านกัมมันต์ เมื่อได้ตัวดูดซับที่ดีที่สุดแล้ว น�ำตัวดูดซับดังกล่าวมาศึกษาภาวะที่เหมาะสมในการ
บ�ำบัดน�้ำเสีย ตัวแปรที่จะศึกษา คือ ค่าความเป็นกรด-เบส (๑.๒-๗.๒) โดยการปรับความเป็น
กรด-เบสด้วยกรดซัลฟิวริกเข้มข้น (QReC) หรือโซเดียมไฮดรอกไซด์ (Carlo Erba) เข้มข้น ๑ โมล
ต่อลิตร ปริมาณตัวดูดซับ (๑.๕-๖.๕ กรัมต่อลิตร) และเวลาในการดูดซับ (๐.๕-๔.๐ ชั่วโมง)
๓. การวิเคราะห์
ตัวดูดซับเชิงพาณิชย์ที่ศึกษาทุกตัวจะถูกวิเคราะห์ชนิดและปริมาณหมู่ฟังก์ชันที่มีออกซิเจน
(Oxygen containing surface functional groups) บนพื้นผิวของตัวดูดซับ ด้วยวิธี Boehm’s
method (Chen et al, 2002) ค่าความเป็นกรด-เบสเมื่อประจุพื้นผิวของตัวดูดซับมีค่าเป็นศูนย์
(Point of zero charge–PZC) (Wang et al, 2008) และพื้นผิว BET ด้วยเครื่องวิเคราะห์
พื้นผิว (Quantachrome, Autosorb-1) ส่วนดัชนีคณ ุ ภาพน�ำ้ เสียก่อนการบ�ำบัดขัน้ ต้น หลังการบ�ำบัด
ขัน้ ต้น และหลังการบ�ำบัดด้วยกระบวนการดูดซับจะถูกวัดความเป็นกรด-เบส ปริมาณบีโอดี (Biological
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๖ การบ�ำบัดน�้ำเสียจากการผลิตไบโอดีเซลฯ
oxygen demand) ซีโอดี (Chemical oxygen demand) น�้ำมัน/ไขมัน (Oil & grease) ของ
แข็งละลายได้ (Total dissolved solid) และของแข็งแขวนลอย (Total suspended solid) ตาม
มาตรฐาน (American Public Health Association, 1998)
ผลการทดลองและอภิปรายผลการทดลอง
๑. สมบัติของตัวดูดซับเชิงพาณิชย์
รูปที่ ๑ แสดงสมบัติทางพื้นผิวของตัวดูดซับเชิงพาณิชย์ พบว่าตัวดูดซับเชิงพาณิชย์ทุกตัว
จะมีหมู่คาร์บอนิลสูงกว่าหมู่ฟังก์ชันที่มีออกซิเจนชนิดอื่น [รูปที่ ๑ (ก)] แสดงว่าพื้นผิวของตัวดูดซับ
ทุกตัวทีศ่ กึ ษามีหมูเ่ บสเป็นส่วนใหญ่และมีสภาพผิวเป็นบวก โดยสามารถเรียงล�ำดับตัวดูดซับเชิงพาณิชย์
ที่มีหมู่คาร์บอนิลจากมากไปน้อย คือ เบนทอไนต์ ถ่านกัมมันต์ และอะลูมินากัมมันต์ ตามล�ำดับ เมื่อ
พิจารณาค่า PZC ของตัวดูดซับ พบว่าเบนทอไนต์ อะลูมินากัมมันต์ และถ่านกัมมันต์ มีค่า PZC
เท่ากับ ๑๐.๒๕ ๘.๙๖ และ ๙.๖๒ ตามล�ำดับ [รูปที่ ๑ (ข)] นอกจากนี้ถ่านกัมมันต์จะมีพื้นที่ผิว BET
สูงสุด คือ ๑,๐๓๔ ตารางเมตร/กรัม [รูปที่ ๑ (ค)] มีขนาดรูพรุนเฉลี่ยและปริมาตรรูพรุนประมาณ
๒.๒ นาโนเมตร และ ๐.๗๕๕๐ ลูกบาศก์เซนติเมตร/กรัม ตามล�ำดับ ในขณะที่เบนทอไนต์มีพื้นที่
ผิว BET ต�่ำสุด คือ ๓๙ ลูกบาศก์เมตร/กรัม มีขนาดรูพรุนเฉลี่ยและปริมาตรรูพรุนประมาณ ๑๓.๖
นาโนเมตร และ ๐.๑๗๑๕ ลูกบาศก์เซนติเมตร/กรัม ตามล�ำดับ
๒. สมบัติของน�้ำเสียก่อนและหลังการบ�ำบัดขั้นต้น
น�ำ้ เสียทีเ่ กิดขึน้ จากกระบวนการผลิตไบโอดีเซลทีใ่ ช้ในงานวิจยั นีม้ สี เี หลืองอ่อน [รูปที่ ๒ (ก)]
มีความเป็นกรดเล็กน้อย (ตารางที่ ๑) มีปริมาณบีโอดี ซีโอดี น�้ำมัน/ไขมัน ของแข็งละลายได้ และ
ของแข็งแขวนลอยสูงกว่ามาตรฐานน�ำ้ ทิง้ ของกรมโรงงานอุตสาหกรรมประมาณ ๒.๒๕-๓.๗๕, ๒๙๕-
๓๒๙, ๓๗๐-๔๔๔, ๔.๑๒-๔.๑๗ และ ๔.๘๕-๖.๔๕ เท่า ตามล�ำดับ เมื่อน�ำน�้ำเสียไปบ�ำบัดขั้นต้น
โดยการปรับความเป็นกรด-เบสด้วยกรดซัลฟิวริกตามงานวิจัยที่ผ่านมา (Jaruwat et al, 2016) พบ
ว่าน�้ำเสียจะแยกเป็น ๒ ชั้น ชั้นบนมีลักษณะเป็นของเหลวหนืดสีน�้ำตาลเข้มซึ่งเป็นชั้นของกรดไขมัน
ที่ละลายอยู่ในน�้ำเสียจากกระบวนการผลิตไบโอดีเซล ส่วนชั้นล่างเป็นสีขาวขุ่นเล็กน้อย [รูปที่ ๒ (ข)]
ปริมาณบีโอดี น�้ำมัน/ไขมัน ซีโอดี และของแข็งแขวนลอยลดลง แต่มีปริมาณของแข็งละลายได้
เพิ่มขึ้น อาจเกิดจากการสะสมตัวของแอลคาไลน์ไอออน (Na+ K+) จากปฏิกิริยาโปรโตเนชันของสบู่
และซัลเฟตไออน (SO42-) จากกรดที่เติมลงไปในน�้ำเสีย อย่างไรก็ดีน�้ำเสียที่ผ่านการบ�ำบัดขั้นต้นยังมี
ปริมาณบีโอดี ซีโอดี น�้ำมัน/ไขมัน ของแข็งละลายได้ และของแข็งแขวนลอย สูงกว่ามาตรฐานน�้ำทิ้ง
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์ ดร.มะลิ หุ่นสม และคณะ ๗
ตารางที่ ๑ สมบัติของน�้ำเสียจากการผลิตไบโอดีเซลก่อนและหลังการบ�ำบัด
(ก) (ข)
๓. การบ�ำบัดน�้ำเสียจากการผลิตไบโอดีเซลด้วยกระบวนการดูดซับ
รูปที่ ๓ แสดงผลของชนิดตัวดูดซับต่อร้อยละการลดลงของสารมลพิษในน�้ำเสียจากการ
ผลิตไบโอดีเซล เมื่อใช้ตัวดูดซับปริมาณ ๓.๕ กรัม/ลิตร ความเป็นกรด-เบสเริ่มต้นของน�้ำเสีย ๑.๒
อัตราการเขย่า ๓๕๐ รอบ/นาที และเวลา ๔ ชั่วโมง พบว่าถ่านกัมมันต์สามารถลดสารมลพิษใน
น�้ำเสียได้สูงที่สุดโดยพิจารณาจากการลดลงของค่าบีโอดี ซีโอดี และน�้ำมัน/ไขมัน ซึ่งน่าจะเป็นผล
มาจากการที่ถ่านกัมมันต์มีพื้นที่ผิว BET สูงเมื่อเทียบกับตัวดูดซับชนิดอื่นท�ำให้ที่พื้นที่ผิวในการดูดซับ
สารมลพิษมาก นอกจากนี้หมู่คาร์บอนิลบนพื้นผิวของถ่านกัมมันต์มีสมบัติเป็นตัวรับอิเล็กตรอน (Yu
et al, 2008) จึงสามารถสร้างพันธะกับประจุลบของสารอินทรีย์ที่ปนเปื้อนในน�้ำเสีย เช่น กรดไขมัน
อิสระ (Free fatty acid, R-COO) หรือไบโอดีเซล (Fatty acid methyl ester–FAME) ส่งผลให้
สารมลพิษในน�้ำเสียลดลง อย่างไรก็ดีแม้เบนทอไนต์จะมีหมู่คาร์บอนิลบนพื้นผิวสูงกว่าถ่านกัมมันต์แต่
ประสิทธิภาพในการลดสารมลพิษต�ำ่ กว่ามาก อาจเนือ่ งจากเบนทอไนต์มพี นื้ ทีผ่ วิ BET ต�ำ่ (๓๖ ตาราง–
เมตร/กรัม) ส่งผลให้มีพื้นที่ผิวในการดูดซับสารมลพิษต�่ำ
รูปที่ ๔ แสดงผลของความเป็นกรด-เบสเริ่มต้นของน�้ำเสียในช่วง ๑.๒-๗.๒ ต่อร้อยละ
การลดลงของสารมลพิษในน�้ำเสียจากการผลิตไบโอดีเซล เมื่อใช้ถ่านกัมมันต์ปริมาณ ๓.๕ กรัม/ลิตร
อัตราการเขย่า ๓๕๐ รอบ/นาที และเวลา ๔ ชั่วโมง พบว่าการลดสารมลพิษจะเพิ่มขึ้นเมื่อเพิ่ม
ความเป็นกรด-เบสเริ่มต้นของน�้ำเสียจาก ๑.๒ เป็น ๕.๒ และการลดสารมลพิษจะต�่ำลงเมื่อเพิ่ม
ความเป็นกรด-เบสเริม่ ต้นของน�ำ้ เสียเป็น ๗.๒ ทัง้ นีอ้ าจเป็นผลของค่า PZC ของถ่านกัมมันต์ กล่าวคือ
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๑๐ การบ�ำบัดน�้ำเสียจากการผลิตไบโอดีเซลฯ
รูปที่ ๔ ผลของความเป็นกรด-เบสเริ่มต้นของน�้ำเสียต่อการลดสารมลพิษในน�้ำเสียจากการผลิตไบโอดีเซล
เมื่อใช้ถ่านกัมมันต์ปริมาณ ๓.๕ กรัม/ลิตร อัตราการเขย่า ๓๕๐ รอบ/นาที และเวลาการดูดซับ
๔ ชั่วโมง
รูปที่ ๕ แสดงผลของปริมาณถ่านกัมมันต์ต่อร้อยละการลดลงของสารมลพิษในน�้ำเสียจาก
การผลิตไบโอดีเซล เมื่อใช้น�้ำเสียที่มีความเป็นกรด-เบสเริ่มต้นเท่ากับ ๕.๒ อัตราการเขย่า ๓๕๐
รอบ/นาที และเวลา ๔ ชั่วโมง พบว่าการลดลงของสารมลพิษจะเพิ่มขึ้นเมื่อเพิ่มปริมาณตัวดูดซับ
จาก ๑.๕ เป็น ๕.๕ กรัม/ลิตร เนื่องจากเมื่อปริมาณตัวดูดซับเพิ่มขึ้น พื้นที่ผิวในการดูดซับจะเพิ่มขึ้น
ประสิทธิภาพในการลดสารมลพิษจึงเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ประสิทธิภาพในการลดสารมลพิษจะลดลง
เมื่อเพิ่มปริมาณเป็น ๖.๕ กรัม/ลิตร เนื่องจากเมื่อระบบเพิ่มปริมาณตัวดูดซับมากเกินไปอาจท�ำให้
เกิดการจับกลุ่มกันของตัวดูดซับ พื้นที่ผิวในการดูดซับสารมลพิษจึงลดลง ส่งผลให้ประสิทธิภาพใน
การลดสารมลพิษต�่ำลง (Mykola et al, 2009)
รูปที่ ๖ แสดงผลของเวลาในช่วง ๐.๕-๔.๐ ชั่วโมง ต่อการลดลงของสารมลพิษในน�้ำเสีย
จากการผลิตไบโอดีเซล เมื่อใช้ถ่านกัมมันต์ปริมาณ ๕.๕ กรัม/ลิตร ความเป็นกรด-เบสเริ่มต้นของ
น�้ำเสียเท่ากับ ๕.๒ และอัตราการเขย่า ๓๕๐ รอบ/นาที พบว่าการลดลงของสารมลพิษในน�้ำเสีย
จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาต้น และมีแนวโน้มคงที่เมื่อเวลาของการดูดซับมากกว่า ๒ ชั่วโมง
การลดลงของสารมลพิษอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาต้นเกิดขึ้นจากการดูดซับของสารมลพิษบนพื้นผิว
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๑๒ การบ�ำบัดน�้ำเสียจากการผลิตไบโอดีเซลฯ
ตารางที่ ๑ แสดงดัชนีคณ
ุ ภาพน�ำ้ เสียจากการผลิตไบโอดีเซลทีผ่ า่ นการบ�ำบัดด้วยกระบวนการ
ดูดซับด้วยถ่านกัมมันต์ปริมาณ ๕.๕ กรัม/ลิตร ความเป็นกรด-เบสเริ่มต้นของน�้ำเสียเท่ากับ ๕.๒
อัตราการเขย่า ๓๕๐ รอบ/นาที และเวลา ๒ ชั่วโมง พบว่าน�้ำเสียที่ผ่านการบ�ำบัดด้วยกระบวนการ
ดูดซับมีปริมาณของแข็งแขวนลอยเป็นไปตามมาตรฐานน�้ำทิ้งของกรมโรงงานอุตสาหกรรม แต่ยัง
มี ค ่ า ซี โ อดี น�้ำมัน/ไขมัน และของแข็งละลายได้ สู ง กว่ า มาตรฐานน�้ ำ ทิ้ ง ประมาณ ๑๘๘-๑๙๙,
๙๕-๑๑๖ และ ๑๑.๐-๑๑.๔ เท่า ตามล�ำดับ ซึ่งต้องน�ำไปบ�ำบัดด้วยวิธีการอื่นต่อไป
๔. สมดุลและไอโซเทิร์มการดูดซับ
รูปที่ ๗ แสดงการดูดซับซีโอดีและน�้ำมัน/ไขมันที่ภาวะสมดุลเมื่อใช้ถ่านกัมมันต์ปริมาณ
๕.๕ กรัม/ลิตร ความเป็นกรด-เบสเริม่ ต้นของน�ำ้ เสียเท่ากับ ๕.๒ และอัตราการเขย่า ๓๕๐ รอบ/นาที
พบว่าความสามารถในการดูดซับซีโอดีและน�้ำมัน/ไขมัน เพิ่มขึ้นเมื่อความเข้มข้นของสารที่ถูกดูดซับ
ที่ภาวะสมดุลเพิ่มขึ้น
เมื่อน�ำข้อมูลที่ไปวิเคราะห์ด้วยไอโซเทิร์มการดูดซับ ๓ รูปแบบ คือ ไอโซเทิร์มแบบ
แลงเมียร์ (Langmuir isotherms) ไอโซเทิร์มแบบฟรุนดริช (Freundlich) และไอโซเทิร์มแบบ DR
(Dubinin-Radushkevich isotherms) โดยสมมติฐานของไอโซเทิร์มแบบแลงเมียร์ คือ การดูดซับ
ของตัวถูกดูดซับบนตัวดูดซับเป็นการดูดซับแบบชั้นเดียว (Vasconcelos et al, 2008) สมการ
การดูดซับตามไอโซเทิร์มแบบแลงเมียร์สามารถแสดงได้ดังสมการที่ (๑)
(๑)
(๒)
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๑๔ การบ�ำบัดน�้ำเสียจากการผลิตไบโอดีเซลฯ
และในรูปสมการเส้นตรงคือ (๔)
(๕)
(๗)
ตารางที่ ๒ แสดงค่าคงตัวการดูดซับซีโอดีและน�้ำมัน/ไขมันที่ภาวะสมดุลตามไอโซเทิร์ม
แบบแลงเมียร์ ไอโซเทิร์มแบบฟรุนดริช และไอโซเทิร์มแบบ DR พบว่า ไอโซเทิร์มแบบแลงเมียร์
แสดงค่า R2 ส�ำหรับซีโอดีและน�้ำมัน/ไขมันสูงกว่าไอโซเทิร์มแบบอื่น แสดงว่าการดูดซับซีโอดีและ
น�ำ้ มัน/ไขมันบนถ่านกัมมันต์เป็นการดูดซับแบบแบบชัน้ เดียว โดยการดูดซับซีโอดีจะมีคา่ q0 มากกว่า
ของน�้ำมัน/ไขมันประมาณ ๑๘ เท่า แต่มีค่า kL ต�่ำกว่าประมาณ ๘๙ เท่า
๕. พลศาสตร์และจลนศาสตร์การดูดซับ
กระบวนการดูดซับของสารถูกดูดซับบนตัวดูดซับประกอบด้วย ๒ ขั้นตอนหลัก คือ
ขั้นตอนการแพร่ของตัวถูกดูดซับจากสารละลายบริเวณบัลก์ (Bulk solution) มาที่พื้นผิวของตัว
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์ ดร.มะลิ หุ่นสม และคณะ ๑๗
(๘)
จลนศาสตร์การดูดซับของซีโอดีและน�้ำมัน/ไขมันบนพื้นผิวของถ่านกัมมันต์ตามแบบ
จ�ำลองการดูดซับอันดับหนึ่งเทียม (Pseudo-first-order equation) (McKay and Ho, 1999)
สามารถแสดงได้ดังสมการที่ (๑๐)
(๑๐)
ส่วนจลนศาสตร์การดูดซับของซีโอดีและน�้ำมัน/ไขมันของถ่านกัมมันต์ตามแบบจ�ำลอง
การดูดซับอันดับสองเทียม (Pseudo-second-order equation) (McKay and Ho, 1999) สามารถ
แสดงได้ดงั สมการที่ (๑๒)
(๑๒)
(๑๓)
(๑๔)
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๒๐ การบ�ำบัดน�้ำเสียจากการผลิตไบโอดีเซลฯ
รูปที่ ๑๐ จลนศาสตร์การดูดซับของซีโอดีและน�้ำมัน/ไขมันของถ่านกัมมันต์ตามแบบจ�ำลองการดูดซับ
(ก) อันดับหนึ่งเทียม และ (ข) อันดับสองเทียม เมื่อใช้ถ่านกัมมันต์ปริมาณ ๕.๕ กรัม/ลิตร
ความเป็นกรด-เบสเริ่มต้นของน�้ำเสียเท่ากับ ๕.๒ และอัตราการเขย่า ๓๕๐ รอบ/นาที
รูปที่ ๑๐ แสดงจลนศาสตร์การดูดซับของซีโอดีและน�้ำมัน/ไขมันของถ่านกัมมันต์ตามแบบ
จ�ำลองการดูดซับอันดับหนึ่งเทียมและอันดับสองเทียม เมื่อใช้ถ่านกัมมันต์ปริมาณ ๕.๕ กรัม/ลิตร
ความเป็นกรด-เบสเริ่มต้นของน�้ำเสียเท่ากับ ๕.๒ และอัตราการเขย่า ๓๕๐ รอบ/นาที พบว่า
จลนศาสตร์การดูดซับของซีโอดีและน�้ำมัน/ไขมันของถ่านกัมมันต์สอดคล้องกับแบบจ�ำลองการ
ดูดซับอันดับสองเทียม โดยมีค่า R2 ของการดูดซับของซีโอดีและน�้ำมัน/ไขมันเท่ากับ ๐.๙๙๐๒ และ
๐.๙๙๗๐ ตามล�ำดับ แสดงว่าการดูดซับสารมลพิษในน�้ำเสียจากการผลิตไบโอดีเซลเป็นการดูดซับ
ทางเคมี ค่าคงตัวการดูดซับค�ำนวณตามแบบจ�ำลองการดูดซับอันดับสองเทียมแสดงดังตารางที่ ๓
พบว่า ถ่านกัมมันต์ให้คา่ คงตัวและความสามารถในการดูดซับซีโอดีสงู กว่าน�ำ้ มัน/ไขมันอย่างมีนยั ส�ำคัญ
ตารางที่ ๓ ค่าคงตัวการดูดซับและความหนาแน่นการดูดซับที่ภาวะสมดุลตามแบบจ�ำลองการดูดซับอันดับ
สองเทียม
ดัชนีคุณภาพน�้ำ k2 qe,cal R2
(กรัม/กรัม-ชั่วโมง) (กรัม/กรัม)
ซีโอดี ๑,๘๔๓ ๘.๐๒ ๐.๙๙๐๒
น�้ำมัน/ไขมัน ๐.๐๐๕ ๐.๑๓๘ ๐.๙๙๗๐
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์ ดร.มะลิ หุ่นสม และคณะ ๒๑
สรุปผลการทดลอง
งานวิจัยนี้ศึกษาประสิทธิภาพในการบ�ำบัดน�้ำเสียจากการผลิตไบโอดีเซลด้วยกระบวนการ
ดูดซับโดยใช้ตัวดูดซับเชิงพาณิชย์ ๓ ชนิด คือ เบนทอไนต์ อะลูมินากัมมันต์ และถ่านกัมมันต์ พบว่า
ถ่านกัมมันต์มีประสิทธิภาพในการดูดซับสารมลพิษในน�้ำเสียมากที่สุดในรูปของซีโอดีและน�้ำมัน/
ไขมัน เนื่องจากมีพื้นที่ผิว BET สูงที่สุด ไอโซเทิร์มการดูดซับซีโอดีและน�้ำมัน/ไขมันที่ภาวะสมดุล
สอดคล้องกับไอโซเทิร์มแบบแลงเมียร์ กลไกการดูดซับสารมลพิษถูกควบคุมด้วยการแพร่ในช่วง ๒
ชั่วโมงแรก และถูกควบคุมด้วยการดูดซับบนพื้นผิวของถ่านกัมมันต์เมื่อเวลามากกว่า ๒ ชั่วโมง
จลนศาสตร์การดูดซับของซีโอดีและน�้ำมัน/ไขมันของถ่านกัมมันต์สอดคล้องกับแบบจ�ำลองการดูดซับ
อันดับสองเทียมและเป็นการดูดซับทางเคมี
กิตติกรรมประกาศ
ผู้วิจัยขอขอบคุณ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จ�ำกัด (มหาชน) ที่เอื้อเฟื้อน�้ำเสียตัวอย่าง
และขอขอบคุณทุนโครงงานวิจัย คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เอกสารอ้างอิง
Ahmad, A.A., Hameed, B.H. (2009). Reduction of COD and color of dyeing effluent from
a cotton textile mill by adsorption onto bamboo-based activated carbon.
Journal of Hazardous Materials. 172: 1538-1543.
Ahmad, A.L., Sumathi, S., Hameed, B.H. (2005). Adsorption of residue oil from palm
oil mill effluent using powder and chitosan flake: Equilibrium and kinetic
studies. Water Research. 39: 2483-2494.
American Public Health Association, American Water Works Association, Water
Environment Federation. (1998). Standards Methods for the Examination of
Water and Wastewater, 20th ed., Washington, DC: American Public Health
Association.
Chavalparit, O., Ongwandee, M. (2009). Optimizing electrocoagulation process for the
treatment of biodiesel wastewater using response surface methodology.
Journal of Environmental Sciences. 21: 1491-1496.
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๒๒ การบ�ำบัดน�้ำเสียจากการผลิตไบโอดีเซลฯ
Chen, X., Jeyaseelan, S., Graham, N. (2002). Physical and chemical properties study of
the activated carbon made from sewage sludge. Waste Management. 22:
755-760.
Chham, A., Khouya, E.H., Oumam, M., Abourriche, A., Gmouh, S., Larzek, M., Mansouri,
S., Elhammoudi, N., Hanafi, N., Hannache, H. (2018). The use of insoluble
mater of Moroccan oil shale for removal of dyes from aqueous solution.
Chemistry International 4(1): 67-77.
Chia, X., Lia, A., Lia, M., Maa, L., Tang, Y., Hub, B., Yang, J. (2018). Influent characteris-
tics affect biodiesel production from waste sludge in biological wastewater
treatment systems. International Biodeterioration & Biodegradation. 132:
226-235
Chiou, M.S., Li, H.Y. (2002). Equilibrium and kinetic modeling of adsorption of reactive
dye on cross-linked chitosan beads. Journal of Hazardous Materials. 93:
233-248.
Daud, Z., Nasir, N., Awang, H. (2013). Treatment of Biodiesel Wastewater by Coagula-
tion and Flocculation using Polyaluminum Chloride. Australian Journal of
Basic and Applied Sciences. 7(8): 258-262.
Febrianto, J.J., Kosasih, A.N., Sunarso, J., Ju, Y.H., Indraswati, N., Ismadji, S. (2009).
Equilibrium and kinetic studies in adsorption of heavy metals using
biosorbent: a summary of recent studies. Journal of Hazardous Materials.
162: 616-645.
Guldhe, A., Singh, P., Renuka, N., Bux, F. (2019). Biodiesel synthesis from wastewater
grown microalgal feedstock using enzymatic conversion: A greener approach.
Fuel. 237: 1112-1118
Jaruwat, P., Kongja, S., Hunsom, M. (2010). Management of biodiesel wastewater
by the combined processes of chemical recovery and electrochemical
treatment. Energy Conversion and Management. 51: 531-537.
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์ ดร.มะลิ หุ่นสม และคณะ ๒๓
Mykola, S., Jakub, L., Urs, J., Teresa. J. (2009). Textural and chemical factors affecting
adsorption capacity of activated carbon in highly efficient desulfurization of
diesel fuel. Carbon. 47: 2491-2500.
Ngamlerdpokin, K., Kumjadpai, S., Chatanon, P., Tungmanee, U., Chuenchuanchom,
S., Jaruwat, P., Lertsathitphongs, P., Hunsom, M. (2011). Remediation of
biodiesel wastewater by chemical and electro-coagulation: A comparative
study. Journal of Environmental Managment. 92: 2454-2460.
Obanla, O.R., Bababtunde, D.E., Ogunbiyi, A.T., Oladimeji, T.E., Ifepe, I.M.I. (2018).
Biodiesel Washing Water Treatment Using Zeolite and Activated Carbon as
Adsorbents. International Journal of Engineering and Applied Sciences.
5(3). 124-126.
Pansa-Ngat, P., Jedsukontorn, T., Hunsom, M. (2017). Simultaneous H2 production and
pollutant removal from biodiesel wastewater by photocatalytic oxidation
with different crystal structure TiO2 photocatalysts. Journal of the Taiwan
Institute of Chemical Engineers. 78: 386-394.
_______ . (2018). Optimal Hydrogen Production Coupled with Pollutant Removal
from Biodiesel Wastewater Using a Thermally Treated TiO2 Photocatalyst
(P25): Influence of the Operating Conditions. Nanomaterials. 8: 96 (12 pags)
Peereboom, L., Koenigsknecht, B., Hunter, M., Jackson, J.E., Miller, D.J. (2007).
Aqueous-phase adsorption of glycerol and propylene glycol onto activated
carbon. Carbon. 45: 579-586.
Pitakpoolsil, W., Hunsom, M. (2013). Adsorption of pollutants from biodiesel waste-
water using chitosan flakes. Journal of the Taiwan Institute of Chemical
Engineers. 44(6): 963-971.
Rattanapan, C., Sawain, A., Suksaroj, T., Suksaroj, C. (2011). Enhanced efficiency of
dissolved air flotation for biodiesel wastewater treatment by acidification
and coagulation processes. Desalination. 280(1-3): 370-377.
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์ ดร.มะลิ หุ่นสม และคณะ ๒๕
Romero, J.A.P., Cardoso Junior, F.S.S., Figueiredo, R.T., Silva, D.P., Cavalcanti, E.B.
(2013). Treatment of Biodiesel Wastewater by Combined Electroflotation
and Electrooxidation Processes. Separation Science and Technology. 48:
2073-2079.
Savcı, S. (2017). Article treatment of biodiesel wastewater using yellow mustard
seeds. Turkish Journal of Engineering 1(1): 11-17.
Smith, P.C., Ngothai, Y., Nguyen, Q.D., O’Neill, B.K. (2009). Alkoxylation of biodiesel and
its impact on low-temperature properties. Fuel. 88(4): 605-612.
Urano, K., Tachikawa, H. (1991). Process development for removal and recovery of
phosphorus from wastewater by a new adsorbent. Industrial & Engineering
Chemistry Research. 30: 1893-1896.
Vasconcelos, H.L., Camargo, T.P., Goncalve, N.S.¸ Neves, A., Laranjeira, M.C.M., Fávere,
W.T. (2008). Chitosan crosslinked with a metal complexing agent: synthesis,
characterization and copper (II) ions adsorption. Reactive and Functional
Polymers. 68: 572-579.
Vázquez, I., Rodríguez-Iglesias, J., Marañón, E., Castrillón, L., Álvarez, M. (2007).
Removal of residual phenols from coke wastewater by adsorption. Journal
of Hazardous Materials. 147: 395-400.
Wang, S.G., Sun, X.F., Liu, X.W., Gong, W.X., Gao, B.Y., Bao, N. (2008). Chitosan hydrogel
beads for fulvic acid adsorption: Behaviors and mechanisms. Chemical
Engineering Journal. 142: 239-247.
Yu, G.X., Lu, S.X., Chen, H., Zhu, Z.N. (2005). Thermal regeneration of activated carbon
saturated with p-nitrophenol. Carbon. 43: 2285-2293.
Zhang, X., Bai R. (2003). Mechanisms and kinetics of humic acid adsorption onto
chitosan-coated granules. Journal of Colloid and Interface Science. 264:
30-38.
Zhang, M.H., Zhao, Q.L., Bai, X., Ye, Z.F. (2010). Adsorption of organic pollutants from
coking wastewater by activated coke. Colloids and Surfaces A: Physico-
chemical and Engineering Aspects. 362: 140-146.
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๒๖ การเปรียบเทียบความรับผิดชอบของผู้ขายวัคซีนสัตว์ปีกฯ
การเปรียบเทียบความรับผิด
ของผู้ขายวัคซีนสัตว์ปีกที่มีความช�ำรุดบกพร่อง
ในสหรัฐอเมริกาและไทย
ศาสตราจารย์ ดร.ศักดา ธนิตกุล
ภาคีสมาชิก ส�ำนักธรรมศาสตร์และการเมือง
ราชบัณฑิตยสภา
ดร.กัญจน์ศักดิ์ เพชรานนท์
คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
บทคัดย่อ
ผู้ผลิตและผู้ขายวัคซีนสัตว์ปีกที่มีความช�ำรุดบกพร่องในสหรัฐอเมริกามีความรับผิด
ต่อผู้ซื้อวัคซีน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่เนื้อเชิงพาณิชย์ (ฟาร์มที่ผลิตภายใต้
สัญญาการผลิต) ความรับผิดดังกล่าวเป็นไปตามหลักการรับประกันโดยปริยาย (implied
warranty) ซึ่งเป็นหลักกฎหมายในสัญญาซื้อขาย มิใช่ความรับผิดตามกฎหมายว่าด้วยความ
รับผิดในผลิตภัณฑ์ [Restatement of Tort (second)] ส�ำหรับประเทศไทย ผูข้ ายวัคซีนสัตว์ปกี
ที่มีความช�ำรุดบกพร่องจะต้องรับผิดต่อผู้ซื้อวัคซีนซึ่งส่วนใหญ่คือเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่เนื้อใน
เชิงพาณิชย์ตามเกษตรพันธสัญญา ทั้งนี้ เป็นไปตามมาตรา ๔๗๒ ประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์ และตามมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา
พ.ศ. ๒๕๖๐ แต่ในกรณีทมี่ กี ารขายวัคซีนสัตว์ปกี ทีม่ คี วามช�ำรุดบกพร่องให้แก่ผซู้ อื้ ทีเ่ ป็นเกษตรกร
ผู้เลี้ยงไก่เนื้ออิสระนั้น ความรับผิดของผู้ขายจะเป็นไปตามมาตรา ๔๗๒ ประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์แต่เพียงเท่านั้น ความช�ำรุดบกพร่องในกรณีเหล่านั้นจะไม่ตกอยู่ภายใต้กฎหมาย
ว่าด้วยความรับผิดในผลิตภัณฑ์ของประเทศไทยเนือ่ งจากผูซ้ อื้ วัคซีนไม่เข้าข่ายเป็นผูบ้ ริโภค หาก
แต่เป็นผู้ใช้เชิงพาณิชย์รายสุดท้ายของวัคซีนสัตว์ปีก
บทน�ำ
การควบคุมโรคมาเร็กซ์ (Marek’s disease) นับได้ว่าเป็นความท้าทายส�ำคัญที่สุดต่อ
ความอยู่รอดของการเลี้ยงไก่เชิงพาณิชย์ทั่วโลก เนื่องจากโรคมาเร็กซ์เป็นเชื้อไวรัสสัตว์ปีกที่มีความ
ร้ายแรงถึงขนาดที่สามารถท�ำลายไก่ทั้งฝูงได้ ทั้งนี้ การควบคุมโรคมาแรกซ์โดยการใช้วัคซีนถือได้ว่า
ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ ในปัจจุบันประเทศไทยได้รับการจัดอันดับเป็นผู้ผลิตไก่เนื้ออันดับที่ ๙
(มีสัดส่วนการผลิตคิดเป็นร้อยละ ๒ ของการผลิตทั้งโลก) และได้รับการจัดอันดับเป็นผู้ส่งออกไก่เนื้อ
เป็นอันดับที่ ๕ ของโลก อนึ่ง ร้อยละ ๓๐-๔๐ ของการผลิตไก่เนื้อของประเทศไทย ถูกส่งออกไปยัง
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๒๘ การเปรียบเทียบความรับผิดชอบของผู้ขายวัคซีนสัตว์ปีกฯ
ความรับผิดของผู้ผลิตและผู้ขายวัคซีนสัตว์ปีกในสหรัฐอเมริกา
๑. การจัดระบบการผลิต
การน� ำ สั ญ ญาการผลิ ต มาใช้ ใ นการจั ด การระบบการผลิ ต ท� ำ ให้ ก ารผลิ ต สั ต ว์ ป ี ก ของ
สหรัฐอเมริกามีประสิทธิภาพ สัญญาการผลิตดังกล่าวครอบง�ำเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่เกือบทุกรายที่อยู่ใน
อุตสาหกรรมสัตว์ปีกของสหรัฐอเมริกา จากการส�ำรวจพบว่า มีเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่อิสระเพียงแค่ไม่กี่
รายเท่านั้นซึ่งมีสัดส่วนการผลิตเพียงร้อยละ ๐.๔ ของจ�ำนวนไก่ที่ผลิตได้ทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา ส่วน
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์ ดร.ศักดา ธนิตกุล และดร.กัญจน์ศักดิ์ เพชรานนท์ ๒๙
๒. กฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวภัณฑ์สัตว์ในกฎหมายลายลักษณ์อักษร
ใน ค.ศ. ๑๙๑๓ รัฐสภาของสหรัฐอเมริกาได้ออกรัฐบัญญัติว่าด้วยไวรัส-ซีรัม-ชีวพิษ
(Virus-Serum-Toxin Act ต่อไปจะเรียกว่า VST Act) เพื่อควบคุมผลิตภัณฑ์ชีวภาพทั้งหมด (ดู ๒๑
U.S.C §§ 151) ก่อนที่จะมีกฎหมายดังกล่าวผู้ผลิตวัคซีนไม่ได้ถูกควบคุมเท่าใดนัก จึงก่อให้เกิด
ปัญหาส�ำคัญทั้งทางด้านความมีประสิทธิภาพและด้านฤทธิ์ของยา ใน ค.ศ. ๑๙๙๕ มีการแก้ไข VST
Act โดยก�ำหนดให้คณะกรรมการอาหารและยา (Federal Food and Drug Administration–FDA)
เป็นองค์กรที่รับผิดชอบในการควบคุมชีวภัณฑ์สัตว์ทั้งหมด มาตรา ๑๕๑ ระบุไว้โดยเฉพาะว่า “การ
เตรียม การขาย...ไวรัส ซีรัม และชีวพิษ หรือผลิตภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้รักษา
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๓๐ การเปรียบเทียบความรับผิดชอบของผู้ขายวัคซีนสัตว์ปีกฯ
๔) กลฉ้อฉล
ในคดีนี้ โจทก์อ้างว่าจ�ำเลยทราบในขณะที่ท�ำการขายว่าวัคซีนดังกล่าวไม่มีประสิทธิภาพ
แต่ยังท�ำการขายต่อไป ประเด็นนี้ โจทก์จ�ำเป็นจะต้องมีหลักฐานว่าจ�ำเลยทราบว่าวัคซีนมีความช�ำรุด
บกพร่องตั้งแต่เวลาขนส่ง ล�ำพังแค่การกล่าวอ้างยังไม่เพียงพอ เพราะการด�ำเนินคดีฉ้อโกงนั้นจะต้อง
ท�ำให้ข้อเท็จจริงและหลักฐานต่าง ๆ นั้นปรากฏเพื่อสนับสนุนค�ำกล่าวอ้างนั่นเอง ดังนั้น เมื่อโจทก์
ไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ว่าวัคซีนมีความช�ำรุดบกพร่องตั้งแต่เวลาขนส่ง ศาลจึงพิพากษาประเด็น
ข้อกล่าวหาที่ว่าจ�ำเลยกระท�ำการฉ้อฉลนั้นฟังไม่ขึ้น
ความรับผิดของผู้น�ำเข้าหรือผู้ขายวัคซีนสัตว์ปีกภายใต้กฎหมายไทย
๑. ความส�ำคัญของอุตสาหกรรมสัตว์ปีกต่อเศรษฐกิจไทย
อุตสาหกรรมสัตว์ปีกมีความส�ำคัญเป็นอย่างยิ่งส�ำหรับเศรษฐกิจไทย เนื่องจากชิ้นส่วนไก่
แช่แข็งและไก่เนื้อที่ผ่านกระบวนการผลิตแล้วเป็นสินค้าส่งออกส�ำคัญประเภทหนึ่งของไทย ใน ค.ศ.
๒๐๑๖ ประเทศไทยผลิตไก่เนื้อได้ ๑,๕๕๐ ล้านตัว หรือคิดเป็นน�้ำหนักของเนื้อไก่ที่ผ่านกระบวนการ
ผลิตแล้วจ�ำนวน ๒.๔๒ ล้านตัน ทั้งนี้ร้อยละ ๓๐-๔๐ ของก�ำลังการผลิตไก่เนื้อของประเทศไทยได้
ถูกส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่นร้อยละ ๕๐ สหภาพยุโรปร้อยละ ๓๘ และประเทศกลุ่มอาเซียน
ร้อยละ ๑๒
๒. การจัดระบบการผลิต
ในช่วงสองทศวรรษทีผ่ า่ นมา อุตสาหกรรมสัตว์ปกี ในประเทศไทยประสบกับการเปลีย่ นแปลง
โครงสร้างอย่างมีนยั ส�ำคัญ โดยก้าวสูค่ วามเป็นอุตสาหกรรมมากยิง่ ขึน้ ประกอบกับมีการรวมตัวกันใน
แนวดิ่งมากยิ่งขึ้น จนกระทั่ง ค.ศ. ๒๐๑๔ เทคโนโลยีก็เป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม
โดยเฉพาะอย่างยิง่ การน�ำการท�ำความเย็นแบบระเหยมาในใช้ในโรงเรือนเลีย้ งไก่ ซึง่ เป็นการประหยัด
ต้นทุนด้านแรงงานและท�ำให้อุตสาหกรรมเจริญเติบโตมากยิ่งขึ้น ปัจจัยกระตุ้นอีกประการหนึ่งก็คือ
เกษตรพันธสัญญา (contract farming) หรือสัญญาการผลิต (production contract) ซึ่งเป็นการ
ตกลงที่ท�ำให้ผู้ซื้อรายใหญ่มีทางเลือกมากขึ้นในการปรับเปลี่ยนปริมาณการผลิตของตนให้สอดคล้อง
กับการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์ทั้งภายในและภายนอกประเทศ สัญญาดังกล่าวช่วยให้ผู้ท�ำสัญญามีความ
เสี่ยงที่ลดลงและมีรายได้มากขึ้นกว่าการด�ำเนินธุรกิจด้านการเกษตรแบบดั้งเดิม
ด้วยเหตุที่กล่าวมาข้างต้น ปัจจุบันผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรรายใหญ่ครบวงจร
๑๒ ราย เช่น CPF, Betagro, GFPT, Sunfood, Laemthong, Golden Poultry มีปริมาณการผลิต
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์ ดร.ศักดา ธนิตกุล และดร.กัญจน์ศักดิ์ เพชรานนท์ ๓๕
เนื้อไก่ร่วมกันกว่าร้อยละ ๙๐ ขณะที่ผู้ประกอบการเลี้ยงไก่อิสระมีปริมาณการผลิตรวมกันน้อยกว่า
ร้อยละ ๑๐
ผู้ประกอบธุรกิจครบวงจรรายใหญ่น�ำเข้าวัคซีนส�ำหรับรักษาโรคสัตว์ปีก อาทิ วัคซีนโรค
นิวคาสเซิล (Newcastle disease) และโรคมาเร็กซ์ ทั้งเพื่อใช้เองในกิจการของตน และในขณะ
เดียวกันก็ขายวัคซีนเหล่านั้นไปยังเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ที่ท�ำเกษตรพันธสัญญากับตนด้วย โดยขาย
พร้อมกับอาหาร สารเคมีต่าง ๆ และอุปกรณ์ส�ำหรับเลี้ยงไก่ ประเด็นปัญหาส�ำคัญก็คือ ตามกฎหมาย
ไทย เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ตามเกษตรพันธสัญญา หรือเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่อิสระที่ซื้อวัคซีนเหล่านั้นไป
จากผู้ประกอบธุรกิจครบวงจรรายใหญ่จะสามารถเรียกร้องให้มีการเยียวยาได้หรือไม่ในกรณีที่วัคซีน
มีความช�ำรุดบกพร่อง
๓. กฎหมายลายลักษณ์อักษรที่เกี่ยวข้องกับชีวภัณฑ์สัตว์
ส�ำหรับประเทศไทยนัน้ ทัง้ วัคซีนทีใ่ ช้ในมนุษย์และในสัตว์ตา่ งก็ได้รบั การควบคุมโดยกฎหมาย
ฉบับเดียวกันคือ พระราชบัญญัติยา พ.ศ. ๒๕๑๐ ค�ำว่า “ยาแผนปัจจุบัน” ตามพระราชบัญญัติ
ฉบับนี้หมายความรวมทั้งยาส�ำหรับมนุษย์และสัตว์ ทั้งนี้ ก่อนที่ผู้ประกอบธุรกิจครบวงจรรายใหญ่
จะน�ำเข้าวัคซีนสัตว์ปีกเข้ามาในประเทศ จะต้องได้รับอนุญาตจากส�ำนักยา ส�ำนักงานคณะกรรมการ
อาหารและยา กระทรวงสาธารณสุขเสียก่อน
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ประกอบธุรกิจครบวงจรรายใหญ่น�ำเข้าลูกไก่และแม่พันธุ์ไก่รวมทั้งวัคซีน
สัตว์ปีกมาจากสาธารณรัฐฝรั่งเศส สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ สหรัฐ-
อเมริกา และสหราชอาณาจักร ซึง่ วัคซีนหลักทีผ่ ปู้ ระกอบธุรกิจครบวงจรรายใหญ่นำ� เข้ามามี ๓ ประเภท
คือ วัคซีนโรคนิวคาสเซิล โรคมาเร็กซ์ และโรคฝีดาษ
เป็นทีน่ า่ สังเกตว่า ส�ำนักยา ส�ำนักงานคณะกรรมการอาหารและยามีอำ� นาจอนุญาตส�ำหรับ
การผลิต การน�ำเข้าวัคซีนสัตว์เพื่อวัตถุประสงค์ด้านความปลอดภัย แต่ส�ำนักเทคโนโลยีชีวภัณฑ์สัตว์
กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะเป็นหน่วยงานที่มีอ�ำนาจตรวจสอบปริมาณการน�ำเข้า
และการใช้วัคซีนที่น�ำเข้ามา
ในช่วงทศวรรษทีผ่ า่ นมา อุตสาหกรรมสัตว์ปกี ของไทยได้เปลีย่ นทิศทางจากการท�ำเกษตร
พันธสัญญาเป็นการรวมตัวกันในแนวดิ่ง เพื่อที่จะท�ำให้แน่ใจได้ว่าจะสามารถบรรลุตามเงื่อนไขเรื่อง
ความปลอดภัยของอาหารและสวัสดิภาพของสัตว์ของผู้น�ำเข้าในสหภาพยุโรปได้ ปัจจัยกระตุ้นหลัก
ของปรากฏการณ์ดังกล่าวก็คือ การอุบัติขึ้นของไข้หวัดนกชนิดก่อโรครุนแรง (highly pathogenic
avian influenza–HPAI) ซึ่งเกิดขึ้นใน ค.ศ. ๒๐๐๔ อันส่งผลให้เนื้อไก่แช่แข็งจากประเทศไทย
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๓๖ การเปรียบเทียบความรับผิดชอบของผู้ขายวัคซีนสัตว์ปีกฯ
๔. ความรับผิดของผู้ขายวัคซีนสัตว์ปีกตามกฎหมายไทย
ประเด็นส�ำคัญทีต่ อ้ งพิจารณาคือ ผูข้ ายวัคซีนมีความรับผิดตามพระราชบัญญัตคิ วามรับผิด
ในความเสียหายที่เกิดจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ. ๒๕๕๑ หรือไม่ ผู้เขียนมีความเห็นว่า ผู้ขายไม่มี
ความรับผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว เนื่องจากเจตนารมณ์ของกฎหมายความรับผิดในผลิตภัณฑ์
ในประเทศต่าง ๆ ที่มีเศรษฐกิจที่ก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น รวมถึง
ประเทศไทย ต่างก็มุ่งปกป้องผู้บริโภคที่เป็นปัจเจกชนซึ่งไม่มีอ�ำนาจต่อรอง และไม่มีความสามารถใน
การตรวจสอบและแยกแยะได้วา่ ผลิตภัณฑ์ทจี่ ะใช้หรือบริโภคมีอนั ตรายร้ายแรงหรือไม่ ตามมาตรา ๙
ของพระราชบัญญัตดิ งั กล่าว ผูป้ ระกอบการไม่สามารถยกข้อตกลงระหว่างตนกับผูบ้ ริโภคทีท่ ำ� ขึน้ ก่อน
ที่จะเกิดความเสียหาย และไม่สามารถยกการแจ้งข้อความใด ๆ ของตนขึ้นเป็นข้อต่อสู้ เพื่อที่จะ
ยกเว้นหรือจ�ำกัดความรับผิดของตนในกรณีที่มีความเสียหายอันเนื่องมาจากสินค้าไม่ปลอดภัยได้ ใน
ทางกลับกัน หากเป็นการท�ำสัญญาระหว่างผู้ประกอบการด้วยกันเองแล้ว จะเขียนข้อสัญญายกเว้น
หรือจ�ำกัดความรับผิดของตนในกรณีที่มีความเสียหายอันเนื่องมาจากสินค้าไม่ปลอดภัยอย่างไรก็ได้
ด้วยเหตุนี้ มาตรา ๙ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดในความเสียหายที่เกิดจากสินค้าที่ไม่
ปลอดภัย พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ผู้บริโภคมีความหมาย
เช่นเดียวกับนิยามค�ำว่า “ผู้บริโภค” ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค ดังนั้น ความเสียหาย
ต่อทรัพย์สินของคู่สัญญาที่ได้รับความเสียหายจะต้องถูกตีความโดยจ�ำกัดแค่ทรัพย์สินที่ผู้บริโภคมี
เพือ่ ใช้สอยเป็นการส่วนตัวหรือใช้บริโภคเท่านัน้ ไม่รวมไปถึงทรัพย์สนิ เพือ่ ใช้ในธุรกิจ แน่นอนว่า ฝูงไก่
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์ ดร.ศักดา ธนิตกุล และดร.กัญจน์ศักดิ์ เพชรานนท์ ๓๗
ทัง้ หมดหรือเนือ้ ไก่ถอื ว่าเป็นทรัพย์สนิ ทีใ่ ช้เพือ่ วัตถุประสงค์ในทางธุรกิจ จึงไม่ได้รบั การคุม้ ครองภายใต้
พระราชบัญญัติดังกล่าว
แม้ว่าผู้ขายวัคซีนจะไม่ต้องรับผิดตามพระราชบัญญัติความรับผิดในความเสียหายที่เกิด
จากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ. ๒๕๕๑ ก็ตาม ผู้ประกอบธุรกิจครบวงจรรายใหญ่ซึ่งขายวัคซีนสัตว์ปีก
ให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ตามเกษตรพันธสัญญาหรือเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่อิสระอาจมีความรับผิดตาม
มาตรา ๔๗๒ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เนื่องจากนักวิชาการทางนิติศาสตร์ของไทยที่มี
ความรูค้ วามเข้าใจเกีย่ วกับกฎหมายซือ้ ขายของไทย และกฎหมายซือ้ ขายของสหรัฐอเมริกาอย่างลึกซึง้
มีความเห็นว่ามาตรา ๔๗๒ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้ยอมรับการรับประกันความ
เหมาะสมส�ำหรับวัตถุประสงค์ของการใช้โดยปริยาย (implied warranty) ด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ หาก
เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ตามเกษตรพันธสัญญา หรือเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่อิสระซื้อวัคซีนสัตว์ปีกที่มีความ
ช�ำรุดบกพร่อง อาทิ เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ซื้อวัคซีนโรคนิวคาสเซิลมาฉีดให้กับไก่ในฟาร์ม แต่ปรากฏว่า
ไก่ตายทั้งฝูง เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ดังกล่าวสามารถฟ้องผู้ขายให้รับผิดในความเสียหายได้
ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราพระราชบัญญัติส่งเสริม
และพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา พ.ศ. ๒๕๖๐ ขึ้นเพื่อที่จะยกระดับสัญญาการผลิต (เกษตร
พันธสัญญา) ไปสู่มาตรฐานสากล โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๒๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา
๒๖ ของพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่า ข้อตกลงในเกษตรพันธสัญญาซึ่งยกเว้นความรับผิดของ
ผู้ประกอบธุรกิจการเกษตรในกรณีที่อาหาร ยา สารเคมี หรืออุปกรณ์ที่ตนขายให้แก่เกษตรกรตาม
เกษตรพันธสัญญามีความช�ำรุดบกพร่องนั้น ไม่มีผลใช้บังคับ ดังนั้น หากเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ตาม
เกษตรพันธสัญญาซื้อวัคซีนสัตว์ปีกจากผู้ประกอบธุรกิจครบวงจรรายใหญ่แล้ว ปรากฏว่าไก่ทั้งฝูงของ
ตนตาย เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่รายดังกล่าวสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายได้ แม้จะมีข้อตกลงว่าผู้ประกอบ
ธุรกิจครบวงจรไม่ต้องรับผิดชอบในความช�ำรุดบกพร่องดังกล่าวก็ตาม
การวิเคราะห์ทางกฎหมายและข้อเสนอแนะ
วัตถุประสงค์ส�ำคัญของกฎหมายความรับผิดในผลิตภัณฑ์ ซึ่งเริ่มในประเทศอุตสาหกรรม
ตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศสหรัฐอเมริกา ก็เนื่องจากการเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่
๒ คือการใช้พลังงานไฟฟ้าแทนพลังงานไอน�้ำ และการใช้สายพานล�ำเลียงในระบบการผลิต ซึ่ง
ท�ำให้การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมมีประสิทธิภาพสูงมาก ตัวอย่างที่เด่นชัด คือ การผลิตรถยนต์ของ
บริษัท Ford Motor ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสูงมาก สามารถท�ำให้ต้นทุนการผลิตรถยนต์
ของบริษัทลดลงถึงร้อยละ ๖๐ พลังงานไฟฟ้าและระบบการผลิตแบบใช้สายพานล�ำเลียง ท�ำให้เกิด
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๓๘ การเปรียบเทียบความรับผิดชอบของผู้ขายวัคซีนสัตว์ปีกฯ
ล้วนแต่เป็นผูใ้ ช้ประโยชน์วคั ซีนขัน้ สุดท้าย (end user) ซึง่ เป็นส่วนหนึง่ ของห่วงโซ่อปุ ทาน (supply
chain) ของระบบการผลิตไก่เนื้อในเชิงพาณิชย์ กล่าวอีกนัยหนึ่งเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่เนื้อทั้งสอง
ประเภทข้างต้น ล้วนแต่เป็นผู้ประกอบการในเชิงพาณิชย์ทั้งนั้น จึงตกอยู่นอกขอบเขตการคุ้มครอง
ของกฎหมายความรับผิดในผลิตภัณฑ์ซึ่งมุ่งคุ้มครองผู้บริโภคและบุคคลภายนอกที่ไม่มีนิติสัมพันธ์
กับผู้ผลิตเท่านั้น นอกจากนั้นแล้วทรัพย์สินที่ตกอยู่ภายในการคุ้มครองของพระราชบัญญัติฉบับนี้
ควรเป็นทรัพย์สินที่ใช้หรือบริโภคส่วนตัว (private use or consumption) ของผู้เสียหายเท่านั้น
ตามแนวทางบทบัญญัติของกฎหมายความรับผิดในผลิตภัณฑ์ของสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นกฎหมายที่
ส�ำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคใช้เป็นหนึ่งในบรรดาต้นแบบที่ใช้ยกร่างพระราชบัญญัติ
ความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ. ๒๕๕๑
ดังนั้นไก่เนื้อที่ตายจึงไม่ได้เป็นทรัพย์สินที่มีไว้เพื่อการใช้หรือการบริโภคส่วนตัวแต่เป็น
ทรัพย์สินที่มีไว้เพื่อวัตถุประสงค์ทางพาณิชย์ จึงไม่ตกอยู่ภายในขอบเขตของการคุ้มครองของพระราช
บัญญัติความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ. ๒๕๕๑ นี้
บทสรุป
ข้อเสนอแนะในทางกฎหมายของผูน้ พิ นธ์ คือ เกษตรกรผูเ้ ลีย้ งไก่เนือ้ อิสระทีไ่ ก่เนือ้ ทีเ่ ลีย้ ง
ตาย ที่ประสงค์จะฟ้องเรียกค่าเสียหายควรต้องฟ้องตามบทบัญญัติของมาตรา ๔๗๒ ของประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ให้ผู้ขายวัคซีนรับผิด แต่เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่เนื้ออิสระก็มีภาระการพิสูจน์
ตามมาตรา ๔๗๒ ว่าสินค้ามีความช�ำรุดบกพร่อง ส่วนเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่เนื้อที่มีสัญญาเกษตรพันธะ
กับผู้ประกอบธุรกิจการเกษตรรายใหญ่ และมีข้อสัญญาในสัญญาเกษตรพันธะว่า “ผู้ขายไม่ต้อง
รับผิดในกรณีทวี่ คั ซีนทีต่ นขายให้แก่ผซู้ อื้ มีความช�ำรุดบกพร่อง” ควรฟ้องตามบทบัญญัตมิ าตรา ๔๗๒
ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ประกอบมาตรา ๒๖ ของพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนา
เกษตรพันธสัญญา พ.ศ. ๒๕๖๐ และต้องมีหน้าทีพ่ สิ จู น์ตามบทบัญญัตขิ องมาตรา ๔๗๒ ซึง่ หากสิทธิ
หน้าที่ของผู้ประกอบการเลี้ยงไก่เนื้อเป็นไปตามข้างต้นแล้ว เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ก็จ�ำเป็นที่จะต้องมี
การระมัดระวังในการจัดเก็บ การขนส่ง และการให้วัคซีน และมีการจัดท�ำเอกสารที่เกี่ยวข้องไว้อย่าง
เพียงพอ ชัดเจน เพื่อใช้ในการพิสูจน์ว่าตนเองได้ใช้ความระมัดระวังตามลักษณะอาชีพแล้ว
ผลของการเดินตามแนวทางของสหรัฐอเมริกาเกีย่ วกับความรับผิดของผูข้ ายวัคซีนสัตว์ปกี
ที่มีความช�ำรุดบกพร่อง น่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ท�ำให้ประเทศไทยรักษาระบบการผลิตไก่เนื้อที่มี
ประสิทธิภาพและน�ำเงินตราจากต่างประเทศเข้าสู่ประเทศไทยได้ต่อไป
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเห็นว่าภาระการพิสูจน์ของเกษตรกรพันธสัญญาและเกษตรกรอิสระ
ก็ยังสูงมาก ประกอบกับค่าใช้จ่ายและความยุ่งยากในการฟ้องร้องด�ำเนินคดี อาจท�ำให้เกษตรกรทั้ง
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์ ดร.ศักดา ธนิตกุล และดร.กัญจน์ศักดิ์ เพชรานนท์ ๔๓
เอกสารอ้างอิง
ชุมพล ต่อบุญ. (๒๕๕๕). กฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมและป้องกันโรคระบาดในสัตว์เลี้ยง.
กรุงเทพมหานคร : ส�ำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จ�ำกัด (มหาชน). (๒๕๕๙). อุตสาหกรรมไก่แช่แข็งและแปรรูป. [ออนไลน์].
จาก https://www.krungsri.com/bank/getmedia/b183a13a-002b-4aa3-8318-
ae74566d89b6/10_Chicken_2016_TH.aspx. [๗ มิถุนายน ๒๕๖๐].
วิษณุ เครืองาม. (๒๕๔๙). ค�ำอธิบายกฎหมายว่าด้วย ซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให้. กรุงเทพมหานคร :
นิติบรรณาการ.
ศักดา ธนิตกุล. (๒๕๕๓). ค�ำอธิบายและค�ำพิพากษาเปรียบเทียบ: กฎหมายความรับผิดต่อความ
เสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร : ส�ำนักพิมพ์
วิญญูชน.
สถาบันอาหาร. (๒๕๖๐). อุตสาหกรรมไก่เนื้อ. [ออนไลน์]. จาก http://fic.nfi.or.th/foodsector-
databank-detail.php?id=32. [๑๐ กันยายน ๒๕๖๐].
ส�ำนักเทคโนโลยีชีวภัณฑ์สัตว์ กรมปศุสัตว์. (๒๕๕๙). ความต้องการวัคซีนส�ำหรับสัตว์. [ออนไลน์].
จาก www.dld.go.th. [๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๐].
Cobb-vantress. (2013). Vaccination Procedure Guide. Arkansas: COBB.
James M. MacDonald. (2008). The Economic Organization of U.S. Broiler Produc-
tion. 38, 1-26.
Nitish Boodhoo et al. (2016). Marek’s disease in chickens: a review with focus on
immunology. Veterinary Research 47, 119-138
Viroj Na Ranong. (2008). Structural Changes in Thailand’s Poultry Sector: Avian
Influenza and Its Aftermath. TDRI Quarterly Review. 23(3), 3-10.
World Organisation for Animal Health. (2017). OIE Terrestrial Manual 2017. Paris:
World Organisation for Animal Health.
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๔๔ การส่งและรับข้อมูลแบบอนุกรมฯ
การส่งและรับข้อมูลแบบอนุกรม
ผ่านแผงวงจรไมโครคอนโทรลเลอร์เพื่อการเรียนรู้
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.มงคล เดชนครินทร์
ราชบัณฑิต ส�ำนักวิทยาศาสตร์
ราชบัณฑิตยสภา
บทคัดย่อ
บทความนี้น�ำเสนอวิธีการส่งและรับข้อมูลแบบอนุกรมผ่านช่องทางเข้า/ออกแบบ
อนุกรม (ในวงจรรวม ๘๒๕๑) และช่องทางเข้า/ออกแบบขนาน (ในวงจรรวม ๘๒๕๕) ของแผง
วงจรไมโครคอนโทรลเลอร์ ๘๐๘๘ เพื่อการเรียนรู้ ซึ่งเป็นส่วนฮาร์ดแวร์ที่ผู้นิพนธ์เคยน�ำเสนอ
ไว้ก่อนแล้ว การส่งและรับข้อมูลผ่านช่องทางแบบอนุกรม ในบทความนี้ใช้สัญญาณตรรกะตาม
ข้อก�ำหนดของระบบทีทีแอล (TTL) เท่านั้น ไม่ใช้สัญญาณตรรกะตามข้อก�ำหนดของระบบ
อาร์เอส-๒๓๒ (RS-232) ส่วนการส่งและรับข้อมูลแบบอนุกรมผ่านช่องทางแบบขนานมีอปุ กรณ์
เสริม คือ วงจรรวมส�ำหรับแปลงข้อมูลแบบขนานเป็นแบบอนุกรมและวงจรรวมส�ำหรับแปลง
ข้อมูลแบบอนุกรมเป็นแบบขนาน นอกจากนี้ ผู้นิพนธ์ยังได้น�ำเสนอซอฟต์แวร์ที่จะใช้ควบคุม
ระบบฮาร์ดแวร์ที่เกี่ยวข้องด้วย การทดลองทางฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ส�ำหรับการส่งและรับ
ข้อมูลแบบอนุกรมด้วยวิธีต่าง ๆ ให้ผลเป็นที่น่าพอใจ
Keywords: microcontroller, serial data, parallel data, ICs 8088, 8251, 8253, 8255,
74HC165, 74HC595
บทน�ำ
บทความที่ผ่านมารวม ๔ บท ผู้นิพนธ์ได้น�ำเสนอแผงวงจรไมโครคอนโทรลเลอร์เพื่อการ
เรียนรู้ ซึ่งใช้ไมโครโพรเซสเซอร์ ๘๐๘๘ ของบริษัทอินเทลเป็นส่วนประกอบหลัก รวมทั้งซอฟต์แวร์
ระบบ วิธีใส่ข้อมูลแบบขนานให้แก่แผงวงจรและวิธีแสดงผลข้อมูลแบบขนานจากแผงวงจรดังกล่าว
บทความบทแรก (มงคล เดชนครินทร์, ๒๕๕๖ ก : ๓๖-๖๑) ได้แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์
และให้โปรแกรมภาษาแอสเซมบลีที่จะใช้ทดสอบส่วนประกอบส่วนต่าง ๆ ในแผงวงจรที่สร้างขึ้น
โดยที่โปรแกรมเหล่านั้นต้องถูกบรรจุลงในหน่วยความจ�ำรอม (ROM) ทุกครั้งก่อนที่จะทดสอบหรือ
ทดลอง บทความบทที่ ๒ (มงคล เดชนครินทร์ ๒๕๕๖, ข : ๑๔๖-๑๗๑) ได้น�ำเสนอซอฟต์แวร์ระบบ
(system software) ที่จะใช้อ�ำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้แผงวงจรในการทดลองควบคุมการท�ำงาน
ของฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ใช้ต้องการบรรจุโปรแกรมส�ำหรับการควบคุมลงในหน่วย
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๔๖ การส่งและรับข้อมูลแบบอนุกรมฯ
การเพิ่มชิ้นส่วนฮาร์ดแวร์
แผงวงจรไมโครคอนโทรลเลอร์เดิม (มงคล เดชนครินทร์, ๒๕๕๖ ก : ๓๖-๖๑) มีแผนผัง
การวางต�ำแหน่งชิ้นส่วนที่เป็นวงจรรวมและส่วนประกอบอื่น ๆ ตามรูปที่ ๑ ในรูปนี้ บรรดาสี่เหลี่ยม
ผืนผ้าที่มีด้านเป็นเส้นประแสดงถึงต�ำแหน่งที่อาจใส่วงจรรวมเพิ่มได้อีก
หลักการส่งและรับข้อมูลแบบอนุกรมผ่านวงจรรวม ๘๒๕๑
วงจรรวม ๘๒๕๑ สามารถใช้ส่งและรับข้อมูลแบบอนุกรมได้ทั้งตามแบบวิธีประสานเวลา
(synchronous mode) และตามแบบวิธไี ม่ประสานเวลา (asynchronous mode) แบบวิธแี รกต้อง
อาศัยสัญญาณนาฬิกาเป็นตัวก�ำหนดจังหวะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของบิตข้อมูล ส่วนแบบวิธีหลังไม่
ต้องอาศัยสัญญาณนาฬิกาส�ำหรับก�ำหนดจังหวะเวลาของบิตข้อมูล แต่ใช้บิตข้อมูลเพิ่มเติมที่ส่วนต้น
และส่วนท้ายของกลุ่มบิตข้อมูลในการก�ำหนดความยาวของกลุ่มข้อมูลที่ส่งและรับด้วยอัตราเร็วตาม
ที่ตกลงกันไว้ระหว่างอุปกรณ์ส่งข้อมูลกับอุปกรณ์รับข้อมูล รายละเอียดของวิธีการส่งและรับข้อมูล
ตามแบบวิธีทั้งสองนี้มีอยู่ในคู่มือการใช้งานวงจรรวม ๘๒๕๑ (เช่น Intel Corp, 1986a: 1-26) ใน
ที่นี้ ผู้นิพนธ์จะใช้การส่งและรับข้อมูลตามแบบวิธีไม่ประสานเวลาเท่านั้น
กลุ่มของบิตข้อมูลที่ใช้ในการส่งและรับข้อมูลแบบอนุกรมตามแบบวิธีไม่ประสานเวลานั้น
ประกอบด้วยบิตเริ่ม (start bit) ๑ บิต (ตรรกะ ๐) ตามด้วยบิตข้อมูลที่จะใช้งานจริงจ�ำนวน ๗ หรือ
๘ บิต โดยที่บิตนัยส�ำคัญต�่ำสุด (บิต ๐) ในจ�ำนวนบิตเหล่านี้ถูกส่ง (และถูกรับ) เป็นบิตแรกสุดทีต่ าม
หลังบิตเริม่ ถ้าข้อมูลทีจ่ ะใช้งานจริงมีจำ� นวนเพียง ๗ บิตเท่านัน้ บิตที่ ๘ อาจถูกใช้เป็นบิตภาวะคู่หรือคี่
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.มงคล เดชนครินทร์ ๔๙
;(9.6k)x64 = 614.4 kHz = 2.5 MHz/4 jmp recv ;get new char
mov al,00110110b ;mode 3, sq. wve., ;write char in al on SLCD
;timer 0 wr_char:
out timer_ctrl,al ;at 33h call send_byte ;cursor moves right
mov al,4 ;divide 2.5MHz by 4 ;automatically
out timer_0,al jmp recv ;get new char
mov al,0 ;send MS byte of
;divide-by factor main endp
out timer_0,al ;******************************************
(To be continued to Page 3)
; Page 3 ; Page 4
slcd_ini proc ; initialization of SLCD send_cmd1 proc ;send prefix + (al = func no.)
;set SLCD baud rate to default 9600 push ax
mov al,SET_BAUD ;61h: change baud rate call send_cmd ;send prefix
mov ah,4 ;9600 baud pop ax ;func in al
call send_cmd2 call sending ;send func
call cur_home ;set cursor at (1,1) call delay1
mov al,und_curon ;underln cursor on ret
call send_cmd1 send_cmd1 endp
mov al,cur_blkon ;blinking cursor on ;*********************************************
call send_cmd1 ;send prefix + (al=func) + (ah=param)
;write “READY” on SLCD send_cmd2 proc
mov al,”R” push ax
call send_byte call send_cmd1 ;send prefix +
mov al,”E” ;(al=func)
call send_byte pop ax ;param in ah
mov al,”A” mov al,ah
call send_byte call sending ;send param
mov al,”D” call delay1
call send_byte ret
mov al,”Y” send_cmd2 endp
call send_byte ;**********************************************
call delay2 cur_home proc ;put cursor at line 1, col.1
call delay2 mov al,cur_home1 ;func 46h
ret call send_cmd1
slcd_ini endp ret
;********************************************** cur_home endp
sending proc ;send 1-byte char ;*********************************************
push ax ;save char in ax
send: in al,ser_ctrl ;polling for x-mission cur_home2 proc ;put cursor at line 2, col.1
jmp short $+2 ;I/O delay mov al,CUR_LOCA ;func 45h
and al,00000101b ;bit0 = 1 => TxRDY mov ah,cur_lin2 ;param = 40h
cmp al,00000101b ;bit2 = 1 => Tx call send_cmd2
;buffer empty ret
jnz send ;not ready for x-mission yet cur_home2 endp
pop ax ;retrieve char ;*********************************************
out ser_data,al ;send data to port contraxx proc ;set display contrast <= 50
jmp short $+2 ;I/O delay push ax ;save parameter
ret mov al,CONTRAST ;func 52h
sending endp call send_cmd1
;********************************************** pop ax ;retrieve param
delay1 proc ;delay of about 160 ms cmp al,50
push cx jbe valid1
mov cx,4000h mov al,50
delay5: loop delay5 valid1: call sending
pop cx call delay1
ret ret
delay1 endp contraxx endp
;********************************************** ;*********************************************
delay2 proc ;delay of about 0.6 sec brightxx proc ;set backlite bright <= 16
push cx push ax ;save param
mov cx,0F000h mov al,BRIGHT ;func 53h
delay6: loop delay6 call send_cmd1
pop cx pop ax ;retrieve param
ret cmp al,16
delay2 endp jbe valid2
;********************************************** mov al,16
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๕๔ การส่งและรับข้อมูลแบบอนุกรมฯ
การส่งข้อมูลแบบอนุกรมผ่านช่องทางออกแบบขนานและการกู้ข้อมูลที่ปลายทาง
การส่งข้อมูลแบบอนุกรมผ่านช่องทางออกแบบขนานจะใช้เมื่อต้องการประหยัดจ�ำนวน
เส้นลวดในสายส่ง จาก ๘ เส้น (ส�ำหรับข้อมูลแบบขนานขนาด ๘ บิต) เหลือเพียง ๒ หรือ ๓ เส้น
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๕๖ การส่งและรับข้อมูลแบบอนุกรมฯ
รูปที่ ๗ ซอฟต์แวร์ที่ใช้ควบคุมการท�ำงานของวงจรในรูปที่ ๖
การส่งข้อมูลโดยใช้วงจรรวมที่แปลงข้อมูลแบบขนานเป็นแบบอนุกรม
การส่งข้อมูลในหัวข้อที่ผ่านมาใช้วิธีการทางซอฟต์แวร์ กล่าวคือ ใช้การหมุนข้อมูลขนาด
๘ บิตไปทางซ้าย (rotate left: rol) ๑ บิต เพื่อให้บิตนัยส�ำคัญสูงสุดกลายเป็นบิตนัยส�ำคัญต�่ำสุด
แล้วส่งบิตนัยส�ำคัญต�่ำสุดที่ได้นี้ออกไปทางสาย PB0 ของวงจรรวม ๘๒๕๕ (๑) จากนั้นท�ำเช่นนี้ซ�้ำ
หลังจากที่หมุนข้อมูลไปทางซ้ายครั้งละ ๑ บิต ซึ่งเป็นการแปลงข้อมูลแบบขนานให้เป็นแบบอนุกรม
นัน่ เอง ความจริงแล้วอาจน�ำวิธกี ารทางฮาร์ดแวร์มาใช้แทนก็ได้ ทัง้ นีโ้ ดยอาศัยวงจรรวมทีแ่ ปลงข้อมูล
แบบขนานเป็นแบบอนุกรม หรือเรจิสเตอร์เลื่อนข้อมูลแบบเข้าขนานออกอนุกรม (parallel-in/
serial-out shift register: PISO) เช่น 74HC165 (NXP Semiconductors 2015: 1-21) ข้อดี
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๖๐ การส่งและรับข้อมูลแบบอนุกรมฯ
ของวิธีการแบบหลังนี้ก็คือสามารถส่งข้อมูลแบบขนาน ทั้งที่อยู่ในหน่วยความจ�ำของแผงวงจรไมโคร-
คอนโทรลเลอร์เองและที่อยู่ภายนอกแผงวงจรไปสู่ปลายทางได้เร็วขึ้น ตัวอย่างของวงจรที่ใช้ส่งข้อมูล
ภายนอกผ่านวงจรรวม 74HC165 เข้าสู่แผงวงจรไมโครคอนโทรลเลอร์ ๘๐๘๘ ของบทความนี้เป็น
ดังรูปที่ ๙
รายละเอียดเกี่ยวกับขารับสัญญาณเข้า ขาส่งสัญญาณออก และขารับสัญญาณควบคุมของ
วงจรรวม 74HC165 ในรูปที่ ๙ มีดังนี้
ขา D0-D7 (ขา ๑๑-๑๔ และ ๓-๖) เป็นขารับข้อมูลเข้าแบบขนานขนาด ๘ บิต
ขา Q7 (ขา ๙) เป็นขาส่งข้อมูลออกแบบอนุกรม โดยที่บิตนัยส�ำคัญสูงสุด (D7) ของข้อมูล
แบบขนานจะถูกส่งออกเป็นบิตแรก และบิตนัยส�ำคัญต�่ำสุด (D0) ของข้อมูลแบบขนานจะถูกส่งออก
เป็นบิตสุดท้าย
ขา Q7 (ขา ๗) เป็นขาส่งข้อมูลออกแบบอนุกรมที่เป็นส่วนเติมเต็ม (complement) ของ
Q7
; Page 1 ; Page 2
;Program for serially sending parallel data via recv_dat proc ;get ser. data bit from 74HC165
;IC 74HC165 (parallel-to-serial shift reg.) to mov al,01h ;PB0=!PL=hi, PB1=CP=lo
;IC 8255 (1) of the uC8088 board out ppi_port1_b,al
;8255 Port1a and Port1b connected to 74HC165 call delay0
;line PA0<->DS(165.p9), PB0<->!PL(165.p1), mov al,03h ;PB0=!PL=hi, PB1=CP=hi
;PB1<->CP(165.p2) out ppi_port1_b,al ;pulse CP lo->hi
call delay0
;Program name: SERCOM3.ASM in al,ppi_port1_a ;read data bit
;Date: July 1, 2016 call delay0
;use Borland’s Turbo Assembler and Linker and al,01h ;take LS bit only
;assemble: tasm SERCOM3 ret
;link: tlink /t SERCOM3.OBJ, SERCOM3.BIN recv_dat endp
;burn SERCOM3.BIN to 32-KB ROM or ;**********************************************
;transfer it to ROM emulator
.model tiny inpport1 proc ;read data bit via Port1a
.code in al,ppi_port1_a
org 8000h ;start of ROM address call delay0
;I/O port configuration ret
ppi_port1_a equ 24h ;parallel port1 A inpport1 endp
ppi_port1_b equ 25h ;parallel port1 B ;**********************************************
ppi_port1_c equ 26h ;parallel port1 C
ppi_ctrl_port1 equ 27h outport1 proc ;output ctrl. signal via Port1b
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๖๒ การส่งและรับข้อมูลแบบอนุกรมฯ
รูปที่ ๑๐ ซอฟต์แวร์ที่ใช้ควบคุมการท�ำงานของวงจรในรูปที่ ๙
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.มงคล เดชนครินทร์ ๖๓
ผลการทดลอง
ผู้นิพนธ์ได้ทดลองใช้งานซอฟต์แวร์ชุดต่าง ๆ ดังที่แสดงไว้ในรูปที่ ๕, ๗, ๑๐ และ ๑๓
ร่วมกับวงจรสื่อสารข้อมูลที่เกี่ยวข้อง คือ วงจรในรูปที่ ๔, ๖, ๙ และ ๑๒ ตามล�ำดับ การทดลองให้ผล
ตรงตามความคาดหมายและน่าพอใจ
; Page 1 ; Page 2
;Program for serially sending parallel data via call outport1 ;CP: hi->lo, SHCP: lo->hi
;IC 74HC165 and receiving it with IC 74HC595 ;=> move top bit into 595
;controlled by IC 8255 (1) of the uC8088 board mov al,03h ;PB0=!PL=hi, PB1=CP=hi
;ser. line Q7(165.p9) connected to DS(595.p14) ;SHCP=!PB1=lo,PB2=STCP=lo
;8255 Port1b connected to 74HC165 & 74HC595 call outport1 ;CP: lo->hi, SHCP: hi->lo
;line PB0<->!PL(165.p1), PB1<->CP(165.p2), loop lop13
;!PB1<->SHCP(595.p11), PB2<->STCP(595.p12)
;store par. data in 595
;Program name: SERCOM4.ASM mov al,07h ;PB0=!PL=hi, PB1=CP=hi
;Date: July 5, 2016 ;SHCP=!PB1=lo,PB2=STCP=hi
;use Borland’s Turbo Assembler and Linker call outport1 ;PB2=STCP: lo->hi
;assemble: tasm SERCOM4 mov al,03h ;PB0=!PL=hi, PB1=CP=hi
;link: tlink /t SERCOM4.OBJ, SERCOM4.BIN ;SHCP=!PB1=lo,PB2=STCP=lo
;burn SERCOM4.BIN to 32-KB ROM or call outport1 ;PB2=STCP: hi->lo
;transfer it to ROM emulator call delay2
.model tiny ret
.code runsxcv endp
org 8000h ;start of ROM address ;**********************************************
;I/O port configuration
ppi_port1_a equ 24h ;parallel port1 A outport1 proc ;output signal via Port1b
ppi_port1_b equ 25h ;parallel port1 B out ppi_port1_b,al
ppi_port1_c equ 26h ;parallel port1 C call delay0
ppi_ctrl_port1 equ 27h ret
ppi_port2_a equ 28h ;parallel port2 A outport1 endp
ppi_port2_b equ 29h ;parallel port2 B ;**********************************************
ppi_port2_c equ 2Ah ;parallel port2 C
ppi_ctrl_port2 equ 2Bh outport2 proc ;display parallel data on Port2b
out ppi_port2_b,al
main proc call delay2
cli ;prevent sys. interrupts ret
mov ax,0 ;set all segments to 0000 outport2 endp
mov ds,ax ;**********************************************
mov es,ax
mov ss,ax delay0 proc ;time delay about 40 ms
mov ax,8000h ;set stack top at 8000h push cx
mov sp,ax mov cx,1000h ;delay value
delay4: loop delay4 ;count down cx
;config. 8255 for mode 0 on groups A & B, pop cx
;ports A,C=in, B=out ret
mov al,10011001b delay0 endp
out ppi_ctrl_port1,al ;**********************************************
call delay1
out ppi_ctrl_port2,al delay1 proc ;time delay about 160 ms
call delay1 push cx
sti ;enable sys. interrupts mov cx,4000h ;delay value
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๖๖ การส่งและรับข้อมูลแบบอนุกรมฯ
รูปที่ ๑๓ ซอฟต์แวร์ควบคุมการส่งและรับข้อมูลของวงจรในรูปที่ ๑๒
สรุป
บทความนี้ได้น�ำเสนอวิธีการส่งและรับผลข้อมูลแบบอนุกรมผ่านช่องทางเข้า/ออกแบบ
อนุกรมและช่องทางเข้า/ออกแบบขนานของแผงวงจรไมโครคอนโทรลเลอร์ ๘๐๘๘ เพื่อการเรียนรู้
โดยใช้วงจรรวมดิจิทัลที่แปลงข้อมูลแบบขนานเป็นแบบอนุกรมและวงจรรวมดิจิทัลที่แปลงข้อมูล
แบบอนุกรมเป็นแบบขนานมาช่วย คือ วงจรรวม 74HC165 และ 74HC595 การทดลองทาง
ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ส�ำหรับการส่งและรับข้อมูลแบบอนุกรมด้วยวิธีต่าง ๆ ในบทความนี้ให้ผล
เป็นที่น่าพอใจ
การส่งและรับข้อมูลแบบอนุกรมมีข้อดี คือ สามารถประหยัดจ�ำนวนเส้นลวดที่ใช้ในการส่ง
และรับข้อมูลได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับการส่งและรับข้อมูลแบบขนานขนาด ๘ บิต แต่มี
ข้อด้อย คือ อัตราการส่งและรับข้อมูลแบบอนุกรมจะลดลงเหลือประมาณ ๑/๘ ของการส่งและรับ
ข้อมูลแบบขนานดังกล่าว
ในบทความนี้ ผู้นิพนธ์ยังไม่ได้กล่าวถึงการส่งและรับข้อมูลด้วยวิธีการแบบอื่น ๆ ที่อาจ
ท� ำ ผ่ า นช่ อ งทางเข้ า /ออกแบบอนุ ก รมและช่ อ งทางเข้ า /ออกแบบขนานของแผงวงจรไมโคร-
คอนโทรลเลอร์ ๘๐๘๘ เช่น การสือ่ สารข้อมูลแบบอนุกรมผ่านวงจรรวม ๘๒๕๑ ตามแบบวิธปี ระสาน
เวลา (synchronous mode) การสื่อสารข้อมูลแบบอนุกรมตามแบบ SPI (Serial Peripheral
Interface) และการสื่อสารข้อมูลแบบอนุกรมตามแบบ I2C (Inter-Integrated Circuit) ซึ่งผู้ที่
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.มงคล เดชนครินทร์ ๖๗
สนใจสามารถศึกษาค้นคว้าได้จากแหล่งข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต แต่วิธีการเท่าที่น�ำเสนอก็ถือได้ว่า
เพียงพอแก่การท�ำงานของระบบไมโครคอนโทรลเลอร์ที่เกี่ยวข้องแล้ว ผู้อ่านที่สนใจสามารถดัดแปลง
วิธีการแสดงผลข้อมูลในบทความนี้ไปใช้กับไมโครคอนโทรลเลอร์ระบบอื่น ๆ ที่ใช้งานเชิงปฏิบัติได้
กิตติกรรมประกาศ
ผู้นิพนธ์ขอขอบคุณ อาจารย์บุญช่วย ทรัพย์มนชัย แห่งห้องปฏิบัติการวิจัยสมองกลฝังตัว
และการออกแบบวงจรรวม ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ที่ได้ให้ข้อคิดเห็นอันเป็นประโยชน์แก่การปรับปรุงบทความนี้
เอกสารอ้างอิง
มงคล เดชนครินทร์. (๒๕๕๖). แผงวงจรไมโครคอนโทรลเลอร์เพื่อการเรียนรู้. วารสารราช-
บัณฑิตยสถาน. ๓๘ (๓), (กรกฎาคม-กันยายน (ก)), ๓๖-๖๑.
_______ . (๒๕๕๖). ซอฟต์แวร์ระบบส�ำหรับแผงวงจรไมโครคอนโทรลเลอร์เพือ่ การเรียนรู.้ วารสาร
ราชบัณฑิตยสถาน. ๓๘ (๓), (กรกฎาคม-กันยายน (ข)), ๑๔๖-๑๗๑.
_______ . (๒๕๕๗). การใส่ขอ้ มูลเข้าแบบขนานให้แก่แผงวงจรไมโครคอนโทรลเลอร์เพือ่ การเรียนรู.้
วารสารราชบัณฑิตยสถาน. ๓๙ (๔), (ตุลาคม-ธันวาคม), ๑๕๘-๑๗๗.
_______ . (๒๕๕๘). การแสดงผลข้อมูลผ่านช่องทางออกแบบขนานของแผงวงจรไมโครคอนโทรล-
เลอร์เพื่อการเรียนรู้. วารสารราชบัณฑิตยสภา. ๔๐ (๔), (ตุลาคม-ธันวาคม), ๑๔๐-๑๖๕.
Fuller, W. (1995). Build Your Own Computer. New York: Delmar Publishers Inc.
Intel Corp. (1986 a). 8251A Programmable Communication Interface. pp. 1-26.
[online]. from http://pdf.datasheet catalog.com/datasheet/Intel/mXtyswx.
pdf. [23 Jun. 2016].
_______ . (1986 b). 8253/8253-5 Programmable Interval Timer. pp. 1-11. [online].
from http://pdf1.alldatasheet.com/datasheet-pdf/view/66098/INTEL/8253.
html. [23 Jun. 2016].
Longtech Optics. (2011). Specifications of LCD Module LCM1602K3-FL-GBW. pp.
1-20. [online]. from http://micro-research.co.th/files_manual/LCM1602K3_
FL_GBW.pdf. [22 Jun. 2016].
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๖๘ การส่งและรับข้อมูลแบบอนุกรมฯ
Lucid Technologies. (2012). User’s Manual Version 1.0 for KB1 AT-PS/2 Keyboard
Interface Chip. pp. 1-25. [online]. from http://www.lucidtechnologies.info/
kb1_manual.pdf. [22 Jun. 2016].
NXP Semiconductors. (2016). 74HC595; 74HCT595 8-Bit Serial-in, serial or
parallel-out Shift Register with Output Latches; 3-State. pp. 1-23. [online].
from http://www.nxp.com/documents/data_sheet/74HC_HCT595.pdf. [29 Jun.
2016].
_______ . (2015). 74HC165; 74HCT165 8-bit parallel-in/serial out shift register.
Netherlands, pp. 1-21. [online]. from http://www.nxp.com/documents/data_
sheet/74HC_HCT165.pdf. [1 Jul. 2016].
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
รองศาสตราจารย์ ดร.พรรณทิพย์ ศิริวรรณบุศย์ ๖๙
ความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบการอบรมเลี้ยงดู
กับพฤติกรรมประชาธิปไตยของวัยรุ่น
ในครอบครัวไทยปัจจุบัน
รองศาสตราจารย์ ดร.พรรณทิพย์ ศิริวรรณบุศย์
ราชบัณฑิต ส�ำนักธรรมศาสตร์และการเมือง
ราชบัณฑิตยสภา
บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมประชาธิปไตย
กับรูปแบบการอบรมเลี้ยงดูของไดอานา บอมรินด์ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนมัธยมจ�ำนวน
๑,๓๑๖ คน จากกรุงเทพมหานครและส่วนภูมิภาคในประเทศไทย ข้อมูลเก็บจากแบบสอบถาม
๓ ชุด คือ แบบวัดรูปแบบการอบรมเลี้ยงดูของบอมรินด์ แบบวัดพฤติกรรมประชาธิปไตย และ
แบบข้อมูลประวัติส่วนบุคคลของกลุ่มตัวอย่าง
ผลการวิจัยแสดงความแตกต่างอย่างมีนัยส�ำคัญในตัวแปรภูมิภาคและรูปแบบการ
อบรมเลี้ยงดู แต่ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยส�ำคัญในตัวแปรล�ำดับการเกิดหรือประเภทของ
ครอบครัว นักเรียนที่ถูกเลี้ยงดูด้วยรูปแบบการเอาใจใส่จากพ่อแม่จะมีพฤติกรรมประชาธิปไตย
สูงกว่านักเรียนที่ถูกเลี้ยงดูในรูปแบบการอบรมเลี้ยงดูอื่น ๆ
บทน�ำ
ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีกับการเร่งพัฒนาประเทศเพื่อก้าวไปสู่ความเจริญ
สูงสุดทางวิชาการยุค ๔.๐ ล้วนส่งผลต่อเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม รวมถึงการเมืองการปกครอง
ของประเทศไทย ภายใต้การพัฒนาและความเจริญก้าวหน้านี้จึงแฝงไว้ด้วยปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อ
การพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะพฤติกรรมจริยธรรมและพฤติกรรมทางสังคมต่าง ๆ ของเยาวชน
ประเทศก�ำลังพัฒนามักจะประสบปัญหาวิกฤตการณ์ด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
วิกฤตการณ์ทางการเมืองและพฤติกรรมประชาธิปไตย ดังจะเห็นได้จากประเทศเพื่อนบ้านประสบ
ปัญหาวิกฤตทางการเมืองอยู่เนือง ๆ ประเทศไทยเองในฐานะที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย
ประชาชนในชาติควรได้มกี ารแสดงออกซึง่ การมีสว่ นร่วมทางการเมือง และมีพฤติกรรมประชาธิปไตย
อันเป็นหนทางในการพัฒนาประเทศชาติ หากประชาชนขาดจิตส�ำนึกประชาธิปไตย ประเทศชาติ
จะเป็นประชาธิปไตยไม่ได้เลย การพัฒนาพฤติกรรมประชาธิปไตยจ�ำเป็นต้องได้รับการกล่อมเกลา
มาตัง้ แต่วยั เยาว์ และสถาบันแรกทีม่ คี วามส�ำคัญในการกล่อมเกลาให้บคุ คลได้มพี ฤติกรรมทีเ่ หมาะสม
คือสถาบันครอบครัว
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
รองศาสตราจารย์ ดร.พรรณทิพย์ ศิริวรรณบุศย์ ๗๑
ครอบครัวเป็นสถาบันแห่งแรกในชีวิตของมนุษย์ เป็นสถาบันซึ่งสามารถสร้างความเข้มแข็ง
ของชุมชนโดยพัฒนาคนให้เกิดศักยภาพในการพัฒนาจิตใจและภูมิปัญญา (Spirituality) การเรียนรู้
ในการพัฒนาตน (Learning in self-development) อันน�ำไปสู่การพัฒนาชุมชนที่ยั่งยืน
ในสังคมไทยปัจจุบันเยาวชนไทยจ�ำนวนไม่น้อยมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนที่เป็นปัญหาแก่สังคม
เช่น ก้าวร้าว ติดยาเสพติด ไม่สนใจปัญหาส่วนรวมสนใจแต่การใฝ่หาความสุขส่วนตัว จึงเป็นที่น่าวิตก
กังวลส�ำหรับอนาคตของประเทศไทย
ปัจจัยที่จะยกระดับมาตรฐานทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ ในด้านต่าง ๆ รวมทั้งพฤติกรรม
ประชาธิปไตยสามารถท�ำได้โดยผ่านกระบวนการของรูปแบบการอบรมเลี้ยงดู ซึ่งรวมไปถึงการอบรม
เลี้ยงดูที่ได้รับอิทธิพลจากภูมิปัญญาท้องถิ่นด้วย ทั้งนี้พฤติกรรมประชาธิปไตยจากงานวิจัยที่ผ่านมา
ส่วนใหญ่ท�ำการศึกษาในกลุ่มนักเรียนและท�ำการวิจัยเกี่ยวกับการสอนพฤติกรรมประชาธิปไตยผ่าน
ระบบการศึกษา อีกส่วนหนึ่งศึกษาในลักษณะของความรู้พฤติกรรมประชาธิปไตย การรับรู้พฤติกรรม
ประชาธิปไตย และค่านิยมประชาธิปไตย นอกจากนี้ในเรื่องของพฤติกรรมทางการเมืองซึ่งรวมไปถึง
ความรับผิดชอบทางการเมืองก็มีผู้ได้ท�ำการศึกษาในลักษณะการจัดกิจรรมจ�ำลองทางการเมืองใน
ระบบการศึกษาซึ่งมีไม่มากนัก
เยาวชนไทยกับจิตวิทยาการเมือง
ในการปฏิวัติรัฐประหารและกบฏในประเทศไทยนับแต่ พ.ศ. ๒๔๗๕ มีทั้งหมด ๒๕ ครั้ง
ครัง้ สุดท้ายคือวันที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ซึง่ น�ำโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในจ�ำนวน
๒๕ ครัง้ นี้ มีเยาวชนอายุ ๑๕-๒๔ ปี เข้าไปมีบทบาทเกีย่ วข้องทีป่ รากฏหลักฐานชัดเจนคือ การปฏิวตั ิ
ประชาชน วันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ และเยาวชนจะเป็นพลังหลักของการปฏิวตั แิ ละปฏิรปู ตัง้ แต่
นั้นมา ในการปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน วันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ มีเยาวชนเป็นจ�ำนวนมาก
เสียชีวิต บางคนต้องละทิ้งการศึกษาหนีไปต่างประเทศหรือเข้าไปใช้ชีวิตในป่า และในวันที่ ๒๓
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ซึ่งน�ำโดย พลเอก สุนทร
คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้เข้ายึดอ�ำนาจการปกครองรัฐบาลของ พลเอก ชาติชาย
ชุณหะวัณ และ ๒๒ มีนาคมปีเดียวกัน ได้จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วประเทศ วันที่ ๗ เมษายน พ.ศ.
๒๕๓๕ พลเอก สุจินดา คราประยูร ได้ขึ้นด�ำรงต�ำแหน่งนายกรัฐมนตรี จึงเกิดการประท้วงจาก
นิสติ นักศึกษาและประชาชน ในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ ก่อนรุง่ สาง รัฐบาลได้ปราบปราม
ผูช้ มุ นุมซึง่ ส่วนใหญ่คอื นิสติ นักศึกษา ท�ำให้มผี เู้ สียชีวติ จ�ำนวนมากตามหลักฐานทีป่ รากฏ คือ ๔๐ คน
บาดเจ็บ ๖๐๐ คน ในปัจจุบันการประท้วงหรือการแสดงการต่อต้านรัฐบาลก็จะอาศัยก�ำลังของ
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๗๒ ความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบการอบรมเลี้ยงดูฯ
รูปแบบการอบรมเลี้ยงดู
ในบทความวิจัยนี้รูปแบบการอบรมเลี้ยงดู คือ พฤติกรรมของบิดา มารดา หรือผู้เลี้ยงดู
ที่ปฏิบัติต่อเด็ก โดยมาจากสาเหตุภายนอกและสาเหตุภายใน รูปแบบวิธีการต่าง ๆ ของการอบรม
เลี้ยงดูที่เด็กได้รับไม่ว่าจะเป็นครอบครัวเดี่ยวหรือครอบครัวขยาย และเป็นกระบวนการที่ส่งผล
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
รองศาสตราจารย์ ดร.พรรณทิพย์ ศิริวรรณบุศย์ ๗๓
โดยตรงจากวัฒนธรรมท้องถิ่นและภูมิปัญญาท้องถิ่นในแต่ละภูมิภาค ในการนี้ผู้เขียนได้น�ำรูปแบบ
การอบรมเลี้ยงดูตามแนวคิดของไดอานา บอมรินด์ (Diana Baumrind’s Parenting styles) ซึ่ง
ได้รับการวิจัยอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมของเด็กและรูปแบบการอบรม
เลีย้ งดูทแี่ ตกต่างกัน บอมรินด์ศกึ ษาเจตคติของบิดาและมารดาทีส่ ง่ ผลต่อรูปแบบพฤติกรรมการอบรม
เลี้ยงดูของบิดามารดา (Baumrind, 1967, 1971, 1989, 1991a, 1991b) บอมรินด์ได้ศึกษาค้นคว้า
รูปแบบการอบรมเลี้ยงดูติดต่อกันเป็นระยะเวลากว่า ๑๐ ปี ผู้นิพนธ์จึงใช้แนวทางและรูปแบบการ
อบรมเลี้ยงดูที่พัฒนาโดยบอมรินด์มาเป็นตัวแปรอิสระในการศึกษาพฤติกรรมประชาธิปไตยในการ
ศึกษาวิจัยครั้งนี้
ในการศึกษางานของบอมรินด์หรือนักวิจัยคนอื่น ได้แก่ เซลเลอร์ (Shaller, 1994)
แมคโคบีและมาติน (Maccoby & Martin, 1983) ได้มีการแบ่งการพัฒนารูปแบบการเลี้ยงดูของ
บอมรินด์เป็น ๒ มิติใหญ่ ดังแผนภาพข้างล่างนี้
พฤติกรรมประชาธิปไตย
การสัมมนากลุ่มของคณะวิจัยมหภาคเรื่องรูปแบบการอบรมเลี้ยงดู ได้สรุปพฤติกรรม
ประชาธิปไตย มีองค์ประกอบย่อย ดังนี้
๑. การรู้จักบทบาทความรับผิดชอบในหน้าที่ของตน
๒. การยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น
๓. การมีวินัยในตนเอง
๔. การคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน
๕. การใช้ปัญญา คุณธรรม และเหตุผลในการตัดสินใจ
งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมประชาธิปไตยมีไม่มากนักจึงขอยกในลักษณะพฤติกรรม
แต่ละด้านในลักษณะรวมและที่เกี่ยวข้อง เริ่มจากนักทฤษฎีทางการเมืองได้อธิบายการเรียนรู้ทาง
การเมืองว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ถ่ายทอดทางสังคม ซึ่งเริ่มต้นจากครอบครัวและต่อเนื่องไปยัง
สถาบันทางศาสนาและสถาบันศึกษาอย่างเป็นขั้นตอน
กุสมุ าวดี พะวินรัมย์ (๒๕๓๘) ได้ศกึ ษาพฤติกรรมประชาธิปไตยของครูอนุบาลในโรงเรียน
อนุบาลสังกัดส�ำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ พบว่าครูจดั ประสบการณ์การเรียนรู้
ให้แก่เด็กในระดับมากด้านการเคารพผู้อื่น การมีส่วนร่วมในกิจกรรมส่วนรวม การปฏิบัติตนตาม
สิทธิหน้าที่และเสรีภาพของตนเองและผู้อื่น ด้านการแสดงความคิดเห็นและการยอมรับฟังความเห็น
ของผู้อื่น
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๗๖ ความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบการอบรมเลี้ยงดูฯ
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
๑. เพื่อศึกษาพฤติกรรมประชาธิปไตยในครอบครัวไทย
๒. เพื่อศึกษารูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลและรูปแบบอบรมเลี้ยงดูที่มีต่อ
พฤติกรรมประชาธิปไตย
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
รองศาสตราจารย์ ดร.พรรณทิพย์ ศิริวรรณบุศย์ ๗๗
ตัวแปรที่ศึกษา
ตัวแปรต้น
๑. รูปแบบการอบรมเลี้ยงดู (Parenting Stye) ๔ รูปแบบ ได้แก่
๑.๑ การอบรมเลี้ยงดูแบบเอาใจใส่ (Authoritative)
๑.๒ การอบรมเลี้ยงดูแบบควบคุม (Authoritarian)
๑.๓ การอบรมเลี้ยงดูแบบตามใจ (Permissive)
๑.๔ การอบรมเลี้ยงดูแบบทอดทิ้ง (Uninvolved)
๒. ภูมิภาค
๓. ประเภทของครอบครัว
๔. ประเภทล�ำดับการเกิด
ตัวแปรตาม
พฤติกรรมประชาธิปไตย
ขอบเขตการวิจัย
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ และมัธยมศึกษา
ปีที่ ๖ จากโรงเรียนสหศึกษาในกรุงเทพมหานครและในภูมิภาคต่าง ๆ ที่จ�ำแนกเข้ารูปแบบการ
อบรมเลี้ยงดูของบอมรินด์ จ�ำนวน ๑,๓๑๖ คน
แต่บทความวิจัยนี้จะน�ำเสนอข้อมูลการวิจัยในตัวแปรที่ส�ำคัญเพียงบางส่วนประกอบ
บทความเพื่อความเข้าใจที่ดีขึ้นเท่านั้น ตัวแปรที่น�ำเสนอ ได้แก่ ภูมิภาค ประเภทของครอบครัว
ล�ำดับการเกิด และรูปแบบการอบรมเลี้ยงดู
ค�ำจ�ำกัดความที่ใช่ในบทความวิจัย
พฤติกรรมประชาธิปไตย มีองค์ประกอบย่อย ดังนี้
๑. การรู้จักบทบาทความรับผิดชอบในหน้าที่ของตน
๒. การยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น
๓. การมีวินัยในตนเอง
๔. การคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน
๕. การใช้ปัญญา คุณธรรม และเหตุผลในการตัดสินใจ
โดยในบทความวิจัยนี้วัดได้โดยแบบสอบถามพฤติกรรมประชาธิปไตยที่พัฒนาขึ้นโดยคณะ
ผู้วิจัยและผู้ทรงคุณวุฒิ
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๗๘ ความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบการอบรมเลี้ยงดูฯ
วิธีด�ำเนินการวิจัย
การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงส�ำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบ
การอบรมเลี้ยงดูของครอบครัวไทย กับพฤติกรรมประชาธิปไตย
๑. กลุ่มตัวอย่าง
การเลือกกลุ่มตัวอย่างการวิจัยครั้งนี้เป็นการเลือกแบบสุ่มหลายขั้นตอน (Multi Stages
Sampling) โดยมีขั้นตอนดังนี้
๑.๑ แบ่งพื้นที่
ผูว้ จิ ยั แบ่งพืน้ ทีป่ ระเทศไทยเป็น ๕ ส่วน คือ กรุงเทพมหานคร ภาคเหนือ ภาคกลาง
ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้
๑.๒ การเลือกพื้นที่โรงเรียน
๑.๒.๑ กรุงเทพมหานคร แบ่งส�ำนักงานเขตปกครอง ๕๐ เขต ในการวิจัยครั้งนี้
เลือกเขต ๑ ใน ๑๐ ของเขตทั้งหมดจ�ำนวน ๕ เขต คือ เลือกเขตใจกลางเมือง ๓ เขต ได้แก่ เขต
ปทุมวัน : โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ฝ่ายมัธยม) เขตพญาไท : โรงเรียนสันติราษฎร์
วิทยาลัย และเขตจตุจักร : โรงเรียนหอวัง เขตชานเมือง ๒ เขต ได้แก่ เขตพระโขนง : โรงเรียน
พระโขนงพิทยาลัย และเขตบางเขน : โรงเรียนดอนเมืองทหารอากาศบ�ำรุง
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
รองศาสตราจารย์ ดร.พรรณทิพย์ ศิริวรรณบุศย์ ๗๙
ตารางที่ ๑ แสดงจ�ำนวนกลุ่มตัวอย่างที่เก็บทั้งหมด
ตารางที่ ๒ แสดงกลุ่มตัวอย่างจ�ำแนกตามภูมิภาคและรูปแบบการอบรมเลี้ยงดู
๒. เครื่องมือที่ใช่ในการวิจัย
๒.๑ ตอนที่ ๑ แบบส�ำรวจข้อมูลภูมิหลังของกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ เพศ อายุ ศาสนา
เชือ้ ชาติ สถานภาพของครอบครัว ผูท้ เี่ ด็กอาศัยอยูด่ ว้ ย จ�ำนวนพีน่ อ้ ง ล�ำดับการเกิด ระดับการศึกษา
สูงสุดของพ่อ ระดับการศึกษาสูงสุดของแม่ อาชีพหลักของครอบครัว ผลการเรียน (GPA)
๒.๒ ตอนที่ ๒ แบบส�ำรวจรูปแบบการอบรมเลี้ยงดู สร้างและพัฒนาโดยคณะผู้วิจัย
มหภาคตามแนวคิดและงานวิจัยของบอมรินด์
การสร้ า งและพั ฒ นามาตรฐานวั ด การอบรมเลี้ ย งดู เ ป็ น มาตรวั ด รู ป แบบการอบรม
เลี้ยงดูที่พัฒนาขึ้นโดยคณะผู้วิจัยมหภาคได้สร้าง และพัฒนาข้อกระทงตามแนวคิดและงานวิจัยของ
บอมรินด์ โดยใช้รูปแบบการรายงานของตนเอง โดยแบ่งการอบรมเลี้ยงดูเป็น ๔ รูปแบบ คือ
๑. การอบรมเลี้ยงดูแบบเอาใจใส่ (Authoritative Parenting Style)
๒. การอบรมเลี้ยงดูแบบควบคุม (Authoritarian Parenting Style)
๓. การอบรมเลี้ยงดูแบบตามใจ (Permissive Parenting Style)
๔. การอบรมเลี้ยงดูแบบทอดทิ้ง (Uninvolved Parenting Style)
๒.๒.๑ ลักษณะแบบส�ำรวจ
แบบส�ำรวจการอบรมเลี้ยงดูตามการรับรู้ของตนเองซึ่งพัฒนาโดยคณะ
ผู้วิจัยมหภาคโดยใช้แบบประเมินค่าของลิเคิร์ต (Likert Scale) มีข้อเลือก ๕ ระดับ คือ ไม่ตรงเลย
ไม่ค่อยตรง พอ ๆ กัน ตรง และตรงมาก ซึ่งรูปแบบการอบรมเลี้ยงดูทั้ง ๔ รูปแบบ ประกอบด้วย
ข้อกระทงจ�ำนวน ๙๙ ข้อ โดยการอบรมเลี้ยงดูในแต่ละแบบจะประกอบด้วยลักษณะค�ำส�ำคัญ
(Key Word) ๘ ประการ โดยคณะผู้วิจัยได้ศึกษาจากงานวิจัยและการศึกษาค้นคว้าตามทฤษฎีการ
อบรมเลีย้ งดูของบอมรินด์ ซึง่ การจัดข้อกระทงในแต่ละลักษณะ คณะผูว้ จิ ยั มหภาคได้พฒ ั นาข้อกระทง
ในแบบทดสอบ ในแต่ละลักษณะค�ำส�ำคัญ (Key Word) ไม่น้อยกว่า ๒ ข้อ ค�ำส�ำคัญ ๘ ประการ
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๘๒ ความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบการอบรมเลี้ยงดูฯ
การวิเคราะห์ข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตอบวัตถุประสงค์ของการวิจัย มีขั้นตอนดังนี้
๑. ตรวจสอบความเป็นไปของข้อมูลทั้งรหัสเดี่ยว เช่น เพศ และรหัสสัมพันธ์ เช่น
จ�ำนวนพี่น้อง และประเภทล�ำดับการเกิด และแก้ไขให้ถูกต้อง
๒. กรณีมขี อ้ มูลทีข่ าดหาย มีเงือ่ นไขว่าส�ำหรับตัวแปรตาม ได้แก่พฤติกรรมประชาธิปไตย
จะมีข้อมูลขาดหายได้ไม่เกิน ๑ ตัวแปร โดยค่าที่ขาดหายไปจะถูกแทนด้วยค่าเฉลี่ยเลขคณิตของ
ตัวแปรนั้น ๆ
๓. ค�ำนวณหาจ�ำนวนนักเรียนที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูด้วยรูปแบบที่เด่นชัดแต่ละรูป
แบบรวม ๔ รูปแบบ
๔. ค�ำนวณค่าร้อยละของรูปแบบการอบรบเลี้ยงดูทั้ง ๔ รูปแบบที่พบในแต่ละภูมิภาค
และทั้งประเทศไทย
๕. วิเคราะห์ความแปรปรวนสองทาง (2-way Anova) โดยใช้ตัวแปรรูปแบบการ
อบรมเลี้ยงดูที่เด่นชัด ๔ รูปแบบเป็นตัวแปรต้นตัวแรก และใช้ตัวแปรต้นอื่น ๆ ๘ ตัวแปร แต่ใน
บทความนี้น�ำเสนอตัวแปรเพียง ๓ ตัวแปร ได้แก่ ล�ำดับการเกิด ภูมิภาค และประเภทของครอบครัว
ตัวแปรตาม คือพฤติกรรมประชาธิปไตย
๖. กรณีอทิ ธิพลหลัก (Main effect) ของตัวแปรใดมีนยั ส�ำคัญ จะน�ำผลไปเปรียบเทียบคู่
(Multiple comparison) ต่อไปด้วยวิธีของ Scheffé
๗. การน�ำเสนอผลการวิเคราะห์ในรูปแบบตารางแสดงผล กราฟ แผนภาพ
ผลการวิจัย
การน�ำเสนอผลการวิจัยจะประกอบด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จ�ำนวนนักเรียนที่ได้รับ
การอบรมเลี้ยงดูด้วยรูปแบบที่เด่นชัด ๔ รูปแบบ ที่อยู่ในประเทศไทยตามภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ
ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและใช้สถิติเชิงอนุมาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนสองทาง
โดยในแต่ละการวิเคราะห์ความแปรปรวนสองทางแต่ละครั้ง จะประกอบด้วย ๒ ส่วน ได้แก่
วิเคราะห์ตัวแปรพฤติกรรมประชาธิปไตย
การวิเคราะห์ในครั้งนี้ใช้โปรแกรมวิเคราะห์สถิติส�ำเร็จรูป (SPSS for Windows) โดยมี
การพิจารณาผลอิทธิพลปฏิสัมพันธ์ (Interaction Effect) และอิทธิพลหลัก (Main Effect) โดย
หากอิทธิพลหลักมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ ผู้วิจัยจะใช้การเปรียบเทียบรายคู่ (Muliple
Comparison) ด้วยวิธีของ Scheffé ต่อไป
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
รองศาสตราจารย์ ดร.พรรณทิพย์ ศิริวรรณบุศย์ ๘๓
ภูมิภาคกับรูปแบบการอบรมเลี้ยงดูต่อพฤติกรรมประชาธิปไตยตามตัวแปรภูมิภาค
ค่าเฉลี่ยเลขคณิตของตัวแปรพฤติกรรมประชาธิปไตยจ�ำแนกตามรูปแบบการอบรม
เลี้ยงดูและภูมิภาค แสดงในตารางที่ ๓
ส่วนผลการวิเคราะห์ความแปรปรวน ๒ ทาง แสดงในตาราง ๔ พบว่า ปฏิสัมพันธ์
ระหว่างตัวแปรทั้งสองไม่มีนัยส�ำคัญทางสถิติ เมื่อพิจารณาอิทธิพลหลักของตัวแปรรูปแบบการอบรม
เลี้ยงดูพบว่ามีนัยส�ำคัญทางสถิติ (F=100.76, p < .001) ส่วนอิทธิพลหลักของตัวแปรภูมิภาคพบว่า
มีนัยส�ำคัญทางสถิติ (F=9.11, p < .001)
ผู้วิจัยได้ท�ำการเปรียบเทียบรายคู่ต่อไป แสดงในตารางที่ ๕ พบว่า นักเรียนที่ได้รับ
การอบรมเลี้ยงดูแบบเอาใจใส่มีพฤติกรรมประชาธิปไตย (M=4.24) มากกว่านักเรียนที่ได้รับการ
อบรมเลีย้ งดูอกี ๓ รูปแบบ และนักเรียนทีไ่ ด้รบั อบรมเลีย้ งดูแบบควบคุม (M=3.90) และแบบตามใจ
(M=3.86) มีพฤติกรรมประชาธิปไตยแตกต่างกัน แต่ทั้ง ๒ กลุ่มมีคะแนนพฤติกรรมประชาธิปไตย
มากกว่านักเรียนที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูแบบทอดทิ้ง (M=3.75) ส่วนการเปรียบเทียบรายคู่ภูมิภาค
(แสดงในตาราง ๓.๒๒) พบว่า นักเรียนจากกรุงเทพฯ มีพฤติกรรมประชาธิปไตย (M=3.89) น้อยกว่า
นักเรียนจากทุกภูมิภาค
ขณะทีน่ กั เรียนจากภาคเหนือ (M=4.01) มีคะแนนน้อยกว่านักเรียนจากภาคใต้ (M=4.13)
แต่ไม่แตกต่างจากนักเรียนจากภาคกลางและนักเรียนจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
นอกจากนี้ นักเรียนจากภาคกลาง ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไม่มีความ
แตกต่างกันในทางสถิติ น�ำข้อมูลไปแสดงได้ ดังตารางที่ ๖
ตารางที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนสองทางของรูปแบบการอบรมเลี้ยงดูและภูมิภาคต่อพฤติกรรม
ประชาธิปไตย
รูปแบบการอบรมเลี้ยงดู
ภาพที่ ๒ คะแนนพฤติกรรมประชาธิปไตยจ�ำแนกตามรูปแบบการอบรมเลี้ยงดูและภูมิภาค
ผลการวิจัยที่พบในระดับการเกิดและประเภทของครอบครัวนั้นไม่พบความแตกต่าง แต่
จะพบความแตกต่างเฉพาะในรูปแบบของการอบรมเลี้ยงดูทั้ง ๒ ตัวแปร และพบว่าการเลี้ยงดูแบบ
เอาใจใส่เด็กจะมีพฤติกรรมประชาธิปไตยสูงกว่าการอบรมเลี้ยงดูรูปแบบอื่น
อภิปรายผล
ผลการวิจัยความสัมพันธ์ของรูปแบบการอบรมเลี้ยงดูและพฤติกรรมประชาธิปไตยตาม
ตัวแปรทั้ง ๓ ตัวแปร ได้แก่ ล�ำดับการเกิด ประเภทของครอบครัว และภูมิภาค
ผลการวิจัยโดยรวม พบว่านักเรียนที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูแบบเอาใจใส่จะมีพฤติกรรม
ประชาธิปไตยมากกว่านักเรียนทีไ่ ด้รบั การอบรมเลีย้ งดูรปู แบบอืน่ ในทุกตัวแปรทีศ่ กึ ษา และนักเรียนที่
ได้รับการอบรมเลี้ยงดูแบบทอดทิ้งมีพฤติกรรมประชาธิปไตยน้อยที่สุดในทุกตัวแปรที่ศึกษาซึ่งสนับสนุน
ผลการวิจัยในอดีตที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการอบรมเลี้ยงดูกับพฤติกรรมประชาธิปไตยของเด็ก
อันเป็นพฤติกรรมที่เอื้อต่อการพัฒนาประเทศ
เเอล สไตเบิกร์ และคณะ (๑๙๙๔) พบว่ารูปแบบการอบรมเลี้ยงดูมีความสัมพันธ์สูงกับ
การแสดงความรักความห่วงใยต่อผูอ้ นื่ รวมถึงความเชือ่ ในตนเอง โดยเด็กทีไ่ ด้รบั การอบรมเลีย้ งดูดว้ ย
ความอบอุ่นจะมีพฤติกรรมแสดงความรักความเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์และจะมีความพึงพอใจใน
ตนเองซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมในทางที่ดีมากกว่ารูปแบบอื่น ๆ ด้วย
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๘๖ ความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบการอบรมเลี้ยงดูฯ
วิจยั ของชัยพร วิชชาวุธ ธีระพร อุวรรณโณ และพรรณทิพย์ ศิรวิ รรณบุศย์ (๒๕๓๑) ทีพ่ บว่านักเรียน
ในกรุงเทพมหานครมีศักยภาพพฤติกรรมในทางที่ดีมากกว่านักเรียนในภาคอื่น ๆ ในพฤติกรรม
ส่วนใหญ่ ทั้งนี้ อาจมาจากการที่สังคมไทยในกรุงเทพมหานครมีการแข่งขันสูง ท�ำให้ความร่วมมือ
ช่วยเหลือส่วนรวมหรือเอาใจใส่ต่อการเมือง และแม้ว่าการอบรมเลี้ยงดูแบบเอาใจใส่จะส่งผลต่อ
พฤติกรรมทางบวกมากกว่าการอบรมเลี้ยงดูรูปแบบอื่น แต่พ่อแม่ในกรุงเทพมหานครก็มีการอบรม
เลีย้ งดูรปู แบบเอาใจใส่นอ้ ยกว่าพ่อแม่ทอี่ ยูใ่ นภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาจเป็นเพราะชีวติ
ในกรุงเทพมหานครต้องรีบเร่งและมีการแข่งขันสูง ท�ำให้มีเวลาใกล้ชิดกับลูกน้อยลง
ผลการวิ จั ย ระบุ ว ่ า พฤติ ก รรมประชาธิ ป ไตยของเยาวชนต้ อ งได้ รั บ การกล่ อ มเกลา
จากครอบครัว โดยรูปแบบการอบรมเลี้ยงดูแบบเอาใจใส่จะช่วยท�ำให้เด็กและเยาวชนมีพฤติกรรม
ประชาธิปไตยมากกว่าการอบรมเลี้ยงดูในรูปแบบอื่น พฤติกรรมประชาธิปไตยในการวิจัยนี้ คือ
๑. รู้จักบทบาทความรับผิดชอบในหน้าที่ เด็กและเยาวชนที่ต้องได้รับการปลูกฝังให้
ตระหนักรู้ว่าหน้าที่ของตนคืออะไร และต้องรับผิดชอบหน้าที่ของตนเองด้วยตนเอง
๒. การยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น การยอมรับฟังความคิดเห็นต่างเป็นสิ่งส�ำคัญใน
การสร้างและพัฒนาพฤติกรรมประชาธิปไตย เด็กและเยาวชนต้องรับความคิดเห็นที่แตกต่างได้
๓. การมีวินัยในตนเอง ข้อนี้เยาวชนไทยจะอ่อนด้อยกว่าชาติอื่น ๆ ในอาเซียน โดย
คิดว่าท�ำอะไรตามใจคือไทยแท้ การขาดวินัยในตนเองจะน�ำมาซึ่งภัยพิบัตินานาประการ
๔. การคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน ถ้าคนไทยยอมเสียสละประโยชน์
ส่วนตัวให้กับส่วนรวม ประเทศไทยก็จะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้ มิใช่ประเทศก�ำลังพัฒนาเช่น
ปัจจุบัน
๕. การใช้ปัญญา คุณธรรม และเหตุผลในการตัดสินใจส่วนใหญ่ เยาวชนส่วนใหญ่ไทย
จะใช้อารมณ์น�ำในการตัดสินใจท�ำสิ่งใด จึงท�ำให้เกิดความขัดแย้ง การเอาชนะแบ่งสี บางกลุ่ม หากใช้
ปัญญาและคุณธรรม ความขัดแย้งก็จะเกิดน้อยขึ้นในประเทศไทย
พฤติกรรมประชาธิปไตยเป็นพื้นฐานในการปฏิรูปประเทศไทยไปสู่การปกครองระบอบ
ประชาธิปไตยในประเทศที่พัฒนาแล้ว และจะท�ำให้ประเทศไทยจะสามารถก้าวเคียงบ่าเคียงไหล่กับ
ประเทศชั้นน�ำในอาเซียนหรือนานาชาติได้เป็นอย่างดี
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๘๘ ความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบการอบรมเลี้ยงดูฯ
เอกสารอ้างอิง
กนกวรรณ มณฑิราช. (๒๕๓๙). พฤติกรรมการเปิดรับข่าวสารสิ่งแวดล้อมด้านป่าไม้กับความรู้
ความตระหนักและการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ป่าไม้ของเยาวชนในจังหวัดกาญจนบุรี.
วิทยานิพนธ์ปริญญานิเทศศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาประชาสัมพันธ์ บัณฑิตวิทยาลัย
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
กมล รอดคล้าย. (๒๕๒๖). ความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับบทบาทของครูภาษาไทยในการอนุรักษ์
และสืบทอดวัฒนธรรมไทย. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชามัธยม
ศึกษาบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
พรรณทิพย์ ศิริวรรณบุศย์. (๒๕๕๖). ทฤษฎีจิตวิทยาพัฒนาการ. พิมพ์ครั้งที่ ๖. กรุงเทพฯ : ส�ำนัก
พิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
พรรณทิพย์ ศิริวรรณบุศย์, ธีรพร อุวรรณโณ, เพ็ญพิไล ฤทธาคณานนท์, สุภาพรรณ โคตรจรัส,
คัคนางค์ มณีศรี, และพรรณระพี สุทธิวรรณ. (๒๕๔๕). การศึกษารูปแบบความสัมพันธ์
ระหว่างพฤติกรรมของคนไทยกับกระบวนการสังคมประกิตของครอบครัวในปัจจุบันที่
เอื้อต่อการพัฒนาประเทศ. คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
พรรณทิพย์ ศิริวรรณบุศย์, วัชรี ทรัพย์มี และกรรณิการ์ นลราชสุวัจน์. (๒๕๔๗). รายงานการวิจัย
ความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งรู ป แบบการอบรมเลี้ ย งดู กั บ พฤติ ก รรมประชาธิ ป ไตยและ
พฤติกรรมทางการเมืองของวัยรุ่นในครอบครัวไทยปัจจุบันที่มีต่อการพัฒนาประเทศ.
คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ชนะ นิลรัตน์. (๒๕๑๙). การศึกษาทัศน์คติประชาธิปไตยของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ในเขตการ
ศึกษา ๒. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครรินทรวิโรฒ ประสานมิตร
ชัยพร วิชชาวุธ ธีระพร อุวรรณโณ และพรรณทิพย์ ศิริวรรณบุศย์. (๒๕๓๑). พฤติกรรมทาง
จริยธรรมสังคมไทยปัจจุบัน : ศึกษาตามแนวทางจิตวิทยาสังคม. กรุงเทพมหานคร :
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
บุญมาลี ตู้หิรัญมณี. (๒๕๓๗). การเปรียบเทียบค่านิยมประชาธิปไตยของนักเรียนในระดับมัธยม
ศึกษาตอนปลายในโรงเรียนต่างจังหวัด. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต ภาค
วิชาสารัตถศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
วรทัศน์ บุญโตร. (๒๕๓๗). การจัดกิจกรรมนักเรียนทีส่ ง่ เสริมลักษณะความเป็นพลเมืองดีในโรงเรียน
มัธยมศึกษาตอนต้น สังกัดกรมสามัญศึกษา เขตการศึกษา ๖. วิทยานิพนธ์ปริญญา
ครุศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาบริหารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
รองศาสตราจารย์ ดร.พรรณทิพย์ ศิริวรรณบุศย์ ๘๙
บทคัดย่อ
“โคลงกลบท” และ “โคลงกระทู้” เป็นโคลง ๒ ชนิดที่จัดรวมในกลุ่มโคลงแบบพิเศษ
กวีโบราณแต่งโคลงทั้ง ๒ ชนิดนี้มาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้วและเขียนรูปแบบโคลงทั้ง ๒ ชนิด
ต่างกันอย่างเป็นระบบโดยไม่สับสน นักวิชาการสมัยหลังน�ำโคลงทั้ง ๒ ชนิดนี้มาศึกษาวิเคราะห์
และเขียนอธิบายไม่ชดั เจน โดยน�ำโคลงกลบทชนิดวางค�ำชุดเดียวกันทีต่ น้ บาทมาเป็นโคลงกระทู้
และเขียนในรูปแบบของโคลงกระทูด้ ว้ ย มีผลให้เกิดความเข้าใจสับสนระหว่างโคลงทัง้ ๒ ชนิดนี้
แก่นักวิชาการ นิสิตนักศึกษาและกวีบางคนในสมัยปัจจุบันการศึกษาความเหมือนคล้ายและ
ความแตกต่างระหว่าง “โคลงกลบท” กับ “โคลงกระทู้” ในบทความเรื่องนี้จะช่วยให้เข้าใจ
ลักษณะของโคลงทั้ง ๒ ชนิดนี้ได้ชัดเจน ทั้งเรื่องการใช้ค�ำต้นบาท วิธีแต่งโคลงแต่ละชนิด
การเขียนค�ำต้นบาท และการอ่านโคลง ซึ่งสะท้อนความคิดที่เป็นระบบในการสร้างสรรค์โคลง
ทั้ง ๒ ชนิดนี้ของกวีโบราณ อนึ่ง แม้ “โคลงกลบท” และ “โคลงกระทู้” เป็นโคลงต่างชนิดกัน
แต่กวีก็สามารถน�ำมาแต่งร่วมกันได้หลากหลายลักษณะและแต่งได้อย่างน่าสนใจยิ่ง
ความน�ำ
ในการแต่งค�ำประพันธ์ของไทยนัน้ นอกจากต้องแต่งให้ถกู ต้องตามฉันทลักษณ์ของค�ำประพันธ์
แต่ละประเภทและแต่ละชนิดแล้ว กวีหลายคนยังอวดความสามารถพิเศษของตนโดยใช้รปู แบบการแต่ง
ที่เรียกว่า “กลบท” และ “กระทู้” ด้วย รูปแบบการแต่งทั้ง ๒ แบบนี้ปรากฏหลักฐานว่ามีมาตั้งแต่
สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว ดังปรากฏโคลงกลบทวัวพันหลักและม้าเทียมรถในโคลงสี่ดั้นบาทกุญชรเรื่อง
ลิลติ โองการแช่งน�ำ้ ๑ ตัง้ แต่ตน้ สมัยอยุธยาและปรากฏโคลงกระทู๒้ ในสมัยอยุธยาตอนกลาง ส่วนมาก
มักแต่งแทรก๓ ไว้ในผลงานที่แต่งเป็นโคลง อย่างไรก็ตาม มีกวีบางคน นักวิชาการหลายคน และ
นิสิตนักศึกษาจ�ำนวนไม่น้อยมีความเข้าใจสับสนระหว่าง “โคลงกลบท” บางชนิดกับ “โคลงกระทู้”
แต่ยงั ไม่มนี กั วิชาการคนใดได้อธิบายความเข้าใจสับสนดังกล่าว ผูเ้ ขียนจึงสนใจทีจ่ ะศึกษาลักษณะเด่น
ของโคลงกลบทและโคลงกระทู้เพื่อให้ผู้ที่มีความเข้าใจสับสนสามารถจ�ำแนกโคลงทั้ง ๒ ชนิดนี้
ออกจากกัน
วัตถุประสงค์
การศึกษาครั้งนี้ ผู้เขียนมีจุดประสงค์ดังต่อไปนี้
๑. เพื่อชี้ให้เห็นความเหมือนคล้ายและความแตกต่างระหว่าง “โคลงกลบท” กับ “โคลง
กระทู้” เพื่อขจัดความเข้าใจสับสนในการจ�ำแนก “โคลงกลบท” กับ “โคลงกระทู้”
๑
โคลงกลบทวัวพันหลักซ�้ำค�ำท้ายบาท ๑ ค�ำกับค�ำต้นบาทถัดไป ๑ ค�ำ ส่วนโคลงกลบทม้าเทียมรถซ�้ำค�ำในลักษณะ
เดียวกัน แต่ใช้ซ�้ำ ๒ ค�ำ ดังตัวอย่างในลิลิตโองการแช่งน�้ำ (ชลดา เรืองรักษ์ลิขิต, ๒๕๖๐ : ๑๒๐) ดังนี้
กล่าวถึงน�้ำฟ้าฟาด ฟองหาว
ฟองหาวดับเดโช ฉ�่ำหล้า
ฉ�่ำหล้าปลาดินดาว เดือนแอ่น
เดือนแอ่นลมกล้าป่วน ไปมา
๒
ปรากฏในโคลงบางบทในจินดามณี และท้ายเรื่องเสือโคค�ำฉันท์ ในที่นี้ยกตัวอย่างจากเสือโคค�ำฉันท์ ดังนี้
จบ จนจอมนาถไท้ คาวี
บ พิตรเสวยบุรี ร่วมน้อง
ริ พลหมู่มนตรี ชมชื่น จิตนา
บูรณ์ บ�ำเรอรักซ้อง แซ่ไหว้ถวายพร
๓
ยกเว้นโคลงบางเรื่อง เช่น โคลงกระทู้ของหลวงพัฒนพงศ์ภักดี (ทิม สุขยางค์) ที่แต่งโคลงกระทู้ทั้งเรื่อง “โดย
ประมวลค�ำสุภาษิตต่าง ๆ ของไทยมาท�ำเป็นค�ำกระทู้ และแต่งโคลงเพื่ออธิบายความหมายของสุภาษิต ขณะ
เดียวกันก็ให้ความรู้และคติธรรมแก่คนอ่าน (วีรวัฒน์ อินทรพร, ๒๕๕๘ : ๑๑๒) และมีโคลงกระทู้คติโลก ของ
พระภิกษุ หลวงจ�ำนงพลภักดิ์ แห่งวัดราชบุรณะ (๒๔๖๙) ที่แต่งโคลงกระทู้ ๑๐๑ บาทเป็นคติสอนใจทั้งเรื่อง โดย
มีค�ำน�ำซึ่งแต่งเป็นโคลงสี่สุภาพรวม ๔ บท และค�ำสรุปเป็นโคลงสี่สุภาพอีก ๑ บท
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ชลดา เรืองรักษ์ลิขิต ๙๓
๑๖
กระทู้สามัญคือค�ำกระทู้ที่ไม่มีสัมผัส
๑๗
กระทู้พันธ์คือกระทู้ค�ำเดียวที่มีสัมผัสกลางค�ำกระทู้
๑๘
กระทู้ทวีพันธ์คือกระทู้ ๒ ค�ำที่มีสัมผัสตรงกลางค�ำกระทู้
๑๙
กระทู้ยืนนี้ทรงน�ำโคลงกลบทบุษบงแย้มผกาที่ใช้ค�ำ “เสีย” ขึ้นต้นทุกบาทในโลกนิติค�ำโคลง โดยขึ้นต้นบทว่า
“เสียสินสงวนศักดิ์ไว้ วงศ์หงส์” มาทรงเขียนเป็นโคลงกระทู้ทั้งที่ในต้นฉบับเดิมไม่ได้จัดเป็นโคลงกระทู้
๒๐
กระทู้สกัดแคร่คือโคลงที่มีค�ำกระทู้ว่า “เนตร น้อง ส่อง มา” และใช้ค�ำชุดเดียวกันนี้ตรงท้ายบาทด้วย เช่น
“เนตร คมสมลักษณเนื้อ นิล เนตร”
๒๑
กระทู้พันธวีสติคือโคลงที่แบ่งค�ำในวรรคหน้าของทุกบาทเป็น ๕ ค�ำ เมื่ออ่านแต่ละแถวลงตามแนวดิ่งจะได้วรรค
ละ ๔ ค�ำที่มีสัมผัสตรงกลาง คือระหว่างค�ำที่ ๒ กับ ๓ แต่ไม่ได้เนื้อความดีนัก
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ชลดา เรืองรักษ์ลิขิต ๙๗
๒๒
สมัยรัชกาลที่ ๓ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท (๒๕๕๒ : ๗๗-๗๙) เมือ่ ทรงพระนิพนธ์จนิ ดามณี
ตามพระบรมราชโองการ ทรงพระนิพนธ์โคลงกระทู้ต่อเนื่องกันรวม ๓๕ บท โดยทรงน�ำค�ำในแต่ละวรรคของ
กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ ที่แต่งต่อกันจ�ำนวน ๕ บทมาเป็นค�ำกระทู้เดี่ยว ได้แก่ “จะ แต่ง โคลง กทู้ ไว้ หวัง เปน
ครู ให้ ดู ล�ำ น�ำ เหมือน เตือน สะ ติ เร่ง ตริะ ตรอง ค�ำ ใช่ จะ แกล้ง ท�ำ แต่ ภอ คล้อง และจอง
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๖ ชิต บุรทัต (๒๔๕๘ : ๗๐-๗๖) ได้แต่งโคลงกระทู้เรื่อง “ชาติปิยานุศร โคลงกระทู้
วิชชุมมาลาฉันท์” โดยแต่งโคลงกระทู้ต่อเนื่องกัน ๓๒ บทโดยน�ำค�ำในแต่ละวรรคของวิชชุมมาลาฉันท์ซึ่งแต่งต่อ
เนื่องกันรวม ๔ บทมาท�ำเป็น “ค�ำกระทู้” เช่น “เกิด เปน คน ไทย ทั้ง ใจ แล นาม พร้อม สอง ปอง ความหมาย
คง ตรง กัน ชื่อ ตน คน ไทย ส่วน ใจ เห หัน เปน อื่น พื้น พรรค พาล โหด โฉด เขลา นอกจากนี้ ในสมัยเดียวกัน
พระภิกษุ หลวงจ�ำนงพลภักดิ์ แห่งวัดราชบุรณะ แต่งโคลงกระทู้คติโลก (๒๔๖๙) จ�ำนวน ๑๐๑ บท (ไม่นับ
โคลงสี่สุภาพที่อยู่ในค�ำน�ำตอนต้น ๔ บทและส่วนสรุปท้ายอีก ๑ บท) โดยใช้ค�ำกระทู้เดี่ยวแต่ละบทส่งสัมผัส
ต่อเนื่องกันตลอดทั้ง ๑๐๑ บท ทุกบทขึ้นต้นค�ำกระทู้ว่า “อย่า” และรับสัมผัสตรงค�ำกระทู้ค�ำที่ ๒ ทั้งหมด เช่น
บทที่ ๑-๗ ใช้ค�ำกระทู้ว่า “อย่า ท�ำ ใจ ง่าย” “อย่า หมาย เกิน การ” “อย่า หาญ เกิน แรง” “อย่า แข่ง เกิน
ฤทธ” “อย่า คิด เทียม เจ้า” “อย่า เฝ้า กวน กัน” “อย่า หัน ทาง ผิด”
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๙๘ “โคลงกลบท” กับ “โคลงกระทู้”
การแต่งโคลงกลบทบุษบงแย้มผกามาแล้ว มีข้อสังเกตว่าพระยาอุปกิตศิลปสารไม่ได้บัญญัติชื่อเรียก
โคลงกลลักษณะดังกล่าว แต่บญ ุ เตือน ศรีวรพจน์ (๒๕๔๑ : ๔๖) เรียกว่า “โคลงกระทูต้ น้ เสมอ” ทัง้ ที่
ผู้เขียนเห็นว่าตามข้อเท็จจริงเป็นโคลงกลบทที่แต่งโดยใช้จ�ำนวนค�ำชุดเดียวกันที่ต้นบาทสม�่ำเสมอกัน
ทั้ง ๔ บาท
ตามความเห็นของผู้เขียน “โคลงกระทู้” คือโคลงที่มีค�ำหลักหรือค�ำกระทู้วางไว้ตรงต้น
บาทแต่ละบาท โดยค�ำในแต่ละบาทต้องเป็นค�ำต่างชุดกัน มีได้ทงั้ “โคลงกระทู้ ๑” หรือ “โคลงกระทู้
เดี่ยว” “โคลงกระทู้ ๒” “โคลงกระทู้ ๓” และ “โคลงกระทู้ ๔”
มีข้อควรสังเกตว่าพระยาอุปกิตศิลปสาร (๒๕๓๙ : ๔๐๕) อธิบายว่าในการแต่งโคลง
กระทู้นี้สามารถแต่งปนกับโคลง ๔ ได้ทุกชนิด แต่ห้ามก้าวก่ายชนิดกัน หมายความว่าถ้าเดิมแต่งเป็น
โคลงสี่สุภาพ โคลงกระทู้ที่แต่งแทรกก็ต้องแต่งเป็นโคลงสี่สุภาพด้วย หากแต่งเป็นโคลง ๔ ดั้นโคลง
กระทู้ที่แต่งก็ต้องแต่งเป็นโคลงสี่ดั้น ซึ่งผู้เขียนก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
ผู้เขียนน�ำตัวอย่างการวางค�ำต้นบาทและจ�ำนวนค�ำต้นบาทใน “โคลงกลบทอเนกพล”
มาจากโคลงดัน้ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยของพระยาตรัง (พระยาตรัง,
๒๕๔๗ : ๒๒๕) ที่ใช้ค�ำต้นบาททุกบาทว่า “พลรถรถ” และน�ำ “โคลงกระทู้ ๓ ค�ำ” มาจากเรื่อง
โคลงโลกนิติ พระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร ที่ทรงใช้ค�ำกระทู้ว่า
“ไป่เห็นน�้ำ ตัดกระบอก ไป่เห็นรอก ขึ้นน่าไม้” (กรมศิลปากร, ๒๕๖๑ : ๓๙๖) ดังนี้
โคลงกลบทอเนกพล โคลงกระทู้ ๓
พลรถรถครั่นครื้น เครงเสียง ไป่เห็นน�้ำ หน้าด่วน ชวนกัน
พลรถรถราญรอน ราพณ์ร้าย ตัดกระบอก แบ่งปัน ส่วนใช้
พลรถรถเร็วเพียง พางจักร ไป่เห็นรอก อวดขัน มือแม่น
พลรถรถแผลงผ้าย เพิดพัง ขึ้นน่าไม้ ไว้ให้ หย่อนแท้เสียสาย
ผู้เขียนน�ำตัวอย่างการวางค�ำต้นบาทและจ�ำนวนค�ำต้นบาทใน “โคลงกลบทจตุรสโรช”
มาจากโคลงกลบทวัดพระเชตุพน ทีก่ วีแต่งเป็นโคลงกลชือ่ “กลโคลงพันธวีสติ” พระพุทธโฆษาจารย์
เป็นผู้แต่ง (นิยะดา เหล่าสุนทร, ๒๕๔๔ : ๘๖) แต่เมื่อถอดกลแล้วได้โคลงที่เป็นโคลงกลบทจตุร-
สโรชที่ใช้ค�ำขึ้นต้นบาททุกบาทว่า “ค�ำปราชว่าอย่า” โดยผู้เขียนคงการเขียนสะกดค�ำในโคลงบทนี้
ตามต้นฉบับ และน�ำ “โคลงกระทู้ ๔” มาจากโคลงกระทู้โบราณที่ใช้ค�ำกระทู้ว่า “ฝนตกแดดออก
นกกระจอกเข้ารัง แม่ม่ายใส่เสื้อ เอาเสื่อคลุมหลัง” (พระยาอุปกิตศิลปสาร, ๒๕๓๙ : ๔๐๕) ดังนี้
โคลงกลบทจตุรสโรช โคลงกระทู้ ๔
ค�ำปราชว่าอย่าค้า ยาพิศม์ ฝนตกแดดออก แจ้ แจ่มแสง
ค�ำปราชว่าอย่าคิด คดจ้าว นกกระจอกเข้ารัง แฝง ใฝ่เร้น
ค�ำปราชว่าอย่าชิด คนชั่ว แม่ม่ายใส่เสื้อ แดง ดูฉาด
ค�ำปราชว่าอย่าห้าว หักเหี้ยนหายคม เอาเสื่อคลุมหลัง เต้น ต่อล้อหลอกฝน
นอกจากมีความเหมือนคล้ายเรื่องต�ำแหน่งการวางค�ำและจ�ำนวนค�ำตรงต้นบาทในการ
แต่ง “โคลงกลบท” ๔ ชนิดข้างต้นกับ “โคลงกระทู้” ดังที่กล่าวมาแล้ว โคลงเหล่านี้ยังมีข้อแตกต่าง
กันอย่างเห็นเด่นชัดด้วย ดังจะกล่าวในหัวข้อต่อไป
อา สาสุดสิ้นเรี่ยว แรงกาย
ภัพ และผลพังหาย โหดเศร้า
เหมือน เพลิงตกสินธุ์สาย ศูนย์ดับ ไปนา
ปูน ต่อขาดขอดเต้า จึ่งรู้คุณปูน
หากเป็นค�ำกระทู้ที่ไม่มีความหมาย ผู้แต่งต้องหาค�ำมาแต่งขยายความค�ำกระทู้ให้มี
ความหมายตามที่ต้องการหรือตามที่เห็นว่าเหมาะสม เช่น ค�ำกระทู้ “ทะ ลุ่ม ปุ่ม ปู” ใน “กระทู้
พม่า” (สุภาพร มากแจ้ง, ๒๕๓๕ : ๒๖๓) ดังนี้
ทะ แกล้วซากเกลื่อนพื้น อยุธยา
ลุ่ม แห่งเลือดน�้ำตา ท่วมหล้า
ปุ่ม อิฐฝุ่นทรายสา- มารถกล่าว
ปู แผ่สัจจะกล้า ป่าวฟ้าดินฟัง
พระยาอุปกิตศิลปสาร (๒๕๓๙ : ๔๐๕) ให้ข้อสังเกตการแต่ง “โคลงกระทู้” ไว้ ๓ ประการ
ได้แก่
๑. ในการแต่งโคลงกระทู้ ต้องแต่งขยายความของค�ำกระทูใ้ ห้ได้ใจความแจ่มแจ้งชัดเจนและ
ไม่ซ�้ำกัน เว้นแต่ใช้ค�ำกระทู้ที่ไม่มีความหมาย เช่น “โก วา ปา เปิด” หรือ “ทุ สุ มุ ดุ” ผู้นิพนธ์
หรือมีความหมายกว้างมาก ก็ให้เลือกหาความมาแต่งได้เองตามแต่เห็นเหมาะสม กรณีต้องการแต่ง
ให้ขบขันก็แต่งขยายความให้ต่างไปจากความหมายของค�ำกระทู้ก็ได้
๒. ในการแต่งโคลงกระทู้ จะตั้งค�ำกระทู้หน้าบาทไม่เท่ากันทุกบาทได้ เช่น “ช้าช้า ได้ พร้า
สองเล่ม งาม” ไม่มีข้อห้าม แต่ต้องแยกค�ำกระทู้ให้ห่างออกจากเนื้อโคลง
๓. ผู้แต่งอาจแต่งโคลงกระทู้เป็นโคลงสี่สุภาพหรือโคลงสี่ดั้นก็ได้ แต่ต้องเป็นโคลงชนิด
เดียวกันกับโคลงอื่นในเรื่องเดียวกัน เช่น โคลงอื่นแต่งเป็นโคลงสี่สุภาพ โคลงกระทู้ในเรื่องนั้นก็ต้อง
แต่งเป็นโคลงสี่สุภาพด้วย แต่หากโคลงอื่นแต่งเป็นโคลงสี่ดั้น โคลงกระทู้ในเรื่องนั้นก็ต้องแต่งเป็น
โคลงสี่ดั้นด้วย
ผู้นิพนธ์มีความเห็นว่าข้อสังเกตประการที่ ๒ ข้างต้นขัดแย้งกับพระราชด�ำริของพระบาท
สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงอธิบายว่าต้องจัดค�ำกระทู้ให้เท่ากันสม�่ำเสมอในแต่ละบาท
โคลงที่นักวิชาการเขียน โคลงในเรื่องเดิม
พระ เบญโญภาศเพี้ยง ทินกร พระเบญโญภาศเพี้ยง ทินกร
พระ ส�ำนยงปานสวร สี่หน้า พระส�ำนยงปานสวร สี่หน้า
พระ โฉมเฉกศรีสมร ภิมภาคย ไส้แฮ พระโฉมเฉกศรีสมร ภิมภาคย ไส้แฮ
พระ แจ่มพระเจ้าจ้า แจ่มอินทร พระแจ่มพระเจ้าจ้า แจ่มอินทร
บุญเตือน ศรีวรพจน์ (๒๕๔๑ : ๔๖) ยกโคลงบทหนึ่งจากโลกนิติค�ำโคลง แล้วเขียนค�ำ
ต้นบาทแยกจากค�ำอื่น ๆ ในเนื้อโคลง ทั้ง ๆ ที่ในเรื่องเดิม สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา-
เดชาดิศร ทรงเขียนค�ำต้นบาทติดกับค�ำอื่นในบาท ไม่ได้ทรงแยกค�ำ (กรมศิลปากร, ๒๕๖๑ : ๕๖)
ดังนี้
โคลงที่นักวิชาการเขียน โคลงในเรื่องเดิม
ห้าม เพลิงไว้อย่าให้ มีควัน ห้ามเพลิงไว้อย่าให้ มีควัน
ห้าม สุริยแสงจันทร์ ส่องไซร้ ห้ามสุริยแสงจันทร์ ส่องไซร้
ห้าม อายุให้หัน คืนเล่า ห้ามอายุให้หัน คืนเล่า
ห้าม ดั่งนี้ไว้ได้ จึ่งห้ามนินทา ห้ามดั่งนี้ไว้ได้ จึ่งห้ามนินทา
มีข้อสังเกตว่านักวิชาการข้างต้นไม่ได้น�ำ “โคลงกลบทบุษบงแย้มผกา” มาอธิบายเปรียบ
เทียบกับ “โคลงกระทู้ยืน” หรือ “โคลงกระทู้ต้นเสมอ” แต่อย่างใดเลย
อย่างไรก็ดี โกชัย สาริกบุตร ได้น�ำ “โคลงกลบทบุษบงแย้มผกา” มาเทียบกับ “โคลง
กระทู้ยืน ๑ ค�ำ” ดังที่ผู้นิพนธ์ได้กล่าวไปแล้ว ซึ่งน่าจะส่งผลให้กวีบางคน นักวิชาการหลายคนและ
นิสิตนักศึกษาเข้าใจผิด และน�ำ “โคลงกลบทบุษบงแย้มผกา” มาจัดเป็น “โคลงกระทู้” และเขียน
ในรูปแบบของ “โคลงกระทู้ ๑”
อนึง่ เมือ่ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ (๒๕๔๕) แต่งเรือ่ งชักม้าชมเมือง อธิบายไว้ทา้ ยเล่มว่าแต่ง
“โคลงกระทู้” ไว้ในเรื่อง ๒ แห่ง แห่งแรกแต่งในหัวข้อ “ดีดสีตีเป่า” ปรากฏในโคลงบทที่ ๒๑-๒๔
(นวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์, ๒๕๔๕ : ๒๓๔) ใช้ค�ำต้นบาททุกบาทเป็นค�ำชุดเดียวกันในโคลงแต่ละบทรวม
๔ บท โคลงบทแรกใช้ค�ำต้นบาทว่า “ดีด” บทที่ ๒ ใช้ค�ำต้นบาทว่า “สี” บทที่ ๓ ใช้ค�ำต้นบาทว่า
“ตี” และโคลงบทที่ ๔ ใช้ค�ำต้นบาทว่า “เป่า” (เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์, ๒๕๔๕ : ๕๕-๕๖) โดยเขียน
ค�ำต้นบาททุกบาทแยกห่างจากค�ำอื่น ๆ ในบาทเดียวกันในรูปแบบของ “โคลงกระทู้ ๑” ทั้ง ๆ ที่ค�ำ
เหล่านี้ไม่ใช่ค�ำกระทู้แต่อย่างใด ดังโคลงบทแรก
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ชลดา เรืองรักษ์ลิขิต ๑๐๙
ดีดสีตีเป่า
ดีด สายจะเข้ครั่น คะนึงหา
ดีด กระจับปี่ผวา ประหวัดโพ้น
ดีด จองหน่องวัจนา แนวถนัด
ดีด อดีตอนาถโน้น ขณะนี้เนืองขยาย
ลักษณะเช่นนี้จึงไม่ใช่ “โคลงกระทู้” แต่เป็นโคลงกลบทบุษบงแย้มผกา แต่ที่เรียกเป็น
โคลงกระทู้ น่าจะรับอิทธิพลมาจากค�ำอธิบายในต�ำราต่าง ๆ ข้างต้นที่เขียนด้วยความเข้าใจผิดนั่นเอง
ส่วนโคลงกระทู้แห่งที่สอง กวีเรียกว่า “โคลงกระทู้ บ้าน นอก คอก นา” (เนาวรัตน์ พงษ์-
ไพบูลย์, ๒๕๔๕ : ๗๑) เป็นการจ�ำแนกและเขียนรูปแบบโคลงกระทู้อย่างถูกต้องตามแบบโบราณ คือ
“โคลงกระทู้ ๑” จ�ำนวนทั้งสิ้น ๑ บท มีเนื้อความของโคลงทั้งบทอธิบายความหมายของค�ำกระทู้
แสดงให้เห็นว่ากวีมีความรู้ความเข้าใจเรื่องการแต่ง “โคลงกระทู้” โคลงกระทู้ดังกล่าว ได้แก่
บ้าน เพื่อนบ้านพี่น้อง คณานับ
นอก เขตนาครลับ ลิบโน้น
คอก วัวคอกควายสับ แซมฟาก
นา ล่มนาแล้งโล้น ลิ่วคว้างกลางนา
นอกจากนี้ ชัยรัตน์ พิพิธพัฒนาปราปต์ ซึ่งเป็นผู้แต่งนวนิยายเรื่อง กาหลมหรทึก ใช้
โคลงกลอักษรและโคลงกลบทในการสืบหาตัวฆาตกรในเรื่องอย่างแยบยล แต่เข้าใจผิดว่าโคลงบทที่
ขึ้นต้นว่า “น�้ำเคี้ยวยูงว่าเงี้ยว ยูงตาม” โดยใช้ค�ำขึ้นต้นทั้ง ๔ บาทว่า “น�้ำ ทราย ตา ลิง” เป็นโคลง
กระทู้ โดยเขียนค�ำต้นบาทแยกจากค�ำอื่น ๆ ในบาทเดียวกัน ซึ่งเป็นลักษณะของการเขียนค�ำกระทู้
(๒๕๕๗ : ๑๘๕) ทั้ง ๆ ที่ในโคลงโลกนิติ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศรไม่ได้เขียน
แยกค�ำเช่นนั้นเพราะไม่ใช่โคลงกระทู้ (กรมศิลปากร, ๒๕๖๑ : ๖๔) ดังนี้
โคลงในกาหลมหรทึก โคลงในเรื่องเดิม
น�้ำ เคี้ยวยูงว่าเงี้ยว ยูงตาม น�้ำเคี้ยวยูงว่าเงี้ยว ยูงตาม
ทราย เหลือบเห็น ยูงงาม ว่าหญ้า
๓๑
ทรายเหลือบหางยูงงาม ว่าหญ้า
ตา ทรายยิ่งนิลวาม พรายเพริศ ตาทรายยิ่งนิลวาม พรายเพริศ
ลิง ว่าหว้าหวังหว้า หว่าดิ้นโดด๓๒ ตาม ลิงว่าหว้าหวังหว้า หว่าดิ้นโดยตาม
๓๑
เขียนค�ำผิดจากต้นฉบับ ที่ถูกไม่ใช่ค�ำ “เห็น” แต่เป็น “หาง”
๓๒
เขียนค�ำผิดจากต้นฉบับ ทีถ่ ูกไม่ใช่ค�ำ “โดด” แต่เป็น “โดย”
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๑๑๐ “โคลงกลบท” กับ “โคลงกระทู้”
โคลงในบาทเดียวกัน อาจเพราะต้องการเน้นค�ำหรือไม่เข้าใจวิธีวางค�ำต้นบาทก็เป็นได้
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ชลดา เรืองรักษ์ลิขิต ๑๑๓
ลักษณะการแต่งเช่นนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่ากวีต้องการเน้นค�ำต้นบาททั้งใน “โคลงกลบท”
และใน “โคลงกระทู้” เพื่อขับเน้นความหมายของค�ำที่ใช้นั่นเอง
ไม่บังคับเนื้อความอย่างค�ำกระทู้ที่มีความหมาย ผู้แต่งมีอิสระเสรีในการแต่งเนื้อความได้อย่างเต็มที่
และผู้แต่งต่างคนสามารถแต่งให้มีเนื้อความต่างกันได้ เป็นการเล่นกับภาษาและฝีมือของผู้แต่ง เช่น
ค�ำกระทู้ “ทะ ลุ่ม ปุ่ม ปู” ซึ่งปรากฏในโคลงกวีโบราณที่พระยาตรังรวบรวมไว้และระบุว่าเป็น
โคลงกระทู้ที่ศรีปราชญ์แต่ง (พระยาตรัง, ๒๕๔๗ : ๓๑๘) และโคลงกระทู้ของอังคาร กัลยาณพงศ์
แต่งในหัวข้อ “มนุษย์ชาติชอบการฆ่าการด่าท�ำลาย” ซึง่ อยูใ่ นรวมกวีนพิ นธ์ชดุ บางกอกแก้วก�ำศรวล
หรือนิราศนครศรีธรรมราช (อังคาร กัลยาณพงศ์, ๒๕๒๑ : ๕๕) ท�ำให้เกิดเนื้อหาที่เป็นความรักของ
ชายที่มีต่อหญิงในโคลงกระทู้บทแรกและเนื้อหาวิจารณ์พฤติกรรมด้านลบของมนุษย์ในโคลงกระทู้
บทหลัง ดังนี้
โคลงของกวีโบราณ โคลงของกวีรัตนโกสินทร์
ทะ เลแม่ว่าห้วย เรียมฟัง ทะ ลวงฟ้าล่าเสี้ยว เดือนทอง
ลุ่ม ว่าดอนเรียมหวัง ว่าด้วย ลุ่ม แห่งกิเลสสยดสยอง หม่นไหม้
ปุ่ม เปือกว่าปะการัง เรียมร่วม ความแม่ ปุ่ม ด้อยถ่อยใจหมอง มนุษย์ชั่ว ชาติแฮ
ปู ว่าหอยแม้กล้วย ว่ากล้ายเรียมตาม ปู แผ่นิวเคลียร์ไว้ ฆ่าหล้าแหลกสลาย
๒.๒ จ�ำนวนค�ำกระทู้ที่ใช้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายว่าการ
จัดแบ่งค�ำกระทู้มาวางต้นบาทแต่ละบาทควรท�ำอย่างเป็นระบบ ดังนี้ “ประโยคที่จะตั้งเปนกระทู้นั้น
ต้องเลือกให้ได้ประโยคที่มี ๔ ค�ำ (หรือ ๔ พยางค์) หรือ ๘ ค�ำ (หรือ ๘ พยางค์) ที่จะแบ่งออก
เปน ๔ ภาคได้โดยสะดวกและได้ความทุกภาค เช่น “มือ ด้วน ได้ แหวน” หรือ “เพื่อนกิน หาง่าย
เพื่อนตาย หายาก” ดังนี้นับว่าเปนกระทู้อย่างดี (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, ๒๕๑๔ :
๑๑)
อย่างไรก็ดี มีนักวิชาการชั้นหลังอธิบายว่า จ�ำนวนค�ำกระทู้อาจจัดไม่เท่ากันในแต่ละ
บาทได้เพราะไม่มีข้อห้าม เช่น “ช้าช้า ได้ พร้าสองเล่ม งาม” (พระยาอุปกิตศิลปสาร, ๒๕๓๙ : ๔๐๕)
“ขี่ ช้าง ไล่ จับตั๊กแตน” (พระยาอุปกิตศิลปสาร, ๒๔๘๔ : ๑๕๘, ๑๖๓, ๑๖๘) และ “ปลาหมอ ตาย
เพราะ ปาก” “นั่งเจียม ดีกว่า นั่ง พรม”
สุภาพร มากแจ้ง (๒๕๓๕ : ๒๖๕) ก็มีความเห็นสอดคล้องกับพระยาอุปกิตศิลปสาร
โดยกล่าวว่าอาจเรียกโคลงที่มีจ�ำนวนค�ำกระทู้ไม่เท่ากันในโคลงบทเดียวกันว่า “โคลงกระทู้ผสม” ได้
ผูเ้ ขียนมีความเห็นว่าผูฝ้ กึ หัดแต่งโคลงกระทูแ้ ละผูแ้ ต่งโคลงกระทูค้ วรใช้จำ� นวนค�ำกระทู้
ในแต่ละบาทให้เท่ากัน หรือให้มีจ�ำนวนค�ำใกล้เคียงกันมากที่สุด เพื่อแสดงความคิดที่เป็นระบบใน
การแต่งโคลงกระทู้ว่าเป็น “โคลงกระทู้” ชนิดใด อย่างที่ก�ำชัย ทองหล่อ (๒๕๓๐ : ๔๔๖-๔๔๗) ได้
น�ำเสนอไว้ ดังนี้
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๑๑๖ “โคลงกลบท” กับ “โคลงกระทู้”
สรุป
“โคลงกลบท” และ “โคลงกระทู้” นี้เป็นโคลงต่างชนิดกันซึ่งจัดรวมอยู่ในกลุ่ม “โคลง
แบบพิเศษ” ที่มีข้อบังคับการแต่งโคลงมากกว่าข้อบังคับทั่วไป เป็นการแต่งค�ำประพันธ์ที่อวดความ
สามารถของผู้แต่ง ทั้งยังแต่งเพื่อเน้นค�ำบางค�ำหรือกลุ่มค�ำบางค�ำเป็นพิเศษได้เป็นอย่างดีด้วย จึงมี
วรรณศิลป์ทั้งด้านเสียง ค�ำและความหมาย โคลงทั้ง ๒ ชนิดนี้มีหลักเกณฑ์การแต่งที่เห็นชัดเจนว่า
แตกต่างกัน และจ�ำแนกออกจากกันอย่างเป็นระบบยิ่ง กวีโบราณแต่งทั้ง “โคลงกลบท” และ “โคลง
กระทู้” อย่างเป็นระบบและเขียนชัดเจนโดยไม่สับสน เพียงแต่นักวิชาการสมัยหลังวิเคราะห์โคลง
ของกวีโบราณแล้วอธิบายวิธีแต่งโคลงทั้ง ๒ ชนิดอย่างไม่ถูกต้องนัก ทั้งยังเขียนรูปแบบโคลงผิดไป
จากที่กวีโบราณเขียนไว้ และตั้งชื่อใหม่หลายชื่อให้แก่โคลงกระทู้ เช่น โคลงกระทู้ยืน โคลงกระทู้
ต้นเสมอ โคลงกระทู้ผสม ซึ่งทั้ง ๓ ชื่อนี้ไม่มีอยู่ในโคลงกระทู้ของกวีโบราณแต่อย่างใดเลย ลักษณะ
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๑๑๘ “โคลงกลบท” กับ “โคลงกระทู้”
ดังกล่าวข้างต้นท�ำให้กฎเกณฑ์ซึ่งเดิมเป็นระบบดีอยู่แล้วคลายความเป็นระบบไปจากเดิม และท�ำให้
เกิดความสับสนในหมูค่ นรุน่ ใหม่ หวังว่าบทความเรือ่ งนีจ้ ะช่วยขจัดความสับสนระหว่าง “โคลงกลบท”
กับ “โคลงกระทู้” ได้สมดังเจตนารมณ์ของผู้เขียน
เอกสารอ้างอิง
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. (๒๕๔๓). ประชุมโคลงโลกนิต.ิ กรุงเทพฯ : สถาบันภาษาไทย.
กรมศิลปากร. (๒๕๒๙). วรรณกรรมสมัยอยุธยา เล่ม ๑. กรุงเทพฯ : กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์.
_______ . (๒๕๓๐). วรรณกรรมสมัยอยุธยา เล่ม ๒. กรุงเทพฯ : กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์.
_______ . (๒๕๓๑). วรรณกรรมสมัยอยุธยา เล่ม ๓. กรุงเทพฯ : กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์.
_______ . (๒๕๖๑). โคลงโลกนิติจ�ำแลง และ โคลงโลกนิต.ิ กรุงเทพฯ : ส�ำนักวรรณกรรมและ
ประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร.
ก�ำชัย ทองหล่อ. (๒๕๓๐). หลักภาษาไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๗. กรุงเทพฯ : รวมสาส์น.
โกชัย สาริกบุตร. (๒๕๑๘). การวิเคราะห์กลบทในกวีนิพนธ์ไทย. เอกสารนิเทศการศึกษาฉบับที่
๑๖๙ หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมการฝึกหัดครู.
โคลงสุภาษิตประจ�ำภาพ ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม. (๒๔๗๒). พระนคร : โรงพิมพ์
พิพรรฒธนากร. (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสมรรัตนศิริเชษฐ โปรดให้พิมพ์เป็น
มิตรพลีขึ้นปีใหม่ พ.ศ. ๒๔๗๒).
จ�ำนงพลภักดิ์, พระภิกษุ หลวง. โคลงกระทู้คติโลก. แต่งช่วยในงานพระราชทานเพลิง จอมมารดา
เลี่ยม จอมมารดาของกรมหมื่นพิทยาลงกรณ ณ วัดประทุมวนาราม ๑๙ กุมภาพันธ์
พ.ศ. ๒๔๖๙.
จินดามณี เล่ม ๑-๒ บันทึกเรื่องจินดามณีและจินดามณี ฉบับสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ. (๒๕๑๔).
พิมพ์ครั้งที่ ๖. กรุงเทพฯ : บรรณาคาร.
ชลดา เรืองรักษ์ลิขิต. (๒๕๖๐). อ่านโองการแช่งน�้ำ ฉบับวิเคราะห์และถอดความ. พิมพ์ครั้งที่ ๔.
กรุงเทพฯ : บริษัท ธนาเพรส จ�ำกัด.
ช�ำนิโวหาร, พระ. (๒๕๔๖). โคลงสรรเสริญพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์.
กรุงเทพฯ : ส�ำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร.
ชิต บุรทัต. (๒๔๕๘). “ชาติปิยานุศร โคลงกระทู้วิชชุมมาลาฉันท์” สมุทสาร. ๒(๑๐), ๗๐-๗๖.
ตรัง, พระยา. (๒๕๔๗). โคลงดั้นสรรเสริญพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย.
พิมพ์ครั้งที่ ๕. กรุงเทพฯ : ส�ำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร.
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ชลดา เรืองรักษ์ลิขิต ๑๑๙
ตราราหู : ของวิเศษอเนกประสงค์
ในเรื่องพระอภัยมณี
รองศาสตราจารย์โชษิตา มณีใส
ภาคีสมาชิก ส�ำนักศิลปกรรม
ราชบัณฑิตยสภา
บทคัดย่อ
ตราราหูในเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่เป็นของวิเศษอเนกประสงค์ของกษัตริย์เมือง
ลังกา เป็นมณีวิเศษทรงคุณค่า มีความส�ำคัญ มีอานุภาพอัศจรรย์ สามารถน�ำไปใช้ประโยชน์
ได้อย่างหลากหลาย เช่น ขจัดอุปสรรคจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ อ�ำนวยความสะดวก
สบายและความปลอดภัยให้ชีวิต เป็นเครื่องรางช่วยให้แคล้วคลาด เป็นอาวุธ และเป็นเครื่อง
แสดงสิทธิความเป็นกษัตริย์ แม้ว่าคุณสมบัติ อานุภาพ และคุณค่าความส�ำคัญของตราราหู
ตามที่ปรากฏในเรื่องสันนิษฐานว่าน่าจะได้เค้ามาจากหลายแหล่ง ได้แก่ ความรู้บางประการ
เกี่ยวกับจักรพรรดิรัตนะและอุตรกุรุในไตรภูมิพระร่วง ตราหยกในสามก๊ก และเครื่องรางราหู
ตามความเชื่อแต่โบราณของไทย ทว่าเป็นด้วยจินตนาการความปรารถนาของมนุษย์ที่จะเป็น
เจ้าของวัตถุเพียงสิ่งเดียวแต่สามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลายท�ำให้กวีสร้างสรรค์ตราราหูให้มี
ความโดดเด่นในฐานะของวิเศษอเนกประสงค์ดังกล่าว
ความน�ำ
ความจ�ำกัดด้านเทคโนโลยีในยุคสมัยอาจท�ำให้มนุษย์ไม่สามารถควบคุมหรือก�ำหนดสภาพ
แวดล้อมบางประการให้เป็นไปตามความต้องการได้ แต่จินตนาการของมนุษย์ไม่เคยถูกจ�ำกัดไม่ว่า
จะเป็นยุคสมัยใด จินตนาการเรื่องการมีของส�ำคัญเพียงสิ่งหนึ่งแต่สามารถน�ำไปใช้ประโยชน์ได้แบบ
อเนกประสงค์สอดคล้องกับบริบททางสังคมและความจ�ำเป็นเกิดขึ้นตามความใฝ่ฝันของมนุษย์
มานานแล้ว ยิ่งของดังกล่าวมีคุณสมบัติและอานุภาพมหัศจรรย์แล้วย่อมนับว่าเป็นของวิเศษโดยแท้
ในวรรณคดีไทยเรือ่ งพระอภัยมณีกล่าวถึงของวิเศษอเนกประสงค์ซงึ่ มีคณุ สมบัตแิ ละอานุภาพมหัศจรรย์
มีคุณประโยชน์หลากหลาย อีกทั้งยังมีคุณค่าความส�ำคัญอย่างยิ่ง นั่นคือตราราหูของนางละเวง
คุณสมบัติและอานุุภาพของตราราหู
ในเรื่องพระอภัยมณี สุนทรภู่กล่าวถึงคุณสมบัติและอานุภาพของตราราหูไว้ว่า
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
รองศาสตราจารย์โชษิตา มณีใส ๑๒๓
ประการหนึ่งซึ่งตราพระราหู เป็นของคู่ขัตติยาเทวาถวาย
เป็นตราแก้วแววเวียนวิเชียรพราย แต่เช้าสายสีรุ้งดูรุ่งเรือง
ครั้นแดดแข็งแสงขาวดูพราวพร้อย ครั้นบ่ายคล้อยเคลือบสีมณีเหลือง
ครั้นค�่ำช่วงดวงแดงแสงประเทือง อร่ามเรืองรัศมีเหมือนสีไฟ
แม้นเดินหนฝนตกไม่ถูกต้อง เอาไว้ห้องหับแห่งต�ำแหน่งไหน
ไม่หนาวร้อนอ่อนอุ่นละมุนละไม ถ้าชิงชัยแคล้วคลาดซึ่งศาสตรา
(สุนทรภู่, ๒๕๒๙ : ๓๑๓)
ค�ำประพันธ์นี้กล่าวว่า ตราราหูเป็นตราซึ่งเทพยดาประสาทให้ เป็นของส�ำหรับกษัตริย์ ท�ำ
จากแก้วมณีที่มีคุณสมบัติเปล่งประกายแพรวพราว แปรสีเมื่อต้องแสงในเวลาต่าง ๆ ของวัน ยามเช้า
สายแดดอ่อนแก้วนี้จะส่งประกายสีรุ้ง ยามแดดจ้าขึ้นจะแปรเป็นสีขาว พอยามบ่ายจะกลายเป็น
สีเหลือง ครัน้ ตกค�ำ่ แก้วนีจ้ ะมีสแี ดงและเปล่งรัศมีเรืองรองราวกับไฟ เมือ่ มีตราราหูอยูก่ บั ตัวแม้ฝนตก
ก็ไม่เปียก หากไว้ในสถานที่อยู่ก็ท�ำให้อากาศเย็นสบาย และหากต้องสู้รบก็ช่วยให้แคล้วคลาดจาก
อาวุธ
โดยนัยนีน้ บั ว่าตราราหูเป็นของวิเศษอเนกประสงค์ มีอานุภาพมหัศจรรย์กอ่ ให้เกิดประโยชน์
ตอบโจทย์ความต้องการได้หลากหลาย เช่น เป็นเสมือนดวงไฟให้ความสว่างรุ่งเรืองตลอดเวลา ใน
ยามมืดมิดก็มิพักต้องตามประทีปชวาลาหรือจัดหาไต้คบแต่อย่างใด ยามฝนตกยังป้องกันสายฝน
มิให้ตกต้อง ท�ำให้สามารถอยู่ท่ามกลางสายฝนได้โดยที่ร่างไม่เปียกฝน เมื่ออยู่ในเคหสถานยังปรับ
อุณหภูมิห้องให้พอเหมาะอยู่เสมอ และโดยเหตุท่ีเป็นของส�ำหรับกษัตริย์ผู้ย่อมต้องมีภารกิจในการ
สู้รบ ตราราหูนี้ยังสามารถป้องกันศัสตราวุธอีกด้วย
อย่างไรก็ดี ในเรื่องพระอภัยมณี คุณสมบัติและอานุภาพของตราราหูตามที่กล่าวข้างต้น
ปรากฏการน�ำไปใช้เพียงบางประการเท่านั้น โดยมีผลต่อเนื้อเรื่องและการด�ำเนินเรื่อง ได้แก่
๑. การเป็นดวงไฟให้แสงสว่าง นางละเวงใช้ประโยชน์ข้อนี้ตอนมองหาที่พักค้างแรมหลัง
จากหลีกหนีพระอภัยมณีไปในความมืด ดังที่ว่า
เอาแก้วตราราหูขึ้นชูช่วง โชติดังดวงดาวสว่างกระจ่างแสง
เที่ยวส่องดูภูผาศิลาแลง เห็นต�ำแหน่งหนึ่งเลี่ยนเตียนสบาย
(สุนทรภู่, ๒๕๒๙ : ๔๐๑)
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๑๒๔ ตราราหู : ของวิเศษอเนกประสงค์ในเรื่องพระอภัยมณี
การเป็นดวงไฟส่องสว่างยามค�่ำคืนกลางป่านับว่าเป็นประโยชน์อย่างส�ำคัญ เพราะป่าเวลา
ค�่ำคืนย่อมมีแต่ความมืดมิด การแสวงหาที่พักที่เหมาะสมในยามนั้นส�ำหรับนางละเวงย่อมจะล�ำบาก
มากหากปราศจากตราราหู
แม้ตราราหูจะเป็นประโยชน์สำ� คัญในการส่องแสงสว่างรุง่ เรืองอยูต่ ลอดเวลาดังกล่าว แต่การ
พกพาตราราหูก็ต้องระมัดระวัง มิฉะนั้นอาจตกอยู่ในสถานการณ์ไม่พึงประสงค์ เช่น ท�ำให้เกิด
การเปิดเผยตัวโดยไม่เจตนา ดังในตอนพระอภัมณีออกติดตามรุกรบตอบโต้นางละเวงที่ลอบโจมตี
ยามค�่ำคืน พระอภัยมณีได้เห็นตัวนาง “ด้วยดวงตราแก้วสว่างกระจ่างแสง” ท�ำให้ทราบว่าผู้นั้นคือ
นางละเวงแม่ทัพฝ่ายศัตรูโดยไม่ต้องมีการแนะน�ำตัวแต่อย่างใด
ความสว่างรุง่ เรืองในความมืดของตราราหูทำ� ให้นางละเวงเข้าสูส่ ถานการณ์วกิ ฤต ดังตอนที่
นางหลงทางกลางป่า พบพวกโจรและกะลาสีใจฉกรรจ์จ�ำนวนนับพันที่ก�ำลังพักพลเสพสุราอาหารอยู่
ใกล้หนองน�้ำ นางตรงเข้าไปหาเพื่อถามทางในสภาพสูงส่งสว่างไสว ด้วยความมั่นใจในสถานภาพของ
ตนและของวิเศษคู่กาย ดังนี้
ใส่หมวกเสื้อเครือกระหนกเนาวรัตน์ แจ่มจ�ำรัศรัศมีศรีสยาม
ทั้งตราแก้วแพรวพราวดูวาววาม แลอร่ามรุ่งเรืองทั้งเครื่องม้า
(สุนทรภู่, ๒๕๒๙ : ๔๐๕)
เหตุการณ์ตอนนีท้ ำ� ให้นางละเวงต้องสูร้ บกับพวกโจรจนเจียนจะเสียที หากแต่พวกชาวบ้าน
สิกคารน�ำมาช่วยไว้ทนั และพานางกลับหมูบ่ า้ นอย่างปลอดภัย ความเป็นดวงแก้วส่องสว่างของตราราหู
ในตอนนี้แม้จะน�ำพานางละเวงให้ได้ความเดือดร้อนอยู่บ้าง แต่ก็นับว่ามีบทบาทในการสร้างความ
ประทับใจและการด�ำเนินเรือ่ ง เพราะช่วยให้เห็นความแกล้วกล้าสามารถของนาง ทัง้ เหตุการณ์ตอนนี้
ยังช่วยให้นางได้พบบาทหลวงปีโป นางยุพาผกา และนางสุลาลีวนั ซึง่ จะเป็นตัวละครทีม่ บี ทบาทส�ำคัญ
ในเนื้อเรื่องต่อไป
๒. การช่วยให้แคล้วคลาดจากศัสตราวุธ ดังปรากฏในตอนที่พระอภัยมณีรบกับนางละเวง
พระอภัยมณีตกอยูใ่ นวงล้อมข้าศึกจึงใช้เพลงปีส่ ะกดทัพให้หลับใหล แต่นางละเวงมีตราราหูชว่ ยป้องกัน
จากอ�ำนาจเพลงปี่ จึงไม่ต้องมนต์สะกด
ส�ำเนียงดังวังเวงเพลงสังวาส ดูวินาศนอนซบสลบไสล
ยังแต่นางพลางสลดระทดใจ จะเรียกใครก็ไม่ตื่นไม่ฟื้นกาย
(สุนทรภู่, ๒๕๒๙ : ๓๙๓)
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
รองศาสตราจารย์โชษิตา มณีใส ๑๒๕
ตอนที่นางละเวงพักแรมที่เขตถ�้ำกล�ำพัน ย่องตอดใช้มนต์สะกดหมายลอบเข้าไปท�ำร้าย
อ�ำนาจของตราราหูก็ท�ำให้นางละเวงไม่ตกอยู่ในอ�ำนาจมนต์สะกดของย่องตอดเหมือนคนอื่น ๆ ดัง
ที่ว่า
เทวดาอาเพศให้พบรถ เสกสะกดก้าวย่องค่อยมองหมาย
นางไม่หลับกลับตื่นฟื้นพระกาย เห็นคลับคล้ายคลับคลาเข้ามามอง
(สุนทรภู่, ๒๕๒๙ : ๔๑๗)
อานุภาพของตราราหูในการช่วยให้แคล้วคลาดจากศัสตราวุธ ส่งผลให้นางละเวงไม่ตกอยู่
ในอ�ำนาจมนต์สะกด นางจึงมีโอกาสต่อสู้จนได้ชัยชนะ ไม่เพลี่ยงพล�้ำเสียตั้งแต่แรกที่ยังไม่ได้มีการ
ต่อสู้ โดยเฉพาะการที่นางละเวงไม่ตกอยู่ในอ�ำนาจสะกดของเพลงปี่ ท�ำให้นางได้เผชิญหน้ากับ
พระอภัยมณีตามล�ำพัง ได้รบสู้ ได้ต่อปากต่อค�ำ ได้เกิดความประทับใจซึ่งจะมีผลต่อความสัมพันธ์
ลึกซึ้งของตัวละครทั้งสองในเวลาต่อมา ส่วนการต่อสู้จนสามารถสยบย่องตอดได้นั้น ท�ำให้นางละเวง
ได้ย่องตอดมาเป็นก�ำลัง
น่าสังเกตว่า ในเรื่องพระอภัยมณี นิยามของค�ำ “ศัสตราวุธ” ไม่ใช่สิ่งที่ใช้ประหาร ฟัน
แทง อย่างเช่น กริช หอก ดาบ ศร ธนู หากหมายถึงสิ่งอื่นที่ใช้ต่อสู้ ท�ำลายล้างผู้อื่น เช่น เพลงปี่
ของพระอภัยมณี มนต์สะกดของย่องตอด นิยามดังกล่าวสะท้อนให้เห็นความคิดของผู้แต่งว่า อาวุธ
ที่ใช้ท�ำร้ายผู้อื่นมีรูปแบบหลากหลาย เวทมนต์ก็เป็นอาวุธอย่างหนึ่ง แม้ค�ำพูดของนางวาลีก็ถูกระบุ
ว่าเป็นอาวุธเหมือนกัน ดังที่ว่า “จะพลิกพลิ้วชิวหาเป็นอาวุธ” (แต่ไม่แน่ใจนักว่าหากอุศเรนมีตราราหู
อยู่ อานุภาพของตราราหูจะช่วยอุศเรนให้แคล้วคลาดจาก “อาวุธ” ของนางวาลีได้หรือไม่ ด้วยว่า
อุศเรนตายเพราะความคั่งแค้นแน่นใจที่ต้องอัปยศจากการถูกฝ่ายข้าศึกจับตัวได้ เสียใจที่ทราบว่า
พระบิดาเพลี่ยงพล�้ำในการรบถึงแก่ชีวิต ซ�้ำยังมาถูกหญิงอัปลักษณ์อย่างนางวาลีพูดจาเย้ยหยัน จึง
กระอักโลหิตเสียชีวิต)
ข้อน่าสังเกตอีกประการคืออานุภาพของตราราหูตามที่กล่าวในตอนต้นระบุเพียงด้าน
แคล้วคลาดป้องกันศัสตราวุธเท่านั้น ต่อมาได้ขยายขอบเขตไปถึงการป้องกันภัยจากภูติผีปีศาจด้วย
ดังที่ว่า
อันดวงตราราหูคู่กษัตริย์ คุ้มจังหวัดแว่นแคว้นแดนสิงหล
ถึงผีสางปะรางควานไม่ทานทน ย่อมแพ้ผลวาสนาบารมี
(สุนทรภู่, ๕๒๙ : ๔๑๗)
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๑๒๖ ตราราหู : ของวิเศษอเนกประสงค์ในเรื่องพระอภัยมณี
เหตุนี้นางละเวงจึงใช้อานุภาพของตราราหูสยบย่องตอดได้ แม้ย่องตอดจะมีสภาพเหมือน
ผีดิบ เป็นอมตะ และมีฤทธิ์เดชมากเพียงใด ก็พ่ายแพ้อานุภาพของตราราหู ตามที่ย่องตอดกล่าวว่า
ข้ากินเนื้อเสือเหลืองเป็นเนืองนิตย์ ใครฆ่าตีชีวิตไม่วอดวาย
เว้นแต่ตราราหูสู้ไม่ได้ ท่านจับไว้วันนี้ไม่หนีหาย
(สุนทรภู่, ๒๕๒๙ : ๔๑๗)
ยิง่ กว่านัน้ คุณสมบัตแิ ละอานุภาพของตราราหูยงั ได้ขยายขอบเขตจากการป้องกันศัสตราวุธ
ไปเป็นตัวอาวุธ ใช้ส�ำหรับการต่อสู้ในระยะประชิด มีสายคล้องจับกระชับมือ ส่งผลให้การป้องกันภัย
และการเป็นอาวุธกลายเป็นคุณสมบัตแิ ละอานุภาพเด่นอีกประการหนึง่ ของตราราหูในเรือ่ งพระอภัยมณี
เนื่องจากตราราหูมีคุณสมบัติพื้นฐานคือไฟให้แสงสว่าง เมื่อใช้เป็นอาวุธจึงมีอานุภาพอย่าง
ไฟ ดังตอนที่กล่าวถึงนางละเวงต่อสู้กับพระอภัยมณีโดยใช้ตราราหูฟาดเป็นไฟกรด ว่า
พระหลบเลี่ยงเพลี่ยงผิดประชิดไล่ นางฟาดไฟกรดพรายกระจายผลาญ
ถูกกายกรร้อนรนพระทนทาน โถมทะยานฉวยพลาดนางฟาดฟัน
พระรับรองป้องปัดสกัดจับ นางกลอกกลับเลี้ยวลัดสะบัดผัน
จนอาวุธหลุดพระกรอ่อนด้วยกัน นางกระสันสายตราคอยราวี
(สุนทรภู่, ๒๕๒๙ : ๓๙๔)
และตอนที่นางละเวงต่อสู้กับย่องตอดก็ใช้ตราราหูเป็นอาวุธเช่นกัน ดังที่ว่า
อ้ายย่องตอดลอดลัดสกัดจับ นางเลี้ยวลับหลีกลัดฉวัดเฉวียน
เอาตราแกว่งแสงสว่างเหมือนอย่างเทียน จนจวนเจียนจึงฟาดปราดประกาย
ถูกตรงหัวขมองอ้ายย่องตอด ปวดตลอดล�ำหูไม่รู้หาย
หกล้มลงนิ่งสลบเหมือนศพตาย มนต์ก็คลายคนฟื้นตื่นตกใจ
ฯลฯ
พอพูดกันมันฟื้นยืนสลัด เชือกที่มัดหลุดโลดโดดถลา
นางตีซ�้ำหน�ำจิตด้วยฤทธิ์ตรา อุปมาเหมือนจะดิ้นสิ้นชีวิต
(สุนทรภู่, ๒๕๒๙ : ๔๑๗-๔๑๘)
คุณสมบัติและอานุภาพของตราราหูนับว่ามีพลวัตน่าสนใจ โดยมีจุดเริ่มมาจากการช่วยให้
ด�ำรงชีวิตอย่างสุขสบายด้วยการที่สามารถเอาชนะอุปสรรคทางธรรมชาติ ช่วยให้มีความปลอดภัยใน
ชีวิต ด้วยอานุภาพด้านแคล้วคลาดและป้องกันศัสตราวุธ ต่อมาได้ขยายขอบเขตเป็นช่วยป้องกันภัย
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
รองศาสตราจารย์โชษิตา มณีใส ๑๒๗
คุณค่าความส�ำคัญของตราราหู
ในเรือ่ งพระอภัยมณี ตราราหูไม่เพียงมีคณ
ุ สมบัตแิ ละอานุภาพอัศจรรย์ดงั กล่าวมาแล้ว หาก
ยังมีคณ
ุ ค่าความส�ำคัญอย่างยิง่ ยวดในเชิงสังคม ตราราหูเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นกษัตริยข์ องเมือง
ลังกา เป็นเครื่องหมายแห่งสิทธิในการครองบัลลังก์ เมื่อนางละเวงและมังคลาขึ้นครองเมืองก็ต้องรับ
ตรานี้เป็นส�ำคัญ
ตอนเสนาอมาตย์เชิญนางละเวงขึ้นครองเมืองลังกา
บัดนี้สิ้นปิ่นกษัตริย์ขัตติยา พระธิดาจงเป็นใหญ่ได้เอ็นดู
จะได้คิดปิดอุมงค์ปลงพระศพ เป็นเคารพรับตราพระราหู
แล้วจึงคิดกิจการผลาญศัตรู ที่เป็นคู่เคืองแค้นแทนบิดร
(สุนทรภู่, ๒๕๒๙ : ๓๑๓)
ตอนนางละเวงรับราชสมบัติ
เชิญละเวงวัณฬาธิดาราช ขึ้นนั่งอาสน์เนาวรัตน์จ�ำรัสไข
ฝ่ายเสนีที่บ�ำรุงเจ้ากรุงไกร ถวายไอศวรรยาทั้งธานี
ทั้งหัศเกนเป็นนายฝ่ายทหาร ถวายรถคชสารชาญชัยศรี
แล้วเวียงวังคลังนาบรรดามี อัญชลีแล้วถวายรายกันไป
นางถือตราราหูคู่พระหัตถ์ เพชรรัตน์รุ้งพร่างสว่างไสว
ทรงกระบี่มีโกร่งโปร่งเปลวไฟ จึงปราศรัยเสนาบรรดามี
(สุนทรภู่, ๒๕๒๙ : ๓๑๔-๓๑๕)
ตอนราชาภิเษกมังคลา
นางวัณฬาพาพระหน่อวรนาถ ขึ้นนั่งอาสน์อดิเรกภิเษกศรี
ให้วลายุดานั้นอัญชลี ขึ้นนั่งที่อุปราชอาสน์โอฬาร์
เจ้าหัสกันนั้นให้นั่งบัลลังก์ซ้าย เจ้าวายุพัฒน์พี่ชายนั่งฝ่ายขวา
นางมอบตราราหูคู่พารา ให้องค์พระมังคลาปรีชาชาญ
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๑๒๘ ตราราหู : ของวิเศษอเนกประสงค์ในเรื่องพระอภัยมณี
ทั้งพระแสงแต่งตั้งสั่งประกาศ ให้ครองราชนิเวศน์ประเทศสถาน
ฝ่ายเสนาข้าบาทในราชการ ต่างก้มกรานกราบช่วยอ�ำนวยชัย
(สุนทรภู่, ๒๕๒๙ : ๗๙๓)
ตราราหูมีความส�ำคัญอย่างยิ่งในตัวเอง ผู้ถือตราแม้จะมิใช่กษัตริย์ผู้ครองเมือง แต่หากถือ
ตรานั้นแล้วจะทรงสิทธิ์แห่งกษัตริย์ทุกประการทั้งสิทธิ์ในการว่าราชการและอาญาสิทธิ์ ดังที่กล่าวไว้
เมือ่ นางละเวงมอบตราราหูให้พระอภัยมณีเป็นผูถ้ อื คราวต้อนรับทูตจากกองทัพของศรีสวุ รรณทีม่ าล้อม
ลังกา ว่า
ถวายตราราหูเป็นคู่องค์ ส�ำหรับทรงว่าขานการพารา
(สุนทรภู่, ๒๕๒๙ : ๕๐๓)
ทั้งถือตราราหูคู่พระหัตถ์ ใครแข็งขัดเข่นฆ่าให้อาสัญ
(สุนทรภู่, ๒๕๒๙ : ๕๐๑)
คุณค่าความส�ำคัญของตราราหูดังกล่าวนี้นับว่าเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เน้นย�้ำความเป็นของวิเศษ
อเนกประสงค์ของตราราหูให้ประจักษ์
ร่องรอยความคิดและจินตนาการที่ใช้สร้างสรรค์ตราราหู
ความคิดและจินตนาการที่ใช้สร้างสรรค์คุณสมบัติอานุภาพตลอดจนคุณค่าความส�ำคัญ
ของตราราหูนั้นหากจะพิจารณาสืบเค้าร่องรอยก็เป็นประเด็นที่น่าสนใจประเด็นหนึ่ง เพราะการศึกษา
เชือ่ มโยงถึงข้อมูลทีเ่ กีย่ วข้องย่อมส่งผลให้เกิดความรู้ ความคิด และความตระหนักเห็นคุณค่าวรรณคดี
เรื่องนี้ในมุมมองใหม่ ๆ มากยิ่งขึ้น
จากการสืบเค้าร่องรอยความคิดและจินตนาการที่ใช้สร้างสรรค์ตราราหูพบว่าน่าจะมาจาก
หลายแหล่ง ได้แก่
๑. ความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ มาสโลว์ (๑๙๔๓) (Mcload, 2018) กล่าวว่า มนุษย์
มีความต้องการขั้นพื้นฐานและเป็นแรงผลักดันให้เกิดพฤติกรรม ทฤษฎีล�ำดับขั้นความต้องการ
พืน้ ฐานของเขา (Maslow’s Hierachy of Needs Theory) กล่าวถึงความต้องการพืน้ ฐานของมนุษย์
ว่ามีล�ำดับดังนี้ คือความต้องการทางร่างกาย (physiological needs) ความต้องการความมั่นคง
และปลอดภัย (safety needs) ความต้องการความรักและความผูกพัน (love and belonging
needs) ความต้องการการยกย่อง (esteem needs) ความต้องการรู้จักตนเองอย่างแท้จริงและ
พัฒนาตนเองให้สมบูรณ์ (need for self-actualization)
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
รองศาสตราจารย์โชษิตา มณีใส ๑๒๙
ส่วนแก้วมณีชื่อมณีรัตนะนั้นเป็นพระยาแห่งรัตนะทั้งปวง สามารถขจัดความมืดทั้ง ๔
ประการคือ มืดเดือนดับ มืดป่าชัฏ มืดฟ้ามืดฝน และมืดเที่ยงคืน อ�ำนาจแห่งมณีรัตนะท�ำให้ทุกหน
แห่งสว่างดังกลางวัน (ไตรภูมิพระร่วงของพระญาลิไทย, ๒๕๐๔ : ๑๓๔) อานุภาพของตราราหูใน
การให้ความสว่างรุ่งเรือง ขจัดความมืด ไม่ต่างจากแก้วมณีวิเศษที่กล่าวไว้ในเรื่องไตรภูมิพระร่วงแต่
อย่างใด
๒.๒ จินตนาการเกี่ยวกับอานุภาพในการช่วยให้สถานที่อยู่อาศัยมีอุณหภูมิที่พอเหมาะ
สร้างความสบาย และการช่วยให้ไม่เปียกฝน ใน ไตรภูมิพระร่วง ตอนที่กล่าวถึงชาวอุตรกุรุ ได้พูดถึง
ข้อนี้ว่า “อนึ่งชาวอุตรกุระนั้นเขาบห่อนจะรู้ร้อนรู้หนาวเลย..ทั้งลมแลฝนก็บห่อนจะท�ำร้ายแก่เขา”
(ไตรภูมิพระร่วงของพระญาลิไทย, ๒๕๐๔ : ๘๔) อุตรกุรุเป็นดินแดนที่มีสภาวะเป็นอุดมคติ
ทุกสิ่งในที่แห่งนั้นตอบสนองความปรารถนาที่มนุษย์ใฝ่ฝัน มีสภาวะธรรมชาติเอื้ออ�ำนวยต่อความ
สุขสบายของมนุษย์ในทุกประการ ไม่ร้อน ไม่หนาว ถึงจะมีลมมีฝนก็ไม่ต้องกายหรือสร้างผล
กระทบใด ๆ ต่อมนุษย์แม้แต่น้อย กวีได้เลือกน�ำจินตนาการเรื่องสภาวะธรรมชาติในอุตรกุรุจาก
ไตรภูมิพระร่วงนี้มาใช้สร้างสรรค์ตราราหูให้มีอานุภาพดลบันดาลความอัศจรรย์ดังกล่าว อนึ่ง เรื่อง
การไม่เปียกฝนนี้อาจกล่าวว่ามีเค้าความคิดจากเรือ่ งฝนโบกขรพรรษในเวสสันดรชาดก เป็นฝนทีต่ กลง
มาแล้วคนอธิษฐานไม่ให้เปียกก็ได้เหมือนกัน
๒.๓ จินตนาการเกี่ยวกับอานุภาพด้านความแคล้วคลาด ป้องกันภัย ป้องกันภูตผีปีศาจ
ประกอบกับชื่อของตราราหูเป็นเบาะแสให้เกิดความคิดเชื่อมโยงถึงเครื่องรางราหูซึ่งโบราณเชื่อว่า
มีอานุภาพดังกล่าว
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
รองศาสตราจารย์โชษิตา มณีใส ๑๓๑
๑
มหาทักษาพยากรณ์ เป็นต�ำราว่าด้วยเกณฑ์ดาวเคราะห์เสวยอายุและค�ำพยากรณ์ซึ่งเป็นข้อมูลที่จะน�ำไปช่วยเพิ่ม
ความแม่นย�ำในการท�ำนายโชคชะตา รวมทั้งวิธีบูชาเทวดาและสะเดาะพระเคราะห์ เนื่องจากก�ำลังแห่งเทวดาซึ่ง
เสวยอายุให้คุณหรือโทษต่างกันตามวาระแห่งก�ำลังที่เสวยอายุ ตามก�ำลังแห่งวัน เดือน ปีที่เทวดาเข้าเสวยอายุ
หากให้คณ ุ เจ้าชะตาก็จะมีสขุ รุง่ เรือง ได้ทรัพย์สนิ ไม่มโี รคภัยไข้เจ็บ หากให้โทษเจ้าชะตาก็จะมีแต่ทกุ ข์เดือดร้อน
สูญเสียทรัพย์สนิ โรคภัยเบียดเบียน จึงต้องมีการบูชาพระเคราะห์และสะเดาะพระเคราะห์ (ห้องโหรศรีมหาโพธิ,์
๒๕๒๒ : ๔๐๐-๓๗๔)
๒
ค�ำนี้มีเสียงคล้าย มหาอุจ ซึ่งทางโหราศาสตร์หมายถึง สูงส่งอย่างยิ่ง (อุจ แปลว่า สูง ตรงข้ามกับ นิจ/นีจ
แปลว่า ต�่ำ) อุจ มีเสียงพ้องกับ อุด คือ จุกให้แน่น ไม่รั่ว ดังนั้น ค�ำว่ามหาอุด จึงมีความหมายเชื่อมโยงไปถึง
ความขลัง ความอยู่ยงคงกะพัน และอาจหมายถึง มหาอุจ ซึ่งเป็นต�ำแหน่งที่ดีที่พระราหูจะให้คุณเป็นอย่างมาก
๓
เรื่องพระราหูเป็นศัตรูกับพระอาทิตย์และพระจันทร์มีนิทานอธิบายหลายแหล่ง มีรายละเอียดต่างกัน แต่มีเค้า
ตรงกันว่าราหูเป็นพญาอสูรผู้มีฤทธิ์ ขณะลอบดื่มน�้ำอมฤต พระอาทิตย์และพระจันทร์เห็นเข้าจึงไปฟ้องเทพ
ผู้ใหญ่ ราหูถูกเทพผู้ใหญ่ลงโทษขว้างด้วยจักรตัดกายขาดเป็น ๒ ท่อน แต่ราหูเป็นอมตะไปแล้วด้วยน�้ำอมฤต
จึงไม่ตาย นับแต่นั้นราหูจึงพยาบาทพระอาทิตย์และพระจันทร์ เมื่อโคจรสวนกันก็จะจับกินบ้าง เอามือบังบ้าง
ท�ำให้พระอาทิตย์และพระจันทร์มีราศีหมองมัวไป
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๑๓๒ ตราราหู : ของวิเศษอเนกประสงค์ในเรื่องพระอภัยมณี
ภาพที่ ๑ ส่วนหนึ่งของเครื่องรางราหูรูปแบบต่าง ๆ
ที่มา : http://www.itti-patihan.com
เทียเภาเล่าให้ซุนเกี๋ยนฟังถึงความเป็นมาของตราหยกนี้ว่า ตราหยกนี้เป็นตราส�ำหรับราช-
สมบัติ ท�ำจากหยกในก้อนศิลาที่หงส์จับอยู่บนเขา ครั้นพระเจ้าจิ๋นซีอ๋องเสวยราชย์ก็โปรดให้น�ำหยก
นั้นมาท�ำเป็นตราส�ำหรับพระมหากษัตริย์ แกะเป็นข้อความด้วยอักษรแปดตัวความว่า “เทวดา
ประสิทธิ์ให้ ถ้าผู้ใดได้ไว้แล้วครองราชย์สมบัติก็จะจ�ำเริญพระชันษาสืบไป” เมื่อพระเจ้าจิ๋นซีอ๋อง
สวรรคต ตรานี้ถูกน�ำมาถวายพระเจ้าฮั่นโกโจ อองมังเป็นขบถ นางตังไทฮอเอาตรานี้ขว้างใส่ทหาร
ของอองมังแต่ถูกผนังตึกท�ำให้เหลี่ยมด้านหนึ่งของตราลิไป จึงมีการน�ำทองค�ำมาเลี่ยมตราเข้าไว้
พระเจ้าฮั่นกองบู๊ได้ตราดวงนี้จึงได้เสวยราชย์ต่อมา ครั้นสิ้นสมัยพระเจ้าเลนเต้เกิดความไม่สงบขึ้น
เพราะการแย่งชิงความเป็นใหญ่ เกิดไฟไหม้พระราชวัง หองจูเปียนและหองจูเหียบราชบุตรถูกพาไป
พ้นอันตราย แต่ครั้นกลับคืนพระราชวังปรากฏว่าตราหยกได้หายไปแล้ว (เจ้าพระยาพระคลัง (หน),
๒๕๑๖ : ๑๑๓-๑๑๔)
เมื่อขุนนางทั้งหลายทราบว่าซุนเกี๋ยนพบตราหยกนี้ จึงหาทางรบพุ่งแย่งชิง เพราะเหตุที่ตรา
หยกมีความส�ำคัญยิ่งดังกล่าว
ตราราหูในเรื่องพระอภัยมณีมีความสอดคล้องกับตราหยกในเรื่องสามก๊กหลายประการทั้ง
ในแง่ความเป็นมา คุณสมบัติ อานุภาพ และคุณค่าความส�ำคัญในเชิงสังคม ตั้งแต่เรื่องเทวดาประสิทธิ์
การท�ำขึ้นจากอัญมณีมีค่า อานุภาพในการส่องแสงสว่าง ความส�ำคัญต่อความเป็นกษัตริย์ ค�ำระบุ
เรียกว่าตราทั้งที่มิได้กล่าวถึงประโยชน์ใช้สอยแง่การเป็นลัญจกร ท�ำให้สันนิษฐานว่าจินตนาการด้าน
ความส�ำคัญของตราราหูในเรื่องพระอภัยมณีน่าจะมาจากเรื่องตราหยกในสามก๊ก
อย่างไรก็ตาม ตราทั้งสองมีความแตกต่างที่ส�ำคัญ คือ ตราหยกในสามก๊กมีคุณสมบัติเป็น
ตราใช้ประทับหรือพระราชลัญจกร๔ ขณะที่ตราราหูเป็นเครื่องรางใช้ป้องกันภัยและใช้เป็นอาวุธ
ตราหยกในสามก๊กมีอานุภาพเพียงส่องสว่าง ขณะทีต่ ราราหูมอี านุภาพอัศจรรย์มากกว่าหลายประการ
ตราหยกมีแต่คุณค่าความส�ำคัญ ขณะที่ตราราหูมีทั้งคุณค่าความส�ำคัญและคุณค่ามหัศจรรย์ที่เอื้อต่อ
การใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย
อาจกล่าวได้ว่าความคิดและจินตนาการที่กวีน�ำมาใช้สร้างสรรค์ตราราหูนั้นมีความต้องการ
ขั้นพื้นฐานของมนุษย์เป็นตัวการผลักดันและก�ำหนดรายละเอียด ทั้งด้านความต้องการทางร่างกาย
ดังที่ตราราหูสามารถป้องกันความหนาวร้อน ความเปียกชื้น และความมืด ด้านความต้องการความ
มั่นคงและปลอดภัย ดังที่ตราราหูสามารถใช้เป็นอาวุธ เป็นเครื่องป้องกันอาวุธและคุณไสย ด้าน
ความต้องการการยกย่อง ดังที่ตราราหูเป็นเครื่องหมายของกษัตริย์และอ�ำนาจการปกครอง แม้ว่า
๔
ราชวงศ์จีนเริ่มใช้ตรามาตั้งแต่ประมาณ ๑,๗๐๐ ปีก่อนคริสตศักราช
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๑๓๔ ตราราหู : ของวิเศษอเนกประสงค์ในเรื่องพระอภัยมณี
สรุป
เรื่องของตราราหูในพระอภัยมณีของสุนทรภู่เกิดจากการที่กวีได้ประมวลจินตนาการจาก
หลายแหล่งมาใช้สร้างสรรค์คุณสมบัติ อานุภาพ และความส�ำคัญ โดยที่ความต้องการขั้นพื้นฐานของ
มนุษย์มีบทบาทในการก�ำหนด ท�ำให้ตราราหูเป็นของวิเศษอันทรงคุณค่าและคุณประโยชน์หลาก
หลาย เป็นของคู่กายที่มีคุณสมบัติและอานุภาพอัศจรรย์เลิศล�้ำกว่าของของวิเศษที่เคยมีมา แสดงให้
เห็นว่ามนุษย์มีจินตนาการความปรารถนาที่จะครอบครองเป็นเจ้าของสิ่งซึ่งสามารถน�ำไปใช้ประโยชน์
ได้อย่างอเนกประสงค์ครบครันมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เท่าที่มนุษย์จะนึกฝันได้ โดยความประสงค์นั้น
เป็นไปเพื่อความสะดวกสบาย ความมั่นคงความปลอดภัยในชีวิต ตลอดจนความส�ำคัญทางสังคมใน
ฐานะที่เป็นของคู่บุญและเป็นสัญลักษณ์ของผู้ปกครองสูงสุด เป็นจินตนาการที่ไม่จ�ำกัดด้านขอบเขต
ประเภท และกาลเวลา เพิ่มขีดความสามารถ และมีวิวัฒนาการสอดคล้องกับบริบทสังคมและ
ฐานภาพของผู้ครอบครอง ตราราหูซึ่งเป็นผลผลิตโดดเด่นจากจินตนาการดังกล่าวช่วยเพิ่มพูนคุณค่า
ความน่าสนใจให้แก่วรรณคดีเรื่องนี้
เอกสารอ้างอิง
ไตรภูมิพระร่วงของพระญาลิไทย. (๒๕๐๔). พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ : ศิลปาบรรณาคาร. ๓๒๗ หน้า
พระคลัง (หน), เจ้าพระยา. (๒๕๑๖). สามก๊ก. พิมพ์ครั้งที่ ๑๕. กรุงเทพฯ : บรรณาคาร.
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
รองศาสตราจารย์โชษิตา มณีใส ๑๓๕
ถอดบทเรียนด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยา
และอาหารเสริมแคลเซียม
ส�ำหรับผู้ที่ให้นมบุตรและผู้สูงอายุ
ศาสตราจารย์ ดร. นพ.นรัตถพล เจริญพันธุ์
ภาคีสมาชิก ส�ำนักวิทยาศาสตร์
ส�ำนักงานราชบัณฑิตยสภา
บทคัดย่อ
ประเทศไทย โดยส�ำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้ก�ำหนดไว้ว่า
ผูท้ อี่ ายุ ๑๙-๕๐ ปีควรรับประทานแคลเซียม ๘๐๐ มิลลิกรัมต่อวัน ส่วนผูท้ มี่ อี ายุมากกว่า ๕๐ ปี
ควรรับประทาน ๑,๐๐๐ มิลลิกรัมต่อวัน ปริมาณแคลเซียมที่ก�ำหนดในแต่ละช่วงอายุผันแปร
ตามความสามารถของล�ำไส้ที่ดูดซึมแคลเซียมและความสามารถในการปรับตัวของร่างกายเพื่อ
ดูดซึมแคลเซียมให้เพียงพอต่อความต้องการ เช่น การที่ร่างกายใช้วิตามินดีกระตุ้นการดูดซึม
แคลเซียมที่ล�ำไส้ ซึ่งการตอบสนองต่อวิตามินดีมักลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ในภาวะพิเศษ เช่น ผู้
หญิงที่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์ไตรมาสที่ ๓ และผู้ที่ก�ำลังให้นมบุตร จะมีความต้องการแคลเซียม
มากขึน้ เพือ่ การเจริญเติบโตของทารกในครรภ์และการสร้างน�ำ้ นม และถึงแม้วา่ ร่างกายของแม่จะ
ต้องการแคลเซียมเพิ่มขึ้นอีกประมาณ ๒๐๐-๓๐๐ มิลลิกรัมต่อวัน แต่เนื่องจากร่างกายผลิต
ฮอร์โมนหลายชนิด เช่น โพรแลคติน เพิ่มขึ้นในช่วงเวลานี้เพื่อช่วยในการดูดซึมแคลเซียม จึง
ท�ำให้ยังไม่มีความจ�ำเป็นต้องก�ำหนดให้รับประทานแคลเซียมมากขึ้นเกินกว่า ๘๐๐ มิลลิกรัม
ต่อวัน หลักการส�ำคัญในการเสริมแคลเซียมคือ เสริมให้รับประทานถึงปริมาณที่แนะน�ำเท่านั้น
ไม่มีความจ�ำเป็นต้องรับประทานให้เกินจากที่ก�ำหนดไว้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากแคลเซียมใน
อาหารมักพบในนมและผลิตภัณฑ์จากนม ส่วนอาหารไทยทัว่ ไป มักมีแคลเซียมไม่สงู มากนัก จึง
เป็นโอกาสให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาและอาหารเสริมแคลเซียมส�ำหรับผู้ที่ให้นมบุตรและผู้สูง
อายุ ซึง่ เป็นช่วงทีม่ กั ต้องการแคลเซียมเพิม่ สูงขึน้ กว่าภาวะปรกติ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาสูตร
แคลเซียมจ�ำเป็นต้องค�ำนึงถึงกลไกทางสรีรวิทยาของการดูดซึมแคลเซียมที่ล�ำไส้ กล่าวคือ สูตร
แคลเซียมควรประกอบด้วยสารประกอบแคลเซียมที่แตกตัวเป็นไอออนได้ดี และมีองค์ประกอบ
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์ ดร. นพ.นรัตถพล เจริญพันธุ์ ๑๓๗
ความต้องการแคลเซียมของร่างกายและแนวทางการเสริมแคลเซียม
แคลเซียมในร่างกายมนุษย์มี ๓ รูปแบบหลัก คือ ๑) แคลเซียมที่อยู่ในกระดูก ซึ่งคิด
เป็นร้อยละ ๙๙ ของแคลเซียมทั้งหมดในร่างกาย ส่วนใหญ่อยู่ในรูปผลึกไฮดรอกซิลอะพาไทต์
[Ca10(PO4)6(OH)2] ๒) แคลเซียมอิสระทีล่ ะลายอยูใ่ นเลือด และ ๓) แคลเซียมไอออนทีจ่ บั กับโปรตีน
ในเลือดโดยไม่แตกตัวเป็นไอออนอิสระ นอกจากนี้มีแคลเซียมอีกเล็กน้อยที่อยู่ภายในเซลล์ต่าง ๆ
แคลเซียมทุกรูปแบบมีความส�ำคัญ เช่น แคลเซียมในกระดูกท�ำให้กระดูกแข็งแรงและยังเป็นแหล่ง
สะสมแคลเซียมเผื่อการใช้ในยามจ�ำเป็น ส่วนแคลเซียมในเลือดส�ำคัญต่อเซลล์ประสาท เซลล์กล้าม
เนื้อหัวใจ และการแข็งตัวของเลือด ดังนั้นร่างกายจึงจ�ำเป็นต้องได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอเพื่อให้
ระบบต่าง ๆ ของร่างกายท�ำงานเป็นปรกติ แคลเซียมทีร่ า่ งกายได้รบั เกินสามารถขับออกทางไตได้ แต่
ระบบทางเดินปัสสาวะมีความสามารถขับแคลเซียมได้จ�ำกัด จึงไม่ควรรับประทานแคลเซียมมากเกิน
ความจ�ำเป็น
โดยทั่วไป ร่างกายได้รับแคลเซียมโดยการรับประทานเท่านั้น หลักการที่ส�ำคัญของการ
รับประทานแคลเซียมทั้งในรูปแบบของยาเสริมแคลเซียม อาหาร และเครื่องดื่มต่าง ๆ คือ การรับ
ประทานให้ร่างกายได้รับปริมาณแคลเซียมต่อวันเท่ากับที่ก�ำหนดไว้ใน “ปริมาณสารอาหารอ้างอิง
ที่ควรได้รับประจ�ำวัน (dietary reference intake–DRI)” ซึ่งก�ำหนดโดยส�ำนักโภชนาการ
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ ผู้บริโภคไม่จ�ำเป็นต้องรับประทานให้เกินกว่าปริมาณที่
ก�ำหนดไว้ การรับประทานเกินกว่าที่ก�ำหนดนอกจากจะไม่เพิ่มความแข็งแรงของกระดูกหรือชะลอ
การเกิดโรคกระดูกพรุนแล้ว ยังอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ ความผิด
ปรกติของระบบหัวใจและหลอดเลือด หรือแม้แต่ภาวะสมองเสื่อมได้ (Kern et al, 2016; Larsson
et al, 2017; Malihi et al, 2016)
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์ ดร. นพ.นรัตถพล เจริญพันธุ์ ๑๓๙
ภาพที่ ๑ ฉลากข้างผลิตภัณฑ์อาหารที่มีปริมาณแคลเซียมปรากฏอยู่
ที่มา : ศาสตราจารย์ ดร. นพ.นรัตถพล เจริญพันธุ์
สรีรวิทยาของการดูดซึมแคลเซียมที่ล�ำไส้
เมื่อรับประทานอาหาร แคลเซียมบางส่วนที่อยู่ในอาหารจะแตกตัวเป็นไอออนในกระเพาะ
อาหาร เนื่องจากสารประกอบแคลเซียมมักแตกตัวได้ดีในภาวะที่เป็นกรด และเคลื่อนไปดูดซึม
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์ ดร. นพ.นรัตถพล เจริญพันธุ์ ๑๔๑
ภาพที่ ๒ แสดงเซลล์เยื่อบุผิวของล�ำไส้เล็กที่บริเวณปลายวิลลัสที่มักจะมีการดูดซึมแคลเซียมได้ดี
ที่มา : ศาสตราจารย์ ดร. นพ.นรัตถพล เจริญพันธุ์
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๑๔๒ ถอดบทเรียนด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาฯ
เมแทบอลิซึมของแคลเซียมในผู้ที่ให้นมบุตรและผู้สูงอายุ
เมแทบอลิซมึ ของแคลเซียมจะเปลีย่ นไปอย่างมากในระหว่างให้นมบุตรและเมือ่ อายุมากขึน้
ดังที่กล่าวมาพอสังเขปในหัวข้อก่อนหน้านี้ ส่วนเหตุผลหลักของการเปลี่ยนแปลงมีจุดร่วมกันอยู่ คือ
การตอบสนองต่อฮอร์โมนที่เปลี่ยนไป ในกรณีของผู้ที่ให้นมบุตร วิตามินดีจะไม่ใช่ฮอร์โมนหลัก
ที่กระตุ้นการดูดซึมแคลเซียม แต่จะมีการใช้ฮอร์โมนตัวอื่น ๆ ด้วย เช่น เอสโทรเจน โพรแลคติน
(Ajibade et al, 2010; Charoenphandhu et al, 2009; Van Cromphaut, 2013) ซึ่งจะท�ำให้
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์ ดร. นพ.นรัตถพล เจริญพันธุ์ ๑๔๓
อัตราแคลเซียมเพิ่มสูงขึ้นจนเพียงพอต่อการสร้างน�้ำนม แต่ทั้งนี้แม่ต้องรับประทานแคลเซียมอย่าง
เพียงพอด้วย หากรับประทานแคลเซียมน้อยจะมีการสลายแคลเซียมจากกระดูกมาช่วยสร้างน�้ำนม
ซึ่งเป็นสาเหตุท่ีท�ำให้กระดูกบาง (osteopenia) ได้ โดยทั่วไปในระหว่างการให้นมบุตร แม่จะ
สูญเสียแคลเซียมประมาณร้อยละ ๖-๑๐ จากกระดูกเพื่อใช้ในการสร้างน�้ำนม อย่างไรก็ตาม มวล
กระดูกมักกลับมาเป็นปรกติหลังหย่านม (Chan et al, 2005) ดังนั้นภาวะกระดูกบางในผู้ที่ก�ำลัง
ให้นมบุตรจึงมักไม่มีผลเสียในระยะยาว แม้จะมีรายงานทางการแพทย์ซึ่งมักเป็นรายงานขนาดเล็ก
ที่ระบุว่า แม่ที่รับประทานแคลเซียมน้อยอาจท�ำให้เกิดโรคกระดูกพรุนระหว่างให้นมบุตรหรือเพิ่ม
ความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนเมื่อสูงอายุ (Bolzetta et al, 2014)
ส่วนเมือ่ อายุมากขึน้ เซลล์เยือ่ บุผวิ ล�ำไส้จะตอบสนองต่อฮอร์โมนโดยเฉพาะวิตามินดีนอ้ ยลง
(Brown et a, 2005) ซึ่งจะท�ำให้ประสิทธิภาพการดูดซึมแคลเซียมที่ล�ำไส้ลดลงด้วย ในระหว่างนั้น
เซลล์สร้างกระดูกก็ท�ำงานได้น้อยลงตามอายุเช่นกัน (Marie, 2014) ซึ่งเป็นผลจากความชราของ
เซลล์รว่ มกับการตอบสนองต่อฮอร์โมนเพศชายและเพศหญิงน้อยลง (ฮอร์โมนเพศเป็นตัวกระตุน้ ส�ำคัญ
ที่ท�ำให้เซลล์สร้างกระดูกท�ำงาน) สวนทางกับเซลล์สลายกระดูกที่ท�ำงานเพิ่มขึ้น อนึ่ง ความเครียด
ออกซิเดชัน (oxidative stress) รวมถึงการอักเสบเรื้อรังจากโรคทางเมแทบอลิซึมต่าง ๆ เช่น
เบาหวาน ไขมันสูงในเลือด ยังเพิ่มการท�ำงานของเซลล์สลายกระดูก ซึ่งล้วนท�ำให้ความหนาแน่น
ของกระดูกลดลงอย่างรวดเร็วและเกิดกระดูกพรุนได้ง่าย (Kurra et al, 2014; Wongdee and
Charoenphandhu, 2015) ในกรณีที่ผู้สูงอายุเกิดกระดูกหัก การรับประทานแคลเซียมไม่เพียงพอ
ก็อาจท�ำให้กระดูกที่หักประสานกันได้ช้าลง
แนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียม
แม้จะเป็นที่ทราบดีว่าการรับประทานแคลเซียมให้เพียงพอจะช่วยให้เซลล์สร้างกระดูกมี
วัตถุดิบในการสร้างกระดูก รวมถึงการซ่อมแซมกระดูกที่มีการแตกหรือร้าวในระดับจุลภาคจากแรง
กระทบกระแทกที่มีต่อกระดูกในชีวิตประจ�ำวัน แต่การรับประทานแคลเซียมให้ได้ถึงปริมาณ ๘๐๐
มิลลิกรัมต่อวันส�ำหรับผู้หญิงระยะให้นมบุตร หรือ ๑,๐๐๐ มิลลิกรัมต่อวันส�ำหรับผู้ที่อายุเกิน ๕๐ ปี
ท�ำได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากแคลเซียมส่วนใหญ่อยู่ในอาหารประเภทนมและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น
นม เนยแข็ง โยเกิรต์ ซึง่ ไม่ใช่อาหารหลักของคนไทยส่วนใหญ่ ส�ำนักงานส�ำรวจสุขภาพประชาชนไทย
(สสท) ได้ตีพิมพ์รายงานการส�ำรวจการบริโภคอาหารของประชาชนไทยในระหว่าง พ.ศ. ๒๕๕๑-
๒๕๕๒ มีข้อมูลว่า โดยเฉลี่ยแล้วคนไทยรับประทานแคลเซียมน้อยกว่าร้อยละ ๖๐ ของปริมาณที่
แนะน�ำไว้ เหตุที่การรับประทานแคลเซียมน้อยไม่ส่งผลเสียต่อร่างกายเป็นเรื่องของการปรับตัวทาง
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๑๔๔ ถอดบทเรียนด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาฯ
อยู่บริเวณล�ำไส้เล็กส่วนต้นพร้อมดูดซึม และเมื่อลูกดูดนมจะท�ำให้ต่อมใต้สมองของแม่หลั่งฮอร์โมน
โพรแลคติน ซึ่งสามารถกระตุ้นให้เซลล์เยื่อบุผิวล�ำไส้ดูดซึมแคลเซียมได้ดียิ่งขึ้น (Suntornsaratoon
et al, 2014)
ส่วนการพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียมส�ำหรับผูส้ งู อายุมคี วามแตกต่างทีก่ ารใช้สารกระตุน้
การดูดซึม นอกจากวิตามินดีแล้วยังมีสารอีกหลายชนิดให้เลือกใช้ เช่น กรดอะมิโน เปปไทด์สาย
สั้น ๆ สารเคมีที่ได้จากการหมักพรีไบโอติกส์ (McCabe et al, 2015; Ohta et al, 1998;
Thammayon et al, 2017) ซึ่งบางชนิดเพิ่งจะเริ่มมีผู้น�ำมาพัฒนาเป็นสูตรเมื่อไม่นานมานี้ จึงเป็น
โอกาสของนักวิจัยและผู้ประกอบการในการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ส�ำหรับผู้สูงอายุ บางผลิตภัณฑ์มี
การเติมธาตุอาหารและวิตามินอื่น ๆ ที่เชื่อว่าส�ำคัญต่อการรักษามวลกระดูก เช่น สังกะสี วิตามินเค
การเสริมแคลเซียมในกรณีอนื่ ๆ เช่น การเสริมในเด็ก การเสริมในนักกีฬา ยังไม่มขี อ้ สรุปที่
แน่ชดั ในต่างประเทศมีรายงานการเสริมแคลเซียมส�ำหรับนักกีฬาหรือผูท้ อี่ อกก�ำลังกาย แต่สว่ นใหญ่
มักไม่มีความชัดเจนถึงผลดีระยะยาวที่มีต่อกระดูก และไม่สามารถยืนยันได้ว่า การเสริมแคลเซียม
จะช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนเมื่อเข้าสู่วัยผู้สูงอายุได้
ความท้าท้ายในการผลิตเชิงอุตสาหกรรม
การพัฒนาต้นแบบของผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียมต้องค�ำนึงถึงความยากง่ายในการผลิตใน
ระดับอุตสาหกรรมตั้งแต่เริ่มแรก และมีการหารือกับผู้ประกอบการหรือผู้ที่จะรับผลิตตั้งแต่แรก ๆ
การพัฒนาในเชิงเทคนิคต้องค�ำนึงถึงต้นทุนวัตถุดิบ รวมถึงประสิทธิภาพในการแตกตัวเป็นไอออน
และการดูดซึมด้วย เช่น สารประกอบแคลเซียมคาร์บอเนตมีราคาถูกแต่ละลายน�้ำได้ไม่ดี และมีผล
ข้างเคียงในผู้บริโภคบางราย เช่น ท้องอืด ส่วนแคลเซียมซิเตรตหรือแคลเซียมกลูโคเนต มีรายงาน
ว่าดูดซึมดีกว่า (Praet et al, 1998) แต่ราคาแพงกว่า การออกแบบผลิตภัณฑ์โดยการท�ำเป็นเม็ดฟู่
อาจแก้ปญ ั หาเรือ่ งการแตกตัวของสารประกอบแคลเซียมได้แต่ราคาจะยิง่ สูงขึน้ ไปอีก อนึง่ สมบัตทิ าง
กายภาพ เช่น ความชื้นของสารประกอบแคลเซียม ยังมีผลต่อความคงทนของผลิตภัณฑ์ การขนส่ง
และการออกแบบบรรจุภัณฑ์ ซึ่งอาจท�ำให้ผู้ประกอบการไม่พร้อมที่จะลงทุนได้ ผู้ประกอบการบาง
รายอาจให้ทัศนะว่า สารประกอบแคลเซียมคาร์บอเนตมีความคุ้มค่าที่สุดถึงแม้ว่าจะดูดซึมไม่ดีแต่มี
ราคาถูกมาก แม้ว่าจะต้องรับประทานเพิ่มขึ้นก็ไม่กระทบต่อค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคมากนัก แต่ใน
กรณีที่พัฒนาเป็นอาหาร แคลเซียมคาร์บอเนตยังมีอุปสรรคในเรื่องของรสชาติและรสสัมผัสคล้าย
ชอล์กที่พัฒนาให้อร่อยได้ยาก
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๑๔๖ ถอดบทเรียนด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาฯ
สรุป
การพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียมไม่เพียงต้องอาศัยความรูใ้ นด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์
พื้นฐานซึ่งใช้อธิบายกลไกในการดูดซึมแคลเซียมและเลือกวัตถุดิบที่เหมาะสมต่อการดูดซึมที่ล�ำไส้
เท่านัน้ ยังต้องค�ำนึงถึงประเด็นในมุมของผูป้ ระกอบการ ทัง้ ความยากง่ายในการผลิตเชิงอุตสาหกรรม
ต้นทุนวัตถุดิบ ตลอดจนความรับรู้ของบุคลากรทางการแพทย์และผู้บริโภคอีกด้วย โดยเฉพาะหลัก
การทีว่ า่ การเสริมแคลเซียมเป็นการเสริมเพือ่ ให้เพียงพอต่อปริมาณทีต่ อ้ งการในแต่ละวันเท่านัน้ ไม่มี
ความจ�ำเป็นต้องรับประทานเกินกว่าปริมาณที่ก�ำหนดไว้ การใช้ยาเสริมแคลเซียมต้องมีข้อบ่งชี้ทาง
การแพทย์ที่มีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันประสิทธิภาพ ซึ่งยังคงมีการเปลี่ยนแปลงตามข้อมูลจาก
งานวิจัยทางคลินิกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
กิตติกรรมประกาศ
ผูน้ พิ นธ์ขอบคุณ ดร.จรินธร ธีระพรพันธกิจ ทีช่ ว่ ยจัดเตรียมรูปและตารางประกอบบทความ
นี้ งานวิจยั ของผูน้ พิ นธ์ได้รบั การสนับสนุนจาก ทุนส่งเสริมกลุม่ วิจยั เมธีวจิ ยั อาวุโส สกว. รหัสโครงการ
RTA6080007 ส�ำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจยั (สกว.) ส�ำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโน-
โลยีแห่งชาติ (สวทช.) และมหาวิทยาลัยมหิดล
เอกสารอ้างอิง
Ajibade DV, Dhawan P, Fechner AJ, Meyer MB, Pike JW, Christakos S. (2010). Evidence
for a role of prolactin in calcium homeostasis: regulation of intestinal transient
receptor potential vanilloid type 6, intestinal calcium absorption, and the
25-hydroxyvitamin D3 1α hydroxylase gene by prolactin. Endocrinology.
151(7): 2974-84.
Alexander RT, Rievaj J, Dimke H. (2014). Paracellular calcium transport across renal
and intestinal epithelia. Biochem Cell Biol. 92(6): 467-80.
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๑๔๘ ถอดบทเรียนด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาฯ
Marwaha RK, Yenamandra VK, Sreenivas V, Sahay R, Baruah MP, Desai A, Kurvilla S,
Joseph S, Unnikrishnan AG, Lakshmy R, Apoorva C, Sharma VK, Sethuraman
G. (2016). Regional and seasonal variations in ultraviolet B irradiation and
vitamin D synthesis in India. Osteoporos Int. 27(4): 1611-7.
McCabe L, Britton RA, Parameswaran N. (2015). Prebiotic and probiotic regulation
of bone health: role of the intestine and its microbiome. Curr Osteoporos
Rep. 13(6): 363-71.
Ohta A, Motohashi Y, Sakai K, Hirayama M, Adachi T, Sakuma K. (1998). Dietary
fruc tooligo-saccharides increase calcium absorption and levels of
mucosal calbindin-D9k in the large intestine of gastrectomized rats. Scand J
Gastroenterol. 33(10): 1062-8.
Praet JP, Peretz A, Mets T, Rozenberg S. (1998). Comparative study of the intestinal
absorption of three salts of calcium in young and elderly women. J
Endocrinol Invest. 21(4): 263-7.
Sato T, Yamamoto H, Sawada N, Nashiki K, Tsuji M, Nikawa T, Arai H, Morita K,
Taketani Y, Takeda E. (2006). Immobilization decreases duodenal calcium
absorption through a 1,25-dihydroxyvitamin D-dependent pathway. J Bone
Miner Metab. 24(4): 291-9.
Song Y, Fleet JC. (2004). 1,25 dihydroxycholecalciferol-mediated calcium absorption
and gene expression are higher in female than in male mice. J Nutr. 134(8):
1857-61.
Suntornsaratoon P, Kraidith K, Teerapornpuntakit J, Dorkkam N, Wongdee K,
Krishnamra N, Charoenphandhu N. (2014). Pre-suckling calcium supple
mentation effectively prevents lactation-induced osteopenia in rats.
Am J Physiol Endocrinol Metab. 306(2): E177-88.
Thammayon N, Wongdee K, Lertsuwan K, Suntornsaratoon P, Thongbunchoo J,
Krishnamra N, Charoenphandhu N. (2017). Na+/H+ exchanger 3 inhibitor
diminishes the amino-acid-enhanced transepithelial calcium transport
across the rat duodenum. Amino Acids. 49(4): 725-34.
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์ ดร. นพ.นรัตถพล เจริญพันธุ์ ๑๕๑
ไบโอชาร์ในงานภูมิทัศน์เมือง
และการเก็บกักคาร์บอนแบบยั่งยืน
ศาสตราจารย์กิตติคุณเดชา บุญค�้ำ
ราชบัณฑิต ส�ำนักศิลปกรรม
ราชบัณฑิตยสภา
บทคัดย่อ
เศษชีวมวลจากการตัดแต่งต้นไม้ใหญ่ในงานภูมิทัศน์เมืองที่ถูกก�ำจัดด้วยวิธีการต่าง ๆ
ในที่สุดจะเวียนเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กลับสู่บรรยากาศได้อีกตามวัฏจักร การค้นพบว่า
หย่อมดินด�ำรอบ ๆ เมืองร้างที่มีดินเลวหลายเมืองในป่าฝนแอมะซอนที่สามารถเพิ่มผลผลิตทาง
เกษตรให้สงู พอรองรับประชากรนับแสนของเมืองได้ และยังคงความอุดมสมบูรณ์อยูไ่ ด้ถงึ ปัจจุบนั
เป็นเวลาหลายพันปีนั้น เกิดจากใช้ผงถ่านหรือที่เรียกว่าไบโอชาร์ในปัจจุบันเป็นวัสดุปรุงดิน
เนื่องจากโพรงพรุนและพื้นผิวจ�ำนวนมหาศาลในตัวไบโอชาร์สามารถดูดซับน�้ำ แร่ธาตุและเป็น
ทีอ่ ยูอ่ าศัยของจุลนิ ทรีย์ ช่วยเพิม่ ผลผลิตทางเกษตรกรรมได้มากและยัง่ ยืน และด้วยความเสถียร
และน�้ำหนักที่เบาจึงมีการน�ำมาใช้ในงานภูมิทัศน์เมืองเพื่อแก้ปัญหาการปลูกต้นไม้ใหญ่บนผิว
ดาดแข็งทึบหรือบริเวณที่ดินถูกบดอัดแน่น ท�ำให้น�้ำและอากาศสามารถลงไปถึงระบบรากได้
มากพอ ช่วยต้นไม้ปลูกใหม่เจริญเติบโตแข็งแรงไม่โค่นล้มเป็นอันตรายในอนาคต และยังสามารถ
น�ำไปใช้ในการฟื้นฟูต้นไม้เก่าแก่หรือต้นไม้ประวัติศาสตร์ที่ก�ำลังได้รับผลกระทบจากการพัฒนา
เมืองและการท่องเที่ยวได้อีกด้วย แม้การศึกษาวิจัยและการสนับสนุนให้ใช้ไบโอชาร์ในภาคการ
เกษตรของประเทศไทยได้แพร่หลายไปบ้างแล้วก็ตาม แต่การค้นคว้าและทดลองเพื่อใช้ผสมกับ
ดินโครงสร้างส�ำหรับปลูกต้นไม้บนผิวแข็งในงานภูมทิ ศั น์เมือง และการใช้เพือ่ ฟืน้ ฟูตน้ ไม้ประวัต-ิ
ศาสตร์ที่ก�ำลังทรุดโทรมก่ออันตรายอยู่ในขณะนี้นั้นยังไม่แพร่หลายเท่าที่ควร และโดยที่การใช้
ไบโอชาร์จะต้องฝังลงไปในดิน จึงถือได้ว่าเป็นการเก็บกักคาร์บอนอย่างยั่งยืนไปในตัวได้ด้วย
ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศทั่วโลกจึงต่างตื่นเต้นและเห็นตรงกันว่า การใช้ไบโอชาร์
คือวิธีเดียวที่มีค่าใช้จ่ายต�่ำและยั่งยืนที่สุดในการเก็บกักคาร์บอนเพื่อลดภาวะโลกร้อน
บทน�ำ
นักวิทยาศาสตร์ทกี่ ำ� ลังเฝ้าระวังปัญหาโลกร้อนต่างยอมรับร่วมกันว่า ขณะนีป้ ริมาณคาร์บอน-
ไดออกไซด์ในบรรยากาศได้เพิ่มเกินระดับปลอดภัยไปแล้ว๑ แม้ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกจะได้ร่วมมือ
กันลดการปล่อยและหาวิธเี ก็บกักคาร์บอนทุกวิถที าง ซึง่ รวมถึงการระดมปลูกต้นไม้เพิม่ ขึน้ ทัว่ โลกอย่าง
เร่งด่วน เพราะมวลของต้นไม้ทุกส่วนเกิดจากการดูดซับคาร์บอนจากบรรยากาศ การปลูกต้นไม้ทั้ง
ในป่าและในเมืองจ�ำนวนมากทั่วโลกจึงถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเก็บกักคาร์บอน (carbon seques-
tration) แต่เมื่อต้นไม้ที่หมดอายุขัยถูกเผาหรือถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์จะปล่อยก๊าซคาร์บอนได-
ออกไซด์เวียนคืนสูบ่ รรยากาศได้อกี จึงถือกันว่าต้นไม้มคี วามเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutral)
ไม่ใช่การเก็บกักอย่างถาวร ดังนัน้ การปลูกต้นไม้เพิม่ แม้จะมากเท่าใดก็ยอ่ มไม่ทนั ต่อการลดอัตราการ
เพิม่ อุณหภูมขิ องโลกที่ได้สูงเกินระดับแก้กลับคืนได้ไปแล้ว การค้นพบหย่อมดินด�ำท่ามกลางดินเลวใน
ป่าฝนแอมะซอนที่เอื้อให้ผลิตอาหารได้มากพอกับพลเมืองนับแสนคนได้ว่าเป็นดินที่มีถ่านที่คนยุค
นั้นจงใจเผาจากไม้ในป่าและบดใส่ไว้ การสอบอายุพบว่าถ่านนั้นแม้จะมีอายุหลายพันปีแต่ยังคงอุดม
ไปด้วยจุลนิ ทรียแ์ ละแร่ธาตุตา่ ง ๆ การค้นพบครัง้ นีท้ ำ� ให้นกั วิทยาศาสตร์ทกี่ ำ� ลังล้มเหลวในการค้นคว้า
วิจัยทุกวิถีทางเพื่อค้นหาวิธลี ดก๊าซเรือนกระจกจากบรรยากาศต่างตืน่ เต้นมีความหวัง เพราะพบว่าวิธี
ของชนโบราณทีใ่ ช้ถ่านปรุงดินในป่าแอมะซอนที่เรียกกันในปัจจุบันว่า ไบโอชาร์ นั้น นอกจากจะมีง
ค่าใช้จ่ายต�่ำสุดแล้วยังมีประสิทธิภาพดีที่สุดส�ำหรับชะลออัตราการเพิ่มอุณหภูมิของโลกไม่ให้เกินจุด
วิกฤติดังกล่าวได้อย่างมีนัยส�ำคัญ เพราะถ่านที่ฝังลงไปในดินมีความเสถียรไม่กลายเป็นก๊าซ จึงนับ
เป็นการเก็บกักที่เป็นลบทางคาร์บอน (Carbon negative) ที่เชื่อว่าสามารถลดปริมาณคาร์บอนได-
ออกไซด์ในบรรยากาศลงได้จริง
งานตัดแต่งต้นไม้ใหญ่ในเมืองจะมีเศษชีวมวลจ�ำนวนมากทีจ่ ะต้องน�ำไปท�ำลาย เช่น กรุงเทพ-
มหานครมีไม้ยืนต้นที่ต้องตัดแต่งดูแลมากกว่า ๓ ล้านต้น ในจ�ำนวนนี้อยู่ใต้แนวสายไฟที่ถูกตัดหนัก
ทุกปีจ�ำนวนมากว่า ๑๕๐,๐๐๐ ต้น๒ นอกจากนี้ยังมีต้นไม้ริมถนน ทางหลวง สวนสาธารณะ ตาม
ที่สาธารณะขององค์กรปกครองท้องถิ่น ตามสวนผลไม้ และในที่ดินเอกชนทั่วประเทศอีกจ�ำนวน
มหาศาลทีจ่ ะต้องถูกตัดแต่งในแต่ละปี การน�ำไบโอชาร์ซงึ่ เป็นธาตุคาร์บอนทีเ่ สถียรใส่กลับลงไปในดิน
ซึ่งเป็นวิธีที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกให้ความสนใจดังกล่าวจึงได้รับการสนใจเป็นอย่างมาก หลายเมือง
๑
ระดับปลอดภัย ๓๕๐ ppm (ส่วนต่อล้านส่วน) ระดับอันตราย ๓๙๒ ppm, ระดับปัจจุบัน ๔๐๐ ppm ที่มา:
www.mn350.org/the-facts/
๒
ผู้อ�ำนวยการส�ำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร จากไทยรัฐออนไลน์: https://www.thairath.co.th/content/
888020
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์กิตติคุณเดชา บุญค�้ำ ๑๕๕
ทั่วโลกจึงได้มีการจัดตั้งศูนย์รุกขกรรมป่าไม้เมืองเพื่อด�ำเนินการในด้านนี้เป็นการเฉพาะขึ้น ปัจจุบัน
ประเทศไทยยังไม่มีศูนย์ดูแลและจัดการงานด้านรุกขกรรม หรือด้านการป่าไม้เมือง (urban forest
center) เพื่อจัดการกับเศษชีวมวลในเมืองต่าง ๆ ที่มีจ�ำนวนมหาศาลดังกล่าว การน�ำชีวมวลที่ได้
จากงานรุกขกรรมและมูลฝอยอินทรีย์ในเมืองมาแปรสภาพเป็นไบโอชาร์นอกจากเป็นการแก้ปัญหา
สิ่งแวดล้อมและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในเมืองแล้ว ยังเป็นการช่วยแก้ปัญหาของโลกโดยรวมได้
อีกด้วย
๓
Pyrolysis คือ การสลายวัสดุด้วยความร้อนตั้งแต่ ๓๗๐-๘๗๐ องศาเซลเซียส จนเหลือคาร์บอนโครงสร้างที่เป็น
โพรงโปร่งที่มีพื้นที่มหาศาล
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๑๕๖ ไบโอชาร์ในงานภูมิทัศน์เมืองฯ
๔
Terra preta (“dark earth”) ค้นพบโดยนักปฐพีวิทยาชาวฮอลันดาชื่อ Wim Sombroek ในช่วงคริสต์ทศวรรษ
1950, จากหย่อมบริเวณขนาดเล็กที่มีดินอุดมสมบูรณ์ในป่าฝนแอมะซอน ป่าที่ได้ชื่อว่ามีดินบนที่เลวและบาง
โดยได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ “Amazon Soils” เผยแพร่เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๙
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์กิตติคุณเดชา บุญค�้ำ ๑๕๗
ภาพที่ ๓ การเจริญเติบโตของรากกล้าไม้ในดินที่อุดมด้วยจุลินทรีย์
ที่มา : www.mberg.com.auimagesmycorrhiza.png
ไบโอชาร์ : ทางออกในการแก้ปัญหาโลกร้อนพร้อมกับการเพิ่มผลผลิตทางเกษตรกรรม
นับตั้งแต่โลกเริ่มรณรงค์เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่น�ำไปสู่ข้อ
ตกลงตามกฎบัตรเกียวโต (Kyoto Protocol) เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๐ ที่ให้มีผลใช้บังคับใน พ.ศ. ๒๕๔๘
เพือ่ ลดอุณหภูมขิ องโลกลง ๒ องศาเซลเซียส เท่ากับช่วงก่อนยุคปฏิวตั อิ ตุ สาหกรรม โดยตัง้ เป้าลดลง
เท่าระดับ พ.ศ. ๒๕๓๓ ใน พ.ศ. ๒๕๖๓ และลดจากระดับนีล้ งไปให้กา๊ ซเรือนกระจกได้ทะยานสูงเกิน
จุดกลับคืน คือ ๔๐๐ ppm ไปแล้ว ดังจะเห็นได้ว่าภัยพิบัติธรรมชาติความที่รุนแรงขึ้นในขณะนี้ และ
ยังได้คาดการณ์กันว่าในอีก ๘๐ ปีข้างหน้า ระดับน�้ำทะเลยังอาจสูงขึ้นอีก ๖๐-๑๘๐ เซนติเมตร และ
จะท่วมเมืองใหญ่ชายฝัง่ ต่าง ๆ ทัว่ โลกรวมทัง้ กรุงเทพฯ ความห่วงใยและคิดหาทางแก้ไขจึงเกิดขึน้ อย่าง
จริงจังในช่วง ๒ ทศวรรษที่ผ่านมาดังกล่าวมาแล้ว ไบโอชาร์ ซึ่งเป็น carbon negative จึงมีความ
ส�ำคัญ ทัง้ นีเ้ พราะงานวิจยั สิง่ ประดิษฐ์ และมาตรการต่าง ๆ ทีค่ ดิ ค้นผ่านมาไม่สามารถรับสถานการณ์
ได้ทัน เพราะต่างล้วนมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตทั้งสิ้น แม้แต่การระดมปลูก
ต้นไม้และการรณรงค์ให้หันมาใช้ไม้ที่เป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutral) ให้มากขึ้นก็ยังไม่
ทันการณ์ เพราะเมื่อไม้หมดสภาพหรือตายมันจะผุพังกลับสภาพเป็นก๊าซเรือนกระจกได้อีกดังกล่าว
มาแล้ว การค้นพบคุณสมบัติที่ตอบโจทย์ของดินด�ำ (Terra Preta) ดังกล่าวจึงเปรียบเสมือนการค้น
พบวิธีแก้ปัญหาที่ยากมากได้ด้วยวิธีง่าย ๆ นั่นเอง (Eureka eureka!)๕
๕
นักรณรงค์บางกลุม่ เปรียบเทียบการค้นพบวิธแี ก้ปญ
ั หาการเก็บกักคาร์บอนด้วยวิธงี า่ ย ๆ นีว้ า่ เหมือนกับทีอ่ าคิเมดิส
อุทานขึน้ (Eureka eureka!!) เมือ่ ฉุกคิดการหาปริมาตรของวัตถุรปู ทรงซับซ้อนด้วยวิธงี า่ ย ๆ ด้วยการวัดปริมาตร
ของน�้ำที่ล้นจากอ่างว่าเท่ากับบริมาตรของร่างกายที่ลงไปแทนที่น�้ำ
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๑๕๘ ไบโอชาร์ในงานภูมิทัศน์เมืองฯ
ก ข
ภาพที่ ๔ การทดลองเปรียบเทียบความอุดมของดินด�ำและดินธรรมดาในป่าฝนแอมะซอนในบริเวณใกล้เคียงกัน
ก. ดินทั่วไปที่เป็นดินเหนียวขาดอินทรียวัตถุและธาตุอาหารจากการถูกชะล้างโดยน�้ำฝนจึงให้
ผลผลิตทางเกษตรไม่สูงพอรองรับเมืองที่มีประชากรหนาแน่น
ข. ดินด�ำหรือดินมี “ไบโอชาร์” ที่พบตามหย่อมแหล่งเพาะปลูกโบราณที่กระจายอยู่รอบ ๆ เมือง
โบราณในป่าแอมะซอน
ที่มา : http://www.biochar-international.org/biochar/soils
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์กิตติคุณเดชา บุญค�้ำ ๑๕๙
ก ข
ภาพที่ ๕ ก. วัฏจักรของคาร์บอน ...ชีวมวลของพืชทีด่ ดู ซับไว้เมือ่ ย่อยสลายหรือถูกเผา คาร์บอนเกือบทัง้ หมด
จะกลับคืนสู่บรรยากาศดังเดิม
ข. ชีวมวลที่ถูกเผาแบบไร้ออกซิเจนส่วนหนึ่งจะกลายเป็นแก๊สหรือน�้ำมันที่ให้ความร้อนที่สามารถ
น�ำไปใช้ในการหุงต้มแทนเตาแก๊สที่มาจากฟอสซิล ส่วนที่เหลือมากกว่าร้อยละ ๕๐ จะกลายเป็น
ถ่านส�ำหรับท�ำไบโอชาร์ที่สามารถเก็กกักคาร์บอนไว้ได้อย่างยั่งยืนนับหมื่นปี
ที่มา : http://www.biocharsolutions.com/overview.html
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๑๖๐ ไบโอชาร์ในงานภูมิทัศน์เมืองฯ
คุณประโยชน์อื่น ๆ ของไบโอชาร์
นอกจากการใช้เป็นตัวเก็บกักคาร์บอน (Carbon sequestration) ที่มีราคาถูกและยั่งยืน
ดังกล่าวมาแล้ว ประโยชน์ทั่วไปของไบโอชาร์สรุปโดยสังเขปได้ดังนี้
๑. การฟื้นฟูดิน การเพิ่มผลผลิตการเกษตร และการปลูกป่า ไบโอชาร์มีเนื้อที่ผิวโพรง
มากอย่างไม่นา่ เชือ่ (ภาพที่ ๒) ความสามารถในการดูดซับก๊าซและดูดซึมความชืน้ จึงสูงและยังมีโพรง
จ�ำนวนมาก ท�ำให้จลุ นิ ทรียช์ นิดทีต่ อ้ งการออกซิเจนในดินมีทอี่ ยูอ่ าศัยเจริญเติบโต ช่วยย่อยสลายแร่ธาตุ
ได้อย่างมากมาย นอกจากนี้ คุณสมบัติในการเพิ่มความจุในการแลกเปลี่ยนประจุไฟฟ้า [Cution
Exchange Capacity (CEC)] ของคาร์บอนท�ำให้แร่ธาตุและปุ๋ยที่ถูกตรึงไว้ได้ไม่ถูกชะล้างตามน�้ำ
ถูกย่อยสลายให้เป็นสารประกอบทีร่ ากต้นไม้นำ� ไปใช้ได้เต็มที่ ระบบรากของต้นไม้จงึ มีปริมาณมากกว่า
ดินทั่วไปที่ปรับปรุงด้วยการใส่ปุ๋ย ท�ำให้พืชเจริญเติบโตให้ผลผลิตและมีชีวมวลมากเป็นทวีคูณตาม
สิ่งแวดล้อมได้ถึงปีละร้อยละ ๑๑-๔๐ ไบโอชาร์จึงเหมาะส�ำหรับการฟื้นฟูดินเสื่อมโทรมที่ถูกชะล้าง
เช่น เขาหัวโล้น ได้อย่างมีประสิทธิภาพและถูกกว่าวิธีอื่นมากอีกด้วย
“ความหวังใหม่ส�ำหรับการฟื้นฟูเหมืองร้างด้วยไบโอชาร์ที่สามารถเปลี่ยนเนินหินที่แห้งแล้งให้กลายเป็นผืนป่าสีเขียวอันเยี่ยมยอด”
New hope for mine cleanups after biochar transforms barren mountainside into bodacious greenery
ก ข
ภาพที่ ๖ การใช้ไบโอชาร์ในการฟื้นฟูสภาพ
ธรรมชาติของเหมืองร้างในต่างประเทศ
ก. ภาพเนินของเหมืองเงินในรัฐโคโลราโด สหรัฐ-
อเมริกา ที่ถูกทิ้งร้างมานาน ๖๐ ปีโดยที่
พืชไม่สามารถขึ้นปกคลุมได้เพราะอินทรียวัตถุ
และธาตุอาหารถูกชะล้างไปจนหมด
ข. การพ่นไบโอชาร์คลุมผิวเนิน
ค ค. เนินที่พืชขึ้นปกคลุมได้หนาแน่นพอที่จะยับยั้ง
การถูกชะล้างได้ในปีถัดมา
ที่มา : http://archives.realaspen.com/article/850/New-hope-for-mine-cleanups-after-biochar-
transforms-barren-mountainside-into-bodacious-greenery
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์กิตติคุณเดชา บุญค�้ำ ๑๖๑
ภาพที่ ๗ การทดลองปลูกหญ้าบนพื้นที่ดินทรายแห้งแล้งด้วยการใช้และไม่ใช้ไบโอชาร์โดยมหาวิทยาลัยแห่ง
ควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย
ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=tj_Z4QM4nro
การท�ำไบโอชาร์ในประเทศไทย
การเผาถ่านเพื่อการหุงต้มในโลกรวมทั้งประเทศไทย มีแต่โบราณและต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน
แต่ก็ลดลงเปลี่ยนไปใช้แก๊สและไฟฟ้าที่สะดวกและสะอาดกว่า นอกจากนี้ ความห่วงใยเกี่ยวกับ
การตัดไม้ท�ำลายป่าและปัญหามลพิษในอากาศได้มีส่วนท�ำให้การใช้ถ่านในการหุงต้มยิ่งลดลงไปอีก
โดยเฉพาะในเมือง อย่างไรก็ดี การตระหนักได้ในปัจจุบันว่าการใช้ไม้เป็นเชื้อเพลิงที่ถือได้ว่ามีความ
เป็นกลางทางคาร์บอน ท�ำให้การเผาถ่านแพร่หลายขึ้นอีกครั้งในรอบ ๒๐ ปีที่ผ่านมา แต่ข้อที่ถือว่าดี
ก็ยังเป็นเพียงการลดการปล่อยคาร์บอนจากเชื้อเพลิงฟอสซิลเท่านั้น
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๑๖๒ ไบโอชาร์ในงานภูมิทัศน์เมืองฯ
ความรู้ด้านการใช้ไบโอชาร์เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนควบคู่กับประโยชน์ทางเกษตรกรรมเริ่ม
เป็นทีร่ จู้ กั ทางวิชาการเป็นครัง้ แรกในวงแคบ๙ เมือ่ ประมาณ ๑๐ ปีเศษมานีเ้ อง ปัจจุบนั มีการถ่ายทอด
และส่งเสริมการผลิตและการใช้ไบโอชาร์อย่างแพร่หลายและอย่างรวดเร็วในเกือบทุกมหาวิทยาลัย
ที่มีการสอนวิชาเกษตรกรรม นอกจากนี้ หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนต่างมีการเผยแพร่และฝึก
อบรมวิธกี ารสร้างเตาเผาไบโอชาร์ราคาถูก มีการสอนวิธกี ารน�ำไปใช้ในการเกษตร รวมทัง้ การเผยแพร่
ในวารสารทางวิชาการจ�ำนวนหนึ่งด้วย แต่กระนั้น ส�ำหรับประชาชนทั่วไปก็ยังไม่รู้จัก รวมทั้งใน
วงการงานรุกขกรรมที่มีเศษวัสดุชีวมวลจ�ำนวนไม่น้อยที่ถูกปล่อยให้สลายตัวผุพังหรือเผาทิ้งกลายเป็น
ก๊าซเรือนกระจกคืนสู่บรรยากาศ นอกจากนี้ ภูมิสถาปนิกและนักจัดสวนซึ่งเป็นผู้ก�ำหนดคุณสมบัติ
ของดินปลูกเองก็ยังไม่ได้รับความรู้เกี่ยวกับประโยชน์และการใช้ไบโอชาร์เท่าที่ควร
ปัจจุบัน การผลิตเตาเผาไร้ควันและเตาหุงต้มชีวมวลส�ำเร็จรูปมีจ�ำหน่ายอย่างแพร่หลายใน
ต่างจังหวัด ซึ่งมีการผลิตไบโอชาร์ส�ำเร็จรูปออกจ�ำหน่ายไปทั่วประเทศทั้งในปริมาณมากเป็นคิวบิก
เมตรจัดส่งถึงที่ และที่ท�ำเป็นถุงเล็กพร้อมใช้ตามครัวเรือนหรือสวนขนาดเล็กที่สามารถสั่งซื้อได้ทาง
อินเทอร์เน็ต
ก ข ค ง
ภาพที่ ๘ ก หนึ่งในวารสารหลายฉบับที่เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับถ่านชีวภาพแก่ประชาชน
ข เตาไบโอชาร์เหล็กไร้สนิมมีฉนวนหุ้มอย่างดีที่ผลิตจ�ำหน่ายในประเทศไทยส�ำหรับระดับครัวเรือน
เกษตร
ค แบบเตาที่เกษตรกรสามารถผลิตได้เอง
ง เตาไบโอชาร์อย่างง่ายที่ผู้เขียนสั่งซื้อก�ำลังอยู่ในระหว่างการเผาจากบนลงล่าง โปรดสังเกต
เปลวไฟไร้ควันที่เกิดจากแก๊สในเนื้อไม้ที่ให้ความร้อนประมาณ ๕๐๐-๖๐๐ องศาเซลเซียส
ที่มา : ภาพ ก-ค เว็บไชต์โฆษณาสินค้าเตาไบโอชาร์ที่เผยแพร่ทั่วไปทางอินเทอร์เน็ต
ภาพ ง เดชา บุญค�้ำ, ๒๕๖๐
๙
http://research.rdi.ku.ac.th/forest/Project.aspx?ProjectNumber=0930858000&BudgetYear=2009
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์กิตติคุณเดชา บุญค�้ำ ๑๖๓
การใช้ไบโอชาร์แก้ปัญหาการปลูกต้นไม้ใหญ่ในงานภูมิทัศน์เมือง
ผิวพื้นที่ในเมืองส่วนใหญ่มักถูกบดอัดหรือถูกดาดผิวทึบแข็ง เช่น ถนน ลานเมือง ลาน
จอดรถ หรือทางเดินเท้า เป็นสาเหตุให้ระบบรากของต้นไม้ปลูกใหม่ไม่เติบโตแข็งแรงเท่าที่ควร จาก
การขาดออกซิเจนและความชื้นที่ไม่เอื้อให้จุลินทรีย์ย่อยสลายแร่ธาตุในดินในรูปที่ต้นไม้น�ำไปใช้ได้
ดังกล่าวแล้วข้างต้น ส่วนต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ปลูกไว้เดิมที่เมื่อระบบราก โดยเฉพาะรากสมอที่ท�ำ
หน้าที่ยึดล�ำต้นไม่ให้โค่นถูกบดอัดแน่นจะค่อย ๆ เสื่อมถอย โดยเริ่มจากรากฝอยและรากแขนงที่ผุ
ลามมาตามล�ำดับ และเมื่อผุถึงโคน ต้นไม้ก็จะโค่นล้มสร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สิน ดังนั้น
หลายประเทศจึงมีการน�ำไบโอชาร์ที่มีความเสถียรและมีโพรงโปร่งอากาศและเก็บความชื้นได้ดี
ดังกล่าวนี้ไปผสมกับดินที่เรียกว่าดินโครงสร้าง ซึ่งเมื่อถูกบดอัดแน่นแล้วก็ยังคงสภาพโพรงที่เอื้อต่อ
การด�ำรงชีวิตของจุลินทรีย์และระบบรากได้ดี ท�ำให้ต้นไม้ที่เสื่อมโทรมใกล้ตายหรือใกล้ล้ม สามารถ
ฟื้นคืนสู่สภาพที่มีรากแข็งแรงปลอดภัยได้ดังเดิม หรือดีกว่าเดิม
ก ข
ค
ภาพที่ ๑๐ การทดลองการใช้ดินโครงสร้างแบบธรรมดาและแบบใส่ไบโอชาร์ฟื้นฟูต้นไม้เมือง
ก ดินโครงสร้างธรรมดาก่อนเติมดินปลูกธรรมดาสูตรปรกติ
ข ดินโครงสร้างผสมไบโอชาร์
ค การเป่าดินเดิมที่แน่นและขาดธาตุอาหารออกด้วยเสียมลม (air spade) ก่อนใส่ดินโครงสร้าง
ผสมไบโอชาร์
ที่มา : Johan Östberg, Swedish University of Agricultural Sciences
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์กิตติคุณเดชา บุญค�้ำ ๑๖๕
เทศบาลนครสตอกโฮล์มได้น�ำร่องทดลองใช้ไบโอชาร์ซึ่งมีคุณสมบัติในการอุ้มความชื้น
และอากาศไว้ได้มากและนานดังกล่าวมาใช้เป็นส่วนผสมของดินโครงสร้าง ปรากฏว่าได้ผลดีกว่า
ต้นไม้ที่ปลูกด้วยดินโครงสร้างทั่วไปที่ท�ำให้ต้นไม้เติบโตเร็วในระยะแรกแต่ชะลอการเติบโตและค่อย
ๆ ทยอย
ตายในบางพื้นที่ (ภาพที่ ๘) ดังนั้น การใช้ดินโครงสร้างที่มีส่วนผสมของไบโอชาร์จึงเป็นการแก้
ปัญหาการปลูกต้นไม้ใหญ่บนผิวแข็งในเมืองได้พร้อมกันกับการแก้ปัญหาการเก็บกักคาร์บอนแบบ
ถาวรที่เริ่มแพร่หลายไปทั่วโลก
ก ข
ภาพที่ ๑๑ การเสื่อมโทรมของต้นไม้ประวัติศาสตร์จากการท่องเที่ยว
ก ต้นตะเคียนวัดโพธิประทับช้าง จังหวัดพิจิตร
ข ต้นจ�ำปาขาวที่เชื่อว่ามีอายุมากกว่า ๗๐๐ ปีที่อนุสาวรีย์พ่อขุนบางกลางท่าว อ�ำเภอนครไทย
พิษณุโลก ที่เสี่ยงต่อการตายจากการอัดแน่นและการขาดแร่ธาตุและอินทรียวัตถุจากผิวดิน
ที่มา : ภาพ ก จาก www.bloggang.com / กรกฎาคม 2552 ภาพ ข จาก เดชา บุญค�้ำ, ๒๕๔๙
ไบโอชาร์กับงานฟื้นฟูต้นไม้ใหญ่ในเมืองและต้นไม้ประวัติศาสตร์ในประเทศไทย
การพัฒนาเมืองและการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว คือสาเหตุส�ำคัญที่ท�ำให้ต้นไม้ขนาดใหญ่
ทยอยกันโค่นล้มก่ออันตรายแก่สาธารณชนดังเป็นข่าวที่บ่อยมากขึ้นเป็นล�ำดับ ทั้งนี้เนื่องจากพื้นที่ใต้
ต้นไม้มักถูกบดอัดหรือถูกดาดผิวแข็งทับเพื่อใช้ส�ำหรับกิจการบริการต่าง ๆ ของเมืองที่ระบบราก
ใกล้ผวิ ดินขาดอากาศและความชืน้ จึงค่อย ๆ ตาย และท�ำให้พมุ่ ใบส่วนบนของต้นไม้ซงึ่ มักเป็นกิง่ ใหญ่
ที่หนักทรุดโทรมมีใบน้อยลงจนสร้างพลังงานไม่เพียงพอ เมื่อรากสมออ่อนแอจากการผุ จึงหมด
คุณสมบัติในการยึดดินและโค่น สร้างความเสียหายตามเมืองต่าง ๆ ทั่วประเทศถี่ขึ้นเป็นล�ำดับ โดย
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๑๖๖ ไบโอชาร์ในงานภูมิทัศน์เมืองฯ
เฉพาะหลังพายุฝน
เกือบทุกเมืองของประเทศไทยมักมีตน้ ไม้ใหญ่เก่าแก่คเู่ มืองขึน้ อยู่ และมีไม่นอ้ ยทีเ่ ป็นต้นไม้
ประวัติศาสตร์ซึ่งรวมถึงต้นไม้ทรงปลูก หรือต้นไม้ที่มีความโดดเด่นสร้างเอกลักษณ์ให้แก่เมือง นอก
จากนี้ ยังมีต้นไม้เก่าแก่อีกมากทั้งในอุทยานประวัติศาสตร์ในบางบริเวณที่จ�ำเป็นต้องพัฒนาให้เป็น
พื้นที่ส�ำหรับส่วนบริการนักท่องเที่ยว ต้นไม้เก่าแก่ของบางเมืองที่ได้รับการประโคมข่าวว่าใหญ่ที่สุด
ของจังหวัดก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกัน เพราะปล่อยให้มีการเทคอนกรีตหรือแอสฟัลต์ด้วย
ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ การกระท�ำดังกล่าว นอกจากจะเป็นการเพิ่มจ�ำนวนการสูญเสียต้นไม้ที่มี
คุณค่าสูงที่ประมาณค่าไม่ได้แล้ว ยังสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินในแต่ละปีมากขึ้นด้วย
ดังนัน้ นอกจากจะเป็นทางออกในการเก็บกักคาร์บอนทีเ่ มืองปล่อยสูบ่ รรยากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และยัง่ ยืนด้วยจ�ำนวนต้นไม้ทปี่ ลูกเพิม่ ในเมืองเป็นจ�ำนวนมากแล้ว ไบโอชาร์ยงั กลายเป็นส่วนประกอบ
ส�ำคัญในการปลูกต้นไม้ในบริเวณดาดผิวแข็งในเมืองและใช้ส�ำหรับใช้ในงานฟื้นฟูต้นไม้ใหญ่ที่ก�ำลัง
ป่วยหรือทรุดโทรมก่ออันตรายได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
ก ข
ภาพที่ ๑๒ การตายของต้นพะยอม ต้นไม้ประวัติศาสตร์อายุนับร้อยปีแห่งเมืองพิษณุโลก
ก สภาพการเสื่อมโทรมของต้นพะยอมเมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๖ (ต้นที่ล้มในภาพ ข) จากการพัฒนา
‘ภูมิทัศน์เมือง’
ข การพัฒนาด้วยการเทผิวดาดแข็งเหนือระบบราก ท�ำให้รากฝอยและรากแขนงขาดอากาศ
และน�้ำส�ำหรับจุลินทรีย์ที่ท�ำหน้าที่ย่อยสลายแร่ธาตุและขาดน�้ำส่งให้ใบเพื่อสังเคราะห์แสง
สร้างน�้ำตาลส่งให้ราก รากจึงทยอยตายและค่อย ๆ ผุลามถึงรากสมอใหญ่ที่โคน
ที่มา : ภาพ ก จาก คม-ชัด-ลึกออนไลน์ ๒๕๕๖ ภาพ ข จาก พิษณุโลกนิวส์ออนไลน์, ๒๕๖๐
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์กิตติคุณเดชา บุญค�้ำ ๑๖๗
ก ข ค
ภาพที่ ๑๓ ความพยายามฟื้นฟูต้นยางนาประวัติศาสตร์ที่จังหวัดเชียงใหม่ด้วยการ
ก ถากผิวแอสฟัลต์ออก
ข พรวนดินใส่ดินปลูก (ไม่ได้ใช้ไบโอชาร์)
ค ปูด้วยก้อนคอนกรีตมีช่องพรุนแล้วปลูกหญ้าเพื่อให้น�้ำและอากาศลงถึงระบบราก เอื้อให้
จุลินทรีย์ในดินเพิ่มจ�ำนวนและย่อยสลายแร่ธาตุให้ระบบรากฝอยฟื้นตัวและเพิ่มปริมาณ
ที่มา : บรรจง สมบูรณ์ชัย, ๒๕๖๑
สรุป
ในแต่ละปีมีชีวมวลปริมาณมหาศาลที่เกิดจากการตัดแต่งต้นไม้ในเมืองทั่วโลกที่ก่อให้เกิด
ปัญหาด้านการจัดการเป็นอย่างมาก หลายประเทศจึงได้จดั ตัง้ ศูนย์การป่าไม้เมืองขึน้ เพือ่ น�ำเศษชีวมวล
เหล่านี้ไปผลิตเป็นปุ๋ยหมัก วัสดุคลุมดิน หรือเผาทิ้งแบบธรรมดา ซึ่งก่อปัญหามลพิษและหมอกควัน
ซึ่งในที่สุดก็จะเปลี่ยนเป็นก๊าซเรือนกระจกตามวัฏจักรได้ดังเดิม และโดยที่ไบโอชาร์สามารถเก็บกัก
คาร์บอนได้อย่างยั่งยืนและมีค่าใช้จ่ายต�่ำ การน�ำมาผลิตเป็นไบโอชาร์แทนวิธีเดิมจึงมีความส�ำคัญ
และแพร่หลายมากขึน้ นอกจากนีย้ งั สามารถรวมเอาเศษขยะชีวมวลครัวเรือนทีแ่ ห้งแล้วทุกชนิดทีเ่ ป็น
มาใช้ในการนีไ้ ด้ดว้ ย เทศบาลนครสตอกโฮล์มได้รณรงค์ให้ประชาชนน�ำขยะทีเ่ ป็นชีวมวลทุกชนิดมาแลก
กับไบโอชาร์ที่ศูนย์ผลิตขึ้นเพื่อน�ำไปใช้ในการปลูกต้นไม้ในบ้านทั้งบนดิน ในกระถางท�ำสวนครัวบน
ดาดฟ้าหรือท�ำสวนหลังคาที่นอกจากเป็นการเก็บกักคาร์บอนจากบรรยากาศได้อย่างถาวมากกว่า
ร้อยละ ๕๐ แล้ว ยังเป็นการแก้ปัญหาการก�ำจัดขยะมูลฝอยอินทรีย์ที่รกตาได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๑๖๘ ไบโอชาร์ในงานภูมิทัศน์เมืองฯ
เอกสารอ้างอิง
กุลธิดา สะอาด. (๒๕๖๐). มารู้จักถ่านชีวภาพกันเถิด. นิตยสาร สสวท. ๔๕(๒), ๑๔-๑๗.
พินิจภณ ปิตุยะ. (๒๕๕๗). เอกสารองค์ความรู้ เรื่องถ่านชีวภาพ. เพชรบุรี : ศูนย์ศึกษาการพัฒนา
ห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ.
อรสา สุกสว่าง. (๒๕๑๕). ยุทธศาสตร์ท�ำหนึ่งได้สาม : ไบโอชาร์เพื่อเพิ่มความสมบูรณ์ให้ดิน ลด
โลกร้อนและลดความยากจน. กรุงเทพมหานคร : โครงการความรู้ดิจิทัล มหาวิทยาลัย
เกตรศาสตร์. [ออนไลน์]. จาก http://kukr.lib.ku.ac.th/db/BKN/search_detail/result/
309372, 2554. [๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๑].
Biochar Solution Inc., Biochar is a carbon negative. [online]. from http://www.
biocharsolutions.com/overview.html. [23 Jun. 2561].
Biochar.org. Biochar carbon sink - implementation in south Sumatra, Indonesia,
[online]. from http://www.biochar.org/joomla/index.php?option=com_content
&task=view&id=46&Itemid=3. [23 Jun. 2561].
Cayce, J. (2016). Biochar and Reclaiming Urban Soil. Nakano Associates. [online].
from http://www.nakanoassociates.com/biochar/. [23 Jun. 2561].
Cornell University. Mycorrhizal hyphae (Glomus clarum) growing on biochar.
Biochar Inoculant Project, (photo: S. Vanek). [online]. from http://www.css.
cornell.edu/faculty/lehmann/BREAD/updates.html. [7 Jul. 2561].
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์กิตติคุณเดชา บุญค�้ำ ๑๖๙
Zwart, Drew C. (2015). Biochar & Carbon Concerns in the Urban Forest, Bartlett
Tree Research Laboratories (West). Texas ISA Carbon Talk. [online]. from
http://isatexas.com/wp-content/uploads/2015/12/Zwart-Texas-ISA-2015-
carbon-talk.pdf. [23 Jun. 2561].
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.สิทธิ์ บุตรอินทร์ ๑๗๑
มนุษยนิยมกับคตินิยมไทย
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.สิทธิ์ บุตรอินทร์
ภาคีสมาชิก ส�ำนักธรรมศาสตร์และการเมือง
ราชบัณฑิตยสภา
บทคัดย่อ
มนุษยนิยมเป็นปรัชญาอีกระบบหนึ่งในฐานะวิชาเป็นมนุษย์ ทั้งวิชาชีวิตและวิชาชีพ
ทรงอิทธิพลและพลานุภาพยิ่งต่อมวลมนุษยชาติแต่อดีตจนปัจจุบันและสู่อนาคต น�ำพาเพื่อน
มนุษย์ให้ด�ำเนินวิถีชีวิตข้ามพ้นคตินิยมเดิม ๆ ที่แบ่งแยกความเป็นมนุษย์ว่า “คนตะวันตกก็คือ
คนตะวันตก คนตะวันออกก็คือคนตะวันออก ทั้งสองหาเป็นหนึ่งเดียวกันได้ไม่” มนุษยนิยม
ค้นพบและสร้างสรรค์ขึ้นโดยมนุษย์ ผสมผสานปรัชญาบริสุทธิ์กับปรัชญาประยุกต์ที่เน้นเนื้อหา
และแนวทางตรรกศาสตร์ จริยศาสตร์ ญาณวิทยา คุณวิทยา และภววิทยา ตีความและขยาย
ความสู่ปรัชญาทุกสาขา
คตินิยมไทย-ปรัชญาไทย มีมนุษยนิยมเป็นรากฐาน ให้คนไทยได้ความรู้สึกนึกคิด
ความเห็น และความเชือ่ ในการครองชีวติ เป็นแบบคนไทย มีลกั ษณะเป็นธรรมชาตินยิ ม มัชฌิม-
นิยม เหตุผลนิยม สัมพัทธนิยม และประโยชน์สุขนิยม ตีความขยายความและปรับแต่งขึ้นจาก
ปรัชญาและศาสนา อินเดีย จีน และภายหลังได้จากปรัชญาตะวันตกมีกรีกเป็นแหล่งเกิดที่เน้น
ปรัชญาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยถือมนุษย์เป็นทรัพยากร ทรงคุณค่าเช่นทรัพยากรอืน่ ๆ
ในโลกทางวัตถุ
คตินิยมไทยสอนคุณลักษณะของคนไทยในอุดมคติ เน้นบูรณาการคดีโลกกับคดีธรรม
เป็นวิถชี วี ติ เชิดชูคณ
ุ ค่าและศักดิศ์ รีความเป็นมนุษย์ทพี่ ฒ
ั นาขึน้ ผ่านวัฒนธรรมการศึกษาทีถ่ กู ต้อง
เพียงพอ ให้มีวิชาอันเป็นเลิศกับประเสริฐทางความประพฤติ มีบูรณาการคุณภาพชีวิตแห่ง
สุขภาพกายกับสุขภาพจิต เป็นตัวของตัวเอง พึ่งตนเองและพึ่งพาอาศัยกันได้ มีความเป็นไทย
นิยมกับสากลนิยม ครองชีวิตพอดี พอเพียง และสงบสุขสง่างาม
บทน�ำ
วิถชี วี ติ ไทย ความรูส้ กึ นึกคิดไทย และคตินยิ มไทย มีววิ ฒ
ั นาการและพัฒนาการมายาวนาน
ได้สร้างสรรค์และสืบสานวัฒนธรรมคติธรรมบนรากฐานค่านิยมไทยและคตินิยมไทย อีกทั้งยัง
ปฏิสมั พันธ์แลกเปลีย่ นผสมกลมกลืนกับคตินยิ มอืน่ จนบรรลุวฒ ุ ภิ าวะทางปรีชาญาณไทยถึงระดับปรัชญา
ไทยทีม่ มี นุษยนิยมขยายความถึงมัชฌิมนิยมและสัมพัทธนิยม เป็นคุณลักษณะพิเศษและเป็นทีย่ อมรับ
เชื่อถือกันอย่างกว้างขวาง ถึงแม้ในยุคปัจจุบันไทยก�ำลังเสียดุลยภาพการครองชีวิตและด�ำเนินชีวิต
ตามวิถคี ตินยิ มไทยให้แก่พลานุภาพแห่งองค์ความรู้ ความคิดเห็น ความเชือ่ และคตินยิ มลัทธิเอาอย่าง
แนววัตถุนิยม บริโภคนิยม และกามสุขนิยม น�ำพาโดยตรรกวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภายใต้
มหิทธานุภาพปรัชญาตะวันตกก็ตาม ไทยก็ยังตระหนักถึงความจริงโดยเหตุโดยผลข้อนี้ และก�ำลัง
ปรับแต่งวิถีชีวิตให้ถือมั่นในมนุษยนิยม มัชฌิมนิยม และสัมพัทธนิยม แห่งความพอดี พอเพียง
พอควร และคุณค่าความเป็นมนุษย์ บนรากฐานคตินิยมอันมั่นคงแห่งวัฒนธรรมไทย หนึ่งแห่ง
วัฒนธรรมเอเชีย คนไทยจึงน่าที่จะภูมิใจในคตินิยมไทยจากปรีชาญาณชนไทย ตามแนววิถีไทยที่ควร
ต้องได้รับการปรับแต่งให้คงดุลยภาพเพื่อลูกไทยหลานไทยสืบไป
คตินยิ มไทยบนรากฐานมนุษยนิยมได้สะสมไว้ในจิตวิญญาณของคนไทย ไม่ใช่เพียงเพือ่ สนอง
การสร้างสรรค์ สะสม และเสพเสวยผลประโยชน์ทางวัตถุธรรมเป็นส�ำคัญ แต่เพื่อปลูกฝัง เรียนรู้
หล่อเลี้ยง และพัฒนาคุณค่า คุณภาพ และคุณสมบัติ แห่งความรู้สึกนึกคิดจิตใจของคนไทย ให้
เป็นองค์คุณค่าส่วนรวมร่วมกันของมวลมนุษยชาติ จึงไม่ได้หวงแหนไว้เป็นของคนไทยเท่านั้น เช่น
มนุษยธรรม ขันติธรรม ยุติธรรม สามัคคีธรรม ปัญญาธรรม คนไทยถือคตินิยมเหล่านี้เป็นพลังสูงสุด
ก�ำหนดจัดวางและน�ำพาวิถีชีวิตแห่งความเป็นไทย แสดงออกทางสังคม การเมือง การปกครอง
บริหาร จริยธรรม นิติธรรม วรรณกรรม จารีตประเพณี การศึกษา และอื่น ๆ คตินิยมนี้คือมิติแห่ง
คุณค่าซึง่ เป็นวัฒนธรรมคติธรรม ก�ำหนดวัฒนธรรมวัตถุธรรมอีกชัน้ หนึง่ เป็นพลังสร้างสรรค์ ปรุงแต่ง
ความเป็นคนไทยแบบไหนให้มคี ณ ุ สมบัติ บุคลิกลักษณะ อุปนิสยั ใจคอ ความรูส้ กึ นึกคิด จิตใจ และ
รสนิยมชีวิต เป็นคนลักษณะไหน ชนิดใด นักสู้หรือนักจ�ำนน ผู้น�ำหรือผู้ตาม ใฝ่รู้ใฝ่เรียนใฝ่คิดหรือ
ตรงกันข้าม ผู้ริเริ่มสร้างสรรค์หรือผู้ลอกเลียนเอาอย่าง ผู้ผลิตหรือผู้บริโภค ผู้สร้างหรือผู้ท�ำลาย ผู้คิด
เองท�ำเองหรือผู้เจริญรอยตามด้วยความจงรักภักดีอันหาที่สุดมิได้ มีน�้ำใจหรือแล้งน�้ำใจ สยามเมือง
ยิ้มหรือสยามเมืองน�้ำตา เป็นต้น ซึ่งลูกไทยหลานไทยต้องแสวงหาค�ำตอบต่อไป
อนึ่ง ชาติไทยและวิถีไทยไม่ได้เกิดมีขึ้นตามคตินิยมไทยในปรัชญาไทยอย่างเดียวล้วน ๆ
แต่อาศัยการผสมผสานกับบางส่วน ที่ได้จากคตินิยมในปรัชญาของชนชาติอื่นด้วยระดับหนึ่ง ทั้งใน
โลกตะวันออกคืออินเดียและจีนเป็นรากเหง้าเค้าเดิม และในโลกตะวันตกมีกรีกเป็นแหล่งก�ำเนิด ถ้า
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๑๗๔ มนุษยนิยมกับคตินิยมไทย
มนุษยนิยม
มนุษยนิยมมีแนวคิดความเห็น คตินิยมและความเชื่อหลักในเรื่องชีวิตแห่งความเป็นจริง
ความมีเหตุผล คุณธรรม ความถูกต้องดีงาม คุณค่า ศักดิ์ศรี ความมีศักยภาพและอิสรภาพของมนุษย์
โดยมนุษย์ เพื่อมนุษย์และสิ่งสัมพันธ์กับมนุษย์ มนุษยนิยมเป็นระบบปรัชญาพัฒนาขึ้นบนรากฐาน
ธรรมชาตินิยม ประสบการณ์นิยม เหตุผลนิยม สัมพัทธนิยม มัชฌิมนิยม มีแนวคิดความเห็นและ
ความเชื่อ สรุปได้ใจความว่า มนุษย์มีความส�ำคัญเหนือสิ่งอื่นใดในจักรวาล ความเป็นมนุษย์โดย
ธรรมชาติของมนุษย์มคี ณ ุ ค่าและความหมายสูงสุดเท่าเทียมเสมอเหมือนกันหมด ในการประกอบกรรม
เพื่อความเป็นอหังการ (Being) และความมีมมังการ (Having) ของมนุษย์ที่มนุษย์รับผิดชอบเอง
มนุษย์เป็นศูนย์กลางก�ำหนดมาตรการและวัดมาตรฐานของทุกสิ่งทุกอย่างในเรื่องของมนุษย์และที่
เกี่ยวกับมนุษย์ มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐด้วยเหตุผลและคุณธรรม มีชีวิตอยู่ในธรรมชาติและภายใต้
กฎธรรมชาติ (Natural law) มีเจตจ�ำนงเสรี มีความคิดริเริม่ สร้างสรรค์ ศักยภาพและความสามารถ
เหนือสัตว์อนื่ ใด ในการพัฒนาตนเองให้บรรลุวตั ถุประสงค์ดา้ นต่าง ๆ ระดับต่าง ๆ ได้จนถึงความสิน้
ทุกข์ โดยอาศัยการศึกษาค้นคว้าเรียนรู้ แนะน�ำสั่งสอน ฝึกอบรมบ่มเพาะ ใช้เหตุผล มีมโนธรรม
มนุษยธรรม ปัญญาธรรม ผ่านวัฒนธรรมการศึกษาที่ถูกต้องเพียงพอ โดยไม่ต้องอาศัยอ�ำนาจ
บารมีใด ๆ ทีม่ กั กล่าวอ้างว่าเหนือธรรมชาติ แต่อย่างใด มนุษยนิยมยังหมายความรวมถึง แนวคิดความ
เห็น คตินิยม และความเชื่อในยุคหลัง ผสมกลมกลืนระหว่างจักรวาลวิทยาแนวปรัชญาวิทยาศาสตร์
กับจริยศาสตร์ของศาสนาเทวนิยมนั้น ๆ ที่สัมพันธ์กับมนุษย์ แต่ไม่ถือว่าความเชื่อในเทพเจ้าหรือ
พระเป็นเจ้า (God) โดยชือ่ หลากหลายเหล่านัน้ เป็นค�ำตอบปัญหาสมบูรณ์เบ็ดเสร็จเด็ดขาดทุกอย่าง
ของมนุษย์ ในการพัฒนาชีวิตให้บรรลุภาวะสมบูรณ์ได้ มนุษย์ต้องอาศัยวิชาชีวิตจากศรัทธาและ
หลักค�ำสอนด้านคุณธรรมจริยธรรมของศาสนานั้น ๆ เป็นแนวทางประพฤติปฏิบัติในการครองชีวิต
และด�ำเนินชีวิตส่วนบุคคลและในสังคมมนุษย์
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.สิทธิ์ บุตรอินทร์ ๑๗๕
คตินิยมไทย
คตินิยมไทยแนวปรัชญาไทยปรุงแต่งขึ้นตามความรู้สึกนึกคิดจิตใจ ความเห็น เหตุผล สติ
ปัญญา คุณธรรม คุณค่า ค่านิยม และความเชื่อ ปรากฏออกมาทางวาจาและทางกายให้เป็นรูปธรรม
หรือวัตถุธรรม สร้างสรร ดัดแปลง แต่งเติม ผสมกลมกลืน และหลอมรวมให้เป็นอุดมคติ อุดมการณ์
คตินิยม หลักการ และแนวทางปฏิบัติในการครองชีวิตและด�ำเนินชีวิต ผ่านประมวลประสบการณ์
ชีวิตของคนไทยแต่อดีตถึงปัจจุบันสู่อนาคต ปรับแต่งจากวิถีพุทธไทยเป็นหลักและวิถีพื้นบ้านท้องถิ่น
ไทย มีคุณลักษณะทั้งแบบไทยนิยมและสากลนิยมหลอมรวมเข้าด้วยกัน คตินิยมไทยมีขึ้นโดยการ
ศึกษาเรียนรู้ ปลูกฝัง อบรมสั่งสอน และน�ำพาสู่ความประพฤติปฏิบัติในวิถีชีวิต ถือเป็นรากฐานส�ำคัญ
และจ�ำเป็นยิ่งในการพัฒนาชีวิตไทย คาดหวังให้คนไทยต้องมีวิชาเป็นมนุษย์ให้มีชีวิตเป็นได้ ทั้งคนดี
และคนเก่งด้วยวิชาชีวิตทางคดีธรรมซึ่งเรียนตลอดชีวิตไม่มีจบ มุ่งท�ำให้เป็นคนดี กับวิชาชีพทาง
คดีโลกเรียนจบได้ตามหลักสูตรนัน้ ๆ ทีท่ ำ� ให้เป็นคนเก่ง บูรณาการวิชาชีวติ กับวิชาชีพเข้าด้วยกัน ให้
คนไทยสามารถประกอบสัมมาชีพ รู้ดีรู้ชั่ว รู้ผิดรู้ถูก รู้คุณรู้โทษ รู้ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ มีอุปนิสัย
ใจคอโอบอ้อมอารี ปรองดอง ก�ำราบความอิจฉาริษยาอาฆาตพยาบาท เอื้อเฟื้อเกื้อกูล พึ่งพาอาศัย
กัน แบบใจเขาใจเรา เป็นกัลยาณมิตรต่อกัน ขยันหมั่นเพียร มีเหตุมีผล มีขันติธรรม สามัคคีธรรม
ความกล้าหาญทางจริยธรรม มีวินัยแห่งตน มีความใฝ่ใจใคร่รู้ไม่มีอิ่มไม่มีพอ มีความซุกซนทาง
ความคิด ไม่ประมาท เพือ่ พัฒนาคุณค่าคุณภาพและคุณสมบัตคิ นไทยให้เป็นคนดีและคนเก่งนี้ คนไทย
จึงได้มีคตินิยมและถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติแต่เดิมมา โดยให้ผู้ชายที่สังคมไทยมักนิยมให้เป็นเสมือน
ช้างเท้าหน้าน�ำครอบครัวและชุมชน ควรต้องบวชเรียนเขียนอ่านเป็นสามเณรหรือพระภิกษุในวัด วัด
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๑๗๘ มนุษยนิยมกับคตินิยมไทย
จึงเป็นโรงเรียนปลูกฝังและฝึกอบรมวิชาเป็นคนไทยแห่งแรกในวิถีไทยถัดจากบ้านหรือครอบครัวมุ่ง
ให้ลูกไทยหลานไทยมีวิชาอันเป็นเลิศกับประเสริฐทางความประพฤติ รู้บาปบุญคุณโทษ ประโยชน์
มิใช่ประโยชน์ ค�ำน�ำหน้าชื่อว่าบัณฑิต หมายถึง ผู้รู้ในสังคมไทย ต่อมาค�ำว่าบัณฑิตกร่อนสั้นเข้าตาม
อัธยาศัยแบบไทยเหลือแต่ฑิต ประเพณีการบวชเรียนเขียนอ่านตามรากฐานวิถีพุทธไทยนี้ยังคงถือ
ปฏิบัติสืบต่อกันมาจนปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งส�ำหรับลูกไทยหลานไทยที่รัฐขยายความเอื้ออาทร
ให้โอกาสการศึกษาเล่าเรียนไม่ทั่วถึง วัดจึงรับช่วงจากบ้านซึ่งภารกิจพัฒนาลูกไทยหลานไทยผ่าน
กระบวนการศึกษาเล่าเรียน และวัดจึงเป็นที่พึ่งพาอย่างแท้จริงในวิถีชีวิตไทยเสมอมาก่อนมีโรงเรียน
ของรัฐ ซึ่งส่วนมากเริ่มต้นสร้างขึ้นภายในวัด ค�ำว่า “บวร” บ้าน วัด และโรงเรียน จึงเป็นแหล่งและ
สัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ในคตินิยมการพัฒนาลูกไทยหลานไทยแต่เดิมมา (สิทธิ์ บุตรอินทร์, ๒๕๔๘ :
๑๐๓-๑๐๖) ดังจะได้ขยายความในข้อว่าด้วยคตินิยมการศึกษา
ชาวพืน้ บ้านท้องถิน่ ไทยครองชีวติ อันสงบสุขสง่างามในกรอบชะตาชีวติ แห่งบุญท�ำกรรมแต่ง
แต่อดีตถึงปัจจุบันสู่อนาคตชาติ เป็นชีวิตต้องตามแบบอย่างขนบธรรมเนียมประเพณีที่ยืดหยุ่น
ได้ไม่เกินเหตุเกินผล รับการปลูกฝังหล่อหลอมกล่อมเกลา อบรมสั่งสอนให้เติบใหญ่ขึ้นมา หวังให้
เป็นได้ทั้งคนดีและคนเก่ง สอนให้มองโลกเข้าใจชีวิตและเข้าถึงความเป็นคนในด้านดีงามให้คุณให้
ประโยชน์ อยูก่ บั ความสุนทรียะตามธรรมชาติ ในกฎธรรมดา แห่งธรรมชาติและชีวติ ทีเ่ สริมสร้างปรับ
แต่งเพิ่มขึ้นตามคตินิยมและคุณค่าทางวัฒนธรรม พึงพอใจในชีวิต อยู่รวมและร่วมกันอย่างเรียบง่าย
อยู่ง่ายกินง่าย สะดวก สบาย และสนุกตามอัตภาพ ลดการวางเงื่อนไขชีวิตให้เหลือแต่พอดีพองาม
กันเอง ใจเขาใจเรา ที่ไม่มุ่งเอาส่วนตัวเหนือส่วนรวม รังเกียจความขัดแย้ง ตัวใครตัวมัน เอาดีใส่ตัว
หาชั่วใส่คนอื่น เบียดเบียนข่มเหง เอารัดเอาเปรียบ เหลื่อมล�้ำต�่ำสูง อยุติธรรม อคติ มีชีวิตอยู่มุ่ง
เอาดีในโลกนี้ หวังได้ดอี กี ในโลกหน้า ถือว่าไม่มอี ะไรสมบูรณ์ไปทุกอย่างและพิการไปทุกเรือ่ ง ชีวติ มีทงั้
ทุกข์ทั้งสุข สมหวัง ผิดหวัง มีการให้ก็มีการรับ มีได้ก็มีเสีย มีสรรเสริญก็มีนินทา บ้านกับวัด คดีโลกกับ
คดีธรรม และคตินิยมอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกัน
‘...เมื่อน้อยให้เรียนวิชา ให้หาสินเมื่อใหญ่ อย่าใฝ่เอาของรักท่าน อย่าริอ่านแก่ความ
ประพฤติตามบูรพระบอบ เอาแต่ชอบเสียผิด อย่ากอบกิจเป็นพาล อย่าอวดหาญแก่เพื่อน...อย่า
ใฝ่สูงเกินศักดิ์ ที่รักอย่าดูถูก ปลูกไมตรีอย่ารู้ร้าง สร้างกุศลอย่ารู้โรย...อย่าประมาทท่านผู้ดี มีสิน
อย่าอวดมัง่ ผูเ้ ฒ่าสัง่ จงจ�ำความ...สูเ้ สียสินอย่าเสียศักดิ.์ ..’ ผูร้ ไู้ ทยจึงสัง่ สอนไว้ในสุภาษิตไทยซึง่ ความ
เป็นจริงตามคตินิยมไทย :
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.สิทธิ์ บุตรอินทร์ ๑๗๙
ไร้สิ่งสิ้นอับแสง ปัญญา
อีกญาติวงศ์พงศา บ่ใกล้
คนรักย่อมโรยรา รสรัก กันแฮ
พบแทบทางท�ำใบ้ เบี่ยงหน้าเมินหนีฯ
พันเอก พระยาสารสาสนพลขันธ์ ชาวเยอรมันแท้ ๆ เป็นคนแรกที่ได้รวบรวมสุภาษิตไทย
พ.ศ. ๒๔๔๗ กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า “สุภาษิตค�ำสอนไทยในคตินิยมไทยแสดงให้เห็นอัธยาศัย อุปนิสัย
ใจคอ และความคิดเห็นอันเฉียบแหลมของคนไทยในวิถีไทยอย่างดีเลิศ...” (พระครูวินัยธรประจักษ์,
๒๕๔๕ : ๓๖)
คนไทยในวิถีไทยแนวคตินิยมไทยได้รับการอบรมสั่งสอนวิชาชีวิตให้รู้จักพอดี พอเพียง
พอประมาณ เจียมเนื้อเจียมตัว ถ่อมตัว ตระหนักในความเป็นไปได้ไม่ได้ เหมาะสมไม่เหมาะสม
ควรค่าไม่ควรค่า เกินตัวไม่เกินตัว อย่างไร และสอนสั่งไม่ให้ลูกไทยหลานไทยอ่อนแอ ท้อแท้ ยอม
แพ้ ยอมจ�ำนน และทอดทิ้งคตินิยมวิถีไทย คตินิยมไทยคือวัฒนธรรมคติธรรมที่คนไทยสร้างสรรปรุง
แต่งขึ้นเองจากภูมิปัญญาไทยและได้รับจากผู้รู้ นักคิด นักปรัชญา นักศาสนา และองค์ศาสดาที่มี
แหล่งก�ำเนิดนอกประเทศไทย คือจากอินเดียและจีน เช่น มนุษยนิยม มัชฌิมนิยม และต่อมาจาก
วัฒนธรรมคติธรรมตะวันตก เช่น วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี บริโภคนิยม กามสุขนิยม
คตินิยมไทยแนวมนุษยนิยม : คนไทยถือคตินิยมว่ามนุษย์คือเวไนยสัตว์ เกิดมีมาตาม
ธรรมชาติของมนุษย์ภายใต้กฎธรรมชาติคือกฎไตรลักษณ์ และกฎที่มนุษย์บัญญัติขึ้นใช้ในหมู่มนุษย์
ทั้ง ๒ กฎ คลุมเนื้อหาทุกด้านในโลกทัศน์และชีวทัศน์ไทย คนไทยแม้ไม่ปฏิเสธสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือ
ธรรมชาติแต่ได้รับการปลูกฝังให้เชื่อถือในกฎแห่งกรรม-บุญท�ำกรรมแต่ง โดยการประกอบกรรมทาง
มโนกรรม วจีกรรม และกายกรรมของตนเองในความรับผิดชอบของตนเอง ท�ำดีได้ดี ท�ำชั่วได้ชั่ว
สัมพันธ์กันทางเหตุผล ความดีความชั่ว ความถูกความผิด ความถูกต้องความบกพร่องผิดพลาด
ความทุกข์ความสุขในชีวติ และโลกเกิดขึน้ ตามเหตุตามผลโดยมนุษย์และรับผิดชอบโดยมนุษย์ แม้อาศัย
เหตุปัจจัยอื่นบ้างก็เป็นเพียงปัจจัยรอง มโนธรรมและมนุษยธรรม คือ คติธรรมพื้นฐานและส�ำคัญ
ที่สุดส�ำหรับคุณค่าความเป็นมนุษย์ จึงเห็นได้ว่าปรัชญามนุษยนิยมคือรากเหง้าและแก่นแกนคตินิยม
ไทยแนวปรัชญาไทยในทุกมิติทุกด้านและทุกระดับของวิถีชีวิตไทย
คตินิยมไทยแนวธรรมชาตินิยม : คตินิยมไทยสอนให้เข้าใจกฎธรรมชาติ-ธรรมดาและ
เข้าถึงความจริง เหตุผล บทเรียน ประโยชน์ และคุณค่าของธรรมชาติ รวมถึงสิง่ ตามธรรมชาติภายใต้กฎ
ธรรมชาติเดียวกัน ทุกอย่างในธรรมชาติย่อมไหลเลื่อนเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไป ในการครองชีวิต
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๑๘๐ มนุษยนิยมกับคตินิยมไทย
ไม้ล้มควรข้ามได้ โดยหมาย
คนล้มจักข้ามกราย ห่อนได้
ท�ำชอบชอบห่อนหาย ชอบกลับ สนองนา
ท�ำผิดผิดจักให้ โทษแท้ถึงตนฯ
คตินิยมคนไทยในอุดมคติ : ในการก�ำหนดลักษณะและคุณสมบัติของคนไทยในอุดมคติ
ว่าเป็นคนแบบไหน อย่างไร และระดับใด คนไทยปัจจุบนั มักนิยมถือคุณค่าแห่งความมี อันเป็นสมบัติ
ภายนอกตัวที่สร้างขึ้น ได้มา สะสม ถือครองเป็นเจ้าของและเสพเสวย มนุษยนิยมแนวพุทธเรียกว่า
มมังการ-ของฉัน ของกู ส�ำคัญว่าตนมีนั่นมีนี่ เป็นเจ้าของสิ่งนั้นสิ่งนี้ ครองฐานะต�ำแหน่งระดับนี้
ระดับนั้น เป็นต้น ในอรรฆวิทยาแนวตะวันตกเรียกว่า Virtue of Having เช่น มียศถาบรรดาศักดิ์
มีทรัพย์สินศฤงคาร ถือเป็นคุณสมบัติภายนอกตัวตน ได้มาหลังเกิดมีชีวิตเป็นคน และนิยมถือ
คุณค่าแห่งความเป็นเรียกว่า อหังการ-ตัวฉัน ตัวกู เป็นผู้มีบุญญาบารมี ตรงกับแบบตะวันตกที่
เรียกว่า Virtue of Being อันเป็นคุณสมบัติที่ปลูกฝังสร้างขึ้นภายในตัว เช่น เป็นคนดี อาศัย
คตินิยมที่เน้นคดีโลกลักษณะนี้เป็นเบื้องต้น คนไทยในอุดมคติจึงหมายถึง ผู้ครองชีวิตอุดมด้วย
ยศถาบรรดาศักดิ์ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อ�ำนาจบารมี บริษัท บริวาร ท�ำการใด ๆ บรรลุผลดังใจ
หมาย เป็นประโยชน์แก่ตน ผู้เป็นที่รักแห่งตน ประเทศชาติบ้านเมือง วิชาความรู้ ความคิดอ่านกว้าง
ไกล ลุ่มลึกและแยบยล มีคนนับหน้าถือตาพึ่งพาอาศัยได้ อุปถัมภ์ค�้ำจุนได้ ทางการศึกษา สังคม
เศรษฐกิจ การเมือง ความมัน่ คงปลอดภัยในชีวติ ทรัพย์สนิ และอืน่ ๆ ในแนวทางให้คณ ุ ได้ให้ประโยชน์
ได้ ถึงกระนั้นได้มีเมธีปราชญ์ราชบัณฑิตไทยร่วมสมัยหลายท่านให้ทัศนะเกี่ยวกับคุณลักษณะเน้น
คดีธรรมกับคดีโลกเป็นรากฐานของคนไทยในอุดมคติ ที่นิยมแต่เดิมมาจนปัจจุบัน ใจความว่าคนไทย
ในอุดมคติประกอบด้วยคุณลักษณะและคุณสมบัติ เป็นผู้มีสุขภาพพลานามัยดีทั้งสุขภาพกายและ
สุขภาพจิต มีความรู้ความเชี่ยวชาญเป็นเลิศในวิทยาการต่าง ๆ มีความคิดอ่านดี ริเริ่มสร้างสรรค์
สามารถวิเคราะห์ได้เหตุได้ผลตามสูตรตรรกศาสตร์ อุดมด้วยคุณธรรม จริยธรรม มนุษยธรรม
ยุตธิ รรม มีบคุ ลิกทีม่ คี วามเป็นไทย และความเป็นสากลในระดับหนึง่ มีวสิ ยั ทัศน์กว้างไกลและลุม่ ลึก
มีความเป็นประชาธิปไตย และครองชีวิตสงบสุขสง่างาม อาศัยศึกษาวิเคราะห์องค์ความรู้ ด้วยเหตุ
ด้วยผล ทั้งคดีโลกและคดีธรรม ประกอบกัน ผู้เขียนจึงได้แนวคิดเห็นสรุปความได้ดังนี้
๑) คนดีมีคุณธรรมและมนุษยธรรม : คนไทยทั่วไปถือคุณค่าทางจิตใจเหนือทางร่างกาย
ประเมินคุณค่าเน้นตรรกศาสตร์และจริยศาสตร์ ‘ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว ใจก�ำหนดควบคุม
น�ำพาและประเมินคุณค่าในการด�ำรงและด�ำเนินชีวิตเป็นมนุษย์แห่งกายกับใจ’ ทั้ง ๒ มาคู่กัน
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.สิทธิ์ บุตรอินทร์ ๑๘๕
๑) คุณค่าและความหมาย : การศึกษาพัฒนามนุษย์ให้ครองชีวิตพิเศษและพิสดารกว่า
สัตว์อื่น แม้อยู่ภายใต้ธรรมชาติเดียวกัน มนุษย์มีชีวิตเป็นแบบมนุษย์ไม่ได้หากไม่มีวิชาเป็นมนุษย์
มนุษย์ด้อยพัฒนาเพราะรับการศึกษาเสเพล การศึกษาเสเพลน�ำพาลูกไทยหลานไทยสู่การพัฒนา
พิการ-ด้อยพัฒนา ล้าหลัง การศึกษามิใช่สิ่งมุ่งหมายของมนุษย์ เป็นแต่เพียงแนวทางและพาหะ
น�ำพาสู่สิ่งมุ่งประสงค์ของชีวิต อย่างสามัญคือ ลาภ ยศ สรรเสริญ และสุข อย่างพิเศษคือความจริง
ความถูกต้องดีงาม มั่นคงปลอดภัย อิสระ สันติสุข เป็นธรรม และสูงสุดคือความสิ้นทุกข์ ลูกไทย
หลานไทยควรต้องได้รับการศึกษาเล่าเรียนอย่างถูกต้องเพียงพอสู่การพัฒนาชีวิตให้สามารถครองตน
ครองคน ครองงาน ครองสุข และครองความถูกต้องดีงาม ตามทางสายกลางการศึกษา ให้ได้
ดุลยภาพแห่งการพัฒนาชีวิตและบูรณาการคุณภาพชีวิตทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต ไทยนิยมกับ
สากลนิยม ไม่ละทิ้งของเก่าไม่มัวเมาของใหม่
โดยทัว่ ไป คนไทยมีคณุ ลักษณะเชาวน์ไวไหวพริบดี เจ้าความคิดความเห็น เจ้าคารมโวหาร
รับรู้เรียนรู้ไว ฉลาดเฉียบแหลม แต่มักลอกเลียนและเอาอย่างเก่ง แก้ตัวเก่ง นิยมรูปแบบมากกว่า
เนื้อหาและระบบ นิยมวิพากษ์วิจารณ์แต่ไม่นิยมถูกวิพากษ์วิจารณ์ การศึกษาเล่าเรียนเขียนอ่าน
เป็นแต่เพียงอุบายวิธีพัฒนาคนไทยให้มีวิชาความรู้ด้านต่าง ๆ สาขาต่าง ๆ ทั้งศาสตร์และศิลป์
เดิมทีเรียกศิลปวิทยา ทั้งคดีโลกและคดีธรรมส�ำหรับให้เป็นวิชาพัฒนาคนไทย ด้วยวิธีการเล่าเรียน
เขียนอ่าน สั่งสอน ฝึกฝนอบรมบ่มนิสัย ปลูกฝังหล่อหลอม คุณสมบัติความเป็นคน ให้เพิ่มพูนคุณค่า
และคุณภาพจากที่ได้มาโดยธรรมชาติ คือ ชีวิตและตามที่บุญท�ำกรรมแต่งมาแต่ปางก่อน โดยอาศัย
ท่านผู้รู้ผ่านชีวิตมานานมีประสบการณ์มามาก ที่ยกย่องเชิดชูเป็นครูบาอาจารย์ มีบิดามารดาเป็น
เบื้องต้น ผู้ให้ค�ำแนะน�ำสั่งสอนหนังสือ เรียนและฝึกปฏิบัติ ตามแบบอย่าง จึงได้ส�ำนวนไทยแต่เดิม
มาว่า “เรียนหนังสือ” คตินิยมการศึกษานี้ หวังผลเบื้องต้น ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง ท�ำมาหาเลี้ยงชีพ
อยู่เย็นเป็นสุข มีความรู้ดีกับประพฤติชอบ อย่างแรกให้เอาดีวิชาชีพทางคดีโลกหวังให้เป็นคนเก่ง
อย่างหลังให้เข้าใจเข้าถึงวิชาชีวิตทางคดีธรรมหวังให้เป็นคนดี หลักการครองชีวิตแนววิถีไทย จึง
นิยมถือกันว่า ‘ชีวิตนี้คดีโลกมิให้ช�้ำคดีธรรมมิให้เสีย’ เป็นวิถีชีวิตสายกลางเหนือวัตถุนิยมสุดโต่งและ
จิตนิยมสุดโต่ง
คนไทยถือคุณค่าและคตินิยมในการศึกษาเล่าเรียนว่าเป็นทรัพย์อันประเสริฐ ผู้รู้และทรง
คุณธรรมคือครูบาอาจารย์ มีบิดามารดา เป็นต้น ผู้เป็นแหล่งความรู้ แบบอย่าง และเบ้าหล่อหลอม
ความประพฤติย่อมเป็นปูชนียบุคคล ย่อมได้รับความเคารพนับถือ ยกย่องเชิดชู และบูชาในฐานะ
อันสูงยิ่ง ถือครูบาอาจารย์เป็นพ่อแม่คนที่ ๒ ต่อจากพ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้าผู้เป็นครูคนแรกของลูก
ต่อมาคือครูบาอาจารย์เป็นผู้ชุบเลี้ยงความเป็นผู้เป็นคน ให้เติบใหญ่ด้วยวิทยาคุณอันทรงพลังสู่
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
๑๘๘ มนุษยนิยมกับคตินิยมไทย
สรุป
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์เนื่องด้วยคตินิยมไทยและ
ลักษณะนิสยั ของคนไทย เรือ่ ง “ลัทธิเอาอย่างและโคลนติดล้อ” โดยทรงใช้พระนามแฝง “อัศวพาหุ”
(อัศวพาหุ, ๒๕๐๖ : ๑๘-๑๙) แสดงเหตุผล วิเคราะห์ วิพากษ์ และวิจารณ์ ใจความว่า ‘การเอา
อย่างแม้ว่าจะมีคุณค่าอยู่บ้าง แต่ขณะเดียวกันก็มีโทษอย่างน้อย ๓ ประการคือ ๑) การเอาอย่าง
จะเป็นข้อตัดรอนความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และการใช้เหตุผล ๒) การเอาอย่างเป็นองค์แห่งคนขลาด
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.สิทธิ์ บุตรอินทร์ ๑๙๓
เอกสารอ้างอิง
คณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ สาขาปรัชญา. (๒๕๓๙). วิธีคิดของคนไทย. เอกสารประกอบการ
สัมมนา. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ค�ำหมาน คนไค. (๒๕๒๘). ผญ๋า-ภูมิปัญญาอิสาน มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
มหาสารคาม.
**
ในคติเดียวกัน พระองค์ทรงน้อยพระทัย เมื่อได้เปรียบเทียบกับประเทศญี่ปุ่นในแผ่นดินพระเจ้าจักรพรรดิเมจิ
มหาราช (๑๑ ปีก่อน ร.๕ ของไทย) ร่วมรัชสมัยเดียวกับที่ส่งคนไปเลือกเรียนเอาวิทยาการสมัยใหม่ ยังประเทศใน
ยุโรปและอเมริกา ดังใจความตอนหนึง่ ว่า “...พระเจ้าเมจิทรงสมประสงค์ทกุ ประการทีค่ นของพระองค์ทกุ คนเล่าเรียน
วิชาการสาขาต่าง ๆ กลับมาพัฒนาบ้านเมืองได้เต็มทุกด้าน แต่นักเรียนไทยที่ส่งไปเรียนไม่ค่อยได้ดีดังหวังกลับมา...”
วารสารราชบัณฑิตยสภา
ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๓ กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.สิทธิ์ บุตรอินทร์ ๑๙๕